@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

630131

รายละเอียด

 

630131_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เวทนาดอกเดียวปลิดวิญญาณ ตอน 1

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่...  https://docs.google.com/document/d/1l5Urjj8U5ERiOI6qh9fbBRbIx5SviCT2rRzpQbRnIdw/edit?usp=sharing             

ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1hbkrQiZkAfuFafO6IjI9t7cIutRpZlN2

สมณะฟ้าไทว่า.. วันนี้วันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก วันพรุ่งนี้ก็จะมีค่ายเตรียมงานพุทธาฯของเด็กม.1จากชาวอโศกทั่วประเทศ เป็นการให้เด็กได้มาร่วมซึมซับบรรยากาศของงานปฏิบัติธรรม

พ่อครูว่า…SMS วันที่29ม.ค.2563(วิถีอาริยธรรม พ่อครู : บ้านราช)

_เจิน วดี : ฟังธรรมะของพ่อครูสุดยอดเลยค่ะ เพิ่มความฉลาดขึ้นค่ะ

_วันชัย สหมโนธรรม: ชีวิตนี้ได้ฟังธรรม ได้ลดละกิเลส คบมิตรดี ชีวิตนี้ไม่มีวันเสื่อม

พ่อครูว่า…อย่าเผินนะมาศึกษาให้ดีๆว่ามิตรดีเป็นอย่างไร แต่คนทั่วไปอ่านไม่ออกว่ามิตรดีคืออย่างไร มิตรดีคือคนมีคุณธรรม จะคบมิตรดีจะรู้ว่ามิตรดีจริงๆนั้นยาก ยกตัวอย่างอาตมาว่าอาตมาเป็นมิตรดีกับเธอนี่ก็ยาก

สมณะฟ้าไทว่า...ทั่วไปเขาบอกว่ามิตรดีคือคนที่ตามใจเขา แต่พระพุทธเจ้าบอกว่ามิตรดีคือคนที่ขัดเกลาเขา

_แน่งน้อย อินทสระ: แพทย์วิถีธรรมกับอโศกปฏิบัติไปทางเดียวกันค่ะ หมอเขียวบอกแพทย์วิถีธรรมกับอโศกมีพ่อคนเดียวกันคือพ่อท่านโพธิรักษ์ แพทย์วิถีธรรมเคารพพ่อท่านทุกคนค่ะ อโศกทำอย่างไรแพทย์วิถีธรรมทำอย่างนั้น

พ่อครูว่า…ไม่ได้แยกแต่แบ่งกันทำบ้าง อย่างพวกเรา นี่ท่านเพาะพุทธท่านก็ทำของท่านมีสำนักของท่าน นานๆทีเข้ามาที่นี่ หมอเขียวก็ดูเหมือนจะเข้ามาบ่อยกว่าด้วย เพราะฉะนั้นก็ดูดีๆอย่าไปตั้งจิตไม่ดีมันจะเสีย

_จักรพล พุทธพัฒนา: แพทย์วิถีธรรมเกิดทีหลังอโศกและเป็นเนื้อเชื้อไขของอโศกนั่นเอง(ไม่แยกกันครับ.)

_โมก หิรัญเขว้า : ผอ.และรองผอ.บ้านราชก็เป็นศิษย์เก่าสัมมาสิกขานี่แหละขอรับ

_อรุณวรรณ มาลัย :วันนี้ได้นำคำสอนที่ฟังจากคลิปต่างๆของพ่อครูมาทบทวนจิตใจที่หม่นหมองจากจิตที่ได้กระทำความผิด เมื่อก่อนทำผิดเล็กๆน้อยๆจะผ่านเลยถือว่าธรรมดามากใครๆก็ทำกัน แต่ครั้งนี้ต่างไปจิตรับรู้ถึงความผิดนั้นจนต้อง

_จิตรา อัศวัน : กราบ_/\_นมสก พ่อครู ที่เคารพยิ่ง ธรรมะที่พ่อครูกำลังสาธยาย ณ ปัจจุสมัยนี้เป็นธรรมชั้นสูง 'อภิธรรม' ผู้ฟังจึงต้องมีภูมิธรรมสูงตาม..จึงจะรับฟัง เข้าใจได้ ดุจความถี่คลื่นผู้ส่งกับผู้รับต้องจูนเข้ากันได้ / ธรรมรสที่พ่อครูแสดง..ไม่ว่าสาธยายแต่ในอดีต(ธรรมะ5ดาว)

หรือ ในปัจจุบัน ล้วนเป็นยอดเยี่ยม..น่าฟังในทุกกาล..เจ้าค่ะ

พ่อครูว่า…อาตมาแสดงธรรมไม่ได้เอาแต่ภาษาของอภิธรรมมา อย่างพวกจิต 89 พวกนี้ เขาบรรยายกันแต่ไม่เข้าถึงสภาวะ หากเข้าถึงสภาวะก็น่าจะบรรลุอรหันต์กันไปนานแล้ว

_ภาวิณี ทาอ่อน : น้อมกราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งครับ มีพระที่แยกตัวออกมาอยู่องค์เดียว แล้วญาติโยมก็สร้างกุฏิให้อยู่บริจาคที่ให้ อยากรู้ว่า พระองค์นี้ทำผิดวินัยของพระพุทธเจ้าหรือไม่ และญาติโยมที่ไป ทำทานด้วย จะได้กุศลหรือไม่

พ่อครูว่า…มีวินัย ผู้จะแยกตัวอยู่คนเดียวได้ ก็ต้องเป็นผู้ที่บริบูรณ์ด้วยการสังวร ด้วยอาหาร ด้วยเครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ที่ว่ากันตามวินัย ผู้ที่จะไปแต่ผู้เดียวได้ แต่ถ้าจะไปผู้เดียวอยู่ผู้เดียวไม่มีหมู่ไม่มีมิตร ผู้ที่ยังมีความสำรวมสำนึกสังวรในปัจจัย 4 ผู้ปฏิบัติอาหารแล้วปฏิบัติได้จริงจึงบรรลุอรหันต์

อาหารคำข้าวจะมีกาม และในการปฏิบัติอาหารเครื่องอาศัยนี้ก็ต้องมีผัสสะแล้วจะรู้เวทนา แล้วก็จะรู้เจตนา แล้วก็จะรู้ตัณหา 3 ล้างตัณหาไปตามลำดับจนหมดก็มีแต่วิภวตัณหา ส่วนอันที่ 4 รู้องค์รวมวิญญาณรู้นามรูป

คนไม่รู้นามรูป เหมือนกับโจรปล้นศาสนาที่ฆ่าด้วยหอกร้อยเล่ม เช้า กลางวัน เย็นก็ยังไม่ตาย เป็นโจรถาวรนิรันดร เพราะไม่รู้วิญญาณ นามรูป เขาก็ศึกษากันแต่เขาไม่รู้จริง หากรู้วิญญาณ นามรูปแล้วศึกษาที่เวทนา

กรรมฐานของพุทธอยู่ที่เวทนา ปฏิบัติเวทนา 108 จะครบเป็นอรหันต์

มีพวกเราฟังธรรมแล้วรวบรวมเรียบเรียงมา

คนที่เขาเขียนมาบอกนี้ก็เขาไม่รู้ตัว ไปสะสมสิ่งไม่ควร ไม่มีที่พึ่งเป็นมิตรสหายดี อย่างแสงอรุณ 7 นี้ หากเขาไม่มีความยินดีใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มีมิตรดีสหายดี ศีลของเขาก็จะไม่บริสุทธิ์เพราะเป็นไปตามกิเลสไม่มีอะไรป้องกัน ไม่ได้ปลงอาบัติ ไม่มีมิตรดีสหายดีก็ไม่ได้ปฏิบัติศีล อัตตาก็โต ทิฏฐิผิดเพี้ยนไป เข้าใจตามความเห็นของตนเอง ความประมาทก็มีเยอะ การทำใจในใจโยนิโสมนสิการก็ผิดเพี้ยนไปไกลเลยครบบริบูรณ์ ก็เป็นไป อย่างพวกชาวอโศกก็มีเช่นนี้ ทั้งที่แยกตัวแบบหนึ่งเดียวไม่มาสัมผัสสัมพันธ์ ทั้งที่แยกไปก็ทำทีมาสัมผัสสัมพันธ์ก็มี แต่แยกเดี่ยวด้วยความเห็นคะนอง ผยอง แล้วจะเป็นสงฆ์ของศาสนาพุทธตรงไหน มันตกขอบไปไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย

อีกอันว่าจะบริจาคทำบุญกับเขาได้ประโยชน์หรือเปล่าก็ได้ทำทาน แต่ทำทานกับผู้เป็นโจรทางศาสนา มอบอาวุธเรี่ยวแรงแก่โจรทำลายศาสนา แล้วจะได้กุศลหรือไม่

_กิ่งฟ้า ขันหล้า : ถ้าให้เลือกระหว่างแพทย์วิธีธรรมกับอโศกก็เลือกอโศกจ้า เพราะเกิดจากอโศกจ้า

- เด็กวัด ทำเพื่อละ สละเพื่อทำ :บางทีเรามีเหตุผล ต่างๆ นาๆ ที่ดี มีประโยชน์ เป็นคุณค่า มาอ้าง เพื่อให้ได้สมใจกิเลสที่ซ่อนแฝง ได้สิ่งนั้นมาเพื่อตน โดยไม่รู้ตัว ไม่รู้เจตนาลึกๆ ของตน และไม่รู้เท่าทันเสียงสองของตัวเอง ด้วยอำนาจเหตุผล จนคนอื่นต้องจำยอม

กราบเรียนถามพ่อครูว่า ลักษณะนี้เป็นการเบียดเบียนคนอื่นไหมครับ ? และจะมีวิธีปฏิบัติ จัดการกับกิเลสตัวนี้ของตนเองได้อย่างไร ? กราบขอบพระคุณพ่อครู ที่เมตตาตอบคำถาม กราบนมัสการครับ

พ่อครูว่า…เด็กวัด ทำเพื่อละ สละเพื่อทำ  น่าจะเป็นเพื่อธรรม..

ก็ต้องเรียนรู้ตัวเองต้องสำนึก อย่าคะนองด้วยอัตตาตัวเอง อย่าเอาแต่ใจตัวเองเอาแต่ความเชื่อตัวเอง สรุปแล้ว จึงจะอยู่ในหมู่อย่างสำราญ ต้องเป็นคนชนิดนี้ มีวิบากกรรมสิ่งที่มากวนตัวเอง ก็ต้องพยายามศึกษาตัวเองแล้วนึกดูให้ดี

ก็อ่านดูของพวกเราศึกษามา ฟังธรรมอาตมาแล้วเรียบเรียงมา ก็ช่วยให้อาตมาเบาลงบ้าง

สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน เวทนาดอกเดียวปลิดวิญญาณ ตอน 1

เวทนาดอกเดียว ปลิดวิญญาณ

ในโยธาชีวสูตร เล่ม 21 ข้อ 181 บอกว่า นักรบอาชีพผู้ประกอบด้วยองค์ 4

1.อยู่ในสมรภูมิที่ดี(เป็นผู้สมาทานศีล)

2.ยิงลูกศรได้ไกล(เห็นรูปที่เป็นอดีตปัจจุบันและอนาคตทั้งภายนอกและภายใน หยาบ ละเอียด ใกล้หรือไกล)

3.ยิงไม่พลาด(เห็นแจ้งอาริยสัจ 4 นี้ ทุกข์สมุทัยนิโรธมรรค)

4.ทำลายข้าศึกได้มาก(กองอวิชชาทั้งหลายพินาศไป)

นี่คือนักรบของพระพุทธเจ้า

จากฟังคำสอนของพ่อครูแล้วฝึกปฏิบัติธรรมให้ชัดเจนว่า เวทนาเป็นกรรมฐานของพุทธ (ที่เป็นกสิณ 40 นั้นไม่ใช่กรรมฐานของพุทธ) อรรถกถาจารย์ที่เป็นหลงกสิณ 40 เอามาปฏิบัติอยู่จึงยังมีความเป็นเทวนิยม ยังมีเชื้อของเดียรถีย์ ยังไม่ใช่ผู้ที่สมบูรณ์แบบ

กสิณ 40 อยู่ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคของพุทธโฆษาจารย์ ที่สังคมชาวพุทธกระแสหลักใช้เรียนกันเป็นหลัก เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงกลายเป็นเดียรถีย์ออกนอกทางไปหมด เป็นกสิณที่เป็นสมถะ จึงขอเอาคำสอนของพ่อครู ที่อธิบายเป็นสภาวะเทียบเคียงจากพระไตรปิฎกมาทบทวนอีกครั้ง

มหานิทานสูตร ล.10 ข้อ 57

ท่านได้แจงเหตุปัจจัยปฏิจจสมุปบาทตลอดสาย ข้อ 58 ไล่เหตุปัจจัยของชรามรณะคือ ภพ ชาติ ชรา มรณะ หยุดไว้ที่เวทนา แล้วสรุปไว้ว่า เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย แห่งตัณหา คือ เวทนานั่นเอง

เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย ในความรู้สมัยใหม่เรียกว่า System analysis

มี Input process output outcome กับ impact

เหตุคือ input นิทานคือ process ออกมาเป็น output สมุทัย เป็น outcome คือสมุทัยปัจจัย แล้วมีผลคือ impact ความรู้ของพระพุทธเจ้ามีมาก่อนกว่า 2500 ปีมาแล้ว

ในอันนี้ก็หมายเหตุว่า เพราะเวทนาดับไป ตัณหาจะพึงปรากฏได้ไหม? ก็ชี้ให้เห็นว่าจะดับตัณหาต้องดับที่เวทนา คนที่ไม่มีผัสสะ ไม่มีเวทนาปฏิบัติ จะมีตัณหาที่ไหนมาให้ปฏิบัติ มีแต่ตัณหาปลอมๆ นั่งหลับตาแล้วเป็นตัณหาในความจำ ไม่ใช่ตัณหาจริง เป็นการเพ้อฝันเอาอดีตมาคิดเอาอนาคตมาคิด ก็ปั้นได้ อุปาทานได้ในภพจะคิดเอายังไงก็ได้ จะปั้นเป็นนางงาม จะเป็นผู้ร้าย จะเป็นพระเอกก็อยู่ในความคิด ไปทำทำไมเสียเวลา คนไม่รู้ก็เสียเวลาไป

ข้อ 59 เพราะอาศัยเวทนาจึงเกิดตัณหา จึงเกิดการแสวงหา ไปถึงเกิดเรื่องในการป้องกันแล้วสรุปว่า เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งการแสวงหาคือ ตัณหา ต้องมาจับตัวโจรได้คือตัณหานั่นเอง ข้อนี้แสดงความเกิดของ ตัณหา (กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา)

ดับตัณหาได้การแสวงหาก็ไม่เกิด การถือมีดถือไม้ทะเลาะกันก็ไม่มี ต้องดับเวทนาในส่วนที่เป็นตัณหา(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ

สมณะฟ้าไท...พ่อครูได้อธิบายถึงปฏิจจสมุปบาท

ข้อ 60 ข้อนี้คือหัวใจของศาสนาพุทธ

ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60

หมายความว่าเวทนามี 2 ทำให้รวมกันเป็นหนึ่ง โดยความรู้มีปัญญาว่ามันมี 2 เสมอ มีเวทนา 2 คือ 1 เวทนาแท้ กับ 2 เวทนาเก๊ ก็ดับเวทนาเก๊ ก็เหลือแต่เวทนาแท้ แล้วเราก็เรียนรู้แยกเวทนาแท้ คือเทวะนี่แหละ แยกจนกระทั่งรู้ว่าเทวะคือ มายาชนิดหนึ่ง คือความสุขความทุกข์ที่คนหลงผิด แล้วก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ยึดติดในความสุขความทุกข์ จิตก็ไม่สุขไม่ทุกข์ คุณไปทำจิตในจิต มนสิกโรติ ให้ได้อย่างที่อาตมาว่า สัมผัสอะไรแล้วกระทบสัมผัสมันมีเวทนา เวทนาเก๊แทรกแซงในเวทนาแท้

สัมผัสทางตาเห็นมะเขือเทศ สีแดง ปรุงแต่งเป็นอร่อยน่ากินน่ากิน กิเลสขึ้นไป แต่ถ้าดูตามจริงมันก็เป็นมะเขือเทศสีแดงดูดี เห็นความจริงตามความเป็นจริงหนึ่งเดียว ก็จบ แต่ทีนี้คุณก็ยังไม่ได้ปรินิพพาน เป็นปริโยสาน ถ้าคุณทำใจถาวรเลยสัมผัสอะไรก็ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่มีเวทนาเก๊ เวทนา1 ที่เกิดอยู่ก็รู้ว่าเท่านั้นตามความเป็นจริง คุณก็อยู่กับมันไป จนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสานแล้วจะตายสูญ เพราะแยกธาตุเป็นอุตุธาตุ ไม่เป็นแม้แต่ พีชธาตุ จิตไม่ต้องพูดถึง ศาสนาพุทธแยกจิตนิยามได้ เราหักเรือนยอด ที่จริงมันเป็นตัวมารพระพุทธเจ้ารู้ทันว่ามารมันแปลงมาเป็น เทวปุตมาร เป็นเทวดาหลอกที่แท้มันคือมารใหญ่เลย เราหักเรือนยอดของท่านแล้ว หมดไม่มีอะไรเหลือ อย่างนี้เป็นต้น

เขาเขียนต่อว่า…

1.เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเป็นเวทนา หากดับผัสสะได้เวทนาก็ไม่เกิดมันซ้อนหากคนพาซื่อจะไปดับผัสสะ ดับเวทนาคือดับความรู้สึกไปหมดเลย แต่ความจริงไม่ใช่ ผัสสะมี แต่คุณดับส่วนที่ผัสสะแล้วเกิดเวทนา มันเกิดคู่กัน ผัสสะก็เกิดกิเลส เวทนาก็เกิดกิเลส คุณต้องทำให้มันดับไม่ปรากฎ เพราะนามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ นี่แหละตัวสำคัญ

เพราะผู้นี้ เข้าใจว่าปฏิบัติธรรมต้องมีนามรูป ทำไมท่านไม่เรียกรูปนาม ทำไมเรียกนามรูป เพราะเมื่อมีผัสสะมีเวทนา นามมันก็จะเกิด แล้วเราก็จะมีสัญญากำหนดตามรู้รูปภายใน

จิต เจตสิก รูป แล้วก็เรียนรู้รูปตัวนี้ กิเลสตัวนี้ จัดการกิเลสก็เป็นนิพพาน

อภิธรรมทำไมเอารูปมาไว้ภายใน จิต เจตสิก รูป นิพพาน ก็จะไม่สับสนจะเข้าใจทำไมต้องเรียงพยัญชนะอย่างนี้ ก็เพราะเหตุนี้

เพราะนามรูป เป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ หากไม่มี อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ผัสสะก็ปรากฏไม่ได้ ถ้าไม่มีอาการ เพศ นิมิต อุเทส เมื่อไม่มีผัสสะ อาการก็ไม่มี เพศหรือลิงคก็ไม่ปรากฎ

เพศคือความแตกต่างกัน เพศ ก็มีเพศชาย เพศหญิง อิตถีลิงค์ ปุงลิงค์เป็นต้น แต่ไม่มีผัสสะก็เรียนรู้ไม่ได้

เมื่อมีวิญญาณจึงเกิดนามรูป วิญญาณมีเจตสิก 3 คือ เวทนา สัญญา สังขาร

สังขารจะต้องมี 2 ขึ้นไป ซึ่งไม่ใช่มีแค่ 2 เท่านั้น แต่จริงๆแล้วมันก็จะปรุงแต่งเร็วมากกว่า 2 ก็ได้ แต่คุณรู้ไม่ทัน ไม่ใช่คุณรู้ไม่ทัน แต่มันจับได้ทีละ 2 อย่าง มากกว่านั้นก็รู้ไม่ทันไม่ได้ต้องรู้ทีละ 2 ไม่เช่นนั้นมันมากกว่า 2 เป็น 4 เป็น 6 จะไปจัดการอย่างไร ต้องดูทีละ 2

สังขารจะต้อง 2 คือ มีเวทนา มีผัสสะ หากวิญญาณไม่หยั่งลงไม่มีเวทนา นามรูปจะขาดความสืบต่อลงทันที

อันนี้เป็นสิ่งที่เขาเข้าใจได้ยาก

วิญญาณไม่หยั่งลง แม้จะเป็นวิญญาณในนามธรรม ท่านใช้คำว่าวิญญาณจะหยั่งลงสู่ครรภ์

ครรภ์คือ ห้อง คือห้องมดลูกที่ท้อง หรือที่จะทำให้ชีวิตเกิด มีสัตว์ที่อาศัยมดลูกหรืออาศัยไข่ หรืออาศ้ยการแตกตัว หรือที่สุดสัตว์โอปปาติกะ

สัตว์โอปปาติกะคือ วิญญาณที่หยั่งลงสู่ครรภ์

วิญญาณหยั่งลงของสัตว์โอปปาติกะคือธาตุรู้ คือนามธรรมของจิตเจตสิก อันนี้เข้าใจไม่ง่ายเลย มักจะนึกไปถึงตัวคนตัวสัตว์ จะมีวิญญาณเข้าไปจุติเป็นลูกของใครก็แล้วแต่ มันก็ไม่ผิด แต่ศึกษาแบบนั้นก็ธรรมดา ไปแก้ไขอะไรไม่ได้ เมื่อมีเชื้อกับไข่ไม่ผสมกันไม่สมสู่กันมันก็ไม่เกิดแล้ว แต่วิญญาณหรือธาตุรู้ อันนี้แหละต้องแยกอย่าให้สังขารอย่าให้ปรุงแต่ง ซึ่งเป็นความสามารถอันลึกซึ้งยิ่งใหญ่

เวลาคุณสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กาย โดยสัญชาตญาณของผู้ที่ไม่ศึกษาก็ปรุงแต่งปุ๊บ ผสมพันธุ์กันเสร็จเป็นสังขารที่มีวิญญาณของผี วิญญาณของกิเลสผสมพันธุ์กันอยู่ในนั้นเสร็จเลย ทุกคนที่ไม่ได้ศึกษาทุกคนไม่ได้ฝึก มีอวิชชา ไม่มีทางที่จะไปห้ามมันได้ คนที่ไม่รู้ธรรมะพระพุทธเจ้าจึงไม่มีทางที่จะปฏิบัติได้ หรือว่าเรียนอย่างผิดอย่างมิจฉาทิฏฐิไม่เข้าใจการจับอาการจิตตัวนี้ จับหทยรูปได้ อย่าให้มันเป็นชีวะในรูป 28

หากคุณปฏิบัติแล้วต้องสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีโคจรรูป วิสยรูปตัดแล้วเกิดเป็น ภาวรูป2 คืออิตถีภาวะ ปุริสภาวะ หากจับได้ก็รู้จักหทยรูป รู้จักชีวิต มันมีอินทรีย์ มันมีพลัง มันมีแรงของการเกิด

การเกิดของมาร การเกิดของกิเลส ของตัวผีร้าย คุณก็ต้องเห็นและแยกรูปนี้ให้ได้ สิ่งไหนที่จะมีอะไรเป็นเหตุปัจจัยคืออาหาร อาหารรูป ตั้งแต่กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร

โดยเฉพาะ อาหารการกินคือคำข้าวกวฬิงการาหาร อาหารการกินเลี้ยงชีวิต คนทุกคนต้องกิน แม้จะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้วก็ต้องกิน เรื่องนี้เป็นเหตุปัจจัยให้ปฏิบัติอย่างไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย คุณต้องกินอาหารอยู่แล้ว จะรู้ได้จากอาหารรูปนี้

อาหารรูปเสร็จคุณรู้แล้วคุณก็จะรู้จัก ปริเฉทรูป คือจัดกรอบของการปฏิบัติ ปริเฉทรูปต้องกำหนดกรอบในการปฏิบัติ หากไปคว้าอะไรมาทำหมดก็ไม่ได้

หากจะรู้ไปหมดหลายอย่าง รูปต้องรู้อันนี้เสียงก็จะรู้กลิ่นก็จะรู้ก็รู้ไม่ไหว ต้องจะตอบให้มันชัดคม จึงจะพิจารณากระบวนการ ตากระทบรูปเกิดกิเลสอย่างไรก็จัดการปริเฉทรูป เมื่อจัดการได้ก็จะควบคุมได้

ปริเฉทรูป จะมีวิการรูป ซึ่งจะมี 5 มีวิญญัติรูป 2

แต่ว่าตัวสำคัญคือจัดการวิการรูป ส่วนวิญญัติ 2 คือ กายวิญญัติ กับ วจีวิญญัติ วิญญัติคือการเคลื่อนไหว มันต้องมีการเคลื่อนไหว หากไม่มีการเคลื่อนมันก็จะไม่สามารถศึกษามันได้มันจะไม่สามารถรู้ได้ คุณต้องมีสิ่งเหล่านี้ แล้วจะเกิดอาการทางเวทนาให้ศึกษา

การไปนั่งปฏิบัติหลับตาอยู่ในภพ ยิ่งพูดยิ่งชัด มันโมฆะจากศาสนาพุทธอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ พันเปอร์เซ็นต์ ล้านเปอร์เซ็นต์ เป็นพวกที่ฆ่าด้วยหอกร้อยเล่มเช้ากลางวันเย็นก็ไม่ตาย

แต่เราเข้าใจสัจธรรมแล้วก็จะรู้ ก็มันน่ากลัว พระพุทธเจ้าสั่งให้ฆ่า ฟังแล้วน่ากลัวนะ คนที่พระพุทธเจ้าสั่งให้ฆ่ามันจะเป็นยังไง

วิการรูป มี 5 ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา กายวิญญัติ วจีวิญญัติ

ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา คือการจัดการรูปได้อย่างดี อะไรที่ วิ คือ ไม่ กับ อย่างยิ่ง

วิการ คืออย่างหนึ่งคือฆ่าผีร้ายเลย พอฆ่าตายแล้วเกิดเป็นเทพบุตรสุดยอด

จิตที่สะอาดจึงมี ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา

ลหุตา คือ เบา มุทุ คือ จิตไว หัวอ่อน ไม่กระด้าง จะปรับ ทางเจโตก็ปรับได้ไว ปัญญาปฏิภาณรู้ทันรู้เร็ว แล้วจิตที่ดีสามารถกำหนดทำให้เบาขนาดนี้ จิตเราเร็วไว้ทำงานได้ขนาดนี้จึงเป็นคุณสมบัติของกัมมัญญตา การงานที่คุมด้วยอัญญะ ควบคุมด้วยจิต อัญญธาตุ ปัญญาที่วิเศษ เป็นกัมมัญญตา เป็นสภาวะที่เหมาะควรแก่การงาน ทำการงานได้ดีที่สุด เพราะว่าจัดการได้ดีแล้ว จะทำการงานได้ดี เพราะว่าสามารถควบคุมจิตของเรา จะทำให้แรงให้เบาเท่าไหร่ก็ได้ แล้วแต่เจตนาจะทำให้เบา อย่าให้มันแรง จนกระทั่งเบียดเบียนจนกระทั่งไปทำร้ายทำลายไปทำความเสียให้มันเกิด จะต้องให้มันได้คุณค่าประโยชน์ แรงก็ต้องให้แรงอย่างได้ขนาดมีคุณค่าประโยชน์ จึงใช้คำว่า ลหุตา เป็นตัวกำหนด ส่วน มุทุตาคือ ปรับได้อย่างดี

สุดท้าย จิตลักขณรูป 4 เป็นตัวจบของจิต ผู้ที่เป็นอรหันต์นี้จะรู้จักลักษณะทั้ง 4 นี้

คือ 1.อุปจยะ 2.สันตติ 3.ชรตา 4.อนิจจตา

อุปจยะ คือ จิตเกิด พระอรหันต์จะรู้จักอย่างดี ท่านจะทำให้เกิดอย่างควบคุมได้ ไม่ให้เกิด ไม่ให้ต่อความเกิดสันตติ

สันตติ คือ การสืบต่อ ให้มันเกิด ถ้าไม่เป็นพระอรหันต์ การสืบต่อที่จะไม่เจริญ เป็นอกุศลสืบต่อ คุณต้องตัดตัวนี้ก่อน แต่ลักขณรูปที่สมบูรณ์แล้ว จะให้เกิดก็ได้ จะให้ต่อหรือถ้าไม่ต่อก็ได้ พระอรหันต์ จะทำให้เกิดแต่จิตที่ดี หรือจิตที่ไม่มีบาป แต่ถ้ายังมีบาปอยู่คุณก็ต้องกำจัดทำบุญคือกำจัดกิเลส ก็ต้องเอาพลังงานมาทำ ฌาน ทำสำเร็จเรียกว่าได้เป็นพลังงานบุญของเรา

บุญ เป็นอาวุธกำจัดกิเลส แต่ทางโน้นเขาไม่ได้สอนกับแบบนี้เขาก็จะยาก ถึงบอกว่าน่าสงสารที่สวนกัน เขาไม่เข้าใจ ไม่มีเครื่องมือประหารกิเลส คุณก็เข้าใจบุญเป็นกุศลทั้งหมดเลย เครื่องประหารกิเลสคุณหายไปหมดเลย ศาสนาพุทธทุกวันนี้ แล้วคุณจะไปฆ่ากิเลสได้อย่างไร หากไปเข้าใจบุญที่เป็นเครื่องมือประหารกิเลสกลายเป็นกุศลอีก ก็เท่ากับคุณไปจับโจร แล้วคุณก็เอาปืนเอามีดไปให้โจร คุณเอาอาวุธที่จะประหารโจรไปให้โจรอีก ก็เจ๊งสิ

ศาสนาพุทธที่มันผิดแล้วน่าสงสารจริงๆ สุดท้ายก็เหลือ ชรตา อนิจจตา ที่เป็นธรรมชาติ ถ้าสมมุติว่าเราไม่ต่อ ธาตุที่เหลือมันก็จะค่อยๆหายไปเองถ้ายังมีเชื้อที่เหลือ ถ้ายังไม่มีธาตุเชื้อที่เหลือเป็นพระอรหันต์ที่เด็ดขาดได้ก็จะจบเลย ไม่มี ชรตา อนิจจตา ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เที่ยงเลยจบตัด ไม่ชรา ไม่ชะลอเลยตัดจบ แต่ผู้ยังเป็นเชื้ออนาคามีอยู่ตายแล้วก็ยังต้องมีเชื้อต่อ ชรตา เสื่อมไปอีก ระวังนะอย่าให้มันฟื้น อนิจจตา หากเป็นพระอนาคามี เป็นพระอนาคามีเต็มตัวแน่นอนก็จะไม่ต่อแล้ว ตายตรงนั้นก็จะไปอยู่ที่สุทธาวาส 5

นิมนต์พ่อครูพักสักครู่

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน…

พ่อครูว่า...หากวิญญาณไม่หยั่งลง ไม่มีผัสสะไม่มีเวทนา นามรูปก็จะขาดความสืบต่อลงทันที

แต่ละคำนี้หากไม่ศึกษาไม่รู้จักสภาวะธรรมเลยมันก็จะไม่สนุก มันก็จะ เลื่อนเปื้อนไปจะเมาเอา แต่ผู้ที่ศึกษาให้ดี จะเข้าใจเลย

อาตมาอธิบายไปไม่เสียผล ผู้ฟังเข้าใจ แต่หากอธิบายแล้วผู้ฟังไม่เข้าใจเลย มันเหมือนเทศน์ให้ต้นเสาฟังก็ไม่เข้าท่า นี่ยังดีมีคนฟังรู้เรื่อง คนที่ฟังไม่รู้เรื่องก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

นามรูป จะสลับไปสลับมา รูปที่เราจัดการ มีตั้งแต่ดินน้ำไฟลมภายนอก เป็นเหตุปัจจัยเข้ามาปรุงแต่งกันอยู่ภายใน แล้วเราก็มาหาภายในก็คือตัวนาม สิ่งที่ถูกรู้ภายในเรียกมันว่า รูป สิ่งที่ถูกรู้คือรูป นามที่ไปรู้ซ้อนคือนามที่ลึกเข้าไปอีก เป็นภูมิธรรมปัญญาธาตุรู้ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ก็สลับไปสลับมา ก็ไปเป็นตัวใหม่ ตัวที่ถูกรู้แล้วก็เจริญพัฒนาขึ้นมาเราก็ไปเป็นตัวรู้ขึ้นมาใหม่อีก นามจะไปรู้ตัวใหม่อีก ตัวใหม่ที่ถูกรู้มันก็จะเป็นรูปอีก ไปเรื่อยๆสลับไปสลับมา ลักษณะพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะรู้กันได้ง่ายๆไม่เข้าใจกันได้ง่ายๆ

อาตมาอธิบายในหนังสือ “คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก” การสลับ รูปเป็นนาม นามเป็นรูป คนตามได้ยาก แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมมันต้องเขียนต้องอธิบาย อธิบายไปถึงตรงนี้ก็แล้วแต่ภูมิ หลายคนหาว่าอาตมาผิด นามก็นามสิ รูปก็รูปสิ นามจะกลายเป็นรูปได้อย่างไร เขาเข้าใจไม่ได้

หากวิญญาณไม่ปรากฏไม่มีนามรูปให้ศึกษา ชาติ ชรา มรณะ ก็ไม่ปรากฏ

วิญญาณแยกเป็น เวทนา สัญญา สังขาร อวิชชาจะไม่รู้จักสังขาร ไม่รู้จักการปรุงแต่ง จริงๆแล้วสังขารที่ปรุงแต่งกันอยู่นั่นแหละคือตัวเวทนา

ตัวสังขารที่ปรุงแต่งกันอยู่ รวมแล้วเป็นผี หรือเป็นเทวดาหลอก

เป็นเวทนาผีหรือเวทนาหลอก นี่หมายถึงสภาวะนะ ปรุงแต่งเป็นเทวดา เป็นเทพปุตมารมาหลอกเรา คุณต้องจับตัวนี้ให้ได้ หากคุณจับไม่ได้มันก็กินไปเรื่อยๆมันก็หลอกคุณว่าเป็นเทวดา แต่ถ้าคุณสามารถจับได้ เอ็ง จริงๆ มันสองตัวหลอกเรา เอาหน้าเทวดามาหลอก แต่เราก็จับสภาพมารในตัวเวทนาได้ เป็นสองในหนึ่ง ฆ่าตัวมารให้ได้ แล้วก็หมดทุกข์

หมดทุกข์เหลือ1 คุณก็จะติดเป็นเทวดา แม้จะเป็นเทวดาที่สะอาดจากกิเลสแล้ว เป็นวิสุทธิเทพก็ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตนไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเทวนิยม เป็นสุขสวรรค์ เป็นพระเจ้า

คนไม่ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าก็ไม่รู้ว่าต้องดับทั้งสุขและทุกข์ เขาจะดับแต่ทุกข์ แล้วเขาหลง เขาไม่รู้ว่าสุขทุกข์คือตัวเดียวกัน ศาสนาพุทธจึงแยกกันไม่ได้ ต้องดับทั้ง 2 อย่างคือสุขและทุกข์

สมณะฟ้าไทว่า...ทุกข์คือสิ่งที่เจริญตาเจริญใจในโลกนั่นแหละ แสดงว่ามันคือสุขนั่นแหละ

พ่อครูว่า...ต้องแยกนามแยกรูปให้ได้ แยกทุกข์แยกสุขให้ได้ แล้วทำกันให้ถูก จิตที่ถูกรู้คือกิเลสถูกทำลายไป ก็เหลือติด จิตสะอาดต้องรู้ให้ได้ว่าคือธาตุรู้ที่รู้ความจริงตามความเป็นจริง

หากคุณกระทบสัมผัสอยู่ก็รู้เท่าที่มันกระทบสัมผัสและคุณก็จะรู้ ยาวไปเป็นชั่วโมงจะบ้าหรือ มันไม่เที่ยงอยู่แล้วมันก็เปลี่ยนไป จะเห็นได้ว่ามันไม่เที่ยงหรอก มันเป็นธาตุรู้เป็นสัญญากำหนดใหม่ให้เรารู้ รู้ทางตาหูจมูกลิ้นกาย ก็ให้เรารู้ ว่าในโลกนี้ เรามีสิ่งที่มี แล้วสิ่งที่มีเป็นโลกสมุทัยยังมีกิเลสอยู่ หรือเป็นโลกนิโรธ โลกที่ดับกิเลสหมดแล้ว

พระไตรปิฎกล. 16 ข. [43]

สรุปจะดับตัณหาดับที่เวทนา

จะให้ไม่มีอาการต้องทำให้วิญญาณไม่หยั่งลง ต้องทำให้นามรูปไม่มี วิญญาณไม่หยั่งลงก็ไม่มีอะไรเกิด ในปรมัตถ์ในภาษาจิตของเราก็ว่างจากกิเลส อะไรเกิด ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะ

จิตวิญญาณที่เป็นปฏิจจสมุปบาท ต้องเรียนนามรูป ต้องมีการกระทบ จึงเกิดผัสสะ เวทนา ในเวทนามีตัณหา อุปาทาน

ตัณหาเป็นตัว dynamic เป็นตัวเคลื่อน ส่วนตัว อุปาทานเป็นตัว static ตัวนิ่ง เป็นธรรมะ2

ธรรมะ 2 เหล่านี้ในข้อ 60 มี 3 ชุด คือ 1. ผัสสะ 2. นามรูป 3. วิญญาณ

ผัสสะ คือ การกระทบของนามกับรูป นามกับรูปคือ สิ่งที่รู้กับสิ่งที่ถูกรู้

วิญญาณก็คือ เวทนา กับ ผัสสะ หากไม่มีผัสสะก็ไม่ได้ ต้องมีผัสสะ หากไม่มีผัสสะ เวทนาก็ไม่เกิด วิญญาณก็ไม่เกิด นามรูปก็ไม่เกิด

ในสายของปฏิจจสมุปบาท ธรรมทั้ง 2 เหล่านี้ คือผัสสะ นามรูป วิญญาณ เป็นเหตุปัจจัยต่อเนื่องจากด้านบนลงมาที่เวทนา  ฉะนั้นจึงถูกจัดการทั้งหมดรวมเป็นอันเดียวกับเวทนา 2 ให้เป็นหนึ่งเดียว คือวิญญาณไม่อาศัยนามรูป นามรูปไม่มีอาการที่เราไม่ต้องการให้มี มันแตกต่างกันอย่างไร ทำให้เป็นปุริสภาวะ ตามที่คุณกำหนด นิมิต ตามคำอุเทส คำสอนอธิบายคำกล่าว จากพระไตรปิฎก หรือจากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้า   รู้จักคำสอนที่อาตมาอธิบายอยู่ก็ตามเป็นอุเทส

นามรูปจะไม่มี อาการ เพศ​ นิมิต อุเทส

ผัสสะไม่ปรากฏ เวนาก็ไม่ปรากฏ ก็กระทบรูปแล้วก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง ตากระทบหูได้ยินเสียง ก็เป็นเสียงเดียว ตาหูจมูกลิ้นกายใจไม่มีเวทนา 2 ไม่มีตัณหา ตัณหาไม่ปรากฎ  คุณกระทบมีสองเสมอ แต่มันรวมเป็นอันเดียวกัน ทำให้กิเลสหายไป ทำให้เวทนาเก๊หายไป ทำให้ไม่มีตัณหา  แต่คุณก็ยังมีนามรูปก็ต้องสัมผัสอยู่เป็น 2 เสมอ แต่มันเป็นหนึ่งเดียว คือ

แต่ 0 กับ 1 คือต้องรู้ตัวจบ คุณไม่มีสุขไม่มีทุกข์ หมดสุขหมดทุกข์ ก็เป็น 0

0 คือ ฐานนิพพาน ไม่สุขไม่ทุกข์คือฐานนิพพาน  คุณไม่เข้าใจอย่างนี้  คุณไม่ทำอย่างนี้

การอธิบายธรรมะของสำนักต่างๆ ยังแยกความสุขความทุกข์ไม่ได้ แต่เขาจะพูดถึงแต่อุเบกขา อทุกขมสุข แต่ไม่รู้จักสภาวะที่แท้

คือสุขมันหลอก มายามันหลอกเสมอ แล้วไม่เข้าใจว่าต้องกำจัดทั้งความสุขความทุกข์ อุเบกขาเป็นฐานนิพพาน ฐานของฌานที่4 เป็นฐานของการปฏิบัติธรรม ก็พอรู้เลาๆ แต่ไม่ชัดเจนไม่แม่นไม่ถูกต้องก็เลยปฏิบัติธรรมเหมือนเด็กๆเล่นกันไป ไม่รู้ว่าอะไรคือสาระแก่นแท้เนื้อหาก็เป็นอยู่อย่างนั้น พูดไปก็เหมือนกับไปดูถูกดูแคลน แต่เป็นการอธิบายธรรมสัจจะ ไม่ได้เป็นการดูถูกดูแคลน อาตมาเป็นผู้รู้เป็นผู้ใหญ่ บอกสาระสัจจะให้ฟังแล้วอาตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ค่อนข้างจะดุ พูดชัดเจนและแรงเสมอ เพราะว่าพูดอย่างเบาเขาไม่ฟัง ฟังมันไม่กระเทือนเขา เหมือนเอาสำลีไปเช็ดผิวทุเรียน

ความสุขไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปยึดถืออาศัย ต้องทำให้เป็น 0 ทำให้เป็น อทุกขมสุข จิตก็เป็นอุเบกขา ทำจิตอุเบกขา ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา

เวทนาไม่เป็นอัตตาของเราเลยว่า จะว่าอัตตาของเราไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ นี่แหละเขาจะเข้าใจหรือ?  คือเวทนาไม่เป็นอัตตาของเรา คือไม่มีอัตตาตัวที่เป็นกิเลสแล้ว แต่อัตตาเราไม่เสวยกิเลสแล้ว แต่อัตตาเราก็ยังมี เวทนาก็ยังมีแต่มีเวทนาแท้ คุณจะเสวยเวทนาอะไร เวทนาแท้ เวทนาที่ต้องอาศัยอยู่ เพราะฉะนั้น อัตตาเราจึงมีเวทนาเป็นธรรมดา

พระอรหันต์ก็ต้องมีเวทนา ไม่ใช่ไปดับเวทนาไม่ใช่ไม่มีเวทนา นี่คือ 1 ใน 2 คือไม่มีกิเลส พอฆ่ากิเลสแล้วก็มี 2 ใน 1

เมื่อเวทนาที่เป็นตัณหาดับไปแล้ว เวทนาที่เป็นปกติ

สมณะฟ้าไท สรุป จบ...


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:39:25 )

630202

รายละเอียด

630202_รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ เวทนาดอกเดียวปลิดวิญญาณ ตอนที่ 2

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1FeTGwa5dFHmxUnN-KX8EO8wolf76YllxtX5bJ7WgTUQ/edit?usp=sharing                      

ดาวโหลดเสียงที่  https://drive.google.com/open?id=1dNzSesh53KMxJbXK7COUPXH9kkE6kU9p

สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันตัวเลขดี วันที่ 2 เดือน 2 ปี 2020 งานพุทธาฯปีนี้ เราเริ่มต้นด้วยวันความรักของพระพุทธเจ้า วันมาฆบูชา เป็นความรักต่อมวลมนุษยชาติ ส่วนวันสุดท้ายของงานเป็นวันที่ 14 กุมภาพันธ์เป็นวันแห่งความรักของนักบุญ เป็นภาวะ 2 ให้ศึกษาความลึกซึ้ง หากมีอย่างเดียวก็ไม่ได้เรียนรู้ความลึกซึ้ง ต้องมีการเปรียบเทียบ

พ่อครูว่า…ต่อนิดหนึ่ง อาตมาทำงานมาเกือบ 50 ปีแล้ว 6 พ.ย.นี้ก็จะเต็ม 50 ปี  ก็รู้สึกชีวิตเราได้ทำประโยชน์คุณค่า เราเป็นคนที่มีชีวิตทางโลกถือว่าเป็นคนไม่มีในสิ่งที่ชาวโลกเขามีกัน อย่างน้อยวุฒิปริญญาตรี หรือว่าฐานะดีร่ำรวยอะไรต่างๆนานา มีเกียรติยศ มีศักดิ์ฐานะ จน สร้างบ้านด้วยตัวเอง เกลือเม็ดเดียวก็ซื้อเข้าบ้าน ทุกอย่างซื้อเข้าบ้าน หม้อไหจานชามก็ซื้อจากการประมูล เขาเลหลังขายของที่หลวงรักษา ที่บางลำพู ก็ทำไปจนกระทั่งมีฐานะพอสมควร ขี่รถแอร์คนแรกในประเทศไทยเลยนะ อาตมาซื้อฟอร์ดคอร์แซร์ เป็นรถเขา Demonstration เริ่มมีแอร์ เขาไม่ได้ติดมาในรถนะ ยังไม่เรียบร้อย เอามาดัดแปลงใส่เข้าไป เสร็จแล้ว Dynamo ชาร์จไฟไม่ค่อยเก่ง มันพาไปตาย ก็ต้องไปเข็นกันต่อหน้าธารกำนัล ที่พูดนี้เรื่องจริง ต่อมารถยนต์ก็ติดแอร์มาในตัวเสร็จ หากรถไม่มีแอร์ก็แปลก นี่รถเก๋งก่อนนะที่ติดแอร์

จนมาทุกวันนี้เห็นว่าเราเองมีชีวิตที่มีค่าที่ได้ออกมาจากโลกบ้าบอแย่งชิงอวดอ้างลาภยศสรรเสริญ ก็รู้สึกละอาย แต่ก่อนนี้เท่ โก้ มีหน้ามีตา แต่พอรู้ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องน่าอาย อะไรวะ นั่นคือความไม่รู้ของเราแต่ก่อน โง่เง่าทางโลกีย์ชัดๆ ลาภยศ เสนอหน้าอวดอ้าง ทีนี้โง่เง่าอีกทางหนึ่ง โง่เง่าทางเป็นเดียรถีย์ออกไปผิดทางมิจฉาทิฏฐิ ไปเข้าใจสุดโต่งหนัก ทุกวันนี้อาการเขายังหนักยังหลงยึด ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ คุหัฏฐกสุตตนิทเทส เรื่องไกลจากวิเวก

กายวิเวกเขาก็เอาร่างกายออกไปจากสังคมไปอยู่ป่าเขาถ้ำ อยู่เดี่ยวก็ไกลจากสัมผัส ก็ยิ่งเหมือนวัวถูกลอกหนัง ไม่มีหนัง พระพุทธเจ้าท่านตรัสเป็นอุทาหรณ์ ไม่มีสัมผัส แต่ยิ่งสัมผัสด้วยความทุกข์ด้วยความแสบเผ็ดร้อน คุณก็ยิ่งจมอยู่ในความทุกข์แสบเผ็ดร้อนของโลก ทีนี้คิดดูว่าต้องถูกอะไรมาสัมผัส กับอากาศกับอะไรต่างๆ มันจะแสบขนาดไหน อุทธาหรณ์ของพระพุทธเจ้าอีกสุดยอด นั่นก็คือพ่อแม่ลูกเดินไปในทางไกลกันดาร ฆ่าลูกกินแต่ก็บอกว่าลูกฉันไปไหนลูกที่น่ารักไปไหน ฟังแล้วแต่ก่อนอาตมาก็ยังไม่ได้รู้ซาบซึ้ง แต่เดี๋ยวนี้โอ้โห แค่ปุตตมังสสสูตร 4 ข้อนี้

กามฉันทะ คือข้อแรกที่กินเนื้อบุตร

ข้อที่ 2 เวทนา ไม่รู้จักเวทนาไม่รู้จักผัสสะก็ไม่ได้อ่านอาการอารมณ์ความรู้สึก

ข้อที่ 3 ไม่รู้จักเจตนา เมื่อมันไม่มีผัสสะคุณก็ไม่มีทางค้นหา ก็ไม่รู้จักเจตนา ก็เหมือนคนดื้อด้าน วิ่งลงนรกอเวจี คนก็ช่วยกันดึงขึ้นมา เขาก็วิ่งลงๆอยู่นั่นแหละ มันสุดยอดอุทธาหรณ์

ข้อที่ 4 อันสุดท้าย เป็นไอ้โจรใหญ่ ร้ายกาจ พระราชาบอกให้เอาไปประหาร เอาไปฆ่าเช้าด้วยหอกร้อยเล่มก็ไม่ตาย เอาไปฆ่าอีกกลางวันด้วยหอกร้อยเล่มอีก เย็นพระราชาเจอพนักงานก็ถามอีกว่าตายเรียบร้อยแล้วหรือ? ก็ยังอีก ก็เอาไปฆ่าด้วยหอกร้อยเล่มอีก พรุ่งนี้เช้ากลางวันเย็นก็ถามอีก ก็ฆ่าด้วยหอกอีก 600 เล่ม 900 เล่ม 1200 เล่มก็ยังอยู่เลย ทำไม ยึดมั่นถือมั่นอยู่อย่างนั้น มิน่าถึงชื่อ อ.มั่น ยึดมั่นถือมั่นขนาดหนักกันจริง ลูกศิษย์ลูกหาก็ยึดมั่นถือมั่น ไม่ต้องพูดถึงธัมมชโย ตาบอดตาใส หลอกโลกเขาอีกว่าตัวเองตาดี ซ้อนไปอีกไปใหญ่เลย นี่คือสัจธรรมที่เมื่อเข้าใจได้รู้ได้เห็นแล้วจึงเห็นว่า พระพุทธเจ้านี้สุดยอดจริงๆ

เราเกิดมาเป็นคนก็ได้ศึกษาความรู้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พากเพียรไปให้สูงสุด ปางนี้เป็นโพธิสัตว์ปาง 7 ไม่ผิดทางยังไงๆก็สู้ตาย ไม่บรรลุ ก็ทะลุกันไปเลย เพราะว่ามันสุดยอดจริงๆ มันยิ่งเห็นยิ่งลึกซึ้งสุดยอด ในความรู้ของความเป็นมนุษย์ รู้โลกรู้อัตตา รู้ความเป็นธรรมมะ สุดยอด

_SMS วันที่ 31 ม.ค. 2563 (พุทธศาสนาคามภูมิ พ่อครู : บ้านราช)

_พันธุ์ พอเพียง : แม่บ้านบอกว่า ถ้าผมมางานพุทธา แบบมาคนเดียวจะให้นั่งรถทัวร์มา และอยู่ได้ ตลอดงาน แต่ถ้ามาเป็นทีม จะให้ช่วยขับรถ และมาได้แค่ 4 วัน ให้เลือกเอา ผมเลือกแบบมาเป็นทีมครับ เพื่อให้ญาติธรรมใหม่ๆได้มาสัมผัสชาวอโศกหนะครับกราบนมัสการครับ

พ่อครูว่า…อย่างนี้แหละน่าอนุโมทนาสาธุ

สื่อธรรมะพ่อครู(รูป 28) ตอน อวินิโภครูปกับรูป 28

_จิตรา อัศวิน : กราบ_/\_นมสก พ่อครู ที่เคารพยิ่ง ขอโอกาสโปรดสาธยายเรื่อง อวินิโภครูป(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) เกี่ยวเนื่องอย่างไรกับรูป28 เจ้าคะ กราบขอบพระคุณยิ่งเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า…อาตมาต้องอาศัยสื่อที่มี จำไม่ได้ เอาต้นทางมาที่มีพยัญชนะ พอสัมผัสพยัญชนะก็จะรู้ได้ เพราะการแปลสภาวะเป็นพยัญชนะต่อพยัญชนะ ทุกวันนี้เขาแปลกันผิดเพี้ยนไปจากสภาวะไปเรื่อยๆ อาตมาก็ใช้ตำราเดียวกันมาช่วย ก็จากบันทึก

( ลองค้นดูนะครับ ...จาก เว็บไซท์ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี )

อวินิพโภครูป อ (น นิบาต ไม่) วิส (แยก แบ่ง ส่วนๆ) +นิพโภค (เป็นไป) +รูป หมายถึงรูปที่แยกกันไม่ได้ ในทางพระพุทธศาสนา ถือว่า รูปธาตุในโลกนี้จะต้องมี อวินิพโภครูปเป็นส่วนประกอบ รูปธาตุที่ใหญ่กว่าหรือมีองค์ประกอบร่วมกันของอวินิพโภครูป จะเรียกว่า วินิพโภครูป แปลว่ารูปที่แบ่งแยกได้ รูปทั้ง 8 จะต้องอยู่ร่วมกัน ต่างรูป ต่างอยู่เป็นไม่มีเลย หรือ มีอีกชื่อว่า สุทธัฏฐกลาป

องค์ประกอบ

1. ปฐวี (ดิน)

2. อาโป (น้ำ)

3. วาโย (ลม)

4. เตโช (ไฟ)

5. วัณณะ (สี)

6. คันธะ (กลิ่น)

7. รสะ (รส)

8. โอชา (อาหารรูป)

อวินิพโภครูป เป็น 8 ในรูป 28 แบ่งเป็นสภาวะรูป18 เป็นรูปที่ลักษณะเฉพาะ คือ อวินิพโภครูป8 ปสาทรูป 5 ภาวรูป 2 หทยรูป 1 ชิวิตินทริยรูป 1 สัททรูป 1 อสภาวรูป เป็นรูปที่ไม่มีลักษณะเฉพาะ 10 คือ วิการรูป 3 วิญญัติรูป 2 ปริจเฉทรูป 1 ลักขณรูป 4

พ่อครูว่า...ผู้ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็นรูป 28 แล้วสามารถมีปัญญามีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์

ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ คือ ธาตุรู้ของตัวเอง ที่มันมีประสิทธิภาพอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ธรรมวิจัย ที่เป็นโพชฌงค์เป็นองค์แห่งความตรัสรู้ สามารถที่จะ รู้แยกรู้เลยว่าความเป็นภาวะ 28 เป็นอย่างไรแล้วปฏิบัติ

ในรูป 28 คือลักษณะของจิตวิญญาณ ในมิติต่างๆ แง่เชิงต่างๆ ความเป็นจิตมันมีวิจิตรพิสดารต่างๆมากมาย จะสามารถแยกรู้สิ่งเหล่านี้ในวิญญาณ วิญญาณคือภาษารวมของธาตุรู้ทั้งหมด แล้วแยกแยะได้เป็น 28

นาม เป็นประธานของจิตเราที่จะแยกรู้รูป 28 ได้

เสร็จแล้วก็จัดการทำได้ แยกได้ก็จะแยกละเอียดว่า ตัวไหนเป็นโทษตัวไหนเป็นคุณ ตัวไหนเป็นกิเลส ตัวไหนไม่ใช่กิเลส

ก็ดับเฉพาะกิเลส ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วดับจิตไปทั้งยวง ไม่ให้รู้อะไรเลยก็เลยเป็นวิธีทำลายจิต ให้มันโง่หนักเข้าไปอีกให้ไม่มีธาตุรู้ ให้ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่มีมุทุภูตธาตุเร็วไว ดับไปหมด ตรงกันข้ามกับของพระพุทธเจ้าเลยที่นั่งหลับตาสะกดจิตกันเนี่ย ก็เลยไปกันใหญ่ ก็เลยไปคิดฟุ้ง ซ่านปรุงแต่งเรื่องในภพชาติเอง เหมือนอย่างอาจารย์มั่น มีเรื่องราวสนุกสนาน เป็นนิยาย ถ่ายเป็นหนังสนุกสนานมากเลย แล้ววิญญาณอาจารย์มั่นนี้ยิ่งใหญ่นะ พูดกันพวกพนักงานยมทูตเสร็จแล้วพญายมราชยังมากราบพระอาจารย์มั่นเลย โอ้โห เข้าใจช่างนิยายยกฐานะของอาจารย์มั่น ก็วิจัยวิจารณ์ให้ฟังนะ

สิ่งเหล่านั้นเป็นการเพ้อพก แม้แต่คุณอุปาทานว่ายังมีนรกสวรรค์ มีจริงๆอย่างที่อาจารย์มั่นมีเพราะเป็นคนอวิชชามีเต็มไปหมด สิ่งที่มีนั้นมีสำหรับคนที่อวิชชา สำหรับคนที่หมดอวิชชาแล้วสิ่งทั้งๆหลายนั้นไม่มี จึงเลิกความมีได้

กายสเภทา ตายกายแตกก็เลิกจิตวิญญาณเป็นอุตุธาตุ เป็นดินน้ำไฟลมได้ นี่คือปรินิพพานเป็นปริโยสานของพระพุทธเจ้า

การศึกษาจึงไม่ต้องหลับตาต้องมีสิ่งที่ให้ศึกษา ไปหลับตาไม่มีรูปนามให้ศึกษา

เหมือนคนถูกหอก 300 เล่มจะสะกิดผิวเขาหรือไม่นะ เข้าใจอุทธาหรณ์ของพระพุทธเจ้าไหม มันลึกซึ้งสุดยอดเลย

คนหลงอยู่นี่ แม้แต่ปฏิบัติแค่กายวิเวกก็ไปกันใหญ่ หากไปหนีเข้าป่า มีสูตรนี้บอกไว้

ดูกรภิกษุ อัญญเดียรถีย์จะบัญญัติความสงัดไว้ 3​อย่าง

  1. สงัดจากกิเลสเพราะจีวร 2. สงัดจากกิเลสเพราะบิณฑบาต 3. สงัดจากกิเลสเพราะเสนาสนะ

สงัด คือ จิตของท่านไม่มีกิเลส ทั้งๆที่ในขณะนั้นยังอยู่กับจีวร มีการบิณฑบาตเลี้ยงชีพ ฉันอาหาร อยู่ในพื้นที่สถานที่ต่างๆ ทั้ง 3 อย่างเลยยังมีอยู่พร้อม แต่จิตเท่านั้น ไม่ใช่สงัดเพราะเอาจีวรเก่าๆขาดๆมาใส่ หากไม่ใส่ก็เป็นโป๊ไป

ในบิณฑบาต อาหาร ก็อย่าไปติดในอาหาร กินอาหารอย่างที่เรียกว่าทำให้สุขภาพร่างกายเสีย เป็นอาหารไม่เป็นอาหารดี ดีไม่ดีกินเศษอาหารเขาทิ้ง สำหรับเดียรถีย์ ที่อยู่อาศัยก็ไม่เอาก็เตล็ดเตร่ไปต่างๆนานา ไม่มีที่พักอาศัย ส่วนศาสนาพุทธไปออกจากเรือนบวช ก็ไปอยู่กับหมู่สงฆ์ ไม่ใช่ว่าไม่มีมิตรดีสหายดี ไม่มีเสนาสนะทีพออาศัย ของพระพุทธเจ้าก็มีวัดวาเยอะแยะคนเขาก็สร้างให้ ก็มีที่พักเป็นธรรมชาติแต่เราไม่ติดที่ แต่ก็อยู่ได้ ดีไม่ดีไปเตร็ดเตร่มากไป ไปเหยียบข้าวเขาที่ทำไร่ ถึงเวลาเข้าพรรษาเขาทำนาก็ให้อยู่ในที่จำพรรษา เป็นความสลับซับซ้อนลึกซึ้งมากเลยสำหรับคำสอนพระพุทธเจ้า

จับเป้าถึงตัวจิตเจตสิกต่างๆ โดยที่ต้องรู้ต้องล้างกิเลสตัวผีร้ายเอากิเลสออกให้ได้ เขาก็ไม่ค่อยชัดเจนกัน

อย่างอาจารย์สุจินต์ บริหารวรรณเขต ใครมาถามก็จะถามกลับว่าเป็นธรรมะหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ธรรมะไม่ตอบ เคร่งครัดเลยนะ ทุกวันนี้แก่กว่าอาตมา แต่ก็ทาปากสวย เป็นอาจารย์ทางพระอภิธรรม อายุแก่กว่าอาตมา สอนที่บ้านธรรมะ มีลูกศิษย์ลูกหาเยอะ พิมพ์หนังสือเยอะ โทรทัศน์ก็ออกของทางรัฐบาล หรือทางรัฐสภา เป็นคนเรียบร้อยมาก ไม่เหมือนพวกเรา

อ่านวิวิตตสูตร ล.20 ข้อ

 [533] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกบัญญัติความสงัดจากกิเลสไว้ 3 อย่างนี้ 3 อย่างเป็นไฉน คือ ความสงัดจากกิเลสเพราะจีวร 1 ความสงัดจากกิเลสเพราะบิณฑบาต 1 ความสงัดจากกิเลสเพราะเสนาสนะ 1

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในความสงัดจากกิเลส 3 อย่างนั้น ในความสงัดจากกิเลสเพราะจีวร พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกปฏิบัติไว้ดั่งนี้ คือ ทรงผ้าป่านบ้าง ผ้าแกมกันบ้าง ผ้าห่อศพบ้าง ผ้าบังสุกุลบ้าง ผ้าเปลือกไม้บ้าง หนังเสือบ้าง หนังเสือทั้งเล็บบ้าง ผ้าคากรองบ้าง ผ้าเปลือกปอกรองบ้าง ผ้าผลไม้กรองบ้าง ผ้ากัมพลทำด้วยผมคนบ้าง ผ้ากัมพลทำด้วยขนสัตว์บ้าง ผ้าทำด้วยปีกนกเค้าบ้าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แล พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกบัญญัติไว้ในความสงัดจากกิเลสเพราะจีวร

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในความสงัดจากกิเลส 3 อย่างนั้น ในความสงัดจากกิเลสเพราะบิณฑบาต พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกบัญญัติไว้ดังนี้ คือเป็นผู้มีผักดองเป็นภักษาบ้าง มีข้าวฟ่างเป็นภักษาบ้าง มีลูกเดือยเป็นภักษาบ้าง มีกากข้าวเป็นภักษาบ้าง มียางเป็นภักษาบ้าง มีสาหร่ายเป็นภักษาบ้าง มีรำเป็นภักษาบ้าง มีข้าวตังเป็นภักษาบ้าง มีกำยานเป็นภักษาบ้าง มีหญ้าเป็นภักษาบ้าง มีโคมัยเป็นภักษาบ้าง มีเหง้าและผลไม้ในป่าเป็นอาหาร บริโภคผลไม้หล่นเยียวยาอัตภาพ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แล พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกบัญญัติไว้ในความสงัดจากกิเลสเพราะบิณฑบาต

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในความสงัดจากกิเลส 3 อย่างนั้น ในความสงัดจากกิเลสเพราะเสนาสนะ พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกบัญญัติไว้ดังนี้ คือป่า โคนไม้ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง โรงลาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แล พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกบัญญัติไว้ในความสงัดจากกิเลสเพราะเสนาสนะ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกบัญญัติความสงัดจากกิเลส 3 อย่างนี้แลไว้ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนความสงัดจากกิเลสของภิกษุในธรรมวินัยนี้ 3 อย่าง 3 อย่างเป็นไฉน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้

1. เป็นผู้มีศีลละความเป็นผู้ทุศีล และเป็นผู้สงัดจากกิเลส เพราะศีลนั้นด้วย

2. เป็นผู้มีความเห็นชอบ ละความเห็นผิด และเป็นผู้สงัดจากกิเลสเพราะความเห็นชอบนั้นด้วย

3. เป็นพระขีณาสพ ละอาสวะทั้งหลาย และเป็นผู้สงัดจากอาสวะทั้งหลายเหล่านั้นด้วย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น ภิกษุนี้จึงเรียกว่า เป็นผู้บรรลุส่วนอันเลิศ บรรลุส่วนที่เป็นแก่นสาร เป็นผู้บริสุทธิ์ ตั้งอยู่ในธรรมที่เป็นสาระ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนคฤหบดีชาวนา พึงใช้คนให้รีบเร่งเก็บเกี่ยวข้าวสาลีในนาของเขาซึ่งถึงพร้อมแล้ว ครั้นแล้วพึงใช้คนให้รีบเร่งรวบรวมเข้าไว้ ครั้นแล้วพึงใช้คนให้รีบเร่งขนเอาไปเข้าลาน ครั้นแล้วพึงใช้คนให้รีบเร่งลอมไว้ ครั้นแล้วพึงใช้คนให้รีบเร่งนวดเสีย ครั้นแล้วพึงใช้คนให้รุเอาฟางออกเสีย ครั้นแล้วพึงใช้คนให้รวมข้าวเปลือกเป็นกองเข้าไว้ ครั้นแล้วพึงใช้คนให้รีบเร่งฝัดข้าว ครั้นแล้วพึงใช้คนให้รีบเร่งขนเอาไป ครั้นแล้วพึงใช้คนให้รีบเร่งซ้อม ครั้นแล้วพึงใช้คนให้รีบเร่งเอาแกลบออกเสีย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าวเปลือกเหล่านั้นของคฤหบดีชาวนานั้น พึงเป็นของถึงส่วนอันเลิศ ถึงส่วนเป็นแก่นสารสะอาดหมดจด ตั้งอยู่ในความเป็นของมีแก่นสาร ฉันใด

ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุเป็นผู้มีศีล ละความเป็นผู้ทุศีล และสงัดจากกิเลสแล้วเพราะศีลนั้นด้วยเป็นผู้มีความเห็นชอบ ละความเห็นผิด และสงัดจากกิเลสแล้วเพราะความเห็นชอบนั้นด้วย เป็นพระขีณาสพ ละอาสวะทั้งหลาย และสงัดจากอาสวะทั้งหลายนั้นด้วย

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเช่นนี้เรียกว่า เป็นผู้บรรลุส่วนอันเลิศบรรลุส่วนที่เป็นแก่นสาร เป็นผู้หมดจด ตั้งอยู่ในธรรมที่เป็นแก่นสาร ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ

พ่อครูว่า...ความสงัดนั้นเข้าใจต่างกัน…อันนั้นตื้นเขินมาก

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ

สมณะเดินดินว่า...ปฏิบัติอย่างเดียรถีย์กำหนดแต่รูปแบบ แต่ของพระพุทธเจ้าตรัสกำกับเรื่องศีล เรื่องกิเลส

พ่อครูว่า...ผู้ที่ไม่ใช่สายปัญญา เข้าใจไม่ได้ง่ายๆ เป็นสายศรัทธาเจโต ที่จริงสายเจโตหรือสายศรัทธาว่าไปแล้ว ถ้าเผื่อว่าไม่ยึดถือยึดมั่นเกินไป เปิดจิตฟังผู้อื่นบ้าง จะรู้ได้ง่ายกว่าสายปัญญา สายปัญญานั้นรู้มากยากนาน เราพูดอะไรเขาก็จะย้อนแย้งได้หมด จะไม่ลงตัวง่ายๆ จนกว่าเขาจะจำนนอย่างมากมาย ต้องยาวนาน จะว่าจริงๆแล้ว พวกสายฟุ้งซ่านหลงความรู้ เรียกว่า วิปัสสนูปกิเลส จะช้ากว่าสายเจโตศรัทธา เพราะว่าตัวเองยึดมั่นถือมั่นในความรู้

ยืดยาวอุปาทานมากยึดถือ แม้ที่สุดไปวนอยู่กับความมีกับความไม่มี ซึ่งยากมากเลยที่จะเข้าใจความมีกับความไม่มีได้

เพราะว่าคนที่ตรัสรู้ถึงความไม่มี คนนั้นตายหรือยัง ...ยังไม่ตาย ผู้ที่ตรัสรู้อยู่ยังไม่ตายก็ต้องมีธาตุรู้ไปรู้ ความไม่มีของเขาคือการดับความรับรู้ เขาสอนกันง่ายๆ สิ่งที่ดับนั้น ต้องให้กิเลสดับ แต่แยกแยะกิเลสไม่ออกสอนไม่เป็น อ.ก็แยกไม่ได้ แยกจากอะไร แยกจากกาย

กาย นี่คือ ความเป็น 2 รูป นาม อย่างน้อยกายต้องมีภายนอกและภายใน กายเป็นรูปเป็นนามก็ 2 แล้วก็ต้องรู้ทีละ 2 ๆ การรู้ทีละ 2 อาตมาก็มาอธิบาย

สื่อธรรมะพ่อครู(ธรรมะ 2) ตอน เวทนาดอกเดียวปลิดวิญญาณ ตอน 2

นี่ก็อ่านต่อจากที่ มีคนเขียนมาคือคุณอัมพร เรื่อง เวทนาดอกเดียวปลิดวิญญาณ ก็อ่านมาถึงตอนที่ว่า..

ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60

มีสามชุด คือ ผัสสะ นามรูป วิญญาณ

ผัสสะ คือ การกระทบของนามรูป

นามรูป ก็คือสิ่งที่รู้กับสิ่งที่ถูกรู้

วิญญาณ คือ เวทนากับผัสสะ

ในสายปฏิจจสมุปบาท ธรรมทั้ง 2 เหล่านี้ อวิชชา สังขาร วิญญาณ  นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา

อายตนะนี่จะไม่มีการเกิดเลยในที่ใดๆ ถ้าไม่มีผัสสะของนามรูป

นามรูป ผัสสะกันเมื่อไหร่ก็ถึงจะเกิดอายตนะ เกิดแล้วไม่ตั้งอยู่ที่ไหนๆ ผัสสะแล้วเกิดเวทนา

เวทนานี่แหละคือฐานปฏิบัติของศาสนาพุทธ เพราะเวทนาคือความรู้สึก จะสุข ทุกข์ ก็อยู่ที่เวทนา

หากไม่มีผัสสะไม่มีเวทนาแล้ว ไม่มีฐานที่ตั้งให้ปฏิบัติเลย ในพรหมชาลสูตร หากอ่านพระไตรปิฎกแตกฉานเข้าใจก็จะเลิกนั่งหลับตา

กามฉันทะเป็นกิเลสเบื้องต้น เวลาเขาไปปฏิบัติธรรมไปนั่งหลับตาเขาก็มีกามฉันทะทางตาหูจมูกลิ้นกาย ก็นั่งหลับตาไปจนเขาว่าดับจนบรรลุอรหันต์ ปึ๊งปั๊งไป ไม่รู้การกระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายภายนอก ก็บอกว่าเป็นอรหันต์แต่กินหมากอยู่อย่างนั้น ขออภัยที่เอามาพูด เพราะว่าเขาเชื่ออรหันต์เก๊อย่างนี้ เพราะว่าแม้แต่กามคุณ 5 ภายนอก เป็นสิ่งเสพติดก็ติดจนตาย เกิดมาชาติหน้าคุณว่ามหาบัวจะเกิดอีกไหม ….เกิด

ก็ขออภัย ขอบคุณมหาบัว

สายปฏิจจสมุปบาท ผัสสะ  นามรูป  วิญญาณ เป็นเหตุปัจจัยต่อเนื่องกันจากด้านบนลงมาที่เวทนา มีวิญญาณ  แล้วก็นามรูป ผัสสะ เวทนา

จึงถูกจัดการทั้งหมด ในสายที่เป็นเหตุปัจจัยกัน สรุปรวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา

พยัญชนะก็บอก ยังมีส่วนสองสภาพแต่รวมเป็น 1 แต่ก็มีสองคือ อันหนึ่งคือตัวรู้ อันหนึ่งคือสิ่งที่ถูกรู้

หากเรารู้ว่า 2 คือ เวทนาแท้กับเวทนาเก๊ เราดับเวทนาเก๊ได้จะรู้ว่า 1ในส่วน 2 แล้วเราศึกษาต่อว่าเวทนา 1 ก็ตาม มันก็ไม่ใช่สวรรค์มันเป็นอุเบกขาเวทนาบริสุทธิ์ ไม่ใช่ตัวตนของเรา ยึดมั่นถือมั่นในความบริสุทธิ์นี้ก็ไม่ได้ จึงต้องวางเป็น 0 หากไม่รู้ชัดเจนจริงก็จะไม่วาง เป็น 0 ก็จะไปติดที่เวทนาอุเบกขานั้น ซึ่งจะไม่รู้ได้ง่ายๆ

เราอาศัยเวทนานั้น ตราบที่เรายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เพราะเราวางได้วิญญาณต้องอาศัยนามรูป นามรูปก็ไม่มีอาการ ความแตกต่างอันเป็น 2 เป็นเพศ นิมิตต่างๆก็เป็นเครื่องหมายรู้ได้อาการเฉพาะ เป็นสุญญตนิมิต อปนิหิตตนิสิต อนิมิตตะ

วิญญาณไม่ได้อาศัยนามรูป นามรูปเป็น 2 ให้เรารู้ความแตกต่างกัน

ผัสสะไม่ปรากฏคือ ไม่ผัสสะกับอะไรคือ 1 หรือ เป็น 0 ก็ไม่มีผัสสะ

เวทนาเก๊ไม่มีแล้ว แต่เวทนาก็ยังต้องมี ธาตุรู้ที่เป็นเวทนาก็ต้องอาศัย เพราะอาศัยตัวเอง คือตัวธาตุรู้ความรู้สึกของเรา เป็นธาตุที่ไม่มีอะไรที่เป็นกิเลสปราศจากกิเลสแล้ว เรียกว่าไม่มีคือ 0

0 ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอะไรเลย แต่มี มีสิ่งที่มี และมีสิ่งที่ไม่มี

มีสิ่งที่มี คือ ธาตุรู้เวทนาที่เป็นสะอาด สะอาดหมดจดไม่มีเวทนาปลอมเลย

มีองค์ธรรม 5 อุเบกขา เวทนากลาง สะอาด ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ ยิ่งปฏิบัติก็เป็นจิตที่ยิ่งคล่องแคล่ว ฌาน หรือสมาธิ จิตที่บรรลุของพระพุทธเจ้านั้นคล่องแคล่วว่องไวปราดเปรียว มุทุภูตธาตุ ซึ่งทำการงานต่างๆ เป็น กายปาคุญญตา แคล่วคล่องว่องไวปราดเปรียว ถึงที่ทำงานได้ถูกต้องเหมาะสมดีลงตัว กัมมัญญุตา จิตก็ปภัสสรตลอดเวลา

อาตมาอธิบายซ้ำซากอยู่อย่างนี้ แม้องค์ธรรม 5 ของอุเบกขาเนี่ย น่าเบื่อไหม? หักมุมนั้นมุมนี้มาให้ดู จนไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเหลี่ยมมุมแล้ว

ความรู้สึกจริงๆตามจริงของเวทนา เป็นเวทนาที่ไม่ปรากฏตัณหา รู้สึกความจริงอย่างเป็นธรรมดาเป็นปกติ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนาที่เป็นส่วน 2

คือมีธาตุรู้ เรารู้อะไร?รู้ 0 ก็ได้ รู้ 1 ก็ได้ แต่ธาตุรู้ก็เป็น 1 ก็รู้ว่าตัวเองมี 2 คือ มีธาตุรู้กับ 0 หรือ 1 จะอนุโลมให้เป็น 1 ก็ได้ ที่จริงลึกๆลงไปกว่านั้นก็คืออัตตา

เวทนาของเราไม่เป็นอัตตาเลย จะว่าอัตตาเราไม่เสวยเวทนาก็ไม่ใช่ มันมีเวทนาอยู่ แต่มันไม่เป็นอัตตาของเราเลย แต่จะว่าอัตตาของเราไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ ต้องมีธาตุรู้อยู่ รับรู้อยู่ เพราะฉะนั้นอัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา

เมื่อเวทนาที่เป็นตัวตนนั้นดับตัณหาที่แทรกอยู่เป็นเวทนาเก๊ เวทนาที่เป็นตัณหาดับไปเวทนาที่เป็นปกติ เป็นความสะอาดบริสุทธิ์ก็ยังอยู่ เพราะชีวิตยังมีตาหูจมูกลิ้นกายใจกระทบสัมผัสอยู่เป็นธรรมดาๆ

ใครฟังแล้วได้อานิสงส์ 5 ประการของการฟังธรรม

ในพระไตรปิฎกเล่ม 18 สังคัยหสูตรที่ 2 ข้อ 132 133

รูป ก็สักแต่ว่าเห็น ไม่ใช่เห็นอย่างเบลอๆ แต่เห็นว่าไม่มีกิเลสแฝงในความจริงนั้น เป็นคู่กระทบของอายตนะ นี่แหละเป็นที่สุดแห่งทุกข์

ไม่ว่าจะเป็น ตาหูจมูกลิ้นกายใจกระทบแล้วก็เห็นความจริงตามความเป็นจริง

ข้อ 138 คนนั้นรู้ธรรมารมณ์แล้วมีสติไม่มีจิตคลายกำหนัด เสวยอารมณ์นั้น ทั้งไม่มีความติดใจในอารมณ์นั้นตั้งอยู่

บุคคลนั้นมีความรู้ธรรมารมณ์นั้น และเสวยเวทนาอยู่ทุกข์สิ้นไปไม่สั่งสมทุกข์เรากล่าวว่าใกล้นิพพาน

พระสูตรนี้แสดงตัวอย่างการดับเวทนาที่เป็นตัณหาดับผีที่ซ่อนในเวทนาคือตัณหา และยังมีเวทนาที่ดับตัณหาได้แล้วก็ยังเสวยเวทนาอยู่ เพราะอัตตาน้มีเวทนาอยู่ เวทนานี้เองที่ปลิดชีพวิญญาณของซาตาน

อ้างอิงจากข้อ 63 ที่ผ่านมา พระไตรปิฎกเล่ม 10 แล้วจึงไปปล่อยไม่มีอัตตาในข้อ 64 เป็นลำดับ ถ้าพ่อครูไม่อธิบายเวทนาโดยส่วนสองอ่านให้ตายก็ไม่เข้าใจ

นี่คือหัวใจของศาสนาพุทธ หากไม่รู้ชัดตรงนี้ไม่เป็นอรหันต์ได้ อาตมาเปิดเผยความลับมาเยอะแล้วนะ ความลับว่าอรหันต์อยู่ตรงไหนก็เปิดเผยนะ แต่ความลับที่น่าเปิดเผย อาตมาถึงต้องพยายามเอามาเปิดเผยเอามาโชว์ ใครไม่อยากฟังก็ยัดเยียด เพราะมันเป็นของดีที่สุด ไม่มีอะไรดีกว่านี้

จะอธิบายบุคคล 7 บุคคลสองสายคือสายศรัทธากับสายปัญญา หากเข้าใจกันได้ จะทำงานร่วมกันเป็นผลอาศัยจนเก่ง ทำ 2 ให้เป็น 1 ได้ เป็น0 ได้ 0 ก็คือ Infinity

จะเป็น 2 3 4 5 เก่งได้เรื่อยๆ ทำได้เยอะๆเลย อาตมาก็ทำกับผู้ที่เข้าใจกันได้ เกิดประโยชน์ด้วยกันพูดกันรู้เรื่อง ได้ประโยชน์ร่วมกันเข้าไปหากัน ผู้ที่เขายังไม่ได้ก็จะค่อยๆมาเติม จะมีคนค่อยๆเพิ่มขึ้นจะค่อยๆรู้ แต่ก่อนอาตมาถูกแอนตี้ ถูกหาว่าเป็นพวกนอกรีตมาทำลาย จนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีใครมาว่าเท่าไหร่ แต่ก็มีเศษหลงเหลืออยู่บ้างหรือเขายึดมั่นหมู่ที่ผิด ไม่ได้รู้เรื่องเก่า แต่เป็นคนรุ่นใหม่ อายุ 30 กว่า เขาก็ยังสนใจธรรมะ เขาก็จะฟังทางโน้นไป โดยที่มีครูอาจารย์นำไปทางโน้น มาฟังอาตมาก็ไม่เข้าใจเพราะยึดถืออย่างโน้นแล้ว จะหาว่าอาตมาทำลายศาสนาอีก น่าสงสาร คนจะมาฟังอาตมารู้เรื่องคือ 1 ไม่มีอคติ จะต้องศึกษาสองฝ่ายใจเป็นกลางไม่มีอคติ แล้วจะได้ ไม่เช่นนั้น ไปยึดทางไหนก็ยาก

แล้วสำนักต่างๆมีเยอะ มีช่องโทรทัศน์ของตัวเองหลายช่อง โทรทัศน์ธรรมะเนี่ย นอกจากบุญนิยมทีวีแล้วนอกนั้นไปแนวเดียวกันหมด สายยึดมั่นถือมั่นหลับตาเข้าป่า แม้จะอยู่ในเมืองก็ยอมรับพระป่า ยอมรับว่า การปฏิบัติจะต้องนั่งหลับตาเข้าป่า ออกไปธุดงค์ออกป่าเขาถ้ำ ล่องไพร ซึ่งไม่เคยมีในพระไตรปิฎกเลยว่า พระล่องไพร ไปเจอเสือสิงห์กระทิงแรดผีสางเทวดา ในพระไตรปิฎก 45 เล่มไม่มีเลย ไม่รู้ไปเอามาจากไหน พูดกันเป็นตุเป็นตะ ยิ่งกว่าเรื่องเพชรพระอุมา  ของพนมเทียน ซึ่งเป็นนวนิยายที่ยาวที่สุดในโลก เขียนมา 20 - 30 ปี ต่อกัน ไม่รู้จบหรือยัง ไม่ค่อยได้อ่าน เขาเป็นคนมีปฏิภาณปัญญาได้

ทวน บุคคล 7 เริ่มต้นไว้

สัทธานุสารี   สัทธาคือผู้ตามหาสาระ อนุสารีคือ ผู้ตามหาความเชื่อ เป็นสายศรัทธา

ธัมมานุสารี ท่านไม่เรียกสายปัญญา เพราะปัญญาเป็นคำใหญ่ ไม่ได้ใช้ปัญญานุสารี แต่ใช้คำว่าธัมมานุสารี เป็นแกนตามหาสาระธรรมะ

อาตมาว่า อ่านพระไตรปิฎกอย่างไรก็สู้อาตมาสรุปให้ไม่ได้

ที่จริงมีครบของพระพุทธเจ้า แต่เข้าใจได้ยาก

1. สัทธานุสารี

บุคคลไม่ได้ถูกต้องวิโมกข์ อันละเอียด คือ อรูปสมาบัติล่วงรูปสมาบัติด้วยกายอยู่ แต่อาสวะบางเหล่าของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา อนึ่ง ผู้นั้นมีแต่เพียงความเชื่อความรักในพระตถาคต อีกประการหนึ่ง ธรรมเหล่านี้ คือ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ย่อมมีแก่ผู้นั้น บุคคลนี้เรากล่าวว่า สัทธานุสารีบุคคล.

บุคคลไม่ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คือ อรูปสมาบัติ นี่ จะต้องล่วง วีติกมะ คือต้องล่วงรูปสมาบัติด้วยกาย ต้องผ่านรูปสมาบัติก่อนด้วย ละเอียดถึงอรูป แต่ต้องผ่านรูปสมาบัติก่อนด้วยกาย กายคือภายนอกกับภายใน

ฌาน ต้องมีภายนอกไม่ใช่ไปหลับตาไม่มีภายนอก ฟังดีๆ อ่านให้ซ้ำๆให้เข้าใจท่านทั้งหลายทั้งปวงที่หอกร้อยเล่มฆ่าหมายความว่า ดื้อด้าน ดึงดันไม่ตื่นมาฟัง งมงายเช้ากลางวันเย็นก็ไม่ตาย มันจมอยู่ที่เก่า ตายอยู่ที่เก่า ฆ่าโจรนี้ไม่ตาย จมกับของเก่า จมลงหยั่งลงในที่หลง ข้องอยู่ในถ้ำมืดบอด

 2.ธัมมานุสารี

          บุคคลสัมผัสวิโมกข์อันละเอียด คืออรูปสมาบัติล่วงรูปสมาบัติด้วยกายอยู่ แต่อาสวะบางเหล่าของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา อนึ่ง ธรรมทั้งหลายที่พระตถาคตประกาศแล้ว ย่อมควรซึ่งความพินิจ โดยประมาณด้วยปัญญาของผู้นั้น อีกประการหนึ่งธรรมเหล่านี้ คือ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ย่อมมีแก่ผู้นั้นบุคคลนี้เรากล่าวว่า ธัมมานุสารีบุคคล.

อันนี้เป็นประเด็นที่สำคัญมากเลย ท่านแปล ความเป็นการสัมผัสจากพยัญชนะบาลี

คำว่า น เหวโข แล้วก็สัมผัสวิโมกข์ 8 คำว่า น เหวโข ท่านไปแปลว่า ไม่สัมผัส ที่จริง นเหวโข นี่หมายถึงว่าไม่ต้องไปกล่าวอีกว่าต้องสัมผัส เพราะว่าท่านสัมผัสวิโมกข์ 8 มาแล้ว

สมณะเดินดิน...สรุปจบ

 


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:45:09 )

630203

รายละเอียด

630203_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 88

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1fE4jIFQQPQjtQjJ3FQkWdB2lsdCkyzg3eHCRX5S6lJQ/edit?usp=sharing                     

ดาวโหลดเสียงที่  https://drive.google.com/open?id=1Yiv87ZXg800MuXyoQJf6gqcH5NvzRno8

พ่อครูว่า… วันนี้วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563 ที่บวรราชธานีอโศก

SMS วันที่ 2 ก.พ. 2563 (วิถีอาริยธรรม พ่อครู : บ้านราช)

_คอยใคร : กราบเคารพพ่อครูครับ เมื่อวานฟังท่านเดินดินพูดเรื่องคนใส่ฟันปลอมว่า ใส่แล้วมันเลื่อนไปเลื่อนมาไม่มีตอม่อ เดี๋ยวนี้มีวิวัฒนาการใหม่มาแล้วครับ เป็นกาวทาฟันปลอมยึดติดแน่นนาน 24 ชม ไม่ต้องมีตอม่อ  ถอดล้างได้ตามปรกติครับ

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอนพระโสดาบันไม่ยากเลย

_จักรพล พุทธพัฒนา : กราบนมัสการสำราญจิต แด่ผู้พิชิตมารชาญวิสัย พ่อครูผู้ชนะทุกทิศไร้พิษภัย ด้วยจิตใจคารวะพระอรหันต์ / ผมเคยเรียนอภิธรรมมาหลายชั้นได้ภาษามามาก..พึ่งมาได้ยินพ่อครูขยายภาษาเป็นสภาวะได้ชัดเจนมากครับ./ ชาตินี้ผมไม่อยากได้เป็นพระอรหันต์เลย..เอาแค่โสดาปัตติผลก็พอแล้วครับ

พ่อครูว่า…ที่จริงโสดาบันนี่ ตั้งใจศึกษาให้ดี รู้จักรูปนาม ศึกษาสักกายทิฏฐิ เข้าใจมรรควิธีดี เข้าใจดีนี้ คุณก็จะสามารถที่จะเข้าไปสู่โสดาปัตติมรรคได้แล้ว ถ้าเข้าใจทางปฏิบัติได้ดี เข้าใจคำว่ากายได้ดี แยกจับสักกายะของตนได้ สักกายะคือรูปนาม คือวิญญาณ แยกรูปนามได้เท่านี้ คุณสามารถแยกสภาวะสอง รูปนาม แยกกาย แยกเวทนา เข้าใจเวทนาเก๊ ตามหาเหตุเวทนาเก๊คือตัณหาให้เจอ แล้วก็ข่มมันก็ลดลงได้แล้ว แต่ถ้าข่มนี้ไม่ถาวร

พระพุทธเจ้าก็พยายามให้พิจารณาเห็นไตรลักษณ์ของมัน ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เป็นอัตตา ไม่ใช่ตัวตนแท้เป็นมายา โดยเฉพาะเป็นความ ความอร่อย ความชื่นชมรื่นรมย์ของโลก อ่านอาการให้ชัด รู้อาการลิงคนิมิต ตามที่อาตมาอุเทส แต่เห็นของจริงชัดเจนได้ ทำได้พิจารณาได้คุณจะเห็นเอง อ๋อ กิเลสตัณหามัน บางลง จางลง หรือแรงมันบางเบาลงจนดับ คุณจะเห็นเองเป็นปัจจัตตังของตัวเองรู้เองเห็นเองเลย

ปฏิบัติอย่างมีสติเต็ม อย่าไปนั่งหลับตา หลักการปฏิบัติไม่เจอเวทนาตัวจริงมีแต่ของปลอม ลืมตาปฏิบัติเห็นของจริง หลัดๆ ที่มันกำลังเกิด พิจารณาทันทีเดี๋ยวนี้ จะเห็นมันกำลังลดละจางคลายเลย วิราคานุปัสสี จะเห็นเลยว่ามันไม่เที่ยงเพราะมันลดได้ มันไม่เที่ยง ถ้ามันเพิ่มขึ้นได้มันเป็น ราคะโทสะโมหะ เป็นความเจริญของกิเลส แต่ถ้าทำให้มันลดได้มันก็ไม่เที่ยง แต่มันไม่เที่ยงเพราะจางคลายแล้วก็ดับไป เห็นอาการอย่างที่อาตมาว่า

สื่อธรรมะพ่อครู(อาหาร 4) ตอน ไม่มีผัสสะก็เหมือนวัวไม่มีหนัง

_ปองแสงพุทธ ทองสุขนอก : น้อมกราบนมัสการเจ้าคะพ่อครู ลูกไม่ค่อยเข้าใจเรื่องวัวหนังกลับ (พ่อครูว่า…วัวไม่มีหนังไม่ใช่วัวหนังกลับ) พยายามลงนรกแม้มีคนคอยช่วยหิ้วปีกขึ้นจากนรกก็ยังไม่ยอม มองไม่ออกเลยว่าอะไรคือสวรรค์หรือนรกเพราะอยู่บนสวรรค์ก็ทรมาณ ลงนรกตาย ๆ ไปซะความทรมาณในนรกมันอาจไม่มากเท่าการอยู่ในสวรรค์แบบทุกข์ทรมาณทั้งกายทั้งใจ อย่างน้อยในนรกก็น่าจะมีพวกเดียวกัน ลูกมีความเห็นดังนี้ หรือว่าถ้าสมมุติว่าพ่อครูเป็นวัวตัวนั้นพ่อครูจะมีมุมมองอย่างไรเจ้าคะ ที่กล่าวมาข้างต้นลูกพูดในพื้นฐานของลูกโง่ ๆ ที่ยังงงงว่าที่ถูกต้องยังไงเจ้าคะ. น้อมขอโอกาส แล้วแต่พ่อครูจะเมตตา

พ่อครูว่า…วัวไม่มีหนัง อุทธาหรณ์ของพระพุทธเจ้าสุดยอดเลย เปรียบเทียบให้เห็นสภาวะที่สลับซับซ้อนหลายชั้น แต่จริงที่สุดชัดที่สุด ถ้าใครมีตัวปัญญาเกิดเลย จะปล่อยวางจะกลัวจะเห็นว่าเป็นของไม่น่าได้ไม่น่ามีไม่น่าเป็น ถ้าเกิดสภาวะจริงอย่างนั้นไม่ใช่ใครมาบันดาลใจ คุณต้องรู้สึกเองละอายก็ดี กลัวก็ดี หิริโอตัปปะ เช่น กามฉันทะ ยินดีในการเสพกามรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส หรือหยาบๆ คืออบายมุข ยินดีเสพรสอบายมุข สิ่งเสพติดการพนันทุจริตขี้โกง รสชาติจัดจ้านของละคร ไม่ถึงพริกถึงขิงก็ไม่สนุก สรุปก็คือ กามรุนแรงขั้นต้น เป็นเบื้องต้นของกามฉันทะ เลิกกามฉันทะได้ พ้นอบายก็เป็นพระโสดาบัน

กามต่อมาก็ลดละได้เหมือนอบายมุข เรื่องเพศเรื่องผู้หญิงผู้ชาย มันจะหมดรสชาติจริงๆจนเฉยๆ ก็จะเห็นแต่ เสียเวลาเสียแรงงาน ไม่เห็นจะเกิดอะไร มันจะเห็นจริงเป็นจริงเลยจะลดลงๆ ก็จะลดกาม

เรื่องตา อร่อยทางรูป สีสวยเสียงไพเราะ จมูกได้กลิ่นหอม รสอร่อยสัมผัสเสียดสี เป็นเรื่องรวมของโผฏฐัพพะ จะเข้าใจถึงสภาพที่เกิดจากผัสสะสัมผัสเสียดสี แล้วเกิดรสชาติ มันเป็นเรื่องมายาเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตน เป็นเรื่องปลอม ถ้าไม่ใช่ของปลอมหมดไม่ได้ มันของปลอมจริงๆจึงหมดได้ ผู้ที่ทำได้เห็นจริงๆเชื่อว่า พระพุทธเจ้าสอนสิ่งประสบผลสำเร็จจริง

ถ้าคุณเองยังไม่จริงก็ไม่เชื่อสิ่งที่เป็นจริงที่พระพุทธเจ้าท่าน คุณจะได้มาก่อนแล้วคุณก็จะไม่เชื่อหรอกว่าพระพุทธเจ้าหลอก คุณว่าพระพุทธเจ้าหลอกหรือว่าคุณโง่ ? ...โง่

เรายังไม่ถึงก็ว่าพระพุทธเจ้าหลอก เท่าไหร่ถึงแล้วก็จะรู้ว่าพระพุทธเจ้าไม่หลอกหรอกเราโง่เป็นอวิชชาเอง จิตใจยังไม่บรรลุจิตใจยังไม่เจริญถึงขั้น แม้หมดกามแล้วจะต้องเหลือข้างใน ข้างนอกไม่แล้ว อาจจะนิดๆหน่อยๆมันไม่มีแรงอะไรยึกๆยักๆ จนกระทั่งมันไม่ยึกยักแล้ว เห็นเป็นเรื่องที่ดีไม่ดี จะไปชังเขาว่าเขาข่มเขาดูถูกเขา แต่ใจตัวเองยังไม่หมด นี่เป็นรูปราคะ อรูปราคะ หมดรูปราคะ อรูปราะคะ ก็เหลือเศษเป็นมานะ หมดมานะ เหลือเศษธุลีละอองก็เก็บเล็กน้อยอีก จนหมดสิ้นอาสวะ หมดอุทธัจจะ หมดอวิชชา จนกระทั่งมันไม่เกิดอีก

นานๆมากระทบอีกก็ไม่ป๊อกอีกๆ พิจารณาแน่นอนไม่มีอาการอารมณ์สัมผัสแตะต้องอย่างไม่หนี ดีไม่ดีท้าทายด้วย มาแรงๆก็ไม่เป็นไร ทีเผลอก็ไม่เป็นไรมายั่วยวนก็ไม่เป็นไร

วัวที่ไม่มีหนัง คิดดู เนื้อแดงๆน้ำเหลืองเยิ้มๆแดงๆ จะแสบร้อนขนาดไหน นึกถึง พันตำรวจโทรุ่งโรจน์ เรืองฤทธิ์ ไปเสียสละผิวหนังที่หน้าขาให้เขาคนไฟไหม้ คนที่แก๊สระเบิด สละหนังออกจะแสบขนาดไหน

เพราะฉะนั้นคนที่เป็นทุกข์เพราะความแสบเผ็ด ที่เมื่อถูกกระทบสัมผัสคือผัสสะนั่นเอง อย่างนี้เป็นความทุกข์อยู่แต่ไม่รู้ตัว ไม่เปลี่ยนแปลงก็สลบแล้วสลบอีกตายไปเพราะพิษบาดแผล ก็เกิดมาอีกตายไปอีก 5 ตลบ10 ตลบเป็นวัวไม่มีหนังจะไหวหรือ

มันเป็นทุกข์แต่ไปหลงว่าเป็นสุข ไม่รู้จักความทุกข์ ความสุขกับความทุกข์เป็นตัวเดียวกันแต่มันเป็นมายาหรอก แล้วก็ติดอยู่อย่างนี้ ไม่มีเวทนาไม่มีผัสสะก็ไม่รู้สภาวะทั้งของความสุขความทุกข์ ทั้งที่มีความหลงว่าเป็นสุขแท้จริงมันเป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงบอกว่ามันเหมือนวัวไม่มีหนัง แสบเผ็ดทุกข์แต่ก็หลงว่าสุข ก็เลยเฉย อุปาทานจะหลอกให้คนเห็นว่าเจ็บแต่ไม่เจ็บแสบคันไม่แสบ มันจะเป็นอย่างนั้น เฉยๆ หน้าตาเฉย เสพทุกข์ก็หลงว่าเสพสุข เฉย มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

เมื่อไม่มีผัสสะ จึงหมดประตูที่จะปฏิบัติ มีผัสสะมีเวทนาให้ศึกษา เวทนาจึงเป็นการให้ศึกษาศาสนาพุทธ ก็มีเวทนา ก็ตามหาเจตนาในเวทนาได้ หากว่าปิดประตูไม่มีเวทนาไม่มีผัสสะก็โมฆะจากศาสนาพุทธ มีผัสสะแล้วก็เจาะลึกไปถึงเวทนา ถึงตัณหา

ตั้งแต่อบายมุขคือกามหยาบ หมดอบายมุุขก็กามอยู่นั่นแหละ กามคุณ 5 ไม่มีกามคุณ 6 ไปนั่งหลับตาเป็นภายในเป็นทวารที่ 6 แต่ 5 ทวารนอกนี้ไม่มีเลย ไม่มีลำดับอันน่าอัศจรรย์ เบื้องต้นเบื้องกลางไม่มี ไปเอาตัวที่ 6 แล้วไปสร้างภพชาติ อย่างอาจารย์มั่น เล่นลิเกไปเจอพญายมมากราบอีก หรืออย่างธัมมชโยมีวิมาน เฟส 2 3 4 จูงใจให้คนมีจินตนาการหลงเชื่อตามปั้นตาม แม้ปั้นไม่เห็นรูปเอง ก็เชื่อว่าตายไปแล้วจะเจอ นี่ไม่ตายก็ยังหลงเชื่อจริง ถูกเขาครอบงำทางความคิดถูกเขาหลอกสนิท ก็ต้องพยายามศึกษาให้ดี

เมื่อไม่มีเวทนา ก็ไม่มีทางที่จะเกิด ตัณหา เมื่อเกิดตัณหา ตัณหานี้มี 3 กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

กามตัณหาเป็นเหตุก็ล้างกาม เหลือรูป อรูปภายใน หมดกามภายนอก รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส จิตก็เฉยเมื่อกระทบสัมผัส มีของจริง หากยังไม่ได้ก็ต้องพยายามลด แม้กดข่มก็มีอาการสัมผัสได้ แต่ถ้าเป็นปัญญาไม่กดข่มจะเห็นจริง ถาวรด้วย คือปัญญาที่ลดละได้ถาวรด้วย ก็จะเหลือรูปราคะ อรูปราคะ คือรูปภพ อรูปภพ ก็ทำให้หมดอีกเป็นลำดับ ภาษาเท่านั้นว่าอรูป ที่จริงก็คือรูปที่ละเอียด จนไม่มีภาษาจะเรียกแล้ว หรือสุข ไม่มีภาษา พระพุทธเจ้าก็อนุโลมใช้เป็นคำว่าสุข ที่จริงคำว่า สุ คือ ดี  ข คือว่าง ที่จริงว่างได้แล้ว หมดภพชาติอรูปภพได้ก็มีวิภวตัณหา

ก็มีความประสงค์ต้องการที่จะทำงาน เป็นเจตนาที่จะเรียกว่าอยากก็ได้ แต่อยากเสพบำเรอตัวเองเลย บำเรออัตตา รูปภพ อรูปภพ รวมๆเรียกอัตตา โอฬาริกอัตตา คือกามหยาบ มโนมยอัตตาเหลือภายในคือรูปที่สำเร็จด้วยจิต เหลืออรูปอัตตา  ทำให้หมดอีก อัตตา แต่ก็ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็เหลือเป็นอัตตาที่อาศัยเวทนาจะว่าไม่มีก็มี จะมีคือไว้อาศัย

_ปองแสงพุทธ...เรื่องของอาจารย์มั่น ลูกพอจะเข้าใจมุมมองที่พ่อครูเมตตาว่าอย่าไปยึด มั่น แต่สงสัยเจ้าคะ ฟุ้งซ่าน กับการอวดตนถือศีลแปด ลูกพยายามมองตัวเองว่าเป็นเช่นนั้นมั๊ย เหมือนการปฏิบัติธรรมทุกวันนี้ลูกกำลังสร้างภาพ ตั้งแต่ลูกเริ่มเข้าค่ายศีลแปด จนปัจจุบัน 50 กว่าครั้งเข้าค่ายมากกว่าครึ่ง และเพียรฝึกจะกินมื้อเดียวแต่ก็ยังไม่ได้ 100%. ในความคิดของลูกแค่ได้ทำก็ดีใจ และทำได้อย่างไม่ทรมาณก็พอ ลูกเลยชักงงว่า แล้วลูกควรจะทำต่อหรือเลิกทำเพราะคิดว่าชาตินี้ลูกก็คงแค่ได้สร้างภาพและชาตินี้คงเป็นได้แค่คนโลกีย์ หรือยังงัย พ่อครูเข้าใจความรู้สึกลูกมั๊ยเจ้าคะ ปฏิบัติธรรมเหมือนไม่เจริญ นิพพานเหรอฝันเอานะจ๊ะ น้อมกราบนมัสการเจ้าคะ

พ่อครูว่า…แล้วแต่ใครจะยึดปั้นอุปาทานเอาเองแต่ไม่มีใครตรงกันหมด แต่คล้ายกันได้ ผู้ศึกษาศีล 8 ก็ลองดู แต่ดีคุณเป็นคนไม่มักมาก พากเพียรไปจะพัฒนาเอง ก็ต้องทำต่อ จริงๆคุณก็รู้ว่ายังไม่หมด คุณได้ขนาดนี้เข้ากระแสโสดาบันมาแล้ว อย่างนี้ถือว่าเข้ากระแสรู้ทิศทางเห็นความจางคลายได้ต้องรู้จุดอบายมุข หมดอบายมุขก็เป็นโสดาบัน สกิทาคามีก็ลดกาม หมดกามเป็นอนาคามี ทำรูปราคะอรูปราคะให้หมดไป มีการถือดีถือตัวมานะ หมดมานะ อติมานะ เศษๆก็ทำ มทะ ปมาทะ

ลดมานะ จนไม่เมาแล้ว มานะ อติมานะ มทะ คือเมา ก็เลิกเมา ใน สุรา เมรยะ มัชชะ มทะ ปมาทะ

ทำทุกปัจจุบันเวทนา 36 สั่งสมเป็นอดีต 36 อนาคตอีก 36 มาอีกเมื่อไหร่ทุกปัจจุบันก็หมดอีก จนแน่ใจว่าทุกปัจจุบันกิเลสไม่เกิดอีก เพราะฐานของอดีตแข็งแรงพอและปัจจุบันก็แข็งแรงพอ ในสามเส้าสองเส้าแรกสมบูรณ์แบบ ส่วนอนาคตจะมาเมื่อไหร่ จึงเป็นผู้รู้จักส่วนอดีต ส่วนอนาคต เพราะได้ทำทุกปัจจุบันให้หมด

ทั้งส่วนอดีต ส่วนอนาคต เป็นข้อ 7 ในอวิชชา 8

  1. ไม่รู้..ทุกข์  (ทุกฺเข อญฺญาณํ)
  2. ไม่รู้..ทุกขสมุทัย  (ทุกฺขสมุทเย อญฺญาณํ)
  3. ไม่รู้..ทุกขนิโรธ  (ทุกฺขนิโรเธ  อญฺญาณํ) 
  4. ไม่รู้..ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (มรรคมีองค์ 8)  
  5. ไม่รู้ในส่วนอดีต (ที่ไม่เที่ยง)   ปุพพันเต อัญญาณัง
  6. ไม่รู้ในส่วนอนาคต (ที่ไม่เที่ยง)  อปรันเต อัญญาณัง
  7. ไม่รู้ทั้งส่วนอดีต-ส่วนอนาคต  (ไม่รู้สิ่งที่เที่ยงแท้เท่ากันหมดแล้ว) (ปุพพันตาปรันเต  อัญญาณัง) .
  8. ไม่รู้ในธรรมทั้งหลาย ที่อาศัยกันเกิดขึ้นเป็นห่วงโซ่แห่ง การเกิดทุกข์ หรือดับทุกข์  ตามหลักปฏิจจสมุปบาท  (หรืออิทัปปัจจยตา)

(พตปฎ. ล.34  ข.691  ว่าด้วย อกุศลเหตุของโมหะ)

_นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ

_ตุ๊ก รอยทราย...รายงานรายการร่มโพธิ์ร่มไทร มีชาวชุมชนร่วมมือร่วมใจดีมาก ไม่ว่าจะเป็นแผนกอาหาร สาธิตการแยกขยะ ทุกอย่างเป็นไปอย่างดีมากเกินคาด ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 มีสมณะไปเทศน์คนก็มาฟังแม้คนข้างนอกก็มาฟัง ตอบคำถามธรรมะก็ตอบกันดี มีรางวัลให้ จะมีปัญหาคือฝุ่นเยอะ

พ่อครูว่า...มันจริงๆใจแล้วมีปฏิภาณปัญญารู้ว่าจะมารับเอาอะไร เป็นสิ่งน่าจะเชิดชูบูชายกย่องหรือไม่ควรเชิดชูบูชายกย่อง มันจะมีปฏิภาณของแต่ละคน คนที่มีปฏิภาณจะรู้ว่าสิ่งที่เรามาเอานี้ไม่ใช่เรื่องสามัญทางโลก มันจะแยกความดีแบบโลกีย์ กับอันนี้ไม่ใช่ความดีแบบแค่โลกีย์จะรู้ค่าว่าเหนือกว่าโลกีย์เป็นโลกุตระ ปัญญาความเฉลียวฉลาดจะค่อยๆเพิ่มขึ้นจนกระทั่งเต็มความเป็นโลกุตระ

รอยทรายว่า...การแสดงก็มีของชาวบ้านมากขึ้นพวกเราก็เป็นตัวประกอบ ก็อยากให้คิดว่าเหมือนเราพาเด็กเล่นขายของ(พ่อครูว่าระวังพวกเราจะตกไปด้วย) เร่ิมดึงคนภายนอกมา ได้พิธีกรบ้านกุดระงุมมา1 คน เขาดูมีแววและก็ศรัทธาพวกเรา เขาจะให้ลูกมาเรียนรร.พุทธธรรมวันอาทิตย์

_สิริ...รายละเอียดที่มีคนตอบคำถามคือครูตุ๊กเข้าใจตั้งคำถาม...เช่นถามว่าโจรปล้นทองผิดศีลข้อไหนบ้าง มีชาวบ้านตอบถูกด้วย

ครั้งแรกมีคน 60 คน ครั้งที่ 2 มี 320 คน คราวนี้ครั้งที่ 3 มี 360 คน ผู้ใหญ่ 200 คนเด็กก็ 160 คน

_สุภารัตน์ จันทร์ดอน : กราบนมัสการเจ้าค่ะ ทุกวันนี้รู้ตัวมีสติอยู่กับปัจจุบันรู้ตามความเป็นจริงแล้วหมดทุกข์ไร้ความกังวลเจ้าค่ะสาธุ

พ่อครูว่า…ก็ดีแล้วนี่แหละจะได้รู้ตัวมีสติอยู่กับปัจจุบัน รู้ตัวความเป็นจริงหรือตามความเป็นจริง คำว่า ศัพท์คำว่า รู้ตามความเป็นจริงนี้ลึกซึ้งซับซ้อนมาก มันรู้ตามความเป็นจริงแล้ว แล้วมันก็ไม่เกิดความสุขความสุข หรือรู้ตามความจริงนั้นหมายความว่าอะไรที่เรารู้นั้นมันเป็นอย่างไร จบในตัวมันเองอย่างเดียวมันไม่เป็นสภาพ 2 ไม่มีสภาพ 2 ซ้อนขึ้นมา เป็นอาการชอบหรือไม่ชอบ ผลักหรือดูด สุขหรือทุกข์ พยัญชนะคู่ อย่างหยาบๆทำได้ แล้วจะค่อยๆมีปฏิภาณปัญญารู้รายละเอียดสัมผัสอีกแล้วมันไม่มีสภาพคู่ มันมีแต่สภาพเดี่ยว จนกระทั่งเฉยๆ 0 กลางๆ ก็เข้าไปสู่ความไม่ทุกข์ไม่สุข พยัญชนะก็สื่อได้ประมาณนี้ สภาวะไปทำเอาเอง

_พันธุ์ พอเพียง : พอเข้ากระแสแล้ว ก็จะต้องสัมโพธิปรายานอยู่ดีแหละครับท่าน มิเช่นนั้น จะช้าเหมือนวิสาขาหนะครับ ผมจำชื่อไม่ได้หนะครับ ภิรตะโสดา อะไรประมาณนี้หนะครับ เจริญธรรมครับ

พ่อครูว่า…โสตาปันนะ คือ แปลว่าจิตเข้ากระแส คนที่เข้าใจเป็นแบบภาษาทฤษฎีแล้ว พระพุทธเจ้าแบ่งไว้ 4 คน ถ้าพูดอย่างง่ายๆคนคนนี้ก็จะประมาท เข้ากระแสแล้ว เดี๋ยวมันก็จะไปเอง เข้ากระแสแล้วก็จะต้อง สัมโพธิปรายนะ คือไปสู่ที่สุดที่สูง (สู่แดนธรรมว่า หากไม่เที่ยงแท้ก็ไม่ได้) ต้องเข้าไปอีกขั้นหนึ่ง คือ อวินิปาตธรรม เข้ากระแสแล้วไม่วูบวาบ แข็งแรงจนกระทั่งเป็น นิยตะ แปลว่าเที่ยงไม่ถอยกลับแล้ว แล้วมั่นคงไปขั้นที่ 4 จึงเป็นสัมโพธิปรายนะ

คำว่า ไม่ประมาท เป็นอุปกิเลสตัวปลายสุด

มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ ตัวปมาทะสูงสุดเป็นตัวสุดท้ายเลย ระมัดระวังให้ดีๆ

สื่อธรรมะพ่อครู(กาย) ตอน แยกกายแยกจิตให้เป็นอุตุธาตุ

_ตรีกาย : มีแต่องค์ตถาคตเท่านั้นคือธรรมกาย เพราะแสดงทั้งกายธรรม และพระสัทธรรมแท้

พ่อครูว่า…ก็ใช้ได้ ธรรมกายเต็มๆเจ้าของพุทธธรรมก็คือพระพุทธเจ้ามีรูปนามเต็มๆ เราก็เอาตั้งแต่ กายน้อยๆ ค่อยๆเรียนรู้กายนี่แหละ คำว่า กายคำนี้ จึงต้องเข้าใจให้ดีๆให้ได้ ถ้าเข้าใจคำว่ากายไม่สมบูรณ์แบบไม่มีสิทธิ์เป็นอรหันต์

แยกกายได้ แยกจิตแยกพีชะ อุตุได้ มันอยู่กับเราขั้นนี้เป็นอุตุ พีชะ หรือจิต แล้วก็เป็นกรรมกับธรรมะ เป็นสภาวะ สอง กรรมเป็น Dynamic ธรรมะเป็น Static ที่จะให้เกิดสภาวะเป็นจิตสมบูรณ์แบบ ก็จะทำให้เป็น พีชะได้ อุตุได้ แล้วเราก็อาศัยพีชะในฐานะเป็นชีวิต สิ่งที่ไม่เป็นชีวิตก็ทิ้งไปเป็นอุตุ อบายมุข เป็นอุตุไปเลย กามเป็นอุตุไปเลย รูปราคะก็ทำให้เป็นอุตุเลย สุดท้ายทำได้หมดเลย ไม่มีแล้วขั้นพีชะก็ไม่เหลือ คุณก็อาศัยพีชะโดยธรรม คือไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่บาปไม่บุญ แต่อยู่ฐานเป็นอุตุไปแล้วแต่มีจิตเป็นตัวประธานเป็นตัวรู้ครอบงำสิ่งนี้ทั้งหมด ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ นี่คือสัจจะที่อาตมาอธิบายภาษาสู่ฟังใช้สำนวนภาษาไทย อีกหน่อยไม่ถึงร้อยปี ที่อาตมาพูดไว้เขาจะเอาไปแปลเป็นภาษาอื่น เพราะไม่มีคนอื่นพูดได้อย่างอาตมา ไม่กลัวใครแย่งด้วย ต่อไปคนที่มีปฏิภาณปัญญาจะค้นคว้าขึ้นมาแล้วจะเห็นความสำคัญ อีกกี่ปีชาติไหนก็ไม่รู้ล่ะ อีก 10 ปี 20 ปี 30 ปี ก็ ไม่ต้องไปดูไบ ดูไปก็แล้วกัน

_ดาว : กราบนมัสการท่านพระครูและนักบวชทุกท่านที่เคารพเป็นอย่างยิ่งค่ะ ดูพ่อครูอยู่ประจำอยู่ฝรั่งเศสค่ะ

พ่อครูว่า…อาตมาเป็นพระครูไม่ได้ผิดกฎหมาย แต่เรียกสมณะครูก็ยังได้ แล้วเขาก็มาเรียกพ่อซะเลย

_0015 คนหลงอัตตา เหมือนสิบตรีหลงแง่ง ขนาดรถชนตรงกลางลำรถยังฉีก(ภาพในอดีตที่พ่อท่านเคยเขียน) อัตตามันแกร่งขนาดนั้นหรือครับ

พ่อครูว่า…มันยิ่งกว่าเลย มันเหมือนกับโจรร้ายที่พระราชาให้เอาไปฆ่าด้วยหอกร้อยเล่มในตอนเช้า มันก็เหนียวแน่น มันก็ยังเป็นตัวอยู่ครบเครื่อง เป็นโจรครบเครื่อง พระราชาก็ถามเจ้าพนักงานอีกว่ามันตายหรือยัง ก็ยังอีกก็เอาไปฆ่าตอนกลางวันอีกมันก็ยังไม่ตายเอาไปฆ่าตอนเย็นอีกมันก็ยังไม่ตาย โจรโด้ง่าน มาจากภาษากลับที่ว่า โจรที่ด้านและโง่ผสมกัน ศัพท์คำว่าโด้ง่านนี่ หนักที่สุดแล้วไม่มีทางแก้ หวังว่าพวกนั่งหลับตาปฏิบัติจะเป็นผู้โด้ง่านหรือเปล่า เป็นโจรร้ายที่ทำลายศาสนาที่พระราชาให้เอาไปฆ่าด้วยหอกร้อยเล่มเช้ากลางวันเย็นหรือเปล่า จะโด้ง่านไปถึงไหน

_ทำอย่างไรเราจะเลิกคิดฟุ้งซ่านได้ครับ

พ่อครูว่า...เป็นปัญหาโลกแตกจริงมันยาก ก็ต้องพยายามมาถือศีลตั้งใจปฏิบัติธรรม ตั้งแต่ศีลข้อที่ 1 เรื่องเกี่ยวกับสัตว์ก็อย่าไปรังแกสัตว์สัมผัสกับสัตว์ก็ให้ระมัดระวังให้ความเอ็นดูให้ความเมตตามันหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ช่วยเหลือมัน สัมผัสกับของต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุไม่ว่าจะเป็นพืช เราก็อย่าทุจริต ไม่ใช่ของของเราอย่าไปเอามาเป็นของของเราอย่าไปอยากได้ของคนอื่นเอาแต่ของที่เขาให้ หรือเอาของที่เรามี อย่าไปทุจริต ข้อที่ 2 นี้ไม่ได้มากมายเลย ใช้แต่ของที่ได้โดยธรรม แต่อยากได้ก็อย่าไปทำทุจริต ต้องทำอย่างสุจริต และไม่ไปโลภมากมีให้น้อยก็พอ

ส่วน ศีลข้อที่ 3 เกี่ยวกับ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ตาหูจมูกลิ้นกาย กามคุณ 5 มันจัดจ้าน เล่นอันนี้นี่แหละ เรียนจนกระทั่ง ศีลข้อที่ 1 เจอกับสัตว์ก็สบาย เครื่องข้าวของ ก็ค่อยๆลดลงไปจนกระทั่งของทุกอย่างอยู่กับเราก็เราสบาย เหลือราคะ มันลดลงๆ จนหมด ขั้นสกิทาคามี ขั้นอบายขั้นโสดาบันแล้วก็สกิทาคามีจึงหมดกามคุณ 5 ไม่ได้ง่ายนัก

_บุญยิ่งแก้ว..หลังจากประสบอุบัติเหตุก็ได้รับความช่วยเหลือจากระบบสาธารณโภคี ได้รับการช่วยเหลือดูแลดี แต่ด้วยความที่ตนเองเมื่อก่อนอยู่อัมพวา ตอนสมเด็จพระเทพฯเสด็จเราก็จะไปช่วยทีมงานจัดงานรับเสด็จ เราก็หอบกระเช้าจากที่นี่ไป ทางสันติอโศกก็จัดกระเช้าให้ ที่จริงซื้อของให้ก็ได้ แต่อยากโชว์ผลิตภัณฑ์ของอโศก

_ใสกลางเพ็ญ...พี่ๆน้องๆแกล้งกันจะได้รับวิบากกรรมอะไร?

พ่อครูว่า...แกล้งกันมีสองแบบ แกล้งอย่างสนุกๆกับแกล้งเพื่อให้รับโทษภัยบาดเจ็บสูญเสียเกิดความไม่ดีขึ้นมา อย่างนั้นไม่ดี แต่ถ้าแกล้งแหย่ๆกันไม่เป็นไร ถือว่าเป็นเพื่อนสนิท เด็กๆก็แกล้งกัน ผู้ใหญ่ก็ทำได้นิดหน่อย ไม่ถือสากัน เจอหน้ากันต้องเตะกัน1 ทีก่อน ไม่เตะไม่สนุกเป็นต้น พวกผู้ชายก็จะเล่นกันแรงๆอย่างนี้ ถ้าแกล้งเพื่อให้เขาเสียหาย เป็นบาป ถ้าแกล้งแหย่ๆเล่นๆ ไม่เป็นไร

_ธัมโม...ผมอายุ 3 ขวบ ถามว่า ของเล่นเอามาจากอะไร

พ่อครูว่า...เอามาจากไอ้ที่เด็กอยากได้ อันที่เด็กอยากได้เป็นของเล่น จะตอบว่าของเล่นมาจากดินน้ำลมไฟก็จะยากไป

_ธัมมะ...ธรรมะ 2 คืออะไรครับ

พ่อครูว่า...อายุ 5 ขวบแล้ว ธรรมะ 2 คือ 1 เราโกรธ กับ เราไม่โกรธ

รู้จักความโกรธไหม ความโกรธกับความไม่โกรธก็สองอย่าง เราจะทำโกรธหรือทำไม่โกรธดี ..ทำไม่โกรธ ก็ต้องเลือกเอา 1 ที่ดี นั้นคือเรียนรู้จักธรรมะ 2

_ภูมิ..หลวงปู่ครับทำไมต้องทำงานด้วยครับ

พ่อครูว่า...ตอบมาหลายทีแล้ว ทำไมต้องทำงาน ถ้าไม่ทำงานนี่นะ มันเป็นคนไม่ดี เป็นคนแล้วต้องทำงาน มดมันทำงานไหม?...ทำครับ ทำไปเพื่อหากิน ถ้าเราไม่ทำงานเราจะเลวกว่ามดไหม?....ไม่ไป...ทำไมไม่เลวกว่ามด ขี้โกงนี่ไม่เอาทำงานนี่หว่า

ไม่ทำงานไม่ดี ต้องทำงานที่ควรที่เป็นประโยชน์งานที่เราต้องกินใช้อาศัย เช็ดบ้านกวาดบ้านถูบ้านบ้าง เราจะต้องช่วยผู้ใหญ่ยกข้าวของ ที่พอจะยกได้ เราจะต้องช่วยในส่วนนั้นส่วนนี้ที่เราพอทำได้ เรียกว่าทำงาน ภูมิต้องไปพยายามทำงาน

_ถ้าชีวิตเราไม่ดีและทำยังไงถึงดีครับ

พ่อครูว่า...ก็พยายามขยันทำให้ดีๆๆๆๆให้มาก ถ้าเรารู้อยู่ว่ามันไม่ดีอย่าไปทำให้ทำแต่ดี

_เราจะทำอย่างไรถึงไม่ติดอบายมุขครับ

พ่อครูว่า...ชัดเจนในอบายมุข มันเป็นของต่ำมันเป็นของไม่ดี เอาให้ชัดเจนอะไรที่เป็นอบายมุขที่เรากำลังรู้ เราก็ดูจากผู้ใหญ่ชาวอโศกที่ไม่ทำแล้ว ใช่ไหม ผู้ที่เรายกย่องแล้วท่านไม่ทำเลย ก็ต้องเข้าใจให้ได้ ต้องเอาให้ดีอย่างที่ผู้ใหญ่ที่ท่านทำดี ถ้าเราไปทำไม่ดีมันก็จะต่ำเราก็จะไม่เจริญ เห็นด้วยปัญญาเข้าใจให้ได้ชัดเจน ว่าเราจะต่ำ จะวุ่นไปกับอบายมุขไปตลอดเราจะไม่เจริญเหรอ ถามตัวเอง ไปตลอด เราว่ามันต่ำ แล้วเราจะไปเอาสิ่งที่ทำสิ่งที่เลวมันฉลาดหรือโง่ ...ก็จบ

_สภาวะของสวรรค์และนรกเป็นอย่างไรครับ (ทั้งตอนที่มีชีวิตและตอนตาย)

พ่อครูว่า...ทั้งตอนมีชีวิตและตายลงไป สิ่งที่เราเกิดในความรู้สึกนั้นเหมือนกัน ความรู้สึกที่เป็นๆกับความรู้สึกที่ตายไปแล้ว เป็นความรู้สึกอันเดียวกัน เรานอนหลับก็ความรู้สึกตอนตื่นมาก็เป็นความรู้สึกเดียวกัน ตอนมีชีวิตกับตอนตายจะเป็นความรู้สึกเดียวกัน

สภาวะของสวรรค์ก็รู้สึกอย่างหนึ่ง นรกก็รู้สึกอย่างหนึ่ง ความหมายที่ทดแทนกันได้สวรรค์ก็คือความสุข นรกก็คือทุกข์ ถ้าเผื่อว่าเอาคำว่าสุขแล้วคำว่าทุกข์จะเข้าใจง่ายกว่าสวรรค์และนรก เพราะคำว่าสวรรค์และนรกนั้น สวรรค์เป็นความหมายของภพ แต่ภพเป็นเรื่องรูปสถานที่ แต่สุขกับทุกข์เป็นเรื่องของนามจิตใจความรู้สึกในความรู้สึกทุกข์และสุข

สุข ก็คือสวรรค์ ทุกข์ ก็คือนรก ศาสนาพุทธไม่มีทั้งสวรรค์และนรก เพราะสวรรค์และนรกคือมายาทั้งคู่ไม่ใช่ของจริงเลย ผู้ใดรู้จักความสุขที่เราไปติดในอบายมุขมีความสุขในอบายมุขก็ต้องมีความสุขในอบายมุข ติดกาม ติดรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ก็ต้องมีความทุกข์ หรือจะไปหลงว่าเป็นความสุขอยู่กับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เพราะฉะนั้นเราดับความสุขความทุกข์ ก็หมดทั้งอบาย หมดทั้งกาม หมดทั้งรูป อรูปเลย เป็นลำดับละเอียดขึ้นไป

_ผมอยากรู้ว่าคำหยาบเป็นอย่างไรครับ ทำไมถึงพูดแล้วผิดครับ

พ่อครูว่า...จะหนักหนาสาหัสนะ

สู่แดนธรรมว่า...สมัยนี้ เด็กพูดคำหยาบเป็นปกติ แต่สมัยก่อนเขาสังวร เช่นคำว่าเชี่ย นี่ เขาพูดกันเป็นปกติ

พ่อครูว่า...ก็ต้องรู้สมมุติของผู้ใหญ่ ผู้ที่เจริญแล้วเขาไม่พูด พวกเขาที่พูดกันแล้วมันต่างกับที่เขาพูด ผู้ใหญ่บอกว่ามันไม่ดีมันหยาบ เราก็สัญญากำหนดหมายเลิกเสีย เข้าใจให้ได้ หากไม่รู้ก็ถามผู้ใหญ่ถามผู้รู้ว่า คำนี้เป็นคำหยาบหรือไม่ เราก็จะรู้ว่า มันหยาบ ภาษาสื่อคำนี้มันหยาบ เข้าใจสภาวะให้ได้

_ปฏิจจสมุปบาทโดยอนุโลม การเสียการได้คืออะไร? ประเทศไทยยอดยิ่งยวดเพราะ?

พ่อครูว่า...ก็ตอบสั้นๆว่า ปฏิจจสมุปบาทเพราะว่าเพราะเหตุนี้จึงเป็นผลนี้ ต่อไปจนกระทั่ง คำต้นแล้วก็คำจบ คำต้นคืออวิชชาก็รู้คำต่อมาคือสังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา(สังขารกับเวทนาอาการคล้ายกันแต่มีมิติต่างกัน สังขารหยาบ แต่เวทนาละเอียดที่ความรู้สึก สังขารมีเหตุปัจจัยมีองค์ประกอบเยอะ แต่ไปอ่านที่ความรู้สึกแล้วทำตรงนี้ นี่เป็นกรรมฐานของศาสนาพุทธแยกเวทนาที่มันมีเหตุอะไรจึงเกิดความรู้สึกโดยเฉพาะมาแยกความสุขความทุกข์ภาวะ 2 )

การเสียกับการได้ เสียไปกับได้มา ก็ไปทำความเข้าใจเอาเอง

ประเทศไทยยอดยิ่งยวด เพราะมีคุณธรรมของพระพุทธเจ้า...ขณะนี้กำลังอธิบายการเมืองประเทศไทยที่มีการเมืองยอดยิ่งยวดดีที่สุด กำลังรวมหมวดธรรม 5

1.คำว่าอิสระ 2.คำว่าทาน 3.คำว่าปัญญา 4.คำว่าอนุกัมปายะ 5.คำว่าอนัตตา

5 คำนี้ต้องขยายความให้ฟังแล้วทำให้ตัวเองมีคุณสมบัติมีคุณธรรม หรือเรียกว่าคุณวิเศษว่าทานอย่างไร ถึงจะเป็นโลกุตระ

อิสระมันสุดยอดแล้ว เราเป็นอิสระจริงๆไม่ได้ตกเป็นทาสของใครเลย แม้แต่ทาสโลก ทาสอัตตา ทาสนามธรรม หมดเลย คือ เป็นอิสระไม่เป็นทาสสิ่งใดๆ

และเป็นผู้มีปัญญา ปัญญาก็กำลังเขียนเป็นเล่มหนึ่งเลย เป็นปัญญา 8 ซึ่งลึกซึ้งมากสำหรับคำว่าปัญญาเดี๋ยวนี้เอาคำว่าปัญญาไปใช้เล่นแทน เฉโก จนปัญญาหมดท่าเน่าเละเป็นเฉโก เฉโก ยังมีดีชั่ว รวยดี จนชั่ว แต่โลกุตระนี้รวยชั่วจนดี ศึกษาให้ดีๆ จะเป็นสภาพสิริมหามายาเหมือนกับการพูดกลับไปกลับมาอะไรจริงกันแน่อะไรไม่จริงกันแน่

_ หนูอยากถามว่า ทำอย่างไร เราถึงจะมีสติในการทำงาน แล้วจะไม่ผิดศีลง่ายๆคะ

พ่อครูว่า...ศีล เอาศีลก่อน ทำศีลไปตามลำดับ ศีล ข้อที่ 1 พยายามทำให้ได้เถอะ ทั้ง 3 ข้อเรื่องเกี่ยวกับสัตว์เรื่องเกี่ยวกับของ เรื่องเกี่ยวกับตัวเรารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสทั้ง 5 ทวาร ตั้งแต่ หยาบ กลาง ละเอียด

 เอาหยาบก่อน ไปติดยึดใน รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส

ถ้าเราจะทำก็ตั้งศีลสมาทานศีลขึ้นมา ศีล 5 เป็นอย่างง่ายแล้ว ก็ทำประมาณของเรา เกี่ยวกับสัตว์ก็ขนาดนี้ ของเรานี้มาตรฐานเราก็คือ สัตว์ทั้งหลายเราก็ไม่ใช่เมตตาแต่ว่าเมตตาไม่มีประมาณ แต่เราเมตตา ยังไม่ต้องไปคำนึงถึงสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายมาก เข้าใจง่ายๆว่าสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย จงอยู่ของเอ็ง เป็นธรรมชาติไป เราไม่ต้องไปทำให้เขาบาดเจ็บให้เขาตาย เขาจะอยู่อย่างไรไม่ต้องไปยุ่งกับเขาเลย งูมันจะกินเขียดก็ไม่ต้องไปช่วยมัน เพราะว่ามันเป็นวิบากของมัน มันเป็นอาหารของมัน ไม่ให้มันกินเขียดจะให้มันกินตอไม้หรืออย่างไร มันกินพืชผักผลไม้ไม่ได้ มันก็ต้องกินเขียด มันกินสัตว์ เราก็ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน มันเป็นวิบาก วัฏสงสาร กรรมวิบากอธิบายไม่ไหวเป็นอจินไตย

แม้แต่ข้าวของก็อย่าไปทำการทุจริต ให้สุจริตไว้ แล้วเรามีการทำทานเสียสละ อย่าเสียสละจนตนเองลำบาก เราก็จะมีความสามารถในการที่จะ มีไว้อาศัยแต่น้อยไว้ แต่อย่าให้ถึงกับขาดแคลน ลำบากลำบน เบียดเบียนผู้อื่นมาช่วยตนซ้อนอีก ไม่เอา ตนเองต้องพึ่งตนไม่เบียดเบียนใคร นี่คือข้าวของ

ส่วน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ต้องศึกษาให้ดี เกี่ยวข้องจนกระทั่งเป็นถึงพระพุทธเจ้าก็ยังมีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เรื่องของเรื่องสัตว์ไม่ต้องเกี่ยวมากมาย ท่านก็อาศัยมีแต่คนจะเอามาให้ ก็ศึกษาไปตามลำดับดังนี้ก็จะค่อยๆไปพัฒนาขึ้นไป

ขอยืนยัน เมืองไทยจะเป็นตัวอย่าง เป็นด้านคุณธรรมของโลก เป็นที่พึ่งของโลก ชาติอื่นๆที่เขายังไม่ประสีประสากับโลกุตรธรรม เพราะว่าในอนาคตคนจะมาพึ่งพาโลกุตรธรรม เพราะว่าโลกียธรรมมันวนเวียนมันเต็มมันเวียนวนจนเขาพยายามหาทางออก เพราะฉะนั้นทางออกอยู่ที่นี่ ทางออกของโลกอยู่ที่นี่อยู่ที่ประเทศไทย แม้แต่ประชาธิปไตยก็เป็นประชาธิปไตยไทยๆ ที่มีคุณธรรม อาตมากำลังเขียนขยายความอยู่ว่าจะต้องมีคุณสมบัติ 5 ประการอย่างที่ว่า ถ้าจิตใจของเรามีคุณธรรมเจริญด้วย ทาน อิสระ ปัญญา อนุกัมปายะ อนัตตา รับรองว่านี่เป็นโลกุตระ เป็นประชาธิปไตยที่เป็นโลกุตระ

_เด็กค่ายม.1 ผม ไฟสายฟ้า...ทำยังไงครับ ให้ไม่ท้อแท้ และเหนื่อยกายเหนื่อยใจ

พ่อครูว่า...เหนื่อยกายเหนื่อยใจ เหนื่อยกายมันต้องมีเป็นธรรมดา เหนื่อยใจนี่มันเป็นเรื่องอุปาทาน ใจมันไม่เหนื่อยมันไม่เว้าไม่แหว่งไม่สูงไม่ต่ำ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
(สู่แดนธรรมว่า... พ่อท่านเคยบอกว่า อย่าไปหวังแล้วจะไม่ท้อ)

ไอประท้วงเลย วันนี้สมควรแก่เวลา ก็ขอจบการแสดงความไว้แต่เพียงเท่านี้ จบ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:52:41 )

630205

รายละเอียด

630205_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ลำดับการฝึกฝนของสายศรัทธากับสายปัญญา

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่...  https://docs.google.com/document/d/1G0GkVCh_1arBUdfciDzrIZcNxsp4aTuook0pJN5pbMA/edit?usp=sharing              

ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1tgaKdo0UC90XdbN4UeceWea3hf8NubU7

สมณะฟ้าไทว่า.. วันนี้วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563 ที่บวรราชธานีอโศก อีก 3 วันก็มาเข้างานพุทธาภิเษกฯครั้งที่ 44 มาถือศีล 8 กัน ไปที่ถือศีล 5 ก็มาถือศีล 8 ลดละกามคุณ 5 มากินข้าวมื้อเดียว มาเป็นคนเล็กคนน้อยให้คนเขาใช้เราได้

พ่อครูว่า…

_SMS วันที่ 3 ก.พ. 2563 (สำมะปี๋ซี๊วิต พ่อครู : บ้านราช)

_สมณะคิดถูก : ผมเข้าใจว่าความทุกข์ที่เกิดจากความสุขหรือความทุกขที่เกิดจากความทุกข์นั้นแหละที่พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนวัวไม่มีหนัง ไม่มีภูมิคุ้มกันตัวเอง เจอผัสสะที่ทำให้สุขก็สุขตาม เจอผัสสะให้ทุกข์ก็ทุกข์ตาม เพราะไม่รู้เท่าทันเวทนา ว่าเวทนามันไม่ใช่ตัวตน มันเป็นแค่เพียงความรู้สึก เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป

พ่อครูว่า…ถูกต้องแล้วเพราะเวทนามันไม่ใช่ตัวตนมันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป จริงๆแล้วก็แค่สัมผัสแล้วเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป มันไม่มีการปรุงแต่ง เป็นบวกเป็นลบ เป็นภพเป็นชาติอยู่ ผู้ที่ยังมีภพมีชาติ เป็นตัวเป็นตน ก็แน่นอนก็ยังเป็นสุขเป็นทุกข์

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นาม 5) ตอน ภาคปฏิบัติของนาม 5

_นายสันติ จรูญวิทยากร : กราบนมัสการหลวงปู่ครับ ขออาราธนาให้หลวงปู่ช่วยอธิบาย "นาม 5" ว่าเป็นอย่างไรบ้างน่ะครับผม กราบขอบพระคุณครับ.

พ่อครูว่า…ลูกชายคุณกำจร จรูญวิทยากร …

ก็อธิบายบ้าง ถ้าไม่รู้นาม 5 รูป 28 เอามาเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติ คุณก็จะไม่ได้รู้สภาวะธรรมที่ละเอียดละออ สมบูรณ์แบบจริงๆ อาตมาก็พยายามอธิบายวนเวียนซ้ำซาก ผู้ที่มีธรรมรส ไม่เบื่อหรอก ฟังแล้วยิ่งจะเข้าใจซาบซึ้ง อธิบายแล้วจะ จับมุมเหลี่ยม มิติของสภาวะที่มีมากมายไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเหลี่ยม เหมือนเดิม แต่ฟังมุมใหม่ๆๆ ฟังให้ดี สุสูสังลภเตปัญญัง อานิสงส์แห่งการฟังธรรม 5 ประการ ได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน ก็ได้ฟังอันนี้ใหม่ ขึ้น ความเข้าใจก็ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทิฏฐิของเราก็ตรงมากยิ่งขึ้น ทิฏฐิงอุชุงกโรติ ความสงสัยคลางแคลงวิจิกิจฉาก็หมดลงๆๆ จิตใจก็เลื่อมใส สว่าง ยิ่งเจริญขึ้นสว่างโล่งโปร่ง

ทีนี้ นาม 5 ที่สันติเขาถามมานี่

เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

นาม 5 นี่แหละ พระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 14

สภาวะ 5 นี้แหละเวทนาสัญญาเจตนา เป็นนามธรรมตัวแท้ที่จะต้องเรียนรู้โดยมีสัญญาเป็นตัวกำหนดเข้าไปทำการเลย ตั้งแต่การกำหนดรู้ สำคัญมั่นหมายในสิ่งที่มันเป็นอย่างนั้นกำหนดสิ่งที่เป็นตัวการปฏิบัติ สัญญา อ่านเวทนา พออ่านเวทนาได้แล้วเจาะเวทนา ในเวทนาจะมีตัณหา มีผัสสะแล้วมีเวทนามีตัณหา ตามปฏิจจสมุปบาท ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ตัณหาเป็นตัวเคลื่อนที่เป็น Dynamic ส่วนอุปาทานเป็นกิเลสตัวคงที่ static เท่านั้นเอง อ่านตัวนิ่งอ่านยาก อ่านตัวตัณหาทำลายตัณหาก็หมดอุปาทานไปด้วย มันจะหมด มันจะเข้าใจไปเรื่อยๆ ไม่ใช่เป็นตัวปฏิบัติจะเป็นตัวผลของการปฏิบัติ ตัดตัณหาได้อุปาทานก็ลดลงๆๆ

สามตัวนี้ จะเป็นตัวที่จะเข้าไปทำงาน เวทนาสัญญาเจตนา ซึ่งเราจะต้อง ผัสสะ

นี่เป็นตัวที่บ่งบอกชัดเจนเลย ปฏิบัติธรรมไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาไม่มีให้อ่าน สัญญากำหนดเวทนาไม่ได้ ไม่ได้เรียนเวทนา เราจะไปเจาะหาเจตนาที่เป็น กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ตามลำดับไม่ได้ ต้องดับกามตัณหาก่อน หมดกามตัณหาก็เหนือกาม สัมผัสกามแล้วก็เฉยๆไม่มี กิเลสกามไม่เกิด เหลือภายใน รูปราคะ อรูปราคะ ก็ตามไปรู้

รูปนี้ทำให้หมดกิเลสในรูป เหลืออรูปก็กำจัดอรูปอีกที พอกำจัดอรูปหมดภพชาติ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ภพ 3 ก็หมดสิ้น เป็นภพที่อาศัยเป็นภพที่ไม่มีภพ เป็นวิภวภพ

ก็เหลือตัณหาเป็นวิภวตัณหา เป็นตัณหาที่หมดภพสามแล้ว เป็นตัณหาที่ทำงานเป็นประโยชน์ ตัณหาที่ไม่มีตัวตน ก็เอาพลังงานที่เป็นตัวปรารถนาต้องการ เป็นตัวที่ต้องการทำเพื่อผู้อื่นอย่างไม่มีตัวตน ไม่ได้เสพให้แก่ตัวตนไม่ได้บำเรอกิเลสตัวตนเลย

เพราะฉะนั้นคุณจะทำการมนสิการ ในนาม 5 จะทำใจในใจ ที่พูดที่อธิบายนี้คุณจะต้องทำมันอยู่ในใจของคุณ หากคนไม่มีปัญญารู้จักอาการ หทยรูป มันไม่มีตำแหน่งที่อยู่ แต่มันอยู่ในตัวตนเรานี่แหละไม่นอกจากกายยาววาหนาคืบกว้างศอกพร้อมสัญญาและใจอยู่ในนี้ในคูหาสยัง หากไม่มีอาการมันก็ดูยาก แต่ถ้ามันมีอาการก็ดูง่ายกว่า จับอาการได้รู้หทยรูป แล้วคุณก็ตีแตกแยกแยะให้ได้ แยกทีละคู่

พอผัสสะแล้วเกิดเวทนา แยกเวทนานี่แยกได้ 108

เวทนา 2 คือสภาพเคหสิตเวทนากับเนกขัมสิตเวทนา นี่คือคู่สำคัญ

ตั้งแต่กายิกเวทนากับเจตสิกเวทนา

แยกเป็นเวทนา 3 สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์

แล้ว สุขทุกข์และไม่สุขไม่ทุกข์ มันมีรสชาติน้ำหนักความเข้มข้นความมากความน้อย เรียกว่าเวทนา 5 มี สุข ทุกข์ โสมนัส โทมนัส

ทุกข์ สุข คือหยาบภายนอก หากหมดสุขทุกข์ภายนอก ก็เหลือภายในเป็นโสมนัสโทมนัส เหลือเป็นอินทรีย์ กำลังของมันเฉยๆกลางๆ ตัวฐานนิพพาน อุเบกขา คุณก็อ่านสุข ทุกข์หมดเป็นอุเบกขา

ที่มีนี้มาทาง 6 ทวาร ตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ 6 ทวารก็เกิดความสุขความทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์ก็ได้ ก็เป็น เวทนา 18

ทางโลกีย์ เคหสิตเวทนาก็ 18 แต่สะสมใส่อาสวะอนุสัย ก็เขาไม่รู้เขาเสพแล้วก็ติดยึดสั่งสมใส่คลังแห่งอนุสัย อาสวะ ใส่คลังโลกียสมบัติ ก็ยิ่งหน้ามืดไปเรื่อยๆเพราะกิเลสมันยิ่งหนาไปเรื่อยๆ เวทนายิ่งจัดจ้านไปนานเท่านาน

แต่ในโลกุตระ มันยิ่งจางคลาย สุข ลดลง ทุกข์น้อยลง โทมนัสน้อยลง โสมนัสน้อยลง อุเบกขาก็ยิ่งจริงๆ ยิ่งละเอียด มันเป็นตัวเล็กที่สุดอย่างไร เล็กๆๆๆๆ จึงได้ใช้พยัญชนะบอกว่า

ปริสุทธา ปริโยทาตา เป็นตัวเคลื่อน มุทุ เป็นตัวกลาง ทั้งเร็วทางปัญญา ทางเจโต คล่องยิ่งเร็ว กัมมัญญา กับปภัสสราเป็นตัวเคลื่อน

ความเป็นสมาธิของพระพุทธเจ้าจึงเป็นจิตที่เร็วคล่องแคล่ว สว่าง ทำงานได้มากด้วย กัมมัญญาได้ดีได้เหมาะควรลงตัว  ประเสริฐมากยิ่งขึ้น จิตก็ยิ่งปริโยทาตา ประภัสสร ก็ยิ่งบริสุทธิ์สุดๆๆ ประภัสสร มากขึ้นก็สะสม ความบริสุทธิ์ ให้ยิ่งสะอาดบริสุทธิ์ มุทุก็ยิ่งคล่องแคล่วว่องไว เป็นกายปาคุญญตา เน้นภายนอกก็คล่องแคล่ว จิตปาคุญญตาก็คล่องแคล่วในจิต อย่างนี้เป็นต้น นี่คือธรรมะของพระพุทธเจ้า ดีนะที่มีหลักฐานพยัญชนะมีบาลีอธิบายซึ่งหลายตัว พจนานุกรมบาลีท่านไม่ได้แปลอย่างที่อาตมาแปล ตรงเสียทีเดียว แต่คล้ายๆ

มุทุ เขาแปลว่าจิตอ่อน ฟังแล้วอ่อนใจ ที่จริงไม่ได้อย่างนั้น มันยิ่งเร็วหัวอ่อนปรับไว

คุณก็ฟังความ 2 ข้าง ของอาตมากับของคนอื่น คุณจะช่วยอะไรก็ไม่มีการบังคับเป็นอิสรเสรีภาพ

มุทุนี่เร็ว แต่ทางโน้นมู่ทู่ ไม่มุทุ นี่มุทุเร็วนะ ใช้พยัญชนะซ้อน แต่เข้าใจสภาวะใช่ไหมที่อาตมาพูด แต่อย่าไปติดยึดภาษาบัญญัติมาก แต่ไม่ใช่มีหลักฐานอ้างอิงยืนยันอาตมาพูดอย่างมีหลักฐานอ้างอิงยืนยัน

สรุปที่สันติเขาถามมา นี่คือ นาม 5 เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

ติดตามให้ดี

 

_นิมนต์จิบน้ำ

ส.ฟ้าไท

สื่อธรรมะพ่อครู(บุคคล 7) ตอน ลำดับการฝึกฝนของสายศรัทธากับสายปัญญา

พ่อครูว่า..มาเข้าเรื่องของ บุคคล 7

สัทธานุสารีเป็นบุคคลสายศรัทธา ปัญญานุสารี เป็นบุคคลสายปัญญา ก็มี 2 สายเป็นสัจจะมาแต่ไหนแต่ไร แกนศรัทธากับแกนปัญญา

ทีนี้แกนศรัท​ธานี้แหละ แกนศรัทธา จะเห็นได้ว่าแกนศรัทธา (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

แกนศรัทธาช้า แกนปัญญาเร็ว เร็วกว่ากันเยอะเลย ลองดูตาม pattern

แกนศรัทธาต้องเติมปัญญามาทางธัมมานุสารี เติมสัมมาทิฏฐิมาเรื่อยๆ ก็ได้ปัญญาสัมมาทิฏฐิที่สูงขึ้น แม้แต่สายศรัทธาหากไม่มาได้ปัญญาจะวนอยู่ที่ศรัทธาวิมุติ อยู่อย่างนั้นนานแสนนานนานแสนนานเลย ศรัทธา แล้วคุณก็หลงว่ามีวิมุตินะ ไปถามอาจารย์มั่น มหาบัว ไปถามสายที่นั่งหลับตาบอกว่ามีศรัทธาวิมุติ เขาสงบสบาย แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาเหมือนวัวไม่มีหนัง เหมือนคนที่จะวิ่งลงนรก เหมือนคนเอาไปฆ่าด้วยหอกร้อยเล่ม เช้ากลางวันเย็นก็ยังไม่ตายนั่งหลับตา บื้ออยู่นั่นล่ะ ไม่เปลี่ยนแปลง เขามีสัทธาวิมุติ ๆ จนกว่าจะได้ปัญญาทางสายปัญญา ก็จะได้ปัญญามากขึ้นเรื่อยๆ

แม้ที่สุดได้สัทธาวิมุติ ไม่ติดแล้วก็คลายก็ไปได้ทางธัมมานุสารี

หากคุณเป็นสัทธานุสารี แล้วพยายามได้ปัญญาจากธัมมานุสารี ไม่ไปติดใจในสัทธาวิมุติจะเร็ว แต่หากติดในสัทธาวิมุติก็จะวนอยู่ในวงวน สัทธานุสารีกับสัทธาวิมุติอีกนานนนนนน

แต่ถ้าคุณเกิดปัญญามากขึ้น คุณก็จะเจริญขึ้นเป็นธัมมานุสารี จะมีปัญญา

ธัมมานุสารีท่านไม่ใช้คำว่าปัญญานุสารี เพราะเกรงใจศรัทธา ให้ใช้ภาษากลางๆว่า ธัมมะ จริงๆโลกุตระคือปุญญา จะมีปุญญธาตุที่สามารถเผากิเลส ฌานโลกุตระไม่ใช่ฌานโลกีย์ ฌานโลกีย์มีแต่เพ่งกิเลสกดๆๆหนาหนักแน่นตีแตกแยกขึ้นยิ่งจมนานยิ่งตีแตกยาก ตื่นเสียทีๆ แดดออกแล้วฟ้าก็งามดุจเปลวทองไม่เกิน 10 นาที

เลื่อนขึ้นไป จากธัมมานุสารี ก็เคลื่อนมาที่ ทิฏฐิปัตตะ แปลว่าบรรลุสัมมามรรค เป็นความเจริญขึ้นมาเรื่อยๆ

พอทิฏฐิปัตตะแล้ว ถ้าเป็นสายปัญญา ธัมมานุสารีเริ่มต้นเลยไม่ใช่เริ่มที่สัทธานุสารี

พอมาเต็มธัมมานุสารีก็เป็นทิฏฐิปัตตะ แล้วตรงไปหาปัญญาวิมุติเลย แล้วก็ไปอุภโตภาควิมุติเลย ปัญญาวิมุติก็เป็นอรหันต์แล้วไม่ต้องผ่านกายสักขี

เพราะมีการแยกเขตชัดเจนตั้งแต่ต้น มีพ้นสักกายทิฏฐิ รู้คำว่ากายได้ชัดเจน

ที่ภิกษุบวชใหม่ท่านก็ให้อุปัชฌาย์สอนกรรมฐาน 5 ให้ จะพิจารณาแยกกายแยกจิตจากผมก็ได้จากขนก็ได้  จากเล็บก็ได้  จากฟันก็ได้  จากหนังก็ได้ มันเป็นภายนอก เป็นอาการ 32 ภายนอก แล้วแต่ถนัด แต่อาตมาถนัดอธิบายเล็บ จะแยกที่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนังก็ได้ แต่เล็บเห็นได้ง่าย

แยกว่า เมื่อไหร่มันเป็นกาย เมื่อไหร่มันเป็นจิต หากแยกไม่สัมมาทิฏฐิ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะพ้นทุกข์

กายที่เป็นพีชธาตุ ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เป็นชีวะเท่านั้น บางทีก็ไม่เรียกว่ากายของพีชะ โดยพยัญชนะว่ามีกาย แต่มันมีที่ติดกับตัวเราเหมือนเป็นกาย แต่ไม่มีความรู้สึกสุขทุกข์ไม่เจ็บไม่ปวด ไม่มีเวทนา

ส่วนที่ไม่มีเวทนาเจ็บก็ไม่มีปวดก็ไม่มี ชอบก็ไม่มีชังก็ไม่มี ทุกข์ไม่มีสุขไม่มี ตัวนี้แหละเป็น พีชธาตุ ซึ่งเป็นชีวะ ให้อาหารเลี้ยงมันก็อยู่ไปได้ หากเล็บถ้าออกจากร่างกายเท่านั้นแหละไม่ใช่ตัวเราแล้ว คนติดยึดก็ยังบอกว่าเป็นกายของข้า ของกูๆๆ ยังยึดอยู่เป็นของตน มันไม่ใช่แล้ว

เพราะฉะนั้นตัวที่ไม่มีเวทนาอ่านเวทนาไม่รู้สึกสุขหรือทุกข์เป็นชีวะก็ตาม ติดอยู่ที่ร่างกายเราก็ตาม ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น อ่านสิของตัวเองกระทบสัมผัสเมื่อไหร่ก็อ่าน อันนี้ไม่ใช่กาย มันไม่ทุกข์ไม่สุขมันคือกาย พีชะพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่ทุกข์ไม่สุขอะไร ไม่มีผกไม่มีดูด มันดูดเอาแต่เลี้ยงร่างกายมัน มันไม่เป็นโทษภัยกับคนอื่น มีแต่ตัวตน แล้วใครจะมาทำมันก็ยอมอย่างเดียว พืชพีชธาตุ

คุณสมบัติของ พีชธาตุ พระพุทธเจ้าก็เอามาใช้ทำจิตของเราให้เป็นพีชะ เเเเในเป็นๆนี่ เอาไว้อาศัย พระอรหันต์ก็อาศัย ความเป็นพีชะ เพราะยังไม่ได้สลายร่างกาย หากสลาย อาการ 32 ก็แยกเป็นอุตุ ดินน้ำไฟลม ไม่มีธาตุจิตเหลือ จะมีเศษพีชะเหลือนิดหน่อยไม่รวมตัวกันอีกได้ เป็นการสลายไปเลย เมื่อปรินิพพานเป็นปริโยสาน สิ้นรอบสุดท้ายของพระอรหันต์ที่จะตาย 0 หรือพระปัจเจกพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าที่จะตาย 0

อรหันต์รู้แล้วทำได้ อรหันต์ทุกองค์  ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้

จะเป็นพระอรหันต์ นิพพานได้ ถ้าผู้ที่ยังไม่ถึงขั้นอรหันต์ ก็จะเป็นได้แค่อาสวะบางอย่างสิ้น

 

มาดูอาสวะบางอย่างสิ้น ในพระไตรปิฎกจะมีที่เล่ม 36 กับเล่ม 13 อาตมาอธิบายจากสภาวะของตัวเอง ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เลือกเอา

ผู้ที่สัทธานุสารีกับธัมมานุสารี ก็เป็นวง แต่วงของสัทธานุสารีกับสัทธาวิมุติก็จะวงวนอีกนานแสนนาน มีตัวอย่างที่เป็นพระป่าอาจารย์มั่นหรือมหาบัวหรือแม้แต่ธัมมชโย เป็นสายนั่งหลับตาทุกสาย สายธัมมชโยกับอาจารย์มั่นต่างกันตรงที่ ธัมมชโยนั้นเป็น อภัสราพรหม ส่วนทางอาจารย์มั่นเป็นสุภกิณหพรหม คืออยู่ในที่มืด กิณหาแปลว่ามืดดำ แต่หลงมืดดำว่าดี อาภัสราหลงสว่างว่าดีก็จะบอกว่าให้ใสๆๆ เป็นตัวอย่างให้อธิบายก็ต้องขอบคุณเขา แต่อย่าไปเอาอย่างนะ ต้องเข้าใจให้ได้ มันหลงทางไม่บรรลุ แล้วมันทำลายศาสนาด้วยเป็นบาปด้วย

 

ผู้ที่คนมีปัญญาก็จะเข้าใจไปเรื่อยๆเป็นธาตุละเอียดของปัญญาที่เป็นโลกุตระปัญญา ได้ปัญญามาก็จะเพิ่มเป็น ธัมมานุสารีไปเรื่อยๆ

จากสัทธานุสารี หรือสัทธาวิมุติ เริ่มมีปัญญาพอมาเป็นธัมมานุสารี เต็มตัว แม้เต็มตัว สายศรัทธาก็จะช้าอยู่นั่นเอง แม้จะมาเข้าสู่สายธัมมานุสารีก็ไม่เหมือนปัญญาแท้

ธัมมานุสารี จะตรงทางทิฏฐิปัตตะ จะเจริญหาปัญญาวิมุติ วิ่งหาอุภโตภาควิมุติจบเลย

# สายปัญญา ผ่าน 3-4 ขั้นตอน ถึงอุภโตภาควิมุติ จาก 2 ไป 4 ไป 6 แต่บางท่านอาจแวะไป 5 ก่อนแล้วค่อยไป 6

# สายเจโต ต้องผ่านทั้ง 6 ขั้นตอน จาก 1 ไป 3 มา 2 ไป 4 ไป 5 ไป 6 และมาช้าที่จะต้องแช่ย้ำในจิตตัวเองอีก คือ 1,3 ,5

 

สู่แดนธรรม… หรือว่าขั้นที่ 2 จะแวะมา 5 ก็ได้ไหม?

พ่อครูว่า...ได้ เพราะรู้จักกายมาแต่ต้น สักกายทิฏฐิ มีทิฏฐิเต็มแล้ว

แต่สายสัทธาสายเจโตไม่รู้เรื่อง มรรคมีองค์ 8 ​ปฏิบัติสามสังโยชน์แรกก็แยกกายไม่ได้ แยกสักกายทิฏฐิก็โมเม กายก็ไปเข้าใจว่าร่างกาย ร่างดินน้ำไฟลม ผิด

กาย คือ จิต หนักกว่าดินน้ำไฟลม แต่ต้องอาศัยดินน้ำไฟลม เท่านั้น

แต่ทางโน้นแยกกายคือดินน้ำไฟลมไปเลย

ในคุหัฏฐกสุตตนิทเทส

สายสัทธาที่มิจฉาทิฏฐิก็ว่า กายวิเวกก็เอาร่างกายออกป่า ก็ข้องในถ้ำ ออกให้ตายก็ไม่เข้าหาจิต

จิตวิเวกก็จะนั่งหลับตาสมาธิอีก เข้าป่านี่ผิดไปแล้วนะ ไม่มีผัสสะไม่มีกามคุณ 5 จมสะกดจิตเข้าไปอีกไม่มีภายนอก จิตวิเวก ก็นั่งเหมือนมี ฌาน 1 2 3 4 บรรลุโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ แต่ไม่มีภายนอก ไปตีหัวเข้าบ้านคือไม่มีภายนอกก็เจ๊ง คุณต้องมีภายนอกจะเป็นโสดาบันถึงพระอรหันต์ก็ต้องมีภายนอกทิ้งจากภายนอกไม่ได้ มันซ้อนอยู่อย่างนี้ เข้าไปในป่าก็ไม่รู้จักกามคุณ 5 ไม่ปฏิบัติกับตาหูจมูกลิ้นกายก็ไม่เอาอ่าว แล้วจะไปบรรลุได้ยังไง

อาตมาถึงซาบซึ้งจริงๆที่พระพุทธเจ้าบอก คนเอ๋ย ให้เอาไปฆ่าด้วยหอกร้อยเล่มเช้ากลางวันเย็นก็ไม่ตาย นั่งทำความผิดเป็นโจรปล้นศาสนาพระพุทธเจ้า พากันลงนรก พาลูกศิษย์ลูกหาไปอยู่

สู่แดนธรรมว่า..จากข้อ 4 ทิฏฐิปัตตะมาหา 5 ทำไมทิฏฐิปัตตะต้องไปหายกายสักขีด้วย

พ่อครูว่า..สายศรัทธาจะไปหากายสักขีในนี้จะมีบุคคลอยู่ 2 คนชื่อว่าซาบซึ้งกับสมณะผืนฟ้า

สมณะผืนฟ้าสายเจโต  ส่วนสมณะ ซาบซึ้งจะสายปัญญา

สมณะผืนฟ้า ทิฏฐิปัตตะก็จะไปกายสักขีได้ส่วนท่านซาบซึ้งจะไม่ไปกายสักขีจะไปหา ปัญญาวิมุติแล้วไปอุภโตภาควิมุติเลย

 

_สู่แดนธรรมว่า...ในกลุ่มพวกเราก็มีสายเจโตของปัญญาแล้วสายปัญญาของเจโต

ผมสังเกตว่าพวกเราไม่ใช่ปัญญาหมดมีเจโตด้วย สายเจโตก็มีปัญญาด้วย

พ่อครูว่า..ต้องมีทั้งสองอย่างเอาอย่างเดียวก็เอียง เหมือนกับกระดานหก   ถ้าหนักข้างเดียวก็ไม่หมุนไม่สิ้นรอบ

หากไม่มีอาตมาอธิบายต่อ ศาสนาของพระสมณโคดมไปไม่ถึง 500 หรอกแต่ต้องมีโพธิสัตว์มาอย่างนี้มาศึกษามันเป็นสัจจะ ท่านได้มอบหมายแล้วอาตมาจึงเป็น สยังอภิญญา ที่ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10

สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

หากผู้นี้เป็นสยังอภิญญา จะอธิบาย สัมมาทิฏฐิข้อที่ 1-9 ให้คุณเข้าใจและเอาไปปฏิบัติได้ ตั้งแต่เรื่องของทาน ทุกวันนี้การทานของเขามนสิการทำใจในใจไม่เป็น ทานแล้วก็ยังมีสาเปกโข ยังมีไอ้หวัง จะมีความหวังจะได้ภพชาติวิมาน ต้องทานไม่ให้มีอาการของสาเปกโขเลย หากไม่รู้ก็สั่งสมสาเปกโข แล้วสั่งสมภพชาติ เป็นปฏิพัทจิตโต ยังไม่พอ สั่งสมเป็นสันนิธิเปกโข ทานไม่พอก็สั่งสมเป็น ปริภุญชิตสามีติ ตายแล้วได้เสวยสมบัติที่มาในชาติหน้า ก็ยิ่งเป็นภพชาติมากขึ้น ที่จริงแล้วมันไม่มีตัวตนตั้งแต่ ไม่มีสาเปกโข ทำใจในใจตัดให้ได้ ตัดได้ก็สบาย แต่ตัดไม่ได้ ก็สั่งสมไปเรื่อย อาตมาถึงบอกว่าผู้จะหลงวิมาน สวรรค์ 6 ชั้นขี้หมาทั้งนั้นเลย สำหรับผู้ที่ยังอวิชชา หลงติดสวรรค์​ 6 ชั้นนี้ ฟังถ้าเข้าใจแล้วอย่าไปสร้างสวรรค์วิมาน เพราะสวรรค์ก็ภพนรกก็ภพ ศาสนาพุทธดับสวรรค์และนรกดับภพหมดสภาพคู่หมดเทวะ หมดสวรรค์นรก เทวะคือสัตว์นรกสัตว์ ซาตานกับพระเจ้าเป็นอย่างเดียวกัน เหมือนเหรียญ 2 ด้านเราก็ทำลายเหรียญเลยไม่ให้มีเหรียญ 2 ด้าน คุณจะเลือกเอาเหรียญด้านใดด้านหนึ่งเหมือนกระดาษมี 2 หน้าจะเอาหน้าใดหน้าหนึ่งไม่ได้ มันต้องไปด้วยกันมาด้วยกันแยกไม่ออก

ถ้าไปศรัทธา จะเสียเวลา สัทธานุสารีกับสัทธาวิมุติก็ต้องมีปัญญาจริง มีปัญญาก็เลิกวนได้ จะต้องมี อัญญธาตุ มีธาตุเฉลียวฉลาด รู้โลกรู้อัตตา รู้ธรรมะ รู้สัจจะตามลำดับ พอได้ธัมมานุสารี ก็เป็นแกน อย่าไปเที่ยวอยากเป็น ต้องพยายามมากขึ้น แต่มันเป็นแกนของเราแล้วจงจำนน ใครเป็นสายศรัทธาแล้วจำนนเถอะ ทำไปก็จะถึงที่สุดได้เหมือนกัน ยิ่งปล่อยวางได้ก็จะยิ่งเป็นปัญญาได้ดี หากไม่ปล่อยวางมีแต่ศรัทธาก็จะยิ่งหนักขึ้นมันจะยิ่งช้าขึ้น ก็ปล่อยศรัทธาไปเถอะ ช่างหัวมันเถอะเราพยายามเป็นสายปัญญา มาธัมมานุสารี มีปัญญามากขึ้นก็จะยิ่ง ทิฏฐิปัตตะ หากไปแวะสั่งสมกายเป็นกายสักขี มั่นคงหนักแน่นมากยิ่งขึ้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ในรายละเอียดว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แต่ทีนี้ ท่านผู้ที่ไม่มีสภาวะก็จะไปแปลพยัญชนะ นเหวโข แปล น แปลว่าไม่ เหว แปลว่าอันนั้นของแท้ โข แปลว่า ซ้ำ ผ่านมาแล้ว ย้ำ ยืนยันแล้ว แต่ท่านไม่เข้าใจสภาวะอันนี้

เพิ่งเห็นว่าท่านไม่เข้าใจสภาวะที่แท้จริง เหวโข แปลว่าความแท้จริงแต่ถ้าไม่มีความจริงอันนี้ เราก็มาย้ำความจริงอันนี้ จึงต้องกล่าวต้องย้ำ ผู้ที่เป็นสายปัญญาจริงของเขาตรงแล้ว นเหวโข ถึงไม่ต้องกล่าวต้องย้ำต้องพูดถึงอันนี้อีก จึงบอกว่าไม่ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย พูดไปตามบัญญัติ แต่มันมีอยู่แล้วไม่ต้องไปพูดของท่าน ท่านก็ทำได้เร็วเป็นอุภโตภาควิมุติเลย แต่ผู้ศรัทธาก็แวะไปสั่งสมเป็นกายสักขีพยายามให้เต็ม จึงเป็นปัญญาวิมุติ มาเต็มปัญญาอีกที จึงจะอุภโตภาควิมุติ

ผู้ที่ปัญญาวิมุติ คือผู้ที่สิ้นอาสวะแล้ว ยังไงจะไม่มาเกิดอีกเลย ได้เลย จะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีทุกข์แล้ว ก็จะค่อยๆเจือจาง dilute ไปตามธรรมชาติ สูญเอง จะสลายอาสวะกับอนุสัยไปเอง

แต่ผู้เป็นสายปัญญาแท้จะแยกแยะอนุสัยกับอาสวะออก อันนี้จะไม่มีใครมาอธิบายให้คุณฟังหรอกถ้าไม่ใช่อาตมา เชื่อว่าองค์เดียว คนเดียวที่สามารถแยกแยะอนุสัยกับอาสวะได้

 

สม.กล้าข้ามฝัน…

 

พ่อครูว่า..คำว่า กาย เป็นตัวสำคัญมาก ก่อนถึงกายพูดถึงสมาธิก่อน

คำว่า สมาธิ เขาไปออกป่านั่งหลับตาสมาธิมันมีเป็นแกนของโลกเลย ฝ่ายเทวนิยมจะอยู่อย่างนั้น ไม่มีความเฉลียวฉลาดมีปัญญา จะไม่มีปัญญาได้ง่ายๆ ปัญญาต้องเริ่มมีอัญญธาตุ เป็นธาตุที่แยกออกจากตระกูลของโลกียะเลย

โลกียะ นี่คือโลกทั้งโลกเลย แต่เทวะหมายถึงจิตสองแยกแยะตีแตก แยกเทวะได้

แยกเทวะได้ก็ต้องแยกกายแยกจิตเป็น 2 กายคือนามรูป รูปนาม เป็นสอง หรือภายนอกกับภายใน

เทวะ แปลว่า 2 หรือทวิ แปลว่า  2

2 ที่อธิบายเป็นสภาวะก็คือนามรูป เทวะก็มีนามรูป หากใครจมอยู่กับเทวะ ตีแตกแยกแยะอาการของเทวะไม่ได้ แยกวิญญาณของเทวะไม่ได้ ไม่มีนามรูปคนนี้โมฆะเลย วิญญาณไม่รู้นามรูปก็เลิกเลย ในอาหาร 4 วิญญาณาหาร

ผู้ที่สามารถรู้จักวิญญาณ ก็ต้องแยกนามรูปได้ แยกนามรูปได้เป็นอันรู้หมด จะศึกษาได้เลย ศึกษากามฉันทะศึกษาเวทนา เวทนาที่มีกามภพ รูปภพ อรูปภพก็ทำได้ หรือมาที่เจตนาที่มีกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ที่เวทนากับเจตนา มีคำซ้ำคำซ้อนกันอยู่

เวทนา ต้องเรียนรู้ กามภพ รูปภพ อรูปภพ

อรูปนี้เป็นวัตถุ เป็นสิ่งที่ถูกรู้ละเอียดกว่ารูป ส่วนเจตนานั้นเป็นนาม

กามตัณหา กามภพ รูปภพ อรูปภพ

กามตัณหา ภวตัณหา ​เหมือนกัน 2 ตัวแล้ว

พอพ้น กามภพ รูปภพ อรูปภพ

ส่วนเจตนานั้น กามตัณหา ภวตัณหา หมดกามตัณหา ภวตัณหาคือรูปภพ อรูปภพ ล้างรูปภพ ล้างอรูปภพหมด ก็หมดภพ 3 หมดแล้วก็เป็นวิภวภพ เป็นตัณหาอุดมการณ์เป็นตัญหาที่หมดภพชาติหมดอัตตา ก็มีแต่ความอยากความประสงค์ความต้องการเหมือนอย่างอาตมา ประสงค์ต้องการยังไม่ยอมตาย ยังอยากอธิบาย จนกระทั่งเขาบอกว่าอยากอวดเป็นพระอรหันต์อยากอวดเป็นพระโพธิสัตว์ อาตมาไม่ได้ไป ระริกระรี้อะไร ไม่ได้ไปอยาก พูดด้วยพยัญชนะ แต่จิตของเราไม่ใช่ ไม่มี อาตมาบอกอวด แต่ไม่มีจิตสาเฐยจิต ไม่ใช่อยากอวดโอ่

อาตมาพูดไปแล้วถ้าโกหกก็ได้บาป ได้นรกอเวจีของตัวเองจะทำไปทำไม อาตมารู้ก็จะไม่ทำ แล้วอาตมาก็ไม่ทำได้แล้วด้วย หากอาตมาไม่รู้อาตมาก็ทำหรือแม้แต่หลงเข้าใจผิดก็ต้องทำมันก็เป็นเรื่องของอาตมาก็สมน้ำหน้า ตัวเองไม่รู้แล้วบอกว่ารู้แล้วก็ทำไปเรื่อยๆ ไม่รู้แล้วก็หลงว่ารู้ ไม่ถูกแล้วเราก็หลงว่าเราถูก ใครจะไปช่วยได้ก็ตัวเองทั้งนั้น ดันทุรัง อาตมาก็ต้องตรวจสอบความละเอียดพวกนี้ว่าเราอย่าเผลอไปนะ เผลอไปตัวเองก็ยิ่งตายลูกเดียว แล้วหนักหนาเข้าจะเลอะเทอะ จะเห็นได้ ดูต่อไปในอนาคตว่าอาตมาจะเลอะหรือไม่หรือจะยิ่งแหลมคมขึ้น แต่มันจะมีลืม อายุมากขึ้นก็จะลืม แต่ลืมกับเลอะไม่ใช่อันเดียวกันนะ อาตมาไม่เลอะ แต่แน่นอนลืมได้สัญญาไม่เที่ยง แต่เลอะสัญญาวิปริต วิปลาส

วิปลาส เป็นชั่วคราว แต่วิปริตถาวรเลย  นัยละเอียดของพยัญชนะที่สื่อให้รู้สภาวะ

 

มาเข้าสู่บุคคล 7 อ่านจากพยัญชนะ

พระไตรปิฎก เล่ม 13 ข้อ 230

พระไตรปิฎก เล่ม 36 ข้อ

สัทธานุสารี

[46] สัทธินทรีย์ของบุคคลใดผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล(มรรค) มีประมาณยิ่ง อบรมอริยมรรคมีสัทธาเป็นเครื่องนำมา มีสัทธาเป็นประธานให้เกิดขึ้น อนึ่งผู้นั้นมีแต่เพียงความเชื่อความรักในพระตถาคต บุคคลนี้เรียกว่า สัทธานุสารีบุคคล ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ชื่อว่าสัทธานุสารี ผู้ตั้งอยู่แล้วในผล ชื่อว่าสัทธาวิมุต

พ่อครูว่า...สายนี้ 7 ขั้นจึงจบ ถึงอุภโตภาควิมุติ

 

ธัมมานุสารี

[45] ปัญญินทรีย์ของบุคคลใด ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลมีประมาณยิ่ง บุคคลนั้นย่อมอบรมซึ่งอริยมรรคอันมีปัญญาเป็นเครื่องนำมา มีปัญญาเป็นประธานให้เกิดขึ้น พินิจธรรมของตถาคตด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า

ธัมมานุสารี บุคคลผู้ปฏิบัติแล้ว เพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ชื่อว่าธัมมานุสารี บุคคลผู้ตั้งอยู่แล้วในผล ชื่อว่าทิฏฐิปัตตะ

พ่อครูว่า...สายนี้ 4 ขั้นจึงจบ ถึงอุภโตภาควิมุติ

 

อาตมาไม่ได้ไปข่ม แต่มันเป็นการอธิบายของอาตมาเป็นสายปัญญา พออธิบายไปเขาก็มาเพ่งอาตมา การเพ่งคือการจองเวร อาตมาก็โดนจองกฐิน ได้ฤกษ์งามยามดีเมื่อไหร่ก็ถูกทอด ลงกระทะเลย

อาจารย์มั่นนี้ UNESCOรับรอง อาตมาก็ดีใจอุ่นใจว่าเขาเริ่มเข้าใจพุทธศาสนาได้ เห็นความสำคัญเป็นบุคคลสำคัญของโลกเลย อาตมาไม่ได้ไปริษยาอาจารย์มั่น

ท่านประยุทธ์ปยุตโตตอนนั้นเป็นพระธรรมปิฎกก็เป็นคนไทยคนแรกที่รับรางวัลการศึกษาเพื่อสันติภาพยูเนสโก ปี 2537

สิกขมาตุกล้าข้ามฝันว่า ท่านเหล่านั้นเขามีกายสักขีที่คนยอมรับ แต่พ่อท่านมีแต่นามธรรมเขารับได้ยาก

พ่อครูว่า...กายนี้ยากที่จะเข้าใจได้ กายวิญญัติ วจีวิญญัติอาตมาย้อนแย้งกับเขา ของท่านเรียบร้อยมาก โพธิรักษ์อย่างกับลิง

สมณะฟ้าไทว่า...กายสักขีได้แต่รูปร่าง แต่ของพ่อครูมีผลต่อสังคมเยอะ

พ่อครูว่า...ในสังคมก็ยังไม่เยอะหรอก มีกลุ่มที่เป็นมวลแน่น มี สาธารณโภคี เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา

มีวรรณะ 9 เลี้ยงง่าย  (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)  มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)  ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9  ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน... วรรณะ 9 ของสายศรัทธากับสายปัญญาต่างกันอย่างไร

พ่อครุว่า...สายศรัทธาไม่ค่อยเข้าใจวรรณะ 9 หรอกสายศรัทธา อปจยะ ไม่สะสมได้มากกว่าสายปัญญา อย่างอาตมานี้ ทางสายพวกเชน มักน้อยยิ่งกว่าเราไม่ใส่เสื้อผ้าเลย เขาพอสันโดษยิ่งกว่าเราอีก แม้แต่ขัดเกลานี่สิ พวกเราขัดเกลาจังเลยนอกใน ขัดจัง ขัดหนัก สัลเลขธรรม เรารู้รายละเอียดของศีลมากกว่า เป็นระดับเป็นชั้นเป็นตอนดีกว่า ปาสาธิโก อันนี้สลับไปสลับมาเขาจะเห็นอาการน่าเลื่อมใสอย่างโน้นต้นง่ายๆสงบสภาพเรียบร้อยไม่ว่าใคร ทางนี้วิจัยวิจารณ์ด่าแหลก ด่าแรง ไม่บันยะบันยัง ปาสาทิโก อันโน้นดู น่าเลื่อมใสกว่าทางเรา

แต่สมัยเมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว ใครเจอพระโพธิรักษ์ เอาภาพนั้นมาไว้ 

พวกเรารู้จักพักรู้จักเพียร ให้พอเหมาะ ควรพัก พัก ควรเพียร เพียร

เราไม่พักอยู่  (อัปปติฏฐัง) เท่ากับยังเพียรต่อไป

เราไม่เพียรอยู่  (อนายูหัง) เท่ากับพักหรือไม่ต่ออายุอิทธิบาท

เราเป็นผู้ข้ามโอฆสงสารได้แล้ว  (โอฆมตรินติ)

 

เมื่อใดเรายังพักอยู่ (สันติฏฺฐามิ) เมื่อนั้นเรายังจมอยู่โดยแท้

เมื่อใดเรายังเพียรอยู่ (อายูหามิ) เมื่อนั้นเรายังลอยอยู่โดยแท้

เราไม่พัก เราไม่เพียร  ข้ามโอฆะได้แล้วอย่างนี้แล ฯ 

(พตปฎ. เล่ม 15  ข้อ 2)

 

วันนี้วันพุธ ยัง วันศุกร์จะได้ขยายเพิ่มเติมอีก

สมณะฟ้าไทสรุปจบ


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 15:57:02 )

630208

รายละเอียด

630208_พ่อครูเทศน์เปิดงานพุทธาภิเษก #44 บ้านราช ปัญญาพาพ้นมิจฉาชีพ 5

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1cPmmVqAdcqEZz2Bk-hGf4gdCul-riKhhHVZFefGahto/edit?usp=sharing                      

 

ดาวโหลดเสียงที่  https://drive.google.com/open?id=1mDSu3lcdtqJze8_CebcB1QBL9kjPAMWu

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สุขภาพบุญนิยม) ตอน พ่อครูเปิดใจ ยังเฟรชชี่..ไม่มีแก่ ในวันมาฆะบูชา

พ่อครูว่า…วันนี้วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 3 ปีชวด ที่บวรราชธานีอโศก เริ่มงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 44 ตรงกันกับมาตรา 44 ของประเทศที่ใช้กันมา แล้ววันนี้ก็เป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เริ่มต้นงานขึ้นต้นก็เป็นวันมาฆบูชา 15 ค่ำเดือน 3 เราก็จะได้ฟังเทศน์งานพุทธาภิเษกฯงานมาฆบูชา ตามธรรมเนียมที่เราจะจัดงานในช่วงมีวันมาฆบูชาวันใดวันหนึ่ง วันนี้เป็นวันแรก วันนี้เป็นวันแรกวันเริ่มต้นงานเลย

คนอายุ 44 ปีก็ไม่ใช่น้อยแล้วนะ แต่งานพุทธาภิเษกของเราอายุทำกันมาได้ 43 ปีแล้ว ก็ไม่ใช่น้อย ในชีวิตของอาตมาเริ่มมาทำงานศาสนาตั้งแต่อายุ 36 มาถึงปีนี้ก็ปาเข้าไปเลย 36 มาถึง อายุ 72 แล้ว เลย 72 มาอีก 12 ปีก็เป็น 84 ก็เลยมาอีก 2 ปี อาตมาก็อายุ ย่างเข้า 86 ปี เต็ม 85 ย่างเข้า86 มาได้ 8 เดือนแล้ว ถึงมิถุนาก็เต็มครบ 86

คนอายุ 86 ก็แก่นะแต่อาตมาไม่เห็นแก่ เอาความจริงมาพูด โดยเฉพาะจิตใจ ไม่มีแก่ จิตใจมันคะนองด้วยซ้ำไป เหมือนหนุ่มๆจิตมันเป็นอย่างนั้นเลย แต่กายจะให้ทรงสภาพอย่างนั้นเลยก็ไม่ใช่ เหี่ยวย่นบ้าง เราไม่ได้ไปเกาหลีมา ก็เหี่ยวๆย่นๆ

อาตมายังทำงานได้เฟรชชี่สดชื่นเบิกบาน ร่าเริง   ร่างกายลดไปตามวัยบ้าง แต่จิตใจมีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา อิทธิบาท 100%

 

อ.เป็นต้น นาประโคน ตาบอดมา 24 ปีแล้ว ตอนนี้อายุ 83 ปี ก็เลยไม่มีอะไรมาก ตาบอด อยู่ในตัวเองเยอะ   เลยเกิดกวีการเยอะ

ยุคเข็นเขาขึ้นครก

ยุคเข็นเขาเพื่อขึ้น            บนครก

ตีนใหญ่เหยียบปากนก     เฉกช้าง

เมื่อดินหมดหญ้าปก         พาโลก แล้วเฮย

พุทธรกเหมือนไกลร้าง     เพราะรื้อ แก่นธรรม

 

กองทัพธรรมรุดหน้า        ฝ่าฟัน

อุปสรรคกล้าประจัญ        ห่อนท้อ

พุทธหมู่มากโรมรัน          ข่มขู่ เราฤา

ชาวโลกหันมาล้อ             เล่นลิ้นตลบหลัง

 

พุทธาภิเษกไซร้               สอนมนุษย์

มิใช่เสกตระกรุด              อวดอ้าง

ออกนอกมรรคแปดพุทธ   ไกลลิบ ลับเฮย

พุทธวกวนในอ่าง             เช่นนี้ฤาพุทธ

 

เสียงเรียกหาพุทธบ้าง      บางคราว

อยู่ที่ไหนรีบมา                 ร่วมไซร้

เมื่อมีจิตอาสาเสียสละ       ช่วยโลก

เพื่อฝากความดีไว้            แด่ผู้อยู่หลัง

 

ความรวยใครก็รู้              อยากรวย

สื่อศัพท์ภาษาสวย            แน่แท้

อย่าเอื้อนเอ่ยเกินอวย       คือพุทธท่านเอย

ทุนนิยมบ่แก้                    กอบกู้ฤามี

 

บุญนิยมยุคนี้                   กล้าแสดง

ฟันฝ่าสุดเรี่ยวแรง           กอบกู้

กระแสหลักตะแบง           หมู่มาก ลากไป

บุญนิยมต้องสู้                  ศึกนี้ หนักเหลือ

 

 

พ่อครูว่า...สมาธิของพุทธทำสมาธิอยู่ทุกลมหายใจลืมตา สร้างสมาธิจากจรณะ 15 วิชชา 8

แต่นั่งหลับตาไม่มี สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา  ชาคริยานุโยคะ ไม่ตื่นไม่พากเพียร มีแต่นั่งหลับ เจ๊งกระบ๊งเลย อันนี้คือ ปัณกธรรม 3 หมายความว่าเป็นธรรมะที่ผิด ถ้าไม่มี 3 ข้อนี้ ผิด ต้องมี 3 ข้อนี้แล้วไปนั่งหลับตาไม่มี 3 ข้อนี้นั่นคือผิดศาสนาพุทธ แล้วเมื่อไหร่ผู้ที่ได้รับการยอมรับทางศาสนาว่าเป็นปราชญ์เป็นบัณฑิต เมื่อไหร่จะตื่นเสียที หากไม่มีจรณะ 15 วิชชา 8 ก็ไม่มีพุทธคุณของศาสนาพุทธ มีแต่เดียรถีย์คุณไม่ใช่พุทธคุณ

 

เป็นเรื่องที่ใช้พยัญชนะภาษาคำความมาใช้สื่อ คนนี่เก่งกว่าเดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานก็สื่อสารกันเพียงเสียงร้องไปมา แต่คนนี้ เอามาประดิษฐ์เป็นคำมากไม่รู้กี่ภาษาเป็นล้านภาษาเลย สร้าง ได้เก่ง ในโลกนี้มีที่ใช้อยู่กันอยู่ทุกวัน 100-200 ภาษา บางประเทศใช้หลายภาษา สื่อกันเก่งสื่อกันได้ ก็เลยเอามาพูดกันปากเปียกปากแฉะ อาตมาก็รู้แต่ภาษาไทย เอาภาษาอื่นมาประกอบบ้างภาษาบาลีภาษาอังกฤษก็ไส้เดือนกิ้งกือ ภาษาบาลีก็มีตำราพอถูไถ 

ใช้ภาษาทำงานศาสนามา สื่อให้พวกเราได้เกิดความเข้าใจชัดเจนเอาไปปฏิบัติ เมื่อไปปฏิบัติแล้ว เกิดคุณธรรมในตัวตน คุณวิเศษขึ้นมาในตัวจริงๆจึงเปลี่ยนแปลงชีวิตๆ เปลี่ยนแปลงชีวิตสำเร็จจากคนที่หลงหนักหนาสาหัสมุ่งหน้าตาที่จะเอาแต่รวย ก็หยุด พอ แล้วมาหากินอยู่ข้างนอกก็มี บางคนก็ลึกซึ้ง ซาบซึ้งใจ ไม่เอาแล้วทางโน้นไม่ทำมาหากินข้างนอกเข้ามาอยู่กับชาวอโศกเลย ไม่ใช่ว่ามาอยู่ในชุมชนชาวอโศกจะไม่ทำมาหากินนะแต่ทำมาหากินอย่างสาธารณโภคีนี่แหละคือสุดยอดเลย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ปัญญาพาพ้นมิจฉาชีพ 5

ทำมาหากินอย่างสาธารณโภคีคืออะไรคือผู้เป็นที่มีสัมมาอาชีพสูงสุด สัมมาอาชีพพ้นมิจฉา 5 มิจฉาชีพ 5 ข้อ ที่เป็นมิจฉาฯ ผู้ที่ยังมีอาชีพถ้าอย่างนี้ไม่พ้นมิจฉาชีพ

อาชีพข้อแรก กุหนา อาชีพทุจริตเลวร้ายขี้โกง ทุจริตสารพัดทางกายวาจาใจครบเครื่อง เลวที่สุด มีไหมในประเทศไทย ...มีเยอะด้วย

2. ลปนา อาชีพที่ไม่ทำทางกายกรรมไม่ดีแต่ภาษาเล่ห์เหลี่ยมคดโกงหลอกล่อ ทุจริตด้วยทางภาษา กุหนาครบเครื่องกาย วาจา ใจ แต่ลปนาคือทุจริตทางวาจา

3. เนมิตกตา ก็เริ่มเลิกกุหนา ลปนา ปฏิบัติศีลสมาธิปัญญาหลุดพ้นมาได้เรื่อยๆ แปลว่ามีโชค ผู้ที่บรรลุได้ก็เป็นโชคของเขา

4. นิปเปสิกตา หมดมิจฉาชีพแล้วสำหรับตัวเอง ในการประพฤติปฏิบัติกับคนอื่นไม่มีมิจฉาชีพแล้ว มิจฉาชีพเฉพาะตนเอง ยังมีลาภยศเงินทอง ไม่ได้โกง ไม่ได้ทุจริตอะไรแล้ว แต่ยังมอบตนในทางผิด ผู้ไม่รับใช้คนผิดก็เข้ามาอยู่ในอโศก หากยังรับใช้คนผิดอยู่ก็ไม่พ้น นิปเปสิกตา

ยังใช้แรงงานยังใช้เครื่องมือ รับจ้างคนที่ทำผิดอยู่ ก็ยังไม่พ้นมิจฉาชีพ ข้อที่ 4

ข้อที่ 5 พ้นมิจฉาชีพ มารับใช้ชาวอโศกอยู่กับชาวอโศก แต่ยังรับรายได้อยู่ยังไม่พ้นมิจฉาชีพข้อที่ 5 ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา สุดยอดไหม โลกสมัยนี้ทำได้ สมัยพระพุทธเจ้าทำกับฆราวาสไม่ได้ เพราะเป็นยุคที่อยู่ในสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นยุคทาส เป็นยุคที่พระเจ้าแผ่นดินเป็นเจ้าของทรัพย์สินหมด ยังมีนายทาสยังมีเจ้าของ บุคคลที่จะใช้แรงงานอีก ไม่รู้เรื่องสิทธิมนุษยชน พระพุทธเจ้าจึงได้ประกาศสาธารณโภคีกับโลกกับสังคมฆราวาสไม่ได้ ได้แต่ผู้ที่มามอบตนเข้ารีต มาอยู่ในศาสนาพุทธคือมาบวช หรือไม่บวชเป็นพุทธศาสนิกชน ก็ต้องอยู่ในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ตัดไม่ขาด ยังเกี่ยวโยงอยู่กับวงการฆราวาสภายนอก

แต่ยุคนี้ไม่ใช่ยุคทาส ทุกคนเข้าใจแล้วว่าตัวเองมีสิทธิ์อย่ามาละเมิดสิทธิ์กันและกัน ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว เพราะฉะนั้นในยุคนี้จึงทำสาธารณโภคีกับฆราวาสได้อย่างสบายและสำเร็จ อาตมาถือว่า พาทำสาธารณโภคีกับประชาชนฆราวาส สมณะนักบวชไม่ต้องพูดถึงเลยอาตมารับรอง สาธารณโภคีบริสุทธิ์สะอาดกันดีมาก แม้แต่ฆราวาสก็ยังทำสาธารณโภคี ทำงานฟรีไม่มีรายได้ส่วนตัว จนตายเผาไปหลายคนแล้ว สบาย

สบม  ธมด  ปกต  หห มชยลล จจ สบายมากธรรมดาปกติหายห่วง ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ จริงจ๊ะ จริงๆ

เป็นมาได้เรียบร้อยสำเร็จและอยู่กันอย่างสบายจริง อาตมายังทำงานได้เฟรชชี่สดชื่นเบิกบาน ร่าเริง   ร่างกายลดไปตามวัยบ้าง แต่จิตใจมีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา อิทธิบาท 100%

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ..

 

สู่แดนธรรมว่า...พ่อครูมีอะไรเตรียมไว้สำหรับงานสำคัญไหมครับ

พ่อครูว่า..วันนี้ปฐมนิเทศ ก็พูดสดๆ พูดเหมือนวนซ้ำซาก แต่ที่จริงที่มันวน เพราะว่าอาตมาไม่ออกนอกโลกุตระก็วนอยู่ในโลกุตระนี่แหละ  ไม่ได้ไปหาโลกียะเลอะเทอะมากมาย โลกียะรกเลอะเยอะแยะ อาตมาไม่เชี่ยวชาญโลกียะ แม้ปางนี้ก็ไม่เชื่ยวชาญทางโลก อย่างโลกเขาทำอบายมุขเก่งอาตมาก็ไม่ได้ทำเหมือนเขา เคยอยากจะทำเหมือนเขาไปหัดอบายมุขเหมือนเขา ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ เขาหมั่นไส้เอา พวกอยู่ในอบายมุขเขาว่าดัดจริต ดัดอย่างไรก็ไม่ทุจริตดัดอย่างไรก็สุจริต ไปกับเขาไม่ได้

พูดเป็นสารสัจจะพูดที่หลุดพ้นแล้วจะเอาไปจุ้มแช่ต้มยำทุจริตอกุศลอย่างไรมันก็ไม่เข้าไม่ระคายเข้าไปเลย มันเต็มที่แล้วเป็นตัวเองที่เป็นโลกุตระเป็นอาริยะ สัมผัสโลกธรรมอย่างไรมันก็เข้าไม่ได้ มีช่วงลิงลมอมข้าวพอง เราก็ต้องเวียนหัว เหมือนลิงลม ก็หลงไปตามโลกเขาอยู่พักหนึ่ง อย่าว่าแต่อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์เลย พระพุทธเจ้าก็ยังมีช่วงเวลาเหล่านั้นเลยได้หลงโลกอยู่ตั้ง 35 ปี 29 ปีหลงอยู่ในโลกที่เป็น ที่พระราชบิดามอมเมาหนัก อยู่ในปราสาทสามฤดูไม่ได้เห็นคนแก่คนเจ็บคนตาย ไม่รู้เรื่องไตรลักษณ์ทั้งโลกเลย จนอายุได้ 29 ปี เสร็จแล้วท่านก็บอกไม่เอาแล้ว ไปเห็นเทวทูต 4 ไปเห็นความแก่ความเจ็บความตายแล้วไปเห็นสมณะ ทางออกคือทางเป็นสมณะ เราต้องหนีไปเป็นสมณะจึงออกจากความแก่เจ็บตายก็ถูกเขาหลอกอีกว่า สมณะต้องออกป่า บำเพ็ญทุกรกิริยาที่มันไม่ได้เรื่อง ทุกรกิริยา เป็นกิริยาที่ไม่เข้ามรรคมีองค์ 8 ท่านก็ทำได้อุกฤษฏ์ยิ่งกว่าเขาหมดก็ไม่ได้พาบรรลุไม่ได้เรื่องได้ราว จนกระทั่งนั่งทบทวน วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 วิสาขบูชา แล้วก็มาเทศน์กับพราหมณ์ 5 รูป พอเทศน์แล้วโกณฑัญญะก็เกิดอัญญธาตุ เป็นธาตุรู้ใหม่โลกุตระในจิต พระพุทธเจ้าก็อุทานว่า “ อัญญาสิ วตโภ โกณฑัญโญ” มีอัญญธาตุเกิดในจิตอัญญาโกณฑัญญะ เกิดได้เป็นคนแรก ญาณหยั่งรู้ของพระพุทธเจ้าก็หรือว่ามีตัวนี้ปรากฏ เป็นอัญญธาตุ ที่ไม่เคยมีปรากฏในมนุษย์โลก อัญญาโกณฑัญญะซึ่งเป็นมนุษย์คนแรกในยุค 2500 กว่าปีนี้

เมื่อมีคนรับได้ เทศน์ไปแล้วเป็นโลกุตรธรรม แม้จะเป็นธัมมจักกัปปวัตตนสูตรก็แยก กาม แยกอัตตา ก็เป็นโลกุตรธรรม เพราะธรรมะโลกีย์เทวนิยมแยกกามแยกอัตตาไม่เป็น ยิ่งอนัตตลักขณสูตร ก็ยิ่งชัดเจน อัตตามันไม่ใช่อัตตามันเป็นอนัตตา ถึงขั้นทำจิตวิญญาณให้เห็นจริงว่า แยกกามแยกอัตตาได้แล้วทำให้จิตเราไม่เป็นทาสกามทาสอัตตาอีกได้เลยได้ ผู้ใดทำได้ผู้นั้นก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ไม่ได้เป็นทาสกาม ทาสอัตตา

ก็รู้จักรู้แจ้งว่าอาการเป็นอย่างไร จิตของเราก็ไม่มีเชื้ออาการอารมณ์ของกาม แล้วก็มีความรู้ที่ลึกซึ้งรู้จักความเป็นอัตตา แล้วก็รู้ว่าความเป็นอัตตาในตัวเรามีอยู่ เพียงแต่ยังไม่ตายก็อาศัยอัตตาอยู่บ้าง สักแต่ว่าอัตตา ใช้อัตตาให้จิตวิญญาณไม่มีอัตตาไม่มีกาม อาศัยสอนคนอื่นให้ไม่มีกามไม่มีอัตตาได้ด้วย ได้แล้วก็เผื่อแผ่ให้แก่ผู้อื่น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ง่ายเลยไม่ใช่เรื่องที่จะพูดกันเล่นๆ เป็นเรื่องสุดยอด

ศาสนาพุทธมีมา อาตมามาเกิดยุค 2500 กว่าปีนี้ มันได้เสื่อมไปแล้วสำหรับโลกุตระ จะว่าไม่มีก็ไม่มีแล้วแต่ยังมีอยู่ในตำราในหลักฐาน ยังมีอยู่ในบัญญัติภาษา อาตมามีมาข้ามชาติมายุคนี้ก็เลยติดตัวมา มีโลกุตระก็เอามาประกาศเอามาอธิบายยืนยัน ว่าที่ท่านพากันทำที่ท่านเทศน์มันผิด จึงได้มายืนยันอยู่อย่างนี้ ตั้งแต่มาบวชก็ยืนยันเรื่องนี้มา 50 ปี เขาก็ยังไม่เชื่อกันส่วนใหญ่ ก็มันเป็นธรรมดา คนที่จะมีภูมิปัญญารับได้ รับโลกตุระได้ เท่ากับเอามือจิ้มที่ไปแผ่นดิน ผู้ที่รับธรรมะของพระพุทธเจ้าได้เท่ากับดินที่ติดมาในเท่าขี้เล็บ นอกนั้นรับไม่ได้เท่ากับดินทั้งโลก ที่ไม่มีบารมีรับได้นั้นมีอยู่เต็มโลก ที่รับได้นั้นอยู่ในเมืองไทย อยู่ในเมืองนอกนั้นเขารับได้ฟังได้แต่จะรู้เรื่องหรือเพราะว่าเป็นภาษาไทยหรือแม้จะใส่ใจก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจได้ง่ายๆ ซึ่งเป็นสุดยอดธรรมะพระพุทธเจ้าสุดยอดจริงๆเลย

อาตมาก็จะอยู่อีกกี่ปีๆ เท่าที่สังขารร่างกายอยู่ได้ แต่มันเมื่อยเหมือนกัน แต่ก็มีจิตฉันทะ วิริยะ จิตตะ  วิมังสา  เป็นอิทธิบาทมันมี มันเมื่อยก็พักมันไม่เมื่อยก็เพียร ไม่เมื่อยเท่าไหร่เขาก็ยังบังคับให้พักเลย ฝืนบ้างแต่ก็ไม่ฝืนมาก เขาหวังดีก็เอาที่กุศลเจตนา พักมากๆจะเป็นง่อยเอาก็รับผิดชอบนะ จะว่าไม่บอกไม่เตือน อ้าว!..เป็นได้นะ มันไม่สมดุล

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สายปัญญาพาแยกไม่สุขไม่ทุกข์กับอุเบกขา

อาตมาได้นำเอาบุคคล 7 ซึ่งแยกแกนของความเป็นมนุษย์ เป็นสองแกน คือแกนศรัทธา กับแกนปัญญา เอามาบรรยายให้ฟัง ซึ่งสองแกนนี้เป็นเรื่องสัจจะที่แยกไม่ออก

เช่นแกนเทวนิยมกับแกนอเทวนิยม สองอย่างนี้

แกนไหนเป็นศรัทธาแกนไหนเป็นปัญญา แกนเทวนิยมคือศรัทธา แกนอเทวนิยมคือแกนปัญญา เป็นธรรมดาธรรมชาติที่มีอยู่ครองโลก มาแต่ไหนๆ

อาตมาสายปัญญา นี้จึงชัดเจนเรื่องพวกนี้ โดยเฉพาะเป็นพระโพธิสัตว์จะชัด จึงนำมาขยายความนำมาประกาศ มาแยกแยะ distinguish ตีแตกแยกให้กระจ่างให้พวกเรามาสู่สภาพที่มีปรินิพพาน ศาสนาเทวนิยมไม่มีปรินิพพาน จิตวิญญาณเป็นนิรันดร ตีแตกแยกแยะสุขทุกข์ไม่ได้หลงสุขนิยมติดสุข แต่ศาสนาพุทธนั้นรู้ว่าความสุขเป็นมายา ความทุกข์ความสุขเป็นอุปาทานเป็นมายาของมนุษย์ เพราะฉะนั้นมีพวกเรานี่แหละ อาตมามาทำรายละเอียดให้กระจ่าง รายละเอียดของสัจธรรมที่เป็นพุทธะทำให้กระจ่าง ว่าสุขทุกข์นั้นมายา

สุขกับทุกข์จริงๆเป็นตัวเดียวกันเป็นสิริมหามายาแยกกันไม่ออก เหมือนกระดาษที่มี 2 หน้าแยกกันไม่ออก เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธชัดเจนในเรื่องสุขทุกข์ไม่ไปหลงความสุข สุดท้ายก็ดับทั้งความสุขความทุกข์เป็น อทุกขมสุข แล้วทำให้ไม่มีสุขไม่มีทุกข์เหนือชั้นไปถึงขั้นอุเบกขา

อุเบกขา นั้นบริสุทธิ์ยิ่งกว่าไม่สุขไม่ทุกข์ จริงๆแล้วไม่สุขไม่ทุกข์ก็ใช้เป็น synonym กับอุเบกขาได้ แต่นัยที่ลึกซึ้งนั้นคำว่าไม่สุขไม่ทุกข์เป็นภาษาโลกีย์ คำว่าอุเบกขาเป็นภาษาของโลกุตระ เอาคำว่าไม่สุขไม่ทุกข์มาใช้ร่วมกันกับอุเบกขา เป็นตัวคล้ายๆกันแทนกันไป สำหรับผู้ที่ยังไม่ละเอียด เมื่อสุขไม่มีทุกข์ไม่มีแล้ว แล้วยิ่งทำจิตไม่สุขไม่ทุกข์ให้สะอาดและแข็งแรงมากยิ่งขึ้น มีฝุ่นละอองอะไร ก็เอามาเช็ดเหมือนเอาชามัวร์มาเช็ดไม่ให้มีฝุ่นหมองมัวเลย ปริสุทธาปริโยทาตา แล้วก็มีคุณสมบัติวิเศษ มุทุ เร็วไว ทำให้ได้ static dynamic สมบูรณ์แบบสองฐาน ทาง Nuclear Fusion Nuclear Fission อาศัยรังสีแสดงออก เป็นพลังงานก็ใสสะอาดบริสุทธิ์ อย่างอาตมาแสดงพลังงานที่ออกไปกระทบแก่คนอื่นเป็นพลังงานบริสุทธิ์สะอาดเป็น fission แม้อยู่ในตัวเองที่แสดงออกเป็น nuclear fusion ก็สะอาดบริสุทธิ์ ปริสุทธาปริโยทาตา  มีมุทุภูตธาตุ ปรับเร็วไว ทำงานอยู่ก็ยังบริสุทธิ์สะอาด กัมมัญญา ทำงานด้วยจิตที่มี มุทุคุมกำกับ สะอาดบริสุทธิ์อยู่ตลอด อาตมาแสดงเหมือนคนมีกิเลสเหมือนคนมีความโกรธเหมือนมีคนมีความดุดัน ที่จริงเมตตา ใครมองเมตตาอยู่ในภาษาแสดงออก นัจจะคีตะวาทิตะของอาตมาบ้าง...ยกมือ

ไม่ง่าย ขนาดพวกเราเอง ข้างนอกไม่ประสีประสาหรอก เรียกว่าพวกลืมตายังมืดเลย เรียกว่าคนลืมตายังมืดเลย คือ สติของเขาไม่เต็มสตางค์

สตางค์คือ 100 คำว่าสตะ แปลว่า 100 เพราะฉะนั้นสติเขาไม่เต็มร้อยที่จริงบอกว่าไม่เต็มบาท บาทคือร้อยสตางค์ แต่จิตเขาไม่เต็มร้อยสตางค์ เศษหนึ่งส่วนสี่ของสตางค์คือสลึง

ที่พูดภาษาสื่อสภาวะให้เข้าใจ คนตั้งใจฟังให้ดี ก็ได้รับสิ่งดี คนที่ถูกกระทบแล้วไม่ชอบใจก็คือคนโง่ คุณยังเข้าใจผิดอยู่ เป็นธรรมดา

สู่แดนธรรมว่า...นิมนต์พ่อครูนำปฏิญาณ

 

คำกล่าวนำปฏิญาณอุโบสถศีล

               [พากล่าวคำ นโมตัสสะ ภควโต ฯ  3 จบ ก่อน]

ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งจิตปฏิญาณ ในงานพุทธาภิเษกครั้งที่ 44 นี้ 

ข้าพเจ้าทั้งหลาย จะขอบำเพ็ญ ประพฤติตน อยู่ในศีล 8 อันได้แก่

ปาณาติปาตา เวรมณี จะขอตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการฆ่าสัตว์ เว้นขาดความโหดร้ายรุนแรง เว้นขาดการเบียดเบียนใดๆ จะพยายามสร้างเมตตาธรรม

อทินนาทานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการขโมย เว้นขาดการเอาของผู้อื่นด้วยเชิงเอาเปรียบ  จะพยายามสร้างสัมมาอาชีพ ขยันสร้างสรร เสียสละ เลิกละความโลภ เลิกละความเห็นแก่ตัว

อพรหมจริยา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดเรื่องเมถุนธรรม เว้นขาดเรื่องกามคุณ จะเป็นผู้ละเลิกราคะ จะเป็นผู้กำหนดรู้เท่าทันในกาม

มุสาวาทา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการพูดปด เว้นขาดการพูดหยาบ

เว้นขาดการพูดส่อเสียด เว้นขาดการพูดเพ้อเจ้อ จะพยายามพูดเป็นสารัตถะเป็นธรรม

สุราเมรย มัชชะ ปมาทัฏฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการเสพติดมัวเมา มีอบายมุขทั้งหลายเป็นต้น มีกามต่อมา มีโลกธรรม 8 อีก และจะเว้นขาดการยึดภวอัตตภาพทั้งปวง

วิกาลโภชนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ  เว้นขาดจากอาหารและเครื่องใช้ที่ควรเว้นควรเลิก จะกินจะใช้ ตามที่กำหนด จะเป็นผู้พยายาม เป็นผู้มักน้อยและสันโดษ

นัจจะ คีตะ วาทิตะ วิสูกะทัสนา มาลา คันธะ วิเลปนะ ธารณะ มัณฑนะ วิภูสนฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากท่าทางอันไม่สมควร คำพูดที่มีเสียง สำเนียงอันไม่สมควร เช่น ฟ้อนรำ ดนตรี เป็นต้น เว้นขาดจากดอกไม้และของหอม เครื่องตกแต่งพอกทา เครื่องประดับประดา ประดิดประดอย เว้นขาดจากฐานะแห่งการแต่งงามประดิษฐ์ประดอย

อุจจาสยนะ มหาสยนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติเว้นขาดจากที่นั่งที่นอนใหญ่ เว้นขาดจากการรับของใหญ่ เว้นขาดจากการสะสมของใหญ่ ที่สุด เว้นขาดการหลงติดความใหญ่

ศีลทั้งหลายเหล่านี้ หากข้าพเจ้าทั้งหลายไม่ตั้งใจประพฤติ ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ได้ผล  ถ้าหากข้าพเจ้าทั้งหลายตั้งใจประพฤติ ก็ย่อมได้ ตามธรรมสมควรแก่ธรรม          

ดังนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายจักตั้งใจศึกษาฝึกฝน พากเพียรบำเพ็ญ ตามที่หมู่คณะ

ได้นำพา ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกันด้วยดี ให้สุดความสามารถ

 

          ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งใจ ปฏิญญาณไว้ ณ โอกาสนี้ ตามนี้.

 

สาธุ 3 time


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2563 ( 16:00:04 )

630208_

รายละเอียด

 

630208_พ่อครูเทศน์วันมาฆบูชา บ้านราชฯ เนื้อแท้ประชาธิปไตยพุทธ 5 ประการ

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1WoKC_bfCoqHZ54uTkKu9lV9xBYu574_RDJV0Gipu8cw/edit?usp=sharing                       

 

ดาวโหลดเสียงที่...  https://drive.google.com/open?id=1YqpFnpnLKOTLUIbBEbsFIEqs_oWhZWvf

 

พ่อครูว่า…วันนี้วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้อาตมาเห็นถึงความสดจริงๆเลย เป็นไปตามสัจธรรม เขาเตรียมแผนไว้เหมือนกัน วางแผนอย่างโน้นอย่างนี้ไม่ได้เข้าตามแผนที่วางเลย ทุกอย่างมันก็ดำเนินไปเรียบร้อยของมันเองแต่ก็ไม่มีอุปัทวเหตุ เข้าสู่จุดสำคัญได้อย่างดี ปีนี้ เป็นปีที่เป็นพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ครั้งที่ 44 เลขคู่ 4 เลข 4 เป็นเลขที่แหวกเจาะกระเปาะไข่ออกมาได้เป็นอันแรก

1 2 3 เป็นวงวนธรรมดาธรรมชาติตั้งแต่พลังงาน จนถึงจิตวิญญาณ ซึ่งมี หญิงชาย และจิตวิญญาณ เรียกว่าวงวน หรือโลก cyclic order จะอยู่อย่างนี้แต่ไหนแต่ไร ผู้ใดมีพลังพิเศษแยกจากวงวนนี้ได้เรียกว่าออกจากโลกียะ จุดแรกออกสู่โลกุตระ มา4 แล้วต้องพยายามสร้างพลังงงานเป็น 5 เป็น 6 จาก 6 ต้องออกมาจากคู่ดูดดึงสองเส้าให้ได้เป็น 7 เป็นพลังงานโลกุตระที่แหวกออกมาเป็นเส้าสุดท้าย เป็น 9 พลังงาน 7 เป็นพลังงานตัวหลักของวงวน

1 2 3   4 5 6   7 8 9

9 จึงเป็นพนักงานที่เร็วที่สุดตรงที่สุดสมบูรณ์ที่สุดของ cyclic order ของอันนี้ เขาก็ใช้วงวนตัวเลขเหล่านี้ ทำเป็นพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชั่วฟิชชั่น ปรมาณูที่ไอน์สไตน์ค้นพบ E=mc2

ส่วนอาตมาคิดได้ทางนามธรรมเป็นการขยายผลจากไอน์สไตน์ว่าไว้ อาตมาก็มาบวก A

A คือ mc2 นั่นเอง เมื่อบวกไปหลายๆอันก็เป็นคูณ​จากหลายคูณก็เป็นยกกำลัง เป็นปฏิภาคทวีไปได้เรื่อยๆ

ผู้ศึกษาแยกอุตุ ดินน้ำไฟลม สิ่งไม่มีชีวะ ชีวิต แต่เป็นพลังงาน ความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า จนเป็นพลังงานที่มีชีวะ เรียกว่าพืชหรือพีชะ ก็จะมีประธานเข้ามายึดความเป็นวงวน ยึดความเป็นตัวตน เป็นสภาพสามเส้าเป็นตัวเองขึ้นมาเป็น ISH แบบพีชะ พีชะไม่เป็นจิตนิยาม ยังไม่สามารถมีความรู้สึกของตนเอง ชอบ ชัง สุข ทุกข์ พีชะ ยังไม่มีคุณสมบัติเจริญขนาดนั้น จนเจริญมาเป็นจิตนิยาม เป็นสัตว์เดรัจฉาน จนมาเป็นมนุษย์ ที่จะรู้เท่าทันพลังงานแล้วทำพลังงานนี้ให้เป็นอุตุได้ พีชะก็ได้ กรรมก็ได้ ทำได้ก็ทรงไว้เป็น ธรรมะ static ส่วนกรรมเป็น dynamic เป็นฐานวิ่งรอง เป็นพลังงานสองหน่วยบวกลบ สามารถควบคุมดูแลจัดการได้

เราอยากให้เป็นพลังงานตัวแปรจาก mc2 เพิ่มก็เป็น A อาตมาจึงมี mc2+A ได้หลายตัวจนทดมาเป็นตัวคุณ ตัวยกกำลัง ซ้อนในตัวเอง อาตมาจึงทดมาเป็น C ย่อมาจาก coefficient จากคูณมาเป็นยกกำลัง

เป็น E=C(mc2+A) 

อันนี้เป็นความรู้ที่อาตมาคิดได้ อาตมาว่าเป็นนจริง อาตมาพิสูจน์จากพลังงานชีวะของตนเอง อาตมานี่มีอายุขัยจริงๆ 72 ปีจะต้องตาย แต่มาได้พลังงานความรู้ coefficient นี้ก่อน 72 อาตมายังไม่เก่งพอจะเรียกชื่ออีกหลายอย่าง หากทำได้จะเป็นยาอายุวัฒนะต่ออายุขัยทางนามธรรม อาตมาพิสูจน์แบบอาตมา ตอนนี้เลย 72 มา 1 นักษัตรก็เป็น 84 ปี แล้วก็เลย 84 มาได้ 12 ปีแล้ว หากเลยไปอีกเป็น 90 ก็เพิ่มไปอีก 6 ครึ่งหนึ่งของนักษัตร เอาไว้ฉลองตอน 90 ดูสิว่าอาตมาจะหนุ่มกว่านี้ไหม หากหนุ่มกว่านี้สูตรนี้อาตมาว่าเข้าท่านะ จากนั้นก็หวังว่าจะได้เพิ่มเป็น 96 เป็น 2 นักษัตร หากไปได้อีกนักษัตรเป็น 108 ทั้งโลกจะเหล่มาที่เรา เพราะอาตมาไม่ใช่คนที่อยู่ในหลุมก็เป็นที่มีผลงานที่เขารับกันได้ และเป็นผลงานที่ใช้ได้จริง

หากทฤษฎีนี้สมบูรณ์แบบจริงๆ มันจะพิสูจน์ประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้า

 

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ลักษณะของประชาธิปไตย 5 ประการ

อาตมาพยายามพิสูจน์ประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้า ในยุคนั้นยังไม่มีคำนี้ มีแต่ ธรรมาธิปไตย อัตตาธิปไตย โลกาธิปไตย แต่สภาวะมันมี

ลักษณะของประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้าคือมีสาราณียธรรม 6 กับวรรณะ 9 เป็นตัวหลักทฤษฎียืนยันให้เกิดองค์รวมของมนุษยชาติจะอยู่กันอย่างเรียบร้อยสมบูรณ์แบบ มีคุณสมบัติของสาธารณโภคีอย่างชาวอโศกเป็น ซึ่งคนเขายังไม่เข้าใจไม่ชัดเจนว่าสาธารณโภคีคืออะไร

สาธารณโภคีเป็นระบบของคอมมูน หรือคอมมิวนิสต์จบเลย และเป็นระบบของประชาธิปไตยสูงสุดจบเลย ultimate เพราะคนในสังคมนี้สมาชิกสังคมนี้ทำงาน รายได้ผลได้ เอาเข้ากองกลางหมดเลย เรียกว่าเสียภาษี 100% ซึ่งคอมมิวนิสต์หรือประชาธิปไตยก็อยากได้ เอาผลงานเข้ากองกลางหมดเนื้อหมดตัวไม่ยักไว้เลย เป็นคุณสมบัติเลิศยอดของมนุษยชาติที่สมาชิกทำงานเอาเข้ากองกลางหมดไม่ใช่ทำอย่างแข่งด้วยมีการเชื่อมต่อ คนไม่หมดก็เอาเข้า 90% ก็ยักไว้ 10 บางคนยักไว้ 20 บางคนยักไว้ 30 ไล่ไปจนไม่เอาเข้าเลยมีถึงขนาดนั้น ดีไม่ดีจะมาเอาเปรียบจากกองกลางก็มีคนขี้บาป บาปกินหัว ตัวเองไม่เอาเข้าแล้วมาเอาของคนดีที่เสียสละอีก จึงบาปแรง

บาทหนึ่ง พวกที่มาเอาของกองกลางตรงนี้แทนที่จะบาป 1 แต่บาปเต็ม 100 เลย แทนที่จะเอาแค่บาป 1 แต่ได้บาป 100 ใครมากินของกองกลางบาปแรงนะ

คนที่ไม่เห็นแก่ตัว อนัตตาหรือเห็นแก่ตัวน้อยลงๆจนสุดท้ายไม่เห็นแก่ตัวเลย พิสูจน์ความเป็นอนัตตาไม่เห็นแก่ตัวเลย

 

สรุปลักษณะประชาธิปไตยแล้วใช้บัญญัติกำหนดไว้ 5 ตัวคือ

1. มีอิสระ 2. มีทาน 3. มีปัญญา (ปัญญากับเฉโกก็ต่างกัน) 4. อนุกัมปา 5. อนัตตา

ประชาธิปไตยที่มีคุณวิเศษ 5 ประการนี้เกิดจากคนที่มีคุณธรรมคุณวิเศษ

การมีอิสระการทานอย่างไม่มีสาเปกโข ซึ่งความเป็นจริงทำได้ แล้วมีปัญญา แบบโลกุตระไม่ใช่ความฉลาดแบบโลกีย์ทางโลกเทวนิยมใช้กันแต่นี่เป็นความเฉลียวฉลาดความรู้แบบโลกุตระ

คุณสมบัติของคน แล้วสมาชิกของสังคมนั้นๆมีอิสระการทานอย่างจริง มีปัญญาโลกุตระจริงมี อนุกัมปา คือส่งเสริมรับใช้ผู้อื่น รับใช้อย่างบริสุทธิ์ใจไมใช่รับจ้าง เห็นดีไม่มีใครบังคับ ทำทานอย่างบริสุทธิ์ และจบสุดถึงอนัตตา

ประชาธิปไตยที่มีคุณสมบัติ 5 ยิ่งใหญ่สุด สังคมชาวอโศกเป็นประชาธิปไตยแบบนี้ คนจะตามศึกษาในอนาคต หากอาตมาอายุถึง 108 ความรู้นี้จะกระจายทั่วโลก เพราะทุกวันนี้เขาแสวงหาจุดสมบูรณ์ของความเป็นประชาธิปไตยที่แท้ ขอยืนยัน ไทยเราเป็นได้แล้วตามฐานะของไทย ตอนนี้ก็มีฝ่ายค้านค้านไป แต่ก็ขออภัย ต้องพูดตรงๆก็ค้านไม่สำเร็จหรอก เพราะว่ามวลของประชาชนที่เหนดีเห็นด้วยมันมากพอ แต่ทุกวันนี้คนขยันทำงานทำพลังงานหาเสียงให้แก่ตนเองลงทุนลงแรงมากใช้เวลานานทำเต็มที่คือ ทุนรอน เวลา แรงงาน สามอย่างนี้คือองค์ประกอบ cyclic order อย่างหนึ่ง ทุนรอน แรงงาน เวลา ไปแย่งกันไม่ได้ เวลาทุกคนมีเท่ากัน แรงงานของใครของมัน ทุนรอนของใครของมัน ของไทยก็ใช้อย่างของไทย

หลักสำคัญ4อย่างคือ

1. อย่าเป็นหนี้ 2. มีพลังงานสมรรถนะเลี้ยงตัวองให้ได้พึ่งตัวเองให้รอด 3.ทำให้มากเกินกว่าตัวเองกินใช้ 4. ไล่แจก ให้มันรู้ไป ไล่แจกแล้วคนจะไม่รู้จักค่าของคุณประโยชน์ที่เราได้ช่วยเหลือเขาไม่อยากพูดว่าจะกตัญญูเรียกร้องให้เขาตอบแทน เราไม่เรียกร้อง แต่ให้เขามีคุณธรรมของเขาเอง เราไม่เรียกร้องการตอบแทนบุญคุณ หากคุณไม่รู้สึกจริง หรือถูกบังคับมาก็อย่ามาตอบแทนเลย ยิ่งถูกหลอกล่อมาก็ไม่เข้าท่า ไม่มีศักดิ์ศรีเลย ฟังแล้วเห็นไหม ความชัดเจน

สรุปมาที่ประชาธิปไตยที่มีคุณสมบัติ 5

ตั้งแต่อิสรเสรีภาพนี้สุดยอด อย่างชาวอโศกนี่มาเองนะ มากันโดยอิสรเสรีภาพไม่ไปหลอกล่อบังคับ ใครเห็นดีเห็นงามมา มาแล้วต้องเป็นคนมีวรรณะ 9 มี ศีล สมาธิ ปัญญา

นิมนต์ฉันน้ำก่อน

พ่อครูว่า...ขอขยายความประชาธิปไตย 5 ข้อนี้ให้ดี

ก่อนจะขยายก็ขอพูดถึงมาฆบูชาหน่อย

มาฆบูชามีคุณสมบัติสามอย่าง 1. เป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้นมารวมกัน 2. รวมกันโดยไม่ได้นัดหมาย 3. เป็นวันมาฆฤกษ์ วันพระจันทร์เต็มดวง เพ็ญเดือนสาม ถ่ายทอดมาไม่รู้กี่ปีแล้วเหมือนพวกคุณรู้ความสำคัญ ตอนนั้นพระพุทธเจ้ามีความสำคัญเมื่อถึงวันเพ็ญเดือน 3 ก็จะมารวมกันแล้วมีการชุมนุมของพระอรหันต์ แล้วพระอรหันต์ทุกองค์ เป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทาไม่ใช่บวชด้วยญัตติจตุตถกรรม ซึ่งมีน้อยที่สุดแล้วสำหรับพระพุทธเจ้าองค์นี้ มี 1250 องค์ ที่จริงก็เหมือนนัดหมายรู้ในตัวเองมาไม่รู้กี่ชาติ จึงเป็นวันสำคัญของมาฆบูชา

ส่วนอาสาฬหบูชาเป็นความรู้ของประเทศไทย ของสังคมพุทธประเทศอื่นเขาไม่สำคัญเท่าไหร่ ค้นพบว่าเกิดภิกษุองค์แรก เทศน์กัณฑ์แรก มีสงฆ์โกณทัญญะเกิดเป็นสงฆ์องค์แรก คือวันอาสาฬหบูชา 15 ค่ำเดือน 8

อันนี้ควรย้ำว่า วิสาขบูชา ท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรมแต่ท่านทวนระลึกถึงตัวเองว่าท่านเป็นใครได้สั่งสมบารมีมา แล้วท่านก็รู้ว่าท่านได้ครบสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จึงมาประกาศตนว่าเป็นพระพุทธเจ้า ที่ไปปฏิบัติ 6 ปีในป่าเป็นเรื่องที่ทางผิด ที่ท่านงมงายกันทุกวันที่ไปยึดติดความรู้เดียรถีย์ กระแสหลักทุกวันนี้หลงออกป่า นั่งหลับตาปฏิบัติธรรม อาตมาก็พูดไปเขาไม่ฟังกันไม่มีปรโตโฆสะ

พระพุทธเจ้าท่านนั่งรำลึกชาติในยามยามสองยาม 3 พบว่าเราเป็นพระพุทธเจ้าครบแล้วก็จะมาประกาศตัวแล้วก็หาคนจะประกาศจะไปประกาศกับใครที่ฟังแล้วรับรู้ได้ว่าเราเป็นพระพุทธเจ้าก็ระลึกถึงอาฬารดาบสอุทกดาบสที่เป็นเดียรถีย์ได้ฌาน 7 ฌาน 8 ก็พบว่าเสียแล้วก็นึกถึงโกณทัญญะ ที่ตอนที่พยากรณ์ไว้ก็ยังหนุ่ม แต่ตอนนี้แก่แล้วมีพรหมณ์หนุ่มอีก 4 รูปอยู่ร่วมด้วย ทั้ง 5 คนติดยึดว่าต้องนั่งหลับตาออกป่า แต่พระพุทธเจ้าท่านก็เห็นว่าไม่ถูกก็ปลีกมา ทั้ง 5 ก็บอกว่าล้มเหลวแล้วพระสมณโคดม ความเห็นก็แยกกัน จนกระทั่งพระพุทธเจ้าระลึกได้ก็เดินทางมา จากตัวเองตรัสรู้แล้วรู้ว่าพราหมณ์ 5 รูปอยู่ไหนก็เดินไปหา กว่าจะมาถึง 2 เดือนก็มาเจอกัน พอมาพบ ทั้ง 5 ก็บอกว่ามาแล้ว ใครอย่าต้อนรับนะ แต่เข้ามาแล้วก็ต่างคนต่างรับรู้รัศมีบารมีของพระพุทธเจ้า ก็เงอะๆงะๆ บางคนก็อ่อนน้อม เป็นอจินไตย คือจริงๆแล้วทั้ง 5 องค์มีบารมีร่วมกันมาแล้ว เป็นกรรมวิบาก อาตมาไม่มีความรู้อธิบายละเอียดได้

มาถึงก็ท่านก็ว่าเราบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ทั้ง 5 องค์ก็ไม่เชื่อท่านก็ทวนว่า ที่เราเคยอยู่ร่วมกันมาเราเคยพูดไหมว่าเราเป็นพระพุทธเจ้า​ตอนนั้นเราไม่ชัดไม่แน่ใจหรอก แต่ตอนนี้เราพูดจริงว่าเราเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ทั้ง 5 องค์ก็มีปฏิภาณรู้ได้ โดยเฉพาะโกณทัญญะก็เคยพยากรณ์ไว้ด้วย

ท่านก็เลยเทศน์ ธรรมจักกัปปวัตสูตร พอเทศน์ปั๊บ โกณทัญญะก็เกิดอัญญธาตุเป็นธาตุใหม่ธาตุโลกตระ อัญญะยังไม่เป็นพหูพจน์นะ แปลว่าอันอื่นที่แตกออกมาไม่ใช่อันเก่า เป็นความรู้เพิ่มเติมเป็นพหูพจน์ เป็นอัญญา จากนั้นก็มาเป็นกัญญา ชัญญา ปัญญา

เรื่องธรรมะพระพุทธเจ้าพุทธศาสนาจะรุ่งเรืองในอนาคต เพราะเป็นคุณธรรมคุณวิเศษของมนุษยชาติ ตั้งแต่บุคคล สังคม ประเทศ โลก จักรวาล แต่จะขยายได้ไม่ใหญ่เท่าเทวนิยมหรอก ประชากรโลกตอนนี้ 7000 ล้าน พอไปอีก 40 ปีก็จะกว่าหมื่นล้าน จะปฏิภาคทวี จะกำหนดอย่างไรก็เพิ่มปฏิภาคทวี

 

มาถึง 5 ข้อของประชาธิปไตย

อิสรเสรีภาพเป็นตัวหลัก เมืองไทยตอนนี้มีอิสรเสรีภาพดีที่สุด โดยเฉพาะชาวอโศกมีอิสรเสรีภาพดีกว่าใครในโลก อาตมายังไม่ใช้คำว่าสัมบูรณ์นะ อาตมาให้คำว่า สัมบูรณ์ มีมิติของความเต็มมากกว่าบริบูรณ์หรือปริปูรณะ

สัมมปูรณะนี้เหนือกว่า สมะ คือเสมอหรือสงบ ปูระ คือเต็ม ปริปูรณะคือบริบูรณ์รอบยังไม่เนียนใน แต่ สัมม นี้ทั้งนอกทั้งในครบกว่า

 

อิสระ ผ่านอิสระเสียที อิสระเป็นตัวนำว่าประชาธิปไตย นี้ ทุกคนต้องการอิสระแล้วมีอิสระจริง

 

จากนั้นก็มีทาน อิสระแล้วก็ ให้ เสียสละ การให้นี่ ในสัมมาทิฏฐิ 10 คำแรก ทินนัง เป็นคำที่ 3 ของทาน

ทินนังคือให้แล้วจบแล้ว แล้วจิตคุณให้โดยมีสาเปกโขหรือไม่ให้แล้วยังมีเชื้อยึดเป็นเราเป็นของเราหรือไม่ คุณจะต้องมาตอบแทนบุญคุณระลึกบุญคุณ อันนี้ยังไม่บริสุทธิ์

ทานที่บริสุทธิ์คือต้องให้อย่างขาดไม่มีหวังอะไรตอบแทน คนมิจฉาทิฏฐิให้แล้วยังหวังตอบแทน แล้วยังผูกพันกับผู้เป็นเจ้าของ ให้ไปแล้วจะต้องเอาคืน เขาจะเป็นคนต้องการแล้วจะต้องตอบแทน ให้ไป 500 ต้องตอบแทน 500 แล้วต้องมีดอกเบี้ยด้วยนะ คืน 600 700 ดีไม่ดีทบต้นด้วยนะ

หากมีสาเปกโขคือไม่บริสุทธิ์ อัตถิทินนังคือทานแล้วไม่มีความต้องการอะไรตอบแทนเลย ยังไม่พอ ปฏิพัทธเปกโข ยังผูกพันกับสิ่งที่เราให้เขาเป็นเราเป็นของเราอีก ยังไม่พอ มีการสั่งสมเป็นกองสมบัติของเราสันนิธิเปกโข สั่งสมเป็นธนาคารกองสมบัติ ยังโง่ไม่พอ ข้ามชาติไปเป็นเข้าของกินชาติต่อไปอีกไม่เคยปล่อยวางเลย เอ็งจะมีอัตตา อัตตนียาไปถึงไหน ทานไม่ปล่อยวาง ทานยังมีตัวกูของกู

ต่อมา ศีล ก็มีนัยคล้ายกันกับทาน ยังยึดเป็นตัวกูของกู ปฏิบัติศีลแล้วจะได้คุณสมบัติแบบนี้ เอาไปข่มเบ่งคนอื่น เรียกร้องให้คนอื่นมาเอา ดีไม่ดีให้เขาแล้วต้องมีค่าตอบแทนอีก

นี่คือสองข้อหลัก ทานกับศีล ทานก็ล้างกิเลสศีลก็ล้างกิเลส หากไม่ชัดเจน ก็ไม่หมดกิเลส หุตัง คือผลแท้จริงหรือไม่ในการทาน ศีล หุตัง แปลว่าผลแท้ที่หยั่งลง

ยาก ทาน ศีล ภาวนาอรรถกถาจารย์เอามาผสม เป็นบุญกิริยาวัตถุ 10 เลยบานตะโก้ เป็นเทวนิยมอีกเยอะ เขามีส่วนดีแต่ไม่ถูกต้อง เพราะเข้าใจบุญผิด บุญแท้ๆมีแค่ 3 อย่าง ขยายอีก 7 อย่างเป็นโลกียผสมมา

นิมนต์จิบน้ำ

เวลาเดินทางของพระพุทธเจ้าไปหาปัญจวัคคีย์ไม่น่าจะใช้สองเดือน เพราะใช้เวลาเสวยวิมุติสุขอีก

พ่อครูว่า ท่านเดินเร็วนะ

สมณะเดินดินว่า...วันนี้มีคนมาฟังธรรม 1475 คน

พ่อครูว่า...ก้าวหน้านะ

 

ต่อจากทาน ปัญญา นี่ขอต๊ะไว้หน่อยยังไม่อธิบายมากตอนนี้ ค่อยติดตาม

งานนี้เทศน์เรื่อง กายนี้คือวิญญาณ

 

อนุกัมปายะ ก็หมายความว่า เป็นผู้อนุเคราะห์หากมีโลกก็เป็นโลกานุกัมปายะ คืออนุเคราะห์กว้าง เอื้อมเอื้อเกื้อกว้างสู่มนุษยชาติ ต้องมีธรรมฤทธิ์มากขึ้น

อย่างอาตมาช่วยคนทางนามธรรมเจตสิกซึ่งยากละเอียด อาตมาปางนี้ไม่เก่งทางวัตถุ รูปธรรม แต่เป็นนามธรรม แจกอาริยทรัพย์นามธรรม ทางรูปธรรมนั้นหลายคนรวมกันช่วยสร้างวัตถุรูปธรรมเกื้อกูลแจกจ่าย ในเมืองไทยมีคนมีภูมิธรรมองค์ประกอบพุทธอยู่จริง ตั้งแต่ในหลวงร.9 ข้าราชบริภาร ประชาชน จนสหประชาชาติเขาสามารถเข้าใจ รู้สิ่งประเสริฐอันนี้ จึงต้องรับรองให้รางวัล ท่านก็ได้ทางรูปธรรม ส่วนอาตมาทางนามธรรมยากกว่าหลายชั้น ก็คงไม่ตายตอน 89 ต้องลากสังขารไปอีกเพื่อพิสูจน์ธรรมะทางนามธรรม ตามเกณฑ์นิมิตก็ 151 แต่ตัวเองก็ไม่เชื่อเท่าไหร่ ทุกวันนี้มีโรคกระเปาะทางคอ จะทำให้หายใจไม่ได้ก็ตาย ก็จะเกิดเสลดมาอุดตัว หรือเส้นเสียง vocal cord จะระบมบวม มาชนกระเปาะก็ตายได้ แต่ก็ไม่ประมาท คนที่มีความรู้อยากช่วยก็ขวนขวาย หลายท่านเสนอมา อาตมาก็ใช้คณะที่ดูแลช่วยกันคัดกรอง ก็ต้องขออภัยที่บางคณะก็ไม่สนองก็ขอบคุณอย่างยิ่ง หากเหลือบ่ากว่าแรงก็คงต้องยอมรับในอะไรก็แล้วแต่

ทานก็ให้แล้ว อนุกัมปาก็ให้จริงๆ ให้ทั้งสมรรถนะความสามารถ มวลองค์ประกอบวิธีการพิธีกรรมทฤษฎีรวมแล้วเป็นการสงเคราะห์อนุเคราะห์ช่วยคนอื่นเต็มที่

สุดท้ายจบที่อนัตตา คือไม่มีตัวตน

อาตมาว่าเป็นแกนใหญ่ของประชาธิปไตย

อิสระเป็นตัวต้น อนัตตาตัวท้าย

อิสระคืออัตตาเป็นตัวเองทุกคน ไม่มีใครบังคับ แม้ใต้ทฤษฎีพระพุทธเจ้าก็ไม่มีการบังคับ ในกาลามสูตร 10 ว่าไว้ ไม่ให้เชื่อแม้พระพุทธเจ้า ไม่เชื่ออะไรทั้งนั้นอิสระที่สุด ไม่มีใครมาเป็นเจ้า จะเป็นพระเจ้า จะเป็นทฤษฎีสิ่งสมมุติก็ไม่มีการมาบังคับ แล้วอิสระสูงสุดคือไม่มีตัวตน สูงสุดจริงๆ เพราะรู้ตัวตน แล้วทำลายตัวตนที่มีองค์ประกอบตั้งแต่ภายนอกคือโอฬาริกอัตตา

ก็หลุดพ้นจากอัตตาหยาบนี้ เรียนรู้ละลดจากโอฬาริกอัตตา ตั้งแต่อบายมุข กาม ก็รู้ถึงว่าอบายมุขคืออะไร ต้องไปเกี่ยวกับอะไรต้องไปเสพติดยึด มีสุขทุกข์กับมันอยู่ ก็เลิกขาด พิสูจน์ได้ตั้งแต่ตอนเป็นๆ อบายมุข ตีทิ้งไปเป็นอุตุนิยามได้เลย คืออบายมุขมีอยู่ เช่นสิ่งเสพติดละเม็งละครทั้งดาราเล่นละคร  ทั้งดารากีฬาราคาแพงๆ หยาบๆพวกนี้เขาสนุกต้องเสียค่าตั๋วไปดู คนก็ไม่รู้ไปเร่งเร้า ค่าตัวสูงเท่าไหร่ยิ่งอบายมุขเท่านั้น

สังคมใดราคานักกีฬา ดารา ราคาแพงมากเท่าไหร่คือสังคมอบายมากเท่านั้น คนไม่รู้ก็ไปเชิดชูให้ค่าตัวแพงๆ

สังเกตได้ว่า มีส่วนหนึ่งที่งมงาย แต่ค่าเฉลี่ยแล้วไม่ว่าจะจีนหรืออินเดีย ดาราค่าตัวเกาหลีแพงกว่าดาราจีนนะ เกาหลีประเทศเล็กนิดเดียว แต่จีนคนมากกว่าเยอะ ยังแพงกว่าอีก นี่แสดงถึงราคาความรู้ในโลกความรู้คุณธรรมในโลกดีกว่า เกาหลีอาจโฆษณาประเทศดีกว่า แต่พลเมืองจีนมีมากกว่ามาก แต่คนเขามากกว่าแล้วฉลาดกว่าด้วย สู้ไม่ได้ทั้งเนื้อหาและปริมาณ เกาหลีก็แสดงถึงความโง่กว่า เด่นดังกว่า แต่จีนเอาเนื้อหาสาระได้มากกว่า ตอนนี้นำลิ่ว แม้ทางไอทีก็เก่ง

สรุป ประชาธิปไตย 5 หลักใหญ่คนจะค่อยศึกษากัน เพราะเกี่ยวกับโลกุตระ อุตริมนุสธรรมเกินสามัญกว่าคนทางโลกส่วนมากจะคิดได้ แน่นอนเป็นจำนวนน้อยแต่เป็นยอดปิรามิดของความรู้จริงๆ คนส่วนน้อยจะรู้ได้ สิ่งที่รู้ยากสมบูรณ์แบบก็ต้องมีคนมีภูมิปัญญาก็ต้องน้อยใช่ไหม คุณสมบัติ คุณธรรมที่จะอาศัยปัญญาโลกุตระนี้จึงลึกซึ้งไม่ใช่เฉกา (พหูพจน์) เฉกะ หรือเฉโกคือเอกพจน์

ผู้มีปัญญาเข้าใจ เป็นตัวยิ่งใหญ่ จะช่วยคนอื่นได้ต้องมีอนัตตาไม่มีตัวตน แล้วต้องทานอย่างมีอิสระ พยัญชนะ 5 อันนี้ปัญญาชนจะค่อยมาเข้าใจในอนาคต จะไปสร้างให้ตนมีคุณธรรม มีเนื้อแท้มากยิ่งขึ้น สัตว์โลกคือมนุษย์เป็นสัตว์โลกที่ยิ่งใหญ่ฉลาดสุดแต่โลกจะมีกลียุค เดือดร้อนใกล้มาทุกที แต่ขณะนั้น คนที่ยอดที่จะเก็บกวาด คนที่หลุดพ้นจากกลียุค ลอยตัวจากกลียุค ไฟกลียุคไหม้ไม่ตาย คนพวกนี้มีความหนังเหนียว ภูมิคุ้มกัน อยู่ยงคงกะพัน เรียกว่า(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ แคล้วคลาดไม่มีเรื่องมาแผ้วพาล เรื่องบาปอกุศลภัยพวกนี้ ผู้มีบารมีจะหลุดพ้นได้ง่าย อย่างพระพุทธเจ้าใครจะทำร้ายได้ เก่งอย่างพระเทวทัตมอมเมาช้างให้มาทำร้ายก็ไม่สำเร็จ รอดมา สุดท้าย ก็ได้แค่สะเก็ดหินมาถูกพระบาทห้อเลือดเท่านั้นเองทำได้แค่นั้นเป็นอจินไตยที่มีบารมีคุ้มกันเป็นกำแพงไร้สภาพที่หุ้มกันท่านไว้จริงๆ ไม่มีรูปร่าง ในชีวิตอาตมาก็มีเรื่องเหล่านี้ยืนยันบ้าง ไม่ได้ท้าทาย แต่ก็ไม่มีใครมาทำร้ายอาตมาถึงขนาดนั้น มีแต่หอกปาก สูงสุดก็โดนแก๊สน้ำตา แสบเสียไม่มี ใครจะแตะจะถีบอาตมาก็ไม่เคยเจอ ไม่เคยโดนดีโดนตบ มีแต่ครูที่ตี เพราะไม่ได้ทำการบ้าน แต่อาตมาก็หลบเหลี่ยมครูอาจ รร.เบญจมมหาราช แกเป็นนักผ่อนส่งตีผ่อนส่ง อาตมาทำการบ้านไม่ทัน แต่อาตมานั่งหน้าห้องสู้ตา เป็นทริคของอาตมา สู้ตาแปลว่าทำได้ แต่ใครหลบแกเอาก่อนเลย

โลกสังคมกำลังมุ่งหาประชาธิปไตย จีนพัฒนาจากคอมมิวนิสต์ จากเหมาเจ๋อตุง เป็นเชิงบังคับ คนก็ไม่ค่อยชอบหรอก คอมมิวนิสต์จะไม่ครองโลก เดี๋ยวนี้เป็นลัทธิแก้ คอมมิวนิสต์กลายพันธ์ุ

อย่างประเทศไทยมีประชาธิปไตยมาแต่ต้น ยกตัวอย่างพ่อขุนรามคำแหงมหาราช มีคุณธรรมประชาธิปไตยสืบเชื้อมาในประเทศไทย ยิ่งเจริญมาในยุคในหลวงร.9 เป็นที่รู้กันดี แต่ละประเทศก็พยายามทำ แต่ก็เป็นประชาธิปไตยของแต่ละประเทศซึ่งไม่เข้าท่า ยกตัวอย่างอเมริกา ที่เอาประชาธิปไตยจากอังกฤษไปทำ แต่ทุกวันนี้กลายเป็นประชาธิปไตยทุนนิยมสามานย์ ต้องใช้ทุนมหาศาลอำนาจ หมู่กลุ่มเป็นประชาธิปไตยค่ายกลทุนนิยมสามานย์ จะว่าไปแล้วรัสเซียเป็นคอมมิวนิสต์ที่ดีกว่าประชาธิปไตยสามานย์ ขออภัยท่านอเมริกาทั้งหลาย เดี๋ยวจะส่งโดรนมายิงอาตมาอีก ขอให้อาตมาอยู่ทำงานเถิด ไม่ใช่กลัวตายหรอก หากจะตายก็เป็นวิบาก แต่เชื่อว่าไม่ทำหรอก เพราะอาตมาไม่ใช่คนเด่นคนดังหรอก ไม่ใช่เสียงนกเสียงกา แต่เขาถือว่าเสียงหมาเห่าบ๊อกๆ ก็คงไม่ติดใจมากมาย

 

คุณสมบัติ 5 ประการนี้มนุษย์จะต้องศึกษา เมืองไทยสืบทอดประชาธิปไตยโดย DNA มา อาตมาพยายามยืนยัน แต่คนไม่เชื่อน้ำมนต์ว่าประชาธิปไตยนี้ทำรัฐประหารโดยประชาชน รัฐประหารหรือประชาชนร่วมกันปฏิวัติประเทศโดยประชาชนสำเร็จถึง 4-5 รัฐบาล แม้แต่ประชาธิปัตย์ก็ถูกปฏิวัติโดยประชาชน นอกนั้นก็ต้องหนี ไม่หนีก็ตาย อย่างนอร์มินีสมัคร อย่างสมชายก็ยังอยู่

นอร์มินีทักษิณมีหลายคน เป็นตัวอย่างว่าไม่ขึ้นหรอก ประชาธิปไตยสามานย์ไม่ขึ้นหรอก แบบใช้อำนาจบาตรใหญ่ สร้างเครือขาย ทหารแตงโม ตำรวจมะเขือเทศ ก็มี จะซับซ้อนในกรอบของประชาธิปไตย  ต้องรู้เนื้อแท้ประชาธิปไตย ขอยืนยันว่าเราชาวอโศกเป็นเนื้อแท้ประชาธิปไตยแบบพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าเป็นประชาธิปไตยที่มีธรรมนูญ คือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ซึ่งเขาเข้าใจไม่ได้ หากเข้าใจเอาไปออกกฎหมาย เอาศีล 5 เป็นธรรมนูญของประเทศไทย จบ แล้วออกกฎหมายลูกจากธรรมนูญ 5 ข้อนี้ นักนิติศาสตร์ฟังไว้ ไม่ต้องลำบากเลย อินเดียมีธรรมนูญ.ฉบับเดียว เขาเป็นพวกศรัทธา สงบ ไม่ต้องไปแก้ไขเลย ใช้มาถึงทุกวันนี้บริหารจริงเอาสภาวะเข้าว่า หลักเกณฑ์เดียวเอาศีล 5 แล้วมาขยายกฎหมายลูกให้เข้ากับสังคมองค์ประกอบปัจจุบัน เอาทำกฎหมายลูกเปลี่ยนไปตามยุคกาลเหตุปัจจัยก็ง่าย แต่ทุกวันนี้ออกกฎหมายสภาไม่ได้เรื่อง เถียงกันเลอะ ค้านกันไป ไม่เข้าท่า จนทุกวันนี้งบประมาณไม่ออก แต่เขาก็ใช้กันแล้ว มันเสียเศรษฐกิจ เอาไปเอามาต้องไปกู้ต่างชาติมาอีก กู้เสียดอกเบี้ยอีก จะโง่ไปถึงไหน คนโง่ทำอะไรน่าเกลียด โง่ไม่เสร็จ แต่มันห้ามไม่ได้ เขาก็แสดงออกจริง

แต่เมืองไทยสรุปว่า ประชาธิปไตยของเมืองไทยสวยที่สุด นี่ไม่ได้พูดเล่น ไม่ได้หลงตัว แต่พูดเอาทฤษฎีหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้ามาตัดสิน ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นโครงสร้างทฤษฏีหลัก พระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่ในยุคของท่าน ธรรมนูญของท่าน จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ในทวีปอินเดีย เจ้าแคว้นใดๆก็ยอมให้ท่านหมดเลย จบ


เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 13:19:55 )

630209

รายละเอียด

 

630209_เทศน์ทวช.งานพุทธาภิเษก#44  บ้านราชฯ กายนี้คือวิญญาณ ตอน1

 

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1iZZUB-98slpoTQs4PRYqUqaAM9Cmc0P1ZYYRJL7t1vM/edit?usp=sharing                      

 

ดาวโหลดเสียงที่...  https://drive.google.com/open?id=1Z2Im78Ri8FX5AwZWpUQnZ0umA1co35gF

 

พ่อครูว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563 ที่บวรราชธานีอโศกเป็นวันที่ 2 ของงานพุทธาภิเษก ครั้งที่ 44 มองไปข้างหน้าก็มีพืชผักมีทั้งใบทั้งหัวมันเต็มมันโตมันอ้วน อุดมสมบูรณ์จริงๆ เหมือนมันแกล้ง อยากดีอยากงามนัก งามให้ดูเลย เราก็ไม่ว่ากัน ก็มาดำเนินสู่รายการที่เราได้กะกันเอาไว้ ไม่งั้นก็จะออกไปมาก เอาเรื่องของกาย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(กาย) ตอน นิยามของคำว่า กาย

กายนี้คือวิญญาณ

ที่อาตมาจะต้องเน้นอย่างนั้นก็เพราะว่า ภาษาไทย เมืองไทย ได้ผิดเพี้ยนไกลไปจากสัจธรรมโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า 2500 กว่าปีไปไกลมากเสื่อมและเพี้ยนไปไกล

ที่เพี้ยนคือเข้าใจว่ากาย คือเป็นเพียงร่างภายนอกของคน และไม่มีความรู้สึกร่วมด้วยเลย กลายเป็นหมายถึงดินน้ำไฟลม เป็นสังขารปรุงแต่งของดินน้ำไฟลม ไปเข้าใจว่าอย่างนั้น

จึงต้องออกข้อสอบถามพวกเรา แล้วกายที่มีสังขารปรุงแต่งกันด้วยดินน้ำไฟลม คืออุตุธาตุหรือพีชธาตุหรือจิตธาตุ ?....อุตุธาตุ พีชธาตุ หรือจิตธาตุ ที่ถูกต้องคือจิตธาตุ แต่เมืองไทยหมายถึงเพียงดินน้ำไฟลม เห็นไหม?พวกเราแท้ๆฟังมาหูแฉะก็ยังสอบตกมากกว่าสอบได้ คิดดูไม่ง่ายมันฝั้นเฝือสับสนมานาน ไปถามข้างนอกเขาตอบถูกตามของเขาหมดเลย กายคือร่าง แยกกายแยกจิต เขาก็ว่าจิตคือธาตุรู้กายคือไม่รู้เรื่องเป็นดินน้ำไฟลม เขาจะแยกกันขาดขนาดนั้นเลย เวลาสอนในเรื่องของศาสนาพุทธอาจารย์เขาสอนแยกกายแยกจิตพระพุทธเจ้าท่านสอนให้รู้จักแยกกายแยกจิต เป็นมูลกรรมฐาน 5 เริ่มต้นเลยผู้มาบวชจะต้องศึกษาอุปัชฌาย์ก็สอนเรื่องมูลกรรมฐาน 5 ให้แยกกายแยกจิต จะใช้เหตุปัจจัยเป็นตัวอย่างที่จะแยกผมขนเล็บฟันหนัง จะใช้อะไรก็ได้อยากให้ถูก ว่าอันไหนเป็นกายอันไหนเป็นจิต

ถ้าเข้าใจไม่ได้ มิจฉาทิฐิอยู่ แน่นอนเขาก็จะแยกกายแยกจิตอย่างนั้นไม่ถูกต้อง ถ้าเข้าใจถูกก็จะแยกกายแยกจิตถูก คือ จะแยกกาย เมื่อใดเป็นกาย

1. เมื่อใดเป็นไม่ใช่กาย และไม่มีชีวะ

2. กับเมื่อใดไม่ใช่กายแต่ยังมีชีวะ

3. เมื่อใดเป็นกายเป็นจิตแยกกันไม่ออก เป็นกายที่เป็นจิตนิยาม

เอา 3 ประเด็นนี้

อุตุไม่ใช่ชีวะ ดินน้ำไฟลม แม้พลังงาน สสารพลังงาน ความร้อน แสง เสียง แม่เหล็ก ไฟฟ้าก็ยังเป็นอุตุ

พีชะปรุงแต่งกันด้วยธาตุต่างๆ ตามที่มันมีความแตกต่างกันไป เป็นสังขารของแต่ละอย่างแต่ละชื่อแต่ละสมมติแต่ละเรื่องของมัน ก็เป็นตระกูลของมันเป็นหมวดหมู่ของมันไป

กาย พจนานุกรมบาลีไทย กายแปลว่า กอง แปลว่าฝูง หมู่ ประชุม ไม่ได้แปลว่าหนึ่งเดียวเลย จะต้องมี 2 ขึ้นไป

เมื่อเป็นจิตก็เป็นหมู่ของเจตสิก เจตสิกของวิญญาณ กายนี้คือวิญญาณ

กายนี้คือวิญญาณก็คือเจตสิกของกาย คือ เวทนา สัญญา สังขาร

แล้วมันก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าต้องมีรูป องค์รวมขึ้นมาแล้วก็ต้องเป็นรูปสัมผัสได้ สัมผัสได้ในความหมายของกายนี้คือวิญญาณนั้น ต้องสัมผัสได้ด้วยภายนอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย โผฏฐัพพะ ข้างนอก กายต้องมีภายนอกด้วย ใช้ศัพท์คำว่ากายในกายพิจารณาในโพธิปักขิยธรรมจะต้องพิจารณากายในกาย

คำว่าพิจารณากายในกายนั้นไม่ขาดภายนอก แต่เน้นไปพิจารณาที่ข้างใน ฟังอีกทีนึง การเรียนรู้กายในกาย พิจารณากายในกายนั้น ในโพธิปักขิยธรรม 37 อันแรกเลยกายในกาย ถ้ามิจฉาทิฏฐิตั้งแต่กายในกายตัวแรกของโพธิปักขิยธรรมเลย อีก 36 ผิดหมด เพราะไม่เอาข้างนอก เพราะฉะนั้นการไปนั่งหลับตาสะกดจิตไม่มีภายนอก โมฆะหมดศาสนาพุทธ มันจึงเกิดอย่างนี้แหละ อาตมาหัวเดียวกระเทียมลีบ แล้วก็ไม่มีอะไรมากที่จะยืนยันหลักฐานนอกจากในพระไตรปิฎกเล่มที่ 14 ในสัมมาทิฏฐิ 10 ข้อ 10 สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

อาตมาก็มายืนยันว่าอาตมาเป็น สยังอภิญญา ผู้นี้ ผู้ใดล่ะที่มีธาตุองค์รวมต่างๆยืนยันแสดงได้ว่าเป็น สยังอภิญญาผู้นี้ก็ไม่เห็นมีใครกล้ายืนยันนอกจากอาตมา แล้วอาตมายืนยันว่าต้องการอวดหรือไม่ อาตมาก็บอกว่าอาตมาอ่านใจตัวเองเป็น อาตมาไม่มีใจที่เป็นสาเฐยจิตตัวนี้ ที่ต้องการอวดโชว์ ยืนยันความจริง แต่ขนาดยืนยันความจริงด้วยความซื่อสัตย์จริงใจป่านฉะนี้เขายังไม่เชื่ออาตมาง่ายๆ ก็ดี ไม่เชื่อง่ายนั้นดีอยู่ แต่ไม่เชื่อเลยนั่นสิ อาตมาก็ว่าเสียประโยชน์นะ ก็คงต้องใช้ภูมิปัญญาของแต่ละคนเห็นดีเห็นงามอะไรก็เอาอันนั้นไม่ต้องมาโชว์ตัวไม่ต้องบอกว่าเห็นดีกับอาตมา จะมาบอกว่าเป็นลูกศิษย์อาตมาก็ไม่ต้องไม่มีปัญหาหรอกอาตมาไม่ได้เดือดร้อนอะไร มีอิสรเสรีภาพ 100% ไม่มีอะไรเรียกร้อง

เรียกร้องผู้ที่ได้แล้วไม่มานี่สิ ผู้ที่ไม่ได้นั้นไม่มาก็ไม่เป็นไร แต่ที่ได้แล้วไม่มานี่สิซับซ้อน ที่จริงไม่ได้เรียกไปบังคับอะไรเป็นแต่เพียง เปรยปราย ว่ามานะ ดีไม่ดีก็แต่งเพลง มีศิลปะให้ฟัง อย่างมีมารยาทสุภาพเรียบร้อย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(กาย) ตอน ลักษณะของวิญญาณ

สรุปว่ากายนี้คือจิตวิญญาณ วิญญาณพระพุทธเจ้าท่านขยายไว้ในพระไตรปิฎกอันหนึ่ง ว่า วิญญาณัง

อนิทัสสนัง    ไม่อาจมองเห็นได้ ไม่อาจชี้บอกได้ 

อนันตัง        ไม่มีขอบเขต ไม่มีที่สุด

สัพพโต ปภัง          แจ่มใส, แผ่กระจายไปโดยทั้งปวง

ทูรังคมัง       ไปได้ไกล (เดินทางไวกว่าแสง) เป็นนิวเคลียร์ฟิชชัน

เอกจรัง        ไปแต่เพียงผู้เดียวไม่เกี่ยวกับใคร

อสรีรัง         ไม่มีรูปร่าง หน้าตา หรือรูปทรง

คูหาสยัง      อาศัยกายเป็นขอบเขตคูหากำบังอยู่

ผู้ที่เริ่มศึกษาไปจะมีสภาวะจะเข้าใจได้มากขึ้นว่า เราสัมผัสได้เองเป็นปกติทางของเราเอง เราก็จะรู้ของเราได้เองแล้วก็จะตรงกับคนอื่นที่มีความรู้ที่ตรงกัน มันจะตรงกันจริงๆเลย แต่มันต่างคนต่างเห็นต่างคนต่างสัมผัสของตัวเองกัน ก็ต้องรู้ที่จิตของเราเองวิญญาณของเราเองเราก็ดูของเราเองเราก็จะรู้เห็นของเราเองของใครก็ต้องดูของใคร ของคนนั้นก็ต้องรู้ของคนนั้น มันก็จะรู้ความจริงตามความเป็นจริงของตัวเอง จึงจะเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติจะรู้แจ้งของตัวเอง

เพราะฉะนั้นผู้ที่มาเรียนรู้แล้ว หากไม่มีสภาวะธรรม ได้แต่คาดคะเนเดาเอา ว่าอย่างโน้นอย่างนี้ อย่างนี้อย่างโน้น ก็จะพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง รู้เรื่องก็พูดกันอย่างเลอะ รู้กันไม่ตรงกันไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พูดไปก็ไปไหนมาสามวาสองศอก

เอกจรัง ไปแต่เพียงผู้เดียวไม่เกี่ยวกับใคร  จิตวิญญาณผู้ตายไปแล้ว จิตวิญญาณของคนเป็นตัวของคุณเท่านั้น คุณไม่ได้เห็นได้รู้กับใคร ที่บอกว่า ตายแล้วไปเจอคนนู้นคนนั้นไปเจอวิญญาณปู่วิญญาณทวดวิญญาณอะไรนั้นมั้ย ถามจริงๆคุณนอนหลับแล้วคุณก็อยู่กับวิญญาณของคุณ วิญญาณของคุณนอนหลับแล้วคุณเจอกับใครไหม ก็ไม่เจอหรอก วิญญาณอยู่ในภพของตัวเอง ตายไปแล้วก็อยู่ในภพตัวเองเหมือนคนนอนหลับ ไม่รู้กับใครสัมผัสกับใครหรอก เอกจรัง หนึ่งเดียว ไปเดี่ยวๆ ไม่เกี่ยวกับใครเลย(เอกะ) จระคือไป

ที่บอกว่าอาจารย์มั่นไปเจอกับวิญญาณชาวเยอรมันไปเจอวิญญาณนั้นวิญญาณนี้ ดีไม่ดีไปเจอวิญญาณพญายมด้วย คุยกันเป็นตุเป็นตะสารพัด มีคำพูดโต้ตอบกันได้ตลกเรียบร้อยเอาไปสร้างหนังได้อีกเยอะ ทำความไม่รู้ก็เป็นอุปาทาน สร้างเรื่องเองพวกนี้เป็นนักประพันธ์ชั้นหนึ่งทั้งนั้น มีเรื่องมีราวในภพชาติแต่งไปเถอะเป็นเรื่องเป็นตุเป็นตะ เก่ง ซึ่งเป็นเรื่องไม่จริง เอกจรัง เพราะวิญญาณไปเดี่ยวไม่มีเกี่ยวกับใครไม่มีใครรู้ด้วย

อสรีรัง ไม่มีรูปร่าง สรีระคือรูปร่าง ไม่มีรูปร่างไม่เห็น แล้วที่พระพุทธเจ้าท่านให้เรียนท่านให้เรียนในนี้ คูหาสยัง กายยาววา-หนาคืบ-กว้างศอกพร้อมสัญญาและใจ ในร่างนี้จับไม่ได้ บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันจะอยู่ปลายนิ้วมันจะอยู่ตรงพุง ทางธรรมกายเขาก็บอกอยู่ที่เหนือสะดือ 2 นิ้ว ทางด้านอภิธรรมก็บอกว่าอยู่ที่หัวใจห้องที่ 4 ซึ่งไม่มีที่อยู่แน่นอนหรอก หทยรูป

ถ้าเรามีสัญญาของเรากำหนดรู้เข้าไปกระทบจะดูได้อย่างไร รู้ได้ด้วยอาการ นิมิต ลิงค มีเครื่องหมายบอกอาการนี้ อาการนิมิต ซึ่งมันจะแตกต่างกันด้วยอาการก็เรียกชื่อต่างๆกันไป เช่น เวทนา สัญญา สังขาร เจตนา อะไรพวกนี้ หรือแยกเป็น

 เวทนา 108 ก็เกิดจากเหตุปัจจัยต่างๆ เราก็จะรู้จักธาตุรู้เหล่านั้น ที่มันทำงานตามหน้าที่ของแต่ละชื่อแต่ละชื่อ เวทนาก็ทำงานอย่างนี้ สัญญาก็ทำงานอย่างนี้ชื่อนี้ สังขารก็ทำงานอย่างนี้ชื่อนี้ กายิกเวทนาก็ทำงานอย่างนี้ตามองค์ประกอบอย่างนี้ชื่อนี้ จิตเวทนาก็ทำงานอย่างนี้ชื่อนี้อาการอย่างนี้ ความสุขความทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ทำงานอย่างนี้อาการอย่างนี้ชื่อนี้

แล้วจะมีดีกรีอย่างนี้ ความสุขข้างนอกหยาบ ความทุกข์ข้างนอกหยาบ มามีภายในเป็นโสมนัสโทมนัสก็มีอย่างนี้ ไม่มีอาการสุขอาการทุกข์ เป็นอุเบกขาหรืออุเบกขินทรีย์ ​เป็นอินทรีย์ 5 มีฤทธิ์ ก็มีขนาดของมัน มันก็ต้องมีเหตุปัจจัย เหตุปัจจัยภายนอกเรียกว่าสุขทุกข์ เหตุปัจจัยข้างในเรียกว่าโสมนัสโทมนัส ถ้าเป็นกลางๆเรียกว่าอุเบกขา

โลกียะก็รู้ สุขทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ เคหสิตะเขาก็รู้ โลกียะเขาก็กำหนดรู้ของเขาเหมือนกัน แต่ก็เป็นแบบที่มีกิเลสมาปรุงแต่ง ปรุงแต่งอย่างเอากิเลสออกไป เขาเรียกว่าเนกขัมมะสิตเวทนา เขามีแต่กดกิเลสเอาไว้ ก็เลยกลายเป็นเรื่องรู้แต่จิต กิเลสไม่ให้เกิดมารู้ เลือกรู้แต่จิต กดกิเลสไว้ ๆ แล้วไม่เกี่ยวกับการปรุงแต่งภายนอกด้วย เพราะมันไม่มีประสิทธิภาพ ของโลกียะนี้ปฏิบัติธรรมแบบสะกดจิตไม่มีประสิทธิภาพไม่เกี่ยวกับภายนอก แต่ของพุทธะของพระพุทธเจ้านี้เกี่ยวกับข้างนอกมาตามลำดับตามลำดับ เริ่มต้นตั้งแต่เกี่ยวข้องสัมผัสกับสัตว์กับคนโดยเฉพาะคนนี่แหละ เราจะเกิดความโกรธความโลภเกิดความหลงอะไรหรือไม่ เรียนให้ดี มันมีองค์ประกอบซึ่งจะมีตัวกิเลสไปปรุงแต่งร่วม ให้เลือกตัวปรุงแต่งนี้ออกไปแล้วเข้าใจให้ได้ว่ามันไม่เป็นตัวจริงมันเป็นมายามันเป็นตัวหลอกมันเป็นอาคันตุกะ มันอยู่ไหนก็ไม่รู้มันมาจากไหนก็ไม่รู้ เราต้องเห็นความจริงว่าไม่เชื่อมันหรอกมันไม่มี เราต้องเห็นด้วยปัญญาว่าเอ็งอย่ามาหลอกข้า มันก็จะพ่ายแพ้ความจริงมันก็จะลดน้ำหนักลงจนมันไม่มีในจิตไม่เกิดในจิต ก็ศึกษาพิสูจน์ความจริงไป ตั้งแต่องค์ประกอบประชุมกันเป็นสังขาร หยาบๆ ขั้นหยาบ โลก เขาเห็นว่าเป็นเรื่องหยาบเป็นเรื่องเสียหายเสียเวลาทุนรอนแรงงานเลอะเทอะ ด้วยการไม่มีประโยชน์คุณค่าอะไรดีไม่ดีเละ เสียเปล่า ไม่ได้เกิดคุณค่าประโยชน์ เสื่อมด้วย ร่างกายเสื่อมชีวิตเสื่อม พฤติกรรมที่อยู่กับสังคมก็เสื่อม

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ ผู้ฟังก็ได้พักหูด้วย

สื่อธรรมะพ่อครู(กาย) ตอน ความหมายของกายต่างๆตามพจนานุกรม

พ่อครูว่า...อาตมาเอาพจนานุกรมฉบับนักศึกษาของเจ้าคุณอุดร คณาธิการ

กับรองศาสตราจารย์ดร.จำลอง สารพัดนึก ที่เป็นฉบับแพร่หลายใช้กันเยอะ อาตมาก็ใช้

เอาหมวดกาย เขาก็แปล ตามความเข้าใจของเขาอาตมาก็ว่าถูกก็มี ที่ไม่ถูกเต็มที่อาตมาไม่เห็นด้วยก็มี ลองฟังดู

กายแปลว่า กองฝูงหมู่ประชุม มันแปลว่าหมวดแห่งเจตสิกธรรม หมายถึงเวทนา สัญญา สังขาร

กายกรรม ภาษาไทยเรียกทับศัพท์ หมายถึงสิ่งที่พึงกระทำทางกาย การออกกำลังกาย  กรรมแปลว่าการกระทำ กายก็ทับศัพท์ คนที่เข้าใจคำว่ากายหมายถึงเพียงแต่ร่างเฉยๆ มันก็หมายถึงกรรมทางร่าง กระทำ

ถามหน่อย ร่างเฉยๆ หมายถึงสรีระวัตถุ ไม่มีจิตเข้าไปสั่งการบัญชาให้ร่างมันทำ มันก็จะทำอย่างสะเปะสะปะตามพลังงานของอุตุหรือพลังงานของพีชะ แต่แน่นอนคุณกำหนดพีชะไม่เป็น แต่อรหันต์ใช้พลังงานพีชะเป็น เป็นเรื่องลึกซึ้งยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระอรหันต์ที่เป็นคนนี้กำหนดให้จิตใช้พลังงานแบบพืชโดยที่เวทนาไม่มี พีชะไม่มีเวทนา เพราะฉะนั้นกรรมจึงไม่เป็นอันทำ ไม่มีวิบาก อรหันต์ทำกรรมจึงไม่มีบาปไม่มีบุญ เพราะกรรมของพระอรหันต์หมดบาปหมดบุญแล้ว ปุญญปาปปริกขีโณ​ เป็นกรรมที่บริสุทธิ์จริงใจซื่อสัตย์ ถ้าไม่ซื่อสัตย์ก็ไม่นับเป็นพระอรหันต์ ต้องซื่อสัตย์ อย่างจริงใจด้วยไม่เสแสร้งพรางลวง เป็นความจริงใจทุกกระบวนการของพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นกรรมทุกกรรมไม่มีบาปไม่มีบุญอย่างนี้เป็นต้น

รายละเอียดพวกนี้แม้แต่คำว่ากรรมคำเดียวที่อาตมามาขยายความให้เห็นชัดเจน บรรดาอาจารย์ทางศาสนาทั้งหลายแหล่ไม่ได้ขยายความ ก็ไปเชื่อกันว่า กายนี้คือร่างหนึ่งเดียว คือวัตถุไม่มีความรับรู้ไม่มีธาตุจิต ไม่ต้องไปพูดถึงธาตุพีชะเลย ไปหมายเอาอุตุอย่างเดียวเลย ใช่ไหม เพราะฉะนั้นจึงไม่มีทางสามารถชัดเจนได้เลย

ยิ่งมาเป็นกายกัมมัญญตา ความคล่องแคล่วแห่งกาย ทับศัพท์ เขาก็แปลกัน ว่าคือร่างก็หมายถึงความคล่องแคล่วของร่างซึ่งไม่มีจิตไปกำหนดกำกับไปบัญชา มันก็เป็นการสะเปะสะปะไปตามแรงดูดภายนอกที่มีกำลังกว่ามันก็เอาไปกินหมด เพราะฉะนั้นจึงตกเป็นทาสของพลังภายนอก พลังงานของอบายมุขพลังงานของสังคมพลังงานของรสนิยมค่านิยมสังคมไปตามเขาหมดเลย กลายเป็นทาส ของสังคม ธาตุของโลกธรรม ไปถึงเป็นธาตุอบายมุข ชาวนรก

ทีนี้เขาก็แปล กายกัมมัญญตา คือ ความเป็นของควรแก่การงานของกองเวทนาสัญญาและสังขาร

ความเป็นของควร พยายามแปลตามพยัญชนะก็ไม่ผิด แต่การงานแห่งกองเวทนา กองสัญญา กองสังขาร เป็นเจตสิกใหญ่ 3 ของวิญญาณ

วิญญาณประกอบด้วยรูป เวทนา สัญญา สังขาร รวมแล้วทั้งหมดปรุงแต่งกันอยู่เรียกว่าวิญญาณ

พอหมายถึงจิตเข้าไป รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ เป็นองค์ประกอบรวมเป็นองค์ประชุมร่วม คำว่าร่างคำว่ารูปนี้ เป็นองค์ประกอบรวมเป็นองค์ประกอบร่วม แต่ต้องมีนามกำกับอยู่ ถ้าหากไม่มีนามกำกับไม่เรียกว่ากาย

ไม่มีนามธรรมกำกับหรือไม่มีจิตเข้าไปร่วมอยู่ด้วยไม่เรียกว่ากาย แม้จะมีพลังงานของชีวะพืช เข้าไปร่วมก็ยังไม่เรียกว่ากาย

โอ้โห กายของมะละกอ กายดอกใบเตย ? เขาเรียกหรือ? กายกะหล่ำปลี กายมะเขือเทศ​ เขาก็ไม่พูดกัน

เพราะฉะนั้นมูลกรรมฐาน 5 จึงละเอียดสำคัญมาก ถ้าเข้าใจยังไม่สัมมาทิฐิ ผู้มาบวชแล้วจะไปนิพพานแต่ไม่สัมมาทิฏฐิในการแยกกายแยกจิตในมูลกรรมฐาน 5 เมื่อไหร่เป็นกายเมื่อไหร่ไม่เป็นกาย เมื่อไหร่จะเป็นอุตุ เมื่อไหร่เป็นพีช เมื่อไหร่เป็นจิต โดยกรรมโดยธรรม

กรรมคือการกระทำให้เป็นอุตุการกระทำให้เป็นพืชการกระทำให้เป็นจิต เมื่อเราไม่ตายอยู่ก็ทรงไว้เรียกว่าธรรมะ ธรรมะเป็นของทรงไว้คู่กันกับกรรม กรรมเป็นตัว Dynamic เป็นตัวทำงาน ธรรมะก็เป็นตัวทรงไว้เป็นตัว static เป็นตัวทรงอยู่ แล้วก็มีองค์ประกอบ 2 อย่าง คือบวกกับลบ ธรรมะก็เป็นบวก กรรมก็เป็นลบ คู่กันอยู่เป็นนิวเคลียสเป็นคู่ของพลังงาน แต่มีจิตเป็นตัวกำกับเป็นประธานก็เลยเป็นสามเส้า บวก ลบ ประธานคือจิตของแต่ละคนกำกับควบคุมจะให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้จึงเกิดกรรม แม้กัมมัญญตา ก็เป็นการงานที่ควรของผู้ใดที่มีภูมิปัญญาในจิต กำหนดจะทำ เมื่อเป็นพระอรหันต์ก็คือเป็นผู้ที่มีความควรไม่มีอคติ ทุกอย่างไม่มีอคติอย่างตามความจริงใจของพระอรหันต์คนนั้นก็ทำตามตรงจิตที่เราพระอรหันต์แต่ละองค์ท่านมีความรอบรู้ เอาเหตุปัจจัยมาปรุงแต่งได้ ก็ปรุงแต่งกันด้วยความสุจริตใจจริงใจสะอาดไม่มีอะไรแฝงไม่มีอคติเลย ไม่มีความรักคนนั้นลำเอียงคนนี้ไม่มีเลย ซื่อสัตย์สุจริตที่สุด

กายกลิ กลิ แปลว่าโทษภัย องค์ประชุมของพลังงานจิตที่มันเป็นภัย

กายกลิคือ องค์ประชุมของโทษภัยคือ กายกลิ เขาแปลว่า สิ่งชั่วช้าที่อยู่ในกาย กายคือธาตุ 2 อยู่ในธาตุ 2 อยู่ในกายนี้สิ่งนั้นสิ่งที่ชั่วช้า เพราะฉะนั้นสิ่งที่ชั่วช้าที่บงการอยู่ก็คือจิต สิ่งที่ถูกจิตบงการก็คือกรรมกิริยาภายนอก กายวิญญัติ วจีวิญญัติให้ออกไปเป็นกายกรรม หากไปแปลกายกรรมว่าแค่ออกกำลังกายก็ไม่ผิด แต่ลึกๆคือ บ่งบอกทั้งข้างนอกข้างในเป็นกายกรรมครบพร้อมหมายถึงจิตและท่าทีลีลาของการเคลื่อนไหวภายนอกด้วย

กายสาวะ คือ ความหมักหมม เขาแปลเป็นความหมักหมมของร่างกาย กับอาตมาจะแปลว่าความหมักหมมของกิเลสในจิต สาวะคืออาสวะคือความหมักหมม ไม่ใช่สิ่งที่สะอาด หมักหมมอยู่ในกายหรือในร่างกาย ก็คือหมายถึงจิต ที่นี้เขาแปลว่าความหมักหมมแห่งร่างกาย แล้วก็แปลต่ออีกว่าเป็นความสกปรกที่มีอยู่ในร่างกาย คุณฟังดู ความสกปรกที่มีในร่างกายนี้คุณก็คงไม่เข้าถึงภายในจิต ในร่างก็ต้องผ่านร่าง แต่กายคือจิตหรือวิญญาณ กายนี้คือวิญญาณ​ที่อาตมาตั้งชื่อมาพูดกันวันนี้

ถ้าหากหมายเอากายว่าคือร่างภายนอก คุณไม่มีทางจะได้นิพพาน ฉันเดียวกับพระพุทธเจ้าตรัสว่ากายนี้คือจิต มโน วิญญาณ ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 230 กายนี้คืออย่างนี้ เขาก็ยังไม่เชื่อกันเลย อาจจะเชื่ออาจารย์เก่า เมื่อไหร่จะมีปรโตโฆสะ หากเชื่ออาจารย์เก่าแล้วทำแล้วเป็นผลก็คงเป็นอรหันต์กันได้แล้ว อาตมาว่าอาตมาทำได้เป็นหมู่มวลที่มาเทียบเคียงยืนยันอ้างอิงว่ามีวรรณะ 9 สาราณียธรรม 6 มีสาธารณโภคี มันง่ายหรือ? คุณทำได้ไหม ในชุมชนไหนมีสาธารณโภคี ยืนยันได้ว่าเป็นคนเลี้ยงง่ายบำรุงง่าย เป็นคนมักน้อยไม่ใช่คนเลี้ยงง่ายและเป็นพวกที่ใจพอ ไม่ได้มีแส่หา ดิ้นรนแส่หา ตะกละตะกรามดันทุรัง มันไม่แล้วมันพอมันหยุดแค่นี้ก็พอ อยู่ในหมู่สาธารณโภคีก็พอแล้วไม่มีอะไรสงบสบายพอ แล้วสุขภาพร่างกายก็ไม่เสียด้วยพอขนาดนี้ ดีด้วย หาคนลงพุงหลามๆยาก ในชาวอโศก สเรนเดอร์ทั้งนั้น ข้างนอกพุงหลามๆ จนเป็นโรคอ้วน

คนอยากให้อาตมาน้ำหนักขึ้น อยากให้มีเนื้อมีหนังมีกะทิในพุงมันมันบ้าง ไม่รู้สิ อาตมาก็ว่าของอาตมาไปมันก็ไม่ขึ้น อาตมาก็ว่าแข็งแรงดีไม่มีปัญหาอะไร ไม่ต้องอะไรมากแต่มันก็เถอะอาจจะใช้เกินก็เลยต้องช่วยกันอันโน้นอันนี้มาเติมให้อยู่ เขาชั่งน้ำหนักทุกวันวันละ 2-3 เครื่อง

เรื่องความหมักหมมเน่าในก็เสียหายหมด

กายคตะ คำว่าคตะแปลว่าดำเนินไป สิ่งที่อยู่ในกาย สิ่งที่ไปในการสิ่งที่อยู่ในกายก็ต้องดำเนินการดำเนินไป ไม่ใช่มันอยู่นิ่ง กายคตะ คตะ แปลว่าดำเนินไปไม่ใช่แปลว่านิ่ง มันอยู่ข้างในมันก็เคลื่อนที่อยู่ จะเคลื่อนที่อยู่ในวงกลมก็ตาม เคลื่อนที่อยู่ในแวดวงเดิมก็ตามเรียกว่า กายตะ หากออกนอกวงได้ก็เก่ง ขยายไปตามต้องการได้ออกไปในวงใหญ่ วงมโหฬาร ก็ยิ่งเก่งไปตามความสามารถยิ่งชัดเจนยิ่งทำได้คุณก็จะรู้การขยายผล ของความสามารถนั้นขึ้น

กายคันธะ คำว่าคันธะ แปลว่ากลิ่น กิเลสเครื่องร้อยรัดกาย แปลว่ากลิ่น แปลว่าเครื่องหอมสำหรับร้อยรัดกาย คันธะ แปลว่ากลิ่นแปลว่าเครื่องหอม เครื่องเหม็นก็แปลว่ากลิ่น ไปๆเอาแต่เครื่องหอมมันเป็นการลำเอียงนะนี่ กลิ่นมันกลางๆ มีทั้งหอมเหม็นและไม่หอมไม่เหม็นมีทั้งหอมมากหอมน้อยเหม็นมากน้อยไม่รู้อีกกี่ระดับ กายคันธะ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(กาย) ตอน แยกเวทนา 2 โดยวจีสังขารและโสตทิพย์

กายคุตตะ คือผู้มีร่างกายอันคุ้มครองแล้ว ผู้รักษากายได้แล้ว ผู้มีกายที่สงบ เมื่อมิจฉาทิฏฐิผู้มีกายที่สงบ เข้าใจกายเป็นเพียงภาวะภายนอกก็จะทำให้ภาวะภายนอกมันหยุดดิ้น นี่ก็ว่ากายสงบแล้ว ดีไม่ดี กายวิเวก คือเอากายไปออกไปสู่ที่เงียบไปอยู่เดี่ยวๆไปอยู่ในป่าเขาถ้ำ ห่างจากผู้คนต่างจากสังคม ชื่อว่ากายสงบแล้ว ถ้าจิตของคุณดิ้นไปในกามดิ้นไปในอัตตาอะไรอยู่ข้างใน ข้างในก็ดิ้นไปในอัตตาข้างนอกก็ดิ้นไปสู่กามสู่อบาย แล้วมันจะสงบอย่างไรกายของคุณ มันก็ยิ่งออกไปข้างนอก ยิ่งอยู่ข้างในก็ยิ่งเป็นอัตตา

เพราะฉะนั้นคำว่าสงบ กายที่คตะ มันดำเนินไปแล้วมันก็สงบอยู่ กายดำเนินไป สงบอยู่กายคตะสงบอยู่ คุ้มครองได้แล้ว ก็หมายถึงว่าคุณจัดการกำกับทั้งข้างนอกข้างใน กำกับทั้งข้างนอกข้างในให้ได้สัดส่วนที่พอเหมาะที่จะแสดงออกถึงกายกรรมแสดงออกถึงวจีกรรม แสดงออกได้พอเหมาะพอดีเรียกว่า กายคตะ ดำเนินไปออกสู่ภายนอกโดยมีข้างในเป็นตัวประธานกำกับให้เกิด อีกคำ คือ กายวิญญัติ วจีวิญญัติ วจีคือกายภายนอกภายในกึ่งๆ

วจีสังขาร ยังไม่ออกมาทางภายนอก วจีสังขารในสังกัปปะ 7

ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา วจีสังขาร

อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นแกนนิ่ง

ส่วนตักก วิตักกะ สังกัปปะ เป็นตัววิ่ง ตักกะ เริ่มคิดเริ่มดำริมีธาตุรู้ เมื่อเริ่มมีธาตุรู้คุณก็จัดการเรียนรู้ตัวนี้ มันมีกิเลสดำริขึ้นร่วมปรุงแต่งด้วยไหม ในจิตที่ดำริตักกะมานี่ พอจิตเริ่มเกิดมา คุณก็พยายามแยกแยะใช้จิตสัญญากำหนดหมายแล้วก็แยกแยะให้ออก ตีแตก ให้ออก มันมีกิเลสโดยเฉพาะ พระพุทธเจ้าท่านให้ตีแตกในเวทนาในความรู้สึก แยกเวทนา 2 มันเป็นเวทนาแท้ๆ กับเวทนาที่ปรุงแต่ง แล้วเป็นอุปาทานไปติดยึดว่าอย่างนี้เขาชอบ เป็นรส เป็นความอร่อย เป็นความชอบใจเป็นความชื่นใจเป็นสิ่งที่น่ามี หรือเป็นความโกรธเป็นความไม่ชอบใจเป็นความผลัก ดีไม่ดีถึงฆ่าแกงรุนแรงถึงตาย มันไม่เหลือแต่เฉพาะธาตุรู้ตามความเป็นจริง อย่างเดียว มันมี 2 ผู้ที่แยก 2 ได้เรียกว่าเป็นผู้ที่มีโสตทิพย์ตาทิพย์ เป็นความรู้จักวิปัสสนาญาณมโนมยิทธิ

วิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิ อิทธิวิธี โสตทิพย์

โสตทิพย์หมายถึงรู้สิ่งที่ละเอียด โสตะคือรู้ ทิพย์คือละเอียด แม้มันจะอยู่ไกลก็รู้ละเอียดชัดเจน อยู่ใกล้ก็แน่นอนแยกแยะได้ง่าย จะอยู่ไกลได้ยินแว่วๆ เห็นได้ยากเห็นได้น้อยเห็นได้เล็ก หรือได้ยินเสียงน้อยเสียงเบาๆ ก็ยังสามารถรู้ชัดเจนแยกแยะออกได้นั่นคือความสามารถของโสตทิพย์ แยกเป็นเสียง 2 เป็นรูป 2 เป็นกลิ่น 2 เป็นรส 2 สัมผัส 2 แยกเป็นอันหนึ่งจริงอันหนึ่งเป็นตัวมายาอีกหนึ่งเป็นตัวจริงเป็นของแท้ เราก็เลือกเอาแต่ของแท้อย่าเอาของไม่จริงของที่เป็นมายา เรารู้ทันว่ามันเป็นมายา พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเรารู้เธอแล้วมาร มารคือมายา เรารู้เธอแล้ว อย่ามาเสนอหน้าเสียให้ยากมาร  ทำอะไรเราไม่ได้หรอกเราหักขั้วเรือนยอด เธออย่ามาสร้างบ้านสร้างเรือนสร้างตัวตน เราถอดหัวใจของเธอออกไปหมดแล้ว หัก พระพุทธเจ้าท่านไม่ใช่คำว่าหัวใจมันดุเดือด ท่านใช้คำว่าหักเรือนยอด ของเธอหมดแล้วไม่มีเรือนจะอยู่แล้วให้ไปเสีย ท่านก็เอาเรือนยอด มาเป็นตัวแทนในการอธิบายความหมายของมันอย่างนี้เป็นต้น

ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะมาหยิบมาขยายความให้ฟังให้เห็นชัดๆ ว่า กายก็ดี วิญญาณก็ดี พรากกันไม่ได้ จะเรียนรู้วิญญาณจะต้องมีทักษะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย วิญญาณที่ไม่มีผัสสะทางตา หู จมูก ลิ้น กายไม่มีสิทธิ์จะเรียนรู้ เช่นภิกษุสาติ ไปเรียนรู้วิญญาณสัมภเวสี ไปมัววุ่นกับวิญญาณสัมภเวสีวิญญาณล่องลอยไม่มารู้ที่ตาหูจมูกลิ้นกายผัสสะ แล้วเกิดอาการนี้ในปัจจุบันเกิดอาการจิตรู้ในเวทนาในจิต เกิดอาการตัวนี้นี่แหละตัวที่จะเรียนอย่างไปนอกตัวนี้ ภิกษุสาติอย่าไปวุ่นวายกับวิญญาณล่องลอยอาจารย์มั่นที่มาจากเยอรมันจากคณะตอนนี้ดีไม่ดีไปปั้นเป็นพญายม คุยกันเป็นตุเป็นตะไปหมดเลย จะจับลงนรก พญายมมาเจอกราบอาจารย์มั่นเลย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(รูป 28) ตอน นิพพานแบบเคลื่อนไหวกับลักขณรูป 4

สู่แดนธรรมว่า...ผมบอกเพื่อนว่าที่ชาวอโศกทำได้เป็นรูปธรรมอย่างนี้เป็นชุมชนอย่างนี้เพราะมีนิพพาน เขาก็ว่าเรานั้นง่าย

พ่อครูว่า...มันไม่ได้ง่ายหรือยากอย่างที่คิดหรอกอะไรที่ชำนาญมันก็ง่ายอะไรที่ไม่ชำนาญมันก็ยาก มันก็อยู่ที่ตรงนั้นอีกมันก็จริง เพราะฉะนั้นก็เลือกเอาเถอะ ว่าจริงๆแล้วจะเอาแบบไหน

นิพพานของพระพุทธเจ้าปรินิพพานที่เคลื่อนไหว ไม่ใช่นิพพานที่ไม่เคลื่อนที่อยู่นิ่ง มันนิ่งเพราะว่าถูกกิเลสกวนไม่ได้ กับกิเลสมากระแทกกระทุ้งมาตอกย้ำมาทำให้มันเคลื่อน มันก็ไม่เคลื่อน มันนิ่ง อย่างนี้ต่างหากเล่า นิ่ง กิเลสมากระทบกระเทือนกระทุ้ง พระพุทธเจ้าจึงให้มีการสัมผัส การสัมผัสนี่แหละเป็นการพิสูจน์ว่าจิตของคุณนิ่งหรือเปล่า แล้วนิ่งของคุณเป็นธาตุรู้ไม่ใช่ธาตุบื้อ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่ใช่ แต่เป็นธาตุรู้ที่ชัดเจนเลย คนนี้มากระทุ้ง กระทุ้งอย่างแหลมคม หรือกระทุ้งอย่างไม่แหลมคมเลย กระทุ้งหนาหนัก บุบๆๆ มีแต่แรงอย่างเดียว แหม จะรู้หมดเลยในรายละเอียดของสิ่งที่กระทบสัมผัสกระทบกระแทกกระเทือนรออยู่ มันมาแบบไหนมุมไหนเหลี่ยมไหนมิติไหน ไม่ใช่ไม่รู้ไม่รู้ไม่รู้ดับไม่รู้ แต่นี่รู้รอบรู้ทั่วรู้ครบรู้ทุกมุมเหลี่ยมแง่มุมมิติทุกนัยยะ ละเอียดอย่างนั้นมันรู้รอบเรียกว่ารู้จักรู้แจ้งรู้จริง อาตมาสรุปใช้ 3 คำนี้

รู้จัก คือ มันสัมผัสทุกแง่มุมรู้จัก รู้แจ้งชัดเจน และเป็นจริงด้วย ไม่ผิดเพี้ยนไปจากความจริงที่จริง ไม่มีภาษาอื่นแล้วภาษาจริง

การเรียนรู้นามธรรมขั้นจิตวิญญาณแล้วก็มาสัมพันธ์กับอันนอก สัมพันธ์กับดิน น้ำ ไฟ ลม สัมพันธ์กับอันอื่นๆ เป็นตัวตนบุคคล คนต่างๆสัตว์ต่างๆ ว่าสิ่งต่างๆ พืชต่างๆ เข้ามาร่วม ร่วมสังขารปรุงแต่งอยู่ด้วยกัน อย่างไม่เป็นพิษเป็นภัย อย่างไม่ทำลายแต่ช่วยกัน ให้เกิด สิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และมีแต่ไปเรื่อยๆ เจริญไปเรื่อยๆไม่มีจบมีไหม สิ่งที่เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วเจริญไปเรื่อยๆไม่มีเสื่อมเลยมีไหม ...ไม่มี

ศาสนาพุทธไม่ได้ปฏิเสธความเสื่อมไม่ได้ปฏิเสธความดับไป แต่ต้องมีพลังงานเติมอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นเราจะต้องสร้างพลังงานเติมอยู่เสมอให้เจริญ ศาสนาพุทธจึงละเอียดถึงขั้นสามารถที่จะสร้างพลังงานให้เติมให้เกิดเรียกว่า อุปจยะ

ถ้าไม่เกิดไม่ดับ เรียกว่าสันตติ เพราะสงบอยู่สันตะ สันติ สงบอยู่แต่พร้อมทำงานเรียกว่า ติ ตัว สันตะคือสงบ แต่พร้อมนะ พร้อมรบ พร้อมสันตติ เพราะฉะนั้นจะให้เกิดเลย อุปจยะ ถ้าไม่ให้เกิดแม้ไม่ให้เกิดอยู่เฉยๆ ก็จะ ชรตา ไม่ให้เกิดก็เสื่อมในตัวมันเอง ชรตา

อุปจยะ สันตติ ชรตา ส่วนอนิจจตา อยู่ที่ตัวเราเองผู้ที่เป็นอรหันต์แล้วสามารถพลิก เราชรตาก็ได้ แต่เรายังไม่ตายก็ได้ แต่ถ้าตายแล้วตายเลยนะ แต่ถ้าอยู่ระหว่างสันตติ คุณจะให้เกิดหรือไม่ให้เกิดก็อยู่ที่คุณ อนิจจตา ก็อยู่ที่คุณอยู่ที่สันติจะเกิดหรือจะปล่อย ถ้าเกิดเสริม Coefficient เสริมสัมประสิทธิ์ต่อไปมันก็เจริญต่อไป ถ้าไม่เสื่อมก็จะ ชรตา เสื่อมไปตามฐานะของแต่ละอย่าง เสื่อมไปเอง แล้วเข้าไปหาสูญ​มี โมเมนตั้มค่อยๆเคลื่อนเข้าหาศูนย์เองโดยตัวมันเองไม่ว่าจะเป็นพระอรหันต์ ไม่ว่าจะเป็นอนาคามี สามารถมาก ก็ทำความเสื่อมให้ได้เร็ว เสื่อมเร็ว ยิ่งกว่า เศษหนึ่งส่วน 100 ของวินาที เศษหนึ่งส่วนร้อยของวินาทีก็อยู่ที่ความสามารถของแต่ละบุคคล ตายแล้วแยกธาตุเป็น แยกเป็นอุตุธาตุเลยแน่นอนมันก็เสื่อม มันจะหาจิตนิยามอยู่ที่ไหน แต่ถ้าคุณยังทำไม่ได้มันก็ยังมียางเหนียวอยู่มากหรือน้อย คุณจะแยกมันก็ยังไม่เสื่อมมันยังต่อไปเองติดตรงนั้นตรงนี้มันก็อยู่ที่นั่น แต่ถ้าคุณไม่มี อุปจยะ คุณรู้ลักษณะของ อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจา สี่นัยยะนี้คุณเข้าใจชัดเจนว่าคืออะไร นามธรรมหรือจิตของคุณ อุปจยะ คือ อย่างไรคุณทำได้ สันตติคืออย่างไรคุณทำได้ ปล่อยชรตาคุณทำได้ แม้จะฟื้นสันตติก็ทำได้ แต่หากปล่อยให้พลังงานเป็นพีชะ แล้วจะฟื้นก็ยาก

แต่ถ้ามีพลังงานจิตนิยามร่วมกันอยู่กับพีชนิยาม พลังงานจิตยังเป็นผู้ที่บงการจิตให้เป็น พีชะ แล้วทำให้เกิดอุตุได้  อุตุได้แล้วก็ทิ้งๆ ไม่ต้องไปเ กี่ยวกับอุตุ เพียงแต่อาศัยพีชะ ได้อยู่อย่างสงบสบาย หรือจิตคุณมีวสวัตตี ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้คุณก็ควบคุมจิตได้ คุณไม่ให้มันออกไปทางอกุศลอะไรเลย ไม่ให้ไปก็บาปอะไรเลยบุญคุณก็จบแล้ว เพราะกิเลสของคุณจบหมดแล้ว

สู่แดนธรรมว่า..ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจเคยทำให้จิตเป็นพืชที่ปรุงแต่งกันอย่างไร

พ่อครูว่า..อาศัยพืช เป็นเครื่องอาศัยอยู่แต่ปรุงแต่งเป็นกุศล อาศัยธาตุพืช เป็นเครื่องอยู่ไม่สุขไม่ทุกข์ไม่ดูดไม่ผลัก แต่ก็มีธาตุที่เข้ามาปรุงแต่งตามที่ควรเรียกว่ากัมมัญญตา ตามเหมาะควรๆ ไม่เวอร์เกิน ไม่น้อยไปไม่มากไปได้สัดส่วนพอดี ถ้าจะให้มันก้าวหน้าไปในทางสัมประสิทธิ์ ให้มีอัตราก้าวหน้าไปในทางเจริญคุณก็ทำไป ก็อยู่ที่สมรรถนะของสัมประสิทธิ์ของคุณ อย่างอาตมานี่มันหมดขนาดแล้ว อายุขัย แต่อาตมาพยายามต่ออายุด้วยสัมประสิทธิ์สร้างสัมประสิทธิ์ให้ชีวิตยืนยาวเพิ่มขึ้น ๆไป มันก็พอได้ ก็ดูกันไปว่าอาตมาจะพยายามใช้สัมประสิทธิ์นี้ได้ไปอีกนานเท่าไหร่

ถ้าอาตมายืนยันไปได้ สามารถสร้าง หลายคนก็คงพอจะเชื่อ อาตมาตอนนี้รักษาขันธ์พยายามทำงาน จะเรียกว่าทำงานมาก อาตมาก็ไม่ได้ไปลงน้ำหนักเรื่องการลงแรงที่หนักมาก ก็เป็นการทำงานอยู่ในฐานข้างใน จิตวิญญาณปรุงแต่งสร้างสรรทำอะไรไปในทางนามธรรมมากกว่ารูปธรรม ก็พอทรงได้ ถ้าเผื่อว่าพลังงานขององค์รวมของแกนจิตของอาตมา มันมีประสิทธิภาพสูงขึ้นมาอีก จนกระทั่งมันสดขึ้นมาอีก สดขึ้นมาได้อีก ธาตุจิตของอาตมาก็จะก้าวหน้าขึ้นไปได้อีก 120 130 มันก็จะขึ้นไปได้ อาตมาก็พยายามสร้างสรรสัมประสิทธิ์ให้แก่ธาตุจิตของอาตมา อาตมาไม่เก่งในการบอกรายละเอียดของสัมประสิทธิ์ให้พวกคุณได้ชัดเจนกว่านี้อยากขยายนะแต่มันยังไม่ได้ ไม่รู้จะขยายอย่างไร อาตมาว่ามันโดดเดี่ยวนะชาตินี้ไม่มีผู้ที่เป็นพี่มาช่วยเลย มันก็เลยอยู่อย่างนี้แหละ พูดไปก็นึกถึงน้องชายเขาว่าเขาเป็นพี่อาตมาเขาเป็นพระพุทธเจ้า อาตมาเป็นผู้ที่มาทำงานสร้างสรรค์ เขาเป็นพระพุทธเจ้าอยู่นิ่งๆไม่ต้องทำอะไรให้อาตมาทำงาน

 

เล่าถึงน้องชายที่ตั้งตนเป็นพระพุทธเจ้า ทางการจะจับไปก็ไม่สามารถจับได้เพราะจำนนที่เหตุผลว่า พระพุทธเจ้าท่านก็ตั้งตัวเองเป็นพระพุทธเจ้า เขาก็ตั้งบ้าง

พ่อครูว่า...จริงหรือไม่จริงไม่มีปัญหาหรอก อาตมาไม่มีปัญหา เขาก็ทำตามความเป็นจริง ดูท่าทีเขาก็พอเป็นไป ก็พอได้อยู่ ไม่ได้มา บอกให้มาก็ไม่มาอยู่คนเดียวนั่นแหละ ชื่อนายชาติ รักพงษ์

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สัมประสิทธิ์) ตอน สัมประสิทธิ์คือยาอายุวัฒนะ

พลังงานสัมประสิทธิ์นี่แหละเป็นพลังงานยาอายุวัฒนะ เป็นยาอายุวัฒนะทางนามธรรมที่แท้จริงไม่ต้องเสียสตางค์ซื้อ แต่คุณต้องสร้างของคุณเอง พิสูจน์กันได้ อาตมามั่นใจว่าอาตมาทำมาได้ถึงขนาดนี้แล้ว ใครจะเชื่อว่าอาตมาอายุขัยแค่ 72 อาตมาก็ทำผ่านมา 1 กัปแล้ว ถ้าไปถึง 96 ก็เป็น 2 กัปป์ถ้า 2 กัปป์ แล้วดูสรีระภายนอกที่สัมผัสแล้วกว่านี้อีกนะ ถ้า 96 พวกคุณก็จะเชื่ออย่างมหาศาลก็ต้องเชื่อถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆก็ดูไปยังไม่รู้ได้

จริงๆแล้วอาตมาก็ยังไม่มีโรคอะไรนอกจากมีกระเปาะที่คอ มันไอ ก็มีอีกอันที่โรคเจ็บเหมือนเข็มแทงเป็นโรคทางปลายประสาท มันทำงานไม่เต็มที่ อันนี้อาตมาก็รู้ดี เพราะอาตมาไปเร่งพลังงานที่มันต้องอาศัยเส้นประสาท เส้นประสาทมันโตไม่ทันพลังงานนึกออกไหม มันก็เลยเจ็บจิ๊กๆ ทิ่มแทงภายใน ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไรแต่มันเจ็บ เขาก็บำบัดไปตามอาการ symptomatic treatment ไป ไม่สามารถแก้ไขที่ตัวเหตุและ Radical Treatment ทำตามเหตุปัจจัยไม่มีปัญหา รักษาตามอาการไป เพราะเหตุปัจจัยของเราดันสุรังมันอยู่ เราก็ดันมันไปเรื่อยๆเพื่อให้เกิดประโยชน์ไม่ใช่เป็นไปเพื่อแย่งลาภยศสรรเสริญ อายุยืนยาวเพื่อจะแย่งชิงลาภยศสรรเสริญ ไม่มี สุขก็ไม่มีแล้ว สรรเสริญก็มีคนด่าอยู่เรื่อยๆ เขาก็รับวิบากกรรมของเขาไปเราก็ไม่รู้จะทำอะไรเขาได้ เขาเชื่อมั่นอย่างนั้นจริงๆ เราก็ไม่ได้ไปจองเวรจองกรรมไม่ได้โกรธเกลียดเขาหรอก อาตมาเลิกจองเวรจองกรรม ขณะนี้ก็ยังมีวิบากจะไปจองเวรหาอะไรอีก อาตมาไม่สร้างการจองเวรจองกรรมอีกแล้ว มีแต่การสร้างมิตรดีสหายดีสร้างลูกหลานไปเรื่อย เป็นลูกจริงหลานจริงทางจิตวิญญาณ พระโพธิสัตว์ก็มีลูกจำนวนพันเป็นอเนก นี่อยู่ในนี้ก็ยังไม่ถึงพันดีเลย วันนี้พันกว่า นี่ปลุกเสกฯหรือพุทธาภิเษกฯ จะได้ถึง 1,000 ก็ยากเลยตอนนี้ถึงพันกว่าแล้ว ก็หวังใจว่า อย่าเพิ่งไปหวัง สาเปกโข ว่า จะมากกว่านี้ขึ้นไปอีกในครั้งหน้า พุทธาภิเษกฯ ปลุกเสกฯไปข้างหน้าก็จะเป็นการวัดมวลผู้ที่สนใจ ผู้ที่จะตั้งใจมาเอา คุณที่มาคุณก็ได้ ได้ถ่ายเดียวเลย อาตมาไม่เอาอะไรจากคุณแน่นอน คุณก็มาเอาได้ แล้วก็พยายามให้ได้ ถ้าได้ไปแล้วมันก็ดี

ถ้าได้ไปแล้วคุณก็เป็นคนดีคุณก็ไปถ่ายทอดต่อไป เพราะศาสนาพุทธนั้นได้แล้วไม่ใช่ได้แล้วก็ไม่ไปถ่ายทอดให้ใครเลย ได้แล้วเฉยๆไม่ใช่ ลักษณะของพุทธ ได้แล้วต้องเป็นประโยชน์ท่านต่อไป แม้จะเป็นพระอรหันต์ที่ไม่ปรารถนาพุทธภูมิ ไม่ต่อภพต่อภูมิ ในช่วงระยะเวลาที่ท่านยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน พระอรหันต์แต่ละองค์ท่านก็ทำประโยชน์จนกระทั่งอายุท่านอาจจะสั้นกว่าปกติก็ได้ แต่ท่านตั้งใจจะเป็นพระอรหันต์สุดท้ายแล้วเกิดและตายชาตินี้ท่านไม่ต่อเป็นสุญญตนิพพาน อนิมิตตนิพพาน อปนิหิตนิพพาน สูญอย่างเดียวท่านก็ทำเพราะท่านจะสูญอยู่แล้ว ไม่เป็นปัญหาอะไรท่านไม่ต่อแล้วท่านก็จบ มันไม่ขัดกับตัวท่านเอง ไม่ขัดกับผู้อื่นท่านก็ทำงานเต็มที่ เต็มที่ได้เท่าไหร่ก็เท่ากับสมรรถนะของท่านพระอรหันต์แต่ละองค์สมรรถนะไม่เท่ากันความผิดพลาดบกพร่องไม่เท่ากัน แต่ความบริสุทธิ์ในจิตที่ไม่มีกิเลสนั้นเท่ากันทุกองค์ อรหันต์ทุกองค์ตรงกันที่จิตไม่มีกิเลส เด็ดขาดไม่เกิดอีก ทุกองค์เท่ากัน ส่วนสมรรถนะความสามารถหรือความบกพร่องผิดพลาดความสามารถในการสร้างกรรมกระทำแก่คนอื่นมันก็เท่ากับผู้นั้นจะมีสมรรถนะเท่าไหร่ ใช่ไหม มันเก่งเท่านี้ ผิดพลาดได้บ้างก็ผิด อันนี้เป็นสมมติสัจจะ ทำกรรมการงานกับผู้อื่นมันเป็นสมมติสัจจะ แต่เรื่องปรมัตถ์ของท่านไม่ผิดเพี้ยนไปแล้วจิตวิญญาณของท่านสะอาดบริสุทธิ์ไม่มีกิเลสถาวรแน่นอนมั่นคงไม่กลับกำเริบ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

นี่เป็นนิยามคำจำกัดความ เป็นคุณสมบัติคุณธรรมอันวิเศษของพระอรหันต์ ต้องตรงตามบัญญัติที่ว่านี้ เมื่อตรงตามบัญญัติที่ว่านี้ก็ต้องใช่สิ ตรงตามบัญญัติที่พระพุทธเจ้าท่านกำหนดไว้หมดแล้วก็ต้องใช่สิเป็นอรหันต์ ก็ต้องพิสูจน์กันว่าตรงตามบัญญัติพระพุทธเจ้าหรือเปล่าอาตมาพาทำนี้ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

เขาก็พยายามล้มล้างด้วยะ แต่ก็ตอนนี้ก็ไม่ค่อยมีแล้ว เป็นสิ่งที่มีคุณค่าเขาจะไปล้มล้างทำไม เขาก็เอาพลังงานไปสร้างอะไรของเขาดีกว่ามาเสียแคลอรี่อะไรกับเรา พวกเรานี้ก็จะยืนยาวไป เหลือแต่ว่าพวกคุณเจริญให้ได้กว่านี้ ใครยังมีความเจริญได้เพิ่มอีกหรือเปล่ายังมีอีกไหมความเจริญที่จะทำให้แก่ตัวเองมีไหม ...ยังมีอีกอยู่

แม้อาตมาก็ยังมีความเจริญที่ต้องทำให้แก่ตัวเองเพิ่มได้อีกๆ อาตมายังไม่ถึงเป็นพระพุทธเจ้า ยังมีอีกที่จะเจริญขึ้นไปเรื่อยๆ มันไม่ได้เป็นคนโง่งมงายอะไรมันชัดเจนจริงๆ เพราะฉะนั้นอาตมาไม่มีปัญหา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เทวดา นรก สวรรค์) ตอน นรกกับสวรรค์ของเทวดาซาตาน

มาเข้าเป้าที่กายคือวิญญาณ

วิญญาณคือธาตุรู้ รายละเอียดของธาตุรู้ เอาที่จุดเดียวที่เวทนาก่อน

เวทนา สามารถที่จะเข้าหาหัวใจของความเป็นชีวิตมนุษย์ หัวใจของชีวิตมนุษย์มันงมงายอกกับความเป็นเทวะสุขนิยม

เทวะสุขนิยมคือเทวดาที่ไม่รู้จักทุกข์เทวดาที่ไม่รู้จักสุข ไม่รู้จักผีมารซาตานไม่เรียนรู้ ปล่อยให้ผีมารซาตานเป็นมวล เทวะ เทวนิยม ไม่รู้จักไม่กล้า จะไปศึกษาซาตานกลัวจะรู้จักซาตานเพราะอะไร

ซาตานก็คือตัวกูว่ะ ซาตานกับตัวกูมันไม่ต่างกันเทวดากับซาตานมันอันเดียวกัน

เทวดาคือตัวสุข ซาตานคือตัวสัตว์นรกตัวทุกข์มันตัวเดียวกัน

หนึ่งเขาไม่รู้ว่ามันเป็นตัวเดียวกันเขาไม่อยากแยกเขาเอาแต่ความสุข อย่าให้ซาตานมาวอแว เขาไม่เกี่ยวเลยซาตานจะมาอย่างไรเขาก็หนีเขาก็หลบเลี่ยง หรือใช้พลังงานที่มีแต่ดี ไม่ศึกษาพลังงานชั่ว เขาก็เลยทำได้ ใช้พลังงานมีเท่าไหร่ ดีดซาตานทิ้ง หนีไปไกลจากซาตานไปเสพอยู่ที่วังแห่งความสุข แต่ไม่ได้ทำซาตานให้หายไปไม่ได้เรียนรู้จักซาตานไม่ได้รู้จักหัวใจซาตาน ทำร้ายหรือฆ่าซาตานเด็ดขั้วหัวใจของซาตานให้ดับสนิทไปเลยไม่เป็น

เพราะฉะนั้นจึงไม่มีจบ แต่พระพุทธเจ้านั้นรู้จักหัวใจซาตาน เด็ดหัวใจซาตานสลายแตกหัวใจซาตานได้จริง เลิกเลย เรียนรู้มาจากตั้งแต่เราเองไปยุ่งเกี่ยวกับวนเวียนกับสภาพที่มันไม่ควรจะไปยุ่งเกี่ยว เรียกว่าองค์ประกอบของอบายมุข

เมื่อทำให้ตัวเองพ้นมาจากอบายมุขได้ พ้นจริงๆ มันก็มีอบายมุขคนอื่นสร้างกันหรอกอยู่ทั่วโลก เริ่มต้นที่พระโสดาบันก็เป็น เอกราชทั่วทั้งแผ่นดินแล้ว ในโลกทั่วทั้งแผ่นดินนี้มีหลุมนรกหลุมอบายมุขอยู่เยอะ แต่หลุมอบายมุขหลุมนรกนั้นคือซาตานตัววิมานเหล่านั้นทำอะไรเราไม่ได้ เราเป็นเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน แค่โสดาบันนี่ดับอบาย ผีมารขั้นอบายไม่มี แต่โสดาบัน ยังแพ้ผีมารกาม ไม่ต้องไปพูดถึงรูปอรูปภายในเลย ยังแพ้กาม เรียนรู้กรรมฐานให้ได้ ผู้พันอบายแล้วกามเป็นฐานเรียนรู้สำคัญที่สุด ใครยังมีฉันทะในกาม ต้องเรียนรู้ใน กวฬิงการาหารนี่ดีที่สุด รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทางกามคุณ 5 เรียนให้ดี

เมื่อคุณสามารถลดกามคุณ 5 ได้จริง ก็เป็นพระสกิทาคามี ไล่ไปหาอนาคามี พ้นภพภูมิที่กระทบสัมผัสต่างๆหูจมูกลิ้นกาย หมดอำนาจ ตาหูจมูกลิ้นกายผีมารอยู่ที่ตาหูจมูกลิ้นกายไม่ใช่ผีมารอยู่อบายนะ หมุนสมองให้ทันสมัย มาอยู่ที่กามคุณ 5

มันไม่หายไปไหน กามคุณ 5 ที่เกิดอยู่ในโลกมันก็ยังมี แต่เราลอยตัวจากสิ่งเหล่านั้น ไม่ปรุงไม่แต่งร่วมกันกับกาม เฉยๆกับกาม อาตมาก็ยังมีกะจิตกะใจให้พวกเราได้รู้สิ่งเหล่านี้สิ่งที่ดียังมีกำลังวังชาอยู่พวกเราก็คงจะเชื่ออย่างสนิทใจว่าอาตมามีกะจิตกะใจอยากจะให้สำหรับวันนี้ก็ตามเวลาพอสำหรับวันนี้จะเริ่มทำทุกคน

จบ


เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 13:25:39 )

630210

รายละเอียด

630210_เทศน์ทวช.งานพุทธาภิเษก#44  บ้านราชฯ กายนี้คือวิญญาณ ตอน2

 

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/13rk2v1niHN4j8-VVDw0f8H0f7flUphOq94QrOeCtjwM/edit?usp=sharing                      

 

ดาวโหลดเสียงที่...  https://drive.google.com/open?id=1kJ4sXF27v5qhO2hUw7wdXMQIRZG0sJLK

 

พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2563 ที่บวรราชธานีอโศก งานพุทธาภิเษกครั้งที่ 14 เป็นวันที่ 3 ของงาน

สื่อธรรมะพ่อครู(กาย) กายไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่กายแต่แยกกันไม่ได้

กายนี้คือวิญญาณ

ทำไมต้องเน้นคำว่ากาย เพราะว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธที่เป็นแกนศาสนาพุทธของโลก เพราะว่าแม้แต่ประเทศต่างๆยังศรีลังกาก็ยังยอมให้เมืองไทยว่าเป็นเมืองพุทธศาสนาที่ดีที่สุด ซึ่งเขาเข้าใจอย่างนั้น ถูกไหม? ...ถูก

ถูกเพราะ มีเราชาวอโศกไง!

ทำไมว่ามีเราชาวอโศก ก็เพราะว่าเราชาวอโศกนั้นยืนยันตามหลักฐานที่มีบันทึกไว้ ที่เขายอมรับกันเกือบทั่วโลก ตามพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ ซึ่งก็จะมีฉบับอื่นแปลกแตกต่างออกไปบ้างเป็นธรรมดา แต่ที่อาตมามั่นใจมากๆก็คือ

1 กายกับจิต มันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่กายกับจิต มันแยกกันได้ มันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแต่แยกกันได้ ที่สุด กายไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่กาย ก็ได้ แต่ไม่แยกกัน สิ้นขาดด้วยความรู้ในธรรมนิยาม โดยเฉพาะธรรมนิยาม 4 ก็คือ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม และธรรมนิยาม

กรรมนิยามเป็นตัวปฏิกิริยาเป็นตัวแปรตัวเคลื่อนที่ทำให้เปลี่ยนแปลง กรรมเป็นตัวกระทำเป็นตัวปฏิกิริยาเป็น activities ที่จะPpทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไป

จริงๆไม่มีกรรมมันก็เปลี่ยนแปลงไปโดยธรรมชาติโดยธรรม มันเปลี่ยนแปลงไปตามกาละ ไม่เที่ยงหรอก ก็ขึ้นกับกาละ ไม่เที่ยง เคลื่อนที่ไป แต่มันช้ากว่า ถ้ามีกรรมกิริยามันเร็วกว่าเพราะมีผู้กระทำ ยิ่งผู้กระทำเป็นผู้ที่มีประสิทธิภาพมีสมรรถนะสูง มีปัญญาดีมากมายขึ้น มันก็ยิ่งจะทำให้เจริญได้มาก เจริญได้เร็ว เจริญได้ตามต้องการ

สิกขมานา ดร.มนัสพิสุทธิ์ พิทักษ์สันติภาพ เขียนกวีมาว่า

ลูกพญาแร้งพลัดถิ่น

เคยเวียนวนแผ้วถางอย่างหน่วงหนัก

เหนื่อยไม่พักพากเพียรเฝ้าเรียนร่ำ

ฟังธรรมจากพ่อครูอยู่บ้าน

แว่วเสียงปลุกลำนำ ย้ำคำนึง….

 

พ่อครูว่า...เป็นสิกขมานาก็คือสามเณรี

 

สื่อธรรมะพ่อครู(กาย) แกนจิต dynamic กับ แกนจิตstatic

มาเข้าสู่เรื่องกายนี้คือวิญญาณ

คนที่จะแยกกายแยกจิตออก มันไม่ใช่ธรรมดาของสามัญความรู้ ความรู้โลกียไม่มีสิทธิ์ความละเอียดละออของอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม

ความรู้โลกที่ต่างจากความรู้โลกุตระอย่างมีนัยยะสำคัญจริงๆ ซึ่งอาตมาก็กำลังเขียนความรู้ที่เป็นโลกุตระ ที่บัญญัติเรียกว่าปัญญา ปัญญาไม่ใช่เฉโกหรือเฉกะ นี่เป็นพยัญชนะที่บ่งบอกระบุสัจธรรม ที่จะเป็นลักษณะของความรู้ความฉลาด เฉลียวฉลาดขนาดไหนก็อยู่ในกรอบขนาดนั้นเรียกว่าโลกียะ ออกจากโลกียะไม่ได้ หรือ synonym ของมันคือเทวนิยม ออกจากกรอบเทวนิยมไม่ได้ เริ่มมีธาตุตัวใหม่ คืออัญญธาตุ ธาตุพลังงานจิตที่อาตมาได้ขยายสู่ฟัง จากตำนานของพระพุทธเจ้าสมณโคดม

มีภิกษุองค์แรกของศาสนาพุทธคืออัญญาโกณฑัญญะ เป็นผู้เริ่มมีธาตุตัวนี้คนแรกในโลก เมื่อได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า กัณฑ์แรกธัมมจักกัปปวัตตนสูตร พอฟังแล้วโกณฑัญญะรับได้จิตเปิดรับ พฤติการณ์ของจิต ที่เกิดสว่างเกิดอะไรขึ้นมา เริ่มมีจิตตัวนี้ เติมพลังงานของจิตเข้าไปเป็นอัญญธาตุ ตัวแรกเป็นเอกพจน์ ธาตุใหม่ แตกต่างจากธาตุรู้ธาตุที่เป็นโลกียะหรือเทวนิยม มันเป็นคนละตระกูล คนละดีเอ็นเอ คนละยีนส์ genome เอาภาษาทางรูปธรรมวิทยาศาสตร์ชีววิทยาเข้ามาเรียน มันมีตัวใหม่ขึ้นมา เป็นนามธรรมที่เป็นตัวแท้ มันเกิดใหม่

จากอัญญะ(เอกพจน์) มาเป็นอัญญา (พหูพจน์) ก็เริ่มมีตัวที่ 2 ขึ้นมาเป็นพหูพจน์ มีตัว 3 ตัว 4 ก็เจริญพัฒนาสูงขึ้นไปเรื่อย เป็นอัญญา มาเป็นกัญญา มาเป็นสัญญา เพิ่มธาตุรู้ที่เป็นโลกุตระธรรมไปเรื่อยๆ มันมีสภาวะของจิตในจิต ไม่ใช่เข้าใจแค่เพียงพยัญชนะภาษา

ภาษาก็ฟังซาบซึ้งได้ แต่เราต้องอ่านจิตในจิตของเรา แล้วเราก็ต้องทำจิตในจิตของเราได้ ทำจิตในจิตของเราเป็น ทำเป็นธรรมถูกต้อง ทำสัมมาทิฏฐิเป็นสัมมาปฏิบัติ จนบรรลุผลสมบูรณ์เรียกว่าสัมมาปฏิเวธ ครบตามลำดับ

คนที่จะสามารถมีญาณหยั่งรู้จิต เจตสิก รูป จนกระทั่งถึงนิพพาน นี่เป็นภาษาอภิธรรม 4 คำนี้

จิต คือคำรวมของธาตุรู้ที่เอามาทำงาน เอามาเป็นก้อน จิตกับวิญญาณแตกต่างกันในนัยละเอียดคือวิญญาณเป็นคำรวม ธาตุรู้ทั้งหมดรวมทั้ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

ทีนี้ในวิญญาณ​แตกตัวมาเป็นเจตสิก เวทนาเจตสิก แยกเวทนา แยกเวทนานี่แหละ ออกเป็นรายละเอียด 108 ตัวสำคัญ​ ในนี้ก็ต้องอ่านอาการของจิตที่มันเป็นตัวโต จิตที่หยาบกว่าเวทนา ตัวเวทนานี้ละเอียดกว่าจิต จิตเป็นความรวมมี static มากกว่า เวทนามี dynamic มากกว่า พอรวมก็เรียก สราคะ สโทสะ สโมหะ พอทำให้กิเลสลดลงได้ทำให้ไม่เป็นได้เรื่อยๆ

ไม่เป็นราคะ ราคะลดลง ไม่เป็นโทสะโทสะหายไป ไม่เป็นโมหะ โมหะหายไปเรื่อยๆ ก็เป็นวีตะ ส่วน ส  คือมีคือเป็น ก็ทำให้เป็นวีตะ ไม่มีไม่เป็น

เราจะต้องมีอย่างละเอียด สัญญาตัวกำหนดรู้ละเอียดเข้าไปกำหนดหมายเข้าไปเรื่อยๆ อ่านแล้วก็ทำการปฏิบัติ มันต้องมีสองแกน แกน static กับ แกน dynamic

แกน static ก็เรียก สังขิตตังจิตตัง ส่วนแกน dynamic เรียกว่า วิกขิตตังจิตตัง

สังจิตตังจิตตัง จับตัวเป็นก้อนเหมือนหัวเป็นสังกะตัง สายศรัทธา

วิกขิตตังจิตตัง ก็จะฟุ้งกระจายไม่จับตัวกัน สายปัญญา

ฟุ้งก็จับไม่ติด ต้องทำให้ได้สัดส่วน ส่วนจับกันแน่นมันตีไม่แตกแยกไม่ออกก็ต้องตีให้แตกแยกให้ออก ส่วนที่ฟุ้งกระจายก็ต้องทำให้รวมตัวกันให้ได้ให้มีลักษณะของสัจธรรมตัวใด เป็นเวทนาให้มันชัดๆให้มันจริงๆ เวทนารวมตัวกันให้ครบ ครบความเป็นกายเป็นจิต มีธาตุ 2 เป็นกายเป็นจิตรวมกันเป็นธาตุ 2 ของเราเรียกว่า สักกาย เราเรียนรู้จะเกิดทิฏฐิ ความเข้าใจเกิดความรู้ ความเห็น พอมีความเข้าใจความรู้ความเห็นว่าทำทิฏฐิให้มันเป็นปัญญา ทำทิฏฐิให้ครบบริบูรณ์เป็นความรู้มีสภาพความเป็นจริงครบ และมีธาตุรู้เข้าไปรู้ความจริงนั้นอย่างสมบูรณ์ด้วย เริ่มต้นด้วย

สักกายทิฏฐิ ก็จะต้องรู้กาย รู้กายของตนในตน ไม่ใช่ไปรู้กายของคนอื่นไม่ใช่รู้อย่างผิดเพี้ยนๆ อย่างพ้นวิจิกิจฉา ในสังโยชน์ 3

สังโยชน์ 3 ต้องมีกายต้องเรียนรู้กาย ต้องมีกายเป็นหลัก เริ่มต้นด้วยการคือข้อ 1 เลย

ใครผู้ใดไม่มีทิฐิเป็นสัมมา กาย ไม่มีไปนั่งหลับตาตั้งแต่สังโยชน์ข้อที่ 1ก็โมฆะ ไม่มีสิทธิ์ที่จะบรรลุธรรม นั่งหลับตาปฏิบัติเขาเข้าใจ กาย ก็เป็นแต่เพียงภายนอก เดี่ยวๆด้วย กายคือร่างกายด้วย ในมิจฉาทิฏฐิสายนั่งหลับตาเข้าใจอย่างนั้น จึงมีความผิดที่ไกลจากวิเวกและเข้าใจปฏิบัติมีแต่เพียงหนึ่งไม่มีภายนอกแล้วนั่งหลับตาปฏิบัติเข้าไปอยู่ภายใน แล้วมันจะไปลงตัวกันได้อย่างไรมันจะมีผลสำเร็จได้อย่างไร

บอกว่าให้เดินไปทางนี้ แต่เขาก็เดินไปทางโน้น เขาก็บอกว่าใช่ทางนั่นแหละทางที่คุณว่านั่นแหละ แต่เขาไปเดินอีกทางหนึ่ง เราก็บอกว่ามาเดินทางนี้ ทางตรงนี้ เขาบอกว่าใช่ๆแล้ว อย่างที่คุณว่า นี่เป็นความเข้าใจว่ามันใช่แต่ไม่ใช่ ที่เขาเดินที่บอกว่าทางที่ใช่มันไม่ใช่มันคนละทาง แต่เขาก็บอก พอเราบอกว่าทางนี้ เขาก็บอกว่าทางนั่นแหละใช่แล้ว นี่แหละเป็นความเข้าใจที่นึกว่าถูกในผิด มันก็เลยยิ่งยากใหญ่เลย ถ้าเขาเข้าใจว่ามันต่างกัน มันก็จะมีหวัง ไอ้หวังตายแน่ต้องฆ่าไอ้หวังด้วยนะ ซ้อนนะ อย่างนี้มีหวังคือฆ่าไอ้หวังให้ตาย เพราะถ้าฆ่าไอ้หวังไม่ตายคุณมีสาเปกโขซ้อนอีกนะ

 

เป็นไงฟังกันเงียบเลย สู่แดนธรรมว่า ฟังอย่างดิ่งสดับ

พ่อครูว่า...เป็นสำนวนในพระไตรปิฎกฟังธรรมอย่างดิ่งสดับ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(กาย) จิตมีความเป็นอุตุ แต่อุตุไม่ใช่จิต

คำว่ากาย คำเดียวถึงยากจริงๆ พระพุทธเจ้าจึงสอนกำชับกำชาอุปัชฌาย์ทุกรูป เวลาเริ่มบวชภิกษุขึ้นมาจะต้องให้กรรมฐาน 5 เรียกว่ามูลกรรมฐาน คุณต้องแยกกายแยกจิต อย่างถูกต้องสัมมาทิฎฐิจริงๆ

แยกอย่างไร

ก็ทำความเข้าใจให้ได้ว่ามันแยกเป็น 5 อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม  กรรมนิยาม  ธรรมนิยาม ต้องแยกให้ชัดเจนว่าเมื่อไหร่เป็นกาย เมื่อไหร่เป็นจิต เมื่อไหร่ไม่ใช่กาย เมื่อไหร่ไม่ใช่จิต ที่มันเป็นโดยเราไม่ได้ทำ มันเป็นไปตามธรรมชาติ

วัตถุที่ยังไม่ใช่ ชีวะ เป็นอุตุก็เป็นไปตามธรรมชาติของมัน

เมื่อได้มาเป็นชีวะเป็นพีชะ มันไม่ได้เป็นได้ง่ายๆ วัตถุดินน้ำไฟลมอากาศ ไม่ใช่ง่ายๆ ถ้ามีความรู้เป็นแผนที่นำทาง พระพุทธเจ้าก็สอนเราสามารถทำให้มันง่ายขึ้นได้ ง่ายกว่าเดินทางไปเป็นพีชะเอง กว่าจะเป็นพีชะได้ ไม่ใช่ธรรมดา มันเป็นเองได้แต่มันนานมาก มันไม่มีทางหลีกเลี่ยงมันก็ต้องเป็น ถ้าไม่เป็นคุณก็ตาย ถ้าคุณไม่สามารถที่จะมาเป็นจากอุตุมาเป็นพีชะ คุณก็วนเวียนอยู่กับความเป็นอุตุ มาเป็นพีชะไม่ได้ จะเป็นอุตุที่มีพลังงานสูงเท่าไหร่ มันจะมีวงวนของอุตุ ซึ่งไม่ใช่ชีวะ ไม่มีธาตุรู้ของตัวเอง เป็นพลังงานความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้าของมันเองทำงานในตัวของมันเองไป มันไม่มีประธานเป็นตัวนำในวงของมันเอง อย่างแม่เหล็กมันก็ดูดของมันอยู่ แต่ไม่มีตัวประธานที่จะนำ มันก็มีพลังงานอื่นเป็นประธาน เป็นตัวขับดันเปลี่ยนแปลง ก็เป็นไปตามทิศทางของพลังงานภายนอก ตัวมันเองพลังงานภายในมันทำอะไรของมันเองไม่ได้ เช่นมันจะเกิดกระแสลมกระแสร้อนกระแสเย็น แม้แต่แม่เหล็กไฟฟ้าที่เคลื่อนไหวอยู่

คนก็เอาพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าไปทำเป็นวิทยุ เกิดวิทยากับความรู้ สามารถนำมันได้ควบคุมมันได้อยู่ในอากาศเรียกว่ากระแสวิทยุ พลังวิทยุ ควบคุมเอามาใช้ได้ แล้วก็อยากจะตั้งชื่อเอาไปใช้เป็นรายละเอียด มันมีอยู่ก็เอามาใช้ได้ คำว่ามีและไม่มีจึงเอามาใช้ในคำตอบเป็นตัวจบหรือไม่จบก็อยู่ในนี้

จิตของเรามีความเป็นอุตุ มันก็ไม่มีภาวะจิตแล้ว จิตของเรามีภาวะอุตุ แต่อุตุ มันไม่มีความเป็นจิต

เมาไหม งงไหม สับสนไหม?

อุตุมันไม่ใช่จิต แต่จิตทำให้เป็นอุตุได้ แต่อุตุไม่บังอาจจะเป็นจิต

อุตุ ก็ยังไม่ใช่แค่พีชะ ต้องเห็นความแตกต่างของอุตุ กับพีชะ

เป็นพีชะได้ ก็ยังไม่มีสมรรถนะเป็นจิต

พีชะก็เป็นชีวะ มีตัวควบคุมตัวเอง แตงโมมะเขือเทศกะหล่ำปลีพืชพันธุ์ต่างๆ พืชต่างๆที่มีความแตกต่างจาก จิต สำคัญที่สุดก็ตรงที่ว่ามันไม่มีความสุขไม่มีความทุกข์

ประธานของมันมีประสิทธิภาพไม่เท่าจิต ประสิทธิภาพของจิตเก่งกว่าพีชะ รู้รอบกว่า มีความทุกข์ความสุข แต่มันไม่มีความรักความชัง มีพลังงานแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้าอยู่ในตัว พีชะ

ซึ่งมันไม่ง่ายหรอก ในการแจกแจงธรรมนิยาม 5 ยิ่งไปแจกแจงบุญกับกุศลก็ยิ่งยาก

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ

สู่แดนธรรมว่า...การที่ท่านอัญญาโกณฑัญญะได้รู้ในวันนั้น ท่านเป็นสายปัญญาหรือท่านเป็นสายศรัทธา หรือกลับไปกลับมา เป็นสายปัญญาที่พบธรรมะด้วยศรัทธา

พ่อครูว่า...ตอบได้อย่างนี้โกณฑัญญะ คำว่าโกณฑะ แปลว่าโง่ ส่วนอัญญะ แปลว่าฉลาด

เพราะฉะนั้นโกณฑัญญะ คือ โง่ อัญญาคือฉลาด มีทั้งสองตัว มีแกนฉลาดแกนโง่อยู่ด้วยกัน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องอจินไตยที่สุดยอด คนนี้ต้องชื่อนี้เพราะมีสภาวะอย่างนี้ อย่างพระสมณโคดมจะใช้บาลีเป็นหลัก บาลี ระบุว่าอย่างไรพยัญชนะอย่างไรก็อย่างนั้น พระพุทธเจ้าองค์อื่นก็อาจจะใช้ภาษาอื่นที่เป็นภาษาประจำของท่าน คนนั้นก็ต้องชื่อนั้นตามภาษาเหล่านั้น ในยุคที่ท่านอุบัติคนเหล่านั้นก็ต้องมามีชื่อตามภาษานั้น จะไปเอาภาษาที่มันไม่ใช่มาเรียกมันไม่ได้ มันต้องภาษาอันนั้นเฉพาะองค์นั้น

สู่แดนธรรมว่า...ทำไมพระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยบาลี

พ่อครูว่า...ต้องใช้ภาษาตอนนั้น อย่างบาลีมาแปลงเป็นสันสกฤต ใครจะบอกว่าสันสกฤตเกิดก่อนหรือบาลีเกิดก่อนก็เป็นความเข้าใจของคุณ สำหรับอาตมานั้นชัดเจน ว่า บาลี เกิดก่อนสันสกฤต คนที่ไม่ชัดเจน ถนัดภาษาสันสกฤตก็บอกว่าเกิดก่อน คนที่ไม่ถนัดก็ต้องไปเรียน 2 อย่างเทียบกันไป พวกเรามีคนจบป.โท สันสกฤตและบาลี เป็นปริญญาโท 2 ใบนะ คือ ดร.รินธรรม ตอนนี้จะกลายเป็นรินถ้ำไปแล้ว

 

มาเข้าสู่เรื่องกาย

พูดซ้ำซากเบื่อกันไหม ...ไม่เบื่อ แปลว่ามีธรรมรส

เหมือนคนชอบเพลงซาบซึ้ง ฟังแล้วฟังอีกฟังแล้วฟังอีก คนที่อยู่ด้วยก็บอกว่าฟังอะไรกันนักกันหนา ฟังซ้ำซากอยู่อย่างนั้น คนไหนที่ซาบซึ้งประทับใจ ก็ประทับลงไปๆ ก็ของใครของมัน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาหาร 4) ตอน โจรปล้นศาสนาที่ฆ่าไม่ตายคือคนไม่รู้รูปนาม

อาตมาจะขยายความต่อจาก กายนี้คือวิญญาณ

ดูจากปุตตมังสสูตร มี 4 อาหาร

อาหาร 4 คือ

  1. กวฬิงการาหาร (อาหารคำข้าว  ให้รู้กิเลสเบญจกาม) . .
  2. ผัสสาหาร (อาหาร คือ  ผัสสะกระทบให้เกิดเวทนา) .
  3. มโนสัญเจตนาหาร (อาหารใจที่เจตนามุ่งกับตัณหา) . .
  4. วิญญาณาหาร (อาหารของวิญญาณ กำหนดรู้นาม-รูป  อันเป็นปัจจัยให้ตั้งอยู่แห่งสังขาร เพื่อการเกิดในภพใหม่ คือมีปัจจัยเกิดชาติ ชรา มรณะ ทุกข์ และความคับแค้น) .

(ปุตตมังสสูตร  พตปฎ. เล่ม 16   ข้อ 241-244) 

คำว่าวิญญาณาหาร อ่านจากพระไตรปิฎกเลย

[244] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร เหมือนอย่างว่า พวกเจ้าหน้าที่จับโจรผู้กระทำผิดได้แล้วแสดงแก่พระราชาว่า ขอเดชะด้วยโจรผู้นี้กระทำผิด ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ลงโทษโจรผู้นี้ตามที่ทรงเห็นสมควรเถิด

พ่อครูว่า...โจรร้ายทำลายศาสนาคือยึดถือและปฏิบัติในสิ่งที่ผิด แล้วก็ยังกระจายคำสอนที่ผิดนั้นต่อไปอีก บอกให้หยุดก็ไม่หยุดยังสอนต่อไปอีกไม่หยุด ก็ยิ่งกว่าไวรัสโคโรน่าระบาดต่อไปอีก ก็ยิ่งตายๆๆ คำว่าตายนี้กลับกันกับโจรที่ไม่ตายสักทีนะ สลับกันเป็นสิริมหามายา

จะฆ่าโจรให้ตาย แต่โจรตายคือโจรไม่ตาย ก็คือไม่มีโจรจะตายอีกแล้ว แต่โจรที่ว่านี้ซ้อนลึกลงไป

ฆ่า นี้ เป็นสมมติบัญญัติ จริงๆต้องฆ่าที่จิตวิญญาณเขา ให้จิตวิญญาณของเขาอย่าหลงผิด อย่ามิจฉาทิฏฐิ ไปห้ามอย่าก็ไม่ได้ ต้องทำความมีสัมมาทิฏฐิให้เกิด แล้วต้องทำซ้ำมาปฏิบัติ ปฏิบัติที่จิตของคุณให้บรรลุผล จิตบรรลุผลเป็นตามที่เป็นสภาวะที่แท้จริง ถูกต้องสมบูรณ์แบบ จบคือจบ

ต้องศึกษาหลายชั้น หมุนรอบเชิงซ้อนไม่รู้กี่ชั้น

 

ต่อพระไตรปิฎก

จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้านี้ เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ช่วยประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้า ต่อมาเป็นเวลาเที่ยงวันพระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงช่วยกันประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวัน เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวัน ต่อมาเป็นเวลาเย็น พระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอีกอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเย็นเจ้าหน้าที่คนนั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเย็น ภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายยังเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน คือว่าเมื่อเขากำลังถูกประหารด้วยหอกร้อยเล่มตลอดวันอยู่นั้น จะพึงได้เสวยแต่ทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหาร นั้นเป็นเหตุเท่านั้น มิใช่หรือ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอกแม้เล่มเดียว ก็พึงเสวยความทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหารนั้นเป็นเหตุ แต่จะกล่าวไปไยถึงเมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอกสามร้อยเล่มเล่า ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า จะพึงเห็นวิญญาณาหารฉันนั้นเหมือนกัน เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้วิญญาณาหารได้แล้วก็เป็นอันกำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เมื่ออริยสาวกมากำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เรากล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกจะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ

พ่อครูว่า...ตอนถูกประหารเป็นปัจจุบันก็ทุกข์ หอก 1 ดอก ทุกข์ 1 ดอก หอก 100 ดอกก็ทุกข์ 100 ดอก แล้วก็ว่าง เช้ากลางวันเย็นก็ถูกประหาร มีช่วงว่างก็ยังไม่ทุกข์ ระหว่างหอกก็ว่าง จาก เช้ากลางวันเย็นก็มีช่วงว่าง ก็ยังไม่ตาย

สู่แดนธรรมว่า..อุปมากับปฐมเทศนา ที่ว่า ตั้งตนบนความลำบากแต่ไม่ทุกข์เสียที คือทางสองส่วนที่ภิกษุไม่ไปโต่งไปทางกาม แต่เหลืออัตตาที่ทำตนลำบากอยู่ไม่บรรลุ

พ่อครูว่า..คือพวกจมกับอัตตา ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ อัตตาที่เขานั่งสะกดจิต ฆ่าแล้วฆ่าอีก เหมือนกับโจรร้ายที่ถูกฆ่าเช้ากลางวันเย็นด้วยหอก 100 เล่ม ไปนั่งหลับตา ฆ่า อยู่นั่นแหละเขาไม่มีวันทำให้โจรตายเพราะโจรมันอยู่ที่ กาม ยังไม่ได้ตาย กามเป็นตัวใหญ่ คุณยังไม่ได้ลอกเปลือกออกจากข้างนอกเลย ก็จะมาฆ่าๆๆๆ ชีวะข้างนอกก็ยังไม่ตาย ฆ่ามันก็ฟื้นๆ ไม่ตาย เพราะไม่ได้ไล่ลำดับไปตามลำดับเบื้องต้น

อาหารข้อที่ 1 กามฉันทะ คุณไม่ได้ออกมาหากามเลยคุณยินดีอยู่ในอนุสัยลึกตลอด คุณก็จะเป็นพ่อแม่ลูกที่ฆ่าลูกกิน กินไปพลาง แล้วโง่เง่าว่าลูกของเราหายไปไหน เอ็งฆ่าลูกเอ็งแล้วกินอยู่ในปากเอ็งก็ยังค่าโง่และลืม ลืมว่าได้ฆ่าลูกไปแล้ว แล้วนึกว่ามีลูก ก็คือเนื้อที่อยู่ในท้อง ขี้ออกมาแล้วแล้วบอกว่าลูกอยู่ที่ไหนก็อยู่ในขี้ของเอ็งไง

ชั่วระยะเวลาของความทุกข์มันทุกข์อยู่ตลอดต่อกันตามหอก 100 เล่มแล้วมีระยะเวลาพัก ทุกข์เฉพาะที่ปัจจุบันถูกหอกแทง 300 เล่มในทั้งวัน หรือ 100 เล่มในตอนเช้า ว่างก็มีว่าง แต่มันจะยังไม่ตายมันจะอยู่กับทุกข์ไปอีกนานเท่านาน มันไม่ตายดื้อจริงๆ ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงจะจมอยู่กับที่เก่าข้องอยู่ในถ้ำอยู่อย่างนี้ เฮ้ยเมื่อยจริงๆ เจ้าคนดื้อด้านดึงดัน

เมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอกแม้เล่มเดียว ก็จะเป็นเช่นนั้นเขาจะทุกข์ในแต่ละดอก เมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอก continuing แม้ถูกประหารด้วยหอกเล่มเดียวก็ทุกข์อยู่เท่าที่ปัจจุบันมันยาว เจ้าหน้าที่อาจกระแทกๆหอกอยู่อย่างนั้นตลอดชั่วโมง ก็ทุกข์กับหอกเล่มเดียว 1 ชั่วโมงก็ทุกข์อยู่กับแรงกระแทก กระแทกแล้วกระแทกอีกเป็นร้อยครั้งเขาก็จะทุกข์อีกเป็นร้อยครั้ง ด้วยหอก 1 เล่มเดียว 100 เล่มก็คูณเข้าไปสิ 100 กระแทกด้วยหอก 100 เล่ม เหตุการณ์ที่มันมีพลังงานเคลื่อนที่ พลังงานกรรมกิริยา กรรมกับกาละ คือ การกระทำกับกาละ มันก็เกิดอันใดอันหนึ่งขึ้นมา เจ็บปวดก็คือความเจ็บปวด

เมื่อคุณหายจากเจ็บปวด เขากระแทกด้วยหอก 100 เล่ม ภาษาสิริมหามายาคนนี้ด้านหรือเปล่า ไม่ใช่ด้าน คนที่เหนือความเจ็บปวดเป็น พีชธาตุแล้วก็ไม่เจ็บ แต่ไม่ใช่หน้าด้าน

มันเป็นการหลุดพ้นที่แท้จริง มันก็มีอันนี้อยู่คนอื่นก็มีให้เราสัมผัสก็ตาม มากระทบกับเราบ้าง แต่ผู้ที่มีบารมีแล้ว มันกระทบกันอยู่กับคนอื่น อย่างอาตมาเห็นคนอื่นถูกกระทบกระแทกกระเทือนกระทุ้ง ฆ่าแกงกัน นายจ่า(ทหารที่ยิงประชาชนตาย20กว่าศพที่โคราช)คนนั้นไปยิงเขาตายก็เห็นอยู่ แต่เขาไม่ได้มาใกล้เคียงมาแผ้วพานเรา เพราะเรามีบารมี ที่พูดไม่ใช่วอนหาเรื่องนะ

มันซ้อนอยู่ที่มีบารมี แต่อย่าหลงว่าตัวเองมีบารมีมาก อย่าหลงเป็นอันขาด ถ้าคุณไม่หลงว่ามีบารมีมากบารมีจะช่วยคุณ คุณหลงว่ามีบารมีมากเมื่อไหร่พลาดมานั้นจำไว้ อย่ายึดตัวตน

สู่แดนธรรมว่า.. พวกเราจะถ่อมตนอยู่เสมอ

พ่อครูว่า...อย่าหลงตัวหลงตนยึดผิด

สู่แดนธรรมว่า..ให้ทำดีไปจนรู้ตัวก็สูญหรือสูงเสียแล้ว

พ่อครูว่า...ผู้ที่สูญไม่ได้ก็สูงไม่ได้

เพราะฉะนั้นสูงได้โดยไม่สูญ ฉันสูงแล้วแต่มันไม่สูญ เพราะฉะนั้นสูญจริงๆคุณจึงจะสูงจริงๆ

ต่อ ภิกษุที่เขากำลัง ถูกประหารด้วยหอก แม้เล่มเดียวก็พึงเสวยความทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหารนั้นเป็นเหตุ เล่มเดียวก็ตาม เขาก็ทุกข์อยู่กับหอกเล่มเดียว แต่จะกล่าวไปไยเมื่อเขาถูกประหารด้วยหอก 300 เล่ม เล่า

ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า จะพึงเห็นวิญญาณาหารนั้นเหมือนกัน ยากไหม?

คุณจะต้องมีรายละเอียดความทุกข์ด้วยหอกเล่มเดียวก็ทุกข์อยู่ตลอดเวลา อาตมาแถมอีก หอกเล่มเดียว แต่เจ้าพนักงานกระแทกแล้วกระแทกอีกอยู่ตลอด 1 ชั่วโมง ก็ทุกข์ตลอดชั่วโมงที่ถูกกระแทก เป็นร้อยครั้งพันครั้งก็ตาม

เมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอกแม้เล่มเดียว ก็พึงเสวยความทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหารนั้นเป็นเหตุ แต่จะกล่าวไปไยถึงเมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอกสามร้อยเล่มเล่า ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า จะพึงเห็นวิญญาณาหารฉันนั้นเหมือนกัน เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้วิญญาณาหารได้แล้วก็เป็นอันกำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เมื่ออริยสาวกมากำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เรากล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกจะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ

 

พ่อครูว่า...มาจบที่รู้ นามรูป ผู้ที่สามารถรู้นามรูปได้ ผู้ปฏิบัตินี้มีความรู้นามรูปได้ จบ ไม่มีความรู้อะไรที่ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าใครที่เข้าใจไม่ถ้วนรอบ เข้าใจสั้นๆ อ้อเรารู้นามรูปได้ก็จบ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส คุณไม่จบหรอก คุณก็จะได้แต่ความรู้ว่า นามรูป ฟังดีๆนะ

จริง นามรูป ที่พระพุทธเจ้าตรัส แต่นามรูปของคุณ อันเดียวกับที่พระพุทธเจ้าตรัสมั้ย ไม่ใช่ ต้องมีคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่คุณเข้าใจ แล้วคุณต้องมีสภาวะของคุณ

สภาวะของคุณไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า คุณต้องรับผิดชอบของคุณ แล้วคุณต้องทำสภาวะของคุณ ในนามรูปนี้แหละให้สมบูรณ์ แต่ก่อนจะสมบูรณ์ถ้าคุณไม่เริ่มต้นมีความรู้ที่นามรูป คือ กาย

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(กาย) แยกกายแยกจิตให้สัมมาทิฏฐิ

คุณไม่มีความรู้ในนามรูป ก็โมฆะเลย

ต้องรู้เรื่องนี้ก่อน ต้องแยกกายแยกนามรูป คือต้องมีนามรูปแล้วรวมที่กาย

กายแยกเป็น 1 ไม่ได้ กายต้องมี 2 เสมอ

กาย กับ เทวะต่างกัน

เทวะคือคำของคนโง่

กายคือคำของคนฉลาด ฉลาดโลกุตระด้วย

ฉลาดโลกุตระจะรู้ความเป็น 2 ทั้งสภาวะและพยัญชนะ ครบถ้วนไม่หลงผิด

เมื่อใด จะหมายถึงพยัญชนะ ก็ไม่สับสน เมื่อใดหมายถึงสภาวะก็ไม่สับสน

คนจะสื่อให้รู้กันต้องใช้พยัญชนะ แต่ผู้ที่รับฟังจากพยัญชนะไปแล้วต้องมีสภาวะของตัวเองตรวจสอบ มีแล้วยืนยัน ถ้ายังไม่มีคุณจะทำอย่างไรจึงจะมี ?

เพราะฉะนั้นเมื่อตรวจของตัวเองว่ามันยังไม่มีมรรคผลนั้น มันยังไม่มีความจริงอันนั้นได้แล้ว คุณก็ต้องทำสิ เพราะคุณจะต้องรู้ว่าความไม่มี เราไม่มีสภาวะ เรามีแต่พยัญชนะ ถ้าคุณไปสับสนหลงว่ามีสภาวะแต่คุณได้แต่พยัญชนะ นี่คือพวกที่เรียนเปรียญ 9 เรียนด็อกเตอร์ ท่องบ่นอะไรต่ออะไร  หรือผู้ที่เอาแต่สภาวะนั่งหลับตาๆๆ ไม่ออกมาสู่กายข้างนอกเลย ก็เหมือนกันโมฆะทั้งคู่ ต้องกลับมามี 2 ต้องมีภายนอกภายใน

 

เพราะฉะนั้นการแยกกายแยกจิต จึงเป็นเรื่องแรกที่พระพุทธเจ้ากำชับให้อุปัชฌาย์ให้มูลกรรมฐานแก่พระนวกะ สิ่งที่แยกง่ายๆคือภายนอก

คุณจะไปแยกกายแยกจิตที่ลำไส้ จะไปแยกกายแยกจิตที่ตับ ก็ยาก ต้องผ่าตับออกมา จะต้องมาที่เล็บ ผม ขน ฟัน หนัง มันถึงจะแยกได้ มันถึงจะมาพิสูจน์ความจริงได้ง่าย แม้แต่อุจจาระมันยังไม่ออกมา เป็นอาหารเก่าอาหารใหม่ คุณจะแยกอาหารใหม่ ยังมีความรู้สึก เชื่อมโยงเป็นพีชะ อาหารใหม่มันยังไม่ขาดจากอาหารเก่า มันก็ยาก ยากมากเลย มันก็จะแยกกายแยกจิตเหมือนกัน

พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าเอา 5 อย่างนี้แหละที่มันมีอยู่ในร่างกายเรา มาพิจารณาแยกกายแยกจิตให้ชัด เมื่อใดคุณแยกกายแยกจิตไม่ชัด คุณก็ไม่มีทางพ้นทุกข์ ไม่มีทางสลายร่าง สลายความเป็นตัวคุณทั้งตัวเลย ให้มันหมดจบ ไม่กลับมาเป็นตัวตนของเราอีกตลอดนิรันดร คุณก็ทำไม่ได้ คุณต้องเข้าใจถึงจะทำได้

อุตุคืออะไร อาตมาถนัดที่เล็บ ไม่ถนัดอธิบายที่ผม แต่เล็บนี่นิ่งก็นิ่งแข็งก็แข็งจับได้ง่าย ติดกับเรา หรือเล็บตัดออกไปแล้ว

เล็บที่ตัดออกจากร่างกายเป็นอุตุ 100% เป็นดินน้ำไฟลมไม่มีกลับมาต่อกันได้ เอาเล็บที่ตัดออกไปแล้วมาต่ออีกกลับไปไม่ได้ ถ้าเนื้อหรือหนัง ก็อธิบายยาก หากเราเอาหนังใหม่ขึ้นมาก็ไม่ใช่หนังเก่า อันนี้ยากอธิบาย

เล็บ ตัด ออกไปจากตัวเราแล้วก็เป็นอุตุ แต่เล็บที่ติดกับตัวเรา ไม่มีเวทนา ผม ฟัน หนังขน ก็เช่นกันติดกับตัวเรา ยังไม่ตัดออกไปยังไม่เป็นอุตุ 100% ก็เป็นชีวะ แต่เราไม่เรียกกาย เพราะมันไม่มีความรู้สึกไม่มี เวทนา แม้มันจะติดอยู่กับตัวเรา เขาบอกว่าหยิกเล็บเจ็บเล็บก็ไม่ใช่ แต่หยิกเล็บเจ็บเนื้อ ไม่ใช่เจ็บเล็บ ตรงที่เล็บมันติดอยู่กับเนื้อก็เจ็บตรงนั้นมันแยกกันไม่ออก เราก็ชัดเจน เนื้อกับเล็บมันติดกันสนิทเลย หากมันฉีกปั๊บก็เลือดไหล เลือดเป็นตัวเชื่อม แต่ถ้ามันออกนอกมาแล้วตัดออกเลือดไม่ไหลเจ็บก็ไม่เจ็บ ตัดออกได้ที่พ้นจากเนื้อ ตัดได้

เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่สามารถเข้าใจ การแยก เมื่อใดเป็นกาย เมื่อใดเป็นจิต ยกตัวอย่างเล็บ ที่มันติดกับเราอยู่ มันก็ยาวออกไปได้เมื่อได้อาหาร ทำลายมันก็ไม่เจ็บปวดไม่มีเวทนา การไม่มีเวทนานั่นแหละคือไม่ใช่จิต จิตต้องมีเวทนา แต่เมื่อมันยังมีชีวะอยู่ ติดกับร่างกายอยู่มันก็เป็นแต่เพียง พีชะ เป็นเพียงพืช เป็นชีวะที่ไม่มีเวทนา

พระพุทธเจ้าจึงเรียกว่าเป็นสังขารที่ไม่มีวิญญาณครองไม่มีกรรมวิบากครอง เมื่อไม่มีกรรมก็ไม่มีวิบาก แม้มีกรรมแล้วแต่ไม่มีวิบาก ที่จริงลึกซึ้งกว่านั้นมันไม่ได้หรอกมันมี มีกรรมนั้น แต่กรรมไม่มีกิเลสไม่มีอกุศลไม่มีบาป กรรมนั้นก็มีผลเป็นกุศล ถ้าเรายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานเราก็ได้อาศัยกุศลนั้น นี่ละเอียด ซ้อนไปอีก แต่ไม่มีบาปแล้วไม่มีบุญแล้ว กรรมที่บุญทำหน้าที่เสร็จจบ บุญทำหน้าที่อะไร ฆ่าบาป ฆ่าอกุศล เรียกแทนกัน อกุศลกับบาปเรียกแทนก็ตามแต่ที่จริง

บาปกับบุญ เป็นโลกุตระสามารถหมดไปจากโลกได้ แต่กุศลอกุศลเป็นโลกียะไม่สามารถหมดไปได้จากโลก

ทำบาปบุญหมดก็ปุญญปาปปริกขีโณ อรหัตตผลเด็ดขาดของพระโสดาบันในอบายมุขก็ตาม เด็ดขาดไม่มีเกิดอีกแน่นอนตายสนิทไม่มีวนเวียนมาอีกเลย อันนั้นก็เป็นของแท้ ที่คุณเป็นอรหันต์ ในอรหัตตผลของโสดาบัน เป็นผลที่ไม่ลึกลับแล้วสมบูรณ์แล้ว แต่มันยังไม่จบก็ยังไม่ใช่ อันตะ ไม่ถึงที่สุดได้ อรหัตตผล

เพราะฉะนั้นผู้ที่แยกกายแยกจิตยังไม่สัมมาทิฏฐิ

รู้กายไม่ชัดตั้งแต่สักกายะ ไม่พ้นวิจิกิจฉา แล้วต้องมีวิธีปฏิบัติอีกให้สัมมา อย่าทำเหลาะแหละเล่นหัวลูบคลำปรามาส ต้องทำจริงๆทำให้เกิดผล เจอกับโจรแล้ว อาตมาก็เคยอธิบาย รู้แล้วว่าคือโจรปล้นวิจิกิจฉา วิธีฆ่ามีด้วยแต่ยังไม่ฆ่าเลี้ยงโจรด้วย เพื่อให้โจรช่วยเรา นี่คือเจ้าหน้าที่เลี้ยงโจร แบบนี้จะได้ฆ่าโจรได้อย่างไรไปเลี้ยงมัน ต้องฆ่า

นอกจากคุณไม่สามารถฆ่ามันให้ตายด้วยหอกร้อยเล่มตอนเช้า กลางวันเย็น นอกจากคนฆ่ามันไม่ตาย เพราะคุณไม่สามารถ หรือ เพราะว่า โจรมันหนังเหนียว

เอาโจรหนังเหนียวดีกว่า หากคุณไม่มีฝีมือก็สร้างฝีมือให้ได้สิ ก็ฆ่ามันตายได้สำเร็จ ต้องสร้างฝีมือของคนให้เด็ดขาด ให้มันได้ประสิทธิภาพสูงสุด แต่ถ้าคุณมีฝีมือแล้วฆ่าก็ยังไม่ตายแปลว่าโจรมันหนังเหนียวดื้อด้าน

อย่างนั่งหลับตาเป็นโจร อาตมามีฝีมือ แต่โจรหนังเหนียวจะตาย เรียกว่าฟันอย่างไรก็ไม่ถูกตัวมันว่างไปหมดพอกันเลยกับพวกหนังเหนียว

 

นั่งหลับตามี 2 พวก พวกหนึ่งเป็นก้อนฟันไม่เข้า พวกหนึ่งนั่งหลับตาว่าง ฟันไม่ถูกตัว ก็คือธัมมชโย หาตัวไม่เจอ ทุกวันนี้ยังหาตัวไม่เจอเลย แต่อาจารย์มั่นหาตัวเจอ แต่ธัมมชโยหาตัวยังไม่เจอ เพราะฉะนั้น UNESCO ยกย่องธัมมชโยยังไม่ได้เพราะหาตัวยังไม่เจอ อาจารย์มั่นหาตัวเจอว่าเป็นผู้ช่วยสร้างสันติภาพ อาตมาก็ดีใจ UNESCO มีดวงตา เห็นศาสนาพุทธเป็นผู้รักษาสันติภาพได้จริงๆ ที่อื่นรักษาสันติภาพไม่ได้ ประเทศไทยรักษาสันติภาพได้ด้วยความรู้ 2 ประการ แม้จะเป็นสมถะ แม้จะเป็นวิปัสสนา ก็มีพลความมีความรู้องค์ประกอบครบอยู่ในของพระพุทธเจ้า หรือแม้จะไม่ครบก็มีคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว ศรัทธาพระพุทธเจ้าเป็นหนึ่งแล้ว เอาคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ว่าใครจะเอาคำสอนพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติได้ครบมากกว่ากัน สายหลับตาหรือสายศรัทธาเอามาครบได้ไม่เท่าสายปัญญา นี่ไม่ได้หมายความว่ายกปัญญาเหนือกว่าศรัทธานะไม่ใช่ แต่ศรัทธาอย่างนั้นศรัทธาเด่นกว่าปัญญาแล้วในข้างนอก

ในข้างนอก จะเริ่มรู้ตามมาด้วยศรัทธาเพราะเขาเป็นสายศรัทธาเทวนิยม ยูเนสโกเป็นเทวนิยม ศาสนาเทวนิยมเป็นแกนมาแล้วมันก็ต้องดีใจ เริ่มมารู้เนื้อของสัจธรรม

โดยเฉพาะสัจจะธรรมที่พระพุทธเจ้าค้นพบเอามาประกาศ เริ่มจะเข้ามาหาพุทธะผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ก็จะค่อยๆเข้ามา

อาตมาไม่กังวลอาตมาเป็นสายปัญญา อาตมาไม่ใช่ธัมมชโย ธัมมชโยกับอาจารย์มั่นก็ไปแยกกันเป็นสว่างกับมืดแต่ที่จริงเป็นสายศรัทธาทั้งคู่

ธัมมชโยศรัทธาที่ไปหลงปัญญาหลงความฉลาด กลายเป็นความฉลาดโง่ไม่ใช่ความฉลาด ไม่ฉลาดโลกุตระ เป็นความฉลาดโลกียที่โง่ซับซ้อนแล้วหลงความฉลาดตัวเองเป็น วิปัสสนูปกิเลส ซับซ้อน

ขาจะยิ่งจม จมนี่เขาก็ยิ่งฟู ธัมมชโย ส่วนอาจารย์มั่นยิ่งจมก็ยิ่งจม ยิ่งดิ่ง สังคตัง สังขิตตังจิตตัง แน่นไปเรื่อย ทางโน้นก็วิกขิตตังจิตตัง เราออกมาจากสิ่งเฟ้อมากเกินทั้ง static อาจารย์มั่นก็ต้องออกมา ไม่อย่างนั้นก็ต้องจมดิ่งไปเรื่อยๆจมลงสู่ความหลง ในคุหัฏฐกสุตตนิทเทส

กายวิเวก ก็เอาร่างกายออกไปสู่ป่ามันก็ยิ่งผิด กายเข้าใจเป็นวัตถุดินน้ำไฟลมไม่เข้าไปหาจิต แต่คนก็หลงผิดว่าคุณไปกับจิต ไม่ใช่ ท่านบอกให้ กาย ออกจากกายหรือทำกายให้ดับ แต่คุณไม่ได้ปฏิบัติ กาย

สื่อธรรมะพ่อครู(กาย) กายนี้ต้องมีกามเป็นเบื้องต้น

กายนี้ จะต้องมีคำว่า กาม คุณก็ไม่รู้จักกาม เพราะคุณไม่มาปฏิบัติกายภาพนอก หลับตาไม่มีผัสสะ ตา หู จมูก ลิ้น กายภายนอก ไม่เอาอ่าวเลย ก็ไม่ได้รู้จักกามไม่ได้ละจากกามสงัดจากกามเป็นเบื้องต้น คุณไม่ได้เอาออกเลย

คุณจะปอกเปลือก เอาข้างในแต่ไม่ได้สลายเปลือกนอกที่แข็ง ก็ไปหลงทำภายในก็หลงไปตลอดกาลนาน แต่ถ้าปอกทีละชั้น เป็นลำดับเหมือนฝั่งทะเลเมื่อนั้นคุณสะอาดหมดจด ครบ

แต่ถ้าคนไม่ปอกเปลือกนอกออก กามเปลือกนอกไม่ได้เรียนคุณไปจมอยู่ภายใน เพราะฉะนั้นมหาบัว จึงเคี้ยวหมากอยู่ไม่ขาดปาก ไม่รู้ว่าติดในรูปในรสในกลิ่นในเสียงในสัมผัสของหมากในสิ่งเสพติดที่ผสมอยู่ในหมาก

อาตมาเคยลองกินพลูกับปูน มันยันเสียไม่มี ไม่เอาอีกแล้ว

เอายาฉุนมามวนๆใส่ปากมันแสบรสยาฉุน อาตมาเคยลอง เคนเห็นจับกังจะมวนไว้ในปากตุ่ยไว้ เขาไม่ติดหมากนะแต่ติดยาฉุน

สู่แดนธรรมว่า..ที่ว่ามา เราต้องไปลองกับผัสสะไหม

พ่อครูว่า...ลองหมากลองพลูก็ได้บุหรี่ก็ได้ แต่ติดมาอย่าว่าอาตมานะ หากไม่แน่จริงๆแล้วอย่าไปลอง คุณต้องแน่จริงจริงๆจริงๆจริงๆจริงๆ เช็คก่อน ทำปัจจุบัน 36 สั่งสมลงเป็นอดีต 36 ให้มีสองหน่วยใน 3 อย่างแข็งแรงดังที่สุด อนาคตอีก 36 จะมาอีกเท่าไหร่ 72 นี้ฆ่าได้ อนาคต 36 มาเท่าไหร่ คุณแน่ใจ 72 นี้คุณได้เปรียบแน่นอน

ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ สัมมาทิฏฐิถึงเมื่อไหร่ก็จบ ไม่ต้องลองก็จบได้ แต่คุณไปลองแล้วคุณเองเสี่ยงอยู่ก็ช่วยไม่ได้นะจ๊ะ ตัวใครตัวมันนะจ๊ะ คุณไม่ต้องลอง ทำเข้าไปทำเข้าไปมันก็มีวันจบเองใช่ไหม ไม่ต้องลอง มาทำตามสูตร ตามทฤษฎีพระพุทธเจ้า ไปเดี่ยวๆไม่ต้องลอง ขาดให้เด็ด เด็ดให้ขาด ธรรมชาติมันจะมาหาคุณเอง คุณไม่ต้องห่วงหรอกไม่ต้องเรียกร้อง ธรรมชาติมันจะมาลองคุณเอง เมื่อนั้นน่ะดี แต่คุณไปหาลองเอง ตัวใครตัวมันอย่าหาว่าไม่ห้ามไม่บอก แต่ถ้าสัจจะแล้วมันจะมาลองเราเอง ไม่ต้องกลัว ในวิบากทั้งหมดนี่ มันห้ามไม่ได้ ห้ามมันไม่ได้ อจินไตยในระหว่างกรรมวิบาก

ซ้อนไปอีก มันยิ่งกว่าโลกจินตา คิดไม่ถึงหรอก โลกจินตาคือ ไม่ต้องเอามาคิดหรอก

เพราะฉะนั้นกรรมวิบากนี้ โลกจินตาไม่ทำแล้ว แต่กรรมวิบากก็ใช่ย่อยมันมากพอไม่ต้องไปคิดเพิ่มหรอก โลกจินตานี้อย่างกะเทยมันเพิ่มไปอีกจะห้ามมันไม่อยู่หรอก หรือพวกนักฟุ้งซ่านปรุงแต่งไปเรื่อยๆ เตะฟุตบอลธรรมดา แต่เดี๋ยวนี้มีฟุตซอลอีก อีกหน่อยมันก็มีในเครื่องอีก เตะกันอยู่ในเครื่องอีก มันเพ้อพกอีก เตะไปมันนะ เขามีเกมเตะบอลในนั้น แต่ลมๆแล้งๆ ไปเตะบอลจริง ฟุตบอลสนามใหญ่ฟุตซอลสนามเล็ก ก็อย่างนี้ จบ


เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 13:29:41 )

630212

รายละเอียด

 

630212_เทศน์ทวช.งานพุทธาภิเษก#44  บ้านราชฯ กายนี้คือวิญญาณ ตอน3

 

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1_esHWBIQTtSdpjmKSoAV7bCy-6OBGMn4Km2ZjqqqNKg/edit?usp=sharing                       

 

ดาวโหลดเสียงที่...  https://drive.google.com/open?id=1joyulOA_zwCdjOFA4p3IYXv2ZQKByrTE

 

พ่อครูว่า…วันนี้วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 ที่บวรราชธานีอโศก เป็นวันที่ 5 ของงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 44 โอ้โหอุ่นหนาฝาคั่งจริงๆข้างหน้าเต็มข้างหลังเต็ม ถ้ามีคนฟังธรรมะอย่างนี้เต็มๆทุกวันทุกวันอาตมาถึง 151 ปีแน่ๆ ใครอยากให้อาตมาถึง 151 ปีต้องมากันอย่างนี้ให้ได้เป็นประจำๆ ถ้าร่อยหรอลงๆ เหลือ 10 คน 5 คน สุดท้ายไม่มีใครฟังเลยแล้วจะไปเทศน์ทำไม อาตมาทุกวันนี้ไม่มีงานอื่นเลย ทุกวันนี้อาตมาวางงานต่างๆ มีแต่งานเทศน์ เขียน เอาธรรมะออกมา จากที่เราเองมีออกมาๆ เพราะฉะนั้นอยู่ที่ไหนใครมาพบใครมาหามาพบอ้าปาก มีแต่ธรรมะออกมาอย่างเดียว เรื่องงานบางทีบางครั้งเขาก็มาถามงานนั้นงานนี้ อาตมาก็แทบจะไม่ค่อยรู้เรื่องเลย มาถามก็ตอบไปตามปฏิภาณที่พอรู้

อายุ 90 นี้มันคงจะยังไงขนาดนี้ 86 ก็วางงานขนาดนี้ ถ้าอายุ 90 ก็คงจะวางมากกว่านี้ เหลือแต่งงานธรรมะอย่างเดียว ยิ่งธรรมะนี้ อาตมาก็ตรวจสอบ ทุกวันนี้พระไตรปิฎกเต็มโต๊ะ เปิดเล่มนั้นเล่มนี้เล่มนี้เล่มนั้นสุดยอดดี ธรรมะของพระพุทธเจ้าสุดยอด เล่มไหนก็น่าเอามาอธิบาย อาตมาก็เลยเยอะ ไม่รู้จะอธิบายอะไรดี มันน่าอธิบายทั้งนั้น

งานพุทธาภิเษกฯ อาตมาก็พยายามตั้งหัวข้อ หากไม่ตั้งหัวข้อก็จะออกไปโดยอัตโนมัติไปเพราะมันเป็นธรรมะได้หมดทุกเรื่อง เจออะไรก็ว่าไป เจอบักพิหล่า…(ทับทิม) จากสวนภูเขาว่าของคุณไม้ร่ม สีมันจัดดี

มีคนเป็นนักกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นานาสังวาส) ตอน สมานสังวาสอยู่กับนานาสังวาสกันได้

พวกเราเป็นนานาสังวาสแต่ก็สมานสังวาสกันได้ สังวาส แปลว่าการอยู่ร่วม โดยเฉพาะเรื่องวงการศาสนาพุทธธรรมก็หมายถึงการอยู่ร่วมกับคนที่มีแนวคิด ที่มันกำลังจะแยก แยกออกไป แตกต่างออกไปจนต่างกันเป็นนิกาย

ต่างกันถึงขั้นนิกายนี้หมายถึง ไม่ใช่กาย ไม่ใช่กายเดียวกันแล้ว เพราะฉะนั้นคำว่ากายนี้จึงมีความหมายที่มากที่สุดเลย เพราะฉะนั้นใครที่ทำนิกาย ทำให้เกิดนิกายขึ้นมา โดยเฉพาะพระภิกษุ เป็นฆราวาสก็เป็นบาปเป็นกรรมเหมือนกัน ทำให้เกิดนิกายทำให้เกิดกาย

กายของพระพุทธเจ้าคือธรรมกาย มีคุณธรรมทุกอย่างหมายถึงอย่างนี้ คนนี้ทำให้แตกต่าง ต่างไปจนกระทั่งแยกคนละเรื่องตรงกันข้ามกันเลย ดีไม่ดีเป็นปฏิปักษ์ต่อกันเลย แตกต่างกันจนเป็นปฏิปักษ์ต่อกันเลย อันนี้คนนี้ฝ่ายนี้เห็นอย่างนี้ว่าถูก ฝ่ายนี้เห็นอย่างเดียวกันนี้แต่บอกว่าไม่ถูก ขัดแย้งกันเลยอย่างนี้เป็นต้น ถึงเรียกว่ากาย มันแยกกันแล้วมันไม่เป็นกายเดียวกัน ไม่ใช่เป็นพุทธกายหรือธรรมกาย พระพุทธเจ้าบอกว่าท่านเป็นธรรมกายหรือพรหมกาย เพราะฉะนั้นใครทำการแตกอันนี้เป็นอนันตริยกรรม เป็นบาปตกนรกหมกไหม้นานมากเลย อนันตริยกรรม คือบาปมันมาก เพราะเป็นความผิดที่แรงร้าย

กับมนุษยชาติกับสังคม ก็มีธรรมะเป็นเครื่องผูกรวมกันไว้อยู่ร่วมกันไว้ มีความเห็นที่เป็นสามัญญตา แน่นอนมันต้องแตกต่างกันบ้าง แต่มันก็เป็นสามัญญตา หมายความว่ามันอยู่กันอย่างเสมอสมานกัน โสดาบันเสมอโสดาบัน อนาคามีเสมออนาคามี อรหันต์เสมออรหันต์ ฐานพระโสดาบันแม้จะต่างกันก็เสมอสมานกันไม่แตกแยกเป็นนิกาย

อาจจะมีที่มันห้ามไม่ได้ก็คือมันต่างกันเรียกว่านานา มันแตกต่างกัน แต่ไม่ได้แตกต่างกันมันก็ยังอยู่ร่วมกันได้เรียกว่ามีสิ่งที่ต่อเชื่อมสมานอยู่ได้ มันแตกต่างกันเรียกว่านานาสังวาสอยู่ร่วมกันแท้ๆ

สังวาสเดียวกันก็คือสมานสังวาส นานาสังวาสก็แตกต่างกัน สุดท้ายที่เลวร้ายที่สุดก็คืออสังวาส อยู่ร่วมกันไม่ได้เลย นิกายนี้ทำนิกาย 2 อย่างให้แตกต่างกัน อันนั้นก็อยู่กับอันโน้นอันนี้ก็อยู่กับอันนี้ แต่อสังวาสนี้ ไม่ถือว่าเป็นคนที่อยู่ร่วมในโลก ตายจากศาสนาพุทธไป 1 ชาติ อสังวาสคือ ปาราชิก

อ่านบทกวี สมานสังวาสอยู่กับนานาสังวาสกันได้

 

แม้แต่คนชั่วเราก็ช่วยรับใช้เขาด้วยการด่า ตำหนิแรงๆก็ด่า นัยของภาษาเป็นอย่างนั้นไม่ได้ไปทำเรื่องเลวร้ายอะไร ดุแรงๆด่าแรงๆ โดนทุจริตโดนความชั่วอกุศลของใคร ถ้าสังคมมันมีคนชั่วคนผิดเป็นคนทุจริตอกุศลมาก พูดความจริงออกไปกระทบ มันพูดเบาๆก็แรง เพราะมันเยอะมันกระแทก ทีนี้พูดแรงก็กระทบแรงกระแทกให้หลุดได้ง่ายขึ้น ทุกวันนี้ทำไมอาตมาพูดแรง ตอบได้ไหม?...อาตมากำลังดี

 

สื่อธรรมะพ่อครู(กาย) ตอน กายนี้คือวิญญาณ

ทำไมอาตมาต้องตั้งชื่อชื่อนี้ เพราะทุกวันนี้ศาสนาพุทธเขาไม่รู้เรื่องแล้วว่า กาย คือวิญญาณ ทุกวันนี้ส่วนใหญ่เลยแม้แต่จะเป็นปุโรหิตทางศาสนาอยู่ก็ตาม เขาก็ยังไม่สำคัญมั่นหมายว่ากายนี้คือวิญญาณ พระพุทธเจ้าถึงมาเน้นว่า กายนี้เราเรียกว่าจิต มโน วิญญาณ​ ต้องกลับไปอย่างนั้นเตือนให้คนเข้าใจให้ชัดเจน เพราะถ้าไม่เข้าใจว่ากายนี้คือวิญญาณ มันก็จะออกนอกเรื่อง

เริ่มต้นความรู้บทแรกสังโยชน์ข้อที่ 1 สักกายทิฐิ เริ่มต้นความรู้จะเป็นฆราวาสหรือนักบวชโดยเฉพาะก็ตาม ต้องเริ่มต้นด้วยจุดนี้ จุด กาย แล้วกายไม่ต้องไปวุ่นวายของคนอื่น วุ่นที่สักกะ สักกะ แปลว่าตัวเรา ต้องวุ่นที่กายของเรา ต้องแยกกายแยกจิตให้ออก เพราะกายนี้มุ่งหมายเอาวิญญาณ แต่กายนี้ก็ต้องมีภายนอก นี่มันสลับซับซ้อนอยู่ในความหมายของคำว่า กายนี้ ยิ่งใหญ่มาก ต้องเรียนรู้

เมื่อเริ่มมาตั้งใจศึกษาศาสนาพุทธ มาสมัครเป็นภิกษุ มาขอเป็นผู้ตั้งใจจะไปนิพพาน จะมาบวช   มาบวชนี่ไปนิพพานทั้งนั้น แต่ทุกวันนี้มาบวชสร้างอาชีพ มาหลบทำอาชีพหากิน พวกบาปกินหัว พูดให้สั้นให้ชัด อาตมาไม่พูดยาว ด่าสั้นๆ แต่สั้นๆมากสั้น สั้นแต่เยอะมาก ด่าต่อเนื่อง ยิ่งกว่าวินาทีต่อวินาที แต่สั้นนะ ลัดคัดสั้น

เพราะฉะนั้นกายนี้คือวิญญาณ

ถ้าเราแยกกายแยกจิตไม่ออก รู้ความเป็นกายไม่ชัด จบ โมฆะในศาสนาพุทธ คุณจะปฏิบัติอย่างไรก็ไม่มีผลอะไร คุณก็ปฏิบัติธรรม เหมือนกับชาวโลก ศาสนาไหนเขาก็สอนให้บรรลุความดี ให้เราเจริญให้มีพฤติกรรมดีขึ้นมา อย่าชั่ว ตามกำหนดสมมติของสังคมกลุ่มนี้ประเทศนี้จะถือว่าอย่างนี้ดี สังคมกลุ่มนี้ถือว่าอย่างนี้ดี แตกต่างกันคนละขั้วเลยก็ได้ เช่นสังคมกลุ่มอโศกถือว่า มาจน ดี ไปรวยไม่ดี ถืออย่างนี้เห็นอย่างนี้จริงๆ เอาแต่แค่จนกับรวยเป็นเรื่อง 2 เรื่อง กายก็คือ 2 แยกเป็นรูปกับนาม

กาย เป็นภาษาที่ขยายความจาก เทวะ

เทวะ แปลว่า 2 แล้ว เขาก็เข้าใจด้วยปริยายโดยอัตโนมัติโดยสัญชาตญาณ ว่าเทวะ2ว่าหมายถึงตัวดี ตัวดีหมายถึงตัวเทวดา เทวะ คือตัวที่สุขสบาย ตัวที่ไม่ทุกข์ ตัวที่สูงที่เจริญ เทวะใหญ่ที่สุดรู้ที่สุดประเสริฐที่สุดคือยอดของเทวดาเรียกว่าพระเจ้า เป็นเจ้าของความรู้ความเจริญทั้งหมดสุดยอดของจิตวิญญาณแล้ว คือ เทวะ ภาษาอังกฤษเรียกว่า GOD คือสุดยอดของเทวะ ก็ศึกษาตัวนี้ ใน 2 นี่แหละ

เทวนิยม เขาแยก 2 ไม่ออก ตายเด๊ะอยู่ที่นั่น จิตวิญญาณอยู่ที่ไหนอยู่ที่เทวะ   เทวะคืออะไร มีผู้รู้เกิดขึ้นมาในศาสนาเทวนิยม แล้วก็เอามาประกาศความรู้ขึ้นมา แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้จักตัวเอง ประกาศความรู้ออกมาแล้วบอกว่านี่คือของพระเจ้าเป็นความรู้ของพระเจ้า ที่แท้ก็คือความรู้สึกของคนคนนั้นเอง ของศาสดาของศาสนาแต่ละศาสนา คือความเป็นหนึ่งของความรู้ ความรู้สุดยอดเขารวบยอดของผู้นั้นที่เอามาประกาศ แต่ผู้ประกาศนั้นไม่มีความรู้ในอัตตาไม่มีความรู้ในตัวเองไม่แน่ใจว่าเราจะรู้ขนาดนี้เชียวหรือ แค่นี้มันบอกเลยว่าคนไม่มีความรู้แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีความรู้อันนั้น ไม่มั่นใจว่าเป็นความรู้ของตัวเอง ก็เอาไปฝากไว้ที่สุดยอดแห่งความรู้ คือพระเจ้า เป็นผู้ประทานให้มาประกาศ เป็นประกาศก เป็นผู้ประกาศความรู้สุดยอดนี้ให้แก่มนุษยชาตินี่คือความไม่แน่ใจ ความไม่รู้สุด ความไม่รู้จบความไม่รู้ยอดในความเป็นมนุษย์

ความรู้สูงสุดที่มนุษย์จะรู้ได้คืออันนี้ แต่ไม่แน่ใจก็เลยฝากไว้ที่พระเจ้า ผิดถูกอยู่ที่พระเจ้านะอย่ามาโทษฉัน บอกว่าพระเจ้าสอนอย่างนี้ แล้วบอกว่าอย่าไปแย้งกับพระเจ้านะ แล้วใครล่ะเป็นคนชี้ถูกชี้ผิด ก็ฉัน พระศาสดา นี่มันซ้อนๆๆในนี้ แต่ของพระพุทธเจ้าไม่โทษใคร โทษเรา ผิดถูกอยู่ที่เรา แต่ท่านก็ยืนยันว่าท่านถูกที่สุดรู้ที่สุด ใครก็ไม่รู้เกินท่าน เกิดมาเป็นคนถ้าถึงขั้นได้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นอย่างอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ ระดับไหนก็พอรู้ตัวบอกไปแล้วระดับ 7 อาตมาก็มีความรู้เท่านี้ แล้วพยายามจะทำความรู้นั้นให้เท่ากับพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งจบสูงสุดอาตมาก็จะไปรู้ขนาดนั้นให้ได้ พากเพียรไปไม่ได้หลงตัว แล้วก็รู้ที่จบ! จบอยู่ที่พระพุทธเจ้าแต่ตอนนี้ยังไม่จบ แต่ขนาดที่ยังไม่จบนี้ก็ช่วยคนได้

มีความรู้ความหมายที่เป็นสัทธรรมที่เอามาให้คนศึกษาปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วได้ผล ศาสนาพุทธแน่นอนสอนเรื่องความดีความชั่ว ตามสมมุติสัจจะ ดีชั่วเป็นสมมติสัจจะ   แต่ดีกว่านั้นคือสอนเรื่องความสุขความทุกข์ สุขทุกข์นี้แหละเป็นนิพพาน ผู้ยังติดสุขอยู่คือพวกเทวนิยม สุขนิยม ไม่รู้จักทุกข์ไม่เรียนรู้ทุกข์ ไม่เรียนรู้ซาตานไม่รู้เหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์ แล้วรู้ให้ชัด ทุกข์คืออะไร ทุกข์คือ ความไม่สบาย ความทนไม่ได้ สิ่งที่ทนได้ยาก ต้องเรียนรู้ให้ได้ว่ามันคืออะไรกัน  ทำไมคนรังเกียจมัน รังเกียจจนไม่ยุ่งกับมันเลย เทวนิยมไม่ยุ่งกับมันเลย แต่ความทุกข์ไม่หนีจากคุณ แต่คุณไม่รู้จัดการมันจนรู้ให้ชัดเลย แล้วจัดการได้ให้หมดความทุกข์ หมดทุกข์สุขก็หมดไป นี่คือสุดยอดปรมัตถ์สัจจะของศาสนาพุทธหมดความทุกข์หมดความสุข อทุกขมสุข สูงกว่าอทุกขมสุข คือ อุเบกขา

อุเบกขาคือความจบของศาสนาพุทธ หมดสุขหมดทุกข์หมดเทวะหมดความเป็นคู่ชัดเจนในความเป็นกายเป็นภาวะ 2 ทำไมจะต้องเหลือ 2 ยังไงจะต้องเหลือ 2 ทำไมต้องเป็นเช่นนั้น เพราะคนจมอยู่ใน ชีวะของคนที่มาเกิดเป็นสัตว์เรียกว่าคนก็ตามสัตว์ก็ตาม ที่อยู่ในตระกูลจิตนิยาม มีจิตครองมีวิญญาณครองเป็น 2 เรียกว่ากาย กายนี้คือวิญญาณ

จิตที่มีจิตครองวิญญาณครอง ทำกรรมแล้วเป็นอันทำ ทำกรรมแล้วเป็นวิบากสั่งสม พืชยังไม่มีจิตวิญญาณครอง ทำกรรม มันทำเป็นตัวมัน มันไม่เกี่ยวกับอันอื่นไม่มีเจตนาไม่เป็นกรรม เจตนาของพืชมันไม่มีเจตนาไปเกี่ยวกับใคร มันไม่มีความรู้อะไรออกนอกตัวหรือออกไป จะไปแขวะคนอื่นทำร้ายคนอื่นมันไม่มี มันจึงไม่มีกรรมวิบาก จะเรียกมันว่ามันมีความรู้สึกก็ไม่ได้  มันไม่ใช่เวทนา มันก็รู้ในตัวของมัน บักพิหล่ารู้ในตัวของมันเอง บักเหล่น ก็รู้ในตัวของมันเอง บักโม บักกล้วยก็รู้ในตัวของมันเอง

ในประดาที่ตกแต่งเวทีตกแต่งโต๊ะ ของเรานี่การตกแต่ง บนโต๊ะที่ออกมา ของที่อื่นก็เอาดอกไม้ใส่พาน ใส่แจกันเอามากองเป็นรูปร่างนั้นนี้ ของเรา อวดว่ามีมากอย่างเดียวเอาอะไรมากอง เรียงเข้าไป จัดมุมเหลี่ยมไม่ให้มันตกโต๊ะก็เอาแล้ว ใช้ได้ ไม่ซ้ำกันสักวันเลย แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์จริงๆ  บนโต๊ะนี่เป็นการโชว์เล็ก ๆน้อยๆนะ ข้างล่างมีเยอะกว่า กล้วยทั้งเครือบวบงูยาวเป็นวา หอม กระเทียม ตะไคร้ ข่า มีสารพัดเป็นของที่เรากินเราใช้สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญของชีวิต อาหารเป็นที่หนึ่งในโลก

นิมนต์จิบน้ำ

งานนี้เป็นงานพุทธาภิเษกครั้งที่ ฉี่ฉิบฉี่

อาตมาทำไมทำเสียงแสลง ครั้งที่ ฉี่ฉิบฉี่ เพราะว่าประเทศไทยมีมาตรา 44 เป็นดาบอาญาสิทธิ์ที่รัฐบาลต้องใช้ เรียกในภาษาเวลาจะเผาศพ มีไม้ชนิดหนึ่งอีสานเรียกว่าไม้กุมเหง

ตอนเผาบนกองฟอนจะมีไม้ยาวมีน้ำหนักพอสมควรเอามาพาดศพไว้ เพื่อกันไม่ให้ศพกระเด็นหล่นจากกองฟอน ธรรมดาจะเป็นไม้สดเสมอมันจะได้ไม่ไหม้ขาดไว แล้วมันจะมีน้ำหนัก กดศพไว้ เขาเรียกไม้กุมเหง ภาคกลางไม่รู้มีหรือไม่ (โยมว่าเรียกไม้กุมเหงเหมือนกัน)

 

คำว่า กายคำนี้ อาตมาได้พยายามขยายความ สำคัญของกาย

นัยแรก หากเข้าใจการแยกกายแยกจิตไม่ได้มาบวชให้ตายอย่างไรก็ไม่ได้อรหันต์ มาบวชแล้วไม่แยกกายแยกจิตยังไม่สัมมาทิฏฐิไม่มีสิทธิ์เป็นพระอรหันต์ ไม่มีเลย แล้วทุกวันนี้อธิบายกันก็ไม่ค่อยออก แยกไม่ค่อยถูก แยกไม่ค่อยได้

คำว่า กาย คำนี้ที่อาตมาอธิบายสู่ฟัง คิดว่าอธิบายในทุกมุมของมิติกาย แต่มันก็มีรายละเอียดลึกซึ้งซับซ้อนไม่รู้กี่ชั้นแต่ละชั้น เป็นความสำคัญ

เพราะฉะนั้นจุดแรก สังโยชน์ข้อแรกต้องรู้จักการต้องรู้เรื่องมุมของกายของตนคือสักกายะ ต้องศึกษาความรู้ความเห็นทฤษฎีหรือทิฏฐิ เรียนกายให้ได้ อ่านกายตัวเองให้ได้ แยกกายตัวเองให้ออก ความเข้าใจผิดแล้วก็เอามาสอนกันผิดๆ แยกกายแยกจิตทางพระที่เขาว่าเป็นพระปฏิบัตินั่งหลับตาปฏิบัติอธิบายการแยกกายแยกจิตคือไปนั่งหลับตา แล้วก็แยกให้ออก กายคือร่าง จิตคือนามธรรมคือวิญญาณ

แยกกายแยกจิตคือถอดวิญญาณออกจากร่าง จิต ไม่รู้ว่าอันไหนเป็นอันไหน จิตจะอยู่กับที่ แต่กายจะออกไป จิตจะอยู่กับร่างกายเรียกว่ากายทิพย์ ถอดออกไปแล้วเขาก็จะเห็นตัวเองนั่งอยู่ เห็นตัวเองนั่งสมาธิอยู่ แล้วเขาก็เห็นว่านี่คือการแยกกายแยกจิตออกได้สำเร็จ เป็นสุดยอดปาฏิหาริย์ พระที่เก่งที่สุดพระกรรมฐานพระป่า พระที่ปฏิบัติพระที่นับถือยกย่องกันนี่แหละคือพระที่แยกกายแยกจิตได้ เข้าใจอย่างนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิไปเลย เห็นไหม ใครเคยได้ยินอย่างที่อาตมาว่าบ้าง อย่างนี้จริงๆ ไม่ได้ไปหาความหาเรื่องเขา เขาสอนกันอย่างนี้จริงๆก็บอกว่าเก่งยอดเยี่ยมถูก ยิ่งเข้าใจว่ามันถูกยิ่งเข้าใจว่ามันเก่งก็ยิ่งฉิบหายเลยศาสนาพุทธเพราะมันผิดไปไกลๆเลย ไกลแสนไกลจากวิเวก ติดข้องอยู่ในถ้ำ ไม่มีวันหลุดออกมาเลย มีแต่จมสู่ความหลงสู่ความหลงหนักหน้าไปเรื่อยๆ อย่างที่เขาเป็นอย่างที่อาตมาว่า เอาคำพระพุทธเจ้าที่เขาแปลเป็นไทยจากพระไตรปิฎกมาว่าเขาเลย เขาจะสะดุ้งสะเทือนบ้างไหม เขาจะรู้จัก เขาจะวาบๆไหม ว่านี่ด่ากูด่าถูกเหลือเกิน เขาก็คงไม่รู้ไม่ฟัง หาว่าเราเป็นพวกปากหอยปากปู จริงๆแล้วอาตมาไม่ได้ด่าแต่ตำหนิเตือนให้รู้ตัว เขาจะไม่เข้าใจว่าอาตมานั้นสอนเขาบอกเขา เขาก็จะเข้าใจว่าด่าแต่กู ลึกๆเขารู้นะ เพราะเราไปพูดไปนี้ถูกทุกอย่าง เขาเป็นอย่างที่อาตมาพูด แต่อัตตามันโง่ก็ถูกด่าแล้วไม่ตรวจความจริง ไปยึดความไม่ถูกต้องว่าเป็นความจริงไปยึดความไม่ถูกว่าถูก

หากว่าลองพิจารณาสิ่งที่อาตมาพูด ก็จะรู้ว่าตัวเองงมงายนั่งหลับตาออกป่าเขาถ้ำอยู่นั่นแหละ ในคุหัฏฐกสุตตนิทเทส เริ่มต้นคำว่ากายวิเวกก็เอาร่างกายทั้งร่างออกไปสู่ป่า

กายวิเวกเขาเอาตัวตนทั้งร่างออกเคลื่อนย้ายไปจากความวุ่นวายของสังคม มันก็มีความหมายที่เข้าใจได้เหมือนกัน ก็จับร่างกายออกไป ห่างสังคมที่วุ่นวายไปอยู่กับเสือสิงห์กระทิงแรดงูเงี้ยวเขี้ยวขอ ก็ถือว่านี่ทำกายสงัดแล้ว? ไม่ใช่

กายสงัด คุณจะต้องสำคัญคำว่ากายนี้ ข้างนอก กายนี้สัมผัส สัมผัสแล้วคุณจะเกิดอาการที่เรียกว่า กาม กิเลสทางภายนอก เรียกว่าภพภายนอก เรียกว่า กามภพ

กามภพคือ ตา หู จมูก ลิ้น กายภายนอก ที่มันสัมผัสกับภายนอกแล้วก็เกิดกิเลส กิเลสตัวนั้นเรียกว่า กามกิเลส หรือจะเรียกว่ากามตัณหาก็ได้ ต้องรู้สภาวะกาม มันใคร่อยาก ใคร่อยากได้อยากมีอยากเป็นต่างๆนานา สัตว์โลกมันไม่ค่อยหลงใหลเหมือนมนุษย์ แต่เป็นคนนี่ ทุกวันนี้ยุคนี้สำคัญมั่นหมายกันเหลือเกินกับธนบัตร แล้วก็มีเพชรทองตะกั่ว กระดาษชำระ
          แค่กระดาษชำระ ถ้าชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย สำคัญมั่นหมายมากเลย ที่แท้ก็คือกระดาษชำระ คนไทยนี่เก่งตั้งภาษากระดาษชำระ เป็นความหมายที่หมายเหมือนได้ถูกดี เรียกไฟฟ้า เป็นต้น เป็นไฟที่ฟ้าประทานมา มันไม่เห็นตัวตนแต่เอามาใช้แรง คนก็เก่งใช้ไฟฟ้า กำหนดได้ด้วยว่าใช้กี่โวลท์คนนี่เก่งนะ

 

พระพุทธเจ้าสอนเรื่องซ้อนอยู่ในปุตตมังสสูตร

อาหารข้อแรก เรียกว่าเนื้อบุตรเอามาเป็นชื่อสูตร เรียนรู้แค่ 4 อาหารปฏิบัติธรรมคุณบรรลุอรหันต์ได้เข้าใจอาหาร 4 ให้ดีๆ โดยรู้กายของอาหารการกิน โภชนะหรือกวฬิงการาหาร คือ อาหารที่เรากินเรา โภชนะ กว้างกว่ากวฬิงการาหาร คือคำข้าวกินข้าวไปเลี้ยงขันธ์ แต่โภชนะ หมายถึงของกินของใช้ทุกอย่าง แต่คนเรียนกันแค่ของกินเท่านั้น ก็ไปไหนมาไหนไม่รอด โภชนะเน้นแค่ของกิน ไม่ไปหาของใช้เสียที ซึ่งอยู่ในหลัก จรณะ 15 ของโภชเนมัตตัญญุตาเป็นข้อสำคัญของหลักปฏิบัติที่ไม่ผิด 3 อย่าง

ศาสนาพุทธ ข้อที่ปฏิบัติไม่ผิดมาในจรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งเป็นพุทธคุณของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ต้องมีพุทธคุณของพระพุทธเจ้า ต้องมีพุทธคุณ 9

ข้อ 1 ในพุทธคุณคือ จรณะ 15 วิชชา 8 ถ้าหากคุณไม่รู้หรือรู้ผิดโดยเฉพาะตีไปที่ว่าคุณสำรวมอินทรีย์หรือเปล่า หากคุณไม่ได้สำรวมอินทรีย์ก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธ แล้วสำรวมอินทรีย์คืออย่างไร คือการสำรวมตาหูจมูกลิ้นกายใจ ต้องมีใจเป็นตัวกลางแล้วรู้ทางทวารทั้ง 5 ตลอดเวลาในการปฏิบัติมีผัสสะเป็นปัจจัย แล้วก็จะเกิดเจตนาคุณก็จะต้องแยกแยะได้ว่าในเจตนานั้นหรือวิญญาณนั้นเจตนามันเป็นเจตนาอย่างไร

เจตนาก็มีสาม กามตัณหา ก็ล้างกามตัณหา หมดแล้วก็เหลือ ภวตัณหาคือรูป ก็ล้างรูป หมดรูปก็ล้างอรูปจนหมดก็หมดภพ 3 คือกาม รูป อรูป ก็เหลือวิภวตัณหา ก็ยังเหลือความอยากความต้องการความประสงค์แต่เป็นความประสงค์ที่ไม่มีภพชาติแล้ว   เป็นความรู้ที่สุดยอด อย่างอาตมาปรารถนา อาตมาเอาสภาวะมาอธิบาย คนที่ไม่มีสภาวะได้แต่ภาษาก็แปลกลับไปกลับมาว่าวิภวตัณหาคือตัณหาที่ไม่มีกามไม่มีภพ แล้วคืออะไรก็ไม่รู้

ก็ต้องมาเรียนรู้ กาม คือ ภพแรกภพกาม หากคุณฉันทะในกาม ก็คือผู้ที่กินเนื้อบุตร ยกตัวอย่างเหมือนมหาบัว ไม่ได้เรียนรู้เรื่องอาหารเลย หลงกินเนื้อบุตร เคี้ยวหมากกินเนื้อบุตรปากเปียกปากแฉะ นั่นคือกามฉันทะของมหาบัว ติดไม่ขาดปากเลย แล้วก็ไปหลงผิดกันว่าเป็นพระอรหันต์ ขออภัยท่านผู้ที่ไปนับถือมหาบัวเป็นครูอาจารย์ แล้วไปหลงผิดว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ขอจริงๆ ขออภัย อาตมาไม่ได้ละลาบละล้วงไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไร อาตมาสงสารมหาบัวเพราะหลงตัวเองว่าตายชาตินี้จะไม่เกิดอีกแล้วซึ่งไม่ใช่ มหาบัวจากตายจากชาตินี้แล้วจะไปจมอยู่ในนรกจนมหาบัวไม่รู้ตัว แล้วต้องมาเกิดอีก อีกนานมากเพราะว่าจมดิ่งเข้าไปในความหลงสนิท ตัวเองมาสร้างนรก มาหลอกคนมาทำลายศาสนาพุทธให้พุทธศาสนิกชนเข้าใจผิดไปไกลแสนไกลจากวิเวก แล้วทำให้คนหลงเชื่อ เชื่อว่ามหาบัวเป็นผู้สอนนั้นถูก แล้วมันซวยไหม ขนาดนี้ซวยขนาดที่แก้ไม่ตกด้วย อาตมาพูดสภาวะที่สุดลึกซึ้งไม่ได้ไปด่าเขาไม่ได้ไปว่าเขา แต่อธิบายสัจธรรมให้เห็น มันผิดปานนี้ อาตมาพูดไม่เต็มด้วยซ้ำไปจริงๆมันต้องยิ่งกว่า

มหาบัว ไม่รู้แม้ กามภพ รูปภพ อรูปภพ หลงอรูปภพ ข้าเก่งข้าหาเงินเข้าคงคลังประเทศมากที่สุดในโลกมากที่สุดกว่าใครๆหลงตัวตนยึดในมานะอัตตา จนประมาท อุปกิเลส 16 มีอยู่เต็มตัวเลย ขออภัยที่เอาวิชาการพระพุทธเจ้ามาใส่ ไม่รู้มายา สาเฐยยะ เป็นเรื่องอวดตัว สาเฐยจิต มักขะปลาสะ ตีตนข่มท่านเสมอ ท่าน อิสสา มัจฉริยะ นึกว่าตัวเก่ง

อิจฉา แปลว่าความต้องการกลางๆ แต่อิสสา แปลว่าความริษยาคือความไม่ต้องการให้ผู้อื่นได้ดี ขออภัยไม่ใช่ขี้ตู่ มหาบัวมีครบ ไปจนสุดท้ายปมาทะ เป็นผู้ประมาทที่สุด ไม่ประมาทได้อย่างไร ก็ยืนยันว่าตัวเองเป็นอะไร ตายแล้วจะไม่เกิดอีก พูดอย่างนี้เลยว่าตัวเองเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแล้วชัดเจนหมดเลย ไปนั่งหลับตาแล้วบรรลุในวันที่นั้นเดือนนั้นเวลานั้น จำในสิ่งที่ผิดผนึกเข้าไปในอนุสัย นึกว่าตัวเองสำคัญมั่นหมายว่าทุกอย่างที่ทำนี้ดีแล้ว กลายเป็นปักใจปักมั่นในสิ่งที่ผิดแล้วยึดไว้ สำคัญมั่นหมายผิดใส่อนุสัยตัวเองไป อีกนาน แล้วจะลงผิดไปอีกนานไม่รู้กี่ชาติออกกี่ชาตินับชาติไม่ถ้วนเลย ที่บอกว่าจะไม่เกิดอีกนั้น มหาบัว จะต้องเกิดในนรกเยอะกว่าสวรรค์ ชาตินี้ก็มาหลอกมนุษย์เป็นอนันตริยกรรมเป็นบาปเยอะมาก ขออภัยที่เอาสภาวะมาพูด มหาบัวจึงกลายเป็นตัวอย่างเป็น specimenให้อาตมายืนยัน ต้องขออภัยและขอบคุณ ให้เอามาสาธยายให้รู้ว่าผิด ผิดตรงไหนผิดแบบไหนจะได้เข้าใจลึกซึ้ง

 

กาย ที่ พระพุทธเจ้าสอนในสังโยชน์ข้อแรก ก็ต้องอ่านตัวเราแล้วแยกกายแยกจิตตัวเรา เรียนรู้ความเป็นกายเป็นจิตของตัวเรา ถ้าคุณเข้าใจแยกกายแยกจิตให้ออกว่า กายนี้ อาการอย่างไร ความรู้เป็นตัวจริงคือเวทนา ตัวอาการรู้สึก ก็ต้องมีสภาพนั้นเรียกว่า รูป คือ สิ่งที่ถูกรู้ เรียกว่ารูป

รู้ตัวแรกคือเวทนา เป็นตัวฐานที่สำคัญ แล้วเจตสิกที่จะใช้กำหนดรู้คือสัญญา สัญญากำหนดรู้เวทนา แล้วก็เรียนรู้เวทนาแยกเวทนาออก จาก 2 เป็น 3 เป็น 4 เป็น 5 เป็น 6 ไปจนกระทั่งแยกได้ละเอียดพระพุทธเจ้า แจกไว้ถึง 108

ประเด็นสำคัญที่สุดที่จะต้องแยกให้ได้คือ เคหสิตะ เรียกว่ามโนปวิจาร หรือพฤติหรืออาการของจิต อย่างนี้เรียกเคหสิตะ แล้วก็ต้องเข้าใจ เรียนรู้เนกขัมมะ คือ ผู้ที่จะมาเรียนออกจากความเป็นเคหสิตะ เรียกว่าเนกขัมมะ ออกจากโลกเก่าโลกโลกีย์ที่คนเขาติดยึด หลุดออกมาเรียกว่าเนกขัมมะ ออกมา จาก  เคหสิตะ 18 ความหมาย

 

ตั้งแต่แยกกายแยกจิต แยก กายยิกเวทนากับเจตสิกเวทนา แยกเป็น 2 คือ เกี่ยวกับภายนอก เจตสิก เกี่ยวกับภายใน

แล้วก็มาเรียนรู้ความสุขความทุกข์ แล้วก็มีความไม่สุขไม่ทุกข์ที่มันแทรกอยู่ จึงเป็น 3

ไม่สุข ไม่ทุกข์มันเป็นธรรมชาติ เป็นฆราวาสไม่เรียนรู้เรื่องเหล่านี้ก็ยังมีเวลาที่ไม่สุขไม่ทุกข์ไม่ได้เสวยอารมณ์สุขไม่ได้เสวยอารมณ์ทุกข์อยู่เฉยๆ แบบบื้อๆแบบธรรมชาติแบบสัญชาตญาณมันก็มี ก็ต้องเรียนรู้ให้ได้ว่าไม่สุขไม่ทุกข์แบบทั่วไปที่คนธรรมดาเขาเป็นกัน อยู่วนเวียนกับความรู้สึกเวทนา 3 สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ คุณก็จะต้องเรียนรู้แล้วก็ต้องเลิก แม้ที่สุดคุณไม่สุขไม่ทุกข์แล้วอทุกขมสุขแล้วคุณก็ต้องเลิกอีก เลิกจากอทุกขมสุขให้เป็นอุเบกขา

คำว่าอุเบกขานี้เป็นพยัญชนะที่สูงกว่าไม่สุขไม่ทุกข์ แต่เขาใช้เป็นคำไวพจน์เป็น synonym ใช้คำแทนกันได้ ก็มันใกล้เคียงกันแต่มันมีนัยยะสำคัญที่ลึกซึ้งกว่ากัน

ท่านแตก สุข ทุกข์ อุเบกขา แล้วแตกสภาวะอุเบกขาเป็น 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นฐานนิพพานนะ

เคหสิตะอุเบกขา ก็เป็นความว่างที่ธรรมดาธรรมชาติ เขามีการเจตนาทำให้เกิดอุเบกขาเป็นเคหะสิตะอุเบกขาได้ โดยการกดข่มโดยการนั่งสมาธิ ด้วยการรู้นิ่งเฉย เป็นสมถะแบบลืมตา รู้นิ่งเฉย อย่าปรุงแต่งกับอะไรให้เฉยๆ ก็ไม่ประสีประสาอะไรไม่รู้ว่ามันยึดถืออะไร เขาให้ปฏิบัติสภาวะให้ตามภาษานี้ได้ก็ถือว่าบรรลุ ส่วนอีกพวกนั่งสมาธิเฉยๆยิ้มไป ก็เป็นความรู้สามารถตื้นๆ อย่างอาฬารที่ดาบส อุทกดาบสเรียนรู้อย่างนี้กันมา เป็นพื้นฐานความรู้ของมนุษยชาติในโลก ไม่ได้แยก กาย แยกจิตอย่างปรมัตถ์โลกุตระ

การแยกกายแยกจิตของโลกุตระของปรมัตถ์ โลกุตระพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องลึกซึ้งซับซ้อนที่สุดหมุนรอบเชิงซ้อนที่สุด แล้วแยกออกได้จนกระทั่งทำให้จิต กาย แยกออกเป็นรูปนาม วิญญาณธาตุรู้ของเราในขันธ์ 5 เป็นธาตุรู้ที่มีทั้งรูปเวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณก็คือภาษาเรียกธาตุรู้ที่เป็นที่สุดรวม Concept ของใครความรู้องค์รวมของใครก็จะมารวมกันอยู่ที่วิญญาณ แล้ววิญญาณนี้ เราจะรู้ได้ไง ด้วยการสัมผัส ทางตาหูจมูกลิ้นกาย ถ้าไปเข้าใจว่าวิญญาณคือธาตุรู้รวมแล้วก็เป็นสัมภเวสี เป็นวิญญาณล่องลอยไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไอ้อย่างนั้น ถ้าไปเรียนรู้อย่างนั้นก็ออกนอกศาสนาพุทธ วิญญาณล่องลอยสัมภเวสีอย่าไปยุ่งกับมัน มันก็ล่องลอยไปตามวิบากของใครของมัน ของเขาไม่ใช่ของคุณ   หรือคุณยังอยู่ในนี้ ก็ให้วิญญาณล่องลอยไปที่อื่น ไม่ได้กำหนดหมายที่วิญญาณของตัวเอง ถ้าคุณสามารถกำหนดวิญญาณของตัวเอง ทำให้วิญญาณมันนิ่งก็ยิ่งไม่รู้เรื่องมันก็ยิ่งจมๆๆกดแน่ๆๆ ดักดานเข้าไปๆ วิธีนี้เป็นวิธีของเดียรถีย์คู่โลก

พระพุทธเจ้าออกบวชใหม่ๆเป็นลิงลมข้าวพอง อาจารย์ไหนที่ว่าเก่ง อาฬารดาบส อุทกดาบส ได้ชั้นที่ 7 ชั้นที่ 8 สูงสุด พระพุทธเจ้าไปลองแล้วก็ทำได้หมดแล้วก็เลิก โพธิรักษ์ก็หลงนั่งทำอยู่นานเพราะไม่มีใครบอก

นิมนต์จิบน้ำ

 

ชาวอโศก เป็นผู้ที่มาสืบทอดศาสนาพุทธ มาสาธยายขยายความ เอาของพระพุทธเจ้ามาขยาย มาประกาศไว้ ถ้าจะว่าก็คือ เป็นผู้ที่แทนตัวพระพุทธเจ้ามาประกาศ ถ้าจะว่าจริงๆแล้วอาตมาก็คือผู้ที่เป็น ประกาศกของพระพุทธเจ้า ตัวแท้ ยืนยัน พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 เป็นสยังอภิญญาผู้นั้นจริงๆ เป็นความรู้ของตัวเองที่เอามาประกาศ ประกาศโดยมั่นใจโดยไม่ได้เก้อเขินไม่ได้อยากอวดโอ่ แต่ยืนยันตัวเองว่าเป็นจริงอย่างนี้ ถ้าอาตมาอธิบาย แม้สัมมาทิฏฐิ 10 มันเป็นมิจฉาอย่างไรมันเป็นสัมมาอย่างไรแยกความแตกต่างแยกความหมายของมัน ทินนังยิฏฐังที่ถูกเป็นอย่างไร หุตัง ..ถ้าอาตมาอธิบายอย่างนี้ไม่ถูกอธิบายไม่ได้เอาไปปฏิบัติไม่ได้ ก็เป็นสยังอภิญญาเก๊ แต่อาตมามั่นใจว่าไม่เก๊ เป็นแต่เพียงอึดอัดใจอย่างเดียวที่อธิบายไม่เก่ง อธิบายไม่ละเอียดไม่ครบพอแต่ก็พอรู้ได้ใช่ไหม อยากให้มีสยังอภิญญาตัวพี่มาช่วยอธิบายหน่อย อยู่ไหน? แต่อาตมามีน้องชายที่เขาว่า เขาเป็นพระพุทธเจ้า แล้วบอกว่าอาตมาเป็นพระสารีบุตร เขาก็ว่าให้อาตมาทำงาน ตอนนี้เขาก็อยู่ที่เมืองกาญจน์ อายุอ่อนกว่าอาตมาปีหนึ่ง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาหาร 4) ตอน กินด้วยกามคือกินเนื้อบุตร

ปุตตมังสสูตร

ข้อสุดท้ายจะรู้จักวิญญาณ เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้วิญญาณาหารได้แล้วก็เป็นอันกำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เมื่ออริยสาวกมากำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เรากล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกจะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ

ให้เรียนรู้รูปนาม เรียนรู้วิญญาณผี

ในข้อที่ 1 หากตีไม่แตกแยกไม่ออกก็เหมือนกินเนื้อบุตรตัวเอง เหมือนกับคนทุกวันนี้ไม่กินเนื้อบุตรหรอก แต่กินเนื้อสัตว์อยู่ ยังไม่รู้เรื่องว่ากินเนื้ออยู่

คำว่ากินเนื้อ มังสะ ยังเป็นคนที่ไม่มีวิชชา

มนุษย์เป็นสัตว์กินพืชไม่ใช่กินเนื้อ กินเนื้อแล้วก็ยังไม่พอ ดันไปกินเนื้อคน เป็นไง? กินเนื้อบุตรตัวเอง ทำไมไม่กินเนื้อตัวเอง...บุตรเป็นหัวใจของตน กินแล้วก็ไม่รู้เรื่อง แล้วบอกว่าบุตรที่น่ารักของฉันหายไปไหน?....ไอ้โง่

คนนี้จมกับบาปมาก ไปกินเนื้อแล้วก็กินเนื้อบุตรตัวเองด้วย ไม่มีคนที่บาปกว่าคนคนนี้อีกแล้ว เพราะเขาไม่รู้เลยว่าเขาอยู่กับสิ่งเหล่านี้อยู่กับอะไร อยู่กับมหาอเวจีนรก ทำกรรมมหาอเวจีนรก เขากำลังเดินไปหานิพพานแต่ทำมหาอเวจีนรกแก่ตัวเอง ไม่มีอะไรที่จะงี่เง่าเท่านี้อีกแล้ว

ทางปฏิบัติออกนอกศาสนาพุทธ ตัวเองทำบาปทำเวรสุดยอดหัวใจตัวเองกินแล้วก็ไม่รู้ตัว ไปกินเนื้อ เนื้อนั้นไม่ใช่เนื้อใครแต่เป็นเนื้อบุตร แล้วกินแล้วไม่รู้ว่าตัวเองฆ่ากิน แล้วบอกอีกว่าบุตรฉันไปไหน อาตมาว่า สุดยอดอุทาหรณ์ของพระพุทธเจ้า ตัวเองทำกับมือ เจตนาฆ่าบุตรตัวเองทำเองหมด เกิดจากวิญญาณณตัวเองธาตุรู้ตัวเอง แล้วก็เจตนาฆ่าบุตรตัวเอง จมอยู่ในตัวเองมืดมิดสนิท ไม่มีธาตุที่จะมีเศษเสี้ยวละอองธุลีที่จะมาดูอะไรได้เลย วิญญาณสุดโง่อาศัยวิญญาณสุดโง่ ไม่รู้จักเจตนา ไม่รู้จักเวทนา ไม่รู้จักกาม เพราะฉะนั้นคนที่ไม่เรียนรู้ กาม เป็นเบื้องต้นยังไปยินดี กาม คือ กามฉันทะ ยินดีในกามแล้ว คุณก็แสวงหากาม เสพกามอยู่เต็มปาก เที่ยวอยู่ตลอดเวลาเ สพรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็ไม่รู้ คุณยิ่งกว่าผัวเมียคู่นี้ฆ่าลูกกิน นี่มหาบัวไม่รู้เรื่องไม่รู้กามฉันทะ ซึ่งเป็นเบื้องต้นแห่งความสงัด ต้องสงัดจากกาม

ปิดตาหูจมูกลิ้นกายไปนั่งหลับตาอีก บอกว่าต้องมาเปิดตามาสัมผัสต่างๆหูจมูกลิ้นกาย ก็ว่ามีด้วยหรือ? เขาว่าไม่มีหรอก มีแต่ถ้ำ มุดถ้ำ จมอยู่ในถ้ำจมอยู่ในความหลงแห่งถ้ำ เป็นอย่างนั้น

เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธ นั่งหลับตาคือคนบ้าของศาสนาพุทธ มันเป็นความงมงายของศาสนา คนที่ปลุกไม่ตื่นของศาสนาพุทธ เจ้าประคุณ เอาหอกแทงเช้าร้อยเล่ม ไม่เข้า ไม่ตาย ไม่รู้ตัว ไม่รู้สึก หนายิ่งกว่า

คำว่าไม่เกิดของมหาบัวก็เหมือน อาฬารดาบส อุทกดาบส ไม่รู้ว่าจะเกิดหรือยัง จมหายไปไม่มีระหว่างเลย สองอันแน่นสนิทเนียนแยกระหว่างไม่ได้เลย คือนิรันดร

นิรันดรคือการแยกสภาพคู่ที่มีอยู่ไม่ออกเลย เอาสภาวะมาอธิบายแปล นิรันดรว่า อย่างนี้ คือ สอง เทวะ แยกไม่ออกจมอยู่อย่างนี้นิรันดร แม้แต่ศาสนาพุทธก็เป็นเทวนิยมจมกับการนั่งหลับตาไม่เรียนรู้ไม่แยกแยะสภาวะ 2 แยกรูปนามไม่เป็น

สู่แดนธรรมว่า..นิรันดรแปลว่าหาที่สุดไม่ได้ด้วยหรือ

พ่อครูว่า...ใช่ นิรันดรจมอยู่ในความโง่ไม่สุดสิ้น ศาสนาพุทธก็ทำนิรันดรได้แต่ไม่โง่จมอยู่กับนิรันดรเป็นผู้มีนิรันดร ศาสนาพุทธทำความไม่มีนิรันดร เป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน แยกธาตุที่จะเป็นอุตุธาตุ พีชธาตุ อยากให้เป็นดินน้ำไฟลมหายไปเลย

ศึกษาธรรมะพุทธเจ้าและทำอันนี้ให้ได้ เรียนรู้จิตเจตสิก โดยเฉพาะเวทนา ความสุขความทุกข์เป็นคู่ที่สำคัญมากที่สุด แยกสุขทุกข์แล้วเรียนรู้ว่าความสุขคือมายา คุณหลงความสุขติดในความสุขก็เป็นเทวนิยม เมื่อรู้ว่าสุขก็คือทุกข์ มันมีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ท่านจึงเอาความทุกข์มาเป็นตัวอาศัยให้ศึกษาความรู้สึกและเรียนรู้เหตุที่ทำให้มันเกิด เหตุก็คือความโง่ของเราจะยึดถือว่ามันมีทั้งที่ความทุกข์มันไม่มี ผู้ใดทำให้หมดทุกข์หมดสุขได้ พูดไม่เป็นภาษาแต่คุณต้องอ่านอาการ นี่คือความสุข

ตั้งแต่ความสุขที่หยาบๆ การสัมผัสแล้วเกิดความสุข ไม่ได้สมใจไม่ได้ตามสมมุติ อุปาทานที่เรายึดไว้ อุปาทานคือ static  ตัณหาคือ Dynamic  เมื่อได้อยากก็ไปแสวงหามาเสพก็สงบนิ่งอีก แยกไม่ออก จมอยู่อย่างนี้ พอแยกออกแล้ว พระพุทธเจ้าถึงแบ่งเป็นลำดับ

เราไปมีความสุขความทุกข์อะไรกับสิ่งที่มี ง่ายหยาบควรเลิกควรหยุดมันต่ำไม่เข้าท่านกับเรื่องอบาย ไปเกี่ยวข้องกับเรื่องโลกที่ต้องไปวนเวียนเสพความสุขความทุกข์กับมัน

อาตมาเคยยกตัวอย่างน้องเขยติดยาสูบบุหรี่ เขาชื่อเล่นว่าโป๊ เขาติดบุหรี่ เมื่อบุหรี่หมด จะออกไปซื้อก็ต้องเดินไปที่ปากซอย จะขับรถออกมาก็ไม่ได้เดี๋ยวเมียได้ยิน ก็เดินออกมาหลบเลี่ยงออกมาไปซื้อ นี่คือความหมดความอยากไม่ได้ ทนความอยากไม่ได้ ต้องต่อสู้กับอุปสรรค ก็ต้องทำ นี่ก็ยกตัวอย่างเบาๆ ใกล้ๆตัวสู่ฟัง ยิ่งคนที่ติดยึดแรงๆต้องเอาให้ได้ อย่างโดนัลด์ทรัมป์ เขาจะต้องเป็นใหญ่ในโลก First American ต้องยิ่งใหญ่มาก่อนอื่นนี่คือความหลงตัวหลงตนของมนุษย์คนหนึ่งที่ขึ้นไปเป็นผู้บริหารระดับ 1 ของประเทศ แล้วก็ประกาศความมีตัวตนความยิ่งใหญ่ ความจะต้องแสดงอำนาจบาตรใหญ่ออกมาโดยพยัญชนะ โดยภาษาซึ่งก็ออกมาจากจิตก้นบึ้งของเขา แล้วคนก็ไปซูฮก คนไหนไปซูฮกคนนั้นก็เป็นทาส จตุมหาราช คือยักษ์มาร ตัวใหญ่ตัวอวดดิบอวดดีที่สุด จตุมหาราชที่มี ปรนิมมิตวสวัตตีครบพร้อม หลงยามา ดุสิต นิมมานนรดี หลงปรนิมมิตวสวัตดี หลงโลกสวรรค์หลอก 6 ชั้น เต็มบ้องเลย นี่คือพยัญชนะที่สอนสภาวะธรรมของศาสนาพุทธเขาไม่รู้เรื่อง แต่เขาอยู่ในสภาวะนี้เต็มบ้อง สวรรค์ต้องเป็นความสุขในโลกีย์ของคนรวยสวรรค์ยิ่งใหญ่ลาภยศสรรเสริญสุข หลงสวรรค์เป็นสุขนิยมเต็มรูปนาม ไม่เข้าใจแล้วเขาก็สร้างทุกข์ สร้างอำนาจบาตรใหญ่ อยากจะไปทิ้งระเบิดจะใช้โดรนไปยิงใครตายเขาก็ทำ สารพัดเบ่งขี้แตกเขาก็ไม่รู้จักสัจธรรมโลกถึงน่าสงสารน่าสังเวช ที่คนแสดงอาการที่น่าเกลียดน่าชังอย่างนี้ ก็ยังยอมซูฮกก็ยังยอมนับถือ เขาอยู่ด้วยมายา อย่างอเมริกาอยู่ด้วยมายาที่เขาเองมีสิ่งที่เป็นอำนาจคือกูสร้างอาวุธได้เก่งกว่าเพื่อน แข่งกันอยู่นี่ ถ้าจีนสร้างอาวุธได้เก่งกว่าอเมริกาเมื่อไหร่ อเมริกาเอ๋ย

จบ...


เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 13:33:08 )

630213

รายละเอียด

 

630213_พ่อครูตอบปัญหางานพุทธาภิเษก#44  บ้านราชฯ เรื่องบุคคล 7

 

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1Qgszh7N1tSQgryxp_kLf5iE4DMy0B6xq7VABUuI2kfM/edit?usp=sharing                       

 

ดาวโหลดเสียงที่... https://drive.google.com/open?id=1kXp_oMBEmY3ViQl7YGSAhFryCDJJMmp_

พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ 2563 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันรองสุดท้ายของงาน แล้วเป็นวาระที่อาตมาจะตอบปัญหาประเด็นต่างๆ ตามที่พวกเราถาม ถ้ามาอยู่กันอบอุ่นเต็มๆอย่างนี้ อาตมาว่าบ้านราชนี้นะ จะครึกครื้น อบอุ่น รุ่งเรืองไปหมดเศรษฐกิจก็ดีสังคมก็ดีก็คงจะรุ่งดี แต่ก็พูดไป ตัวใครตัวใครก็เร่งรัดกันเอง แล้วแต่จะเต็มใจไม่เต็มใจคนไหนเต็มใจมาก็มา ไม่เต็มใจจะมาก็ไม่มา อิสระเสรีภาพ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(บุคคล 7) ตอน ทางสองสายของบุคคล 7

จะให้อธิบายเส้นทางของบุคคล 7 เป็นเรื่องอจินไตย คนสองสายที่เป็นแกนจริตของคน คนทั้งโลกก็แบ่งเป็น 2 สายตลอดมาคือ สายศรัทธา(เจโต) กับสายปัญญา แม้แต่ศาสนาในโลกนี้ก็จะมี 2 ศาสนา แบ่งเป็นตระกูล ก็คือตระกูลศรัทธากับตระกูลปัญญา ก็มีอยู่อย่างนั้น

ตระกูลศรัทธาก็เป็นพวกเทวนิยม จะยังเข้าใจความเป็นเทวฺ ไม่ได้ มีความศรัทธาเต็มที่แล้วก็ไม่กล้าแตะเทวฺ ความรู้สึกยอดก็มอบให้ผู้ที่เป็นเจ้าของความรู้ เทวะ ยิ่งใหญ่แต่ไม่รู้จักตัวจักตนว่าอยู่ที่ไหน ผู้มาประกาศความรู้ ประกาศธรรมะประกาศสัจธรรมนั้นออกมา ก็ไม่แน่ใจ ไม่รู้ว่าความรู้นั้นเป็นของใครก็เลยบอกว่าเป็นของพระเจ้า เป็นของที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในมหาจักรวาล สร้างโลกสร้างอะไรต่างๆนานามาด้วย โดยไม่เข้าใจว่า อันนั้นคือธรรมชาติของมหาเอกภพ มหาจักรวาลนี้ ที่เกิดขึ้นด้วยลักษณะของธรรมชาติดินน้ำไฟลมแล้วก็มาเป็นชีวะ ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว   จากอุตุนิยามมาเป็นพีชนิยามมาเป็นจิตนิยาม

อุตุนิยามเป็นธาตุดินน้ำไฟลม เป็นสิ่งที่ยังไม่มีชีวิตเลย เป็นลักษณะของมันตามฟิสิกส์ เป็นความร้อน แสง เสียง แม่เหล็ก ไฟฟ้าในตัวเอง แต่ตัวเองไม่มีประธานที่เป็นชีวะควบคุมตัวเอง เมื่อเริ่มมาเป็นพีชะ ก็จะเริ่มมีพลังงานประธาน อยู่ในเส้าของ cyclic order อยู่ในวงวนที่มันหมุนจับตัวกันมีประทานในนิวเคลียสมีบวกมีลบทำปฏิกิริยากัน หมุนวน มีแกน static กับหมุน Dynamic กระทบกระแทกแตกตัวไปมา ดูดกันมาดูดกันไปเป็นพลังงานแสง เสียง แม่เหล็กไฟฟ้า จนกระทั่งมีชีวะ เป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ภาษาก็ ISH

I คือ ประธาน S ก็คือ She เป็นเพศหญิง H ก็คือ He เป็นเพศชาย

เสร็จแล้วก็ดำเนินการอยู่ไป ก็มีการเปลี่ยนแปลง จนกระทั่งพัฒนามาเป็นจิตนิยาม ก็มาเป็นสัตว์ในโลก ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียว จนกระทั่งเป็น ล้านๆๆเซลล์ พัฒนาจากล้านๆๆๆเซลล์เป็นตัวสัตว์ที่ฉลาดขึ้น สมองเจริญขึ้น อวัยวะต่างๆ วิจิตรพิสดาร จนมาเป็นคน พัฒนาขึ้นไปจากคนสามัญในโลกโลกีย์ เป็นเทวนิยม แล้วจึงเจริญขึ้นไปอีกเป็นโลกุตระ ชาวอเทวนิยม

จิตวิญญาณที่จับตัวเป็นอัตภาพ ตั้งแต่จิต มันจับตัวกันโดยที่มันมีตัวเจ้าเข้าเจ้าของ จากเซลล์ ภาษาอังกฤษ Cell ก็เปลี่ยนมาเป็น Self

อาตมายังไม่เก่งเรื่องภาษาอังกฤษจะไปรู้พยัญชนะของเขา แต่ละตัวๆๆๆอาตมาพอรู้อย่าง ISH เกิดขึ้นมา อาตมาก็พอรู้ จับกันเป็นสามเส้า อันนี้ไม่ได้เรียนจากใครแต่ก็พอรู้ คือ เป็นการู้ที่ไม่เหมือนระบบ มันมีแกนตั้งกับพลังงานแรงเคลื่อน ซึ่งก็เป็นพลังงาน 2 ลักษณะ Static กับ Dynamic ทำงานดูดกับผลัก แตกตัว จนกระทั่งพลังงานมี ฟิวชั่นกับฟิชชั่น

อาตมาก็มีความรู้พวกนี้อธิบายให้เห็นชีวะ  มนุษยชาติสามารถตรัสรู้ รู้จักจนกระทั่งมีพลังงานประธานหรือเจ้าของจิตเราทุกคน เป็นคนเราก็มีประธานเจ้าของจิต เป็นตัวตนเป็นตัว I แล้วเราก็สามารถที่จะศึกษาเราเอง จิต ของเราทั้งหมดเลยแล้วสามารถควบคุมพลังงานให้เกิดการเคลื่อนไหวแล้วก็สะสมความรู้ เป็น Static เป็นแกนของความรู้มากขึ้นเรื่อยๆ จนสูงขึ้นแล้วก็พลังงานที่จะออกไปทำงานสัมผัสสัมพันธ์ไปจัดการกับส่วนอื่นๆที่เป็นองค์ประกอบ ที่เราสามารถที่จะดำเนินไปกับเขา ให้ได้ประโยชน์ดีสุดสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเศรษฐกิจการเมืองสังคม ดีที่สุด แล้วก็รู้จัก ความดีความชั่ว ที่เป็นสมมติสัจจะปรมัตถสัจจะกัน  อย่างเพียงพอในความเป็นโลก แล้วก็เป็นพลังงานทางโลก เรียกว่าองค์ประกอบสังคมมนุษยชาติ ตั้งแต่โลกกลุ่มเล็กๆจนเป็นสังคมกลุ่มที่โตขึ้น จนกระทั่งเป็นประเทศ เป็นประเทศที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ คบหากัน จนกระทั่งกลายเป็นการแบ่งภาคแบ่งส่วน ภาคพื้นเอเชียภาคยุโรป รวมกันเป็นสหประชาชาติ อย่างนี้เป็นต้น ก็เกิดเป็นธรรมดาธรรมชาติของโลกจักรวาลนี้ ก็เป็นไป

ตัวปฏิกิริยาจริงๆของมหาจักรวาลก็คือมนุษย์นี่แหละ มนุษย์ในโลกต่างๆในจักรวาลต่างๆ จะมีโลกที่มีมนุษย์ มีอะไรต่ออะไรมันไม่ถึงกันได้ง่ายๆ ทุกวันนี้ก็พยายามจะสื่อสาร ศึกษาการเดินทางจะไปออกนอกโลกออกนอกจักรวาล ไปหาจักรวาลอื่นเขาก็ทำอยู่ แต่มันยังไม่ง่าย อาตมาก็คิดตามประสาอาตมาว่า พวกนี้เขาจะศึกษาไปหา..ทำไมไม่เชื่อพระพุทธเจ้า จะคิดไปหาจักรวาลต่างๆมากมายแต่ก็พอจะรู้ แล้วก็อยู่เป็นมนุษย์ในโลกนี้ก็ตาม เราทำให้ดีที่สุดเราก็ดีที่สุดกับมนุษยชาติ เท่าที่เราจะทำได้และเราก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไป หากว่าเราไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานเราจะมีน้ำใจ รู้แล้วว่าเราจะจบก็ได้ แต่เราจะช่วยโลกเป็นพระโพธิสัตว์ต่อไปอีก แต่เราเบื่อแล้วพอแล้วจะปรินิพพานไปเมื่อไหร่ก็ได้ นานเท่าไหร่ก็นานเท่าพระอวโลกิเตศวร มีปณิธานที่ อาตมาว่ามันเป็นไปไม่ได้ จะช่วยคนให้นิพพานหมดเลย ทั้งโลกที่ท่านอยู่ด้วย แล้วท่านถึงจะปรินิพพานเป็นคนสุดท้าย อาตมาว่ามันเป็นไปไม่ได้จะไปบังคับได้ยังไง เพราะว่าความแตกต่างกันระหว่างภูมิความรู้ เหตุปัจจัยของแต่ละบุคคล ที่เขามีประธานของตัวเอง มี I เจ้าของอัตตาก็มีของเขา บังคับใครไม่ได้เป็นอิสระสูงสุด

พลังงานที่ I เป็นตัวเรา ก็ใช้ของเราให้สูงสุดจะไปบังคับคนอื่นไม่ได้ ใช้อำนาจโลกบังคับได้บังคับด้วยหอกปืนอำนาจบาตรใหญ่ เป็นสัตว์เดรัจฉานก็บังคับด้วยอำนาจเขี้ยวงา กำลัง จนกระทั่งมาเป็นคนใช้อำนาจเงินอำนาจตำแหน่งหน้าที่ อำนาจอย่างโน้นอย่างนี้ก็ต่างๆ แม้แต่อำนาจทางจิตวิทยามันก็ใช้คนมันก็ทำ ก็ได้สูงสุดเป็นการบังคับเขา

อำนาจ ก็เสื่อมได้  อำนาจก็หมดวาระได้ก็เสื่อมได้

สู่แดนธรรมว่า...พ่อท่านได้พูดถึงพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรท่านสามารถช่วยคนอื่นให้ปรินิพพานได้โดยท่านไม่ยอมปรินิพพาน ก็คือท่านยังไม่ยอมเป็นพระพุทธเจ้า เพราะว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้าแล้วต้องสิ้นสุด แสดงว่าการช่วยคนให้ปรินิพพานได้ไม่จำเป็นต้องเป็นพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นหน้าที่ของพระโพธิสัตว์สามารถทำให้คนเข้าสู่ปรินิพพานได้

พ่อครูว่า...ทำไมยังไม่เข้าใจหรือ แปลก จบเป็นพระอรหันต์คุณสมบัติเป็นพระอรหันต์อรหันต์ขี้เก๊เท่าไหร่ก็ได้ รู้จักจิตวิญญาณที่อยากให้เป็นอุตุธาตุ เป็นพีชธาตุ ด้วยกรรมหรือทรงไว้ธรรมนิยาม static กรรมคือ dynamic

จบอรหันต์สามารถทำจิตให้เป็นอุตุนิยามได้ และแยกหมดทุกข์หมดโศกแล้วแยกธาตุจิตของตัวเองให้เป็นดินน้ำไฟลมเป็นมหาภูตะรูปได้เลย มันไม่จับตัวกันอีก จะจับตัวกันอีกก็พลังงานฟิสิกส์ดินน้ำไฟลมแล้วแต่มันจะจับตัวทำปฏิกิริยากัน และความเป็นอัตตา ish ของตัวเองก็อยากไปแล้ว สามเส้า สภาพ อิตถีภาวะปุริสภาวะ ก็แยกตัวไม่จับตัวกันอีกแล้วมันจะเกิดกันอีกก็เป็นของใหม่ อัตตาใหม่ กรรมวิบากของผู้ใดผู้ใดก็สลายยกเลิก ปรินิพพานเป็นปริโยสานแล้วก็เลิก จะรวมตัวกันเป็นสัตว์เซลล์เดียวใหม่ก็ต้องเริ่มสะสมความเป็นวิบากของตัวตน จนกระทั่งสะสมความเป็นพระอริยะก็ของคุณเองทั้งสิ้น

 

แกนสองแกน แต่การจะเปลี่ยนให้ศรัทธาเป็นปัญญานั้นเป็นได้ แต่สายปัญญาเขาไม่เปลี่ยนตัวเองเป็นศรัทธาหรอก เพราะว่าศรัทธามันช้ากว่า ด้วยความรู้ด้วยความสำเร็จ ศรัทธาสำเร็จก็ช้า ได้รับความรู้ที่เต็มก็ยากกว่า จะว่าไปแล้วไม่ได้หมายความว่าเอาปัญญาไปข่มศรัทธาก็ไม่ใช่ แต่คุณสมบัติของแต่ละแกนจิตวิญญาณมันเป็นจริงอย่างนั้น

 

ศรัทธานี้จะต้องเดินตามลำดับถึง 7 ขั้นไม่มีการลัดขั้น ปัญญานี้ปฏิบัติธรรม พรวด สี่ขี้น

เริ่มต้นด้วยคู่แรก ธัมมานุสารี กับ สัทธานุสารี

ธัมมานุสารี ไม่ใช่คำว่าปัญญา ถ้าว่าถ้าปฏิบัติธรรมตัวเองช้าก็ต้องใช้เวลานานเหมือนกับศรัทธานั่นแหละ ปัญญาก็ตามหากเหลาะแหละ มีสีลัพพตปรมาส ไม่เอาจริงเอาจัง ดีไม่ดีจะนานกว่าสายศรัทธาด้วยซ้ำไป กลายเป็น พวกวิตักกจริต เหลาะแหละ เอาจริงบ้างไม่จริงบ้าง  ดีไม่ดีช้ากว่าสายศรัทธาเป็นเท่าเลย เป็นศรัทธาจริต พุทธิจริต วิตักกจริต

พุทธิจริต ก็คือสายปัญญา ศรัทธาจริต

วิตักกจริต แม้ตัวเองมีแกนปัญญา แต่เหลาะแหละ จะช้ากว่าสายศรัทธาถึง 2 เท่า กว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าใช้เวลาถึง 80 อสงไขย เศษแสนมหากัป ใช้เวลาเท่าตัว

ถ้าสายศรัทธาก็ 40 ถ้าสายปัญญาก็แค่ 20 ส่วนสายวิตักกจริตก็ 80 อสงไขยฯ เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าเข้าใจอันนี้

แล้วพระพุทธเจ้าทุกองค์ผ่านความเป็นศรัทธา วิตักกะ และปัญญาหมดทุกอันท่านต้องใช้เวลาไม่รู้กี่ล้านชาติเพื่อเป็นจริงๆ อย่าว่าแต่คนเลย เป็นสัตว์เดรัจฉานเกิดมาแล้วตามธรรมชาติเป็นสัตว์เดรัจฉานมาก่อนทุกคน เคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานมาก่อนตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวมาจนถึงตอนนี้ ในเวลาการเป็นชีวะ ในมหาจักรวาลมันจึงนานมากแต่ละคนไม่รู้กี่ล้านชาติมาแล้ว ท่านบอกเป็นบัญญัติเลยว่า กว่าจะมาพบศาสนาพุทธกว่าจะได้ตรัสรู้มันคือขี้เล็บเทียบกับแผ่นดินมันไม่เกินจริงหรอก พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ในแผ่นดินปฐพีนี้ ไม่มีที่ใดที่เราจิ้มลงไปในดินแล้วไม่มีที่ใดที่เราไม่เกิด จิ้มลงไปในดินที่ไหนเราเกิดมาทั้งนั้นไม่รู้กี่ ล้านๆๆๆชาติ ไม่ต้องคิดเลยโยนทิ้งเลย ไม่ต้องเอามาเป็นทุกข์ เรื่องเวลานี้ไม่เป็นทุกข์ เวลาจะนานเท่าไหร่ไม่ต้องคิดเลย เรื่องเวลาก็คือการเดินทาง เราก็ยังอยู่แล้วเราก็ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานแล้วก็เดินทางไป เราจะพัฒนาไป จนกระทั่งสามารถเลิก ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ ก็เป็นสิทธิของคุณอิสระเสรีภาพ คุณไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานจะทำงานช่วยคนไปก็เชิญ นานเท่าไหร่ก็เป็นอิสรเสรีภาพเต็มที่

สู่แดนธรรมว่า…ตามผัง จะตัดกายสักขีออกไปได้มั้ย

 

สัทธานุสารี

ธัมมานุสารี

สัทธาวิมุติ

ทิฏฐิปัตตะ

กายสักขี

ปัญญาวิมุติ

อุภโตภาควิมุติ

 

ปัญญาจะแวะไปกายสักขีก่อนก็ได้ไม่ต้องแวะกายสักขีก็ได้ เหลาะแหละก็ได้ ไม่เหลาะแหละยิ่งเก่ง คุมจิตตนเองได้ มีวสวัตตี เป็นจิตที่มีอำนาจจริง จะทำให้เป็นอย่างไรก็ได้ แต่ไม่โง่พวกเท่าพวกเหลาะแหละ จิตเหลาะแหละก็แย่กว่าจิตจริง ที่เป็นประโยชน์สูงประหยัดสุด รู้จักคุณค่าของ กรรมและกาละ

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ

สู่แดนธรรมว่า...บุคคลใดที่หากฟังว่า

พ่อครูว่า...จะเป็นธัมมานุสารีหรือสัทธานุสารีอยู่ที่มีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์หรือไม่ ธัมมานุสารีทำได้ยิ่งกว่าสัทธานุสารี มีในแตกต่างตรงที่ ธัมมานุสารีจะมีปัญญาเร็วกว่าเพราะมีโพชฌงค์ 7 มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ได้ดีกว่าคล่องกว่า มีสติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ เก่งกว่า จากนั้นก็มี ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิอุเบกขา เจริญตามหลักสามนี้

3 ตัวนี้ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์เป็นตัวสำคัญที่สุด สายปัญญาเก่งธัมมวิจัย สายศรัทธาไม่เก่งธัมมวิจัย

เพราะฉะนั้นปัญญา 6 ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ แล้วมีสามเส้า คือธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ

จะเกิด ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ก็ต้องมีกระบวนการอีก 3 เส้า คือธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ

 

เพราะฉะนั้นจะปฏิบัติ มรรค ด้วย สัมมาทิฏฐิ ต้องเป็นประธาน แล้วต้องมี ธัมมวิจัย เป็นคู่ Dynamic Static สองอัน ทำงานอยู่

สัมมาทิฏฐิ จะเป็น static ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์จะเป็นตัว Dynamic แล้วก็จะปฏิบัติ มัคคังคะ องค์แห่งมรรค ปฏิบัติสังกัปปะ  วาจากัมมันต  อาชีวะโดยมี  สติกับความเพียรเป็นตัวช่วย มีสัมมาทิฏฐิเป็นประธานในองค์ 7 ของสัมมาทิฏฐิ แล้วก็มีองค์ 8 สัมมาวายามะกับสัมมาสติ เป็นตัวช่วยแล้วปฏิบัติตั้งแต่การทำงานอาชีพก็ลดมิจฉา กัมมันตะก็ลดมิจฉา วาจาก็ลดมิจฉาสังกัปปะก็ลดมิจฉาลดตัวการพยาบาทได้ สังกัปปะ เป็นวงจรสำคัญของจิต ถ้าคุณไม่มีความรู้แยกสังกัปปะ 7 ได้คุณก็ไม่รู้จักกระบวนการ 7 ตัวสำคัญเลย

ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ เป็น แกน Dynamic

อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เส้นแกน Static ทำงานสังเคราะห์สังขารเป็นวจีสังขารยังไม่พูดออกมา ถ้าพูดออกมาก็เป็นวาจากรรม บางทีก็เรียกว่าวจีกรรม แต่ว่าจิตสังขารยังไม่ออกมามันยังอยู่ข้างใน ยังอยู่ในขบวนการ 7

ตักกะ คือเริ่มดำริ แล้วก็มาเป็นกระบวนการของ สังกัปปะ 7 ทำได้ยิ่งยอดก็วิ สิ่งที่ไม่เอาก็คัดออก วิ มีความหมาย 2 นัย ดีสุดยอด กับเก๊เลย ไม่เอากับเอาเลยอย่างถาวร จบด้วย ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ แล้วก็สั่งสมลงเป็นอัปปนา เป็นความควบแน่น

หากเติมพยัปปนา ควบแน่น เติมเจตโสอภินิโรปนา ไม่ได้ สายสมถะ เจโตศรัทธาไม่เก่ง ในการเติม static แล้วสองขั้วรวมกันเป็นวจีสังขาร   สังกัปปะ 7 ออกมาเป็น กายวิญญัติ วจีวิญญัติ หรือออกมาเป็นวจีกรรม นี่คือลักษณะรายละเอียดของธรรมชาติต่างๆ

 

สัทธานุสารีที่ไม่มีปัญญาจะวนเวียนอยู่อย่างนั้นเป็นล้านๆชาติ ไม่ออกจาก วงวัฏฏะของคุณระหว่าง สัทธานุสารีกับสัทธาวิมุต

สัทธาวิมุตเขาสามารถหลุดพ้นหรือดับ แต่เป็นเรื่องของแบบสายเจโต หรือสายศรัทธา สะกดจิต

มันต่างกันตรงที่ 1 สะกดจิตกับ 2 มี ธัมมวิจัย

เขาไม่ได้มีการวิจัยธรรมะ ของธาตุ ตีแตกจากกาย เป็นรูปนามเพราะแยกไม่ออก แยกเทวะเป็น 2 แยกไม่ออกเลย จึงเป็นเทวธรรมดาสามัญของสายเทวนิยม แล้วก็จะมีเยอะมากคนไม่ฉลาดคนอวิชชาก็จะมีเยอะมากกว่าคนมีวิชชา ก็จมกับวิมุติของคุณแต่ไม่จบดับได้แต่ความไม่รับรู้ด้วยความสะกดจิต ไม่เกิดปัญญาแยกแยะ ตีแตก distinguish จริง

สัทธานุสารีเมื่อมามีปัญญามาสู่ธัมมานุสารี ก็ได้ความรู้ที่เป็นโลกุตระ พวกสัทธานุสารีก็จมอยู่อย่างนั้นนานมากจนกว่าจะได้ อัญญธาตุ

ความรู้ที่แปลกใหม่สามารถออกจากโลกียะหลุดพ้นจากโลกโลกียะได้มีอำนาจพิเศษ หลุดออกจากแรงดึงดูดของโลกที่อยากได้ หรือ เป็นตัวที่มีพลังงานพิเศษของตัวเองสามารถหลุดพ้นด้วยปัญญา คนที่คิดออกจากโลกโลกนี้เดินทางไปสู่ข้างนอกโลก สามารถหลุดออกจากแรงดึงดูด ออกไปจากนี้อีกมีแรงเหวี่ยงออกไป ไปหาดาวดวงอื่นได้ ความรู้วิทยาศาสตร์เขาก็ทำได้ แต่ก็มีแรงเหวี่ยงที่มีพระอาทิตย์มีดวงดาวมากกว่านี้จะออกจากแรงเหวี่ยงหมู่นั้นอีกก็ยาก พวกนักวิทยาศาสตร์ดาราศาสตร์ คิดไปเถอะ พวกนี้อีกนาน

ก็ได้อัญญธาตุใหม่ เป็นพหูพจน์ก็คืออัญญา

อัญญะ แปลว่าธาตุอื่น

พอมาเป็นธาตุตัวที่ 2 มีปฏิกิริยา 2 3 4 ก็ไป อัญญาธาตุ เป็นความรู้โลกุตระ

อัญญามาเป็นกัญญา สัญญา ชัญญา

พอเป็นธัมมานุสารีแล้ว จึงจะสามารถเดินทางออกไปได้ไกล แต่สายศรัทธานี้มาได้ธัมมานุสารีแล้ว ก็เดินทางมาสู่ ทิฏฐิปัตตะ อีกขั้นหนึ่ง

สายศรัทธาคือเส้นแดง ก็จะกลายเป็นกายสักขี ภายนอกภายใน จะต้องครบทั้งภายนอกและภายใน    สายศรัทธาไม่ค่อยเอาภายนอก ไปมั่วในจิต อย่าลืมภายนอกไม่ทำภายนอกภายในให้สมดุลกันมันก็เลย โต่งไปหนักแต่ภายใน มันก็ไม่ออก ภายในภายนอกสมดุลกัน

พอรู้ภายในภายนอกก็ทำให้สมดุลกัน เป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ ราบเรียบเหมือนฝั่งทะเล จะเรียงลำดับสมดุล กามกับอัตตา ภายนอกกับภายใน ปัญญาจะบรรลุ กามกับอัตตาได้สัดส่วนดี แต่สายศรัทธาจะทำแต่อัตตา จมกับอัตตาอีกนาน

จึงต้องเติมปัญญาเข้าไปในสายศรัทธา สายปัญญาต้องเติมศรัทธาให้ได้สมดุลไม่เอียงไม่โต่ง นี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องรู้ของตัวเอง บังคับกันไม่ได้ ทำแทนกันไม่ได้ ใครจะฉลาดแทนกันไม่ได้ แบ่งกันไม่ได้  ก็ต้องฝึกด้วยตัวเอง

จาก ธัมมานุสารี สายปัญญา จึงพบสมดุลได้สัดส่วนดี จึงลัดหมดเลย

 

สัทธานุสารี

ธัมมานุสารี

สัทธาวิมุติ

ทิฏฐิปัตตะ

กายสักขี

ปัญญาวิมุติ

อุภโตภาควิมุติ

 

 

 

ธัมมานุสารี มาทิฏฐิปัตตะ มาปัญญาวิมุติ

สายศรัทธา สัทธานุสารีมา ธัมมานุสารี มาทิฏฐิปัตตะ แล้วต้องแวะไปกายสักขี คุณต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย หากไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายคุณก็จะไปวนอยู่ตรงนี้ อย่างเก่งก็ได้อาสวะบางอย่างดับ อาสวะบางอย่างยังไม่ดับยังไม่เหลือ คุณก็จะได้ปลายแล้วก็ลืมต้น ได้ต้นก็ลืมปลาย จะวนไม่อย่างนั้นแม้จะได้หมดอาสวะบางอย่างก็วนเวียน ทิฏฐิปัตตะ กายสักขีวนอีก แต่ธัมมานุสารีมาที่ทิฏฐิปัตตะแล้วไปปัญญาวิมุติ

ปัญญาวิมุติคือผู้ที่เป็นตัดเกรดว่าอรหันต์ เรียกว่าเป็นอรหันต์ได้แล้วเพราะคนนี้สามารถปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ กายสักขียังไม่สามารถรู้จัก อัตตาตัวเองเต็ม ไม่รู้จักโอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตาได้ครบชัด ทำกามภพ หมดเหลือรูปภพอรูปภพก็ดับได้อีก

ปัญญาวิมุติสามารถรู้โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตาได้ครบชัด แต่สายศรัทธาไม่ชัดเจนเพราะไม่มาเรียนรู้ภายนอกมันจะช้านาน เหมือนอย่างที่อาตมาเตือนพวกนั่งหลับตาสมาธิ ไม่เอาอ่าวรูปธรรม ไม่เอาอ่าวเรื่องลดกาม คือเป็นจริตของเขา มันไม่ชอบ ก็จม มันสบายดี นั่งจมไม่ยุ่งกับใครมันก็ยิ่งเสียเวลายิ่งช้า ผู้ใดชัดเจนอย่างอาตมาเรียนสายปัญญาอธิบายได้ชัดและครบจึงได้เตือนไป เมื่อยแสนเมื่อยเลย เขาเป็นโจรใหญ่ที่ฆ่าด้วยหอกร้อยเล่มเช้ากลางวันเย็น ก็ยังไม่ตาย ฆ่าไม่ตายคือ ไม่สามารถปรินิพพานได้ มันโง่ ที่จริงเขาจะเป็นอมตะบุคคลเป็นผู้ตายหรือยังไม่ตายได้ แต่นี่มันยังไม่เป็นเพราะมันยังไม่มีวิมุตสมบูรณ์แบบ ได้แต่สัทธาวิมุตเท่านั้น อาสวะบางอย่างหมดไปได้แต่ไม่หมดสิ้น มาเป็นอมตะบุคคลไม่ได้ตามมูลสูตร 10

สัทธาวิมุต วิมุติทางสายศรัทธาอย่างกายสักขีอย่างไรก็ต้องมาทางปัญญา ถ้าเป็นพระอรหันต์ได้ ก็มี สัพพปาปัสสอกรณัง กรรมกิริยาต่างๆไม่มีเจตนาทำบาปแล้ว แต่ถ้าคุณทำอย่างไม่บริสุทธิ์ใจจริงๆ มีกุศลเจตนาแม้น้อยก็เป็นวิบากคุณ แต่ถ้าเจตนาไม่ดีไม่มีเลย กรรมวิบากจึงอยู่ที่เจตนา เจตนาจึงเป็นอาการของจิตที่ทำให้เกิดบาปบุญได้

เวทนา สัญญา เจตนา ต้องมีการผัสสะจึงจะมีการทำใจในใจได้สมบูรณ์ หากไม่มีการผัสสะอย่างไรก็ไม่สมบูรณ์ในการทำใจในใจ ต้องมีผัสสะ

นาม 5 เป็นตัวกลางที่สำคัญ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ สายปัญญาจะคัดเฟ้นได้เป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ จึงมีศีลเป็นตัวกำกับ

อาตมาแบ่งสามเส้าของศีลไว้สมบูรณ์แล้ว สั้น ลัดคัดสั้นที่สุดแล้ว

ศีลข้อ 1 เกี่ยวกับสัตว์ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับวัตถุพีชะ ศีลข้อที่ 3 เกี่ยวกับกามคุณ 5 รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสภายนอก

คุณอย่าเกลียดกามคุณ 5 ต้องมามีสัมผัสแล้วต้องเรียนต้องเลิกลดละไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นมหาบัวไม่รู้กับผัสสะแล้วจมอยู่กับผัสสะ จมกับผัสสะ สิ่งเสพติดแต่ไม่รู้เรื่อง สายนั้นกินหมากกันเต็มเลยสายหลับตามหาบัว อ.มั่น สายหลับตาที่มีกินหมากก็คือธัมมชโย หลับตาแล้วเป็น ภพอาภัสรา ยิ่งพร่ามาก สายหลับตาก็ยังดีกว่าอีก

 

ตกลงมาวนอีก แม้แต่ สัทธานุสารี ธัมมานุสารี มาทิฏฐิปัตตะ มากายสักขี วนกลับไปอีกได้ ไม่เป็น ปัญญาวิมุติ ได้ เพราะว่าไม่มี ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ไม่เรียกว่า ปัญญาวิจัยสัมโพชฌงค์ เพราะต้องแยกแยะธรรมะ เพราะว่าธรรมะเป็น static มันจึงจมอยู่ตรงนี้ต้องแยกแยะตีแตกมันตรงนี้ ต้องพยายามเป็นผู้ที่มี ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ให้ได้จากนั้นก็จะแยกแยะได้ละเอียดเป็นสัดส่วน

พอมาถึง ปัญญาวิมุติแล้ว จะปรินิพพานก็ได้ แม้แต่สายศรัทธามาได้ปัญญาวิมุติแล้ว คุณจะมี ชรตา เสื่อมช้ากว่าสายศรัทธาก็จริง แต่ไม่มีปัญหา ถ้าคุณไม่ต่อสันตติคุณก็ชรตา ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปได้ เป็น โมเมนตัมของศรัทธา แต่ถ้าคุณมี ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์มีปัญญาทำได้เพียงพอ คุณก็มาเป็นปัญญาวิมุติได้ ไม่อย่างนั้นคุณก็จะจมอยู่ที่กายสักขี นั่นแหละ  คำเตือนของพระพุทธเจ้าจึงบอกว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายต้องรู้กายต้องเรียนรู้กาย ต้องเรียนรู้วิโมกข์

โดยเฉพาะวิโมกข์ 3 ข้อแรก

1. ผู้มีรูป  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ)

2. *ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)   ย่อมเห็น   รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี .   เอโก  พหิทธา รูปานิ  ปัสสติ) . (*พ่อท.แปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)

3. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ  อธิมุตโต . โหติ,    หรือ  อธิโมกโข  โหติ   (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)

พตปฎ. ล.10  ข.66 /  ล.23  ข.163

 

ต้องมีทั้งภายนอกและภายใน แต่สายที่มีแต่ภายในหลับตาปฏิบัติมันก็จะตีไม่แตกไม่สามารถสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ปฏิเสธไม่ได้หรอกมันเป็นสัจจะเป็นความจริง คุณก็ต้องทำให้ครบสัจจะความจริง

อัชฌัตตังแปลว่าใน พหิทา แปลว่านอก คุณต้องมีรูปานิต้องครบทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ

ผู้มีรูป รูปี ส่วน รูปานิ ต้องจัดการกับรูปทั้งหลายให้หมด ให้ดับให้หมด ผัสสะด้วยรูป ทุกรูป คุณจะพ้น กามภพ สัมผัสทางตาก็หมดเกลี้ยง หู จมูก ลิ้น กายก็หมด มันถึงจะละเอียด เรียบร้อยราบรื่น เป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์

แต่สายศรัทธานี้ก็ไม่ค่อยเอา ไปจมกับในอัชฌัตตังหนักเข้าแปลเป็นอสัญญีไปเลย   กลายเป็นผู้ไม่กำหนดหมายไม่สำคัญมั่นหมายก็เลย เจ๊งเลย พยัญชนะทำให้เข้าใจไปตามจริตของเขา ซึ่งแปลว่าผู้ไม่สำคัญมั่นหมายในภายใน ที่จริงคุณสำคัญมั่นหมายแต่ภายในคุณจมอยู่กับแต่ภายในต่างหาก   คุณไม่มาสัมพันธ์มั่นหมายกับภายนอก

ภาษาสับสน ว่า ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)   ย่อมเห็น   รูปทั้งหลายในภายนอก อันนี้คุณกลับกันกับที่คุณทำเลย คุณไม่เอาอ่าวภายนอกคุณทำจากภายใน

สู่แดนธรรมว่า...ผมเคยฟังว่าเขาให้เพิกถอนจากฌาน 4 มาฌาน 1

พ่อครูว่า..หากนั่งหลับตาแล้วบอกว่าถอนจากฌาน 4 มาเป็นฌาน 1 จะทำให้คิดอะไรได้มากขึ้น นั่นแหละแสดงถึงความเป็นอุเบกขาที่บื้อ นี่คือการควบคุมจิตแต่ไม่มีปัญญา คุณกดข่มไว้ จะเปิดจะปิดก็อยู่แต่ภายใน ขยายให้มี ฌาน 1 จะค่อยยังชั่วไม่ค่อยถูกกดข่ม แต่ถ้าฌาน 4 กระดิกอะไรไม่ได้เลยเพราะธาตุรู้มันไม่ทำงานก็กดมันไว้มันก็ไม่ทำงาน นั่งทำหลับตามันก็เป็นอย่างนี้ แต่ของปัญญามันไม่ใช่เป็นอย่างนี้ มันชัดเจนทุกอย่างตั้งแต่ภายนอก ภายนอกคือภายนอกภายในก็คือภายในปรุงแต่งกันอยู่ภายนอกปรุงแต่งกันอยู่ภายใน

ปรุงแต่งกันอยู่ในกามภพมันมีกิเลสกามไหม หมดกามแล้วกระทบกระแทกกระเทือนกระทุ้งอย่างไรกระทบยิ่งกว่า 600 เล่มอย่างไรก็ไม่เกิดกิเลส ไม่ต้องถึงร้อยเล่มหรอก 1 เล่มก็เจ็บแล้วทุกข์แล้วเห็นทุกข์แล้ว พระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่าข้อ 1 เล่มก็ทุกข์มากแล้วจะกลับไปถึง 100 เล่ม ดีไม่ดี สามร้อยเล่ม เช้ากลางวันเย็นมันก็ยังบื้ออยู่อีก หมดคำสิเว่า

สู่แดนธรรมว่า...ตอนนี้มีผู้ชมทาง Facebook 130 คน มีคนถามมาทาง live สด

คุณจักรพล ได้มีความเห็นว่า ศรัทธานำมาก่อนแล้วมาคบสัตบุรุษฟังสัทธรรม เอาไปปฏิบัติให้เกิดสัมมาทิฏฐิเป็นเบื้องต้น

คนนี้ถามแทรกว่า...ตอนพ่อท่านอธิบายผังสายศรัทธากับปัญญา คุณประทับใจบอกว่า สายปัญญา จะรู้ละเอียดรู้รอบกว่าสายศรัทธา แต่ที่นานกว่าเพราะว่า ธัมมวิจัยจะนานกว่า อาจจะเร็วขึ้นเรื่อยๆเมื่อชัดเจนขึ้นใช่ไหมคะ

พ่อครูว่า...ใช่ แล้วจะทั้งเร็วและแน่น มุทุภูตธาตุ คือจิตแกนของเรา พยัญชนะ มุทุ แปลว่าอ่อน เร็วไวทั้งเจโตและปัญญา จะเก่งขึ้นเรื่อยๆตามฐานความจริง

สายศรัทธา ก็ต้องเติมปัญญา ส่วนสายปัญญาที่ถูกต้องตามสัมมาทิฏฐิตั้งแต่ต้นแล้วปัญญาที่ มีสัมมาทิฏฐิที่บริบูรณ์ ก็จะไปได้เร็วมั่นคง

 

มันเป็นแกนของความรู้ บุคคล 7 เป็นแกนความรู้ที่ยิ่งใหญ่ อธิบายกันไม่ง่ายเลย ถ้าจะขยายความไปอีกก็ขยายความไปจนถึงกระทั่งการแยกกายแยกจิต อันไหนมันเป็นกายแล้วอันไหนไม่เป็นกาย อันไหนเป็นชีวะ อันไหนเป็นพีชะ จากจิตมาเป็นพีชะ ในอรหันต์ จิตยังเป็นจิต แต่ทำจิตให้เป็นพีชะได้โดยเด็ดขาดคือไม่มีสุขไม่มีทุกข์ได้อย่างแท้จริง ไม่มีบาปไม่มีบุญแล้วก็ซื่อสัตย์ ที่พูดนี้ไม่ได้พูดตามคนเหลาะแหละ อรหันต์มีแต่ซื่อสัตย์บริบูรณ์ สัพพะปาปัสสะอะกะระณังจะไม่ทำอะไรที่เป็นบาปและมีปริมาณน้อย อกุศลบาป ไม่มีปริมาณน้อยก็ไม่ทำซื่อสัตย์มีภูมิปัญญารู้ดีไม่ทำบาป ไม่ทำสิ่งที่บกพร่อง บาป นี้ ละเอียดกว่าอกุศล เป็นความรู้ที่คู่กับปัญญาจะมีความเฉลียวฉลาดมีปัญญามากกว่าสายเจโต สายเจโต จะเรียนรู้เก่งอกุศลกุศล   

แต่สายปัญญาก็รู้กุศลอกุศลแถมมีตัวรู้ บาปบุญได้เก่ง กำจัดตัวบาปได้เก่งกว่า เหนือชั้นกว่าสายศรัทธา

 

 สังเกตพวกเราที่เป็น สายศรัทธา มาเป็นสายปัญญาก็ยังสับสน บาป บุญ กุศล อกุศลอยู่เลยบุญ ไม่ใช่กุศล บุญเป็นพลังงานที่ฆ่ากิเลสจบ มันจบไม่มีอะไรต่อเลย แต่กุศล เป็นพลังงานที่สะสมเป็นสมบัติ ส่วนบุญนี้ เป็นวิบัติ มันทำหน้าที่ ปัติ หรือ เข้าถึง บรรลุ โดยไม่ต้องปันนะ ไม่ต้องสั่งสมต่อไป ทำงานเสร็จปุ๊บสลายตัวหากเป็นปันนะก็เป็นกล่องสมบัติสะสมเอาไว้ใช้เป็นฐานความดีเป็นฐานสมมุติ แต่วิบัติ เป็นปรมัตถ์อย่างเดียว

 

_คุณคงธรรมถามเรื่องนานาสังวาสที่ซ้อนอยู่ในวงการชาวอโศกเอาไว้ก่อนเรื่องนี้

พ่อครูว่า..นี่แหละผู้ที่จะเป็นสายศรัทธา อย่างคงธรรมแกนศรัทธาแล้วกำลังหลงปัญญา ก็คงจะยากที่จะเข้าใจอยู่ตอนนี้

 

_วิญญาณคือธาตุรู้ที่รวมทั้งภายนอกคือภายใน จิตคือภายใน มโนเป็นจิตที่เป็นเรื่องภายในลึก อธิบายมาถูกต้องหรือไม่

พ่อครูว่า...ถูกต้อง วิญญาณคือองค์รวมทั้งหมดมีทั้งรูปเวทนาสัญญาสังขาร รวมทั้งหมดเรียกว่าวิญญาณ จิตก็เป็นภายในเข้ามาเป็นหลัก 

ส่วนจิตนั้น แยกย่อยเป็นเจตสิก คือ การงานของจิต แล้วก็แยกรูปแยกนามออกเป็นเจตสิก เจตสิกมี 52 จิต 89 หรือ 121 อาตมายังไม่ไปลงรายละเอียด

แม้ผู้ที่ปฏิบัติจิตภายในคนก็ต้องมีภายนอกสัมผัสอยู่ แต่คุณไปสำคัญมั่นหมาย ไปเน้นที่การจัดการภายใน ส่วนภายนอกมันก็จะต้องรู้ด้วย หากอยู่กับสิ่งภายนอกอันใดอันหนึ่ง อยู่กับบล็อกโคลี่ ก็อยู่กับบล็อกโคลี่ คุณจะเปลี่ยนไปเป็นทับทิม เปลี่ยนไปเป็นกล้วยเปลี่ยนเป็นแตงโมแล้วคุณก็ต้องรู้ว่ามันเปลี่ยนแปลงคุณเปลี่ยนจากฐานตัวนี้ที่มาร่วม พิจารณาร่วมวิจัย ถ้าคุณเอาให้จบทีละอย่าง คุณก็จะได้เป็นลำดับ

คำว่า มโน คือในภายใน เป็นฐานละเอียดกว่าวิญญาณ ถูกต้องที่ถามมา

 

_กินพร่องท้อง หมายถึงอย่างไร

พ่อครูว่า...ก็หมายถึงว่ากินอย่าให้มันแน่นท้อง มันกินแน่นก็ย่อยช้าย่อยยาก พระเถระบอกว่าก็กินประมาณเหลืออีกสัก 3 คำมันจะแน่นแล้ว ก็พอ ให้มีช่องว่างในการย่อย ถ้าไปกินแน่นเกินมันก็ทำงานไม่ได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปกินแน่นท้อง บางคนเป็นทาสปากเป็นทาสความอร่อย อร่อยทางหูตาจมูกลิ้น ทาสอัสสาทะ ก็สวาปามเข้าไป ท้องมันอิ่มแต่ปากมันอยาก คุณก็ตายอยู่ฝ่ายเดียว

 

_กราบพ่อครูอธิบายแต่ละแบบระหว่าง ไตรลักษณ์ทางโลกและไตรลักษณ์โลกุตระ

_จะต้องทำ ต่อ ภวภพ ค่ะ งง เรื่องที่จะเชื่อมกันระหว่างการปฏิบัติมีผัสสะ จากเวทนามีสังโยชน์ อุปกิเลส 16

พ่อครูว่า..อุปกิเลส 16 คุณวางไปก่อน เรียนรู้ง่ายๆ แต่โลกุตระแบบโลกกับไตรลักษณ์แบบโลกุตระ

โลกุตระ กับโลกๆ คือ โลกุตระกับโลกียะ

โลกียะก็หมายถึงสาธารณะปุถุชนของทางโลกส่วนใหญ่ปุถุชน เรียกว่าโลกียะ โลกียะคือ เป็นทาสของลาภยศสรรเสริญสุข คุณยังมีความสุขทุกข์อยู่กับ ลาภน้อยใหญ่ ยึดลาภ ทรัพย์สินเงินทอง ไปติดในทองไปติดในเพชร ดีไม่ดีไปติดตุ๊กตาอะไรอย่างนี้ โตมาก็ติดรถติดหมูหมาแมว ติดอะไรก็ได้เลอะเทอะไป ติดพืช แต่พืชคนไม่ค่อยไปติดมากไปติดเรื่องสัตว์    เรื่องวัตถุมากกว่า คุณอย่าไปยุ่งกับมันเลยวัตถุมาก หรือ แม้แต่เป็นสัตว์ตัวตนบุคคลก็อย่าไปติดมันมาก คุณมาเรียนรู้อาหารที่เกิดจากพืช

เรื่องของสัตว์ปล่อยมันไปตามวิบาก เรื่องของวัตถุปล่อยมันไปตามฟิสิกส์ พลังงานแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า คุณมาเอาสำคัญที่พืช เพราะคุณต้องกินพืช เรื่องสัตว์คุณไม่กินแล้วจบ แต่พืชนี่แหละ ยังมีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสยังมีโฆษณา ยังมีการหลอกล่อให้ไปนิยมอย่างโน้นอย่างนี้ อีกเยอะ(พ่อครูไอตัดออกด้วย)

การเรียนรู้เรื่องพืชนี้สำคัญ รู้ว่าอะไรสมควรมันมีธาตุอะไรที่เราเอามาใช้ได้ เรามีความรู้โภชนาหารพอสมควร ไม่ต้องไปจบดอกเตอร์โภชนาหารหรอก เขาเล่นมาละเอียดก็ดีแล้วเราค่อยเรียนรู้จักเขาเอามากินมาใช้ ว่ากินอันนี้ดีใช้อันนี้ดีสำหรับอาหาร ไม่ใช่วัตถุ

อาหารพวกพืชผักผลไม้ พีชนิยาม แค่นี้แหละคุณก็รู้สิ่งที่อาศัยเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารก็พอแล้ว ทีนี้ โลกียะนี่ ไม่มีความรู้ โลกุตระมีความรู้ปัญญา

ปัญญากับเฉโก โลกียะมีแต่ความรู้เฉโก อยู่กับลาภยศสรรเสริญโลกียสุขไม่ออกมาได้ ออกมาได้ต้องมีปัญญา

ไตรลักษณ์ของโลกียะ เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเป็นพวกสัทธาวิมุติ แต่หากมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ได้เร็วโลกุตระถึงได้เร็ว แต่โลกียะจึงช้า เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปมันแยกไม่ออกไม่มีสัมมาทิฏฐิ มันไม่มีปฏิบัติอาชีวะ กัมมันตะ วาจา กัมมันตะ แจกแจง สังกัปปะได้ยาก

อาชีพ 5

กุหนา หยาบสุด กาย วจี ลปนาก็หยาบคำพูด เนมิตกตา ก็ไม่พูดไม่ทำแล้วแต่มีกลับไปกลับมาซับซ้อนอยู่ แต่อย่างธัมมชโยก็มีความรุนแรงฆ่าแกง เหมือนเจงกิสข่าน อเล็กซานเดอร์มหาราช หรือเหมือนกับยกตัวอย่างปัจจุบัน โดนัลด์ทรัมป์ ธัมมชโยจะไม่ทำอย่างนั้น เขาจะจมกับรายละเอียดที่ฟุ้งซ่านไปมากกว่าอีก ดีไม่ดีแล้ว โดนัลทรัมป์อาจจะบรรลุอรหันต์ได้ก่อนธัมมชโย เพราะเขาไม่ละเลียด ประวัติธัมมชโยนี้ ละเลียดใช้ภาษาใช้การปรุงแต่งต่างๆมากกว่า แต่โดนัลด์ทรัมป์นี่จะถึงจุด critical Point จุดสันดาปได้เร็วกว่าธัมมชโย

สรุป ไตรลักษณ์แบบโลกีย์ คือเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปแบบหยาบๆส่วนไตรลักษณ์แบบโลกุตระนั้นจะมีปัญญาความฉลาดมากกว่าเป็นความฉลาดที่ทำลายตัวตนให้ออกนอกโลกได้หรือทำให้รู้จักกิเลสได้ดีกว่าโลกียะ ถ้าไตรลักษณ์ โลกียนั้นรู้กิเลสได้ยากกว่า

ความฉลาดแบบเฉโกรู้รายละเอียดสู้ความฉลาดแบบปัญญาไม่ได้ ปัญญานั้นรู้รอบรู้ละเอียดรู้ธาตุ 2 ได้ดีกว่าแยกแยะธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ได้ดีกว่า

 

_ขอนิมนต์พ่อครูพ่อครูอยู่ไปถึง 151 ปี

 

_คุณแสงอรุณ...ได้ฟังเทปธรรมะ อัศวินคู่ใจคือพิจารณา ถ้า พิจารณาน้อยเราก็แพ้ พิจารณาเป็นคำที่ลึกซึ้ง พิจารณาให้รู้สุขรู้ทุกข์ รู้น้ำหนักของความเมตตา ขอพ่อครูขยายความคำว่าพิจารณา แล้วทำอย่างไรเราจะรู้น้ำหนักที่ถูกต้องถูกตรงในการปฏิบัติธรรม

พ่อครูว่า...คุณต้องปฏิบัติเอง แล้วก็มีจิตที่อ่านรู้หยั่งรู้เอง ไม่มีทางที่จะรู้แทนกันได้ คุณต้องค่อยๆเรียนรู้ไปจากการปฏิบัติ เพราะฉะนั้นการปฏิบัติที่สมบูรณ์แบบ จะต้องมี สุริยเปยยาล 7 ต้องมีมิตรดีสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อม เป็นสัปปายะ 4 อย่างชาวชุมชนอโศกมีครบแล้ว คุณไปตะโกนอยู่ข้างนอกมันก็ไม่ครบ มาสิ มันจะได้ครบมันเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์มันเป็นองค์ประกอบชัดเจนอยู่แล้ว ผู้ใดเข้ามาแล้วก็จะได้เร็ว แต่อยากเร็ว แต่ไม่ทำให้ครบบริบูรณ์มันก็ยาก บางคนมาได้แต่ใจไม่มา ไม่มีอะไรเป็นเรื่องห่วงใยอะไรเลยสบายแล้วมาได้แต่ไม่มาก็ช้าเอง เพราะฉะนั้น พวกเรานั้นผู้ที่มีศีลมีธรรมมีฐานมีพื้นแล้วก็มา แต่ถ้ายังไม่มีฐานไม่มีพื้นเลยอย่าเพิ่งมา อันนี้เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้า ผู้มีศีลแล้วที่ยังไม่ได้มาจงมา ผู้ยังไม่มีศีลนี้อย่าเพิ่งมา ขนาดพระพุทธเจ้ายังตรัสอย่างนั้นแล้วอาตมาจะไหวหรือหากไม่มีศีลแล้วมา อาตมารับมือก็ไม่ไหว

มีศีล 5 เป็นหลักไม่มีอบายมุข ไม่กินเนื้อสัตว์มาถือศีล5เป็นพื้นฐาน  แล้วเจริญเป็นศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 จุลศีลมัชฌิมศีลเป็นต้นไป

_พุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์จริงแท้ เพราะในปาฏิหาริย์ 3 อนุสาสนีปาฏิหาริย์ เป็นเลิศ จึงมีผู้เข้าถึงธรรมฟังรายการเมื่อคืน ทั้งนี้เพราะการปฏิบัติธรรมในแนวพ่อครู มีมรรค 8 องค์ ครบโดยเฉพาะสัมมาอาชีวะ เปรียบดุจเกลียวเชือกที่แข็งแรงสามารถฉุดดึงให้ข้ามพ้นวัฏฏสงสารได้

_อาฬารดาบส อุทกกาบส จมในสายศรัทธาหรือไม่หลวงปู่มั่นเป็นเหมือนกัน เท่ากับหรือไม่

พ่อครูว่า...ใช่แล้วเหมือนกัน ถามว่าเท่ากันหรือไม่ อาตมาว่าดีไม่ดี อ.มั่นจะหนักกว่าอาฬารดาบส อุทกกาบส เพราะอะไร อาฬารดาบส อุทกดาบสเขาศรัทธานิ่งดิ่งแล้วก็จะจมแล้วก็จะหยุดแล้วก็จะมาได้ แต่อาจารย์มั่นมีเรื่องราวมีสตอรี่มากมายมันก็สนุกเพลินและยาวออกไปเกินกว่า อาฬารดาบส อุทกกดาบส

เรื่องภพชาติ ที่เป็นนิรมาณกาย ปั้นเองมีเอง มีวิญญาณมาจากต่างชาติมีพญายมมีลูกน้องพญายม ไปกับโลกจินตา มากไปเรื่อยๆ อ.มั่นเป็นแกนศรัทธา แต่ปรุงแต่งกับแกนฟุ้งซ่าน ก็จะแยกไม่ออกปนกันไปหมดนี่มันจะช้า

สายศรัทธามันจะยุ่งยิ่งกว่าลิงแก้แห ยิ่งกว่า ชาละ ข่ายแหในพรหมชาลสูตร ยิ่งแก้ยิ่งแน่น ถึงบอกว่าสายศรัทธาหยุดทำอย่างต่อเถอะมาศึกษาทางนี้บ้าง ไม่อย่างนั้นจะอาการยิ่งหนัก พูดไปอย่างไรเขาก็กลายเป็นโจรที่ฆ่าด้วยหอกร้อยเล่มเช้ากลางวันเย็นก็ไม่ตาย ดื้อวนเวียนอยู่อย่างนั้น

ยังเหลืออีกหลายแผ่นไม่ได้ตอบ...ก็หมดเวลาแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็มาอยู่บ้านราชฯก็แล้วกัน

 จบ


เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 13:38:12 )

630214

รายละเอียด

 

aa630214_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ธรรมะ 2 ของบุคคล 7

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่...  https://docs.google.com/document/d/16GpSEPETYncY_DnSob3A5I3ew0cH5FgsLDG12qUqPU4/edit?usp=sharing               

ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1Hpuo4E0YTAi4p7SNe6sWmJVHwWgA7PEQ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(โลกุตระ) ตอน  โลกุตระต้องมีการคัดเฟ้น

พ่อครูว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เราก็คงจะได้เห็นหิน หรือ ศิลา ของแข็ง ศีลา ของแข็ง ก็ขนมาเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งจริงๆแล้วมีคนถามเหมือนกันว่าขนมาทำไม ขนมาให้มันมีหิน ก็ที่นี่มีน้ำกับดินกับโคลนกับทรายเท่านั้น พวกเราชาวอโศกไม่ค่อยจะเน้นธาตุลม เราจะไปเน้นธาตุดินน้ำลมไฟ เราไม่ไปเฟ้อหลงธาตุโลหะ เพชร แก้ว เราจะเน้นธาตุแกนหลักมหาภูตรูป หินคือธาตุดิน น้ำก็แน่นอนเราทำน้ำตกน้ำโตนแม่น้ำ เราใหญ่แค่แม่น้ำมูลก็พอใจแล้ว ไม่ใหญ่เท่าแม่น้ำโขงแม่น้ำฮวงโหแม่น้ำมิสซิสซิปปี เราไม่อยากเท่านั้น เราใหญ่ประมาณแค่แม่น้ำมูล แค่แม่น้ำโขงเราก็สู้ไม่ได้หรอกก็เอาแค่นี้แหละ แม่น้ำมูล บุ่งไหม เราก็ทำคลองที่เล็กกว่าบุ่งไหมอีก คลองถอยหลังเข้า เราก็ทำขึ้นมาด้วยมือของเราเอง ต้นไม้เราก็พยายามปลูก อีกสัก 10 ปี 20 ปี ราชธานีจะเขียวกว่านี้

เรามาอยู่ใหม่ๆนี่หัวแดงนะ ใครมาอยู่ใหม่ๆยกมือขึ้นซิ ราชธานีอโศก มีแต่พุ่มไม้ ไม้ล้มลุก ไม่มีต้นไม้ใหญ่ มีแต่พุ่มไม้น้ำ ที่นี่เขาเรียกป่าบุ่งป่าทาม ขนาดนั้นปีที่แล้วน้ำท่วมก็ทำให้ต้นไม้ตายไปเยอะ ต้นไม้ที่ไม่มีแก่น อ่อนแอ เช่นต้นมะละกอเสร็จหมด เตียนเลย เหลือต้นไม้ที่แข็งแรงบ้าง ก็เหมือนกับการคัดพันธุ์ ต้องแข็งแรงจะอยู่ที่นี่ เหมือนกับคนที่จะมาอยู่ที่นี่ต้องคัดพันธุ์ที่แข็งแรง แข็งแรงทางโลกุตระด้วย ไม่ใช่แข็งแรงทางโลกีย์ ทางโลกีย์เราสู้ไม่ได้หรอกเรายอมแพ้เรายอมให้คุณชนะไปเลย แข่งสุข แข่งยิ่งใหญ่มีอำนาจบาตรใหญ่ให้เข็ด เราหยุดแข่งแล้ว ถ้าจะว่าแข่งเราแข่งทางโลกุตระ การแข่งทางโลกุตระไม่มีตัวตนที่จะดีจะเด่นอะไรแต่แข่งความก้าวหน้า ไม่ใช่ข่มเบ่งกันเอาเปรียบเอารัดกัน แข่งกันแต่ละคนให้ก้าวหน้าแต่ละคนเจริญขึ้นเจริญขึ้น จริงๆแล้วก็คือแข่งตัวเอง วันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน   พรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้ ทำขึ้นไปมันก็ไม่เป็นพิษเป็นภัย ไม่เบียดเบียนใคร นี่เราพูดจริงนะ ส่วนจะได้มากได้น้อยเท่าไหร่ ก็เอาล่ะ ตามอินทรีย์พละบารมีของแต่ละคน

 

ลองอ่านของผู้ที่ตาบอดแล้วเขียนโคลงกลอนมา

ขนศิลาพาไปนิพพาน

เห็นปลวกตัวเล็กน้อยแข็งขยัน

 ไม่นับแม้คืนวันล่วงไซร้

กองทัพปลวกสร้างสรรค์จอมปลวกใหญ่เฮย

ยกอุปมาเทียบไว้มนุษย์นี้ คำนึง

ก้อนศิลา ก้อนศิลาใหญ่พ้นบ่าแบบ

มนุษย์ร่างน้อยตีแตกแยกร่าง

อดีตมือเปล่าย่อมแปลกข้ามขนหินมาไฉน

ความบากบั่นนี้ไซร้สร้างมหานาคร

สุภาษิตขึ้นสู่แดนสรวง

ไม่ใช่แดนสวรรค์ลวงแน่เด้อ

ครอบครัวมนุษย์ทั้งปวงพ้นจากทุกข์เฮย

มิใช่พุทธฝันเพ้อหลอกให้คนหลง

บรรพชนรุ่นแรกนั้น ก่อนา

ยังบ่มีศิลาเช่นนี้

อนุชนร่วมอาสาสร้างสิ่งมหัศจรรย์

พุทธชาติย่อมช่วยชี้เพาะเชื้อพุทธชน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(บุคคล 7) ตอน ธรรมะ 2 ของบุคคล 7  

พ่อครูว่า...เหตุปัจจัยในความเป็นมนุษย์ก็ดีความเป็นสัตว์โลกก็ดี มันก็เป็นเหตุปัจจัยที่จะสื่อแสดงให้เห็นถึงความพากเพียรถึงคุณค่าประโยชน์ต่างๆ ของแต่ละสัตว์แต่ละคน แต่ละฐานะ เพื่อให้เห็นว่าเขาสร้างกันทั้งวัตถุและจิตวิญญาณ โดยเฉพาะมนุษย์ สัตว์มันไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ บีเวอร์ก็ดีปลวกก็ดี มันก็ทำได้เท่าที่มันทำ ส่วนคนนี้ก็สร้าง คนที่เป็นโลกียะก็หลงสร้างกันไป ที่เห็นๆกันตามประสา มนุษย์ที่เป็นอาริยะ เป็นโพธิสัตว์ก็จะสร้าง บางโพธิสัตว์สร้างใหญ่ คำว่าศาสนาคือเพื่อเทิดทูนศาสนา เพื่อเทิดทูนพระพุทธเจ้า หรือพระเจ้าของเขา ก็ทำวัตถุขึ้นไป ทั้งๆที่ซ้อนๆในศาสนาเทวนิยม บางศาสนา ท่านบอกว่าไม่ติดวัตถุ อย่าเอารูปแทนสมมุติ แต่เขาต้องทำวัตถุก็ไปสร้างอันโน้นอันนี้ สร้างอาคาร วัตถุอื่น โดยเขาไม่ค่อยมีปฏิภาณว่าอย่าเอา รูปมาปนนาม เพราะว่าพระเจ้าเป็นนามธรรม

ศาสนาพุทธนั้นแยกรูปแยกนามไปตามลำดับ แม้แต่นามก็ไม่ใช่พระเจ้า นามคือนาม เพราะฉะนั้นจะทำนามธรรมด้วยจิตวิญญาณธาตุรู้ให้เจริญ เจริญอย่างไร

โลกุตระมีกี่ชั้น โลกุตระสูงสุดมี 9 ชั้น

 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมีสัมมาสัมโพธิญาณเท่ากัน แต่ไม่เท่าพระพุทธเจ้าสมบูรณ์นั้น แต่บอกว่าไม่เท่าก็เท่า ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าบางองค์ ท่านมีสัมมาสัมโพธิญาณเท่ากัน แต่เผยแพร่ศาสนาก็ทำงานศาสนาพุทธมาทั้งนั้นจนชาติสุดท้ายที่ท่านจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน ท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปเอง ทั้งทีท่านมีสยัมภูเท่ากับพระพุทธเจ้าทุกองค์ แต่ท่านไม่ได้ประกาศศาสนา ไม่ได้ประกาศกับโลกว่า นี่คือศาสนา นี่คือธรรมะของพุทธะแล้วให้คนมารับพุทธะนี้ไป ท่านไม่ได้ทำ แต่ท่านก็ทำมาตลอดที่เป็นโพธิสัตว์ปางสุดท้ายเท่านั้น ที่ท่านไม่ประกาศ ท่านเลยไม่มีชื่อให้คนรู้ว่า ท่านเป็นพระพุทธเจ้า แล้วท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่ต้องการแม้แต่ชื่อติดในทำเนียบโลกว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง สุดยอดแห่งความไม่มีตัวตนยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งด้วย

สู่แดนธรรมว่า...ทำไมพุทธประวัติไม่มีพระนามของพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย

พ่อครูว่า...เป็นพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้ามีภูมิเท่าพระพุทธเจ้า แต่ประเด็นที่มันต่างกันตรงนี้เท่านั้น ทำการสอนมาทำงานมาตลอด เป็นแต่เพียงชาติสุดท้ายเท่านั้น ชาติสุดท้ายชาติเดียว ที่ท่านไม่ประกาศศาสนาพุทธ พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์นั้นจึงยิ่งไม่มีตัวตนยิ่งกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความเหนือกว่าคือ 0 ยิ่งกว่า สิริมหามายา เข้าใจกันใหม่ สูญกว่าเพราะคนรู้จักน้อยกว่า ท่านไม่ได้ประกาศให้คนรู้จักในชาติสุดท้าย แต่ท่านปรินิพพานเป็นปริโยสานก่อน เห็นความซับซ้อนสลับไปมาไหม

ตกลงพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ไม่ประกาศศาสนาใครสูงกว่าใคร ...ไม่มีตัวตนยิ่งกว่า

วันนี้ขยายความพุทธภูมิถึงขนาดนี้

 

เข้าสู่ประเด็นที่เราจะซ้ำซาก บุคคล 7

 

สัทธานุสารี

ธัมมานุสารี

สัทธาวิมุติ

ทิฏฐิปัตตะ

กายสักขี

ปัญญาวิมุติ

อุภโตภาควิมุติ

 

 

สัทธานุสารี ธัมมานุสารีเป็นคู่ แต่เราก็ทำให้เห็นตามแพทเทิร์น สัทธานุสารี ก็ต่ำกว่าธัมมานุสารี

ธัมมานุสารีเป็นสายปัญญาโดยแก่นจริต เรียกว่าพุทธิจริต ไม่ได้เรียกปัญญาจริต

ธัมมานุสารีคือ ผู้ที่มีปัญญาเป็นแกนหลัก สืบทอดสายตรงของพระพุทธเจ้าเลย

สายศรัทธาโดยตรงจะช้านาน ใครยิ่งไปวนเวียนหลงติดวงวนโลกียะ คุณจะวิมุติโลกียะ เคหสิตอุเบกขา นั่งหลับตาสะกดจิต เหมือนอาฬารดาบส อุทกดาบส ไม่เอาอ่าวกับภายนอกไม่ใส่ใจเรื่องภายนอกทวาร 5 ภายนอก มุ่งแต่อยู่กับภายในแล้วก็ดับ แล้วบอกว่านี่คือวิมุตินี้คือนิโรธ ก็จมสู่ความหลงไกลจากวิเวก ไกลแสนไกล ไม่ใกล้เลย ไปใหญ่ ด้วยความไม่รู้ไม่มีพุทธิปัญญา หลงไป วนไป แล้วก็ฟื้นมาใหม่ ก็ไม่เข็ดอีก แต่ละชาติก็ทนได้ต่อทุกข์ ทนได้มากกว่าก็หลงสุขได้มากกว่าอีก ก็ตกนรกอเวจีหนักขึ้นไปอีก เมื่อหมดวาระแห่งฤทธิ์อำนาจ ใช้เวรเสร็จก็หลงสุขอีก ไม่รู้จักทุกข์ หลงสุข เป็นสุขนิยมไม่รู้จักทุกข์

เพราะฉะนั้นสายศรัทธาไม่ต้องพูดถึงว่าความวนเวียนจะนานแสนนาน จนกว่าสายศรัทธา จะมามีความรู้ทางปัญญา เริ่มรู้ทางปัญญาก็จะเริ่มมาเป็น ธัมมานุสารี แต่ก็ติดสัทธาวิมุติมาพอสมควร นี่ไม่ได้ใกล้ปัญญาวิมุติเลยนะ ปัญญาวิมุติจะอยู่ขั้นที่ 6

สัทธาวิมุติ เริ่มมีความรู้บ้างแต่ก็วนเวียนอยู่ในกรอบเข้ามาเป็นสัทธานุสารี สัทธาวิมุติ อยู่ในวัฏฏะวงวนของสามเส้า ความนานของศรัทธา

ผู้ใดเกิดมาเป็นสัทธาจริตก็อย่าเพิ่งไปลงโทษตัวเองอย่าไปท้อถอย พากเพียรไปตามควรเลยในไหนๆก็ไหนๆแล้ว หรือเช่นใครเกิดมาเป็นผู้หญิงก็อยากมาเป็นผู้ชายเป็นอรหันต์ผู้ชายก็ไม่ต้อง ให้จบพระอรหันต์ก่อน หมดทุกข์หมดโศกเท่ากัน แล้วบารมีของพระอรหันต์ถ้าดำเนินเป็นโพธิสัตว์ไปวันหนึ่งคุณก็ได้เป็นผู้ชาย แล้วคุณจะรู้เองว่าเป็นผู้ชายดีกว่า แล้วก็จะมีบารมีที่ทำถ้วนมาเอง ไม่ต้องอยาก หากอยากจะกลายเป็นกะเทย เอาธรรมะโลกุตรธรรมดีกว่า ไม่ต้องอยากเป็นผู้ชาย หากเป็นเองได้จะเป็นอย่างจริงถ้าอยากเป็นมันจะไม่จริง ความอยากมันทำให้เสียหาย

ธัมมานุสารีก็จะมาเป็น ทิฏฐิปัตตะ ธัมมานุสารีคือคนผู้ตามหาแก่นสาร นิพพานเป็นแก่นสาระ ในมูลสูตร สายศรัทธาก็จะได้มาต้องเสริมบารมีให้ตัวเองจนก้าวหน้าเป็นทิฏฐิปัตตะ คือ ความเข้าถึงด้วยปัญญาตามความเห็นความรู้ ไม่ใช่บรรลุด้วยสมถะ แต่บรรลุด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ ส่วนธัมมานุสารีนั้นตรงเลย มาทิฏฐิปัตตะ

ส่วนสายศรัทธาก็จะมาเป็นกายสักขี เพราะสายศรัทธา จะเอาแต่ภายในไม่ออกมาภายนอกเพราะไม่ชัดเจนในคำว่ากาย

กาย แยกข้างนอก ออกบ้างไม่ออกบ้าง ไม่เอาภาระเต็มที่ไม่ทำกายนอกกายในให้สมดุลก็จะเอียงโต่งไปด้านภายใน ก็จะช้า เป็นธรรมดาธรรมชาติจนกว่าจะชัดเจน

ถ้าสายศรัทธาพยายามเข้าหาสายปัญญาให้ดี แต่อย่าไปอยากได้ พากเพียรไปตามลำดับจะได้เป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องให้รู้การศึกษา 3 ทำศีล แล้วให้เกิดจิตอธิจิตบรรลุสั่งสมๆ ตามจรณะ 15 วิชชา 8 แล้วก็จะตกผลึก เป็นจิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่นจะเกิดหลังจากที่คุณมีความบริสุทธิ์สะอาดจากอาสวักขยญาณ

อาสวักขยญาณ คือญาณที่ 8 ของวิชชา 8 แล้วก็จะสั่งสมความสะอาดของจิต หากไม่ถึงขั้นญาณที่ 8 ก็สั่งสมมาเรื่อยๆ เป็นลำดับที่หมุนรอบเชิงซ้อน ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา

อัญญา เป็นตัวละเอียดที่ง่ายที่ชัดที่เร็ว ก็จะเห็นเป็นปัญญาวิมุติ ก็จบปัญญาวิมุติ

 

มาขยายกายสักขี

มาทิฏฐิปัตตะ อ้าวจอใหญ่ดับไป...มาแล้ว

กายสักขี พระพุทธเจ้าถึงสำทับกำชับไว้ว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

แต่ถ้าคุณเริ่มด้วยสักกายสักขี คุณก็ยังเข้าใจ กาย ยังไม่สมบูรณ์แบบสมาธิบริบูรณ์ สายปัญญาก็จะมีสัมมาทิฏฐิบริบูรณ์ พระพุทธเจ้าจึงต้อง สำทับว่า ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายชนิดที่พ้นวิจิกิจฉา

วิจิกิจฉาเขาอธิบายกันแค่ไม่ลังเลสงสัยในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ก็ได้ เป็นโครงสร้างที่หยาบ ก็ใช่ นามธรรมนั้นคือเข้าใจกาย รู้จักกาย แล้วไม่ต้องเป็นของคนอื่น เอากายของตนนี้ สัมผัสและเกิดภายนอกภายใน เราเรียนรูปนามทั้งภายนอกภายในให้สัมผัสสัมพันธ์กันครบถ้วนรู้จักรูปรู้จักนามรู้จักสภาวะ 2 เป็นภายนอกภายในก็ดี เป็นรูปเป็นนามก็ดี จนกระทั่งแยกกายแยกจิต เทวะ ก็ 2 คำว่า 2 แล้วแยกให้ละเอียด ตีแตกแยกแยะให้ละเอียด distinguish ต้องอ่านให้ถูกต้อง มีคนท้วงอาตมามา อาตมาฝรั่งแค่ไส้เดือนกิ้งกือไม่ระดับงูๆปลาๆด้วยซ้ำ

 

ท่านจึงสำทับสายศรัทธาว่ต้องทำต้องเรียนรู้กายให้ชัด

 

รู้ กาย รู้ จิต แยก กาย แยกจิต

ทวนอีก

กายกับจิตเป็นมูลกรรมฐาน พอมาบวชในศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้ากำชับกำชาอุปัชฌาย์ต้องมีความรู้เรื่องการแยกกายแยกจิตให้สำคัญ ถ้าไม่เข้าใจอย่างสัมมาทิฏฐิแยกกายแยกจิตไม่สัมมาทิฏฐิไม่ถูกต้อง ก็ไม่ได้  เพราะรูปนามสัมพันธ์กัน เรียกว่ากาย เมื่อไหร่มันสัมพันธ์แล้วไม่เรียกว่ากาย

พีชะ เป็นชีวะ อยู่ในชีวะเรามีขั้นจิต ขั้นพีชะ ขั้นอุตุ ในอรหันต์เป็นๆ

 

โลกที่สัมพันธ์เสพติดอยู่กับอบายมุข เราก็เรียนรู้จิตที่ติดอบายมุข อันมีวัตถุด้วย ติดเล่นไพ่ เล่นไปเล่นมาสู้เขาไม่ได้สักที อาตมาก็ว่าเรายังไงก็ไม่ขึ้น ไปหัดกินเหล้าเบียร์ก็สู้เขาไม่ได้ แทงบิลเลียดก็สู้เขาไม่ได้ แทงจนแขนยกไม่ขึ้น แต่ถึงเวลาจะแทงก็ยกขึ้น ถือคิว เล็ง แล้วมันจะไหวหรือ ก็รู้ว่าตัวเองไม่เจริญทางอบายมุข ก็เลยถอยดีกว่า ไม่ว่าจะกินเหล้า เล่นการพนันจีบผู้หญิง แข่งงานทางดาราไม่ขึ้นสักอย่าง แต่แรกว่าทำไมเราอาภัพ แต่ตอนหลังก็รู้ว่าคืออะไร ด่าเขาอีก ก็ไม่ใช่ด่าหรอก ให้รู้ว่าอันนั้นไม่ใช่สาระอะไรแก่ชีวิต แสดงไม่ต้องได้รางวัลตุ๊กตาทอง อาตมาแสดงไม่มีสิทธิ์ได้เป็นพระเอก เป็นพระรองๆๆๆ ไม่ใช่แค่พระรองที่2 นะ หรือไม่ก็เป็นตำรวจมาตอนจบ ได้เป็นพระเอกอยู่เรื่องหนึ่ง เป็นขอทาน มีภาพเลย สุลาลีวัลย์ เป็นนางเอก

สรุปแล้วไม่เด่นทางโลกีย์ยิ่งทางอบายมุขยิ่งหมดท่า ส่วนคนอื่นที่เป็นเพื่อนก็เล่นไพ่กัน นพพร สุรพล โทณะวณิกก็เป็นขาเล่นไพ่กัน สมภพ สัมมาพันธ์ก็ตายไปแล้ว เห็นภาพไหม (insert ภาพพ่อครูสมัยฆราวาส)

มายืนยันว่าอาตมาก็ผ่านมาไม่เด่นสรุปแล้วไม่ขึ้น ทางการเต้นกินรำกินไม่ขึ้น ก็ทำงานอยู่ในโทรทัศน์อาตมาก็ถูกจับไปอยู่ทางสาระวิชาการ ทั้งที่ไม่จบปริญญาตรี ใครก็ไม่เชื่อว่าไม่จบปริญญาตรีคบกับอธิบดีคบกับผู้อำนวยการ คบกับครูใหญ่คบกับนักวิชาการ ติดต่อมาออกร่วมโอภาปราศรัย สัมภาษณ์อย่างนั้นอย่างนี้อย่างกับตัวเองแสนรู้มีความรู้ จนคนเข้าใจผิดหมด แต่ตัวเองปริญญาจัตวาก็ไม่ได้มีแต่ ปวส. แต่ก็ทำงานเอาสาระ ทางวิชาการออกโทรทัศน์มา ก็ทำแม้แต่เด็กๆก็เอาภาระทำรายการของเด็กรายการ ของหนุ่มสาว ของชนชั้นวิชาการต่างๆก็พอสมควร จนกระทั่งสรุปแล้ว 12 ปีในทางโลกีย์ ก็เลิกมา มาทำงานทางธรรมะอย่างเต็มไม้เต็มมือ คือมันชัดเจนในตัวเองเลย

พอออกมาทำงานด้านนี้แล้วถึง 50 ปี อาตมาอยู่ทางโลกอายุ 36 ตอนนี้ ทำงานทางธรรมะมา 50 ปีก็อายุ 86 ปี ได้ผลประมาณนี้ เป็นความจริงประมาณนี้ มีสังคมที่เป็นสาราณียธรรม 6 มีคนได้บรรลุผลไปตามควร ได้ธรรมสมควรแก่ธรรม ก็มาอยู่ร่วมกันตามวรรณะ 9 ก็มาอยู่รวมกันด้วยธรรม 6 คือ เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา

พระโสดาบันก็รู้ว่าเสมอกับพระโสดาบันในพระโสดาบันก็มีความต่างระดับกันอีกมากมาย ไม่ไปเผยอ เกินเหตุ ไปตีตัวเสมอสกิทาคามี

พระสกิทาคามีก็ไม่มีตีตัวไปถึงพระอนาคามี ก็จะมีปัญญารู้สัจจะ อยู่ร่วมกันอย่างสงบ มีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรมโดยมีหลักของศีลสามัญญตา แล้วก็มีความเห็นความรู้ความเข้าใจคือเป้าหมายในพระนิพพานคือทิฏฐิสามัญญตา

แล้วอยู่กับโครงสร้างใดคือสาธารณโภคี ลาภที่ได้โดยธรรม แต่ละคนสร้างแล้วมารวมกัน ลาภธัมมิกา ไม่มีทุจริตไม่มีขี้โกง สะอาดบริสุทธิ์ เท่าที่จะเป็นไปได้ มันอาจจะมีแทรกแซงมีบกพร่องอยู่บ้าง เห็นแก่ตัว ยึกๆยักๆอยู่บ้าง แต่ทุจริตไม่มี ก็ยังไม่รู้ว่าใครขโมยมือถือ จับได้แล้วควรจะชำระให้สำคัญ อะไรกันจะมาเอาดีแค่ขโมยโทรศัพท์

โทรศัพท์มันยิ่งใหญ่หรือ อาตมาใช้ไม่เป็น ให้คนอื่นใช้แทน ก็ใช้พูดคุย เปิดปิดก็ยังไม่เป็นเลย ก็พอรู้เล็กๆน้อยๆ แต่ไม่ศึกษาฝึกฝน ให้ผู้ที่เก่งเขาช่วยเขาทำ เหมือนตัวเองขี้เกียจแต่ไม่ขี้เกียจแต่ไม่เอาไม่ทำ เอาพลังงานไปใช้ในทางอื่นที่สำคัญดีกว่า

สรุปแล้วเราก็เกิดผลเป็นกลุ่มชุมชนสังคม ที่เรามีกันนี้ เป็นกลุ่มชุมชนที่เป็นสาธารณโภคี ทางเศรษฐศาสตร์ ก็ถึงขั้นเสียภาษี 100% สาธารณโภคีทางรัฐศาสตร์ ก็บริหารโดยไม่ต้องบริหาร รัฐบาลไม่ต้องบริหารพวกเราช่วยบริหารขัดแย้งกันนิดๆหน่อยๆตามลักษณะประชาธิปไตย

ประชาธิปไตยคือการขัดแย้งกันพอเหมาะ พวกเราไม่ขัดแย้งรุนแรงเหมือนภายนอก ทุกวันนี้เมืองไทยจะมีตัวอย่างคนอย่างธนาธร หรือดร.ปิยบุตร  ก็ต้องขอบคุณที่เขาเสียสละเป็นตัวตลกเป็นตัวละครให้แก่สังคมทางการเมือง ก็ต้องขอบคุณเขาที่เขาเป็นตัวตลก ตัวกับแก้ของเวทีที่จัดแสดง จริงๆแล้วแสดงแบบธนาธรแบบปิยบุตร มันเป็นการแสดงถอดมาจากทักษิณนั่นแหละ ซึ่งทักษิณเขาก็เป็นหัวเรือใหญ่ มีสมัคร ยิ่งลักษณ์ ใช้ Woman touch

เศรษฐกิจสาธารณโภคีของชาวอโศกเป็นแกนหลัก เราไม่ได้จนใจ แต่เราจนจริง ใจนี่มันจริงๆกับความจน มันไม่มีปัญหา ชัดเจนว่าจนที่ไหนดี มีแต่บอกว่าระวัง ทีเราก็จนไม่ลง พูดไปแล้วก็อย่าไปGuilty ว่าเรายังทำไม่ได้

ทำงานไม่มีเป็นของตัวของตนทำงานเพื่อผู้อื่นจริงๆเสียสละสร้างสรรไป ไม่ต้องห่วงไปหรอก เขาก็เห็นความจริงของเราเอง เขาจะเห็นจะรู้ว่าคนนี้ ปาสาทิโก อาการน่าเลื่อมใสน่านับถือน่ายกย่อง วรรณะ 9​ อปจยะ ไม่สะสม วิริยารัมภะ มันเป็นจริงตามธรรมพระพุทธเจ้าเป็นหลักที่ตรวจสอบได้ทุกเมื่อเลย พิสูจน์แล้ววรรณะ 9 สาราณียธรรม 6

พวกเราทำได้ไม่ใช่โมเม เป็นเรื่องจริง เราทำงาน ไม่มีใครเอารายได้มาเป็นของตน หรือบางคนยักนิดหน่อยก็ตัวใครตัวมัน แต่คนชัดเจนว่าไม่เอาหรอก เขาไม่ให้ก็ไม่ใช้ ทำสุดที่แล้วจบ หาทางอื่นโดยไม่ต้องใช้เงินก็ได้มีอะไรให้ทำเยอะแยะ ก็สบายมากเลยในนี้ สบาย  สะดวก  สงบ  สะอาด  สว่าง  สุภาพ สุดยอด ไม่รู้กี่ 5

เพราะฉะนั้นเมื่อคนที่ประพฤติปฏิบัติได้จริงก็มาร่วมอยู่กับเราก็เป็นเอกีภาวะ เอกธรรม เป็นหนึ่งเดียวกันเห็นๆอยู่ร่วมกันเป็นรูปร่างชัดเจน เราชัดไหม แต่คนอื่นไม่ชัดก็จะมองเรา เขาตายังไม่ดี เขาไม่เชื่อ ไม่มีปัญหาเลย ใครจะเชื่อจะชัดหรือไม่เชื่อไม่ชัดก็ไปบังคับเขาไม่ได้เราก็ทำของเราจริงๆ ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด อันนี้ก็เป็นสัจจะที่อาตมาเห็นจริง ทุกคนทำให้สะอาดด้วยตัวเอง มันจะมีบกพร่องไม่สะอาดก็ทำให้มันสะอาด มันยังไม่ได้ก็พยายามให้รู้ว่าอันนี้ยังเกินตัวเองอยู่ ถ้าไม่ไหวก็เอาไว้ก่อน ก็ไม่ต้องอยากเจริญเร็วก้าวหน้าอยากจะสูงเร็ว เราก็รู้ฐานะของตัวเอง ช่วยกันอยู่แล้ว เป็นสังคมมิตรสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์

ผู้ใดที่มีฉันทะมีความยินดีเข้าใจก็มาเริ่มต้น ตามสุริยเปยยาลสูตร

แสงเงินแสงทองต้องมาก่อน

สุริยเปยยาล (เล่ม 19  ข.129 - 136)

[129]  มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[131]  สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[132]  ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[133]  อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[134]  ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[135]  อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[136]  โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

มนสิการแปลว่าการทำใจในใจ เขาทำเหมือนกันแต่ทำไม่ถูก ไปนั่งหลับตาไปศึกษาอาจารย์ต่างๆที่มีความแตกต่างแต่เป็นสำนักที่ทำแบบนั้นเยอะมากมาย ก็เหมาะสมกับตัวเองศึกษาแล้วก็จะรู้จริงรู้พอคนช้าก็ช้าคนเร็วก็เร็ว

สรุปแล้ว

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ…

สมณะฟ้าไท

 

พ่อครูว่า…มีประกาศขอเชิญประชุมสหกรณ์คนของแผ่นดิน โดยมีพ่อครูเป็นประธานที่ประชุมตอนบ่ายโมงตรง วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาสวะ อนุสัย) ตอน อนุสัยกับอาสวะ 

เข้ามาสู่สำทับอีกที ทิฏฐิปัตตะ แล้วต้องมากายสักขี ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าจึงได้สำทับไว้ แต่เขาไปแปลเผินไป สายปัญญาธัมมานุสารีมาเป็นปัญญาวิมุติ เขาแปลว่าไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แต่ที่จริงแล้วท่านสัมมาทิฏฐิทำมาแต่ต้นแล้ว จนสิ้นอาสวะ คือปัญญาวิมุติ ส่วนกายสักขี อาสวะบางอย่างสิ้นไป ต้องไปเติมสัมมาทิฏฐิ จึงทำให้เป็นปัญญาวิมุติ ส่วนสายสัมมาทิฏฐิสายธัมมานุสารีนั้นมาเป็นทิฏฐิปัตตะแล้วมาปัญญาวิมุติเลย

สายศรัทธา มาแวะที่กายสักขีก่อนถึงจะเป็นปัญญาวิมุติ แล้วค่อยเป็นอุภโตภาควิมุติ

อุภโตคือ 2 ท่านใช้คำว่าสิ้นอาสวะ เป็นพระอรหันต์แต่ยังไม่ดับอนุสัยยังไม่สิ้นอนุสัย

คำว่า อนุสัยกับอาสวะมีนัยสำคัญต่างกัน

อนุสัยกับอาสวะ

อนุสัยนั้นลึกกว่าอาสวะ

อนุ กับ อาส คำว่า สยะ กับ สวะ อนุสัยนี้ สย

ย กับ ว เป็นพยัญชนะเศษวรรคทั้งคู่ ย ร ล ว ตัว ว ตัวที่ 4 หยาบกว่า ย ที่เล็กละเอียดกว่า การเกิดตัวตนนั้น ยะ เกิดก่อน แล้ววนสามเส้า ก็ต้องตีแตกแยกออกมาเป็น ว

ผู้ที่จะเล็กลงๆ ถึง ย ตัว สยะ จึงสูญได้เร็วกว่า สวะ

 

มีอีกตัวหนึ่งคือ สักกะ คือหยาบกว่าเป็นก้อนแท่ง ก เป็นตัวแรกของพยัญชนะเลย นี่คือพยัญชนะสื่อสภาวะต่างๆละเอียดลึกซึ้งมากค่อยๆอธิบายไปแล้วทำไมยังฟื้นความรู้ทั้งหมดไม่ได้ ในพยัญชนะทั้งหมด เข้าใจได้หมดทุกตัวแต่ว่าเอามาใช้ทั้งหมดยังไม่ได้

 

กายสักขี จึงกำชับว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย (นเหวโข) สายสัทธานุสารี ทิฏฐิปัตตะจะไปเป็นปัญญาวิมุติได้เลย เลยไม่ต้องผ่านกายสักขีเพราะรู้จักกายได้ดีแล้ว รู้สักกายะทิฏฐิ พ้นวิจิกิจฉาต้องแยกกายแยกจิตได้ถูกต้อง

กายต้องเป็นจิต ถ้าผู้ใดเข้าใจว่ากายไม่มีจิตร่วมเลย โมฆะเลย จบเห่เลย กายคือร่างดินน้ำไฟลม ไม่เกี่ยวกับจิต ผู้ใดมีทิฏฐิเข้าใจได้แค่นี้ก็วนอยู่กับโลกียะสร้างภพชาติกับอาจารย์มั่นหลวงตามหาบัวหรือธัมมชโย เขาสร้างภาษาสมัยใหม่เป็นสวรรค์เฟสที่ 2 3 4 ธัมมชโยไปใหญ่เลย

ขออภัยต้องขอบคุณทั้งธัมมชโยทั้งมหาบัวหรืออาจารย์มั่น ที่อาตมาหยิบมาอาศัยตัวละครในคำอธิบาย เป็นเรื่องมีจริงเป็นจริงปรากฏ phenomenal ไม่ใช่สร้างนิยายเอา แต่นี่ตัวบุคคลจริง

ตอนนี้ดีที่เขายกย่องอาจารย์มั่น UNESCO ยกย่อง เทวนิยมที่เขาดีเขาเก่งทางเทวนิยมเขาก็มีก็เก่งแต่มาให้ทางศาสนาพุทธที่เป็นอเทวนิยม Atheism  ส่วนเราก็ทำให้ดีและเป็นคุณภาพ เป็นคุณสมบัติรูปธรรมที่ดูได้ชัดเจนที่ง่าย ตั้งใจฝึกฝนรวมตัวกัน ช่วยกันสร้างสรรค์

เพราะฉะนั้นคำว่า น เหว โข ไม่ได้แปลว่าไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แต่แปลว่า ไม่ต้องไปกล่าวว่าท่านจะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย  เพราะท่านรู้จักกายได้ดีอยู่แล้ว ถ้าไม่เข้าใจคำว่ากาย

เมื่อใดเป็นกายเมื่อใดไม่เป็นกาย จะขอออกไปสู่ปุตตมังสสูตร

เมื่อจะเป็นกายหรือไม่เป็นกาย ต้องรู้ กาย จิต อุตุ พีชะ

กรรมเป็น Dynamic ธรรมะ เป็น Static เป็น Nuclear Fusion กับ Fission

เมื่อใดเป็นอุตุ เมื่อใดเป็นพีชะ เมื่อใดเป็นจิต

เอาที่ตัวคน ผมขนเล็บฟันหนัง ให้แยกในตัวเราให้ออก ผมกับเล็บอธิบายยาก ฟันก็แน่นไป ขนก็ยิ่งเล็กกว่าผมอีก เอาเล็บนี่แหละชัดดี เป็นแท่งเป็นก้อนดี

เพราะฉะนั้นความเป็นเล็บ ถ้าเล็บเรายาวออกมาพ้นประสาท ความเป็นเซลล์ความเป็นเนื้อ เวทนา ตรงที่จิตไม่ได้ร่วมแล้ว จิตจะมีเวทนา สัญญา สังขาร จิตเป็นภาษาแยกจากวิญญาณมาเรียกลักษณะหนึ่ง แบ่งเป็น วิญญาณ จิต เจตสิก ส่วนเจตสิกก็แยกละเอียดของจิต

เป็นเจตสิก 89 หรือ 121

เจตสิก แยกเป็น เวทนา สัญญา สังขาร ส่วนวิญญาณเป็นตัวรวม

เวทนาแยกเป็นโลกียะกับโลกุตระ เมื่ออาการของจิตเราในขณะเป็นๆ มันมีโลกความวน แต่ความที่เราไปวนจะต้องสุข ทุกข์กับเรื่องพวกนั้นอยู่ แต่ก่อนไปเล่นไพ่ กินเหล้า สูบบุหรี่ ผู้หญิงก็ไปทางโน้น คุณนายก็ไปวงไพ่หรือไปช้อปปิ้ง ไปเต้นไปDrink ไปช้อปปิ้งไปซื้อเพชรแข่งกัน นั่นแหละก็เป็นสังคมที่ตัวเองต้องไปวน มันรู้สึกว่าเป็นความสุขมันยิ่งใหญ่มันจำเป็นมันสำคัญ จนกระทั่งเห็นแล้วว่ามันไม่จำเป็น เราก็จะสั้นลงในโลก เรานั้นทิ้งโลกที่เราไปวน ให้วนน้อยลง มาหาสาระแท้ที่เป็นโลกุตระ ก็วนกับ พระโสดาบันสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ มีที่เรียนอีกตั้งเยอะ

เพราะฉะนั้นผู้ที่มีปัญญาปฏิภาณก็จะรู้ว่าอย่าไปเสียเวลาเลย เก็บเวลาของข้าคืนมาแรงงานของข้าคืนมา ทุนรอนของข้าคืนมา สามอย่างนี้ เคยสูญเสียไปเยอะ เอาคืนมา

เงินอาตมาก็ใช้ทำหินดีกว่าไปทำเพชรทอง ไม่ต้องเลย เอามาใช้ทำหินดีกว่า สร้างไปจนกว่าอาตมาจะตาย บ้านไม้เมืองหินก็มีอะไรพอสมควร นี่หินเล็กๆน้อยๆยังไม่ได้จัดเลยกองเต็มเลย น่าจะจัดบ้าง ตกลงทำหินใหญ่ก่อน หินเล็กให้ไม้ร่มทำ ส่วนหินใหญ่ก็ทำกันไป เป็นบ้านไม้เมืองหิน บ้านดินเมืองน้ำ บ้านงามเมืองพุทธ บ้านพิสุทธิ์เมืองอมตะ

เป็นตัวอย่างของการแยกกายแยกจิตได้จริง ก็คุณทำให้จิตของตัวเอง ไม่ต้องรู้สึกไม่ต้องมีรสชาติ เป็นวัตถุจริงๆไม่ปรุงแต่งอะไรกับชีวิตโยนทิ้ง เป็นเศษของทิ้งไปเลยอุตุ ใครเห็นลิปสติกเป็นดินเป็นหินเลยก็ไม่ต้องมาเกี่ยวกันเลย ก็เห็นธนบัตรเห็นทองเห็นเงินเป็นเศษดินเศษหินเลยก็ไม่ต้องไปร่วมไปมี มีก็อาศัย เราก็อาศัยดินน้ำไฟลม ก็อาศัย ไม่มีก็ไม่เป็นไร อะไรทดแทนก็ได้

ทีนี้มันเป็นชีวะ แต่มันไม่เป็นเวทนามันไม่เป็นความรู้สึก เล็บเรายาวออกมาเป็นชีวะนะ มีอาหารเลี้ยงมันก็ยังยาวออกไปพร้อมกันและฟันหนัง มี cytoplasm มี protoplasm มีองค์ประกอบเป็นเซลล์ออกมาเรื่อยๆ มันยังโตได้ แต่ไม่มีความรู้สึกไม่มีเวทนา ไม่มีกรรมไม่มีวิบาก ไม่มีบาปไม่มีบุญ ตัดทิ้งก็ได้ เป็นอุตุไป แต่ไม่ตัดก็เป็นพีชะเป็นพืช เล็บเราที่ยังไม่ตัดออกเป็นชีวะยาวออกไป คนติดเล็บก็เอาไป paint หรือพวกไว้เล็บยาวๆ เคยเห็นไหม? เขาถือว่าวิเศษใครมาแตะไม่ได้จะร้องไห้ตายเลย คือหลง นึกว่าเป็นของวิเศษ ทรมานทรกรรมตัวเอง

ถ้าเขายังไม่ชัดเจนลักษณะของอุตุเป็นอย่างนี้ อุตุ มันเป็นดินน้ำไฟลม พระอรหันต์ทำจิตตนเองแยกเป็นอุตุได้เลย จึงตายแล้วแยกธาตุจิตตนเป็นอุตุเลย ก็ไม่รวมตัวเป็นจิต หรือพีชะได้ กว่ามันจะรวมตัวเป็นแสงสีเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า ก็นานๆๆ กว่าจะรวมตัวมาเป็นพืชก็อีกนานๆๆๆๆ กว่าจะมาเป็นสัตว์ก็อีกนานๆๆๆ ยิ่งกว่าอีก

จากสัตว์ก็จะมารู้กรรมวิบากก็อีกนานเป็นอจินไตย เป็นเรื่องที่ไม่ใช่เอามาพูดเล่น ต้องเชื่อกรรมเชื่อวิบากเชื่อกรรมเป็นของของตน จะทำกรรมในที่ลับและที่แจ้งก็เป็นของเรา

การแยกกาย แยกกาม แยกกรรม ออก พยัญชนะคล้ายกันนะ

การกระทำที่เป็น กาม แล้วก็เกี่ยวข้องกับสองสภาพกาย มีภายนอกภายใน เมื่อสัมผัสกันก็เกิดมามีความรู้สึกเจ็บรู้สึกปวด รู้สึกรักชัง อย่างแรง เป็นจิต

แต่ถ้าไม่แล้ว ไม่รู้สึกเจ็บปวด ไม่จองเวรจองกรรม มีแต่ตัวตนของพืชเท่านั้นเอง ไม่ได้ก็ไม่มีการ ผลัก ไม่มีโทสะ มีแต่ราคะ มีแต่ตัวที่ราคะนี่ก็คือ รากะ ก็คือราก

พอจาก รากะก็มาเป็นราคะ

กะ คือกก ต้น กอ เสร็จแล้วได้ก็เป็นการเคลื่อนที่เป็น ค มาเป็นราคะ

กะ ตัวต้น ข คือว่าง เป็นสองธาตุ ธาตุมีกับภาพที่ว่าง

มาเป็น ค คือสามไม่ว่างแล้ว เป็นราคะ

เอา อะกับอาใส่ อะสั้นกว่าอา

รักนี่ไม่ลงราก อาตมารัก ไม่ลงราก แต่จะตายด้วยรากหรือเปล่า? มันไอ อาเจียน รากไม่ออก หากรากไม่ออกก็ตาย ต้องรากออกจะไม่ตาย

 

จบ


เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 13:41:53 )

630216

รายละเอียด

 

630216_รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ต้องศึกษาอาหาร 4 จึงทำจิตให้เป็นอุตุได้

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/19ID2uHI96-i5mZ8cCpXFp5E1I0MO7Qz1cUAm4xIcurs/edit?usp=sharing                       

 

ดาวโหลดเสียงที่  https://drive.google.com/open?id=1n_RijhaF8ypLrRZ-re7HFv6bB-Ntg3Uj

 

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 ที่บวรราชธานีอโศก ผ่านงานพุทธาภิเษกคนสนใจฟังธรรมและสนทนาธรรมกันมากขึ้นเป็นสิ่งที่น่ายินดี อาตมาก็ได้ไปอบรมธรรมะให้พ่อค้าแม่ค้าเฮือนบวร ให้เป็นพ่อค้าแม่ค้าอาริยะ ถามว่าใครอยากเป็นพระโสดาบันบ้างไม่มีใครยกมือเลย

พ่อครูว่า…ก็ขอโอภาปราศรัยกับ SMS วันที่ 8 – 12 ก.พ. 2563

 

_7230 ขอให้พี่น้องชาวอโศกทำใจ ไม่ควรตำหนิหลวงปู่มั่นเพราะมันจะบาปมาก ให้พ่อครูพูดแต่ผู้เดียว

พ่อครูว่า…ก็ดีก็พยายามแยกแยะว่า อาตมาสมควรตำหนิได้

_5562 มีชายคน1 เข้ามาทักทายดิฉันและลูกสาว และบอกว่า เป็นญาติธรรม ชาวอโศกทำตัวน่านับถือ พูดคุยธรรมะให้ลูกสาวฟังบ่อยๆ ต่อมาลูกสาวบอกว่า เขาพูดเชิงจีบ ถามว่ามีแฟนหรือยัง? เขามีเงินมากนะอยู่กับเขาแล้วสบายฯ ดิฉันและลูกงงมากค่ะ ญาติธรรมอโศกคงไม่มีพฤติกรรมแบบนี้ใช่มั้ยคะหรือเขาแอบอ้างคะ

จาก : พิศมัย ริเวอร์เฮ้าส์ กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพศรัทธาค่ะ

พ่อครูว่า…อาตมาก็ว่าสังคมชาวอโศกไม่มีพูดเช่นนี้ แบบที่มีกิเลสบ้างก็คงจะไม่ตรงขึ้นอย่างนี้ ก็คงไม่ใช่ชาวอโศกแน่นอน

 

_จิตรา อัศวิน กราบ :_/\_นมสก พ่อครู ที่เคารพยิ่ง เป็นภาพอันงดงามยิ่งนักที่ได้เห็น ได้ฟัง พระโพธิสัตว์แสดงธรรมในวันมาฆะบูชาท่ามกลางหมู่และฆราวาสใต้แสงจันทร์ในมาฆะฤกษ์นี้..สาธุๆๆ

 

_แมน สปริงเกอร์ : กราบพระโพธิสัตย์ระดับ7สายพุทธิปัญญา

 

_จักรพล พุทธพัฒนา : กราบนมัสการพ่อครูผู้โพธิสัตว์ ผู้ปฏิบัติวิรัติชัดเจนหนอ ผู้ทรงคุณธรรมละเอียดละออ ข้าน้อยขอพองามทำตามภูมิ(อนาคาริกชน)

 

_ที่ไหนมีทีมไก่ ที่นั่นมีกู : ผมงงครับ กรรมเป็นไดนามิก

 

_9309กราบนมัสการกราบอนุโมทนาบุญกับพระคุณเจ้า พ่อท่านสมณโพธิรัก ที่ได้สร้างน้ำตกท่ามกลางความร้อนระอุของภาคอีสาน เป็นที่พึ่งพิงของเด็กเด็กและบุคคลทั่วไป ข้าพเจ้าเป็นผู้ชมรายการทีวี ของชาวอโศกและได้ช่วยบำรุงค่าน้ำค่าไฟค่าเช่าสถานีเล็กๆน้อยๆ ตามกำลังของข้าพเจ้า

ก่อนอื่นข้าพเจ้าขออนุญาตท้าวความสักนิด จังหวัดอุบลราชธานีและภาคอีสานเป็นต้นกำเนิดของพระอาจารย์เกจิต่างๆที่เคร่งครัดในธรรมวินัย แต่ในทางกลับกันจังหวัดอุบลราชธานีและภาคอีสานเป็นจังหวัดที่มี โรงเชือดวัวและบริโภคเนื้อวัวมากที่สุดในประเทศยกเว้นจังหวัดที่มีศาสนาอิสลาม แสดงว่าความเมตตาตาสัตว์ที่มีคุณ ของคนบางส่วนมีน้อยหรืออาจจะหนาส่วนก็เป็นไปได้ข้าพเจ้าเห็นว่าในช่วงเดือนที่เป็นช่วงหน้าร้อน หรือช่วงปิดเทอมจะมีผู้ปกครองพาบุตรหลานมาเล่นน้ำตกบางทีมาเป็นรถบัสเป็นหมู่คณะ ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นโอกาสอันดีที่ทางชาว อโศกจะได้เผยแพร่ธรรมะที่ถูกต้องให้กับเยาวชนทั่วไป ไม่ใช่เห็นว่าทางวัดเป็นฟรีสวนสนุกมาแค่ผ่อนคายเฉยเฉย ข้าพเจ้าขอส่งความเห็นว่า ควรจะ ล้อมเชือกหรือทำยังไงก็ได้ไม่ให้เข้าน้ำตกได้ง่ายง่าย ก่อนเข้าควรจะเชิญให้หมู่คณะรับรู้รับฟังความเป็นมาของชาวอโศก ศีลห้าและวิบากกรรมของการผิดศีล หรือให้เยาวชนและผู้ปกครองได้ดูวิดีโอชีวิตร่ำไห้จะได้ปลูกฝังจิตวิญญาณของความเมตตา บางทีไก่ย่างเนื้อย่างหมูย่างที่ผู้ปกครองแอบเตรียมมาให้เด็กเด็กเอาไว้กินตอนเล่นน้ำตก เมื่อได้ดู วิดีโอชีวิตร่ำไห้แล้วเค้าอาจจะนำไปทิ้งก็ได้ หรือถ้าทำไม่ได้จริงๆก็ควรจะมีลำโพงใหญ่ใหญ่เสียงตามสายเปิดเสียงดังดังช่วงที่มีการเปิดน้ำตกเปิดธรรมะง่ายง่าย เช่น รายการกรรมนี้มีผลหรือรายการ ธัมมง่ายง่าย อาจจะเป็นของท่านจันทร์หรือท่านชาตะวโร บางทีผู้ปกครองที่พาเด็กมาอาจเข้าหูบ้างเผื่อบางทีอาจจะมีดวงตาเห็นธรรม ข้าพเจ้าไม่อยากเห็นน้ำตกที่ท่านสร้างเป็นแค่สวนสนุก ช่วงนี้เป็นโอกาสอันดีที่มีเยาวชนและมีบุคคลแปลกหน้า มาถึงชุมชนของท่าน ท่านจะได้ประกาศคำสอนที่ถูกต้อง เผื่ออาจจะมี คนเข้าใจเรื่องอาหารมังสวิรัติที่ กลุ่มของท่านทานอยู่หรือวิบากกรรมของการผิดศีล นี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ผิดถูกประการใดขอกราบขออภัยด้วยขอบพระคุณอย่างสูง

พ่อครูว่า…ขอบคุณมีความคิดอย่างคุณเหมือนกัน ความคิดถึงคุณอาตมาก็คิดได้ ไปอาตมาไม่ใช่เป็นคนที่จะไปใช้วิธีอย่างนั้น ที่จะใช้จิตวิทยา ที่จะ ใช้ลักษณะว่าเราเป็นผู้ที่มีชั้นเชิง จะเป็นการยัดเยียดจะเป็นการบังคับไม่เอาแน่ แค่หว่านล้อม อาตมาก็ไม่ทำ ให้เขาสัมผัสอย่างอิสรเสรี เป็นแต่เพียงว่าพวกเรานี่แหละมีปฏิสันถารบ้าง แต่พวกเราก็ค่อนข้างบื้อ แขกไปใครมาก็ไม่ค่อยทักทาย ตั้งแต่อาตมาเป็นคนไม่ค่อยปฏิสันถาร อาตมาก็รู้ข้อบกพร่องของอาตมาต่างกับท่านจันทเสฏโฐ อาตมามันไม่มีใจแบบนั้นเลย พวกเราก็เลยต้องช่วยอาตมาหน่อย ให้เหมือนวัดวาต่างๆ วัดไหนก็ทำให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ถ้าเขาสนใจเขาก็จะค่อยๆเข้ามา เราก็ค่อยๆอธิบาย ไม่ใช่พอเขาถามปุ๊บเป็นชุดเลย ก็ต้องค่อยๆพูด อย่ายัดเยียด เป็นตามลำดับ

ศาสนาพุทธใช้ความยินดีเป็นตัวนำ ในมูลสูตร 10 ความยินดีเป็นต้นทาง มีฉันทะเป็นมูล ถ้าไม่มีความยินดี ก็ทำมนสิการไม่ได้ จิตใจไม่สามารถทำใจในใจให้เปลี่ยนจิตใจได้ มีจุดยินดีเป็น อัญญธาตุ จะได้ เปิดแง้มด้วยยินดี ไม่ใช่ไปงัดเอา

 

 

 

_ดาว ฝรั่งเศส ติดตามชมทุกวันอยู่ค่ะ พ่อครูเทศน์ถูกพูดถูกทุกอย่างค่ะ พระสมัยนี้หากินมากกว่าพระจริงๆหายากมากค่ะ ถ้าวัดทุกวัดเหมือนกับวัดของท่าน โลกนี้คงจะเจริญมากเจ้าค่ะ กล้วยน้ำว้าอยู่ฝรั่งเศสกิโลกรัมละ 350 บาทแล้วก็หาทานยากมากค่ะแต่อยู่บ้านลาดนี่โอ๊ยเฟือยมีเยอะ เจ้าค่ะคนบ้านลาดโชคดีมากค่ะชุมชนบ้านราชโชคดีมากค่ะ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาสมาธิ) ตอน อรหันต์มีสมาธิแบบไหน

_ต่อยอด เสบียงบุญ : ท่านคงนึกว่าท่านเป็นพระอรหันต์หรือไงครับ พระดีพูดดีเขาจะไม่เปรียบเทียบบุคคลอื่นเข้าใจไหมพระ ปากของคุณกำลังจะมีกลิ่นนะ พระแบบคุณนั่นแหละจะทำให้สงฆ์แตกแยกกันเพราะคำพูดของท่าน ถ้าเป็นพระดีแล้วเขาจะไม่พูดอย่างนี้

พ่อครูว่า…ตอบก่อนว่าอาตมารู้ดีว่าอาตมาเป็นอรหันต์ บอกไปประกาศทางโทรทัศน์ไปปี 2558 ว่าอาตมาเป็นอรหันต์ ที่พุทธาภิเษกฯศาลีอโศก อาตมาไม่ใช่นึกเอา แต่เป็นอย่างจริงมั่นใจรู้ รู้ว่ามั่นใจคนเป็นอรหันต์เป็นอย่างไร คนเป็นอรหันต์เพราะมีปัญญารู้ใจตัวเองอ่านใจตัวเองออกรู้จักเวทนา 108 เป็นต้น แยกเนกขัมสิตเวทนา เคหสิตเวทนา ทำเนกขัมสิตเวทนาให้เป็นเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนาได้ทำเป็น อาตมาทำเป็นและมีจิตอุเบกขา สั่งสมอุเบกขาเป็นปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา

จิตที่มีปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ผู้ใดทำได้ โดยไม่ยากไม่ลำบากก็เป็นฌาน 4 อาตมาทำได้จึงรู้ว่าตัวเองเป็นอรหันต์ แล้วฌานของอาตมาทำได้โดยไม่ต้องไปนั่งหลับตาทำด้วย ฌานเกิดจาก จรณะ 15 วิชชา 8

สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคคะ เป็นการปฏิบัติที่ไม่ผิด 3 ข้อ ถ้าผิดไปจากนี้ก็ไม่ใช่ของศาสนาพุทธ ฌานที่เขาทำนั่งหลับตาไม่เกี่ยวกับจรณะ 15 วิชชา 8 เลย ไปนั่งหลับตาปฏิบัติไม่มีการสังวรศีลสำรวมอินทรีย์ ไม่มีการประมาณในการบริโภคเลย ไม่ได้เกิดปัญญา 8 ไม่ได้มีสัทธรรม 7 ฌาน 4 เกิดจากจรณะ15 ฌานไม่ได้เกิดจากการหลับตาโดยไม่มีวิปัสสนาญาณ ไม่มีวิชชา 8 มันหลงทิศทางไปไกลเลย อาตมาเอาหลักฐานของพระพุทธเจ้ามาไล่เรียง เอาตั้งแต่อาจารย์มั่น ที่เขาคิดว่าเป็นยอดอรหันต์หรือมหาบัวก็ตามไม่เคยพูดถึงสิ่งเหล่านี้ ไม่เคยอธิบาย ไม่เห็นอิทัปปัจจยตาของจรณะ 15 วิชชา 8

สมาธิ คือ จิตที่ตั้งมั่นที่เกิดจากการปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 มีอุเบกขา 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา สั่งสมเป็นจิตตั้งมั่นด้วยจิตบริสุทธิ์จิตปราศจากกิเลส อเนญชาภิสังขารจนเต็มจิตตั้งมั่นเรียกว่าสมาธิ สัมมาสมาธิ ซึ่งไกลจากสมาธิที่เขาทำกันทั่วไป เป็นสมาธิเดียรถีย์ซึ่งเมื่อพระพุทธเจ้าออกบวชก็ได้ไปนั่งหลับตาตามเขา อาฬารดาบส อุทกดาบส แต่ไม่ได้บรรลุ

ฌานวิสัยเป็นอจินไตย กว่าจิตจะตั้งมั่นเป็นฌาน เผากิเลส จิตสะอาดสั่งสมเป็นสมาธิ มันก็ไกลจากเขามากเลย

คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องมีการเปรียบเทียบ กลิ่นปากก็มีเป็นธรรมดา จะเหม็นหรือจะหอมก็ไม่รู้ ความเห็นของคุณกับความเห็นของอาตมามันคนละทาง อาตมาก็ว่าพระดีต้องพูดอย่างนี้ คุณว่าแบบคุณมันเป็นลัทธิแบบคุณ จะเป็นลัทธิแบบคุณ คนศรัทธาแบบนั้นก็ไม่มีแบบอาตมา

 

_มุนินTj : ฟังอยู่โคราชคะ วันนี้สดุดบ่อยมากคะ (ทำวัตรเช้าวันอังคารที่ 11 กพ)

 

_ประดิษฐ์ อินทหอม:วันนีัฟังไม่ดีเลยครับ สะดุดๆ กราบนมัสการครับ

 

_บุญนิยม รองกิจ : พ่อครูเทศน์ไม่ผิดกินเนื้อบุตรกันทั้งนั้น

_อโศกสัมปวังโก : ในงานพุทธาภิเษกปีนี้ท่านฟ้าไทได้ รณรงค์ให้ญาติธรรมฟังธรรมกัน โดยให้ความสำคัญของศัพท์บัญญัติมากขึ้น เป็นความมุ่งหมายที่ต่อยอดกับความเป็นจริงที่พ่อท่านเคยเทศน์สอนไว้ว่า “พ่อท่านนั้นมีสภาวะอย่างล้นเหลือแล้ว” พยัญชนะจึงเกิดมีตามมาทีหลังหรือไม่อย่างไร

พ่อครูว่า…ใช่ อาตมาเองมีสภาวะล้นเหลือ พยัญชนะไม่ค่อยเป็นเลย ทุกวันนี้ก็เรียนรู้เพื่อเอาพยัญชนะมาเป็นฉลากยาแปะ เนื้อยาที่อาตมามีเยอะ เพราะว่าเนื้อยาสาระสภาวะมันยาก ต้องอาศัยพยัญชนะอาศัยชื่อมัน จึงต้องติดตามชื่อมัน อาตมาจึงถูกเล่นงานแต่ก่อนเรื่องพยัญชนะ แต่เดี๋ยวนี้ก็คิดว่าดีกว่าแต่ก่อนไม่น้อย แต่ก็ต้องพยายามต่อไป

พยัญชนะเกิดมาทีหลัง สภาวะเกิดมาก่อน ทีนี้พอศาสนาเกิดมาแล้ว พยัญชนะก็มีมาก่อนสภาวะก็มาทีหลัง อาตมามีสภาวะก่อนแล้วพยัญชนะทีหลัง สังคมก็ต้องศึกษาจากพยัญชนะแล้วจึงได้สภาวะ คนที่เขามั่นใจว่าเขาเอาสภาวะ เขาไม่ศึกษาพยัญชนะเช่นสายนั่งหลับตา เพราะปิดตาเสียแล้วนั่งหลับตาอย่างเดียวพวกนี้ปิดประตูที่จะสัมมาทิฏฐิ

สัมมาที่เป็นทิฏฐิตัวต้นของมรรคมีองค์ 8 ก็มีไม่ได้ นั่งหลับตาปิดประตูเลยเอามาพูดชัดเจนไม่ได้ใส่ร้ายไม่ได้ใส่ความแต่พูดความจริง เอาแต่นั่งหลับตา ไม่เชื่อว่าการเรียนพยัญชนะภาษาพระพุทธเจ้าแล้วให้พยัญชนะไปหาสภาวะให้ได้ คุณก็เอาแต่สภาวะซึ่งเป็นสภาวะที่ผิดมาแต่เดิมเป็นสภาวะที่ยังไม่เกิด ปัญญา ตั้งแต่ข้อที่ 1 ในปัญญา 8 ที่ต้องคบหาสัตบุรุษ ฟังธรรมก็ไม่มี เอาแต่เดาเอาปฏิบัติเอาไม่เกิดอัญญธาตุ

ความรู้ของศาสนาพุทธเป็นความรู้ใหม่ที่ไม่ได้เป็นอันเก่า ทุกวันนี้เรียนพยัญชนะกันจนจบด็อกเตอร์เปรียญ 9 ก็แล้วแต่ก็เรียนแต่พยัญชนะที่สอนกันมาผิดเพี้ยนไกลไปจากพยัญชนะ

โดยเฉพาะพยัญชนะคำที่สำคัญ คำว่า กาย คำว่าจิต คำว่าบุญ คำว่าบาป คำว่าสมาธิ คำว่าฌาน ก็แปลผิด แล้วจะปฏิบัติให้เข้าหาสภาวะที่เป็นสัจธรรมได้อย่างไร ผิดหมดเลย อาตมาต้องเอามาอธิบาย พวกคุณสะดุดไหม

พวกข้างนอกที่เขามีไหวพริบจะสะดุด กายก็พูดไม่เหมือนเขา บุญบาป สมาธิก็พูดไม่เหมือนเขา

มันไม่เหมือนเลยมันคนละเรื่องเลย เขาจะสะดุด อาตมาอธิบายไปแล้วพาปฏิบัติจนเป็นสาธารณโภคี เป็นหมู่ชนที่มีศีล สมาธิ ปัญญา เป็นอาริยบุคคล เขาก็ฟังเผินไม่เชื่อว่ามีสังคมพุทธที่มีโลกุตรธรรมเป็นอาริยบุคคล เป็นเมืองพระศรีอาริย์ เขาไม่เชื่อ เขาก็เชื่อแต่ว่าพระศรีอารย์คือพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป เขาเข้าใจอย่างนี้ก็ไม่ผิดหรอกแต่มันก็แล้วไปเป็นอย่างนั้นว่าอย่างนั้นจริงๆก็ยังไม่ได้ ศรีอาริยเมตไตรยก็คืออาริยะ อาตมาใช้คำว่าอาริยะ ไม่ใช่ศรีอริยเมตตรัยนะ คืออาริยะแท้นะ นอกนั้นอริยะไม่ใช่จริง เป็นอจินไตยอย่างหนึ่งที่ชื่อนามลงตัว  เป็นพระพุทธเจ้าเกิดมาต้องเป็นพระพุทธเจ้าสมณโคดม มีพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆได้พยากรณ์ไว้แล้วว่าจะมาเป็นพระพุทธเจ้าสมณโคดม มีอัครสาวกคือพระสารีบุตรพระโมคคัลลานะ มันจะลงตัวหมดเลย เป็นเรื่องจริง

อย่างอาตมาเกิดมาในชาตินี้ก็รู้บ้างว่าใครต้องชื่ออะไร มีส่วนที่เกี่ยวข้องกันมาตั้งแต่อดีตชาติ ก็จะไม่พูดมากเรื่องนี้เพราะคนชอบกันนัก

 

นิมนต์จิบน้ำ
          สมณะฟ้าไท...เราฟังพ่อครู

พ่อครูว่า…

สู่แดนธรรมแสดงความเห็น ว่าเพื่อนของสู่แดนธรรมว่า...ทึ่งพ่อครูที่ทำสังคมสาธารณโภคี แต่เขาไม่เชื่อว่าเป็นอาริยะมีนิพพาน

พ่อครูว่า..ต้องให้มาพิสูจน์ว่าเป็นสังคมสาธารณโภคีอย่างไร แน่นอนหากไม่มีนิพพาน ไม่มีอาริยะสร้างสังคมสาธารณโภคีไม่ได้ ยุคพระพุทธเจ้าสร้างได้แต่ในวงการสงฆ์ ยังไม่สามารถทำได้ในวงการฆราวาส แต่ในยุคนี้สามารถทำได้ไม่ใช่ว่าอาตมาเก่งกว่าพระพุทธเจ้า แต่เพราะว่ามันคนละบริบทคนละยุคสมัย ยุคนี้ไม่ใช่ยุคของทาส ในยุคของพระพุทธเจ้าเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ในยุคนี้คนใช้สิทธิได้เต็มไม่ใช่สังคมทาส ไม่ใช่สมบูรณาญาสิทธิราชย์แล้ว เพราะฉะนั้นทุกคนมีสิทธิ์เข้าถึง บุคคลที่สามารถเข้าถึงได้ ถึงทฤษฎีสาธารณโภคี จริงๆแล้วก็คือทฤษฎีนิพพานทฤษฎีพระอาริยะ เอามาประกาศ พวกคุณก็ปฏิบัติตามทฤษฎีนี้ได้ผลจึงมารวมตัวเป็นสังคมนิพพานมีพระอาริยะไง นี่คือ ความจริงที่คนคนนี้เข้าใจพยัญชนะสภาวะไม่ได้

สังคมศาสนาพุทธหมู่ใหญ่ ไม่มีใครมาประกาศว่ายินดีในสาธารณโภคีสังคมแบบนี้หรอก สาธารณโภคีจึงยิ่งใหญ่ที่สุด สาธารณโภคีเป็นเศรษฐศาสตร์สุดยอดของสมัยนี้ที่เป็นสังคมประชาธิปไตย เป็นไปได้ด้วย สังคมต่างๆเหล่านี้ก็ต้องการสุดยอดสาธารณโภคีแต่เป็นไปไม่ได้เพราะเขาไม่มีทฤษฎีสำคัญ

ทีนี้มายุคที่อาตมาประกาศสร้างสังคมสาธารณโภคีให้สังคมคอมมิวนิสต์หรือประชาธิปไตยน้ำลายไหล ว่าสังคมนี้ทำได้อย่างไรเป็นสังคมสาธารณโภคี ประชาธิปไตยก็ต้องการให้ประชากรของตนเสียภาษีให้มากที่สุด สังคมคอมมิวนิสต์ก็ต้องการ ให้ประชากรเสียภาษีแก่กองกลางมากที่สุด แค่มากที่สุดนะ แต่สาธารณโภคีเสียภาษีเข้ากองกลาง 100%

เขามองว่าชาวอโศกจะมีนิพพานอะไรได้ง่ายจัง เพราะชาวอโศกมีอัญญา ปัญญา ธาตุรู้ที่เป็นโลกุตรธรรม เป็นเรื่องบารมีของชาวอโศกและเป็นเรื่องความจริงที่อาตมาจะมาประกาศปัญญาโลกุตระของพระพุทธเจ้า พวกเราเอาความรู้นั่นแหละเมื่อฟังความรู้มีปัญญาตรงกัน ก็เลยมายินดีแล้วมาปฏิบัติ มีฉันทะเป็นมูล มนสิการเป็นแดนเกิด ก็เลยมาสู่แดนเกิดแล้วมีผัสสะเป็นปัจจัย มีเวทนาเป็นที่ประชุมลงและปฏิบัติจากเวทนานั้นให้เป็นสมาธิเป็นประมุข โดยมีสติเป็นอธิปไตย มีปัญญาเป็นอุตระ แล้วก็เกิดวิมุติเป็นสาระจนมีอรหันต์ เป็นตัวที่หยั่งลงเป็นอมตะ

เขาว่าเป็นอาริยะกันง่ายจังเห็นแต่ทำงานกันวุ่นๆ

แต่ชาวอโศกทำงานเป็นกัมมัญญตาไม่ใช่ทำการงานวุ่นๆ กัมมัญญตาเป็นความคล่อง กายกัมมัญญตาเป็นความคล่องของ เวทนา สัญญา สังขาร จึงทำงานได้อย่างเหมาะควร ไม่เป็นพิษเป็นภัย ทำได้อย่างดีเหมาะสมควร นี่เป็นยอดเศรษฐกิจ เพราะเป็นการทำงานมีงานทำไม่ตกงาน แล้วงานนี้ไม่ต้องพูดถึงรายได้แลกเปลี่ยน เพราะทำงานแล้วใครมีเรี่ยวแรงก็ทำ

อยากให้หัวกะทิทางเศรษฐศาสตร์มีปัญญา ว่าเศรษฐศาสตร์สุดยอดอยู่ที่ชาวอโศก แต่เขาไม่รู้ อยากจะให้เขาเกิดปฏิภาณปัญญารู้ได้ ว่าอันนี้เป็นทฤษฎีของพระพุทธเจ้านี่ เป็นเศรษฐศาสตร์สาธารณโภคี มีคนเอามาเปิดเผยขยายความแล้ว เป็นเรื่องสุดยอดเลย เขาจะตาเหลือกตาลาน เมื่อเขาเข้าใจเขาก็ว่าสิ่งนี้เป็นจริงอย่างนี้

เหมือนกับอาตมาเทศน์บรรยาย คนจะไม่รู้ว่าอาตมาได้เทศน์ในสิ่งที่ประเสริฐสุด วิเศษ วิสิทธิ์ วิสุทธิ์ จริงๆ แต่เขาไม่รู้หรอก อามาพูดแล้วเหมือนคุย หลงตัวยกตัว อาตมาก็ไม่ได้ยกย่องตัวเอง แต่พูดความจริง สำทับความจริง เมื่อความจริงนั้นวิเศษก็บอกว่าวิเศษ

วิเศษ แปลว่าไม่เหลือ ไม่มีเศษ หรือเมื่อไม่มีอะไรเหลือก็สุดยอด วิสิทธิ์แปลว่าเลิศยอด วิสุทธิ์แปลว่าสะอาดบริสุทธิ์

คนเขาดูตามอาการว่าไม่เหมือนอาริยะ พูดแล้วไปว่าเขาอีก กระดุ๊กกระดิ๊ก ไม่นิ่ง แต่ถ้าอาตมาพูดเต็มๆจะกระทบไม่เหลือเลย แต่นี่เบาแล้ว อาตมาแปลภาษาสู่สภาวะ หากเต็มที่จะกระเทาะความผิดความบกพร่องของเขามากเลย เพราะมันวิเศษ วิสิทธิ์ วิสุทธิ์  มันสะอาดผ่องแผ้วหมด แต่เขาไม่เข้าใจว่าอาตมาเป็นคนสะอาด พูดสะอาด ชี้แจงสะอาด อาตมาพูดสะอาด กระจ่างขาวผ่อง  ปภัสสรา สะอาดสว่างจนกระทั่งเลื่อมพรายเลย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาหาร 4) ตอน ต้องศึกษาอาหาร 4 จึงทำจิตให้เป็นอุตุได้ 

พ่อครูว่า...จะอธิบายปุตตมังสสูตร

กินอาหารนี่จะเกิดกิเลสกาม เพราะฉะนั้นเราจะต้องรู้จักกาม แล้วต้องมีอาหารนี้ โภชเนมัตตัญญุตานี่แหละ ถ้าไม่ได้ปฏิบัติให้เกิดกาม มาให้เราได้ศึกษาฝึกฝนแล้วเนกขัมมะ แล้วออกจากกาม ต้องปฏิบัติออกจากกาม นี่สรุปในสูตรนี้ คุณจะต้องกินอาหารเลี้ยงชีวิต

เพราะฉะนั้นในอาหารที่คุณกินนี่แหละ คุณจะต้องสำคัญมั่นหมายทุกคำข้าวทุกครั้งที่กินอาหาร เพื่อเรียนรู้ กามฉันทะ คุณยินดีในอาหาร ยินดีในสิ่งที่เอาไปเคี้ยวกลืนกิน เพราะฉะนั้นผู้ใดไม่เข้าใจ ไม่สำคัญในจุดนี้ ไม่ชัดเจนในจุดนี้ อาหารคือคำข้าว แล้วก็ต้องศึกษากาม

เบญจกามคุณ หรือกามคุณ 5 เพราะฉะนั้นคนที่ไปนั่งหลับตา ทุกคนก็ต้องกินอาหาร แล้วจะต้องมาปฏิบัติในการกินอาหาร ไม่ใช่ปฏิบัตินั่งหลับตา นั่งหลับตาไม่ใช่ศาสนาพุทธ พูดอีกกี่ปีเขาถึงจะรู้เรื่อง กินอาหารนี่แหละถึงจะมีการให้คุณปฏิบัติ แล้วไปนั่งหลับตา ปิดทวารทั้ง 5 ตาหูจมูกลิ้นกายก็ไม่ได้ปฏิบัติ คุณอยู่นอกศาสนา ไม่ได้เดินอยู่ในรอบรั้วศาสนาพุทธนะ เดินอยู่คนละฟากฟ้า ห่างไกลจากวิเวกไกลแสนไกล หลับตา อาตมาไม่ได้ขี้ตู่หาเรื่อง พูดสัจจะให้ฟัง จะมีผู้ปฏิบัติการหลับตามาฟังอาตมาสักครึ่งคนไหมนี่

สู่แดนธรรมว่า...เพื่อนผมว่าเขาไม่ศรัทธาพ่อท่านแล้ว ตอนแรกเขาก็ว่าจะมาศึกษา แต่เมื่อพ่อท่านโจมตีอาจารย์เขา เขาก็ไม่มา แต่เขาก็ทึ่งผลงานที่พ่อท่านสร้าง ทำสังคมแบบนี้ได้

พ่อครูว่า...มีอัตตามานะถือดีถือตัว หลงอาจารย์ผิด เป็นธรรมดา

สู่แดนธรรมว่า...เขาพยากรณ์ว่า หากสิ้นพ่อท่านแล้วก็เป็นวัดร้าง

พ่อครูว่า..อันนี้เป็นสัมมาทิฏฐิไม่ร้างหรอก จะนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

ทุกวันนี้มีไม่รู้กี่ชุมชนชาวอโศกที่อาตมาไม่เคยไปเลยใน 40-50 ปีมานี้ เขาก็ยังอยู่ก็ยังศึกษาอยู่ แค่นี้ก็ยืนยันแล้วว่ามันไม่มีทางที่จะล้ม อาตมาตายไปก็มีบันทึกภาพเสียงรีรันอีกเยอะแยะ ทำไมจะไม่อยู่ อยู่ นี่สัมมาทิฏฐินะ ไม่สัมมาทิฏฐิอย่างสายมหาบัว ทุกวันนี้ก็ยังสืบทอดกันอยู่เลย แต่นี่สัมมาทิฏฐิ

พ่อครูว่า...เขาเดินทางไกลกันดาร ลึกๆเขาก็จะไปสู่นิพพานอันเจริญสูงสุด แต่ชาวศาสนิกชนทั่วไปหรือแม้แต่ผู้ศึกษาศาสนา ก็ว่าจะไปนิพพานแต่เขาไม่สัมมาทิฏฐิ ก็วกวนไม่ไปถูกทาง เขาเดินนั่นแหละเขาตั้งใจเดินทางไป มีอาหารไปด้วย ไปแล้วอาหารหมด เดินวนในทางไกลกันดาร อาหารหมด ผัวเมียสองคนก็คิดกัน จะไปจับสัตว์มากินก็ทำไม่ได้ ก็เลยต้องกิน ไม่กินก็ตาย แล้วก็ฆ่าลูกกิน เป็นความเห็นแก่ตัว มีชีวิตเพื่อเดินทางต่อไป ทั้งโง่และชั่ว เห็นแก่ตัวอย่างสมบูรณ์แบบ

เขาปฏิบัติแบบหลับตา ก็ปิดประตูเรียนรู้กามคุณ 5 อย่างมหาบัวกินหมากติดหมากเต็มที่แต่ไม่รู้เรื่องกามคุณ 5 ไม่รู้ว่าตัวฉันทะ ยินดี ติดหนัก มันไม่ใช่อาหารไม่ใช่ยา แต่กินไม่ขาดปาก ไปไหนๆ ลืมอะไรก็ได้แต่อย่าลืมหมาก เป็นอุปาทานหนักแน่นเลย ต้องขอบคุณมหาบัวที่ได้เป็นตัวอย่าง เขาจะไม่สามารถปฏิบัติเนกขัมมะได้เลย เพราะเขาไม่มีผัสสาหาร

มีแต่หลับตาเข้าไปสู่ข้างใน ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่มีผัสสาหาร เขาหลับตาไกลจากวิเวก ยิ่งเหมือนกับโคลอกหนังออกหมด ทุกข์เจียนตาย ทุกข์ทุกวินาทีที่มีลมต้องกาย มีแมลงมาตอม ก็ไม่รู้ตัว ไม่รู้ทุกข์ เดินเข้าหาหลุมถ่านเพลิงเหมือนข้อที่ 3 มีบุรุษดึงให้ลงหลุมถ่านเพลิง เขาว่าจะวิ่งไปสวรรค์แต่วิ่งลงนรก

อันที่สามเขาไม่มีสิทธิ์รู้จักเจตนา ถ้าไม่มี นาม 5 หากคุณไม่สามารถมีเจตนาให้ศึกษา เจตนามีกามตัณหา ก็ต้องเรียนรู้กามตัณหา ล้างกามตัณหาหมดก็เหลือวิภวตัณหา

สู่แดนธรรมว่า..สมัยผมบวช ก็อยากได้นิพพาน อาจารย์ก็สอนว่าอย่าไปอยาก จริงๆแล้วควรกำหนดรู้ความอยาก

พ่อครูว่า..กำหนดรู้ว่าเรามีกิเลสกามก็ทำกามให้หมดก็เหนือกาม ไม่ได้ปิดตา แต่สัมผัสแต่จิตอยู่เหนือกาม เหลือแต่ภายในรูปภพอรูปภพ ก็ล้างรูปภพ ก็เหลืออรูป ก็ล้างอีก ก็หมด ภพ 3ภพ มีกามภพ รูปภพ อรูปภพ เรียกภาษาว่า วิภวภพ ภพที่ไม่มีภพ

หรือ หมดกามตัณหา ภวตัณหา มีแต่วิภวตัณหา

อาตมาก็เห็นใจพวกที่สอนกันโดยไม่มีสภาวะ พอพยัญชนะก็เมา เขาว่าวิภวตัณหามันมีตัณหาได้อย่างไร กาม ภว ก็ไม่สงสัย แต่ไม่มีภพแล้วมีตัณหาได้อย่างไร เหมือนกับอธิบายอภิสังขาร 3 ไม่ออก ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร

ปุญญ คือ อาวุธ เครื่องมือฆ่ากิเลส ฆ่ากิเลสหมดก็ไม่ต้องใช้เครื่องมือนี้แล้วก็เป็น อปุญญาภิสังขาร แต่เขาก็แปลว่า ไม่มีบุญ เป็น สังขารเป็นบาป

คุณปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าไม่บรรลุ หากเข้าใจบุญเป็นมิจฉาทิฏฐิ โมฆะจากศาสนาพุทธไม่มีทางบรรลุธรรมได้เลย

บุญเกิดได้เพราะคุณมีฌาน ฌานเป็นพลังงานไฟ พลังงานอุณหธาตุ พลังงานทำลายไฟ ราคะโทสะโมหะ ซึ่งก็เป็นของร้อน ฌานก็เป็นของร้อนยิ่งกว่า ทำลายราคะ โทสะ โมหะได้ ทำลายได้ก็เป็นบุญ บุญเป็นตัวจบของกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ หมดแล้วก็ อปุญญาภิสังขาร จากนั้นก็ยังต้องปรุงแต่งมีกรรมกิริยาทำงานอยู่ก็ทำงานสั่งสมเป็นความตั้งมั่นไม่หวั่นไหว เป็นอเนญชาภิสังขาร

มีคุณสมบัติ เป็นปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ที่มากยิ่งขึ้น

ฟังแล้วปฏิบัติตามได้อย่างนี้จะเป็นพระอรหันต์ไม่ได้พูดเล่น เข้าใจให้สัมมาทิฏฐิ

ผู้ที่สามารถเข้าใจสัจธรรม เป็นผู้ที่รู้รายละเอียดพวกนี้แล้ว โดยเฉพาะ รู้ในวิญญาณ วิญญาณาหาร

วิญญาณนี้คือ องค์ประกอบรวมทั้งหมด รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณคือกาย คือนามรูป

นามรูป คือกาย กายคือนามรูป และ สำคัญที่นามแต่ไม่ขาดรูป กายเป็นภาวะ 2 อย่าง มีภายนอกกับภายในไม่ขาดกัน ผู้ใดเข้าใจคำว่ากายไม่ได้ โดยไปเรียนศาสนาพุทธผู้ที่มาบวชมาศึกษาแล้ว พระพุทธเจ้ามีพระวินัยข้อต้นให้พระอุปัชฌาย์ต้องสอนพระบวชใหม่ให้แยกกายแยกจิตให้ได้ ถ้าหากแยกกายแยกจิตยังไม่สัมมาทิฏฐิ ก็อย่ามาบวชเลย บวชก็โมฆะ ท่านก็ให้พิจารณาวัตถุ คือผมขนเล็บฟันหนัง

ผม ก็แยกได้ เมื่อใดเป็นกาย เมื่อใดไม่เป็นกาย เมื่อใดเป็นจิต เมื่อใดเป็นพีชธาตุ

พีชธาตุ เป็นชีวะที่ฐานนิพพาน ฐานอาศัย ฐานสำคัญ คือจิตที่ ไม่มีบาปไม่มีบุญ อปุญญาภิสังขารแล้วมีแต่อเนญชา หมดบาปหมดบุญแล้วฆ่ากิเลสหมดแล้วบาปหมดแล้ว พีชธาตุ จึงไม่มีบาปไม่มีบุญมีแต่กุศล กุศลเป็นโลกียะ ยังไม่ใช่โลกุตระ บาปบุญเป็นโลกุตระเมื่อสำเร็จแล้วบาปบุญก็หาย โลกุตระแล้วสมบูรณ์แบบแล้วเป็น ปุญญปาปริกขีโณ

เพราะฉะนั้น อันท้าย วิญญาณาหาร พระพุทธเจ้าก็บอกว่าคุณจะต้องรู้นามรูป แยกรูปแยกนามหรือแยกกายแยกจิตได้

 

การทำจิตให้เป็นอุตุธาตุ

รูป คือ สิ่งที่ถูกรู้ หากเป็นมหาภูตรูปก็เป็นอุตุ จะมีรูป 28 ให้ศึกษา แยกรูป แยกนาม

อุตุนิยาม คือ ธาตุที่มันเลิกที่จะมารวมตัวเป็นชีวะแล้ว ในขณะเป็นๆทำให้เกิดสภาพอุตุธาตุในสังขารของเรา ในจิตเราที่ปรุงแต่ง แล้วจะปรุงแต่งสิ่งนี้โดยเด็ดขาดเลยว่า มันปรุงแต่งอย่างไรให้เป็นอุตุ ได้ไหม? ได้ ยืนยันได้

อย่างอาตมานี่ขอยกตัวอย่าง ในชีวิตมีอบาย รูปธรรมเลย เล่นไพ่ เล่นบิลเลียด กินเหล้า อาตมาว่าอาตมาลิงลมอมข้าวพอง ไปเล่นกับเขาตามประสาโลก พยายามฝึกอย่างไงๆ ปรุงแต่งอย่างไรสุดท้ายไม่ขึ้น ตายอย่างสนิท โลกเลวๆ ตายอย่างสนิท อาตมาทำอย่างไรก็ตาย นี่คือเป็นอุตุไปหมดแล้ว ตั้งแต่ชาติก่อนๆ มาชาตินี้ไม่รู้ไปปลุกอย่างไรมันก็ไม่ขึ้น เอาชีวะไปใส่ให้มันมันก็ไม่ขึ้น คุณมีไหม หลายอย่างที่โลกเขาไปติดยึดแต่คุณไม่ คุณไม่ติดยึดด้วย

พ่อครูไอ ตัดออกด้วย

สมณะฟ้าไทว่า...

พ่อครูว่า…คุณต้องเข้าใจให้ได้ทำได้แม้แต่ตอนเป็นๆ สังขารที่ปรุงแต่งมันไม่มีชีวิตชีวา มันจืดสนิท เหมือนกับผู้ชายเห็นลิปสติกแล้วจืดสนิทเลย สำหรับผู้ชาย ยกเว้นผู้ชายที่มีนิสัยกะเทยนะ แต่ผู้ชายจริงๆนั้นจืดสนิท

สู่แดนธรรมว่า...ญาติธรรมเราหรือผมเองก็ตาม ยังมีบางสิ่งที่ไม่ทำให้เป็นอุตุยังหล่อเลี้ยงให้เป็นพืชที่ปลายเล็บ เหมือนสังโยชน์ข้อที่ 3 สีลัพตปรามาส

พ่อครูว่า..เล็บที่ยาวออกจากประสาทเนื้อแล้วก็ตัดออกได้เป็นพีชะ ไม่ใช่กาย กายต้องมีจิต แต่นี่ไม่มีจิตแล้ว กายขาดจิตไม่ได้ ต้องมีธาตุรู้ร่วมกันเสมอ

ศาสนาพุทธทุกวันนี้เข้าใจว่า กายคือวัตถุ คือร่าง ดินน้ำไฟลม ไม่ใช่จิต เวลาพิจารณา กายวิเวกเขาก็ไปทำให้ ร่างกายหยุดเคลื่อนไหว หรือเอากายออกไปป่าเขาถ้ำ ป่าช้าป่าชัฏ ในคุหัฏฐกสูตร ซึ่งมันผิดทางไปเลยโมฆะไปเลยมันไม่ถูก นี่คือการเข้าใจคำว่ากายก็ไม่ได้ ผิดมิจฉาทิฏฐิไปแล้ว จะปฏิบัติโพธิปักขิยธรรมข้อต่อไป ก็ไม่ถูก เขาหลบเข้าป่าเขาถ้ำ กายก็ต้องมีกามฉันทะกามคุณ5 เขาก็ไม่รู้เลยเป็นโมฆะตั้งแต่ข้อที่ 1 ข้อต่อไปที่จะมีสัมผัสจะไปได้อย่างไร เขาไม่เอาเขาไปนั่งหลับตาปฏิบัติ เจตนาไม่ให้เกิด นี่คือความล้มเหลวของศาสนาพุทธทุกวันนี้ ก็เตือนสติ สายหลับตาฟังอาตมาบ้าง สุสูสังลภเตปัญญัง ฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญา8

ข้อที่ 1 ต้องไปพบสัตบุรุษ ฟังสัทธรรม ยุคนี้เปิดเผย มาฟังอาตมา 2. มานั่งใกล้สอบถามแล้วจะได้ปัญญาชัดเจนสูงขึ้น แต่นี่ไม่เชื่อว่าอาตมาเป็นสัตบุรุษ คุณก็เป็นโมฆบุรุษ เกิดมายุคนี้ไม่เห็นสัตบุรุษ ที่เป็น อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ

เหมือนกามนิตตามหาพระพุทธเจ้า

ส.ฟ้าไท สรุปจบ


เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 13:49:29 )

630217

รายละเอียด

630217_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 89

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/19k2OLe8FOWJnkUIXF575krnpwtaEyJ3EGEVfHCCsogM/edit?usp=sharing                      

ดาวโหลดเสียงที่  https://drive.google.com/open?id=1jUhY8tDO0TvrYcgf_8E77PJlaWHR_3mg

 

พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 ที่บวรราชธานีอโศก

 

_SMS วันที่16ก.พ.2563(พุทธศาสนาตามภูมิ)

 

_7230 ติดตามพ่อครูท่านจันทร์หมอเขียวแสดงธรรมประจำโยมแป้งตัดผมสั้นจะดีมาก

 

สื่อธรรมะพ่อครู(บุคคล 7) ตอน ทางปฏิบัติของสายศรัทธากับสายปัญญา

_7613 กราบเรียนท่าน ญาติธรรมที่เคารพ ได้ยินได้ฟังครูบาอาจารย์ของท่าน วิพากษ์วิจารณ์พระป่า ด้วยความเคารพอยากจะขอเสนอความคิดเห็นบางอย่างต่อญาติธรรม ดังต่อไปนี้ ไม่อยากให้ ชาวอโศกบางส่วนเกิดความคึกคะนองใจ คิดว่าตัวเองเป็นกลุ่มคนที่ดีที่สุด ตัวเองเป็นแค่ฆราวาส แต่วิจารณ์พระสงฆ์อีกฟากหนึ่ง แต่ตามจริงพวกคุณบางส่วนก็ยังหย่อนยานอีกหลายอย่าง เช่น มาอยู่วัดนาน แต่ก็ยังกินข้าวตอนเย็น -ปากบอกเป็นนักมังสวิรัติ แต่ก็ยังกินไข่โดยไม่ละอายใจ - มาอยู่วัดนานนาน แทนที่คิดจะเพิ่มฐานตนเอง แต่กลับมาหาสามีภรรยากันในวัด โดยอ้างว่าเป็นแค่ศีลห้า -บางคนมาค้าขายอย่างโลภมาก จนมาจากข้างนอกมารวยในวัด -ปากบอกว่าทำงานฟรี แต่แสดงตัวความเป็นเจ้าแม่เจ้าพ่อในที่ทำงาน แต่พวกคุณรู้ไหมสำนักสงฆ์วัดป่าไม่มีจัดอาหารเย็นเลี้ยงญาติโยมนะ หลายอย่างที่ยังเคร่งครัดกว่าพวกคุณ โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิงผู้ชาย จึงอยากจะฝากบอกชาวอโศกที่คิดจากวิจารณ์ เรื่องพระป่าในโซเชียลก็ขอให้ระวังบ้างถ้าเรายังไม่ดีจริง อย่าเพิ่งเปิดตัววิจารณ์เค้าตามสื่อสาธารณะขอกราบขอบพระคุณ

พ่อครูว่า…เขาติงมาน่าฟังและน่าคิด เอาไปตรวจสอบ

เรื่องบอกว่าที่วัดทั้งหลายเคร่งครัดดี เขาไม่ทำอาหารเย็นเลี้ยง แต่ของเราเป็นบวร มีวัดด้วย มีบ้านมีโรงเรียน อยู่กันอย่างที่คุณเข้าใจยาก เขาปฏิบัติแบบตัดแบ่งส่วน ชาวศรัทธาต้องแบ่งส่วน เป็นขาดๆๆ มันจะเชื่อมโยงกันยากสำหรับสายศรัทธา ถ้าสายศรัทธามาทำอย่างสายปัญญาเละเทะหมดเลยเป็นขี้แพะท้องเสียเลย ก็ทำอย่างนั้นก็ดีแล้วเขาต้องเป็นสัดเป็นส่วน จะมาทำอย่างพุทธที่เป็นสายปัญญาแท้ๆ เดียรถีย์เป็นสายศรัทธาโดยตรง

ศรัทธาจึงหนักไปทางเดียรถีย์เยอะ ซึ่งมันยากจะเข้าใจ ให้ฟังดีๆ สัทธาจริตพุทธิจริต วิตักจริต หรือแม้แต่แยกแยะให้ฟังเป็นบุคคล 7 ศึกษาให้ดีๆ แล้วจะเข้าใจ

การฟังแล้ววิจัยวิจารณ์พยายามทำความเข้าใจให้ได้ตัดขอบเขต แล้วทุกอย่างมันจะตัดขาดกันทีเดียวไม่ได้ มนุษยชาติต้องอยู่ด้วยกัน ทั้งศรัทธาและปัญญา หรือแม้แต่วิตักกะ ก็อยู่ด้วยกันทั้งนั้น แยกไม่ออกหรอก ไปด้วยกันช่วยกันไป เพราะฉะนั้นวิจารณ์กันก็ดีแล้ว ฟังแล้วเอาไปใช้เอาไปคิด ไม่ว่าชาตินี้เราเกิดมาแล้วหนักไปทางสายศรัทธาจริตก็ไม่ต้องไปเสียใจ หรือแม้แต่คนเกิดมาเป็นผู้หญิงก็ไม่ต้องเสียใจ แต่ว่าเราสามารถที่จะเรียนรู้พากเพียรเพื่อที่จะให้บรรลุความเป็นอรหันต์ เป็นพระโพธิสัตว์ได้ทั้งนั้นแหละ โพธิสัตว์ก็พากเพียรไปจนกระทั่งเป็นเจ้าแม่กวนอิม เป็นผู้หญิง ช่วยมนุษย์ได้มากมาย พระอรหันต์หญิง เฉลียวฉลาดสามารถทำประโยชน์ให้ศาสนาได้มากมาย เมื่อเป็นอรหันต์แล้วเป็นผู้หญิงผู้ชายมันไม่มีเพศ ไม่มีอะไรที่จะลำบากยากเย็น เราหมดทุกข์หมดโศกแล้ว สิ่งที่เป็นถึงที่สูงสุดแต่ละกรอบได้ อรหันต์แล้วไม่ว่าหญิงว่าชายมันไม่มีปัญหามากอยู่แล้ว จนเป็นอรหันต์ท่านก็เข้าใจ ผู้ชายก็คือผู้ชาย ผู้หญิงก็คือผู้หญิง เพราะผู้หญิงก็ต้องเป็นส่วนหนึ่งของสังคมมนุษยชาติ ที่เป็นส่วนที่แบ่งออกมาจากผู้ชาย เหมือนอย่างสายเทวนิยมก็มีตำนานเรื่องราวว่าผู้หญิงเกิดจากพระเจ้าเอาซี่โครงซี่ที่ 7 เป็นซี่ที่มีพลังรอบ มาเสกปั้นให้เป็นผู้หญิงเป็นเพื่อนของอดัม

ผู้ที่จะชัดเจนในพยัญชนะสภาวะแล้ว เรื่องของโลกมนุษยชาติสัตว์โลกต่างๆ หรือแม้แต่ชีวะ อุตุ พีชะ จิต พวกนี้ จะชัดเจน ฟังดีๆแล้วจะชัดไม่สับสนหรอก

ติงเตือนกันมาก็ดีมากแล้วขอบคุณ

_จักรพล พุทธพัฒนา: สายปฏิบัติที่นั่งหลับตาได้ฌานโลกีย์เขาก็คิดว่าเป็นอรหันต์แล้ว..คนที่ไม่รู้ก็เดาๆกันไป..ผมคนหนึ่งล่ะที่ไม่เชื่อครับ.

พ่อครูว่า…ก็บอกแล้วว่าอรหันต์นั่งหลับตาแล้วเขาก็มีความเชื่อกันเลยว่า อรหันต์หรือใครบรรลุอรหันต์แล้วบอกใครไม่ได้ บอกว่าผิดธรรมวินัยอาบัติหนัก เขาก็เชื่อกันสนิท ไม่บอกไม่พูดไม่กล้าพอที่จะบอก เพราะตัวเองมันก็ไม่ชัด สายปัญญาชัดเจนมากมีความกล้ามีความอาจหาญมาก ความอาจหาญสายเทวนิยมสายศรัทธาอาจหาญขนาดหนักเหมือนกัน อย่างมหาบัวนี่นะ อรหันต์บู๊แหลกราญ มันมีสภาวะซับซ้อน ผู้มีปฏิภาณปัญญามีเซ้นส์ที่ 6 ก็แยกออกว่ามีนัยสำคัญลึกซึ้ง จะดูออกเข้าใจได้ ศึกษาดีๆ สนุกธรรมะที่ลึกซึ้งกันสนุกจริงๆ เรียกว่าธรรมรส ยิ่งวิมุติรสแล้วก็สุดยอด ศาสนาโลกียะรสอร่อยโลกียะจัดๆหนักๆ รสสุดๆที่เขาปรุงแต่งมันแซ่บอีหลีหลาย ธรรมะก็เหมือนกัน แต่มันไม่แซ่บหลายจี๋จ๋า แต่แซ่บหลายเนียนนุ่มละเอียดลึก คนทางโน้นมันก็จัด อย่างมหาบัวคึกคะนอง แต่นี่มันสุภาพเรียบร้อยนิ่มนวลละเมียดละมัย มันแรงเหมือนกันแต่แรงยิ่งเบายิ่งนุ่มนวล

 

_ເກດມະນີ ສຸກສະຫວັນ  ກາບນະມັດສະການພໍ່ທ່ານຢ່າງສູງເຫັນຄົນລາວມາຟັງເທດພໍ່ທ່ານມີຄວາມຍຶນດີເພາະຢ່າງນ້ອຍກໍ່ມີຄົນລາວເຂົ້າໃຈໃນຄໍາວ່າພຸດສາຖຸນໍາທຸກທ່ານດວ້ຍສາຖຸສາຖຸສາຖຸ

 

_เกตุมณี สุขสวรรค์ กราบนมัสการพ่อท่านอย่างสูง เห็นคนลาวมาฟังเทศน์พ่อท่านมีความยินดีเพราะ อย่างน้อยก็มีคนลาวเข้าใจในคำว่าพุทธศาสนา สาธุทุกท่านด้วย สาธุสาธุสาธุ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามชีวิต 5) ตอน อุตุนิยามพีชนิยามก็อย่านานาสังวาส

_เข่ง ราชธานี :อุตุนิยาม พีชนิยามแปลว่าอะไรคะ

พ่อครูว่า…ในสำมะปี๋ ก็ขออธิบายแค่คำแปล ยังไม่ลงลึกรายละเอียด เพราะมันสุดยอด ต้องทำจิตให้เป็นพีชะ อุตุได้ ก็สามารถเป็นพระอรหันต์ได้ ถ้าไม่รู้ก็ไม่สามารถเป็นอรหันต์ได้ ค่อยๆฟังไป

ถ้าตายไปแล้วแยกธาตุเป็นอุตุนี้เข้าใจง่าย

อุตุนิยาม เป็นวัตถุธาตุไม่ใช่ชีวะแม้แต่พระอาทิตย์ก็เป็นอุตุธาตุ เนบิวลากาแล็กซี่ก็เป็นอุตุยังไม่สามารถมีชีวะได้ จนกระทั่งแตกตัวมาเย็นลงเป็นธาตุน้ำ อาโปธาตุที่สัตว์โลกใช้ สัตว์โลกเกิดมาจากธาตุน้ำเป็นตัวฐานและพัฒนาจากธาตุน้ำ ตั้งแต่เป็น กลละ อัมพุท เปสิ คณะ ปัญจสาขา อันนี้เป็นน้ำแล้วเป็นก้อนคณะแล้วแยกเป็นปัญจสาขา เป็นความสุดยอดวิทยาศาสตร์ของพระพุทธเจ้า เราก็เอามาเรียนรู้จิตกับกายของเราเรียนรู้ได้ก็สบาย ส่วนพีชะนั้นคือพืช มาเรียกเป็นไทยว่าพืชผักผลไม้ เป็นชีวะแล้วมีตัวเองเป็นประธานในตัวเองสามเส้า มีธาตุบวก ลบ และประธาน พืชก็มีเพศผู้เพศเมียผสมพันธุ์วนเวียน พืชต่างกับสัตว์ตรงที่พืชไม่มีทุกข์ไม่มีสุขไม่มีบาปไม่มีบุญ ไม่มีวิบากบาปวิบากบุญ เพราะฉะนั้นคนกินพืชไม่มีวิบาก ที่จะจองเวรจองกรรมไม่ว่าจะรัก ผูกพันดูดดื่มไม่มีมีแต่ตัวเองรักตัวเองผูกพันตัวเอง มันหมดพลังเหนียวที่ถูกสลายแล้วเสื่อมก็กระจายแยกธาตุเป็นอุตุ

เมื่อพัฒนาขึ้นมาเป็นจิต ขอแถมให้ มาเป็นจิตแล้วตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวก็จะวิวัฒนาการจนกระทั่งมาเป็นมนุษย์ ในทางฮินดูจะเป็นมนุษย์แคระ แล้วก็เป็นมนุษย์สิงห์ขึ้นมาค่อยๆพัฒนาขึ้นมาจนเป็นอเวไนยสัตว์ มนุษย์ที่สอนไม่ได้จะอยู่นานมากวนเวียนอยู่ในนรกสวรรค์นานมาก เป็นเทวนิยมโลกียะนาน จนกว่าสามารถ ถ้าได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าหรือสัตบุรุษก็จะเข้าใจ จะสามารถมาสู่โลกุตระ จิตนิยามเป็นเวไนยสัตว์สอนโลกุตรภูมิได้ไปได้เร็วขึ้น

แต่ถ้าเกิดว่าไม่ได้ฟัง คุณก็จะวนเวียนอยู่นั่นแล้วจนกระทั่งไม่รู้แล้ว ไม่ต้องไปหวังเลยจากการบรรลุเอง พระพุทธเจ้าก็ไม่มีตัวเลขที่จะบอกได้ว่าคุณจะวนเวียนตกอยู่ในโลกียสุขทุกข์นานเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นก็เลยไม่ต้องไปพูดถึงดีกว่าไม่หวังดีกว่า แสวงหาสัตบุรุษให้ได้ก็แล้วกัน หรือผู้อยู่ในฐานะครู

ที่บอกว่าผู้อยู่ในฐานะครูคืออะไร คือผู้ที่มีเชื้อของโลกุตระแล้ว โสดาบันก็เป็นโลกุตระแล้ว บอกตัวเองเป็นโลกุตระภูมิได้ แต่อย่าไปอหังการ โสดาบันสกิทาคามีอย่าไปอหังการ ที่จะต้องสอนอยากใหญ่อยากแบ่ง เดี๋ยวเลอะ แล้วจะเป็นวิบากให้แก่ตัวเองทำผิดให้ศาสนาพุทธเสื่อม เป็นบาปมาก เพราะฉะนั้นจะมีขั้นของอนันตริยกรรม เป็นกรรมที่บาปมาก จนกระทั่งคุณทำจนคุณอวดดี แล้วแยกตัวเองออกไป อันหนึ่งเป็นคู่แข่งของศาสนาพุทธอันนั้นเป็นอนันตริยกรรมเลย พระพุทธเจ้าทรงมีพระวินัยแบ่งเป็นนานาสังวาสสุดยอดแล้วเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาให้ดี เป็นจุดแบ่งที่ละเอียดสูงสุดของการทำความแยก แล้วมีหลักเกณฑ์ ลึกซึ้งมากเลย คุณด่าอย่างไรก็ปฏิกโกสนาให้คอแตกอย่างไรก็ได้แต่อย่าไปฟ้องร้อง ถ้าทำก็นอกนิกายไม่ไปฆ่ามนุษย์แล้วตั้งแต่โสดาบัน

เป็นพระเป็นเจ้าบวชแล้ว ฆ่ามนุษย์ก็ตัดไปเลยปาราชิกไม่ให้มาใกล้ศาสนาเลย แม้แต่ทำผิดเรื่องเพศ ปาราชิกของศาสนาพุทธ ชาตินั้น แต่เดี๋ยวนี้ไม่เข้าใจแล้วว่าปาราชิกเป็นโทษที่แรงที่สุด ลงโทษไปทั้งชาติเลย คุณทำปาราชิก 4 ข้อใดข้อหนึ่ง ชาตินี้ทั้งชาติจนกว่าคุณจะตาย ก็ไม่ให้คุณได้มีสิทธิ์มารับธรรมะ คุณจะแสวงหาส่วนตัวเป็นเรื่องของคุณ แต่ถ้าเผื่อว่า หมู่ใหญ่รู้ว่าคุณเองอยู่ในกระแสที่จะได้รับศาสนาพุทธให้ไล่ออกไปเลย ในตำนานที่แฝงมา พระโมคคัลลานะเป็นผู้รู้ ก็บอกให้ลากออกไปเลย เอาไปทิ้งข้างนอก ผู้ที่ปาราชิกแล้ว คือปาราชิก เป็นโทษที่หนักมากกว่าพรหมทัณฑ์ พรหมทัณฑ์ นี้อยู่ในหมู่ได้แต่จะไม่มีใครบอกใครสอน จนกว่าคุณจะอ่อนน้อมถ่อมตนลงมามีภูมิธรรมเพียงพอ ก็รับเข้ามาในหมู่ แต่ถ้าไม่ก็เกือบเป็นนานาสังวาส พรหมทัณฑ์ คือพวกไม่มีพวก แต่ถ้าคุณมีหมู่อยู่ในระดับนานาสังวาสไม่เป็นไร แต่ถ้ามากเกินไปเป็นนิกายก็อนันตริยกรรม

พวกอโศกของพวกเรา ก็ขอปรามไว้ ฆราวาสก็ประกาศจะนานาสังวาส อาตมาก็ด่าให้ว่าไอ้โง่ ไม่ใช่ภิกษุพวกนี้ไม่ได้เอามาพูดเล่นได้ง่ายๆ แล้วอวดดี นานาสังวาสกับสมณะในหมู่ด้วยนะ คุณเป็นฆราวาสแท้ๆมันเกินไปคุณหัวดำนะ ถึงแม้ว่าจะเป็นสมณะไม่ใช่อาริยะก็ตาม มันซับซ้อนลึกซึ้งมาก ขนาดพระอรหันต์เป็นพระขึ้นมา เป็นภิกษุแล้วบวชก่อน อรหันต์ยังต้องกราบเลย ถ้าธรรมดายังไม่เป็นพระอาริยะ อย่างนี้เป็นต้นซึ่งมันซับซ้อนมากเลย เพราะฉะนั้นอย่าทำเป็นเล่น ขอปรามไว้เรื่องนี้ จะประกาศนานาสังวาส ฆราวาสไม่มีสิทธิ์พูดเลย แล้วจะไปประกาศนานาสังวาสกับสมณะด้วยมันจะอยู่ได้ไหม ใหญ่เหลือเกิน อย่างนี้เป็นต้นเห็นไหม เอ้าฟังไว้

 

_ภาณุ168:เขามองสังคมสาธารณโภคีแบบโลกๆแค่คนมาอยู่รวมกัน แต่เขาไม่เห็นว่าคนเหล่านี้เป็นใคร ทำอะไร อย่างไรแบบโลกุตระ เขาติดคำว่าตัณหาต้องเป็นสิ่งไม่ดี ก็เลยเข้าใจว่า วิภวตัณหา ต้องเป็นสิ่งไม่ดีเช่นกัน

พ่อครูว่า…เรื่องความจริงพวกนี้ซับซ้อน เขาไม่เข้าใจหรือเขาเข้าใจก็ไม่เชื่อว่าจะทำได้ อย่างนี้เป็นต้น ก็เลยต้องแย้งกันอยู่ ก็ค่อยๆเป็นไป

 

_ใจธรรม ขณะนี้คนดู145คน

 

_ด.ญ.ใสกลางเพ็ญ..กสิกรรมวันบวร วันนี้ หนูไปที่สวนแห่งหนึ่งเพื่อไปเก็บกระเจี๊ยบ ส่วนหนูทำครัว ส่วนคนอื่นๆไปเก็บกระเจี๊ยบ พอกลับมาถึงก็กินข้าวกันจนอิ่มแล้วก็กลับมาบ้านราชฯ

พ่อครูว่า…กระเจี๊ยบเราแดงฉ่ำเลย ภาษาอีสานภาษาลาวเรียกว่า บักส้มพอดี

 

_ปองแสงพุทธ..ปีนี้เป็นปีทองของพ่อครู ลูกเคยเป็นนิสิตว.นบ. 3 ปีแล้ว drop ไป พอกลับมาครั้งนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวประหลาดมนุษย์ต่างดาว ก็อยากได้ปรึกษาว่าลูกควรอยู่พุทธสถานไหนดี หรือเป็นศิษย์เก่าได้ไหม

พ่อครูว่า...ก็ได้มันบอกยากที่จะทำตัวเองสนิทเนียนมามีความเป็นกันเอง ก็ที่จริตนิสัยพฤติกรรมที่เราสั่งสมมา ค่อยๆทำ ถ้ามีความต้องการแล้วค่อยๆทำอย่าไปทำให้หยาบคายให้แข็งให้แรงเกินไปนะ ค่อยๆเป็นค่อยๆก็ได้เองแหละ

ลูกมาจากสมุทรปราการ มีปราการอโศก ก็อยากไปที่นั่น

พ่อครูว่า...ก็รับรู้กันไว้นะ ปองแสงพุทธมาแล้วนะ ยกมือสิมีชาวสมุทรปราการไหม

 

_กรณียายเต็มสิริ ถมที่ดินแล้วปลูกต้นไม้ล้ำถนนซอย ทำให้ปากซอยแคบ ประกอบกับเป็นทางลงเนินแล้วยังมีสายสลิงโยงเสาไฟฟ้าพาดมาข้างถนนทำให้รถที่ต้องเข้าซอยเบียดสายสลิงมาก แล้วซอยนี้มีเด็กสมุนพระรามต้องไปเรียนหรือเด็กอนุบาลด้วย บางครั้งรดน้ำให้ถนนแฉะทำให้ลื่นบ่อยมาก (พ่อครูว่า...อันนี้จริงหรือว่า เขาแกล้งรดน้ำ การเพ่งโทษจะมีการตีไข่ใส่ผงชูรสเกิน ก็ควรให้ตรงอย่าใส่ไข่)

ต่อมามีเจ้าหน้าที่มาวัดพื้นที่เพื่อตรวจสอบพบว่ามีการถมที่ล้ำถนนมากจึงได้พ่นสเปรย์เพื่อปรับแนวถนน แต่พอวันรุ่งขึ้นยายก็ลบสีที่ขีดไว้ออกหมด(พ่อครูว่า..จริงเท็จอย่างไรอาตมาไม่ได้ตรวจสอบนะ)

สู่แดนธรรมว่า...อาจจะเป็นการไม่ได้นัดแนะกันก็เลยไม่ยอม

แล้วยายก็ด่า ก็อ้างพ่อครูอีกว่า ก็พ่อท่านให้ฉันปลูก (พ่อครูว่า...ก็ใครจะปลูกก็ไม่ว่าอยู่แล้ว ปลูกกัน แล้วไปเก็บมากินกันเยอะแยะ) พ่อท่านให้ปลูกเยอะๆ คนอื่นก็อย่ามายุ่งกับฉัน (พ่อครูว่า...อันนี้มันเกินไป) แล้วยังอ้างพ่อครูอีกว่าคนทำถนนก็ต้องรู้จักปรับหลบต้นไม้ (พ่อครูว่า เอ๊ อาตมาเคยพูดหรือว่าทำถนนต้องปรับหลบต้นไม้? ถ้าถนนจำเป็นก็ต้องตัดต้นไม้) บอกว่าถนนต้องหลบต้นไม้ที่ฉันปลูก คนขับรถต้องหลบต้นไม้เอง หากขับไม่ได้ก็ไปบอกพ่อครูเดี๋ยวท่านก็จะขับให้เอง

แล้วยังมีเชิงข่มขู่อีกว่าใครพ่นสีฉันจะจำหน้าไว้  (พ่อครูว่ามีเชิงอาฆาตพยาบาทอยู่นะ ธรรมะพวกเราฟังแล้วน่าเอ็นดู มีหอกปากทิ่มแทงกันไปมา คนที่ถือสาตัวกูของกูใครอย่าแตะก็ไม่ได้ก็ไม่ดี)

และที่ได้ยินบ่อยๆคือแกจะนินทาว่าร้ายคนที่แกไม่ชอบให้คนอื่นฟังเสมอ แกจะมีนิสัยอย่างนี้ประจำ ขนาดคนที่เคยอยู่วังน้ำเขียวที่รู้จักยายเต็มสิริอย่างดี บอกว่าที่วังน้ำเขียวเขาก็ไม่ให้แกอยู่ เพราะแกมีนิสัยอย่างนี้มีเรื่องทะเลาะกับคนไปเรื่อยไม่อยากพูดถึง แต่ที่วังน้ำเขียวเขารู้กันหมด ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วยเพราะนิสัยแกใส่ร้ายคนอื่น เอาเปรียบคนอื่นเสมอ เห็นแก่ตัว แม้แต่คนบ้านติดกับแกก็ด่าเขา ให้พวกเราฟัง พวกเราก็ไม่อยากฟังแกก็จะพูดใส่ความคนอื่นตลอด (แกเป็นคนน่าสงสารมากแกไม่รู้ว่าแกพูดแบบนี้ทำให้คนแตกแยกกันจะเป็นวิบากบาป) และที่สำคัญคือแสดงความเห็นแก่ตัวออกมาแบบ ขายโง่ตัวเองให้คนอื่นเห็นไม่สมกับที่มาอยู่ บ้านราช เพื่อจะมาลดละตัวตนแต่กลับมีแต่ความโลภมาทำบาปมาทำเลวในวัดน่าสงสารมากที่ไม่มีใครบอกแกได้เลย ขอกราบเรียนให้พ่อครูทราบว่ายังมีคนแบบนี้อยู่ในวัดเราที่เห็นแก่ตัวมากเอาเปรียบคนอื่น ไม่สงสารเด็กๆเลย ใจดำแล้งน้ำใจต่อพี่น้องเรามาก แต่เราก็สงสารแกไม่รู้จะช่วยอย่างไร แกทำตัวเองค่ะ

พ่อครูว่า...ฟัง แล้วสิ่งที่ไม่ดีก็แก้ไขสิ่งที่ดีอยู่แล้วก็ทำให้ดีมากยิ่งขึ้น ดีอย่างนี้พวกเราก็จะติงกันบอกกัน ผู้ใดผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนได้ลดอัตตา อาตมาถึงบอกว่าตัวที่จบสุดยอดคือผู้ที่ยอม ตัวยอมแพ้ได้ จบเลย ผู้ที่จะชนะโลกทั้งโลกได้ก็เพราะว่าเขาแพ้เป็น ยอมแพ้ได้ ถ้าเขาจะไม่แพ้เลย เขาจะไม่ชนะเลยในโลกนี้

เคยได้ยินไหมว่าใครเขาบอกว่า ผมสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็น ..คนหน้าเหลี่ยมคนสำคัญ นี่มันเป็นเรื่องจริงเป็นเรื่องอัตตามานะ ยอมแพ้เถอะ อาตมาอยู่รอดมาได้ด้วยการยอมแพ้ทุกวันนี้ แพ้ก็แพ้ชะตาทราม ดวงใจทรงความมั่นคง เพลงนี้แต่งขณะอายุไม่ถึง 20 ดัง ตั้งแต่เป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ พูดแล้วก็ระลึกถึงความหลัง ชีวิตอาภัพ

สมัยโบราณ นักแต่งเพลงต้องเป็นผู้ที่อายุยาวอายุมากแล้ว ต้องคร่ำหวอดอยู่ในวงการดนตรี ต้องเป็นผู้ที่ทรงคุณวุฒิ สมัยโบราณแต่งเพลง แต่สมัยนี้เด็กอายุ 10 ขวบก็แต่งแล้วเพลงอะไรของเขาก็ไม่รู้ไม่ต้องมีหลักการอะไรไม่ต้องเข้าใจลีลาของศิลปะดนตรีการอะไรก็แต่ง แต่สมัยโบราณสมัยอาตมา คนที่แต่งตั้งแต่อายุน้อยๆ อย่างเช่นอาตมาเป็นพรสวรรค์วิเศษอันนี้ก็พูดตรงๆ

 

_เต็มสิริ...ก็โยมเป็นคนที่แบบพูดอะไรก็พูดจริง แต่ถ้าพูดไม่จริง แม้กระทั่งขับรถ รถมันลดกิเลสแต่คนขับไม่ลดกิเลส บอกว่าถนนแคบ แต่รถสิบล้อเข้าออกได้ ใครเข้าใครออกก็ถามเขาว่าลำบากไหม แต่ก็ไม่เห็นติด คำว่าโยมอ้างพ่อท่าน โยมก็ได้คุยกับพ่อท่านบ้างแต่ก็อยากฟ้องพ่อท่านแต่เลียบเคียงอีก ที่ว่าพ่อท่านว่าอย่างนั้นอย่างนี้ก็เขามโนเองหรือไม่นะ ใครที่เขียนก็แสดงตัวมาดีกว่า

ที่ว่ารดน้ำแฉะถนนลื่นตัวเองไม่มีสติเองหรือไม่นะ ในบ้านตัวเองทำให้ดีๆก็แล้วกัน

พ่อครูว่า...คุณพูดมานี้พอจะรู้ว่าใครเหมือนกันนะ

_เต็มสิริ ...เราเป็นลูกพ่อมาคุยกันได้ไหม โยมไม่ได้ไปลบรอยที่เขาขีดแต่อย่างใด

พ่อครูว่า...อาตมาว่าเขาติงมา ก็ไม่เป็นไร

_เต็มสิริว่า...มันมากไป

พ่อครูว่า...ก็รู้กันนัยๆ ทุกคนก็ลดของตนเองทั้งคู่มันเว่อร์ไปทั้งคู่เลยชนกัน อย่างนี้ถือว่าอัตตามานะ อาตมาบอกว่าให้ลดคุณก็ไม่ยอมลดอีก เขาไม่ลดก็ให้เขาบ้าหอบไป ใครไม่ลดก็บ้าหอบไป

 

_นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ

_สุดชดา...ดิฉันชอบตื่นตอนเที่ยงคืน ก็อยากตีระฆังแต่คนอื่นเขาจะว่าได้ (พ่อครูว่า..ตีเล็กๆสิอย่าไปตีอันใหญ่ อาตมาเคาะกังสดาลเมื่อก่อน ก็อย่าไปตีเล่นตีหัว)

พ่อครูว่า..อาตมาว่านอนให้ดีๆดีกว่าอย่าไปตีเลย อาตมาตีมาเป็น10 ปีเลย ฝึกอย่างนี้ได้หลับเร็วตื่นเร็ว อย่างอาตมา ท่านหนักแน่น ตื่น หลับ ยังไม่ทันถึงนาทีก็หลับแล้ว ฝึกแล้วจะเป็นเอง ท่านหนักแน่นกับอาตมาอยู่ด้วยกันได้เพราะหลับเร็วตื่นเร็วเหมือนกัน สบาย ไปไหนมาไหนท่านหนักแน่นเป็นปัจฉาฯ อยู่ใกล้ชิดที่สุดซักผ้าซักผ่อนให้อาตมา

 

_กาย กับ เทวนิยม ต่างกันอย่างไร ขอคำอธิบายความหมายที่แตกต่างของคำว่าอัตตาของเทวนิยมกับอเทวนิยม

พ่อครูว่า...อธิบายยาวในรายการนี้ไม่ได้

คำว่า เทวะ แปลว่า 2 กายก็มีนัยยะ แปลว่า 2 แล้วลงลึก กายคือรูปนาม

เพราะฉะนั้น คำว่า กาย เป็นภาวะคู่ เทวะก็แปลว่าภาวะคู่ แต่เทวะครอบคลุมไปหมดทั้งภาวะคู่ ตั้งแต่ 2 3 4 5 6 7 จนกระทั่งถึง Infinity เทวะ แต่สำคัญก็คือต้องมาแยกทีละคู่ เป็นลำดับๆไป เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นเทวะจะต้องรู้จักรูปนามคู่แรก แยกรูปแยกนามให้ให้ได้

รูป เป็นสิ่งที่ถูกรู้ นาม เป็นตัวผู้รู้ แล้วตัวเองนั่นแหละคือเทวะ

เทวะ นี่แหละคือ อัตตาหรืออาตมัน

เพราะฉะนั้น เทวนิยม คือ ผู้ที่ตีแตกแยกเป็น 2 ไม่ได้ 2แรกคือ รูปกับนาม

รูปกับนามแรกคือกาย กายคือภายนอกกับภายใน

กายคือสิ่งหนึ่งที่ต่างจากจิต แต่ในความเป็นกาย ก็มีความเป็นจิต ซับซ้อนอยู่ เพราะฉะนั้นต้องเอาภายนอกกับภายในเป็นคู่แรกของรูปนาม ของคำว่ากาย

กำหนดรู้รูปนอก กายนอกกาย ง่ายกว่ากำหนดรู้ กายในกาย

เพราะ กายในกาย มันเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ เป็นเฉพาะตัว คนอื่นไม่รู้ได้ด้วย ก็เลยไม่พิสดารไม่หลากหลาย ละเอียดกว่ากัน คนที่ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าจึงต้องมาเรียนรู้ กาย

กายที่เป็น 2 ที่มีภายนอก ภายนอกมันมากกว่าภายใน ที่จะเรียน

กิเลสจะเกี่ยวติดอยู่กับภายนอกมากกว่า หยาบกว่าแรงกว่า แล้วเยอะ

เพราะฉะนั้นผู้ที่จะนั่งหลับตา เรียนแต่ภายใน พระพุทธเจ้าท่านใจดีบอกว่าผู้ที่อาสวะบางอย่างก็คือสายหลับตา จนกระทั่งไปบรรลุกายสักขี ตั้งแต่สัทธานุสารี มาเป็นสัทธาวิมุติ พอเริ่มมีปัญญาทำไปถึง ธัมมานุสารี

พอธัมมานุสารี ที่เป็นสายของศรัทธา กับธัมมานุสารีของสายปัญญา

สายศรัทธาจะรู้ได้ยากได้ช้ากว่าเมื่อได้รับปัญญา เพิ่มขึ้น สายศรัทธาไม่ใช่สายปัญญาแม้จะได้รับปัญญามาแต่ก็ยังไม่เก่งพอ เพราะไม่ถูกกับจริตของตนเอง แต่ก็ต้องพยายามให้ได้ปัญญา แม้ได้มาแล้ว ธัมมานุสารี ก็จะเป็นพระอรหันต์ได้ ศรัทธาอยู่ที่ไหนปัญญาต้องอยู่ที่นั่น

หากไม่เติมปัญญาแรก อัญญธาตุ ก็จะวนแค่ สัทธานุสารี สัทธาวิมุติ อีกนานเท่านาน

สัตว์เซลล์เดียว กว่าจะมาเป็นอาริยะนั้นนาน มากจึงมีจำนวนน้อยกว่าโลกียะ โลกุตระเป็นส่วนหนึ่งส่วนน้อยเท่านั้นเมื่อไหร่ก็เป็นส่วนน้อย

ผู้ที่เป็นโลกุตระจะไม่แข่งจำนวนกับโลกียะหรอก มันเป็นส่วนน้อย

ประชาธิปไตย รวมหัวเอามวลมาก เอานัมเบอร์มาชนะก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย การเลือกตั้งก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมสารพัด เป็นค่ายกลต่างๆ จนกระทั่งสามารถกำหนดให้ชนะได้สั่งเสาไฟฟ้าไปลงเลือกตั้งก็ยังชนะ ใช้เงินเป็นหลักเลย ตกเขียวไปตลอดเวลา เป็นเล่ห์กลวิธีที่ไม่ซื่อสัตย์ ประชาธิปไตยจึงเป็นเรื่องลึกลับซับซ้อนยากมากที่จะเข้าใจ

ไทยเป็นรากฐานของศาสนาพุทธ แล้วพุทธเป็นประชาธิปไตยที่สุดยอด ประเทศไหนก็แล้วแต่ในโลก ทุกวันนี้ศาสนาพุทธมีอยู่หลายประเทศแต่ไม่มีประเทศไหนรุ่งเรืองเท่าของประเทศไทย ประเทศไทยมีโลกุตรธรรมที่เป็นแก่นแกน มีมวลมาก มีชุมชนสังคมมีธรรมะที่ละเอียดลออโดยเฉพาะชาวอโศก พูดไปแล้วก็เข้ายกย่องตัวเอง แต่มันเป็นสัจจะเลี่ยงไม่ออกก็ต้องขอบอกความจริง ใครไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหา

ก็จบตรง อัตตาของเทวนิยม ยังไม่เข้าใจความเป็นอัตตาตัวเอง แต่ถ้าเป็นอเทวนิยมก็เริ่มเข้าใจอัตตาขึ้นมา

 

_มีรถมาจอดที่ถนน ลูกสาวอายุ 8 ขวบถือถุงอาหารมีปิ้งไก่อยู่ด้วย แต่มีเสี่ยวเอ้อ บอกว่าที่นี่ห้ามเอาเนื้อสัตว์มาทาน ทั้งสามคนก็เลยขึ้นรถกลับทันที ขอแนะนำ ให้เชิญทั้งสามคน เข้ามานั่งก่อน ให้เขาสัมผัสบรรยากาศก่อนและรับประทานอาหารที่นำมา พวกเราก็ค่อยๆสนทนา แนะนำเขาเรื่องอาหารด้วยไมตรี

พ่อครูว่า… ก็มีน้ำใจ อาตมาขอยอมรับว่าอาตมาแย่ เลว เรื่องปฏิสันถาร ไม่เก่งไม่ดีเลย พูดแล้วตัดๆ ทุกวันนี้ก็ต้องพยายามพูดให้มากหน่อย แต่ก็ต้องไม่ให้คนรำคาญเพราะอาตมาพูดมากพูดยาว ก็ได้มาจำนวนหนึ่ง ความซบซ้อนมันมีทั้งนั้น ก็ค่อยๆศึกษาไป

 

_บุญยิ่งแก้ว...มองเห็นกิจกรรมร่มโพธิ์ร่มไทร ตัวเองก็เพิ่งออกจากเตาย่างแม่งามธรรม ก็เลยรีบไปที่งาน เพื่อเรียนรู้การจัดกิจกรรมแต่ที่เห็นคือ กิจกรรมมี 4 ครั้งแล้ว แต่ไม่เคยได้อยู่ร่วมช่วยเลย เมื่อวานที่ผ่านมาเพิ่งไป ก็ไม่ได้ช่วยเขาแต่ไปเป็นมวล เพื่อนที่ทำงานกิจกรรม เขาก็ว่าลำบากตอนเก็บหางเป็นภาระมาก ก็เลยบอกตัวเองว่าเราไม่รอบคอบก็เลยตั้งใจว่าจะร่วมงานแล้วอยู่ช่วยเพื่อนให้จบเรื่องและขอเชิญชวนคนมาช่วยงานกันด้วย

พ่อครูว่า...งานนี้หุ้นขึ้นนะ วันอาทิตย์ เวลา10.00-14.00 น.ดีแล้วค่อยๆทำไป

 

_สุดชดา….ยินดีช่วยงานร่มโพธิ์ร่มไทรอาทิตย์ที่แล้วก็ไปช่วยมา หากอยู่ที่นี่ก็ภาวนาจะช่วย

 

_ภูมิพุทธ...ทำไมคนเราต้องนอนกลางวันด้วยครับ

พ่อครูว่า...เป็นเด็กร่างกายเราต้องการให้มีการพักผ่อนแล้วค่อยขยันทำงาน พอเวลาตื่นแล้วเด็กไม่ใช่ขยันมันดิ้นมันเป็นลิงออกกำลังกายเยอะแล้วจึงต้องพักผ่อนให้สมดุลให้มันลงกันให้พอดี เด็กจึงถูกบังคับให้นอน ถ้าไม่นอนมันจะเล่นมากกว่านอน สุขภาพก็เสียแล้วจะเจ็บป่วยจะตาย กลัวไหม

 

_คุณหายโง่...มีคนติดต่อขอพักค้างกับดิฉันเพื่ออยู่ฟังธรรมให้ได้ เขาขับรถจากบุรีรัมย์ แต่ดิฉันป่วย เราโน่ห้ามใช้โทรศัพท์ แต่ดิฉันเพิ่งเปิดตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เธอเล่าว่าได้พักค้างที่บ้านคุณดาวเพ็ญ สิกขมาตุแสงฝนรับลงทะเบียนได้ต้อนรับอย่างดี เธอกล่าวว่า ขอบคุณมาก และประทับใจที่ได้ฟังธรรมพ่อครูมาก เธอประทับใจหมอเขียวมากและบอกว่าลูกศิษย์อาจารย์เก่งขนาดนี้อาจารย์จะขนาดไหน บัดนี้เธอได้ชัดเจนแล้ว เธอกล่าวว่าใช่แล้ว หนูเหนื่อยกับการแสวงหาพระพุทธศาสนา มานาน หนูพบแล้วค่ะ

ข้อความดังกล่าวเป็นการประกาศเกียรติคุณชาวอโศกแม้จะไม่มีสื่อใดๆมาสนใจก็ไม่มีปัญหาเลย เสียงจากประชาชนธรรมดานี่แหละคือสื่อมวลชนแท้ที่เผยแพร่ของจริง ฝากบอกอย่างบริสุทธิ์ใจ ดิฉันเคยอยู่ในแวดวงสื่อมวลชนอาชีพ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐต่างประเทศ แต่ไม่เคยคิดจะให้สื่อเรานั้นมา ทั้งๆที่เรามีเรื่องราวดีๆแต่พวกเขาไม่สนใจ

พ่อครูว่า...พูดตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าเลยถ้ายังไม่มีฉันทะเป็นมูล อย่าไปคะยั้นคะยออย่าไปบีบเค้น ดอกไม้จะบานก็ให้ดอกไม้มันบานเอง ผลไม้มันสุกอย่าไปบีบให้มันสุกมันก็จะสุกของมันเอง

อาตมาไม่ได้และเล็มเลียบเคียง หลายคนเข้าใจผิดว่าที่เรามีโทรทัศน์นั้นเป็นการโฆษณา แต่มันเป็นการสื่อสารสนเทศ แล้วมาหาว่าเราโฆษณา ก็เป็นเทคโนโลยีที่เราได้ใช้ให้เป็นประโยชน์เท่านั้นเอง แปลว่าโฆษณา ก็ว่าไป แล้วมันดีไหมล่ะ ดี ไม่ได้เอาอะไรแลกเปลี่ยนมาเลย เราทำให้โดยบริสุทธิ์ใจ

 

_พระโยคาวจรคืออะไร

อานาปานสติ ที่ว่าตั้งกายตรงนั้งคู้ขา เธอมีสติรู้ลมหายใจเข้าหายใจออกมีอย่างไรครับ

พ่อครูว่า...คนที่ถามมานี้ ทั้งสองคำนี้ เขาคงยังอีกนาน ฝากไว้ก่อนเถอะโอฬาร

 

_หลวงปู่คะ จะทำอย่างไรไม่ให้ตื่นสายคะ

พ่อครูว่า...อันนี้มันลึกซึ้งเรื่งนี้ลึกซึ้ง การไม่ให้ติดสายต้องไม่ติดการนอน ให้ตื่นแต่เช้าตามนิสัย สร้างนิสัยก่อน หัดตื่นโดยไม่มีความรู้อะไรฝึกให้ตื่นแต่เช้า จะเห็นความเป็นประโยชน์ ความดีงามของการตื่นเช้า นี่แบบสมถะ ถ้าฝึกอย่างปัญญาแล้ว จะเรียนรู้ถึงจุดสำคัญของคนที่ติดการนอนการหลับก็คือ อาตมาพยายามใช้ภาษาที่มัน รำไร ง่วงๆ งัวเงียสลึมสะลือ หัดตื่นก็ตื่นให้สว่างเลย แล้วหลับก็ดับให้เร็ว ตื่นก็ตื่นสว่างเลย เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานเต็มๆ

 

_เราควรลดอคติได้อย่างไร

พ่อครูว่า...เรื่องอคติความลำเอียง 4 อย่างนั้นเป็นเรื่องใหญ่

 

_ทำไม ผู้ใหญ่ชอบว่าตัวเองเคยมาเป็นเด็กมาก่อน แล้วรู้ว่าความรู้สึกเด็กเป็นอย่างไร ทั้งๆที่ในยุคของผู้ใหญ่กับเด็กก็ไม่เหมือนกัน

พ่อครูว่า..เด็กกับผู้ใหญ่ มีแกนที่เหมือนกัน คล้ายๆกันจริงที่มันมีรายละเอียดต่างกัน แต่มันสิ่งที่เหมือนกันมันก็มี เขาก็พูดไปมีส่วนที่ถูก เรียกว่า สัญญาต่างกันกายต่างกัน ก็เลยต้องทะเลาะกันตลอดโลกแตก ในสัตตาวาส 9 นั้นมีรายละเอียดอีกเยอะ

_บางวันที่เราพยายามงดมื้อเย็น มีคนชอบเขียนมาเล่าเรื่องพิซซ่า ทำให้เราฟุ้งซ่าน น้ำลายน้ำย่อยก็ทำงานตามที่เขาเขียนมา ต่อสู้ตามไปกับผู้เขียนอย่างลำบาก

พ่อครูว่า...หมดเวลา ขอบคุณทุกคนที่มาตั้งใจฟัง เจริญธรรมทุกคน

จบ


เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 13:52:57 )

630219

รายละเอียด

 

630219_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาผ่าอายตนะนิพพาน

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่...  https://docs.google.com/document/d/1fZsHHypRQ8dUJKhZxCenE8gdsuVlRk4DJE9DPfa7ins/edit?usp=sharing                

 

ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1skCE5VV-nM3uXivQlWYYMIpekHrcaXPx

 

สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 ที่บวรราชธานีอโศก วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้จะมีการบวชขึ้นมาอีก 1 รูป นานทีปีหน ชื่อว่าสมณะ แนวตรง ฉายาอุชุปฏิปันโน

อุปัชฌาย์จะให้ศีล 46 ข้อ วินัยอีก 227 ข้อ ซึ่งบวชของเราบวชจริงจัง กว่าจะมาบวชเป็นสมณะได้ ต้องเข้ามาอยู่ตั้งแต่เป็นคนวัด เป็นอาคันตุกะจร อาคันตุกะประจำมาเป็นอารามิก เป็นปะ เป็นเณรอีก 4 เดือน หากโหวตผ่านก็ให้เลื่อนได้แต่ถ้าโหวตไม่ผ่านก็ต้องเป็นต่อ

รุ่นอาตมา ปี 2520 กว่าๆผู้ชายเข้ามาก็มาบวชกันเต็มวัด ตอนนี้หาทำยาหยอดตายาก เพราะผู้ชายลดน้อยลง มาฟังเทศน์ก็น้อยลง ชราภาพไปบ้าง ผู้หญิงที่สมัครบวชก็เลยยังค้างเติ่งอยู่ เพราะจะต้องมีอัตราส่วน สิกขมาตุ 1 ต่อสมณะ 4 รูป ตอนนี้มีสมณะแค่ 88 รูปเท่านั้น พ่อครูก็ได้เทศนาให้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน หากพวกเราปฏิบัติตามก็จะพ้นทุกข์ได้เหมือนกัน

พ่อครูว่า…

_Keng Ratchanee รัชนี.... กราบเท้าพ่อท่าน ชื่อลูกคือ เก่ง รัชนีค่ะ อยู่เชียงใหม่ค่ะ        (ส.ดินไทอ่านผิดเป็น เข่ง ราชธานี ครับ)

ลูกไม่อยากเกิดอีกแล้ว ควรรู้อะไรบ้างคะ พ่อท่านโปรดสอนด้วยค่ะ ลูกฟังเรื่องคุณยายเต็มสิริแล้วสงสารเธอและคู่กรณีจัง อยู่ใกล้พ่อท่านแต่ตัวตนสูงจัง ถ้าเข้าใจธรรมะก็จะไม่ต่อล้อต่อเถียงกัน ยอม เป็นผู้แพ้เหมือนเพลงพ่อท่าน ใจก็จะไม่ถือ ไม่ขึ้งโกรธกันอย่างนี้

 พ่อครูว่า…ก็ฝึกไป ใจก็มีก็แสดงออกมา แล้วก็รับรู้แสดงผลไป ค่อยๆเป็นไปหากว่าได้เร็วดั่งใจก็คงดีสิ

 

_Arinchawit Phiophong  อรินชวิช...สาธุครับ..ด้วยความเคารพอย่างสูง ผมเป็นพุทธ100% ผมมีความเชื่อบุญและบาป..การเวียนว่ายตายเกิด สิ่งที่ผมสงสัยคือ..ประชากรโลกเพิ่มขึ้นทุกวัน ดวงวิญญาณที่มาเกิดนั้นมาจากไหนครับ ?

พ่อครูว่า…คุณอย่าไปคิดให้มันหัวแตกเลย วิญญาณมาจากไหน คุณจะรู้ไปทำไม คุณก็มีวิญญาณ คุณเรียนรู้วิญญาณของคุณให้ได้แล้วทำให้แจ้ง ดับวิญญาณให้ได้ก็แล้วกัน ให้รู้แจ้งรู้จริงในวิญญาณให้ได้ แล้วคุณจะไม่สงสัย ว่าวิญญาณจะมาจากไหน พระพุทธเจ้าเองก็ยังตรัสว่าท่านเองก็ไม่รู้ที่ต้น ตอบได้แต่ว่า วิญญาณนี้มันมาจากอวิชชา มันมีปัจจัยคือ สังขารทำให้เกิดวิญญาณ มันก็วนเวียนอยู่อย่างนั้น อวิชชาทำให้เกิดสังขาร สังขารทำให้เกิดวิญญาณ คนไม่รู้ก็วนเวียนอยู่อย่างนี้สังขารคือการปรุงแต่ง วิญญาณเป็นตัวที่รวมกันปรุงแต่ง ท่านแบ่งเป็นขันธ์ 5 วิญญาณขันธ์เป็นองค์รวม มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร

เวทนา สัญญา สังขาร เป็นนาม นาม คือเจตสิก 3 ของวิญญาณ ใครอ่าน “คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก” ก็จะเข้าใจ อาตมาแยกไว้ “คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก” เป็นหนังสือธรรมะเล่มแรกของชีวิตอาตมาที่เขียนออกมาเป็นเนื้อหาเป็นเล่มสมบูรณ์แบบเลย

ที่จริงในชีวิตก็สอนธรรมะบรรยายธรรมะมาตั้งแต่เป็นฆราวาส ก่อน พ.ศ. 2512 ออกบรรยายอยู่ เปิดคอลัมน์ในหนังสือดาราภาพในหนังสือไทยโทรทัศน์ ก็เปิด Column สอบถามบรรยายธรรมะ อยู่ในหนังสือนั้น แต่ คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก เป็นหนังสือที่ตั้งใจเขียนขึ้นมาเอง จนเสร็จเรียบร้อย ลงพิมพ์ในหนังสือสตรีสาร แล้วค่อยๆแก้ไขเพิ่มเติมอีกบ้าง แก้ไขไปไม่รู้กี่ครั้งแล้วจากนั้นก็ไม่ได้แก้ไขอีก พิมพ์มาหลายสิบครั้งแล้ว

สรุป คือผู้ใดเต็มใจตั้งใจสนใจจริงๆ ที่จะเรียนรู้ ชีวิตมันไม่มีอะไรหรอกชีวิตเกิดมาเป็นคนนี่ คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก.. “คน” อาตมาเอาภาษาที่แปลได้ว่า คนเป็นกิริยาว่ากวน คน อาตมาก็ขยายตามภาษาไทย กวนแปลว่าคน แต่คนนี่สุดยอดนักกวน กวนจริงๆ กวนตั้งแต่หัวจรดเท้า

สู่แดนธรรมว่า..พ่อท่านยังไม่ได้ตอบคำถามของคุณเก่งรัชนีในข้อแรก ที่เขาถามว่าไม่อยากเกิดอีกแล้ว จะทำอย่างไร ?

พ่อครูว่า...ไม่เกิดนี่นะ สรุปสั้นๆ คุณต้องแยกจิตเรียนรู้จิตให้ออก แล้วคุณต้องแยกจิตแล้วก็ทำจิตให้เกิดและทำจิตให้ดับ

จิต แยกเป็นเจตสิกต่างๆ แล้วแยกละเอียดถึงเวทนา เจตสิก ซึ่งเป็นตัวแรกของขันธ์ 5

ข้นธ์ 5 รูป แล้วเป็นเวทนา ตัวแรก แล้ว ซึ่งเป็นสัญญา สังขาร วิญญาณ  ตัวแรกคือเวทนา เราจะศึกษาพระพุทธเจ้าก็ให้แยกรูปแยกนามเป็นรูป 28 นาม 5

ใน นาม 5 ตัวแรกก็เป็นเวทนา

เพราะฉะนั้นตัวเวทนาจึงเป็นตัวสำคัญเป็นตัวฐานเป็นกรรมฐานหลัก และกรรมฐานของการปฏิบัติธรรมของพุทธนั้นคือเวทนา ผู้ที่บำเพ็ญมิจฉาทิฏฐิไปในทางเทวนิยมในทางสะกดจิต ไปในทางเดียรถีย์ ก็ไปมีสิ่งที่เป็นกรรมฐานเป็นกสิณ 40 เป็นอะไรที่จะเอาจิตไปเพ่งก่อนและจิตมันจะได้หยุด เรื่องของสมถะ การสะกดจิตทางวิทยาศาสตร์ก็เหมือนกันให้เพ่งรูปภายนอกเลย อาตมาเรียนสะกดจิต

ไม่มีอะไรก็ให้เอาที่มือให้เพ่งที่มือ เพ่งให้ดีๆ มือเราจะแนบกันนิ่ง อย่าให้มันแยกกันนะ เอาดีๆ ดึงไว้ อย่าให้มันแยกนะ คนที่สู้ไม่ได้ก็แยกออก ก็จะสู้ดึง เขาสนใจ สุดท้ายจิตถูกสะกด ถูกครอบงำ ถูกสะกดจิต ดิ่งเข้าไปอยู่ในภพ แล้วถูกสั่งให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ก็ได้หมดเลย คือหมายความว่าครอบงำจิตให้จิตอยู่ในอำนาจคนสะกดจิต ก็สั่งให้มีอุปาทาน

เมื่อลืมตาออกมา ให้ไม่เห็นอะไรอยู่บนโต๊ะ เขาก็จะไม่เห็น ลืมตาแล้วก็บอกว่ามีเสืออยู่ 1 ตัวระวังดีๆนะ เมื่อให้สัญญาณให้ลืมตา มาแตะตัวหรือมีรหัสให้ตื่น ก็เจอเสือก็จะวิ่ง ต้องรีบจับตัวไว้ แล้วปลุกให้ตื่นบอกว่าไม่มีหรอก เสือ

เช่น สะกดไว้แล้วก็บอกว่า จะเอาเหล็กเผาไฟนาบแขนนะ ระวังนะ แล้วก็เอาไม้บรรทัดธรรมดาแตะที่แขน ปรากฏว่ามีแดงเป็นทางไม้บรรทัดแตะ ไหม้เลย นี่คืออุปาทานขนาดนั้น จิตที่มันเชื่ออะไรเป็นได้อย่างนั้น ทางแพทย์ศาสตร์เขาก็สอนกันเป็นโรค Psychosis หรือ Neurosis เป็นโรคประสาท ตัวเองไม่เป็นหรอก ไม่ป่วยแล้วให้ป่วยเป็นโรคอะไรก็ได้เรียกว่า ไซโคซิส ดีไม่ดีไม่เป็นมะเร็งก็จะเป็นมะเร็งเอาได้ บอกว่าตัวเองเป็นๆ

บางคนนี่ทำตัวเองเป็น เพื่อที่จะเป็นข้อต่อรอง ไม่ว่าจะเป็นเด็กต่อรองผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเมียเป็นผัวต่อรองกัน หรือคู่รักต่อรองกัน จนกระทั่งเป็น เป็นโรค โรคชนิดนี้เรียกว่า นิวโรซิส (neurosis)

ส.ฟ้าไทว่า...เวลาเด็กไม่อยากเรียนชั่วโมงนี้วิชานี้ก็จะปวดหัว

พ่อครูว่า...ง่ายอุปาทานง่ายไม่ยาก เยอะ

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ไม่อยากเกิดต้องมาเรียนรู้ความจริง

สรุปแล้ว คุณอยากไม่เกิด ต้องมาเรียนความจริงตัวที่พาเกิด

ธรรมดาธรรมชาติของชีวิตจิตวิญญาณมันคืออวิชชาตัวโง่ เมื่อมีแล้วมันก็ต้องเกิดวนเวียนไปตามวิบากถ้าเกิดคุณก็จะเกิดไปตามวิบาก แล้วหัดมาพบสัตบุรุษ ท่านก็สอนให้ไปตามลำดับขั้น ศีล สมาธิ ปัญญา ตั้งแต่สัตว์เกี่ยวข้องกับสัตว์เกี่ยวข้องกับคนอื่น แล้วให้รู้ว่า สัตว์โดยเฉพาะคน มันพาไปเราไปติดไปยึดในอบายมุขต่างๆ เราก็ต้องมาเรียนรู้ฆ่าจิตตัวนี้

อ่านกาย อ่านอาการลิงคนิมิต อ่านอาการจิตออก เรารู้ว่ามันเกิดอาการโกรธ แต่ใจเรา ใจมันอยู่ในร่างกายเรา มันไม่มีที่อื่นมันไม่มีที่ปลายทาง ไม่มีที่สมอง ไม่ใช่ที่หัวใจห้องที่ 4 ตามอภิธรรมเขาสอน มันไม่ใช่ มันคือ อาการ เราจับอาการนั้นได้ที่ไหนที่นั่นคือหทยรูป แล้วก็มันมีอาหาร ก็พิจารณาอาหาร กวฬิงการาหาร มันไปติดยึดกามภพ แล้วเรียนรู้กิเลสตัวนี้คือกามตัณหา รู้ตามธรรมชาติ ของกินของใช้ที่สัมผัสผิวสัมผัสกับสัตว์กับคนเกิดกิเลสก็อ่าน จะชอบ จะเอร็ดอร่อย คนก็เช่นกัน มีรัก มีชอบ มีโกรธ มีชัง มีราคะ มีโทสะ มีแค่นี้แหละ

โมหะ คือ มุ่น วน เลอะเทอะ หากรู้แล้วก็พ้นโมหะ

พิจารณาในนั้นมีอาการตัณหามันมายา มันไม่มีตัวจริงหรอก คุณฟังแล้วบอกว่ามันไม่มีตัวจริงแล้ว แล้วมันก็ไม่ใช่ คุณต้องสัมผัสกับมันเมื่อไหร่และจิตคุณเกิดตัณหา อ่านอาการตัณหาให้ออก แล้วต้องพิจารณาให้เห็นว่ามันเป็นมายา มันหลอกเรา มันไม่มีตัวตนจริงหรอกมันเป็นอนัตตา มันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ มันเป็นของไม่เที่ยง มันเกิดมาแล้วมันก็ดับ มันจะอยู่ตลอดนิรันดรหรือ มันจะอยู่ทุกเวลาทุกวินาทีเลย เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนหน้า เป็นอันโน้นอันนี้เป็นเลอะเทอะไป เพราะฉะนั้นตัวไหนที่มันเกิดราคะ ตัวไหนที่เกิดโทสะเดี๋ยวมันก็หายหน้า

คุณจะโกรธตลอด ไม่มีเลิกเลยคุณไม่ได้หรอก มันต้องพักยก ในขณะพักยกมันก็ฝังในอนุสัย แต่ถ้ามันเกิดไปเรื่อยๆคุณก็จะเห็นโทษภัยของความโกรธ ความโกรธไม่ได้ทำให้เกิดความสุขเลย มีพวกมาโซคิส พวกซาดิส มันชอบความรุนแรง เพราะฉะนั้นยาก คนที่ยังไปติดความรุนแรง ติดความแข็ง ยังยากอยู่ ต้องมาเรียนรู้จริงๆแล้วจะเลิกกันได้ มันจะเกิดปัญญาพิจารณา เรียกว่าปัญญา เรียกว่าความรู้แจ้งเห็นจริง เห็นความจริงตามความเป็นจริงเรียกว่า ปัญญา แล้วปัญญานี่แหละจะเป็นตัวพลังงานที่สุดยอด

ภาษาว่า ปัญญา เป็นตัวรู้ตั้งแต่ทิฏฐิ ความเข้าใจจนกระทั่งเป็นพลังงานที่ตัดเลยเรียกว่ายอดปัญญา พอตัดเป็นตัวปุญญา เป็นฌาน เผากิเลส เผาหมดก็เป็นปุญญะ ดับเหตุมันไม่เกิดอีก สัมผัสอีกมันก็ไม่เกิดอีก โลกสมุทัยก็ไม่มี สัมผัสทีไรก็ไม่เกิดกิเลสเรียกว่า โลกนิโรธ

อธิบายไปซ้ำๆ จนบางคนบอกว่ารู้แล้วรู้แล้ว แต่ถ้าปฏิบัติแล้วจะเข้าใจไม่เบื่อหรอกมันมีนัยยะที่สัมผัสกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ เราก็จะเข้าใจมากขึ้นได้แล้วปฏิบัติ ยิ่งตัวเองมีความรู้และเอาไปปฏิบัติได้ผล มันจะเห็นที่มันละเอียดขึ้นไปอีกไม่มีเบื่อง่ายๆ ในที่สุดคุณเป็นพระอรหันต์ คุณจะสบายแล้วก็จะไม่เบื่อหรอก ธรรมะพระพุทธเจ้าโลกุตระแล้วไม่มีวันเบื่อ แม้แต่เป็นพระอรหันต์ก็มี ธรรมรส มีวิมุติรส ไม่มีรสอื่นเท่าเทียมเลย เป็นความมหัศจรรย์ในความมหัศจรรย์ 8 ข้อ มหาสมุทรไม่มีรสอื่นเทียบเท่า มีรสเดียวคือรสเค็ม

 

นิมนต์พ่อครู จิบน้ำ

สมณะฟ้าไท..
          พ่อครูว่า...สรุป คุณอรินชวิช ก็ค่อยๆเรียนไป แม้แต่คำว่าบุญ คำว่าบาป เรื่องของโลกุตระ ปัญญาเป็นเรื่องเฉพาะของศาสนาพุทธ อาตมากำลังเขียนหนังสืออยู่ 2 เล่ม เรื่องของการเมือง 1 เล่มกับเรื่องของปัญญา 8 อีก 1 เล่ม ก็คงจะได้พิมพ์ออกมาแจกกัน

เขียนเสร็จแล้วก็จะเอามาอธิบายกันไป

 

อาตมาว่าจะเอาคุหัฏฐกสุตตนิทเทสมาอ่านแล้วขยายความให้ฟัง…

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระอภิธรรม) ตอน จิตวิญญาณไม่กินเนื้อที่

ดวงวิญญาณจะเอาจากไหนมาเกิดขึ้นอย่าไปคิดเลย

เริ่มต้นเป็นสัตว์เรียกว่าเป็นจิตนิยาม จะไม่จบไม่ตายไม่หมดอัตภาพง่ายๆมันจะสั่งสมวิบากวนเวียน ก็จะเป็นเดรัจฉาน หมุนเวียนขึ้นมาแล้วจะมีคู่วิบากกัดกันรักกัน แล้วก็จะมีการติดยึด จะติดอะไร ภาษาศัพท์ไทเรียกชัดเจนว่า ติดสัด

ติด กับ พยาบาท เรียกว่าติดสัดนี่แหละ มันจะติดเรื่องสมสู่ แล้วก็ต่อเผ่าพันธุ์ แล้วยึดถือลูกยึดถือตระกูลของตัวเองอีกมากมาย คุณอย่าไปนับเลยว่าเอามาจากไหน มันอยู่ในสิ่งที่ว่าง จิตวิญญาณมันไม่กินเนื้อที่ คุณจะไปนับมันทำไมว่ามาจากไหน จะมาจากไหนไม่รู้มาจากไหนก็ช่างหัวมัน คนมาเรียนรู้จิตวิญญาณของคุณนี่แหละไม่สำคัญ พระพุทธเจ้าสอนอย่าไปทำนาคนอื่น ให้ทำนาตนเอง ทำนาตนเองแล้วก็จบ นาของคนอื่นก็ของคนอื่นอย่าไปวุ่นวายกับนาของคนอื่น เขาเรียกว่าเป็นพวกที่ ส.ใส่เกือก

เมื่อคุณจบแล้วรู้จักวิญญาณดีแล้ว จิตวิญญาณที่จะดับให้ดับหมดได้พระพุทธเจ้าเองท่านก็ยังไม่รู้ที่เกิดที่ต้น แล้วคุณจะไปรู้เกินกว่าพระพุทธเจ้าทำไมจะไปถามทำไม ไปถามสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านก็บอกแล้วว่าเราไม่รู้ที่ต้น แต่เรารู้ที่ดับที่จบ เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงเรียนสิ่งที่ดับไม่ใช่เรียนสิ่งที่เกิด เทวนิยมเรียนแต่สิ่งที่เกิดและสิ่งที่ดับไม่รู้ก็เลยเป็นนิรันดร นักข่าวก็คิดว่ามีแต่ชาติเดียวแล้วไปอยู่กับพระเจ้าจบเลย จริงๆแล้วตายไปแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสไว้ตายไปแล้วจะกลับมาเกิดเป็นคนอีกหรือจะขึ้นสวรรค์ได้นั้นเป็นส่วนน้อย  ส่วนใหญ่แล้วลงนรก ที่เกิดเป็นสวรรค์นั้นเป็นมนุษย์เท่ากับขี้เล็บที่ทิ่มลงไปในแผ่นดินเท่านี้แหละ ที่ได้มาเกิดเป็นเทวดาและมนุษย์มีเท่านี้ นอกนั้นในปฐพีนรกทั้งนั้นเลย แล้วนรกก็ไม่มีเต็ม นรกของใครของมัน อีกอย่างจิตวิญญาณไม่กินเนื้อที่ไม่ซ้อนกัน มันไม่มีที่อยู่ก็เลยไม่เต็ม

สัตว์ที่จุติ*(เคลื่อน)จากมนุษย์แล้วกลับมาเกิดในภูมิแห่งมนุษย์ มีส่วนน้อย  ..ส่วนที่จุติจากมนุษย์ไปเกิดในนรก  เกิดในภูมิเดียรัจฉาน  เกิดในปิตติวิสัย (เปรต)  ย่อมมีมากกว่าโดยแท้ (*สัตว์ที่จุตินั้นหมายถึง โอปปาติกสัตว์)

(พตปฎ. เล่ม 20  ข้อ 206)

 

อย่าไปอยากรู้เกินกว่าที่ควร มันเป็นโลกจินตา คิดไปได้ไม่รู้จบแล้วไปคิดทำไม เอาสิ่งที่เป็นประโยชน์แล้วจบได้ในตัวเองดีที่สุด เมื่อคุณมีความรู้มีปัญญาว่าชีวิตสูงสุดเช่นนี้จบเป็นพระอรหันต์แล้วนั่นแหละเป็นที่สุด เมื่อคุณอยากเกิดอีก คุณอยากจะรู้มากกว่านี้ในโลก อยากจะรู้ว่าอัตตาอย่างคนอื่นๆเป็นอย่างไรคุณก็เกิดได้อีก แต่มีฐานรองรับแล้ว เป็นฐานอรหันต์ คุณจะไม่ตกต่ำอีกเป็นธรรมดาเลย คุณก็เกิดสิ อาตมาเป็นอรหันต์แล้วเกิดอีกจนเป็นโพธิสัตว์ปาง 7 มีสูงได้กว่านี้อีก คุณเข้าใจสิ่งที่อาตมาพูดให้ทันก็แล้วกัน จะรู้ขนาดอาตมาได้ไหมล่ะ อาตมาไม่อยากอวดรู้แต่พูดไปอธิบายไปตามที่ควรจะอธิบาย

ขนาดนี้ยุคใกล้กลียุค คนที่จะไล่อาตมาได้ทันนั้นไม่มีแล้ว ก็พูดให้ฟังเป็นสัจจะ เหมือนพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าไม่มีใครไล่ตามท่านทันหรอก อาตมามาถึงระดับนี้ใครก็ไล่ไม่ทันหรอก เพราะฉะนั้นคนที่จะไล่มา ก็จะค่อยๆเข้าใจมา จะชัดเจน แล้วจะไม่อวดดิบอวดดี ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิแล้วจะรู้ว่าอาตมาเป็นผู้พี่ อาตมาก็ไม่มีปัญหา ถ้าผู้ที่เป็นโพธิสัตว์ผู้พี่แสดงตัวแล้วก็พิสูจน์ตัวเอง แน่นอนโพธิสัตว์ผู้ใดเป็นที่เกิดมาในยุคนี้ ยิ่งอายุเท่ากันกับอาตมาก็จะต้องมีผลงานมีมวล มีการแสดงตัวมากชัดเจนเทียบกันได้ มันก็ยืนยันได้ เราไม่มีงานอื่นหรอกสำหรับพระโพธิสัตว์มีแต่งานสร้างมวลมนุษยชาติที่เป็นชุมชนเป็นระบบอยู่ในสังคมประเทศชาติอย่างนี้ไม่มีอย่างอื่นหรอก เป็นเรื่องของมนุษย์กับสังคม ซึ่งอาตมาก็เคยพูดซ้ำซ้ำซากว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ศึกษาอะไร มีแต่ศึกษาเรื่องความเป็นคนกับเรื่องความเป็นสังคม เท่านั้น แล้วท่านก่อนปรินิพพานเป็นปริโยสานแล้ว ท่านเกิดมาทำงานนี้อย่างอื่นท่านก็ศึกษาได้ อาตมาก็ศึกษา ศึกษาไปเป็นช่างเทคนิคตามที่โลกเขามีตามที่ควรจะเป็น แต่ละชาติไม่รู้กี่ล้านชาติ ก็ต้องมีสิ่งเหล่านี้ เก่งทางนั้นทางนี้ ชาตินี้อาตมาไม่เก่งทางเรื่องของเทคนิคเลย ขันน็อตก็ยังไม่เก่ง ชีวิตนี้อาตมาถ้าเป็นงานกับพวกนี้ อาตมาทำกับข้าวเก่ง ซักผ้าก็เก่ง อาตมาใช้อันนี้ในชีวิต ไปรับใช้เขา เหมือนแม่บ้าน เลี้ยงลูกให้เขา ชุนกระโปรงให้น้องก็มี

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน นิพพานกับอายตนะเป็นธาตุหรือไม่

_ฟ้าใส แซ่หว่อง....ขอนอบน้อม กราบนมัสการ พ่อครู ค่ะ ลูกมีคำถาม ค่ะ ว่า นิพพาน ถือว่าเป็นอายตนะ และถือเป็นธาตุ ได้ไหมคะ?

พ่อครูว่า...ก็คงจะเคยได้ยินอายตนะนิพพาน คำว่าอายตนะไม่มีตัวตนเหมือนธาตุ

คำว่าธาตุ เป็นตัวตนกว่า เพราะฉะนั้นจะเรียกว่าธาตุก็ตามสมมุติ แต่จริงๆ อายตนะเป็น Dynamic ธาตุ  เป็น Static แยกเป็นตัวเคลื่อนไหวกับตัวนี่ ในอวิชชาก็จะเกิดตัณหา

หากธาตุในผู้ที่บรรลุแล้วหรือยังไม่บรรลุมีอวิชชาหรือปัญญา พอเป็นอรหันต์แล้วธาตุที่เคลื่อนไหวก็จะเป็นปัญญา อายตนะไม่ตั้งอยู่ในที่ใดส่วนธาตุนั้นตั้งอยู่ อายตนะนั้นเกิดตอนสัมผัสมีผัสสะ หากไม่มีการผัสสะ อายตนะนั้นก็หายไป อายตนะคือสะพาน สะพานจะเกิดเมื่อมี 2 สิ่ง มีต้นทางกับปลายทางสัมผัสกันก็เกิดตรงกลาง เมื่อเลิกสัมผัสกัน อายตนะก็หายไปไม่มีที่ตั้ง อาตมาจำพระสูตรนี้ไม่ได้

คล้ายๆกับผัสสะ ไม่มีผัสสะแล้วอายตนะก็ไม่เกิด ที่จริงไม่มีผัสสะแล้ว ทำให้ผู้มิจฉาทิฏฐิเข้าใจว่าผู้ที่ดับคือไม่มีอะไรเกิดไม่มีอะไรเป็นก็คือไม่มีผัสสะ ก็เลยหนีจากผัสสะก็เลยไม่ได้บรรลุอะไร

จึงต้องย้ำว่าต้องบรรลุขณะมีผัสสะ

นามรูปนี้มีสามเส้า จะรู้กัน อายตนะ ผัสสะ เวทนา สามเส้านี้ปฏิจจสมุปบาท

มีผัสสะอายตนะก็เกิดแล้วศึกษาเวทนา

หากอายตนะผัสสะนามรูป สองตัวนี้สัมผัสกันก็เกิดอายตนะ คือ นามรูป อายตนะ ผัสสะ

พออายตนะ ผัสสะ เวทนา พอผัสสะก็เกิดอายตนะเกิดเวทนา

วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา เพราะฉะนั้นตัวจบพระพุทธเจ้าท่านสอนให้อ่าน อาหาร 4

วิญญาณมีนามรูปปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป จบ

หากเข้าใจ สามเส้า วิญญาณต้องเรียนรู้จักนามรูป จึงมีวิญญาณให้เกิดเรียนรู้ หากไม่มี 2 อย่างนั้นไม่มีวิญญาณเกิดหรอก ทีนี้ก็แตกวิญญาณออกเป็นเวทนา สัญญา สังขาร คุณก็เรียนครบ

สังขารกับเวทนา 2 ตัวนี้ สังขารเป็นตัวประชุมใหญ่ที่มีอวิชชา ก็มาเรียนอวิชชาให้เป็นอภิสังขารให้รู้เหตุของที่เกิด เกิดอะไรก็เกิดเวทนาความสุขความทุกข์

เรียนรู้สังขาร ต้องรู้กายสังขาร จิตสังขาร จิตก็แยกจาก กาม หมดกามก็เหลือรูป อรูป ก็เรียนไล่เรียงไป ทั้งที่กามาวจรก็มีอยู่ จิตวิญญาณอยู่กับโลกกาม แต่คุณไม่มีกามแล้ว ไม่มีกามคุณ จริงๆแล้วมันเป็นกามโทษ แต่คุณโง่หลงว่าเป็นคุณ เป็นสุข คุณก็เลยยกเชิดชูกาม กราบบูชากาม พูดไปเดี๋ยวจะยาว

 

_มาถึงคุณใบฟ้า... ศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 5.12 น.

กราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้ากราบเรียนเสนอ “สํามะปี๋จากงานพุทธาครั้งที่ 44”

1. ภาพมุมสูงในคืนวันมาฆบูชา “เดือนเด่นฟ้า” “พ่อครู” และ “พุทธบริษัท 4”  ให้ความรู้สึกเหมือน(ละม้าย) ในครั้งพุทธกาลเลยเจ้า

 2. พ่อครูคือ “อภิมหาบรมเศรษฐี(บ้านนอก)” ที่รอให้ลูกๆมาช่วยจัดระบบ ระเบียบ หมวดหมู่ ของ “อภิมหาบรมสมบัติ” เพื่อนำเสนอแก่ “มวลมนุษยชาติ” อย่างราบรื่น เรียบร้อย ง่ายงาม แม่นก่อเจ้า

3. “กายนี้คือวิญญาณ” นำสู่ความแจ่มชัดระหว่าง จิต - มโน - วิญญาณ อุปมาได้ดังนี้ วิญญาณ = บ้าน

จิต = ห้องต่างๆ ส่วนมโนคือสิ่งที่อยู่ในห้อง พอใช้ได้ก่อเจ้า

 4. โครงการ หนึ่งในพัน สัมฤทธิ์ผลเมื่อใด! พ่อครูสัญญาจะมีอายุถึง 151 ปี ลูกๆชัดนะ!

ส่วนลูกคนนี้  MOU กับน้องสาวที่ผูกพันกันแล้วว่า ศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2563  พี่ขอลา “กลับบ้าน”(แผ่นดินพุทธ)

 5. “ ทักขิเณยบุคคล 7” ลึกซึ้งซับซ้อนสมกับเป็นแก่นแกนที่ยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ รูปธรรมของบุคคลที่ระบุในแผนผังฯ คือคุณยายยู้ ท่านอาจารย์ 2 ผืนฟ้า และท่านสมณะซาบซึ้ง ให้ความชัดแจ้งดีมากเจ้า เพราะสมรูปสมนามจริงๆ  สาธุๆๆ

6. รายการธรรมะก่อนฉัน สนุกได้สาระธรรมทุกรายการ และดูเหมือนจะจับคู่ระหว่าง “ศรัทธานุสารี - ธัมมานุสารี” หลายคู่เจ้า

7. รายการภาคค่ำ ก็เหมาะควรยิ่ง เพราะสะท้อนถึงมรรค - ผลของการปฏิบัติธรรมของพี่ - น้อง ที่หลากหลาย จากโลกียะสู่โลกุตตระ “ให้”เป็นลำดับๆ

กราบขอบพระคุณพ่อครูด้วยเศียรเกล้า กราบขอบพระคุณท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุและญาติธรรมที่ช่วยเสริมปัญญาเจ้า

 

พ่อครูว่า...มีเรื่องบุคคล 7 ที่มีคนแยกแยะให้ว่ามีการปฏิบัติที่วนเวียนไปมาอีก จนช้านานก็เป็นไปได้อีก

 

สัทธานุสารี

ธัมมานุสารี

สัทธาวิมุติ

ทิฏฐิปัตตะ

กายสักขี

ปัญญาวิมุติ

อุภโตภาควิมุติ

 

1

 

2

 

3

 

4

 

5

 

7

 

8

 

9

 

6

 

10

 

12

 

11

 

สายศรัทธาจะช้านานกว่าสายปัญญา แต่ไม่ได้เป็นการพูดข่มกันนะ

คนพวกที่ช้านานวนคือสายศรัทธาที่ดื้อๆหน่อย จะเสียเวลาไม่ใช่ปีเดียวนะ แต่เป็นร้อยชาติพันชาตินะ พูดแล้วก็นึกถึงเจ้าอ้อ ตั้งชื่อตัวเองว่าเป็นพุทธพันชาติ เป็นลูกคนเดียว มีสมบัติที่พ่อทิ้งไว้มากก็เลยทำให้มีเครื่องอลังการทำให้ช้านาน ลูกผัวก็ไม่มี

พ่อครูว่า...สายศรัท​ธาที่ช้าก็เพราะว่าหลงปัญญา เวลาหลงมันไม่รู้ตัว

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน ...สายศรัทธาได้ปัญญามาจะดี แต่ถ้ามีมานะ ดื้อจะหลงทำให้ช้า ต้องเจอฐานอุปกิเลส16 แต่เราต้องรีบผ่านให้เร็วที่สุด

 

พ่อครูว่า...จากอโศกสัมปวังโก

ขอให้พ่อท่านให้ วินิจฉัยความเห็นต่างของเพื่อนสหพรหมจรรย์

1. มีเพื่อนสหพรหมจรรย์ถูกตำหนิว่าตั้งแต่ถามพ่อท่านด้วยคำถามที่ตัวผู้ถามดูแล้วว่า ทำเพื่ออยากอวดภูมิความรู้ของตัวเอง จนทำให้นักตั้งคำถามหลายคนต้องหยุดส่งคำถามเข้ารายการของพ่อท่าน กระผมคิดว่าโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าละเอียดลึกซึ้งยิ่งนัก เป็นไปไม่ได้ที่นักตั้งคำถามเหล่านั้นจะรู้เข้าใจได้อย่างถี่ถ้วน นักตั้งคำถามเหล่านั้นมีเจตนาตั้งคำถามเพื่อทำให้เกิดความกระจ่าง และเพื่อให้พ่อท่านได้ยืนยันความเข้าใจของพวกเขามากกว่า

2. เพื่อนสหพรหมจรรย์ ตั้งข้อแม้ไม่ให้ตั้งคำถามเพื่อให้พ่อท่านลงรายละเอียดลึกเกินไป ด้วยเหตุผลว่าเพราะท่านอายุเยอะมากแล้วทำให้ท่านเหน็ดเหนื่อยสุขภาพแย่ลง ในความคิดของกระผม พ่อท่านคือผู้รู้ขั้น สยังอภิญญา ผู้มีสภาพถ้วนรอบทั้งสภาวะและพยัญชนะ มีความสามารถตอบปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างลงตัว  จะทำให้ท่านเหน็ดเหนื่อยได้อย่างไร การให้พ่อท่านได้เทศนาในเรื่องที่ต้องลงลึกรายละเอียดน่าจะถูกกับพ่อท่านมากกว่า เพราะว่าโลกุตรธรรมนั้นเป็นเรื่องยากไม่ใช่เรื่องง่าย การที่พ่อท่านจะต้องเทศน์ง่ายๆในงานนั้นน่าจะเป็นเรื่องหนัก ทำให้ท่านต้องเตรียมตัวมาก

อีกอย่างมีการย่อยธรรมะของสมณะสิกขมาตุเพื่อย่อยให้เกิดความเข้าใจของตัวเองอยู่แล้ว

พ่อครูว่า..มองได้ชัดเจนดีนะ หากให้อาตมาไปสอนเด็กเล็กก็จะยากหน่อย เพราะต้องมีอุปกรณ์มากหน่อย

ผู้ที่จะฟังธรรมอาตมาว่า หากมีมานะอัตตา จะเป็นสมณะสิกขมาตุคนอื่นแสดงธรรมก็มองข่ม จะฟังแต่อาตมา แบบนี้คนนี้ช้า มันเป็นมานะอัตตาเสียเวลามากเลย เพราะฉะนั้นอย่าเลยอย่าไปคิดเช่นนั้น แม้แต่เด็กๆไม่แต่ใครต่อใครก็แล้วแต่ มาให้คติเตือนใจให้ข้อคิดให้ความรู้ที่ซื่อๆ เด็กๆนี่มีความซื่อสัตย์ไม่เดียงสาดีมากเลย อาตมามีเพลงอาริยะหมายเลข 10

ข้าพเจ้าได้ดิบได้ดีวิเศษยิ่ง ๆ ขึ้น

หรือ เป็นคนที่น่านับถือเคารพได้นั้น

ไม่ใช่เพราะการเป็นผู้ชี้ยืนยัน

"ความถูกต้อง"

ให้ใคร ๆ รู้ ได้หลากหลาย

แล้ว ๆ เล่า ๆ นั้นดอก !

 

แต่… เพราะข้าพเจ้าน้อมรับ

"ความผิดพลาด"

และ มีการแก้ไขในแต่ละครั้ง

แต่ละคราว ของข้าพเจ้า

จาก ทั้งผู้หวังดี

และ ทั้งศัตรูผู้หวังร้ายแท้ ๆ

นั่นต่างหาก.

~สมณะโพธิรักษ์~ 17 พฤษภาคม 2526

 

นี่คือเพลงอาริยะหมายเลข 10 อยู่ในหนังสือเงาฟ้าที่ท่าน้ำรวมไว้ เพลงชีวิต เพลงความซ้ำซาก เพลงอาริยะ เพลงไท เขียนไว้มากเอามาอ่านจะได้ความลึกซึ้ง

 

สู่แดนธรรมว่า..หนังสือเงาฟ้าที่ท่าน้ำน่าจะแปลเป็นภาษาอังกฤษนะครับ

 

พ่อครูว่า…

จากพระไตรปิฎก ล. 29 คุหัฏฐกสุตตนิทเทสที่ 2

ว่าด้วยนรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำคือกาย

ว่าด้วยนรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำคือกาย

[30] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า นรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ(สตฺโต คุหายํ) เป็นผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้ว(พหุนาภิฉนฺโน) นรชนเมื่อตั้งอยู่ ก็หยั่งลงในที่หลง(ติฏฺฐํ นโร โมหนสฺมํ) นรชนเช่นนั้น ย่อมอยู่ไกลจากวิเวก(ทูเรวิเวกา) ก็เพราะกามทั้งหลายในโลก ไม่เป็นของอันนรชนละได้โดยง่าย.

พ่อครูว่า...เขาไม่ตั้งใจปิดบังแต่เพราะว่าเขาไม่รู้เขาหลง ไม่มีทางออกเหมือนดักแด้อยู่ในฝัก ไม่มีทางเห็นเดือนเห็นตะวัน นอกจากจะกัดออกมา เหมือนไก่เจาะกระเปาะออกมาได้แต่ส่วนมากไม่ได้ออก หากเป็นอิสระตามธรรมชาติก็ออกได้ แต่ถ้าอยู่ในคน ไหมที่คนเลี้ยงไม่ได้ออกมาหรอก เขาเอาไปต้มสาวไหมไป ดักแด้ตายก็เอามากินอีก ตอนเป็นเด็กยายเลี้ยงไหม อาตมาเข้าใจได้ช่วยทำด้วย ขี้เกียจตอนเก็บใบหม่อนให้ไหมกิน

(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

สมณะฟ้าไท...พ่อครูมีหน้าที่ฉีกหน้ากากกิเลสให้คนออกจากถ้ำ แล้วก็เข้าถ้ำอีก หอกหักหมดประหารอย่างไรก็ไม่ตายสักที

พ่อครูว่า...พูดไปแล้วพวกหอกหักฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย หอกหักหมดแต่ผิวหนังเขาไม่ระคาย

ประเด็นสำคัญที่นั่งหลับตาปฏิบัติคือผู้ทำลายศาสนาพุทธ เป็นโจรทำลายศาสนา เตือนให้ออกมาเถอะคุณอยากเป็นโจรที่ฆ่าไม่ตาย หยุดทำงานโจรมาทำงานนี้บ้างมาศึกษา

สู่แดนธรรมว่า...ที่ว่าฆ่าไม่ตายคือ กิเลสมากปิดบังไว้เป็นเหมือนเกราะหุ้มไว้

พ่อครูว่า...เด็กมากราบก็เลยว่า เด็กพวกนี้ก็ osmosis ไป

สมณะฟ้าไทว่า...เราได้ฟังพ่อครูแม้เป็นสิ่งที่ซ้ำ หากไม่ซ้ำกิเลสก็ไม่ถูกสลาย

เอาออกแล้ว หอกมันหักหมด สภาวะฟังซ้ำจะได้ชัดเจน ปัญญาจะได้ชัดเจนตัดกิเลสได้ หากไม่ฟังซ้ำไม่มีทาง หากฟังธรรมพ่อครูแล้วไปปฏิบัติแล้วมาฟังซ้ำอีก ก็จะได้ตามศีลที่เราตั้ง

จบ

aaa630219_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาผ่าอายตนะนิพพาน

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่...  https://docs.google.com/document/d/1fZsHHypRQ8dUJKhZxCenE8gdsuVlRk4DJE9DPfa7ins/edit?usp=sharing                

 

ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1skCE5VV-nM3uXivQlWYYMIpekHrcaXPx

 

สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 ที่บวรราชธานีอโศก วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้จะมีการบวชขึ้นมาอีก 1 รูป นานทีปีหน ชื่อว่าสมณะ แนวตรง ฉายาอุชุปฏิปันโน

อุปัชฌาย์จะให้ศีล 46 ข้อ วินัยอีก 227 ข้อ ซึ่งบวชของเราบวชจริงจัง กว่าจะมาบวชเป็นสมณะได้ ต้องเข้ามาอยู่ตั้งแต่เป็นคนวัด เป็นอาคันตุกะจร อาคันตุกะประจำมาเป็นอารามิก เป็นปะ เป็นเณรอีก 4 เดือน หากโหวตผ่านก็ให้เลื่อนได้แต่ถ้าโหวตไม่ผ่านก็ต้องเป็นต่อ

รุ่นอาตมา ปี 2520 กว่าๆผู้ชายเข้ามาก็มาบวชกันเต็มวัด ตอนนี้หาทำยาหยอดตายาก เพราะผู้ชายลดน้อยลง มาฟังเทศน์ก็น้อยลง ชราภาพไปบ้าง ผู้หญิงที่สมัครบวชก็เลยยังค้างเติ่งอยู่ เพราะจะต้องมีอัตราส่วน สิกขมาตุ 1 ต่อสมณะ 4 รูป ตอนนี้มีสมณะแค่ 88 รูปเท่านั้น พ่อครูก็ได้เทศนาให้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน หากพวกเราปฏิบัติตามก็จะพ้นทุกข์ได้เหมือนกัน

พ่อครูว่า…

_Keng Ratchanee รัชนี.... กราบเท้าพ่อท่าน ชื่อลูกคือ เก่ง รัชนีค่ะ อยู่เชียงใหม่ค่ะ        (ส.ดินไทอ่านผิดเป็น เข่ง ราชธานี ครับ)

ลูกไม่อยากเกิดอีกแล้ว ควรรู้อะไรบ้างคะ พ่อท่านโปรดสอนด้วยค่ะ ลูกฟังเรื่องคุณยายเต็มสิริแล้วสงสารเธอและคู่กรณีจัง อยู่ใกล้พ่อท่านแต่ตัวตนสูงจัง ถ้าเข้าใจธรรมะก็จะไม่ต่อล้อต่อเถียงกัน ยอม เป็นผู้แพ้เหมือนเพลงพ่อท่าน ใจก็จะไม่ถือ ไม่ขึ้งโกรธกันอย่างนี้

 พ่อครูว่า…ก็ฝึกไป ใจก็มีก็แสดงออกมา แล้วก็รับรู้แสดงผลไป ค่อยๆเป็นไปหากว่าได้เร็วดั่งใจก็คงดีสิ

 

_Arinchawit Phiophong  อรินชวิช...สาธุครับ..ด้วยความเคารพอย่างสูง ผมเป็นพุทธ100% ผมมีความเชื่อบุญและบาป..การเวียนว่ายตายเกิด สิ่งที่ผมสงสัยคือ..ประชากรโลกเพิ่มขึ้นทุกวัน ดวงวิญญาณที่มาเกิดนั้นมาจากไหนครับ ?

พ่อครูว่า…คุณอย่าไปคิดให้มันหัวแตกเลย วิญญาณมาจากไหน คุณจะรู้ไปทำไม คุณก็มีวิญญาณ คุณเรียนรู้วิญญาณของคุณให้ได้แล้วทำให้แจ้ง ดับวิญญาณให้ได้ก็แล้วกัน ให้รู้แจ้งรู้จริงในวิญญาณให้ได้ แล้วคุณจะไม่สงสัย ว่าวิญญาณจะมาจากไหน พระพุทธเจ้าเองก็ยังตรัสว่าท่านเองก็ไม่รู้ที่ต้น ตอบได้แต่ว่า วิญญาณนี้มันมาจากอวิชชา มันมีปัจจัยคือ สังขารทำให้เกิดวิญญาณ มันก็วนเวียนอยู่อย่างนั้น อวิชชาทำให้เกิดสังขาร สังขารทำให้เกิดวิญญาณ คนไม่รู้ก็วนเวียนอยู่อย่างนี้สังขารคือการปรุงแต่ง วิญญาณเป็นตัวที่รวมกันปรุงแต่ง ท่านแบ่งเป็นขันธ์ 5 วิญญาณขันธ์เป็นองค์รวม มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร

เวทนา สัญญา สังขาร เป็นนาม นาม คือเจตสิก 3 ของวิญญาณ ใครอ่าน “คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก” ก็จะเข้าใจ อาตมาแยกไว้ “คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก” เป็นหนังสือธรรมะเล่มแรกของชีวิตอาตมาที่เขียนออกมาเป็นเนื้อหาเป็นเล่มสมบูรณ์แบบเลย

ที่จริงในชีวิตก็สอนธรรมะบรรยายธรรมะมาตั้งแต่เป็นฆราวาส ก่อน พ.ศ. 2512 ออกบรรยายอยู่ เปิดคอลัมน์ในหนังสือดาราภาพในหนังสือไทยโทรทัศน์ ก็เปิด Column สอบถามบรรยายธรรมะ อยู่ในหนังสือนั้น แต่ คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก เป็นหนังสือที่ตั้งใจเขียนขึ้นมาเอง จนเสร็จเรียบร้อย ลงพิมพ์ในหนังสือสตรีสาร แล้วค่อยๆแก้ไขเพิ่มเติมอีกบ้าง แก้ไขไปไม่รู้กี่ครั้งแล้วจากนั้นก็ไม่ได้แก้ไขอีก พิมพ์มาหลายสิบครั้งแล้ว

สรุป คือผู้ใดเต็มใจตั้งใจสนใจจริงๆ ที่จะเรียนรู้ ชีวิตมันไม่มีอะไรหรอกชีวิตเกิดมาเป็นคนนี่ คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก.. “คน” อาตมาเอาภาษาที่แปลได้ว่า คนเป็นกิริยาว่ากวน คน อาตมาก็ขยายตามภาษาไทย กวนแปลว่าคน แต่คนนี่สุดยอดนักกวน กวนจริงๆ กวนตั้งแต่หัวจรดเท้า

สู่แดนธรรมว่า..พ่อท่านยังไม่ได้ตอบคำถามของคุณเก่งรัชนีในข้อแรก ที่เขาถามว่าไม่อยากเกิดอีกแล้ว จะทำอย่างไร ?

พ่อครูว่า...ไม่เกิดนี่นะ สรุปสั้นๆ คุณต้องแยกจิตเรียนรู้จิตให้ออก แล้วคุณต้องแยกจิตแล้วก็ทำจิตให้เกิดและทำจิตให้ดับ

จิต แยกเป็นเจตสิกต่างๆ แล้วแยกละเอียดถึงเวทนา เจตสิก ซึ่งเป็นตัวแรกของขันธ์ 5

ข้นธ์ 5 รูป แล้วเป็นเวทนา ตัวแรก แล้ว ซึ่งเป็นสัญญา สังขาร วิญญาณ  ตัวแรกคือเวทนา เราจะศึกษาพระพุทธเจ้าก็ให้แยกรูปแยกนามเป็นรูป 28 นาม 5

ใน นาม 5 ตัวแรกก็เป็นเวทนา

เพราะฉะนั้นตัวเวทนาจึงเป็นตัวสำคัญเป็นตัวฐานเป็นกรรมฐานหลัก และกรรมฐานของการปฏิบัติธรรมของพุทธนั้นคือเวทนา ผู้ที่บำเพ็ญมิจฉาทิฏฐิไปในทางเทวนิยมในทางสะกดจิต ไปในทางเดียรถีย์ ก็ไปมีสิ่งที่เป็นกรรมฐานเป็นกสิณ 40 เป็นอะไรที่จะเอาจิตไปเพ่งก่อนและจิตมันจะได้หยุด เรื่องของสมถะ การสะกดจิตทางวิทยาศาสตร์ก็เหมือนกันให้เพ่งรูปภายนอกเลย อาตมาเรียนสะกดจิต

ไม่มีอะไรก็ให้เอาที่มือให้เพ่งที่มือ เพ่งให้ดีๆ มือเราจะแนบกันนิ่ง อย่าให้มันแยกกันนะ เอาดีๆ ดึงไว้ อย่าให้มันแยกนะ คนที่สู้ไม่ได้ก็แยกออก ก็จะสู้ดึง เขาสนใจ สุดท้ายจิตถูกสะกด ถูกครอบงำ ถูกสะกดจิต ดิ่งเข้าไปอยู่ในภพ แล้วถูกสั่งให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ก็ได้หมดเลย คือหมายความว่าครอบงำจิตให้จิตอยู่ในอำนาจคนสะกดจิต ก็สั่งให้มีอุปาทาน

เมื่อลืมตาออกมา ให้ไม่เห็นอะไรอยู่บนโต๊ะ เขาก็จะไม่เห็น ลืมตาแล้วก็บอกว่ามีเสืออยู่ 1 ตัวระวังดีๆนะ เมื่อให้สัญญาณให้ลืมตา มาแตะตัวหรือมีรหัสให้ตื่น ก็เจอเสือก็จะวิ่ง ต้องรีบจับตัวไว้ แล้วปลุกให้ตื่นบอกว่าไม่มีหรอก เสือ

เช่น สะกดไว้แล้วก็บอกว่า จะเอาเหล็กเผาไฟนาบแขนนะ ระวังนะ แล้วก็เอาไม้บรรทัดธรรมดาแตะที่แขน ปรากฏว่ามีแดงเป็นทางไม้บรรทัดแตะ ไหม้เลย นี่คืออุปาทานขนาดนั้น จิตที่มันเชื่ออะไรเป็นได้อย่างนั้น ทางแพทย์ศาสตร์เขาก็สอนกันเป็นโรค Psychosis หรือ Neurosis เป็นโรคประสาท ตัวเองไม่เป็นหรอก ไม่ป่วยแล้วให้ป่วยเป็นโรคอะไรก็ได้เรียกว่า ไซโคซิส ดีไม่ดีไม่เป็นมะเร็งก็จะเป็นมะเร็งเอาได้ บอกว่าตัวเองเป็นๆ

บางคนนี่ทำตัวเองเป็น เพื่อที่จะเป็นข้อต่อรอง ไม่ว่าจะเป็นเด็กต่อรองผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเมียเป็นผัวต่อรองกัน หรือคู่รักต่อรองกัน จนกระทั่งเป็น เป็นโรค โรคชนิดนี้เรียกว่า นิวโรซิส (neurosis)

ส.ฟ้าไทว่า...เวลาเด็กไม่อยากเรียนชั่วโมงนี้วิชานี้ก็จะปวดหัว

พ่อครูว่า...ง่ายอุปาทานง่ายไม่ยาก เยอะ

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ไม่อยากเกิดต้องมาเรียนรู้ความจริง

สรุปแล้ว คุณอยากไม่เกิด ต้องมาเรียนความจริงตัวที่พาเกิด

ธรรมดาธรรมชาติของชีวิตจิตวิญญาณมันคืออวิชชาตัวโง่ เมื่อมีแล้วมันก็ต้องเกิดวนเวียนไปตามวิบากถ้าเกิดคุณก็จะเกิดไปตามวิบาก แล้วหัดมาพบสัตบุรุษ ท่านก็สอนให้ไปตามลำดับขั้น ศีล สมาธิ ปัญญา ตั้งแต่สัตว์เกี่ยวข้องกับสัตว์เกี่ยวข้องกับคนอื่น แล้วให้รู้ว่า สัตว์โดยเฉพาะคน มันพาไปเราไปติดไปยึดในอบายมุขต่างๆ เราก็ต้องมาเรียนรู้ฆ่าจิตตัวนี้

อ่านกาย อ่านอาการลิงคนิมิต อ่านอาการจิตออก เรารู้ว่ามันเกิดอาการโกรธ แต่ใจเรา ใจมันอยู่ในร่างกายเรา มันไม่มีที่อื่นมันไม่มีที่ปลายทาง ไม่มีที่สมอง ไม่ใช่ที่หัวใจห้องที่ 4 ตามอภิธรรมเขาสอน มันไม่ใช่ มันคือ อาการ เราจับอาการนั้นได้ที่ไหนที่นั่นคือหทยรูป แล้วก็มันมีอาหาร ก็พิจารณาอาหาร กวฬิงการาหาร มันไปติดยึดกามภพ แล้วเรียนรู้กิเลสตัวนี้คือกามตัณหา รู้ตามธรรมชาติ ของกินของใช้ที่สัมผัสผิวสัมผัสกับสัตว์กับคนเกิดกิเลสก็อ่าน จะชอบ จะเอร็ดอร่อย คนก็เช่นกัน มีรัก มีชอบ มีโกรธ มีชัง มีราคะ มีโทสะ มีแค่นี้แหละ

โมหะ คือ มุ่น วน เลอะเทอะ หากรู้แล้วก็พ้นโมหะ

พิจารณาในนั้นมีอาการตัณหามันมายา มันไม่มีตัวจริงหรอก คุณฟังแล้วบอกว่ามันไม่มีตัวจริงแล้ว แล้วมันก็ไม่ใช่ คุณต้องสัมผัสกับมันเมื่อไหร่และจิตคุณเกิดตัณหา อ่านอาการตัณหาให้ออก แล้วต้องพิจารณาให้เห็นว่ามันเป็นมายา มันหลอกเรา มันไม่มีตัวตนจริงหรอกมันเป็นอนัตตา มันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ มันเป็นของไม่เที่ยง มันเกิดมาแล้วมันก็ดับ มันจะอยู่ตลอดนิรันดรหรือ มันจะอยู่ทุกเวลาทุกวินาทีเลย เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนหน้า เป็นอันโน้นอันนี้เป็นเลอะเทอะไป เพราะฉะนั้นตัวไหนที่มันเกิดราคะ ตัวไหนที่เกิดโทสะเดี๋ยวมันก็หายหน้า

คุณจะโกรธตลอด ไม่มีเลิกเลยคุณไม่ได้หรอก มันต้องพักยก ในขณะพักยกมันก็ฝังในอนุสัย แต่ถ้ามันเกิดไปเรื่อยๆคุณก็จะเห็นโทษภัยของความโกรธ ความโกรธไม่ได้ทำให้เกิดความสุขเลย มีพวกมาโซคิส พวกซาดิส มันชอบความรุนแรง เพราะฉะนั้นยาก คนที่ยังไปติดความรุนแรง ติดความแข็ง ยังยากอยู่ ต้องมาเรียนรู้จริงๆแล้วจะเลิกกันได้ มันจะเกิดปัญญาพิจารณา เรียกว่าปัญญา เรียกว่าความรู้แจ้งเห็นจริง เห็นความจริงตามความเป็นจริงเรียกว่า ปัญญา แล้วปัญญานี่แหละจะเป็นตัวพลังงานที่สุดยอด

ภาษาว่า ปัญญา เป็นตัวรู้ตั้งแต่ทิฏฐิ ความเข้าใจจนกระทั่งเป็นพลังงานที่ตัดเลยเรียกว่ายอดปัญญา พอตัดเป็นตัวปุญญา เป็นฌาน เผากิเลส เผาหมดก็เป็นปุญญะ ดับเหตุมันไม่เกิดอีก สัมผัสอีกมันก็ไม่เกิดอีก โลกสมุทัยก็ไม่มี สัมผัสทีไรก็ไม่เกิดกิเลสเรียกว่า โลกนิโรธ

อธิบายไปซ้ำๆ จนบางคนบอกว่ารู้แล้วรู้แล้ว แต่ถ้าปฏิบัติแล้วจะเข้าใจไม่เบื่อหรอกมันมีนัยยะที่สัมผัสกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ เราก็จะเข้าใจมากขึ้นได้แล้วปฏิบัติ ยิ่งตัวเองมีความรู้และเอาไปปฏิบัติได้ผล มันจะเห็นที่มันละเอียดขึ้นไปอีกไม่มีเบื่อง่ายๆ ในที่สุดคุณเป็นพระอรหันต์ คุณจะสบายแล้วก็จะไม่เบื่อหรอก ธรรมะพระพุทธเจ้าโลกุตระแล้วไม่มีวันเบื่อ แม้แต่เป็นพระอรหันต์ก็มี ธรรมรส มีวิมุติรส ไม่มีรสอื่นเท่าเทียมเลย เป็นความมหัศจรรย์ในความมหัศจรรย์ 8 ข้อ มหาสมุทรไม่มีรสอื่นเทียบเท่า มีรสเดียวคือรสเค็ม

 

นิมนต์พ่อครู จิบน้ำ

สมณะฟ้าไท..
          พ่อครูว่า...สรุป คุณอรินชวิช ก็ค่อยๆเรียนไป แม้แต่คำว่าบุญ คำว่าบาป เรื่องของโลกุตระ ปัญญาเป็นเรื่องเฉพาะของศาสนาพุทธ อาตมากำลังเขียนหนังสืออยู่ 2 เล่ม เรื่องของการเมือง 1 เล่มกับเรื่องของปัญญา 8 อีก 1 เล่ม ก็คงจะได้พิมพ์ออกมาแจกกัน

เขียนเสร็จแล้วก็จะเอามาอธิบายกันไป

 

อาตมาว่าจะเอาคุหัฏฐกสุตตนิทเทสมาอ่านแล้วขยายความให้ฟัง…

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระอภิธรรม) ตอน จิตวิญญาณไม่กินเนื้อที่

ดวงวิญญาณจะเอาจากไหนมาเกิดขึ้นอย่าไปคิดเลย

เริ่มต้นเป็นสัตว์เรียกว่าเป็นจิตนิยาม จะไม่จบไม่ตายไม่หมดอัตภาพง่ายๆมันจะสั่งสมวิบากวนเวียน ก็จะเป็นเดรัจฉาน หมุนเวียนขึ้นมาแล้วจะมีคู่วิบากกัดกันรักกัน แล้วก็จะมีการติดยึด จะติดอะไร ภาษาศัพท์ไทเรียกชัดเจนว่า ติดสัด

ติด กับ พยาบาท เรียกว่าติดสัดนี่แหละ มันจะติดเรื่องสมสู่ แล้วก็ต่อเผ่าพันธุ์ แล้วยึดถือลูกยึดถือตระกูลของตัวเองอีกมากมาย คุณอย่าไปนับเลยว่าเอามาจากไหน มันอยู่ในสิ่งที่ว่าง จิตวิญญาณมันไม่กินเนื้อที่ คุณจะไปนับมันทำไมว่ามาจากไหน จะมาจากไหนไม่รู้มาจากไหนก็ช่างหัวมัน คนมาเรียนรู้จิตวิญญาณของคุณนี่แหละไม่สำคัญ พระพุทธเจ้าสอนอย่าไปทำนาคนอื่น ให้ทำนาตนเอง ทำนาตนเองแล้วก็จบ นาของคนอื่นก็ของคนอื่นอย่าไปวุ่นวายกับนาของคนอื่น เขาเรียกว่าเป็นพวกที่ ส.ใส่เกือก

เมื่อคุณจบแล้วรู้จักวิญญาณดีแล้ว จิตวิญญาณที่จะดับให้ดับหมดได้พระพุทธเจ้าเองท่านก็ยังไม่รู้ที่เกิดที่ต้น แล้วคุณจะไปรู้เกินกว่าพระพุทธเจ้าทำไมจะไปถามทำไม ไปถามสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านก็บอกแล้วว่าเราไม่รู้ที่ต้น แต่เรารู้ที่ดับที่จบ เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงเรียนสิ่งที่ดับไม่ใช่เรียนสิ่งที่เกิด เทวนิยมเรียนแต่สิ่งที่เกิดและสิ่งที่ดับไม่รู้ก็เลยเป็นนิรันดร นักข่าวก็คิดว่ามีแต่ชาติเดียวแล้วไปอยู่กับพระเจ้าจบเลย จริงๆแล้วตายไปแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสไว้ตายไปแล้วจะกลับมาเกิดเป็นคนอีกหรือจะขึ้นสวรรค์ได้นั้นเป็นส่วนน้อย  ส่วนใหญ่แล้วลงนรก ที่เกิดเป็นสวรรค์นั้นเป็นมนุษย์เท่ากับขี้เล็บที่ทิ่มลงไปในแผ่นดินเท่านี้แหละ ที่ได้มาเกิดเป็นเทวดาและมนุษย์มีเท่านี้ นอกนั้นในปฐพีนรกทั้งนั้นเลย แล้วนรกก็ไม่มีเต็ม นรกของใครของมัน อีกอย่างจิตวิญญาณไม่กินเนื้อที่ไม่ซ้อนกัน มันไม่มีที่อยู่ก็เลยไม่เต็ม

สัตว์ที่จุติ*(เคลื่อน)จากมนุษย์แล้วกลับมาเกิดในภูมิแห่งมนุษย์ มีส่วนน้อย  ..ส่วนที่จุติจากมนุษย์ไปเกิดในนรก  เกิดในภูมิเดียรัจฉาน  เกิดในปิตติวิสัย (เปรต)  ย่อมมีมากกว่าโดยแท้ (*สัตว์ที่จุตินั้นหมายถึง โอปปาติกสัตว์)

(พตปฎ. เล่ม 20  ข้อ 206)

 

อย่าไปอยากรู้เกินกว่าที่ควร มันเป็นโลกจินตา คิดไปได้ไม่รู้จบแล้วไปคิดทำไม เอาสิ่งที่เป็นประโยชน์แล้วจบได้ในตัวเองดีที่สุด เมื่อคุณมีความรู้มีปัญญาว่าชีวิตสูงสุดเช่นนี้จบเป็นพระอรหันต์แล้วนั่นแหละเป็นที่สุด เมื่อคุณอยากเกิดอีก คุณอยากจะรู้มากกว่านี้ในโลก อยากจะรู้ว่าอัตตาอย่างคนอื่นๆเป็นอย่างไรคุณก็เกิดได้อีก แต่มีฐานรองรับแล้ว เป็นฐานอรหันต์ คุณจะไม่ตกต่ำอีกเป็นธรรมดาเลย คุณก็เกิดสิ อาตมาเป็นอรหันต์แล้วเกิดอีกจนเป็นโพธิสัตว์ปาง 7 มีสูงได้กว่านี้อีก คุณเข้าใจสิ่งที่อาตมาพูดให้ทันก็แล้วกัน จะรู้ขนาดอาตมาได้ไหมล่ะ อาตมาไม่อยากอวดรู้แต่พูดไปอธิบายไปตามที่ควรจะอธิบาย

ขนาดนี้ยุคใกล้กลียุค คนที่จะไล่อาตมาได้ทันนั้นไม่มีแล้ว ก็พูดให้ฟังเป็นสัจจะ เหมือนพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าไม่มีใครไล่ตามท่านทันหรอก อาตมามาถึงระดับนี้ใครก็ไล่ไม่ทันหรอก เพราะฉะนั้นคนที่จะไล่มา ก็จะค่อยๆเข้าใจมา จะชัดเจน แล้วจะไม่อวดดิบอวดดี ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิแล้วจะรู้ว่าอาตมาเป็นผู้พี่ อาตมาก็ไม่มีปัญหา ถ้าผู้ที่เป็นโพธิสัตว์ผู้พี่แสดงตัวแล้วก็พิสูจน์ตัวเอง แน่นอนโพธิสัตว์ผู้ใดเป็นที่เกิดมาในยุคนี้ ยิ่งอายุเท่ากันกับอาตมาก็จะต้องมีผลงานมีมวล มีการแสดงตัวมากชัดเจนเทียบกันได้ มันก็ยืนยันได้ เราไม่มีงานอื่นหรอกสำหรับพระโพธิสัตว์มีแต่งานสร้างมวลมนุษยชาติที่เป็นชุมชนเป็นระบบอยู่ในสังคมประเทศชาติอย่างนี้ไม่มีอย่างอื่นหรอก เป็นเรื่องของมนุษย์กับสังคม ซึ่งอาตมาก็เคยพูดซ้ำซ้ำซากว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ศึกษาอะไร มีแต่ศึกษาเรื่องความเป็นคนกับเรื่องความเป็นสังคม เท่านั้น แล้วท่านก่อนปรินิพพานเป็นปริโยสานแล้ว ท่านเกิดมาทำงานนี้อย่างอื่นท่านก็ศึกษาได้ อาตมาก็ศึกษา ศึกษาไปเป็นช่างเทคนิคตามที่โลกเขามีตามที่ควรจะเป็น แต่ละชาติไม่รู้กี่ล้านชาติ ก็ต้องมีสิ่งเหล่านี้ เก่งทางนั้นทางนี้ ชาตินี้อาตมาไม่เก่งทางเรื่องของเทคนิคเลย ขันน็อตก็ยังไม่เก่ง ชีวิตนี้อาตมาถ้าเป็นงานกับพวกนี้ อาตมาทำกับข้าวเก่ง ซักผ้าก็เก่ง อาตมาใช้อันนี้ในชีวิต ไปรับใช้เขา เหมือนแม่บ้าน เลี้ยงลูกให้เขา ชุนกระโปรงให้น้องก็มี

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน นิพพานกับอายตนะเป็นธาตุหรือไม่

_ฟ้าใส แซ่หว่อง....ขอนอบน้อม กราบนมัสการ พ่อครู ค่ะ ลูกมีคำถาม ค่ะ ว่า นิพพาน ถือว่าเป็นอายตนะ และถือเป็นธาตุ ได้ไหมคะ?

พ่อครูว่า...ก็คงจะเคยได้ยินอายตนะนิพพาน คำว่าอายตนะไม่มีตัวตนเหมือนธาตุ

คำว่าธาตุ เป็นตัวตนกว่า เพราะฉะนั้นจะเรียกว่าธาตุก็ตามสมมุติ แต่จริงๆ อายตนะเป็น Dynamic ธาตุ  เป็น Static แยกเป็นตัวเคลื่อนไหวกับตัวนี่ ในอวิชชาก็จะเกิดตัณหา

หากธาตุในผู้ที่บรรลุแล้วหรือยังไม่บรรลุมีอวิชชาหรือปัญญา พอเป็นอรหันต์แล้วธาตุที่เคลื่อนไหวก็จะเป็นปัญญา อายตนะไม่ตั้งอยู่ในที่ใดส่วนธาตุนั้นตั้งอยู่ อายตนะนั้นเกิดตอนสัมผัสมีผัสสะ หากไม่มีการผัสสะ อายตนะนั้นก็หายไป อายตนะคือสะพาน สะพานจะเกิดเมื่อมี 2 สิ่ง มีต้นทางกับปลายทางสัมผัสกันก็เกิดตรงกลาง เมื่อเลิกสัมผัสกัน อายตนะก็หายไปไม่มีที่ตั้ง อาตมาจำพระสูตรนี้ไม่ได้

คล้ายๆกับผัสสะ ไม่มีผัสสะแล้วอายตนะก็ไม่เกิด ที่จริงไม่มีผัสสะแล้ว ทำให้ผู้มิจฉาทิฏฐิเข้าใจว่าผู้ที่ดับคือไม่มีอะไรเกิดไม่มีอะไรเป็นก็คือไม่มีผัสสะ ก็เลยหนีจากผัสสะก็เลยไม่ได้บรรลุอะไร

จึงต้องย้ำว่าต้องบรรลุขณะมีผัสสะ

นามรูปนี้มีสามเส้า จะรู้กัน อายตนะ ผัสสะ เวทนา สามเส้านี้ปฏิจจสมุปบาท

มีผัสสะอายตนะก็เกิดแล้วศึกษาเวทนา

หากอายตนะผัสสะนามรูป สองตัวนี้สัมผัสกันก็เกิดอายตนะ คือ นามรูป อายตนะ ผัสสะ

พออายตนะ ผัสสะ เวทนา พอผัสสะก็เกิดอายตนะเกิดเวทนา

วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา เพราะฉะนั้นตัวจบพระพุทธเจ้าท่านสอนให้อ่าน อาหาร 4

วิญญาณมีนามรูปปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป จบ

หากเข้าใจ สามเส้า วิญญาณต้องเรียนรู้จักนามรูป จึงมีวิญญาณให้เกิดเรียนรู้ หากไม่มี 2 อย่างนั้นไม่มีวิญญาณเกิดหรอก ทีนี้ก็แตกวิญญาณออกเป็นเวทนา สัญญา สังขาร คุณก็เรียนครบ

สังขารกับเวทนา 2 ตัวนี้ สังขารเป็นตัวประชุมใหญ่ที่มีอวิชชา ก็มาเรียนอวิชชาให้เป็นอภิสังขารให้รู้เหตุของที่เกิด เกิดอะไรก็เกิดเวทนาความสุขความทุกข์

เรียนรู้สังขาร ต้องรู้กายสังขาร จิตสังขาร จิตก็แยกจาก กาม หมดกามก็เหลือรูป อรูป ก็เรียนไล่เรียงไป ทั้งที่กามาวจรก็มีอยู่ จิตวิญญาณอยู่กับโลกกาม แต่คุณไม่มีกามแล้ว ไม่มีกามคุณ จริงๆแล้วมันเป็นกามโทษ แต่คุณโง่หลงว่าเป็นคุณ เป็นสุข คุณก็เลยยกเชิดชูกาม กราบบูชากาม พูดไปเดี๋ยวจะยาว

 

_มาถึงคุณใบฟ้า... ศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 5.12 น.

กราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้ากราบเรียนเสนอ “สํามะปี๋จากงานพุทธาครั้งที่ 44”

1. ภาพมุมสูงในคืนวันมาฆบูชา “เดือนเด่นฟ้า” “พ่อครู” และ “พุทธบริษัท 4”  ให้ความรู้สึกเหมือน(ละม้าย) ในครั้งพุทธกาลเลยเจ้า

 2. พ่อครูคือ “อภิมหาบรมเศรษฐี(บ้านนอก)” ที่รอให้ลูกๆมาช่วยจัดระบบ ระเบียบ หมวดหมู่ ของ “อภิมหาบรมสมบัติ” เพื่อนำเสนอแก่ “มวลมนุษยชาติ” อย่างราบรื่น เรียบร้อย ง่ายงาม แม่นก่อเจ้า

3. “กายนี้คือวิญญาณ” นำสู่ความแจ่มชัดระหว่าง จิต - มโน - วิญญาณ อุปมาได้ดังนี้ วิญญาณ = บ้าน

จิต = ห้องต่างๆ ส่วนมโนคือสิ่งที่อยู่ในห้อง พอใช้ได้ก่อเจ้า

 4. โครงการ หนึ่งในพัน สัมฤทธิ์ผลเมื่อใด! พ่อครูสัญญาจะมีอายุถึง 151 ปี ลูกๆชัดนะ!

ส่วนลูกคนนี้  MOU กับน้องสาวที่ผูกพันกันแล้วว่า ศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2563  พี่ขอลา “กลับบ้าน”(แผ่นดินพุทธ)

 5. “ ทักขิเณยบุคคล 7” ลึกซึ้งซับซ้อนสมกับเป็นแก่นแกนที่ยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ รูปธรรมของบุคคลที่ระบุในแผนผังฯ คือคุณยายยู้ ท่านอาจารย์ 2 ผืนฟ้า และท่านสมณะซาบซึ้ง ให้ความชัดแจ้งดีมากเจ้า เพราะสมรูปสมนามจริงๆ  สาธุๆๆ

6. รายการธรรมะก่อนฉัน สนุกได้สาระธรรมทุกรายการ และดูเหมือนจะจับคู่ระหว่าง “ศรัทธานุสารี - ธัมมานุสารี” หลายคู่เจ้า

7. รายการภาคค่ำ ก็เหมาะควรยิ่ง เพราะสะท้อนถึงมรรค - ผลของการปฏิบัติธรรมของพี่ - น้อง ที่หลากหลาย จากโลกียะสู่โลกุตตระ “ให้”เป็นลำดับๆ

กราบขอบพระคุณพ่อครูด้วยเศียรเกล้า กราบขอบพระคุณท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุและญาติธรรมที่ช่วยเสริมปัญญาเจ้า

 

พ่อครูว่า...มีเรื่องบุคคล 7 ที่มีคนแยกแยะให้ว่ามีการปฏิบัติที่วนเวียนไปมาอีก จนช้านานก็เป็นไปได้อีก

 

สัทธานุสารี

ธัมมานุสารี

สัทธาวิมุติ

ทิฏฐิปัตตะ

กายสักขี

ปัญญาวิมุติ

อุภโตภาควิมุติ

 

1

 

2

 

3

 

4

 

5

 

7

 

8

 

9

 

6

 

10

 

12

 

11

 

สายศรัทธาจะช้านานกว่าสายปัญญา แต่ไม่ได้เป็นการพูดข่มกันนะ

คนพวกที่ช้านานวนคือสายศรัทธาที่ดื้อๆหน่อย จะเสียเวลาไม่ใช่ปีเดียวนะ แต่เป็นร้อยชาติพันชาตินะ พูดแล้วก็นึกถึงเจ้าอ้อ ตั้งชื่อตัวเองว่าเป็นพุทธพันชาติ เป็นลูกคนเดียว มีสมบัติที่พ่อทิ้งไว้มากก็เลยทำให้มีเครื่องอลังการทำให้ช้านาน ลูกผัวก็ไม่มี

พ่อครูว่า...สายศรัท​ธาที่ช้าก็เพราะว่าหลงปัญญา เวลาหลงมันไม่รู้ตัว

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน ...สายศรัทธาได้ปัญญามาจะดี แต่ถ้ามีมานะ ดื้อจะหลงทำให้ช้า ต้องเจอฐานอุปกิเลส16 แต่เราต้องรีบผ่านให้เร็วที่สุด

 

พ่อครูว่า...จากอโศกสัมปวังโก

ขอให้พ่อท่านให้ วินิจฉัยความเห็นต่างของเพื่อนสหพรหมจรรย์

1. มีเพื่อนสหพรหมจรรย์ถูกตำหนิว่าตั้งแต่ถามพ่อท่านด้วยคำถามที่ตัวผู้ถามดูแล้วว่า ทำเพื่ออยากอวดภูมิความรู้ของตัวเอง จนทำให้นักตั้งคำถามหลายคนต้องหยุดส่งคำถามเข้ารายการของพ่อท่าน กระผมคิดว่าโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าละเอียดลึกซึ้งยิ่งนัก เป็นไปไม่ได้ที่นักตั้งคำถามเหล่านั้นจะรู้เข้าใจได้อย่างถี่ถ้วน นักตั้งคำถามเหล่านั้นมีเจตนาตั้งคำถามเพื่อทำให้เกิดความกระจ่าง และเพื่อให้พ่อท่านได้ยืนยันความเข้าใจของพวกเขามากกว่า

2. เพื่อนสหพรหมจรรย์ ตั้งข้อแม้ไม่ให้ตั้งคำถามเพื่อให้พ่อท่านลงรายละเอียดลึกเกินไป ด้วยเหตุผลว่าเพราะท่านอายุเยอะมากแล้วทำให้ท่านเหน็ดเหนื่อยสุขภาพแย่ลง ในความคิดของกระผม พ่อท่านคือผู้รู้ขั้น สยังอภิญญา ผู้มีสภาพถ้วนรอบทั้งสภาวะและพยัญชนะ มีความสามารถตอบปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างลงตัว  จะทำให้ท่านเหน็ดเหนื่อยได้อย่างไร การให้พ่อท่านได้เทศนาในเรื่องที่ต้องลงลึกรายละเอียดน่าจะถูกกับพ่อท่านมากกว่า เพราะว่าโลกุตรธรรมนั้นเป็นเรื่องยากไม่ใช่เรื่องง่าย การที่พ่อท่านจะต้องเทศน์ง่ายๆในงานนั้นน่าจะเป็นเรื่องหนัก ทำให้ท่านต้องเตรียมตัวมาก

อีกอย่างมีการย่อยธรรมะของสมณะสิกขมาตุเพื่อย่อยให้เกิดความเข้าใจของตัวเองอยู่แล้ว

พ่อครูว่า..มองได้ชัดเจนดีนะ หากให้อาตมาไปสอนเด็กเล็กก็จะยากหน่อย เพราะต้องมีอุปกรณ์มากหน่อย

ผู้ที่จะฟังธรรมอาตมาว่า หากมีมานะอัตตา จะเป็นสมณะสิกขมาตุคนอื่นแสดงธรรมก็มองข่ม จะฟังแต่อาตมา แบบนี้คนนี้ช้า มันเป็นมานะอัตตาเสียเวลามากเลย เพราะฉะนั้นอย่าเลยอย่าไปคิดเช่นนั้น แม้แต่เด็กๆไม่แต่ใครต่อใครก็แล้วแต่ มาให้คติเตือนใจให้ข้อคิดให้ความรู้ที่ซื่อๆ เด็กๆนี่มีความซื่อสัตย์ไม่เดียงสาดีมากเลย อาตมามีเพลงอาริยะหมายเลข 10

ข้าพเจ้าได้ดิบได้ดีวิเศษยิ่ง ๆ ขึ้น

หรือ เป็นคนที่น่านับถือเคารพได้นั้น

ไม่ใช่เพราะการเป็นผู้ชี้ยืนยัน

"ความถูกต้อง"

ให้ใคร ๆ รู้ ได้หลากหลาย

แล้ว ๆ เล่า ๆ นั้นดอก !

 

แต่… เพราะข้าพเจ้าน้อมรับ

"ความผิดพลาด"

และ มีการแก้ไขในแต่ละครั้ง

แต่ละคราว ของข้าพเจ้า

จาก ทั้งผู้หวังดี

และ ทั้งศัตรูผู้หวังร้ายแท้ ๆ

นั่นต่างหาก.

~สมณะโพธิรักษ์~ 17 พฤษภาคม 2526

 

นี่คือเพลงอาริยะหมายเลข 10 อยู่ในหนังสือเงาฟ้าที่ท่าน้ำรวมไว้ เพลงชีวิต เพลงความซ้ำซาก เพลงอาริยะ เพลงไท เขียนไว้มากเอามาอ่านจะได้ความลึกซึ้ง

 

สู่แดนธรรมว่า..หนังสือเงาฟ้าที่ท่าน้ำน่าจะแปลเป็นภาษาอังกฤษนะครับ

 

พ่อครูว่า…

จากพระไตรปิฎก ล. 29 คุหัฏฐกสุตตนิทเทสที่ 2

ว่าด้วยนรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำคือกาย

ว่าด้วยนรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำคือกาย

[30] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า นรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ(สตฺโต คุหายํ) เป็นผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้ว(พหุนาภิฉนฺโน) นรชนเมื่อตั้งอยู่ ก็หยั่งลงในที่หลง(ติฏฺฐํ นโร โมหนสฺมํ) นรชนเช่นนั้น ย่อมอยู่ไกลจากวิเวก(ทูเรวิเวกา) ก็เพราะกามทั้งหลายในโลก ไม่เป็นของอันนรชนละได้โดยง่าย.

พ่อครูว่า...เขาไม่ตั้งใจปิดบังแต่เพราะว่าเขาไม่รู้เขาหลง ไม่มีทางออกเหมือนดักแด้อยู่ในฝัก ไม่มีทางเห็นเดือนเห็นตะวัน นอกจากจะกัดออกมา เหมือนไก่เจาะกระเปาะออกมาได้แต่ส่วนมากไม่ได้ออก หากเป็นอิสระตามธรรมชาติก็ออกได้ แต่ถ้าอยู่ในคน ไหมที่คนเลี้ยงไม่ได้ออกมาหรอก เขาเอาไปต้มสาวไหมไป ดักแด้ตายก็เอามากินอีก ตอนเป็นเด็กยายเลี้ยงไหม อาตมาเข้าใจได้ช่วยทำด้วย ขี้เกียจตอนเก็บใบหม่อนให้ไหมกิน

(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

สมณะฟ้าไท...พ่อครูมีหน้าที่ฉีกหน้ากากกิเลสให้คนออกจากถ้ำ แล้วก็เข้าถ้ำอีก หอกหักหมดประหารอย่างไรก็ไม่ตายสักที

พ่อครูว่า...พูดไปแล้วพวกหอกหักฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย หอกหักหมดแต่ผิวหนังเขาไม่ระคาย

ประเด็นสำคัญที่นั่งหลับตาปฏิบัติคือผู้ทำลายศาสนาพุทธ เป็นโจรทำลายศาสนา เตือนให้ออกมาเถอะคุณอยากเป็นโจรที่ฆ่าไม่ตาย หยุดทำงานโจรมาทำงานนี้บ้างมาศึกษา

สู่แดนธรรมว่า...ที่ว่าฆ่าไม่ตายคือ กิเลสมากปิดบังไว้เป็นเหมือนเกราะหุ้มไว้

พ่อครูว่า...เด็กมากราบก็เลยว่า เด็กพวกนี้ก็ osmosis ไป

สมณะฟ้าไทว่า...เราได้ฟังพ่อครูแม้เป็นสิ่งที่ซ้ำ หากไม่ซ้ำกิเลสก็ไม่ถูกสลาย

เอาออกแล้ว หอกมันหักหมด สภาวะฟังซ้ำจะได้ชัดเจน ปัญญาจะได้ชัดเจนตัดกิเลสได้ หากไม่ฟังซ้ำไม่มีทาง หากฟังธรรมพ่อครูแล้วไปปฏิบัติแล้วมาฟังซ้ำอีก ก็จะได้ตามศีลที่เราตั้ง

จบ

aaa630219_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาผ่าอายตนะนิพพาน

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่...  https://docs.google.com/document/d/1fZsHHypRQ8dUJKhZxCenE8gdsuVlRk4DJE9DPfa7ins/edit?usp=sharing                

 

ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1skCE5VV-nM3uXivQlWYYMIpekHrcaXPx

 

สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 ที่บวรราชธานีอโศก วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้จะมีการบวชขึ้นมาอีก 1 รูป นานทีปีหน ชื่อว่าสมณะ แนวตรง ฉายาอุชุปฏิปันโน

อุปัชฌาย์จะให้ศีล 46 ข้อ วินัยอีก 227 ข้อ ซึ่งบวชของเราบวชจริงจัง กว่าจะมาบวชเป็นสมณะได้ ต้องเข้ามาอยู่ตั้งแต่เป็นคนวัด เป็นอาคันตุกะจร อาคันตุกะประจำมาเป็นอารามิก เป็นปะ เป็นเณรอีก 4 เดือน หากโหวตผ่านก็ให้เลื่อนได้แต่ถ้าโหวตไม่ผ่านก็ต้องเป็นต่อ

รุ่นอาตมา ปี 2520 กว่าๆผู้ชายเข้ามาก็มาบวชกันเต็มวัด ตอนนี้หาทำยาหยอดตายาก เพราะผู้ชายลดน้อยลง มาฟังเทศน์ก็น้อยลง ชราภาพไปบ้าง ผู้หญิงที่สมัครบวชก็เลยยังค้างเติ่งอยู่ เพราะจะต้องมีอัตราส่วน สิกขมาตุ 1 ต่อสมณะ 4 รูป ตอนนี้มีสมณะแค่ 88 รูปเท่านั้น พ่อครูก็ได้เทศนาให้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน หากพวกเราปฏิบัติตามก็จะพ้นทุกข์ได้เหมือนกัน

พ่อครูว่า…

_Keng Ratchanee รัชนี.... กราบเท้าพ่อท่าน ชื่อลูกคือ เก่ง รัชนีค่ะ อยู่เชียงใหม่ค่ะ        (ส.ดินไทอ่านผิดเป็น เข่ง ราชธานี ครับ)

ลูกไม่อยากเกิดอีกแล้ว ควรรู้อะไรบ้างคะ พ่อท่านโปรดสอนด้วยค่ะ ลูกฟังเรื่องคุณยายเต็มสิริแล้วสงสารเธอและคู่กรณีจัง อยู่ใกล้พ่อท่านแต่ตัวตนสูงจัง ถ้าเข้าใจธรรมะก็จะไม่ต่อล้อต่อเถียงกัน ยอม เป็นผู้แพ้เหมือนเพลงพ่อท่าน ใจก็จะไม่ถือ ไม่ขึ้งโกรธกันอย่างนี้

 พ่อครูว่า…ก็ฝึกไป ใจก็มีก็แสดงออกมา แล้วก็รับรู้แสดงผลไป ค่อยๆเป็นไปหากว่าได้เร็วดั่งใจก็คงดีสิ

 

_Arinchawit Phiophong  อรินชวิช...สาธุครับ..ด้วยความเคารพอย่างสูง ผมเป็นพุทธ100% ผมมีความเชื่อบุญและบาป..การเวียนว่ายตายเกิด สิ่งที่ผมสงสัยคือ..ประชากรโลกเพิ่มขึ้นทุกวัน ดวงวิญญาณที่มาเกิดนั้นมาจากไหนครับ ?

พ่อครูว่า…คุณอย่าไปคิดให้มันหัวแตกเลย วิญญาณมาจากไหน คุณจะรู้ไปทำไม คุณก็มีวิญญาณ คุณเรียนรู้วิญญาณของคุณให้ได้แล้วทำให้แจ้ง ดับวิญญาณให้ได้ก็แล้วกัน ให้รู้แจ้งรู้จริงในวิญญาณให้ได้ แล้วคุณจะไม่สงสัย ว่าวิญญาณจะมาจากไหน พระพุทธเจ้าเองก็ยังตรัสว่าท่านเองก็ไม่รู้ที่ต้น ตอบได้แต่ว่า วิญญาณนี้มันมาจากอวิชชา มันมีปัจจัยคือ สังขารทำให้เกิดวิญญาณ มันก็วนเวียนอยู่อย่างนั้น อวิชชาทำให้เกิดสังขาร สังขารทำให้เกิดวิญญาณ คนไม่รู้ก็วนเวียนอยู่อย่างนี้สังขารคือการปรุงแต่ง วิญญาณเป็นตัวที่รวมกันปรุงแต่ง ท่านแบ่งเป็นขันธ์ 5 วิญญาณขันธ์เป็นองค์รวม มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร

เวทนา สัญญา สังขาร เป็นนาม นาม คือเจตสิก 3 ของวิญญาณ ใครอ่าน “คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก” ก็จะเข้าใจ อาตมาแยกไว้ “คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก” เป็นหนังสือธรรมะเล่มแรกของชีวิตอาตมาที่เขียนออกมาเป็นเนื้อหาเป็นเล่มสมบูรณ์แบบเลย

ที่จริงในชีวิตก็สอนธรรมะบรรยายธรรมะมาตั้งแต่เป็นฆราวาส ก่อน พ.ศ. 2512 ออกบรรยายอยู่ เปิดคอลัมน์ในหนังสือดาราภาพในหนังสือไทยโทรทัศน์ ก็เปิด Column สอบถามบรรยายธรรมะ อยู่ในหนังสือนั้น แต่ คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก เป็นหนังสือที่ตั้งใจเขียนขึ้นมาเอง จนเสร็จเรียบร้อย ลงพิมพ์ในหนังสือสตรีสาร แล้วค่อยๆแก้ไขเพิ่มเติมอีกบ้าง แก้ไขไปไม่รู้กี่ครั้งแล้วจากนั้นก็ไม่ได้แก้ไขอีก พิมพ์มาหลายสิบครั้งแล้ว

สรุป คือผู้ใดเต็มใจตั้งใจสนใจจริงๆ ที่จะเรียนรู้ ชีวิตมันไม่มีอะไรหรอกชีวิตเกิดมาเป็นคนนี่ คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก.. “คน” อาตมาเอาภาษาที่แปลได้ว่า คนเป็นกิริยาว่ากวน คน อาตมาก็ขยายตามภาษาไทย กวนแปลว่าคน แต่คนนี่สุดยอดนักกวน กวนจริงๆ กวนตั้งแต่หัวจรดเท้า

สู่แดนธรรมว่า..พ่อท่านยังไม่ได้ตอบคำถามของคุณเก่งรัชนีในข้อแรก ที่เขาถามว่าไม่อยากเกิดอีกแล้ว จะทำอย่างไร ?

พ่อครูว่า...ไม่เกิดนี่นะ สรุปสั้นๆ คุณต้องแยกจิตเรียนรู้จิตให้ออก แล้วคุณต้องแยกจิตแล้วก็ทำจิตให้เกิดและทำจิตให้ดับ

จิต แยกเป็นเจตสิกต่างๆ แล้วแยกละเอียดถึงเวทนา เจตสิก ซึ่งเป็นตัวแรกของขันธ์ 5

ข้นธ์ 5 รูป แล้วเป็นเวทนา ตัวแรก แล้ว ซึ่งเป็นสัญญา สังขาร วิญญาณ  ตัวแรกคือเวทนา เราจะศึกษาพระพุทธเจ้าก็ให้แยกรูปแยกนามเป็นรูป 28 นาม 5

ใน นาม 5 ตัวแรกก็เป็นเวทนา

เพราะฉะนั้นตัวเวทนาจึงเป็นตัวสำคัญเป็นตัวฐานเป็นกรรมฐานหลัก และกรรมฐานของการปฏิบัติธรรมของพุทธนั้นคือเวทนา ผู้ที่บำเพ็ญมิจฉาทิฏฐิไปในทางเทวนิยมในทางสะกดจิต ไปในทางเดียรถีย์ ก็ไปมีสิ่งที่เป็นกรรมฐานเป็นกสิณ 40 เป็นอะไรที่จะเอาจิตไปเพ่งก่อนและจิตมันจะได้หยุด เรื่องของสมถะ การสะกดจิตทางวิทยาศาสตร์ก็เหมือนกันให้เพ่งรูปภายนอกเลย อาตมาเรียนสะกดจิต

ไม่มีอะไรก็ให้เอาที่มือให้เพ่งที่มือ เพ่งให้ดีๆ มือเราจะแนบกันนิ่ง อย่าให้มันแยกกันนะ เอาดีๆ ดึงไว้ อย่าให้มันแยกนะ คนที่สู้ไม่ได้ก็แยกออก ก็จะสู้ดึง เขาสนใจ สุดท้ายจิตถูกสะกด ถูกครอบงำ ถูกสะกดจิต ดิ่งเข้าไปอยู่ในภพ แล้วถูกสั่งให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ก็ได้หมดเลย คือหมายความว่าครอบงำจิตให้จิตอยู่ในอำนาจคนสะกดจิต ก็สั่งให้มีอุปาทาน

เมื่อลืมตาออกมา ให้ไม่เห็นอะไรอยู่บนโต๊ะ เขาก็จะไม่เห็น ลืมตาแล้วก็บอกว่ามีเสืออยู่ 1 ตัวระวังดีๆนะ เมื่อให้สัญญาณให้ลืมตา มาแตะตัวหรือมีรหัสให้ตื่น ก็เจอเสือก็จะวิ่ง ต้องรีบจับตัวไว้ แล้วปลุกให้ตื่นบอกว่าไม่มีหรอก เสือ

เช่น สะกดไว้แล้วก็บอกว่า จะเอาเหล็กเผาไฟนาบแขนนะ ระวังนะ แล้วก็เอาไม้บรรทัดธรรมดาแตะที่แขน ปรากฏว่ามีแดงเป็นทางไม้บรรทัดแตะ ไหม้เลย นี่คืออุปาทานขนาดนั้น จิตที่มันเชื่ออะไรเป็นได้อย่างนั้น ทางแพทย์ศาสตร์เขาก็สอนกันเป็นโรค Psychosis หรือ Neurosis เป็นโรคประสาท ตัวเองไม่เป็นหรอก ไม่ป่วยแล้วให้ป่วยเป็นโรคอะไรก็ได้เรียกว่า ไซโคซิส ดีไม่ดีไม่เป็นมะเร็งก็จะเป็นมะเร็งเอาได้ บอกว่าตัวเองเป็นๆ

บางคนนี่ทำตัวเองเป็น เพื่อที่จะเป็นข้อต่อรอง ไม่ว่าจะเป็นเด็กต่อรองผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเมียเป็นผัวต่อรองกัน หรือคู่รักต่อรองกัน จนกระทั่งเป็น เป็นโรค โรคชนิดนี้เรียกว่า นิวโรซิส (neurosis)

ส.ฟ้าไทว่า...เวลาเด็กไม่อยากเรียนชั่วโมงนี้วิชานี้ก็จะปวดหัว

พ่อครูว่า...ง่ายอุปาทานง่ายไม่ยาก เยอะ

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ไม่อยากเกิดต้องมาเรียนรู้ความจริง

สรุปแล้ว คุณอยากไม่เกิด ต้องมาเรียนความจริงตัวที่พาเกิด

ธรรมดาธรรมชาติของชีวิตจิตวิญญาณมันคืออวิชชาตัวโง่ เมื่อมีแล้วมันก็ต้องเกิดวนเวียนไปตามวิบากถ้าเกิดคุณก็จะเกิดไปตามวิบาก แล้วหัดมาพบสัตบุรุษ ท่านก็สอนให้ไปตามลำดับขั้น ศีล สมาธิ ปัญญา ตั้งแต่สัตว์เกี่ยวข้องกับสัตว์เกี่ยวข้องกับคนอื่น แล้วให้รู้ว่า สัตว์โดยเฉพาะคน มันพาไปเราไปติดไปยึดในอบายมุขต่างๆ เราก็ต้องมาเรียนรู้ฆ่าจิตตัวนี้

อ่านกาย อ่านอาการลิงคนิมิต อ่านอาการจิตออก เรารู้ว่ามันเกิดอาการโกรธ แต่ใจเรา ใจมันอยู่ในร่างกายเรา มันไม่มีที่อื่นมันไม่มีที่ปลายทาง ไม่มีที่สมอง ไม่ใช่ที่หัวใจห้องที่ 4 ตามอภิธรรมเขาสอน มันไม่ใช่ มันคือ อาการ เราจับอาการนั้นได้ที่ไหนที่นั่นคือหทยรูป แล้วก็มันมีอาหาร ก็พิจารณาอาหาร กวฬิงการาหาร มันไปติดยึดกามภพ แล้วเรียนรู้กิเลสตัวนี้คือกามตัณหา รู้ตามธรรมชาติ ของกินของใช้ที่สัมผัสผิวสัมผัสกับสัตว์กับคนเกิดกิเลสก็อ่าน จะชอบ จะเอร็ดอร่อย คนก็เช่นกัน มีรัก มีชอบ มีโกรธ มีชัง มีราคะ มีโทสะ มีแค่นี้แหละ

โมหะ คือ มุ่น วน เลอะเทอะ หากรู้แล้วก็พ้นโมหะ

พิจารณาในนั้นมีอาการตัณหามันมายา มันไม่มีตัวจริงหรอก คุณฟังแล้วบอกว่ามันไม่มีตัวจริงแล้ว แล้วมันก็ไม่ใช่ คุณต้องสัมผัสกับมันเมื่อไหร่และจิตคุณเกิดตัณหา อ่านอาการตัณหาให้ออก แล้วต้องพิจารณาให้เห็นว่ามันเป็นมายา มันหลอกเรา มันไม่มีตัวตนจริงหรอกมันเป็นอนัตตา มันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ มันเป็นของไม่เที่ยง มันเกิดมาแล้วมันก็ดับ มันจะอยู่ตลอดนิรันดรหรือ มันจะอยู่ทุกเวลาทุกวินาทีเลย เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนหน้า เป็นอันโน้นอันนี้เป็นเลอะเทอะไป เพราะฉะนั้นตัวไหนที่มันเกิดราคะ ตัวไหนที่เกิดโทสะเดี๋ยวมันก็หายหน้า

คุณจะโกรธตลอด ไม่มีเลิกเลยคุณไม่ได้หรอก มันต้องพักยก ในขณะพักยกมันก็ฝังในอนุสัย แต่ถ้ามันเกิดไปเรื่อยๆคุณก็จะเห็นโทษภัยของความโกรธ ความโกรธไม่ได้ทำให้เกิดความสุขเลย มีพวกมาโซคิส พวกซาดิส มันชอบความรุนแรง เพราะฉะนั้นยาก คนที่ยังไปติดความรุนแรง ติดความแข็ง ยังยากอยู่ ต้องมาเรียนรู้จริงๆแล้วจะเลิกกันได้ มันจะเกิดปัญญาพิจารณา เรียกว่าปัญญา เรียกว่าความรู้แจ้งเห็นจริง เห็นความจริงตามความเป็นจริงเรียกว่า ปัญญา แล้วปัญญานี่แหละจะเป็นตัวพลังงานที่สุดยอด

ภาษาว่า ปัญญา เป็นตัวรู้ตั้งแต่ทิฏฐิ ความเข้าใจจนกระทั่งเป็นพลังงานที่ตัดเลยเรียกว่ายอดปัญญา พอตัดเป็นตัวปุญญา เป็นฌาน เผากิเลส เผาหมดก็เป็นปุญญะ ดับเหตุมันไม่เกิดอีก สัมผัสอีกมันก็ไม่เกิดอีก โลกสมุทัยก็ไม่มี สัมผัสทีไรก็ไม่เกิดกิเลสเรียกว่า โลกนิโรธ

อธิบายไปซ้ำๆ จนบางคนบอกว่ารู้แล้วรู้แล้ว แต่ถ้าปฏิบัติแล้วจะเข้าใจไม่เบื่อหรอกมันมีนัยยะที่สัมผัสกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ เราก็จะเข้าใจมากขึ้นได้แล้วปฏิบัติ ยิ่งตัวเองมีความรู้และเอาไปปฏิบัติได้ผล มันจะเห็นที่มันละเอียดขึ้นไปอีกไม่มีเบื่อง่ายๆ ในที่สุดคุณเป็นพระอรหันต์ คุณจะสบายแล้วก็จะไม่เบื่อหรอก ธรรมะพระพุทธเจ้าโลกุตระแล้วไม่มีวันเบื่อ แม้แต่เป็นพระอรหันต์ก็มี ธรรมรส มีวิมุติรส ไม่มีรสอื่นเท่าเทียมเลย เป็นความมหัศจรรย์ในความมหัศจรรย์ 8 ข้อ มหาสมุทรไม่มีรสอื่นเทียบเท่า มีรสเดียวคือรสเค็ม

 

นิมนต์พ่อครู จิบน้ำ

สมณะฟ้าไท..
          พ่อครูว่า...สรุป คุณอรินชวิช ก็ค่อยๆเรียนไป แม้แต่คำว่าบุญ คำว่าบาป เรื่องของโลกุตระ ปัญญาเป็นเรื่องเฉพาะของศาสนาพุทธ อาตมากำลังเขียนหนังสืออยู่ 2 เล่ม เรื่องของการเมือง 1 เล่มกับเรื่องของปัญญา 8 อีก 1 เล่ม ก็คงจะได้พิมพ์ออกมาแจกกัน

เขียนเสร็จแล้วก็จะเอามาอธิบายกันไป

 

อาตมาว่าจะเอาคุหัฏฐกสุตตนิทเทสมาอ่านแล้วขยายความให้ฟัง…

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระอภิธรรม) ตอน จิตวิญญาณไม่กินเนื้อที่

ดวงวิญญาณจะเอาจากไหนมาเกิดขึ้นอย่าไปคิดเลย

เริ่มต้นเป็นสัตว์เรียกว่าเป็นจิตนิยาม จะไม่จบไม่ตายไม่หมดอัตภาพง่ายๆมันจะสั่งสมวิบากวนเวียน ก็จะเป็นเดรัจฉาน หมุนเวียนขึ้นมาแล้วจะมีคู่วิบากกัดกันรักกัน แล้วก็จะมีการติดยึด จะติดอะไร ภาษาศัพท์ไทเรียกชัดเจนว่า ติดสัด

ติด กับ พยาบาท เรียกว่าติดสัดนี่แหละ มันจะติดเรื่องสมสู่ แล้วก็ต่อเผ่าพันธุ์ แล้วยึดถือลูกยึดถือตระกูลของตัวเองอีกมากมาย คุณอย่าไปนับเลยว่าเอามาจากไหน มันอยู่ในสิ่งที่ว่าง จิตวิญญาณมันไม่กินเนื้อที่ คุณจะไปนับมันทำไมว่ามาจากไหน จะมาจากไหนไม่รู้มาจากไหนก็ช่างหัวมัน คนมาเรียนรู้จิตวิญญาณของคุณนี่แหละไม่สำคัญ พระพุทธเจ้าสอนอย่าไปทำนาคนอื่น ให้ทำนาตนเอง ทำนาตนเองแล้วก็จบ นาของคนอื่นก็ของคนอื่นอย่าไปวุ่นวายกับนาของคนอื่น เขาเรียกว่าเป็นพวกที่ ส.ใส่เกือก

เมื่อคุณจบแล้วรู้จักวิญญาณดีแล้ว จิตวิญญาณที่จะดับให้ดับหมดได้พระพุทธเจ้าเองท่านก็ยังไม่รู้ที่เกิดที่ต้น แล้วคุณจะไปรู้เกินกว่าพระพุทธเจ้าทำไมจะไปถามทำไม ไปถามสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านก็บอกแล้วว่าเราไม่รู้ที่ต้น แต่เรารู้ที่ดับที่จบ เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงเรียนสิ่งที่ดับไม่ใช่เรียนสิ่งที่เกิด เทวนิยมเรียนแต่สิ่งที่เกิดและสิ่งที่ดับไม่รู้ก็เลยเป็นนิรันดร นักข่าวก็คิดว่ามีแต่ชาติเดียวแล้วไปอยู่กับพระเจ้าจบเลย จริงๆแล้วตายไปแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสไว้ตายไปแล้วจะกลับมาเกิดเป็นคนอีกหรือจะขึ้นสวรรค์ได้นั้นเป็นส่วนน้อย  ส่วนใหญ่แล้วลงนรก ที่เกิดเป็นสวรรค์นั้นเป็นมนุษย์เท่ากับขี้เล็บที่ทิ่มลงไปในแผ่นดินเท่านี้แหละ ที่ได้มาเกิดเป็นเทวดาและมนุษย์มีเท่านี้ นอกนั้นในปฐพีนรกทั้งนั้นเลย แล้วนรกก็ไม่มีเต็ม นรกของใครของมัน อีกอย่างจิตวิญญาณไม่กินเนื้อที่ไม่ซ้อนกัน มันไม่มีที่อยู่ก็เลยไม่เต็ม

สัตว์ที่จุติ*(เคลื่อน)จากมนุษย์แล้วกลับมาเกิดในภูมิแห่งมนุษย์ มีส่วนน้อย  ..ส่วนที่จุติจากมนุษย์ไปเกิดในนรก  เกิดในภูมิเดียรัจฉาน  เกิดในปิตติวิสัย (เปรต)  ย่อมมีมากกว่าโดยแท้ (*สัตว์ที่จุตินั้นหมายถึง โอปปาติกสัตว์)

(พตปฎ. เล่ม 20  ข้อ 206)

 

อย่าไปอยากรู้เกินกว่าที่ควร มันเป็นโลกจินตา คิดไปได้ไม่รู้จบแล้วไปคิดทำไม เอาสิ่งที่เป็นประโยชน์แล้วจบได้ในตัวเองดีที่สุด เมื่อคุณมีความรู้มีปัญญาว่าชีวิตสูงสุดเช่นนี้จบเป็นพระอรหันต์แล้วนั่นแหละเป็นที่สุด เมื่อคุณอยากเกิดอีก คุณอยากจะรู้มากกว่านี้ในโลก อยากจะรู้ว่าอัตตาอย่างคนอื่นๆเป็นอย่างไรคุณก็เกิดได้อีก แต่มีฐานรองรับแล้ว เป็นฐานอรหันต์ คุณจะไม่ตกต่ำอีกเป็นธรรมดาเลย คุณก็เกิดสิ อาตมาเป็นอรหันต์แล้วเกิดอีกจนเป็นโพธิสัตว์ปาง 7 มีสูงได้กว่านี้อีก คุณเข้าใจสิ่งที่อาตมาพูดให้ทันก็แล้วกัน จะรู้ขนาดอาตมาได้ไหมล่ะ อาตมาไม่อยากอวดรู้แต่พูดไปอธิบายไปตามที่ควรจะอธิบาย

ขนาดนี้ยุคใกล้กลียุค คนที่จะไล่อาตมาได้ทันนั้นไม่มีแล้ว ก็พูดให้ฟังเป็นสัจจะ เหมือนพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าไม่มีใครไล่ตามท่านทันหรอก อาตมามาถึงระดับนี้ใครก็ไล่ไม่ทันหรอก เพราะฉะนั้นคนที่จะไล่มา ก็จะค่อยๆเข้าใจมา จะชัดเจน แล้วจะไม่อวดดิบอวดดี ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิแล้วจะรู้ว่าอาตมาเป็นผู้พี่ อาตมาก็ไม่มีปัญหา ถ้าผู้ที่เป็นโพธิสัตว์ผู้พี่แสดงตัวแล้วก็พิสูจน์ตัวเอง แน่นอนโพธิสัตว์ผู้ใดเป็นที่เกิดมาในยุคนี้ ยิ่งอายุเท่ากันกับอาตมาก็จะต้องมีผลงานมีมวล มีการแสดงตัวมากชัดเจนเทียบกันได้ มันก็ยืนยันได้ เราไม่มีงานอื่นหรอกสำหรับพระโพธิสัตว์มีแต่งานสร้างมวลมนุษยชาติที่เป็นชุมชนเป็นระบบอยู่ในสังคมประเทศชาติอย่างนี้ไม่มีอย่างอื่นหรอก เป็นเรื่องของมนุษย์กับสังคม ซึ่งอาตมาก็เคยพูดซ้ำซ้ำซากว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ศึกษาอะไร มีแต่ศึกษาเรื่องความเป็นคนกับเรื่องความเป็นสังคม เท่านั้น แล้วท่านก่อนปรินิพพานเป็นปริโยสานแล้ว ท่านเกิดมาทำงานนี้อย่างอื่นท่านก็ศึกษาได้ อาตมาก็ศึกษา ศึกษาไปเป็นช่างเทคนิคตามที่โลกเขามีตามที่ควรจะเป็น แต่ละชาติไม่รู้กี่ล้านชาติ ก็ต้องมีสิ่งเหล่านี้ เก่งทางนั้นทางนี้ ชาตินี้อาตมาไม่เก่งทางเรื่องของเทคนิคเลย ขันน็อตก็ยังไม่เก่ง ชีวิตนี้อาตมาถ้าเป็นงานกับพวกนี้ อาตมาทำกับข้าวเก่ง ซักผ้าก็เก่ง อาตมาใช้อันนี้ในชีวิต ไปรับใช้เขา เหมือนแม่บ้าน เลี้ยงลูกให้เขา ชุนกระโปรงให้น้องก็มี

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน นิพพานกับอายตนะเป็นธาตุหรือไม่

_ฟ้าใส แซ่หว่อง....ขอนอบน้อม กราบนมัสการ พ่อครู ค่ะ ลูกมีคำถาม ค่ะ ว่า นิพพาน ถือว่าเป็นอายตนะ และถือเป็นธาตุ ได้ไหมคะ?

พ่อครูว่า...ก็คงจะเคยได้ยินอายตนะนิพพาน คำว่าอายตนะไม่มีตัวตนเหมือนธาตุ

คำว่าธาตุ เป็นตัวตนกว่า เพราะฉะนั้นจะเรียกว่าธาตุก็ตามสมมุติ แต่จริงๆ อายตนะเป็น Dynamic ธาตุ  เป็น Static แยกเป็นตัวเคลื่อนไหวกับตัวนี่ ในอวิชชาก็จะเกิดตัณหา

หากธาตุในผู้ที่บรรลุแล้วหรือยังไม่บรรลุมีอวิชชาหรือปัญญา พอเป็นอรหันต์แล้วธาตุที่เคลื่อนไหวก็จะเป็นปัญญา อายตนะไม่ตั้งอยู่ในที่ใดส่วนธาตุนั้นตั้งอยู่ อายตนะนั้นเกิดตอนสัมผัสมีผัสสะ หากไม่มีการผัสสะ อายตนะนั้นก็หายไป อายตนะคือสะพาน สะพานจะเกิดเมื่อมี 2 สิ่ง มีต้นทางกับปลายทางสัมผัสกันก็เกิดตรงกลาง เมื่อเลิกสัมผัสกัน อายตนะก็หายไปไม่มีที่ตั้ง อาตมาจำพระสูตรนี้ไม่ได้

คล้ายๆกับผัสสะ ไม่มีผัสสะแล้วอายตนะก็ไม่เกิด ที่จริงไม่มีผัสสะแล้ว ทำให้ผู้มิจฉาทิฏฐิเข้าใจว่าผู้ที่ดับคือไม่มีอะไรเกิดไม่มีอะไรเป็นก็คือไม่มีผัสสะ ก็เลยหนีจากผัสสะก็เลยไม่ได้บรรลุอะไร

จึงต้องย้ำว่าต้องบรรลุขณะมีผัสสะ

นามรูปนี้มีสามเส้า จะรู้กัน อายตนะ ผัสสะ เวทนา สามเส้านี้ปฏิจจสมุปบาท

มีผัสสะอายตนะก็เกิดแล้วศึกษาเวทนา

หากอายตนะผัสสะนามรูป สองตัวนี้สัมผัสกันก็เกิดอายตนะ คือ นามรูป อายตนะ ผัสสะ

พออายตนะ ผัสสะ เวทนา พอผัสสะก็เกิดอายตนะเกิดเวทนา

วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา เพราะฉะนั้นตัวจบพระพุทธเจ้าท่านสอนให้อ่าน อาหาร 4

วิญญาณมีนามรูปปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป จบ

หากเข้าใจ สามเส้า วิญญาณต้องเรียนรู้จักนามรูป จึงมีวิญญาณให้เกิดเรียนรู้ หากไม่มี 2 อย่างนั้นไม่มีวิญญาณเกิดหรอก ทีนี้ก็แตกวิญญาณออกเป็นเวทนา สัญญา สังขาร คุณก็เรียนครบ

สังขารกับเวทนา 2 ตัวนี้ สังขารเป็นตัวประชุมใหญ่ที่มีอวิชชา ก็มาเรียนอวิชชาให้เป็นอภิสังขารให้รู้เหตุของที่เกิด เกิดอะไรก็เกิดเวทนาความสุขความทุกข์

เรียนรู้สังขาร ต้องรู้กายสังขาร จิตสังขาร จิตก็แยกจาก กาม หมดกามก็เหลือรูป อรูป ก็เรียนไล่เรียงไป ทั้งที่กามาวจรก็มีอยู่ จิตวิญญาณอยู่กับโลกกาม แต่คุณไม่มีกามแล้ว ไม่มีกามคุณ จริงๆแล้วมันเป็นกามโทษ แต่คุณโง่หลงว่าเป็นคุณ เป็นสุข คุณก็เลยยกเชิดชูกาม กราบบูชากาม พูดไปเดี๋ยวจะยาว

 

_มาถึงคุณใบฟ้า... ศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 5.12 น.

กราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้ากราบเรียนเสนอ “สํามะปี๋จากงานพุทธาครั้งที่ 44”

1. ภาพมุมสูงในคืนวันมาฆบูชา “เดือนเด่นฟ้า” “พ่อครู” และ “พุทธบริษัท 4”  ให้ความรู้สึกเหมือน(ละม้าย) ในครั้งพุทธกาลเลยเจ้า

 2. พ่อครูคือ “อภิมหาบรมเศรษฐี(บ้านนอก)” ที่รอให้ลูกๆมาช่วยจัดระบบ ระเบียบ หมวดหมู่ ของ “อภิมหาบรมสมบัติ” เพื่อนำเสนอแก่ “มวลมนุษยชาติ” อย่างราบรื่น เรียบร้อย ง่ายงาม แม่นก่อเจ้า

3. “กายนี้คือวิญญาณ” นำสู่ความแจ่มชัดระหว่าง จิต - มโน - วิญญาณ อุปมาได้ดังนี้ วิญญาณ = บ้าน

จิต = ห้องต่างๆ ส่วนมโนคือสิ่งที่อยู่ในห้อง พอใช้ได้ก่อเจ้า

 4. โครงการ หนึ่งในพัน สัมฤทธิ์ผลเมื่อใด! พ่อครูสัญญาจะมีอายุถึง 151 ปี ลูกๆชัดนะ!

ส่วนลูกคนนี้  MOU กับน้องสาวที่ผูกพันกันแล้วว่า ศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2563  พี่ขอลา “กลับบ้าน”(แผ่นดินพุทธ)

 5. “ ทักขิเณยบุคคล 7” ลึกซึ้งซับซ้อนสมกับเป็นแก่นแกนที่ยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ รูปธรรมของบุคคลที่ระบุในแผนผังฯ คือคุณยายยู้ ท่านอาจารย์ 2 ผืนฟ้า และท่านสมณะซาบซึ้ง ให้ความชัดแจ้งดีมากเจ้า เพราะสมรูปสมนามจริงๆ  สาธุๆๆ

6. รายการธรรมะก่อนฉัน สนุกได้สาระธรรมทุกรายการ และดูเหมือนจะจับคู่ระหว่าง “ศรัทธานุสารี - ธัมมานุสารี” หลายคู่เจ้า

7. รายการภาคค่ำ ก็เหมาะควรยิ่ง เพราะสะท้อนถึงมรรค - ผลของการปฏิบัติธรรมของพี่ - น้อง ที่หลากหลาย จากโลกียะสู่โลกุตตระ “ให้”เป็นลำดับๆ

กราบขอบพระคุณพ่อครูด้วยเศียรเกล้า กราบขอบพระคุณท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุและญาติธรรมที่ช่วยเสริมปัญญาเจ้า

 

พ่อครูว่า...มีเรื่องบุคคล 7 ที่มีคนแยกแยะให้ว่ามีการปฏิบัติที่วนเวียนไปมาอีก จนช้านานก็เป็นไปได้อีก

 

สัทธานุสารี

ธัมมานุสารี

สัทธาวิมุติ

ทิฏฐิปัตตะ

กายสักขี

ปัญญาวิมุติ

อุภโตภาควิมุติ

 

1

 

2

 

3

 

4

 

5

 

7

 

8

 

9

 

6

 

10

 

12

 

11

 

สายศรัทธาจะช้านานกว่าสายปัญญา แต่ไม่ได้เป็นการพูดข่มกันนะ

คนพวกที่ช้านานวนคือสายศรัทธาที่ดื้อๆหน่อย จะเสียเวลาไม่ใช่ปีเดียวนะ แต่เป็นร้อยชาติพันชาตินะ พูดแล้วก็นึกถึงเจ้าอ้อ ตั้งชื่อตัวเองว่าเป็นพุทธพันชาติ เป็นลูกคนเดียว มีสมบัติที่พ่อทิ้งไว้มากก็เลยทำให้มีเครื่องอลังการทำให้ช้านาน ลูกผัวก็ไม่มี

พ่อครูว่า...สายศรัท​ธาที่ช้าก็เพราะว่าหลงปัญญา เวลาหลงมันไม่รู้ตัว

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน ...สายศรัทธาได้ปัญญามาจะดี แต่ถ้ามีมานะ ดื้อจะหลงทำให้ช้า ต้องเจอฐานอุปกิเลส16 แต่เราต้องรีบผ่านให้เร็วที่สุด

 

พ่อครูว่า...จากอโศกสัมปวังโก

ขอให้พ่อท่านให้ วินิจฉัยความเห็นต่างของเพื่อนสหพรหมจรรย์

1. มีเพื่อนสหพรหมจรรย์ถูกตำหนิว่าตั้งแต่ถามพ่อท่านด้วยคำถามที่ตัวผู้ถามดูแล้วว่า ทำเพื่ออยากอวดภูมิความรู้ของตัวเอง จนทำให้นักตั้งคำถามหลายคนต้องหยุดส่งคำถามเข้ารายการของพ่อท่าน กระผมคิดว่าโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าละเอียดลึกซึ้งยิ่งนัก เป็นไปไม่ได้ที่นักตั้งคำถามเหล่านั้นจะรู้เข้าใจได้อย่างถี่ถ้วน นักตั้งคำถามเหล่านั้นมีเจตนาตั้งคำถามเพื่อทำให้เกิดความกระจ่าง และเพื่อให้พ่อท่านได้ยืนยันความเข้าใจของพวกเขามากกว่า

2. เพื่อนสหพรหมจรรย์ ตั้งข้อแม้ไม่ให้ตั้งคำถามเพื่อให้พ่อท่านลงรายละเอียดลึกเกินไป ด้วยเหตุผลว่าเพราะท่านอายุเยอะมากแล้วทำให้ท่านเหน็ดเหนื่อยสุขภาพแย่ลง ในความคิดของกระผม พ่อท่านคือผู้รู้ขั้น สยังอภิญญา ผู้มีสภาพถ้วนรอบทั้งสภาวะและพยัญชนะ มีความสามารถตอบปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างลงตัว  จะทำให้ท่านเหน็ดเหนื่อยได้อย่างไร การให้พ่อท่านได้เทศนาในเรื่องที่ต้องลงลึกรายละเอียดน่าจะถูกกับพ่อท่านมากกว่า เพราะว่าโลกุตรธรรมนั้นเป็นเรื่องยากไม่ใช่เรื่องง่าย การที่พ่อท่านจะต้องเทศน์ง่ายๆในงานนั้นน่าจะเป็นเรื่องหนัก ทำให้ท่านต้องเตรียมตัวมาก

อีกอย่างมีการย่อยธรรมะของสมณะสิกขมาตุเพื่อย่อยให้เกิดความเข้าใจของตัวเองอยู่แล้ว

พ่อครูว่า..มองได้ชัดเจนดีนะ หากให้อาตมาไปสอนเด็กเล็กก็จะยากหน่อย เพราะต้องมีอุปกรณ์มากหน่อย

ผู้ที่จะฟังธรรมอาตมาว่า หากมีมานะอัตตา จะเป็นสมณะสิกขมาตุคนอื่นแสดงธรรมก็มองข่ม จะฟังแต่อาตมา แบบนี้คนนี้ช้า มันเป็นมานะอัตตาเสียเวลามากเลย เพราะฉะนั้นอย่าเลยอย่าไปคิดเช่นนั้น แม้แต่เด็กๆไม่แต่ใครต่อใครก็แล้วแต่ มาให้คติเตือนใจให้ข้อคิดให้ความรู้ที่ซื่อๆ เด็กๆนี่มีความซื่อสัตย์ไม่เดียงสาดีมากเลย อาตมามีเพลงอาริยะหมายเลข 10

ข้าพเจ้าได้ดิบได้ดีวิเศษยิ่ง ๆ ขึ้น

หรือ เป็นคนที่น่านับถือเคารพได้นั้น

ไม่ใช่เพราะการเป็นผู้ชี้ยืนยัน

"ความถูกต้อง"

ให้ใคร ๆ รู้ ได้หลากหลาย

แล้ว ๆ เล่า ๆ นั้นดอก !

 

แต่… เพราะข้าพเจ้าน้อมรับ

"ความผิดพลาด"

และ มีการแก้ไขในแต่ละครั้ง

แต่ละคราว ของข้าพเจ้า

จาก ทั้งผู้หวังดี

และ ทั้งศัตรูผู้หวังร้ายแท้ ๆ

นั่นต่างหาก.

~สมณะโพธิรักษ์~ 17 พฤษภาคม 2526

 

นี่คือเพลงอาริยะหมายเลข 10 อยู่ในหนังสือเงาฟ้าที่ท่าน้ำรวมไว้ เพลงชีวิต เพลงความซ้ำซาก เพลงอาริยะ เพลงไท เขียนไว้มากเอามาอ่านจะได้ความลึกซึ้ง

 

สู่แดนธรรมว่า..หนังสือเงาฟ้าที่ท่าน้ำน่าจะแปลเป็นภาษาอังกฤษนะครับ

 

พ่อครูว่า…

จากพระไตรปิฎก ล. 29 คุหัฏฐกสุตตนิทเทสที่ 2

ว่าด้วยนรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำคือกาย

ว่าด้วยนรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำคือกาย

[30] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า นรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ(สตฺโต คุหายํ) เป็นผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้ว(พหุนาภิฉนฺโน) นรชนเมื่อตั้งอยู่ ก็หยั่งลงในที่หลง(ติฏฺฐํ นโร โมหนสฺมํ) นรชนเช่นนั้น ย่อมอยู่ไกลจากวิเวก(ทูเรวิเวกา) ก็เพราะกามทั้งหลายในโลก ไม่เป็นของอันนรชนละได้โดยง่าย.

พ่อครูว่า...เขาไม่ตั้งใจปิดบังแต่เพราะว่าเขาไม่รู้เขาหลง ไม่มีทางออกเหมือนดักแด้อยู่ในฝัก ไม่มีทางเห็นเดือนเห็นตะวัน นอกจากจะกัดออกมา เหมือนไก่เจาะกระเปาะออกมาได้แต่ส่วนมากไม่ได้ออก หากเป็นอิสระตามธรรมชาติก็ออกได้ แต่ถ้าอยู่ในคน ไหมที่คนเลี้ยงไม่ได้ออกมาหรอก เขาเอาไปต้มสาวไหมไป ดักแด้ตายก็เอามากินอีก ตอนเป็นเด็กยายเลี้ยงไหม อาตมาเข้าใจได้ช่วยทำด้วย ขี้เกียจตอนเก็บใบหม่อนให้ไหมกิน

(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

สมณะฟ้าไท...พ่อครูมีหน้าที่ฉีกหน้ากากกิเลสให้คนออกจากถ้ำ แล้วก็เข้าถ้ำอีก หอกหักหมดประหารอย่างไรก็ไม่ตายสักที

พ่อครูว่า...พูดไปแล้วพวกหอกหักฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย หอกหักหมดแต่ผิวหนังเขาไม่ระคาย

ประเด็นสำคัญที่นั่งหลับตาปฏิบัติคือผู้ทำลายศาสนาพุทธ เป็นโจรทำลายศาสนา เตือนให้ออกมาเถอะคุณอยากเป็นโจรที่ฆ่าไม่ตาย หยุดทำงานโจรมาทำงานนี้บ้างมาศึกษา

สู่แดนธรรมว่า...ที่ว่าฆ่าไม่ตายคือ กิเลสมากปิดบังไว้เป็นเหมือนเกราะหุ้มไว้

พ่อครูว่า...เด็กมากราบก็เลยว่า เด็กพวกนี้ก็ osmosis ไป

สมณะฟ้าไทว่า...เราได้ฟังพ่อครูแม้เป็นสิ่งที่ซ้ำ หากไม่ซ้ำกิเลสก็ไม่ถูกสลาย

เอาออกแล้ว หอกมันหักหมด สภาวะฟังซ้ำจะได้ชัดเจน ปัญญาจะได้ชัดเจนตัดกิเลสได้ หากไม่ฟังซ้ำไม่มีทาง หากฟังธรรมพ่อครูแล้วไปปฏิบัติแล้วมาฟังซ้ำอีก ก็จะได้ตามศีลที่เราตั้ง

จบ


เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:02:10 )

630221

รายละเอียด

630221_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สมาธิหลับตาเหมือนคนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่...  https://docs.google.com/document/d/1H1g7Nc_0VrjDoL93ee_OpNJj4KPLh5N7WMl1PyeiSbk/edit?usp=sharing                  

 

ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1msjUEcSjx25ws9fgr0YJQ4C3bStxETju

 

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 บวรราชธานีอโศก วันนี้มีข่าวยุบพรรคอนาคตใหม่ สะท้อนให้เห็นว่า ธรรมะย่อมชนะอธรรม ฝ่ายอธรรมก็ทำอกุศลจนแพ้ภัยตัวเองไป เหมือนพระเทวทัตที่มาทำร้ายพระพุทธเจ้า ก็ถูกธรณีสูบ

พ่อครูว่า…พระเทวทัตตั้งใจจะต่อสู้กับพระพุทธเจ้าใช้ความสามารถหนักมากก็ได้แค่นั้น คุณจะตำหนิเขาได้อย่างไรกว่าเขาจะได้เป็นพระเทวทัต คือคู่ชกของพระพุทธเจ้านะ มันใหญ่ขนาดไหน

สมณะฟ้าไทว่า...จิตที่ตั้งไว้ผิด ยึดเสียแล้วจึงยาก จะไปโทษพระเทวทัตไม่ได้ตัวเราก็เหมือนกันต้องทำให้จิตใจดีบริสุทธิ์ทำแต่กุศลแก่กันและกัน

พ่อครูว่า…

Sms 630220

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน สังโยชน์ที่เหลือคือชาติที่เหลือของโสดาบัน

7230...       เมื่อจิตถึงพระโสดาบันจะรู้ว่า เราจะเกิดไม่เกิน7ชาติ ชาวอโศกรู้ธรรมแต่ไม่เห็นธรรม คนเกิดจากอวิชชา พระองค์สอนไม่ให้มาเกิดอีก การเกิดทุกครั้งเป็นทุกข์ร่ำไป ถึงจุดสูงสุดของพี่น้องชาวอโศก หมดพ่อครูมีแต่จะถอยหลังท่าเดียว

พ่อครูว่า...จะขออธิบายจากท้าย ที่ว่าหมดพ่อครูมีแต่จะถอยหลังท่าเดียว คำพูดนี้พวกคุณฟังแล้วรู้สึกอย่างไร...มันจะเป็นจริงอย่างที่ว่าไหม มีคนพูดว่าสำนักแต่ละสำนัก ก็มาเผยแพร่ความเห็นของเจ้าสำนัก เมื่อเจ้าสำนักยังอยู่ก็เผยแพร่ให้ลูกศิษย์เจริญดี เมื่อเจ้าสำนักตายไปแล้ว ไม่ช้าไม่นานสํานักนั้นก็จืดจางลางเลือนแล้วก็หมดสูญไป เป็นอย่างนั้นมาเยอะ ใช่ แต่สำนักใดที่มีสัตบุรุษมีผู้ที่มีเนื้อแท้หว่านลงไปที่จิตมนุษย์ เป็นสัทธรรมของพระพุทธเจ้า เกิดที่จิตที่มีรากฐานที่เป็นปัญญา มันเป็นธรรมะที่ลึกซึ้งมาก มีรากฐานของความสถิตเสถียร หรือมีรากฐานของความมั่นคง

นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิสัจธรรมของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้องแล้ว สัมมาทิฏฐิแล้วมันจะไม่เป็นอย่างที่มันไม่ใช่ ส่วนสำนักที่ยังไม่สัมมาทิฏฐิไม่ใช่สัตบุรุษแท้ก็จะเป็นอย่างนั้น แต่นี่ไม่ใช่

ความเห็นของคุณคนนี้คิดของคุณเอง เขาบอกว่านี่เป็นจุดสูงสุดของพี่น้องชาวอโศก เมื่อถึงจุดสูงสุดก็จะสลายไป เมื่อเจ้าสำนักตายไป

ทีนี้ประเด็นที่ว่าพระองค์สอนไม่ให้มาเกิดอีก อันนี้พระพุทธเจ้าสอนให้ดับความเกิดให้ได้ เพราะฉะนั้นก่อนจะดับความเกิดได้จนกระทั่งถึงร่างกายไม่เวียนว่ายตายเกิดเลย อาตมาอธิบายไปจนหมดครบไม่รู้กี่รอบแล้ว ว่าผู้ที่เป็นพระอรหันต์สามารถแยกจิตแยกธาตุจิตของตัวเอง เมื่อตายลงไป ก็แยกธาตุจิตออกเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย จิตธาตุนั้นก็ไม่รวมตัวมาเกิดเป็นชีวะอีกจริงๆ เพราะมันหมดสิทธิ์ที่จะมารวมตัวกันเป็นเชื้อที่จะติดยึดเหมือนจิตนิยาม

พระพุทธเจ้าท่านให้แยกแยะลักษณะ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยามแล้วมาเป็นกรรมนิยาม ธรรมนิยาม ศาสนาที่ไม่มีความรู้เหล่านี้ไม่รู้จักคำว่าได้เรียนรู้กรรม เรียนรู้แต่ God เรียนแต่พระเจ้าไม่เรียนรู้กรรม

ศาสนาพุทธนั้นกรรมเป็นใหญ่กรรมเป็นเรื่องสุดยอด ผู้ใดทำกรรม ทางกายทางวาจาทางมโน แล้วก็ทำมโนทำจิตตนเองได้โดยทำจิตแยกธาตุเป็นอุตุนิยามได้ จึงบริบูรณ์สุดจบ

เพราะฉะนั้นความจริงแล้วผู้ที่บรรลุอรหันต์แล้ว เป็นคนอมตะ ตายก็ได้ไม่ตายก็ได้เกิดอีกก็ได้ไม่เกิดอีกก็ได้

คำที่พระพุทธองค์สอนไม่ให้เกิดอีกนั้นเป็นเพียงกิเลสหยาบกลางละเอียด เราสามารถประหารในใจของเรา ที่เป็นชีวะเป็นจิตนิยาม ประหารให้ตายสนิทเลยไม่ให้เกิดอีกนั่นคือเป้าหมายสำคัญสุดยอดของศาสนาพุทธ ไม่ได้หมายความว่าร่างกายนี้เกิดอีก

เพราะฉะนั้นคนที่จะเข้าใจธรรมะ 2 อย่างนี้การเกิดคืออะไร คนก็นึกถึงแต่ร่างกายเวียนตายเกิด ชาติสองชาติสามชาติ หรือ 7 ชาติ อย่างนี้ พอเข้าใจคำว่าชาติแค่คลอดจากท้องแม่ ตายทางร่างกายก็ 1 ชาติ

พระโสดาบันก็เข้าใจว่าสูงสุดช้าที่สุดกว่าจะเป็นพระอรหันต์ นานที่สุดก็แค่ 7 ชาติ บางทีก็ 6 ชาติ โกลังโกละ บางทีก็ 4 ชาติ 5 ชาติ 3 ชาติ 2 ชาติ ก็คือโกลังโกละ ถ้าเกิดมาเพียงชาติเดียวแล้วเป็นพระอรหันต์ก็เรียกว่าเอกพีชี เกิดมาชาตินั้นก็บรรลุอรหันต์เลย

เขาเข้าใจไม่ได้ว่า สกทาคามีก็แปลว่าเกิดอีก 1 ชาติ ก็บรรลุอรหันต์

เอกพีชีก็ 1 ชาติก็บรรลุเป็นพระอรหันต์

ก็แปลเหมือนกันเกิดมาอีกชาติเดียว ที่จริงแล้ว คำว่าชาติคำนี้ลึกซึ้งมาก คำว่าชาติ พระพุทธเจ้าแจกเป็น 5 อย่าง ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ

ชาติคือ คำรวม เกิดแบบไหนก็ได้ เกิดเป็นสัตว์โลกที่เป็นคนเป็นตัวตนร่างกายเกิดทางมดลูกเรียกว่า ชราภุชโยนิ หรือเกิดเป็นไข่ก่อน แล้วฟักเป็นตัว อัณฑชโยนิ หรือจะเป็น สังเสทชโยนิ เป็นการเกิดแบบแตกตัว ชนิดที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่ เป็นแบคทีเรีย เป็นพวกจุลินทรีย์ กับ โอปปาติกโยนิ เป็นสัตว์ทางนามธรรมจิตวิญญาณ

การเกิดชาติของศาสนาพุทธเรียกโอปปาติกโยนิ การเกิดทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่หมายถึงการเกิดทางร่างกาย

คนนี้เขาว่าเมื่อจิตถึงโสดาบัน จะรู้ว่าเราจะเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ ก็เป็นความรู้ตื้นๆง่ายๆ ไม่ใช่ความรู้ของศาสนาพุทธเป็นความรู้ของทั่วไปเดียรถีย์ก็รู้แบบนี้ คนก็รู้การเกิดเป็นสัตว์ตัวตนบุคคลเราเขา

ความจริงแล้วคำว่า 7 ชาติคำนี้มันหมายถึงสังโยชน์ สังโยชน์ทั้ง 7 พระโสดาบันจะพ้นสังโยชน์ 3 ก็เหลืออีก 7 ก็จะเกิดอีก 7 สังโยชน์ จะพ้นจากภพของกาม แล้วพ้นจากภพของรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา นั่นคือสภาพโอปปาติกะที่เราต้องเรียนรู้ทางจิตวิญญาณ

ดับ กามราคะ ปฏิฆะได้ก็เหลือ รูปภพ อรูปภพ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา เหลือเศษมานะ กำจัดมานะ เหลือเศษธุลีละออง อุทธัจจะฟองฝอยละเอียดก็เก็บให้หมด จึงพ้นอวิชชาสังโยชน์ หมดสังโยชน์ 10

การเกิดชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ

ชาติ สัญชาติ เป็นการเกิดธรรมดาของโลกีย์หมุนเวียนเป็นตัวตนบุคคลเราเขา

พอเป็นโอกกันติ ก็จะหยั่งลง หากโลกีย์จะหมุนเวียนแค่ ชาติสัญชาติโอกกันติ

โอกกันติ แปลว่าการหยั่งลง หมุนเวียนวนเวียนในโลกีย์มีอัตตาอวิชชาหนาแน่นมากขึ้นวัฏสงสารก็ยิ่งยาวนานมากขึ้นนรกก็ยิ่งยาวนานสวรรค์ยิ่งยาวนาน มีวัฏสงสารที่วนเวียนจนนานมากจนจำไม่ได้ ว่าตัวเองวนอยู่อย่างนั้น จิตวิญญาณก็จะจมหนักต้องทำชั่วทำบาปหนัก เขาจะรู้อยู่แค่นี้ จนกว่าจะมารู้มี อัญญธาตุ ธาตุโลกุตระ มีนิพพัตติ

ถึงจะเริ่มเกิดใหม่เป็นภูมิโลกุตระที่สูงขึ้น สูงสุดยอดบรรลุการเกิดเป็นพระอรหันต์ อภินิพพัตติ นี่คือการเกิด 5 ประการ

ก็ไม่มีใครมาอธิบายอย่างที่อาตมาอธิบายให้ฟัง เข้าแปลภาษาสู่ภาษา แต่อาตมาอธิบายไม่ตรงตามพยัญชนะคำต่อคำของเขาเลย แต่เป็นสภาวะที่สื่อสารออกมา

หากเข้าใจอย่างที่อาตมาอธิบาย อาตมาเข้าใจที่เขาอธิบายอย่างโลกียะด้วยและอธิบายได้อย่างโลกุตระด้วย

 

สู่แดนธรรมว่า...นักศึกษาธรรมะในไทยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วธรรมะเป็นเรื่องลึกซึ้งคัมภีรา เขาเลยตัดสินว่าอโศกไม่รู้ธรรมะ

พ่อครูว่า..เขาอยู่ในโลกกะลาของเขาก็ไม่รู้รอบๆของกะลานอกกะลาว่ามีอะไร เขาเป็นเช่นนั้น ขออภัยที่พูดเปรียบเทียบไม่ได้ลบหลู่

 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ

 

สมณะฟ้าไท….

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน หลุดพ้นจากถ้ำด้วยจรณะ 15 วิชชา 8

พ่อครูว่า...มาต่อพระไตรปิฎก...คนไหนไม่ชอบฟังซ้ำฟังวน ก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเวธแทงทะลุรอบธรรมะพระพุทธเจ้าได้ ก็จะไม่เห็นความสำคัญ ส่วนคนที่ฟังแล้วยิ่งซ้ำแล้วก็ขยายซ้ำวน เห็นแง่มุมที่ออกไป ฟังแล้วจึงเกิดธรรมรส มีความพิสดารหลากหลายของธรรมะแง่มุมต่างๆของธรรมะมันก็ยิ่งจะชื่นใจ คนที่ไม่เข้าใจธรรมะองค์ประกอบรายละเอียดอย่างที่ว่านี้ก็ยาก

 

 จากพระไตรปิฎก ล. 29 คุหัฏฐกสุตตนิทเทสที่ 2

ว่าด้วยนรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำคือกาย

[30] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า นรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ(สตฺโต คุหายํ) เป็นผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้ว(พหุนาภิฉนฺโน) นรชนเมื่อตั้งอยู่ ก็หยั่งลงในที่หลง(ติฏฺฐํ นโร โมหนสฺมํ) นรชนเช่นนั้น ย่อมอยู่ไกลจากวิเวก(ทูเรวิเวกา) ก็เพราะกามทั้งหลายในโลก ไม่เป็นของอันนรชนละได้โดยง่าย.

[31] คำว่า นรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ เป็นผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้วมีความว่าทรงตรัสคำว่า เป็นผู้ข้องไว้ก่อน. ก็แต่ว่าถ้ำควรกล่าวก่อน กายเรียกว่า ถ้ำ. คำว่า กายก็ดี ถ้ำก็ดี ร่างกายก็ดี ร่างกายของตนก็ดี เรือก็ดี รถก็ดี ธงก็ดี จอมปลวกก็ดี รังก็ดี เมืองก็ดีกระท่อมก็ดี ฝีก็ดี หม้อก็ดี เหล่านี้เป็นชื่อของกาย.

(พ่อครูว่า...อะไรก็ตามที่จิตไปติดยึดอยู่คือ ถ้ำ อย่างมหาบัวนี้ติดหมาก เขาเรียกหลวงตามหาบัว) 

คำว่า เป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ คือ ข้อง เกี่ยวข้อง ข้องทั่วไป ติดอยู่ พันอยู่ เกี่ยวพันอยู่ในถ้ำ เหมือนสิ่งของที่ข้อง เกี่ยวข้อง ข้องทั่วไป ติดอยู่ พันอยู่ เกี่ยวพันอยู่ที่ตะปู ซึ่งตอกติดไว้ที่ฝา หรือที่ไม้ขอ ฉะนั้น.

สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิน ความปรารถนาในรูป ความเข้าไปถือ ความเข้าไปยึดในรูป อันเป็นความตั้งมั่น ความถือมั่น และความนอนตามแห่งจิต บุคคลมาเกี่ยวข้องอยู่ในความพอใจเป็นต้นนั้น เพราะเพราะนั้น. จึงเรียกว่า สัตว์. คำว่า สัตว์เป็นชื่อของผู้เกี่ยวข้อง

พ่อครูว่า...เพราะไม่สนใจกามที่เป็นกาย ไม่มีตัวอย่างที่ละได้ตั้งแต่ต้น หากละจากกามไม่ได้อย่างชัดเจน จะไปล้างชั้นที่  2 ชั้นที่ 3 ก็หมดหวัง คุณจะไม่มีดวงตาจะไม่มีความละเอียดพอ เพราะตาหยาบคุณยังสัมผัสไม่ติด

กามก็ไม่รู้จัก แล้วจะอวดเก่งไปรู้จักภพภายในก็เป็นสิ่งปลอมวิมานปลอม เพราะไม่มีดวงตาที่จะเจียระไนเพชร ต้องเจียระไนลึกเข้าไปเรื่อยๆถึงแก่นแกน แต่ยังไม่ผ่านภายนอกเลย มันก็เป็นไปไม่ได้มันเป็นอุตริที่โมฆะ ไม่มีลำดับ เป็นความหลงของเดียรถีย์จมในความหลง ไม่ว่ายุคไหนปางไหนก็เป็นเช่นนี้ ศาสนาพุทธถึงได้เสื่อมลงไปจนถึงทุกวันนี้ ผิดหมดเลย ขออภัยไม่ได้ใส่ความ หากอาตมาไม่เกิดมาจะไม่ละเอียด จะมีผู้ที่รู้บ้างแต่ไม่ชัดเจนละเอียดอย่างที่อาตมาเอามาขยายความ แล้วก็จมผิดไปตลอดกาลนาน อาตมาจึงมีหน้าที่ที่จะดึงกลับ คนที่อคติมองอาตมาว่าเป็นพวกอวดตัว เขาก็จะไม่ได้รับความรู้เลย เพราะว่าฟังอย่างอคติ ไม่เต็ม หากฟังอย่างเต็มไม่เป็นชาล้นถ้วย จะได้ เพราะเป็นธรรมะที่ละเอียดลออ

[31] คำว่า นรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ เป็นผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้วมีความว่าทรงตรัสคำว่า เป็นผู้ข้องไว้ก่อน. ก็แต่ว่าถ้ำควรกล่าวก่อน กายเรียกว่า ถ้ำ. คำว่า กายก็ดี ถ้ำก็ดี ร่างกายก็ดี ร่างกายของตนก็ดี เรือก็ดี รถก็ดี ธงก็ดี จอมปลวกก็ดี รังก็ดี เมืองก็ดีกระท่อมก็ดี ฝีก็ดี หม้อก็ดี เหล่านี้เป็นชื่อของกาย.

พ่อครูว่า..ถ้าไม่มีอาตมาเกิดมาก็จะไม่รู้ว่า กายนี้ คือ มีทั้งข้างในและข้างนอกและต้องสำคัญที่ภายใน กายคือจิต มโน วิญญาณ ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 230 เมื่อเขาไม่เข้าใจก็จะบอกว่าถ้าพุทธเจ้าบอกไว้ผิดหรือว่าแปลมาผิด

หากไม่เข้าใจจะตีลังกากลับ ก็ไม่มีใครไขความว่า มันผิดพลาดไปไกลแสนไกลจากวิเวก ผิดไปไกลแสนไกล ปฏิบัติอย่างเดียรถีย์ เอาร่างกายออกป่าก็เป็นโมฆะมิจฉาทิฏฐิตั้งแต่เบื้องต้น

ในพระไตรปิฎกอัมพัฏฐสูตร ล.9 ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ 4

ดูกรอัมพัฏฐะ วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แล มีทางเสื่อมอยู่

4 ประการ 4 ประการเป็นไฉน?

1. ดูกรอัมพัฏฐะ สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ หาบบริขารดาบสเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ที่หล่น สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่หนึ่ง.

พ่อครูว่า...ชาวพุทธในไทยทุกวันนี้เกือบทั้งหมดเข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมของศาสนาถ้าปฏิบัติจะต้องเป็นผู้ที่ออกป่าไม่ใช่พระที่อยู่ในเมือง แม้แต่พระที่อยู่ในเมืองก็เชื่ออย่างนั้นแต่ตัวเองคงไม่ถึง ก็จะนับถือบูชาพระปฏิบัติที่ออกป่าเป็นพระกรรมฐานพระธุดงค์ เอาเรื่องล่องไพรออกป่ามาเล่ากัน เป็นพวกนอกรีตศาสนาพุทธน่าสงสารมาก  เขาติดยิ่งกว่าติดยาอีก ยังเคารพยกย่องเชิดชูประกาศว่านี่คืออรหันต์ อาตมาเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องบอก มันสุดทาง

 

[164] 2. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคเหง้าไม้รากไม้และผลไม้ สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สอง.(ข้อนี้หนักกว่าข้อแรกคือไม่มีพระวินัยแล้ว)

[165] 3. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถที่จะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ และไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ จึงสร้างเรือนไฟไว้ใกล้บ้าน หรือนิคมแล้วบำเรอไฟอยู่ สมณพราหมณ์นั้น ต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สาม.

[166] 4. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถจะบำเรอไฟได้ จึงสร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้วสำนักอยู่ด้วยตั้งใจว่าผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง 4 นี้ จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็ตาม เราจักบูชาท่านผู้นั้นตามสติกำลัง สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สี่.

พ่อครูว่า...เขาออกแบบอาคารเป็นลูกโลกจานบิน ไม่มีใครเขาคิดได้อย่างแกหรอก หากให้แกอยู่ต่อคงสร้างวิหารในอากาศได้ นี่ดีว่าเขาคิดได้แค่จานบินกับลูกโลกนะ

คำว่าประตูสี่ด้านทางสี่แพร่งคือเรือนใหญ่ไว้ดักทุกทิศใครมาก็ต้อนเข้าเรือนหมด จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็จะบูชาทีนี้เละเลย พวกนอกรีตทั้งหลาย อเจลกะ เดียรถีย์ เอาหมด ครบถ้วนบริบูรณ์ไม่เหลือแล้วศาสนาพุทธ น่าสังเวชใจ

 

เราเข้าสู่วิชชาจรณะ

วิชชาจะระณะสัมปันโนเป็นพุทธคุณ 9

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ….

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน….

 

พ่อครูว่า...มาเข้าสู่ จรณะ 15 วิชชา 8 พระพุทธเจ้าไม่อุบัติจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่มี ธรรมะพระพุทธเจ้าก็คือ จรณะ 15 วิชชา 8 แล้วก็ปฏิบัติอันนี้แหละนอกไปจากนี้ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า จรณะ 15

1. ศีลสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศีล . .                   9. วิริยะ ปรารภความเพียร

2. อินทรีย์สังวร คุ้มครองทวารอินทรีย์           10. สติ อันเป็นอาริยะ . .

3. โภชเนมัตตัญญุตา ประมาณในโภชนา      11. ปัญญา  

4. ชาคริยานุโยค ประกอบความตื่น               12. ปฐมฌาน

5. ศรัทธา (เชื่อมั่น) . .                                   13. ทุติยฌาน

6. หิริ (ละอายต่อบาป) .                                14. ตติยฌาน

7. โอตตัปปะ. (สะดุ้งบาป).                            15. จตุตถฌาน

8. พาหุสัจจะ แทงตลอดในพหูสูต .      (พตปฎ.ล.13/34)

วิชชา 8

 

ปฏิบัติศีลข้อที่ 1 เกี่ยวข้องกับสัตว์ ก็เรียนรู้เวทนาเมื่อสัมผัสกับสัตว์จากการสำรวมอินทรีย์ทั้งตาหูจมูกลิ้นกาย ใจก็เกิดเวทนา คุณจะกินจะใช้อยู่กับสัตว์ทั้งหลาย จะฆ่าสัตว์มากิน มันใช่หรือ คุณต้องพิจารณาแล้วคุณต้องเกี่ยวข้อง แล้วคุณก็จะต้องมาเรียนรู้ความตื่น ชาคริยา ความตื่นอย่างมีสติเต็ม มีสติทางกายภายนอก วจีกรรม มโนกรรม มีสติคือความตื่นรู้ตัวทั่วพร้อมมีสติเต็ม หากคุณไปหลับตาและบอกว่ามีสติ คุณก็ทิ้งไปอีกตั้ง 2 กรรม ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่เป็นภายนอกแท้ ทางวาจา คุณทิ้งหมด เอาแต่ภายใน

ซึ่งหลงทางนามธรรม แต่มันไม่ได้หรอก ป่วยการ มันลมๆแล้งๆ เหมือนอย่างมหาบัว ที่ว่าฆ่ากิเลส เอาจริงสู้ตาย วันที่เท่านั้นพศ.นั้น ฆ่าให้ตายเลย เพ้อเป็นนิรมาณกายสร้างภพชาติ เป็นตัวตน ทั้งที่ไม่มี มีตัวตนในความว่าง เป็นเรื่องมุขขึ้นมาว่าเป็นตัวตน แต่แท้จริงว่างเปล่าปั้นมาเองนิรมาณกาย คนอื่นร่วมรู้ด้วยเป็นสัมโภคกาย ว่าพระอรหันต์ต้องจริงจังฆ่ากิเลสอย่างนี้ต่างเป็นคนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้ อาทิสมาณกาย ต่างคนต่างไม่มีใครเห็นของใคร ต่างคนต่างบอด แล้วก็จูงกันไป ไปดูหนังใบ้ แต่พูดกันจังเลย คนใบ้คือคนหูไม่ดีนะ หูมันรับไม่ได้แต่พูดจัง เสียงดัง เพราะเขาไม่รู้เสียงของเขา หลังบ้านอาตมาเป็นที่อยู่คนใบ้แต่พูดกันล้งเล้งเลย ภาษาเละ เท่ากับคนตาบอด จูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้

สมณะฟ้าไทว่า...เคยมีคนใบ้เช็คศีลข้อที่ 4 ว่าเพ้อเจ้อเขาคงเช็คในใจ ผมก็ถามว่าคุณเพ้อเจ้ออย่างไรเขาก็บอกว่าเพ้อเจ้อในใจ

พ่อครูว่า...เหมือนคนตาบอด อาตมาเคยจะเขียนนิยายว่า พระเอกตาบอดไปรักกับคนตาใบ้ เขียนไดอะล็อก โรมานติกเสียไม่มี

คนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้ ศาสนาพุทธทุกวันนี้เป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรได้ขึ้นมาเลย มีแต่เปล่าดายน่าสงสาร อาตมาจึงรู้ว่างานหนักมาก ที่จะต้องสร้างสาระของศาสนาพุทธ

พอศีลแล้วก็จบตรงศีลเพราะเขาไม่มีอปัณกปฏิปทา 3 สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยค เขาไม่ฟังไม่ตื่นรับรู้ เขาจมอยู่ในถ้ำในความมืดไม่รับรู้ อชาคริยา เพราะเขาไม่มาอยู่กับโภชนะของกินของใช้ แล้วปฏิบัติกับของกินของใช้ โดยสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ตาหูจมูกลิ้นกายกระทบของกินของใช้ นี่แหละเรียนรู้ ตั้งแต่ กวฬิงการาหาร ผัสสะอันนี้แล้วรู้เจตนาในอาหารการกิน คุณก็จะรู้จักวิญญาณนามรูป แล้วก็จะเรียนนามรูปเป็นธรรมะ 2 ในผัสสะ แล้วอ่านเจตนา เจาะเจตนาจนถึงกามตัณหา

เจตนามีตัณหา 3 ล้างกามตัณหา ก็เหลือภวตัณหา ไล่ต่อรูปราคะ หมดรูปราคะเหลืออรูปราคะต่อ มันจึงจะได้ มันถึงจะเป็นลำดับที่ถูกต้องและได้สมบูรณ์แบบ ไม่เช่นนั้น หัวหกก้นขวิด ตีลังกาหกคะเมน มันไม่ได้อะไรเลยน่าสงสาร จริงๆ

เพราะฉะนั้นกามตัณหา ภวตัณหาก็ไม่เข้าใจ ก็เลยไม่มีทางที่จะรู้จักวิภวตัณหา เป็นตัณหาความต้องการความประสงค์ความอยาก พระอรหันต์เป็นผู้ที่มีวิภวตัณหา พระพุทธเจ้าก็คือผู้ที่มีวิภวตัณหา แต่เขาไม่เข้าใจเลย ว่าผู้ที่ไม่มี กามภพ รูปภพ อรูปภพแล้ว แต่มีประสงค์ อย่างเช่นอาตมาประสงค์จะสอน ให้รู้วิธีที่จะล้างภพ แต่เขาไม่มีปัญญาจะรู้ เขาไม่รับฟังด้วย เขาจะไปหลับตาหนีเข้าป่าอยู่ในภพ หลบหนีไปหมดท่าเดียว เป็นผู้ที่ข้องอยู่ในถ้ำ เป็นคนปล้นฝง ศาสนาพุทธ แต่โฆษณาอีกว่าฉันคือผู้ที่ถูก แท้จริงเป็นผู้ที่ทำลายศาสนาพุทธเป็นโจรร้าย พระพุทธเจ้าเป็นพระราชาของธรรมะของท่านก็บอกไปเจอเข้าก็บอกว่าให้เอาไปฆ่าด้วยหอกร้อยเล่มตอนเช้าก็ฆ่าไม่ตาย ตอนเที่ยงก็เอาไปฆ่าอีกก็ไม่ตาย ตอนเย็นก็ไม่ตายอีก เสียดายหอก

ระวังมันเป็นคนดื้อๆๆๆ จัดๆ เขาวิ่งลงสู่หลุมถ่านเพลิงใหญ่คือกามภพ มีคนจะดึงขึ้นก็ดึงไม่อยู่ มีแขนสั้นก็เข้าช่วยกันดึงสองข้างก็ดึงไม่อยู่ ไม่มีวันรู้จักภพชาติ เหมือนวัวที่ไม่มีหนังก็แสบตลอดแต่เขาไม่รู้ตัว เขาเป็นวัวไม่มีหนังมีแต่น้ำเหลืองไหลเยิ้ม ปวดแสบปวดร้อนตลอดเวลาเขาไม่รู้ตัวเขาไม่เรียนรู้สัมผัส มันสัมผัสทุกข์ร้อนแสบเผ็ดมาก แสบก็ไม่เรียนรู้ เพราะเขาไม่ได้เรียนจากกวฬิงการาหาร เขาไม่เริ่มต้น ที่หลงกามฉันทะแล้วไม่ออกจากกาม อาหาร 4 เขาไม่รู้จัก แต่เขาหลงไปหมด ไม่เรียนรู้กามฉันทะ ผัสสะ ตัณหา 3 นามรูป

เขามีพยัญชนะแต่ไม่ได้เรียนรู้ พยัญชนะก็โมเมกันไป จบเปรียญ 9 จบด็อกเตอร์ นามรูปปริเฉทญาณ ข้อที่1 ของโสฬสญาณ ญาณที่ 2 ปจยปริคหญาณ ก็ไล่กันคล่องปรึ๊ดเลย พูดไปแล้วเหมือนดูถูกเขาว่าเขา แต่อาตมาเอาความจริงมาพูดแต่เขาก็ไม่รู้เหมือนคนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้

สมณะฟ้าไท สรุปจบ


เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:06:03 )

630223

รายละเอียด

630223 การหยุดคิด แบบพุทธต่างจากหยุดคิด แบบฤาษี

สมณะดินไท : เมื่อเช้านี้ฟังที่พ่อท่านเคยเทศน์ ฝึกหยุดความคิดบ้าง ใช้สมถะ เราจะ

อ่อนเจโต  ทำอย่างไรจะหยุดไม่ให้คิด

พ่อครู : ก็ห้ามใจตัวเองหยุด จะใช้สมถะ ลืมตาเห็นอะไรอยู่ก็ไม่ต้องไปคิดอะไรก็เป็นมัน อยู่กับในจิตของเรา จิตของเราก็จะเฉยๆ รู้แล้วก็วาง แล้วก็ปล่อยแล้วก็เฉย รู้แล้วก็จบ

ไม่ต้องไปซ้ำซากอะไรอีก ทำเป็นไม่รู้ก่อนก็ได้ รู้อีกก็เป็นดูอันเก่า ยังตาเห็นมันก็อันนี้อย่างนี้ ซ้ำซาก  มันก็รู้อยู่แล้ว อย่างนี้มันก็เป็นอย่างนี้อยู่ มันคงเดิม แต่ที่จริงมันเสื่อมไปตามกาล ละเอียด ไม่ใช่มันไม่เสื่อมนะ มันหักค่าเสื่อมตลอดเวลาไม่ต้องไปทำอะไรมันก็เสื่อม เอามันตั้งอยู่ร้อยปีมันก็ไม่เป็นอันนี้แล้ว แต่เราไม่เห็นความเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงของมัน

          สมณะแสนดิน : แล้วเราไม่ปรุงแต่งต่อ

          พ่อครู : จริงๆเราพยายามเห็นให้มันคงที่ คือเรากำลังทำความว่างๆ ของเรา ไม่ต้องไปเห็นอะไร ไม่ต้องให้เป็นอะไร ไม่ต้องไปรู้อะไร แต่เรารู้แล้ว มันต้องเสื่อมเป็นธรรมดา

          สมณะแสนดิน : ต่างกับพวกปฏิบัติแบบรู้ นิ่ง เฉย อย่างไร

          พ่อครู : ใช่ ต่างสิ พวกนั้นสมถะ นั้นจะเอาสมถะแบบรู้ นิ่ง เฉย เราก็ทำอย่างนั้นจริงๆ การทำอย่างนั้นเป็นสมถะ ของเรานี่พยายามเข้าใจอย่างที่ผมอธิบาย อย่างนี้เป็นปัญญา

สมณะแสนดิน : รู้ความจริงตามความเป็นจริงให้ดาอันนี้อันนี้ทำเสร็จแล้วหรอครับ


เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:07:30 )

630223

รายละเอียด

630223_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ วิชชาจรณะพาให้พ้นความเป็นสัตว์

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่...  https://docs.google.com/document/d/11Rk3bodNL9TyZ8QJTLDfouV-8HtoE8fR8LYso2CIG6w/edit?usp=sharing                   

 

ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1f9KyeD9Xe8X87sV9oDm9g_jqW9uMn9gB

 

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2563 ที่บวรราชธานีอโศก

ขอเชิญเข้าค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า

ค่าย “พบมิตรดี”

 

ครั้งที่ 43 ณ บวร ราชธานีอโศก

ศุกร์ที่ 28 ก.พ. - อาทิตย์ที่ 1 มี.ค. 2563

รับสมัครผู้สนใจเข้าค่าย ฟรี! (จะอยู่กี่นาทีได้)

 

สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ

โทรฯ คุณชญาดา 087-4437865

 

##### สมัครonline ได้ที่ inbox เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP หรือสื่อธรรมะพ่อครู

 

พบกับกิจกรรมตามมรรคมีองค์ 8 พบกับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีที่จะพาคุณสู่ "ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น"(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) อันจะพาไปสู่ความบริสุทธิ์จนถึงสัมมาวิมุติ

 

วันนี้ประชุมพ่อค้าแม่ค้า ที่ตลาดอาคารบวร ก็มีคนสนใจมาก ถามคนมาขายเขาว่ามาที่นี่สบายไม่ต้องเร่งรีบ มีวันหยุด ที่อื่นคิดค่าที่ด้วยต้องแย่งกัน จะให้ช่วยกันดูแลความสะอาดของตลาด

ได้ไปเยี่ยมบ้านพ่อค้าแม่ค้ามาด้วย ทำให้เขาเจริญในธรรมะ บางคนมาแจกอาหารในกิจกรรมร่มโพธิ์ร่มไทรด้วย

บอกให้ผู้คนทราบว่าวันอาทิตย์เราจะจัดงานร่มโพธิ์ร่มไทร เข้ามาใช้สถานที่ตรงร่มโพธิ์ร่มไทรนั้นได้ เป็นการสร้างสันทนาการ ตามประสาเรามีการร้องเพลง เล่นน้ำ หลายคนก็มานอนพักผ่อน ตามประสาสบายๆ relax ปิ๊กนิกกัน มีฟังธรรมสักครึ่งชม. ก่อน ประมาณ 11.30-12.00 น. คือเราจะใช้ธรรมะเป็นหลัก กิจกรรมตั้งแต่ 10:00 นจนถึง 14:00 น. บางวันก็มี ผักไร้สารพิษมาแจกด้วย วันนี้เป็นเรื่องประหลาดมาก เด็กสมุนพระรามมานั่งเรียบร้อยฟังธรรมะและถามคำถามด้วย นั่งไม่ไปไหนเลย นิ่งดีมากตั้งใจฟังธรรมด้วย เข้าท่าดี เป็นบรรยากาศที่ดี เหมือนเป็นที่ของเขา เขาก็จะมานั่งฟังเทศน์ฟังธรรม เป็นบรรยากาศที่ดี

พ่อครูว่า…อ.เป็นต้น นาประโคน ก็นักกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจก็เขียนกวีมา

ร่มโพธิ์ร่มไทร

เสียงกลอนกานท์กล่อมให้          รื่นรมย์

สังคีตขับขื่นขม                         จิตใคร่

โลกหนอโลกโศกตรม                ใดเล่า  โลกเอย

คลายทุกข์ร้อนยากไร้                รสถ้อยเริงธรรม

 

ทอดหัตถาเทพไท้                      แดนทอง

เป็นหนึ่งไม่มีสอง                       หนึ่งไซร้

อโศกมิลำพอง                           อวดเก่ง เกินใคร

ดับโหดแด่โลกให้                      หยุดเหี้ยมอหังการ์

 

_sms

_7230         พระโสดาบันจะเกิดเป็นคนกับเทวดาเท่านั้น พระองค์พูดถึงถ้ำหมายถึงร่างกายของเรานี้

พ่อครูว่า...การเจริญทางจิตวิญญาณเป็นโอปปาติกโยนิ จากสมมุติเทพ ก็เกิดเป็นอุบัติเทพ เจริญไปเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นพระอรหันต์ก็เป็นวิสุทธิเทพ

คำว่า ถ้ำ นี้ หมายถึง สิ่งที่ติดยึดอยู่ภายนอก แม้แต่ฝีที่ร่างกายก็คือถ้ำ ไม่ใช่เรื่องตื้น ให้ติดตามไป ก็ขอให้คุณเปิดใจฟังให้ดีจะเข้าใจได้

_1945  เป็นกำลังใจให้กันตลอดไปจากแฟนเอฟเอ็มทีวี ชอบฟังธรรมช่องนี้มากแถมชอบสไลด์เดอร์ที่สันติอโศกด้วยดูแล้วสนุกดี ชอบดูวงฆราวาสเล่นดนตรีเก่งโชว์สนุกโดยเฉพาะพี่โอ๋กับพี่ดมสุดยอดเลย

พ่อครูว่า...ผู้ใหญ่ก็มาร่วมได้ เด็กๆเป็นส่วนใหญ่ ผู้ใหญ่จะเล่นบ้างก็ไม่แปลกก็มาช่วยดูแลเด็กๆด้วย

_จาก สู่แดนธรรม  กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพยิ่ง  วันนี้ผมจะมาแจกเลนส์ซูมขยาย ส่อง “อาการบรรลุธรรม” ให้นักปฏิบัติธรรมได้เห็นภาพได้อย่างใกล้ชิด / จากการที่ผมเคยฝึกปฏิบัติอยู่กับสายหลับตาทำสมาธิ แล้วก็ผละหนีออกมาหาแนวทางสัมมาอริยมรรค  ผมเองก็ได้ผลจากการปฏิบัติทั้งสองฝ่าย  จึงเห็นความต่างกันในอาการบรรลุธรรม ดังนี้

 

1 การบรรลุสภาวธรรมในสมัยที่เคยปฏิบัติสายหลับตา ได้เจโตวิมุติ จะได้แบบไม่มีลำดับที่ค่อยๆลาดลุ่ม ลึกลงเลย  นั่งหลับตาอยู่ดีๆ ก็จะเจอจุดเปลี่ยนที่แรงมาก เหมือนเดินอยู่ดีๆ ก็ตกหลุม อั๊ก ที่ท่านเรียกว่า “ผึง”  เพราะไม่มีลำดับที่ค่อยๆ ลาดลุ่มลง จึงมีจุดสป๊าร์คที่แรงมาก จากที่เคยมืดดำมาแล้วมาพบกับจุดเปลี่ยนที่ตรงข้าม คือดำจัดมาชนขาวจัด ที่เป็นจุด”ตกภวังค์” บางท่านจึงเกิดอาการปีติลิงโลด  การได้สภาวะแบบนี้ ก็ได้ไม่ถาวร ต้องกลับเข้าไปนั่งใหม่อีก จึงจะได้ (ไม่นั่งหลับตาทำ ก็ย่อมไม่ได้)

 

2 การบรรลุสภาวธรรม จาก ธัมมานุสารี มาสู่ทิฐิปัตตะ นั้น (หรือสูงกว่านั้นก็ตาม) สภาพจิตจะค่อยๆ ละหน่าย จางคลายออกจากกิเลสนิวรณ์มาตามลำดับๆ  จิตนั้นได้พ้นจากอำนาจกิเลสมาได้แล้ว แต่ยังไม่มีความรู้ตัวว่า ตัวเองมีจิตจางคลายหลุดพ้นออกมาได้แล้ว ความมืดเหลือแค่ 0.001  ครั้นเมื่อได้พบสัตบุรุษให้คำแนะนำ ให้ปัญญาเพื่อตรวจจิต จึงจะเกิดญาณรู้ตัวว่า ตนเองนั้นมีจิตพ้นแล้ว ปัญญาก็รู้บรรจบในความหลุดพ้นแล้ว  อาการที่รู้ในขณะนั้น จะไม่มี “เร้นจ์” ที่แตกต่างกันมากเลย (คือไม่ใช่ดำสนิทมาก่อนแล้วมาเจอขาวจัด)

 

ดังนั้น อาการบรรลุธรรมของสายปัญญา จึงไม่ลิงโลด ไม่ดีดผึง ไม่ต้องมีปีติสุดขั้ว  แต่จะบรรลุแค่ว่า อ่อ เป็นยังงี้นี่เองเหรอ! มันเป็นของธรรมดาๆ แบบนี้นี่เองเหรอ  แล้วก็วางความรู้สึกว่าบรรลุแล้วนั้นได้  ไม่ต้องเอามาให้ความสำคัญ ว่า การบรรลุเป็นของๆ เรา (นี่คืออาการที่ผมรู้จัก  ส่วนสายปัญญาคนอื่นๆ จะเป็นอาการแบบผมหรือไม่  ผมคิดว่า น่าจะคล้ายๆ กันนะครับ)

 พ่อครูว่า...ใช่แล้วล่ะมันจะตรงกันอย่างนี้แหละไม่ตื่นเต้น สายปัญญาจะไม่ตื่นเต้นไม่ผาดโผน แต่สายเจโตสมถะผาดโผน ดีไม่ดีไม่ถูกต้องด้วย เป็นกายกรรมเปียงยางเลย

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ

สมณะฟ้าไท…เหมือนกับดูหนังหนังของสายปัญญาจะหนังจืดๆ

พ่อครูว่า...แต่มีรสนะ ไม่ตื่นเต้นแต่เป็นธรรมดา พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่ารสใดก็ไม่เยี่ยมยอด = วิมุตติรส 

 

ก็มีอีกเจ้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

 

_โจรที่ปล้นนั้นเป็นคนสองบุคลิกคือบุคลิกด้านดีและบุคลิกด้านชั่วร้าย ซึ่งเป็นปกติของคนทั่วไป มี 2 บุคลิกคือดีและชั่ว  ใจบุญและใจบาป มีได้และมีเสีย มีเจริญก็มีเสื่อม มีกุศลมีอกุศล มีใจเป็นพระและใจเป็นมาร มีความรักและมีความชัง มนุษย์ย่อมตกอยู่ใต้อำนาจของธรรมะที่เป็นคู่ ยกเว้นผู้อยู่ฝ่ายโลกุตระ จึงอยู่เหนือความเป็นคู่ คือมีใจที่ไม่รักไม่ชังไม่ยินดีไม่ยินร้าย ถ้ามีใครด่าว่าร้ายหรือทำร้ายเขาก็จะหลบเลี่ยงไปโดยไม่ได้ตอบโต้อะไร เพราะมีใจเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน (คำอธิบายเหล่านี้เป็นของลูกศิษย์ที่คัดคำของอาจารย์มา)

โจรฆาตกรมีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโทและมีความเจริญก้าวหน้าทางการงานเดี๋ยวมีภรรยาสวย มีความหลงในภรรยาอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู อีกบุคลิกหนึ่งคือมีความชัง ชังอย่างสุดฤทธิ์สุดเดช เขาได้ฆ่าเจ้าหน้าที สาวร้านทองแต่ฆ่าเด็กได้ มีคำกล่าวว่า ยิ่งมีบุคลิกฝ่ายที่เป็นเทวดามากก็จะมีบุคลิกฝ่ายที่เป็นใจมารมาก จึงเผลอลั่นกระสุนใส่เด็ก

(พ่อครูว่า...รักเด็กแต่ไปเผลออย่างไร?)

เหตุผลที่อ้างนี้อาจไม่น่าเชื่อถือ ถึงได้อธิบายว่า มนุษย์นั้นเกิดมาจากอะไร

พระอรหันต์นามว่าพระอัสสชิ ได้กล่าวกับพระอุปติสสะว่า พระมหาสมณทรงสั่งสอนอย่างนี้ ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น  และความ ดับของธรรมเหล่านี้  พระมหาสมณะทรงสั่งสอนอย่างนี้.

ท่านอุปติสสะได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ณ บัดนั้น

เปรียบเสมือนเมื่อเปิดไฟขึ้นมาในที่มืด ความมืดมันก็หายไปทันที (พ่อครูว่า...พูดง่ายแต่สภาวะทำจริงนั้นจะได้หรือไม่)

เมื่อวิชชาเกิดขึ้นอวิชชาก็ดับไป สังขารก็ดับไป วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ก็ดับไป ภพดับไป ชาติดับไป ทุกข์ทั้งหลายดับไป ท่านเรียกว่าตายเสียก่อนตาย

(พ่อครูว่า..นี่เป็นบัญญัติภาษาพยัญชนะที่ได้รู้มา แต่ที่พูดกันนี้ คำว่าสังขาร วิญญาณ นามรูป แค่รู้นามรูปพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า คุณรู้นามรูป คุณรู้วิญญาณเลยนะ เท่ากับคุณจะรู้แยก เวทนา สัญญา สังขารขันธ์ เจตสิกสามอย่างนี้ได้แล้วไปรู้ เวทนาในเวทนา แล้วรู้สัญญาที่ต่างกันของคนที่ยึดถือ รู้สังขารที่ยึดถือต่างกันได้อีก รู้สภาพที่แตกต่างกันได้เรื่อยๆ

ไม่ใช่พูดตามบัญญัติพระพุทธเจ้าเท่านั้น แต่ค่อยๆรู้สภาวะและเอามาอธิบายได้เป็นคู่นั่นเรียกว่ารูปนามวิญญาณ แยกเจตสิกต่างๆได้ ไม่ต้องไปอธิบายเจตสิกอื่นใด มาแยกที่เวทนานี้ โดยเฉพาะแยก เคหสิตเวทนากับเนกขัมมะเวทนาได้ รู้จักความต่างระหว่างเนกขัมมะกับเคหสิตเวทนาได้ เป็นหัวใจยอด เหมือนกับแบ่งเขตระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ มีนัยต่างกันจริงแล้วมีตัวรู้ รู้ได้แล้วอยู่ร่วมกันได้ แต่คนจะเห็นต่างได้ ต้องไม่กลัวเหนื่อย)

แล้วเรียกว่าตายเสียก่อนตาย (พ่อครูว่า..พยัญชนะมีเยอะ แต่สภาวะก็อีกเรื่องแล้วจะมีคนจมอยู่กับพยัญชนะอีกเยอะ) แต่ก็ยังดีกว่าคนตีทิ้งสภาวะไม่เรียนรู้เลยจะจมในถ้ำนานแสนนาน ไกลแสนไกลจากวิเวก อยู่ที่นานไกลและก็จมลงในที่หลงด้วย พูดให้ตกใจนะ จะตกใจบ้างไหมนี่ เสียดายหอกที่แทงไม่เข้า ทุกวันนี้ก็ไม่เสียดายหอก ยอมเสียสละ ยอมลงทุน)

ชีวิตมนุษย์ดำรงอยู่ได้โดยอาศัยเหตุคืออวิชชา ความโง่ความอยากความยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวตน มีของๆตน และกระทำไปตามแรงแห่งอวิชชานั้น

there is no one on righteous one not even one ไม่มีใครเป็นคนชอบธรรมะเลยแม้แต่สักคน bible ว่าไว้ หรือคำกล่าวของท่านพุทธทาส ในโลกนี้ล้วนมีแต่คนบ้า แต่ทว่าเมื่อเกิดปัญญาหรือวิชชาก็จะมี ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นอยู่อย่างสว่างสะอาดสงบมิใช่หรือ (พ่อครูว่า ถูกแล้ว กำปั้นทุบดิน เอาบัญญัติมาพูดที่ถูกก็ถูกหมด อันนี้ผู้ที่เอามานี้คือลูกศิษย์ของอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช หากท่านผู้ใดสนใจใคร่รู้อ่านตำราวิชาโดยละเอียด ก็ลองเปิดใน YouTube แสดงธรรมโดยหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช

 

พ่อครูว่า...ดีแล้วแต่ละขั้นๆไปตามสำนักต่างๆตามภูมิ พวกนั้นเขามาในอโศกไม่ได้ก็ไปตามพวกนั้นบ้าง อย่างอ้อ พุทธพันชาติ ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็น พิชชญามญช์ เขาว่า อาจารย์ที่เหมือนกับพ่อท่านมากที่สุด คือ อ้อนี่เขาสายฟุ้งซ่าน นี่ก็เก่งขึ้นมาเยอะแล้ว เขาก็ยังพอเป็นไปอยู่ได้ พ่อแม่ก็สิ้นแล้ว ไม่มีพี่ไม่มีน้อง เป็นลูกคนเดียวลูกโทน แล้วก็อยู่กับสมบัติตัวเองพอได้ มีพี่เลี้ยง roommate ก็ว่าไป

 

_โพธิรักษ์มิเตอร์ (BODHIRAK METER) เครื่องมือวัดความเป็นพระอริยะ แบ่งเป็นเปอร์เซ็นดังนี้ โสดาปฏิมรรค 12.5% โสดาปัตติผล 25% สกิทาคามีมรรค 37.5% สกิทาคามีผล 50% อนาคามีมรรค 62.5% อนาคามีผล 75% อรหัตตมรรค 87.5%  อรหัตผล 100%

โพธิรักษ์มิเตอร์ คือ อุปกรณ์เครื่องมือความรู้ธาตุรู้ระดับพระอรหันต์ ที่ใช้วัดค่าบุคคลอื่นที่ต้องการทราบว่าตัวเองมีปรมัตถธรรมสัจธรรมขั้นไหน ของอรหันต์ทั้ง 4 ระดับ

 

เรื่องนี้ก็ไม่น่าจะยาก ผู้ที่อยากทราบว่าตัวเองบรรลุพระโสดาบัน ต้องผ่านการตรวจสอบวัดผลประเมินจากผู้ที่บรรลุธรรมแล้ว  ด้วยการสอบสัมภาษณ์ถามตอบรายบุคคลหนึ่งต่อหนึ่งในที่แจ้งเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ต่อเนื่องและหรือคุ้นเคยกันก่อน จะเป็นการดียิ่ง การสอบถามจะคุยได้ทุกเรื่อง ผู้มาสอบสัมภาษณ์วัดผลสามารถเอาเครื่องบันทึกเสียงได้ครบ 2 ชั่วโมงโพธิรักษ์มิเตอร์สรุปผลให้ทันที ...คุณ ลอย

ลักษณะภายนอกของผู้ที่เกิดพระโสดาปัตติผลมีดังนี้

  1. ยิ้มทุกทิศคือชีวิตโพธิสัตว์
  2. ฉลาดมากมีปัญญารู้ทุกเรื่อง หรือมีก็ได้ไม่มีก็ได้ (พ่อครูว่า...บัญญัติถูกต้องกับสภาวะ มาเรื่อยๆ
  3. มีศีล 5 
  4. ทานมังสวิรัติ
  5. นอนน้อยตื่นมาก ตื่น 20 ชั่วโมงต่อวัน

6.ถ้าผิวพรรณละเอียดเปล่งปลั่ง

7. มีญาณ 7 ของพระโสดาบัน

8. ประโยชน์สูงประหยัดสุด

9. เมื่อร่างกายตายไปนรกเดรัจฉานจะไม่เปิดประตูรับ

10. ตอนมีชีวิตอยู่นรกเดรัจฉานเปรตจะมียึกยักอยู่ ตอนยังไม่ตายจะไม่เที่ยงแต่ตอนตายแล้วจะเที่ยง

 

พ่อครูว่า..เอาตัวเลขมาตามนี้ก็ดีแล้ว เป็นการจัดสัดส่วน  อาตมาไม่พยายามจะใช้พวกนี้ คนนี้เขาเรียกกันว่าดร.ลอย เขาฟุ้งซ่านสร้างเครื่องไม้เครื่องมือไปเรื่อย เขาจะสร้างโดรนมาให้อาตมานั่ง อาตมาไม่กล้าจะใช้

อาตมาไม่นิยมการตรวจญาณ เพราะว่าเป็นการอวดเก่ง พระพุทธเจ้าไม่สอน ให้ดูได้ด้วยตนเองเป็นปัจจัตตัง แล้วจะประมาณตนแล้วค่อยๆมาบอกให้อาจารย์ฟัง อธิบายได้ชัดเจนเท่าไหร่อาจารย์ก็จะพอรู้ตามสภาวะของผู้นั้นก็จะพอสรุปให้ได้ แต่แม้แต่ ผู้ที่ได้แล้วมาบรรยายอาจารย์ก็ตัดสินยังยาก ลักษณะนี้จึงไม่ใช่หลักเกณฑ์ที่จะใช้ทำ  รู้ได้ด้วยตนเองถ้าเข้าใจภาษาบัญญัติและตรวจสอบจะชัดเจน ให้ภาษากับสภาวะเข้ากันตรงกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้ได้ แล้วทำ 2 ให้เป็น 1 นี้ไม่ง่าย เทวธัมมา โดยเฉพาะศึกษาอาการของเวทนา ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60 หัวใจของศาสนาพุทธเลย

ทำ 2 ให้เป็น 1 ได้ คุณก็จะรู้ อย่างที่อาตมาสอนให้ไปอ่านอาการของตัวเองอยู่ตลอดเวลา วิธีนี้แหละ ซึ่งไม่ง่าย

 เอ้าศึกษาไป ดี

 

พ่อครูว่า...อาตมาบรรยายจรณะ 15 วิชชา 8 เป็นพุทธคุณอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าอันเดียว ในพุทธคุณ 9 ก็คือเนื้อแท้ของศาสนาพระพุทธเจ้าคือจรณะ 15 วิชชา 8 นอกนั้นบอกถึงสภาวะ เป็นผู้ที่เจริญแล้ว ลักษณะที่มีอลังการ แต่เนื้อแท้อยู่ที่จรณะ 15 วิชชา 8 เพราะฉะนั้นมุ่งหมายเรียนที่จรณะ 15 วิชชา 8 ให้ละเอียดชัดเจน แล้วจะรู้ได้ครบ และรู้แล้วก็ปฏิบัติได้ด้วย คุณก็จะสมบูรณ์แบบ ถ้ายังปฏิบัติไม่ได้สมบูรณ์ มันก็ต้องยังไม่สมบูรณ์

ในพุทธคุณ 9 เช่น 

1. อรหังสัมมา เป็นพระอรหันต์ คือ ผู้ไกลจากกิเลส อรหันต์ คือ ไม่ลึกลับ

2. สัมมาสัมพุทโธ ตรัสรู้ถูกต้องโดยพระองค์เอง ไม่ได้มาจากใครท่านค้นพบและศึกษาจากพระพุทธเจ้ามาแต่ละชาติจนรู้เองสุดยอด เริ่มตั้งแต่ปัจจัตตัง จนเป็นปัจเจกเป็น  สยังอภิญญา สยัมภู อย่างเช่นอาตมาอยู่ในฐานะ สยังอภิญญา จะไล่รู้ไปตามลำดับขั้น เป็นการบอกถึงลำดับคุณธรรมเนื้อแท้จรณะ 15 วิชชา 8

3. วิชชาจะระณะสัมปันโน

4. สุคโต แปลว่า ไปดีแล้ว ถ้ายังไม่มีผิดพลาดไม่มีไม่ดีมีแต่ดี ไปที่ไหนไปอย่างไร ไม่มีการบกพร่องในความไม่ดีเลย เรียกว่า สุคโต

5. โลกะวิทู รู้จักโลก รู้จักอัตตา ตัวเองนี่แหละไปรู้โลก ตัวเองคือภายใน

  1. อนุตตโร ปุริสธัมมสารถิ ทำได้แล้วก็เป็นผู้ที่เอามาสอนเอามาฝึกเอามาให้คนทำคนให้บรรลุตามไปได้ยิ่งกว่าใครๆ เป็นกระบี่มือหนึ่ง สุดยอดแล้ว สามารถสอนคน ไม่ได้หมายความว่าเนรมิตให้คนเป็นได้เลย แต่ก็มาสอน ทำให้คนสามารถเรียนรู้และบรรลุเป็นพระอาริยะได้
  2. สัตถาเทวมนุสสานัง เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เทวดาก็ดีมนุษย์ก็ดี จะต้องค่อยๆเรียนรู้สภาวะความเป็นเทวดา ความเป็นมนุษย์ อย่างละเอียดละออ จะแยกกาย แยกสัญญาให้ฟัง กายอย่างนึง สัญญาอย่างนึง แล้วกายของผู้ที่มีความรู้อย่างตรง ก็จะค่อยๆเข้าใจตรงกัน ไม่สลับซับซ้อน แต่มันสลับซับซ้อนหมุนรอบเชิงซ้อนกันอย่างไม่รู้กี่ชั้น ยาก อาตมาก็พยายามจะเก็บ โดยที่ท่านตรัสเรื่อง กายที่ต่างกัน กายอย่างเดียวกัน ไว้อธิบายเรื่องวิญญาณฐิติ 7 และสัตตาวาส 9
  3.  พุทธโธภควาติ

วิญญาณฐิติ 7 คือ คนที่มีวิญญาณตั้งอยู่คือคนที่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัส อยู่ และเกิดความรู้มีธาตุวิญญาณเป็นปัจจุบัน แล้วก็เดินอยู่ใน 7 อย่าง กามสัญญา แยกกายแยกจิต แต่แยกจิตไปอีกให้เป็นตัวกำหนดรู้ สัญญา เพราะฉะนั้นถ้าสัญญาที่มิจฉาสัญญา มันก็จะต่าง แต่ถ้าเป็นสัมมาสัญญามันก็จะตรงกัน

วิญญาณฐิติ 7 เป็นการเรียนรู้ในขณะที่วิญญาณตั้งอยู่ ถ้าไม่มีวิญญาณตั้งอยู่ โมฆะไม่มีทางรู้ได้ คุณจะเป็น อสัญญีสัตว์ แล้วคุณก็จะได้สูงสุดแค่เนวะสัญญานาสัญญายะตะนสัตว์ จะไม่มีทางมาเป็นมนุษย์ ไม่มีทางมาเป็นเทวดาได้เลย คุณจะจมอยู่ในสัตตาวาส 9

เพราะสัตตาวาส9 นั้นมีครบด้วยอวิชชา คือความเป็นสัตว์ทั้ง 9 โดยเฉพาะสองตัว อสัญญีสัตว์กับ เนวะสัญญานาสัญญายะตะนะ

ถ้าสายโลกุตระ ถ้าเป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะก็เป็นปัญญา

สัญญาคุณจะไม่มีทางกำหนดรู้ได้ เนวสัญญา แปลว่า สัญญาที่กำหนดรู้ไปเรื่อยๆจากที่ไม่รู้ก็เป็นรู้ เนว คือ กึ่งๆ แล้วได้ส่วนนึงไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ได้ก็ไป เนว ถ้าได้ก็เป็น นา ครบนา สัญญา สัญญาครบ รู้ในความแตกต่างที่มีเท่าไหร่ ก็มีทั้ง 9 อย่างละเอียดครบนี่แหละ คุณก็พ้นความเป็นสัตว์

แต่ผู้ที่ไม่ได้เรียนวิญญาณ 7 คุณเป็นอสัญญีสัตว์ สูงสุดเป็นเนวสัญญายตนสัตว์

ลงท้ายด้วยสัตว์ ไม่ได้เป็นมนุษย์ ไม่ได้เป็นเทวดา ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์แบบโลกุตระ เทวดาแบบโลกุตระ หรือว่าเป็นมนุษย์ทางโลกียะ และเป็นเทวดาทางโลกียะ คุณก็ไม่รู้เรื่อง คุณนึกว่าคุณเป็นมนุษย์ คุณนึกว่าคุณเป็นเทวดาแต่ไม่ใช่ ผิดหมด

 

สู่แดนธรรมว่า...ทำไมวิญญาณจึงมี อากิญจัญญายตนะ

พ่อครูว่า...เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะไม่ได้ เพราะว่าในว่าเนวสัญญานั้นมีธาตุที่เป็นสัมมาทิฏฐิร่วม แต่ผู้ที่หลับตานั้นไม่มีเลย ดับมืดมากกว่า

สู่แดนธรรมว่า..วิญญาณฐิติจะสุดท้ายแค่อากิญจัญญายตนะ

พ่อครูว่า..วิญญาณฐิติ 7 จึงไม่มีเนวสัญญานาสัญญายตนะ และไม่มีอสัญญีสัตว์ จบแค่อากิญจัญญายตนะ

แต่สัตตาวาส 9 คุณมีแต่สัญญา อสัญญีสัตว์ แล้วไปนั่งหลับตาได้เนวะสัญญานาสัญญายะตะนะ อย่างฌานหลับตา คุณมีวิธีทำ แต่ได้ผลมืด จริงๆแล้ว เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็คืออสัญญีสัตว์ นั่นเอง ดับไม่มีสัญญาเลย

สู่แดนธรรมว่า..พ่อท่านเคยสอนว่าให้มาเป็นแบบวิญญาณฐิติ 7 ดีกว่าสัตตาวาส 9

พ่อครูว่า...หากคุณยังไม่รู้จักวิญญาณฐิติ 7 แล้ว คุณจะจมอยู่ในสัตตาวาส 9 ตลอดกาล แล้วตัวจบที่คุณหลุดพ้นสูงสุดก็คืออสัญญีสัตว์ ส่วนเนวสัญญานาสัญญายตนฌานนั้น เป็นเนวสัญญานาสัญญายะตะนะสัตว์ ไม่ใช่เนวสัญญานาสัญญายตนะของอาริยะ แต่เป็นสัตว์ ไม่มีบุคคลที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 ไม่มีพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ไม่มี

เป็นสัตว์อยู่ตลอดเลย ไม่มีบุคคลที่1-8

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน..

สมณะฟ้าไทว่า...แต่ก่อนผมถามพ่อครู แต่ก่อนอธิบายไม่ชัดเหมือนวันนี้วันนี้กระจ่างขึ้น

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ในจรณะ 15

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน...ถ้าเทียบที่โอกกันติในชาติ 7 มันไม่ไปสู่นิพพัตติ อภินิพพัตติ มันวนสู่สัญชาติ

พ่อครูว่า...จมสู่ความหลง หนักเข้าหนักเข้า เพราะฉะนั้นจุดที่สายนั่งหลับตาได้สูงสุดก็คืออสัญญีสัตว์ สัตว์ที่ใช้สัญญากำหนดไม่ได้แล้ว ไม่มีสัญญากำหนดแล้ว ธาตุจิต เจตสิก เวทนา สัญญา สังขาร มีตัวสัญญาเป็นตัวทำงานรู้ พอสัญญามันดับ สัญญามันไม่ทำงานเลยแล้วจะเอาเวทนาไปรู้ตรงไหนจะเอาสังขารมารู้ตรงไหน มันไม่มี เพราะคุณดับสัญญาไม่ให้สัญญาทำงาน คุณก็เป็นอสัญญีสัตว์ เป็นสัตว์แท้ๆเป็นสัตว์ที่อวิชชา

ทีนี้ไปปฏิบัติก็เป็นการมิจฉาทิฏฐิมิจฉาปฏิบัติ เลยไปได้เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะฌาน ซึ่งเป็นฌานของอุทกดาบส ฌานหลับตา มืดและมืด เดี๋ยวนี้ก็ยังมืดอยู่เลย เป็นสัมภเวสีที่ไหนก็ไม่รู้ เพราะตายไปแล้วเป็นสัมภเวสีไม่มีใครเห็นใครหรอก มีแต่เดามีแต่ฟุ้งซ่านมีแต่อุปาทานไปว่าเห็น แต่แท้จริงเป็นนิรมาณกาย แล้วก็ร่วมสอดคล้องกันเป็นสัมโภคกาย แต่ต่างคนต่างก็คือคนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้ทั้งนั้น

ศีลเป็นหลัก เป็นข้อกำหนดเลย ศีลข้อที่ 1 คุณต้องเรียนรู้รายละเอียดของมันทั้งหมดกำหนดศีลข้อที่ 1 เรื่องเกี่ยวกับสัตว์

ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับข้าวของและพืชอย่าไปทุจริต ส่วนสัตว์นั้นต้องมีเมตตาต้องช่วยกันหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวง ส่วนของนั้นอย่าทุจริต ทำอย่างสุจริตเสียสละแบ่งปันกัน

ศีลข้อที่ 3 เกี่ยวกับ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส กามคุณ 5 คุณต้องรู้ว่าตัวนี้เป็นตัวที่ทำให้จมอยู่ในโลกทั้งหลายที่เป็นโลกโลกียโลกของกามคุณ โลกกามารมณ์ กามฉันทะกามตัณหา เพราะฉะนั้นเป็นขั้นต้นขั้นที่หยาบ อันนี้ต้องให้ได้ก่อนแล้วคุณถึงจะรู้มีความรู้มีธาตุรู้มีรายละเอียดพวกนี้ หมดไป จบไป จึงจะเหลือแม้แต่เป็นรูปราคะเศษส่วนของกาม แต่มันไม่เอาแล้วข้างนอกภายนอกมันหมดรส หมดกามรส มันเฉย มันกลางไม่กระดี๊กระด๊า แต่ระริกระรี้อยู่ในภายใน จมกับสัญญา เป็นความเคยชินเป็นสัญชาตญาณเก่าๆ แต่สิ่งใหม่ที่กระทบสัมผัสอยู่กับปัจจุบันนี้ ถ้าเป็นพระอนาคามี หมดกามภพ คุณสัมผัสคุณก็เฉยหมดสัมผัสเสียดสี นั่นคือพระอนาคามีแท้ มันก็เหลืออยู่แต่ของคุณเอง ปรุงกันนั่นแหละ อาตมาใช้ภาษาว่าขยำขี้ ปรุงเป็นรสของตนเอง ไม่เกี่ยวกับคนอื่นหรอก นี่มันขาดจริงๆๆ จะเป็นอย่างนี้แล้วก็ไปล้าง รูปราคะ ที่ยังมีเสพไปเรื่อยๆ ได้แล้วก็มีมานะ นึกว่าตนเองได้ดี ไปเบ่งข่มผู้อื่น อวดอ้าง ก็ลดลงๆ หมดมานะเหลือเศษน้อยก็ล้างอุทธัจจะ หมดแล้วก็หมดอวิชชา ก็จะชัดเจนขึ้นไป หมดสังโยชน์

เข้าสู่จรณะ ชัดเจนมากแล้ว เรื่องของศีล เรื่องของสัตว์ก็เป็นเรื่องของสัตว์ เรื่องของข้าวของก็เป็นเรื่องของข้าวของ เรื่องของกามคุณ 5 ก็เป็นเรื่องของกามคุณ 5 ศีลทั้ง 3 ข้อใหญ่ๆนี้ ข้อ 1 2 3 ส่วน วจี กับจิต ก็เป็นนัย ละเอียดต่อไปส่วนสภาวะจิตนั่น 3 ข้อแรก

เรียนรู้และปฏิบัติตามจรณะ 15 ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด มันก็มี 3 ข้อ จะต้องมีการสำรวมอินทรีย์ อินทรีย์ทั้ง 5 ภายนอกและมีตัวที่ 6 เป็นตัวภายใน เป็นตัวร่วมเป็นกลายเป็นตัวผู้รู้เป็นเทว ต้องมีรูปนาม ต้องมีคู่ ตัวถูกรู้กับตัวที่เป็นผู้รู้ หากคุณโดดเดี่ยวไม่มีรูปนอกนั้นก็เป็นโมฆะ ผิด เพราะฉะนั้นจึงต้องหันมาสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 โดยมีนามข้างในกับรูปภายนอกทั้ง 5 ทวารทั้ง 5 ขาดจากทวารทั้ง 5 อินทรีย์ทั้ง 5 และมนินทรีย์ภายใน ร่วมกันเป็นคู่ปรุงแต่งกันอย่างขาดกันไม่ได้

ก็เรียนรู้จากที่สัมผัสของกินของใช้ ที่จริงของกินของใช้นี้มันผ่านเรื่องของเพศแล้วนะ เรื่องของเพศนี้มันเป็นแค่เรื่องของสัตว์เดรัจฉาน สัมผัสเสียดสีเกิดรส รสสัมผัสเสียดสีทางโลกทั้งผู้หญิงผู้ชาย จืดชืด เมื่อยแล้ว พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ว่าเรื่องเมถุนมีน้ำเป็นที่สุด หลั่งน้ำก็หลั่งจืดๆ แล้วมันเมื่อยนะ ถ้าคุณหมดรสของกามารมณ์แล้วนะ พูดไปจะเข้าไปหาลามกแต่ให้ฟังดีๆมันเป็นวิชาการ

คุณสัมผัสเสียดสีคุณหลั่งน้ำ คุณจะไม่เกิดรสชาติ แต่คุณจะเหนื่อยมากๆ เพราะมันลึกซึ้งมากเลย อาตมาศึกษามาถึงขั้นนี้แล้ว สัตว์เดรัจฉานนี่มันจะติดรสของกาม ติดรสของกามแล้วมันก็จะหลั่งน้ำเป็นที่สุดเพื่อสืบพันธุ์ไว้เท่านั้น ทีนี้คนที่ไม่ติดในการสืบพันธุ์แล้ว ไม่ติดเรื่องสืบพันธุ์ก็ไม่ต้องมี พวกที่มาศึกษาธรรมะเรื่อยๆ เรื่องต่อเผ่าต่อพันธุ์ใครๆก็ทำได้ สัตว์เดรัจฉานก็ทำ เราไม่ต้องไปแย่งชิงเขา

พระพุทธเจ้านี้สุดยอดเป็นเชื้อดีขนาดไหนทำไมไม่เอาพันธุ์ไว้ พูดเป็นนิยายน้ำเน่าเลย คือไม่เข้าใจ ผู้รู้ดีแล้วก็ไม่ต้องหรอก ปล่อยให้สัตว์เดรัจฉานหรือคนอื่นเขามีหน้าที่ทำไป มนุษย์เขาบอกว่าถ้าไม่มีเพศสัมพันธ์มนุษย์ก็หมดโลกสิ ก็อย่าไปพูดอย่างนั้นเลย คุณเอาตัวคุณเองก่อนคุณจะหมดได้หรือยัง เอาคุณก่อนก็แล้วกัน ถ้าคุณหมดแล้วคุณจะรู้ว่ามันไม่ใช่ง่ายๆมันยากจะตายชัก จะไปเข็นให้คนอื่นเขาหมดแล้วคุณจะรู้เอง ว่ามันไม่ใช่ง่ายนะว่ามันจะหมด เพราะฉะนั้นนี่เป็นเรื่องที่ ปัจจัตตังตัวนี้เป็นเรื่องสุดยอดจริงๆ

สรุปแล้วพระพุทธเจ้าถึงสรุปใช้คำว่าเรื่องเมถุนธรรมมีน้ำเป็นที่สุด น้ำที่ว่าคือเชื้อที่จะมีตัวสเปิร์ม เอาไปผสมเป็นพันธุ์ไป มีน้ำเป็นที่สุด

ผู้ที่ลึกลงไปอีก พูดรายละเอียดเป็นวิชาการ โรงงานสร้างตัวสเปิร์ม ผู้ที่หยุดโรงงานสร้างสเปิร์มแล้วมันจะหยุด มันจะไม่สร้างตัวสเปิร์ม แล้วไอ้น้ำที่จะนำพาสเปิร์มก็จะแห้งและข้นไป ยากที่จะมีไปอีก เพราะฉะนั้นจึงป่วยการ รสก็ไม่นำพาจะให้ทำ พวกนี้โรงงานก็หยุดไป มันจะเป็นธรรมดาธรรมชาติของจิตของคุณมันจะหยุด เพราะฉะนั้นคุณจะมาบังคับให้มันสร้างโรงงานคุณเหนื่อยมาก คุณยากมากเลย ฟังขึ้นไหม ไม่ต้องทดสอบหรอก คุณจะรู้ แต่พระโพธิสัตว์จะได้เรียนรู้ไปอีกไม่รู้กี่ชาติจึงจะรู้รายละเอียดพวกนี้ตามสัจจะจริง เพราะฉะนั้นจึงไม่สงสัย ผู้ที่ยังต้องทดสอบอยู่คือผู้ที่ยังสงสัย ผู้ที่จบแล้วไม่สงสัยจะไปทำให้เมื่อยทำไมมันเสียแคลอรี่

เพราะฉะนั้นความจริงมันก็จะเป็นความจริง ความจริงก็คือผู้ที่จะต้องมีอยู่เป็นอยู่ ศึกษามาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 จึงค่อยรู้เรื่องพวกนี้ อาตมาจึงบอกว่าอาตมาจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ชีวิตไม่มีคู่เลย ส่วนพระสมณโคดมยังมีคู่อยู่ ขออภัยไม่ได้ข่ม แต่เพื่อพิสูจน์อันนี้ พระสมณโคดมท่านต้องการเอาแค่นี้ก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปได้แล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่าอาตมาจะทำจะพิสูจน์อีก พระพุทธเจ้าสมณโคดมท่านก็พิสูจน์มาแล้ว ท่านก็ทำมาเมื่อยแล้ว ท่านจะปรินิพพานแล้วท่านเอาแค่นี้ เอาแค่อายุ 80 ปีก็พอแล้วจบ ทำงานมา 45 ปีจบ พระอานนท์อาราธนาแล้วอาราธนาอีก ท่านก็ไม่เอาแล้ว ก็เพราะว่าเราทำนิมิตแก่เธอมาตั้ง 16 ครั้ง เธอยังไม่อาราธนาเรา ครั้งนี้เราตัดสินแล้วเธออย่ามาอาราธนาให้ยาก นั่นก็คืออาศัยนิมิตเป็นเครื่องตัดสินว่าพอแล้ว

แล้วหน้าที่ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระโพธิสัตว์ก็ยังมีอยู่ ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโพธิสัตว์ อย่างน้อยโพธิรักษ์ก็ยังมาต่ออยู่ แล้วโพธิสัตว์อื่นๆก็ยังมีอีกเยอะแยะไป ยังไม่เกิดมาในยุคนี้ก็ยังมีอีก ก็ยังไม่ชัดเจนในตัวเองก็ยังมีอีกเยอะ ถ้าไปเรียนทางมหายานมีโพธิสัตว์เกลื่อนเลย

เอาละ ตัดเรื่องนั้นไป

 

มาพูดถึงอปัณณกปฏิปทา 3

สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะคือการตื่น

การตื่นนี้คือ มีสติรู้รอบ สติรู้รอบจะมีพลัง เรียกว่าอธิปไตย สติเป็นอธิปไตย เป็นพลังงานที่เป็นพลังแรงรอบครบ ครบอยู่สามด้าน

1. ครบในทางกาย 2. ครบในทางวจี 3. ครบในทางมโน

ตื่นทั้งความเป็นมโน ตื่นทั้งความเป็นวาจา ตื่นทั้งความเป็นกาย

ผู้ที่มี ชาครี หรือ ชาคริยา ความตื่นนี้ ในขณะที่มีกายต้องมีความตื่นครบรอบไม่บกพร่อง ในทางวาจาก็มีความตื่น ทางวาจา ครบรอบครบถ้วน ไม่ใช่พูดแล้วก็มะลำมะเลือง ไม่รู้ภาษา ตกตรงนั้นตรงนี้ไม่ใช่ กายกรรมมีพร้อมท่าทีลีลาคำพูดพร้อม กายนี้จะรวมทั้งวาจาและจิต เมื่อวาจาก็จะเอาแต่วาจากับจิตคุณก็ครบถ้วนตื่น แม้แต่ในมโน

มโนของคุณก็ตื่น นี่คือชาคริยาครบ รู้ตัวทั่วพร้อมหมดทั้งนอกทั้งใน ทั้งกรรม 3 กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ตื่นหมดครบเลย นี่คือผู้ตื่นเต็ม แล้วเวลาจะทำงานนั้น เราก็มาทำงานกับข้างนอก มีกายกรรมกับวจีกรรม ส่วนมโนกรรมนั้นไปทำใจของใครไม่ได้ ต้องทำของตัวเองของใครของมัน ใครไปทำใจให้กันไม่ได้ ได้แต่แค่แสดงกายกรรมให้คุณดู พูดให้คุณฟัง เท่านั้น แล้วคุณก็เข้าใจตามกายกรรมกับวจีกรรมแล้วไปทำใจตัวเอง

การทำมนสิกโรติหรือทำใจในใจ จึงเป็นหัวใจของการปฏิบัติธรรม สัมมาทิฏฐิ ถ้าไม่มีปรโตโฆสะ ไม่มีสัตบุรุษผู้รู้จริงรู้แจ้งจริงๆผู้รู้จักโยนิโสมนสิการอย่างถ่องแท้แยบคายละเอียดลงไปถึงที่เกิดจริงๆ ถึงจะพูดได้ถูก คุณจะไม่ได้ โยนิโสมนสิการไม่ได้ คุณจะได้โยนิโสมนสิการต้องเปิดใจ ปรโตโฆสะ

เพราะฉะนั้นเหตุปัจจัยของการเกิดสัมมาทิฏฐิ 2 อย่างก็คือ ปรโตโฆสะ กับ โยนิโสมนสิการ

ทวนไปถึงแสงอรุณ 7

คุณจะต้องมีมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี ที่นี่มีครบพร้อม มีสัตบุรุษ อาตมาเป็นต้น ขนาดอาตมาคุณก็ยังไม่ยอมรับคุณก็ไม่มีมิตรดีแล้ว แต่พูด นัตถิโลเก สมณพรหมณาฯ ที่สัตบุรุษบอกอยู่แล้วว่านี่คือสัตบุรุษเป็นสยังอภิญญา คุณก็เป็นแบบอุปกะชีวกะ ไม่เชื่อ แลบลิ้นเมื่อเจอพระพุทธเจ้า เป็นคนแรก

เข้าใจให้ดีๆมาทำใจให้ดีและจะชัดเจน อาตมาเหมือนพูดอวดตัวตนคนเขาก็ยิ่งหมั่นไส้  

สมณะฟ้าไท...สรุปจบ


เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:12:45 )

630224

รายละเอียด

630224_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 90

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1MEpRQBnocbF-fxH8utSpB6vUMirnIbhNV2ZL68Fp5gQ/edit?usp=sharing                       

ดาวโหลดเสียงที่  https://drive.google.com/open?id=1oQOhb5FpXf_Bhbwu8GvcmzBOSVBq-gwz

 

พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 ที่บวรราชธานีอโศก ก่อนอื่นขอโฆษณาคั่นรายการก่อน

ขอเชิญเข้าค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า

ค่าย “พบมิตรดี”

 

ครั้งที่ 43 ณ บวร ราชธานีอโศก

ศุกร์ที่ 28 ก.พ. - อาทิตย์ที่ 1 มี.ค. 2563

รับสมัครผู้สนใจเข้าค่าย ฟรี! (จะอยู่กี่นาทีได้)

 

สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ

โทรฯ คุณชญาดา 087-4437865

 

##### สมัครonline ได้ที่ inbox เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP หรือสื่อธรรมะพ่อครู

 

พบกับกิจกรรมตามมรรคมีองค์ 8 พบกับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีที่จะพาคุณสู่ "ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น"(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) อันจะพาไปสู่ความบริสุทธิ์จนถึงสัมมาวิมุติ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน อะไรก็ไม่ดีเท่ากับธรรมะ

ก็พากเพียรกันไป อะไรก็ไม่ดีเท่ากับธรรมะ คนที่ไม่ชัดเจนลึกซึ้งจริงๆก็จะฟังไม่ค่อยขึ้น ไม่ค่อยจะขัดแย้งบอกว่าดี แต่ความซาบซึ้งจิตใจความลึกซึ้งที่เห็นว่าเราก็เป็นชีวิตคน แล้วที่ท่านพูดว่า อะไรก็ไม่สำคัญเท่าธรรมะ มันสำคัญเท่าก๋วยเตี๋ยวอร่อยๆ สำคัญเท่ากับธนบัตรเป็นปึ๊งหรือ จะสำคัญเท่าพวกนี้หรือ ซึ่งมันยากมันซ้อนๆ กว่าจะมีภูมิปัญญาที่ชำแรกจิต เข้าไปเห็นว่านี่เรานั้นหลง เงินทอง ข้าวของ ทรัพย์สมบัติ หลงรสอร่อยทางหูตาจมูกลิ้นกาย ที่ได้สัมผัสเสียดสีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสและเกิดรสชาติ ซึ่งคนติดมาก่อนทุกคน แล้วก็จะจม เรียกว่า ดำฤษณาอยู่ในรสชาติพวกนี้ (มีเด็กๆมากราบพ่อครู) แม้แต่เด็กๆพวกนี้เขาก็มีการซึมซับออสโมซิสเข้าไป เดี๋ยวนี้มันมีสิ่งยั่วย้อมมอมเมาเยอะ แต่เด็กพวกนี้ก็จะมีการซึมซับโดยไม่รู้ตัวมันละเอียดกว่า Absorb แต่ Osmosis นี้จะซึมลึกละเอียดเนียนแบบไม่รู้ตัว ฉะนั้นการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่กลุ่ม เป็นคณะเป็นสังคมเป็นสิ่งแวดล้อม มิตรสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์

มีองค์ประกอบมีสถานที่ เสนาสนะ บุคคล ที่เป็นมิตรดีสหายดีอยู่ร่วมกันแล้วมีเครื่องอาศัยเรียกว่าอาหาร เครื่องกินเครื่องใช้ก็ดี เครื่องอาศัยทางพฤติกรรมต่างๆนานา คำว่าอาหารนั้นกว้าง เป็นสิ่งที่สัมพันธ์กันอยู่ อิทัปปัจจยตาต่อเนื่องถ่ายทอดอะไรกันอยู่ เข้าไปในร่างกายก็เรียกว่าอาหาร ผัสสะอยู่ก็เรียกว่าอาหาร แต่ที่มันต่อเนื่องเป็นจิตเจตสิก เป็นเวทนา เป็นสัญญา ก็เรียกว่าอาหาร ที่สุดถึงขั้นวิญญาณคือธาตุวิญญาณ ก็เป็นอาหาร ธรรมะพระพุทธเจ้าสุดยอดอย่างนี้

คนที่ไม่ประสีประสาฟังแล้วก็อาจจะงงว่ามันเกี่ยวอะไรกัน สำคัญอะไรกันพูดไปมันจะจริงเหรอ? คุณจะหลงงมงายก็หลงไปเถอะ จะไปอร่อยเท่าการได้ลาภยศ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอะไรอร่อย มีการปรุงแต่ง มอมเมาปลุกเร้า ไม่หยุดหย่อนหรอก ความปรุงแต่งทางโลกีย์ไม่มีหมดไปจากโลกมันเป็นแกนของโลก

โลกุตระของพระพุทธเจ้านี้ มันเป็นเรื่องที่มีเป็นครั้งคราวในวัฏสงสารนี้มาช่วยคนที่มีภูมิธรรมถึง ขั้นโลกุตระขั้นอาริยะที่จะไปนิพพาน เป็นเรื่องสูงสุดยอด ที่เกิดมามีชีวิตแล้วไม่ได้เข้ากระแสโลกุตระแล้วไม่ได้ศึกษาจนบรรลุพระอรหันต์ คุณก็จะวนเวียนอยู่ในโลกียะที่ไม่มีอาริยธาตุ อัญญธาตุ เป็นธาตุโลกุตระที่เริ่มจุติเข้าไปในจิตวิญญาณ คุณก็จะจมอยู่ในโลกีย์ สุขทุกข์ ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขมีความสรรเสริญมีความดีงามมีความเจริญ แข่งกันวนเวียนมีสมบัติผลัดกันชมลาภ ยศ สรรเสริญ ไปแย่งกันมา แย่งลาภใครได้ก็สุข ใครไม่ได้ก็ทุกข์ แย่งในลาภ ยศ สรรเสริญ ความสุขในโลกีย์

โลกุตระนั้นสุขก็ได้ที่จริงมันไม่มีความสุขหรอก ที่เข้าใจในสภาวะแล้วก็จะไม่สงสัยไงว่าสุขมีไหนว่าสุขไม่มี มีแต่มันไม่มี พูดอย่างนี้ใครจะทำไม ผู้ที่เข้าใจแล้วก็จะเข้าใจ

ชัดเจนตั้งแต่เรื่องของอบายมุขต่ำหยาบ ที่รู้กันอยู่ว่าเป็นเรื่องทุจริตเป็นเรื่องเสพติดของหยาบของชั้นต้นก็ตามต่ำๆ เราก็ได้เรียนรู้แล้วเลิกมาเลย หมดกิเลส หมดเสพติดสิ่งนั้น เห็นว่าเป็นของสมบัติที่คนหลง เราหลุดพ้นแล้วหลุดพ้นจริงๆ เราก็ไม่เสพไม่ติดอะไรอีก เขาก็มีไปอยู่ในโลก มันไม่หมดไปจากโลกหรอก เราอยู่เหนือโลกพวกนั้นได้ นี่เป็นภาษาไทยที่พูดกัน ฟังให้ดีๆอยู่เหนือโลกเป็นอย่างนี้ ไม่ได้ไปข่มโลกแต่เราลอยตัวเหนือสิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้แม้้จะมากระทบกระแทกอย่างไรเราก็ไม่แปรปรวนไม่เป็นอะไรไปตามคุณเลย จะมาหลอกล่อจะเอาความเฉลียวฉลาดอะไรมามอมเมาครอบงำ อะไรอย่างไรอีกก็ไม่สำเร็จ อย่างไรๆก็ไม่สำเร็จอย่างนี้เป็นต้น

ความรู้นี้ที่เรียกด้วยศัพท์เต็มๆว่าปัญญา ยอดปัญญานี้อาตมากำลังเขียนหนังสือเล่มนี้เป็นอีกเล่มหนึ่งเลย ปัญญา 8 ของพระพุทธเจ้าที่ขยายความอยู่นี้

 

ค่ายสัมมาอาริยมรรค สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ

โทรฯ คุณชญาดา 087-4437865

 

##### สมัครonline ได้ที่ inbox เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP หรือสื่อธรรมะพ่อครู

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สังโยชน์ 10) ตอน ใช้สัญญามาล้างปฏิฆะอย่างไร

_พิมพ์เพชรรุ้ง...กราบเรียนถามเรื่องปฏิฆะ เวลาผัสสะ จะมีอารมณ์หงุดหงิดไม่พอใจไม่พอใจว่ามีการปรุงแต่งเพิ่มก็จะเป็นการจับผิดเพ่งโทษ มีกายวิญญัติวจีวิญญัติไม่ค่อยดี แต่ถ้าปรุงให้ดีๆ เอาพรหมวิหาร4 มาช่วยก็ดี บางทีไม่ได้ปรุงแล้วมันก็หายไปเองเป็นอนิจจัง อยากรู้ว่าทำอย่างไรจะไม่มีปฏิฆะเลย แล้วปฏิฆะสัญญากับปฏิฆสังโยชน์

พ่อครูว่า..สัญญาคือ สภาวะเจตสิกของเรา สำคัญมาก เราจะใช้สัญญานี้ปฏิบัติธรรมตลอดแม้จะบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ ก็ต้องใช้สัญญาเป็นตัวศึกษาฝึกฝนไป สัญญาทำงานหนักมากเป็นเจตสิก ตัวที่นำพาจะต้องทำงานให้แก่ชีวิตที่จะเป็นพระอาริยะเป็นพระอรหันต์ จะเป็นพระโพธิสัตว์หรือเป็นพระพุทธเจ้าก็ตาม สัญญานี้มันมี 2 ความหมาย

สัญญาที่เป็นตัวงานตัวกำหนดรู้ บางทีเขาก็แปลเป็นศัพท์ว่าสำคัญมั่นหมายในสิ่งนั้นสิ่งนี้คือกำหนดรู้ คำว่าสำคัญมั่นหมายเป็นภาษาที่สูงไปหน่อย ภาษาวิชาการที่เข้าใจได้ยาก รู้แต่สภาวะที่ไปกำหนดรู้อะไรต่ออะไรไปทำหน้าที่สัมผัสอันนี้แล้วก็มีความรู้ในอันนั้นลึกซึ้งรู้รอบรู้ครบพิจารณาไปในสิ่งนั้นสิ่งนั้น เรียกว่าสัญญา กับตกผลึกสั่งสมเป็นความจำอยู่ในจิต

สัญญาที่มีความหมายสองอย่างนี้ พลังงานหนึ่งเป็นพลังงานเคลื่อนไหว อีกพลังงานหนึ่งเป็นพลังงานตกผลึกเป็นความจำสั่งสมลงไป อาตมาชอบใช้คำว่า Static กับ Dynamic ที่ทำงานเคลื่อนไหวอยู่เรียกว่า Dynamic ที่สั่งสมลงไปตกผลึกเป็นคลังเป็นสมบัติเรียกว่า static อย่างนี้เป็นต้น เราต้องศึกษาฝึกฝนไปเสมออ่านและวิจัยออกค่อยๆแยกแยะ

ปฏิฆะ หรือสายโทสะนี้มันจะหมดก่อนราคะ

ถ้าปฏิฆะ ภาษาในหลักการของอนุสัยก็ดีสังโยชน์ก็ดี กามจะขึ้นก่อนปฏิฆะ แต่ปฏิฆะนี้จะหมดก่อนกาม เพราะปฏิฆะเป็นทุกข์ แต่กามมันเป็นสุข ปฏิฆะเป็นอาการทุกข์อาการไม่สบายเป็นอาการสายโทสะมูล แต่ กามสายราคะมูล ชอบใจบำเรอใจมันเลยทิ้งยาก ทิ้งทีหลังแต่ต้องทำก่อน มันเป็นทั้งแกนต้นและแกนปลาย ข้อสำคัญคืออ่านอาการสองตระกูลนี้ทั้งสองอย่างนี้เพื่อจะเปรียบเทียบ 2 เสมอ เรียกว่าเทวธัมมา เทวะ แปลว่าธัมมะสอง เปรียบเทียบไปตั้งแต่ต้นจนจบสุดท้ายถึงขั้นแยกสภาพของอสัญญีสัตว์กับเนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ คู่สำคัญคู่สุดท้ายที่จะต้องชัดเจน

อสัญญีสัตว์เป็นสายเทวนิยมสายสะกดจิต สายที่จะไม่ชัดเจนเรื่องความเป็นสัตว์ จมอยู่สุดท้ายกับโอปปาติกสัตว์ ไม่หมดความเป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณเพราะจะกำหนดสัญญา หรือสัญญี คือที่มีตัวกำหนดรู้ อสัญญีก็ไปดับสัญญา นั่งหลับตาสมาธิเป็นการดับสัญญา

หากหมดสัญญาไปดับสัญญาก็เจ๊งเลย มีแต่ดับๆๆ จมกลายเป็นอสัญญีสัตว์

เนวสัญญานาสัญญายตนะสัตว์ คือ ผู้ที่ปฏิบัติ ฌาน แบบโลกียะ สะกดจิตๆจนเป็นฌานที่ 8 เนวสัญญานาสัญญายตนะฌาน เป็นฌานที่ 8 ของโลกียฌาน เกิดเป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะสัตว์ จนต้องวิญญาณฐิติ คือ ปฏิบัติขณะที่เกิดวิญญาณธาตุรู้ ถ้าไปดับวิญญาณดับธาตุรู้ก็หมดไม่ได้รู้ มีตาหูจมูกลิ้นกายใจเปิด วิญญาณทางตาหูจมูกลิ้นกาย วิญญาณภายนอกและวิญญาณภายในร่วมกันเป็นเทวเป็นคู่ 2 รูป รูปนาม นามรูป รูปนาม

มันไม่ง่ายอาตมาจึงเห็นใจ ว่ามันไม่มีอะไรดีกว่านี้ ก็ต้องสอนแนะนำกันปลูกฝังไว้ นับเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในความเป็นมนุษย์ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ อาตมาจึงพยายามทำอันนี้ ก็ต้องรับผิดชอบ กระทั่งรับหน้าที่สืบทอดจากพระพุทธเจ้า อาตมาก็เป็นผู้ที่รับ พูดไปแล้วคนที่ไม่เชื่ออาตมาเขาก็จะหมั่นไส้ ต้องอธิบายความจริงพูดความจริงไปบ้าง ว่าอาตมารับปากมาจากพระพุทธเจ้าสมณโคดม แล้วคนก็หมั่นไส้ ต้องมาสืบทอดอันนี้ต้องมารับผิดชอบที่พุทธเจ้าท่านฝากฝังเอาไว้แล้วปรินิพพานเป็นปริโยสานไปแล้ว อาตมาก็จะต้องเข็นตัวเองให้ถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะมีปณิธานนั้น ก็ต้องรับผิดชอบกับพระพุทธเจ้า เกิดในยุคนี้ มาก็มาเปิดเผย พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แล้วในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 อาตมาเป็นสยังอภิญญา เขาก็ไม่เชื่อ หลังเขาก็คงจะเห็นหลักฐานที่อาตมาพยายามอธิบายธรรมะว่าเป็นโลกุตระเป็นอย่างนี้ พอเข้าใจขึ้นมาผู้ที่เกิดปฏิภาณปัญญาเข้าใจได้ ก็จะเชื่อถือ ฟังอาตมาเพิ่มขึ้น ก็ไม่ง่ายหรอกเพราะมันลึกซึ้ง คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

ทำงานมาจะเต็มปีที่ 50 แล้วในเดือนพฤศจิกายนปีนี้

ก็ทำไป อาตมาพยายามฟื้นสังขารร่างกาย พยายามสร้างพลังงานให้ชีวิตและร่างกายนี้ไม่ให้ทรุดเสื่อมจนกระทั่งตายวันตายพรุ่ง เป็นการพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าพิสูจน์สัมประสิทธิ์ด้วย เป็นปาฏิหาริย์ ต่ออายุขัย ถึงเวลาตายแล้วก็ไม่ยอมตายมันจึงเป็นเรื่องมหัศจรรย์

_พิมพ์เพชรรุ้ง จะกำจัดตัวปฏิฆะได้อย่างไร

พ่อครูว่า...ต้องอ่านความจริงเห็นความจริงให้ได้ว่ามันเป็นเหตุแห่งความทุกข์หรือเป็นเหตุแห่งความสุข เจนอยู่แล้วอาตมาเปรียบเทียบให้ฟังความสุขนั้นพออาศัยแต่ความทุกข์นั้นไม่ต้องอาศัยเลย มีโศลกอาตมาบอกไว้ อาการทุกข์ตั้งแต่เป็นอย่างใหญ่อย่างยักษ์อย่างใหญ่อย่างกลางอย่างละเอียด อย่างธุลีละอองเล็กขนาดไหน หากมีแล้วเอาออกไป ไม่เอาทั้งนั้น kick it out ไม่มีประโยชน์แก่เราเลย มีแต่ความวุ่นวายเสียหายความเสื่อม ไม่มีประโยชน์

โทสะ ไม่มีประโยชน์อะไรเลยไม่ต้องใช้เลย แต่ความรักความเมตตานี้ต้องใช้ อาศัยเพราะฉะนั้นไม่ต้องไปเหลือเยื่อใยเอาไว้เลยสำหรับโทสะ

 

_เมฆทิพย์...พ่อครูเป็นผู้ที่ย่อโลกให้แก่มนุษย์ ย่อโลกให้เหลือแต่ตัวเองไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด เข้าใจมากเลย ข้าน้อยบูชามากเลย ไปไหนก็ไม่เท่าที่นี่ เคยไปของจีนมา

 

_พระทางเถรสมาคมบอกว่า การใช้เงินใช้ทองสามารถปลงอาบัติได้ (พ่อครูว่าพวกเลี่ยงบาลี) และยืนยันว่า สามารถใช้เพื่อการเดินทางสัญจรไปมารวมทั้งการซื้อเภสัชรักษาโรค ขอให้พ่อท่านช่วยคลี่คลายความ

พ่อครูว่า...ไม่พูดมากหรอกเรื่องของเงินทองที่ใช้กัน คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องลึกซึ้งละเอียดอะไรเกินไปที่จะไม่รู้กันได้ แล้วคนไม่ใช้เงินใช้ทองนี้ เราชาวอโศกเป็นฆราวาสด้วยซ้ำ ฆราวาสชาวอโศกไม่ใช้เงินใช้ทอง คือหมายความว่ามีศีล 10 สบายเป็นฐานของสามเณร ไม่ใช้เงินไม่ใช้ทอง ฆราวาสพวกเราก็สามารถไม่ใช้ คำว่าไม่ใช้เงินไม่ใช้ทองหมายความว่า ไม่มีเงินเป็นของส่วนตัวในตัวเองสะสมเงินทองเป็นของตัวเอง ไม่มี ถ้าถึงขั้นไม่มี นี่ก็คือ เป็นฆราวาสบางทีก็มี บางทีก็ผ่านมือ และก็จะต้องใช้ในกิจการงานต่างๆ เสร็จแล้วก็จะไม่มีก็เอาไปคืนกับกองกลาง เหลือก็เอาไปคืนกับกองกลาง ได้มาก็เอาไปใส่กองกลางอย่างพวกเราเป็นสาธารณโภคี เราถือศีล 10 เป็นสาธารณโภคีไม่มีเงินไม่รับเงินทองไว้เป็นของตน ใช้ ก็ใช้ตามปกติของคนที่เป็นฆราวาสใช้เงินได้ เอาเงินไปซื้อไปขายไปทำการแลกเปลี่ยนในสังคมก็ต้องใช้เงินเป็นตั๋วแลกเงิน ก็ใช้เป็นปกติไม่ได้หลงยิ่งใหญ่อะไร มันก็มีค่า สำคัญ คนที่ติดยึดก็หลงในค่าของมันมากมาย เราก็ใช้มันไปตามหน้าที่ของเงิน ราคา 10 บาทก็ใช้ตามหน้าที่ 10 ราคา 50 ก็ใช้ตาม 50 เป็นหลักร้อยหลักพันก็ใช้ไปตามหน้าที่ตามอัตราของมัน แล้วมันเหลือใช้ก็เอาไปคืน ตัวเองก็สบายมีกินมีใช้ต้องการจะใช้อันนั้นอันนี้ก็ไปเบิกออกมาทำงาน ใช้งาน ซึ่งเป็นสังคมที่ศึกษาตามความจริงได้อย่างชัดเจน

สรุปแล้วเป็นนักบวชเป็นภิกษุเป็นสมณะเป็นฐานสูง แค่ฐานการใช้เงินแค่นี้ เราอธิบายแล้ว แค่ฆราวาสเรายังได้เลย สามเณรเราก็ได้ ไม่ต้องสะสมเงินทองไม่ต้องซื้อขาย สิกขมาตุศีล10 ก็ไม่ต้องไปซื้อขาย อย่างนี้เป็นต้น

แล้วเขาก็เดือดร้อนว่าไม่มี แล้วเวลาเดินทางจะเอาค่ารถค่าราจากไหน แต่คุณเป็นภิกษุมีจีวร มีเครื่องแบบ คุณปฏิบัติให้ดีเถอะ รถเมล์หรือรถอะไรเขาก็จะให้ พวกเราไม่เดือดร้อน ก็เห็นแทบจะรู้แล้วรถเมล์รถโดยสารเดี๋ยวนี้เห็นพระอโศกขึ้น ไปนั่งติดกันกับพระผ้าเหลืองเถรสมาคม แต่กระเป๋าจะเก็บเงินเฉพาะพระเถรสมาคม แต่ไม่เก็บเงินพระอโศก มีคนจะเสียเงินให้เขาก็ไม่รับ บางองค์ก็บอกเราไม่เป็นผู้ใช้เงินแล้ว เป็นพระอโศกเขาก็จะชัดเจนไม่ใช้เงิน แต่ถ้าเป็นผู้ที่ใช้เงินอยู่เขาก็จะจ่ายให้ เรานั้นกระเป๋าก็จะไม่เอาแต่มีคนจะจ่ายให้ แต่กระเป๋าก็ไม่เอาอีก อย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นเครื่องพิสูจน์คุณธรรมของมนุษยชาติ ไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่เลย เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างนี้ แต่มันไม่จริงกัน ต้องเอาให้จริงทำให้จริงเลย คุณเข้าใจแล้วก็อยู่สบายได้ ต้องใช้เงินก็ไม่สบาย

_น้อมยอดธรรม..ดิฉันฟังพ่อท่านหลายครั้ง วันนั้นวันสอบ มันมีสายบอกว่า ศรัทธา ดิฉันคิดว่าอยู่สายศรัทธา แต่พ่อท่านว่าเป็นพวกเทวะ ทำไมหรือคะ มันวนเหมือนไม่ดี ดิฉันก็มาคิดว่า ตอนนี้ที่เราว่าเราทำมาแล้ว แต่ทำไมเราว่าศรัทธาเยี่ยมยอด แต่ทำไมเราออกมาได้ ก็คิดว่าเราเบื่อศรัทธาเพราะไปฟังทางโน้นมีแต่สวรรค์ๆๆ แต่กลับบ้านมีแต่นรก เลยเบื่อศรัทธา

เราก็คิดว่าตอนนี้เราตามหาธรรมะ ธัมมานุสารี เวลาพ่อท่านเทศน์มันมีความสบาย

พ่อครูว่า..สายศรัทธาพยัญชนะภาษาสื่อสภาวะ ออกมาจะค่อนข้างยาก ก็สายของมนุษยชาติมันมีเทวนิยมกับอเทวนิยม หรือต้นตอเลยมันคือสายศรัทธากับสายปัญญาหรือเรียกพุทธิจริตกับศรัทธาจริต

เวลาเริ่มได้ธรรมะท่านไม่เรียกปัญญาก็เรียกธัมมานุสารี ก็ค่อยๆติดตามฟังพยัญชนะกับสภาวะเป็นธรรมะสอง

แม้แต่ผู้ที่เปรียญ 9 ก็ดี ด็อกเตอร์ก็ดี ทางธรรมะนี่นะ หรือศึกษากันอยู่ทั่วไปในกระแสหลักหมู่ใหญ่ ก็ยากมากที่จะชัดเจนในสภาวะ แล้วหลงติดพยัญชนะ

สายพุทธิจริตไม่ใช่สายศรัทธา ก็ต้องมาสู่ ธัมมานุสารี ก็ยังไม่ค่อยได้ ได้แต่พยัญชนะบัญญัติ เดี๋ยวนี้ก็มีกันเยอะที่ยิ่งใหญ่อยู่ตอนนี้ก็มี แม้แต่คำว่าบุญ คำว่าปุญญะ คำว่ากาย คำว่าสมาธิ เป็นต้น

จนพระพุทธเจ้าท่านจบด้วยวิญญาณฐีติ 7 และสัตตาวาส 9 เป็นกายกับสัญญา ซึ่งเป็นเรื่องที่จะอธิบายได้ยากมากเลย แต่พยัญชนะไม่มากเลย ใครจำพยัญชนะจะจำง่ายๆ

สัตตาวาส 9 ไล่ฌานมาก็ได้แล้ว ส่วนวิญญาณฐีติ ถ้าเรียนวิโมกข์ 8 มาเป็นหลัก

วิโมกข์ 8 ซ้อนอีก ซ้อนในคำว่า อสัญญีสัตว์กับเนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ ไม่มี แล้วไปมีคำว่า สัญญาเวทยิตนิโรธแทน ในวิญญาณฐีติและสัตตาวาส 9 ไม่มีสัญญาเวทยิตนิโรธแต่ไม่มีอยู่ใน วิโมกข์ 8 เรื่องซับซ้อนหมุนรอบเชิงซ้อนลึกซึ้งมาก คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34) จริงๆ ก็ค่อยๆเป็นไป

 

_เวลาจะเกิดสงคราม ประเทศที่เป็นมหาอำนาจเขาจะปล่อยไวรัส ออกมาฆ่าคน ฆ่าสัตว์ โรคติดต่อ ไปถึงคน ในช่วงนี้ คนก็คงจะตายเยอะมาก ถ้าคิดป้องกันให้สุขภาพแข็งแรงไว้ได้ไหม ที่ผ่านมาประเทศจีนติดเชื้อกันไวมาก

ดิฉันคิดว่าประเทศที่ไม่กินเครื่องเทศอย่างขมิ้น กะเพรา โหระพา และอื่นๆอีก ง่ายๆ แค่นี้อาจจะป้องกันการติดเชื้อไม่ได้ ใช่หรือไม่ และตอนนี้แหละ สามร่มโพธิ์ศรี จะได้เห็นใครปฏิบัติไม่ถูกพุทธก็จะไม่ได้พึ่งร่มโพธิ์ศรีใช่หรือไม่คะ

พ่อครูว่า...อาตมาว่าสัญญาเรื่องร่มโพธิ์ศรีของอาตมากับของคนนี้จะตรงกันหรือไม่นะ

ตอนนี้เรามีงานร่มโพธิ์ร่มไทรวันอาทิตย์

ร่มโพธิ์ คือ ร่มเงาของพระพุทธศาสนา ร่มเงาของพุทธธรรม ที่เป็นสิ่งที่มีประโยชน์แก่เรา เรียกว่าร่มโพธิ์ศรี หมายกันง่ายๆ

ใครที่ปฏิบัติถูกก็จะได้พึ่งร่มโพธิ์ศรี ใครปฏิบัติไม่ถูกก็ไม่ได้พึ่งร่มโพธิ์ศรี ก็พยายามเชื่อมโยงไปถึงแม้แต่โรคทางโลกเขา มหาอำนาจเขาปล่อยเชื้อโรคออกมาฆ่ามนุษย์ก่อน ตอนนี้มีความรู้อันนี้แล้วก็ปล่อย อาตมาก็ไม่มีความรู้จริงเท็จอันนี้ เขาเรียกไวรัส Covid 19 คือ Corona Virus Disease 2019 ก็เลยเป็น Covid 19

แล้วเขาว่าตอนนี้มหาอำนาจปล่อยเชื้อมาในโลก คนจีนคนเยอะ คนนี้คงคิดไปถึงอินเดียด้วย มีพลเมืองมากกว่าพันล้าน แต่จีนไม่กินเครื่องเทศ กินแต่เนื้อสัตว์ของคาวเลอะเทอะกินพิสดาร แต่อินเดียเขาไม่กินปรุงแต่งมากแล้วมีเครื่องเทศด้วยเขาจึงไม่สะดุ้งสะเทือน นัยลึกซึ้งพวกนี้นี่อาตมาเข้าใจหมด แต่ไม่มีเวลาเพราะมันเล็กน้อย เขาจัดการกันไปก่อนได้ ตอนนี้ก็ไม่ลุกลามอะไรมากมายแล้ว ก็ดี

สรุป เข้าเนื้อแท้เข้าถึงแก่นก่อน ชาวอโศกนี่ที่อาตมานำพาไป เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามา อาตมาก็ถึงรู้ความแตกต่างระหว่างจีนกับอินเดีย ซึ่ง(พ่อครูไอตัดออกด้วย) ซึ่งทุกวันนี้มีปรากฏการณ์จริง มีพลเมืองมากเป็นคู่หนึ่งของโลก เป็นประเทศที่มีพลเมืองมากเกินพันล้าน นอกนั้นประเทศอื่นไม่มีประชากรถึงพันล้าน จีนมากกว่าอินเดีย กามอินเดียไม่จัดจ้าน ไม่ปรุงแต่งรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสมาก วันนี้อาหารจีนอาหารไทยกำลังแย่งลูกค้า อาหารไทยเป็นหนึ่งในการหลอกมนุษย์มนามันเป็นบาป ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร หลอกให้เขาติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสมันเป็นบาป พูดไปมากๆเดี๋ยวเขาจะมาหาเรื่องเอาเรื่องกับเราเพราะคนที่ติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสนั้นมีเยอะ อนุโลมไปก่อน ก็ค่อยๆว่ากันบ้าง ใครที่มีปฏิภาณปัญญาถึงขั้นก็จะค่อยๆเข้าใจค่อยๆลดลงไป ใครไม่เข้าใจก็จะบอกว่ามันอร่อยมันดี มันเป็นอะไรเขาก็ว่ากันไป

สรุปแล้วศึกษาให้ดีๆ ธรรมะพระพุทธเจ้าสุดยอดที่จะคุ้มครองโลก สุดยอดที่จะเป็นผู้ช่วยโลก อนุเคราะห์โลก โลกานุกัมปาอย่างแท้จริง

 

_หลวงปู่ครับ ทำไมที่นี้ ไม่ทำห้องออกกำลังกายให้เด็กๆเล่นบ้างแบบฟิตเนส

พ่อครูว่า..ที่จริง ดร.ชิดตะวันเขาปวารณาไว้แล้วนะ (สู่แดนธรรมว่า เขารอวางหินให้เสร็จก่อน) แต่เด็กๆเอาอย่างผู้ใหญ่ อยากได้อย่างนั้น ก็เป็นธรรมชาติ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน การตลาดแบบอโศกไม่หลงปริมาณ

_สูตรสู่ความสำเร็จของบุญนิยม อยู่ในสรรค่าสร้างคน  ศึกษา เอาจริง ต่อเนื่อง ประสานสัมพันธ์กลุ่ม ขยายงาน ออกเผยแพร่ การตลาด อยากให้พ่อครูขยายข้อ 5 6 7 กับการศึกษาบุญนิยม

พ่อครูว่า..ข้อ 5 คืองานข้อที่ 6 คือเผยแพร่ข้อที่ 7 คือการตลาด (สู่แดนธรรมว่า ทำไมการศึกษาของบุญนิยมต้องมีการตลาดด้วย)
          พ่อครูว่า..การตลาดเป็นศัพท์ตลาด นั่นหมายถึงการเผยแพร่ แต่การเผยแพร่ของบุญนิยมนั้นไม่ได้เป็นแบบการตลาดโจ่งแจ้งอย่างนั้น เป็นการเผยแพร่คืออย่างนี้ เช่นเรามีโทรทัศน์บุญนิยม แล้วคนดูอันนี้วันนี้เท่าไหร่มีสักร้อยคนไหม การตลาดแบบของเรา วิธีการเผยแพร่การโฆษณาทางหนังสือ ทางวิทยุโทรทัศน์ ปากต่อปาก ก็เหมือนกับการตลาดของเขาทางโลกเขาก็ทำ แต่เราก็ทำของเราย่อยๆไม่จัดจ้าน มันก็กระทบไหล่ดาราเขาเท่านั้นเอง(ยอดดูสด Youtube 118 คน) พอค่าน้ำจิ้ม (Facebook 91)

ก็ได้ คือเราเองไม่ตะกละไม่ใจเร็วด่วนได้ หลงปริมาณมากกว่าคุณภาพ เราเน้นคุณภาพยิ่งกว่าปริมาณ ได้เท่าไหร่เอาเท่านั้น  จะได้เป็นแก่นเป็นแกน หากปริมาณฟ่ามๆมากๆ เดี๋ยวก็พัง ก็ไม่ดี ทางโลกเอาปริมาณมาอวดข่ม แต่เราไม่ทำ เราเอาความมักน้อยความจนจะใช้เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน จะเอาความจนไปแข่งความรวย แล้วก็ทำให้คนอยู่เย็นเป็นสุขด้วยความจน ซึ่งโลกเขาคิดตื้นๆง่ายๆว่าเอาความรวยไปแข่ง หรือเวลาจะไปรบกันจะไปทำสงครามกันจะไปปฏิวัติกัน เขาก็จะต้องใช้อำนาจอาวุธไปฆ่าแกง กันด้วยปืนผาด้วยอาวุธแต่เราไม่ เราเอาความสงบซึ่งเป็นเรื่องตลก ความสงบไปสยบความรุนแรง เราใช้ปฏิวัติด้วยความสงบจนสำเร็จ เมืองไทยนี้เมืองอื่นลอกเลียนยาก ประเทศไทยนี้ใช้ธัมมาวุธเอาความสงบเอาความจริง เอาความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เอาความอภัย เอาความอโหสิ สงบอโหสิ อหิงสา ซึ่งมีหลักฐานที่เราทำไว้หมดเลยแล้วคนไทยเราทำได้ ชนะ เรียกว่า ปหานรัฐบาลมาได้ 4-5 รัฐบาล แต่รัฐบาลทักษิณ สมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ ซึ่งคนเข้าใจได้ยาก ประชาชนปฏิวัติหรือรัฐประหารมันมีด้วยหรือในโลก ก็มีสิ อยู่ในโลกประชาธิปไตยไง แล้วก็เป็นประชาธิปไตยจริงๆ อำนาจทหาร อำนาจปืน อำนาจอาวุธ มันยังไม่จริงหรอก มันยังไม่สวย มันยังไม่สูงส่ง มันยังไม่ตรงกับประชาธิปไตย เป็นอำนาจประชาชน ไม่ใช่อำนาจปืน ไม่ใช่อำนาจอาวุธแต่เป็นอำนาจของประชาชน มวลประชาชน ความเห็นความรู้ของประชาชน ความซื่อสัตย์บริสุทธิ์ของประชาชน ปัญญาของประชาชน ซึ่งอาตมากำลังอธิบายเรื่องประชาธิปไตยไทยที่มาจากแกนของศาสนาพุทธ จะต้องมี อิสระ มีทาน มีปัญญา มีอนุกัมปา แล้วก็มี อนัตตา นี่กำลังขยายความและจะเป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่ง ใน “ประชาธิปไตยไทย ที่ใครก็ไล่ไม่ทัน” ชื่อหนังสือก็จะเป็นอย่างนั้น ทุกวันนี้ก็ยืนยันว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่ดีที่สุดในโลก วันนี้เขาก็กำลังอภิปรายจะคว่ำนายก เขาก็ทำตามวิธีการตามความเป็นจริง ก็จะรู้อะไรกันไปเองก็ค่อยๆดู คือ มันเป็นเหตุปัจจัยที่พูดง่ายๆ พวกฝ่ายค้านที่กำลังจะคว่ำรัฐบาลอยู่ตอนนี้ ถ้าสมมุติให้รัฐบาลนายกตู่แพ้หยุดไปเลย แล้วพวกคุณขึ้นมา ก็ต้องผ่านด่านที่ต้องมีการเลือกตั้ง แล้วประชาชนจะเลือกคุณ หรือนายกฯประยุทธ์อีก ก็ต้องผ่านด่าน แต่สมมุติว่าพวกคุณได้คนมาก คุณจะใช้แทคติกอย่างไรก็แล้วแต่คนเลือกตั้ง วิธีการเลือกตั้งเป็นวิธีการฉ้อฉล วิธีการเลือกตั้งไม่ใช่ประชาธิปไตย มันเป็นวิธีคิดของนักรัฐศาสตร์เอามาใช้ แล้วก็หลงว่าการเลือกตั้งนี้ดูเผินๆนี่เป็นคะแนนเสียงของประชาชน แต่ว่าแทคติกในการจะได้เสียงของประชาชนนี้โอ้โห เช่น อเมริกาชัดเจนไปเอารายละเอียดมาเลยจะต้องมีนายทุนมา เครือข่ายสร้างอำนาจเอาไว้ตลอดมาเลย

เพราะฉะนั้นพรรคใหญ่ 2 พรรคของอเมริกาคือค่ายกลของประชาธิปไตยขาเดียว ประชาธิปไตยของอเมริกา ซึ่งเป็นของกลุ่มนายทุน และผนวกด้วยกลุ่มอำนาจ อำนาจคือผู้บริหารปกครองและควบคุมการสร้างอาวุธ ก็มีอำนาจสิ รัฐบาลมีอำนาจสร้างอาวุธแล้วก็เอาอาวุธนี้ไปขายทั่วโลก คุมอำนาจทางโลก บวกกับนายทุนกับพวกอำนาจรัฐ จับมือกันเมื่อไหร่ก็ชิบหายเมื่อนั้น เป็นอำนาจบาตรใหญ่กันในโลก ประชาธิปไตยของอเมริกาเป็นตัวอย่าง เช่นนี้ ประเทศอื่นแต่ก่อนก็มีแต่ตอนนี้ประเทศอเมริกาขึ้นมา ก็ศึกษาไป อย่างเช่นเกาหลีเหนือ ก็ยังไม่เข้าใจสัจจะพวกนี้ ก็ใช้อำนาจเป็นคอมมิวนิสต์ อำนาจของอาวุธ พยายามใช้อำนาจอาวุธเป็นเครื่องรักษาตัวเอง ซึ่งจริงๆแล้วใครก็ไม่อยากไปรุกรานประเทศเล็กๆอย่างนี้หรอก

อาตมาจะสรุปเข้าเป้าว่า พระพุทธเจ้าเกิดแล้วเกิดเล่าไม่รู้กี่ล้านๆชาติ ท่านไม่ได้เกิดมาศึกษาอะไร ท่านศึกษาแต่เรื่องของมนุษย์กับสังคมความเป็นมนุษย์ กับความเป็นสังคม

ความเป็นมนุษย์ย่อเข้าไปหาภาษาธรรมะคือ อัตตา เป็นสังคมคือโลก แล้วก็ดูอำนาจคืออธิปไตยอำนาจของสังคมคือโลกโลกาธิปไตย อำนาจของมนุษย์แต่ละคนเรียกว่าอัตตาธิปไตย แล้วก็มีอำนาจที่ดีที่สุดคือธรรมะ ธรรมาธิปไตย

ที่เป็นโลกุตระคือธรรมะ มีอิสระที่สุด เป็นธรรมะที่มี อิสระ ทาน ปัญญา อนุกัมปา(รับใช้โลก) เป็นธรรมะที่ไม่มีตัวตน

ประชาธิปไตยของไทยมีลักษณะที่อาตมาหยิบเอามาอธิบายพวกนี้ ไม่มีในตำรารัฐศาสตร์ แม้แต่ในตำราพุทธศาสตร์ก็ไม่มีที่รวบรวมอันนี้เอาไว้ แต่ในตำราพุทธศาสตร์ของพระพุทธเจ้าอาตมาก็เก็บคำนี้ อิสระ คำว่าทาน คำว่าปัญญา คำว่าอนุกัมปา คำว่าอนัตตา มีของพุทธเจ้าครบหมดแล้ว อาตมา คัดมา อาตมา grouping มา เป็นต้น แล้วมันก็จะทำงานเป็นกระบวนการ 5 ประการของประชาธิปไตย คือ อิสระ ทาน ปัญญา อนุกัมปา อนัตตา จดไว้เลย แล้วในหนังสือประชาธิปไตยไทยที่ใครก็ไล่ไม่ทัน ก็จะออกมา ขยายความพวกนี้

 

_ลูกตะวัน...วันอาทิตย์ ร่มโพธิ์ร่มไทรมี สิงห์อมควัน 6 คน ที่มือคีบบุหรี่พ่นควันโขมงหน้าห้องน้ำชาย ลูกเดินผ่านพอดี เลยเดินไปบอกว่าที่นี่เขตปลอดบุหรี่เป็นเขตวัด เขาเลยรีบหลบไปด้านหลังห้องน้ำชไม่ทราบว่ามีวิธีการใดที่จะบอกกล่าวให้คนที่มาเที่ยวได้มีจิตสำนึกที่ดีต่อสถานที่ที่เขามาเที่ยว ความเคารพในสถานที่

พ่อครูว่า..ก็ค่อยๆบอกกันไป เขาเรียกภาษาฝรั่งว่า error ตกหล่นบ้าง ค่อยๆพูดไป ไม่ต้องหนักใจหรอก ก็มีเล็กๆน้อยๆบ้าง ค่อยๆพูดด้วยดี พวกนี้จริงๆลึกๆเขาก็รู้ แต่มันเสพติดกิเลสมาก คนเรามันทนได้ยากก็ละเมิด แล้วเขาไม่จริงจังกับธรรมะอะไรมากมาย เขายังไม่เห็นโทษจนคิดจะเลิก แต่เขายังเกรงใจไปสูบหลังห้องน้ำ เราค่อยๆรู้ไป ค่อยๆเป็นไป อย่าใจร้อน ดอกไม้มันจะบาน มันก็บานของมันเอง อย่าไปบีบไปบี้มัน

 

_มัชฌิมาปฏิปทาคืออย่างไรคะ

พ่อครูว่า..คำนี้ยิ่งใหญ่ มัชฌิมาปฏิปทาทำให้คนได้ผิดเพี้ยนไปไกลจากวิเวก เขาไปแปลว่าทางสายกลาง ซวยเลย มันมี 2 คำ มัชฌิมะ กับปฏิปทา ไปแปลว่าทางสายกลาง ไม่ใช่

ปฏิปทา แปลว่า ทางปฏิบัติ คุณก็เลยไปเอาคำว่าทางมา มัชฌิมะ แปลว่ากลาง ก็เลยแปลว่าทางสายกลาง คนก็นึกว่าทางเดินแล้วก็เดินไปในทางนี้ เดินอย่างไร ก็อย่าแวะข้างทางทั้งสองข้างนะ ไม่มีจุดหมายไม่รู้จักจุดสำคัญ ไม่รู้จักที่หมาย ไม่รู้จักสัจจะอะไรเลย ความจริงมันไม่ใช่ ให้เรียนรู้ 2 ข้างต่างหาก ไม่ใช่เดินไปทางสายกลาง ให้เรียนรู้ 2 ข้างคือ กาม อัตตา แล้วลดกาม ลดอัตตาๆๆ มันจะค่อยๆลดเข้าไปหาศูนย์ไปเรื่อยๆ กามหยาบ อัตตาหยาบ กามรองลงมาลดลงมา อัตตารองลดลงมา จนกระทั่งไม่มีกาม มีแต่รูปราคะ อรูปราคะ หรือกามหมดก่อนแล้วเหลืออัตตาที่เหลือ คือความลำบาก เรียกว่า กิลมถะ ก็ลดรูป ลดอรูป ก็เหลือกิลมถะ หมดอรูปแล้วตรวจสอบด้วยนัยลึกซึ้งอีกที ถึงขั้นอาสวะ และ อนุสัย

 

_พันตำรวจเอก ดุลเพชร...วันพุธที่ 19 ได้ไปร่วมกิจกรรมรามบูชาธรรม ก็ผิดหวังนิดๆว่า นักศึกษาไม่ค่อยสนใจ แม้แต่ลูกหลานเราที่จบ ม.6 ไปก็ยังไม่มีไป ก็ขอเรียนเชิญลูกหลานที่ตอนนี้มีเปิดซุ้มใหม่ใกล้ๆคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซุ้ม รามบูชาธรรม

พ่อครูว่า..เรื่องอจินไตยให้พักไว้ก่อน

อาตมาปางนี้คนที่ชื่ออะไรๆ อาตมาใช้ชื่อตัวนี้ ว่าคือใครอย่างไรในประดาคนมาสั่งสมบารมีมา อาตมารู้แล้วใช้ แม้แต่ที่สุดชื่อที่อาตมาตั้งให้เป็นชื่อที่เหมาะสมกับคนนั้นไม่ใช่เรื่องแกล้งหรือมุขขึ้นมา เหตุปัจจัยที่คนที่มีจริงทำจริงก็จะเป็นอย่างนั้น ที่ไม่มีเหตุปัจจัยจริงก็จะไม่ได้ อาตมาใช้คำศัพท์ว่าเห็นช้างขี้อย่าขี้ตามช้างเดี๋ยวก้นแตก พยายามให้รู้สึกว่าตัวเองถ่อมตัวไว้จะได้ไม่พลาดท่าเสียที

 

_เคยได้ยินพ่อครูเทศน์ว่าอเวไนยสัตว์ในโลกุตระก็มีเป็นอย่างไร

พ่อครูว่า..คำว่าเวไนยสัตว์กับอเวไนยสัตว์

คำว่า อเวไนยสัตว์เป็นสัตว์ที่สอนไม่ได้ คำว่า เวไนยสัตว์ แปลว่าสัตว์ที่สอนได้

ในโลกีย์เขาก็มีทั้ง 2 อย่าง ในโลกีย แต่ความดีความชั่วแล้วทำตัวเองให้ดีอย่าไปชั่ว ละชั่วประพฤติดีนี่คือโลกียะ ในโอวาทปาติโมกข์ กรรมทุกกรรมไม่ทำบาปอีกแล้ว ทำแต่กุศลทุกกรรมไม่เป็นบุญแล้ว อรหันต์ทุกองค์เลิกทำบุญแล้วมีแต่กุศล กุศลก็ถึงพร้อม นี่ก็ไม่ได้เข้าใจกันได้ง่ายๆ

 

_เริงเย็น...เนื่องในโอกาสสู่แดนทองฉลอง 50 ปีโพธิกิจ ดิฉันก็อยากขอทำความดีถวายพ่อ ทำงานที่ร่มโพธิ์ร่มไทร สัปดาห์ที่ผ่านมาก็ได้ทำโรงบุญ มีเวทีแสดงธรรม มีเหตุการณ์ประทับใจมากมาย แล้วก็อยากเป็นตัวแทนทีมงานขอบคุณผู้ที่เป็นจิตอาสาให้การสนับสนุนตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นผักสดจากกลุ่มเกษตรอินทรีย์อำนาจเจริญ แม่ค้าสวนอุทยานบุญนิยมที่มาช่วยแจกสินค้าต่างๆ อาซึ้งดินที่มาเป็นแม่ครัวแจกอาหารสดๆร้อนๆ แม่ค้าตลาดนัดที่ทำขนมเปียกปูนมาแจก 2 ถาดใหญ่ 200 ชิ้น รวมถึงที่ขาดไม่ได้ ป้ามีมี่ ทำขนมเปียกปูนมาให้ทุกอาทิตย์ อาแหม่มสวิสที่ทำน้ำหวานแจก ป้าอ้วนทำลอดช่องรวมมิตรฟักทองนึ่งมาแจก รวมถึงอาแซมเดือน อาคำนึงที่อำนวยความสะดวกในการแยกกำจัดขยะสดให้ทุกอาทิตย์ ถึงผู้ที่ให้การสนับสนุนที่ไม่ได้เอ่ยชื่อ

พ่อครูว่า..

 

_ไม้ร่ม ..ตราบใดที่พ่อท่านอยู่ที่นี่คนจะน้อยลง ไม่มีพ่อท่านคงจะมากขึ้นพ่อท่านคิดเห็นอย่างไรครับ

พ่อครูว่า..ก็เป็นคำพูดความเห็นของคุณว่า ตราบใดที่อาตมาอยู่ที่นี่คนจะน้อยลง ถ้าหากอาตมา ถ้าหากอาตมาตายเสียคนจะมากขึ้น ก็เป็นความคิดของคุณ

_ไม้ร่มว่า..พ่อท่านอยู่ คนก็คน(กิริยาน้อยลง)แต่ถ้าพ่อท่านไม่อยู่คนก็จะคน(กิริยา)มากขึ้น

 

_ไม้ร่ม ทุกคนที่ฟังคงไม่โกรธผม ผมถามพ่อท่านว่า ผมเคยว่าพ่อท่านมีอัตตามหึมา เพราะพ่อท่านเรียกตัวเองอาตมาเมื่อ 20ปีกว่ามาแล้ว วันนี้ผมก็บอกว่าพ่อท่านอัตตามากกว่าผมมากๆ พ่อท่านคิดเห็นอย่างไร

พ่อครูว่า...ก็ไม่เห็นเป็นไร คุณเป็นนักผกผัน เป็นอย่างไรคุณก็ขวางโลกเขาได้อย่างเช่น ผ้าดีๆคุณก็ไปฉีกให้ขาดเป็นผ้าผูกขาด คุณมีปฏิภาณปัญญาจะใช้อะไรให้เป็นจุดสะดุดใจ

ไม้ร่มว่า...ผมพูดจริงๆๆ เพราะพ่อท่านอยู่นี่พ่อท่านมาอาศัย ผมมีอัตตาน้อยนิดแต่อัตตาผมอยู่บนหัว แต่พ่อท่านอัตตาใหญ่แต่อยู่ใต้เท้้า มีอัตตาเพียงอาศัย  ที่ไหนในโลกก็ได้ก็ใช้อัตตาได้ แต่ผมเอาอัตตาทูนหัวอวดคน ขายขี้เท่อ มันน้อยแต่มาก แต่พ่อท่านอัตตามากแต่ไม่มี

 

พ่อครูว่า...ตกลงคุณอธิบายมาแล้วใครฟังไม่ได้ก็ต้องฟังเขาฟังไปแล้ว

 

_ไม้ร่ม.. ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ อีกอันหนึ่งบอกว่าอายุวรรณะสุขะพละ อันนี้ดัชนีชี้วัดการบรรลุธรรมคือไม่มีโรคทางกายวาจาใจ

พ่อครูว่า..แล้วแต่จะกำหนดสัญญาอย่างเดียวกันหรือสัญญาต่างกัน เจตนาเป็นที่ตั้ง ต้องถามว่าเจตนาเป็นอย่างไร ถึงจะรู้ว่าคนสัญญาอย่างนี้ คุณมีเจตนาอย่างนี้ก็ต้องอธิบาย

 

_หลวงปู่ครับ คนที่ชอบนินทาคนอื่น ทำนั่นทำนี่เหมือนไม่ได้ยินอะไร แต่ในใจกลับใจจดใจจ่อ ตั้งใจฟังคอยจะจับผิดอยู่เรื่อยเลย พอได้ยินก็เอาไปพูดให้คนอื่นฟังทำให้คนอื่นเสียหาย แบบนี้เขาเรียกว่าอะไรครับ

พ่อครูว่า...ก็เป็นคนหาเรื่องก็รู้เจตนาตัวเอง คุณอาจอ่านใจเขาผิดก็ได้ แต่คนที่ได้รับการท้วง ใครก็ตามที่ทำเช่นนี้ก็ระลึกตรวจสอบตัวเอง แก้ไขเสีย อย่าหาเรื่องวิวาทส่อเสียด ควรหาเรื่องให้สามัคคีกันอย่างดี

จบ


เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:16:28 )

630225

รายละเอียด

ญาติธรรมบอกว่า ผมเป็นอนาคามี?

25 กุมภาพันธ์ 2563 ญาติธรรมท่านหนึ่ง ได้มาขอสนทนาธรรมกับพ่อครูเป็นการส่วนตัว

 

ญาติธรรม : ตัวผมยังไม่เต็มร้อย ตัวผมมีภูมิธรรมแค่อนาคามี

พ่อครู : อนาคามีแล้วเหรอเอ้าๆ  ก็ดี

ญาติธรรม : แล้วก็ไม่ใช่เพิ่งได้เพิ่งมีนะครับ ได้มา 18 ปีแล้วครับ 

พ่อครู : ได้มา 18 ปีแล้ว เอ้าดีมาก

.

ญาติธรรม : ได้ตั้งแต่ปีพ.ศ.2545  ตั้งแต่ทักษิณเป็นนายกใหม่ๆ

พ่อครู : เราเข้าใจแล้วเราก็ดูสภาวะจิตใจของเรา ว่ามันตรงนะ สภาวะจิตใจของเรา อย่างนู้นอย่างนี้ตรงกัน ตรงอย่างที่เราเข้าใจกัน ตามหลักบัญญัติ ใช้ได้ บรรลุธรรมก็ดีแล้ว เป็นประโยชน์ของตัวเองเราก็พ้นทุกข์ ตัวเราเองก็มีคุณค่า

ญาติธรรม : ได้ภูมิธรรมมา 18 ปีแล้ว ผมก็ไม่ได้บอกใครนะครับ

พ่อครู : ไม่เป็นไร ไม่ได้บอกใครก็ไม่ได้เสียภาษีอะไรนี่

.

ญาติธรรม :  ครับ เหตุที่ไม่บอกใครเพราะ 1.ไม่ควรอวดอุตริมนุษยธรรม 2.ต้องการตามหาเพื่อนที่มีภูมิธรรมที่บรรลุธรรมใกล้เคียงกัน ตลอด 18 ปีมา ก็หาไม่ได้เลยนะครับ หายากมากเลยคนที่บรรลุธรรมครับท่าน ส่วนพ่อครูทราบแล้วก็ยกไว้ แต่ที่ยังไม่บอกเพราะตามหาเพื่อน หายากมากเลย

.

พ่อครู :  อ้าวก็เราไม่เห็น ก็ไม่เจอ คนเขาก็มีไม่ใช่ไม่มี ก็ไม่ใช่ว่าอาตมาบรรยายธรรมะมาได้คุณคนเดียวบรรลุธรรม ไม่ใช่ ได้เยอะ แต่ 1.คุณไม่เห็นเอง คุณเองมีมานะอัตตา มองไม่เห็นคนอื่น 2.ไม่มีมานะอัตตาเท่านั้น คุณเองคุณก็ไม่จริงเท่าไหร่ ก็เลยไม่ค่อยเห็น ถ้าเห็นเจอ

จริงๆก็จะเห็น จะเข้าใจ จิตจะไม่มีอคติ จะไม่ลำเอียง เพราะเราจะมองออกโดยตรง ตรงกัน ถึงคนนั้นอาจจะต่างจริตก็ตาม แต่มันก็เข้าใจได้ว่าคุณธรรมที่มีพฤติกรรมอย่างนั้นอย่างนี้ อ้าวเรียนรู้ให้จริง

.

ญาติธรรม : คนที่บรรลุธรรมพี่พ่อครูเทศน์สอนก็มีเยอะอยู่ครับ

พ่อครู : ไหนบอกว่าไม่เห็นแล้วจะรู้ว่ามีเยอะได้ยังไง เมื่อกี้บอกว่าไม่เห็น

ญาติธรรม : ที่บอกว่าไม่เห็นคือเพื่อนกัน เพื่อนผมครับท่าน เพื่อนที่สนิทกันครับ มีอายุใกล้เคียงกัน ที่เคยบำเพ็ญบารมีมาร่วมชาติกัน ใกล้ชิดกันยังไม่เห็นครับ มาเห็นแต่ในหมู่ชาวอโศก สมณะชาวอโศกหลายรูปอยู่ครับ

ถอดข้อความโดย อุทัย


เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:20:35 )

630225

รายละเอียด

พ่อครูตอบปัญหาพาดับความฟุ้งซ่าน : พ่อครูไม่รับรองโพธิรักษ์มิเตอร์

 

25 ก.พ. 2563 มี คุณรอย ได้มาขอสนทนากับพ่อครู

.

คุณรอย : โพธิรักษ์มิเตอร์ พี่ผมกำลังจะเกิดขึ้นมา พ่อครูเห็นบกพร่อง หรือถูกต้องยังไงบ้างครับ

.

          พ่อครู : เอ่อก็ใช้ได้ ก็ถูกต้อง

.

          คุณรอย : พ่อครูเพิ่มเติมก็ได้นะครับ

.

          พ่อครู : ไม่ละก็ดีแล้ว มีแต่เพียงทำให้ได้ ทำให้เต็มทำให้ได้ตามตัวเลข จนถึงอรหันต์นั่นแหละ ทำให้ได้ ความคิดอย่างนี้มันฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเฉยๆ ไม่ได้อะไร ฟุ้งซ่านด้วย เพราะงั้นทำให้มันได้ ถูกต้องแล้วมันก็ดีแล้ว ทำให้ได้จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน ทำให้ได้ตามที่เราคิดได้ เอ้าไปเก็บไว้เป็นหลักฐาน

.

คุณรอย : เมื่อวานรายการซำมะปี๋ฯ ที่มีคนถามอจินไตยอะไรที่ชาวอโศกต้องมาอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำมูล พ่อครูก็ตอบไปแล้วประมาณหนึ่ง พ่อครูมีอะไรจะต่อเพิ่มเติมไหมครับ

.

พ่อครู : ไม่ พอแล้ว มากมายไปแล้ว จะพูดเอามาทำไมมากมายอจินไตย พูดเรื่องที่ไม่รู้เรื่อง อจินไตย คือรู้ได้ยาก มันไม่รู้ รู้ไม่ได้ง่ายๆ พูดทำไม พูดแล้วมันจะรู้ รู้เอามาทำได้ ไอ้ที่ไม่รู้เอามาพูด เสียเวลา ก็บอกกันเพียงว่าไอ้นี้มันอจินไตย เป็นเรื่องที่รู้ได้ยาก ก็บอกก็ต้องเลิกไป เราจะเอามาวุ่นไปอีก จะดันทุรังไปทำไม ยังพุทธวิสัยเป็นอจินไตยข้อ 1 ก็ยังไงยังไงมันก็ไม่รู้จะเอามาพูดทำไม หรือฌานวิสัย เป็นอาจินไตย น่าสงสารโลก น่าสงสารสังคมมนุษยชาติ คือเขาไม่รู้ง่ายๆเลยว่าฌานคืออะไร  เราก็อธิบายจะตาย ฌานคือการนั่งหลับตาสะกดจิตมันไปใหญ่เลยนะ มันไม่ใช่ ฌานมันต้องตื่น ต้องมีชาคริยานุโยคะ ต้องตื่นมาแล้วก็ชัดเจนมีพลังงานสร้าง พลังงานโยนิโสมนสิการ พลังงานเป็นอุณหธาตุ เป็นพลังงาน มีพลัง

มีประสิทธิภาพ แรง จะเรียกภาษาไทยว่า ไฟ ก็ตาม มันมีพลัง มีฤทธิ์ที่จะระงับราคะ โทษะ

โมหะได้ แล้วมันทำได้จริงๆ ไม่ใช่เป็นเรื่องเย็นๆ เรื่องกดๆ เรื่องนิ่งๆไม่ใช่เลย เรื่องมีประสิทธิภาพ ความแรงความเร็วความร้อน เต็มเลยนะฌาน

.

          คุณรอย : พ่อครูครับ การที่พ่อครูมาอยู่ริมฝั่งแม่น้ำมูล พาชาวอโศกมาอยู่ ผมอยากถามเพิ่มเติมว่า ชาวอโศกหรือพ่อครู เคยเป็นชฏิล 3 พี่น้องไหมครับ

.

          พ่อครู : มันจะเป็นไปทำไมชฏิล เป็นพระพุทธเจ้า เป็นศาสนิกชนของพระพุทธเจ้า เป็นทำไมล่ะชฏิล ชนินทร์ก็ชฏิลไปสิ  ชฏิลก็ไปศึกษาบำเรอไฟ เพ่งไฟ หรือเพ่งอะไรไป เราไม่ใช่พวกนี้ พวกเรามันศึกษาพุทธ เป็นไปทำไมชฏิล ชฏิลพระพุทธเจ้ายังเอามาศึกษาสัมมาทิฎฐิเลย แล้วเราจะกลับไปเป็นชฏิลทำไม

.

คุณรอย : ไม่ได้กลับไปเป็นชฏิล แต่ว่าตอนหลังมานับถือตามพระพุทธเจ้าแล้ว ทั้ง 500 บรรลุอรหันต์หมดหรือเปล่าครับ

.

พ่อครู : ใช่

.

คุณรอย : ไม่มีเศษเหลือที่มาเกิดอีกเลยใช่ไหมครับ

.

พ่อครู : ทำไมคุณจะไปช่วยเก็บเขาหรือ พอ ไม่เป็นไร ทำตนเองเถอะ โอ๊ย เพ้อเจ้อ ฟุ้งซ่าน อะไรไปมากมาย เราเลือกพูดพวกนี้นิดๆหน่อยๆก็พอ พอรู้แล้วเข้าใจแล้วก็ไม่ต้องเอามาพูดอีก

.

คุณรอย :  เมื่อครึ่งเดือนก่อน ผมนอนคุยกับเพื่อน เราเคยอยู่ปักษ์ใต้เขาเคยบวชนะ

เขาถามผมว่าพวกเราเคยเป็นชนินทร์ไหม ถึงได้มาอยู่ใกล้แม่น้ำมูล คงเคยเป็นมั้งถึงได้มาอยู่ใกล้ริมฝั่งแม่น้ำมูลอีก

.

          พ่อครู : มันคนละทิศเลย แม่น้ำคงคามันอยู่ที่อินเดีย แม่น้ำมูลอยู่ในประเทศไทยมันคนละสายเลย

.

คุณรอย : แต่ตอนนี้ชมพูทวีปมันเปลี่ยนจากอินเดียมาอยู่ประเทศไทย

.

พ่อครู : เปลี่ยนมาแล้วเปลี่ยนไปได้ยังไง ยุคคนละยุค สมัยคนละสมัยกัน แม่น้ำคนละสาย คนละยุคสมัย คนคนละคน

.

          คุณรอย : พระครูครับ ชฏิลทั้ง 500 เป็นนักบวชหมดหรือเปล่าครับ ทานอาหารเป็นเนื้อสัตว์หรือเปล่าครับ

.

          พ่อครู : เป็นนักบวชหมด แต่ไม่รู้ทานอาหารอะไร

.

คุณรอย : เพราะนอนคุยกันถามละเอียดครับ

.

พ่อครู : ถามไปทำไม เหมือนกับคนที่ไปถูกลูกศรมา คนจะช่วยรักษา เขาบอกไม่ได้ต้องรู้ซะก่อนว่าคนมายิงเป็นใคร ลูกศรเอามาจากป่าไหน แล้วอาบยาพิษอะไร จะบ้าเหรอ พอ ถอนลูกศรของตัวเองออกแล้วจบ

.

คุณรอย : ขอรบกวนพ่อครูเพียงเท่านี้ครับ

 

ถอดข้อความโดย อุทัย

 

 

 


เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:23:18 )

630226

รายละเอียด

630226_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ วิชชาและจรณะของศาสนาพุทธ

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่...  https://docs.google.com/document/d/1S6hziwdcLNv8oFCQ0XLv_JEcTayfRq0oYzTLjNa_vzo/edit?usp=sharing                    

 

ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1M-YEAvjjrSxj1wDqKqpdhYus-TjwO_Rp

 

สมณะฟ้าไทว่า… วันนี้เป็นวันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้สถานการณ์การติดเชื้อไข้หวัด Covid 19 ก็มาแรง ควรงดไปต่างประเทศที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ วัดเราไม่มีสัตว์ที่เป็นพาหะก่อโรค เราไม่เลี้ยงสัตว์ แม้แต่พ่อครูทำน้ำตกก็ช่วยให้ฝุ่นละอองในอากาศลดลงมาก

พ่อครูว่า…630226  SMSวันที่23ก.พ.2563(วิถีอาริยธรรม)

 

_3919กราบเรียน สมณะ พ่อโพธิรักษ์ ทุเรียนผสมข้าวโพด จะจุดติบังเกิด ส่งผลถีงกำไร ได้หรือเปล่าครับ (ยืมมือถือของพี่มาส่ง SMS ครับ เทิดศักดิ์ สุระแสง)

พ่อครูว่า…กำไรของคุณหมายถึงอะไร? (สู่แดนธรรมว่า...เขาอาจฟังที่พ่อครูพูดแล้วต่อไม่ติดเข้าใจไม่ได้ก็เลยเขียนมาแบบนี้) หมายถึงว่าที่อาตมาพูดจะเป็นมรรคผลอย่างไรได้หรือ ก็ตั้งใจฟังให้ดี

 

_มั่นใจพุทธ บุญเสร็จ : ก่อนที่จะมารู้จักพ่อครู สมณะ อจ.หมอเขียวและชาวอโศกนั้น เคยสงสัยในคำว่าพุทธะ คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ว่าเป็นอย่างไร ตอนนี้ความสงสัยนั้นได้รับคำตอบเป็นที่ประจักษ์แก่ใจแล้วโดยเฉพาะจากพ่อครู

พ่อครูว่า…สายศรัทธาหลายคนสภาวะเกิดแล้วแต่รู้ตัวเองไม่ได้ก็มีหรือบางคนใช้ปัญญาในตัวเองแล้วตัวเองไม่รู้ก็มี หรือไปรู้ซ้อนก็ได้รู้ความเกิดความเป็นของตัวของตนนั้นรู้ไม่ได้ก็ได้ มันเป็นเรื่องนามธรรม ใช้ภาษาสื่อสภาวธรรมที่ไม่มีตัวตนรูปร่างไม่มีหัวไม่มีหาง เป็นนามธรรมอยู่ เราต้องรู้เอง

 

_Fgttสมศรี Ffhyลุงตู่ : รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม...อาจยังปฎิบัติไม่ได้ครับ...แต่ศรัทธาในธรรมครับ

พ่อครูว่า…ดี ตั้งใจ

 

_จิตรา อัศวิน : กราบ_/\_นมสก พ่อครู ที่เคารพยิ่ง กราบขอบพระคุณที่สาธยายธรรมเรื่อง. สัตตาวาส 9 และวิญญาณทิฏิ 7 จะเปิดย้อนฟังธรรมชุดนี้หลายๆครั้งเพื่อทำความเข้าใจให้แจ่มชัดขึ้น..เจ้าค่ะ

พ่อครูว่า…ถ้าสามารถรู้เรื่องกายเรื่องจิต กายกับจิตเป็นนามธรรมก้อนใหญ่ สัญญาเป็นเจตสิกอีกที ไปทำงานย่อยกำหนดรู้แล้วทำงานสองอย่างสำคัญมากมีทั้งลักษณะ static dynamic ในตัว บวกกับลบในตัวเองเลย บวกสั่งสมลงนิ่ง ลบก็เคลื่อนไหว เหมือนกับลูกข่างหมุนเร็วนิ่ง เร็วจนแทบจะวัดความเร็วยาก แยกกันไม่ได้ แต่ทำงานร่วมกัน เมื่อเป็นชีวะจะเร่ิมแยกไป เป็นอุตุก็แยกกันเป็นดินน้ำไฟลม หมดอัตภาพ หมดอัตตา จิตนิยามเราก็สูญไม่เหลือ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน คอมมูนอโศกคืออะไร

_พัชรี พันธุ์คุณจำเนียรPatchareepunkhunjumnien : คอมมูน ที่พ่อครูกล่าวถึง เป็นอย่างไรคะ

พ่อครูว่า…ยากนะ ง่าย แต่ละเอียดหลายชั้นมาก คอมมูน หมายความว่า กลุ่มรวม คนมารวมกันแล้วมีกายมีจิต มีตัวตนบุคคล มีองค์ประกอบดิน น้ำ ไฟ ลม พฤติกรรม เครื่องอาศัยต่างๆ วัตถุ และจิตวิญญาณ สังเคราะห์สังขารกันอยู่ เป็นอันนี้อันนี้เยอะแยะมากมายมหาศาลซึ่งความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้นสุดยอด แยกให้เป็นสัดส่วนได้ ที่แยกไว้ อุตุ พืช จิต กรรม ธรรม ซึ่ง กรรมคือ Dynamic ธรรมะเป็น Static แล้วทำให้จิตนี้เป็นอุตุ เป็นพืชได้ องค์ประกอบกิจมีเท่าไหร่ พีชะ มีองค์ประกอบเท่าไหร่ อุตุ มีอย่างไรแค่ไหน อุตุไม่มีนามแล้ว พีชะ ก็ไม่เรียกมันว่านาม แต่มันมีรูป แล้วมันก็มีความรู้ เรียกว่าสัญญา แล้วก็สังขารปรุงแต่งกันอยู่ ยังไม่เรียกว่ามันมีความรู้สึก รู้สึกเจ็บ รู้สึกปวด รู้สึกรัก รู้สึกชัง พอมาเป็นสัตว์ก็มีได้

เริ่มตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวมีกรรมวิบาก พืชไม่มีกรรมวิบาก ไม่มีการแก้แค้น ไม่มีการทำร้ายทำลายกันไม่มี แล้วจะไปดูดดึงอะไรอีกไม่มี มีแต่ตัวเองดูดตัวเองถ้าดูดไว้ไม่ได้ก็สลายเป็นดินน้ำไฟลมนี่แหละพืช ส่วนจิตนี้วิจิตรพิสดารมากกว่าพืช ศึกษาให้ดีๆ รวมกันแล้ว องค์รวมเป็นคอมมูน

คอมมูนสูงสุดที่อาตมานำเสนอเป็นผลสำเร็จคือ สาธารณโภคี นี่เป็นสุดยอดของมนุษยชาติของสังคมมนุษยชาติ สาธารณโภคี หมายความว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีตัวเรา ไม่มีของเรา เป็นการรวมกันส่วนกลาง แล้วเราก็อาศัยกินใช้อยู่ในองค์รวมนี้ อย่างคอมมูนของครอบครัวหนึ่งก็เป็นองค์รวมของวัตถุเงินทองค่าของทรัพย์สินกับชีวิตอาศัยอันนั้น ของครอบครัว เมื่อมาเป็นสังคมนิยมสังคมคอมมิวนิสต์ เขาก็เป็นของเขา ตีกรอบของเขาในระดับประเทศหรือรัฐของเขา อยู่ในองค์รวม แล้วก็มีหลักเกณฑ์ต่างๆตามแบบตามภูมิธรรมของเขา

ส่วนสาธารณโภคีนั้นกว้างกว่า รวบรวมได้ซึ่งมีจิตตัวเองเป็นตัวกำหนดความเป็นอิสระเสรีภาพ ที่จะมารวมกับ คอมมูนไหน กลุ่มรวมกลุ่มไหน ตัวคุณมีสิทธิ์ของตัวเอง จะเลือกเอาไม่มีใครบังคับ หรือใครหลอกคุณก็ถูกหลอกคุณก็โง่ ถ้าคุณไม่ถูกหลอกเลยคุณก็เลือกด้วยความบริสุทธิ์ของคุณเอง ก็เลือกเอา

อย่างสาธารณโภคี มีอิสระเสรีภาพสูงสุด มีปัญญา มีธาตุรู้ที่เยี่ยมยอดที่สุด เลือกได้อย่างอิสระเสรีภาพ เสร็จแล้วก็มาเป็นสาธารณโภคี มีแต่ให้เป็นทาน มีกรรมกิริยาที่ทำงานขยันหมั่นเพียรสร้างสรรค์ช่วยเหลือคนอื่นอยู่ตลอดเวลา อนุกัมปา สุดท้ายก็ไม่มีตัวตนอนัตตา

เพราะฉะนั้น 5 คำสุดท้ายนี้ อิสระ ทาน ปัญญา อนุกัมปา อนัตตา ห้าตัวนี้ อาตมารวมเป็นหมวดหมู่ของคุณธรรมสุดยอดของมนุษยชาติและของสังคม เท่าที่จะรวบรวมได้ สุขยิ่งกว่าสุข ไม่มีทุกข์แน่นอน แต่ยิ่งกว่าสุข ต้องเรียนรู้ไป มีปัจจัตตังเป็นของตัวเอง อ๋ออย่างนี้นี่เอง ซึ่งให้ใครมารู้แทนก็ไม่ได้

 

_sms วันที่ 24 ก.พ. 2563 (สำมะปี๋ ซี๋วิต : พ่อครู)

 

_เจ.คิว. : ขอรบกวนด้วยค่ะว่าตอนนี้จานดำ idea sat ชึ่งเมื่อก่อนเปิดดูได้ช่อง192 ตอนนี้อยู่ช่องไหนคะ หาไม่พบค่ะ

พ่อครูว่า….ทางเทคนิคจะมีตัววิ่งบอกให้อีกที

Infosat ช่อง 138 หรือ 185 , PSI 240 , Gmm 163  , Ideasat ThaiSat KS TV 176

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน วิชชา 8 ของพุทธเป็นเช่นไร

ตอนนี้อาตมาก็ตั้งใจจะต่อเรื่อง จรณะ 15 วิชชา 8 ให้ดีเสียก่อนถึงจะต่อไปยัง สัตตาวาส 9 วิญญาณฐิติ 7

จรณะ 15

1. ถึงพร้อมด้วยศีล . .       9. ปรารภความเพียร  (อารัทธวิริโย)

2. คุ้มครองทวารอินทรีย์ 10. สติอันเป็นอาริยะ

3. ประมาณในโภชนา      11. ปัญญา  

4. ประกอบความตื่น         12. ปฐมฌาน

5. ศรัทธา (เชื่อมั่น)          13. ทุติยฌาน

6. หิริ (ละอายต่อบาป)      14. ตติยฌาน

7. โอตตัปปะ. (สะดุ้งบาป)  15. จตุตถฌาน

8. แทงตลอดในพหูสูต   (ล.13/34)

 

ปัญญา 8 ตอนนี้อาตมาก็เขียนขยายความอยู่ แต่ก็อธิบายไปเรื่อยๆแล้ว และก็เขียนหนังสือ ประชาธิปไตยไทยที่ใครๆไล่ไม่ทัน เขียนสลับกันไปคู่กัน ไม่สับสนกันด้วย

 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ

สมณะฟ้าไทว่า...เรามาศึกษากับพ่อครูก็เริ่มที่จรณะ 15 นี่แหละ

 

พ่อครูว่า...จรณะ 11 ข้อแรกให้ปฏิบัติตรงศีลแล้วปฏิบัติไม่ผิด 3  แล้วจิตเกิดสัทธรรม 7 มีตัวพลังงานที่ทำให้กำจัดกิเลสจนจิตสะอาด เกิดฌาน 1 2 3 4 ทำให้สัทธรรม 7 เจริญขึ้น หากก้าวหน้าเรียก ฌาน 1  2 3 4 ฌานคือไฟ พลังงาน อุณหธาตุมีฤทธิ์แรงร้อนละลายไม่ใช้ทำให้จับตัว ฌานคือไฟ แต่พวกเทวนิยมฌานของเขาจะเย็นนิ่งแข็งเป็นก้อนหยุด แต่ฌานของพระพุทธเจ้ามีความร้อนละลายไฟราคะโทสะโมหะเลย ฝั่งนั่งหลับตาก็ไม่มีการรู้ราคะโทสะโมหะ มีแต่จับตัวกันเป็นก้อน ไม่แยกแยะออกได้ แต่ของพุทธนี้แยกแยะละเอียดลออ ทุกเม็ด ละอองธุลี มันต่างกัน

เมื่อเกิดฌาน 4 ก็ครบ จรณะ 15 แล้วทุกขั้นตอนมีปัญญา 8 หรือวิชชา 8

คำว่าปัญญา คือ ธาตุรู้ที่เป็นของศาสนาพุทธ และศาสนาอื่นก็เอาไปเรียกใช้ความฉลาดแบบอื่นด้วยคำว่าปัญญา ไปตู่เอา(เสียงไมค์หอน ตัดออกด้วย) คำว่าปัญญาต่างจากเฉโกที่เป็นความฉลาดโลกีย์

สรุปแล้ว ความฉลาดโลกีย์คือที่เรียกด้วยพยัญชนะว่าเฉกาหรือเฉโก

ความฉลาดอีกตระกูลหนึ่งเรียกว่า ปัญญา เป็นของมนุษย์ดาวคนละดวงต่างกันมีความหมายต่างกัน แต่คนเอาภาษาดาวโลกุตระไปใช้สุ่มสี่สุ่มห้าโดยใช้กับดาวโลกียะ คำว่าปัญญาถึงเสียหมดเลย เอาไปทำลายหมดเลย ก็เลยไม่มีความเข้าใจ ไม่มีความรู้ได้ว่าโลกุตระหรือปัญญามันคืออะไร เอาไปใช้ผิดเองตัวเองก็ไม่เข้าถึงสภาวะเพราะไปทำลายภาษาด้วยตัวเอง เอาคำว่าปัญญาไปเรียกอย่างนั้นหรือเอาคำว่าบุญไปเรียกของตัวเองว่าเป็นกุศลของตัวเอง ซึ่งบุญไม่ใช่กุศลมันคนละเรื่องกันเลย กุศลเป็นสิ่งมีแต่บุญเป็นสิ่งที่ทำลายเป็นสิ่งที่ไม่มีอย่างนี้เป็นต้น  

 

อาตมาเอาสาธารณโภคีมาทำได้ เพราะเขาทำลายเรื่องทาสกันได้แล้วมีสิทธิ์เสรีภาพที่จะเข้าใจและเป็นไปได้

 

ไปวิชชาจรณะ

แล้วฌาน 1 2 3 คำว่ามีทั้งวิตกวิจาร มีปีติ สุข อุเบกขา ฌาน 1 มันมี พอมาฌาน 2 วิตกวิจารหาย เหลือปีติ สุข

ฌาน 3 ปีติหายไปเหลือสุข ฌาน 4 เหลือแต่อุเบกขา จะเรียก เอกัคคตา ก็ได้

 

วิชชา 8

1. วิปัสสนาญาณ คือความรู้ รู้อย่างมีผัสสะ รู้อย่างลืมตา มีการเห็น วิปัสสี วิปัสสนา เป็นคำที่ต้องให้เกิด เกิดญาณ รู้แล้วก็เอาไปปฏิบัติ เกิดฤทธิ์ทางใจ มยิทธิ
          2. มโนมยิทธิญาณ เกิดฤทธิ์ทางใจของเราเอง ที่ไม่ใช่ อิทธิปาฏิหาริย์ ไม่ใช่ อาเทสนาปฏิหาริย์ แต่เป็นปาฏิหาริย์ ตามพยัญชนะภาษาที่พระเจ้าเอามาแทนสภาวะให้รู้ความสุขหรือความทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ รู้รายละเอียดของทั้ง 2 อย่าง ไม่ใช่ไปรู้เป็นอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ เหมือนหนังกำลังภายในของจีน เพ่งเล็งจิตคนอื่นสัตว์อื่นว่าคิดอย่างไร หรือค้นหาของหายได้หรือส่งจิตไปทำร้ายคนอื่นได้ ไม่ใช่ ไม่เอา เมื่อย แล้วก็ไปกระทบคนอื่น อวดเก่งกับคนอื่น พระพุทธเจ้าท่านตัดทิ้งไป

ดูกร เกวัฏฏะ  เราทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองแล้ว  จึงได้ประกาศให้รู้   ปาฏิหาริย์ 3 อย่าง  เป็นไฉน ?  คือ

          1. อิทธิปาฏิหาริย์ (แสดงฤทธิ์ทางใจ ไปซ้ำกับพวกคันธารี)

          2. อาเทสนาปาฏิหาริย์ (หยั่งรู้จิตคนอื่น ไปซ้ำกับมณิกา)

          3. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ (สอนวิชชา8 เป็นปัญญาสัมปทา)

พระองค์ทรงเห็นโทษภัยจึง อึดอัด(อัฏฏิยามิ)   ระอา(หรายามิ) เกลียดชัง(ชิคุจฉามิ) ในอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทสนาปาฏิหาริย์  แต่ทรงยกย่องให้สอน ให้ทำใจ ให้เข้าถึงอนุสาสนีปาฏิหาริย์ . 

(เกวัฏฏสูตร   พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 339-341)

มโนมยิทธิ คือ มีฤทธิ์ทำลายกิเลสได้

3. อิทธิวิธญาณ คือ มีฤทธิ์ มโนมยิทธิที่หลากหลายแตกต่าง ฤทธิ์ทางธรรม ไม่ใช่อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ด้วย แต่อาศัยคำว่า อิทธิเท่านั้น แต่เป็นฤทธิ์แรงของพลังงานทางจิตที่สามารถ สำคัญคือรู้จักกิเลสทำลายกิเลสกำจัดกิเลสได้ นี่เป็นจุดหมายจุดสำคัญ ก็มีอิทธิวิธญาณ หลากหลายขึ้น ท่านั้นท่านี้ เหลี่ยมนั้นเหลี่ยมนี้ จนหมดของตัวเองแล้วแถมรู้ของคนอื่นได้ ก็ไปช่วยคนอื่นได้ พระโพธิสัตว์จะมีตัวนี้เพิ่มขึ้นของพระอรหันต์ทำตัวเองให้หมดจบของตัวเองเรียกว่าเป็นพระอรหันต์ส่วนที่ไปช่วยคนอื่นด้วยเรียกว่าเป็นพระโพธิสัตว์ ก็จะเพิ่มเป็นประโยชน์ตน เป็นประโยชน์ท่าน ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน เรามีประโยชน์ตนเท่านี้ก็ช่วยคนอื่นได้เท่านี้เรามีประโยชน์ตนมากขึ้นก็ช่วยคนอื่นได้มากขึ้นแล้วอย่าไปช่วยจนหมดเนื้อหมดตัว มีทุน 100 ก็ช่วยคนอื่นซัก 60 (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

 

นิมนต์พักจิบน้ำ

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน...เห็นคนมาแย่งกันซื้อของ เพราะว่าเขาคนเยอะต้องกินใช้ แต่ของเราคนมากแต่อิสระกว่า

 

อิทธิวิธญาณไม่ใช่อิทธิปาฏิหาริย์ อันนี้แหละมันยากมากเลย

อิทธิปาฏิหาริย์ที่ทางโลกีย์เทวนิยมเขาทำกันซื่อๆ เขาแปลในพระไตรปิฎกเขาแปล เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ ไม่มีคำว่าคนแต่เขาแปลว่าเป็นคนเดียว จริงแล้วจะแปลว่าคนเดียวก็ได้แต่ทางนามธรรมไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา คำว่าหนึ่งเดียวทางนามธรรม อย่างของอาตมาทำงานคนเดียวจริงๆก่อนใครเป็นไก่ตัวพี่ กู่ร้องหาพี่ แต่ก็ไม่มีมามีแต่น้องก็ทำไป

จากอาตมาหนึ่งเดียว ก็สามารถมีคนที่ได้ธรรมะโลกุตระกิเลส เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มาได้หลายคน ทำให้หลาย พหุทาปิ พหุทาแปลว่ามากมายหลากหลาย ให้มาเป็นหนึ่งเดียว พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ หลายๆหรือจะเอาเป็นคนๆนั้นก็คือคุณธรรมของเขา มากกว่าหลายคนก็มารวมตัวกันเป็นธรรมะโลกุตระหนึ่งเดียว เป็นธรรมะที่รู้จักเอโกธัมโม แบบเดียวกันรู้จักกิเลสลดกิเลสได้ให้เป็นศูนย์เหมือนกันหลายคนของใครของมันแต่ 0 เหมือนกัน

สู่แดนธรรมว่า...เขาว่า ชาวอโศกพูดอะไรเหมือนกันหมดเช่นบอกว่าจนมันดีเหมือนกันหมด

พ่อครูว่า..แรกอาตมาไปประเทศที่วัดมหาธาตุ ก็บอกว่าพวกอโศกมันพูดเหมือนกันหมดเลยมันนัดกันมาหรืออย่างไร จริงแล้วต่างคนต่างเอาความจริงมาพูด ที่จริงแล้วก็พูดคนละจำนวนคนและพยัญชนะแต่ความเข้าใจของท่านทั้งหลายที่เป็นภิกษุพวกนั้นได้ฟังแล้วก็บอกว่าทำไมพูดเหมือนกันหมดเลยพวกอโศก แต่ที่จริงแล้วคนละสำนวนคนละภาษา ที่เป็นสำนวนลูกทุ่งก็พูดลูกทุ่ง คนที่พูดลูกกรุงก็พูดลูกกรุง แต่มันรวมกันเป็นหนึ่งเดียวเป็น 3 อันจะตามเป็นทิฏฐิสามัญญตาหนึ่งเดียวกันอย่างนี้เป็นต้น

หนึ่งเดียวเป็นพันคนเป็นตัวบุคคลก็ได้ ศาสนาพุทธไม่ใช่ อันนั้นมันเป็นนามธรรมมันเป็นคนอธรรม เป็นพระโสดาบันตอนแรกก็มาเป็นคนเดียวแล้วมาแพร่เชื้อ ไม่ใช่โคโรน่านะ แต่เป็นเชื้อของพระโสดาบันได้เป็นพันมีเชื้อพระสกิทาคามีจากคนเดียวก็เป็นหลายพันเชื้อของพระอนาคามีจากคนเดียวก็เป็นหลายคนจากพระอรหันต์ 1 คนก็ไปหาหลายคนจะกล่าวว่าเป็นพันก็ยังไม่ได้ อนาคามียังมีได้จะเป็นพันน่าจะถึง แต่อรหันต์ยังกล่าวไม่ได้ว่าเป็นพัน แต่เป็นร้อยน่าจะยังกล่าวไม่ได้ แต่ก่อนว่าเอาอรหันต์ 9 รูปก็พอใจ แต่ตอนนี้เกินแล้ว

เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ ไม่ใช่เรื่องของตัวตนบุคคลเราเขาแต่เป็นเรื่องของนามธรรม จากหนึ่งเป็นหลายได้ หลายมาเป็นหนึ่งได้

ยิ่งกว่านั้น ทำให้ปรากฏก็ได้ทำให้หายไปก็ได้  ทำให้หายไปได้เป็นสูญ เรามีชีวิตอาศัยมันอยู่ 1 จะเรียกว่าสุขก็ได้ แต่ขอยืมภาษาคำว่าสุขมาใช้เท่านั้น เป็นยิ่งกว่าสุข แต่ไม่ใช่ความสุขอย่างยิ่ง เช่นที่บอกว่าอร่อยก็ต้องอร่อยกว่านี้อีกรสเผ็ดก็ต้องเผ็ดกว่านี้อีกแต่นี่ไม่ใช่มันหายไปเลยยิ่งกว่าสุขที่เผ็ดอย่างยิ่ง อร่อยอย่างยิ่ง เค็มอย่างยิ่ง หวานอย่างยิ่ง ร้อนอย่างยิ่ง ก็แล้วแต่ใครจะมีมิติไหนที่ไปชอบเอร็ดอร่อย ก็เป็นความมีตัวตนแจ้งก่อนทั้งนั้น แต่ของเรานั้นเป็นความไม่มีอย่างยิ่ง แต่อันนั้นมันเป็นความมีอย่างยิ่ง ของพระพุทธเจ้าไม่มีอย่างยิ่ง สุ แปลว่าดี ข แปลว่าว่า ว่างนั้นแหละดี ๆ

ส่วนคำว่า ทุก ข คือ ทุ กับอักขะ อักขะแปลว่าก้อนแก่นแกน ทุก็คือไม่ดี ทุๆๆ ยิ่งขึ้นไม่ใช่สุ มันไม่ดี เป็นแก่นแกนที่จับตัวยึดตีไม่แตกคือก้อนทุกข์ แต่สุข หายไปจากก้อนแก่นแกนหายไปจากความมี สูญไปเลยว่าง

ทำให้ปรากฏก็ได้ทำให้หายไปก็ได้ที่ไม่ใช่ในตัวตนเป็นคนขึ้นมาตั้งเยอะแยะ หรือสิ่งใดจะเป็นอย่างไรเนรมิตขึ้นมา เป็นฤาษี เสกให้สูญหรือให้มี ไม่ใช่  มันเป็นเรื่องของสภาวะธรรม โดยเฉพาะมีเป้าหมายคือกิเลสหายไป แต่ก่อนมีความสุขมีความสุขแต่ตอนนี้ให้ความสุขหายไปความทุกข์หายไปมันแยกไม่ออกเป็นเทวะเป็นคู่ เป็นเทวนิยมตลอดกาลนาน พอตีแตกออก เริ่มต้นเรารู้จักความทุกข์หรือความสุขมันก็ยังมีความทุกข์อยู่ หมดความทุกข์ความสุขก็หมดไปเลยหมดทั้งความสุขความทุกข์ อทุกขมสุขก็ว่าง คืออุเบกขา

อทุกขมสุข คือ คำอธิบายของความมี อุเบกขา คือ คำอธิบายของ สูญ กลางๆไม่มีอะไรเป็นคู่เทียบเปรียบแล้ว สูญ หรือหนึ่งก็ได้ ผู้ที่เป็นอรหันต์ทำ 1 ให้เป็น 0 ได้ ก็จบบริบูรณ์ แยกธาตุให้เป็น 0 ได้ เทวะสอง รูปนาม สิ่งที่มีกับสิ่งที่ไม่มีทำให้ไม่มีได้สำเร็จ เช่นเป็นอุตุธาตุ หรือสังคมที่แต่ก่อนนี้เราจะต้องไปคลุกคลีด้วย สังคมอบายมุข เดี๋ยวนี้สังคมอบายมุขมันก็ยังมีจัดจ้านแต่เราไม่เกี่ยว เราหลุดพ้นมาแล้วตั้งแต่เป็นพระโสดาบัน เรียกว่าเป็นเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน ลอยตัว แม้ว่ามันจะมี บ่อนไพ่ประเทศไทยก็ยังมี ไปชายแดนเขมรมีเยอะ เราไปไหนเราก็อยู่เหนือมันไม่มีรสชาติ มาเก๊า ไป ลาสเวกัสมีเยอะแยะ

แผ่นดินนี้ทั่วโลกเป็นเอกราชทั่วทั้งแผ่นดินในอบายมุข ที่อู่ฮั่นมีเชื้อโรค พูดกับมันก็ไม่รู้เรื่องหรอก มันจะเอาเราตายท่าเดียว เราก็เป็นตัวเป้า เราตัวใหญ่มันเป็นตัวเล็กด้วยมันเข้ามาเราไม่เห็นไม่รู้ทันมันเสร็จมันเลย เพราะฉะนั้นเราต้องรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง อย่าไปอวดดีกับมัน

ยิ่งกว่าเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน .

ยิ่งกว่าสวรรคาลัย

ยิ่งกว่าอธิปไตยใดในโลกทั้งปวง . .

คือ พระโสดาปัตติผล 

 

ต้องรู้จักอาการสวรรค์ อาการนรก อาการทุกข์ อาการสุข ต้องล้างมันทั้งสองอย่าง รู้สิ่งที่มีเราก็ทำให้มันหายไปเรามีการเปรียบเทียบ อาศัยสวรรค์ไม่ต้องอาศัยสวรรค์เลยเลิกสวรรค์ไม่มีนรกไม่ต้องอาศัยเลยเรียกว่ายิ่งกว่าสวรรคาลัย ยิ่งกว่าอธิปไตยใดในโลกทั้งปวง อธิปไตยคือพลังอำนาจ เป็นพลังอำนาจที่ชนะทุกอย่างเหนือกว่าทุกอย่าง แต่โรคอบายมุขเราพ้นแล้วอบายมุขมันจะมีอยู่ที่ไหนเราก็เหนือเป็นอธิปไตยเหนือกว่ายิ่งกว่า หมดสุขหมดทุกข์ หมดสิ่งที่เราจะไปคลุกคลีเกี่ยวข้องแต่เข้าไปอยู่ในนั้นได้ แต่ฤทธิ์เดชของอบายมุขพวกนรกที่มันหยาบ ไม่ระคายตัวเรา ไม่สามารถทำอะไรตัวเราได้เลย สรุปแล้วเราสูญก็ได้มีก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ทำให้สูญก็ได้ มีเป็นล้านก็ได้ ถ้าเก่งก็ไปได้เรื่อยๆ เจริญขึ้นก็สามารถมีกับเขาได้มากเพราะมีศูนย์เป็นฐานแล้ว จะมีมากเท่าไหร่ก็จบที่ศูนย์ได้

ทะลุฝากำแพง ภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่าง ยิ่งกว่าแสง ยิ่งกว่าเสียงทะลุไป แต่ก็มีอะไรกั้นได้ขนาดหนี่งไม่ให้ออกไปได้ แต่นี่ยิ่งกว่าแสงเสียง ทะลุทะลวงไปได้ยิ่งกว่าแสงเสียง เป็นพลังงานจิตที่มีฤทธิ์มีแรงมาก

สู่แดนธรรม...บอกเป็นรูปธรรม ไปในห้างสรรพสินค้า เราได้เห็นป้ายบอก sale 50% 70% เราก็เฉย

พ่อครูว่า..ให้ฟรีแล้วก็ยังเฉยเลย เดี๋ยวเอาไปกองเป็นขยะ ไม่ติดขัดเหมือนไปไหนที่ว่าง คนอื่นจะกระดี๊กระด๊าแต่เราเฉยๆให้ฟรีก็ไม่เอา นี่คือทะลุกำแพงภูเขาต้องเข้าใจพยัญชนะมีสภาวะ ผู้ที่รู้จะสื่อสารรายละเอียดของธรรมะ ใครจะติดว่ามีฤทธิ์เดชจะต้องเอาหัวไปใช้พวกเขาเองก็เก่งไปเลย ก็ได้เราไม่มีเถียงอะไรคุณทำได้ก็เป็นของคุณ ต้องไปเป็นพระเอกหนังจีนแล้วว่าไป แต่เราไม่เอา จะเอาอะไรทะลุ แบคโฮก็ทะลุได้แต่หัวเราเอาไปใช้ประโยชน์คุ้มสมองก็แล้วกัน

ผุดขึ้นหรือดำลงไปในแผ่นดินก็ดำไปได้เหมือนน้ำ เดินบนน้ำเหมือนเดินบนแผ่นดิน คู่กัน ดำผุดดำไปในแ่ผ่นดินแข็งๆ หรือดำไปในภูเขาได้ หรือจะน้ำมีถ่วงจำเพาะคนละระดับเราไปเดินก็จมแต่นี่เดินบนน้ำได้สบายยิ่งกว่าแมงมุม  ยกตัวอย่างแมงมุมมาประกอบ

ที่จริงเรามี อิทธิวิธญาณ สามารถที่จะมีฤทธิ์พลังกองกิเลสเท่าภูเขาเราก็เดินผ่านไปได้เหมือนมีที่ว่างไม่ติดไม่สัมผัสอะไรเลย กองภูเขาเราก็ไม่มีปัญหาเหมือนเดินไปในที่ว่างหรือจะไปอยู่ด้วยดำลงไปขึ้นมาก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดิน น้ำหนักมากกว่าน้ำมันก็จม แต่เราเดินเหมือนกับเดินบนแผ่นดิน เปรียบเทียบกับวัตถุมันอย่างนั้นก็หมายความว่า ในดินแดนของโลกที่เป็นโลกอบายมุขก็ตามโลกของกามคุณก็ตาม เราเดินไปสิ่งเหล่านั้นสำหรับเราก็ไม่ติดเราลอยตัวอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้นหมดเลย เดินบนน้ำเหมือนเดินอยู่บนดิน ถูกมันดูดลงไปก็ไม่ได้เราจะอยู่ร่วมกับมันก็ได้ไม่ขึ้นไม่ลงไม่หายไปจากกันเกี่ยวข้องกันอยู่แต่ไม่เกี่ยวข้อง เกี่ยวข้องแต่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่หยั่งลงในที่หลงเลย

เหาะไปในอากาศเหมือนนกกระดาษเบาสบาย ไปไหนมีบาตรบริหารท้อง จีวรบริหารกาย เหมือนนกน้อยมีปีก จะไปไหนก็บินไปได้ทั่วสารทิศ เหมือนนกบินไปในอากาศได้ ไม่ต้องเอาอะไรใคร มีปีกสองปีกเป็นของเราก็เอาปีกบินไปในอากาศที่ว่าง ไม่ติดขัดไม่เดือดร้อนเลย

หรือ ลูบคลำพระอาทิตย์พระจันทร์ ซึ่งมีฤทธานุภาพมากด้วยฝ่ามือได้ อาทิตย์มันร้อนขนาดไหนคุณเอามือไปลูบก็ละลาย สามารถลูบคลำพระอาทิตย์ได้ พระอาทิตย์มันเป็นวัตถุมันเป็นพลังงานทางวัตถุสสาร แม้ที่สุดวัตถุสสาร ลูบคลำ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกได้

อาตมาพูดอย่างหยาบว่าลูบหัวล้านพระพรหมเล่นได้ เรียกว่าใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกได้ พรหมโลกเป็นดินแดนสะอาดบริสุทธิ์เราไปอยู่ในนั้นได้อย่างไม่ติดขัดไม่มีอะไรใหญ่กว่าเรา พระพรหมบอกว่าเรานี่แหละใหญ่พระอินทร์บอกว่าเรานี่แหละใหญ่ ไม่มีใครใหญ่กว่าเราได้ ลูบคลำหัวล้านพระพรหมพระอาทิตย์ได้

สู่แดนธรรมว่า..พระอาทิตย์หมายถึงผู้มีอำนาจเช่นนายกรัฐมนตรีเราก็เคยไปไล่มาแล้ว

พ่อครูว่า..อาตมาพยายามทำความเข้าใจเรื่องประชาชนทำรัฐประหารรัฐบาลด้วยมือเปล่าด้วยความดีด้วยความจริงไม่ได้ใช้อาวุธ รัฐบาลทรราชก็แพ้ความจริง แม้ว่าจะมีศาลช่วยตัดสินให้ก็ตามจะมีทหารช่วยก็ตาม เป็นองค์ประกอบที่ช่วยอย่างเราไม่ได้ใช้อาวุธเลย คุณได้ละอายต่อความจริงความจริงมันได้ดันคนออกไปจากเราไม่ได้มาใกล้ได้ เรามีคุณงามความดีความถูกต้อง ของคุณนั้นเป็นความเลวความแรงความไม่ถูกต้องเข้ามาใกล้ไม่ได้ รัศมีของความดีงามความถูกต้องเป็นกำแพงไร้สภาพมีฤทธิ์มากมาย เมืองไทยนี้ประชาชนไปปฏิวัติอาวุธคือความจริงความรู้ความสงบสำเร็จมาแล้ว 4-5 รัฐบาลซึ่งคนยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของการปฏิวัติหรือประชาธิปไตยที่มันเป็นคุณธรรมเอาความสงบไปเป็นอาวุธ เอาความจริงเป็นอาวุธ เราทำมาแล้วชนะมาแล้วมีรูปธรรมเป็นหลักฐานยืนยันคุณก็ไม่เข้าใจ จะมาเข้าใจสิ่งเหล่านี้จึงพาพวกเราไปทำพวกเราก็เข้าใจแล้วช่วยกันทำโดยไม่ผิดพลาดมันจะมี Error คนอื่นมาผสมผสาน โมเมว่าเป็นพวกเรา เราไม่ได้ไปทำร้ายไปฆ่าใครมีแต่คนอื่นมาทำร้ายมาฆ่าเรา พวกเราก็มีตายอยู่คนนึงแต่ก็ไม่ได้เพราะว่าถูกเขายิง แต่ถูกรถชนถูกรถตุ๊กๆชน เจ้าอ้อยน้องของตาล ก็มีพวกเราเสียชีวิตคนเดียว นอกนั้นก็คนร่วมกันพันธมิตรมีบ้าง น้องโบว์ สารวัตรจ๊าบ ก็เอาล่ะเป็นหลักฐานยืนยัน เราได้ไปทำการรบที่เป็นสนามรบของประชาธิปไตยซึ่งพวกเราเป็นพวกนักรบที่ใช้ธรรมาวุธ ใช่ความจริงความรู้กับสิ่งที่ถูกต้อง ความถูกต้องชนะความผิดจริงความจริงชนะความเท็จหมด   ความดีงามชนะความเลวทรามอย่างนี้เป็นต้น ความบริสุทธิ์เท่านั้น จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด

สรุป อิทธิวิธญาณ คือ มโนมยิทธิที่มากขึ้น มากเหลี่ยมมากมุมขึ้น

 

4. ทิพโสตญาณ  โสตะ แปลว่า ความรู้ หรือแปลว่า ได้ยิน เหมือนเสียงกลองตะโพนเปิงมางตีอยู่ไกลๆ คนนี้ก็แยกออกว่านี่เสียงตะโพน เปิงมางหรือบัณเฑาะว์ มันอยู่ไกลอย่างไรก็แยกแยะเสียงออกไปได้นี่เป็นรูปทางเสียงแม้จะเป็นรูปก็ตามที่เห็นทางตาแม้จะไกลอย่างไรเราก็แยกแยะได้ หรือสี อันนี้แดง เขียว น้ำเงิน ม่วงก็แยกได้ไกลเท่าไหร่เล็กเท่าไหร่ก็แยกได้เรียกโสตทิพย์

เหมือนกับความรู้ความรู้ที่แหลมลึกมากเท่าไหร่คุณมีโสตทิพย์มาก คุณก็ยังรู้ความแหลมลึกนั้นได้เท่าที่คุณมีบารมี บารมีคุณมีมากคุณก็มีความรู้ที่แหลมลึกเข้าไปรู้อันนั้นเท่าที่คุณมีอำนาจ มีฤทธิ์ มีความสามารถ มีเจโตปริยญาณ สามารถที่จะเข้าไปรู้ด้เท่าที่คุณมีจริง เรียกว่าโสตทิพย์ไม่ใช่ว่าโสตทิพย์ คือเป็นหูที่ไปรู้ว่าหมามันพูดกัน นกมันพูดกัน เราก็รู้ภาษาหมารู้ภาษานกรู้ภาษาคน หรือว่าไปได้ยินเสียงที่ไกลมากที่คนอื่นเขาไม่ได้ยิน เสียงนี้คนอื่นไม่ได้ยินแต่หมามันได้ยิน เราก็เก่งเท่าหมาสามารถรู้เสียงนั้นได้ดีเหมือนกัน ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่ไปเอาความหมายอย่างนั้น

สู่แดนธรรม...ในสมัยพุทธกาล การศึกษานั้นไม่มีทางอื่นนอกจากการฟังอย่างเดียว โสตทิพย์ท่านก็ให้ฟังอะไรสัมมาทิฏฐิมิจฉาทิฏฐิอะไรเป็นบัณฑิตอะไรเป็นคนพาล

พ่อครูว่า..ตกลง สรุปโสตทิพย์ก็ผ่าน

5. เจโตปริยญาณ ที่แยกเอาไว้ 16 อย่าง อันนี้แหละเป็นหัวใจของการหยั่งรู้จิตไม่ต้องไปหยั่งรู้หัวใจของคนอื่นแต่ไปหยั่งรู้หัวใจตัวเองนี่แหละ

คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) .

รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆในจิตอาริยของตน(ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์.

  1. สราคจิต  (จิตมีราคะ)
  2. วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ)
  3. สโทสจิต  (จิตมีโทสะ)
  4. วีตโทสจิต  (จิตไม่มีโทสะ)
  5. สโมหจิต  (จิตมีโมหะ)
  6. วีตโมหจิต  (จิตไม่มีโมหะ)
  7. สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) .
  8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)
  9. มหัคคตจิต   (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น) 
  10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น)
  11. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)
  12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) .
  13. สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)
  14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)
  15. วิมุตตจิต      (จิตหลุดพ้น) . . .
  16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) .

(พตปฎ. เล่ม 9   ข้อ 135)

 

สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) .

วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)

สายศรัทธาก็จับตัวเป็นก้อน สายธัมมานุสารีก็จะไปเป็นการฟุ้ง กำหนดหมายโดยใช้ตั้งแต่ สัญญา มาเป็นอัญญา กัญญา ชัญญา ปัญญา 

ตัวปัญญา เอา ป.ปลา มา วรรคที่ 5 ป ผ พ ภ ม ปัญญา ผัญญา พัญญา ภัญญา สุดท้าย มัญญา ตัวสุดท้าย เป็นตัวจิตที่ฉลาดเฉลียวที่จะใช้พลัง เป็น มมัง อาการที่สมบูรณ์

ผู้ที่มีสภาวะแล้ว จะรู้พยัญชนะเหล่านี้ เอามาสื่อให้รู้สภาวะชัดเจน โดยพยัญชนะผู้ตั้งมาแต่เดิม ตั้งแต่พระพุทธเจ้าก็มีความหมายเหล่านี้ สุดท้ายตอนนี้มันก็เพี้ยนไปก็เลยยากขึ้น นอกจากยากแล้ว ผิดไปเลยกลับความหมายไปคนละเรื่องเละเทะเลย ก็ต้องดึงกลับมาสู่ความถูกต้องใหม่ เป็นงานที่ยากมากที่สุด เป็นงานที่มนุษย์จำเป็น มนุษย์จะต้องรู้สิ่งที่เป็นสัจจะเหล่านี้ ไม่งั้นก็ปรินิพพานยาก เป็นคนดีสูงสุดไม่ได้เป็นพระอรหันต์ไม่ได้ต้องมีความรู้พวกนี้ แต่จะเป็นพระอรหันต์ก็ไม่ต้องรู้มากขนาดนี้ รู้พยัญชนะให้ดีเอาพยัญชนะไปแปะให้ได้ ทำสภาวธรรมให้ 0 ให้ได้คุณก็เป็นอรหันต์ เป็นพระอรหันต์แล้วจะรู้พยัญชนะเพิ่มแล้วก็ได้ ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้มีสิทธิ์แยกธาตุจิตเป็นอุตุธาตุได้หมดเลย มีทุกขีดขั้นตอนในสมัยพระพุทธเจ้า

 

สมณะฟ้าไทสรุปจบ

 


เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:24:51 )

630228

รายละเอียด

630228_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ พ่อครูรำลึกถึงคุณเทพ วงศ์คำแหง

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่...  https://docs.google.com/document/d/1BD0xf591ubu0dJP8AnYjCZVOCC57hl1HqvdbPtgrwDE/edit?usp=sharing                    

 

ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=1oDdoAtcZ8a7RaN2LDL8RNlnSxlbVC68K

 

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันแรกของการเข้าค่ายสัมมาอริยมรรค  ครั้งที่ 43 ณ บวร ราชธานีอโศก ศุกร์ที่ 28 ก.พ. - อาทิตย์ที่ 1 มี.ค. 2563  รับสมัครผู้สนใจเข้าค่าย ฟรี! (จะอยู่กี่นาทีได้)

สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ

โทรฯ คุณชญาดา(บุญยิ่งแก้ว) 087-4437865

##### สมัครonline ได้ที่ inbox เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP หรือสื่อธรรมะพ่อครู

พบกับกิจกรรมตามมรรคมีองค์ 8 พบกับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมส่ิงแวดล้อมดีที่จะพาคุณสู่ "ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น"(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) อันจะพาไปสู่ความบริสุทธิ์จนถึงสัมมาวิมุติ

ค่ายธรรมะคนไม่ค่อยสนใจ หากจัดแล้วแจกฟักทองแจกบวบ คนจะมามากไหมนี่ (พ่อครูยกบวบงูขึ้นมาวัดให้ดูว่า ยาววา บอกว่าอย่าใสปุ๋ยงอกงามนะ หากใส่แล้วจะเป็นอย่างนี้

พ่อครูว่า…อาตมาเคยจัดรายการโทรทัศน์มาก่อน รายการแข่งขัน รายการสาระบันเทิงต่างๆ

โทรทัศน์ของเมืองไทยเปิดครั้งแรกเมื่อ พศ. 2498 ตอนนั้นอาตมายังเรียนอยู่เพาะช่าง ปี3-4 อาตมาจบ ปี 2500 ที่อาตมามาทำงานโทรทัศน์แล้ว พอพูดถึงตรงนี้ก็นึกถึงสุเทพ สิ้นชีวิตไปเมื่อเช้าวานนี้

สุเทพ วงศ์กำแหง รู้จักกับอาตมาตั้งแต่พ.ศ 2494 เป็นนักร้องเหมือนกัน มาสมัครร้องเพลงเหมือนกันตอนนั้นกลุ่มที่ร้องเพลงจะมี 3 กลุ่มใหญ่ๆ แต่กลุ่มที่ 3 ของ คุณไพบูลย์ บุตรขัน เกิดทีหลังนิดหน่อย กลุ่มสุนทราภรณ์เป็นกลุ่มใหญ่ กับของคุณล้วน ควันธรรม ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับกลุ่มสุนทราภรณ์ ดาว 2 ดวงอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็เลยตกลงกัน ล้วนก็เลยยอมลาออกจากกรมประชาสัมพันธ์ออกมาเป็นศิลปินเดี่ยว เขาเป็นศิลปินเดี่ยวคนแรก สำหรับคุณ ล้วน ควันธรรม แต่งเพลงเองร้องเองขายแผ่นเสียงเองแล้วก็มีเมียหลายคน นักร้องหลายคน เดี๋ยวนี้ก็ยังเหลืออยู่คือคุณวิโรจน์ ควันธรรมเป็นลูกของพี่เล็ก คณะวงดนตรี ซึ่งเป็นน้าหรืออะไรของเมียของ สุเทพ วงศ์กำแหง นี่แหละ มีลูกชายกับ คุณล้วน มีชื่อนายแหลม หรือหลิม  แม่ของวิโรจน์ ควันธรรม อาตมาก็ชักเลือนๆ อยู่กันมาเกี่ยวข้องกันมา อายุตอนนี้ 86 ปีแล้วก็ลืมไปบ้าง

พ่อครูพูดไปตามภาพที่insert ตอนทำงานอยู่สถานีโทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหม

 

วิทยุของประเทศไทยมีอยู่ 3 สถานีตอนนั้น 1. สถานีกรมประชาสัมพันธ์ 2. สถานี1ป.ณ.  3. สถานีรักษาดินแดน (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

สมณะฟ้าไท ว่า พ่อครูระลึกชาติถึงคุณสุเทพ

 

_ภัทรินทร์ อัจฉริยประ …..เมื่อครั้งที่ พ่อครูไปทำเพลงที่ห้องอัดเสียง ทอง ของคุณ นคร มังคลายน มีเพลง สักวันหนึ่งดอกไม้บาน(ไม่ใช่เพลงพ่อครู)   เพลงสันติภาพเอย เวลานัดที่ห้อง อัดเสียงคือ 11นาฬิกา พ่อครูไปถึง สิบโมงครึ่งกว่า และได้นั่งรอ คุณ สุเทพจนบ่ายโมงกว่าๆ พอพวกเราแจ้งพ่อครูว่า คุณสุเทพมาแล้ว พ่อครูลุกขึ้นจากห้องรับรองเดินเอามือแขนกอดอก ออกมารับที่ประตูห้องอัดเสียง ทักทายด้วยเสียงยินดี คุณสุเทพย่อเข่าลงอุ้มพาพ่อครูเดินวนรอบๆห้องห้องพร้อมคำขอโทษไม่ขาดเสียงที่มาช้า เป็นภาพที่งดงามที่ยังตรึงตาอยู่จนทุกวันนี้ ไม่ลืมเลย

เพลงครูรัก ที่คุณสุเทพได้ร้องไว้

เพลงขวัญ

เพลงขี้เหร่จริงหนอความจริง

เพลงทึ่ง

เพลงฟ้าฝัน

เพลงภูฟ้า ผาน้ำ

เพลงดอกฟ้าที่หมาวัดฯ

เพลงสันติภาพเอ๋ย

เพลงภราดรภาพ(เพลงหมู่)

เพลงหยาดอรุณ(เพลงหมู่)

… และเพลงอื่นๆ น่าจะร่วม 10 เพลง

 

พ่อครูว่า...ก็เท่าที่ระลึกได้ ก็นึกถึงคบหากันมา คืออาตมาเป็นคน shut in ตรงที่ว่าไม่ยอมเปิดเผยชื่อเมื่อทำงานอะไร อยู่กับพี่ล้วน เขาก็ไม่รู้ว่าอาตมาแต่งเพลงเป็น จนอาตมาก็อยู่ พบกับคุณสุเทพเข้า วัลลภ วิชชุกรณ์ก็เป็นนักร้อง สามีคนแรกของผ่องศรีวรนุช วัลลภหน้าตาดีกว่าสุเทพ เป็นพระเอกหนัง แต่เขาเป็นพระเอกละครเร่ของพรานบูรพ์ แล้ว ผ่องศรี วรนุชก็เป็นนางเอกละครเร่ (ตอนอายุ 15) อาตมาก็เรียกออด เขาก็เรียกอาตมาแป๊ก

เสร็จแล้วก็อาตมาก็เข้ามาพอมาอยู่กับคุณล้วน ชีวิตอาตมระหกระเหิน พอแม่ล้มป่วย ถูกโกง เงินทองหมด พ่อกินเหล้าเก่ง หย่ากับกับแม่3 ครั้งแบ่งสมบัติไปทีละครึ่ง สุดท้ายก็หมด พ่อกินเหล้าแล้วแจกคนอื่นหมด หย่าสามครั้งสมบัติหมด

ชรินทร์อยู่อีกค่ายหนึ่งกมลสุโกศล ชรินทร์เป็นลูกศิษย์อ.ไศล ไกรเลิศ โดยเฉพาะชุดผู้ชนะสิบทิศ ดัง

พี่ไหลนี้อยู่อันนึงที่เกี่ยวข้องกับอาตมาเขามาขอเพลงธารสวาทไปอัดเสียง ก็ไม่ได้คิดอะไรมากไม่ได้เดือดร้อนวุ่นวายอะไรก็อยากให้อัดด้วยเพราะเราชอบไง ทำแผ่นเสียงเราเท่ ก็เอาไปอัด อย่างนี้เป็นต้น ก็ใส่ชื่อเขา คนก็เลยเข้าใจว่า พี่ไศลเป็นเจ้าของ แก้เพลงนี้ประโยคเดียว

โอ้กระแสธารเจ้าเลย หลั่งเลยไหลใจล่องลอย เขาก็ไปแก้ หลั่งเลยไหลมาจากดอย ..

สรุปแล้ว เทพกับอาตมา ตอนอาตมาเรียนม.7 ม.8 เรียนม.8 อยู่ 3 ปี จนถึงปี 2496 ความรู้จึงแน่นเพราะตกสองปี   อาตมามีเพื่อนหลายรุ่น เพื่อนจบไปแต่เรายังอยู่ก็เลยได้เพื่อนรุ่นน้องมาเป็นเพื่อนหลายรุ่น ม.6 ร.ร.เบญจะมะ ก็ซ้ำสองปีมีเพื่อนเยอะ

ออดนี่ชื่อ วัลลภ วิชุกรกับสุเทพ วงศ์กำแหง ก็ตั้งชื่อวงขึ้นมา เทพวิชชุ อาตมาเป็นคนตั้ง อาตมาเป็นผู้จัดการหมด แม้แต่เป็นพิธีกรเชื่อมโยงบรรยาย เราร้องสู้เขาไม่ได้ มันขาดมันเหลือก็ร้องหรือร้องหมู่ผสมผสานไป แต่เป็นผู้จัดการ ประกาศใครจะร้องแต่งกลอนประกอบเพลงด้วย

อาตมา ตกม. 8 ก็ไม่เรียนต่อแล้ว จนปี 2496 ตุปัดตุเป๋ ไปโรงเรียนเพาะช่าง เขาก็กำลังเปิดคณะวิจิตรศิลป์บอกว่ามันยังไม่เต็ม เปิดใหม่ ก็บอกว่าเข้าได้ อาตมาก็เลยเข้าเรียนคณะวิจิตรศิลป์ Pure Art เข้าไปเป็นนักเรียนโข่ง เพื่อนจบปี 4 แต่เราอยู่ปี 1 มันมีหลายคณะ ที่จริงรู้จักสุเทพตั้งแต่ปี 2494 - 2495 ตั้งแต่มัธยม อยู่วงการด้วยกัน แต่งเพลง อาตมาก็ใช้วิธีเป็นผู้จัดการ พออาตมาไปเรียนเพาะช่าง ก็ไม่ค่อยได้เจอกัน ไม่ได้ร่วมกันเท่าไหร่ ปี 97-98เขาก็ไปกับพี่ไหล พี่หมาน (สมาน กาญจนะผลิน) เราก็เล่นหนังละครเรื่องดวงดาวที่มีผู้ช่วยพระเอกชื่อ ชาลี ดวงดาว หรือ วนิดาไม่ทราบ สง่า อินทรวิจิตร หรือ อินทรวิจิตร ที่แต่งเนื้อร้อง สดุดีมหาราชา

สุเทพเขาโด่งดังทางดนตรี แต่อาตมามาเอาดีทางโทรทัศน์ ตอนนั้นก็มีแค่ขาวดำ ตอนหลังมี ช่อง 7 ช่อง 5 ขึ้นมา ส่วนช่อง4 บางขุนพรหมเป็นของรัฐบาล ก็มีช่อง3 มาขออาศัยใช้แทคติก ตอนนั้นเขาเสนอ สร้างสี มาตุกติก จริงๆกม.ไม่ให้ตั้งแต่เขาขอใช้ชื่อของช่อง 4 แล้วก็เป็นช่องสีของช่องสี่ก็เลยเป็นช่อง 3 ก็ได้ ก็ตั้งขึ้นมา เกิดเป็นโทรทัศน์ช่องสีช่องแรกของประเทศไทย ตอนนี้ ประชา มาลีนนท์ก็ยิ่งใหญ่

อาตมาไปทางเรียนจนกระทั่งตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสือก็ลดหย่อนพวกนี้ไป จบแล้วก็ไปทำงานโทรทัศน์ มีงานเยอะ ต้องเลี้ยงน้องต้องหาเงิน ตอนนั้นค่าแต่งเพลงราคาไม่มากบวกลบแล้วเหลือแค่ 300 บาทต่อเพลง ดีไม่ดีอัดเสียงไปเล่นไพ่ไปก็หมด ไม่เหลือหรอก

สรุปแล้วก็สนิทสนมกันเขาก็เรียกอาตมาว่าแป๊ก อาตมาเป็นคน shut in จนมีเรื่องกับพี่ล้วน เขาจัดประกวดเพลง อาตมาก็ส่งประกวด ใช้นามปากกาส่งประกวด อาตมาเป็นเลขาของพี่ล้วน ตัดสินแล้วของศรีสวัสดิ์ แต่งได้ชนะ แต่ก็พี่ล้วนเห็นเพลงอีกเพลงของนามปากกา ยุบลรัตน์ เขาก็ว่าดีเหมือนกัน ศรีสวัสดิ์ แต่งเพลง วาสิฏฐีจำแลง เพลงชมโฉม แต่เพลงอาตมาชมธรรมชาติ กลางไพรสณฑ์ ...เขาก็ว่าเฮ้ยดีนี่หว่า ก็ตัดสินไม่ลง จะให้ใครที่ 1 ตัดสินไม่ลง ก็ให้ที่ 1 คู่กันก็แล้วกัน ดูเถอะ วาสนาโพธิรักษ์ ประกาศให้มารับรางวัล แล้วที่ 1 ก็มี 2 คน ดีทั้งคู่ ศรีสวัสดิ์ก็มารับ มารับก็มารับจากอาตมา เพราะอาตมาเป็นเลขา ส่วนอีกคนไม่มารับ พี่ล้วนก็ถามว่าทำไมอีกคนไม่มารับสักที อาตมาก็เลี่ยงตอบไปหลายที สุดท้ายก็ต้องบอกไปจนได้ ก็บอก คนนี้ผมเองล่ะครับ...เขาก็ว่า ไอ้เหี้ย ทำให้กูเสียเงินค่ารางวัล ได้รางวัลกับเขาทั้งที ก็เป็นอย่างนี้ เขาด่าซ้ำอีก

อาตมานี่เป็น DJ คนแรกของประเทศไทย สถานีวิทยุรักษาดินแดน เป็นแห่งแรกที่อาตมาได้นำเอาแผ่นเสียงมาแล้วมาเปิดมีการบรรยายว่าเพลงเป็นมาอย่างไรคนไหนร้องคนไหนแต่งอะไรต่างๆนานา เป็นประวัติประกอบแล้วก็เปิดเพลง สมัครเป็น DJ คนแรกของประเทศไทย เป็นวิทยุ1รด.

เพลงอาตมายุคแรกๆก็ยังไม่ได้อัดแผ่นเสียง มีแต่เพลงของพี่ล้วนและคนอื่นๆ

 

สู่แดนธรรมว่า..ศิลปะมีส่วนในการสร้างศาสนาอย่างไร

พ่อครูว่า...ศิลปะเป็นส่วนสร้างศาสนาอย่างยิ่ง ศิลปะเป็นมงคลอันอุดม เอตัมมังคลมุตมัง แปลเป็นไทยว่า ศิลปะจะนำพาไปสู่สิ่งที่สูงสุด คือ อุดร อุดม เป็นโลกุตระ อุดรหรืออุตระหรือโลกุตระ เหนือโลก สูงสุดเป็นนิพพาน

จริงๆแล้วอาตมาอาศัยศิลปะ ก็ยังเคยสงสัยว่าตัวเองทำไมไม่ไปเรียนวิทยาศาสตร์ แต่พอมาทางด้านนี้ก็เชื่อมโยง เรื่องเพลงนี้อาตมาทิ้งทีหลังสุด ทิ้งแล้วแต่พอมาบวชแล้วต้องมาแต่งเพลงสัจจะชีวิตอีก เพราะเป็นศิลปะอันเป็นมงคลอันอุดม เพลงตอนหลังของอาตมาจะเป็นเพลงโลกุตระ ซึ่งหาได้น้อยมากในเพลงต่างๆ

อาตมาแบ่งเพลงเป็น 5 ระดับ

1. เพลงลามก

2. เพลงราคะ ซึ่งมีมากมายในตลาดเพลง

3. เพลงสาระ สาระต่างกับศิลปะ ตรงที่สาระไม่มีสุนทรียศิลป์ แต่เรียกสารคดี เป็นวิชาการสาระเต็มๆ อาตมาก็ไม่ค่อยชอบ เพราะมันแข็งเกิน อาตมาต้องมีสุนทรีย์จะไปได้ดีกว้างกว่า สุนทรีย์เหมือนน้ำตาลหุ้มยา นำเป็นกระษัยให้คนกินคล่องๆ หรือใช้สีสวยนำไป ไม่ใช่สารคดีที่แข็งมีแต่สาระ

ผู้ใดใช้กระษัยให้พอดีอย่าให้ติดสุนทรีย์ หากทำให้คนติดสุนทรีย์ก็เป็นลามก ราคะไป

 

4. เพลงธรรมะ ก็มีเนื้อหาธรรมะ อย่างตรงๆ เอาธรรมะมาใส่-ๆทำนอง เชยๆ ยังไม่เป็นโลกุตระ

5. เพลงโลกุตระ

ก็เมื่อมาบวชแล้วก็ใช้ประโยชน์ ต้องแต่งเพลง แต่ว่าอาตมาไม่ได้ติดยึด อาตมาอยู่เหนือและเข้าใจ แต่เอามาใช้ประโยชน์ คนที่เขาติดยังต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องอาศัยให้เขาใช้สิ่งเหล่านี้และเขาจะได้สัจจะสาระไป ได้ประโยชน์

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน แยกรูปนามในจรณะ 15

_สู่แดนธรรมว่า...ผมก็เพิ่งเห็นพ่อท่านสอนประมาณ ในหลัก 7 สัปปุริสธรรม 7

พ่อครูว่า..สัปปุริสธรรม 7 คือ  1.ธัมมัญญุตา เป็นผู้รู้จักเหตุ 2.อัตถัญญุตา เป็นผู้รู้จักเป้าหมายจุดประสงค์  3.อัตตัญญุตา เป็นผู้รู้จักตน ตัวเราแค่ไหนแล้ว 4.มัตตัญญุตา เป็นผู้รู้จักประมาณ 5.กาลัญญุตา เป็นผู้รู้จักกาล 6.ปริสัญญุตา เป็นผู้รู้จักชุมชน สิ่งแวดล้อม 7.ปุคคลปโรปรัญญุตา เป็นผู้รู้จักบุคคล

ธัมมัญญุตา คือ เอาสภาพธรรม ส่วน ตาที่เติมท้ายทำให้เป็นคำนามเท่านั้นเอง

ก็ธรรมะ อัญญะ มีอัญญะทุกอัน อัญญะ คือ ความหมายความรู้ของโลกุตระ อัญญะโดยพยัญชนะแปลว่าอื่น ต่างหากไปเลย แล้วโลกียะเขาไม่ใช้คำว่าอัญญะ หากมันแตกต่างจากตัวเขา เขาไม่เอา แต่อันอื่นที่ว่านี้ อัญญะแปลว่าอื่น แต่ไม่ใช่อื่นของทิ้ง แต่อื่นของพิเศษ ของวิเศษ เป็นอุตระเหนือโลก ความรู้อัญญธาตุ ที่อาตมาอธิบายให้ฟังว่า ในประดาคนของพระพุทธเจ้า สมณะโคดมท่านเริ่มประกาศศาสนากับปัจจวัคคีย์ โกณฑัญญะสามารถรู้ได้คนแรก เพราะว่ามีธาตุรู้ที่นอกเหนือจากโลกียธาตุ อันนี้เป็นของใหม่เป็นความรู้ต่างโลกคนละดวงดาว ความรู้ความเข้าใจในธรรมะ  เรื่องธัมมจักกัปปวัตตนสูตรที่พระพุทธเจ้าเทศน์ แบ่งเป็น 2 เพราะว่าเทวนิยมนั้นตีไม่แตกมันเป็น 1 ตลอดเวลา ตีไม่ออกใน เวทนา สัญญา สังขารเป็น 1 เดียวไม่แยกธาตุรู้ ตีไม่แตกแยกไม่ออก

แต่พอมารู้ว่ามันมี 2 ใน 2 มี 1 มี 1 ใน 2 ตัวนี้ เข้าใจกันได้ยาก ถ้าใครเข้าใจอันนี้อย่างชัดเจนแล้วไปรอด วิญญาณนั้นเราต้องสามารถแยกรูปแยกนามเป็น 2 ได้  เราเป็นธาตุรู้ไม่รู้อีกสิ่งหนึ่งที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ หยาบๆภายนอก สัมผัสทาง ตาหูจมูกลิ้นกาย ดินน้ำไฟลม เป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารเป็นสัตว์ตัวตนบุคคลเราเขา ก็มีสิ่งที่ถูกรู้กับตัวธาตุรู้คู่กันไปตลอดเรียกว่ารูปนาม ถ้ารู้เกิดก็มีรูปนาม 2 เกิด ธาตุ 2

วิญญาณนั้นต้องมีรูปกับนาม ตัวใครก็ตาม อัตตาหรืออัตภาพของใครก็ตามต้องแยกรูปกับนามออกได้

รูป จะเกี่ยวกับอีกสิ่งหนึ่ง นามคือตัวเรา วิญญาณเป็นชื่อเรียกรวมใหญ่

นาม 5 เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ เป็นนามหลักเลยที่จะใช้ในการศึกษาเรียนรู้กระบวนการของจิต รูปนั้นมีกระบวนการ 28 แต่ว่านามนั้นมี 5 มีเวทนา สัญญา เจตนาผัสสะ มนสิการ ในล.16 ข้อ 14

นาม 5 เป็นตัวชี้บ่งชัดเจนว่า ถ้าเผื่อว่านักปฏิบัติธรรม ไม่มีกระบวนการ 5 นี้ โมฆะจากศาสนาพุทธ

พวกหลับตาไม่มีผัสสะ สัญญาเป็นตัวกำหนดเขาก็กำหนดแต่ภพภายใน เจตนาเขาก็แยกออก ว่าเป็นกามตัณหา ภวตัณหา แต่แยกไม่ได้สมบูรณ์ เพราะไม่มีผัสสะ

ผัสสะแล้วจึงเกิดกาม เรียกกามคุณหรือกามโทษ มี 5 มันเป็นโทษ แต่คุณไปหลงโทษว่าเป็นคุณ ไปหลงความเป็นภัยเป็นโทษเสียหายว่าคือคุณ อย่างนี้ต่างหากคือความวิปลาส ของคนไปหลงสุขเป็นทุกข์ ไปหลงอสุภะเป็นสุภะ ไปหลงความไม่เที่ยงว่าเที่ยง ไปหลงความไม่มีตัวตนว่ามีตัวตน ในวิปลาส 4

อาตมามีสัญญาวิปลาส กำหนดผิดได้ขออภัย ไม่อยากผิดแต่มันจำเป็น

สรุป พวกหลับตาสมาธิไม่ได้มีผัสสะ 5 มีนาม 5 ซึ่งมันเป็นกิเลสหยาบใหญ่ ที่คุณไม่ได้เรียนรู้เลย แล้วจะเอาแต่ดับอนุสัยอาสวะ แต่กิเลสใหญ่หยาบยังไม่จัดการ อย่างมหาบัวติดหมาก ไม่รู้กามคุณ 5 นี้เลย มหาบัวไม่รู้ จึงไปหลงแต่ภายใน นึกว่าภายในสิ้นอาสวะดับ กิเลสสิ้น แต่สิ้นไม่ได้ เพราะกิเลสตั้งพวงเบ้อเร่อ ยังพาเกิด

เหมือนลูกผลไม้มันจะต้องมีเมล็ดมีเนื้อ มีเมล็ด  แต่คุณจะเอาเมล็ดเลย แต่ไม่ผ่าเนื้อใน คุณเก่งอย่างไรจะทำได้ หรือพระพุทธเจ้าพูดถึงแก่นของศาสนาพุทธ

ศีลเป็นสะเก็ด สมาธิเป็นเปลือก ปัญญาเป็นกระพี้ วิมุติเป็นแก่น ดอกใบผลเป็นลาภสักการะสรรเสริญ

หากไม่เรียนศีล สมาธิ ปัญญา จะไปแก่นได้อย่างไร ก็ไปแต่เพลิดเพลินในใบดอกผลโลกธรรมเต็มไปหมด ศีลจะเป็นตัวตั้งต้องมีศีล แล้วถึงปฏิบัติจรณะ 15 เป็นผลสำเร็จ คือพุทธคุณของพระพุทธเจ้าหรือเรียกว่า อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา

จรณะ 15

1. ถึงพร้อมด้วยศีล . .       9. ปรารภความเพียร  (อารัทธวิริโย)

2. คุ้มครองทวารอินทรีย์ 10. สติอันเป็นอาริยะ

3. ประมาณในโภชนา      11. ปัญญา  

4. ประกอบความตื่น         12. ปฐมฌาน

5. ศรัทธา (เชื่อมั่น)          13. ทุติยฌาน

6. หิริ (ละอายต่อบาป)      14. ตติยฌาน

7. โอตตัปปะ. (สะดุ้งบาป)  15. จตุตถฌาน

8. แทงตลอดในพหูสูต   (ล.13/34)

 

วิชชา 8

1. วิปัสสนาญาณ

2. มโนมยิทธิญาณ

3. อิทธิวิธญาณ

4. ทิพโสตญาณ

5. เจโตปริยญาณ

6. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ

7. จุตูปปาตญาณ

8. อาสวักขยญาณ

 

ศีลอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น ช่วยกันตลอดมา   เหมือนล้างมือด้วยมือล้างเท้าด้วยเท้า หรือศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ หรือโพชฌงค์ 7 เป็นพ่อ มรรค 8 เป็นแม่อย่างนี้เป็นต้น

ปฏิบัติจนหมดความเป็นสัตว์ สัตว์ก็ต้องรู้สัตตาวาส 9 พ้นหมดก็เป็นอรหันต์สมบูรณ์

จะขยายเรื่องนี้ต้องขยายอีกหลายปี ยังไม่ยอมตาย เพราะอีกหลายปีก็ยังเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ แต่มันเป็นเรื่องจริง

อาตมาเป็นเศรษฐีบ้านนอก ทั้งเพชรและหิน ที่จริงแล้วหินมีประโยชน์มากกว่าเพชรกว่าทองเยอะ ก็ต้องเข้าใจสภาวะธรรมเหล่านี้ให้ดี

 

_sms วันที่ 27 ก.พ. 2563 (พุทธศาสนาตามภูมิ : สมณะ สิกขมาตุ บ้านราช)

 

_จักรพล พุทธพัฒนา : พระอาริยะโสดาบันเป็นพระขั้นพื้นฐานต้องควบแน่น

พอ..เพื่อใต่เต้าสูงอาริยะขั้นสูงต่อไป..

 

_แก้วลา ไชยวงค์ : ช่วงนี้ติดตามข่าวการเมือง เห็นเด็กๆนักศึกษาที่โดนธนาธร

ล้างสมอง สงสารพ่อแม่ที่ส่งลูกเรียนอยากให้มีความรู้ฉลาดทันคน แต่มาถูกพวกเนรคุณแผ่นดินล้างสมอง

พ่อครูว่า...ก็ขอเห็นด้วยกับคุณว่า นักศึกษานักเรียนหลงยุคหลงสมัยหลงสิ่งใหม่ สิ่งใหม่นั้นยังไม่ได้ยืนยันพิสูจน์เลยว่ายังใช้งานได้หรือไม่ ขี้โม้เอาไว้ อะไรใหม่ๆเขาก็บอกว่าน่าลองเป็นแฟชั่นโชว์ แต่ของที่เขาใช้มาแล้วเป็นประโยชน์มีของจริงรองรับแล้ว เขาก็ไม่เข้าใจมันเป็นอคติที่เขาไม่ชอบ เขาอยากได้แต่สิ่งใหม่นี่แหละคือพวกวัยรุ่นเกิดมาใหม่อยากได้ของใหม่ ทั้งที่ทุกคนผ่านมากันหมดแล้ว มันก็จะหลงเป็นสัญชาตญาณสามัญของปุถุชน ธนาธรเขาก็ใช้สิ่งเหล่านี้มาครอบงำ เป็นสัญชาตญาณเก่าของสัตว์โลก ธนาธรเอาพยัญชนะบอกว่าว่านี่เป็นของใหม่ด้วยโวหารวาทะ สิ่งที่สร้างภพชาติมาโดยไม่ได้ผ่าน ความจริงเป็นตัวหลอก ยังไม่ได้ทำจริงเลยเป็นแต่เพียงความคิดจึงเรียกว่าแนวของตรรกะแนวของเหตุผลตรรกะเป็นแค่ปรัชญาไม่ใช่เข้าถึงญาณวิทยา ไม่ไปถึงสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์วิทยา ญาญวิทยาคือ Epistemology ได้ทดลองบ้างแล้ว

ส่วน Phenomenology นั้นสูงกว่าญาญวิทยาคือ Epistemology

Phenomenology คือเป็นตา ที่เป็นปรากฏการณ์ทำสำเร็จแล้วอย่างเช่นชาวอโศกถือว่าเป็น Phenomenon มีคณะมีปรากฏมีพฤติกรรมมีวัตถุมีสิ่งแวดล้อมทุกอย่างประกอบ มีธาตุรู้รองรับว่ายินดีอย่างนี้อาศัยอย่างนี้ เป็นโลกุตระที่ต่างจากโลกียรสที่เราเคยติด อาการจิตมันติดมันอร่อยแต่ตอนนี้เฉยๆไม่ดูดไม่ผลัก กลางๆเฉยๆ คุณต้องอ่านปรากฏการณ์เหล่านี้ของจิตให้ออกไม่ใช่หลงผิด พูดไปก็เป็นนามธรรมจริงๆ ยากมากแต่มันเป็นจริง มันจึงเป็นสิ่งที่ยากมากธรรมะพระพุทธเจ้า

สรุปแล้ว ต้องให้เขาทำ เพราะเป็นยุคสมัยมันต้องมีสิ่งที่เปรียบเทียบจึงจะสมบูรณ์ ถ้าไม่มีคู่เปรียบเทียบเลย ภาษาการมีคู่เทียบกับการไม่มีคู่เทียบภาษาคำนึงคือ นัตถิอุปมา หากไม่มีการเปรียบเทียบก็ไม่รู้ความจบ หากว่าเปรียบเทียบแล้วตัดสินไม่ได้คุณก็ไม่จบ นัตถ แปลว่าไม่ คุณไม่จบ คุณต้องเปรียบเทียบแล้วจบได้

นัตถิ มาจาก น กับ อัตถะ ที่แปลว่าเนื้อแท้ สาระ อุปมาคือการเปรียบเทียบ

อะ อา อิ  สามเส้า มีสั้นมียาว แล้วมี อิ สามเส้าคือเส้าที่ยังไม่ได้ตัดสิน เพิ่งจะเริ่มมีตัวรู้ อะ ต่อมาอา ต่อมามีอิ มาครบสามเส้า อะ อา อิ แล้วมา อี แล้วมี อุ อู สำหรับบาลีก็มีโอ ส่วนของไทยมี เอะ เอ แอะ แอ เอีย เอียอีก ของบาลีมี อะ อา อิ อี เอ โอ อํ ก็มีแค่ 7 ตัว

 

_Praphathth Path Srioiam(ประภัทร์ ภัทร์ ศรีโอเอี่ยม) :ประทับใจครับ "สติอริยชน"

 น่าจะกลางปีนี้ครับ ก็คงไม่เป็นไรแล้วมั้งพอมีทุนเลือกตั้งใหม่สำหรับคนดีๆได้ทำงาน ชุมชนได้ สส ดี ก็เป็นบุญแก่ชุมชนนั้น

พ่อครูว่า...คนนี้นึกว่าคนอื่นฉลาดรู้ที่คุณเขียนมาสั้นๆหมดได้หรืออย่างไร?

 

_Kanjana Wichean : กราบสาธุค่ะ เสียงชัดเจน ภาพชัด ค่ะ

 

_ประดิษฐ อินทหอม : กราบนมัสการครับ ช่วงนี้งดออกเดินทางไกล ไวรัสกำลังระบาด

พ่อครูว่า...ตอนนี้ก็จัดงานศพคุณสุเทพ ที่วัดธาตุทอง อาตมาก็คงไม่ได้ไปงานศพคุณสุเทพ ขออภัยเถิด เทพเอ๊ย เขาเกิด 12 พ.ค. อาตมาเกิด 5 มิ.ย. เขาแก่กว่าอาตมา 24 วัน ก็เอา เพื่อนเอ๊ยไปก่อนเถอะ ก็สนิทสนมกัน จริงๆ (สิริ ว่าเขาดื่มเบียร์เยอะ) กับเพ็ญศรีนี่ร้องเพลงอยู่ดีๆ ดื่มๆ เขาก็ตายไม่ทรมานนะ นอนหลับแล้วไปเลย

สู่แดนธรรม...ได้ยินเปรยๆมา ถามกันมาว่า เรื่องการจัดงานสงกรานต์ปีนี้มีบางคนว่าเราน่าจะงดจัด

สมณะฟ้าไทว่า..ตอนนี้เราไปขอความเห็นของสาธารณสุขจังหวัด เขาก็ว่ารอให้คำตอบวันจันทร์ ตอนนี้เชื้อก็ไม่ได้กระจายกันมาก

พ่อครูว่า...วันเวลาทุกวันนี้เร็ว นอกจากเร็วแล้วคนเก่ง บางทีก็ทัน บางทีความเก่งของคนก็ทันเวลา บางทีคนก็เก่งสู้ตัวร้ายที่เกิดในยุคกาลไม่ได้ อย่างไวรัส มันเล็กมันละเอียดเราพูดกับมันไม่รู้เรื่อง มันกัดมันเจาะ คือมันไม่รู้เรื่อง มันเป็นเดรัจฉาน เซลล์เล็กละเอียดมาก อาตมาก็อธิบายในจิตนิยาม ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวก็สะสมความสามารถตัวเองมาด้วยอวิชชา ไวรัสมันเป็นตัวเล็กเต็มไปด้วยอวิชชา เราจะไปพูดกับมันรู้เรื่องที่ไหน เราจะปล่อยให้มันละลาบละล้วง มันจะรู้เรื่องไหมว่าเราชื่อนี้ฆ่ามัน เราอยู่ในฐานะเกิดเป็นคนแล้ว ไอ้พวกนี้จะเกิดมาเป็นคนมันก็ลืมไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้ว กว่ามันจะเกิดมาเป็นคนวิบากที่เราผสมกับมันมันก็ลืมเลือนไปไหนต่อไหนแล้ว อันนี้เป็นอจิณไตยที่ยากที่จะไปแยกแยะอธิบาย อย่าไปคิดมากเลย เอาพอสมควร แค่ไม่กินเนื้อสัตว์ อาตมาว่าเป็นขีดที่เยอะแล้ว จะไปละเลียดแบบศาสนาเชน มันมากไป จนแม้แต่จุลินทรีย์ก็ไม่ได้ ไม่ได้ไปนิพพานกันพอดี

เพราะนิพพานเป็นเรื่องความรู้ ลัด คัด สั้น สามารถแยกธาตุจิตตนให้สลายไปเป็นอุตุได้ก่อนจบแล้ว กรรมก็หมดไป วิบากหมดไป ก็ตามมาเล่นงานไม่ได้แล้ว กรรมวิบากดีมาตามหาเราก็ไม่เสียหาย แต่กรรมวิบากชั่วเหมือนหมาไล่เนื้อมันจะมาแก้แค้น อันนี้ต่างหากที่ควรระวัง พอเราเลิกอัตภาพ หมาไล่เนื้อก็ตามมาไม่ทัน ไม่ได้หมายความว่าก้อนกุศลหายไปนะ ก้อนกุศลของพระพุทธเจ้ายังอยู่ ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ ให้คนได้อาศัยใช้อยู่ ก้อนกุศลของแต่ละคนก็ยังเหลือให้คนอื่นใช้ ถ้ารู้รหัสร่วมกันก็เอามาใช้ได้ นี่เป็นสัจจะที่ต้องค่อยอธิบาย

สมณะฟ้าไท สรุปจบ


เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:26:21 )

630301

รายละเอียด

630301_รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ เจาะลึกถึงพิกัดของหทยรูปในรูป 28

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1HSGuRj35ruMXjbMlWlpmx3020dgn-TkVnpDiPnPlaoQ/edit?usp=sharing                        

 

ดาวโหลดเสียงที่  https://drive.google.com/open?id=1PLhKHq6gCdENPw3m4QZ06Snf8l2MLU8m

 

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ก็มีคนจะมาสมัครขายของที่อาคารบวรกันไม่ขาดสาย บางคนย้ายที่อยู่มาจากจังหวัดสุรินทร์จะมาอยู่ที่นี่เลย เรียกว่าเป็นพัฒนาการ

พ่อครูว่า...บอกว่าของดี ราคาถูก เรามีคำขวัญว่า ของดี ราคาถูก ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ ขายสด งดเชื่อ เบื่อทวง ปวดท้อง

เรื่องเงินเชื่อ ก่อหนี้เราไม่เอา เราเรียกเงินเกื้อ มีจิตวิญญาณที่ไม่ชักดาบกันแล้ว แต่เงินเชื่อเป็นระบบที่เลวร้ายในโลก เป็นแทคติกที่เลวร้ายของทุนนิยมสำหรับระบบเงินเชื่อ ซับซ้อนด้วยการผ่อนส่งมีการเล่นหุ้นมีการประกันชีวิตอะไรสารพัด มีตลาดหลักทรัพย์ กระทั่งมีระบบ Online ระบบทุนนิยม ไม่มีการยอมกัน ไม่มีดอกไม่ได้ เป็นเรื่องของการบีบบังคับฆ่าแกงกันไปไม่รู้เท่าไหร่แล้วทำให้คนประสาทเสียจนกระทั่งกลายเป็นคนเครียด ฆ่าแกงกัน เลวร้ายไปหมดเลย เราจึงต้องมาแก้ปัญหาแนวลึกของสังคมอย่างถาวร

สมณะฟ้าไทว่า...เราขายผัก กำละ 7 บาท เขาชั่งดู 7 ขีดต่อกำ เขาซื้อเลย นโยบายของเราขายถูกไม่ว่ากัน สนุกดีด้วย

พ่อครูว่า...คือมันไม่ต้องการได้เปรียบมันมีการเสียเปรียบเสียสละจิตวิญญาณมีธาตุตัวเสียสละ เอาเปรียบนี้มันเป็นทุกข์มันเป็นความเลวร้าย สามัญสำนึกของคนก็รู้ไม่ใช่เรื่องที่ผิดประหลาดอะไร คนทั้งหลายก็เข้าใจดี เราทำได้เพราะอะไรทำได้เพราะเรามีปัญญามีสมรรถนะมีความสามารถสร้างสรรอะไรต่ออะไรได้ มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เจือจานมันเป็นคุณธรรมความดีของมนุษยชาติทั้งนั้น คนเข้าใจดีแต่กิเลสมันทำให้คนหน้ามืด ก่อนจะตายยังนึกอยู่ว่าตัวเองมีเงินฝากแบงค์ไว้เท่าไหร่ให้ลูกรักษาไว้ให้ดีๆแล้วค่อยตาย เวรจริงๆ ตายไปด้วยท่าทีขี้หวงแหนตระหนี่ เห็นแก่ตัว แล้วมันจะไปไหนถ้าไม่ไปนรกมีอุปกิเลสต่างๆ

สมณะฟ้าไทว่า...ผมก็เทศน์ให้เขาเลิกกินเนื้อสัตว์ เขาก็เลิกไม่ได้เสียที ผมก็เลยบอกว่า จะรอให้อาตมาตายไปก่อนจึงจะเลิกหรือ? เขาก็ไปคิดกันมาก บอกว่าหากเราเลิกไม่ได้ก็ลาออกจะดีไหม นิมนต์ผมไปเทศน์ เขาก็ว่ายอมกินมังฯดีกว่าไม่ต้องลาออกแล้ว

พ่อครูว่า...หากเรากินมังฯเราจะได้ขาย เราจะได้ประโยชน์ ยังไม่ได้เกิดปัญญาที่เห็นคุณค่าของการกินมังสวิรัติ เห็นโทษภัยของการกินเนื้อสัตว์ว่ามันเป็นบาปเวรภัยอย่างไร เป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณ เกี่ยวกับวัฏสงสาร เกี่ยวเรื่องกับสัตว์โลกมนุษยชาติ คนยังไม่เข้าใจอย่างที่อาตมาอธิบายขยายความนี้ ต้องค่อยๆเป็นไปให้เขาศึกษา ให้เข้าถึงจิตวิญญาณจะได้เป็นแกนของสังคมมนุษยชาติ โลกโลกุตระที่อาตมาพาทำได้ขนาดนี้ก็ดี ปลูกฝังไว้ในมนุษยชาติเท่าที่ได้ก่อนที่อาตมาจะตาย ก็คงไม่เสียหาย มีคนเขาเชื่อว่า อโศกนี้หากโพธิรักษ์ตายก็ฝ่อไม่เหลือ เขาคิดว่ามันไม่ง่าย ตอนนี้โพธิรักษ์อยู่ก็ช่วยกันไว้พยายามให้อยู่ได้ แต่เขาไม่คิดว่ามันเป็นญาณปัญญา เป็นความเห็นแจ้งเป็นสัจธรรมโลกุตรธรรมที่เขาเข้าใจได้ยากเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ มันเป็นปัญญาจริงๆ ไม่ใช่ความฉลาดความรู้แบบเฉกะหรือเฉโก เป็นปัญญาธาตุรู้ความฉลาดชนิดใหม่ที่ไม่ใช่โลกีย์ที่เขาเป็นมาเป็นล้านชาติแล้ว ตั้งแต่เป็นสัตว์เซลล์เดียวมาจนกระทั่งเป็นมนุษย์ เป็นความรู้โลกียที่ไม่ได้ออกจากกรอบเดิม ก็เป็นธรรมดาของมนุษยชาติ ออกมาได้แล้วก็จบ ใครจะว่าเราโง่งมงายก็ไม่มีปัญหาปัญญามันเห็นชัด

 

วิชชาจรณสัมปันโน เป็นพุทธคุณของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่ศาสนาอื่นเข้าถึงไม่ได้ แล้วก็ขอพูดถึงคุณสุเทพ ไม่ได้มีโอกาสจะไปงานศพ ก็ส่งข่าวคราวว่าอาตมาระลึกถึงอยู่

 

_630401 sms

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามชีวิต 5) ตอน ขวัญคืออรูปชนิดหนึ่ง

_สุดชดา ….ดิฉันขอฝากเรียนถามพ่อครูถึงความหมายของคำว่าขวัญว่าอย่างนี้ใช่หรือไม่คะ

ขวัญคืออะไร?

ขวัญเป็นอรูปชนิดหนึ่ง

ขวัญคือตัวแทนค่าทางนามธรรม​ ที่เป็นลักษณะ​ความมั่นคง, ความอบอุ่นของจิตใจ​ กำลังใจ​ ความมีพลังต่อสู้ต่อไปของชีวิต

พ่อครูว่า...ขวัญ เป็นอรูปชนิดหนึ่ง ขวัญเป็นตัวแทนค่าของนามธรรม รูป คือ สิ่งที่ถูกรู้ ธาตุถูกรู้ ส่วนนามธาตุเป็นธาตุที่ไปรู้เขา อรูป ก็เป็นธาตุที่เล็กละเอียดจาก กามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ ก็มีสามธาตุของสามภพ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ก็ต้องเข้าใจระดับของหยาบ กลาง ละเอียดไปตามลำดับให้ดี มันจะสลับกัน เพราะนามธรรมมันกลายเป็นตัวให้ถูกรู้ แล้วมันก็มีธาตุรู้ที่เป็นปัญญาหรือเป็นธาตุสัญญาที่ไปกำหนดรู้รูปอีกที ตัวถูกรู้นั้นเป็นนามธรรม มันแปรตัวเป็นตัวถูกรู้ เรียกว่ารูป อีกศัพท์หนึ่งว่านามรูป ไม่ใช่ รูปรูป ไม่ใช่วัตถุรูป แต่มันเป็นนามรูป ที่ถูกรู้ด้วยนามรูปอีกทีหนึ่ง มันซ้อน

เป็นสิ่งที่อธิบายกันยากมาก เรียงลำดับให้ดีไม่อย่างนั้นสับสนไม่รู้เรื่อง แม้จะรู้เรื่องแล้วก็จะสับสน คนไม่สับสนก็จะเก่งมาก ต้องชัดเจน

ขวัญ มีความหมายมากกว่านั้นอีก มันเป็นสิ่งที่อยู่ประจำธาตุวิญญาณ เป็นความหมายของไทย ถ้าจะเรียกด้วยภาษาเขา ก็เป็นขวัญธาตุ หรือเรียกธาตุขวัญ อาตมาก็ลองเรียกดู อาจไม่ชินหู อาตมาก็เลยตั้งชื่อพวกเรา มี ขวัญธรรม

ธรรมกับธาตุ หากธาตุนี้เป็นธาตุเอก หากธรรมนี้เป็นธาตุผสม มีหนึ่งก็เรียกได้แต่หากแตกเป็นธาตุ คือ สิ่งที่แยกออกไปหาเล็กไปจนหา 1 ที่สุดแห่งที่สุดเป็น 0 แล้ว ยอมอาศัยคำว่าธาตุไปเรียก เรียกว่า สุญญธาตุ เท่านั้นเอง เพียงอาศัยพยัญชนะไปสื่อ เรียกว่าเป็นสิ่งที่มีในโลก แต่สิ่งที่จะรู้จักสุญญธาตุ ต้องเป็นนามธรรมแล้วนามธรรมนี้จะสร้างสุญญธาตุนี้ขึ้นมาได้สำเร็จเป็นการสูญ คือ การไม่มีแล้ว ไม่มีซึ่งกิเลส ตั้งแต่ไม่มีซึ่งกิเลสขั้นหยาบ ไม่มีซึ่งกิเลสขั้นกลาง ไม่มีซึ่งกิเลสขั้นละเอียดสุด สูญ สิ้นสุดกิเลสไปหมดจากจิต หรือวิญญาณธาตุ เป็นจิตสะอาดบริสุทธิ์จากกิเลส สูญจากกิเลส สูญจากจิตวิญญาณ อย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นพยัญชนะใช้สื่อจิตวิญญาณ สภาวะ ก็ค่อยอธิบายไป

อาตมาแต่งเพลงขวัญ เอามาใส่ใช้ภาษาสื่อ ขวัญคือมิ่งสิ่งรักล้ำประจำร่าง ฯลฯ

 

_sms วันที่ 28 ก.พ. 2563 (พุทธศาสนาตามภูมิ : พ่อครู)

 

_ทิพ ดลสุข : อยากมาค่ะ

พ่อครูว่า...เชิญ อยากมาก็มาเลย อย่าไปรอ อะไรติดขัดก็แก้ไขสิ่งติดขัดก็มาได้

 

_สัญญา บัวแก้ว : กราบนมัสการพ่อครูทะเลธรรมตรัง รับชม สมณะ 4 ฆราวาสชาย 3 หญิง 8

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามชีวิต 5) ตอน สลายจิตธาตุให้สูญกลายเป็นอุตุธาตุ

_จักรพล พุทธพัฒนา : ศาสนานอกจากพุทธเขาก็ใช้เพลงเป็นสื่อดีที่สุดครับ

พ่อครูว่า...จริง ศาสนาไหนก็ไม่ขาดเพลงสื่อสาร มีแต่ศาสนาเชนที่ไม่ใช้ สุดโต่ง ไม่เอาอะไรเลยอยู่ไปก็ตายเท่านั้น เขาถือว่าตายแล้วสูญจบแล้วเท่านั้น เขาถือความเข้าใจ อัตตาของเขา ต้องสูญไม่มีอะไรเหลือ เป็นอุจเฉททิฏฐิขนาดหนักเลย เขาไม่ได้เรียนรู้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่มีการสัมผัสและมีอาการติดยึดเกิดเวทนาเกิดความรู้สึก แล้วก็มีธาตุรู้ที่ไปรับรู้เรียกว่าสัญญา เรียกว่าปัญญาไปรู้ความรู้สึกนั้นจนกระทั่งมันไม่ติดไม่ยึด มันกลาง มันเฉยไม่มีอะไรดูดดึงเลย การรู้ถึงสภาพสิ่งที่มีในโลก ตั้งแต่ความเป็นธาตุอุตุนิยาม วัตถุต่างๆจนกระทั่งมาเป็น พีชะเป็นจิต ที่เป็นความตรัสรู้ของศาสนาพระพุทธเจ้า แค่รู้เรื่องของคุณสมบัติของพลังงานระดับอุตุนิยาม คุณสมบัติของพลังงานระดับ พีชนิยาม คุณสมบัติพลังงานของระดับจิตนิยาม 3 ตัวนี้ครบโลกเลย ทางวิทยาศาสตร์ ครบโลกวิทยาศาสตร์เลย แต่เดี๋ยวนี้วิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถแยกความรู้ 3 อย่างนี้ได้ แล้วแยกได้สำเร็จ ทำให้สำเร็จ คือแยกทางจิตของตัวเองให้จบความเป็นจิตได้เลย ไม่เหลือแม้กระทั่งความเป็น พีชะ ไปกลายเป็นอุตุธาตุ เป็นดินน้ำไฟลมได้ แม้แต่ พีชะ ระดับพืชก็ยังไม่เหลือ อาจจะเหลือเศษอยู่บ้างก็ไม่เป็นไร พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ท่านตายจากร่างกายนี้ไปแล้ว ในพรหมชาลสูตรก็เหมือนพวงมะม่วงสดๆ ถูกตัดขั้วลง แตกกระจายไม่รวมติดกันอีกแล้ว ไม่รวมเป็นพวงใหญ่เหมือนเดิมได้ กลายเป็นวัตถุธาตุ จิตธาตุสูญแน่ พีชนิยามก็แค่อาศัย เวลาตายไปแม้พีชนิยามก็ทำลายกลายเป็นอุตุไปหมด

อุตุธาตุ  ก็เป็นดินน้ำไฟลม เพราะมีชีวิตอยู่ก็อาศัยมาปรุงแต่งเป็นสรีระร่าง แยกธาตุให้รู้เลย แยกธาตุอย่างไร ธาตุอย่างไรร่วมกับจิต ธาตุอย่างไรเป็นพีชะ ในขณะเป็นๆแยกกายแยกจิตให้ออก โดยแยกจากธาตุ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นมูลกรรมฐาน ที่อยู่ในร่างกายมนุษย์ ที่เป็นอาการ 32 ภายนอก ที่มันเป็นอุตุได้ เป็นพีชะได้ เป็นจิตได้ และมีกรรม มีธรรมะไปจัดการมันให้เป็นธาตุ สังขารรวมธาตุ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ถ้าเข้าใจแล้วเราก็จะชัดเจนเลยว่าการทำให้ตัวกิเลสสลายตาย จบความเป็นอรหันต์แล้วไม่เกิดอะไรอีกเลย สลายธาตุจิตของเราเองที่เป็นพระอรหันต์แล้วได้ กลายเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน กลายเป็นคนตายครั้งสุดท้ายไปแล้วไม่ตั้งจิตต่อ จิตก็จะกลายเป็นวัตถุธาตุ เป็นดินน้ำไฟลมไปหมดเลยโดยการทำจิตตายเป็นสุญญธาตุ ทำ อนิมิตนิพพาน สุญญตนิพพาน อปนิหิตนิพพาน

อนิมิต คือ ไม่สั่งนิมิตต่อไปแล้ว ไม่สร้างอะไรต่อ ไม่ให้ไปตั้งอยู่ใน ณ ที่ไหน  อนิมิต ไม่มี ไม่มีสภาพอะไรที่เป็นเครื่องหมายอีกเลย ไม่มีการต่อโพธิสัตว์อีกเลิกไปเลย เหมือนเราตอนเป็นๆเราก็สัมผัสสัมพันธ์อยู่ เราไม่ได้คบหาเลย แต่อยู่ในโลก เราก็เห็น บางทีมันอยู่ไกลเราก็ไม่เกี่ยวข้อง แต่ก็เห็นบางทีมีข่าวคราวโฆษณากันเต็มไปเลยในตลาดโทรทัศน์ อยู่ในมือถือก็เยอะอีกไม่ใช่น้อย แต่เราเห็นแล้วเราก็เห็นโลกเขาบ้าบอไปแต่เราไม่เกิดอะไรเลย ดีไม่ดีจิตที่จะไปไม่ดีจะมีการชังเขาด้วย จะไปข่มเขาด้วยว่าเป็นไอ้โง่ อันนี้จิตเราก็ยังไม่สมบูรณ์เราก็ยังไปข่มไปดูถูกดูแคลนเขา เราก็ต้องทำจิตของเราอย่าให้เป็นอย่างนั้นเราก็ต้องเป็นไปตามนั้นของเขาเราก็ต้องสงสารเมตตา ยังไม่ถึงคราวที่เราจะช่วยได้ก็ปล่อยกันไปก่อน แต่ถ้าถึงคราวที่เราจะช่วยได้ก็ต้องทำจี้จ้ำไช ช่วยกันไปด้วยความเมตตากรุณากัน มีน้ำใจที่จะช่วยเหลือคนอื่น อนุกัมปายะ ก็ต้องมีตลอด

 

_สิงห์ รามกรรณ : ผมคือพระปัจเจกโพธิสัตว์ที่ถูกทำนาย ช่วงกรึ่งพุทธกาล เหตุการที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นเหตุการที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้แล้ว

พ่อครูว่า…ก็มาแสดงตัวสิ หากเป็นผู้พี่จะต้องมีลักษณะที่เหนือกว่า ต้องมีหมู่กลุ่ม มีธรรมะที่วิจิตรพิสดารกว่า จะมีการเขียนมีหลักฐานที่ครบกว่า ก็เอามาแสดง บอกว่าตัวเองเป็นแต่ไม่มีอะไรอ้างอิงยืนยันก็ไม่ได้ (สู่แดนธรรมว่า..หากเขาบอกว่าเขาเป็นพี่ก็คงไม่มาหาน้องให้น้องไปหาพี่) ก็น้องยังไม่รู้จักพี่ จะให้น้องไปหาที่ไหนก็ต้องให้พี่มาหานั่นแหละ สถานที่บอกอะไร ก็จะได้ไปศึกษาดูจะไปเรียนรู้ว่าเป็นอย่างนี้เป็นอยู่อย่างนี้มีสิ่งแวดล้อมมีชีวิตสร้างสรรค์อะไรอย่างนี้มันก็จะได้เข้ารูปเข้าเรื่องบ้าง นี่พูดกันไม่ได้รู้เรื่องเลยบอกว่าตัวเองเป็นมันง่ายไปแล้วไม่มีหลักฐานอ้างอิง พูดอย่างมีหลักฐานอ้างอิงยืนยันได้ แม้ที่สุดอ้างอิงจากพระพุทธเจ้าอ้างอิงจากพระไตรปิฎก บอกมาว่ามีอย่างนี้ไง นี่ไม่ได้อวดดีท้าทายนะ พูดกันอย่างเป็นสัจจะสาระ

 

_Praphathth Path Srioiam ประพัทธ ศรีอ่วม : ประทับใจครับ ศีล สมาธิ ปัญญาและรูปธรรมนามธรรม

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ลำดับลำดาของการลดละการติดยึด

_อารยา ก้อย สุราษฏร์ธานี : เกิดมาอายหมาค่ะ เชื่อคนโดยไม่มีความคิด / สาธุพูดจาทันสมัยภาษาอังกฤษแม่นยำ

พ่อครูว่า…ก็ดีแล้วรู้สึกว่ามีหิริ สิ่งที่ดีกว่าตัวเอง เป็นหิริ แต่ 4 ตัวนี้ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูตร คุณมีแต่ศรัทธาไม่ได้เกิดความรู้สึกละอายต่อสิ่งที่ตัวเองยึดถือ เป็นเรื่องที่น่าละอายจมอยู่ในนรกสิ่งต่ำ จมอยู่ในวงไพ่วงเหล้าจมอยู่ในสิ่งเสพติด ติดในลาภยศสรรเสริญ หรือติดในรสชาติ รสชาติทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ รสกามคุณ 5 เป็นต้น ซับซ้อนเรื่องเพศ ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส มันเป็นสิ่งที่ซับซ้อนจะต้องกลับมาอยู่ในสัตว์โลก แต่รูปทางตาหูจมูกลิ้นกาย กามคุณ 5 มันต้องเรียนรู้ก่อนแล้วเลิกเป็นขั้นตอน เพราะฉะนั้นลำดับของการที่เราจะต้องรู้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส กามคุณ 5 คุณยังมีกามฉันทะอยู่ จะต้องเป็นผู้เสื่อมจากกามฉันทะ ผู้ที่ทำลายกำจัดกามฉันทะได้ คุณยังไม่รู้ลำดับลำดาเลย ยังไม่รู้เลยแล้วคุณจะไปออกจากรูปภพ อรูปภพ มันเป็นสิ่งที่ผิดจากกาละเทศะฐานะ หากยังไม่ออกจากกามได้ ออกจากกามได้เป็นอนาคามี

ออกจากกามไม่ได้หมายความว่าตา หู จมูก ลิ้น กายเราก็ไม่ได้เรียน ไม่ใช่จะต้องเรียนทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เปิดเต็มที่สัมผัสสิ่งที่เราอยู่ด้วย แล้วเราก็รู้ว่าเราเลิกติดอะไรแล้วในรูป รส กลิ่น เสียง กามคุณ 5  สัมผัสข้างนอก จิตของเราก็อุเบกขา เลิกเสพเลิกติด เลิกเกี่ยวข้อง เลิกคลุกคลีมัน ขาดสนิท พยัญชนะสิริมหามายา จิตขาด จิตไม่ผลักไม่ดูดขาดสนิท แต่ตา หู จมูก ลิ้น กายยังสัมผัสอยู่เต็มที่ มีการกระแทกกระทุ้งหลอกล่อมอมเมาครอบงำก็ไม่สำเร็จเลย นี่เรียกว่าอยู่เหนือเรียกว่าโลกุตรจิต การอยู่เหนือหลุดพ้นของพระพุทธเจ้าไม่ได้หมายความว่าเอากายทางออกมา ไม่ได้มีการสัมผัสต่างๆของจมูกลิ้นกาย บอกว่านั่นคือการขาดแล้ว ไม่ใช่ แต่นี่มันซับซ้อนละเอียดลออ อาตมาพูดคุหัฏฐกสูตรผู้ข้องในถ้ำ ยังไม่ไปถึงไหนเลย ติดตามให้ดีๆ

เรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา รูปธรรมนามธรรมก็ดี บอกว่าเกิดมาอายหมา เชื่อคนโดยไม่มีความคิด

นี่คงได้บทเรียนมาบางอย่าง เกิดมาอายหมา เชื่อคนโดยไม่มีความคิด สาธุ พูดจาทันสมัยภาษาอังกฤษแม่นยำ

อาตมาใช้ภาษาไทย มีบาลีนิดหน่อย อังกฤษนิดหน่อย ไม่ได้เก่งกาจอะไร

 

_วสันต์ ศูน เปา. : ปัจจัยสี่พระคุณเจ้ายังม้ายรุ้เลย

พ่อครูว่า…เออเนาะ ไม่เป็นไร คุณคิดว่าคุณเข้าใจปัจจัย 4 ก็ดีแล้ว อาตมาไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร สัญญาต่างกัน ก็ค่อยๆศึกษากันไปก็จะรู้ว่าอันนี้สัญญาอย่างนี้อันนี้เป็นองค์ประกอบของการมีรูปนามอย่างนี้อันนี้มีสัญญาอย่างนี้ก็จะค่อยๆชัดเจนขึ้นมา ติดตามให้ดีๆอาตมายังไม่รีบร้อนอธิบายสัตตาวาส 9 วิญญาณฐิติ 7 สุดยอดเลยที่จะแยกกายแยกสัญญา แยกกายแยกจิต จิตที่มีองค์ประกอบของธาตุจิตอยู่เยอะถ้าแยกเป็นสัญญาละเอียดไปเลยมันไม่ง่าย ก็ค่อยๆอธิบายไปเล็กๆน้อยๆ จนกระทั่งอธิบายอย่างกระหน่ำ ตอนนี้ยังขอไม่อธิบายอย่างกระหน่ำ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปาฏิหาริย์ 3) ตอน อิทธิปาฏิหาริย์ไม่พาพ้นทุกข์

_ภูเคียงไพร บุราไกร :กราบนมัสการ พ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ลูกมีข้อสงสัยกับเหตุการณ์บางอย่างค่ะ เรื่องมีอยู่ว่า ผอ.โรงเรียนที่ลูกสอน ท่านปฏิบัติสายหลับตามานานแล้วค่ะ ท่านเล่าให้ฟังว่าท่านไปนอนในวัดแห่งหนึ่งลูกจำชื่อวัดไม่ได้ แต่อยู่ที่ลำปลายมาศ ซึ่งเป็นวัดที่มีพระธาตุ พอท่านนั่งสมาธิไปประมาณตี3 ขณะที่ท่านนั่งอยู่นั้นท่านเล่าว่ามีลักษณะเหมือนข้าวสารหว่านลงมาใส่ตัวท่าน หล่นตั้งแต่หัวลงมาจนถึงกลางหลังกระจายลงข้างตัว และแวดล้อมท่านนั่งอยู่เสียงดังซ่า ขณะที่ข้าวสารหว่านลงที่ตัวท่านนั้นท่านรู้สึกหนาวสั่น ท่านก็เลยลุกขึ้นแล้วเก็บขึ้นมาได้ 550 เม็ด ปรากฎว่าเป็นเม็ดคริสตัล คล้ายแก้วเม็ดเล็กๆคล้ายข้าวสารสีขาวบ้าง สีอำพันบ้างสีเขียวใสๆบ้าง  ซึ่งเวลาที่เกิดนั้น ตี3 และในวัดมีเพียงสองคนคือท่าน ผอ. และหลวงพ่อ ในวัดและท่าน ผอ. นอนในพระธาตุ แต่หลวงพ่อนอนในกุฏิของท่าน ท่านไม่กล้าไปเล่าให้ใครฟังกลัวว่าคนอื่นเขาจะว่าบ้า. ดังนั้นลูกเลยสงสัยว่าเกิดเหตุแบบนี้เพราะอะไร เพราะถ้าเป็นคนอื่นเล่าลูกคงไม่เชื่อเลยแต่นี่เป็น ผอ. ค่ะ. กราบนิมนต์พ่อท่านอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างไรคะ และมีลูกแก้วก้อนเท่าหัวแม่เท้าหล่นลงมาที่กลางหลังด้วยค่ะ ลูกหนึ่งเป็นสีอำพันอีกลูกเป็นลูกแก้วสีขาวและข้างในเป็นรูปคล้ายพญานาคอยู่ข้างใน ลูกไม่เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร และท่าน ผอ. ได้เอาสิ่งนั้นมาให้ลูกด้วย และลูกจะนำมาให้พ่อท่านดูค่ะ. ลูกกราบนิมนต์พ่อท่านอรรถาธิบายให้ลูกผู้มีธุลีในดวงตามากค่ะ กราบนิมนต์ค่ะ จะรอฟังคำตอบของพ่อท่านช่วงค่ำวันอาทิตย์นะคะ

พ่อครูว่า…อาตมาก็พลอยงงกับคุณเหมือนกัน เคยได้ยินได้ฟังเรื่องอย่างนี้มาเยอะ สมัยไปจับผิดกันนี่ อย่าว่าแต่เม็ดข้าวสารกระจายเลย มีถึงเม็ดทองคำเลย ตอนเป็นฆราวาสก็ไปศึกษากับพวกสมาคมค้นคว้าทางจิตพวกนี้ มันเกิดตอนมืดๆจับมั่นคั้นตายก็ไม่ได้ ไล่ไม่ทัน

คุณพูดมา อาตมามีข้อมูลตามที่คุณบอกมาเท่านั้น น้อยเดียว อาตมาจึงตัดสินไม่ได้ ให้ศาลตัดสินก็ตัดสินไม่ได้

เอามาดูก็ได้ ตอบ อาตมาก็งงงวย ไม่รู้เรื่อง อธิบายไม่ได้ ยอมรับว่าโง่ในเรื่องเหล่านี้

สู่แดนธรรม...เดาว่า ผมคิดว่ามีคนเอาสมบัติพวกนี้เก็บไว้ข้างบนแล้วหนูมันกัดแล้วมันก็ร่วงลงมาใส่ เหมือนที่เราบรรจุในพระธาตุ ก็เอาสมบัติต่างๆของมีค่าเอาไว้ข้างบน

พ่อครูว่า ก็เอาไปตรวจสอบ กับร้านแก้ว ร้านเพชร ร้านทอง เป็นเรื่องที่ต้องติดตามค้นหาต้นตอมันเป็นเรื่องซับซ้อนอยู่อย่างนี้ในโลกเยอะ จริงๆแล้วอาตมาว่า ต่อให้เป็นจริงต่อให้มีอภินิหารเสกอะไรขึ้นมาเป็นชิ้นเป็นอัน เนรมิตขึ้นมาอย่างพวกฤาษีที่เก่งๆ ที่มีอิทธิปาฏิหาริย์ มีอาเทสนาปาฏิหาริย์ ได้อย่างนั้นก็เถอะ พระพุทธเจ้าก็บอกว่า มันไม่พาให้พ้นทุกข์ มันมีแต่หลงวัตถุธาตุเหล่านั้น แล้วมันจะไปนิพพานได้อย่างไร คนที่จะไปนิพพานไม่ต้องสน ก็ไม่ต้องสงสัยมันว่ามันเป็นธาตุแก้วจริง ทองคำจริงหรือไม่ ของจริงๆเรายังทิ้งมาแล้วทองคำจริงๆ เพชรจริงๆ ธนบัตรจริงๆ เรายังทิ้งมาแล้ว เราก็ชัดเจนในตัวเองสิ แล้วจะไปงมงายสิ่งพวกนี้ไปทำไม Let It Be ปล่อยเขาไป เขาแปลกันว่า ช่างหัวมัน

ในหลวงก็เอาหัวมันมาชั่งก็ตั้งโครงการชั่งหัวมัน ก็เป็นลักษณะที่ตอนนั้นคำว่า ชั่งหัวมัน กำลังดัง มาจากคนหน้าเหลี่ยม Let it be เขาก็ร้องเพลงนี้(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

 

_sms วันที่ 29 ก.พ. 2563 (พุทธชีวศิลป์)

_จักรพล พุทธพัฒนา · ผมเชื่ออย่างขาด เชื่อสนิทเลยว่า..เรามีบุญญาบารมีของเราที่ต้องมาเจอพ่อครูหรืออโศก..ไม่เจอไม่ได้หรือไม่ใช่เราแล้ว (ขอยืนยัน..ยังไงก็ต้องเจอ ไม่อยากเจอก็ต้องเจอ เพราะวิบากดีของเราครับ)

พ่อครูว่า…ดีแล้ว เข้าใจอย่างนี้ก็ดีแล้ว เชิญมาทำความรู้จักกัน มีอะไรก็ช่วยเหลือเฟือฟาย กันก็ว่ากันไป

 

_วันชัย สหมโนธรรม · กราบนมัสการครับ ดูผ่านเฟสบุ๊คครับ ไม่ต้องกลัวตายหรอก พวกคุณเคยตายมาแล้วทั้งนั้น(พ่อท่าน)

พ่อครูว่า…ตอนนี้เรากำลังเปลี่ยนถ่าย ผ่องถ่าย จะหยุดเรื่องดาวเทียม จะได้ขอคืนค่าเช่าดาวเทียมมาบ้าง เดือนนึงหลายแสนอยู่ เพราะว่าเราเองก็ยิ่งจนลงไปทุกทีเลย เพราะว่าเราแจกเพิ่มขึ้นก็เลยจนลงไปเพิ่ม ก็เอา ไม่เป็นไร เราก็สงวนเปลี่ยนไป ประโยชน์สูงประหยัดสุด ค่อยๆเป็นไป ค่อยๆหาวิธีจัดการ ในเรื่องการหมุนไปหมุนมาของเงิน ที่มันต้องใช้ต้องอาศัย เพราะงั้นดูทาง Facebook ดูทางอะไรต่ออะไรนี่ ท่านแสนดินอธิบายอยู่ อาตมาไม่เก่งเรื่องนี้ ทางเทคโนโลยีพวกนี้ ท่านแสนดินอธิบายอยู่ทางหน้าจอ หรือว่าคนอื่นๆที่จะช่วยอธิบายก็รู้ สมณะที่รู้ก็ช่วยอธิบาย เพราะว่าเราต้องเปลี่ยนเครื่องมือเครื่องไม้พวกนี้มันต้องเปลี่ยน มันต้องเข้ามาหายุคสมัย ในยุคสมัยต่อๆไปแล้ว แล้วก็ มันจะขยายเป็นจอที่โตก็ได้ ต่อจากโทรศัพท์มือถือ เพราะมันใช้อินเตอร์เน็ตใช้ WiFi ใช้อะไรพวกนี้ได้แล้วเดี๋ยวนี้ จะเอาเป็นจอโทรทัศน์ จอใหญ่ก็ได้ เสียบเข้าก็ขยายออกมา มันมีพลังขยายไง เขาเรียกว่าอะไร เครื่องขยายน่ะ  ทั้งขยายแสงเสียง เทคโนโลยีเดี๋ยวนี้ทำได้ง่ายจะตาย เดี๋ยวนี้มันไม่มีปัญหา มีตังค์ซื้อก็แล้วกัน เขามีทุกอย่างอยู่แล้ว มันไม่ยาก

_วันชัย สหมโนธรรม · ไม่ต้องกลัวตายหรอก พวกคุณเคยตายมาแล้วทั้งนั้น(พ่อท่าน)

พ่อครูว่า…ใช่ คุณเชื่อการตายแล้วเกิดหรือไม่ มันเป็นเรื่องจริงๆ แล้วไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ รู้เรื่องของสัตว์ตั้งแต่เซลล์เดียวที่มันพัฒนากันมาด้วยอวิชชา เราเข้าใจแล้ว ก็มาจากจุดเริ่มต้นแล้วพรวดพลาดมาเป็นมนุษย์เลยมันจะเป็นอย่างไร เราก็ต้องรู้ที่มา แม้ว่าเราก็ได้เกิดมาจากวิญญาณที่ได้สั่งสมแล้ว หยั่งลงสู่ครรภ์ก็มันต้องมีที่มาตั้งแต่เราเป็นสัตว์เซลล์เดียวมาก่อนแล้วจึงจะมาพัฒนาขึ้นมา กระทั่งมาเป็นคน จนกระทั่งมาเป็นคนที่รู้จักธรรมะเป็นเทวนิยม จนกระทั่งเจริญจากเทวนิยมมาเป็นอเทวนิยม มันเป็นวิวัฒนาการไม่รู้กี่ชั้น ไม่รู้กี่ตลบ กี่ชั้น สลับไปสลับมา   อาตมาใช้คำว่าหมุนรอบเชิงซ้อน คัมภีราวภาโส หรือปฏินิสัคคะ เป็นสภาพที่กลับไปกลับมาซับซ้อน ทั้งรูปนามสภาพ 2 ปรุงแต่งกันมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ความเป็นเทวะความเป็นรูปนามที่เป็นวิญญาณ ขยายมาเป็นทุกวันนี้ อาตมาขยายความตั้งแต่อเทวะ มาเป็นกายรูปนามที่มีธาตุของวิญญาณพัฒนาวิญญาณธาตุมาเป็นรูปพวกนี้ จนแตกวิญญาณธาตุ ให้ศึกษามาเป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

 

_พระจันทร์ พชพ-พมธ · เสียงซ้ำหลายครั้ง

 

_Phaisarn Sri ไพศาลศรี· ฟังธรรมจากสัตบุรุษแม้แค่ศีลต้นๆก็มีปัญญา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(รูป 28) ตอน ทหยรูป ในรูป 28

_ฟ้าใส แซ่หว่อง...ขอนอบน้อม กราบนมัสการ พ่อครู สมณะโพธิรักษ์ ผู้มีเมตตา AOTOMATIC ค่ะ

ลูกมีคำถาม ดังนี้ค่ะ

1 . หทัยรูป เป็นรูป อย่างไรคะ?

2. ขอคำอธิบายคำว่า “อัตตสัญญา”ค่ะ

พ่อครูว่า…หทยรูป นี่มันเป็นรูปของจิต จิตที่ถูกรู้หรือวิญญาณที่ถูกรู้ เมื่อมันถูกรู้ก็เลยเรียกว่ารูป แล้วรูปที่เป็นนาม รูปที่เป็นจิตวิญญาณ มันอยู่ในคูหาสยัง อยู่ในร่างกาย กายยาววาหนาคืบกว้างศอกพร้อมสัญญาและใจเรานี้ มันไม่ได้อยู่นอกตัวนี้หรอก แต่มันไม่มีที่อยู่ พระอภิธรรมเขาก็ไปเรียนว่าจิตวิญญาณนี้อยู่ที่หัวใจที่สูบฉีดโลหิต อยู่ในหัวใจห้องที่ 4 ก็ว่าอยู่ตรงนั้นเขาว่าอย่างนั้นเลย อภิธรรมชี้ หทย คือที่อยู่ในหัวใจสูบฉีดโลหิต จริงๆแล้วหัวใจที่สูบฉีดโลหิตนั้นเป็นวัตถุธาตุ หัวใจนั้นเป็นอุปกรณ์ คือสรีระ ปรุงแต่งขึ้นมาเป็นเนื้อหนังมังสากล้ามเนื้อเอ็น มีเลือดอะไรไปเลี้ยง มีเส้นเลือด มีกล้ามเนื้อ จนกระทั่งใช้งานสูบฉีดโลหิต มีเส้นเลือดลำเลียงไปจนถึงส่วนต่างๆของร่างกาย หัวใจนั้นควบคุมเลือดเป็นหลัก เลือดเป็นธาตุสำคัญของชีวิต อาศัยเลือดวิ่งทำงานในร่างกายทั้งหมดเลย ทางการแพทย์เขาก็เรียนเลือดเป็นหลักเอาเลือดไปตรวจว่าเป็นอะไร ตัวพลังงานที่เล็กที่เป็นตัวเซลล์ ตัวพลังงานที่เป็นชีวะ เล็กที่สุด ที่อาศัยต่างๆนานาสารพัดชื่อ ที่มันทำงานอยู่ในนี้มันว่าธาตุนั้น ธาตุนี้ วิตามินอย่างนั้นอย่างนี้ ก็พอเข้าใจกัน

สรุปแล้ว หัวใจ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ให้เลือดทำงานกับเลือด เป็นวัตถุด้วย เป็นสรีระ ส่วนสมองเป็นอุปกรณ์ให้จิตวิญญาณทำงาน แยกกันด้วย เพราะฉะนั้นพระอภิธรรมยังเข้าใจจิตวิญญาณเอาไปอยู่ที่หัวใจ ยังไกลเลย ยังไม่เข้าที่เลย เพราะจริงๆแล้ว สมองต่างหากเป็นอุปกรณ์ให้วิญญาณทำงาน สัญญาทำงานให้สัญญาอาศัยสมองทำงาน ปัญญาก็อาศัยสมองเป็นอุปกรณ์ในการทำงาน อย่าว่าแต่สัญญาอย่าว่าแต่ปัญญาเลย เวทนาก็อาศัยสมอง สังขารปรุงแต่งนามธาตุก็อาศัยสมอง สัมผัสเป็นรูปธาตุก็อาศัยหัวใจ ส่วนสมองนั้นมีสังขารที่เป็นวิญญาณธาตุปรุงแต่งใช้สมองอย่างนี้เป็นต้น สมองที่เสียเป็นส่วนๆๆมันก็ไม่ทำงานเป็นส่วนๆๆ อย่างที่เขาเป็นอัมพาตส่วนนั้นส่วนนี้ การแพทย์จะรู้จักกันดี ก็ค่อยๆเรียนรู้กันไป เรียนเอาจุดหมายที่เราจะเอาถึงนิพพาน การจะไปเรียน สรีระ กายวิภาค พวกนี้มันจะยาวนาน เอาวิทยาศาสตร์ไบโอโลจีมาแทรกไป แต่ถ้าจะเรียนนิพพานต้องมาหาจิตวิญญาณ

หทยรูป คือ ที่เราสามารถใช้สัญญากำหนดหมาย รู้อาการ รู้เครื่องหมายว่า อย่างนี้เป็นตัวอาการของจิตวิญญาณ จะเป็น อาการของเวทนา สัญญา สังขาร ตัวกำหนดที่จะกำหนดชัดก็คือใช้สัญญากำหนดรู้เข้าไปทำงาน เข้าไปสำคัญมั่นหมายว่าอันนี้คือเวทนาอย่างไร อันนี้คือสังขาร อย่างนี้คือวิญญาณ หรือแยกเป็นเวทนา 108 มันมาจากที่มา กายิกเวทนา เจตสิกเวทนา คู่แรก จนเป็น สาม เป็น สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นสามเวทนาจนกระทั่งมามีดีกรีของมันมีความหยาบเรียกว่าสุข ว่าทุกข์ เกี่ยวข้องกับภายนอกจนกระทั่งมีแต่ภายในเป็นโสมนัสโทมนัส กระทั่งไม่เป็นบวกไม่เป็นลบไม่เป็นโสมนัสโทมนัส เป็นกลางๆ เรียกว่าอุเบกขา อุเบกขินทรีย์ คือเวทนา 5

เวทนาเหล่านี้มันเกิดมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ 6 เวทนาปรุงแต่งสังขารต่างๆให้เราเรียนรู้ก็เรียกว่าเวทนา 6

แล้วเวทนา 6 จากทางตา ก็ปรุงแต่ง​ เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือแม้แต่ยึดว่าเป็นเฉยๆ ภาษาสมถะก็บอกว่าเฉยๆได้ ของโลกุตระ ลดสุขลดทุกข์เหลือโสมนัส โทมมนัสจนลดลงไป เหลือเป็นอุเบกขาก็ได้ อุเบกขาของทางพุทธนั้นไม่เหมือนอุเบกขาเทวนิยม เขาไม่ได้เรียนรู้แยกแยะรายละเอียด อุเบกขามันไม่มีเหตุต่องแต่งที่เป็นกิเลส มันเป็นความสงบที่ปราศจากกิเลสจิตก็มีความคล่องแคล่ว กายปาคุญญตา ทำงานเป็นกายกัมมัญตา ทั้งกายและจิตทำงานแคล่วคล่อง ไม่ใช่ว่าสงบจะยิ่งแข็งยิ่งขึ้นยิ่งช้า ไม่ใช่ มันสลับกันไปสลับกันมา

อย่างอาตมานี้เหมือนลิงเข้าไปทุกที แต่นี่แหละคือความคล่องตัว กายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา คำว่าปาคุญญตา แปลว่าความคล่องแคล่ว ปราดเปรียว แววไว แล้วก็รวมตัวกันเรียกว่า มุทุธาตุ คือทั้งธาตุรูปธรรมและนามธรรม แววไวทั้งกายและจิต ทั้งในเชิงของปัญญาทั้งในเชิงของศรัทธา เร็วไวแคล่วคล่อง ทุกด้านๆ รวมแล้วเรียกว่าจิต มุทุธาตุ

แม้แต่จิตที่สะอาดบริสุทธิ์เป็นพระอรหันต์แล้วมีอุเบกขา 5 ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เราก็รู้สภาวะธรรมทั้ง 5 อย่างนี้ในตัวเรา ถ้าเรามีสภาวะเหล่านี้เป็นจิตที่สะอาด ไม่มีกิเลสมาปรุงแต่ง ปรุงแต่งอย่างไรก็ ปริโยทาตา ไม่มีกิเลสแทรกเข้ามาในจิตเราได้อีก เก่งขึ้นไปเรื่อยๆเป็น มุทุภูตธาตุ ทำงานเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับอย่างอื่นก็ยิ่งเก่ง ลงไปเป็นพระมาลัยโปรดสัตว์ในนรกที่มันแรงร้อนร้ายอย่างไรก็ไม่สามารถทำร้ายเราได้ จิตเราก็ประภัสสรตลอดเวลา ทำงานก็เก่งขึ้นไปตามบารมี

อย่างอาตมาไปทำงานในนรกร้ายแรง จะท้าทายมากก็ไม่ได้ ถ้าผีนรกใหญ่มาจะมาสู้ไม่ได้ ก็อย่าไปท้าทายอะไรมาก เอาแต่พอสมควรอย่าไป ชักศึกเข้าบ้านเอาข้าศึกมาเล่นงานตัวเองเราอย่าไปโง่อาตมาเข็ดแล้วรู้แล้ว อาตมาเคยท้าทายมันมาจริงๆหนัก ก็เลยบอกว่าช้าไว้เถิด ก็เลยไม่ท้าทาย ทุกวันนี้ไม่ท้าทายแล้ว ไม่เอา

ทหยรูป ไม่มีรูปร่างที่อยู่แต่นามธรรมเรานั้นจะรู้ว่าเป็นอย่างไร เป็นจิตวิญญาณที่มีรูปร่างสถานที่ใดอยู่ในร่างกายเรามันไม่อยู่ที่ปลายเท้าไม่อยู่ที่เส้นผมไม่ได้อยู่ที่หัวใจ 4 ห้องแม้แต่ในสมองก็ไม่ใช่ การสัมผัสทางมือสัมผัสรูปพวกนี้ตาสัมผัสรูปก็ไปที่ประสาทตารู้ที่ประสาทตาจอ retina ที่ประสาทตา ม่านตา เป็นต้น หรือที่ความรู้สึกทางเสียงก็ไปที่แก้วหูอย่างนี้เป็นต้น มันก็ไปตามอวัยวะ เพราะฉะนั้นเราจะไปกำหนดตัวที่แหล่งที่จิตวิญญาณทำงานอยู่ตรงนั้นทุกเวลาทุกที่ไม่เปลี่ยนไป จากตาเห็นรูปคุณก็ไม่เกี่ยวกับเสียงเท่าไหร่ คุณไปกำหนดที่รู้เสียงคุณก็ไม่เกี่ยวกับรูป ไปกำหนดที่กลิ่นก็กำหนดไปทีละอัน  แต่จริงๆแล้วมันเร็ว แต่จริงๆแล้วมันก็คนละที รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มันก็คนละอย่าง มันไม่ใช่อันเดียวกัน แต่มันใกล้กัน มันไวมากจนกระทั่งจิตที่มันเร็วจนรู้กันเปลี่ยนที่เปลี่ยนอะไร จิตมันเร็วกว่านั้นมากมายมันก็รู้ 2 อย่างพร้อมกันเลยแต่ที่จริงแล้วมันคนละที แต่จิตเราเร็ว เราสามารถไปรู้ได้ทั้ง 2 อย่างหรือ 3 อย่าง 4 อย่างก็แล้วแต่เก่งก็รู้ได้หลายอย่าง ฝึกไปก็จะรู้สิ่งเหล่านี้ดี

สรุป หทยรูป คือ การกำหนดรู้ อยู่ในรูป 24 รูป 28 ก็จะต้องกำหนดรู้ แหล่ง ที่มันกำลังทำงานด้วยอาการ ลิงค นิมิต อยู่ตรงนั้นก็คือหทยรูป แล้วก็เรียนรู้มันตามรูป 24 ตั้งแต่ประสาท 5 โคจร 5 ก็รวมกันเป็น 9 เพราะว่ามันรวมโผฏฐัพพารมย์กับกายสัมผัสรวมกันเป็นตัวเดียวกันก็เลยรวมเป็นหนึ่ง กายสัมผัสร่วมกับจิตสัมผัส โผฏฐัพพารมย์กับกายสัมผัสรวมเป็นอันเดียวก็เลยนับ โคจรรูป กับ ปสาทรูป ได้ 9 แล้วก็แยก เป็นอิตถีภาวะปุริสภาวะเป็นภาวรูป อิตถีภาวะยังไม่สงบยังดิ้นมากยังไปกับโลกเยอะ ก็ต้องรู้อาการที่แตกต่าง นี่ไม่ได้ว่าผู้หญิงนะ แต่เป็นภาษาธรรมะนะ แล้วถึงจะไล่ไปจากนี้หา หทยรูป จากภาวรูป แล้วมาเป็น ชีวิตรูปมันยังมีชีวิตบทบาท มันยังเคลื่อนไหวยังไม่ตาย รู้กำลังของชีวิต ขณะที่คุณเป็นๆจะศึกษาให้เป็นอรหันต์คุณจะไม่ไปฆ่าชีวิตหมด คุณฆ่าแต่ชีวิตที่เป็นกิเลส กิเลสมันมีชีวิต มันมีตัวลีลา มันมีพลังงานของมัน ก็ต้องแยกแยะตั้งแต่สักกายะแล้วฆ่ามันให้ได้ เรียกว่าชีวิตินทรีย์ให้มันหมดพลังงานชีวิต คุณก็มาเป็นชีวิตรูป อาหารรูป เกิดจากอาหาร 4 อาหารแปลว่าเครื่องอาศัยอาศัยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย อาศัยทางวัตถุต่างๆอาศัย ภพนอก จนหมดภพนอก หมดกามเหลือรูปภพ อรูปภพ ก็เรียนเป็นขั้นๆ ไป ก็ต้องฆ่าตัวเหตุคือธาตุกลิ คือตัวโทษตัวภัย หรือเรียกเต็มๆว่ากิเลส ขยายจากกลิ ที่ยังไม่ขยายตัวออกมาเป็นกิเลสกามกิเลสภวตัณหา จนกระทั่งไม่เกิดกิเลสเป็นธาตุที่มีพลังงานที่ทำงานตามประสงค์ต้องการ จนเรียกใช้ศัพท์ว่าตัณหาเป็นเครื่องอาศัย เป็นตัณหาที่ไม่มีภพแล้วเป็นวิภวภพ หรือเป็นวิภวตัณหา

ต้องเรียนจากอาหาร ตั้งแต่อาหารคำข้าว เรียนรู้โภชเนมัตตัญญุตา เครื่องกินเครื่องใช้ แต่ถ้าเอาอาหารเครื่องกินโดยตรงคำข้าวมาเลี้ยงขันธ์ กิเลสมันอยู่ตรงนี้แม้แต่คุณเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังต้องกินอาหารอย่างนี้เป็นต้น ถึงต้องเรียนรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เป็นกิเลสในสิ่งเหล่านี้ได้จนเป็นพระอรหันต์ได้

ก็ต้องมีผัสสะ จึงจะเกิดการศึกษาได้ ถ้าไม่มีผัสสะก็ไม่เกิดการศึกษา ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจก็ต้องรู้ให้ครบ ฉะนั้นคนที่นั่งหลับตาไปเรียนรู้จิตให้เป็นสมาธินั้นไม่ใช่พุทธ เป็นของนอกพุทธ ที่ท่านบอกว่านอกพุทธก็คือไม่มีสัมผัสทั้ง 6 ไม่มีการสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ จะต้องมีสัมผัส 6 ออกมารับรู้ทางทวารทั้ง 6 แล้วก็พิจารณาในเครื่องกินเครื่องใช้ โภชเนมัตตัญญุตา โดยการตื่นทั้งกายกรรมวจีกรรมและมโนกรรม ไม่ใช่ไปตื่นอยู่แต่ภายในจิตตื่นสว่างอยู่อย่างนั้น มันไม่ใช่อธิจิตต้องตื่นครบเป็นชาคริยานุโยคะอย่าให้ไปดับอยู่ในจิตอย่างเดียวจะต้องตื่น ชาครี

อปัณกธรรม 3 หากทำถูกต้องสัมมาทิฏฐิแล้วจึงจะบรรลุผล ถ้าหากไม่ปฏิบัติตามอย่างนี้แล้วไปนั่งหลับตาไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการกินการใช้ ไม่ได้สังวรตาหูจมูกลิ้นกายใจไม่ตื่นรู้ แต่เอาแต่หลับเอาหลับเอาก็โมฆะสิ จะรู้สึกตัวตื่นขึ้นไหมจะเป็นโจรปล้นศาสนาที่ถูกฆ่าถูกแทงด้วยหอกร้อยเล่มเช้ากลางวันเย็นก็ยังไม่ตาย ทำไมหนังเหนียวจัง เมื่อไหร่จะสะดุ้งสะเทือน เมื่อไหร่จะเปลี่ยนเลิกจากสิ่งที่ติดยึดเสียที ข้องอยู่ในถ้ำอยู่นั่นแหละ

คำเหล่านี้ท่านแปลกันเองในพระไตรปิฎกนะ อาตมาก็เอามาย่อยเป็นภาษาไทยให้ฟังยังไม่รู้หมดเลยอาตมายอมเป็นคนหอกหัก แต่ก็ไม่เป็นไรหอกอาตมามีเยอะ มุขสตี หอกปาก แทง อาตมามีแต่ปากหอก มีเยอะ หักไปเท่าไหร่ก็ไม่ว่า อาตมามีเยอะมาก ปากหอกอาตมา

เราต้องใช้อัตตสัญญา ไม่ต้องไปยุ่งกับสัญญาคนอื่นเป็นธาตุสัญญาที่เป็นของเรา

 

_สู่แดนธรรม

กราบนมัสการพ่อท่านด่วยความเคารพครับ  ช่วงนี้พ่อครูคงจะเขียนหนังสือให้ลูกๆ ได้ศึกษาในขั้นลุ่มลึกอีกสองเล่ม  ผมเองก็คิดล่วงหน้า เกรงไปว่า พ่อครูอาจจะให้เวลาไปเจาะลึกในธรรมะบางอย่าง ซึ่งไม่สมควรเสียเวลาไปเจาะลึกอธิบายให้มาก  เช่น วิญญาณฐิติ 7 และสัตตาวาส 9  ซึ่งผมเองเห็นว่า ธรรมะทั้งสองฝ่ายนี้ เป็นส่วนโต่งสุดท้ายสองฝ่ายที่ พระพุทธเจ้ามิให้เข้าไปพัวพันติดอยู่ มิให้ไปเพลินตั้งมั่นอยู่  (ทั้งฝ่ายเกิดวิญญาญฐิติ7 และฝ่ายดับ/สัตตาวาส9 นี้คือส่วนโต่งที่ละเอียดที่สุด)   ดังมีหลักฐานที่ผมพบว่า ไม่ให้เข้าไปติดอยู่หรือตั้งมั่นอยู่ พบในสองแห่ง คือ เล่ม 10 ข้อ 65  และใน คุหัฏฐกสูตร  ดังนี้ครับ

 

ล.10 ข.65  ตรัสสอนพระอานนท์ให้ทราบเรื่อง วิญญาณฐิติทั้ง 7 ว่ามีอะไรบ้าง แล้วขมวดท้ายว่า “...อานนท์  ผู้ที่รู้ชัดในวิญญาณฐิติข้อนั้น (ข้อ1ถึงข้อ7) รู้ความเกิด(สมุทยัง) - รู้ความดับ(อัตถังคมัง)  รู้คุณ(อัสสาทัง) รู้โทษ(อาทีนวัง)  และรู้อุบายเครื่องออกไป(นิสสรณัง) จาก วิญญาณฐิติ 7  และอายตนะ2  (คือ อสัญญีสัตตายตนะ และเนวสัญญานาสัญญายตนะ)  แล้ว  เขาควรจะเพลิดเพลินในวิญญาณฐิติ 7 และอายตนะ2 อยู่อีกหรือ ?  (พระอานนท์ตอบว่า  ไม่ พระเจ้าข้า)

 

ดูกรอานนท์ เพราะภิกษุมาทราบชัด ความเกิด ความดับ ทั้งคุณและโทษ  และอุบายเป็นเครื่องออกไปจาก วิญญาณฐิติ 7 และอายตนะ2 เหล่านี้ ตามความเป็นจริงแล้ว ย่อมเป็นผู้หลุดพ้นได้ เพราะไม่ยึดมั่น  ภิกษุนี้เราเรียกว่า “ปัญญาวิมุติ” ฯ

 

นั่นคือหลักฐานประการแรก ที่พระพุทธเจ้าสอนมิให้ติดอยู่ ตั้งมั่นคาข้องอยู่(ฐิติ)ในวิญญาณ  ซึ่งจะทำให้ผู้ปฏิบัติไปหลงแวะเข้าหาการปฏิบัติเพื่อได้ “กายสักขี” แล้วเพลิดเพลินอยู่ในความตั้งมั่นนั้น  ซึ่งหลักฐานประการที่สอง พระพุทธเจ้าก็ทรงตำหนิเรื่องความตั้งอยู่ ตั้งมั่นอยู่ ตรัสไว้ใน คุหัฏฐกสูตร ว่า เป็นนรชนขั้นสุดท้ายที่เป็นผู้ตั้งอยู่  ได้ตรัสไว้ดังนี้ ครับ

 

ล.29 ข.32  นรชนเมื่อตั้งอยู่ (ติฏฐัง, สภาวะเดียวกันกับฐิติ)

ก็หยั่งลงในที่หลง (ปคาโฬฺหติ / อ่านว่า ปคาฬฺโหติ)

มีรายละเอียดของผู้ตั้งอยู่ หลายขั้น  ได้แก่

เป็นผู้กำหนัด  เพราะตั้งอยู่ในอำนาจกาม,

เป็นผู้ขัดเคือง  เพราะตั้งอยู่ในอำนาจโทสะ,

เป็นผู้หลง  เพราะตั้งอยู่ในอำนาจโมหะ,

เป็นผู้ผูกพัน  เพราะตั้งอยู่ในอำนาจความถือตัว,

เป็นผู้ยึดถือปรามาส  เพราะตั้งอยู่ในอำนาจของทิฐิ

เป็นผู้ฟุ้งซ่าน  เพราะตั้งอยู่ในอำนาจของอุทธัจจะ

เป็นผู้ไม่แน่นอน  เพราะอำนาจความสงสัย

เป็นผู้แน่นอนถึงความมั่นคง ตั้งมั่นอยู่ (ถามคโต) ฝใฝว

ย่อมตั้งมั่นอยู่ด้วยกิเลสที่นอนเนื่อง (อนุสยวเสนะ)

จะเห็นว่า ข้อสุดท้ายนั้น เป็นผู้มั่นคง ตั้งมั่นอยู่ ก็เพราะตั้งอยู่ในวิญญาณฐีติ ที่ยังไม่พ้นจากอำนาจของ อนุสัย / และแล้วพระองค์ก็ทรงสอนถึงวิธีที่จะออกจาก ความตั้งอยู่ในวิญญาณฐิติ7 และอายตนะ2 ก็คือ สอนด้วยวิโมกข์ 8 และสัญญาเวทยิตนิโรธ ครับ

 

สมณะฟ้าไท สรุป จบ

 


เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:27:54 )

630302

รายละเอียด

 

630302_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 91

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/1mJCfe7E6VrTvZ4RDofAa3VyClPWTNFOajIhDt71QyiE/edit?usp=sharing                        

 

ดาวโหลดเสียงที่  https://drive.google.com/open?id=1RPRrzjPURUd1lef55LR5wTgUYB1ZiyY1

 

พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก ก่อนอื่นก็ขอแจ้งให้ทราบไปทั่วในชาวอโศกให้รู้ว่า วันนี้เดือนมีนาคม ไปถึงเดือนเมษายนจะมีงานอีกไม่ใช่น้อย มีงานปลุกเสก งานตลาดอาริยะ งดหมด มันก็ต้องขึ้นอยู่กับบ้านกับเมืองอยู่กับโลกเขา เจ้าโคโรน่า Covid 19 Coronas Virus Disease ปี 2019

สู่แดนธรรมว่า..ก่อนรายการมีคนกระซิบหากพ่อท่านประกาศงดงาน ก็คงบอกว่ามีญาติธรรมจองตั๋วไว้แล้ว เขาก็ว่าเดินทางมาฟังธรรมพ่อท่านก็แล้วกัน แต่ก็อย่าเอาเชื้อ Covid มาให้(?)พ่อท่านด้วยก็แล้วกัน

พ่อครูว่า..วันนี้คนไทยมีป่วยกี่คนแล้ว... 43 คน

สู่แดนธรรมว่า...มีคนบอกกันว่าหอมแดงอินเดียป้องกันโรคได้ จะให้คุณไม้ร่มไปทดสอบ

พ่อครูว่า..จริงๆแล้วทางสาธารณสุขจังหวัดเขาขอมา ไม่ว่าจะเป็นหน่วยราชการหรือหน่วยงานเอกชนที่จะจัดงานรวมคนมากๆ มันจะเสี่ยงต่อ Covid 19 เราก็เลยต้องงด ทั้งงานปลุกเสก ทั้งงานตลาดอาริยะ ไม่ต้องอกหักอกพังอะไรหรอก หยุดก็หยุดกัน พักก็พักกัน

 

ทีนี้ก็ขอแจ้ง  _เนื่องจากทางสาธารณสุขจังหวัดอุบลฯ ได้ขอให้หน่วยงานราชการ เอกชน งดจัดกิจกรรมที่มีคนเดินทางมารวมกันมากๆ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ Covid 19 ดังนั้น จึงควรงดงานปลุกเสกฯ และตลาดอาริยะสงกรานต์ปีใหม่ไทย 2563 ไปก่อน 

 

_sms วันที่ 1 มี.ค. 2563 (พุทธศาสนาตามภูมิ)

 

_..ท่านที่แจ้งข้อมูลถึงช่องทางการรับชมของบุญนิยมทีวีมาทางโซเชียลเนตเวิร์คตั้งแต่วันที่ 29 ก.พ. นั้น ได้ส่งข้อมูลไปให้ท่านแสนดินเป็นข้อมูลไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม หากตอบแบบสอบถามทุกข้อก็จะได้ข้อมูลที่สมบูรณ์ขึ้น พี่น้องท่านใดไม่สะดวกแจ้งผลการรับชมบุญนิยมทีวีผ่านทางแบบฟอร์มออนไลน์ และสะดวกที่จะโทรมาที่เบอร์โทรศัพท์ก็ยินดี

1. คุณประเทืองธรรม (ตี้) เบอร์โทร 086 4999721

2. คุณประทับใจ(บี) เบอร์โทร  088 5986877

3. คุณดินนา โคตรบุญอาริยะ 085 9492980 สาธุค่ะ

 

_กิ่งฟ้า ขันหล้า : กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพอย่างสูงยิ่งค่ะ ต่อไปภายภาคหน้าพ่อท่านไม่อยู่..ลูกก็จะปฏิบัติเหมือนเดิมค่ะ

...และตอนนี้ลูกก็ให้ลูกสาวไปเรียนที่โรงเรียนสัมมาสิกขาสันติอโศกได้..2.ปี

แล้วค่ะ...ปีการศึกษา..2563..ก็ขึ้น..ม.3..แล้ว..ให้เขาไปซึมซับวัฒนธรรมชาวอโศก..ลูกคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีสุดแล้วค่ะ

พ่อครูว่า..เอาเลย สาธุ ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น

 

_ตุ้ม พรทิพย์ : กราบนมัสการค่ะ ยังเดินทางไปบ้านราชฯได้อยู่ไหมคะ

 

_Keng Ratchanee เก่ง รัชนี : หากตนก่อตนแกร่งแต่งกรรมให้ดีเพียรทวีมีศีลขันจักขวัญยืน /แพ้ก็แพ้ชะตากรรมแต่ใจคงความมั่นคง

ร้องเพลง ผู้แพ้ กับเพลงขวัญ ของพ่อท่านได้ค่ะ ความหมายสองเพลงนี้ลุ่มลึก มีความหมายยิ่ง

 

_แดง ลานกราบ : น้อมกราบนมัสการพ่อครูท่านสมณท่านสิกขมาตุ ขอขอบคุณ

ที่มีเฟสบุคมาให้ฟังเทศน์ของพ่อครูค่ะ

 

_ปองแสงพุทธ ทองสุขนอก : พ่อครูเจ้าขาน้อมกราบนมัสการ หนูขอทำได้เท่าที่หนูทำได้ และที่ทำไม่ได้ก็ยังเยอะ หนูเหนื่อยจังเจ้าคะ แต่หนูไม่ยอมเลิก ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้เลยว่าจะกดดันตัวเองบ้าบอทำตามอย่างที่ท่านสมณะสอนทำมั๊ย ตอนนี้ในใจลึกๆ รู้ว่าตัวเองคงทำแบบท่านไม่ได้จริง ๆ แต่พ่อครูเจ้าขา ตราบใดที่หนูยังมีลมหายใจ หนูไม่เลิกแน่นอนเจ้าคะ 555 หนูเก่งมั๊ยเจ้าคะ รู้ว่าตัวเองไม่มีปัญญา แต่ก็ยังขี้ดื้อ หน้ามึน 555 โปรดติดตามตอนต่อไปนะเจ้าคะ น้อมศรัทธาเจ้าคะ ฝากระลึกถึงไก่ตัวพี่ของลูกด้วยเจ้าคะ สู้ ๆ

พ่อครูว่า..ทำให้ใจของเราดีขึ้นเจริญขึ้นทำให้กายกรรมวจีกรรม โดยเฉพาะมโนกรรมคือใจของเราทำให้ดีขึ้นนั่นคือเป็นโลกุตระ มันไม่ทำเสียหายไม่ทำชั่วทำแต่ดีนั้นเป็นโลกียธรรม แต่ถ้ารู้จักจิตใจเราว่ามันยังหลงกิเลสในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส หรือจิตเราหลงในลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอันนั้นมันเป็นกิเลสอย่าไปตามใจ เราจะต้องไม่ตามใจ อย่าให้อาการกิเลสอย่างนี้เกิด รู้อย่างนี้สำนึกอย่างนี้เป็นโลกุตระ ฟังดีๆแยกโลกียะแยกโลกุตระให้ออก ศาสนาพุทธนั้นพิเศษ ศาสนาอื่นไม่มีโลกุตระหรอกเขาไม่มาเรียน จ้ำจี้จ้ำไชชัดเจนว่าต้องทำให้กิเลสลดและต้องให้รู้จักอาการจิตที่มันเป็นอาการของมีกิเลสด้วย ผู้ที่อ่านอาการของกิเลสออกก็คือผู้ที่รู้รูปนามผู้นั้นรู้จัก กายกลิ องค์ประชุมของรูปนามที่มันเป็นโทษภัย นี่แหละคือตัว สักกายะที่จะต้องทำความเข้าใจเรียกว่า สักกายทิฏฐิ สักกะ แปลว่าตัวเรา กายคือรูปนาม มันเป็นอาการอยู่ในจิต มันเป็นอย่างนี้มันเป็นตัว กลิ แล้วจับมั่นคั้นตาย มันเป็นนามธรรมมันเป็นรูปมันไม่มีตัวตน แต่เราจับอาการ ลิงค นิมิต มันได้ แยกได้ว่าอาการอย่างนี้เป็นอาการของกิเลสจิตของเราเป็นธาตุรู้ มันก็จะรู้เป็นธรรมชาติ แล้วมันก็จะไปรู้แยกกิเลสได้อย่างนี้แหละ นั่นคือจิตที่มีญาณปัญญาที่มันรู้จักกิเลสนี่ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ แยกแยะกิเลสออกจากจิตใจเราเองได้นี่เป็นโลกุตรธรรม

 

_ฉายา มะขามป้อม : กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพคะ

 

_แดง ลานกราบ : ตอนนี้แม่ของแดงเริ่มมีใจคิดจะอยู่กับหมู่มิตรดีที่บ้านราชแล้ว

พ่อครูว่า...ขอยืนยันว่าสังคมที่นี่เป็นสังคมที่มีมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีซึ่งเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์เลย พระอานนท์รู้สึกว่าความเป็นมิตรดี บุคคลที่มารวมกันเป็นมิตรสหายดีร่วมกันและมีสัมปวังโก รวมกันอย่างนี้มีบวร บ้านวัดโรงเรียนอย่างนี้ดีพระอานนท์ก็รู้สึกว่าดีจังเลยจึงบอกพระพุทธเจ้าว่าเป็นครึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์เลยนะ พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าอานนท์นั้นไม่ใช่ มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ไม่ใช่แค่ครึ่งหนึ่งครึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์แต่มันทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์เลย เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของศาสนาฟังให้ดีๆ

คนอยู่ที่นี่ บวร ก็พร้อมด้วยสังคมสิ่งแวดล้อมดีมิตรสหายดีมีสัปปายะ 4 บุคคลสัปปายะอาหารสัปปายะ ธรรมะสัปปายะ สถานที่สัปปายะ แล้วไม่เอาก็โง่สิ

 

_จักรพล พุทธพัฒนา : ผมเคยเรียนอภิธรรมมาครับ..ชั้นนักศึกษา9ชั้น ชั้นอาจารย์6ชั้น..ผมเรียนชั้นนักศึกษาแค่6ชั้น..อาจารย์1ชั้นเท่านั้นครับ.

พ่อครูว่า..คุณยังได้เรียน อาตมายังไม่ได้เรียนเลย คุณยังดีกว่าอาตมาเยอะ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(วิเวก 3) ตอน วิเวก 3 โดยพิสดาร

_กวางตุ้ง...วิโมกข์ 3 คืออะไรคะหลวงปู่ หรือเป็นวิเวก 3

พ่อครูว่า...มีด้วยหรือวิโมกข์ 3 หลวงปู่เคยได้ยินแต่วิโมกข์ 8 หรือเป็นวิเวก 3

วิเวกแปลว่าความสงัด มีความรู้เรื่องวิเวก

ก็เลยเข้าใจไปว่าเอาร่างกายนี้ออกไปอยู่ป่า บอกว่าอย่างนี้คือกายวิเวกแล้ว กายเขาเข้าใจแต่เพียงร่างกายนั้นไม่ใช่ กายคือองค์ประกอบรวมทั้งหมด ทั้งรูปภายนอกภายในที่จิตสัมผัสรวมทั้งหมด เรียกว่ากาย สัมผัสแล้วกิเลสมันลดมันจางมันเบาลงมันสงบ จนกระทั่งมันจะดับจนสงบ ด้วยพยัญชนะเรียกว่ากายก็ดีเรียกว่าวิเวกก็ดี มี 3 อย่างคือกายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก

จิตวิเวกเป็นอย่างไร จิตวิเวกต้องทำกายวิเวกให้ได้ก่อน

กายวิเวกต่างกับจิตวิเวก คือกายวิเวกต้องทำกายภายนอกที่เกี่ยวข้องกับกามภพเราได้ทำให้กิเลสกามหมดได้แล้ว ก็ไปทำจิตวิเวกอีกทีหนึ่ง เพราะฉะนั้นคนที่ไปปฏิบัติธรรมมะแบบนั่งหลับตากัน ในครรลองคลองธรรมของพระพุทธเจ้าของศาสนาพุทธเลย การหลับตาปฏิบัตินั้นเป็นการปฏิบัติผิด ปัณกปฏิปทา แปลว่าผิด ไม่ใช่ของพุทธ

การปฏิบัติที่ไม่ผิดทางของพุทธ มี 3 ข้อคือ สำรวมอินทรีย์ทางตา หู จมูก ลิ้น กายใจครบพร้อมนี้เป็นข้อ 1 ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กายภายนอก มีแต่นั่งไปหลบไปหลับ พระพุทธเจ้าประกาศศาสนาก็มีแต่พวกนั่งหลับตาเต็มไปหมด เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธได้เสื่อมไปหมด จนกลายเป็นมีแต่นั่งหลับตา เขาถือว่าเป็นการทำสมาธิทำฌานทำให้กิเลสออกให้หมดแล้วจะได้ไปนิพพาน มันกลับไปเป็นเดียรถีย์เก่าเต็มรูป อาการหนักมากอาตมาพูดขึ้นนี้เหมือนกับอาตมาทำเป็นเก่งคนเดียวทำเป็นรู้ ครูบาอาจารย์ผ่านมาหลายร้อยปีพากันนั่งมาจนกระทั่งทุกวันนี้ยึดถือกันว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องไปหมดแล้ว เหลือผู้ที่รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องจะมีครึ่งคนไหมในครูบาอาจารย์ศาสนาพุทธ ถ้ามันผิดนะการนั่งหลับตามันผิด แล้วไปเอาคำว่านั่งหลับตาสมาธิเป็นอุปการะ คำว่าอุปการะไม่ใช่ปฏิปทา

อุปการะ หมายถึง สิ่งที่ช่วยนิดๆหน่อยๆ เป็นการช่วย เช่นคุณจะทำเตวิชโช หลับตาไม่ให้มีอะไรรบกวนแล้วก็ทบทวน เตวิชโช คือ การตรวจสอบสิ่งที่ตัวเองทำมาแล้วว่ามันได้ผลหรือมันไม่ได้ผลมันผิดพลาดตรงไหนอะไรอย่างไร บุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกสิ่งที่ผ่านมาแล้ว แต่เขาก็ไปแปลเป็นการระลึกชาติตัวตนบุคคลเราเขา ซึ่งมันแบบนั้น ปฏิบัติธรรมไม่ได้ มันไม่เป็นผลการปฏิบัติของจิตที่ชัดเจนขึ้นได้ก็ไม่ได้ผล จุตูปปาตญาณ ก็เรียนกิเลสเกิดกิเลสดับ เราก็ทำให้กิเลสดับได้ เป็นจุตูปปาตญาณ ส่วนอาสวักขยญาณ ก็เป็นญาณที่รู้ความหมดอาสวะ แต่เบื้องต้นเขาก็ไม่รู้แล้วมันก็เลยยาก

จิตวิเวก คือ ทำจิตให้กิเลสลดลงๆ

อุปธิวิเวก ก็หมายถึงขันธ์ 5 หมายถึงอภิสังขาร นี่คืออุปธิ ที่มี 1. กิเลส 2.ขันธ์ 5 3. อภิสังขาร

รู้จักกิเลสอยู่ในขันธ์ 5 อภิสังขาร คือ จัดการเรียนรู้จิตของตัวเองที่มันมีกิเลส แล้วเอากิเลสออกได้ นี่แหละคืออภิสังขาร อภิสังขารมี 3 อย่าง ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร

ปุญญาภิสังขาร คือ สามารถจัดการให้กำจัดกิเลสได้ ด้วยบุญ บุญเป็นตัวร้ายเป็นนักฆ่าบุญไม่ใช่สิ่งที่น่าได้น่ามีน่าเป็นเลยในมนุษยชาติ มันมีกิเลสจึงต้องจำเป็นต้องสร้างพลังงานให้เกิดบุญแล้วบุญก็คือการฆ่ากิเลส คือการทำพลังงานให้เป็นไฟโลกุตระ อุณหธาตุโลกุตระ เรียกไฟนั้นว่าฌาน ไฟฌาน ก็จะทำหน้าที่เผา ฌาปนกิจ แปลว่ากิจเผาสรีระ ฌานแปลว่าเผา พอมันเผาเสร็จ กิริยาของการเผาจบนั่นแหละ เผากิเลสลดไปได้หมดคือจบบุญ

หากกิเลสถูกเผาหรือฌานเผากิเลสได้ส่วนหนึ่ง ก็คือกิเลสถูกกำจัดได้ส่วนหนึ่ง เป็นส่วนแห่งบุญ ที่พูดกันด้วยพยัญชนะว่าได้ส่วนบุญคือได้การลดกิเลสไม่ใช่ว่าได้อะไรกลับมาเลย ไม่ใช่ภพชาติไม่ใช่วิมานไม่ใช่สิ่งที่เป็นสมบัติอะไรที่จะได้มาเลยบุญ มีแต่ความชิปหายความวิบัติ บุญมีหน้าที่ทำให้หมดไปมีหน้าที่เท่านั้น ซึ่งมันมีความเข้าใจผิดของศาสนาพุทธมานานจนกระทั่งอาตมาเอามาพูดคืนนี้ ด็อกเตอร์ทั้งหลายทางพุทธศาสนาเปรียญ 9 ก็ดี เคยฟังมาอย่างที่อาตมาพูดไหม เคยฟังไหมหรือสะดุดไหม อาตมาเอามาย้ำหนักหนา ผู้ที่ไม่เห็นว่าเป็นความสำคัญก็ไม่ฟัง

หากคนไม่รู้จักสภาวะจิตที่ทำให้เกิดบุญกิเลส ทานไม่ได้ก็ล้างกิเลสไม่ได้ทำให้พลังงานชีวิตแบบนี้ขึ้นมาไม่ได้ประกอบอภิสังขารไม่ได้

อปุญญาภิสังขาร คือ ไม่มีบุญแล้ว อภิสังขารนี้ เป็นของพระอรหันต์ไม่มีบุญแล้ว ไม่ใช่ อปุญญะ พอไม่ใช่บุญก็ไปแปลว่าบาป นั่นคือไม่รู้จักสภาวะของบุญ ไม่รู้จริง ผู้ที่ไม่รู้จริงก็ไปแปลว่าเป็นบาป กลับกันที่ไม่ใช่บุญก็เป็นบาป แต่บุญ One way Traffic ทำงานฆ่ากิเลสอย่างเดียวเลย ถ้าบุญยังวกกลับได้ ก็ไม่มีปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ 0 หมดเลย มันอาจจะนานเพราะว่าองศามันน้อยก็เลยออกจะไกลมาก ไม่ใช่ มันไปแล้วไปเลย บุญมีหน้าที่ฆ่ากิเลสจบมันก็ไม่มีบุญ ถ้าทำเป็น คุณก็เกิดฌานเกิดบุญได้

หากคุณบอกจะทำขวานไปถากไม้ แต่คุณก็ปั้นแป้งเปียกมาเป็นรูปขวาน แล้วไปถากไม้ มันจะได้อะไร ต้องเข้าใจให้ถูกการสร้างขวัญต้องสร้างด้วยอะไรประกอบอะไรขึ้นมา นี่คือความลึกซึ้งของโลกุตระธรรมพระพุทธเจ้า อปุญญาภิสังขาร แปลว่า​ สังขารที่ไม่มีบุญแล้วเลิกบุญแล้วบาปก็หมดแล้ว เรียกว่า ปุญญปาปปริกขีโณ สิ้นบุญสิ้นบาป

สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) ผู้ที่ทำให้บุญเกิดสำเร็จ กำจัดบาปจนหมด ก็เป็นสัพพะปาปัสสะอะกะระณัง บาปไม่ทำอีกแล้วไม่เกิดอีกแล้ว คนนี้ก็ไม่ต้องมีบุญอีกแล้ว ฉะนั้นกรรมที่เหลือของคนนี้ คนที่มีสัพพปาปัสสอกรณัง คนนี้ไม่มีบาปแล้วทำกรรมกิริยาอย่างไรๆ ก็ไม่มีบาปเลย กรรมกิริยาของคนคนนี้จึงมีแต่กุศล บุญ ผู้ไปแปล ว่าละชั่วประพฤติดี ได้คะแนน 0 ไข่นกกระจอกเทศ

อเนญชาภิสังขาร เป็นการสั่งสมฐานจิตที่ไม่มีกิเลสแล้ว ก็ทำอาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ทำซ้ำอย่างที่ทำให้ไม่เกิดกิเลสนี่แหละ ทำอย่างนั้นอย่าให้ผิดทำให้มากๆๆๆ เป็นการรักษาผลเป็นอนุรักขณาปธาน พากเพียรรักษาผล ของพระพุทธเจ้ากำชับทำซ้ำทำให้มากไม่รู้กี่ชั้นจึงจะเป็นพระอรหันต์ที่สมบูรณ์

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน จรณะ 15 วิชชา 8 โดยย่อ

_ด.ญ.ข้าวฟ่าง จรณะ15 มีอะไรบ้างคะ

พ่อครูว่า...จำศีลก่อนแล้วก็ อปัณกธรรมอีก 3 แล้วก็สัทธรรม อีก 7 จากนั้นเป็นฌานอีก 4

จรณะ 15

1. ถึงพร้อมด้วยศีล . .       9. ปรารภความเพียร  (อารัทธวิริโย)

2. คุ้มครองทวารอินทรีย์ 10. สติอันเป็นอาริยะ

3. ประมาณในโภชนา      11. ปัญญา  

4. ประกอบความตื่น         12. ปฐมฌาน

5. ศรัทธา (เชื่อมั่น)          13. ทุติยฌาน

6. หิริ (ละอายต่อบาป)      14. ตติยฌาน

7. โอตตัปปะ. (สะดุ้งบาป)  15. จตุตถฌาน

8. แทงตลอดในพหูสูต   (ล.13/34)

สมาธิจะเกิดตอนได้วิชชา 8

วิชชา 8

1. วิปัสสนาญาณ รู้จักกิเลส

2. มโนมยิทธิญาณ มีฤทธิ์ฆ่ากิเลส

3. อิทธิวิธญาณ คือ มีฤทธิ์ที่มากขึ้นหลากหลายขึ้น เป็นมโนมยิทธิที่มากขึ้นเป็นญาณที่มากขึ้นเยอะขึ้น

4. ทิพโสตญาณ ยิ่งเก่งขึ้นเป็นความรู้ละเอียดลึกซึ้งขึ้น รู้สิ่งที่เป็นพิษที่รู้ได้ยากที่เป็นอรูปของจิตของกิเลส ชัดมากยิ่งขึ้น นั่นคือก็จะรู้จัก

5. เจโตปริยญาณ 16 รู้จักราคะโทสะเป็นตัวก่อ แล้วก็รู้ว่า ทำให้ ราคะ โทสะ โมหะ มันหมดไปไม่มี คือ วีตะราคะ วีตะโทสะ วีตะโมหะ เป็น 6 จากนั้นก็แจกจิตเป็นสองตระกูล คือตระกูลปัญญา กับ ตระกูลศรัทธา คือสังขิตตังจิตตัง (ศรัทธาจับตัวเป็นก้อน สังกะตังที่หัว) วิกขิตตังจิตตัง คือของสายปัญญาฟุ้งกระจาย

แล้วก็ทำให้จิตมันเจริญขึ้นยิ่งใหญ่ขึ้น เรียกว่า มหัคคตะ ทำให้เจริญขึ้นไม่ได้ก็เป็น อมหัคคตะ

คุณทำได้เป็นมหัคคตะ เจริญขึ้นก็ใกล้นิพพานมากขึ้นเรื่อยๆ เป็น สอุตรังจิตตัง คือ จิตที่ดีเจริญขึ้นเรื่อยๆ แต่ดีกว่านี้ยังมีอีก จนกว่าจะดีที่สุดคือ อะนุตตะรังจิตตัง

เป็นคู่ๆ แล้วก็ไปถึง สมาหิตะ กับ อสมาหิตะ คือสมาธิ กับ ไม่เป็นสมาธิ สมาหิตะ คือเป็นสมาธิแล้ว อสมาหิตะคือ ยังไม่เป็นสมาธิที่เสร็จแล้ว สมาธิคือ ผ่านกาละสำเร็จแล้วนั่นเอง

จบด้วย วิมุต กับ อวิมุติ คู่สุดท้าย คือเจโตปริยญาณ 16 ตัว ไม่สับสน หากรู้สภาวะ

นี่หมดอาตมาไม่ได้ท่องบาลีพวกนี้ แต่มีสภาวะแล้วก็ค่อยจำสภาวะ เวลาพูดก็เอาสภาวะมาเรียง กับพยัญชนะก็เรียงไม่สับสน มันเป็นลำดับ คุณต้องมีญาณรู้อย่างนี้แล้วก็รู้มันหมดจนเป็นวิมุติหรืออวิมุติ หรือสมาธิกับไม่เป็นสมาธิ

สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่ไปดับหลับตาอย่างนั้น นั้นจะว่าเป็นอนุบาลก็ยังสูงไปต้องเป็นเตรียมอนุบาล นั่งหลับตาสมาธินั้นไม่ใช่ของพุทธ พูดไม่รู้กี่ทีแล้ว ที่นั่งหลับตาสมาธิก็เป็นของเดียรถีย์ที่มันมีอยู่อย่างนั้นของเขา อาจจะยกให้เป็นมหาวิทยาลัยนั่งหลับตาเป็นการนั่งหลับตาสมาธิแต่มันก็ไม่ใช่ของพุทธเลย ของพุทธนั้นไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับเรื่องหลับตาเลย เป็นของแถมเท่านั้น แต่กลับว่าไปเอามาเป็นสาระ มันเป็นของเคียง ไม่ต้องก็ได้ แต่กลับเอามาเป็นแก่น เอามาทำเป็นความผิดเพี้ยนไกลลิบลับ ท่านผู้นั่งหลับตาเป็นหลักทั้งหลายเอ๋ยฟังอาตมาพูดแล้วจะสะเทือนสักนิดไหม จะสะดุ้งสักนิดนึงไหม ขอฝากไว้เอาไปตรวจสอบในพระไตรปิฎกให้ดี อ่านพระไตรปิฎกให้แตก เรามีหลักฐานอ้างอิงยืนยันจากพระไตรปิฎก อันอื่นคุณก็ไม่เชื่อนะ แต่มาบอกว่าอาตมาเป็นพระอรหันต์เป็นพระโพธิสัตว์ อาตมาเป็นผู้มากอบกู้ศาสนาคนก็จะยิ่งไม่เชื่อหมั่นไส้ ไม่เป็นไรก็ไปตรวจสอบกับพระไตรปิฎกตามที่อาตมาพูดให้ฟัง

6. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ

7. จุตูปปาตญาณ

8. อาสวักขยญาณ

 

_คนที่ชื่อบรรยินน่ากลัวโหดร้ายขนาดนี้ เรื่องของมันคงจะปลูกฝังไว้ในลูกหลานหรือเปล่า ฝากข้อความถึงศาลสถิตยุติธรรมกรุณาอย่าปล่อยให้มันออกมาเพ่นพ่านอีก แล้วพวกเราก็ควรจะเร่งรีบ Active ปฏิบัติจิตใจให้หลุดพ้นจากกิเลสตัณหาให้สิ้นไปเพราะตอนนี้จะเรียกว่าไฟบรรลัยกัลป์ใกล้ถึงตัวแล้ว

พ่อครูว่า...ดี ไม่ต้องไปขยายความพูดถึงคุณบรรยิน ตามข่าวได้ยินบ้าง เขาจะมีเรื่องราวอย่างไรตอนนี้ก็ยังสมมติตามเขาไม่ได้เลย รู้แต่เป็นเรื่องฆ่ากันเท่านั้นเอง แต่ก็ยังไม่รู้ว่าฆ่า ใคร ใครฆ่าก็ไม่รู้ ยังนึกไม่ออก ไม่ได้ใส่ใจข่าวเขาหรอก แต่พอรู้ตามโลกเขานิดหน่อย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน อัญญโลกคืออะไร

_โลกอื่น อัญญโลกคือไฉน เป็นอย่างไร

พ่อครูว่า...อัญญ นี้ เมื่อพระสมณโคดมเทศน์กัณฑ์แรกก็เกิด อัญญธาตุ คือ ธาตุจิตที่เป็นธาตุรู้ชนิดหนึ่ง เป็นจิตตัวอื่นที่ไม่เคยเกิดมาในโลกีย์ เมื่อได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า ตามทั้ง 5 รูปเมื่อได้ฟังด้วยกันมีอัญญาโกณฑัญญะที่เป็นพราหมณ์รูปแรกที่ฟังธรรมะพระพุทธเจ้าจบ จิตก็เกิดรู้เลยเป็นจิตดวงใหม่ที่เรียกว่าอัญญธาตุ เป็นธาตุตัวเกิดขึ้นมาตัวแรกคืออัญญะ เมื่อรู้เพิ่มขึ้นคืออัญญา เป็นความรู้และไม่ใช่ความรู้ที่เป็น เฉโกหรือเฉกะ อัญญา คือ ความรู้ของโลกุตระ ที่เป็นความรู้ชนิดอื่นที่แตกต่างจากความรู้โลกียะ ถ้าเป็นบุคคลก็เป็นโสดาบันบุคคลขึ้นไปเป็นโลกุตระ

อัญญโลก คือ โลกอันอื่น ดาวคนละดวงโลกคนละลูก โลกโลกียะก็โลกหนึ่ง โลกโลกุตระก็อีกโลกหนึ่ง เราชาวอโศกซึ่งเป็นคนที่ไม่เหมือนเขาเป็นคนละโลก เขาเข้ามาไม่ค่อยติดเข้ามาไม่ค่อยได้ เพราะว่ามันเป็นโลกที่ยากมันเป็นโลกที่มีราศีสะอาด ราศีอุตระ เขาเข้ามายาก เป็นเรื่องอจินไตยที่เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่ง พระธรรมของพระพุทธเจ้าที่เป็นโลกุตระสัจจะจึงเป็นสัจธรรมที่รู้ยากเข้าใจยากแต่เป็นสัจธรรมที่จำเป็น โดยเฉพาะชาวพุทธเพราะว่าศาสนาพุทธมีอันนี้แหละเกิดขึ้นมาพระพุทธเจ้าอุบัติจึงเกิดโลกุตรธรรม เรื่องพิเศษเป็นเรื่องที่รู้แจ้งโลกรู้จักทุกอย่างรู้ดาวดวงอื่นโดยเฉพาะดาวดวงที่เป็นดาวพิเศษยิ่งกว่าพระอาทิตย์ สามารถส่องทะลุอะไรได้หมดเลย ดาวดวงเล็กน้อยก็ในอำนาจของพระอาทิตย์

มนุษย์เราเกิดมาแล้วเกิดมาเจอพระพุทธศาสนา แล้วสามารถที่จะเอาศาสนาพุทธเอาธรรมะโลกุตระของพระพุทธเจ้าไปได้ก็ประเสริฐแล้ว เป็นกุศลอันเลิศแล้ว ในชีวิตที่เกิดมาเพราะฉะนั้นคนจะไปลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขอยู่ หรือจะไปสนใจในธรรมะก็หลงในโลกียธรรม หมุนเวียนวนเก่า เช่นไปนั่งหลับตาออกนอกวิธีการของพระพุทธเจ้านั้นน่าสงสาร จะมาก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรนี่พูดจากใจจริงน่าสงสารไปนั่งหลับตายึดมั่นถือมั่น แล้วมาฟังอาตมาก็ไปบอกว่าอาตมาด่าเรา ก็อย่าไปคิดว่าด่าสิอาตมาด่าเอาบุญด่าเอาคำว่าบุญไปยัดเยียดให้คุณให้รู้จักคำว่าบุญ เพราะว่าคุณไม่รู้จักคำว่าบุญหรอก สิ่งที่อาตมาทำนี้คุณควรได้ควรเอา ยิ่งถ้าเป็นนักปฏิบัติธรรมและคนสนใจเอาไปอย่างยิ่ง

 

_เกื้อกูล แม้นมาลัย...เจอพ่อครูตั้งแต่อายุ 17 ตอนนี้เป็นยายแล้ว

ทานนี้ฉันคิดว่ามันเป็นพลังงาน ฟิวชั่นกับฟิชชั่น ทีนี้ ดิฉันเข้าใจว่า การที่เราจะให้อะไรกับคนที่เรารักมันเป็นฟิชชัน แต่ถ้าให้ทุกคนมันเป็นฟิวชั่น ฉันคิดว่าถ้าเราให้แต่คนที่เรารักถ้าเกิดว่าชาติหน้าเราจะไม่เจอคนเหล่านี้คนที่เราให้ไว้ เขาก็จะไม่ได้รับผลผ่านจากใครเลยใช่ไหมคะ

พ่อครูว่า...ที่จริงแล้วคุณจะไปคิดได้ผลตอบแทนทำไมพระพุทธเจ้าสอนให้ทานแล้วอย่าไปมี สาเปกโข ถ้าไปคิดแล้วมันไม่ได้ทาน คุณทานไปแล้วคุณก็ต้องการกลับมาก็เป็นภพชาติ ถ้าทานไปแล้วก็ไปเลยไม่ต้องคิดถึงเลย 0 และคุณทานอย่างนิพพาน หายไปเลยไม่ต้องไปคิดว่าเราทำทานแม้แต่พี่แม้แต่น้องแม้แต่ลูกแม้แต่ผัวไม่ต้อง มันเป็นเรื่องสังคมประเพณีวัฒนธรรมก็ทำไป

ควรให้ทานแก่ผู้เหมาะสม ที่จริงแล้วทานเป็นเรื่องสูงสุด บารมี 10 ทัศเริ่มต้นที่การทาน

ทาน เป็นศีล ทานเป็นเนกขัมมะ ทานเป็นปัญญา

ทานเป็นเรื่องเริ่มต้นและสุดท้าย ผู้มีจิตเป็นทานมีการให้ เพลง พี่นี้มีแต่ให้ ให้อย่างไม่สาเปกโข

ทานแล้ว

1. ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ

2. มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ

3. มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ

4. ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ

ไม่ต้องทำอย่างธัมมชโย ที่ทำแล้วได้นรกสี่อย่างนี้หมดเลย

เขาทำกันอย่างเทวนิยมทางพิธีกรรมศาสนาเฟ้อเกิน อาตมาพูดไปพังโรงหากินเขา เขาทำกันทั่วประเทศ แต่พวกเราไม่ทำ ไม่เสียเวลาแรงงานทุนรอนไปทำ เราก็เอามาทำสิ่งเป็นคุณค่า ไม่ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ

 

_เยาวชนใต้ร่มโพธิ์ ...ยกเลิกงานไปเยอะอย่างนี้แล้วจะมีพิธีรับกลดหรือไม่คะหลวงปู่

พ่อครูว่า...คงไม่เลิกหรอก งานรับกลดเราไม่มีอะไรมากมาย มีแต่คนภายในไม่มีการวุ่นวายมากมาย การรับกลดก็คงไม่ได้เลิก

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ฆ่าจุลินทรีย์บาปมากไหม

_สัตว์ที่ไม่รู้และเล็กจนแทบมองไม่เห็นหากเราทำให้มันตายทำไมถึงบาปมากค่ะ

พ่อครูว่า...จะบอกว่าเป็นบาปมากมันก็ไม่เชิง ที่จริงพูดไปมันก็ไม่ควร เราเป็นสมณะ จะไปบอกว่าอนุโลมอะไรอย่างนี้ จริงๆแล้วสัตว์ที่เป็นจุลินทรีย์สัตว์ที่เป็นเชื้อโรคเป็นไวรัสต่างๆมันเป็นสัตว์เล็กตัวเล็ก มันไม่รู้เรื่องหรอกว่ามันเป็นพิษภัย เฉพาะเป็นไวรัสต่างๆเป็นจุลินทรีย์ที่เป็นพิษภัยต่อร่างกายเรา เราไม่ฆ่ามันมันก็ฆ่าคุณ คุณจะพาซื่อว่าอย่าไปฆ่ามันปล่อยให้มันฆ่าเอาเถอะคุณจะใจดีอย่างนั้นก็แล้วแต่ มันสุดวิสัยมันจำเป็น ทำไมถึงบาปมาก จะบาปก็ไม่อย่างนั้นหรอกจะว่าไม่บาปก็มันเป็นสัตว์ มันเป็นความสุดวิสัยที่ต้องฆ่าแม้แต่พระพุทธเจ้าเป็นโรคก็ต้องกินยาฆ่าเชื้อโรค ไม่อย่างนั้นมันก็เอาคนตายก็ไม่เกิดประโยชน์ จะให้จุลินทรีย์มันอยู่แต่คุณมีคุณค่าจะให้คุณตายไปให้จุลินทรีย์มันอยู่ มันจะโง่หรือฉลาดกันล่ะ เอาตรงนี้ก็แล้วกัน เพราะฉะนั้นอย่าโง่เกินมันโง่เกินโง่แล้วนะ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ศาสนาพุทธสามารถฆ่าอะไรได้

_การยอมรับการตาย(อุบัติเหตุ ป่วย ถูกฆาตกรรม) ต้องทำอย่างไรคะ

พ่อครูว่า ทำใจ สรุปแล้วมันจะตายด้วยอะไรก็แล้วแต่ จะตายห่าตายโหงก็แล้วแต่ โดนฆาตกรรมหรืออุปัทวเหตุ ตายห่าคือตายจากโรค ตายโหงคืออุปัทวเหตุ ก็มีสองอย่างง่ายๆ

จะทำอย่างไร คุณต้องเรียนรู้เรื่องการทำใจในใจ แล้วก็ต้องรู้เหตุผล รู้ว่า ความตายเป็นธรรมดาจะตายอย่างห่าหรือตายอย่างโหงก็แล้วแต่ มันคือความตายมาถึงแล้วหนอ เรายังไม่ตาย แต่เรารู้สัมผัสคนที่เขาตายคนใกล้ชิดก็ตาม คนที่ห่างไปหน่อยก็ตาม เราก็เห็นความจริงให้ได้ว่าต้องทำใจอย่างไรก็ทำปัญญาให้แจ้ง ทำความเข้าใจให้ทะลุ คนก็ต้องตาย คนนี้เขาตายแล้วนะ บางคนตายด้วยห่าบางคนตายโหง แต่เรายังไม่ตาย เราก็จะต้องตายไม่อย่างใดอย่างหนึ่งเมื่อไหร่เมื่อนั้นหรือไม่มี ห่าคือไม่มีโรคก็ตายได้เหมือนกัน ถึงเวลาตายอย่างไรก็ไม่รู้ อย่างคุณสุเทพเขาก็มีโรคประจำตัว แต่เขาก็ไม่ได้ทรมานอะไรนอนหลับไปแล้วก็ตายไปเลย ก็ดีสบายๆ

ก็ต้องเห็นความจริงให้ได้ อะไรยังไม่ตายก็ทำที่เหลือที่เรายังไม่ตายนี้ควรจะเรียนรู้ธรรมะโลกุตระควรจะต้องให้จิตตัวนี้มันประเสริฐเป็นจิตที่เข้าถึงโลกุตระธรรมเป็นพระโสดาบันสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์ ถ้าคุณเป็นพระอรหันต์แล้วก็ไม่ต้องมาให้อาตมาอธิบายหรอกแต่คุณยังไม่เป็นคุณก็จะต้องมาพยายามมาฟัง เพราะเป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเกิดมาเป็นคนเอาอันนี้ให้ดีที่สุด มาเรียนรู้ธรรมะให้เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ดีที่สุดอย่างอื่นคุณจะทำไปเป็นชาติ แม้แต่ชาตินี้คุณจะเรียนรู้ให้เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี คุณก็จะต้องทำมาหากินเหมือนคนอยู่ทางโลกต้องทำสัมมาอาชีพ สัมมากัมมันตะสัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ ว่าการปฏิบัติธรรมไม่ได้แยกจากสิ่งเหล่านี้ การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้ายังทำงานอาชีพยังทำกิริยาการงานอยู่ยังพูดจาคิดว่าอยู่ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสะกดจิตอยู่ที่ใดๆ  ศาสนาพุทธไม่เคยสอนอย่างนั้น การสอนอย่างนั้นเป็นเรื่องนอกรีต

ปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 คือหัวใจศาสนาพุทธ ปฏิบัติในขณะมีสัมมาอาชีพกัมมันตะ คือการกระทำต่างๆ วาจาคือการพูดอยู่ สังกัปปะคือการคิด แต่นี้ให้ไปหยุดคิด หยุดพูด หยุดการกระทำ หยุดการอาชีพ อันนั้นเป็นเรื่องนอกรีต อาตมาพูดแรงๆๆนี้ หอกอาตมาหักไม่รู้กี่ร้อยด้ามแล้วแต่ไม่รู้สึกเลย

_ระหว่างการฆ่าคนกับสัตว์ การฆ่าตัวตายอันไหนบาปมากกว่ากัน และต่างกันอย่างไร

พ่อครูว่า...ถามไปทำไมโดยเฉพาะถามการฆ่าตัวตาย ตอบ ฆ่าตัวตายบาปกว่า ต่างกันอย่างไร อันนี้ไม่เห็นจะต้องถามเลย ฆ่าตัวเองตายกับไปฆ่าสัตว์ฆ่าคนอื่นตาย มันก็เป็นบาปทั้งนั้น การฆ่าตัวเองเป็นบาปที่สุดเพราะอะไร เพราะต้องอำมหิตที่สุด การฆ่าจึงต้องมีความทุกข์มากที่ทนไม่ไหวคุณก็ไม่รู้ตัว ก็ฆ่าตัวตาย หรือว่าจะฆ่าตัวเองคุณต้องใช้ความพยายามมากนะ มันถึงบาปมาก

สู่แดนธรรมว่า...คนเรานั้นรักตัวเองมากกว่าคนอื่นการจะฆ่าตัวเองจึงยากกว่าการฆ่าคนอื่น

พ่อครูว่า...ฆ่าตัวตายบาปกว่า เพราะอำมหิตมากกว่า สรุปแล้ว การฆ่านั้นจะฆ่าได้อย่างเดียวคือการฆ่ากิเลส อย่าไปฆ่าอย่างอื่น ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้เป็นฆ่าอย่างอื่นหรอก ใครจะเลวจะชั่วใครจะไม่ดีสิ่งใดจะมีพิษภัยขนาดไหนมันก็เป็นยถากรรม เป็นวิบากของเขา มันก็เป็นเรื่องของเขา เราหลีกเว้นให้เป็น หลีกเว้นสัตว์พิษ คนเกเรคนมีพิษภัยก็ต้องห่าง ไม่ต้องไปทำอะไรเขา เขาก็จะไปตามวิบากของเขา กรรมจำแนกของเขาเอง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน กรรมฐานชาวพุทธคือเวทนา

_ธัมมะ...กรรมฐานคืออะไรครับ

พ่อครูว่า..ตอบ ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ของชาวอโศก ถามธรรมะกัน คำถามของเขาแต่ละคำ กรรมฐาน แปลว่า ที่ตั้งของการกระทำ แปลด้วยพยัญชนะ กรรมแปลว่าการกระทำ กรรมฐานของพระพุทธเจ้ามีอันเดียว คือเวทนา คนที่ออกนอกรีตก็ไปทำกรรมฐานตามพวกเดียรถีย์มีกรรมฐาน ดิน น้ำ ไฟ ลม กรรมฐาน 40 มีอะไรต่างๆนานา คือสิ่งที่ให้จิตไปจดจ่อ จดจ้อง เป็นเครื่องให้จิตถูกสะกดไว้ เหมือนกับนักสะกดจิตสะกดจิตคนก็ต้องให้เขามีที่เกาะ จิตใจไปเกาะอยู่ตรงนั้น  เช่นให้เพ่งนิ้วอย่าให้ดิ้น ให้มันนิ่งๆๆๆ คุณก็จะต่อสู้ให้มันอยู่นิ่งก็จะทำตามจิตของเขาก็จะจดจ่อให้มันนิ่ง ก็เรียกว่าเป็นสมถะ ซึ่งไม่ใช่ของศาสนาพุทธ กสิณ 40 นั้นไม่ใช่เรื่องของศาสนาพุทธ

กรรมฐานของผู้นั้นมีเวทนา อ่านอาการความรู้สึกที่เรียกว่า เวทนา แล้วก็จัดการกับความรู้สึกนี้ให้ได้ ท่านก็แจกเวทนาออกเป็น108 คือ กรรมฐานของศาสนาพุทธ เรียกว่าการแยกกายแยกจิต แยกแล้วก็ทำให้เกิดการแยกออกแล้วก็ทำให้มันตาย ตายจากอวิชชามาเป็นวิชชา แต่ก่อนนี้ไม่รู้ พอมารู้ มันก็จะเกิดความตายของกิเลสเรียกว่า มีนิโรธ

กรรมฐาน คือ ฐานปฏิบัติ ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 พรหมชาลสูตรท่านได้ตรัสไว้ชัดเลย หากว่าไม่มีสัมผัสไม่มีเวทนาเกิด ก็ไม่มีฐานที่ได้ปฏิบัติ ถ้าผู้ใดไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนาก็ไม่มีเวทนาที่เป็นฐานที่ตั้งในการกระทำในการประพฤติในการปฏิบัติ ไม่มีเวทนาก็ไม่มีกรรมฐาน ไม่มีเวทนาเป็นฐานที่ตั้งแห่งการปฏิบัติ

พระพุทธเจ้าแจกเป็นเวทนา 108

กายิกเวทนา กับ เจตสิกเวทนา เป็นคู่แรก คือเวทนา 2

กายนี้มีข้างนอกและในขาดกันไม่ได้ ให้เข้าใจหมายรวมทั้งข้างนอก

เจตสิก หมายถึง เข้ามาหาในจิต เท่านั้นเอง แยกโดยโวหารแต่สภาวะมันไปหากัน คู่กัน ธาตุจิตไปรู้ภายนอกและภายใน เวทนามี 3 ก็เป็น สุข ทุกข์ อุเบกขา เป็นต้น

นี่แหละเรียนรู้สุข ทุกข์ และไม่สุขไม่ทุกข์นี่แหละนี่คือฐานสำคัญที่จะต้องเรียน ต้องมีผัสสะถึงจะเรียนรู้อาการสุข อาการทุกข์ อาการไม่สุขไม่ทุกข์นี้ได้ ศาสนาศาสนาพุทธหัวใจก็คือทุกข์ ซึ่งคนไปหลงว่ามันเป็นสุข มันเป็นสุขขัลลิกะ ต้องเรียนรู้ความทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ และความสุขก็จะดับไปด้วยกัน ไม่มีความสุขความทุกข์นี่เป็นการบรรลุธรรมของศาสนาพุทธ วิธีของเดียรถีย์เขาก็ดับจิตไม่ให้สุขไม่ทุกข์ได้เหมือนกัน แต่มันไม่ถูกทางมันไม่สัมมาทิฏฐิไม่ใช่สัมมาปฏิบัติ ต้องให้เรียนรู้ให้ถูกทางเป็นสัมมาปฏิบัติแล้วคุณก็จะบรรลุอรหันต์ อย่างนี้เป็นต้น และก็มีน้ำหนักของความสุขความทุกข์ก็ตาม

น้ำหนักหรือว่าอยู่ในคนละฐานะ แบ่งเป็น 5 ขั้นคือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา ไปถึงภายในก็เป็นโสมนัสเวทนากับโทมนัสเวทนา แล้วอันที่เป็นตัวสุดท้าย คืออุเบกขา เป็นน้ำหนักอาการทางจิต มีกำลังมีน้ำหนักของมัน หยาบภายนอกเรียกสุข ทุกข์ พอละเอียดภายในคือ โสมนัสโทมนัส แล้วก็มีอุเบกขารวม

เวทนา 6 เกิดจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ไปกระทบ

เวทนา 18 เวทนา 6 กระทบแล้วเกิด สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ก็เป็นเวทนา 18

ต้องอ่านพฤติกรรมของมัน เป็นมโมปวิจาร 18 ที่เป็นสองฝ่าย คือ เนกขัมสิตเวทนากับเคหสิตเวทนา ฝ่ายละ 18 ก็เป็นเวทนา 36

เคหสิตะ คือ คนที่ไม่ได้เรียนรู้ลดกิเลส ก็มี 18 เวทนานี้เป็นสามัญ เราต้องมาเรียนรู้ออกจากสุขจากทุกข์ ออกจากโสมนัสโทมนัส หรืออุเบกขาที่เป็นโลกีย์

อุเบกขาของเคหสิตะ กับ อุเบกขาเนกขัมสิตะ นั้นต่างกัน

สภาวะอุเบกขาของเคหสิตะจะสงบได้ต้องสะกดจิตให้วางเฉย จิตจะหยุดนิ่งเฉยแข็งไม่รู้อะไร แต่เนกขัมสิตอุเบกขาของพุทธจิตจะยิ่งแคล่วคล่องรู้ละเอียด ทั้งนอกและใน แต่จิตไม่ทุกข์ไม่สุขไม่โสมนัสไม่โทมนัส กลางๆเฉยๆอย่างรู้ มันเฉยตรงไหน เฉยตรงที่ไม่มีกิเลสเข้าไปทำให้สุขให้ทุกข์ให้เกิดโทมนัสโสมนัสทำให้เกิดเฉยโง่ มันเฉยเพราะว่ากิเลสมันไม่มีเลยมันว่างจากกิเลสมันจึงเฉยหรือเรียกว่ามันว่าง จิตเป็นกลางเราก็รู้ความแตกต่างเรียกว่า ลิงคะ

พวกนี้เคหสิตะอย่างหนึ่ง เนกขัมสิตะอย่างหนึ่ง ต้องอ่านอาการจิตที่เราทำได้นะ ถ้าเราทำให้เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขาได้ นั่นแหละคือ ฐานนิพพาน เวทนาเป็นกรรมฐานอย่างนี้ คุณทำใจในใจให้เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขานี่แหละมันเป็นตัวรวมตัวแล้วประพฤติให้เกิดมีอาการของนิพพานธาตุ ทำให้ได้อย่างนี้ตลอดกาลตลอดเวลาเลย คุณก็เป็นพระอรหันต์นี่คืออาการของพระอรหันต์ มีคนถามอาตมาว่า รู้ได้ไงว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ ก็รู้ตรงที่อาตมาทำเนกขัมมสิตอุเบกขา เป็นฐานนิพพานได้ ที่พูดนี้ไม่ได้เอามาจากตำราเล่มไหนเอามาจากของตัวเอง อธิบายเป็นภาษาคนง่ายๆให้ฟังเอามาจากสภาวะไม่มีตำราเล่มไหน หรืออาจจะมีแต่พยัญชนะคำคนละอย่างสำหรับผู้ที่รู้เหมือนกันก็อธิบายได้ แต่คงจะไม่ตรงกันทีเดียวเพราะภาษาโวหารมันคนละอย่าง

จบ


เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:30:23 )

630304

รายละเอียด

630304_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ อานาปานสติของพระอรหันต์

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่...  https://docs.google.com/document/d/1BEnj6XiKwXfiLJh3tZBV9fE9ubDE6S_9tnhr6VQXqJo/edit?usp=sharing                    

 

ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=190jRqqVnTyNEHsakf8Rw_glFoCf1KVx9

 

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันพุธที่ 4 มีนาคม 2563 ชุมชนบวรราชธานีอโศก อุบลราชธานี ตอนนี้คนไทยเป็นทุกข์เพราะกลัวผี กลัวผีน้อย ทางการเขาก็คงจะจัดการกันได้ อีกสิ่งหนึ่งที่น่ากลัวคือเงิน bank ติดเชื้อง่าย ก็เอาออกไปให้หมดดีกว่าจะสบาย เราประชุมกันก็บอกว่าจะปิดหรือเปิดน้ำตกดี ตกลงกันไม่ได้ก็ให้ไปถามสาธารณสุขจังหวัด ใจเราก็ทำให้สบายๆทำตามหน้าที่ของเราไป เราก็งดจัดงานปลุกเสกฯ ตลาดอาริยะไป แตงโมของเราก็ยังออกอยู่ ก็จะไม่มีคนกิน ใครจะไปไหนในชาวอโศกก็เอาแตงโมใส่รถไปด้วย เราก็ระมัดระวังแต่ไม่ระแวงจนเป็นโรคประสาท อาตมาว่าในกลุ่มของชาวอโศกก็สะอาดแล้วทั้งจิตใจสะอาดและสิ่งแวดล้อมสะอาด ขนาดนี้แล้วยังกังวลอีกหรือ เอาใจใส่ทุกอย่าง

พ่อครู...ก็เริ่มที่ sms(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

_sms วันที่ 3 มี.ค. 2563 (พุทธศาสนาตามภูมิ : สมณะ สิกขมาตุ สันติอโศก)

 

_4718โควิด19 หายแล้วเป็นได้อีกนะคะ อย่าชะล่าใจนะคะ ติดตามข่าวจากจีนบ้างค่ะ

สื่อธรรมะพ่อครู(อานาปานสติ) ตอน อานาปานสติของพระอรหันต์

_2860ท่านมีกิริยาหลุกหลิกหล่อกๆแล่กๆ ดูแล้วเหมือนลิง ขอแนะนำให้เจริญอานาปานสติบ่อยๆอาจจะดีขึ้นนะครับ (กระทำกายสังขารให้ระงับ)ภิกษุ ท. ! เมื่ออานาปานสติ อันบุคคลเจริญทำให้มากแล้วอยู่อย่างนี้ ผลอานิสงส์อย่างใดอย่างหนึ่ง ในบรรดาผล 2 ประการ เป็นสิ่งที่หวังได้; คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือว่าถ้ายังมีอุปาทิเหลืออยู่ ก็จักเป็น อนาคามี.(พุทธวจน)

พ่อครู..อานา อาปานะ แปลว่า ลมหายใจเข้าออก มันมีนัยลึกซึ้งซับซ้อนมาก ตอนพระพุทธเจ้าในยุคนั้นคนเขาก็นั่งหลับตาทำสมาธิ เอาจิตตามลมหายใจเข้าออก สะกดจิตเข้าไปให้นิ่งเอาอะไรเป็นกสิณก็ได้ มันเป็นวิธีการของโลกีย์ธรรมดาสามัญปกติที่มีตลอดโลกแตก ที่ไม่หายสาบสูญไปจากโลกเป็นสามัญโลกที่ไม่ใช่โลกุตระ ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าเลย พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาก็เจอเขาปฏิบัติอย่างนี้เต็มป่า ทำให้จิตสงบด้วยวิธีอย่างนี้ทั้งนั้น ทีนี้จิตสงบของพระพุทธเจ้านั้น สงบตรงที่กิเลสตัวเหตุสำคัญมันตายสนิทเลย ในจิต ตายอย่างไม่มีการกลับมาทำให้เดือดร้อน ทำให้ไม่สงบอย่าง หยาบ กลาง ละเอียด ก็หมดไป สงบ แต่ความสงบของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอย่างไรฟังให้ดี เป็นความสงบจากกิเลส สงบจากตัวเหตุที่เป็นโทษ แต่ไม่ได้ทำให้ กายกรรม  วจีกรรม มโนกรรม สงบอย่างที่คุณหมายถึง ที่บอกว่าเป็นหนึ่งเดียว สงบคือนิ่งแข็งทุกอย่าง ร่างกายไม่กระดุกกระดิก พูดก็ไม่พูด จิตใจก็ไม่คิดนึกอะไร อันนั้นแหละเป็นการทำอย่างฤาษีง่ายๆ แต่สงบของพระพุทธเจ้านั้น ให้ไปอ่านที่ จูฬสุญญตสูตร มหาสุญญตสูตร ท่านบอกชัดเลยว่า สูญจากอะไร

ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นลึกซึ้งที่สุด คนยิ่งมีจิตใจสงบ กายกรรมยิ่งคล่องแคล่ว วจีกรรมยิ่งคล่องแคล่ว มโนกรรมเป็นตัวประธานที่คล่องแคล่วที่สุด เรียกว่า มุทุ คล่องแคล่ว มุทุ แปลตามพยัญชนะว่า อ่อน แต่ในสภาวะธรรมของศาสนาพุทธนั้น มุทุนี้ เป็นคำที่ท่านใช้สมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว แต่คนเข้าใจไม่ได้ อาตมาจะไม่ลงลึกถึงพยัญชนะ ถึงอักษรอะไรหรอก มันจะยาวไป

สรุปแล้วจิตตัวนี้ มุทุ แปลว่าอ่อน ไว เร็วดัดง่าย จะให้เป็นอย่างไรก็ได้เร็วไว ทั้งเร็ว ทั้งเป็นได้ในเชิงปัญญาก็เร็วทำให้เจโตหรือจิตเป็นอย่างที่ตามต้องการก็เร็ว เร็วทั้งสองสภาพทั้งปัญญาและ เจโต อย่างนี้เป็นต้น

ผู้ที่ทำได้แล้วอย่างเป็น มุทุภูตธาตุ จึงทำได้ตลอดเวลาที่ยังไม่ตายตลอดที่ยังมีลมหายใจเข้าออกอยู่ไม่ใช่ไปนั่งอยู่กับที่ ไม่ต้องไปนั่งขัดสมาธิตั้งกายตรงดำรงสติอยู่กับที่ แต่เคลื่อนไหวอยู่ไหนก็ทำได้ทั้ง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ก็ยิ่งเป็น กายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา จิตคล่องแคล่ว เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็คล่องแคล่ว ร่างกาย กายกรรมก็คล่องแคล่ว วจีกรรมก็คล่องแคล่ว พูดก็เร็วไวได้ สื่อได้เร็ว แต่สงบ ไม่มีกิเลสกวนเลย ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อาตมาพูดช้าๆแล้ว คิดว่าก็คงจะพอฟังตามได้ เพราะไม่ได้พูดเร็วเกิน ศึกษาให้ดี อย่างที่คุณอ้างมาอาตมาเข้าใจ อาตมาผ่านสภาวะที่คุณว่ามาแล้ว แล้วสภาวะที่ดีกว่าคุณพูดนั้นมีอยู่อีก ในยุคนี้อาตมาก็ต้องทำงานอย่างที่อาตมาทำได้นี่แหละ ที่มีบุคลิกหลุกหลิก ต้องปรับตัวเร็วไว แต่คุณเอาภาษาไม่ดีว่าหลุกหลิก แต่คนที่เข้าใจแล้วจะไม่คิดเช่นนั้น เพราะอาตมานั้นเคยเกิดเป็นลิงมาหลายร้อยชาติ ติดเป็นวาสนามานาน จนปัจจุบันนี้ก็ลดลงไปเยอะแล้ว มันติดเป็นวาสนา คือมันอยู่ในตัวเรา วาสะ แปลว่าอยู่ วาสนะ อาศัยอยู่

สู่แดนธรรมว่า...มันเป็นปัญหาของการศึกษาธรรมะที่ส่วนมากแล้วจะไปมองอากัปกิริยาภายนอกว่าไม่สงบ หลุกหลิก แล้วบอกให้พ่อท่านเจริญอานาปานสติจะได้ดีขึ้นแล้วก็เขายังไม่ลึกซึ้งในคำว่า กายสงบ

ดูหลักฐานในอานาปานสติ (ก็ตามดูในจอ)

วูปสโม คือ การระงับอกุศลกรรมทั้งหลาย เขาไม่เคยรู้จักคำว่ากาย ตามที่พ่อท่านสอนว่ากายคือทั้งภายนอกและภายใน เช่นสงบจากกามทั้งหลายเป็นต้น

พ่อครูว่า..คำว่า กาย ตามที่สู่แดนธรรมพูดมา คำเดียวนี่แหละในศาสนาพุทธ ภาษาไทยแปลว่าร่าง แปลเป็นวัตถุภายนอกที่ดินน้ำไฟลม และเข้าใจผิดว่ามันไม่เกี่ยวกับจิตเลย นี่คือมิจฉาทิฏฐิในคนไทย กาย แปลว่าดินน้ำไฟลมไม่เกี่ยวกับจิตเลย เป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์เลย ผิดอย่างตีลังกาเลยว่าใครเข้าใจผิดว่ากายนั้นคือดินน้ำไฟลมโดยที่ไม่เกี่ยวกับจิตเลย คนนั้นปิดประตูเป็นพระอรหันต์เลย เพราะว่าเป็นมิจฉาทิฐิที่จบเห่เลย

กายนี้ หากเขาเข้าใจว่า กายนี้คือจิตเท่านั้น คุณยังสามารถจะทำอาสวะบางส่วน นิพพานได้ แม้ว่าคุณเข้าใจว่ากายนี้หมายถึงจิตเพียงเท่านั้น หมายถึงจิตเจตสิก หรือหมายถึงจิต มโน วิญญาณ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระสูตรหนึ่ง กายนั้นตถาคตเรียกว่า จิต มโนวิญญาณ ซึ่งมันเป็นความลึกซึ้งซับซ้อนที่เจตนาจะพูดถึงส่วนใด แล้วคำเดียวกันนั้นหมายถึงอีกส่วนหนึ่ง กายหมายถึงจิต จิตหมายถึงจิต แล้วเมื่อใดเป็นกาย เมื่อใดเป็นจิต คุณต้องทันต้องเร็วไวและเท่าทัน หากคุณไม่เท่าทันก็สับสน เขาพูดไปหมายถึงจิตอะไรแล้วคุณก็ยังนึกว่าเป็นร่างภายนอก ซึ่งมันไม่ใช่กายแล้ว พูดไปถึงกายที่มีดินน้ำไฟลมด้วย มีจิตด้วย เนื่องกันอยู่เป็น 2 ส่วน อะไรที่ไม่ใช่กายแล้ว เมื่อไหร่เป็นกาย แต่ไม่มีเวทนา เป็นจิต มันยังไม่ใช่จิตที่เดียวมันเป็น พีชธาตุเป็นชีวะ ยังไม่มีเวทนา ไม่มีความรู้สึก

อุตุธาตุ พีชธาตุ จิตธาตุ เราต้องเรียนรู้สามสภาวะ อุตุ พีชะ จิตให้ดีเลย แล้วทำจิตให้เป็นได้ จิตเราจะให้เป็นพีชะ จะให้เป็นอุตุ คุณต้องทำให้ได้ กรรมคือการกระทำใจในใจของเรา มนสิการ ทำได้สำเร็จ เพราะศาสนาพุทธสอนแล้ว อาตมาก็ทำได้แล้วจึงเอามาสอน

เมื่อทำได้เราก็จะรู้ได้ด้วยเราเองเป็นปัจจัตตังว่า จิตเราเป็นพีชะแล้ว มีชีวิต สัมผัสกับอะไรก็รู้อยู่ แต่ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่มีความสุขไม่มีความทุกข์ มีแต่รู้ความจริงตามความเป็นจริงนั้น เท่านั้น สภาวะนี้แหละ พีชธาตุอันนี้แหละ จึงเป็นสภาวะจิตที่ได้อาศัยในชีวิต ไม่สุขไม่ทุกข์

ตัวคำว่า ไม่สุขไม่ทุกข์ นี่แหละคือฐานนิพพาน เป็นพื้นฐานของนิพพาน ต้องสั่งสมอาการไม่สุขไม่ทุกข์ นี่แหละเป็นจุดสำคัญที่สุด หัวใจแท้ของศาสนาพุทธ พอทำได้แล้วจนกระทั่งที่สุด ความสุขความทุกข์นั้นเป็นสภาวะคู่ แยกกันไม่ได้ เมื่อใดๆก็แยกกันไม่ได้ แต่คนไปหลอกตัวเองจะเอาแต่ความสุข พวกสุขนิยม พวกเทวนิยมเป็นปุถุชนก็จะเอาแต่ความสุข แต่ทุกข์นั้นก็ตามไปเล่นงานคุณอยู่ทุกเมื่อ พวกมันเล่นงานคุณหนัก แต่คุณกันทุกข์ไม่ให้เล่นงานคุณได้ก็แค่ชั่วคราว หลงว่ามันมีสุขเท่านั้นที่จะเสพ จนกระทั่งหลงได้บำเรอแต่ความสุขป้องกันหรือหาวิธี อย่างเช่นพระพุทธเจ้าพระราชบิดานั้นก็ป้องกันไม่ให้อะไรมากระทบกระเทือนมาแผ้วพานไม่ให้เกิดความทุกข์เลย จนไม่รู้จักความทุกข์ พระพุทธเจ้าถูกพระราชบิดาประคบประหงมไม่ให้รู้เลยว่าลักษณะความทุกข์เป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ทอย่างหยาบอย่างโลกีย์เป็นอะไรก็ไม่รู้จัก ก็ไม่สามารถป้องกันได้เพราะท่านเป็นพระพุทธเจ้าท่านบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าแล้วในปางที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะจะต้องเป็นรูปเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านก็รู้จนได้ ก็ไปเห็นนิมิตไปเห็นสัญญาณจากการเจ็บ การแก่ การตาย กับอาการนักบวชผู้ที่หาทางบรรลุไม่ต้องแก่เจ็บตาย ท่านก็เกิดปฏิภาณทันที

พระพุทธเจ้าบอกกับองคุลิมาลว่า เราหยุดแล้ว แต่เธอยังไม่หยุด เพราะองคุลิมาลก็รู้ได้ทันที พระพุทธเจ้าเห็นเทวทูตทั้ง 4 แก่เจ็บตายนักบวชก็รู้แล้ว ที่จริงแล้วท่านมีของเก่าที่ท่านได้บรรลุธรรมมาแล้ว กระทั่งวันเพ็ญเดือน 6 วิสาขบูชา ท่านจึงระลึกขึ้นมาได้หมด ครบ ถึงได้รู้แจ้งทุกอย่างในสิ่งเหล่านี้ ก็ชัดเจนหมด รู้ว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้าที่มีสัมมาสัมโพธิญาณ

สัมมาสัมโพธิญาณ คืออะไร อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ระดับ 7 รู้ดี แล้วพยายามสั่งสมสัมมาสัมโพธิญาณให้เป็นระดับ 8 ระดับ 9 จึงสามารถพูดด้วยความจริงใจ อธิบายให้ฟังได้ชัดเจนและละเอียด

สรุป เกิดมาเป็นชีวะเป็นคน เป็นสัตว์ ตั้งแต่เซลล์เดียว จนเป็นปัจจุบันนี้ของทุกคน ถ้าคุณไม่สามารถที่จะดับความสุขความทุกข์ได้ ด้วยปัญญาอันยิ่ง ด้วยสามารถปัจจุบันนี้เลย แล้วก็ทำจนกระทั่ง ทุกอย่างที่จะมาสัมผัส เกี่ยวข้องกับเรา เราสามารถไม่ให้เกิดความทุกข์ความสุขได้ ทุกอย่างเลยเท่าที่คุณจะอยู่ในโลกนี้ กี่ชาติที่คุณต้องพิสูจน์ ที่จะมาเกี่ยวข้องกับเรา เราก็หมดความสุขความทุกข์ได้ คุณจึงจะชื่อว่าอรหันต์ หมดความสุขความทุกข์ที่อยู่กับโลกเขาสัมผัสกับตัวเราก็ไม่สุขไม่ทุกข์ได้ทุกสิ่งที่สัมผัสกับเรา อย่างนี้เป็นต้น

ที่อาตมาพูดนี้ พูดจากสภาวะธรรมที่อาตมามีเอง เอามาขยายความยืนยันว่ามีลักษณะอย่างนี้ ถ้าคุณอยากจะรู้อย่างนี้ก็ปฏิบัติเข้า อาตมาก็บอกวิธีปฏิบัติอยู่ตลอดเวลาเมื่อคุณปฏิบัติแล้วได้อย่างที่อาตมาพูด คุณได้เองเป็นปัจจัตตังก็จะรู้เองว่า อ๋อ มันตรงกัน ของคุณก็เป็นของคุณ ของอาตมาก็เป็นของอาตมา แต่มันจะตรงกันเราพูดกันสื่อสารกันก็จะรู้ 2 คนก็ตรงกัน 3 คนก็ตรงกัน 5 คนร้อยคนพันคนแสนคนก็เป็นความจริงตรงกัน อันนี้เป็นความจริงยืนยันได้ โดยเฉพาะของจริงที่มันหมดความสุขความทุกข์เป็นของจริงที่มีในโลก ของจริงที่มันสบายกว่า

ในทางออกอันนี้ เมื่อหมดสุขหมดทุกข์แล้ว ก็ไม่ต้องแสวงหา เมื่อไม่ต้องแสวงหาพลังงานก็มีเหลือเฟือก็เอาพลังงานมาปลูกพืชผัก ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ก็ได้ อาตมาก็เลิกพักแล้วการปลูกพืชผัก ให้พวกคุณปลูก อาตมาก็มาสอนธรรมะ นักบวชก็ช่วยสอนมาสอนเก่งกว่า ฆราวาสก็เก่งทำอย่างอื่น แต่ละขั้นแต่ละหน้าที่ ใครเหมาะสมคนนั้นก็ช่วยกันทำ อาตมาเหมาะสมหน้าที่ที่จะอธิบายธรรมะ โดยเฉพาะพุทธธรรมของพระพุทธเจ้า ให้ลึกซึ้งไปถึงที่สุดได้ ได้ ได้ อาตมาก็ทำ

เพราะอาตมามีทั้งวาทะ ทั้งปณิธานตัวเอง มีทั้งสัญญากับพระพุทธเจ้าไว้ ว่าจะต้องสืบทอดต่ออายุศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าองค์นี้ สมณโคดมนี่แหละ ให้ยืนยาวไปจนกระทั่งถึง 5000 ปีให้ได้ อาตมาก็พูดความจริงสู่ฟัง ไม่ได้อยากอวดอยากโอ่ อะไร ก็เป็นความจริง ซึ่งก็เป็นความจริง อาตมาก็เอาหลักฐานในพระไตรปิฎกมายืนยันว่า

ซึ่งเป็นการยืนยันว่า อาตมาเป็นสยังอภิญญาผู้นั้นในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 แล้วอาตมาก็เป็นผู้นั้น จึงสามารถอธิบายสัมมาทิฏฐิ 10 อันนี้ให้รู้ได้ ให้เอามาปฏิบัติได้ รู้ว่าทานอย่างไรจึงเป็นการละกิเลส ปฏิบัติศีลอย่างไร ปฏิบัติพรตอย่างไร มนุษย์จึงจะลดกิเลสได้บรรลุได้ก็จากการกระทำกรรม สุกฏทุกฎานัง กัมมานัง ผลังวิปาโก แล้วก็แยกโลกนี้ อยังโลโก กับโลกหน้าโลกโลกุตระ โลกที่ต่างจากโลกียะ อาตมาก็พาให้เรียนรู้ว่าอย่างนี้คือโลกของโลกียะ คือโลกโลกุตระ โดยคุณจะต้องมารู้จักเครื่องที่จะทำให้เกิด การเกิดใหม่ การเกิดอันนี้คือ  เกิดสัตว์โอปปาติกะ คือจิตวิญญาณเกิด จิตวิญญาณเกิด จึงไม่ใช่พ่อแม่ที่เป็นรูปร่างตัวตนที่เป็นสรีระร่างกาย ตัวตนบุคคลเราเขา เกิดจาก ชราภุชะ อัณฑชะ สังเสทชะ แต่เป็นการเกิดทางจิตวิญญาณ อะไรเป็นแม่เป็นพ่อ ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา แต่เป็นนามธรรม

ศีลเป็นต้น ปัญญาเป็นต้น ศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ ช่วยกันทำให้เกิด อธิจิต อธิศีล อธิปัญญา คือช่วยให้มีจิตเกิดสัตว์โอปปาติกะที่เกิดบรรลุ พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เกิดทางจิตวิญญาณได้ หรือโพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8

โพชฌงค์ 7 เป็นพ่อ มรรคมีองค์ 8 เป็นแม่ ก็ช่วย สร้างให้เกิด อธิจิต โอปปาติกะ เกิดอาริยบุคคล ที่เป็นพ่อเป็นแม่ที่ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา จะเป็นการเกิดทางจิต

โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 ช่วยกันทำให้เกิดอย่างนี้เป็นต้น ก็ต้องรู้ความเป็นแม่ความเป็นพ่อ ที่ไม่ใช่สัตว์ตัวตนบุคคลแล้วนะ แต่มันเป็นองค์ธรรมะ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ต้องรู้ว่าโพชฌงค์ 7 มีอะไรบ้าง ศีลเป็นอย่างไร ปัญญาเป็นอย่างไร ทำให้เกิด อธิศีล แล้วอธิศีลก็เกิดในจิต คุณก็ต้องมาพิสูจน์ด้วยตัวเองทั้งนั้น อาตมาก็แยกแยะมาตลอด มันก็ไม่ง่าย

พยายามทำให้ง่าย ไม่มีเจตนาจะทำให้พวกคนงงเลย มีแต่จะทำให้กระจ่างๆ เท่าไหร่ก็ได้แค่นี้ขนาดนี้ อาตมาก็ไม่เก่งเท่านี้ พยายามจะเก่งที่สุดไม่ได้ออมมือ ใครทำได้ เข้าใจได้ ก็อนุโมทนา ก็ช่วยกัน ก็จะเกิดความจริงเป็นหลักฐาน

อาตมาทำงานมาเกือบ 50 ปีก็เกิดชุมชนชาวอโศก เป็นอาริยบุคคล เป็นแผ่นดินพุทธมีคนที่เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์จริง คนฟังเขาก็ไม่เชื่อ เหมือนกับอเจลกะที่มาเจอกับพระพุทธเจ้า เขาก็แลบลิ้นใส่พระพุทธเจ้า ขนาดกามนิตหนุ่ม ที่จริงมันมีอยู่ในพระไตรปิฎกไม่ใช่ชื่อกามนิต คนแต่งกามนิต ชื่อ คาร์ล แอดอล์ฟ เกลเลอโรป

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ

สมณะฟ้าไท...พ่อครูสัญญากับพระพุทธเจ้าไว้ว่า จะมาทำหน้าที่นี้

พ่อครูว่า...เป็นเรื่องที่อาตมาไม่อวดดี ไม่อวดเรื่องที่ไม่จริง แต่มีดีที่จะอวด อวดดีโดยไม่มีดีเขาเรียกว่าอวดดี แต่อาตมามีดีจริงๆมาอวด แล้วก็ไม่ได้มีความอวด แต่เอาดีมาแสดง เอาดีมาขยาย เป็นภาษาที่สื่อสภาวะความจริง

ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา สุสูสังลภเตปัญญัง อย่ามาตั้งใจจับผิดอาตมา ฟังแล้วจับผิดอาตมา ให้ฟังด้วยดีฟังด้วยความเข้าใจ หากว่าเขาฟังธรรมอย่างเพ่งโทษไม่มีทางเข้าใจหรอก ก็จะหาทางแย้งมาสารพัด อะไรก็แย้งได้ หาทางแย้งได้หมด ไม่มีอะไรที่จะแย้งไม่ได้หรอก

ถ้าหยุดแย้ง เข้าใจความจริงปฏิบัติตามความจริงให้ได้คุณจะจบ หากไม่หยุดแย้งคุณก็ไม่มีทางจบ เหมือนกันกับคณะพวกนักการเมืองที่กำลังหาทางแย้งอยู่ในทุกเหลี่ยมมุมมันไม่จบหรอก มันจะแย้งกันไปจนตายไปข้างหนึ่ง คนที่ยังเหลือก็แย้งกันไปต่อ

การแย้งกัน จึงไม่มีทางหมดไปจากโลก ความขัดแย้งอันพอเหมาะนั้นคือความจบ ที่อาตมาได้นิยามไว้ว่า ความสามัคคีคือความขัดแย้งอันพอเหมาะ จบ ถ้าไม่ขัดแย้งคือฝูงควาย นำไปตัวเดียว คือฝูงควายแท้ๆ ไม่ได้ด่านะ อาตมาพูดสภาวะธรรม ขออภัยควายที่เอามายกตัวอย่าง ที่จริงควายก็ฉลาดเท่าที่มันเป็น มันมีเขาต่อสู้ แต่สู้เสือสิงโตไม่ได้ แต่บางครั้งก็ซัดสิงโตกระเด็นบาดเจ็บก็มี

คุณ2860มีการแสวงหาอย่างนี้ดีแล้ว อนุโมทนาด้วย คุณจะเอาพยัญชนะอะไรมาพูด อาตมาไม่มีปัญหาหรอก จะเป็นบอก อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือว่าถ้ายังมีอุปาทิเหลืออยู่ ก็จักเป็น อนาคามี อาตมาก็ผ่านมาหมดแล้ว หากคุณเข้าใจเป็นพระอรหันต์อย่างอาตมา คุณก็จะไม่แย้งอาตมาเลย

 

_แย้มน้อย เรือง : กรานมัสการพ่อครู วันก่อนฟังพ่อครูตอบปัญหาเรื่อง สมองกับหัวใจ เวลาคนเราเกิดความรัก จิตขับเคลื่อนที่หัวใจหรือว่าที่สมองคะ

พ่อครูว่า..สมองก็ดี หัวใจก็ดี เป็นสรีระ เป็นอุปกรณ์ทางสรีระ สมองเป็นอุปกรณ์ให้วิญญาณใช้งาน ส่วนหัวใจนั้น เป็นอุปกรณ์ให้เลือดสูบฉีดเลี้ยงร่างกาย

เพราะฉะนั้น หัวใจคืออุปกรณ์หรือโรงงานทำงานยังชีวิตให้ยืนยาว เราจะตายก็ตายกันที่หัวใจ สมองก็ตายได้ถ้าหากสมองมันหมดสภาพ จริงๆแล้ว มันก็เลิกหลุดออกไปจากสมองเลย จิตวิญญาณก็ปล่อยออกจากร่างกาย ออกจากสมองเลย  หัวใจก็ไม่มีอะไรขับเคลื่อน อันนี้มีนัยสำคัญก็คือ ในพลังงานระดับหนึ่งที่จิตวิญญาณทำงาน พอพลังงานของจิตวิญญาณ ผู้ใดสามารถทำพลังงานนั้น ให้มีคุณสมบัติเหมือนดั่ง พีชะ ควบคุมพีชะ อยู่กับพีชะ ได้ ก่อเกิดพลังงานในระดับไม่สุขไม่ทุกข์ไม่โลภไม่โกรธ ไม่มีพยาบาทจองเวร ไม่มีความดูดดึงข้ามชาติ นี่แหละเป็นฐานอาศัย พีชธาตุ เป็นฐานอาศัย ที่สุด สามารถทำให้เกิดเป็นความสูญเลย เกิดเป็นอุตุธาตุ เป็นดินน้ำไฟลม หมดความเป็นชีวะได้ด้วย นี่เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

นิยาม 5 อุตุนิยาม พีชะนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม

ธรรมะ คือ ทรงไว้อย่างอาศัย ไม่ใช่ทรงไว้อย่างปักมั่นดึงดูดเป็นอัตตาไม่มีแตกสลาย นิรันดร อันนั้นไม่ใช่ นี่ก็ต้องค่อยๆศึกษาธรรมะที่เป็นโลกุตระธรรม ให้รู้ว่า อาศัยคืออะไร นิสัยคืออะไร วิสัยคืออะไร อนุสัยคืออะไร

ตั้งแต่อาศัย อาสยะ แล้วก็นิสยะ แล้วก็วิสยะ แล้วก็อนุสยะ อธิบายมาหลายทีแล้ว

สรุป สมอง คือ อุปกรณ์ให้จิตวิญญาณทำงาน หัวใจ คือ อุปกรณ์ให้เลือดเป็นหลัก แล้วก็เลือดนี่แหละจะเป็นพลังงานที่ทำงานกับอะไรต่ออะไรใน ร่างกาย ทางแพทย์จะรู้ดี เขาจะตรวจกันที่เลือด มีอะไรมาแทรกแซง เลือดนี่เป็นตัวหลักของทางด้านการแพทย์เลย

สรุป สมอง ก็คู่กับวิญญาณ หัวใจก็คู่กับเลือดไปเลี้ยงร่างกาย คนเราจิตขับเคลื่อนที่จิตใจหรือสมอง ตอบก็คือสมอง

_สู่แดนธรรมว่า...คนไทยใช้คำว่าหัวใจ อารมณ์ที่มีความสุขมากๆเป็นยอดของหัวใจคืออารมณ์ที่มันยอด เวลาคนเรามีความรักสมองก็สั่งทำให้หัวใจสูบฉีดรู้สึกว่ามีชีวิตชีวา ก็แปลว่าทั้งสมองและหัวใจช่วยกันทำงาน

พ่อครูว่า..อารมณ์นั้นคือจิตวิญญาณโดยสมอง ถ้าเข้าใจนามธรรมให้ดี มันจะเข้าใจจริงๆมันแยกกันขาดทีเดียวในส่วนที่ยังไม่ขาดทีเดียวได้ยาก แยกยาก แต่แยกขาดได้ด้วยความเข้าใจ ทำให้จิตวิญญาณเราขาดจากพลังงานที่มันจะเป็นความสุขความทุกข์ ก็อาศัยพลังงานที่ไม่สุขไม่ทุกข์เรียกว่าเป็นพืชะ ส่วนอุตุธาตุในร่างกายเราก็ทำได้ เราก็ทำให้มันพีชะธาตุได้

พีชธาตุก็ไม่ต้องอาศัยเลย จะมีอยู่บ้างก็อยู่ไป เช่นเป็นขี้ไคลเป็นต้น หรือพูดอีกให้ชัด อุตุ แปลว่าเลือดระดูไม่มีชีวะแล้ว ก็สลายทิ้งไป ไหลทิ้งไป ไม่ได้ผสมไข่ก็สลายไป

เลือดนี่มีชีวิต แต่ให้เชื้อของชีวะให้อาศัย มีอาหารเลี้ยงตัวนั้นแต่พอมันไม่ทำหน้าที่แล้วไข่ไม่ผสมก็ฝ่อทิ้งไป ออกมาเป็นเลือด เลือดที่เป็นอุตุดินน้ำไฟลม ไม่เป็นชีวะ

เลือดมันก็มีหัวใจ เป็นหัวอยู่ในเลือด เข้าใจได้ ไม่สับสน

ที่ว่าเจ็บใจ เวลาคุณเจ็บใจ ไม่ได้เจ็บที่หัวใจ แต่วิญญาณคุณเจ็บ

สมณะฟ้าไท... เวลาเครียดก็เลยจับหัว

พ่อครูว่า..เวลาอกหักก็จับที่หน้าอก หัวใจ

 

_หายโง่..เวลาก่อน 9 โมงเช้า มีภาพของสมณะมือมั่นตามด้วยสมณะอุชุปฏิปันโน นำเด็กๆเดินขึ้นศาลาอย่างสำรวม เด็กๆยกมือไหว้ลุงเราโน่ ซึ่งจอดรถอยู่ใกล้ศาลาเป็นภาพศิลปะการดำเนินชีวิตที่งดงามมาก ภาพเด็กอนุบาลที่เดินเรียงแถวเรียบไปกับถนนอย่างสงบในเมืองเฮลซิงกิ  เมืองหลวง ฟินแลนด์ เขามีวินัยตั้งแต่อนุบาล เขาเคารพสถานที่ อีกมุมที่เมืองเก่าแก่ในฟินแลนด์ คนที่นั่นข้ามถนนตรงทางม้าลาย เหตุการณ์ที่ทำให้ทึ่ง คืออีกาตัวหนึ่งกระโดดข้ามถนนบนทางม้าลาย รถยนต์จอดให้ อีกาก็ไม่เร่งรีบ เราโน่บอกว่ามันเลียนแบบคนที่นี่ น่าเสียดายที่คนรุ่นใหม่ของคนประเทศนี้ ลืมรากเหง้าที่ดีที่ ซึ่งบรรพชนสร้างไว้ไม่ว่าจะเป็นความขยันซื่อสัตย์อดทน เขาทำตามอย่างสหรัฐอเมริกาแทบทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง ได้คนรุ่นใหม่ที่ไร้ราก มาเป็นรัฐบาล เราโน่ทำนายอย่างเปิดเผยในเฟซบุ๊คว่า “ฟินแลนด์กำลังดิ่งหัวลงในทุกด้าน หากไหวตัวไม่ทัน” มาถึงลูกหลานที่จะได้รับมรดกที่หลวงปู่สร้างขึ้น หนุนด้วยสมณะ สิกขมาตุและญาติผู้ใหญ่ ลุงเราโน่ฝากบอกพวกหนูว่า “ขอทุกย่างก้าวที่พวกหนูเดินหรือทำอะไรก็ตาม โปรดใช้สติทุกขณะ อย่างน้อยไม่ขับรถเร็ว เพราะน้องเล็กๆไร้เดียงสาขี่จักรยานเร็วกลางถนนเช่นกัน”

น้องกล้วย 4 ปี จากเมืองกาญฯ เคยไปดื่มโกโก้ที่เฮือนข่อยวาแล่ว น้องกล้วยเก็บภาชนะอย่างสะอาด เก็บเข้าที่อย่างเรียบร้อย กิริยาสุภาพ พูดภาษาอังกฤษได้ด้วย หากว่าน้องกล้วยขี่จักรยาน.ชิดซ้ายจะเป็นตัวอย่างให้กับน้องๆด้วยค่ะ

ดิฉันยังไม่มาฟังธรรมเพราะเป็นหวัดเล็กน้อย ใช้วิธีทำใจแบบหมอเขียวคือ ไม่โกรธ (ถ้าโกรธจะถูกทวงชื่อคืน จึงพอทำได้บ้าง) ไม่กลัวเป็น ไม่กลัวตาย ไม่กลัวโรค ไม่เร่งผล ไม่กังวล ด้านร่างกายทานขิงแคปซูล(คุณเปรมจิตหามาให้) ใช้ยาใกล้ตัวที่มีอยู่ ไม่ให้ท้องผูก บางวันสามารถนอนหลับตั้งแต่หกโมงเย็นจนถึงหกโมงเช้า(พ่อครูว่าเก่งมาก อาตมาตื่นคืนหนึ่งอย่างน้อย 5-6ครั้ง) ที่สำคัญได้ประโยชน์ในการแยกเวทนาแท้เทียมอย่างชัดเจนค่ะ

 

_อโศกสัมปวังโก...ปัจจุบันคำว่าทำนาคนอื่นได้ถูกมาใช้กล่าวอ้างเพื่อเป็นอาวุธป้องกันตัวของผู้ใช้ชีวิตในสังคมบุญนิยมบางคน ผู้ที่ไม่ต้องการจะให้ใครตำหนิชี้โทษจนกระทั่งความสำคัญของผู้ที่ชี้ขุมทรัพย์ได้ลดน้อยลงไป ทุกวัน

กระผมคิดว่าการกระทำดังกล่าวจะนำสังคมให้เสื่อมลงในภายภาคหน้า จึงอยากให้พ่อท่านจำแนกว่าพฤติกรรมเช่นใดจึงถือว่าเป็นการทำนาคนอื่นและพฤติกรรมเช่นใดจึงเป็นการชี้ขุมทรัพย์

พ่อครูว่า..คุณก็รู้อยู่แล้วว่า อันพอเหมาะเป็นอย่างไร ถ้าหากไม่ชี้ขุมทรัพย์เสียเลย มันก็ไม่มีใครมาชี้ได้เลย ขี้เหนียวตาย หมักขุมทรัพย์ไว้คนเดียวไม่บอกให้คนอื่นรู้ หากว่าควรจะชี้ให้เขาบ้างก็ไม่ชี้ก็กลายเป็นใจดำ

ก็เอาที่พอเหมาะ

 

_อโศกสัมปวังโก...เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาพ่อท่านได้แยกคำว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะไว้ 2 อย่าง เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะสัตว์และเนวสัญญานาสัญญายตนะอย่างพระอริยะ

พ่อครูว่า..คำว่าสัตว์คือยังไม่พ้นสัตตาวาส 9 คำว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ คือได้พ้นหลุดพ้นมาได้เรื่อยๆ กระทั่งเหลือที่สุดก็คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะสัตว์

เนวสัญญานาสัญญายตนะสัตว์ เป็นสัตว์ตัวที่ 9 ในสัตตาวาส 9 ส่วนอสัญญีสัตว์นั้นเป็นสัตว์ตัวที่ 5 ในสัตตาวาส 9

เพราะในโลกียะดับสัญญาได้เป็นอสัญญีสัตว์ จะไม่สามารถรู้ อากิญจัญ ฯ เนวสัญญาฯได้เลย

แต่ไปนั่งหลับตาแล้วได้ เขาว่าได้ อากาสา วิญญานัญจา ได้ความว่างจากการสร้างภพว่าง ให้ดับ นิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่มี แล้วสร้างภพ จะว่ารู้ก็ไม่ใช่ ว่าไม่รู้ก็ไม่ใช่ เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะ เขาก็จบ คา อยู่เช่นนั้น นี่คือสัตตาวาส 9

ส่วนวิญญาณฐีติไม่มีอสัญญีสัตว์ ไม่มีเนวสัญญานาสัญญายตนะ

วิญญาณฐิติ คือ เรียนรู้ในขณะที่มีวิญญาณตั้งอยู่ แล้วจมูกลิ้นกายเกิดกระทบต่างๆภายนอกแล้วเกิดวิญญาณ วิญญาณที่พระพุทธเจ้าท่านให้เรียนไม่ใช่ให้ไปเรียนวิญญาณสัมภเวสีล่องลอยไป หรือว่าคุยกันในสัญญานั้น ไม่เอา มันไม่จริงสามารถปั้นสร้างได้เองเนรมิตเองได้เรียกว่านิรมาณกาย มันเลอะเทอะ มันไม่ใช่ของจริง ของจริงต้องสัมผัสอยู่เป็นปัจจุบันทางตาหูจมูกลิ้นกาย ต้องเรียนอันนี้ จึงจะสามารถดับความเป็นสัตว์ได้เรียกว่า วิญญาณฐิติ 7 นี้ได้ครบ คุณก็สามารถหมดความเป็นสัตว์ได้ครบวิญญาณฐิติ 7 กับสัตตาวาส 9

 

_อโศกสัมปวังโก...คำว่ายัญพิธี และบวงสรวง ที่ปรากฏในสัมมาทิฐิ10สามารถใช้ในเชิงเทวนิยมหรืออเทวนิยมก็ได้เป็นการยืมเอาภาษาของโลกเอามาใช้สื่อความหมาย แต่ผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดในเชิงธรรมะใช่หรือไม่อย่างไร

พ่อครูว่า..ถูกต้องต้องแยกโลกียะกับโลกุตระให้ออก

 

_อโศกสัมปวังโก...การแสดงธรรมะในวันอาทิตย์ที่ผ่านมาญาติธรรมหลายท่านบอกว่าลึกละเอียดเกินไปแทบจะเข้าใจไม่ได้เลย แต่บางคนก็อยากให้พ่อท่านเทศนาให้ลึกลงรายละเอียดเพราะเนื่องจากการเทศนาแต่ละครั้งมีการบันทึกเทปไว้ประโยชน์อาจจะไม่เกิดในคนในยุคนี้แต่จะเกิดในคนรุ่นหลังรวมทั้งคนในรุ่นนี้ที่ตายไปแล้วเกิดมาใหม่อีกก็จะได้เหลือหลักฐานไว้เรียน อีกอย่างญาติธรรมจะได้ใฝ่ฟังธรรมะจากนักบวชเพิ่มขึ้น เมื่อพ่อท่านได้ปรินิพพานไปแล้วก็จะมีผู้ที่ก้าวขึ้นสืบต่อเป็นโพธิสัตว์ต่อไป เพื่อต่อเนื่องไม่ขาดสายของศาสนา

พ่อครูว่า..ก็มีผู้ที่เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ผู้ไม่เข้าใจเลยหรือว่าเข้าใจได้เลยก็มี

_อโศกสัมปวังโก...ท่านสิริเตโช ได้ให้ความหมายของวิเวก 3 ในหนังสือธรรมพุทธสุดลึกได้ถูกตรงกับที่พ่อท่านอธิบายไว้ เนื่องจากหนังสือเล่มนี้ได้เขียนก่อนที่จะมีการลงรายละเอียดจากพ่อท่าน จึงทำให้ชี้ให้เห็นว่าท่าน สิริเตโช คือคนทรงนิรุติปฏิภาณของสายปัญญาใช่หรือไม่

พ่อครูว่า...ใช่ อาตมาก็มีผู้ที่ไปด้วยกันมาด้วยกันบ้าง ท่านฟ้าไทเป็นต้น ท่านสิริเตโช ก็มีอยู่บ้าง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศิลปะโลกุตระ) ตอน ปลงอายุสังขารเรื่องแต่งเพลง

_จากรายการสำมะปี๋ฯ ที่ผ่านมาพ่อครูได้ตอบคำถามเรื่องเพลง ทำให้ดิฉันเกิดแนวคิดอยากพ่อครูแต่งเพลงเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าเพื่อเป็นการช่วยสืบสานพัฒนาต่อไป

พ่อครูว่า..มานิมนต์เมื่ออาตมาปลงอายุสังขารการแต่งเพลงของอาตมาไปแล้ว มันก็คงจะไม่ขึ้นอีก เพลงสุดท้ายในชาตินี้ที่อาตมาแต่งคือ เพลงสมรรถภาพ มาเถอะมาอย่าช้าอยู่ไหนรีบมาคว้ามีดพร้าและจอบเสียม... ที่จริงแล้วอาตมาอยากจะแต่งเพลง 5 ภาพ

1.อิสรเสรีภาพ 2.ภราดรภาพ 3.สันติภาพ 4.สมรรถภาพ 5.บูรณภาพ

อาตมาแต่งเสร็จไป 4 เพลง ขาดแต่บูรณภาพ ก็เคยคิดหลายทีพยายามจะแต่ง แต่มันเมื่อยมาก มันต้องตั้งอกตั้งใจ แต่เดี๋ยวนี้แม้แต่ตัวโน้ตก็ลืมไปมาก จะมายุให้อาตมาแต่งอีก ก็เอาเถอะเดี๋ยวนี้มีพวกเราก็ขึ้นมาแต่งได้ดี เขาแต่งมาเหมาะสมกับคนรับได้มากด้วย ของอาตมาแต่งนี้หลายคนเขาบอกเพลงปราบเซียน เขาบอกว่ายาก มีแฟลต ชาร์ปมาก ขนาดนายเต้ เอาเพลงอาตมาไปเรียบเรียง เขาก็ไปถามปฏิพลว่าไปอย่างไรนี่หักศอกเลย ปฏิพลก็ว่าอย่าไปคิดมากให้ตามตัวโน้ตท่านไป

 

อาตมาอธิบายค้างในจรณะ 15

ศาสนาพระพุทธเจ้า มีจรณะ 15 วิชชา 8 อยู่ในพุทธคุณ 9 มี วิชชาจรณสัมปันโนอยู่ในพุทธคุณ 9 เป็นคำยืนยันว่า เป็นธรรมะสภาวะธรรมของท่าน นอกนั้นก็มีแต่อธิบายความหมายท่านเป็นพระอรหันต์  เป็นสุคโต เป็นผู้ที่สอนคนอื่นได้อย่างไม่มีใครเทียบเคียงเป็นผู้ตรัสรู้เอง อะไรต่ออะไรทั้งนั้น แต่เนื้อแท้นั้นคือจรณะ 15 วิชชา 8

เพราะฉะนั้นจรณะ 15 จึงนำมาเป็นหลักทฤษฎีของธรรมะของพระพุทธเจ้าทั้งหมด เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดเข้าใจจรณะ 15 ไม่ได้ ทำจรณะ 15 ไม่สัมมาทิฎฐิ ปิดประตูนิพพาน โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าท่านบอกไว้ชัดเลยว่าไม่มี ปัณณกธรรม 3 ไม่มีธรรมสามข้อนี้ คุณปฏิบัติธรรมไม่ได้ ไม่มีอปัณณกธรรม 3 ไม่มีสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคคะ

ต้องมี อปัณณกธรรม 3  จึงจะเป็นการปฏิบัติที่ไม่ผิด พิจารณาในอาหารในคำข้าวก็สามารถบรรลุธรรมได้ ปฏิบัติธรรมให้เป็นคนตื่น อย่าไปหลับอยู่ในภพ ต้องตื่นออกมาข้างนอกเลย เรียกว่าชาคริยา มีธาตุรู้ ชา แปลว่ารู้ ชาคริ ชาคระ ตื่นออกมาทางกายกรรม วจีกรรมมโนกรรม ต้องเพียรให้ตื่น หากว่าเอาแต่ไปหลับอยู่ข้างในมันคนละทิฏฐิเลย พูดอย่างหนักหนาสาหัสว่าอย่าไปนั่งหลับตาเลย มันออกนอกรีต เลิกได้แล้ว อาตมาจึงต้องเหนื่อยไปอีกนาน สงสัยต้องเหนื่อยจนตายเพราะเขาไม่เปลี่ยนทิฐิง่ายๆ เพราะมันเป็นลัทธิครองโลก มันเป็นความติดยึด ที่อยู่ในปุถุชน ในโลกียะ เลิกไม่ได้ทั้งหมด คนที่จะมารู้ธรรมะพระพุทธเจ้าจึงมีส่วนหนึ่งเท่านั้นเป็นคนจำนวนน้อย

มันก็ต้องพูด ไม่พูดก็ไม่ได้ เพราะต้องเตือนเขา คนที่เข้าใจได้ดีก็จะเลิก เขารู้สึกตัว แต่ถ้าไม่รู้สึกตัวก็จะกลายเป็นผู้ที่ฝืน และกระทำที่สิ่งที่ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า ก็เป็นเหมือนโจรที่ทำลายศาสนาพุทธอยู่ อาตมาก็พยายามที่จะให้ฆ่าความเป็นโจรด้วยหอก  หอกของอาตมาหักไปหมดแล้วไม่ใช่แค่ 300 เล่มแต่ไม่รู้กี่พันเล่ม 1 เล่มแล้วหักไปแหลกหมดเลย ไม่เป็นไร อาตมาก็ค้นหาหอกมาอีก ออกจากปาก มุขสตี แทง หักก็หัก หามาใหม่อีก อาตมาไม่หมดหรอกหอก คือให้เขาได้ประโยชน์ ไม่มีความปรารถนาร้าย มีแต่ความปรารถนาดี อาตมามีฉายาว่า ขวานจักตอก หรือว่า สายฟ้าในวาทะ แต่ที่แท้แล้วเขาก็บอกว่าหลุกหลิก เหมือนลิง เป็นภาษาที่ยืนยันสภาวะ ใครที่ไม่ติดในเรื่องภายนอก กลั่นเอาเนื้อในได้ คนนั้นก็ได้สาระ

ที่อาตมาทำ อาตมาจะยังไม่เลิกสิ่งเหล่านี้ อาตมายังต้องใช้ข้อด้อยของอาตมาทั้ง10ข้อนี้อยู่ ด้วยความเห็นว่า มันเหมาะสมกับกาละ บุคคล ฐานะ สังคม คนฐานโลกีย์หยาบๆ มันเหมาะที่สุด ก็จำเป็นที่จะต้องใช้ ต้องทำ

ต่อ อปัณณกธรรม 3

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดว่าถ้าไม่มี 3 ข้อนี้ก็ผิดจากศาสนาพุทธ ไปนั่งหลับตาแล้วก็ไม่มีการสำรวมอินทรีย์ก็ผิดแล้วข้อที่ 2 ไม่พิจารณาในเรื่องอาหาร ในเรื่องการกินการใช้ในเรื่องกามคุณ 5 ภายนอกก็ผิดอีก แล้วยิ่งนั่งเข้าไปอยู่ในภพ หลับหลับหลับ ไม่ออกมาตื่นแต่กลับหลับเข้าไปอย่างยิ่ง ชาคริยะแปลว่าตื่น นิทราแปลว่าหลับ ไสยาสน์แปลว่านอน

หากนอนแล้วยังมีชาคริยะ ตื่น ก็ไม่สมบูรณ์ ตื่นในภพ ยังไม่พอ ต้องมาตื่นทางภายนอกด้วย เรียกชาคริยะ ไปตื่นแต่ในจิตเฉยๆไม่พอ มันไม่สามารถที่จะมารับรู้ เมื่อไม่ได้ฝึกรับรู้ภายนอกเลย คุณจะรู้ได้อย่างไรว่ากามคุณ 5 คุณยังติดยึด ขออภัยอย่างมหาบัวติดหมากจนตาย ที่จริงแล้วมหาบัว อาตมาเคยได้ยิน ก็มีการสะดุดเหมือนกันว่ามันก็น่าเป็นสิ่งเสพติดก็ควรจะหยุดแล้ว ก็หัดหยุดเหมือนกันแต่หยุดไม่ได้ มันติดหนักก็เลยกลบเกลื่อนว่าไม่ใช่สิ่งเสพติด โกหกลูกศิษย์และคนที่นับถือว่าไม่ใช่สิ่งเสพติดก็เลยเป็นบาปที่ซับซ้อนของมหาบัว รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นสิ่งเสพติดก็กลบเกลื่อนเลย บอกว่าไม่ใช่สิ่งเสพติด ผู้ที่โกหกในสิ่งที่ตัวเองรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่โกหก พระพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้ว่าคนคนนี้จะทำชั่วใดๆอีกได้ทั้งนั้นทุกอย่าง ไว้ใจไม่ได้ นี่เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้านะ

ขออภัยที่ต้องยืมเอามหาบัวทำเอาไว้ในโลกมาอธิบาย หลายอย่าง ที่มหาบัวไม่รู้มานะ  อติมานะของตนเองที่เป็น มานะ อติมานะ ที่หาทองเข้าคลังได้ก็ยินดีใหญ่ ได้อุปกิเลสตัวนี้เต็มบ้องเลย ซึ่งมันเป็นสภาวะที่มีในมนุษย์จริง ยกตัวอย่างมันก็จะง่าย

สมณะฟ้าไท สรุปจบ

 


เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:31:21 )

630306

รายละเอียด

 630306_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ จรณะ 15 โดยพิสดาร

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่...  https://docs.google.com/document/d/1lF5HKoOSfdxfAzRH-vmRvCzPEp_cwEx2Wb6v93qNeKs/edit?usp=sharing                     

 

ดาวโหลดเสียงที่ https://drive.google.com/open?id=12E3d6C0YJ_pgat5gEDGq-LB91RjfSZFp

 

สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้คนจะเข้ามาในประเทศก็ต้องคัดกรอง แม้แต่ในราชธานีอโศกต้องคัดกรองคนเข้ามา เพราะเกิดวิกฤติ Covid 19 เป็นยุคสมัยที่ต้องตรวจสอบอย่างยิ่ง ไวรัสไม่ไว้หน้าใคร

พ่อครู...sms วันที่ 4 มี.ค. 2563 (พุทธศาสนาตามภูมิ : )

 

_ปะฟ้านวล : ท่านคะ อย่าปิดดาวเทียมนะคะ สงสารคนอายุเยอะค่ะ

พ่อครูว่า...ทำไมคนอายุเยอะก็ดูได้ ขยายไปที่จอโทรทัศน์ได้ อย่าว่าแต่จอโทรทัศน์เลย จอ LED ใหญ่ขนาดไหนก็ยังได้เลย เพราะฉะนั้นมันไม่จำกัดว่าเราเปลี่ยนไปไม่เอาดาวเทียมแล้ว เราก็ใช้เทคนิคใหม่สมัยใหม่ ก็น่าจะถือว่า Complete แล้วนะ ไม่ Perfect นักก็แล้วแต่

สมณะฟ้าไทว่า..เขาบอกว่า เดี๋ยวนี้มี Smart TV สามารถเข้าอินเทอร์เน็ตได้เลย

พ่อครูว่า..ช่างเทคนิคเขาก็ชัดเจน ปะฟ้านวลก็คงไม่ค่อยรู้เรื่องเทคนิคนี้มาก ก็ไม่ต้องกังวลหรอก ที่พูดว่าอยากจะหยุด เพราะดาวเทียม ภาระค่าเช่าอยู่หลายแสนเดือนๆนึง เราก็ดูว่าทุกวันนี้ พูดก็พูดเถอะนะ เรารู้สึกว่ามันจะเริ่มเอื้อมเอื้อเกื้อกว้างพอสมควร เราก็เลยทำงานกับสังคมมนุษยชาติเพิ่มขึ้น เราก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ขนาดเราไม่ได้จัดงานตลาดอาริยะ งานอะไรที่เราจะต้องมีเงินก้อนมาช่วยแจกจ่าย ให้แก่มวลมนุษยชาติทีละหลายล้าน แต่ละครั้ง ขนาดนั้นเราก็ยังฝืดๆเลยทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นเราก็เลยจำเป็นที่จะต้องสงวน ให้เกิดประโยชน์สูงประหยัดสุดมาให้มากๆหน่อย มันก็เป็นความดีงามนะที่เราและคนจะได้ฝึกฝนให้เกิดประโยชน์สูงประหยัดสุด มันเป็นความเจริญทางเศรษฐกิจที่เยี่ยมยอด เศรษฐกิจที่มีประโยชน์สูงประหยัดสุดเป็นเศรษฐกิจที่มาหาความจน เป็นเศรษฐกิจที่จะต้องเข้าใจอย่างดีเลยว่า เรามาฝึกตนเองให้เป็นคนจน มีสังคมคนจน ซึ่งมีประเทศไทยประเทศเดียวในโลก ที่มีการชัดเจนยืนยัน มีผู้ยืนยัน อย่างอาตมายืนยันแน่ แต่อาตมาไม่ได้เป็นผู้มี favorite แก่สังคมมาก

อย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 นี้แน่นอนเลย ทั่วโลกรับซับทราบจากพระองค์เลย ทรงตรัส เป็นเรื่องยิ่งใหญ่เลยว่าเรามาเป็นคนจน ขนาดนั้นนักเศรษฐศาสตร์ของคนไทยที่บริหารประเทศอยู่ ก็ยัง เงอะๆงะๆอยู่ ก็ในหลวงตรัสมา แล้วจะไปตำหนิท่าน จะไปค้านท่านก็ไม่ได้ ก็เลยได้แต่อึมๆอัมๆ  แต่จริงๆแล้วก็ยังไม่ชัดเจนในภูมิปัญญาจริงๆ

ถ้าคนไทยเราได้สนใจธรรมะพระพุทธเจ้า แล้วทำความเข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจ เศรษฐกิจพอเพียงก็ดี เศรษฐกิจแบบคนจนก็ดี ขาดทุนของเราคือกำไรของเราก็ดี ซึ่งเป็นคำตรัสของในหลวงทั้งนั้น อาตมาเอามาขยายความแล้วพาทำมาตั้งแต่ต้นทำงานศาสนามา ตั้งแต่ พ.ศ 2513 อาตมาเริ่มทำชุมชนชาวอโศกที่เป็นสาธารณโภคี เป็นชุมชนคนจน จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็สำเร็จได้กันอย่างที่คนเข้ามาในนี้ มีเป็นสมาชิกมีภูมิปัญญารับรู้เรื่องนี้ได้อย่างดี เข้าใจเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจแบบคนจนเรียบร้อยเลย หมดความสงสัย เพราะมีจิตวิญญาณที่เป็นผู้ที่เข้ากระแสโลกุตระของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นจึงไม่เป็นทาสโลกธรรมไม่ต้องไปแย่งลาภ ยศ สรรเสริญ​ ก็น่าจะเข้าใจได้ชัดเจน ไม่แย่ง มีน้อยก็อยู่ได้หรืออย่างเก่งคือไม่ต้องมีเลยส่วนตัว อาศัยกับส่วนกลาง

จะขอเบิก มีให้ก็ใช้ ไม่มีให้ก็ไม่เอา ประหยัดไม่สุรุ่ยสุร่ายไม่ฟุ่มเฟือยและก็ไม่ตายหรอก และไม่ได้หมายความว่าจะไม่เจริญมีความเจริญด้วย

คำว่า เจริญนี้ ซับซ้อนลึกซึ้ง ซึ่งไม่ใช่ความเจริญอย่างโลกีย์ที่เป็นอย่างเครือเจริญโภคภัณฑ์ ถือว่าเจริญ สิริวัฒนภักดี ไม่ใช่อย่างนั้น ทั้งสองเจริญอย่างนั้น การเจริญแบบโลกีย์ เอาไปแล้วมีมวลของตัวเองมาก แล้วทำกำไรทำการเอาเปรียบ ได้เปรียบอย่างซับซ้อนไม่รู้จบ ฉันจะต้องขึ้นบอร์ดคนรวยที่สุดของโลก ขึ้นทำเนียบเป็นผู้ที่เป็นเศรษฐีเป็นคนร่ำรวย ที่จริงเรียกว่ากระฎุมพีไม่ใช่เศรษฐี คำว่าเศรษฐี เสฏฐะ เสฏโฐ แปลว่าผู้เจริญ

สรุปแล้วโลกียะก็อย่างหนึ่งโลกุตระก็อย่างหนึ่ง สำหรับผู้ที่เข้ากระแสโลกุตระแล้วที่ผ่านขั้นอนาคามีขึ้นไป ชัดเจนทั้งรูปและนาม

หากยังเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี ก็จะยังไม่ชัดเจน แต่ก็จะชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆมีร่องรอยมากน้อยลดลง สกิทาคามีก็เห็นชัดเจนว่าคนนี้ไม่เพิ่มเติมไม่สะสมลาภยศสรรเสริญ มีแต่จะลดของตัวเองได้ชัดเจนขึ้น กระแสสกิทาคามี จะชัดเจน ลดแน่

พอเข้าอนาคามี อนาคามะ แปลว่า ผู้ที่ไม่มีทรัพย์สินเงินทองบ้านช่องเรือนชานเป็นของตัวเอง ไม่เป็นผู้สะสมเงินทองบ้านช่องเรือนชานอยู่ในหมู่พวกเรามีเยอะ ซึ่งเห็นได้ไม่ได้เสแสร้างแกล้งทำเป็นเท่ เรื่องจริง อาจจะมีกิเลสอยู่ในใจที่เป็นรูปราคะอรูปราคะแต่ก็สบาย

ถ้าเป็นอรหันต์ขึ้นไปก็ชัดเจน อาตมาถึงอยากจะอายุยาวเพื่อจะดูความเจริญความจริงของโลกุตระของพระพุทธเจ้า อยากจะอยู่ดูว่ามันจะน่าชื่นใจขนาดไหน ขนาดมีน้อยขนาดนี้ก็ยังชื่นชม ถ้ามันสามารถมีกระจายไปตามประเทศอื่นก็ยิ่งชัดเจน เข้าใจโลกุตระแล้วทำไปอย่างมีเพื่อนทำด้วยกันมีประเทศที่ 2 3 4 สาธุ ถ้าอยู่ 151 ปี ก็พอจะได้เห็นรอยๆไรๆบ้าง

เอาน่า เดี๋ยวอีก 4 ปีอาตมา 90 อีก 6 ปี อายุ 96 ถ้าถึง100 ความเจริญคงพอสมควรแล้ว คงจะไม่มีเงินมีทองก็ฉลอง ไม่มีเงินทองก็ฉลองกันได้ เอาพวกนี้(พืชผักผลไม้) มาฉลอง

อาตมามองไปที่หัวมัน หัวใหญ่อะไรกันนักกันหนา

น่าชื่นชมจริงๆ อาตมาก็พยายามชักชวนกัน ให้พวกเราเป็น กสิกรแข็งขลังเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ไทยจะเรืองอำนาจเพราะไทยเป็นชาติกสิกรรม

ตั้งใจทำ มันจะเป็นแหล่งอาหารของโลกที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งกว่าการสร้างอาวุธได้เก่ง ยิ่งใหญ่จริงๆนี่แหละอาหารมนุษยชาติ แล้วเราก็เน้นที่การกสิกรรมไม่ได้เน้นไปหาปศุสัตว์ ไม่ได้เน้นไปหาประมง เพราะฉะนั้นพลังงานก็จะมารวมเป็นหนึ่งเดียว สร้างกสิกรรมแผ่นดินยังมีอีกเยอะที่จะทำได้ยังขยายพอที่จะทำได้ หรือดีไม่ดีเราก็ไปเช่าต่างประเทศ เมืองลาวบ้าง มีเยอะ ที่ใกล้กับประเทศไทย พม่าเขมรได้ทั้งนั้น สร้างผลผลิตทางพืชพันธุ์ธัญญาหาร แล้วเอาไปเลี้ยงโลก

เรื่องของพืชพันธุ์ธัญญาหาร ไม่ต้องไปเน้นเรื่องของสัตว์ไม่ว่าจะเป็นปศุสัตว์หรือประมง เราเอาแต่พืช ไม่ต้องกลัวว่าสัตว์ต่างๆมันจะล้นโลก มันจะทำลายกันเองด้วยสำหรับสัตว์ ไม่ใช่ว่ามันจะปล่อยให้มันเต็มโลกล้นโลก ไม่ต้องกลัว ธรรมชาติเก่งกว่าเราอีก มันไม่มีปัญหา เป็นแต่เพียงว่า ถ้าเราทำได้คนสิ จะอยู่เย็นเป็นสุข มันเป็นสาธารณโภคีได้จริงๆ ในกลุ่มนี้ ในกลุ่มประเทศอินโดจีน อาตมาว่ารับรองถ้าเป็นไปได้ขยายออกไปถึงต่างประเทศด้วยซึ่งทุกประเทศในโลกถ้าเป็นถึงระดับของสาธารณโภคีเป็นโลกุตรธรรม โลกุตรธรรมแท้ๆนั้นไม่กินเนื้อสัตว์แน่นอน มันเข้าใจมันมีปัญญามันรู้จักกรรมวิบาก ศาสนาเทวนิยมเขาไม่รู้จักกรรมวิบาก แม้แต่ศาสนาพุทธเองก็ยังไม่ชัดเจนสำหรับผู้ที่ยังไม่สัมมาทิฏฐิดีเพียงพอ ยังไม่เต็มบริบูรณ์ก็จะยังไม่ชัดเจนเรื่องกรรมวิบากเพราะละเอียดลึกซึ้งเลยว่ามันเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อกัน มันเป็นการสืบทอด  ทั้งจองเวรจองกรรม ทั้งจองรัก จองผูกพัน จิตวิญญาณนี้ เป็นอจินไตยเดาไม่ได้ แต่ยืนยันว่าเป็นเรื่่องจริง

พยายามพัฒนาตัวเองให้รู้เป็นปัจจัตตังจะรู้เอง อาตมาไม่ได้พูดอย่างเดาหรือสุ่มเสี่ยง เล่นผีถ้วยแก้วเอาก็ไม่ใช่ มันเป็นของที่อาตมามั่นใจจริง

สมณะฟ้าไทว่า...เกษตรกรที่ปลูกมันญี่ปุ่นพันธุ์โอกินาว่า ตลาดกิโลกรัมละ 50 บาทแต่เขาขายกิโลกรัมละ 10 บาท พวกเกษตรกรขาย 10 บาทพวกเราก็ตกใจ บางทีเขาก็แถมให้ด้วย เป็นสิ่งที่เขาบอกว่าเขาก็ทำอย่างนี้มาก่อน

พ่อครูว่า...ไปช่วยกันเก็บไปขายไปแจกกัน

อีกอย่างหนึ่งอาตมาก็ท้วงพูดเล่นกันว่า ทำไมมันปลูกพริกกันจัง อาตมาก็ว่าเมนูใหม่ไปประกาศว่าร้านนี้ขายพริกขี้หนูชุบแป้งทอด หรือ พริกขี้หนูชุบไข่ทอด รับรองขึ้นห้างขายดีเลย คนกินเผ็ด อาตมาเห็นยังงงเลย กินพริกเฉย อาตมานี่แต่ก่อนติดกินข้าวคำพริกขี้หนูเม็ด แต่เดี๋ยวนี้แตะไม่ได้เลย ไอ สรีระไม่ให้กิน มันก็ดี ดีกับสุขภาพเรา

สมณะฟ้าไทว่า...ไปถามเกษตรกรว่าปลูกอย่างไร เขาก็ว่า อย่าไปเอาใจใส่มันมากมันถึงจะงามถ้าเอาใจใส่มันมากเดี๋ยวมันไม่งาม

พ่อครูว่า..ดร.อาจองว่า จะปลูกต้นไม้ให้งามต้องเอาใจใส่มันอย่างยิ่งร้องเพลงให้มันฟังด้วย พวกเรานี้ปลูกพริก มากมายหลายพันธุ์ เก็บกันไม่หวาดไม่ไหว อาตมาเลยบอกว่าให้เปิดเมนูใหม่พริกขี้หนูชุบแป้งทอด หรือไม่ก็ยำใหญ่พริกขี้หนู

 

_ขวัญ เขตบุญ : งานพุทธาดิฉันไม่ได้ไปร่วม แต่ตั้งใจว่าจะไปงานปลุกเสก แต่พอพ่อครูบอกงดตามเหตุ จิตก็ไม่ตกค่ะ เพราะติดตามชมรายการทางยูทูป ทางเฟสบุ๊คทุกๆ วันอยู่แล้วค่ะ ต้องขอบคุณบุญนิยมที่ช่วยเอื้อบุญให้ ขอบคุณค่ะ

 

_Yai Jaru ใหญ่ จารุ : ปกติจะรับชมช่องบุญนิยมทีวี โดยผ่านทางดาวเทียมค่ะขอขอบพระคุณค่ะ

 

_พันธุ์ พอเพียง : มีลูกจำนวนพันเป็นอเนก ถ้าไม่แคล่วคล่อง ว่องไว ไม่ประกอบ นัจจะ คีตะวาทิตะ ก็สืบทอดศาสนาไปไม่ได้ กิริยาพ่อครูนั้น เหมาะกับกาลแล้วครับ ผมเคยโดนสายตาของพ่อฟาดที่เฮือนบวร สะดุ้งแทบร้องไห้ อีกวินาทีต่อมาหันไปคุยกับคนอื่นเฉยเลย คือพ่อครูหันไปคุยกับคนอื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่าได้ใช้สายตาดุผมหนะครับ สุดยอดศิลปินจริงๆครับ

พ่อครูว่า…อาตมาก็พูดแล้วนะว่าอาตมาอยู่กับปัจจุบันที่จุดลงไป”จิ๊ก”แล้วยกขึ้นเลยนะ เข็มแหลมปัจจุบันจุดลงไปแล้วยกเลยอาตมามีอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น เพราะฉะนั้นไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นอะไร ไม่ยืดยาวกว่าสองจุดสามจุดนี้ แต่ไม่ใช่ว่าจุดไปแล้วไม่รู้เรื่อง สัญญามีอยู่ มันก็ยังไม่เก่งที่ไม่ต่อเนื่องกันบ้างแต่ก็ฝึกอยู่ว่า ให้สัญญาเก่งขึ้นจำได้หมายรู้เก่งขึ้นได้มากขึ้น แต่อาตมาจะฝึกให้หยุดเร็ว ให้มีปัจจุบันที่เร็วที่สุด อันนี้อาตมาช่ำชอง ความจำไม่มีปัญหาหรอก วันนี้มีอะไรเก็บให้

สมณะฟ้าไท…พ่อครูเป็นสิริมหามายา

พ่อครูว่า...พูดไปแล้วก็เหมือนหลวงจีน 2 คนที่ไปเจอผู้หญิงตกน้ำ หลวงจีนคนหนึ่งก็ไปช่วยผู้หญิงขึ้นจากน้ำได้สำเร็จแล้วก็เดินจากไป ส่วนหลวงจีนอีกคนหนึ่งบอกว่า ท่านไม่ควรทำอย่างนี้เลย ไปอุ้มผู้หญิงได้อย่างไร มันอาบัติมันผิดนะไปอุ้มผู้หญิง หลวงจีนอีกคนหนึ่งก็บอกว่า ผมวางไปนานแล้วนะท่านยังอุ้มมาด้วยเหรอเนี่ย

ผู้ศึกษาก็จะรู้ว่าเรายึดมั่นถือมั่นหรือ แต่ท่านก็เสร็จแล้วไม่ได้ยึด ท่านช่วยเสร็จก็วาง แต่หลวงพี่อีกองค์หนึ่งก็วางไม่ลงหอบอยู่ได้

สู่แดนธรรมว่า...ก็คุณคนนี้คงได้ตอบให้พ่อท่านบอกเรื่องอาการหลุกหลิก

พ่อครูว่า...ก็ศึกษาปฏิบัติธรรมมาให้ได้จริง อาตมาว่าอย่างนี้มันเป็นความถูกต้องความดี ใครยังไม่เข้าใจ ไม่เห็นด้วย ก็เป็นธรรมดาคนเหล่านี้ยังไม่เกิดศรัทธา เกิดความเชื่อถือยังไม่เห็นด้วยก็ยังไม่ตาม แต่ถ้ามันเกิดศรัทธาแล้วเป็นตัวต้น เกิดความเห็นด้วยเข้าใจแล้วก็ตามรู้ เริ่มต้นตั้งแต่ เชื่อถือ เชื่อฟัง เชื่อมั่น อาตมาขยายความออกเป็น 3 สเต็ป

เชื่อถือ แล้วมาเชื่อฟัง คือ ปฏิบัติตาม เมื่อปฏิบัติตามจนได้ผลเป็นของตัวเองได้เห็นผลชัดเจนมั่นใจได้ คนนี้ก็จะกลายเป็นคนที่ เชื่อมั่น

อัปปนา แน่วแน่ , พยัปปนา แนบแน่น , เจตโส อภินิโรปนา ปักมั่น

 

_นุช ไทยเจริญพร : ใช้ชีวิตในความไม่ประมาทเจ้าค่ะ

 

_จักรพล พุทธพัฒนา : คนที่คอยเพ่งโทษถือสาผู้อื่นเสมอๆเพราะสะกดคำว่า

ให้อภัยไม่เป็น!!.ใครภูมิไม่ถึงไปติเตียนพระอาริยะ(อริยุปาวาท)..ขอเตือนระวังความซวย(บาป)11ประการนะครับ!!.

 

_Boy Mungchomklang บอย มุ่งจอมกลาง: น้อมกราบนมัสการด้วยความเคารพครับ ผมฟังธรรมไปผมก็สำนึกถึงความดีในผู้มีพระคุณเกือบทุกท่านที่ระลึกได้อยากจะไปร่วมเรียนรู้ตลอดชีวิต แต่ผมก็มีวิบากร่วมกับทางบ้านที่ควรใช้ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มดีขึ้นกว่าเดิม ซึ่งก็ยังมีอีกเรื่องที่ผมคิดว่าควรร่วมคิด ร่วมทำคือเรื่องน้ำที่ใกล้จะขาดแคลน(ผมคาดว่าจะจบก่อนสิ้นเดือนมีนาคม 2563ครับ) ถ้าจบภารกิจนี้ก็มีเรื่องตอบแทนบุญคุณอาจารย์หมอเขียวอีกท่านที่เมตตาผม หลังจากนั้นผมคาดว่าจะไปร่วมเรียนรู้ด้วยใจจริงครับ ขอพ่อครูช่วยชี้แนะความเหมาะควรด้วยครับ เพื่อที่ผมจะได้นำมาปรับความคิดใหม่เพื่อใช้ให้เหมาะกับฐานะของตนเองครับ กราบขอบพระคุณครับ

พ่อครูว่า...คุณก็ประมาณแล้วคุณมีข้อมูลต่างๆนานา อาตมาไม่รู้ข้อมูลไม่รู้องค์ประกอบชีวิตของคุณที่มีอะไรเป็นภาระ เป็นสิ่งที่ต้องจัดการให้มันเป็นไป ให้มันลดละให้มันน้อยลง เป็นการลดภาระ การลดภาระไม่ใช่หมายถึงไม่รับผิดชอบ ที่ควรรับผิดชอบก็ต้องรับผิดชอบ คุณต้องรู้ว่าความรับผิดชอบที่ต้องรับผิดชอบ กับที่ว่า แส่เกินไป  ต้องรู้ให้ชัด แล้วจะรู้ว่าเหลือภาระอะไรที่ต้องทำให้แก่ตัวเอง มันจะค่อยๆลดลง เราก็จะได้มารวมอยู่กับหมู่ที่พาให้เจริญขึ้นแน่นอนอยู่เจริญขึ้นแน่กับหมู่ มาแล้วลดลงได้ เราก็จะได้ช่วยเหลือผู้อื่นได้มากขึ้น

 

_random2475(แรนดอม 2475)  : อารมณ์กังวล กลัวแปรปรวน จะแก้ไขยังไงคะ

พ่อครูว่า...อาตมาว่ายังเป็นข้อต้นเหลือเกิน ที่มีกิเลสตัวนี้ อารมณ์กังวล กลัวแปรปรวน มันเป็นกิเลสที่ยังไม่สามารถจับมั่นคั้นตายอะไรได้เลย ตั้งแต่สังโยชน์แรก คุณยังไม่แน่ใจในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร เริ่มต้นต้องติดตามฟังให้ดีศึกษาตามไป แต่ถ้าเกิดปี 2475 ก็คงจะแข็งแรงอยู่นะ พยายามก็แล้วกัน

 

_NUCHI (นุชชี่) : จากคำถามที่ว่า.. ความรักเกิดจากหัวใจ หรือสมอง แล้วคุณสู่แดนธรรมแย้งพ่อท่านว่า ใช้ทั้งสมองและหัวใจนั้น ดิฉันขอแย้งว่า..หัวใจนั้นทำหน้าที่แค่สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงร่างกาย ไม่ได้เกี่ยวกับความรักเลย แค่ใจเต้นแรงตามคำสั่งของสมอง และจิตวิญญาณที่มีเวทนาชอบมาก จนเราเรียกว่ารัก

พ่อครูว่า…ก็ถูกต้อง เรื่องเกี่ยวกับความรัก มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ที่เรียกว่าหัวใจ มันเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ที่เรียกว่าสมอง เพราะว่าสมองเป็นอุปกรณ์ให้จิตวิญญาณทำงาน ส่วนหัวใจนั้นเป็นอุปกรณ์ให้เลือด เลือดนี้เป็นเหมือนวิญญาณของสรีระ แยกเป็นรูปกับนาม นามคือวิญญาณของสมอง ส่วนรูปก็ หัวใจ เรียนรู้ไป

 

_Right Effort Wrong View (ไรท์ เอฟฟอร์ท วรอง วิว): กราบนมัสการครับ ท่านอยู่วัดอะไรหรอครับ ชื่อวัดเผื่อได้แวะไปครับ

 

_จักรพล พุทธพัฒนา ท่านอยู่บวร(ไม่เรียกวัด)ราชธานีอโศก ต.บุ่งไหม อ.วารินฯ จ.อุบลฯครับ

พ่อครูว่า…อาตมาอยู่ บวร ราชธานีอโศก คือรวมทั้ง บ้าน วัด​ โรงเรียน หากคุณมาแล้วจะหาวัด รับรองหาไม่เจอ หากจะหาโรงเรียนก็หาไม่เจอ เป็นแต่เพียงเรามีอาคารที่จดทะเบียน รร.ตามกระทรวง แต่เราก็ใช้เรียนได้หมดพื้นที่ชุมชนไม่ได้เรียนแต่ในกล่อง ก็มาสิ เชิญ ยินดีต้อนรับ

 

_เจน ฮู เชอร์ กราบนมัสการเจ้าค่ะ

 

_ภูเคียงไพร บุราไกร : ตามที่ได้ฟังธรรมพ่อท่าน เรื่อง เวทนาดอกเดียวปลิดวิญญาณ ตอนที่ 1 ค่ะ ลูกขอกราบนิมนต์พ่อท่าน อรรถาธิบายเรื่อง จิตวิญญาณอนาคามีที่ไปสถิตย์อยู่ที่สัตวาส 9 ค่ะ คือลักษณะจิตที่เป็นแบบใดค่ะ กราบนิมนต์พ่อท่านค่ะ

พ่อครูว่า…ขอผลัดไว้ก่อน มันไม่ง่าย  สัตตาวาส 9 กับ วิญญาณฐิติ 7

ต้องแยกกายแยกจิต จิตนี้รวมทั้งสัญญาอยู่ด้วย จิตนี้หน่วยใหญ่กว่าสัญญายังแยกยากเลย แต่นี่จะไปแยก กาย แยก สัญญา มันเป็นตัวจบเลยนะ แยกกาย แยกสัญญา

อย่างวิญญาณฐิติ 7

ตัวแรก กายต่างกัน สัญญาต่างกัน

ตัวที่สอง กายต่างกัน สัญญาอย่างเดียวกัน

ตัวที่สาม กายอย่างเดียวกันสัญญาต่างกัน

ตัวที่สี่ กายอย่างเดียวกัน สัญญาอย่างเดียวกัน

ตัวที่ 5 6 7 เป็น อากาสาฯ วิญญานัญจา อากิญจัญญา

จบวิญญาณฐิติ 7

ส่วนสัตตาวาส 9 เพิ่มอีกเป็น เนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ กับ อสัญญีสัตว์ เป็นคู่ที่วิญญาณฐิติ 7 ไม่มี

เนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นคู่อายตนะสุดท้าย กับ สัญญาเวทยิตนิโรธ ที่อยู่ในวิโมกข์ 8 อย่างนี้เป็นต้น

ค่อยอธิบาย สัตตาวาส 9 กับ วิญญาณฐิติ 7  วิโมกข์ 8 ต้องอธิบายสามสูตรให้ปฏิสัมพัทธ์อย่างสำคัญ

 

อาตมาค้างอยู่และทวนอยากให้จบ

นิมนต์จิบน้ำ

สมณะฟ้าไท…

 

พ่อครูว่า...อาตมาจะสรุป วิชชาจรณะสัมปันโน ย้ำว่าเป็นความรู้ของพระพุทธเจ้า

ในพุทธคุณ 9 พระพุทธเจ้าไม่ได้บรรลุอะไร แต่บรรลุวิชชาและจรณะ

ทวนพุทธคุณ 9 อะระหังสัมมาสัมพุทโธภะคะวา วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโตโลกะวิทู อะนุตตะโรปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถาเทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ

วิชชา คือ ความรู้ ทุกคนต้องปฏิบัติจรณะ แล้วก็เกิดวิชชาเกิดความรู้ทุกคน อันนี้ไม่ใช่เป็นแต่ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ทุกคนต้องมาทำแบบนี้ถึงจะได้วิชชาจรณะของพระพุทธเจ้า ความประพฤติปฏิบัติของคุณทั้งหมด แล้วจะได้บรรลุในผลของการประพฤตินั้นเป็นแบบของพระพุทธเจ้า ความประพฤติทั้งหมดที่ประพฤติแล้ว ทำให้จิตใจบรรลุกับเกิดปัญญามีความจริงคือจิตมันบรรลุหลุดพ้นจากกิเลสหมดเป็นจิตที่สะอาด เป็นการประพฤติเพื่อให้เกิดกายบริสุทธิ์ จิตบริสุทธิ์ วจีบริสุทธิ์ด้วย แล้วก็ต้องมีปัญญาร่วมรู้ไปด้วยเสมอไม่ได้ขาดกันระหว่างจิตกับปัญญาขาดกันไม่ได้ด้วย เป็นคู่ที่ร่วมรู้กันไปเสมอ

เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธถ้าไม่ได้อยู่ในร่องรอยของจรณะกับวิชชาไม่ใช่ศาสนาพุทธเป็นการปฏิบัติออกนอกพุทธเลย

ในพุทธคุณ 9 มีจรณะ 15 มีปัญญา คุณต้องทำให้ถึงขั้นสูงสุดที่ท่านตัดเกรดเอาไว้ ที่พระอรหันต์ กิเลสคุณหมดอย่างถาวรทำให้ตัวเองตายแล้วสูญแยกจิตให้เป็นอุตุธาตุได้ ตายแล้วทำให้ไม่เกิดอีกได้ หรือจะเกิดอีกก็ได้ อันนี้อาตมาเอามาเปิดเผยกับสังคมในยุคนี้ที่เป็นเถรวาทในเมืองไทยเขาจะเอาอาตมาตาย บอกว่าจบเป็นพระอรหันต์แล้วเกิดได้อีก เขาก็จะเอาอาตมาตาย แต่เดี๋ยวนี้เงียบไปเลยไม่กล้าแย้งอาตมาแล้ว เพราะว่ามันเป็นเรื่องลึกซึ้งละเอียด อาตมาก็ขยายความยืนยันหลักฐานตามพระไตรปิฎกไม่รู้ต่อกี่สูตร มีพยัญชนะ พระบาลีมีหลักฐานตำนานก็เลยจำนนต่อสิ่งที่อาตมาพูด เพราะว่าเถรวาทโดยเฉพาะในเมืองไทยไม่รู้จักพระโพธิสัตว์ ถ้าหากว่าเป็นมหายาน เถรวาทคือ หินยานคือ ยานเล็ก คนจำนวนน้อย ส่วนมหายานนั้นไม่ติดใจเรื่องการเวียนตายเวียนเกิด แต่เถรวาทเป็นอุจเฉทิฏฐิ เข้าใจว่า อรหันต์ตายแล้วสูญ เกิดอีกไม่ได้

 

จรณะ 15 วิชชา 8 ขึ้นหัวเรื่อง ศีล

ศีลเป็นตัวกำกับกำหนดกรอบขอบเขตของทุกอย่าง ส่วนอปัณณกปฏิปทา 3 คุณต้องปฏิบัติอยู่ใน 3 หลักนี้ให้ได้ ต้องมี ถ้าไม่มี 3 หลักนี้ ไม่ใช่พุทธ ต้องมี 3 ข้อนี้จึงเป็นพุทธคือ สำรวมอินทรีย์ 6 โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคคะ

ถ้าคุณบอกว่าจะถือศีล แต่ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายไปสัมผัสคุณไปนั่งหลับตาปฏิบัติ นั่งหลับตาแล้วคุณจะต้องไปถือศีลทำไม ศีล มันต้องเกี่ยวข้องกับสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 จะต้องเกี่ยวกับการพิจารณาของกินของใช้ โภชเนมัตตัญญุตา อาหารการกินเครื่องใช้ไม้สอยที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์ ถ้าหากเกี่ยวข้องกับสัตว์มันจะอยู่ในอาหาร ถ้าเผื่อว่าเกี่ยวข้องกับของกับพืชมันจะอยู่กับเครื่องใช้ เรื่องกินก็คืออาหาร กวฬิงการาหาร เครื่องใช้คือดินน้ำไฟลมกับพืช พืชเป็นพีชนิยาม ไม่มีความรักไม่มีความชัง ไม่จองเวรจองกรรม ไม่สุขไม่ทุกข์อะไร มันมีชีวะแต่มันมีคุณสมบัติเหมือนกับวัตถุหลายอย่าง แต่ว่ามันเป็นชีวะมันก็มีความต่าง

ความต่างพวกนี้ต้องเปรียบเทียบกันถึงจะรู้ว่าเราก็จะรู้จัก ลิงคะ คือความต่าง การศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าจึงต้องมีอาการ ลิงคะ นิมิต อุเทส

อุเทส คือ คำบรรยาย เป็นการแสดงหัวข้อธรรม ธรรมะรายละเอียดของผู้ที่อยู่ในฐานะของครูให้ฟัง

เสร็จแล้ว ต้องมีการสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยค ให้ครบ

ชาคริยานุโยค ไปแปลแค่ว่า ต้องตื่นจากหลับ อย่าเอาแต่นอนหลับ ตื่นขึ้นมาบ้าง ก็คนเราก็ต้องตื่นอยู่แล้ว ก็เลยไม่ต้องไปปฏิบัติอะไร ก็เลยไม่ลึกซึ้ง

ชาคริยานุโยค เป็นสิ่งที่ยืนยันว่า คุณจะต้องมี อนุโยคะ คือความเพียร เพียรให้ตื่นทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม การนั่งหลับตานั้นมีแต่มโนกรรม คุณก็ตื่นอยู่ในภพของคุณ มันจะไปยากอะไร แต่มันไม่พอ มันไม่ได้เรื่องอะไรหรอก

มโน มันต้องควบคุมวาจาและกายอยู่แล้ว หากว่าคุณฝึกชาคริยา กับกายกรรม วจีกรรม จิตของคุณก็เก่งขึ้นแล้ว หากฝึกกับกาย วจี จิตก็จะเก่ง คุณล้างกิเลสได้ตั้งแต่ภายนอก ได้แล้ว เหลือแต่ภายในก็เรื่องเล็กของคุณเลย ไม่ต้องอาศัยข้างนอกก็ยังได้ สะดวกที่สุดแล้วก็มีเวลามากที่คุณจะจัดการมัน แต่ภายนอกคุณไม่รู้เรื่องเลย ขออภัยอย่างมหาบัวไม่รู้เรื่องกามภายนอก ไม่รู้เรื่องการเสพติด แล้วจะไปรู้เรื่องภายในจิต ที่เป็นอุปกิเลส ที่เป็น มานะ อติมานะ ก็ไม่มีทางรู้ได้ อย่างที่เห็นว่าตนทำดี โดยเฉพาะไปติดลาภยศสรรเสริญ ไปเรี่ยไรได้ลาภ ก็อ้างว่าเอาเข้าคลัง เขาก็ให้สิ แต่ก็ต้องนับถือว่าทำจริง จะหกตกหล่นบ้างก็แล้วแต่ จนได้เยอะ จนคนอื่นทำไม่ได้เพราะมีองค์ประกอบมาก มันก็ได้มีเครื่องช่วยตัวช่วยเยอะ อย่างน้อยเอาชาติอ้างก็ได้ มีคนยอมรับก็ได้เข้าใจหาเหตุแวดล้อมเพื่อให้ทำได้ แต่หลงภูมิใจว่าไม่มีใครทำได้อย่างนี้ มันก็จริงอยู่ ที่ทำได้มันก็ดีส่วนหนึ่ง แต่ในส่วนที่เสียที่ตัวเองไม่รู้ในสิ่งเหล่านี้ตัวเองติดแล้วจมไม่ลงหนักหนาอยู่ไม่รู้แม้แต่เรื่องของกาม จิต อัตตามานะ อติมานะที่ตัวเองติด สาเฐยยะ ก็เป็นอัตตาภายในจิตก็ไม่รู้จัก แล้วหลงแถมอีกว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้ว แค่นี้ก็มืดยกกำลังมืดเลย

สมณะฟ้าไท...หากหลวงตาได้ฟังก็จะเข้าใจ

พ่อครูว่า...ที่อาตมาจำเป็นต้องทำคือ จำเป็นต้องแทงด้วยหอก แต่หอกอาตมาหักหมด ไม่รู้กี่เล่มแล้ว เขาไม่รู้เรื่องวิญญาณ นามรูป

วิญญาณก็ไม่รู้เรื่อง ไปหลงวิญญาณ นิรมาณกาย ยิ่งกว่าวิญญาณล่องลอย แต่ไม่รู้วิญญาณ​นามรูป อาตมาต้องย้ำ พูดมากก็เพราะ ลูกศิษย์ลูกหาเขามีเยอะ ไม่ว่าจะเป็นสำนัก News 1 นี่ก็ตาม ก็เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์เขา ขออภัยยกตัวอย่างชัดเจน

มันยาก อาตมาจึงจำเป็นจะต้องแรงและชัดเจนแยกให้ขาด เพื่อที่จะให้รู้ชัดเจน ไม่ใช่ไปกระหน่ำย่ำยี ท่านมหาบัว ไม่ใช่ อาตมาก็ขออภัยท่านอยู่แล้วในฐานะที่ท่านเป็นภันเต บวชก่อนอาตมาจนสิ้นไปแล้วอายุ 96 ปี

 

หากว่าไม่รู้ตั้งแต่กามหยาบ ไม่รู้อัตตาภายใน แล้วไปประกาศว่าเป็นพระอรหันต์มันจะได้อย่างไรไม่รู้ 2 อย่างนี้ ไม่ได้ดับเหตุที่เกิดกาม เกิดอัตตา จึงเป็นจิต 0 ไม่ไปหากาม ไม่ไปหาอัตตา ซึ่งอันนี้เขาอธิบายเพี้ยนไปจนกลายเป็นทางสายกลาง อธิบายผิดไปหมด ธรรมะพระพุทธเจ้านั้น คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

อาตมาก็ประกาศหาผู้พี่อยู่ ในยุคไอที Globalization ก็น่าจะรู้กันได้ ฟ้าบ่กั้น มันรู้กันหมด ไม่มีอะไรเป็นความลับ ก็ไม่น่าจะไม่รู้ว่าใครอยู่ที่ไหนเป็นอย่างไร

สมณะฟ้าไทว่า..พ่อครูประกาศว่าจบระดับ 7 ขึ้น 8 แล้วไหม

พ่อครูว่า..ก็ทำไป ให้รู้จักอีกทีก็สูงเสียแล้ว

 

ศีลข้อ 1 คุณต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสัตว์ โดยเฉพาะกับคน คุณจะต้องศึกษาความโกรธ  ความซื่อสัตย์ ความรัก ความชัง มีเยอะแยะในคน แต่คุณไม่ โยนทิ้งไปดื้อๆ แล้วคุณจะได้ปฏิบัติกิเลสที่หมักหมมอยู่ในใจได้อย่างไร คุณละเลยมันแล้ว ก็เสร็จสิ กลายเป็นอุจเฉททิฏฐิ เป็นพวกขาดสูญ คุณไม่ได้ปฏิบัติกามคุณ 5 ตีทิ้งไปเลย อย่างมหาบัวเป็นต้น ไม่รู้ว่าตัวเองติดในสิ่งเสพติดอื่นๆกินหมากไม่ขาดปาก ติดหนัก ก็ไม่เข้าใจมันเป็นการเสพติด ซึ่งมันไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร จนกระทั่งเขาบอกให้เลิกกันได้หลายประเทศแล้ว ในเรื่องการติดหมากพลู เมืองไทยแต่ก่อนเคี้ยวกันตั้งแต่อำดำ อำแดง สายนั่งหลับตามหาบัวกินหมากจับๆ กันทั้งนั้น เพราะว่าไม่รู้ก็เลยพากันเลอะเทอะ อาตมาก็สงสาร ฟังธรรมะดีๆ อาตมาไม่ได้ไปด่ามหาบัวหรอก แต่ตักเตือนขนาดนี้ก็ยังไม่รู้ตัว ว่าพูดเยอะแยะคนจะไปรู้ได้อย่างไร เอาสำลีไปเช็ดหนามทุเรียนมันจะไปรู้ได้อย่างไร

 

ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับข้าวของเกี่ยวกับพืช หากว่าคุณไม่สัมผัสไม่เกี่ยวข้องกับพืช กับข้าวของเลย ไม่ปฏิบัติ คุณก็จะได้พิจารณากับอะไร เพราะว่ากิเลสมันเกิดกับของกับพืช ซึ่งมันก็มีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสของ ของกับของพืช เช่นอันนี้กลมสวย โต๊ะสวย บ้านสวยอะไรก็ได้ทั้งนั้น เหมือนพวกเราชมพืชพวกนี้ แต่พวกเราไม่ได้ติดใจอะไร เขาก็ว่ายังติดเลย แต่เราไม่ได้ติด เราก็โชว์เพื่อให้คนได้ประโยชน์ ไม่ได้ทำให้เจริญอย่าง เจริญ สิริวัฒนภักดีกับเจริญเครือโภคภัณฑ์นะ แต่เจริญกิเลสลด เจริญไม่สะสม ไม่กอบโกย

ถ้าหากคุณไม่ได้ปฏิบัติเพื่อที่จะเกี่ยวกับสัตว์เกี่ยวกับของ สัมผัสแล้วกิเลสมันเกิดหรือไม่เกิด คุณต้องอ่านความจริงในปัจจุบัน กิเลสมันเกิดต้องเกิดในปัจจุบันที่มันมีผัสสะ ไม่มีผัสสะ กิเลสไม่เกิดในปัจจุบัน ก็มีแต่สัญญานึกคิดเอา เป็นอดีตที่นึกคิดขึ้นมา หรือเป็นอนาคตที่สร้างขึ้นไป

มันก็ลอยลม อดีตกับอนาคต มันมีที่ไหนเล่า ศาสนาของพระพุทธเจ้าจึงให้ปฏิบัติที่ ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ ต้องมีความเข้าใจว่านิพพานนั้นต้องมีทิฏฐธรรม มีกาละ เป็นปัจจุบันชาติ ทิฏฐกาละหรือทิฏฐธรรม แปลว่า เห็นอยู่หลัดๆโต้งๆ สัมผัสอยู่ก็ยังไม่หายไปยังไม่ขาดจากปัจจุบัน ถ้าหากขาดจากปัจจุบันเมื่อไหร่ ก็ไม่ต่อนะเป็นอดีต คุณก็จะนึกขึ้นมาเป็นสัญญา ถ้าต่อเนื่องกันไปไม่ได้ ขาดสันตติ คุณอยู่ในปัจจุบัน แต่ถ้าหากสันตติคุณยังไม่ต่อมันขาดไป ขาดไปแค่ 1 วินาทีก็เป็นอดีตแล้ว ครึ่งวินาทีก็ขาดไปแล้วครึ่งวินาที ละเอียดหน่อยนะอาตมาอธิบาย

สรุปแล้ว หากคุณไม่มีสิ่งสัมผัสเป็นปัจจัยก็ไม่มีฐาน ไม่มีฐานะไม่มีที่ตั้งให้คุณได้ปฏิบัติธรรม ไม่มีแหล่งให้คุณปฏิบัติธรรม ในพรหมชาลสูตรว่าไว้อ่านพระไตรปิฎกให้แตก

ไปหลับตาจึงตีทิ้งได้เลย

แต่เขาก็ไม่เข้าใจกันเลยอยู่ในพรหมชาลสูตร

สูตรที่ 2 สามัญญผลสูตร เป็นสูตรที่ให้เป็นสมณะเป็นสามัญ

สูตรที่ 3 อัมพัฏฐสูตร ก็ว่าด้วย ความเสื่อม เน้นที่ความเสื่อม ชาวพุทธในการออกป่า

 

เมื่อศีลเป็นตัวกำหนดแล้วปฏิบัติอปัณกธรรม 3 ก็เกิด

ศรัทธา เกิดความเข้าใจ เกิดความรู้ เกิดความเชื่อถือ เชื่อฟัง เชื่อมั่น แล้วปฏิบัติตาม

เมื่อมีการสัมผัส รูป รส กลิ่น เสียงสัมผัสแล้วเกิดกิเลส แต่ก่อนคุณไม่ได้ละอายเลยที่คุณเกิดกิเลส ได้แต่สวาปามเอาเพิ่มกิเลสพวกนั้น ผูกสัมพันธ์เพิ่มน้ำหนักให้มันโตมันหนามันอ้วนอยู่ทุกวัน แต่ตอนนี้มารู้แล้วว่าเราเอ๋ย เพิ่งจะรู้ความโง่ของตัวเอง มันก็เกิดความละอาย ผู้สำนึกรู้จักละอายต่อความความผิดความติดของตัวเอง

กิเลสมันมีเยอะแยะเราก็ละอายหมดก็คงจะหมดแรง ไม่ใช่ไม่ได้ ต้องเอาตัวไหนที่คุณกำหนดก่อน เรื่องไหนที่คุณจะปฏิบัติก่อน ไม่อย่างนั้นคุณทำไม่ไหวหรอก มันต้องทำเป็นตัวๆเป็นคู่ๆไป เมื่อเก่งขึ้นก็ 2 คู่ เก่งขึ้นก็ 3 คู่ เป็นศีล 5 ก็ทำให้เต็มที่เถิดรับรองว่าศีล 5 อย่างละเอียดขึ้นไป คุณบรรลุพระอรหันต์แน่นอน

เมื่อคุณปฏิบัติถึงขั้นที่เกิดจิตใจที่ละอายต่อสิ่งที่แต่ก่อนว่าตัวเองทำ แต่ก่อนนี้ทาปากแดงใครก็ชื่นชมชื่นใจ แต่เดี๋ยวนี้ละอายหากว่าเราต้องทาปาก หรือแม้แต่นัยอื่นก็แล้วแต่ คุณต้องรู้สึกตัวว่า แต่ก่อนคุณไม่รู้ประสีประสา แต่เดี๋ยวนี้คุณรู้แล้ว มีเดียงสาแล้ว แต่ก่อนไม่รู้เดียงสาทำอะไรเหมือนเด็กๆ จนกระทั่งเกิดความละอาย อาย ที่มีน้ำหนัก

อาย นี้ต่อหน้าไม่ทำ แต่ลับหลังเอาละน่า ไม่มีใครรู้ใครเห็นนี่หว่าทำลับหลัง แต่ถ้าเป็นโอตตัปปะ ต่อหน้าก็ไม่ทำลับหลังก็ไม่เอา เพราะเราเชื่อในกรรมวิบาก พอมันแวบขึ้นมา เราก็ไม่เอาแล้ว โอตตัปปะ ความกลัวต่อบาปต่อสิ่งที่ไม่ดีไม่งามที่เราตั้งใจจะลดละ มันก็เกิดน้ำหนักของความไม่เอาความปล่อยความวางความไม่คลุกคลีไม่เกี่ยวข้อง แต่ไม่ได้หมายความว่าดับความจำ ดับความรับรู้ ดับความกำหนดรู้ ไม่ใช่ แต่กำหนดรู้อยู่ รู้อยู่แต่อ่านสอนว่าจิตใจเราไม่มีอาการของกิเลสเคลื่อนไหวเลย สัมผัสอยู่ มันยั่วยุ ทีรู้ตัว ทีไม่รู้ตัว สัมผัสแล้วกิเลสก็ไม่เกิดอย่างนี้ เราก็จะอ่านจะเจอ เราได้อย่างสนิทขึ้นๆ มันจะเห็นจริงเลย เพราะฉะนั้นอำนาจของ หิริ โอตตัปปะ ต้องเกิดจริง คุณก็ทำการลดละได้ สั่งสมลงเป็นพหูสูต แปลว่าเป็นผู้รู้มากขึ้น พหุ มาก สูตะ คือรู้ เป็นผู้รู้

ถ้าแปล พหูสูตรว่า (พ่อครูไอตัดออกด้วย) ว่าคงแก่เรียน ไม่ใช่ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

สมณะฟ้าไท...ได้ฟังพ่อครูเทศน์ จรณะ15  อปัณนกธรรม3  สัทธรรม 7 ก็จะได้รายละเอียดเพิ่มขึ้นๆ

พ่อครูว่า...เราทำได้ สั่งสมพหูสูตร ก็ทำซ้ำทำให้มาก อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ภาวนา แปลว่า การเกิดผล แล้วก็ต้องอย่างที่ทำได้ ภาวนา แปลว่า ความสำเร็จ ไม่ใช่การท่องบ่น ไปนั่งสมาธิ ไม่ใช่ แต่ภาวนาคือทำอย่างสำเร็จผล ทำให้มาก พหุลีกัมมัง นี่คือการรักษาผลสามอย่าง อาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง คุณก็จะสั่งสมตกผลึกเป็นพหูสูต อันนี้คือคุณธรรมของ วิริยะ สติ ปัญญา

มีความเพียรทำด้วยสติ ปัญญาเป็นผู้ช่วยสติ กับปัญญาเป็นหวังเฉาหม่าฮั่น  วิริยะคือผู้ช่วย ทำให้เกิดสัทธรรม 7 ทำอย่างนี้เป็น 7

คุณธรรมอันนี้เข้าไปสะสมเป็นบุญ คือพลังงานที่ทำนั้นเป็นพลังงานฌาน 1 2 3 4

พลังงานฌาน คือ อุณหธาตุ ทำงานเผากิเลส เผาตัวเป็นโทษภัยของจิตเจตสิกต่างๆ ตัวไหนก็แล้วแต่ที่เราตั้ง ศีล แล้วจัดการมันเผามันเผามัน เดี๋ยวก็ได้กินมัน

เพราะฉะนั้นฌานเผา เป็นผลสำเร็จเรียกว่าเป็นบุญ บุญนี้เกิดตามหลังฌาน ฌานคือพลังงานที่เผา ฌาน 1 2 3 4 เผาเสร็จเรียกว่าปุญญะ

ถึงเรียกว่านักฆ่า ตัวประหาร ตัวเพชฌฆาต เป็นตัวประหารให้คอขาด ตายเสร็จจบหมดสิ้นชีวิตอย่างถาวร

เพราะฉะนั้น ตัว บุญ จึงทำงานฆ่ากิเลส เป็นตัวจบ แล้วก็ไม่มีตัว จฝแสดงตัวอีก ซึ่งอาตมชขยายความไม่รู้กี่ทีแล้ว

ส.ฟ้าไท สรุปจบ


เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:33:31 )

630308

รายละเอียด

630308_รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ทำจิตให้เป็นอุตุพีชะให้ได้ตามสามัญผลสูตร

อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่…https://docs.google.com/document/d/15f5JqYHeIoYuhGiLC6ALCFYpap8lpJB3BR5Z_By8GL4/edit?usp=sharing                         

 

ดาวโหลดเสียงที่  https://drive.google.com/open?id=1w0qurdWQl-AqlBh26gUO8OtR5EVeu1Pc

 

สมณะฟ้าไทว่า… วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ชีวิตคนก็ยังหวาดกลัวกับเชื้อCovid 19 วันนี้จัดกิจกรรมร่มโพธิ์ร่มไทรก็ถามเขาว่าทำไมมาที่นี่ เขาก็บอกว่ามาที่นี่เพราะเชื่อว่าที่นี่ปลอดภัย เรียบร้อยดี

พ่อครูว่า...630308 sms

_sms วันที่ 6 - 7 มี.ค. 2563 (พุทธศาสนาตามภููมิ : พ่อครู)

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) เรื่อง อิสรเสรีภาพ

_นาตยา วัฒนเสรีกุล : น้อมกราบนมัสการค่ะ ดูทุกวันค่ะพ่อท่านเจ้าคะ และสมณะสิกขมาตุดูที่จอทีวีจานดาวเทียมและยูทูปค่ะ ยูทูปไว้พิมพ์ส่งค่ะ

พ่อครูว่า...ดีที่รายงานผลมาแม้ว่าจะมีจำนวนน้อย พวกเรานั้นมีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรโลก 7000 ล้านก็กล่าวกันมาหลายปีแล้ว พวกเราตั้งตัวเลขไว้ 777 คน ก็รอไปมันเป็นเรื่อง อิสระเสรีภาพไม่ใช่เรื่องที่จะมาหามวลปริมาณเยอะๆอย่างที่เขาทำ ไม่ว่าจะด้านศาสนา ด้านการค้า ด้านการเมือง ที่เขาทำการโฆษณาหาเสียงหาพวกมีเยอะ แต่พวกเราไม่ได้ใช้วิธีนั้นเลยจริงๆให้รู้ด้วยปัญญามีปฏิภาณปัญญาเอง เห็นเองรู้เองเข้าใจเองแล้วมาอย่างอิสระเสรีภาพ ซึ่งอาตมาสรุปผลได้สูงสุดรวมทั้งเรื่องของความเป็นสังคมเศรษฐกิจที่เป็นประชาธิปไตยเป็นการเมืองรวมได้มี 5 คำ อิสระ ทาน ปัญญา อนุกัมปา อนัตตา

รวมแล้วเป็นคุณวิเศษของจิตที่เป็นอิสระเสรีภาพ เป็น Independent เอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน มีความเป็นใหญ่ในตนไม่เป็นทาส เอาชัดๆ เช่นการเล่นพนัน ก็ตาม พอมันบรรลุแล้วไม่ติดยึดไม่เห็นว่ามันมีค่าเห็นว่ามันพาให้ต่ำเสื่อมด้วยซ้ำ หลุดพ้นแล้ว เป็นเอกราชทั่วทั้งแผ่นดินเราจะไปที่ไหนๆจะมีการเล่นไพ่อยู่ที่ไหนเราก็เฉยๆก็สบายอยู่เหนือมัน เขาจะหาแง่มุมมายั่วยวนกระแทกกระทุ้งอย่างไรก็ไม่มีการสะดุ้งสะเทือนเลย มันสุดยอด

เอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน ยิ่งกว่าสวรรคาลัย มีที่อาศัยที่ยิ่งกว่าที่อาศัยใดๆ

การหลุดพ้นเป็นเอกราช เป็นอิสระเสรีภาพ มันยิ่งกว่าอะไรเลย ยิ่งกว่าอธิปไตยใดๆในโลกทั้งปวง แรงมีอิทธิฤทธิ์มีฤทธิ์เดชมีพลังในตัวเองยิ่งกว่าอธิปไตยใดในโลกเป็นแรงยิ่งกว่าอะไรอะไรสุดยอดไม่มีอะไรที่จะมาดูดมาดึงเราไปได้ พระอาทิตย์ 5 ดวง 7 ดวงก็ดูดเราไปไม่ได้ มันไม่ดึงดูดตนมันหมดอะไรจะมาต่อมาทำปฏิกิริยาร่วมด้วยอย่างนั้นอย่างนี้มันไม่มีมันเป็นนิวตรอน อย่างนี้เป็นต้น เทียบกับวัตถุอย่างนี้แต่ว่านามธรรมมันก็มีลักษณะอย่างนั้นมันสูงลอยละเอียดไม่มีตัวตนสุดยอด ภาษาที่เราใช้สื่อสภาวะมันก็ได้ประมาณหนึ่งแต่จริงๆแล้วมันมีมากกว่านั้นค่อยๆฟังต่อไป ที่พูดนี้มีอิสระตัวเดียวนะ ทาน ปัญญา อนุกัมปา อนัตตา

 

 

_Muu Pana หมู ปาณา: ทำไมสัญญาณกระตุกบ่อยคะ

_ประดิษฐ อินทหอม : ระบบจานดาวเทียมคงจะหมดลง ต่อไปจะเป็นการสื่อสารความเร็วสูง 5 จีระบบอินเตอร์เน็ต ปิดดาวเทียมก็คงประหยัดไปเยอะครับ

พ่อครูว่า...อาตมาว่าไม่น่าจะนาน ต่อไปจะเป็นการสื่อสาร 5 G

 

_จารุพร กราบกลาง : กราบนมัสการพ่อครูสมณะและสิกขมาตุ ติดตามชมค่ะได้ลดกิเลสและได้ความรู้

_แน่งน้อย อินทสระ : ใช่ค่ะ หนูเคยคิดตลอดว่าโชคดีที่เจออาจารย์หมอเขียวโชคดีที่เจออโศก โชคดีกว่าถูกล็อตเตอรี่100ล้าน

_S Sunit : นับถือความสมถะของพวกท่าน

_จักรพล พุทธพัฒนา : ถึงแม้ผมไม่ได้เป็นอรหันต์เต็มรอบบริบูรณ์..แต่ก็เชื่อนะครับว่าเป็นอรหันต์แล้วเกิดอีกได้แน่นอน หรือจะไม่ให้เกิดก็ได้เพราะท่านมีอำนาจเหนือจิต(เจโตวสิปัตโต)แล้วครับ./ลูกศิษย์สายนั่งหลับตาบางวัดหรือวัดบ้านก็ติดหมากโดยเฉพาะคนแก่ๆเข้าไปตำกินกันในหลายวัดที่เขาไปถือศีล8เลยครับ

ผู้ที่เป็นอรหันต์ในโสดาบันจริงๆจะไม่ทำชั่วทั้งต่อหน้าและลับหลังเลยจริงๆ...ขอยืนยัน!!!

พ่อครูว่า...ถือศีลกันเป็นสีลัพพตุปาทานกัน ก็ค่อยๆช่วยกันไปในคนที่ช่วยได้

 

_Chittra Aswin จิตรา อัศวิน: กราบ_/\_นมสก พ่อครู สมณ สขม ที่เคารพยิ่ง ขอโอกาสเปรียบจรณะ15 คือ technology know how เมื่อผ่านขั้นตอนการปฏิบัตินี้ได้แล้ว ผล คือความ ละ หน่าย คลาย ว่างจากกิเลส ใช่ไหมเจ้าคะ

พ่อครูว่า...ใช่ เป็นวิธีการที่คุณจะเอามาใช้ จนได้มรรคผล

 

_สมประสงค์ วรรณเพียร : กราบนมัสการพ่อครูครับ ถ้าสัญญาเก่าไม่มีอิทธิพลทำให้เราสุขหรือทุกข์ได้ จะเทียบว่า สัญญาเก่าคืออุตุได้หรือไม่ครับ?

พ่อครูว่า…สัญญาเก่า ตัวนี้ลึกซึ้งมาก สัญญาเก่าคืออุตุ ได้ ถ้าลักษณะของสัญญาเก่าในเรื่องใดก็แล้วแต่มันไม่มีอิทธิพลให้เราสุขทุกข์ ก็คืออุตุ ถูกต้อง

 

_สุรภา ลิ้มวรรณเสถียร : ถ้าสู้ไม่ไหวควรหนีก่อนนะคะ ตั้งหลักได้จะกลับไปสู้ต่อนะคะ

พ่อครูว่า...ถูกต้อง เราพรากไม้ที่ชุ่มด้วยยางออกจากน้ำก่อน ไม้นี่ชุ่มด้วยยางคือกิเลสเหนียว แล้วก็แช่น้ำอีกก็ไม่มีวันแห้งได้ก็ต้องพรากไม้ที่ชุ่มด้วยยางออกจากน้ำก่อน ก็คือแทนที่จะอยู่กับหมู่ก็ไปปฏิบัติกับตัวเองก่อน แต่ระวังจะไปอยู่ในที่ส่วนตัวแล้วไปคลุกคลีกับหมู่ที่มิจฉาทิฏฐิ ก็แย่แน่ เสร็จอีด่าง ถ้าอย่างนี้ก็มาอยู่กับหมู่ดีกว่า มิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี จะช่วยป้องกันได้

 

_ศรีอัจฉริยะ ตระกูลเสียงไพเราะ : ความไม่มีในโลกล้วนมีในโลก

พ่อครูว่า...ถ้าคุณยังมีชีวิตร่างกายแล้วคุณก็ไม่มีกิเลสนั้นได้แล้วคือความไม่มีที่ได้แล้ว แต่คุณยังมีชีวิตมีร่างกายอยู่ในโลก มีธาตุรู้ แต่ถ้าคุณตายไปทั้งร่างกายแล้วคุณก็เป็นพระอรหันต์ แล้วคุณก็สามารถดับทั้งกิเลสแล้วตอนเป็นๆก็ดับได้แล้วตายไปคุณก็ดับขันธ์แล้วตั้งจิตตายไปเลย เป็นการตายอย่างไม่ตั้งอะไรไว้เลย สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อปนิหิตนิพพาน สูญ ไม่มีนิมิตใดๆอีกแล้ว จิตว่างไม่มีนิมิตไม่มีเครื่องหมายอะไรแล้วจิตก็ไม่ตั้งอะไรต่อไปเลย อย่างอาตมานั้นตั้งจิตไปต่อพุทธภูมิก็จะไม่เป็นอย่างนั้น แต่ว่าพระอรหันต์ที่ตายแล้วไม่ตั้งนิมิตอะไรต่อก็จะศูนย์ไปได้ ให้รู้ว่าความไม่มีในโลกก็จะไม่มีในโลกได้เพราะคนนี้ไม่มีในโลกนี้ไม่มีแล้ว แต่ถ้ายังเป็นอยู่ก็ใช่แม้แต่เป็นพระอรหันต์อยู่นั้นความไม่มีกิเลสสมบูรณ์แล้วแต่เรายังมีอยู่ในโลกเรายังมี รูป นาม ขันธ์ 5 อย่างนี้เป็นต้น

 

แยกจิตเป็นอุตุพีชะได้ใน นิยาม 5

_โชติพงษ์ พิทักษ์ชลเดช : รบกวน ช่วยตอบ เรื่องอุตุ พีชะ ชีวะ กรรม พอเข้าใจได้ไหมครับ หนุ่มเหนือน้ำ

พ่อครูว่า...คุณต้องเข้าใจคำว่าอุตุ พีชะ จิต ก่อน

อุตุคือ การปรุงแต่งของดินน้ำไฟลม ยังไม่มีชีวะใดๆเลย สิ่งใดไม่มีชีวะแล้ว ปรุงแต่งอย่างไรก็เรียกอุตุ ดินน้ำไฟลม พระอาทิตย์พระจันทร์ Galaxy nebula มันไม่มีชีวะอยู่ในนั้นเมื่อแตกมาเป็นโลกแล้วก็ต้องรอให้เย็นพอสมควรจึงมีสัตว์โลกที่เป็นชีวะอุบัติขึ้นได้ ซึ่งโลกบางโลกมีชีวะระดับหนึ่งยังไม่มีคน พูดมาก็วนไม่รู้โลกกี่ล้านดวง บางดาวก็เหมือนกัน ซับซ้อนมีชีวะได้คล้ายกัน หรือห่างกันเยอะ อย่างใกล้กัน ขนาดพระจันทร์ยังไม่มีสัตว์โลก

เราก็มาทำชีวิตให้ ไม่เป็นโทษภัยต่อใครเลยไม่เป็นโทษภัยต่อโลกด้วย อาตมาก็เอาเรื่องนี้มาอธิบาย อาตมาขยายความไปมากกว่าพระไตรปิฎกที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้อีก ซึ่งหลายคนก็ชัดเจนขึ้น ไม่ได้ค้านแย้งไม่ได้ไปล้มล้างบัญญัติของพระพุทธเจ้า แต่เป็นเรื่องที่ขยายความให้ละเอียดต่อไป

นิมนต์จิบน้ำ

สมณะฟ้าไท แจ้งปรากฏการณ์ sun outage ทำให้จอบุญนิยมทีวีอาจดับ แต่ต้องมีวิธีแก้ไขได้ คือปิดแล้วเปิดใหม่

 

พ่อครูว่า..อธิบายต่อ

อุตุ คือที่ไม่มีชีวะเลย แม้ตัวเราบรรลุธรรมแล้วเอาจิตส่วนหนึ่งที่เป็นอุตุได้ ก็มีสภาพเป็นดินน้ำไฟลม มันก็ปรุงแต่งในร่างเรา แต่เราทำจิตให้เป็นดินน้ำไฟลมไม่เป็นชีวะได้ เวลาตายจิตเราก็เป็นดินน้ำไฟลมไม่จับตัวกันอีก แต่ถ้าเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารที่เป็นชีวะ มันไม่มีความทุกข์ความสุขมันไม่มีความดูดความผลัก จนถึงขั้นจองเวร มันไม่ดูดอย่างผูกพันไม่ยอมปล่อยง่ายๆมันเห็นว่าใช้พอสมควรก็ปล่อยสลายได้ไม่มีการจองเวรชาติแล้วชาติเล่าเหมือนกับที่หนังจีนที่บอกให้ลูกแก้แค้นแทนพ่อ

ฐานของพีชะ จึงเป็นฐานของชีวะที่ไม่สุขไม่ทุกข์และไม่รักไม่ชังไม่จองเวรจองกรรมไม่มีความดูดดึงอะไร เป็นฐานที่อาศัย เป็นฐานที่ถือว่าเป็นพระอรหันต์ได้แล้วสิ้นอาสวะแล้ว ก็เหลืออนุสัยเท่านั้น อนุสัยคือยังนอนเนื่องอยู่ในจิต พระโพธิสัตว์จึงไม่ทิ้งอนุสัยง่ายๆ แต่หมดสิ้นอาสวะด้วยปัญญาวิมุติไม่มีทุกข์อีกแล้วไม่มีสุขอีกแล้ว อาศัยรูปฌาน

รูปฌานนี้อาศัยได้ เป็นพลังงานที่เอามาใช้ได้อย่างเหมาะสมได้ ส่วนอรูปฌาน เราก็ทำได้ แต่เป็นสภาพที่สะอาดบริสุทธิ์อย่างที่เราได้ไม่เปลี่ยนแปลงได้ จิตสะอาด อากาสาฯก็ว่างจริง อากิญจัญ ก็ไม่มีกิเลสแม้นิดนึงน้อยหนึ่ง เนวสัญญานาสัญญายตนะ คือ นอกจากเป็นได้แล้ว จิตนิดนึงไม่มีกิเลส คุณต้องรู้ด้วยว่าจิตคุณนิดหนึ่งน้อยหนึ่งกิเลสก็ไม่มี ตรวจสอบด้วยอากิจจัญเสมอ มันก็เป็น อากาสาฯเป็นรูป วิญญานัญจา คือนามเป็นธาตุรู้ เป็นธาตุ 2 เป็นเทวะ เท่านีั้นเอง

เมื่อใดผู้ใดที่ทำจิตให้เป็นพีชะได้ หมดรักหมดชังหมดความจองเวรจองกรรมแล้ว ได้อาศัยแล้ว แต่พระอรหันต์ไม่ได้แค่หมดสุขหมดทุกข์เท่านั้น พระอรหันต์จะต้องสูญได้ด้วยจะต้องแยกจิต พีชะ ให้เป็นอุตุได้ด้วย เมื่อตายไปแล้วปรินิพพานได้ ต้องมีเงื่อนไขอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นไม่เรียกว่าพระอรหันต์ แม้ว่าจะเป็นกายสักขี บางทีโลกกามไม่เกิดแล้ว แต่ในโลกที่ละเอียดกว่านั้นคุณยังไม่ถึง ต้องทบทวนด้วยการสัมผัส สัมผัสแล้วมีอนิจจัง แต่ถ้าไม่สัมผัสอาจจะใช้วิธีกดข่มได้ไม่แยแสได้ เอาแต่อรูปคุณก็ได้ แต่จริงๆแล้วคุณจะต้องอยู่เหนือเลย เป็นอุตระธาตุเป็นธาตุที่อยู่เหนือทั้งสองสภาพทั้งในเชิงของ เจโต และปัญญา อุภโตภาควิมุติ เหนือกว่าปัญญาวิมุติ อันนี้สิ้นอนุสัย

สยะ แปลว่าตัวเรา อาศัยก็คือตัวเรายังใช้งาน แล้วใช้งานได้เก่งเรียกนิสัย คือรู้แล้วสยะตัวเราไม่เอาแล้วไม่มีตัวตนแล้ว สูงกว่านั้นคือวิสัย ยิ่งกว่านิสัย เป็นอมตบุคคล สูงไปกว่านั้นคืออนุสัย เป็นอรหันต์แล้วจะรู้เองได้ อธิบายไปอย่างไรก็อจินไตย คุณก็ได้ฟังไว้ แต่ขอฝากไว้ก่อนโอฬาร

อุตุ พีชะ จิต จิตอรหันต์คือทำจิตเป็นพีชะ ได้ อุตุได้ โดยการทำกรรมกิริยา ที่เป็นอุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ เป็นธรรมนิยาม 5 ชัดเจนกว่า คำว่าชีวะก็อธิบายได้ไม่ครบ 5

อาตมาอธิบาย อุตุ พีชะ จิต ไปบ้างแล้ว จิตจะมีภาวะทำได้ทั้งอุตุ พีชะ จิต กรรมจะทำกรรม ทำมนสิกโรติ หรือมนสิการ ทำใจในใจเราให้เป็นอุตุ พีชะ ได้ในเหตุปัจจัยที่เราสัมผัสอยู่ในโลก เราก็สัมผัสมันมันมีอยู่ในโลก แต่จิตใจเราหลุดพ้นจริงๆ ก็ไปทำที่กรรมแล้วก็ทรงไว้ซึ่งธรรมะ เป็นจิตที่เหนือ เป็นพระอรหันต์ก็ทรงไว้ในจิตที่เป็นอรหันต์เอาไว้ใช้งาน ธรรมะแปลว่าทรงไว้ กรรมแปลว่าการกระทำ กรรมกับธรรมะเป็นรูปกับนามที่คู่กัน กรรมเป็น Dynamic เป็นตัวนามธรรม ธรรมะเป็นตัวรูปธรรมเป็นตัว static เป็นรูปกับนาม  

 

มนสิการคือต้นธาตุต้นธรรมของตน

 _ฟ้าใส แซ่หว่อง...ขอนอบน้อมกราบนมัสการพ่อครูผู้มีวิถีโลกุตระ The way of life ลูก ขอถามดังนี้ค่ะ

1. มนสิการ จะถือว่าเป็นต้นกำเนิด /เป็นต้นตระกูลของธรรมทั้งปวงได้ไหมคะ?

พ่อครูว่า...คุณทำใจในใจ หากทำมนสิการเป็น คุณก็จะสร้างใจสร้างกายสร้างชีวิต ตามที่คุณปรารถนาจะให้เป็น ก็เรียกว่ามันเป็นต้นกำเนิด คุณเป็นต้นธาตุต้นธรรมของตัวเองนะเป็นต้นตระกูลของธรรมะในตัวเอง เป็นสิ่งที่ทรงไว้ของใครก็ของใครของผู้นั้นทรงไว้ซึ่งสภาวะธรรม แล้วก็จัดการให้สะอาดบริสุทธิ์ เป็นสิ่งอาศัยเป็นประโยชน์คุณค่าไม่มีโทษแก่ใครๆเลยนี่เป็นการทรงไว้ หรือว่าคุณจะแยกธรรมะที่ปรุงแต่งหรือนี้ให้แตก เป็นธาตุอุตุเป็นธาตุดินน้ำไฟลมไปเลย คุณก็หมดทุกอย่างธรรมะก็ไม่ทรงอยู่ไว้อัตภาพ ก็ไม่มีชื่อว่าของคุณไม่เหลือเลย เป็นธาตุดินน้ำไฟลมไปเลย นั่นคือสูงสุดของความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แต่ถ้าคุณบรรลุแล้ว คุณทำได้ทำให้จิตทั้งหมดเลยที่คุณสัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับอะไรทั้งหมดอะไรมาสัมผัสคุณก็ทำให้เป็นอุตุได้ ตายแล้วคุณก็สามารถแยกจิตของคุณให้เป็นอุตุได้สูญแล้วสูญเลยจะกลับมาอีกไม่ได้ พระโพธิสัตว์ยังไม่สูญเลยทีเดียวยังต่อไปได้อีก ไม่เป็นไรลึกซึ้งรู้ไว้เข้าใจไว้อาตมาพูดได้เพราะว่าอาตมามีสภาวะนั้นแล้วเอามาอธิบาย ในพระไตรปิฎกไม่มีอธิบายไว้ฉบับสยามรัฐยังไม่เห็นว่าใครอธิบายไว้ อาตมาอาจอ่านไม่เจอก็ได้ อาตมามั่นใจว่าที่พูดไม่ผิด

สรุปคำตอบ คือ ถือว่าเป็นต้นกำเนิดก็ได้

 

2. พ่อครู เคยเทศน์ว่า จิต มันรับรู้เร็วมาก โดยเฉพาะการเกิด อายตนะ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ฯ มันเกิดทีละอย่าง แต่เร็วมากแต่เรารู้สึกว่าเกิดพร้อมกัน  เช่น เราดูพ่อครูแสดงธรรม ทางทีวี การเห็นรูปกับ ได้ยินเสียงเรารู้สึกว่า มันเกิดพร้อมกัน แต่จริงแล้ว เห็นรูป กับการได้ยิน ไม่เกิดพร้อมกัน ลูกเข้าใจถูกไหมคะ?

กราบนมัสการค่ะ

พ่อครูว่า...หากแยกแยะไม่ออก เห็นดีเป็นชั่วเห็นชั่วเป็นดีได้ เห็นโพธิรักษ์เป็นพระเทวทัตไปได้ มันคนละฟากฝั่งเลยต้องชัดเจน

การแยก 2 เป็น 1 ได้หรือทำ 1ให้เป็น 2 ตามที่พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ สามารถทำ 1 ให้เป็น 2 ให้เป็น 3 ให้เป็น 4 ให้เป็นหลายได้ แต่ในพระไตรปิฎกท่านบอกว่าทำให้คนหนึ่งเป็นหลายคนก็ได้ ก็เลยไปเนรมิตเป็นฤาษีไปเนรมิตคนเป็นร้อยเป็นพันนั่งอยู่ในห้องได้เหมือนกันหมดด้วยแยกไม่ออกเลย

แต่ของพุทธก็ต้องแยกออก ให้เป็นแฝดก็แยกออก มีอาการ ลิงค ที่ต่างกัน ต้องแยกออกให้ได้เป็น 2 เช่นสุขกับทุกข์ นี่คือโลกุตระ แต่ดีกับชั่วเป็นโลกียะ ก็เอาดีไว้ก่อนอย่าเอาชั่วเลย แต่สูงกว่านั้นเป็นสุขกับทุกข์ไม่เอาทั้งสุขและทุกข์เลย อันนี้สุดยอด แต่พวกไม่เอาทุกข์ก็ขอเอาสุขอย่างเดียวเป็นสุขนิยม ตายไปแล้วไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร เขาไม่รู้ว่าตัวเองต้องเกิดแล้วตาย เขาระลึกของตัวเองได้แค่นี้แล้วก็เอามายืนยันว่าตายแล้วเราก็ไปอยู่กับพระเจ้า แม้แต่ชาติที่ 2 ก็ไม่มีก็เลยตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้า จบ ถือว่าเป็นความสุข ทั้งๆที่ตัวเองมีความชั่วตั้งเยอะแยะต้องไปนรกเป็นซาตานอะไรอย่างนี้อธิบายไม่ออก เพราะเทวนิยมเป็นอย่างนี้จึงยาก พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในพรหมชาลสูตร ระลึกอดีต 18 อนาคต 44 ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย อาตมาก็ได้หยิบเอามาอธิบายบ้างไว้สักวันจะเอามาอธิบาย แต่คนที่ไประลึกชาติ เป็นตัณหาแส่หา อยากจะเป็นชีวิตอย่างโน้นอย่างนี้ซึ่งมันไม่จริงเลย อยากเป็นอะไรอยากเก่งอะไรจะสร้างคู่ต่อสู้มาอย่างเก่งเลย เป็นขนาดที่เก่งที่สุดเอาชีวิตคนตายได้ก็ยังเก่งกว่ายมทูตพญายมอีกอย่างเช่นอาจารย์มั่นอย่างนี้เป็นต้น ก็ว่าไป ซึ่งจริงๆแล้ว

พญายม คือสัจธรรมของกรรมของตัวเองพาให้คุณตายพาให้คุณตกต่ำ จะสั่งให้คุณไปนรกไปสวรรค์ก็ได้ สวรรค์กับนรกก็เป็นภพชาติทั้งนั้น คุณหลงสวรรค์อย่างไรตอนเป็นตอนตายก็ไปเป็นวิมานลอยอย่างนั้นได้ก็เป็นจริงเท่าที่พลังงานคุณได้สร้างไว้เสร็จแล้วหมดฤทธิ์หมดอำนาจคุณก็ไปตกเป็นนรกเพราะว่านรกนี้มันอยูที่อยาก หากคุณอยากได้สวรรค์มากเท่าไหร่ นรกก็ลึกเท่านั้น คุณอยากได้สวรรค์ 80 ปีแต่ตกนรกเป็น 800หรือ 8000 ปี สวรรค์นิดเดียวแต่ว่านรกมันเยอะกว่าเทียบกันไม่ได้เลย เพราะความติดยึด สวรรค์นั้นคือของปลอมมันมีนิดเดียวแต่นรกเป็นของจริง

จิตหรือว่านรก หรือว่าทุกข์ พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้เป็นอาริยสัจเป็นสัจจะความจริง ส่วนสวรรค์นั้นพระพุทธเจ้าบอกว่าเป็น สุขัลลิกะ เป็นของเก๊ ของเท็จ

อาตมาแยกศัพท์อย่างนี้ เถระสมาคมก็หาว่าอาตมาแปลผิดทั้งๆที่พยัญชนะมันก็ยืนยัน ท่านไม่เชื่อก็จมในที่หลงไปเรื่อย ท่านไม่เชื่อเอง อาตมาบอกแล้วอาตมาน่าเชื่อถือนะ ก็ไม่เชื่อ อาตมาจะทำอย่างไรได้ คุณต้องเห็นเองยอมรับนับถือยอมเชื่อเอง พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าความเชื่อนี้มันเกิดถึงขั้นเป็นศรัทธา มันชัดเจนมันมีปัญญาแรงกล้าด้วยนะแล้วก็เชื่ออย่างแรงกล้า เชื่ออย่างมีความรักเคารพ มีความเกรงกลัว มีความละอาย หิริโอตตัปปะ ซึ่งเป็นนัยลึกซึ้ง

 

ที่คุณเข้าใจนี้ดีแล้ว

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ...

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน...

 

พ่อครูว่า...มาทวน จรณะ 15 วิชชา 8

จรณะ 15

1. ถึงพร้อมด้วยศีล . .       9. ปรารภความเพียร  (อารัทธวิริโย)

2. คุ้มครองทวารอินทรีย์ 10. สติอันเป็นอาริยะ

3. ประมาณในโภชนา      11. ปัญญา  

4. ประกอบความตื่น         12. ปฐมฌาน

5. ศรัทธา (เชื่อมั่น)          13. ทุติยฌาน

6. หิริ (ละอายต่อบาป)      14. ตติยฌาน

7. โอตตัปปะ. (สะดุ้งบาป)  15. จตุตถฌาน

8. แทงตลอดในพหูสูต   (ล.13/34)

 

จรณะ 15 กับวิชชา 8 หรือปัญญา ญาณ ปัญญา วิชชา คือความรู้โลกุตระ 8 ประการ มันร่วมปฏิสัมพัทธ์หมุนรอบเชิงซ้อนที่ช่วยกันทำงานอย่างได้สัดส่วนเต็ม แล้วจึงเกิดจิตสะอาด อาสวะสิ้น วิชชา 8 นี่ วิชชาข้อที่ 8 คือสิ้นอาสวะ จิตที่สะอาดคือดับอาสวะก่อน ยังไม่ดับอนุสัยนะ

ดับอาสวะได้แล้วถือว่า เป็นจิตที่สะอาดบริสุทธิ์จิตที่สะอาดบริสุทธิ์นี้จึงจะเริ่มเป็นอเนญชา เริ่มการสะสมผล อนุรักขณาปธาน ทำจิตให้สะอาดไม่มีอาสวะอย่างนี้ ทำอาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ให้ได้ จิตสะอาดบริสุทธิ์มากขึ้นแข็งแรงจิตนี้จึงเรียกว่าสมาธิ เห็นสมาธิขึ้นหรือยังไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสะกดจิตเอาแล้วให้จิตแข็งทื่อไม่รู้เรื่องอย่างนี้ขยับไม่ออกแม้แต่จะคิดว่าจะถอนขึ้นมาหาฌานที่หนึ่งจึงจะคิดได้ ยิ่งออกมาหาตาหูจมูกลิ้นกายเขาก็บอกว่าไม่ใช่ฌานท่านจะต้องไม่รับรู้ตาหูจมูกลิ้นกาย

ผู้ที่มีทิฐิความเห็นความรู้ความเข้าใจอย่างนี้ก็ สุญโญ จากธรรมะพระพุทธเจ้า

คำว่าสมาธิคำนี้สรุปให้เห็นชัดๆเลยว่าไม่ได้เกิดง่ายๆต้องเกิดจากหลังจรณะ 15 วิชชา 8 ได้จิตปริสุทธาแล้วก็อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ก็จะเกิดปริโยทาตา จิตเก่งมุทุภูตธาตุแล้วก็ทำงานเป็นกัมมัญญาได้อย่างไม่บกพร่อง เหมาะควร แต่จิตก็ประภัสสร

องค์ 5 อุเบกขา สิ้นอาสวะแล้วจิตก็สะอาดบริสุทธิ์ แล้วก็ยังทำงานได้อย่างเก่ง มีจิตที่หัวอ่อน จิตมุทุภูตธาตุ จะดัดจะปรับให้เป็นอย่างไรก็ได้ มีธาตุรู้ที่รู้เร็วเท่าทัน ทำการงานนั้นได้ เพราะฉะนั้นจึงมาจัดการกับกรรมมาปฏิบัติมาทำมีกรรมกิริยาต่างๆ กรรมกิริยาที่ปรุงแต่งไปเป็นสังขารเป็นกายสังขารวจีสังขารต่างๆ จิตที่เป็นประธานเป็นมโนสังขารมันจึงเก่ง กายกรรมก็เก่งขึ้นเป็นคนดีเรียกว่า กัมมัญญตา แล้วจิตก็ยิ่งเก่ง ปภัสสรมากขึ้นเรื่อยๆยิ่งขาวสะอาดผ่องแผ้ว ประภัสสร ขึ้นเรื่อยๆนี่คือองค์ธรรม 5 ที่สั่งสมขึ้นเป็นสมาธิ

กว่าคุณจะรู้จักคำว่าสมาธิได้ เช่นคุณติดยึดในอบายมุข คุณติดในการลักทรัพย์ในการฆ่าสัตว์คุณเกี่ยวข้องกับสัตว์อย่างน้อยยังไปรักไปชังกับมัน

ชังก็ไม่กระไร คุณเลิกได้ก่อน คุณไม่ทำร้ายมันเลยมีจิตเมตตา แต่คุณก็รักมัน วันนี้ยังเห็นว่าพระพุทธทาสก็ยังรักไก่ มหาบัวยังรักในเสืออยู่ สร้างสวนเสืออยู่ที่เมืองกาญจน์มีอ.จัน ดูแลอยู่ เป็นวัดป่าของหลวงตามหาบัว เลี้ยงเสือขาย

เมื่อสามารถที่จะเข้าใจเรื่องจิตสมาธิได้แล้ว คุณก็จึงจะทำสมาธิ ได้ถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ ก็เกิดการทำจิตเป็นสมาธิ แล้วสั่งสมหากคุณไม่เข้าใจความสะอาดอย่างนี้ก็เอาอะไรไม่รู้มาสะสมที่เป็นของสกปรกให้มันแน่นเข้าไว้ แล้วจะเรียกว่าเป็นจิตสมาธิได้อย่างไร มันก็เป็นการหมักหมมเน่าในและคุณก็ไม่รู้ตัว ดังนั้นจึงจะต้องให้สะอาดจริงๆทำไปทีละอย่างตามศีลเป็นหลัก ในเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ตั้งแต่สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่สัตว์ที่เกี่ยวกับเราจนกระทั่งเป็นมนุษย์ จนกระทั่งเป็นมนุษย์ที่ดีผูกพันกับมนุษย์ที่ดีก็ยังดีนะ แต่ก็อย่าผูกพันแม้แต่เป็นมนุษย์ให้เพียงแต่อาศัยกันก็เกื้อกูลกันช่วยเหลือกัน อนุกัมปา เกื้อกูลกัน ช่วยเหลือกันถ้อยทีถ้อยอาศัยกันเกิดมาเป็นพ่อเป็นลูก เป็นลูกศิษย์เป็นครูช่วยเหลือกันไปอย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นสัจจะที่จะหมุนเวียนและมาเป็นประโยชน์แก่กันและกันอนุกัมปาจึงได้มีเยอะมาก

ผู้ที่สามารถมีความเข้าใจมีปัญญาตั้งแต่

วิชชา 8

1. วิปัสสนาญาณ

2. มโนมยิทธิญาณ

3. อิทธิวิธญาณ

4. ทิพโสตญาณ

5. เจโตปริยญาณ

6. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ

7. จุตูปปาตญาณ

8. อาสวักขยญาณ

ก็ลองมาขยายความ ต่อวิชชา8

สามัญผลสูตร เล่ม 9 ข้อ 124

สันโดษ

[124] ดูกรมหาบพิตร อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ? ดูกรมหาบพิตร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง เธอจะไปทางทิศาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง ดูกรมหาบพิตร นกมีปีกจะบินไปทางทิศาภาคใดๆก็มีแต่ปีกของตัวเป็นภาระบินไปฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่อง

บริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง เธอจะไปทางทิศาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง

ดูกรมหาบพิตร ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ.

พ่อครูว่า..สันโดษไม่ได้หมายความว่าอยู่ตัวคนเดียวหรือหนีไปไหน แต่ว่าสันโดษคือจิตที่ไม่มีเพื่อนสอง จิตถ้ามีกิเลสแม้แต่ตัวเดียวคุณก็มีเพื่อน 2 แล้ว แต่มันไม่ใช่ตัวเดียวหรอก แล้วจิตของคุณมีกิเลสบานตะโก้เลย คุณจะไปสันโดษได้อย่างไร คุณจะไปโดดเดี่ยวอย่างไรคุณต้องมีเพื่อน 2 คือกิเลส แต่ว่าจริงๆแล้วคำว่าสันโดษไม่ได้หมายความว่ามีเพื่อน 2 ที่เป็นกิเลส เป็นภาษาที่กลับเป็นสิริมหามายา ผู้สันโดษคือผู้ที่อยู่ผู้เดียว ไม่มีเพื่อนสอง เห็นไหมว่าเป็นภาษาสิริมหามายากลับไปที่เดิมอีกไม่งงงวดนี้จะไปงงงวดไหน พวกคุณงงไหม...ไม่งง อาตมาบรรลุผลสำเร็จในการอธิบาย

คำว่าสันโดษ จึงหมายความถึงสภาพเป็นผู้ที่สบายแล้ว ตัวเองคนเดียวนี่แหละอยู่กับใครๆก็เป็นเพื่อนเป็นมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีได้ มีปัญญาเลือกเฟ้นมีปัญญารับที่จะเชื่อมโยงกันไปร่วมงานกันไปทำประโยชน์ร่วมกันไป ผู้ใดที่ยังทำไม่ได้ก็ยังไม่ได้ ผู้ที่ร้ายกับเราทำร้ายเราก็ห่างไว้ แต่ไม่ต้องไปทำร้ายเขา เพราะแต่ละคนเขามีวิบากของเขาให้รับวิบากกันไป เราไม่ต้องไปแส่กับเขา ก็ปล่อยเขาไปตามยถากรรม แม้แต่สัตว์เดรัจฉานต่างๆมันพูดกับเราไม่รู้เรื่องเมื่อเกิดมาเป็นสัตว์ทั้งหลายก็ปล่อยเขาไปตามยถากรรมสัตว์มันเก่งอย่างไรอย่างไรคุณก็ไม่สามารถสอนสัตว์ให้มันเป็นพระอรหันต์ได้หรอก แค่คนนี้ก็สอนให้เป็นพระอรหันต์ให้ได้ก็แล้วกันซึ่งก็ไม่ง่ายได้เป็นบางคนเพราะฉะนั้นถ้าไปเสียเวลากับสิ่งพวกนั้นมันเปล่าประโยชน์มันสูญเปล่าไม่ได้เรื่องเอาสิ่งที่ได้ประโยชน์ดีกว่า คนที่เป็นมิตรสหายดีเป็นผู้ที่พูดกันรู้เรื่องไปด้วยกันได้แต่นี่พูดกันอย่างไรมันก็ไม่รู้เรื่องหรอกก็ปล่อยมันไปตามยถากรรม คุณเก่งก็ไปสอนเขาทำอีกเขาหรือไปด่าเขาแต่ระวังเถอะไปด่าเขา

สรุปแล้วคำว่าสันโดษแต่ผู้เดียว มันจึงโอ้โห เป็นภาษาสิริมหามายา คือจิตของเรานี่สะอาดบริสุทธิ์ไม่ติดไม่ดูดไม่ยึดอะไรแล้วก็สัมผัส ไม่ติดไม่ยึดนะ แต่สัมพันธ์กับใครๆได้สบายไม่ผูกพันไม่ติดไม่ยึดมั่นถือมั่นกัน แต่สัมพันธ์กันมีประโยชน์ร่วมกันได้

คนที่มีจิตแบบนี้ร่วมกันจะทำงานร่วมกันไปอีกนานแสนนาน เพราะว่าเป็นคุณวิเศษของจิตที่ดี รู้จักการทำงานร่วมกันอย่างยินดี พากันไปช่วยกันไป บางทีก็เรียกว่าเป็นเพื่อน 2 จะไปไหนๆ อาตมาจะต้องเกิดมากับคนนั้นคนนี้ร่วมกัน ช่วยกันทำงานจนกระทั่งใครจะเก่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆอย่างเช่นพระพุทธเจ้า ท่านเก่งก็สูงขึ้นไปแล้วก็มีผู้ร่วม เก่งๆๆนะ พอเกิดมาตนเองเป็นพระพุทธเจ้าเป็นพระสมณโคดมก็มีคนที่เก่งร่วมกันมี เอตทัคคะสาวก 80 นอกนั้นก็เป็นระดับที่ช่วยประโยชน์อย่างนั้นอย่างนี้ไป เอตทัคคะกันคนละอย่าง

อาตมาก็มีผู้ร่วมช่วยกันไปอย่างนี้แหละ แต่อย่าเพิ่งไปสรุปว่าคนนั้นคือคนนี้ จริงอาจมีส่วนคล้ายอาจถูกแต่อย่าไปยึดมั่น คนนี้นัยไปกับพระสารีบุตรคนนี้คล้ายๆพระโมคคัลลานะคนนี้คล้ายพระกัจจายนะ คนนี้คล้ายกับพระอานนท์ ดีไม่ดีคนคนนี้เหมือนกับพระปิลินทวัจฉะ ที่เรียกคนอื่นว่าไอ้ถ่อยๆๆ เพราะเคยเกิดเป็นพราหมณ์ชั้นสูงมา 500 ชาติ

พระอานนท์จะแจกสลากให้พระอรหันต์ให้ไปกิจนิมนต์ พอไปเจอพระรูปนี้ ท่านก็เรียกพระอานนท์ว่าอาวุโส ว่ามาทำไม พระอานนท์ก็บอกว่าจะมาหาพระอรหันต์ให้ไปกิจนิมนต์ไปฉัน ในวันพรุ่งนี้ 20 รูป ท่านพระองค์นี้ก็บอกว่าเราไปด้วยคนนึง บอกเขานิมนต์ 20 รูป เราไปด้วยพระอานนท์ก็บอกว่าเขาระบุว่าต้องการแต่พระอรหันต์ท่านก็บอกว่าเราเป็นพระอรหันต์พระอานนท์ก็ไม่เชื่ออะไรวะมีมานะอัตตาถือดีถือตัวยิ่งใหญ่จะเอาชนะคะคานอยู่เรื่อยจะเอาให้ได้อย่างนี้และเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร พระอานนท์ท่านก็ไม่เชื่อ ท่านก็บอกว่า ให้ใส่ชื่อเราไปด้วย สามครั้งพระอานนท์ก็ไม่ใส่ชื่อ แล้วพระอานนท์ก็ไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่าพระรูปนี้เป็นพระอรหันต์จริงหรือไม่เป็นพระอรหันต์หรือยังพระพุทธเจ้าก็บอกว่าท่านเป็นอรหันต์แล้ว

พระพุทธเจ้าได้เล่าถึงในชาติปางก่อนของท่านว่าท่านเกิดมาเป็นลูกเจ้าลูกนายเป็นคนสูงศักดิ์มาหลายชาติก็เลยติดเป็นวาสนามาอย่างนี้ มีมานะอัตตา ซึ่งอจินไตยต่างๆนี้อย่างที่เข้ากับยุคกาล ซึ่งก็ยากจะเข้าใจกันได้เช่นบอกว่าตนเองเป็นพระอรหันต์เป็นพระโพธิสัตว์แล้ว แล้วใครจะเชื่อ ขนาดพระอานนท์ยังไม่เชื่อเลย แล้วคุณจะเก่งกว่าพระอานนท์หรือ ก็ต้องเห็นใจเขานะ แล้วเขาก็ยังมีความเห็นว่าเป็นพระอรหันต์แล้ว บอกใครไม่ได้อีก ซึ่งก็ไม่ตรงกับบุคลิกเขาอีกต่างหาก อาตมาทำงานไม่ได้เรียบร้อยแต่ก็สนุกก็ใช้ลีลานี้ ซึ่งมันเป็นลักษณะด้วยเป็นวาสนาด้วยเคยพูดไปแล้ว

สันโดษ คำว่าสันโดษ ภาษาบาลีว่าสันตุฏฐิ อันเป็นอาริยะ

ศีลอันเป็นอาริยะ สำรวมอินทรีย์อันเป็นอาริยะ มีสติสัมปชัญญะอันเป็นอาริยะ มีสันโดษอันเป็นอาริยะ

ก็ค่อยขยายความว่า ศีลอันเป็นอาริยะเป็นอย่างไร สำรวมอินทรีย์อันเป็นอาริยะอย่างไร มีสติสัมปชัญญะอันเป็นอาริยะอย่างไร มีสันโดษอันเป็นอาริยะอย่างไร

ส.ฟ้าไทสรุปจบ

 


เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 14:55:17 )

640106

รายละเอียด

640106_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ การศึกษาที่ไม่ลดกิเลสกู้ประเทศไม่ได้ 

https://www.boonniyom.net/49974.html 

ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1bWZGclVp7vaILEVecnnznuzlR9UPoptF6g6s5t_jggg/edit?usp=sharing                                                                     

 

ดาวน์โหลดเสียงที่    https://drive.google.com/file/d/1N7J58X8sloXJAdN0CFfdz3XL8-s1_s31/view?usp=sharing 

 

และยูทูปที่ https://www.youtube.com/watch?v=4J4g6PmOY9M

 

สมณะฟ้าไท…วันนี้วันพุธที่ 6 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ถ้าไม่พูดถึงโควิดก็คงไม่ทันสมัย เพราะคนก็กลัวกันมาก แต่จะเห็นน้ำใจคนไทยมีให้กันมากขึ้น Covid ในการระบาดครั้งนี้ มีมากในพวกนักเล่นพนันนักเที่ยวกลางคืน พวกเล่นพนันในไก่ชน ราคาไก่ตัวแพงมาก 

พ่อครูว่า…อบายมุขมันราคาแพงทุกเวลา คนโง่มันไปติด พอติดแล้วก็ต้องกระสันก็ต้องอยาก อดไม่ได้ทนไม่ได้ เพราะฉะนั้นจำเป็นที่จะต้องจ่ายเท่าไหร่ก็ต้องยอม  เช่นมันติดยาแล้วเป็นต้น ติดยาติดเหล้าติดบุหรี่แพงเท่าไหร่มันก็ต้องเอา มันต้อง เป็นคนโง่เป็นคนเสพติด 

สมณะฟ้าไท…ราคาไก่ตัวละเป็นแสนบาท 

พ่อครู่ว่า…ตัวดังๆตัวละเป็นล้านเลยตัวที่แสดงผลแล้ว ตัวที่พิสูจน์แล้วว่ามันชนะมาไม่มีแพ้อะไรอย่างนี้ พนันกันล้าน 1 เรื่องขี้ผง

สมณะฟ้าไท…ตอนนี้คนทำงานหากินกันไม่ได้ โศลกพ่อครูเลยทันสมัยมาก ว่า “คน!! ถ้าไม่ทำงานก็เดรัจฉานธรรมดา” ญาติธรรมฟังแล้วสะดุ้งเฮือก พวกเราก็มาทำการปลูกผักปลูกพืช ให้มีมากมายที่นี่ ทำให้เป็นสถานที่ที่น่าอยู่ที่สุดในโลก 

พ่อครูอ่านประเด็นถามมาว่า…

 

อัจฉริยะสั่งสมข้ามชาติได้

_ดูรายการอัจฉริยะ นักศึกษากัมพูชามาเรียนในประเทศไทย ออกรายการแล้วดูตัวเลข 30 ตัว 3 วินาที เขาตอบได้หมดจำปฏิทินได้ถึง 700 ปี สามารถตอบคำถามวันเดือนปีต่างๆได้ในอดีตก็ถูกต้องหมด คนฟังแล้วก็ทึ่งเก่งจริงๆอัจฉริยะจริงๆ เป็นคนพิเศษจริงๆ 

ถามว่าเป็นพลังงานจิตและความจำของสมองแบบไหนคะ เขาเป็นเด็กฐานะไม่ดี ได้ทุนมาเรียนได้เกียรตินิยม ได้รางวัลก็ขอเป็นหนังสือไป เอาไปแจกเด็กในเขมร 

พ่อครูว่า…สิ่งใดที่คนเราได้สั่งสมชาติไหนก็แล้วแต่ คุณจะชำนาญคุณจะเชี่ยวชาญ เก่งในด้านไหน ใช้สำนวนว่าไป เอตทัคคะ ชอบอันนี้เป็น 1 อันนี้ โมสาร์ทสีไวโอลินตั้งแต่ขวบ 5 ขวบ เข้าวงแล้ว 7 ขวบแต่ง Symphony แต่งเพลงแล้ว เพลงคลาสสิคนะ คุมวง มันเกินอยู่สุดที่จะกล่าวเลย อย่างนี้เป็นต้น สั่งสมอะไรก็ได้อันนั้น 

อาตมามีเพื่อนอยู่คนหนึ่งชื่อสุทิน เทศารักษ์ สีไวโอลิน เก่งที่สุดในประเทศไทย ตายไปแล้วล่ะ อาตมาฐานะอยู่ในวงการนี้ เขาเคย Arrangeเพลงให้อาตมา Arrange เพลงผู้แพ้ โดยใช้ไวโอลินนี่แหละ แยกเสียงประสาน ให้นักร้องขวัญดาวเป็นผู้ร้องชื่อจริงชื่อวีระ ชื่อนามแฝงทางร้องเพลงชื่อ ดิถี … ก็ร้องอัดแผ่นเสียง ขายได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ตอนนั้นไม่มีอะไรบันทึกคงไม่เหลือ เขาเล่นไวโอลินดังคือม่านไทรย้อย ที่ไสล ไกรเลิศ เป็นผู้ใส่เนื้อร้อง เพลงคลาสสิคของไชคอฟสกี้ เอามาใส่เนื้อร้องกัน ก็ดัง สุทินเขาเป็นนักสีไวโอลิน เดี่ยวเพลงม่านไทรย้อยพลิ้ว 

เขาก็เคยถามอาตมาว่า ชาติหน้าเราจะสีไวโอลินเป็นอย่างเก่าไหม เขารักไวโอลินเหลือเกิน กลัวว่าเกิดชาติหน้าแล้วจะไม่ได้ เขาก็มาถามอาตมา ตอนนั้นอาตมาก็ปฏิบัติธรรมบ้างแหละ อาตมาก็บอกให้เขาว่าได้ เพราะเรารักแล้วเราก็ติดยึด ถูกใจ ซักซ้อมด้วย มีเหตุปัจจัยที่สั่งสมเหตุปัจจัยครบ รักอยากได้แต่ไม่ซักซ้อมไม่ฝึกก็ไม่ได้ ก็ต้องสั่งสมความรู้ความสามารถฝึกฝน อยากได้แต่ไม่ทำอะไรเลยให้มันเหาะมาหาก็ไม่ได้ มันต้องมีเหตุปัจจัยครบ แล้วก็สั่งสมเพียงพอถึงขีดถึงขั้นได้ สั่งสมความเป็นโจรยังได้เลย สะสมความฉลาดเฉโกเอาเปรียบก็ได้ อย่างเช่นโดนัลด์ทรัมป์สั่งสมมาไม่ใช่น้อยนะกว่าจะได้ ขนาดแพ้ไม่รู้จะแพ้อย่างไรก็ยังดันทุรัง ป่านนี้ยังไม่ได้แค่ไหนไม่รู้ โอ้โห มันเหมือนผู้ดีชั้นสูงเป็นถึงประธานาธิบดีของประเทศ แต่มันเป็นคน เฉโก เป็นคนเฉโกที่ซับซ้อนเหมือนกับทักษิณ ฉลาดนะยิ่งใหญ่ หรือแม้แต่ธัมมชโย ธัมมชโยนี้มาทางธรรมะ ซับซ้อนฉลาดเฉลียว ฉลาดมากฉลาดเฉโก ฉลาดแกมโกงหลอกลวงโกหกซับซ้อน ฉลาดปิดบังไม่ให้เขารู้ทัน แล้วคนก็ชอบด้วยชาวโลกีย์มันเป็นลาภยศสรรเสริญโลกียสุข คนก็ชอบสิ เพราะมันเป็นแกนของคนทั่วไปของปุถุชนเขาก็ชอบ 

พอมาทางโลกุตระ คนไม่ค่อยชอบหรอก มันเป็นแกนของอาริยชน เป็นแกนของโลกุตระธรรมแต่ถึงไม่ชอบก็ต้องศึกษาเอาให้ได้ 

สรุป อัจฉริยบุคคลที่เก่งไม่ว่าจะเก่งขี้โกงก็ได้ฉลาดมาทางเฉโกอย่างนี้ อย่างที่ยกตัวอย่างเป็นชาวเขมรกัมพูชาก็ได้ อื่นๆอีกเยอะแยะไป มันมีมาแต่เด็ก สั่งสมความเชี่ยวชาญจนเกินเชื่อ เหลือเชื่อ พิเศษได้ไม่ใช่ง่าย 

สรุปตรงนี้ว่าการสั่งสมความสามารถเอามาใช้ เป็นชาติๆ ใช้ความพากเพียรเป็นชาติหลายชาติอย่าไปสะสมเฉพาะความเก่งเลย สะสมแล้วก็อยู่กับโลกีย์วนเวียนไม่พ้นทุกข์พ้นสุข ไม่พ้นตกนรกขึ้นสวรรค์ ลงนรกขึ้นสวรรค์อยู่อย่างนั้นไม่มีจบ เกิดแล้วตายแล้วไม่มีสูญไม่มีนิพพานด้วย ต้องมาศึกษาโลกุตรธรรม เป็นประเด็นสำคัญที่ใหญ่ 

แก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยโลกีย์ เป็นสมบัติผลัดกันชม แย่งกันไปกันมามีตัวเก่งขึ้นมาแย่งแล้วก็ผิดเพี้ยนไปหมดพาไปทั้งประเทศวนเวียน เจริญแล้วก็เสื่อมเจริญแล้วก็เสื่อม ตัวอย่างเยอรมนี ฝรั่งเศส โปรตุเกส เจริญแล้วก็เสื่อม เสื่อมแล้วก็เจริญเป็นสมบัติผลัดกันชมอยู่อย่างนั้น วันนี้จีนก็ขึ้นมา อะไรอย่างนี้ แต่ก่อนญี่ปุ่นขึ้น ญี่ปุ่นก็ดังเจริญร่ำรวยแบบโลกีย์ ร่ำรวยเก่งอะไรต่างๆนานา อย่างนี้เป็นต้น เดี๋ยวจะพูดเรื่องนี้ประเด็นนี้ 

 

_เมื่อวานนี้มีการประชุมชุมชน บ้านราชฯและประกาศปิดชุมชน ใช้มาตรการป้องกันสูงสุด และพึ่งตนเองให้มากที่สุด
พ่อครูว่า…คน ถ้าไม่ทำงานคือเดรัจฉานธรรมดา นี่คือโศลกที่ออกมาได้เหมาะสมกับกาละมาก ในหมู่บ้านในประเทศในสังคมใดถ้ามีแต่คนขี้เกียจแอบแฝงคนอื่นกินอยู่ก็ได้บาปนะ เป็นหนี้ด้วยนะ ไม่ใช่ว่าจะดี ที่พูดไม่ได้ขู่ แต่เป็นด้วยสัจจะ ต้องช่วยกัน 

 

_SMS วันที่ 4 มกราคม 2564 

 

บริหารประเทศในยุค covid ต้องเห็นใจนายกประยุทธ์ 

_Boonyakorn Pattanasattaporn (บุญญากร พัฒนสัตถาพร) : ฟังข่าว....“นายกฯลุงตู่”แจง ที่ ไม่อยาก Lock Down ทั่วประเทศ ขอประชาชน Lock Down ตัวเอง ก่อน ได้มั้ย ถ้าไม่อยากติด ก็ไม่ต้องออกไปไหน สัก14-15 วัน!! ถ้าทุกคนคิดแบบนี้ เราก็ปลอดภัย!!...

เมื่อถามว่าหากไม่มีคำสั่งทางการ การให้ประชาชนล็อกดาวน์ตัวเองคงเป็นเรื่องยาก 

นายกฯ กล่าวด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวว่า "แล้วคุณจะให้ทำยังไง ถ้าคุณบอกว่าประชาชนล็อกดาวน์ตัวเองเป็นเรื่องยาก เอาแค่ใส่หน้ากาก คุณทำได้หรือเปล่า 

คุณก็ต้องพูดให้เขาใส่สิ ไม่ใช่มาถามผม แต่ต้องบอกให้เขาใส่หน้ากากด้วย 

ผมไม่เห็นสื่ออันไหนเขียนเลย" ....

พ่อครูมีความเห็นอย่างไร?

พ่อครูว่า…นายกฯท่านก็เป็นคนขึ้นง่ายแต่ก็ลงง่ายนะ ไปอารมณ์ขึ้นตรงที่ว่าไม่มีใครช่วยเพราะมันเหนื่อย อะไรอะไรก็นายกฯ ขี้ไม่ออกเยี่ยวไม่ออกก็นายกฯ จะเป็นจะตายอะไรก็นายก ไม่ค่อยจะช่วยกันไม่ค่อยจะแชร์ ช่วยอันนั้นอันนี้บ้าง โดยเฉพาะนักข่าว นักข่าวนี่มันน่าหยิก นักข่าวหรือพวกบรรณาธิการ คณะกองบรรณาธิการ อาตมาเคยพูด เป็นกองหาเรื่อง มันจะแหย่ให้เกิดเรื่องทะเลาะกันส่อเสียด จะมาว่ากองบรรณาธิการ ถ้าเขาไม่มีเรื่องเขาก็จะไม่มีเรื่องมาเขียนขาย ถ้ามีแต่ความเรียบร้อยสงบสบาย เขียนไปไม่เท่าไหร่มันก็หมดแล้ว ต้องแหย่ให้ทะเลาะมุมต่างๆทะเลาะอยู่ตลอด เขาก็ได้เรื่องเขียน คนก็ชอบฟังไอ้ที่คนทะเลาะกันเสียด้วย เขาก็เลยเลี้ยงตนเองด้วยอย่างนั้น ให้เพลาเถิดท่านสื่อสารมวลชนทั้งหลาย มาส่งเสริมข่าวทางธรรมะ มาส่งเสริมข่าวทางธรรมะ ละข่าวทางนั้นทางนี้บ้าง ข่าวอาชญากรรม ข่าวกีฬาข่าวบันเทิงเริงรมย์ ข่าวเมาทั้งหลายแหล่ คุณออกจังเลย เดี๋ยวไม่กี่นาทีข่าวกีฬา ไม่กี่นาทีข่าวบันเทิง ทำอยู่ได้ เอาเถิดชาวทุนนิยมที่เขาจะได้อะไรก็แล้วไปเถิด มันก็ยังมีเพราะอาศัยอะไรบ้าง แต่เขาพวกนี้มันอบายมุข กีฬา การละเล่น มหรสพ บรรเทิงเริงรมย์ มันอบายมุข มันเป็นโทษ 2 ประการ 

“ขิฑฑาปโทสิกะ” เป็นเทวดานะ ถ้าได้เป็นดาราทางกีฬาดาราทางการบันเทิง เสพสมสุขสมอะไร บันเทิงเริงรมย์ อีกอันหนึ่งเป็นเทวดา “มโนปโทสิกะ” เป็นโทษทางจิตที่โง่ด้วยอัตตา เอาชนะคะคานกันจะต้องเป็นหนึ่งไม่แพ้เหมือนโดนัลด์ทรัมป์ เหมือนทักษิณนั้นแพ้ไม่เป็น เอาชนะ-ชนะ-ชนะ-ต้องชนะตลอด แพ้นี้ไม่ได้แพ้แทบจะฆ่าตัวตายเลย นี่เป็นโทษ 2 ประการพระพุทธเจ้าท่านแยกเอาไว้คือ ขิฑฑาปโทสิกะ กับมโนปโทสิกะ สองนัยนี้ อาตมาก็เอามาขยาย 

เราก็เลิกมา คนไหนติด เราก็อนุโลมบ้าง แต่คนไหนติดจัดเราก็ว่าแรงๆ ถล่มอย่างอาตมานี่ อาตมาเคยอยู่ในวงการบันเทิงธุรกิจ เคยอยู่ในจอมายามา มีเพื่อนฝูงอยู่ในทางนี้เสร็จแล้วออกมาทางนี้ต้องถล่มเพราะเป็นอบายมุข เขาก็ไม่ค่อยคบหาอาตมา หนีไปไม่มองหน้ามองตาไม่ทักก็เกือบเยอะ แต่ผู้ที่ยังเข้าใจ เขาก็มีอยู่ เขาเข้าใจและเข้ามามีอยู่ แต่ผู้ที่ไม่เข้าใจ เมินเฉย ไม่เอาด้วย ไม่ถึงกับขนาดผลักดัน ไม่มองหน้ากัน ไม่เอาอะไรเลย มันก็อย่างนี้ ซึ่งมันเป็นสัจจะที่มันย้อนแย้งอยู่ในตัว ก็ค่อยๆศึกษากันไป ชีวิตจริงๆแล้วไอ้พวกนั้นมันไม่จบ แล้วมันก็ยิ่งจัดจ้านทำให้เสียเวลา เกิดแล้วเกิดเล่าตายแล้วตายเล่า เสร็จแล้วก็ทุกข์ๆอย่างนั้นชนะว่าดีได้มา สมบัติผลัดกันชมแล้วก็เสื่อมไป ถูกแย่งไปแล้วก็ฆ่าแกงกันไปใหญ่เลยนะเป็นวิบากสารพัดวิบาก อ้าวหยุดเสียที 

อัจฉริยะเก่งสะสมวิบาก กรรมวิบากเป็นอจินไตย วิบากแปลว่าผลของการกระทำ คือกรรม เพราะฉะนั้นถนัดทางไหนชอบทางไหนก็สั่งสมมาไม่รู้กี่ชาติ มีแต่กรรมวิบาก ศาสนาทางเทวนิยมส่วนมากเป็นศาสนาพระเจ้าเยอะเลยในโลก ก็ไม่รู้จักเรื่องกรรมวิบาก ไม่เรียนรู้เกิดชาติเดียวไปกับพระเจ้า ตายไปแล้วก็ไปอยู่กับพระเจ้า..แล้วแต่พระเจ้ามีประสงค์จะให้ลงนรกขึ้นสวรรค์อ้อนวอนประจบประแจงพระเจ้าไว้ สอนให้ละชั่วประพฤติดีเหมือนกัน ผู้ที่ประพฤติดีไม่ละชั่วก็ได้อยู่บนสวรรค์กับพระเจ้า มันก็ตกนรกส่วนใหญ่ ขึ้นสวรรค์เท่าขี้เล็บ ตกนรกซะส่วนใหญ่ 

เพราะฉะนั้นพระเจ้ามีคนน้อย พระเจ้ามีเพื่อนน้อย เป็นคนของพระเจ้ามีน้อย ส่วนซาตานเอาคนไปลงนรกมีเยอะกว่า พระเจ้าสู้ซาตานไม่ได้ ซาตานเอาคนไปลงนรกได้มากกว่าเพราะคนมันโง่มันอวิชชา อาตมาเทียบเคียงศาสนาเทวนิยมกับศาสนาอเทวนิยมเทียบเคียงโลกียะกับโลกุตระ ต้องขออภัยอยู่เรื่อย เพราะว่าพูดสัจจะมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่ควรข่มก็ต้องข่ม สิ่งที่ควรยกก็ต้องยก มันก็ต้องทำอย่างนั้น ผู้ที่ถือสา มีทิฐิอัตตามานะก็จะยาก มาทำงานอันนี้ยาก แต่อาตมาก็ต้องทำ

สรุปแล้วต้องเห็นใจนายกฯตู่บ้าง เรื่องนี้ต้องขอตำหนินิดหนึ่ง นายกฯตู่ทำงานหนักจริงๆ ก็ชื่อนักรบชื่อประยุทธ์ ก็หนักอยู่อย่างนี้ แต่มันเป็นบารมีของคุณ อาตมาไม่อยากจะพูดมากกว่านี้ไม่อยากจะพูดในเรื่องอจินไตยเสริมเข้าไปให้มันมาก เพราะคนไม่รู้เรื่องนี้จะไม่ชอบเลยแต่ว่างมงาย ก็พูดบ้างนิดหน่อยก็แล้วกันได้แต่ว่า คุณต้องมาบำเพ็ญบารมีในชาตินี้สำหรับนายกตู่ ซึ่งต้องรู้ตัวเองว่า ตัวเองจะได้บารมีอันนี้ พอสมควร ราศีรัศมียังไม่ถึงตะวันยังไม่ถึงพระอาทิตย์ ราศีรัศมีจะได้เป็นพระจันทร์ที่เป็นสิ่งที่เป็นรส เป็นธรรมรส เป็นรสนิยม ก็จะได้อันนี้ไปพอสมควร เพราะฉะนั้นตนเองดีแล้วล่ะก็คงรู้ตัวเรื่องของการ...โกรธง่าย สายไปทางด้านแข็งแรง ถ้าจะพูดให้ชัด สองแกนก็คือ แกนซาดิสม์ กับแกนโรแมนติก 

คุณประยุทธ์เป็นแกนซาดิสม์  แต่ไม่ได้ว่าคุณเป็นซาดิสม์นะ แต่เป็นแกนชอบแรง ไม่ใช่สายหวานแล้วหวานอีก ไม่โรแมนติก แต่เป็นสายชอบแรงๆ มันต้องบู๊ชกเปรี้ยงดุ จะมาร้องกระซิบหวานลมเย็นไม่ใช่ ไม่ใช่สายนี้ 

อาตมาไม่ใช่สายซาดิสม์เลย แต่เป็นสายโรแมนติกอิสซึ่ม อย่างนี้เป็นต้น ก็ต้องเห็นใจคุณประยุทธ์บ้าง ถามว่ารู้สึกอย่างไร จะทำแบบไหน ก็แบบที่อาตมากำลังสรุปนี้ 

 

 

_โกศล สุขเล็ก : กราบคารวะพ่อท่าน..คนโบราณบอกว่า..สันดอนขุดใด้สันดานขุดยาก..พระพุทธเจ้าบอกว่าอัตตานั้นไม่เที่ยงแสดงว่า..เปลี่ยนใด้..สาธุ..ๆ 

พ่อครูว่า…ถ้าฟังให้ละเอียดลึกๆสันดอนขุดได้สันดานขุดยาก แล้วถามเปรียบเทียบที่พระพุทธเจ้าบอกว่า อัตตาเป็นสิ่งไม่เที่ยงแสดงว่าเปลี่ยนได้ 

“อัตตา” นี้ เหมือนคนยึดอัตตา เป็นสันดอน ขุดได้แต่ขุดยาก อัตตาขุดยาก แต่ขุดได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่จะมาเรียนรู้อัตตา เรียนรู้สันดานของตัวเองที่เต็มไปด้วยบาป

ศาสนาพระพุทธเจ้านั้น บุญ คำนี้แปลว่า ชำระกิเลสในสันดาน ให้สะอาดหมดจด บุญแปลว่า เครื่องชำระหรือการชำระกิเลสจากสันดานให้สะอาดหมดจด 

สรุปแล้วในเรื่องของอัตตา เรื่องของสันดาน ศาสนาพุทธรู้ดีหมดเลย มนุษย์เกิดแล้วจะได้ขุดสันดอนสันดานของเราได้ มาลบล้างอัตตาของเราได้อย่างแท้จริง พยัญชนะมันเป็นอย่างนั้นอาตมาก็อธิบายสภาวะไปมาเรียนรู้แล้วก็จะหมดได้ มาหมดไม่ได้ก็เป็นเรื่องไม่จริงสิธรรมะพระพุทธเจ้า หมดกิเลสหมดสันดอน มันก็ล้างได้ เขาเทียบสันดอนเหมือนวัตถุ สันดานเหมือนจิตเท่านั้นเอง คุณอยู่ทางโน้น ต้องมาเรียนรู้สันดาน สันดอนขุดกันง่ายๆก็ขุดได้ อย่าว่าแต่สันดอนเลย ภูเขาก็ยังเจาะได้เลยมีคนจีนคนเดียวเจาะภูเขาทะลุ 

อาตมากำลังอธิบายว่าพวกหลับตาจะเข้าไปอยู่ใจกลางภูเขา เล่นไม่ขุดข้างนอกเข้าไปเลย สมมุติตัวเองว่าไปอยู่ข้างใน แล้วจะขุดจากข้างในออกมาข้างนอกให้ทะลุ เข้ายังไม่ได้เลย เป็นไปไม่ได้คุณจะเข้าไปอยู่ข้างในแล้วจะขุดจากข้างในออกมาทะลุข้างนอก มันเป็นเรื่องประหลาด นั่งหลับตามันก็เหมือนขุดภูเขา คุณไม่ได้ทำเป็นลำดับตั้งแต่ กาม รูป อรูป คุณจะเอาภูเขาทั้งลูกออกไปหรือว่าจะขุดเข้าไปก็ตาม ก็ต้องขุดจากข้างนอกเข้าไปจนถึงตรงกลาง ถ้าคุณจะทลายภูเขาทั้งภูเขา คุณก็ต้องขุดจากข้างนอกเข้าไปก่อนจะถึงข้างใน คุณจะเอาข้างในมาหาข้างนอกได้อย่างไร ก็ต้องเจาะรูให้คนเข้าไปข้างในให้ได้ก่อน กว่าคุณจะทำได้คุณต้องทำ 2 รอบขุดข้างนอกไปหาข้างใน แล้วอยู่ข้างในขุดออกมาสลายภูเขาข้างนอก มันเป็นอย่างไรจะบ้าหรือเปล่า เพราะฉะนั้นคนไม่รู้จะเป็นอย่างนี้นั่งหลับตา คุณไม่ได้ขุดข้างนอกเข้าไปที่ระดับๆเข้าไปหากลาง แล้วก็หมดพอดี คุณจะเข้าไปอยู่ข้างในก็คิดเอา ว่าหลับตาอยู่ข้างใน เก่งมีปัญญา มีเจโต แรง เสร็จแล้วคุณก็จะสลายกิเลสได้หมดเลย กิเลสเหมือนภูเขายิ่งกว่ากองภูเขาก็ได้หมดเลย เห็นไหมเป็นความเพ้อฝันของพวกนั่งหลับตาสมาธิ แล้วยิ่งมีอุทาหรณ์ มีคำอธิบายเข้าใจได้มากมายเพิ่มเติม ไม่ใช่อาตมาไปว่าไปด่า ไม่ใช่ไปหาเรื่องนะ แต่นี้เป็นอุทาหรณ์เป็นสิ่งสมมติที่เอามาเปรียบเทียบเพื่อให้คุณฟังได้ดี ฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญา เลิกเถิดการนั่งหลับตาสมาธิมันไม่ใช่ทางของศาสนาพุทธ มันเป็นทางเดียรถีย์ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาก็นั่งหลับตากันเต็มป่า  ท่านก็ต้องค่อยๆสอน จะตีทิ้งเหมือนอย่างอาตมาไม่ได้ พระพุทธเจ้ากับอาตมาต่างกัน อาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้ามีศาสนาพุทธมาแล้ว เขานั่งหลับตาเป็นเดียรถีย์ก็ช่างเขา อาตมาต้องตีพวกคุณ เพราะว่าเป็นลูกพระพุทธเจ้าเหมือนกัน พวกคนละพันธุ์ปล่อยไป

 

_Kallaya Rachsamphao (กัลยา ราชสำเภา) : ร่วมรับชมอยู่ทางเยอรมันนี รายงานตัวคะ


เวลาบันทึก 19 ตุลาคม 2564 ( 16:03:56 )

640830

รายละเอียด

640830_รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 7

https://www.boonniyom.net/50694.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1x-EcduY0zXWjCtpPPQKif8aQqnEsYja0EiDN04uTSYs/edit?usp=sharing 

 

ดาวน์โหลดเสียงที่    https://drive.google.com/file/d/1mU50PromL4WG4QjgESUKFEPREncBjifT/view?usp=sharing 

     

และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/575391673633398 

 

พ่อครูว่า...วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก วันเวลาก็เลื่อนไปๆ ใครมีชีวิตอยู่ ใครมีความรู้ความสามารถที่จะทำให้เพื่อนมนุษย์เจริญ เจริญไปด้วยความพ้นทุกข์ ไม่ใช่เจริญด้วยความสุข เจริญด้วยความพ้นทุกข์แล้วมันจะเจริญไปทั้งสอง 

ความทุกข์ความสุข เป็นเทวฺเป็นภาวะ 2 ความสุขมันก็หลอกเอา คนที่ไม่มีภูมิปัญญามีอวิชชาก็หลงเชื่อไปงมงาย ก็ลำบากลำบนแย่งชิงกันฆ่ากันตีกัน เคยแย่งความสุขในโลกียะ สุขในโลกธรรม แย่งลาภยศสรรเสริญ แย่งสุข ที่เป็นสุขที่เป็นกามภายนอกก็ไม่รู้ สุขที่เป็นอัตตาอยู่ภายในก็ไม่รู้ เป็นต้น 

อาตมามีความรู้ในเรื่องเหล่านี้จริงๆ ไม่ได้โกหกเพื่อจะเอาสรรเสริญว่าเรารู้เราเก่ง แต่บอกความจริงด้วยความสงสารเมตตากันก็เลยบอกกันไปอธิบายกันดีๆ คนไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ คนไม่นับถือไม่ศรัทธาก็ไม่ศรัทธา คนที่ไม่มีอคติฟังแล้วเข้าใจ อย่างพวกคุณชาวอโศกเข้าใจก็เลยมาได้ตาม ก็เป็นอย่างนี้แหละ คนที่ได้ก็มีปฏิภาณของตนเอง คนที่ไม่มีปฏิภาณรู้ความจริงตามความเป็นจริงได้เขาก็รู้ตามอย่างของเขา ไปบีบบังคับกันไม่ได้ จนกว่าจะรู้ ก็ช่วยกันไป 

SMS วันที่ 27-29 ส.ค. 2564

_กลั่นหายโง่ ฝึกไม่มี : ขอเรียนถามท่านเจ้าหน้าที่นะคะใช้จานดำเหมือนเดิมได้ไหมคะ

_เฉลิมพล สุมังคละสมบัติ  : ไม่มีในช่องทีวีหรือครับ

พ่อครูว่า... มีในช่องดาวเทียม 1 กันยายนเป็นวันเริ่มใช้ดาวเทียมอีก เราก็พยายามให้ได้ เราก็ไม่ได้ไปเรี่ยไรอะไร ไม่ใช่ว่าเราหยิ่งผยองแต่เป็นการป้องกันตัวเราเองที่จะไม่ให้ไปมักง่ายเรี่ยไรเอาเงินจากใครเขามา จะต้องใช้พวกตัวเองพึ่งพาตัวเองใช้สมรรถนะของตนเองเราทำมาอย่างนั้นแต่ไหนแต่ไรจนถึงวันนี้ ก็บอกความจริงให้ฟัง 

ส่วนจานดำใช้ได้เหมือนเดิม ส่วนจานเล็กยังใช้ดูบุญนิยมไม่ได้ 


สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ระบอบการบริหารประเทศในโลก 9 แบบ

พ่อครูว่า... มาเข้าสู่ระบอบการบริหาร 9 ข้อ

ระบอบบริหารประเทศที่โลกมีกัน

1. สมบูรณาญาสิทธิราช เต็มรูปคือเผด็จการ

2. ประชาธิปไตยทุนนิยมสามานย์ ขาเดียว เช่นสหรัฐอเมริกา 

3. คอมมูนิสต์ สืบสันตติวงศ์ 

4. ประชาธิปไตย ที่เริ่มมีปัญญา แต่ยังขาเดียว 

5. ประชาธิปไตย มีปัญญาเริ่มเข้าข่ายโลกุตระและเข้าใจ ประชาธิปไตย 2 ขา 

6.  คอมมูนิสต์ ที่กำลังผนวกประชาธิปไตย แต่ยังขาเดียว

7. ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เจริญโลกุตระตามลำดับ 

8. คอมมูนิสต์ ที่มีการเลือกตั้ง ปรับตัวเป็น  “ประชาธิปไตยคอมมูน” (คือมีทั้งประชาธิปไตย + คอมมูน) ข้อดียังไม่มีในสังคมโลก แต่ต่อไปเขาจะมี 

9. ประชาธิปไตยที่เป็นคอมมูน พร้อม “ภาวะ 2” คือ “ราชประชาสมาสัย” ที่สัมบูรณ์ เป็น “สาราณียธรรม 6” ชัดเจนถึงที่สุดแห่ง “บุญนิยม” นั่นคือ เป็น “สังคมสาธารณโภคี” ที่มี “กายปาคุญญตา” และ “จิตปาคุญญตา” เจริญทั้ง “กาย” และ “จิต” สัมบูรณ์

 

พวกทุนนิยมสามานย์ที่เป็นประชาธิปไตย ขออภัยที่ต้องยกตัวอย่างเช่น อเมริกา เป็นต้น และมีประเทศทางยุโรปอีกหลายประเทศ ซึ่งเดี๋ยวนี้เขาก็เข้าใจกันมากขึ้นกว่าเดิมแล้ว อาตมารู้จักพระพุทธเจ้าประชาธิปไตยของอาตมาจึงแบบพระพุทธเจ้าไม่ใช่แบบโลก ไม่ใช่โลกียแต่เป็นโลกุตรธรรม มันจึงยาก จะยากอย่างไรแต่อาตมาก็สู้ๆ พวกเราชาวอโศกชาวไทยนี่แหละเข้าใจแล้วก็ช่วยอาตมาด้วย พยายามเป็นมวล อยู่ศึกษาด้วยกัน แล้วก็ทำตัวเองให้บรรลุโลกุตระแล้วก็จะเป็นประชาธิปไตยโลกุตระกันไป 

ประชาธิปไตยตั้งแต่ข้อ 7 ถึงข้อ 9 เป็นประชาธิปไตยบุญนิยม 3 ข้อนี้คือประชาธิปไตยบุญนิยม เดี๋ยวจะขยายประชาธิปไตยบุญนิยมเพิ่มขึ้น

ข้อที่ 8 คอมมิวนิสต์ที่มีการเลือกตั้ง ฟังดูแล้วตลกดี ผนวก ประชาธิปไตย แต่จริงๆแล้วลักษณะ คอมมูน คือเป็นลักษณะองค์รวม ประชาชนอยู่ร่วมกัน ถ้าอยู่ร่วมกันอย่างมีพุทธพจน์ 7 มีคุณธรรมของจริงมีหัวเจาะ 7 หัวเจาะ ก็จะเป็นคนที่มีคุณสมบัติมีคุณธรรมถึงขั้นโลกุตระเป็นคุณวิเศษ เป็นสังคมอาริยะเจริญไป

ส่วนข้อที่ 9 เป็นประชาธิปไตยที่เป็นคอมมูน ซึ่งมีคำว่าราชประชาสมาสัย เป็นศัพท์ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 บัญญัติ มีราชประชาสมาสัย มีสาราณียธรรม 6  เป็น “สังคมสาธารณโภคี” ที่มี “กายปาคุญญตา” และ “จิตปาคุญญตา” เจริญทั้ง “กาย” และ “จิต” สัมบูรณ์

ปาคุญญตา แปลว่า แคล่วคล่องว่องไวปราดเปรียว ไม่หนืดไม่อืดไม่เฉื่อย แต่คล่องแคล่วว่องไวปราดเปรียว บุคลิกคล้ายๆกับนายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชา นี่แหละ คล่องแคล่วแต่มีสัดส่วนมีจังหวะ 

 

ประชาธิปไตยบุญนิยม หรือข้อที่ 7 8 9 คำว่า ประชาธิปไตย คนก็เข้าใจไปตาม Concept ต่างๆ แต่คำว่าบุญนิยมคำนี้ คนจะเล่นลิ้นเถียงแย้งกับอาตมาก็ได้ คำว่าบุญก็คือบุญ คำว่านิยมแปลว่าเที่ยง บุญนิยมคือบุญที่เที่ยง 

ในลักษณะสิริมหามายาที่ลึกซึ้ง พุทธศาสนานั้นนับถือความไม่เที่ยง ในกาละเป็นหลัก กาละจะดำเนินไปตลอดเวลาไม่มีอะไรเที่ยง เพราะฉะนั้นคุณสมบัติอะไรก็แล้วแต่ อาศัยองค์ประกอบและกาละ และอาศัยพยัญชนะกับสภาวะ เรียกว่าเทวฺ เป็นภาวะ 2 ใช้สื่ออาศัยเข้าใจกันไป จึงยากมาก จะว่าสัจธรรม มีทั้งพยัญชนะมีทั้งสภาวะ บางทีพยัญชนะก็เด่นบางทีสภาวะก็เด่น บางทีอาศัยสภาวะ บางทีอาศัยพยัญชนะ มันจึงยาก 

คำว่า นิยม แปลว่าเที่ยงหรือไม่เที่ยง เป็นสิริมหามายาใช้ตามองค์ประกอบในปัจจุบันแต่ละปัจจุบัน ไวมากเล็กมากนิดเดียว เร็วไวเปลี่ยนได้เร็วหรือจะอยู่นานก็แล้วแต่

คำว่า บุญ ยิ่งใหญ่มากเลยในศาสนาพระพุทธเจ้า ยิ่งใหญ่สุดยิ่งใหญ่เลย ถ้าใครไม่สามารถเข้าใจคำว่าบุญได้สัมมาทิฏฐิสมบูรณ์แบบ ไม่มีทางที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ไม่มีทางบรรลุแม้แต่เป็นพระโสดาบัน 

เช่น ไปเข้าใจบุญว่าเป็นกุศล กุศลก็คือเข้าใจว่าเป็นความดีที่ไม่ใช่ความชั่ว ส่วนบุญก็คือความดี ไปเข้าใจว่าบุญคือความดี แค่นี้ก็พังแล้วไปไม่ได้ เพราะว่าบุญโดยเนื้อแท้ของมันไม่ใช่ความดี บุญเป็นความเลวร้ายแรง ร้ายกาจ เพราะมันเป็นเพชฌฆาต ที่ทำหน้าที่ฆ่ากิเลส เป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย ไม่ใช่เพชฌฆาต 1 2 แต่เป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย เพชฌฆาตมือต้นอาจจะไม่ถึงตาย มือที่ 2 อาจจะยังไม่ถึงตาย แต่ว่ามือที่ 3 ลงมือสุดท้ายเลย สำเร็จแน่นอน ตายเด็ดขาด 

คำว่า บุญ คือพลังงานจิต ที่ผู้สร้างพลังงานจิตขึ้นได้ ต้องทำฌานของพุทธเป็น ฌานคือพลังงานไฟ อุณหธาตุ เผากิเลส 

ฌานก็เหมือนกัน ฌานเขาใช้ 1. เป็นเผากิเลส 2. ป้องกันตัว กับแปรสภาพพลังงานฌาน เอามาใช้ เช่น พลังงานความร้อนมันทำลายสลายอะไรไปหมด ฌานก็ทำลายสลายกิเลส แต่ก็ยังต้องอาศัยในส่วนที่ต้องอาศัย ไม่ใช่เสียทั้งหมดจึงต้องเอา ฌานไปใช้

พระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์แล้วหมดบุญ ไม่ใช้บุญไม่มีบุญเลย บุญคือการฆ่ากิเลสของตัวเองเท่านั้น ฆ่าของคนอื่นก็ไม่ได้ บอกให้คนอื่นเขาสร้างได้ บอกให้เขาไปพัฒนาตัวเอง ทำลายเป็นพลังงาน พลังงานบุญเองได้ แต่ว่าทำแทนกันไม่ได้ ไปทำแทนคนอื่นไม่ได้อย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้น พลังงานบุญ เรียกว่าบุญนิยม อาตมาตั้งคำว่าบุญนิยม เพื่อที่จะให้เป็นคู่เปรียบเทียบกับคำว่า ทุนนิยม ที่เขามีอยู่แล้ว เขาคิดว่าทุนนิยมเที่ยง อาตมาก็เลยเอาคำว่าบุญนิยม คำว่า นิยม ถ้าเป็นคำกิริยาปัจจุบันก็คือ กำลังนิยมชมชอบ ใช้อย่างสำนวนภาษาไทย แต่ลึกสุดนั้น เขาเชื่อว่ามันเที่ยง มีลัทธิต่างๆ เป็นต้น 

ถ้าเราเข้าใจคำว่าบุญ จะเข้าใจว่าพระอรหันต์ทำไมหมดบุญ แล้วจะไม่งง ไม่สงสัย ไม่สะดุดอะไร แต่คนที่ยังไม่เข้าใจฟังแล้วจะบอกว่า ไปบอกพระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้าเป็นคนไม่มีบุญได้อย่างไร? เด็กๆฟังให้ดีๆนะ

พระพุทธเจ้าเป็นคนที่ไม่มีบุญ พระอรหันต์เป็นคนที่ไม่มีบุญ หมดบุญหมดบาป ปุญญปาปปริกขีโณ พยัญชนะภาษาบาลีก็ยืนยันชัดเจน คำตรัสของพระพุทธเจ้ามีอยู่ในหลักฐาน ในพระสูตรต่างๆ เช่น พระอรหันต์พระโมฆราช ก็ได้พูดไว้ 

ความหมายลึกซึ้งของคำว่าบุญนี้จึงยากมาก อาตมามาต่อไปเป็นคำว่า ประชาธิปไตยบุญนิยม 

ความหมายของ บุญนิยม นี้ ง่ายๆคือ ลัทธิกำจัดกิเลส นิยมก็คือลัทธิ บุญนิยมคือลัทธิกำจัดกิเลส เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยที่มุ่งหมายเอาการกำจัดกิเลส คนที่จะมาเป็นนักการเมือง เป็นนักประชาธิปไตย เป็นนักทำงานกับสังคมที่ชื่อว่าการเมือง จะต้องเป็นคนศึกษาธรรมะ แล้วต้องรู้จักคำว่าบุญ ต้องรู้จักคำว่ากำจัดกิเลส ต้องรู้จักสัมมาทิฏฐิ มีวิธีการกำจัดกิเลส รู้ว่ากำจัดกิเลสได้อย่างไร จึงจะเหมาะสมไปเป็นนักการเมือง นักการเมืองไม่มีธรรมะจึงเป็นนักการเมืองเลว เป็นนักการเมืองบรรลัยจักร มันยุ่งยากประเทศชาติสังคมยุ่งยากเพราะความไม่เข้าใจอันนี้ เป็นนักการเมืองแล้วไม่เอาธรรมะ 

จริงที่ในตัวบางคนอาจจะมีคุณงามความดีบ้าง แต่เป็นคุณงามความดีที่ไม่เที่ยงแท้เพราะแค่โลกียะก็ไม่เที่ยง ได้ลาภยศสรรเสริญก็หลงแล้ว ไปไม่รอด อย่างเช่น ทักษิณ Tony Woodsome ขออภัยที่ยกตัวอย่างบุคคล เพราะมันเป็นตัวอย่างที่ให้เป็นการศึกษา อาตมาไม่ได้เกลียดชัง ไม่ได้ถล่มทลาย แต่มันเป็นประโยชน์มากในการศึกษา อาตมาจึงขอนำเอามาเป็นตัวอย่าง ยกตัวอย่างประกอบในการแสดงความรู้ วิชาการ 

เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยบุญนิยม จึงเป็นประชาธิปไตยที่จะต้องเข้าใจการเป็นคนมาเป็นนักการเมืองนักประชาธิปไตยที่จะต้องรู้จักจัดการกิเลส ชำระกิเลสของตนเองให้ได้จริง คนที่ยังไม่ลดละกิเลสเลย ไม่รู้จักวิธีลดละกิเลสและไม่พยายามลดละกิเลสด้วย อย่าเข้ามาเป็นนักการเมือง มันเป็นความฉิบหายของสังคม คนที่จะมาเป็นนักการเมืองต้องเป็นคนที่มีคุณธรรม โดยเฉพาะต้องมีคุณธรรมถึงปรมัตถธรรมของพุทธเจ้า เป็นโลกุตระ สามารถเรียนรู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน แล้วสามารถลดกิเลสได้จริงๆ

เพราะฉะนั้นประชาชนของสังคมประเทศใดที่มีความรู้ตามทฤษฎีที่อาตมาอธิบายไปนี้ ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติจริง มีบุคคลที่ได้บรรลุธรรมตามธรรมะของพระพุทธเจ้าที่เป็นธรรมะโลกุตระนี้จริง จึงจะเป็นประเทศที่เป็นประชาธิปไตยที่จริง 

จะเรียกว่าเป็นความเป็นประชาธิปไตยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะทำงานกับประชาชน พระพุทธเจ้าเป็นผู้ศึกษาอันนี้มาตั้งแต่ต้น จนกระทั่งสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ระดับ 7 ศึกษามาตามพระพุทธเจ้า จึงรู้อันนี้ ยืนยันอันนี้ พูดอย่างมั่นใจ ไม่ได้พูดอย่างเดาหรือเก็งความจริง ไม่ใช่ ซึ่งมันเป็นความจริงที่จริงเลย ไม่ใช่แค่การเก็ง เป็นแต่เพียงความจริงนี้ยังไม่เจริญสมบูรณ์เท่านั้นเอง แต่อาตมาเดินทางเพิ่มขึ้นไปเรื่อย และความจริงที่อาตมามีในโพธิสัตว์ระดับ 7 นี้ ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครมี ขออภัยที่ต้องพูดความจริง อาตมาเป็นไก่ตัวพี่ในยุคนี้ โดยเฉพาะในเรื่องประชาธิปไตยโลกุตรธรรม ประชาธิปไตยบุญนิยม ของพระพุทธเจ้า

ฉะนั้นความเป็นคอมมิวนิสต์ก็ดีความเป็นประชาธิปไตยก็ดี โดยจุดมุ่งหมายแล้วเหมือนกัน คอมมิวนิสต์ก็ต้องการเป็นคอมมูนที่สมบูรณ์แบบ เป็นสังคมที่รวมกันแล้วก็มีผู้บริหาร ความหมายมันต่างกันอยู่นิดเดียว ผู้บริหารเป็นหมู่คณะเรียกว่า คณาธิปไตย 

ส่วนของประชาธิปไตยที่เป็นประชาธิปไตยแท้ๆ อิสรเสรีภาพสมบูรณ์ ไม่เอาอำนาจมาไว้ที่กลุ่มคณะเท่านั้นด้วย ให้แต่ละคนเท่าเทียมกันหมด มีสิทธิเท่าเทียมกัน แต่ความรู้ความสามารถมันไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง ตามความเป็นจริง แต่สิทธิเสรีภาพเท่ากันหมดแต่ความรู้ความสามารถไม่เท่ากัน คนที่มีความรู้ความสามารถจริงจึงเป็นสัจจะจริง เป็นความเป็นจริง เขาก็ต้องสูงจริง แต่ผู้ที่สูงจริงนั้นไม่ยึดติดตัวเอง ว่าตนเองเป็นผู้ที่จะสูงจนต้องให้คนอื่นเขามากลัว คนอื่นเข้ามาเคารพนับถือยกย่อง ไม่มี ส่วนเราเข้าใจแล้วก็ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร 

ฟังให้ดีที่อาตมาสาธยายความ เป็นรายละเอียดของสัจธรรม ที่แม้จะไม่สมบูรณ์แบบเต็มที่ ก็ใกล้สมบูรณ์แบบ ถึงขั้นนี้แล้ว อาตมาประกาศตัวเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 มา 50 ปีแล้ว ทำงานนี้มา มันจะไม่เลื่อนพัฒนาเข้าไปหา 8 เข้าไปหา 9 บ้างเลยหรือ 

คอมมิวนิสต์ที่เขาปรับตัวเข้าหาประชาชนมีการเลือกตั้ง เป็นต้น แต่ก็ยังไม่มีนะ อาตมาได้พูดนำไปก่อน ยกตัวอย่างปรากฏการณ์จริงเช่นประเทศจีน ถ้าเขาจะเลือกตั้ง แล้วสีจิ้นผิงก็ลงเลือกตั้ง สีจิ้นผิงก็ต้องได้ ถ้าหากมีการเลือกตั้งเดี๋ยวนี้ขณะนี้ 

การเลือกตั้งนั้นมันดูง่ายๆ ว่าให้ประชาชนมีสิทธิ์ออกเสียง แต่มันมีวิธีการซับซ้อนอยู่ในนั้นมากมายองค์ประกอบ โดยเฉพาะในอเมริกาเป็นตัวอย่างของโลก เป็นตำรับตำราวิธีการเลย เรียนรู้ซับซ้อน มีกลยุทธ์ต่างๆ ประธานาธิบดีอเมริกาจะต้องเก่งในการทำกลยุทธ์เหล่านี้และหลงตัวเองว่าเป็นเบอร์ 1 ของโลก 

ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านก็ได้ตรัสไว้ว่า เราไม่เอาความเจริญก้าวหน้าแบบทางโลกเขา ท่านได้ตรัสตามพระจริยวัตรของท่าน “เราเลยบอกว่า ถ้าจะแนะนำได้ ต้องทำ “แบบคนจน” 

เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย  เรามีพอสมควร  พออยู่ได้ 

แต่.. ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก  

เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก 

เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก 

ก็ จ ะ มี แ ต่ ถ อ ย ห ลั ง !

ประเทศเหล่านั้นที่เป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมก้าวหน้า 

จ ะ มี แ ต่ ถ อ ย ห ลั ง  และถอยหลังอย่างน่ากลัว !  

แต่ถ้าเริ่มมีการบริหารที่เรียกว่า “แบบคนจน” 

แบบที่ไม่ติดกับตํารามากเกินไป ทําอยางมีสามัคคีนี่แหละ 

คือ เมตตากัน  ก็จะอยู่ได้ตลอดไป...”

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน กสิกรรมยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

พ่อครูว่า... อังกฤษกับอเมริกา อังกฤษเป็น 2 ขามีกษัตริย์ แต่ประชาธิปไตยอเมริกานั้นเป็นขาเดียวไม่มีกษัตริย์ ทุกวันนี้ อเมริกาเกิดทีหลัง อังกฤษเขามีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าอเมริกา ซึ่งมาถึงทุกวันนี้ก็ได้เสื่อมก็ล่มสลายแล้ว พูดจริงๆว่ามันล่มสลายแล้ว 

แต่จีนเขายังมีเทคโนโลยีสร้างความรู้ได้เก่งก็พอเลี้ยงตัวเขาได้ ถ้าเขาไม่มีสิ่งเหล่านี้ก็อยู่ไม่รอดหรอก จีนเขาก็แข่งในทุกด้านแล้วตอนนี้ 

พระเจ้าตรัสว่า อาหารคือหนึ่งในโลก ยิ่งใหญ่กว่าเพชรนิลจินดา ยิ่งใหญ่กว่าอาวุธ ยิ่งใหญ่กว่าอำนาจ อาหารที่กินเข้าไปเลี้ยงขันธ์นี่แหละ แม้จะเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นมนุษย์ก็ต้องกินอาหารเลี้ยงขันธ์ กวฬิงการาหาร 

อาตมาถึงกำชับกำชา ชาวอโศกรู้ให้ทันการณ์ว่า กสิกรรมยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ใครที่รังเกียจกสิกรรมไม่ยอมทำกสิกรรม ระวังจะตกยุค ชาวอโศกเป็นนักกสิกรรมตัวยง ตั้งแต่เป็นคนตัวเล็กตัวน้อยจนถึงคนแก่คนเฒ่าก็อยู่กับกสิกรรมเป็นหลัก ส่วนจะมีความถนัดด้านอื่นก็ต้องทำไปอาศัยบ้างไม่มีปัญหาอะไร แต่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือกสิกรรม จำให้ดีฟังให้ดีแล้วทำช่วย พื้นดินเราแค่นี้ก็ตามประมาณพันกว่าไร่ ยังมีที่ว่างอีก คนนำพาทำก็มีอยู่ หลายผู้หลายที่หลายแห่ง

พิจารณาให้ดีๆ เห็นความจริงอันนี้ให้ได้ แล้วลงมือกระทำเลย ระดมกันเลยโดยเฉพาะเป็นฆราวาส สมณะก็เข้าไปทำดูก็ยังดูไม่ค่อยดีนัก เพราะพระวินัยท่านก็กันเอาไว้อยู่ มันมีหลายอย่างที่จะไม่ลงในรายละเอียดว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงห้ามในเรื่องนี้ แต่พวกเราก็ยังไปช่วยทำอยู่บ้าง โดยปริยายก็ไม่ทีเดียว แต่พวกเพ่งโทษก็มี ไปบอกเขาขุด อย่างนี้ก็ไม่ได้ พวกเพ่งโทษก็ว่ากันไป เราเอาตามยุคสมัยองค์ประกอบที่มันไม่คงที่

 

ประชาธิปไตยที่เป็นของพระพุทธเจ้านี้ อาตมาเข้าใจของอาตมาว่า ตั้งแต่ในยุคของพระพุทธเจ้ามีพระชนม์ชีพ ท่านก็ทำประชาธิปไตยแบบนี้แหละ โดยมีจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลเป็นธรรมนูญ ตอนนั้นไม่ได้เรียกว่าเป็นรัฐธรรมนูญ จะเรียกว่าศีลธรรมนูญ คือหลักเกณฑ์ของคณะ ที่คณะของท่านไม่ได้ยึดสถานที่เป็นหลักแหล่งของตน ท่านมีศีลเป็นหลักกำหนด เป็นเครื่องชี้วัด เอามาใช้ปฏิบัติ เพื่อให้คนพัฒนาศีล สมาธิ ปัญญา หรือศีล อปัณณกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 ฌานอีก 4 ปัญญาอีก 8  คือ จรณะ 15 วิชชา 8 ครบครัน

ศึกษาให้ดีๆแล้วจะรู้ว่าศาสนาพุทธหรือลัทธิพุทธ เป็นศาสนาแห่งมนุษยชาติ ที่พระพุทธเจ้าท่านพัฒนาศึกษาเรียนรู้มาตั้งแต่ต้น จนกระทั่งเป็นโพธิสัตว์แต่ละลำดับมาจนบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า แล้วประกาศศาสนาเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งของโลก ขึ้นทำเนียบไปแล้ว จึงเป็นวิธีการของมนุษยชาติของสังคมที่จบสูงสุดแล้ว ไม่มีอะไรสูงสุดกว่านี้แล้ว ในระบบการบริหารปกครองประเทศ สังคม ไม่มีทฤษฎีระบบระบอบใดๆเท่าอันนี้อีกแล้ว พูดไปแล้วพูดที่ไม่เข้าใจ เขาก็ไม่เชื่อ เขาก็อาจจะฟังแล้วบอกว่าน่าฟัง น่าติดตามศึกษา ผู้ที่รู้จริงๆก็จะได้ประโยชน์มาก 

อาตมาได้พาพวกเราประพฤติปฏิบัติ โดยความรู้ที่ตามรู้มาจากพระพุทธเจ้าทุกพระองค์สืบต่อกันมา เป็นสัจจะหนึ่งเดียวไม่ได้แตกแยก ซึ่งยาก อาตมาก็ได้พูดทวนย้ำแล้วว่า ในยุคนี้เป็นยุคที่เสื่อมจากศาสนาพุทธลงไปตั้งแต่อาตมายังไม่เกิด อาตมาก็เห็นความเสื่อมนี้ จนกระทั่งอาตมารู้ตัว ไปหลงเป็นลิงลมอมข้าวพองอยู่ทางโลกตั้ง 30 ปี รู้ตัวแล้วก็มาทำงานสืบสานธรรมะพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ 50 กว่าปีมาแล้ว จนอายุ 80 กว่าปีแล้วอายุ 87 ย่างเข้า 88 แล้ว 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน เทวฺของคอมมิวนิสต์กับประชาธิปไตย 

พ่อครูว่า... ภาษาคำว่าคอมมิวนิสต์หรือประชาธิปไตยก็ดี เป็น 2 คำที่เรียกว่าเป็นเทวะ ขอย้ำและขออธิบายคำว่า คอมมูนสุดยอด ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สาธารณโภคี เป็นคอมมูนสุดยอด 

เป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าก็ทำเป็นสูตรไว้คือสาราณียธรรม 6 สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา  

ศึกษาได้จากความเป็นจริง ไม่ใช่เรื่องเป็นการเสแสร้งตกแต่งหลอกลวง แต่เป็นจริงจากจิตเป็นประธาน ใครทำได้มากใครทำได้น้อย ก็ออกมาตามความเป็นจริง จิตตัวตั้งลึกๆนั้นมีความยินดี มีฉันทะ มีความพอใจ มีความเชื่อมั่น ลัทธินี้ แบบนี้ ทฤษฎีนี้แหละ สุดยอด มาเอาอันนี้ 

ผู้ที่มีวุฒิภาวะแล้ว เป็นสิทธิส่วนตัว เป็นผู้ใหญ่แล้ว มีวุฒิภาวะ อิสรเสรีเต็มที่แล้ว บอกตัวเองได้ ส่วนเด็กๆยังอยู่ในความปกครองของผู้ใหญ่ ก็อาจจะมีอำนาจของผู้ใหญ่บังคับไว้อยู่บ้าง แต่เด็กบางคนเขาเข้าใจเต็ม พอใจเต็มกว่าผู้ปกครองอีกก็มี 

ส่วนจะมาเป็นสาธารณโภคีหรือเป็นโลกุตระขนาดนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆตื้นๆ จะมาสร้างภาพเล่นลิเก ละคร ไม่ได้ มันต้องเป็นความจริง มีทั้งเจโตและปัญญาที่จริง แล้วนำพาให้ชีวิตมามีพฤติกรรมนั้นจริง จึงจะเกิดขึ้นเป็นวัฒนธรรม เป็นสังคมที่มีพฤติการณ์ ที่เป็นเอหิปัสสิโก เชิญให้มาพิสูจน์ยืนยันได้ เชิญมาพิสูจน์สำรวจตรวจสอบได้เลย 

มันจึงยากที่ว่าแม้แต่ความเข้าใจ กว่าที่นักรัฐศาสตร์ทั้งหลายจะเข้าใจ มี Concept สัมมาทิฏฐิตรงกันตามที่อาตมากำลังหมายถึงนี้ ของพระพุทธศาสนาหรือของประชาธิปไตยที่เป็นสาธารณะโภคีของพระพุทธเจ้า 

Concept ของอาตมากับ Concept ของคนที่เขาเป็นนักรัฐศาสตร์ศึกษาเป็นด็อกเตอร์ เป็น Post Doctor นั้น ก็ตาม เขาก็ยังจะต้องตามศึกษาให้ดีๆ เข้าใจให้ถูกต้อง อาตมาจึงเห็นใจมากเลย พฤติการณ์จริงมันก็ส่อแสดงให้คนเห็นและรับรู้อยู่ 

ของประเทศไทยในขณะที่มีรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างนี้เป็นต้น อาตมาก็ยืนยันรับรองว่า รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ เป็นประชาธิปไตยที่สวยงามที่สุดในขณะนี้สวยงามที่สุดของโลก คนก็ไม่ค่อยเชื่อ ซึ่งขออธิบายไป 

ลองเทียบ เมืองไทยกับสหรัฐอเมริกา จะเห็นได้ว่าเมืองไทยเจริญกว่าแน่ๆ ในด้านรัฐศาสตร์ แม้ว่าไทยจะสร้างอาวุธไม่เก่งเหมือนอเมริกา สร้างคอมพิวเตอร์ สร้างเครื่องอุตสาหกรรมสู้ไม่ได้ แม้ว่าทางด้านกสิกรรม ก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าอเมริกาจะมีมากหรือสมบูรณ์กว่าไทยหรือเปล่า แต่คงมีพอดูได้ว่าประเทศไทยชัดเจนกว่าในเรื่องกสิกรรม เพราะอย่างน้อยที่สุดอเมริกา ฤดูกาลที่จะปลูกพืชผักก็มีไม่ได้มากเท่าของเมืองไทยหรอก แต่ว่าอเมริกามีพื้นที่ใหญ่กว่าประเทศไทยไม่รู้กี่เท่า 

ตีเข้าเป้าตรงที่ว่า ประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์มีจุดหมายปลายทางตรงกัน คือให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข มีเศรษฐกิจ คำว่า เสฏฐะ แปลว่าความประเสริฐ ความเจริญ ไม่ได้เป็นเรื่องการนับตัวเลข เศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจที่ดีไม่ได้หมายความว่า คนมีเงินมากกว่ามีเศรษฐกิจดี คนรวยมีเศรษฐกิจดี อย่างนั้นผิดไปถนัด 

จริงๆแล้วคนรวยเป็นคนเศรษฐกิจต่ำ ความประเสริฐต่ำ ปฏิบัติสิ่งที่ไม่ประเสริฐเลยสำหรับคนรวย มันเป็นอย่างนั้น ขออภัยที่พูดนี้เป็นการอธิบายวิชาการ ความรู้ความจริงที่ชัดเจน ไม่ได้ไปด่าว่าไม่ได้ข่มหรือดูถูกดูแคลนใคร เข้าใจความจริงใจของอาตมาให้ได้ อาตมากำลังสาธยายวิชาการ กำลังดัดจริตให้สุจริตเป็นนักวิชาการ บางคนอาจจะบอกว่าอาตมาไม่สุจริตที่จะมาเป็นนักวิชาการ เพราะไม่มีเบื้องหลัง ชาตินี้ไม่มีอะไรมารับรอง เรียนทางโลกเขาก็ได้แค่ ปวส. ที่จริงเป็นการเรียนอาชีวะ เป็นประโยคมัธยม ไม่ถึงปริญญาตรี 

ทางด้านทำงานก็ไม่มียศศักดิ์ ไม่ได้มีสิบตรี สิบโท สิบเอก ไม่ต้องพูดถึงร้อยตรี ร้อยโท ยิ่งเป็นผู้กำกับไม่ถึงแน่นอน ก็ได้แค่นี้แหละ แต่อาตมาทำงานกับสังคมมาจริงจังตลอดชีวิต จะทำไปจนตาย ชาติหน้าเกิดมาทำอีก ไม่ไปทำอย่างอื่นหรอก ตัวเองไม่มีปัญหาจะอยู่ จะเป็น จะตาย ยังไงไม่มีปัญหาแล้ว 

ทำงานกับประชาชน เรียกอย่างเพราะๆก็คือ รับใช้ประชาชนหรือช่วยประชาชนไป ทำประโยชน์ให้แก่ประชาชนไป พูดเหมือนเอาดีใส่ตัว แต่มันเป็นสัจจะที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องพูดความจริง 

จริงๆแล้วคำว่า ประชาธิปไตยกับคอมมิวนิสต์ ความหมาย 2 คำนี้ ในนิยามของมัน 

คอมมิวนิสต์ก็มีภาวะการบังคับ ประชาธิปไตยก็เป็นภาวะที่อิสรเสรีภาพสมบูรณ์กว่า ประชาธิปไตยเป็นลัทธิ เป็นภาวะที่อิสรเสรีกว่า คอมมิวนิสต์ยังมี Command ยังมีการบังคับอยู่ในที 

เพราะฉะนั้นคำว่าคอมมิวนิสต์กับเทวนิยม คอมมิวนิสต์เขาไม่เอาเรื่องศาสนา เทวนิยมเป็นเรื่องของศาสนา เพราะฉะนั้นคอมมิวนิสต์เขาจึงไม่รู้จักว่าเทวนิยมหรืออเทวนิยมคืออะไร  พวกศาสนาที่ไม่เอาการเมืองก็ไม่รู้ว่าคอมมิวนิสต์คืออะไร ประชาธิปไตยคืออะไรอย่างนี้เป็นต้น มันก็เป็นความไม่สมบูรณ์ในการศึกษาของแต่ละพวก ในมนุษย์ก็ต้องศึกษาทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นประเด็นใดก็ต้องศึกษา แล้วเราจะรู้ว่านิยามคำว่าคอมมิวนิสต์เป็นเช่นนี้ นิยามคำว่าประชาธิปไตยเป็นเช่นนี้ 

สรุปอีกที ประชาธิปไตยอิสรเสรีภาพสมบูรณ์แบบกว่าคอมมิวนิสต์ ไม่ได้พูดข่ม ไม่ได้เอาประชาธิปไตยไปข่มคอมมิวนิสต์ แต่จะพูดเป็นวิชาการพูดความจริง ความเป็นจริงมันจะมีเช่นนั้น

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ประชาชนปฏิวัติยึดอำนาจ พลเอกประยุทธ์มารับไม้ต่อจากประชาชน

พ่อครูว่า... ในข้อที่ 8 คอมมูนิสต์ ที่มีการเลือกตั้ง ปรับตัวเป็น  “ประชาธิปไตยคอมมูน” (คือมีทั้งประชาธิปไตย + คอมมูน) คือเอาทั้งคอมมิวนิสต์ ไม่ยอมทิ้งคอมมิวนิสต์ แต่ก็จะเป็นประชาธิปไตย ก็เลยเป็นประชาธิปไตยที่บวกเอาคอมมูนไปด้วย จนเห็นว่าประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง ประชาชนออกความเห็นทั่วประเทศ อาตมาก็ให้ความเห็นว่าการเลือกตั้งมันไม่บริสุทธิ์สะอาดหรอก มันมีอะไรอยู่ในนั้นเยอะ ถ้าเป็นสัจจะความจริงที่จะจริงก็จริงกว่า ยิ่งกว่าการเลือกตั้ง 

ยกตัวอย่างในประเทศไทย รูปแบบเหมือนพลเอกประยุทธ์ยึดอำนาจ นักรัฐศาสตร์หรือใครเขาก็บอก ฉะนั้นพวกที่เป็นฝ่ายค้านก็จะเอาตรงนี้มาพูด ว่าพลเอกประยุทธ์ไม่ได้ยึดอำนาจ แต่เมืองไทยนี้ประชาชนยึดอำนาจ คนเขาไม่ยอมเชื่อไม่ยอมเข้าใจ แม้ว่าจะยังเข้าใจไม่ได้ก็ตาม ประชาชนยึดอำนาจเป็นอย่างไร 

พฤติกรรมสิ่งที่ประชาชนไปประท้วงยึดอำนาจรัฐบาลตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ ต่อมาเป็นพลเอกสนธิ บุญยรัตกลินก็มายึดอำนาจ ประชาชนก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ยอมรับ เอาดอกไม้ไปเสียบปลายปืนให้ ต่อมาทักษิณก็ส่งนอมินีมา เป็นนายสมัคร ประชาชนก็ออกไปไล่ จนตกกระป๋องไป เขาก็บอกว่าเป็นตุลาการภิวัฒน์ ศาลตัดสินให้ออกจากนายกฯ ซึ่งก็จริงเหมือนกัน ทักษิณก็ส่งสมชายมา ประชาชนก็ไปประท้วงปฏิวัติอีก จนเขาไม่ได้เข้าทำเนียบ ประชาชนไปปลูกข้าวในทำเนียบทำนาในทำเนียบเลย สุดท้ายสมชายตกไป มีรัฐบาลอภิสิทธิ์มาคั่น มีการเลือกตั้งอีก จนคุณอภิสิทธิ์ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ตอนนี้ทักษิณก็เบ่งอีกเลย แกถึงเชื่อว่าเอาเสาไฟฟ้ามาลงก็จะได้อีก ซึ่งก็จริงของเขา 

ขุดเอาน้องสาวมา 49 วันได้เป็นนายกฯเลย หาเสียง เก่งจริงๆ ซึ่งเราก็ไปไล่อีก อย่างสำคัญเลย พลเอกปรีชาขึ้นบนรถ 6 ล้อ บอกว่าปฏิวัติแล้ว ให้ปลัดกระทรวงมารายงานตัวด่วน ก็ไม่มีปลัดกระทรวงคนไหนมาสักคน พลเอกปรีชาก็เลยมาทำฎีกาไปถวายในหลวง คนรับไปก็ไม่กล้าถวายในหลวงอีก ก็เลยส่งกลับมา ต่อมายิ่งลักษณ์หมดอำนาจ ให้นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล เป็นรักษาการนายกฯแทน พลเอกประยุทธ์ก็บอกว่า ผมขอยึดอำนาจ ที่จริงแล้วไม่ได้ยึดอำนาจหรอก แต่มันยังไม่เคยมีในโลกเลยเหตุการณ์แบบนี้ 

ประชาชนได้ยึดอำนาจแล้ว สุดท้ายทักษิณก็ยังไม่ยอม พยายามดิ้นรนเพื่อจะเอาชนะอยู่นั่นแหละ ประชาชนก็เอาความสงบสยบความรุนแรงตลอดเวลา จนกระทั่งทุกวันนี้ คณะ 3 กีบ ก็พยายามยืนยันความสงบ แต่มันสงบไม่ได้ทีเดียว เกิดความวุ่นวาย ทำเสียงดัง สารพัดวิธีใช้จิตวิทยา 

คำว่าปฏิวัตินั้น จนกระทั่งถึงรัฐประหาร ประเทศไทยทำสำเร็จที่สุด สวยงามตรงที่ว่า พลเอกปรีชาจะขึ้นก็ไม่มีใครขานรับ คุณจำลองก็หลบ อาตมารู้จิตของคุณจำลองว่า พลเอกปรีชาเกิดปีเดียวกันกับคุณจำลอง พลเอกปรีชานับถือพลตรีจำลองเป็นพี่ พลตรีจำลอง ก็ไม่ยอมรับอำนาจ เพราะจะเป็นการปฏิบัติเพื่อตัวเอง ก็เสียหมด ปฏิวัติแล้วครองอำนาจเองก็คนจะมองว่าเป็นเผด็จการเอง ที่เป็นพลเอกประยุทธ์นั้นเพราะอยู่ในหน้าที่ที่จะต้องจัดการ อาตมายังบอกว่าออกมาช้าไปน่าจะเร็วกว่านี้ แต่ก็ยังดีที่ออกมา อาตมาใช้คำว่าพลเอกประยุทธ์มารับไม้ต่อจากประชาชน เป็นเรื่องรัฐศาสตร์ที่ต้องศึกษากันไป เขาก็บอกว่ามาปฏิวัติ มายึดอำนาจ โดยรูปแบบโดยสัญลักษณ์มันใช่ แต่โดยสภาวะธรรมลึกๆ มันคือประชาธิปไตยที่สวยงาม รูปลักษณ์เป็นทหารมา พลเอกประยุทธ์ก็เลยคาคออยู่อย่างนั้น 

ตอนแรกก็บริหารโดยไม่มีการเลือกตั้ง เขาก็ว่าได้เต็มที่ว่าพลเอกประยุทธ์มายึดอำนาจ จนกระทั่งต่อมาพลเอกประยุทธ์ได้เป็นนายกอีก เป็นนายกฯนอกพรรคการเมือง พรรคต่างๆ โหวตให้พลเอกประยุทธ์มาเป็นนายกฯ โดยที่ไม่ได้สังกัดพรรคอะไร ซึ่งเป็นความเป็นประชาธิปไตยที่สวยงาม พลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯตั้งแต่วันนั้นจนถึงบัดนี้ ก็เป็นนายกฯที่รับการเลือกโดยการโหวตเสียง พวก ส.ส, ส.ว ให้เป็นนายกฯ ก็เป็นนายกฯจากเสียงประชาชนที่มาจากมติรัฐสภา เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 

พวกที่เสียอำนาจก็พยายามดิสเครดิต พลเอกประยุทธ์ พยายามจะให้ลงจากนายกฯ กระแสต่างประเทศก็ยังไม่มีท่าทีให้ลง แต่ลึกๆซับซ้อน หากว่าพลเอกประยุทธ์อยู่เขาก็จะเข้ามาแผ่อำนาจในไทยไม่ค่อยได้ แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมาก เพราะว่ารัศมีของนายกฯประยุทธ์ยังมีมาก แต่ละประเทศไม่กล้าแสดงออกเต็มที่ว่าเห็นด้วยว่าประยุทธ์ควรออก นี่คือกระแสของโลก 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ

สู่แดนธรรมว่า... 

 

พ่อครูว่า... ประเทศไทยก้าวหน้าล้ำสมัยกว่าประเทศอื่นไปหลายก้าว จะพูดเทียบเคียงระหว่างไทยกับอังกฤษซึ่งมีกษัตริย์เป็นประมุขเหมือนกัน อังกฤษเป็นต้นแบบประชาธิปไตย มีอายุยืนยาวนานของประเทศ เป็นพันปี ประเทศไทยอายุยังไม่ถึงพันปี อังกฤษเขาหลายพันปีแล้ว อังกฤษจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย เขาก็เป็นต้นตอของประชาธิปไตย 

ทางอเมริกาเป็นประชาธิปไตยแหกคอก เป็นประชาธิปไตยขาเดียว ไม่มีกษัตริย์ ผ่านมา 200-300 ปี ประชาธิปไตยของอเมริกา เห็นได้เลยว่า สังคมอเมริกาเป็นแบบใด ใช้อำนาจโลกีย์เขี้ยวเล็บอำนาจบาตรใหญ่ ซึ่งอังกฤษก็เคยพยายามล่าอาณานิคมมาแล้ว อังกฤษก็ได้สำนึกมาแล้ว สร้างพระคุณมากกว่าพระเดช แต่อังกฤษก็เป็นประเทศที่ไม่รวย ซึ่งแปลก คนขึ้น Billboard ร่ำรวยที่สุดในโลกเท่าไหร่ แต่ว่าประเทศไทยมีเศรษฐีติดอันดับโลกนะ เมืองไทยประเทศเล็กนิดเดียว ประเทศอังกฤษเขาก็ไม่ใหญ่ 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ความประเสริฐที่สุดในการเกิดเป็นมนุษย์ในยุคนี้ 

พ่อครูว่า... ขอวกเข้ามาหาพวกเรา ชาวอโศกเราจะทำอย่างไร ขณะนี้ชาวอโศกก็พยายามที่จะทำงาน โดยที่อาตมามองเห็นว่า เป็นโอกาสพอสมควรแล้ว โอกาสที่ว่า แต่ก่อนเราเผยแพร่อยู่แต่แค่ในอินเทอร์เน็ต แค่แวดวงสื่อสาร วงเล็ก ไม่กินไปกว้างถึงระดับดาวเทียม หลายช่องโทรทัศน์ เขาก็มีหลายดาวเทียม ของเราก็ขอขึ้นสักดวงนึง ก็ยากเย็นแสนเข็ญ แต่ก่อนสู้หน้าดำหน้าแดงจนกระทั่งต้องหลบไปเลย ต้องพักไปไม่ออกไปไม่ได้เลย ซึ่งเราก็จะออกอากาศอีกครั้ง พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าจะไปเรี่ยไร เราไม่รับเงินจากสมาชิกที่ไม่ใช่ชาวอโศกจริงๆ เรารับเฉพาะสมาชิกชาวอโศกเราจริงๆ เรามีกองทุนจัดตั้งขึ้นแล้วเปิดบัญชีขึ้นแล้วว่าอันนี้เป็นกองทุนโทรทัศน์ ตั้งแต่เริ่มต้นทำงานศาสนามา อาตมาไม่ได้เอาเงินจากภายนอกทั่วไปมาใช้ เอาแต่สมาชิกที่ตรงตามกติกาที่เราตั้งไว้ ทำอย่างนี้ก็เป็นความบริสุทธิ์ว่าเป็นของพวกเราเอง ไม่ได้อาศัยแรงคนอื่นจะอาศัยแรงคนของเราเอง ดำเนินกิจการมา พอมาถึงวันนี้เราก็กำลังดำเนินการอีกเฮือกหนึ่ง 

ดูซิว่าในตลาดสังคมจะรับโลกุตรธรรม เราก็ทำแบบเดิมแหละ ไม่ได้มีแบบอื่นหรอก เป็นแต่เพียงวิธีการเราเปลี่ยนแปลง กลับมาเป็นอย่างนี้อีกที ก็ดูๆอยู่ว่า วันนี้จะมีคนดูสักเท่าไหร่ แต่ยังไม่ได้ถึงวันที่ 1 ก.ย. 64 นะ ก็ลองดู 

สรุปว่า เราเป็นคนเกิดมาเป็นคนคนหนึ่งในโลก ในกาละนี้กับเขา คุณจะอยู่ในโซนไหนของโลกก็ตาม คุณก็ต้องอย่ากลายเป็นคนหนักโลก อย่ากลายเป็นปลิงเป็นทากของโลก เราต้องเป็นคนที่ช่วยโลก โดยเฉพาะช่วยตนเองให้รอดโดยไม่เป็นภาระใคร แล้วก็พยายามที่จะช่วยเหลือคนอื่นให้ได้ นี่เป็นความสำเร็จของความเป็นมนุษย์ชาติ 

ไม่ใช่ว่าเราอวดดีอวดเก่ง แต่มันเป็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ เราช่วยผู้อื่นได้มากเท่าใดก็เป็นคุณค่าเท่านั้น จริงใจ ไม่ได้ทำเพื่อแลกลาภยศสรรเสริญโลกียสุขเลย แต่เห็นความจริงตามความเป็นจริงว่านี่คือความประเสริฐของมนุษยชาติ แล้วก็ขอทำเช่นนั้นจริงๆ 

จบ


เวลาบันทึก 02 ธันวาคม 2564 ( 21:06:01 )

640913

รายละเอียด

640913_รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 9

https://www.boonniyom.net/50689.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/10VeLOX5gKe4RAcyAJSNq79fnXAY3uSZkaMxpFAbCyTo/edit?usp=sharing 

 

ดาวน์โหลดเสียงที่    https://drive.google.com/file/d/1-HNdBizupWgjZJ11v_ZkCaAT05c0bbvi/view?usp=sharing 

     

และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/219257660220510 

 

พ่อครูว่า... วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 13 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 10 ปีฉลู อาตมาเกิดแรม 8 ค่ำ 

เรามาเริ่มกันที่ SMS 

SMS วันที่ 10-12 ก.ย. 2564 

_1626 : ได้ดูบุญนิยมเเล้วมีความสุขมากเหมือนได้ไปวัดเลย กราบมนัสการพ่อครูและทีมงาน 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ปัญญาวิมุติต่างจากอุภโตภาควิมุติต่างกันอย่างไร

_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งค่ะ ลูกฟังพ่อครูเทศน์ เรื่องบุคคล7 ปัญญาวิมุติ ก็ได้เป็นพระอรหันต์ และอุปภโตภาควิมุติก็ได้เป็นพระอรหันต์  ลูกอยากถามพ่อครูว่า พระอรหันต์สองบุคคลนี้ต่างกันอย่างไรคะ 

พ่อครูว่า... อธิบายอย่างสรุป ปัญญาวิมุติกับ อุภโตภาควิมุติ พระพุทธเจ้า ตัดเคิร์ฟตัดเกรด พอเป็นปัญญาวิมุติ เป็นบุคคลที่ 6 ถือว่าเป็นอรหันต์ได้แล้ว หรือจะนับ อุภโตภาควิมุติ เป็น 1 ปัญญาวิมุติเป็น 2 นับขึ้น หรือนับลง ปัญญาวิมุติก็เป็นอันดับ 2

 

ปัญญาวิมุติท่านตัดให้เป็นอรหันต์ได้เพราะว่าสิ้นอาสวะ หมายถึงอาสวะดับไม่มีทางเวียนกลับมาเกิดอีก นอกจากเจ้าตัวจะตั้งจิตเกิด อันนี้เป็นเรื่องที่อาตมาเอามาเปิดเผย โดยเฉพาะในสายเถรวาทของเมืองไทย ถือว่าอรหันต์ ถ้าผู้ใดบรรลุอรหันต์แล้วตายลงไปในชาติใดก็แล้วแต่ต้องตายสูญ จะเกิดอีกไม่ได้ นี่คือมิจฉาทิฏฐิของชาวเถรวาทอันนึง ซึ่งเรื่องอื่นเขาก็เข้าใจอยู่แบบนี้เยอะเหมือนกัน อาตมาก็มาเปิดเผยไขความลับว่ายังไม่ใช่ 

อรหันต์คือบุคคลที่ สามารถที่จะยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ เป็นอมตะบุคคล ในมูลสูตร 10 อมตะบุคคลเป็นบุคคลในระดับ 9 แล้ว สามารถจะเกิดหรือจะตายเองได้ จะเกิดหรือจะตายศูนย์ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ ไปแล้วแยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมได้ แยกแล้วก็จบจะเอามารวมกันเกิดใหม่อีกไม่ได้ ก็เลิกเลย หรือจะยังไม่ตาย อมตะบุคคลจะยังไม่ตายก็ได้จะเวียนกลับมาเกิดอีกก็ได้ ยังไม่ตายด้วยนิพพานหรือวิมุติ 3 คือยังตั้งจิตเกิดอยู่ ยังไม่ตายด้วย 0 อนิมิตนิพพานหรืออปนิหิตนิพพาน ยังไม่ตาย 0 อย่างนั้นยังไม่หมดก็เกิดได้อยู่อีก 

ความซับซ้อนลึกซึ้งพวกนี้ มันเป็นลักษณะสิริมหามายา มีคำว่ามายาด้วยบัญญัติ แต่มันเป็นความจริงเป็นสิริมหามายา เป็นผู้ให้เกิดพุทธวิสัย 

แม่ของพุทธ สิริมหามายาคือแม่ของพุทธ ดังที่พระพุทธเจ้าสมณโคดมเกิดมาในยุคนี้ใช้บัญญัติตรงกับสภาวะ สิทธัตถะต้องมีแม่ชื่อสิริมหามายา ซึ่งดูแล้วก็บอกว่าชื่อมีเยอะแยะทำไมตั้งชื่อมเหสีของพระเจ้าแผ่นดิน ตั้งชื่อแบบไม่มีมายาก็ได้ เอามายามาตั้งทำไม แต่ก็ต้องตั้ง สำหรับพระพุทธเจ้าสมณโคดม แม้แต่ลูกยังต้องเชื่อราหุลเลย อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่อง อจินไตย อาตมาเข้าใจสภาพพวกนี้ ในฐานะที่อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็เข้าใจ อจินไตย ระดับ 

อุภโตภาควิมุติ ก็แน่นอน อุภโตแปลว่า 2 ทีนี้มีวิมุติทั้ง 2 ครั้ง เจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ 

เจโตวิมุติสุดยอดจริงๆนี้ยัง ยัง เพราะฉะนั้นเจโตวิมุติสุดยอดคืออะไร ก็คือการดับอนุสัย ไม่ใช่ดับอาสวะ อันนี้แหละยากมากเลย ระหว่างอาสวะกับอนุสัยคืออะไร อาตมาไขหมดแล้ว ไขถึงพยัญชนะ

สว กับ สย แล้วอนุสยะ กับ อาสวะ ไขไว้หมดแล้วทำไมใช้อา อนุกับ อา อะไรสั้นอะไรยาวกว่ากัน อะไรเล็กอะไรยาวกว่ากัน อนุสยะ คือสุดยอดจิต อนุสัยที่เป็นกุศลก็ได้เป็นอกุศลก็ได้ อันนี้ไม่มีใครมาเปิดเผยหรอก เขาบอกว่าอนุสัยคือสิ่งที่เป็นอกุศลหมด แต่อาตมาว่า อนุสัยนี้ในความเป็นพระอรหันต์ก็มี พระอรหันต์ที่ต้องรักษาสยะ อย่างเล็กละเอียดสุดแล้ว ถ้า อา นี้หยาบ แต่อนุ นี้ทั้งอะ ทั้งนุ สั้นหมด แล้ว นะ นุ นะ ก็แปลว่าไม่ แถมสามเส้าด้วย อะ อิ อุ

อาตมาขยายแม้แต่สระ ว่ามีพยัญชนะกับสระ ก็ไม่อยากจะขยายมากเกินไป เพราะคนที่ชอบจะหมกมุ่นกับเรื่องนี้และไม่ยอมเอาไปปฏิบัติ เมื่อไปติดกับพยัญชนะเหล่านี้แล้วไปเลยนะ พวกที่ติดภาษาเดี๋ยวนี้อย่างพวกเถรสมาคม ติดบัญญัติภาษาติดความรู้แล้วไม่เข้าสู่การปฏิบัติจิตไม่เข้าสู่สภาวะ มากกว่ามาก ทั้งนั้นเกือบทั้งนั้น อาตมาเกรงใจนะทั้งที่น่าจะบอกว่าทั้งนั้นเลย 

เพราะ อาตมาแน่ใจว่ายังไม่มีใครบรรลุอรหันต์เลยในเถรสมาคม หรือในกระบวนการทั้งหมดของศาสนาพุทธในยุคนี้ยังไม่มีใครบรรลุอรหันต์ ที่มุขกัน เข้าใจผิดว่าเป็นอรหันต์กันยังเป็นอรหันต์มิจฉาผล อรหันต์เก๊ อาตมาก็พูดไปแล้วอย่างเกรงใจ แต่ก็จำใจต้องพูดเพราะมันปิดบังไม่ได้ ปิดบังก็เป็นการอมพนําก็เสียไปอีกเข้าใจผิดไปหมด มันต้องแก้จากผิดให้ถูก ที่ไปยึดอย่างผิดนั้นมันน่าสงสาร 

อาตมาก็ต้องยอมเสียรังวัด เพราะมันเสียตรงที่คนที่เขาชังน้ำหน้าอาตมา ใครจะไปอยากให้ใครมาชังน้ำหน้าตัวเอง มันจำนนและจำเป็นจริงๆ สุดจำนนสุดทางที่จะต้องพูด ต้องเปิดเผยความจริง แล้วก็ยืนยันไปอธิบายไปอ้างอิง มีพระไตรปิฎกเป็นหลักอ้างอิง เพราะอาตมาไม่มีบุคคลที่จะอ้างอิงได้ 

ชาตินี้อาตมามีโชคอยู่อย่างเดียว ที่อาตมาเกิดมาในยุคร่วมกันนี้ มีพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้อ้างอิงสภาวะตรงกันบ้าง แต่วิบากอาตมาที่เป็นหมากลางตลาด ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็เลยอยู่คนละฟากฟ้า อาตมาพูดนี้ไม่ได้น้อยใจ มันเป็นสภาวะจริง อาตมาต้องเป็นเช่นนี้ถ้าไม่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่อันนี้ อย่างนั้นด้วย มันต้องเป็นอันนี้แหละ ไม่อย่างนั้นอาตมาไม่ได้พิสูจน์ตัวเอง ปางนี้อาตมาต้องพิสูจน์ตัวเองหนัก ให้คนเข้าใจผิดหนักๆไว้แหละดี แล้วต้องยืนยันพิสูจน์ความจริงจนกระทั่งเขาจำนนว่าอย่างนี้ใช่ เขาเข้าใจผิดอย่างไรสุดท้ายก็ต้องจำนนอาตมา ว่าอาตมามีสภาวะจริงเป็นผู้ที่พูดความจริงเป็นเรื่องจริงจนเขาจะต้องจำนน

สรุปลงที่อรหันต์ 2 อย่าง อรหันต์อย่างหนึ่งสิ้นอาสวะ อรหันต์อย่างหนึ่งสิ้นอนุสัย อุภโตภาควิมุติ สิ้น ทั้งอาสวะและอนุสัย ปัญญาวิมุติสิ้นเฉพาะอาสวะ อนุสัยมี 7 อาสวะมี 10

ก็เคยอธิบายเอาไว้ แต่ไม่ขอลงรายละเอียดในวันนี้ 


 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน การกินเนื้อสัตว์ที่บริสุทธิ์โดยส่วน 3 และ 5 ข้อที่บาปเป็นอันมาก

_จรรยา อิ่มประเสริฐ : เป็นเรื่องที่แปลก แต่ไม่แปลก อ่านหนังสือคนถามพระว่า คนดีตาย ไปแล้วขึ้นสวรรค์ แล้วสัตว์เดรัจฉาน หมู หมา กา ไก่ ช้าง ม้า วัว ควาย ที่ทำดี ตายแล้ว มี สวรรค์ของสัตว์หรือไม่ พอมาฟังพ่อเทศน์ เรื่องเลี้ยงสัตว์เท่ากับทำบาป เพราะไม่ยอมให้สัตว์ใช้วิบาก เกิดเป็นสัตว์ก็คือตกนรก ยิ่งเอาหมา มาเลี้ยงให้ใส่สร้อยคอทองคำฝังเพชร

นอนติดแอร์ แถมเรียกลูกบ้าง น้องบ้าง ยิ่งทำให้สัตว์เหล่านั้นติดใจ และไม่ได้ใช้วิบาก

ตายไปก็เกิดเป็นหมาอย่างเก่า ยิ่งเอามาเลี้ยงแล้วเอามาฆ่ากิน ยิ่งต่อเวรเข้าไปใหญ่ ดิฉันเข้าใจ วิบากอย่างนี้ แต่ก็แปลกนะคะ ญาติธรรมบางคนยังเลี้ยงหมา แมวอยู่ เป็นงง ว่าไม่เข้าใจพ่อเทศน์หรือ?????? 

พ่อครูว่า... ถ้าสัตว์ทำดีก็เจริญขึ้น เป็นสวรรค์ของฐานะสัตว์ ก็คือมันพัฒนาขึ้น ก็คุณเป็นคนก็ต้องพัฒนาจากสัตว์มาทั้งนั้น ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวจนกว่าจะได้มาเป็นคน จนกว่าจะเป็นคนที่เป็นสัตว์สอนได้ เป็นเวไนยสัตว์ ต้องผ่านอเวไนยสัตว์มา ซึ่งสอนไม่รู้เรื่อง อันนี้เป็นอจินไตยที่ สุดวิสัย สอนอย่างไรก็สอนไม่ได้เพราะรอบเขายังไม่ถึง เหมือนสอนเด็กที่ยังไม่เดียงสามันไม่ถึงขีดเขต สอนอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องหรอก ฉันใดก็ฉันนั้น อันนี้ก็คงพอเข้าใจอย่างนี้เป็นต้น 

นำสัตว์มาเลี้ยงเป็นการไม่ให้สัตว์ใช้วิบาก อันนี้เป็นเรื่อง อจินไตย จริงๆ หมาก็มีจิตหลงตัวเป็นอัตตา และอัตตาที่อวิชชาด้วย สัตว์เดรัจฉานอย่างหมามันมีอวิชชา มันก็ยึดถือต่ำลงไปอีก ตกนรกหนักลงไปอีกนานชาติ ไปเกิดซ้ำซ้อนอีกตั้งไม่รู้กี่ชาติ กว่าจะได้เจริญขึ้นมาใหม่อีก นี่มันซ้อนอย่างนี้ เพราะฉะนั้นอย่าไปสร้างวิบากให้สัตว์ คนเอาสัตว์มาเลี้ยงเท่ากับทรมานสัตว์ ตัวเองก็เป็นวิบากร่วม สัตว์ก็ตกต่ำไม่ได้เจริญ อันนี้อาตมาก็พูดไป สอนไปอธิบายไป อ้างศีลของพระพุทธเจ้า จุลศีลที่ท่านบอกไว้เป็นหมวดหมู่ 

แม้ที่สุด ขอซ้ำตรงนี้ คิดอยู่เมื่อคืนว่าน่าจะย้อนช่วงนี้ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ชีวกสูตร 5 ข้อนั้นที่มี 2 นัยยะสำคัญ

นัยยะหนึ่งก็บอกว่า บริสุทธิ์โดยส่วน 3 กับ ความเป็นบาปไม่ใช่บุญเป็นอันมากเลย 5 ข้อ ในชีวกสูตร สำคัญอยู่ 2 ประเด็นนี้ 

ที่บอกว่า บริสุทธิ์โดยส่วน 3 เขาก็ไปแปลเข้าข้างตัวเองว่า มุ่งหมายจิตมีเจตนา มีสัญจิตเจตนา อุทิสมังสะ

คนที่มีจิตใจมุ่งจะฆ่าสัตว์ ไม่ว่าคุณไม่ได้เป็นผู้ลงมือฆ่า แค่คุณมีจิตมุ่งฆ่า แล้วก็ดำเนินการให้คนที่เขาไปฆ่าทำตามที่คุณต้องการ นั่นแหละจะมีบาปเป็นอันมาก 5 ประการ 

เอา 3 ประการ บริสุทธิ์โดยส่วน 3 

ไม่เห็น ไม่สัมผัสทนโท่ว่าสัตว์นี้ตายด้วยคนฆ่า คนมีเจตนามีความมุ่งหมาย อุทิสะ มีสัญเจตา คนน่ะฆ่า ไม่ใช่สัตว์มันฆ่ากันไม่ใช่มันตายเอง 

ปวัตตมังสะ มี2 1 สัตว์มันตายเองทิ้งร่างมันอย่างนี้ไม่เป็นวิบากกินได้ สัตว์ตายเอง จะตายด้วยโรคหรือตายโหงก็แล้วแต่ 

กับอีกอันหนึ่งมันเป็นเดนของสัตว์กิน คือมีสัตว์ตัวอื่นเป็นผู้ข้าไม่ใช่คนเป็นผู้ฆ่า ไม่ใช่ถูกฆ่าด้วยคน แต่ถูกฆ่าโดยสัตว์ ซึ่งมันเป็นวิบากแก่กันและกันเกินกว่าที่เราจะไปล่วงล้ำอันนั้น เพราะฉะนั้นสัตว์ที่มันฆ่ากันเองมันก็รับวิบากกันไป เมื่อสัตว์มันฆ่าแล้วสัตว์มันก็กินกัน กินแล้วมันก็เหลือ เป็นเดน มันทิ้งแล้วเป็นเนื้อบังสุกุลแล้ว เออ อย่างนั้นคุณเอามากินได้ ปวัตมังสะมี 2 อย่าง

การบริสุทธิ์โดยส่วน 3 ไม่มีพยัญชนะเกินกว่านั้น มีแต่ว่า สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตุง  คำว่า สัญจิจจะ คือเจตนา หรืออุทิสะ เจตนาของคน คนไปฆ่าสัตว์ ก็ไปเบี้ยวบาลีว่า เจตนาฆ่าสัตว์ตัวนี้คือเจาะจงให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเท่านั้น ซึ่งไม่มีรายละเอียดเป็นคำบรรยายในภาษาบาลีอย่างนี้เลย แต่คนแปลไปเบี้ยวบาลีไปว่า การเจาะจงบุคคล ถ้าสัตว์ตัวใดถูกฆ่า โดยเจาะจงว่า เช่น ไก่โต้งตัวนี้ ฆ่าทำต้มยำกินเลี้ยงให้คนนี้กิน เช่นไปเจออาจารย์แป้ง ไม่ได้เจอกันนาน วันนี้ฆ่าไก่ คุณไปฆ่าไก่ตัวนี้มา ฆ่ามา เอามาทำต้มยำ เลี้ยงกันให้อร่อยเลยอ.แป้ง แต่อ.แป้งกินไม่ได้เพราะเป็นบาปเนื่องจากเจาะจงบุคคล คนที่ไม่ได้เจาะจงกินได้หมดเลย นี่เป็นการเจาะช่องเพื่อให้คนตัวเองกิน ก็คนสั่งก็ไม่ได้เจาะจงคนอื่นนอกจากคนเดียวคนนั้น ไม่ได้เจาะจงตัวเองด้วย คนอื่นทั้งหลายก็กินได้หมด นี่คือคนฉลาดแกมโกงพวกหัวหมอ ตีความแล้วก็ได้กินเนื้อสัตว์ตลอดกาล เพราะการจำเพาะอย่างนี้ไม่มีใครเขาทำหรอก มี แต่ผ่าน ไม่ไปไล่เรียงว่า เจาะจงชื่อนั้นหรือเปล่า ก็ไม่มีใครไปถามชื่อหรอก 

บริสุทธิ์โดยส่วน 3 

1. เจาะจงสัตว์ที่เจาะจงว่า คนมีความมุ่งหมายเจตนาฆ่าโดยคน ไม่ใช่ฆ่าด้วยสัตว์ ใครก็แล้วแต่ที่เป็นคน คนไม่ควรฆ่าสัตว์ เป็นคนไม่ควรฆ่าสัตว์ใดๆเลย เป็นข้อต้นของศีลเลย คนอย่าไปฆ่าสัตว์ เป็นศีลข้อที่ 1 เลย ไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตเลย 

เพราะฉะนั้นสัตว์นั้นต้องไม่ตายด้วยคนเจตนาฆ่า ถ้าเห็นคนเจตนาฆ่าโดยเขาลงมือฆ่าเลย นั่นข้อที่ 1 ไม่บริสุทธิ์ 

2. ไม่เห็นแต่ได้ข่าว เช่น เขาฆ่าเอามาขายที่ตลาด ก็ไม่เห็นว่าคนฆ่าหรอก แต่มันเป็นเนื้อมาแล้ว ก็ต้องรู้ข่าวคราวว่าเนื้อนี้ไม่ใช่เนื้อสัตว์ตายเอง มาจากโรงฆ่าสัตว์คนก็ต้องฆ่า ก็กินไม่ได้หรอกเพราะว่าไม่บริสุทธิ์ในส่วนนี้ 

3. ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน แต่ได้ข่าว แต่ก็สงสัยว่าสัตว์นี้บริสุทธิ์โดยส่วน 3 หรือเปล่า ไม่ใช่สัตว์ที่คนเจาะจงมีเจตนาฆ่า สัตว์มันตายเองเป็น ปวัตตมังสะ ถ้าเป็นปวัตตมังสะถึงจะกินได้ ถ้าไม่ใช่ ปวัตตมังสะ ซึ่งมี 2 อย่างคือสัตว์มาตายเอง กับ สัตว์อื่นฆ่ากัน 

 

เข้าสู่ 5 ข้อ บาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) 

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส 

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้” 

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส 

5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต  ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ   ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา   ตถาคตสาวกํ  วา   อุทฺทิสฺส   ปาณํ   อารภติ   โส  อิเมหิ    ปญฺจหิ   ฐาเนหิ  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)     ชีวกสูตร  ล.13   ข.60 

สรุปแล้ว 5 ข้อนี้เป็นผู้ที่ไม่ได้ฆ่าสัตว์เลย แต่บาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย

จริงๆแล้ว คนที่เอาสัตว์มาฆ่ากินนั้น ยังบาปน้อยกว่าพวกที่เอาสัตว์ไปเลี้ยง แล้วเอาเพชรเอาทองไปให้ ก็ยังเป็นภาระเป็นวิบากผูกพันกับสัตว์ยาวนานกว่าฆ่าสัตว์เอาเนื้อสัตว์มากิน ยิ่งต่อเวรเข้าไปใหญ่ 

มีคนเราก็มีหลายชั้นในชาวอโศกนี่เถอะ ยังต่ิงๆ เราก็พยายามช่วยกันให้ตัดให้ขาด จนกระทั่งพูดแรงๆเลยว่า ถ้าอยากจะเลี้ยงแมวเลี้ยงหมาให้ไปเลี้ยงข้างนอกเลยอย่ามาเลี้ยงอยู่ในนี้ 

 

_วิชัย สุขสวัสดิ์ (ราชธานีอโศก)...คราวที่แล้ว มี นร.สัมมาสิกขา ออกมาถามปัญหาหลายคน ผมเห็นว่าเป็นความโชคดีของเด็กที่นี่ที่มีโอกาสได้ถามสด วันนี้ขอถามก่อน

ผมมีความคิดอยู่ว่า ผมอ่านประวัติอรหันต์ที่อายุน้อยที่สุดคือ 7 ขวบ พระเรวัตตะ ผมนึกภาพไม่ออกว่า พระอรหันต์ 7 ขวบจะเป็นอย่างไร จะร้องไห้มั้ย จะกินขนมหรือไม่ นึกไม่ออก แสดงว่าอรหันต์เป็นได้ทั้งในเด็กในผู้หญิงผู้ชายก็ได้ 

ผมก็เลยอยากให้พ่อท่านได้ให้ความรู้ว่า ทำไมชีวิตคน ถึงควรได้ความเป็นอรหันต์ 

พ่อครูว่า... เป็นผู้ที่มีสภาวะโตเกินเด็ก จะพูดว่าทำไมต้องเอาอรหันต์ ทำไมต้องได้นิพพาน เดี๋ยวจะตอบ

 

_ปะตรงเตือน : ท่านนายกประยุทธ์ เป็นตัวอย่างให้นักปฏิบัติธรรมอย่างพวกเราได้ศึกษาในเรื่องของการเอาภาระ ท่านเอาประเทศชาติ ท่านลดอารมณ์โทสะได้มากกว่าสมัยที่เป็นนายกฯ ตอนใหม่ๆ ท่านทนต่อคำด่า ทนต่อโลกธรรม ดูในคลิปที่สมณะนำมาเปิด ท่านนายกฯ มีใจที่มั่นคง หนักแน่น และตอบนักข่าวด้วยปฏิภาณไหวพริบ ชอบคำตอบของท่านนายกฯ ที่กลั่นมาจากพลังความจริงใจ "ทำด้วยหัวใจที่เท่ากำปั้น" สู้ไม่ถอยด้วยพลังอิทธิบาท 4 สู้ด้วยคุณธรรมนำประเทศชาติให้พ้นภัยนะคะท่านนายกฯประยุทธ์

 

_เกษม สันทอง : นายกฯท่านทนทานต่อ "ผัสสะ" ได้ดีกว่าแต่เดิมอย่างมากครับ

 

_Mars Kanlaya (กัลยา มาร์ส) : คนเราทำดีไม่ต้องให้ใครยอ แต่เราเองที่รู้ว่าเราทำดีที่สุดแล้ว คนที่ดีที่เก่งที่ยอมยืนให้คนอื่นว่าหรือวิจารณ์ต่าง ๆ นานา นั่นแหละคือพระเอกตัวจริง จงอย่าท้อในสิ่งที่ทำ ถ้าเราทำเพื่อสังคมและส่วนรวม คนเก่งแค่คำพูดถือว่าเขาให้พรหรือคำชมให้เราปรับปรุงงานนั้น ๆ คนทำงานย่อมเห็นข้อผิดชอบชั่วดี แต่คนเอาแต่พูดย่อมเห็นผิดเป็นชอบเป็นนิสัย..

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ความเป็นมาของประชาธิปไตยขาเดียวกับสองขา 

_งามใบตอง นิลมณี : ลุงกำนันและพลเอกประยุทธทำให้ความฝันดิฉันเป็นจริงค่ะ ดิฉันฝันไว้สองข้อคือ ...อยากจะมีคนลงขันไล่คนโกงให้พ้นจากอำนาจ ลุงกำนันเป็นผู้นำการลงขันได้สำเร็จ ... 2 และอยากจะมีทหารที่มีคุณธรรมมายึดอำนาจเพราะคนไทยที่ยังไม่รู้เท่าทันกลโกงนักการเมืองยังถูกหลอกได้ง่ายมีเยอะ และพลเอกประยุทธคืออัศวินมาทำความฝันข้อสองให้เป็นจริงค่ะ คนไทยยังมีคนดีมากมายค่ะ คนร้ายๆ จะอยู่ในกลุ่มนักการเมือง กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า...เรื่องการเมืองมีความซ้อนเป็นอำนาจทั้งในทรัพย์สินที่ดินบุคคลการบริหารต่างๆ ประชาธิปไตย 2 ขา ก็จะมีคนทั่วไปกับพระเจ้าแผ่นดิน หรือพระประยูรญาติ หรือผู้ไม่ใช่พระประยูรญาติ ก็ไม่ต้องทำแบบพระประยูรญาติ ก็ต้องทำแบบประชาชนทั่วไป 

ประชาชนทั่วไปก็จะสร้างอำนาจแบบเดียวกันกับประชาธิปไตยขาเดียว ซึ่งเดี๋ยวนี้ในโลกมีประชาธิปไตยขาเดียวเยอะมาก แต่ก่อนมี 2 ขา หรือแต่ก่อนนี้เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พอปรับมาเป็นประชาธิปไตยแล้วก็ปรับไปเป็นประชาธิปไตยขาเดียวเลย 

ต้นแบบของประชาธิปไตยคือประเทศอังกฤษ ยังมี 2 ขา ยังมีสถาบันกษัตริย์ ยังมีประชาชน อเมริกาเป็นตัวแหกคอก แยกออกไปจากอังกฤษโดยตรงเลยอเมริกา แล้วไปเป็นประชาธิปไตยขาเดียวแล้วก็สร้างหลักสูตรสร้างทฤษฎีประชาธิปไตยขาเดียวมาเผยแพร่ทั่วโลก เอาอย่างกัน หรือมาแต่ประเทศอื่นก็ช่วยเผยแพร่ประชาธิปไตยขาเดียวกัน เพราะว่าถลำลึกไปเป็นประชาธิปไตยขาเดียว ทั้งประเทศยุโรปมีหลายประเทศ ฝรั่งเศสเยอรมันพวกนี้ แต่ก่อนก็มีพระเจ้าแผ่นดิน กำลังมาก็คว่ำบัลลังก์พระเจ้าแผ่นดินกลายเป็นประชาธิปไตยขาเดียว 

อย่างฝรั่งเศสมีกระแสมาว่าประชาชนในฝรั่งเศสต้องการจะให้มีบัลลังก์ของกษัตริย์คืนมา แต่มันฟื้นคืนมายาก มันขาดช่วงไม่รู้จะไปต่อเชื้ออย่างไร เขาก็เลยไม่มีใครกล้าทำง่ายๆ เพราะคงเสี่ยงติดคุกด้วย 

เรื่องของการเมืองมีซับซ้อนอีกเยอะอาตมาค่อยๆอธิบาย อาตมาเคยผ่านการบริหารพวกนี้ซับซ้อนมา กว่าจะได้เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 เป็น อจินไตย ที่คุณฟังแล้วจะตามมาแต่มันไม่ได้อาตมาก็ไม่อยากเล่า เพราะไม่มีหลักฐานตำนานประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์มีอย่างมากแค่ 5000 ปี ให้ 1หมื่น ปีด้วย ที่จะตามเอาหลักฐานมาได้ แต่การเป็นโพธิสัตว์นั้นผ่านมาเป็นล้านปี ไม่ใช่แค่หมื่นปี 

อาตมาผ่านยุคสมัย ขออภัยที่ต้องเล่าอะไรที่น่าหมั่นไส้ สำหรับคนไม่เข้าใจเรื่องกรรมวิบาก การวนเวียนของตายเกิดเกิดตาย 100 ปี 200 ปีนี้มันน้อยมากสำหรับอายุของคน จริงใจไม่ได้พูดเล่นลิ้น ก็สงสารคนที่ไม่เข้าใจอยู่ แต่ก็ต้องสอนที่จะต้องพัฒนาขึ้น ไม่ใช่ไปจม ถ้าหากอาตมาจะต้องไปตามเก็บคนที่ไม่ค่อยรู้ อาตมาก็ต้องไปสอนอนุบาล แล้วอาตมาจะไปไหนรอด อาตมาต้องไปสอนที่สูงที่คนยังไม่รู้ ก็สิ่งที่สูงอาตมาว่าคนยังไม่มี แล้วคนจะได้รับภูมิสูงนี้ต่อเชื่อว่า ส่วนคนที่จะมาต่อเชื้อด้านล่างมาเรื่อยๆมันมีอีกเยอะ สำหรับอาตมามันมีน้อย พูดไปก็ยิ่งน่าหมั่นไส้ก็พอ 

มนุษย์หรือสัตว์โลกที่เป็นจิตนิยามมันต้องมี 2 มีรูปกับนามีกายกับจิต เป็นเทวฺ อันนี้กำลังขยายความอยู่ ถ้ามีแต่รูปไม่มีนามจะเป็นคนได้อย่างไร มีแต่นามไม่มีรูปก็ไม่ใช่คน เป็นจิตวิญญาณสัมภเวสีอยู่ในภพ ไม่มาเกิดในแผ่นดินที่มีดินน้ำไฟลม เพราะไม่มีกาย ไม่มีรางไม่มีดินน้ำไฟลมไม่มีกามาวจร

จิตวิญญาณที่เป็นสัมภเวสียังไม่ได้ร่างมาเกิด คือจิตวิญญาณที่สอนไม่ได้ เขาอยู่ตามวิบากของเขา ไม่มีใครไปสอนได้ไม่มีใครไปทำอะไรเขาได้ คนก็เดาว่า จิตวิญญาณที่อยู่ใน ภพทิพย์ รูปภพ อรูปภพ ภพทิพย์ ที่ตายแล้วยังไม่เกิด มันยังมีโลกของพุทธเกษตร มีโลกทิพย์ที่เขาอยู่ด้วยกัน มีหนังสือชาวเทวนิยมเรื่องโลกทิพย์ เล่าเรื่องไปตามจินตนาการของเขา อาตมาก็อ่านอยู่หลายเล่ม สัมพันธ์ทางนี้ เขียนรูปนั้นรูปนี้ส่งไปให้คนตาย คนตายมีรูปไปปรากฏที่เมืองที่เมืองสวรรค์ เขาเล่ากัน แม้แต่อาหารก็ส่งกันไปถึงกันหมดเลย เนรมิต วัตถุไปเป็นนามเนรมิตนามไปเป็นวัตถุยุ่งไปหมดเลยไม่ต่อพอ 

เป็นจินตนาการของความเพ้อฝัน ซึ่งเป็นมโนมยอัตตาเอาเองเป็นนิรมาณกาย แล้วคนกลุ่มนี้ที่เข้าใจกันเห็นกันเรียกว่าสัมโภคกาย แต่ทุกคนเป็นอาทิสมาณกาย ใครก็ไม่เห็นของใคร ตัวเองเดาเอาจินตนาการเอาร่วมกันไปโมเมกันไป ต่างก็ ไปกันเรื่อยๆ บางทีมันก็ไม่ตรงกับของเราก็จะวินิจฉัยกันว่าของใครดีกว่าของใคร จะเป็นแบบนี้แล้วก็วนเวียนอยู่ในโลกอันไม่มีจริง เป็นจินตนาการทั้งสิ้น อยู่ในห้วงของจินตนาการทั้งสิ้นเป็นโลกของห้วงจินตนาการทั้งสิ้น ในโลกของสัมภเวสี 

ในโลกของ กาย 3 นิรมาณกาย สัมโภคกาย อาทิสมาณกาย 

อาตมาอธิบายในหนังสือปัญญา 8 ที่กำลังเขียนอยู่ อธิบายรายละเอียดไปเยอะมากติดตามอ่านกัน 

อาตมาก็กำลังเขียนหนังสือเรื่องประชาธิปไตยไทยที่ใครก็ไล่ไม่ทัน ซึ่งเขาก็อาจจะดูถูกว่าอาตมาปริญญาตรีก็ไม่ได้ รัฐศาสตร์ก็ไม่เคยเรียน แม้จะเคยมีชื่อเป็นนักศึกษาเรียนเศรษฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่ได้ปริญญา ไม่ได้อะไรมาจากมหาวิทยาลัยเลย อนุปริญญาก็ได้ ปริญญาจัตวาจากมหาลัยก็ไม่ได้ แล้วมาทำเป็นเก่งมาทำเป็นพูด 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน อจินไตยความรู้เรื่องประชาธิปไตยของพ่อครู 

_สู่แดนธรรม... แสดงว่าความรู้เรื่องประชาธิปไตยของพ่อท่าน ถือว่าเป็นธรรมะประจำตัวได้ไหมครับ 

พ่อครูว่า... แล้วอาตมายืนยันว่าเป็นประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้า เขาก็เข้าใจไม่ได้เพราะยุคพระพุทธเจ้าเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่คุณก็พูดอย่างนี้ก็เอาแค่ตัวบุคคลเท่านั้นเอง แต่คุณไม่เอาสภาวะของประชาธิปไตยพฤติกรรมพฤติกรรมของความเป็นประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้า ท่านทำกับคนของท่าน อาตมาอธิบายไว้หมดแล้ว 

ซึ่งมีธรรมนูญคือจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ท่านก็ประกาศของท่านไปทั่ว ทุกวันนี้แม้แต่เรื่องศีลเขาก็ไม่เข้าใจกัน เอาเป็นวินัย 227 ข้อแทน ซึ่งไปบังคับกันไม่ได้เลย เขาเสื่อมก็ต้องเสื่อม อาตมาก็ต้องเอาความจริงต่อไปอีก 

เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความเข้าใจได้กันง่ายๆเลยว่า ประชาธิปไตยแท้ๆ เนื้อแท้ สัจจะแท้ๆของประชาธิปไตยมันคืออะไรกันแน่ แล้วแน่นอน ประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้าต้องมี 2 ขา เพราะ พระพุทธเจ้าย่อมจะไม่มีมิจฉาทิฏฐิว่าคนนั้นคือขาเดียวมีแต่ร่างไม่มีจิต หรือมีแต่จิตอย่างเดียวเป็นสัมภเวสีไม่มีร่างก็ไม่ได้ 

ถ้ามีแต่สัมภเวสีไม่มีร่างไม่ถือว่าเป็นความจริง ความจริงต้องเป็นทิฏฐธรรม หรือ ทิฏฐกาละ ต้องมีปัจจุบันที่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย มีรูป 28 ครบ แล้วก็มีนาม 5 สังขารกันปรุงแต่งกันอยู่อย่างละเอียดละออ ก็ยังไม่ได้ลงรายละเอียดรูป 28 นาม 5 ให้ชัด 

สู่แดนธรรม... ที่พ่อท่านว่า ความรู้ประชาธิปไตยของพ่อท่าน ผมพอจะมองออกว่า อยู่ใน 3 ความหมาย พหุชนหิตายะ

พ่อครูว่า... จะเอา อายะ 3 อธิบายก็ได้ คือ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) 

พหุชนหิตายะ(คือประโยชน์เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุ แปลว่า มาก มวลประชาชนทั้งหมด  

พหุชนสุขายะ สุข ก็ขอยืมภาษาว่าสุข โดยองค์รวมของมนุษย์ส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่โลกุตระทั้งนั้น แม้จะเป็นสุขอย่างโลกีย์ ก็เป็นสุขที่เป็นกุศล ก็ให้เขาทำให้อยู่ได้ด้วยสุขที่เป็นกุศลด้วย ถ้ายิ่งเป็นสุขที่เป็น วูปสโมสุขหรือปรมังสุขัง นี่ใช้พยัญชนะ ที่จริงเป็นสุขที่ไม่มีสุข สุขของนิพพาน ไม่มีแล้วสุขทุกข์ ผู้มีสภาวะแล้วไม่มีปัญหา สุขอันไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เป็นสุขที่ดับเทวะก็พอจะเข้าใจกันแล้ว 

โลกานุกัมปายะ แปลว่ารับใช้โลกอนุเคราะห์โลก อายะ แปลว่าประโยชน์ ทำประโยชน์ให้แก่โลกไป เป็นผู้รับใช้โลกทั้งโลก อย่าว่าแต่มวลชนเลย อันนี้โลกเลย ดินน้ำไฟลม พืชพันธุ์ธัญญาหารด้วย พฤติการณ์ของ สังคมมนุษยชาติด้วย ศัพท์ว่า วิชาการด้วยรับใช้หมดทุกศาสตร์ทุกแขนง 

นี่คือหัวใจของประชาธิปไตยหมวด 1 

มีหมวด 3 อีก คือ 1. ไม่มีอัตตา 2. ซื่อสัตย์ 3. รับใช้ประชาชนอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน (พหุชนหิตายะสุขายะนี่แหละรวมหมดในข้อ 3) 

ความเป็นประชาธิปไตยของอาตมาจะมีนิยามต่างๆเหล่านี้หลายอันมาก แล้วมันมีในประชาชนชาวอโศกแล้ว มีสภาวะนี้มากหรือน้อยก็แล้วแต่ ใครยังมีน้อยก็รู้ตัวว่าต้องเพิ่มที่มันน้อยอยู่ 

สู่แดนธรรม... วิสัยทัศน์พ่อท่านแสดงว่า ต่อไปในอนาคตประเทศไทยจะมีประชาธิปไตยอันนี้แหละ 

พ่อครูว่า... เป็นตัวอย่างของประชาธิปไตยในโลกที่อาตมาเอามายืนยัน พูดแล้วจึงดูน่าหมั่นไส้พวกรัฐศาสตร์อาจจะบอกว่าพวกนี้อวดดีชะมัด Background เป็นปริญญาต่างๆก็ไม่เคยเรียน มหาวิทยาลัยใดก็ยังไม่ได้ปริญญาสักใบ ปัดโธ่! เขายึดถือแต่ทางโลกเท่านั้นเขาไม่มีอจินไตยพอที่จะรู้ว่าอาตมาซึ่งเหล่านี้มาเท่าไหร่ สิ่งที่อาตมาไม่มีหลักฐานว่าจบ 18 วิชาในตักสิลาอย่างพระพุทธเจ้า ของพระพุทธเจ้าสมณโคดมมีบอกว่าท่านจบสรรพศาสตร์ในตักสิลา 18 วิชา หมายความว่ามหาวิทยาลัยนั้นมี 18 คณะ ท่านได้เกียรตินิยมทั้ง 18 คณะมาหมดเลย แต่เสร็จแล้วทิ้งหมดทุกวิชามาเอาวิชาพุทธศาสตร์อย่างเดียว 

สู่แดนธรรม... พ่อท่านมาเกิดไม่ได้เอาอะไรมาเป็นตัวช่วยเลย

พ่อครูว่า... ไม่มีอลังการอะไรติดตัวมาเลย ซำเหมามาเต็มเหนี่ยว 

สู่แดนธรรม... เป็นความจริงที่พ่อท่านตั้งใจจะไม่ให้มีหรือไม่ 

พ่อครูว่า... ไม่ใช่ตั้งใจจะไม่ให้มี แต่เป็นสัมภาระวิบากที่อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์จะต้องผ่าน ยุคอย่างนี้ที่จะต้องพิสูจน์ตัวเองเอาสัจธรรมเป็นเนื้อแท้ เอาสัจธรรมเรื่องลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ไม่ใช่เป็นเรื่องประกอบที่จะเชิดชูอาตมาเลย ดีไม่ดีไปช่วยฉุดด้วย ต้องเน้นเนื้อหาธรรมะ เน้นเนื้อให้เหนือกว่ามาก เน้นลากแม้ยากกว่าแล่น เน้นจริงให้ยิ่งกว่าแค่น เน้นแก่นให้แน่นกว่ากว้าง สลักเป็นตัวหนังสือสีทองไว้ที่โมโนลิธที่ ปฐมอโศก 

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน...หมายความว่าพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ต้องผ่าน

พ่อครูว่า... ต้องผ่าน เป็นพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ต้องผ่าน เมื่อคุณไปถึงฐานที่คุณต้องเป็นมันจะมันมาก สนุกมากเหนื่อยมาก ต้องสู้หนัก อาตมาถึงเห็นใจพลเอกประยุทธ์ 

ขอพูดผ่านนิดหน่อยไม่พูดมาก พลเอกประยุทธ์นี้ สู้ๆๆๆ กำลังอยู่ในปัจจุบันธรรม ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเราก็สู้ๆๆ แต่มันเนียนกว่ากันเพราะเป็นโพธิสัตว์ต่างระดับกันมาก พลเอกประยุทธ์จะถือว่าเป็นโพธิสัตว์ก็ได้ แต่อาตมาไม่อยากพูด พูดไป อาตมาไม่มีหลักฐานอะไรมากมายอธิบายไปไม่ได้ก็เสียหมด ก็ไม่อยากพูด พูดทิ้งไว้แค่นี้ก็แล้วกัน 

มันเป็นเรื่องของมนุษยชาติที่จะสั่งสมบารมี พูดให้ชัดๆว่าเป็นบารมีก็แล้วกัน 

บารมี 10 ทัศ การทาน ข้อที่ 1. การเสียสละคือการให้ ให้วัตถุ เป็นเรื่องขี้ผง ให้ชีวิตร่างกายก็ยังไม่ใช่เรื่องใหญ่ ให้ความยอมเจ็บปวดในใจ ยิ่งใหญ่กว่า ให้ชีวิตและร่างกาย ยอมทรมานใจ ซึ่งมันไม่ใช่ทรมานแต่มันทุกข์ มันหนัก มันเหนื่อย มันลำบาก ต้องยอมเสียสละแล้วก็ต้องปฏิบัติให้ได้ว่าเราจะต้องหลุดพ้นจากความติดยึดอันนี้อยู่ ต้องละล้างอันนี้ ​ไม่ให้ไปติดยึด จะไปติดยึดถือทำไม มันก็เป็นเรื่องดีเป็นพฤติกรรมเท่านั้น เราก็รู้พฤติกรรมของรูปนามเป็นสภาวะ 2 ที่ปรุงแต่งให้เป็นสภาวะให้เป็นพลังงาน รูปนั้นไม่ต้องพูดเลย เป็นพลังงานที่จะต้องเกิด ฤทธิ์แรงได้ 

ที่อาตมาทำอยู่ทุกวันนี้ ก็ไม่ได้ติดในรูป แต่เป็นการสร้างพลังงานทั้งนั้น ไม่ได้ติดในรูปอย่างอาตมานี้ ก็ทิ้งไว้แค่นี้ก่อนก็แล้วกัน

 

สู่แดนธรรม... สำนักพิมพ์กลั่นแก่นชี้แจงขณะนี้อยู่โรงพิมพ์แล้วคาดว่าในสัปดาห์หน้าน่าจะได้ถวายหนังสือพ่อครู 

 

_Jaipranom Kaikhom (ใจประนม ไข่คำ) : แต่ก่อนมา ไม่ชอบคุณสุเทพเลย แต่ตอนนี้มีความศรัทธาและเชื่อมั่นในผู้ชายคนนี้ว่าเป็นเพื่อนยากจริง ๆ ค่ะ

พ่อครูว่า... แต่ก่อนอาตมาก็ไม่มีความสนิทในพฤติกรรมการเมืองของคุณสุเทพเท่าไหร่เลย เขาเรียกว่าเป็นนายจรกา มีฉายาในวงการอย่างนั้น แกค่อนข้างเป็นคนผิวดำ ไม่ใช่เป็นคนขาวเขาก็เลยเรียกว่าจรกา แล้วก็มีปฏิกิริยา เป็น Activist คนสำคัญ แล้วก็มีพฤติกรรมที่ทำให้คนเปลี่ยนใจ ซึ่งอาตมาก็เปลี่ยนใจมาเป็นตอนนี้สนิทใจมากทีเดียว เป็นคนที่ใช้ได้ บำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์คนหนึ่งเหมือนกันในการช่วยเหลือประชาชน อันนี้จริงเลยนะ 

คุณสุเทพ แกไม่อวดอ้าง สิ่งที่แกได้เสียสละ แกขายทรัพย์สินที่ดินที่ดอน ทรัพย์สินข้าวของตัวเองจนจะหมดเนื้อหมดตัว เอามาช่วยผู้ที่มาร่วมงานกับแกมา ที่ตกทุกข์ได้ยาก เดี๋ยวนี้แกก็ยังรับผิดชอบอยู่ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ เห็นแต่ว่าเป็นพฤติกรรมที่สำคัญ ที่ส่อแสดงออกให้คนรับรู้ได้ อาตมาก็เลยรู้ว่าสุเทพไม่ใช่คนธรรมดา เป็นคนบำเพ็ญบารมีเหมือนกัน

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ความรัก 10 มิติสรุปความอย่างย่อ เข้าใจชัด 

_เชิดเชิญธรรม(เผ่งอัง) ...ทำไมจึงต้องตั้งความรัก 10 มิติในธรรมะครับ

พ่อครูว่า... ใช้สำนวนถามก็ต้องแปลคำถามของเผ่งอังนิดหน่อย คำแปลก็คือ ทำไมต้องตั้ง ความรัก 10 มิติ ก็ต้องขยายความ หลวงปู่ไม่ได้ตั้ง ความรัก 10 มิติ แต่เอาความรักที่มีอยู่ในมนุษยชาติมารวบรวมจัดเป็นหัวข้อ มีกรอบของมิติที่ 1-10 ซึ่งเป็นความรักที่เจริญขึ้นๆ หรือ ความรักมิติที่ 10 เป็นความรักสูงสุด 

ต่ำลงมาก็เป็นความรักที่เลวลง จนกระทั่งถึงมิติที่ 1 นี้ เป็นความรักที่เลวที่สุด เป็นความรักของคนคู่ เมถุนนิยม หรือ กามนิยม คือเรื่องของคนคู่ เมถุนแปลว่าคนคู่ กามนิยมหรือ เพศนิยม เป็นมิติที่ 1 เป็นความรักที่เห็นแก่ตัวแค่คนสองคนเท่านั้น ต้องไปอ่านความรัก 10 มิติ ไม่เห็นแก่แม้แต่ลูก มันเห็นแต่แค่เรื่องของเพศ เรื่องของการสมสู่ มีลูกมันยังเอาไปทิ้งเลย ไม่เคยอยากได้ลูก มีลูกมาก็ไม่เอาเอาไปทิ้งด้วย เอาไปทิ้งถังขยะ ดีไม่ดีฆ่าด้วย เป็นความรักแต่การสมสู่อย่างเดียว เลวที่สุดในบรรดาความรัก 

อันที่ 2 พันธุนิยมหรือปิตุปุตนิยม มีคู่ แต่เป็นคู่ของพ่อลูก อาตมาถือว่าเป็นเผ่าพันธุ์นิยม ก็หมายความว่าเป็นความรักที่รักลูก ขยายจาก 2 คนที่โลกเรานี้มีแต่เราสองคน ลูกก็ไม่เอา อันที่ 2 นี้ยังแผ่ความรักไปยังลูก รักลูกเลี้ยงลูกปรารถนาดีกับลูก แต่พวกหลานเหลนโหลน ไม่เอา ไม่เห็นแก่ไม่เผื่อแผ่ไปยังคนรอบข้าง แม้แต่พ่อแม่ปู่ย่าตายายก็ไม่เอา เอาแต่ลูก มันก็แคบ

มิติที่ 3 ขยายความเป็น โคตรนิยมหรือญาตินิยามเป็นเผ่าพันธุ์เป็นโคตร ก็อยู่ในสายโคตรสายเลือดนั้น นอกสายเลือดไม่เกี่ยว ไม่แผ่ความรักให้ด้วย เผื่อแต่ในคณาญาติเท่านั้นเอง

มิติที่ 4 สูงขึ้น นอกจากญาติแล้วเผื่อไปสู่สังคมมิตรสหาย เป็นมิตรนิยมหรือสังคมนิยม ชุมชนนิยม

มิติที่ 5 นอกจากแค่กลุ่มสังคมเท่านั้น ก็มากขึ้นไปเป็นขั้นประเทศ หรือรัฐ ชาติ ชาตินิยมหรือรัฐนิยมหรือประเทศนิยม

มิติที่ 6 มากกว่านั้น ไม่ใช่เห็นแต่แค่ประเทศตัวเองชาติตัวเอง แต่เห็นแก่ชาติอื่นด้วยเรียกว่าสากลนิยม ความรักขยายแผ่กว้าง เอื้อมเอื้อเกื้อกว้างไปถึงสากลหรือถึงจักรวาล หรือทั่วจักรวาล เป็นรูปธรรม 

มิติที่ 7 นามธรรมหรือเทวนิยมหรือปรมาตมันนิยม เป็นพระเจ้า อันนี้เผื่อแผ่เกื้อกว้างไปอีกถึงนามธรรม ถึงจิตวิญญาณ แต่ก็ยังเป็นเทวนิยมอยู่ อันนี้ดีนะ ต้องแยกประเด็นให้ดีๆเลยจากระดับ 7 ไปที่ 8 จากความรักระดับที่ 7 จะสามารถเพิ่มความรู้ออกไปเป็นอเทว เผื่อแผ่เป็นอาริยะหรือเริ่มเป็นโลกุตระนิยม จากโลกียะนิยม เทวนิยม ปรมาตมันนิยม 

มิติที่ 8 มีความรู้เป็น อเทวนิยม ขึ้นมาเรื่อยๆ อาริยนิยาม ระดับที่ 7 ก็มีแล้ว อาตมาไม่ใช่ความรักระดับที่ 7 อาตมาชาตินี้ชื่อรักก็จริง แต่ไม่ได้มีความรักแค่มิติที่ 7 อาตมามีความรักสูงกว่าระดับ 7 เป็นความรักระดับ 8 เป็นโพธิรักษ์ อาตมาจึงได้ชื่อว่าเป็นโพธิรักษ์ ไม่ใช่โพธิรัก ที่ไม่มี (ษ์)การันต์  ไม่ใช่มัวเมาแค่ความรักแค่กรอบโลกียะ อาตมามีโลกุตระแล้ว ตั้งแต่ระดับที่ 7 หรือ 8 นี้มันเหลื่อมกันขึ้นมาไปหา 8 เป็นความรักระดับที่ 8 อาริยะหรือโลกุตระ อาตมาเริ่ม 8 มาเรื่อยๆ ความรัก 8 จนกระทั่งถึง มิติที่ 9 

มิติที่ 9 ความรักระดับอรหันต์ระดับโพธิสัตว์ เป็นอรหันต์ระดับสูง เรียกว่านิพพานนิยมหรืออรหันตนิยม

มิติที่ 10 สูงสุดเป็นพุทธภูมินิยมหรือโพธิสัตวภูมินิยม มีหนึ่งเดียว หรือจะเรียกเต็มๆว่าพระพุทธเจ้าเลยก็ได้ จะเรียกว่าพระพุทธเจ้านิยมก็ดูกระไร

ได้ทำเป็นหนังสือความรัก 10 มิติ ไปอ่านรายละเอียดเอา 

 

_สู่แดนธรรม... รบกวนพ่อท่านช่วยอธิบายสัมมาธิปไตย ที่พ่อท่านบอกว่า มีเลข 0 เลข 1 เลข 2 พ่อท่านว่า 0 = หมดตัวตน = สีเหลือง 1 เป็นกษัตริย์เป็นศูนย์รวมใจของคนทั้งชาติ เป็นสีน้ำเงินเป็นความร่วมมือเป็นปัญญา 

พ่อครูว่า... ในฐานะที่เรามีความจริงใจต่อประเทศไทย เรามีคุณธรรมจริงก็น่าจะไปช่วยชาติ พรรคสัมมาธิปไตย มีคนทำโลโก้มา ก็ยังไม่ได้ตัดสินทีเดียวว่าใครจะออกแบบได้ดี อันนี้ก็ดูเข้าท่าแล้ว ลองไปเป็นไกด์นำทางให้ผู้อื่นคิดว่า 0 1 2 จะเอามาออกแบบให้เป็นโลโก้ได้อย่างไร ก็มีคนออกมา 1 อัน ที่จะเห็นต่อไปนี้ 

มีเลข 0 เห็นเป็นสีเหลือง เราก็มีเลข 1 จะเห็นเป็นสีน้ำเงิน แล้วก็เห็นสีแดง เป็นเลข 2 

3 สีนี้เป็นแม่สี ของสีทั้งหลายแหล่ มีเหลืองน้ำเงินแดง เป็นแม่สีของสีทั้งหมด ถ้าหากเอาแม่สี 3 สีนี้รวมกันโดยเนื้อจะกลายเป็นสีดำ ถ้าหากรวมกันด้วยแสงจะกลายเป็นสีขาว ผู้ที่เรียนศิลปะมารู้ทุกคน 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ทำไมคนถึงต้องควรได้อรหันต์หรือควรได้นิพพาน

_ทำไมคนถึงต้องควรได้อรหันต์หรือควรได้นิพพาน ทำไม?

พ่อครูว่า… เพราะมันเป็นสิ่งที่จำกัดว่าคุณ จะวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารอีกกี่ล้านๆๆๆๆปี คุณก็วนเวียนในโลกีย์อยู่ตลอดกาลนาน ไม่จบ คุณต้องเป็นอรหันต์ คุณต้องออกจากกรอบของโลกีย์ให้ได้ เมื่อออกจากกรอบของโลกีย์พัฒนามาเป็นโลกุตระ เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์  

พอถึงอรหันต์แล้ว ชีวิตของผู้ที่จบอรหันต์ขั้น 4 เรียกว่าโพธิสัตว์ระดับ 4 

จบเป็นโพธิสัตว์โสดาบัน เป็นโพธิสัตว์สกิทาคามี โพธิสัตว์อนาคามี  โพธิสัตว์อรหันต์ 

ผู้ที่จบอรหันต์ 4 ขั้นมีคุณลักษณะคุณวิเศษ 2 อย่างเป็นอมตะบุคคล คือเกิดก็ได้ตายก็ได้ สามารถจะลิขิตวิญญาณหรือจิตตัวเอง สามารถกำหนดจิตตัวเอง เป็นเจ้าของจิตตัวเองอย่างเด็ดขาดว่า ตายชาติไหนลงไปแล้วจะตายสูญเลย เป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน แยกธาตุจิตนิยามออกเป็นอุตุนิยาม เป็นดินน้ำไฟลมเลย ไม่เกิดอีกเลย พอแยกธาตุแล้วก็จบ เป็นปรินิพพานเป็นปริโยสานแล้ว อันนี้มีหลักฐานอยู่ในมูลสูตร 10 ซึ่งไม่มีใครเอามาพูดหรอก มีอาตมาเอามาพูด เพราะเขาไม่สามารถรู้ได้เขาไม่มีภูมิของโพธิสัตว์ไม่มีภูมิที่จะรู้อันนี้ แต่อาตมารู้อันนี้ก็เลยเอามาพูดได้

อรหันต์ระดับ 4 ส่วน อนุ/โพธิสัตว์เป็นระดับ 5 

อรหันต์ระดับ 4 นี้จะตายและไม่เกิดอีกแยกทางเป็นดินน้ำไฟลมเลยได้ หรือจะตายแล้วเกิดอีก บำเพ็ญบารมีต่อเป็นอนุโพธิสัตว์ต่อ หรือเป็นโพธิสัตว์ เป็นอรหันต์สูงขึ้นไปอีกจนกว่าจะถึงอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้นเป็นอรหันต์สูงสุด อย่างอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 เป็น นิยตโพธิสัตว์ ระดับ 8 เป็นมหาโพธิสัตว์ ระดับ 9 เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า 

ส่วนระดับ 10 นั้น สูญเลย เลิกไปเลยจริงๆ และเลิกสูงสุดแล้ว ไม่มีอะไรต่ออีกแล้ว จะยังต่ออยู่ ที่จริงระดับ 9 เป็นพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ มียกเว้น แถม ที่ยังไม่เคยได้อธิบาย 

คือ ในระดับ 9 หรือ ระดับ 8 เต็มสุด ก็ขึ้น 9 เรียก อรหันต์นี้ว่า ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ 

ซึ่งไม่ใช่ปัจเจกพระพุทธเจ้านะ ถ้าเป็นปัจเจกพระพุทธเจ้านั้นไม่สามารถเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นได้แค่ปัจเจกโพธิสัตว์ อย่างเช่นพระพุทธเจ้าพยากรณ์พระเทวทัตว่าเคยทำอนันตริยกรรม บำเพ็ญสูงสุดอย่างมากได้แค่ปัจเจกพุทธเจ้า ปัจเจกโพธิสัตว์ ปัจเจกพุทธเจ้า เป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะไม่ได้ นี่ก็เป็นเรื่องสุดยอดที่ยากที่จะเข้าใจ 

ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า เคยอธิบายไว้แล้วว่า ต่างกันกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างไร 

พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็นผู้ที่ได้ประกาศศาสนาในโลก มนุษย์รับซับทราบว่า เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งขึ้นทำเนียบ มนุษย์รู้เห็นเป็นตัวตนบุคคลมาประกาศศาสนาจริงๆ

ส่วนปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ท่านมีภูมิเท่ากันกับพระพุทธเจ้าสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ ท่านมีภูมิเท่ากันได้ แต่ ท่านไม่ประกาศตัวเองต่อโลก ไม่เป็นเจ้าของศาสนาพุทธ มนุษย์ก็ไม่รู้จักท่านว่าเป็นเจ้าของศาสนา แต่ท่านเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำงานมาเท่าเทียมกันกับพระพุทธเจ้า สัมภาระวิบากเท่ากัน แต่ท่านไม่ประกาศตนเอง แล้วก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปดื้อๆอย่างนั้นเอง ไม่อยากได้ลาภยศสรรเสริญตำแหน่งอะไร ถ้าจะพูดถึงลึกๆแล้วสูงกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในสิ่งที่ไม่มีตัวตน พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปดื้อๆ แต่ในด้านการทำงานเท่าเทียมกัน ท่านก็สอนมนุษย์มา

ผู้ไม่เข้าใจก็บอกว่าปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นได้แต่สอนตัวเองไม่สามารถสอนใคร นี่เถรวาทเขาเอาไปสอนอย่างนั้นคือมิจฉาทิฏฐิของคนที่เดาเอา มันไปไม่ออกไปไม่รอด มันขัดแย้งในตัว ไม่มีลำดับที่จะไปสูญได้เลย สอนใครไม่ได้ก็เป็น ปทปรมบุคคลเท่านั้นเอง เป็นผู้ที่จำพุทธพจน์ได้มาก ท่องบ่นได้มาก สอนอยู่มากสาธยายอยู่มาก แต่ไม่ได้บรรลุธรรมเลย    ปทปรมะ สอนคนไม่ได้ ซึ่งแม้แต่ไม่ใช่พระโสดาบันเขาก็ยังสอนอยู่มากเลย เป็นพระโสดาบันก็พยายามระมัดระวัง สอนกันแต่ก็มีบกพร่องบ้าง ก็เป็นวิบากของพระโสดาบัน สกิทาคามีก็ผิดน้อยลงไปอีก อนาคามีก็ผิดน้อยลงไปอีก อรหันต์ก็ผิดน้อยลงมาก เป็นพระอรหันต์ก็ถือว่าไม่ผิดเลย 

พลังยังไม่ตกนะแต่เวลามันยังไม่รอ... 

จบ เจริญธรรม


เวลาบันทึก 19 ตุลาคม 2564 ( 15:23:33 )

640915

รายละเอียด

640915_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ทำไมชีวิตนี้ควรได้นิพพาน 

https://www.boonniyom.net/50687.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1IPYI7idWUHAH3Cj5MN8wFpvEWZtmPNN6jNoOFQcuSjk/edit?usp=sharing 

 

ดาวน์โหลดเสียงที่    https://drive.google.com/file/d/1yr-Pl0_yUcNLRJFEWt2nwE8hGTW22jjc/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/1039680073468944 

 

สมณะฟ้าไทว่า... วันนี้วันพุธที่ 15 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก พระพุทธเจ้าตรัสว่าวันเวลาย่อมกลืนกินสรรพสัตว์ ชีวิตคนเราควรใช้เวลาสูญเสียไปกับอะไรบ้าง คนโลกนี้ก็สูญเสียเวลาไปกับอบายมุขกับอัตตา หรือเราจะใช้เวลาทำตนให้เป็นคนโลกุตระ โดยการพบสัตบุรุษฟังสัทธรรม ด้วยความเชื่อว่าตัวเองจะลดละอัตตาเป็นอาริยะได้ ก็จะทำใจในใจได้ สำรวมอินทรีย์มีสุจริตกรรม 3 ไปสู่วิชชาและวิมุติได้ 

พ่อครูว่า... มาสนทนากับ SMS ก่อน 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน สิริมหามายา แพ้หรือชนะในการไป protest ของชาวอโศก

_ไพศาล ศรีอำนวยไชย : ผู้ชำนาญด้านกฎหมาย เชี่ยวชาญเรื่องม็อบเต็มโซเชียล ผมยุ่งมากจึงไม่ได้ตามข่าวปี 52 กรณีเขาพระวิหาร ไปไล่ลุงกำนัน แล้วต่อมาเข้าร่วมกับลุงกำนัน+กปปส.จุดนี้ล่ะครับที่ผมไม่เข้าใจ / พ่อท่านพาลูกไปไล่กำนันสุเทพปี52 ต่อมา กลับพาลูกๆเข้าร่วมกับกำนันสุเทพ+กปปส.เพราะอะไรครับ

พ่อครูว่า... เรื่องม็อบทำให้แยกแยะภูมิธรรมคนนะ พวกเราออกไปประท้วงแต่เราไม่ได้เรียกตัวเองว่าม็อบ แต่เราใช้คำว่าโพรเทสต์ แต่เขาก็เรียกตัวเองว่าเป็นม็อบและก็ประพฤติตัวเองเป็นม็อบ คือพวกไปต่อต้านเลอะเทอะรุนแรงป่วนเมืองไปเรื่อย แต่ protest นี้มีคุณธรรม อาตมาว่าพวกเราที่ไปทำเป็นตัวอย่างนั้นสุดยอดเลย เรียกว่ามีปรากฏการณ์เป็นตัวอย่าง ทำขึ้นมาจริง ไปประท้วงไล่รัฐบาลโดยประชาชนเลย ใช้คำตามภาษารัฐศาสตร์เขาเลย 

ไปไล่รัฐบาล ไปรัฐประหารรัฐบาลสำเร็จ โดยวิธีใช้มือเปล่าไม่ใช้อาวุธไม่ใช้ความรุนแรงเลย สันติ อหิงสา ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ คมลึก แม่นประเด็น นี่คือตัวหนังสือหลักฐานที่ติดอยู่ที่เวทีเลย สันติ คือสงบ อหิงสาคือไม่รุนแรง non violence ซื่อสัตย์บริสุทธิ์ คมลึก พยายามใช้ธรรมะที่เป็นความลึกซึ้ง คมแม่นประเด็น ต่อสู้ด้วยคุณธรรมอย่างนี้ จนชนะ

ชนะจริงๆเลย ที่เราชนะได้เพราะว่าคนไทยทั้งประเทศเป็นคนดี ถ้าคนไทยทั้งประเทศไม่เป็นคนดี ไม่ชัด ที่นี้โดยค่ารวมของคนไทยเป็นคนดี เข้าใจคุณธรรมจึงยอมให้คุณธรรมชนะ ถ้าคนไม่เข้าใจคุณธรรมเขาไม่ยอมให้คุณธรรมชนะหรอก เขามีแต่ให้พวกขี้โกงชนะ พวกขี้โกง พวกรุนแรง พวกอำนาจบาตรใหญ่ชนะ

ผู้ที่สู้กัน สองฝ่าย ฝ่ายธรรมะกับฝ่ายอธรรม ถ้าฝ่ายอธรรมเลวร้ายจริงๆฝ่ายธรรมะแพ้ได้ ยิ่งในยุคกลียุค จะแพ้ แต่ถ้าว่า ยุคดี ธรรมะชนะ มวลประชาชนก็ดีก็ชนะ หรืออีกอันหนึ่งพิเศษมาก ธรรมะที่มีบารมีชนะอธรรมได้ 

อย่างพวกเราชาวอโศกถือว่าชนะหรือแพ้ .... แพ้ 

แพ้ที่เรายอมไง แม้แต่จะแย่งชิงทรัพย์สิน อำนาจก็เอาไปเลย แย่งชิงสรรเสริญสุข ก็เอาไปเลย สุกของเขาสุกต้มเดือดเลยนะ สุกโดนเผาเดือดพล่าน แต่เขาสุข อร่อย เขาอย่างนั้นเลย เขาได้ลาภยศสรรเสริญสุข เราไม่เอาเลยเขาก็ไม่มาแย่ง เราไม่มีสิ่งที่เขาอยากได้แล้วเขาจะมาแย่งทำไม แล้วเราก็ไม่ได้ไปรุกรานเขา เขามารุกรานเราก็ไม่โต้ตอบ เขาก็ทำไม่ลงเหมือนกัน 

เราก็เลยกลายเป็นผู้ที่สบาย เราก็อยู่ของเรารอดเลี้ยงตัวเองรอดมีการสร้างสรรรู้จักปัจจัย 4 รู้จักปัจจัยชีวิต แล้วก็เลี้ยงชีวิตโดยไม่ได้เบียดเบียนใคร แถมมีสิ่งที่เป็นปัจจัยชีวิตเหลือเฟืออุดมสมบูรณ์ แจกจ่ายเจือจานผู้อื่นไปได้ มันเป็นธรรมะที่ซับซ้อนลึกซึ้งทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงหรอก ชนะ ขอให้เราอย่าประมาท ทำธรรมะโลกุตรธรรมให้สูงขึ้น ยังไม่ประมาท ไม่มีแพ้ นี่พูดกลับไปกลับมา ตกลงแพ้หรือชนะกันแน่ นี่ภาษาสิริมหามายา พวกเราไม่งง 

พวกเรามี มุทุภูตธาตุ ปัญญาแววไว ฟังทัน ยิ่งซาบซึ้งจริง ไม่เป็นไรเป็นโทษต่อใครมีประโยชน์กับเขาด้วยแล้วมีชีวิตอยู่ไปสงบเรียบร้อยเบิกบานร่าเริง 

สู่แดนธรรมว่า... พวกเราเป็นผู้แพ้ที่ทำให้ผู้ชนะเกรงใจเป็นเรื่องประหลาดดีครับ 

 

_สถานีวิทยุเสียงธรรมร่วมใจ วัดป่าสวนธรรมร่วมใจ : ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อาจมีผู้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามเงื่อนไขมาตรา 256 (9) หากศาลวินิจฉัยว่าไม่สามารถทำได้หรือต้องทำประชามติ..นั่นก็แนวทางหนึ่ง.. หรือ หากไม่มีการส่งเรื่องให้ศาลวินิจฉัย หรือ ส่งเรื่องแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นเรื่องที่สามารถทำได้..นั่นก็เรื่อง

หนึ่ง.. แต่อย่างน้อยมันลดเงื่อนไขประเด็นเกี่ยวกับการเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญของหลายกลุ่มลงไปได้มาก..โดยไม่มีการไปแตะต้องมาตราสำคัญแม้แต่มาตราเดียว.. หากมีการเปลี่ยนรูปแบบการเลือกตั้งจากบัตรใบเดียว เป็นบัตรสองใบ อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าจะปิดโอกาส ส.ส.คุณภาพต่ำหลายคนหมดโอกาสเข้าสู่สภา..ทำไมจึงไปมองด้านเดียวว่าบัตร 2 ใบเปิดโอกาสให้พรรคคนหนีคดีจะกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง..ในเมื่อหลายสิ่งหลายอย่างมันเปลี่ยนไปมากแล้ว..ล่าสุดมีการใช้เงินมหาศาลยังทำอะไรลุงตู่ไม่ได้..ถ้าเป็นสมัยก่อนคงเรียบร้อยไปแล้ว..ผลการเลือกตั้งซ่อมทุกแห่งที่ผ่านมา..ประชาชนก็ไม่เลือกพรรคที่เคยผูกขาดเก้าอี้แล้ว..แต่มาเลือกพรรคที่สนับสนุนลุงตู่เป็นนายกฯ..บัตร 2 ใบ มีโอกาสทำให้เกิดเผด็จการรัฐสภา..แต่เผด็จการรัฐสภา มันจะส่งผลเสียต่อชาติบ้านเมืองก็ต่อเมื่อ ผู้นำประเทศเป็นคนไม่ดี..แต่หากผู้นำประเทศเป็นลุงตู่..ภายใต้เผด็จการรัฐสภาล่ะครับ..จากเผ็ดกลาง จะเปลี่ยนเป็นเผ็ดมากได้เลยนะครับ..คนที่มีอำนาจอยู่ในมือ..หากรู้ว่าสิ่งใดที่ทำให้ตนเองเสียเปรียบ..จะทำไปทำไม..บทสรุปสุดท้ายมันจะไปจบลงที่แนวทางที่ดีที่สุดนั่นแหละครับ..

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน เหนือโลกเหนืออัตตาได้เป็นธรรมาธิปไตย

พ่อครูว่า... อาตมาก็สรุปซ้อนไปอีกว่า ถ้าคนดีไม่ว่าจะเป็นเผด็จการสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จะเป็นคอมมิวนิสต์หรือประชาธิปไตย ก็ดีทั้งนั้นแหละ เพราะมันอยู่ที่คน ไม่ได้อยู่ที่ระบอบ ระบอบก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา อยู่ที่มีคนที่มีคุณธรรมดีจริงๆและแข็งแรงทนทาน พร้อมทั้งมีปฏิภาณปัญญาไหวพริบ รับรองว่าอยู่ได้นาน เรื่องเหล่านี้ฟังดีๆ ที่พูดนี้เรื่องธรรมะทั้งนั้น แม้จะเกี่ยวกับการเมืองก็ตาม ทำให้มวลประชาชนอยู่เป็นสุข อาตมาทำงานการเมืองไม่ได้ไปแย่งตำแหน่งเขาหรอก แต่ทำเพื่อประชาชนจริงๆ นี่แหละคือนักการเมืองตัวจริง จำไว้ จะยกตำแหน่งหน้าที่อะไรก็ไม่เอา แต่ทำเพื่อประชาชนจริงๆ เราได้ทำสิ่งที่เรามั่นใจว่าถูกต้องจริงๆ

พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) นี่คือสุดยอดอายะ 3 ประชาธิปไตยโลกุตระ

พวกที่เรียนจบดอกเตอร์จากต่างประเทศมาก็ตาม เข้าใจประชาธิปไตยพุทธเจ้าไม่ได้ซึ่งสุดยอด 

โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย และธัมมาธิปไตย คือ 3 อธิปไตยที่ยิ่งใหญ่

อธิปไตยคืออำนาจ โลกาธิปไตยคือ ผู้มีอำนาจเหนือโลก

อัตตาธิปไตย คือ ผู้มีอำนาจเหนืออัตตา

ธรรมาธิปไตย คือ ผู้มีธรรมะล้วนๆอยู่เหนือโลกเหนืออัตตาเป็นโลกุตระธรรม โลกุตระแปลว่าเหนือโลก คำว่า เหนือคำนี้ก็คือปัญญา พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ในมูลสูตร

สติเป็นอธิปไตย ปัญญาเป็นอุตระ 

อธิปไตยคือ พลังอำนาจจริงๆ มีสติเป็นพลังอำนาจ แต่เมื่อใช้สติเป็นพลังอำนาจบาตรใหญ่เพราะมีปัญญากำกับ ปัญญาเป็นอุตระ ท่านแปลในพระไตรปิฎกว่ามีสติเป็นใหญ่ มีปัญญาเป็นยิ่ง ก็คืออยู่เหนือ ควบคุมดูแล ไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ไม่มีอำนาจไปทำลาย มีแต่อำนาจรับใช้อำนาจเพื่อผู้อื่น อำนาจที่เป็นคุณธรรมสุดยอดทั้งนั้นเลย 

สัจจะความจริงพวกนี้มีจริงเป็นจริง จึงเกิดให้หลุดพ้นเรื่องความเป็นทุกข์เป็นโทษภัยความไม่ดีไม่งามหลุดพ้นเป็นวิมุติหมด เป็นแก่นเป็นสาระ

บุคคลที่ทำได้ถึงขั้นวิมุติ สัมมาทิฏฐิตามของพระพุทธเจ้ามาหมด มูละ แปลว่า รากเค้า หรือต้นธาตุต้นธรรมของอะไรทุกอย่างเลย มูลสูตร 10

1. มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) 

2. มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) 

3. มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) 

4. มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) 

5. มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) 

6. มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) 

7. มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ)  กัปตันรู้ยิ่งยอด  

8. มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง 

9. มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา) = สอุปาทิเสสนิพพาน.  

10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน 

(พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 58) 

 

ปรินิพพานเป็นปริโยสานคือ จบสุด แยกจิตนิยามให้เป็นอุตุนิยามได้เลย ฝึกฝนอบรมให้ได้จริงๆ 

โลกหยาบอบายมุขก็มีอยู่เต็มโลก เก่งไม่เห็นแก่ใคร โลภไปมาก จนคนอื่นขาดแคลนก็เป็นอบายมุขทั้งนั้น เขามองอบายมุขเป็นเรื่องเผินๆเป็นเรื่องตื้นๆ

โลกอบายมุขเราชัดเจน เป็นอุตุธาตุเลย ไกลกันคนละโยชน์ สำหรับเราเป็นอุตุธาตุไปหมดเลย แม้จะเป็น พีชธาตุ คือจิตเรา มีชีวิตชีวาไปกับเขาบ้าง แต่ไม่เจ็บไม่ปวดไปกับเขาเลย ก็เป็นเพียงอาศัยไปช่วยเขา พีชะ เป็นธาตุที่ไปช่วยมนุษย์ เป็นประโยชน์แก่มนุษย์ไม่เป็นโทษแก่มนุษย์ มนุษย์สัตว์โลกมีพืชเป็นประโยชน์ต่อตนอย่างยิ่ง จึงเป็นจิตนิยามที่รู้จักความซับซ้อนลึกซึ้ง สภาพหมุนรอบเชิงซ้อนของจักรวาลน้อยจักรวาลใหญ่ โลกน้อยโลกใหญ่ อัตตาน้อยอัตตาใหญ่ ซ้อนอยู่ในความเป็นมนุษย์ชาติ 


 

SMS วันที่ 13-14 ก.ย. 2564 

 

_นพพล จรัสวิกรัยกุล : โดยธรรมดาปกติสามัญสำนึกและความคิดของความเป็นมนุษย์ ย่อมเห็นความเกี่ยวเนื่อง ของเหตุที่ทำให้สัตว์ตาย การพยายามคิดตัดเหตุและผล เพื่อที่จะกินเนื้อสัตว์ ก็ถือว่าผู้นั้นไม่มีธรรมดาปกติสามัญสำนึกความเป็นมนุษย์

พ่อครูว่า... ทำมนสิการให้ใจเราเป็นอย่างนี้ให้ได้เลยทำเวทนาให้เป็นสมาธิ เกิดสติปัญญาอันสมบูรณ์แบบ มีสติ ปัญญา วิมุติจบสามเส้า ก็เป็นอมตะบุคคล จะอยู่หรือจะไปก็ได้

คนไม่เชื่อว่าเกิดหรือตายตายแล้วเกิดได้ อาตมาก็เอามาพูด ตายแล้วก็จะกลับมาเกิดอีกเพราะยังไม่จบยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า เพื่อนอาตมาก็ตายไปเยอะแล้ว มีเพื่อนเป็นศิลปินแห่งชาติเยอะแยะเลย อาตมาเลยเป็นชาติแห่งศิลปิน ไม่ได้เป็นศิลปินแห่งชาติ เกิดมาเป็นศิลปิน และเป็นศิลปะที่คนเข้าใจยากเพราะเป็นศิลปะโลกุตระ เป็นมงคลอันอุดมเป็นโลกุตระ เขาก็เข้าใจได้ยาก อาตมาก็ทำตามที่อาตมาเป็นไม่ได้ไปอิจฉาริษยา 

สุเทพก็ตายง่ายๆ วิมลก็เหมือนกัน นอนหลับแล้วตายไปง่ายๆ นี่ยังเหลือสุรพล ติดเตียง เหลือชาลี อินทรวิจิตร เขาแก่กว่าอาตมา เขาก็เรียกอาตมาไอ้แป๊ก มาบวชแล้ว เขาก็ไม่เรียกอย่างนั้นอีกเขาเรียกว่าท่าน 

ส่วนโพธิสัตว์ที่รีไทร์เขาก็รีไทร์ไป 

สู่แดนธรรมว่า... โพธิสัตว์ระดับ 7 ต้องรีไทร์ด้วยเหรอ 

พ่อครูว่า... ระดับ 7 ระดับ 8 ก็รีไทร์ได้ แต่ไม่มีใครเขารีไทร์ ตั้งแต่ระดับ 7 ไปไม่มีใครมารีไทร์ได้นอกจากจะรีไทร์ตัวเอง จนกว่าจะเป็น ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า มีสัพพัญญุตญาณเท่ากันกับพระพุทธเจ้า แต่ท่านปรินิพพานปริโยสานไป โดยไม่ประกาศศาสนา ก็เลยไม่มีใครรู้จักท่าน แล้วจะให้อาตมาเอาอะไรมาพูด ท่านก็รีไทร์ไป โดยไม่ประกาศศาสนาแต่ท่านก็ทำงานเท่ากับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เป็นโพธิสัตว์มาแต่ละยุคสมัยมาเรื่อยๆ จนถึงยุคเสื่อม ยุคเจริญ ยุคเจริญ ยุคเสื่อม ต่อไปก็จะเป็นยุคเจริญ มีคนเดาว่าอาตมาต่อไปจะเป็นพระศรีอริยเมตไตรย 

ซึ่งคนไม่เข้าใจว่าพระศรีอริยเมตไตรยคืออย่างไร ที่จริงเป็นตำแหน่ง ใครเข้าไปถึงตรงนั้นได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใหม่ องค์ต่อไปจากองค์ที่แล้วไป เรียกว่า พระศรีอริยเมตไตรยทุกองค์ 

พระพุทธเจ้าสมณโคดมเป็นพระพุทธเจ้าที่อายุสั้นที่สุด เป็นพระพุทธเจ้าอยู่แค่ 45 ปี ก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน พระพุทธเจ้าบางองค์อยู่อายุหลายหมื่นปี ซึ่งเราคิดไม่ออกหรอกอยู่อย่างไรเป็นหมื่นปี 

ในสิ่งเหล่านี้ อจินไตยเยอะเราก็อย่าไปคิดให้ปวดหัวเปล่าๆเราก็ทำตามเหตุปัจจัยศึกษาให้ดีที่สุด 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ไถ่ชีวิตโคกระบือ แต่ทำไมยังต้องกินเนื้อสัตว์

_พลภัทร หวยหุ้นไหล : ขอถามว่าคนที่ไถ่ชีวิตโคกระบือ แต่ยังกินเนื้อสัตว์สองชนิดนี้อยู่ แล้วจะได้บุญอย่างไร ผมคิดว่าถ้าอยากไถ่ชีวิตเขาก็ไม่ควรกินเนื้อ ผมไม่กินเนื้อวัวควายมา 10 กว่าปีแล้ว หลวงพ่อพูดเรื่องนี้ด้วยน่ะครับ

พ่อครูว่า... เขายังไม่มีปฏิภาณปัญญาความรู้ ว่าชีวิตมันจะต้องมีวิบาก ที่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งลึกซึ้ง เขายังไม่มีความรู้ แม้แต่วิบากที่จะเกิดชาตินี้ชาติหน้าเขาก็ยังไม่รู้ เพราะฉะนั้นเขาก็เริ่มจะรู้ว่า ชีวิตสัตว์ที่จะตายนี้ เขาก็ยังบอกว่าไม่น่าตาย ช่วยกันไม่ให้ตายดีกว่าเขาก็ช่วยกันได้แต่แค่ว่าทำได้เท่านี้ ไถ่ชีวิตมา เขาก็ทำแค่นั้นเป็นความดีความเข้าใจว่าเป็นการช่วยชีวิตสัตว์ เขาก็พัฒนาเจริญขึ้น โดยเห็นแก่ชีวิตตามศีลข้อที่ 1 ก็เป็นระดับของความเป็นมนุษย์ 

 

_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ : อยากให้พ่อท่านสัมภาษณ์ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา

พ่อครูว่า... อาตมาไม่เก่งทางสัมภาษณ์คนหรอกสู้ สู่แดนธรรม หรือทองแก้วไม่ได้ 

 

_Seedin Lee (สีดิน ลี) : นายกฯลุงตู่เอาภาระต่อประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยสงบได้ทุกวันนี้ด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง เป็นการสะสมบารมีพระโพธิสัตว์ในจิตใจของนายกลุงตู่ ดิฉันขอเป็นกำลังใจให้นายกค่ะ

พ่อครูว่า... เห็นด้วย อาตมาสนับสนุนความจริงความถูกต้องอันนี้ 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ไม่สุขไม่ทุกข์คือ 1 หรือ 0 ด้วยปัญญาอันยิ่ง 

_ฝากบุญเกื้อ รมยาสัย : ผู้น้อยได้เห็นสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นตรงตามที่พ่อสอนว่า สุข ทุกข์ มันคือกระดาษแผ่นเดียวอยู่คนละหน้าแค่พลิกกลับไปกลับมาได้เด่นชัดมาก ๆ และได้ปฏิบัติตามที่พ่อสอนว่าไม่สุขไม่ทุกข์(อรหันต์)...เรื่องมีอยู่ว่าผู้น้อยได้ตั้งจิตตั้งใจทำบุญทำกุศล แล้วได้ทำตามที่ตั้งใจไว้ได้สำเร็จ แล้วมีความรู้สึกปิติสุขเบิกบานใจ แล้วได้คุยสนทนากับเพื่อน เพื่อนก็ตำหนิเราว่าไม่เหมาะไม่สมควร ซึ่งเราก็ไม่ปฏิเสธในข้อนี้ แต่เราเห็นอาการเวทนาที่เกิดในจิตเรามันมีโทมนัสเล็ก ๆ จากจิตที่มีปิติสุขอยู่มันพลิกกลับเป็นทุกข์ทันที เราก็อ่านจิตอ่านใจแล้วก็น้อมไปตามคำสอนของพ่อว่าโลกุตระคือสุขทุกข์ แล้วเราก็ทำใจในใจไม่ให้มีทั้งสุขทั้งทุกข์เราก็นึกขอบคุณเพื่อนค่ะ ว่าเขากระตุ้นเอากิเลสเราออกมา แล้วเราก็ได้ข้อคิดอีกว่า เราต้องมีการสำรวมกาย วาจาใจให้มาก ๆ มีสติยิ่งๆขึ้นไปอีกค่ะ สาธุ สาธุ สาธุค่ะ

พ่อครูว่า... ถ้ายังมี 2 ก็จะกลับไปกลับมาระหว่าง 2 ถ้าไม่สุขไม่ทุกข์แล้วจึงจะเป็นหนึ่ง ไม่กลับไปกลับมา ถ้ายังมีโสมนัสโทมนัสอยู่ก็ยังเป็นสอง มีเศษนิดเศษหน่อยที่จะเป็นสองข้างทั้งสุขทั้งทุกข์ ก็ยังเป็น 2 อยู่ มันต้องเป็น 1 หรือเป็น 0 ไปเลย 

ไม่สุขไม่ทุกข์เพราะว่าสะกดมันไว้ หรือไม่สุขไม่ทุกข์เพราะว่าใช้ปัญญา เห็นเลยว่า มันเป็นสิ่งที่ปลอม เทวะ เข้าใจได้เสร็จ ปัญญาเป็นปัญญาอันยิ่งก็จะรู้ว่า ไม่ควรเอาสิ่งที่ไม่สมบูรณ์เป็น 2 ต้องเอาสิ่งที่เป็นหนึ่งเดียวดีสุด หรือ 0 เลย แล้วจะทำอย่างไรให้เป็น 0 เป็น 1 ก็ศึกษาให้ได้ทำให้จบ รู้จักทำ 1 รู้จักทำ 0 จาก 2 หรือจะกี่คู่ก็ไม่รู้ จับแต่ละคู่ให้มาเป็น 1 หรือเป็น 0 คู่นั้นจบเป็นอรหันต์ ถ้ายังไม่จบ ยังไม่เป็นอรหันต์ 

_อ๋อย เอื้อมพร : กราบนมัสการค่ะ พ่อครูยิ้มสดชื่นมากค่ะ เห็นแล้วชื่นหัวใจ

ตอนนี้กำลังฝึกไม่โกรธค่ะ โดยเฉพาะไม่โกรธพ่อบ้าน ทำได้ดีพอสมควรค่ะ หลายครั้งมีแค่จิตสังขาร ยังไม่เป็นวจีสังขาร หยุดความโกรธได้แล้วรู้สึกว่า ชีวิตสงบขึ้นค่ะ

พ่อครูว่า... ดี เห็นคุณประโยชน์ในความสงบ แม้จะเป็นสมถะ ถ้ายิ่งปัญญาชัดแจ้งเลยว่าโง่ไปทำอยู่ได้ ภาษามันมีอยู่เท่านี้ ความฉลาดทางปัญญานี้มันเห็นจริงๆ โธ่เอ๋ย ไอ้โง่ ไปทำอยู่ทำไม ไม่รู้จะใช้ภาษาอย่างไร นี่ก็ใช้ชัดเจนแล้วนะ มีปฏิกิริยาอยู่กับเรื่องนั้นต่อไปทำไม มันไร้สาระ มันเห็นจริง ฉลาดเฉลียวรอบด้าน 

คนที่ยังเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่า น่าได้ น่ามี น่าเป็น ก็ทำอยู่เท่านั้นเอง จะหยาบคายขนาดไหนเขาก็ทำ รู้สึกว่าเป็นคุณค่าน่าได้น่ามี เป็นสุภะ ก็เท่านั้นเอง 

 

_ฝุนบุญ สุขเกษม แม่แดง : กราบพ่อท่านอยางสูง เดี๋ยวนี้อาวาสถานดอยรายปรายฟ้ามีความเจริญก้าวหน้าในด้านบุคคลสัพปายะ ธรรมะสัพปายะ สถานที่สัพปายะ และอาหารสัพปายะแล้วก็พึ่งตัวเองได้แล้วค่ะ เรามีร้านค้าใหญ่โตพอสมควรเป็นร้านค้าบุญนิยมตามแนวทางของพ่อท่านให้ชาวบ้านได้พึ่งพาด้วยค่ะ

พ่อครูว่า... ดีพัฒนาไป อาตมาก็พาทำกันอย่างนี้ ใครช่วยอาตมาทำต่อไปให้เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติก็ดี 

 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สมณะฟ้าไทว่า... ทุกวันนี้ประชาชนเดือดร้อนหากินลำบาก กิจกรรมอบายมุขต่างๆนานาหากินไม่ได้ กิจกรรมรวมกลุ่มกันมากๆก็หากินไม่ได้อีก ก็เหลือกิจกรรมกสิกรรมที่ทำได้ดี ปลูกพืชปลูกผัก ให้อยู่ห่างกัน มีแดด ช่วยให้สุขภาพดี ชุมชนชาวอโศกทำแต่ละจุดให้ได้อย่างนี้ก็จะไปรอดและเป็นจุดช่วยเหลือสังคมในประเทศไทย


 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ทำไมชีวิตนี้ควรได้นิพพาน 

พ่อครูว่า… สิ่งที่คนไม่รู้ว่า ชีวิตนี้ ควร ได้นิพพาน

ชีวิตนี้คนควรทำให้ชีวิตมีคุณธรรมคุณวิเศษจบที่นิพพาน คนไม่รู้ โดยเฉพาะเทวนิยมปิดประตูรู้ ชาวพุทธที่มิจฉาทิฏฐิอยู่ก็ไม่รู้ อยู่ในสังคมเมืองไทยชาวพุทธมี 95 เปอร์เซ็นต์ ยังไม่รู้อยู่ประมาณ 93 เปอร์เซ็นต์ มั๊ง 

จะรู้ว่าควรเอานิพพานมีสัก 2 เปอร์เซ็นต์ 

ที่เขาไม่รู้ว่าชีวิตนี้ควรได้นิพพานก็เพราะว่า 

1. ตรงๆเลยคือเขาไม่รู้ว่านิพพานคืออะไร 

บางคนก็ไปรู้นิพพานเพี้ยน นิพพานก็เป็นเรื่องตายแล้วสูญไปเฉยๆง่ายๆต้นๆ ซึ่งก็มีส่วนถูกนิดนึงตายแล้วสูญได้ ก็ยังมีประโยชน์นะ เราก็ยังไม่เป็นคนมีโทษมีภัย แล้วจะตายไปทำไม ถ้าเขาเข้าใจว่าตายแล้วต้องเกิดมาอีก และเขาเข้าใจด้วยว่าบารมีมีการสั่งสมกรรมวิบาก ทำดีแต่ชาติหน้ามันก็ดีขึ้นจะรีบตายทำไม อย่างนี้เป็นต้น เขาเชื่อว่านิพพานตายแล้วก็ต้องสูญ

2. เขาไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร ชีวิตอยู่ไปทำไม แล้วชีวิตจะเป็นอะไร 

ชีวิตมีอะไรดีหรือไม่ดี หรือชีวิตหลงยึดอะไรอยู่ อย่างโง่ๆ ตรงนี้แสบเลย ไม่รู้ว่าชีวิตยึดอะไรอยู่อย่างโง่ 

สรุปอยู่ที่คำว่า โง่ๆ หรืออวิชชา มันไม่รู้ตรงนี้ มันก็ยึดอยู่หรืออุปาทานอยู่ก็จนกว่าจะหายโง่ จนกว่าจะไม่โง่จริงๆฉลาดจริงๆ แล้วก็รู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า ชีวิตนี้ควรได้นิพพาน ชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตนี้จะอยู่ไปทำไม ชีวิตจะเป็นอะไร ชีวิตมีดีอะไรดีอะไรไม่ดี หรือ เป็นชีวิตที่หลงยึดอะไรอยู่อย่างโง่ๆ ก็จริงๆก็ควรทำลายความโง่นั่นแหละ พอทำลายความโง่ เราก็จะรู้จักนิพพานขึ้นเรื่อยๆ 

พระพุทธเจ้าตรัสปฏิจจสมุปบาท วิธีปฏิบัติเพื่อที่จะบรรลุสูงสุดก็คือจรณะ 15 วิชชา 8 โครงสร้างที่จะต้องปฏิบัติเป็นลำดับก็คือ สติปัฏฐาน 4 โพธิปักขิยธรรม 37 แล้วก็จะได้รู้จักว่า เมื่อเราปฏิบัติแล้ว เราจะเข้าใจหรือจะได้รู้เป็นลำดับๆ เป็นอิทัปปัจจยตาหรือคือ ปฏิจจสมุปบาท 

อวิชชาไม่รู้จักสังขาร สังขารมันก็ปรุงแต่งกันอยู่ก็เป็นวิญญาณ เอาสามเส้าแรก อวิชชาเป็นต้นเหตุ โง่ก็ไม่รู้ว่าสังขารคืออะไร แล้วสังขารเสร็จก็เกิดวิญญาณ มันมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งอยู่นะ ที่ปรุงแต่งก็แยกเป็น 2 คือรูปกับนาม นามกับรูป ตัวที่ 4 ของปฏิจจสมุปบาท 

คนนี้ไม่มีความรู้เรื่องนามรูป ไม่รู้ความเป็น 2 ยิ่งไปยึดว่า 3 นี้เป็น 1 

1 เลย ยึด ต้นธาตุต้นธรรม เป็นพระเจ้า 1 ไม่ให้แยกเลย ให้เป็น 1 ตลอดนิรันดร สายเทวนิยม 100% ทางตะวันตก ตะวันออกกลางก็แล้วแต่ ยังไม่มีทางตื่นฟื้นขึ้นมาให้รู้ว่าชีวิตนี้คืออะไร นิพพานเป็นจุดเป้าหมายที่ชีวิตควรจะได้ 

สรุปตรงนี้ คนที่ได้นิพพานแล้วเป็นอมตะบุคคล คุณจะอยู่ไปอีกนานเท่าพระอวโลกิเตศวรก็เชิญสิ จนกว่า มนุษย์จะเป็นพระอรหันต์หมด จะช่วยคนให้หลุดพ้นเป็นพระอรหันต์หมดทุกคน ตัวเองถึงจะปรินิพพานเป็นปริโยสานเป็นคนสุดท้าย มีปฏิภาณอย่างนั้นก็เชิญ มีอยู่องค์เดียวในมหาจักรวาลนี้ที่มีปณิธานอย่างนี้ 

ท่านชื่อว่า ค้ำฟ้า ก็อยู่ ค้ำฟ้า เพราะฟ้าคือ มหาจักรวาล ทั้งหมดเลยนั่นแหละคือฟ้า ก็อยู่ไป 

เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้จักชีวิตคือนามรูปปรุงแต่งกันอยู่เป็นวิญญาณ เป็นชีวิตก็ดิ้นด๊อกแด๊กอยู่ รู้ว่าเราเล่นอะไรมีกรรมกิริยาทางกายวาจาใจ ก็เรียนรู้อันนี้ แล้วเราก็จะรู้ว่า เรานี่แหละเป็นเจ้าของวิญญาณ 

วิญญาณคืออัตตา วิญญาณคือตัวเรา วิญญาณคือสิ่งที่ปรุงแต่งเป็น 2 เรียกว่า เทวฺ ปรุงแต่งกันอยู่แล้วเราก็เป็นประธาน มันมีพลังงานอันหนึ่งเป็นประธานของอีก 2 อันที่เป็นบวกกับลบ ตั้งแต่พลังงานสสาร เริ่มอุตุก็เป็น 3 

สมณะฟ้าไทว่า... เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตที่พ่อครูอธิบาย 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ปฏิจจสมุปบาท ทำใจตรงไหนให้หายโง่

พ่อครูว่า... พลังงานอุตุแต่บวกลบและปรุงแต่งกันเอง ปรุงแต่งกันโดยสภาพแวดล้อมภายนอกบังคับให้มันเป็นไป ไอน์สไตน์ค้นพบก็เอามาใช้  E=MC2 เป็นพลังงานเล็กที่สุดและระเบิดแรงที่สุด ถ้าคนทำเล็กกว่านี้ได้ก็จะระเบิดแรงขึ้นอีก คนก็พยายามกัน คุณทำให้มันเล็กได้เท่านี้ก็จบแล้ว 

แต่พลังงานทางนามธรรมจะเป็นธาตุรู้ เพราะพลังงานทางวัตถุไม่รู้ อย่างเช่นดอกกุหลาบมันก็ปรุงแต่งตัวมันเองเท่านั้น เท่าที่จะมีธาตุปรุงแต่งเป็นตัวมัน ฟักข้าวมันก็ปรุงแต่งของมันเท่าที่ตัวมันมีพลังงานทำเอง ธาตุอื่นมันไม่เอาด้วย มันก็เอาแต่ที่ตัวเองรู้ มี ISH คือ ไอเป็นประธานของ she กับ he พอมีตัวตนเป็น self เติมเข้าไปใน ISH เป็น Selfish ก็คือเห็นแก่ตัว 

ตามปฏิจจสมุปบาท รู้จักสังขารวิญญาณนามรูป มีสภาพ 2 ปรุงแต่งกันเป็นวิญญาณ ก็ขยับจาก อวิชชาเป็นวิชชา วิชชารู้สังขาร คือการปรุงแต่ง รวมเรียกเต็มว่าวิญญาณ แล้วแยกวิญญาณได้เป็นนามรูป เป็นสามเส้า 

สังขาร วิญญาณ นามรูป ทางเทวนิยมก็อยู่อย่างนี้ มีนามรูปที่แยกไม่ออก เขาก็อยู่กับพระวิญญาณที่ยิ่งใหญ่เรียกว่าพระเจ้า ควบคุมทั้งหมด เขาก็อยู่ในกรอบของความวน กรอบสามเส้า cyclic order ไม่ออกจากกรอบนี้ จนกระทั่ง  เป็นวิญญาณเขาว่าเขาเป็นเทวะที่ยิ่งใหญ่ด้วย เขาก็พอรู้แต่รู้แค่นั้นแหละ เขาไม่ได้เรียนต่อว่า เทวะ แยกเป็นนามกับรูปเป็น 2 ด้าน 

นามรูปนี่แหละ ถ้าใครเรียนรู้แยกต่อได้ว่านามรูปคือวิญญาณ วิญญาณแยกเป็นนามรูปมันปรุงแต่งกันอยู่ด้วยก็สังขาร 

นามรูปจะเรียนรู้ได้อย่างไร ก็เรียนรู้ได้ว่า รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ ตั้งแต่มันไม่มีชีวะเป็นอุตุ จนกระทั่งมันเป็นชีวะเป็นพีชะ จนกระทั่งเป็นคนหรือสัตว์ สัตว์หรือคน ที่อยู่ในโลกนี้ ที่อยู่ในโลกนี้ เรียกว่ารูป กระทบสัมผัสกันได้ 

ตั้งแต่มหาภูตรูป 4 เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม  เป็นอุตุธาตุแน่นอน จนกระทั่งมาเรียนรู้สภาวะของภาวะ 2 เป็นอุปาทายรูปอีก 24 จากทั้งหมดนั่นแหละ ดินน้ำ ไฟ ลม เป็นมหาภูตรูป ส่วนอุปาทายรูป 24 เริ่มจากภาวะ 2 ที่ต่างกันนามกับรูปที่ต่างกัน กายภายนอกกับภายในต่างกันเป็นต้น กายกับจิต แยกกายแยกจิต ใช้ภาษาเรียกว่าเจตสิก แยกกันทีละคู่

แยกตั้งแต่ กายิกะกับเจตสิกะ พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้การประชุมลงที่เวทนา สโมสรณา สำคัญที่สุดคือความรู้สึกตั้งแต่รู้สึกแรก จนกระทั่งรู้สึกจบ เวทนานี่ เป็นต้นจนจบอยู่ที่เวทนา 

ท่านก็แยกให้รู้เป็นกระบวนการเวทนา 108 จากในคนเป็นๆ ศึกษาได้ เพราะมีตาหูจมูกลิ้นกายใจ 6 ทวาร แล้วเวทนา มันก็มีอยู่ 3 เท่านั้นคือ สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ มีภายนอกกับภายใน มีกายิกกับเจตสิกะ คือเวทนา 2

สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ก็คือเวทนา 3 

แล้วมันก็ยังมีน้ำหนักเป็นดีกรี น้ำหนักต่างกันอยู่อีก 5 ท่านเรียกว่าอินทรีย์ 5  พลังงานน้ำหนักของมัน 5 

ภายนอกเรียกว่าสุขทุกข์ ภายในเรียกว่าโสมนัสโทมนัส คู่นี้ทำให้เป็นอุเบกขาเป็นกลางก็เป็น สุขินทรีย์ โสมนัสขินทรีย์และอุเบกขินทรีย์เป็น5 ลำดับ แยกไว้อย่างชัดเจนอีก 5 

แล้วมันจะเกิดตอนนี้ได้เกิดมาจากเวทนา 6 กับเวทนา 3 เกิดจาก ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส กายสัมผัสโผฏฐัพพะ กระทบภายนอกทั้งหมด มนายตน กระทบภายใน สัมผัสอยู่ภายใน ต้องทำภายนอกให้ได้จริงเสียก่อน จึงค่อยมาอันสุดท้ายภายในไม่มีปัญหาเลย 

สรุปแล้วก็มีคู่จาก 6 ทวารคือสุขกับทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ อีก 3 รวมกันแล้วก็เป็น 18 เรียกว่าพฤติกรรมของจิต  ภาษาบาลีคือมโนปวิจาร 18 พฤติการณ์ของจิต

18 อาการนี้พระพุทธเจ้าแยกแยะอีก 2 อันคือ โลกียะ หรือเคหสิตะ กับ ทำกิเลสให้ออกไปเป็นโลกุตระ เป็นเนกขัมมสิตะ 

จนกว่าจะมีปัญญามีความรู้แบบโลกุตระได้ยินจากผู้ตรัสรู้คือพระพุทธเจ้า ออกจากโลกคือโลกียะตั้งแต่ พื้นฐานสว่าน 5 ภายนอกมากระทบสัมผัสและมีใจเป็นตัวกลางเป็นทวารใน 

ตา หู จมูก ลิ้นโผฏฐัพพะ ภายนอก 5 แล้วมีใจมารวมอยู่ในนี้ ใจที่ร่วมอยู่ในนี้ทั้งหมด ใจมันมีอันเดียว แบ่งกันอยู่อย่างละครึ่งกับทั้ง 5 ทวาร อย่างละครึ่งๆๆ ก็เลยหักออกสักครึ่งนึงทางใจ ก็เลยเหลือครึ่งเดียว เพราะฉะนั้นก็เลยเป็น 5 ครึ่งหรือเรียกว่า 9 นี่มันยากตรงนี้ บอกว่า 5 คู่ มันก็น่าจะเป็น 10 และเป็น 9 ได้อย่างไร 

คือ มันมีใจเป็นตัวรวมอยู่ในนี้ทั้งหมด ใจ ไปเป็นคู่ของ ตาหูจมูกลิ้นกาย เพราะฉะนั้นใจเข้าไปอยู่ร่วมในนี้ทั้งหมดเลย ตรงนี้ก็เลยทำให้เข้าใจยาก ว่าทำไมมันหดลงเหลือ 9 

แล้วทั้ง 5 คือ โผฏฐัพพะ หากไม่มีใจเข้าไปร่วมก็ไม่รู้ ต้องมีธาตุรู้ เข้าไปร่วมกับทวารทั้ง 5 นี่แหละ ที่มันหลงอนัตตามีอวิชชาคือหลงยึดว่าทั้ง 5 นี่แหละมี ก็เลยต้องมี แล้วน่าได้น่ามี ก็มีนิรันดร จริง พระเจ้าบอกว่าตัวจิตนี่แหละโง่ไปยึดว่ามันมี เอ็งก็เลยไปอยู่กับมันตลอดกาล เพราะฉะนั้นเองอย่าโง่ไปหลงเป็น 2 ให้เป็น 1 ก็พอ เลยถูกหักไปหนึ่ง 10 เลขถูกหักไป 1 เหลือ9 อย่าไปหลงกับเขาว่าเป็น 5 คู่ ว่าเป็น 10 เพราะว่าจิตมันเป็นอนัตตาดับจิต ดับจิตให้ได้ แล้วจิตมันดับได้หรือ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่ามันดับได้ ไม่รวมปรุงแต่งกับพวกนี้ได้ สุดยอดเลย 

ตรงนี้ขยายความไม่ไหวแล้ว จิตมันไม่ปรุงแต่งเป็นอย่างไร ก็ฝึกเอา จิตเราไม่ปรุงแต่งกับมันทั้งที่มันมีอยู่ในโลกนิรันดร คนโง่ก็อยู่ในนี้ทั้งนั้นแหละ ตั้งแต่เป็นสัตว์เดรัจฉานจนมาเป็นมนุษย์ อเวไนยสัตว์  สัตว์ที่สอนไม่ได้ มันก็เป็นอยู่อย่างนี้ 

จนกระทั่งมาเรียนมาสอนได้พระพุทธเจ้าก็สอนว่า ที่จริงเป็นเรื่องสังขารปรุงแต่งกันอยู่ทั้งนั้น เมื่อเรารู้พลังงานที่ไม่ต้องไปสังขาร เลิกสลาย ไม่มี อยัง อยะ ไม่มียางเหนียว ไม่มีแม่เหล็ก มันก็ไม่ติดไม่ยึดอะไรเลยสลายออกไปหมดเลย 

ภาษาทางแม่เหล็กคือไม่ดูดไม่ผลัก ก็หัดทำพลังงานเวทนา ไม่ดูดไม่ผลัก การไม่ดูดไม่ผลักก็ต่างคนต่างอยู่ ดีไม่ดีมีลมพัดก็พาไป มีน้ำซัดมันก็พาไป มีฝนมาเดี๋ยวฝนก็พาไป ตอนนี้ฝนกำลังมา ร่วมสมัยกับฝน มันก็ไปซัดไป มีมรสุมมีคลื่นทำให้แตกแยกไปได้หมดด้วยพลังงานอำนาจภายนอก เมื่อเราไม่ยึดตัวเอง พลังงานภายนอกก็เป็นนาย มันก็แยกไปได้หมด สุดท้ายเราไม่ยึดเลย ก็ไม่มีเราอยู่ในนั้น มันก็แยกไปหมดเลย นี่ใช้โวหารภาษาพูดแค่นี้เข้าใจไหม 

แล้วทำได้จริง จริง ทำได้เป็นคู่ๆๆ (ฝนหยุด) ฝนนี่ขานรับเรานะ เราพูด นี่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่ไขความนะ

 

จากภาวรูป 2 ก็จะเริ่มต้นแล้ว เริ่มต้นที่ ปสาทรูป 

ตา หู จมูก ลิ้น กาย 5 ถ้ามันออกไปทำงานปั๊บ เรียกว่า โคจรรูป มีประสาท มีตาหูจมูกลิ้นกาย จรออกไปทำงานร่วมกัน ตามวิสัยของอวิชชา จะต้องออกไปทำงานเป็นธาตุจิตนิยาม ธาตุของเดรัจฉาน จนถึงมนุษย์ที่อวิชชาก็สัมผัส ไปร่วมปรุงแต่งกัน โดยไม่รู้

พอปรุงแต่งกันเสร็จ มันก็จะเกิด หทยรูป ก็คือ สิ่ง 3 ห ท ย

ห คือ ความจริง  ท คือตั้งอยู่  ย คือตัวพลังงานรวมกัน 

อยะ เศษวรรค ตัวที่ 1 ย ร ล ว ส ห ฬ อัง

ฬ เป็นตัวที่ 6 กินรวบทั้ง 6 คือ สอง สามเส้า 

ห ก็เอามาเป็นยอดของตัวนี้ ย ก็เอามาเป็นยอดตัวนี้ แล้ว ท คือ ตัวตั้งอยู่อย่างแข็งแรง 

มันเป็นนามธรรม ไม่รู้จักที่อยู่ของมันหรอก แต่มันก็อยู่ในคูหาสยัง อยู่ในร่างกายเรานี้ เพราะฉะนั้นถ้ารู้ของเราเวทนาหรือสัญญา ไปกำหนดรู้ความรู้สึกนั้นขึ้น เวทนากับสัญญาทำงานร่วมกัน กำหนดรู้ร่วมกันที่ไหนโดยมีสภาวะ ถ้าไม่กระทบ มันก็จะไม่รู้กัน เวทนาก็อยู่ของมัน สัญญาก็อยู่ของมัน แต่มีเวทนากับสัญญารวมหัวกันไปกระทบอันหนึ่งเป็นเส้าที่ 3 เกิดรู้เลยว่ามีผัสสะ

กระทบขึ้นมาก็จะเกิดอายตนะมีตัวเชื่อมต่อซ้อน พระพุทธเจ้าตรัสรู้ละเอียดครบครันมากเลยในปฏิจจสมุปบาท แค่ไม่กี่ตัวนี้วิญญาณ

เสร็จแล้วก็รวมตัวสรุปกันมาเป็นเวทนาด้วยอวิชชา เวทนาก็คือสังขารที่มันปรุงแต่งกันก็คือวิญญาณนั่นแหละ โง่เง่าก็ตายอยู่กับวิญญาณนั่นเลย แยกไม่ออกตีไม่แตก ไม่รู้เกิดรู้ดับ จมอยู่อย่างเดิม 

พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่จำนน เมื่อมีผัสสะ เกิดนามรูป อายตนะ ผัสสะอายะทำไรมันไม่ใช่ตัวตน 3 ตัวนี้ นามรูป 2 ตัว กระทบกันก็เกิดอายตนะ 

อายะ กับ ตนะ มันคือเวทนา อายะ กำไร ตนะคือ ตัวเรา ตน 

ต คือตัวตั้ง น คือตัวไม่ มันไม่ใช่ตัวตนแต่มันหลงว่ามีตัวตนเพราะมีอวิชชา หลงว่ามีตัวมีตน ตัวนี่เป็นภาษาไทย ภาษาบาลีว่า ตนะ 

พอตัวตน เป็นตัวตนขึ้นมาเป็นเวทนา ก็งมงายไปกับอวิชชาแล้วก็จมอยู่กับความรู้สึกทั้ง 3 ไปหลงว่า สุขๆๆ ติดสุข เป็นสุขนิยาม ด้วยอวิชชาไม่รู้ จนเทวนิยมก็จมอยู่กับอวิชชาสุขนิยม แล้วไปหลงว่าสุขนิยมมีเจ้าแห่งสุขนิยม มีอำนาจมีพลังเป็นเจ้าของความสุข อยากได้ความสุขต้องสยบกับพระเจ้า เพราะเป็นเจ้าของความสุข ใครยาขบถต่อพระเจ้าอย่าแข็งข้อต่อพระเจ้าพระเจ้าเท่านั้นจะประทานความสุขหรือจะให้ความทุกข์ ก็เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้น ต้องเชื่อด้วย Have to ต้องเชื่อด้วย อย่างนั้นเลย ใครไม่เชื่อก็จะทุกข์นะ แล้วมันก็จริง เขาก็ทุกข์นะเพราะมันไม่ได้สมใจ ถ้าไม่ได้สมใจก็เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ก็แก้ไม่ได้เพราะจำนนกับพระเจ้า พระเจ้าเป็นเจ้าของความสุขความทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ 

โดยเฉพาะเป็นเจ้าของสุขแท้ๆ ของท่านมีแต่ดีมีแต่สุขนี่แหละ ไม่ดีนี่มันทุกข์ เพราะฉะนั้นเอาใจพระเจ้าดีๆแล้วจะได้ดีๆ ถ้าไม่เอาใจพระเจ้าไม่ได้ดีๆนะ ถ้ามีพระประสงค์ให้ไม่ดีเมื่อไหร่ ท่านประทานความทุกข์ให้ 

นี่คือความจำนนแล้วก็จมอยู่อย่างนี้เพราะอะไร เพราะว่าสัตว์โลกมีอวิชชาอยู่แม้มาเป็นคนแล้วก็ยังมีอวิชชายังไม่ตื่น พระพุทธเจ้าจึงตรัสรู้สิ่งนี้ซึ่งเป็นสัจจะอันยิ่งใหญ่ที่สุดเลย 

เพราะจริงๆแล้ววิญญาณคืออะไร ที่ว่าคืออะไรพลังงาน 2 ชนิดที่เป็นชีวะ จิตนิยามคืออะไร พระพุทธเจ้าค้นพบไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ ถึงคนพบความจริงแล้วเอามาประกาศต่อโลก 

อาตมาก็เลยได้มาเรียนตาม เพราะฉะนั้นเทวนิยมนี้ 

1. ยังไม่มีภูมิพอจะศึกษา คุณจะให้สิงเสือกระทิงแรดมาศึกษาโลกุตระก็ไม่ได้ แม้ว่ามาเป็นคนก็อีกนานมากเลย ทางศาสนาฮินดูบอกว่ากว่าจะเป็นคน ต้องเป็นคนแคระ กว่าจะมีคนรู้เรื่อง กว่าจะถึงขั้นพระราม เขาก็ไล่มาเป็นลำดับๆ 

 

มาต่อปฏิจจสมุปบาท 3 เส้ามี อายตนะ ผัสสะ เวทนา

อายตนะ เป็นตัวเชื่อมต่อ เมื่อมีผัสสะกระทบกัน 2 อย่างระหว่างนามรูป ก็จะเกิดเป็นเส้าขึ้นมาเกิดตัวปรุงแต่งเป็นสังขาร เมื่ออวิชชาก็มีสังขาร สังขารด้วยอวิชชา ปรุงแต่งวนเวียนกันอยู่อย่างนี้ อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา 

เวทนาหมายถึง อาการของจิตระดับของปฏิจจสมุปบาทคือ อวิชชา สังขาร วิญญาณนามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา เวทนาก็คือวิญญาณ เป็นตัวเดียวที่ปั้นที่ปรุงแต่ง ถ้าเป็น Dynamic ก็เป็นสังขาร ถ้าเป็น Static ก็เป็นวิญญาณ จับตัวอยู่ไม่รู้เรื่อง เรียกด้วยพยัญชนะว่า เป็นวิญญาณ 

แต่พยัญชนะวิญญาณก็คือธาตุรู้  สังขารคือความไม่รู้ สังขารคือสิ่งที่ปรุงร่วมกันอยู่ สังขารคือก้อน ก้อนแห่งความว่าง สังข คือ ก้อนแห่งความว่าง สังขติ คือ ก้อนแห่งความว่าง

ถ้ามันรู้เคลื่อนตัวขึ้นมา แล้วก็ศึกษาอาการ มันมีการเคลื่อนที่ พระพุทธเจ้าจึงให้เรียนสภาพที่การเคลื่อนที่ ไม่ใช่เรียนที่สภาพนิ่ง มันนิ่งก็แยกไม่ออก ไปเรียนอะไรมันได้ ตีไม่แตกแยกไม่ได้ เรียนไม่ได้หรอก ให้มาเรียนรู้ตัวเคลื่อน วิญญัติ 

ตั้งแต่เคลื่อนไหวทางกายวาจาก็เป็นจิตนั่นแหละ เป็นตัวรู้เคลื่อนไหว ทางกายก็เป็นตัวประชุมหยาบ วจี ก็เป็นเรื่องใช้สื่อเสียงออกไป คีตะ วาทิตะ หยาบก็นัจจะ ร่วมไปหมด ดินน้ำไฟลม แสดงออก เราก็แยกออกได้ จนกระทั่งไปประชุมลงที่เวทนา 

เป็นตัวกลางตัวสมบูรณ์แบบ จัดการกับตัวนี้ ก็แยกตัวนี้เป็น 108 เวทนา 108 จากฐานเลย ภายนอกภายใน กายิกกับเจตสิก 

แล้วก็เกิดอาการ 3 สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ หรือหมดกิเลสเป็นอุเบกขา แยกแยะระหว่างไม่สุขไม่ทุกข์กับอุเบกขา ไม่สุขไม่ทุกข์เป็นอาการของเวทนา แต่จริงๆเวทนาตัวแท้ของมันคือ ตัวธาตุจิตที่มันไม่มีกิเลส บริสุทธิ์แล้ว มันก็เลยไม่มีเวทนาสุขทุกข์ 

เป็นภาษาสื่อสารว่าไม่สุขไม่ทุกข์ แล้ววิธีไม่สุขไม่ทุกข์ วิธีของเดียรถีย์คือไปกดข่มมันไม่รับรู้ หรือ สมถะลืมตา รู้นิ่งเฉย ฝึกเข้าก็ทำไม่รับรู้ได้เป็นสมถะ สะกดจิตเข้าไม่รู้ก็ได้ แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่างนั้นจะไปรู้จบได้อย่างไร ก็ต้องมารู้ รู้ รู้ กายคือกิเลส มันเป็นตัวโง่ตัวอวิชชาตัวหนึ่ง รู้ตัวนี้สิ แกอย่ามาทำเป็นปลอม มาเป็นอาคันตุกะ เป็นแขกจร มันไม่มีตัวจริงหรอก มันอนัตตาไม่มีตัวตน แต่เราโง่ให้มันมีตัวตนเอง จริงๆเราโง่เต็มรูป เราโง่เองทั้งสิ้นปรุงแต่งเอง โง่เอง รักเอง มีเอง เป็นเอง หมดในตัวเลย ฉลาดเองสิอย่าไปโง่เอง นี่ใช้ภาษาเท่านี้ ฉลาดเองอย่าไปโง่เอง 

ถ้าโง่เอง คุณก็เป็นทาสสิ่งอื่นหมดเลย ถ้าฉลาดเองคุณก็จบ 

ทีนี้ตัวจบ ปัญญาตัวจบ มันก็รู้ รวมอยู่ในปัญญาข้อที่ 8 ของพระพุทธเจ้า ทั้งหมดกองที่มาร่วมปรุงแต่งกันหมดท่านสรุปลง ที่ 5 ขันธ์ มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ 

รูป คือ สิ่งที่รวมตัวกัน เวทนา กำลังเกิด สัญญา ปรุงแต่งกันอยู่ก็เป็น สังขาร สามเส้า เป็นวิญญาณ

เราแยกวิญญาณ​ ตามหลักปฏิจจสมุปบาท เราก็จะรู้ว่าตัวการแท้ๆก็คือตัณหา คือตัวดิ้นไม่รู้จบ โง่ตลอดกาลนาน คือ ตัณหา 

ตัณหา คือตัวเคลื่อน ของตัวโง่ อุปาทานคือตัวนิ่งของตัวโง่ คู่กัน หากหยุดนิ่งก็เป็นอุปาทาน อะไรมันนิ่ง ก็คือความโง่ที่ดิ้นไม่มีหยุด ถ้าหยุดดิ้นหยุดแส่หาก็คือจบแล้ว หยุดเลย หยุดด้วยปัญญาไม่ใช่กดข่ม ดูว่าจริงๆแล้วมันไม่มีหรอก มันปรุงแต่งกันอยู่ด้วยความไม่รู้ อวิชชา มันปรุงแต่งกันอยู่เป็นสังขาร 

ใช้พยัญชนะเหล่านี้พูดสลับไปสลับมาเข้าใจนะ

พระพุทธเจ้าจึงให้มาศึกษาว่า จริงๆแล้วมันหลงอะไร มันหลงสุข รวมแล้วมันหลงสุข มันว่าสุขนั่นแหละดี สุขะนั่นแหละดี ก็แปลแยกให้ฟังว่า สุ คือดี ข คือว่าง ไอ้ว่างๆนั่นแหละดี 

จริงๆ ว่างคือความไม่มีอะไร 

ศาลานี้ว่างจากช้าง ศาลานี้ว่างจากคน ตกลงไม่มีสัตว์เลยในศาลานี้ มีแต่เสา มีแต่แผ่นพื้น ก็ตัดเสาออก เอาอะไรออกหมด มันก็ไม่มี ไม่มีอะไรเลย ว่างเลย มันก็เป็นอากาศ 

อากาศก็ยังมี คุณก็อยู่กับอากาศไป อากาสานัญจายตนะสุดท้าย ว่าง 

สุข นี่แหละคือว่าง แต่คุณก็ไม่ต้องยึดติดว่าเป็นเราเป็นของเรา ก็อาศัยไป อาศัยความสุข อาศัยว่างนี่แหละดี ว่างจากอะไร ว่างจากสุขจากทุกข์นั่นแหละ อย่าโง่ แต่อยู่กับประโยชน์ อายะ อยู่กับสิ่งที่ควรจะสร้างสรร 

สรุปว่า ชีวิตคืออะไร ชีวิตคือ พลังงานที่สร้างสรรอยู่เรื่อยไป ด้วยปัญญากำหนดรู้ แล้วก็ทำสิ่งที่ควร ตามกาละ เทศะ ตามสัปปุริสธรรม 7 ตามมหาปเทส 4 นั่นแหละ มีชีวิตจบตรงนี้วันนี้ลงที่ว่า ชีวิตคืออะไร คุณรู้อย่างที่อาตมาพูดมาแล้ว สุดท้ายคุณรู้จบว่า ตัณหาก็ยังมีอุปทานก็ยังมี โง่ลงไปทั้งหมดเป็นภพเป็นชาติ เมื่อดับตัณหาได้ทุกอย่างก็ดับ หรือดับอุปาทานคู่เทวะ 2 นี้ ตัวนิ่งกับตัวเคลื่อน ดับตัณหาดับอุปาทานได้ ภพก็หมด ชาติก็หมด ทุกอย่างก็หมด จะเกิดเป็นภพ เป็นสังขาร เป็นวิญญาณอะไรก็หมด 

ไว้ขยายความต่อในวันข้างหน้า 

สมณะฟ้าไทว่า... สรุปจบ เจริญธรรม


เวลาบันทึก 19 ตุลาคม 2564 ( 15:22:12 )

640922

รายละเอียด

640922_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ วันนี้พ่อครูบอกทางรอดของมนุษยชาติ

https://www.boonniyom.net/50683.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1M-LItMLhM53IE3xVdAhAPn0lNuC-7WO2ENiQ_g0TIo0/edit?usp=sharing ng 

 

ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1udyAlManchfaunR-zAnrtlxxCQ5l3CDN/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ 

https://youtu.be/Rg7z2IpWdSk

https://www.facebook.com/300138787516163/videos/1005165756995737 

 

สมณะฟ้าไท... วันนี้เป็นวันพุธที่ 22 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้มีหนังสือเปิดยุคบุญนิยมเล่ม 3 ออกมา ทยอยส่งแจกให้ผู้สนใจเอาไปอ่าน หนา 411 หน้า พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ขยันเขียน ไม่ทราบว่าผู้อ่านจะขยันอ่านหรือไม่ 

มีหลังปกเขียนโปรยไว้ว่า...ระบบบุญนิยมเป็นไปเพื่อความเจริญความประเสริฐ ถ้าคนเข้าใจได้ก็ต้องมาทางนี้ เขาจะรู้เองว่าที่สุดแล้วต้องมาทำอย่างนี้ ไม่ทำอย่างนี้คุณก็ไปไม่รอด ต่อไปทรัพยากรโลกมันร่อยหรอลง คนจะยิ่งแย่งชิงกัน อำนาจจิตวิญญาณของคนที่ถูกกิเลสครอบงำมันจะรุนแรงโหดร้าย คนไม่อยากทุกข์อย่างนั้นหรอกใช่ไหม ฉะนั้นไม่มีทางออก เมื่อมีมวลมีตัวอย่างที่จะเป็นไปได้ ก็ต้องทยอยมาเรื่อยๆ เพียงแต่ต้องอาศัยเวลาเท่านั้น ...โดยสมณะโพธิรักษ์ 

 

พ่อครูว่า... เริ่มที่ SMS วันที่ 17-19 ก.ย. 2564 

_สมยศ ฐานศิลา : กราบนมัสการครับ ตอนนี้ดูผ่านเฟสบุ๊คครับ กล่องดาวเทียมเป็นกล่องSD เลยไม่มีสัญญานครับ กล่องที่เป็นHD ยังไม่มีสัญญานครับชื่อช่องบุญนิยมทีวี แต่ไม่ใช่ช่องชาวอโศกครับกล่องของ IPM ครับ

พ่อครูว่า… ยังไม่เรียบร้อย คอยติดตามไปนะ

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน คนโสดคือคนเป็นบัณฑิตเป็นเช่นไร

_สติพล จนพัฒนา : พระพุทธเจ้าตรัสว่าการเป็นโสดเป็นบัณฑิต..คงหมายถึงการไม่มีกิเลสกามละกระมังครับ..เพราะเอาแค่เป็นโสดภายนอกเท่านั้น...คนโสดเยอะมากเลยครับ.

พ่อครูว่า...อันนี้จะหมายถึงอย่างที่คุณว่า หมายถึงไม่มีกิเลสกาม ก็คือผู้ที่ลดกิเลสกามได้เรื่อยๆจริงๆ จนถึงขั้นคนไม่มีกิเลสกามก็เป็นอนาคามี ก็ต้องเป็นบัณฑิตแน่นอน เป็นผู้บรรลุธรรมแน่นอน คำว่าบัณฑิตคือผู้ที่บรรลุธรรม ผู้เจริญในธรรม เจริญจากปุถุชนสามัญธรรมดาขึ้นไปเรื่อยๆ 

คำว่าโสดคำนี้ จริงๆแล้วมันหมายถึงการไม่มีคู่ ที่เป็นผู้หญิงผู้ชายมาจับคู่แต่งงานกันเป็นคู่สมรส นั่นก็ชัดเจน ทุกคนก็รู้กันเป็นเรื่องปกติสามัญ ที่ใครๆก็รู้กัน ส่วนความโสดที่คุณหมายถึงการไม่มีกิเลสกาม โอ้โห มันลึกนะ มันลึกซึ้ง ก็ค่อยๆทำความเข้าใจ มันก็ดีทั้งนั้นแหละ โสดที่ไม่มีคู่ ในรูปธรรมธรรมดาก็ดี ไม่ต้องมีใครเป็นภาระ ไม่ต้องคอยก่อเรื่องให้มี คือคนเรามันมีเรื่องลึกลงจิตวิญญาณ จิตวิญญาณของเราเองแท้ๆตัวคนเดียว เราก็ต้องระมัดระวังกระทบสัมผัสกับคนอื่นที่ไม่ใช่คู่ 

ส่วนคนที่แต่งงานกันแล้ว มันลึก ไม่ใช่ว่าจะชาติไหนก็แล้วแต่ แต่งงานกันแล้วเท่ากับสัญญากับสังคมแล้วว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกันเป็นครอบครัวเหมือนคนคนเดียวกัน มันก็เลยยิ่งหนัก ขนาดใจเราใจเดียวก็ยังหนัก เอาอีกใจหนึ่งมาคอยดูแล คอยระมัดระวังกัน มันก็ยิ่งหนักกันใหญ่ มันเป็นภาระ คนที่ฉลาดก็อยู่เป็นคนโสดนั่นแหละดีเป็นบัณฑิต ยิ่งลดกิเลสก็แน่นอนยิ่งเป็นบัณฑิตแท้ 

 

_น้อมดิน ทยาธรรม  : ได้ความรู้ มากเลยค่ะ ฟังคุณหมอ แนวคิดหมอวรงค์ ถูกต้องที่สุด

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ผู้บรรลุธรรมของพุทธในยุคนี้มีอยู่แต่ในประเทศไทยเท่านั้น 

_คนจน คนนา : เพราะท่านพูดว่าอยู่ที่คนเลือกนี่แหละ เป็นปัญหามาก เพราะแต่ละคนภูมิปัญญาต่างกันมากลิบลับ โดยเฉพาะภูมิทางคุณธรรม

พ่อครูว่า... คนที่มีภูมิปัญญา ท่านก็รู้ปัญหา ไหนที่เกี่ยวกับท่าน ท่านช่วยเขาได้ก็ช่วย อันไหนไม่เกี่ยวหรือช่วยไม่ได้ ท่านก็ไม่ได้ช่วย ปัญหามันมีมากมาย ถ้าหากไม่บรรลุธรรมจริงๆ ทางโลกยิ่งเป็นโลกียไม่ได้บรรลุธรรมแบบโลกุตระเลย ยิ่งไม่มีทางจะหมดปัญหาได้เลย ปัญหาเขาจะมากๆ 

แค่ประเด็นนี้ผู้ที่มีภูมิธรรมโลกุตตรธรรมแล้วปัญหาทางโลกนี้จะมีน้อย เมืองไทยเองเป็นเมืองพุทธ แล้วอาตมาขอยืนยันว่า ทุกวันนี้พุทธศาสนา มีเมืองไทยเท่านั้นที่มีโลกุตรธรรม ที่มีผลต่อมนุษย์จนปฏิบัติลดละกิเลสได้ ปฏิบัติแล้วบรรลุมรรคผลได้ นอกนั้นไม่มี ประเทศไหนก็แล้วแต่ที่มีศาสนาพุทธแม้แต่ประเทศอินเดียเอง เพราะไม่รู้จักโลกุตรธรรมแล้ว ปฏิบัติลดกิเลสไม่ได้ ได้อย่างเก่งก็กดข่มกิเลส 

ฟังประเด็นชัดๆ ลดกิเลสคือทำลายกิเลสหมดลงไปได้ด้วยปัญญาด้วยฌาน เป็นฌานแบบลืมตาไม่ใช่ฌานสะกดจิต มันเผากิเลสจนหายไป แล้วจะไม่มีกิเลสอีก เป็นพระอรหันต์แล้วไม่มีกิเลส หมดแล้วหมดเลยไป ตายชาติหน้าเกิดมาเป็นโพธิสัตว์อีกสืบทอดต่อพุทธภูมิ กิเลสก็ไม่มี แต่จะมีลิงลมอมข้าวพองได้ แม้แต่ชาติที่เป็นพระพุทธเจ้าท่านก็ดูเหมือนตอนแรกจะมีกิเลสอย่างโลกๆเขา ต้องแต่งงานต้องมีอะไรต่างๆนานา เหมือนยังมีโลภโกรธหลงแต่ที่จริงมันลึกซึ้งมาก มันเป็นเรื่องถูกครอบงำทางสังคมเท่านั้นเอง ไม่ช้าไม่นานก็สลัดได้ อันนี้อาตมารู้ดีเพราะอาตมาเป็นเองจึงบอกได้ 

ศึกษาไปดีๆ พูดไปก็เหมือนคนหลงใหลเชิดชูยกย่องพระพุทธเจ้าเกินไป จนกระทั่ง อาตมาก็ได้ยกย่องชมเชยมาไม่น้อยแล้วก็รู้สึกเกรงใจ ที่จริงมันไม่หมดไม่พอหรอกที่จะยกย่องค่อยว่ากันไป 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน 7 ปีนี้พลเอกประยุทธ์ไม่ได้ยึดอำนาจมาบริหาร 

_สมพร : เขาเรียกร้องชัดเจน  แต่พวกคุณสิ ไม่ชัดเจน เด็กต้องการเลือกตั้ง  แต่พวกคุณต้องการให้ทหารยึดอำนาจ ฝ่ายหนึ่งประท้วงให้มีการเลือกตั้ง อีกฝ่ายประท้วง เพื่อให้ทหารเข้ามาโกงกิน เขาต้องการให้ประหยุทธิ์ลาออกแล้วมีการเลือกตั้ง

สงบแต่ยึดสนามบิน เอาผ้าเหลืองมาใส่ เลวสุดๆ เลย

(คอมเม้นท์จากรายการปัจจุบันเสวนา สัมภาษณ์คุณแซมดิน)

พ่อครูว่า... ด่าฟรีนะ เราไม่ได้ไปวุ่นวายอะไรกับเขาอย่างนั้นเลย ก็ต่างคนต่างเห็นต่างคนต่างคิดนะ อาตมาก็ขอยืนยันว่า พลเอกประยุทธ์ไม่ได้มาเผด็จการ พลเอกประยุทธ์ไม่ได้มายึดอำนาจ ทุกวันนี้เป็นนายกรัฐมนตรีไม่ใช่นายกรัฐมนตรีที่มาจากการยึดอำนาจ แต่เป็นนายกรัฐมนตรีตามกฎหมายของประเทศ ได้รับการเลือกตั้ง แม้ว่าพลเอกประยุทธ์ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคใด แต่เขาก็เลือกตั้งกันแล้ว คุณนั้นงมงายกันอยู่อะไรกันเล่า เขาผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว จะครบ 4 ปีสมัยนี้แล้ว 

ใช่ 4 ปีแรกนายกฯประยุทธ์เหมือนยึดอำนาจ แต่เราขอยืนยันว่านั่นก็ไม่ใช่พลเอกประยุทธ์ยึดอำนาจ แต่เป็นประชาชนยึดอำนาจ เสร็จแล้วพลเอกประยุทธ์มารับไม้ต่อ แต่คนที่ไม่ประสีประสาก็บอกว่านายกฯมายึดอำนาจ พลเอกประยุทธ์ยึดอำนาจ ก็ไม่ผิดหรอกก็ถูกของเขาเพราะว่ารูปธรรมมันเป็นอย่างนั้น แต่ที่จริงอำนาจของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่มีแล้วประชาชนไล่ไปเปิดเปิงแล้ว แล้วนายกฯประยุทธ์ก็มารับหน้าที่ดำเนินการบริหารประเทศต่อไป เพราะเป็นหัวหน้า คสช. 

แล้วพวกเราชาวประชาชนยึดอำนาจได้แล้วก็ไม่มีใครคิดจะตั้งตนเป็นผู้บริหารประเทศ อาตมาก็ยังเคยบอกว่าตั้งนานกว่าจะมารับช่วงต่อ พลเอกประยุทธ์มารับช่วงต่อ ตอนที่ 4 ปีแรกบริหารไป แล้วจากนั้นก็มีการเลือกตั้ง เขาก็เลือกพลเอกประยุทธ์ให้เป็นนายกฯอีก รู้ให้มันชัดเจนสิว่านี่คือประชาธิปไตยบริบูรณ์ที่สุดแล้วในประเทศไทย 

เมื่อเป็นประชาธิปไตยแล้วจากนั้นผ่านมาก็ 7 ปีแล้ว มีบ้างที่มีประชาชนค้านแย้ง เป็นพวกโง่เง่าเป็นคนกระจุกเดียวนิดหน่อยเป็นธรรมชาติธรรมดาก็ต้องมี error มีจำนวนหนึ่งที่บ้าบอตกโลกตกยุค ไม่ชัดเจนในสัจจะสักอย่างเขาก็ทำกันอย่างที่ทำ คนที่รู้เขาก็รู้ แต่คนที่รู้ก็จะทำแบบกวนประเทศจะทำไม มันส์ดี พวกมาโซคิสซาดิส ก็จะได้เงินทองใช้บ้าง มีความซับซ้อนสารพัด 

พวกคุณมาด่าเราฟรี เราไม่ได้เลว ไม่ได้โง่เง่าอย่างที่คุณว่าเลย ที่คุณว่ามานี่ด่าตัวเอง เพราะไม่รู้ความจริงชัดเจนพวกนี้ คุณชื่อสมพร ขออภัยที่ตอบคุณแรงไปหน่อย มันเป็นความจริง 

 

SMS วันที่ 20-21 ก.ย. 2564

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ความแตกต่างระหว่างพระอวโลกิเตศวรกับพระเจ้า 

_ฝน : วันนี้พ่อครู กล่าวว่าจะมาต่อความแตกต่างระหว่าง พระอวโลกิเตศวร กับ พระเจ้าต่างกันเช่นไรค่ะ กราบนมัสการ อย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า... พระอวโลกิเตศวร เป็นชื่อฉายาโพธิสัตว์ใหญ่ที่อยู่ยาวนาน ยาวนานจนกระทั่งท่านจะเป็นพระโพธิสัตว์ที่ยาวนานที่สุด จะไม่ปรินิพพานไปก่อน จนกว่าจะช่วยคนให้เป็นพระอรหันต์ให้หมดโลกท่านจึงจะปรินิพพานเป็นคนสุดท้าย ซึ่งเป็นเรื่องสุดวิสัย เป็นปณิธาน 

สู่แดนธรรม... ผมคิดว่าในที่สุดพระอวโลกิเตศวรก็มีที่จบ แต่พระเจ้าไม่มีที่จบใช่ไหมครับ 

พ่อครูว่า... ใช่ พระเจ้าไม่มีที่จบหรอก วนในกะลาครอบในความรู้เก่า ซึ่งเขาไปไหนต่อไหนตามเหตุปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา แต่เขาก็จมอยู่ในอันเก่าไม่มีองค์ประกอบใหม่ แม้แต่สัปปุริสธรรม 7 ก็ไม่มี เป็นคำสอนตายตัวอย่างไรอย่างนั้น ยุคไหนก็ยุคนั้นอย่างนั้น พันปี 2021 ปีมาแล้ว ก็สูตรเดียวกัน ไม่มีอนุโลมปฏิโลมไปตามกาละเทศะฐานะ ก็ว่าไป คนที่มีความรู้ความเห็นแค่ไหนเขาก็เป็นแค่นั้น 

 

_พลังเพ็ญ คำด้วง : รับชมที่บวรสันติอโศกค่ะ พระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์ อะไรก็เป็นจริงทุกอย่าง เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์จริงหนอ กราบนมัสการด้วยความเคารพค่ะ

พ่อครูว่า... ธรรมดาหมอดูก็ทำนายแม่นมี แต่พระพุทธเจ้านี้พยากรณ์ได้ว่าใครจะเป็นอะไรต่อไป เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวาเป็นต้น แม่นยิ่งกว่าแม่น มันยิ่งกว่าจับวาง ศึกษาสัจจะให้ดีแล้วจะเห็น 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ปัญญาเหนือกว่าเจโตโดยสัจจะ

_ยอด คมมั่น : แป้ง..ขอถามผ่านไปถึงพ่อท่านหน่อยว่า"พ่อท่านใหญ่มาจากไหนจึงได้พูดด้อยค่า"ท่านพระมหากัสสป"อยู่บ่อยครั้ง" ขอถามตามหลักวิชาการนะแป้งเพี้ยนรัก??

สู่แดนธรรม... ผมก็ไม่รู้ว่าคุณยอด คมมั่นคือใครนะครับ ผมก็ตอบตามหลักวิชาการ จริงๆแล้วพ่อท่านพูดไปอย่างนั้นไม่ได้หมายความว่ามีเจตนาจะไปข่มหรือด้อยค่าท่านพระมหากัสสปะ มันเป็นธรรมชาติที่สิ่งใดอยู่เหนือกว่าสิ่งนั้นก็อยู่เหนือกว่าโดยแท้ เช่นน้ำมันก็ต้องรออยู่เหนือน้ำ จะให้พูดว่าน้ำเหนือกว่าน้ำมันมันก็ไม่ถูก ผมก็จะตอบโดยวิชาการว่า ธรรมชาติของพลังงานทั้งสายปัญญาสายเจโต 

ในธรรมะอินทรีย์ 5 พละ 5 จะแบ่งฝ่ายเป็น ปัญญากับเจโต 

อำนาจของเจโต ต้องมี 4 ข้อ ตั้งแต่ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ทั้ง 4 รวมกันจึงจะเท่ากับปัญญา 1 ข้อ 4 รุม 1 คุณว่าใครเก่งกว่ากัน มีข้อสังเกตอีกว่า วิริยะ ถ้าคุณอยู่สายวัดป่าก็มีพลังงานวิริยะเต็มที่เลย แต่ถ้าไร้ซึ่งสัมมาทิฏฐิไร้ซึ่งปัญญา พลังงานเหล่านั้นก็จะไร้การควบคุม 

พ่อครูว่า... เหมือนคนเข้าป่าหลงทางเลย 

สู่แดนธรรม... เหมือนคนบ้าพลัง หากไร้สัมมาทิฏฐิก็จะไม่มีทิศทางลดละไปสู่ความไม่มี 

พ่อครูว่า... เอาง่ายๆ ผู้ที่มีฐานของปัญญา บำเพ็ญเป็นพระพุทธเจ้าใช้เวลา 20 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป ส่วนสายศรัทธานั้น 40 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป ส่วนพวกวิริยาธิกะ ใช้เวลา 80 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป หลงทางอยู่ในป่ากว่าจะออกจากป่าก็ใช้เวลานาน นี่เป็นสัจจะตามวิชาการ 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน เพราะไม่พบสัตบุรุษคือพ่อครูทำให้เข้าใจบุญไม่สัมมาทิฏฐิ จึงไม่บรรลุธรรม 

_ศุภรัตน์ จันทร์ดอน : ฟังพ่อครูบ่อยๆ จนปัจจุบันเข้าใจเรื่องบุญชัดเจนแล้วค่ะ

พ่อครูว่า...ศาสนาพุทธนั้นเสื่อมไปมาก ถ้าใครฟังแล้วเข้าใจดีว่าบุญต่างจากกุศลอย่างไร แม้แต่มีพระบาลีบอกว่า ปุญญปาปปริขีโณ เมื่อบาปก็หมดบุญก็หมด ก็สูญสิ้น ปุญญปาปปริกขีโณ พระอรหันต์พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่มีบาปแล้วก็ไม่ต้องปฏิบัติบุญอะไรอีกแล้ว แค่ความหมายคำว่าบุญที่อาตมาเอามาไขในยุคนี้ อาตมาคิดว่าอาตมาคงเป็นคนเดียวนะ ที่เอามาพูดว่า บุญ ต่างกับกุศลคนละเรื่อง ลิบลับเลย

บุญสะสมไม่ได้ บุญไม่มีหน้าที่สะสมเลยอะไรอย่างนี้ 

คนเข้าใจทำบุญที่เกิดจากฌานเผากิเลสจนหมดเป็นบุญได้ ไม่เข้าใจพยัญชนะภาษาคำว่าบุญได้จะเอาไปปฏิบัติสภาวะเป็นบุญได้อย่างไรจะบรรลุได้อย่างไร เพราะเอาไปปฏิบัติก็จะเพี้ยนความหมายอย่างอื่นแล้ว ไม่ใช่ความหมายตรงของมันแล้ว เป็นความหมายเพี้ยนไปแล้วจะได้ผลอย่างไร เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่ของแปลกที่มันเสื่อมไปขนาดนี้จนไม่มีใครบรรลุธรรมแล้ว 

คำว่าบุญ คำว่ากาย เขาก็ไม่รู้เรื่อง อาตมาเอามาเปิดเผย คำว่า กาย เป็นสังโยชน์ข้อที่ 1 คำว่ากาย  หากเข้าใจว่าไม่มีสิทธิ์เข้าไปร่วมเลยนั้นผิดไปเลยใช้ไม่ได้ จะไปบรรลุได้อย่างไร สังโยชน์ข้อแรก สักกายทิฏฐิ ก็มิจฉาทิฏฐิก็จะพ้นไม่ได้ แล้วปฏิบัติธรรมก็จะไม่ได้ผลอะไร 

แล้วยิ่ง กว่าจะมารู้จักมรรคมีองค์ 8 กว่าจะมาปฏิบัติสังโยชน์ได้ ต้องพบแสงอรุณ 7 ก่อน 

ต้องพบสัตบุรุษ เช่น ในยุคนี้ไม่รู้คำว่ากายคำว่าบุญเป็นต้น พอไม่รู้ก็ไม่รู้กันทั้งหมด อาตมาก็มาประกาศความจริงจึงต้องมาพบอาตมาต้องมาฟังอาตมาต้อง ปรโตโฆษะ อาตมาอย่างสัมมาทิฏฐิจึงจะรู้ว่า กายเป็นอย่างนี้บุญเป็นอย่างนี้ สมาธิเป็นอย่างนี้ คุณก็จะไปปฏิบัติโยนิโสมนสิการได้ ปฏิบัติและพัฒนาจิตใจทำใจในใจของคุณให้มันสัมมา ให้มันบรรลุได้ 

แต่นี่คุณเห็นโพธิสัตว์มาพูด โพธิสัตว์มาบอกคุณก็ไม่ฟังไม่เอาแล้วไม่เชื่อเลย คุณก็อยู่ในกะลาครอบของคุณตลอดกาลไม่มีทางที่จะบรรลุธรรมพระพุทธเจ้าได้เลย แล้วก็ไปหลงนับถืออรหันต์บูชาเชิดชูกันที่เป็นอรหันต์หลอก ซ้ำซ้อนกัน น่าสังเวชใจ มันสุดสงสาร ไม่รู้จะทำอย่างไร อาตมาก็ได้แต่บ่นอย่างนี้แหละ ก็ว่าไปก็ไม่รู้จะทำอย่างไรบังคับกันไม่ได้ 

 

_นภารัตน์ อิ่มรัง : ลูกมีภาวะรู้กิเลส.แต่สู้ผัสสะไม่ไหว

พ่อครูว่า...คำว่าไม่ไหวนี้เหมือนจะท้อนะ  ก็อย่าท้อ มันหนักหนาสาหัสก็อนุโลมมา

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ศาสนาพุทธเน้นให้พ้นสุขพ้นทุกข์เป็นยอดของทุกอย่าง 

_พ่อยาว น้องโมโม้ : ชีวิตคนเราเลือกได้ด้วยหรือถ้าเลือกได้ใครอยากทุกข์

พ่อครูว่า...โลกียะสอนเรื่องดีเรื่องชั่ว โลกีย์ทั้งโลกนี้สอนให้ประพฤติดีละชั่ว แต่ศาสนาพุทธไม่เน้นตรงนั้น แต่ไม่ใช่ว่าไม่สอนให้ประพฤติดี ก็สอนให้ประพฤติดีละชั่ว แต่เน้นยิ่งกว่านั้นจึงเรียกว่าโลกุตระ เน้นให้พ้นสุขพ้นทุกข์ อันนี้แหละเป็นเรื่องยาก ศาสนาพุทธสอนให้เป็นเรื่องวาง ละสุขละทุกข์ แค่นี้แหละใช่เลย เป็นยอดของทุกอย่าง แล้วสอนเรื่องดีชั่วเหมือนอย่างอื่นไหม  ก็สอนเหมือนกันแล้วเคร่งครัดกว่าด้วย เคร่งอย่างถูกต้องด้วยเพราะว่า เคร่งอย่างไม่เป็นฤาษี เคร่งอย่างเป็นคนในสังคม รู้จักดีชั่วของสังคม รู้จักโลกาธิปไตย รู้จักอัตตาธิปไตย รู้จักธรรมาธิปไตย ให้อยู่กับสังคมด้วยการช่วยโลก มีอายะ 3 

 

_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ : ยืมเงินแล้วไม่จ่ายผิดศีลข้อใหนครับท่าน

พ่อครูว่า...ก็ศีลข้อ 2 นี่แหละ คุณก็บอกว่าผิดศีลข้อ 2 นะ 

 

_ส.ฮังดิน ภูมิคโต : ขอกราบเรียนถามพ่อครูว่า กรรมปัจจุบันเป็นตัวแปรของวิบากได้ไหมครับ

พ่อครูว่า...ตัวกรรมอดีตมันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ตัวกรรมปัจจุบันเปลี่ยนแปลงได้ อดีตนั้นผ่านไปแล้วเปลี่ยนแปลงไม่ได้ อนาคตยังมาไม่ถึงให้ปฏิบัติ จะไปทำอะไรได้ 

 

_ตีโจทย์พระพุทธพจน์ ที่กล่าวว่า .. อาหารเป็นหนึ่งในโลก ..ด้วยเหตุใด??

.. ด้วยเหตุที่ ..

.. ดนตรี เป็นศิลปะ อันประกอบด้วย"เสียง" แต่ไร้ซึ่ง รูป-กลิ่น-รส และสัมผัส

.. จิตรกรรม/ประติมากรรม เป็นศิลปะ อันประกอบด้วย "รูป" แต่ไร้ซึ่ง เสียง-กลิ่น-รส และสัมผัส

.. ส่วน อาหาร นั้นเป็นศิลปะอันอุดม เนื่องด้วย ประกอบด้วย รูป-รส-กลิ่น-เสียง และสัมผัส .. 

.. ด้วยเหตุนี้ "อาหาร" จึง "เป็นศิลปะอันอุดม" .. และ "อาหาร" จึง "เป็นหนึ่งในโลก" ดังนี้ฯ แล.

กราบ


เวลาบันทึก 19 ตุลาคม 2564 ( 15:20:15 )

640924

รายละเอียด

640924_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ทุนนิยมคือ Infinity แต่บุญนิยม​นี้ 0 ยิ่งกว่า 0 

https://www.boonniyom.net/50682.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/19uLTgMSBZ0VRO_H4vRi11Jd8Rd_s2I6RWngAxW-aI9U/edit?usp=sharing 

 

ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1oTCTtvMONvnUiQfvAXW-8tUtY4vPj4k_/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ 

https://youtu.be/XOpvOE347zg

https://www.facebook.com/300138787516163/videos/150544540605389 

 

สมณะเดินดิน... วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 24 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้ฝนตกหนัก เป็นช่วงฤดูฝนเข้าพรรษา ของเราพื้นที่อยู่ปลายน้ำ มีเวลาเตรียมตัวรับมือน้ำท่วม เพราะที่อื่นจะท่วมก่อน ของเราอยู่ในจุดอันตราย แต่ก็เป็นจุดที่มีเทวดาคอยเตือนคอยให้สัญญาณให้เราเสียหายน้อยที่สุด แต่ก็ไม่ประมาทก็แล้วกัน 

ปีนี้เรามีการขายอาหารเจที่อุทยานบุญนิยมด้วย แต่ก็ต้องมีมาตรการระมัดระวัง covid อย่างสูง ให้ปลอดภัยที่สุด กำหนดชนิดอาหารให้ไม่มากชนิด การรับเงินก็ให้ไม่มีการสัมผัสระหว่างคนขายคนซื้อ กำหนดจำนวนคนที่จะเข้ามาซื้อ เราจะเปิดขายตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม เป็นต้นไป จำนวนทั้งหมด 9 วัน 

ที่ผ่านมาเราปลูกมันสำปะหลังได้ผลดีมาก 1 ต้นออกหัวมันเป็นจำนวนมาก เขาเรียกว่ามัน 5 นาที อยากนำเสนอบวรต่างๆนำไปปลูก เป็นอาหารวรรณะ 9 ปลูกง่าย ศัตรูพืชไม่ค่อยมี 

แต่ก่อนพ่อครูเคยตั้งคลังแก่นเชื้อ และตอนนี้เราแบ่งให้แต่ละคุ้มในบ้านราชฯปลูกพืชเพื่อรักษาพันธุ์กันต่อไป

พ่อครูว่า... SMS วันที่ 22-23 ก.ย. 2564

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน โสดาบันยังกลัวผี หลับตาแล้วไม่เห็นแสงนับเป็นอรหันต์ได้ 

_จนให้เป็น แล้วสบาย : กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งครับ ผมสงสัยว่าผู้ที่ปฏิบัติได้เป็นพระโสดาบันแล้วในจิตลึกๆ จะกลัวผีไหมครับ

พ่อครูว่า...โสดาบันยังกลัวผีอยู่ โสดาบันรู้จิตวิญญาณยังไม่ถ้วนรอบ แม้จะอนาคามีก็ยังมีกลัวๆอยู่ เพราะยังรู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน ยังไม่สมบูรณ์แบบ หรือเข้าใจคำว่า เทวนิยมยังไม่แจ้งชัด ผู้ที่เป็นโสดาบันก็ตาม ถ้ามีปฏิภาณปัญญาเข้าใจความเป็น เทวฺ ที่แปลว่า 2 แล้วพยายามทำให้เป็นหนึ่งแล้วรู้จักการทำ 2 ให้เป็น 1 ได้ โดยทำที่เจตสิกเวทนา สุขทุกข์ ทำให้มันเป็นกลางๆไม่สุขไม่ทุกข์ได้ อย่างนี้เป็นต้น 

ผู้ที่สามารถรู้จัก 2 จิตที่ เป็น 2หน่วย ทำให้เป็น 1 หน่วย โดยไม่คิดระแวงว่า เทวฺ หรือจิต เป็นสิ่งลึกลับอะไร มันเป็นเหตุปัจจัยของกรรมกิริยาของมนุษย์เท่านั้น ซึ่งมันเป็นอนัตตา ไม่เป็นตัวตนของอะไรเลย มันเป็นพลังงาน 2 หน่วย 3 หน่วย สังเคราะห์กันเข้า จับตัวกันเข้าพีชะเป็นชีวะ พอรู้จิตนิยามเป็นพีชะ ก็ลดสุขลดทุกข์แล้ว ทำให้เป็นอุตุก็หมดไปเลยตอนเป็นๆเป็นๆนี่แหละ ทำให้จิตเป็นอุตุ ดินน้ำไฟลมได้เลย มันมีก็มีไปเราไม่ได้ร่วมสังเคราะห์สังขารกับมันเลย มันจะดีหรือไม่ดี อร่อยไม่อร่อย ไม่มีค่าหรือมีค่า เราก็ตีทิ้งเลยว่ามันไม่มีค่าสำหรับเรา เราก็เห็นมันอยู่ไป คนที่ยังตกเป็นทาสมันต้องเกี่ยวข้องก็ไปเสียเวลากับมันอยู่ไม่เสร็จสิ้น 

นัยยะลึกซึ้งซับซ้อนพวกนี้ สามารถอาศัย ตัดได้กับอาศัยอยู่ เพียงแค่อาศัย ไม่ใช่ของเรา อาสยะ ไม่ใช่ทั้งอาสวะและอาสยะ 

ค่อยๆศึกษาไป เพราะว่าสภาวะจริงๆที่ลึกซึ้งละเอียด จะได้อธิบายบัญญัติไปกำหนดละเอียดสุด จะเป็นภาวะ 2 บัญญัติออกมาเป็นสภาวะ แต่มันไม่ใช่ อย่างเช่น 0 บัญญัติว่า 0 มันไม่ใช่มีอะไร แต่มันไม่มี เพราะฉะนั้นคนที่จะชัดเจนว่า อ๋อ.. 0 นี่นะ เราก็กำหนดรู้ว่าเป็น 0 แต่ที่จริงมันไม่มีอะไรเลย เราจะรู้ของเราเอง สภาวะไม่มีอะไร 0 แต่คนอื่นกำหนด 0 ว่า นี่ ศูนย์กลางนะ นี่เฮือนศูนย์ เป็นที่รวมของทุกๆคน มันซ้อน แต่มันไม่ใช่ของใคร ความหมาย สิริมหามายา 

มีไหม มี มีที่ แต่มันไม่มีของใคร ไม่มีนามธรรมเข้าไปยึดถือเป็นเราเป็นของเรา ใครทำนามธรรมอันนี้ได้จบ เฮือนศูนย์ ไม่มีใครยึดเป็นเราเป็นของเรา ส่วนใครยึดก็เป็นอย่างนั้น ใครยึด ของข้าใครอย่าแตะ ใครเข้ามาฮึ! ระวังนะตายแล้ว เป็นจิ้งจกเฝ้าทรัพย์ ไม่ใช่ปู่โสมเฝ้าทรัพย์นะ ได้เป็นจิ้งจกเฝ้าทรัพย์ 

สรุปแล้ว ผู้ที่เป็นโสดาบันกลัวผีอยู่ ส่วนผู้ที่ไม่กลัวแล้วก็เป็นโสดาบันที่ยกไว้ ซึ่งก็หาได้ยากน้อยคน สำหรับผู้ที่เป็นอนาคามีก็ยังระริกระรี้อยู่ เป็นอรหันต์ขึ้นไปจริงๆ ชัดเจนในความเป็นธาตุธจิตธาตุวิญญาณ แต่นอกนั้นแล้ว มันไม่ใช่ตัวตน 

จริงๆแล้วผีที่มันมีอะไรที่มันหลอกคือไปกลัวมันเอง เราปั้นเองหลอกตัวเอง จริงๆแล้วมันไม่มีหรอก เราปั้นเองหลอกเอง อย่าว่าแต่ผีที่เป็นตัวเคลื่อนไหวมาหลอกเลย หลับตาลงนี่มีแสงไหม? ... หลับตาหากในสถานที่มืด ไม่มีอะไรสะท้อนในผนังตาเลย ก็ไม่มีแสงอะไร แต่ถ้าผู้ใดหลับตาแล้วยังมีแสง นั่นแหละผี แสงนั้นแหละคือผี ผีอะไร ผีแสง ผีพุ่งไต้ อะไรก็แล้วแต่ หลับตาก็มือ ลืมตาก็มีแสงเป็นธรรมดา 

คนที่ยังหลับตาแล้วเห็นแสง แสงสีแดงสีเขียวสีเหลืองมันอุปาทานทั้งนั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีแต่เนรมิตให้มันมีเอง แต่เราไม่อยากให้มีไม่ง่ายนะ ต้องเรียนรู้อย่างละเอียดจริงๆจึงจะรู้ว่า อ้อ.. จนกระทั่ง

เอาอย่างนี้ เอาเป็นเครื่องตัดสินเป็นอรหันต์ได้ ผู้ใดหลับตาแล้วไม่มีแสงสีอะไร ในที่มืดนะ หากที่ไม่มืด มีแสงสะท้อนในการหลับตา คนนี้แหละอรหัตตผล แต่ก็อีกนั่นแหละ ผู้ที่ฝึกสมาธิหลับตา ดับดิ่ง ไม่กำหนดรู้อะไรเลย เขาก็ไม่เห็นเหมือนกัน แต่ไม่เห็นแบบมิจฉาทิฏฐิ ไม่ได้มีสติตื่นเลย ถ้าจะไม่เห็นอะไรจริงๆเลย ดับปี๋ไม่รู้สึกตัวเลย เขาก็ไม่รู้ไม่เห็นอะไรได้ทั้งนั้น แต่ถ้ารู้ตัวขึ้นมาก็มีแสงสีตาม อุปาทาน ของคนผู้นั้น มีเทวดา มีผีนรกเป็นตัวเป็นตนอะไรอีกเยอะ เหมือนสายหลับตาหรือสายสมาธิลืมตา เหมือนสายธรรมกาย สาย อ.มั่น ก็ยังมิจฉาทิฏฐิกันอยู่ทั้งสองฝ่าย ก็เป็นเช่นนั้น 

 

_พันธุ์ พอเพียง : วันนี้ผมเห็นคลิปพระอาจารย์แห่งวัดพระบาทน้ำพุ เอาสินค้ามาวางข้างหน้าท่าน แล้วพูดถึงสินค้าในทำนองว่า การช่วยซื้อสินค้าเหล่านี้ จะนำเงินมาใช้จ่ายที่วัดพระบาทน้ำพุครับ เลื่อนลงไปอีก ก็พบ 2 พส พูดถึงสินค้าที่วางตรงหน้า ว่าเอามาเป็นทุนในการเผยแพร่ธรรมะครับ เลื่อนลงไปอีกก็ฟังพ่อครูพูดถึงเงินของท่านธัมมชโย กับหลวงตาบัว ว่าหลวงตาบัว ซับซ้อนกว่า เพราะเอาไปบริจาค แต่จะเสพลึกกว่า ว่าได้เป็นผู้ให้ ร้ายสุดคือไม่รู้ตัวว่าตนเองหลงเสพ นี่แหละคือขุมที่ลึกมาก

 

_สำราญ นารูลา : ผมจะไปปฏิบัติธรรมไปเรียนรู้ได้ไหมครับท่าน

พ่อครูว่า... มาเลย เชิญ ยินดีต้อนรับ 

 

_ศักดิ์ศรี หมายมีทอง : พ่อครูบอกว่าตอบไม่ได้ว่าไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน...แต่ก่อนก็เห็นคนเอามาถกกันเล่นไม่ทราบว่าอะไรเกิดก่อนแน่ พอผมได้ฟังพ่อครูอธิบายว่าชีวิตพัฒนา จาก อุตุ    พีชะ จิต กรรม ธรรม และที่พ่อพูดว่าสิ่งมีชีวิตพัฒนาจากสัตว์เชลเดียว และพัฒนามากไปเรื่อย ผมจึงเข้าใจว่ายังไงๆไก่ก็เกิดก่อนไข่แน่นอน เมื่อมีไก่ตัวแรกจึงจะได้แพร่พันธุ์ต่อไปคงไม่มีการพัฒนาจากอุตุ พีชะ เป็นไข่ จิต กรรม ธรรม ผมเข้าใจแบบนี้จะถูกมั๊ยครับ

พ่อครูว่า... ถูกๆถูก อย่าไปยุ่งมันมากเลย ไก่จะเกิดก่อนไข่ หรือ ไข่จะเกิดก่อนไก่ เป็นลักษณะของธรรมชาติ อัณฑชโยนิ ชนิดหนึ่งทราบเท่านั้นก็พอแล้ว สังเสทชโยนิ ชราพุชโยนิ ก็เป็นไปตามธรรมชาติ เรามาศึกษาโอปปาติกโยนิ ให้จบ ดีกว่า

 

_ยายทอง ยายทอง : ขณะนี้เสียงขาดๆหายครับไม่ทราบว่าที่บ้านราชฝนตกมั้ยครับแต่ที่เมืองศรีตอนนี้ฝนตกฟ้าร้องครับสาธุ ๆ ๆ

 

_จรรยา อิ่มประเสริฐ : แม่กิมตังที่ท่านเป็นอรหันต์อยู่นครปฐม เราเข้าไปดูคลิป ท่านไม่พูดยืดเยื้อ ที่เขาสัมภาษณ์ ท่านพูดตรงประเด็น เนื้อ ๆ ไม่วนแล้ววนอีก เห็นแล้วน่าศรัทธายิ่ง และท่านไม่อวดตัวว่าท่านเป็นอรหันต์เลย น่าอัศจรรย์จริง ๆ สาธุค่ะ

พ่อครูว่า... ก็ดี เรียนรู้กันไป 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ซาบซึ้งความดีจนน้ำตาไหล อาศัย อนุสัย

_หนูเป็นคนจิตใจอ่อนไหวง่าย เวลาดูหนังนางเอกร้องไห้หนูก็จะร้องไห้ตาม เวลาฟังพ่อครู บางครั้งซึ้ง ก็นั่งร้องไห้ ทำอย่างไรหนูจะเป็นคนจิตใจเข้มแข็งไม่อ่อนไหวง่าย หนูก็พยายามปฏิบัติธรรมตามพ่อครูสอนอยู่ค่ะ ถ้ากิเลสละง่ายวันเวลาผ่านไปก็ดีนะคะ หนูขอกราบขออภัยพ่อครูที่พ่อครูเดินผ่านตอนบ่าย แล้วหนูไม่ได้กราบ เพราะตอนนั้นกำลัง Line หาหมอเพื่อปรึกษา หนูเป็นห่วงพ่อมาก พ่อหนูติดโควิดค่ะขอพ่อครูเมตตาด้วยค่ะ

พ่อครูว่า... เรื่องอ่อนไหวง่าย น้ำตาไหลง่าย มันก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าจะให้พูดมุมดีของมัน เป็นคนที่ซาบซึ้งในสิ่งที่ดีงาม น้ำตาไหล มันกว่าจะหมดจริงๆ สำหรับผู้ที่ปฏิบัติธรรมไม่ง่าย การซาบซึ้งในกุศลธรรม เป็นเรื่องของปีติ น้ำตาไหล เป็นปีติแรง

เพราะฉะนั้นเราต้องฝึกให้เข้าใจว่า มันน่ายินดีก็ยินดี มันก็ค่อยๆเบาๆไป ไม่ถึงกับต้องตื่นเต้นเกินไปให้มันเป็นปิติแรง ทำให้เกิดอาการเคลื่อนไหวทางกายทางวจี ทางสรีระส่วนนั้นส่วนนี้ไม่ปกตินะ จนกระทั่งเป็นอุเพงคาปีติ 

เราก็ต้องเรียนรู้สิ่งที่น่ายินดีก็น่ายินดี ไม่ต้องไปฟูฟองแรงมากไป จริง เราอาจเคยฝึกในเรื่องของ ยินดีในสิ่งที่ดี อย่าไปยินดีในสิ่งที่ไม่ดี แต่ว่าก็ไม่ถึงขนาดจะต้องไปแรง หรือเราเคยศึกษามาว่า ซาบซึ้งในสิ่งที่ดีไว้ เป็นพื้นฐาน ขั้นลึกซึ้งมาก็รู้แล้วว่าเราปล่อยได้ทั้งสองข้าง แล้วปล่อยสิ่งที่ไม่ดีกว่า ถือสิ่งที่ดีไว้อาศัย แล้วค่อยวางสิ่งดี ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แต่เราก็ต้องอาศัย เราจะซ้อนสภาพสิริมหามายา ไม่เอาแต่เราต้องเอา ไม่มีแต่เราก็ต้องมีอยู่ จบ

เพราะอะไรเพราะชีวะชีวิตของเรายังมีอยู่ เราต้องอาศัยสิ่งมี แต่เราก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่ามันมี อันนี้เป็นสภาวะธรรม ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่ามี เป็นภาษาบอก คุณไม่ยึดมั่นถือมั่น ยึดไว้แค่อาศัย 

เพราะฉะนั้น เวลาจะปฏิบัติธรรม อาตมาขยายคำ 4 คำ อาสัย นิสัย วิสัย อนุสัย

สัย หรือ สย แปลว่า เป็นตนทั้งนั้น เป็นพลังงานสุดท้าย เอา ย กับ ส มาใช้ ส ตัวที่ 5 ของเศษวรรคกับตัวที่ 1 ของเศษวรรค สย เป็นตัวตน ซึ่งเป็นตัวที่บางเบาหรือว่าละเอียดกว่า สว 

สย ละเอียดกว่า สว เพราะ สย มันเป็นตัวที่ 1 ใน ย ร ล ว ส ห ฬ อํ 

หาก สว ก็ตัวที่ 5 ของเศษวรรค มันผสมกันหลายหน่วยกว่า สย 

ยิ่ง สก เป็นตัวต้นของพยัญชนะตัวที่ 1 เลย สก ก็ยึดมาก แบ่ง 3 ส ก็ชัดเจนแล้ว

เราจะอาศัยก็อาศัย สย อาสัยนี้หยาบกว่า อนุสัย จะไปบอกว่าหยาบก็ไม่มีตัวแล้วล่ะ แต่มันเล็กละเอียดกว่ากัน อาศัยนี่ละเอียดแล้ว แต่ อนุ นี่เล็กละเอียดกว่า 

เพราะฉะนั้นในสุดแห่งที่สุด อาตมาเป็นโพธิสัตว์จะรู้จักตัว อนุสัย ตัว อาสัยก็รู้ดีแต่ที่สุดแล้วต้อง อนุสัย ก็อาศัย แต่เราจำเป็นต้องอาศัยอนุสัย เราอาศัย แต่ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น มันเป็นตัวน้อยที่สุด 

เพราะฉะนั้นอนุสัยของพระโพธิสัตว์สุดท้ายไม่ใช่ตัวเลวหรอก แต่เป็นตัวดีที่สุด เห็นไหม โอ้โห.. ยากไหม นี่บอก สำหรับอาตมามีสภาวะอาศัยใช้อยู่จริง ซึ่งพวกคุณ ยังไม่ถึงก็ไม่เป็นปัญหาหรอกไม่ต้องกังวล จะมีหรือไม่มีเมื่อไหร่ถึงเวลาก็เอามาใช้ ยังไม่ถึงฐานะของคุณจะไปกังวลมันทำไม ไม่เกี่ยวกับเรา เรายังไม่ถึงฐานไม่จำเป็นอะไร

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ทุนนิยมคือ Infinity แต่บุญนิยม​นี้ 0 ยิ่งกว่า 0 

พ่อครูว่า… สาธารณโภคีนี้ ถ้าเผื่อว่า อาตมาไม่เกิดมา ไม่มีใครเอามาพูดหรอกประเด็นนี้ เพราะเป็นประเด็นที่ยอดสุด ในยุคพระพุทธเจ้าใช้ได้แต่ในคณะสงฆ์ ในฆราวาสสร้างไม่ได้ เพราะเป็นข้อจำกัด ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นยุคของสังคมทาส นายทาส  ลูกทาสไม่มีสิทธิ คนแท้ๆก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีสิทธิแสดงออกในฐานะที่เป็นตัวมนุษย์ตัวบุคคลมีสิทธิมนุษยชน หมดสิทธิ์เลย ไม่มีสิทธิ์อะไรสักอย่าง มันก็เลยยากมากเลย จะไปละลาบละล้วงคนข้างนอก ก็ไม่ใช่ทาสของเรา หากเป็นทาสของเราเราก็อย่างไรก็ได้ 

ท่านก็เลยเอาอิสรเสรีภาพ ผู้ใดสมัครใจมาเข้ารีต มาอยู่ในกรอบของท่านใช้ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เป็นหลัก ใครมาเข้ากรอบก็ตัดไปตามหลัก ปฏิบัติธรรมไปตามลำดับ ก็ใช้ได้ ก็จะมีสาธารณโภคีในหมู่ได้ เพราะฉะนั้น สงฆ์ในสมัยพระพุทธเจ้าเป็นสาธารณโภคีหมด ไม่มีสมบัติส่วนตัว ทุกอย่างเป็นสมบัติส่วนกลางหมดเลย ไม่มีเงินทองข้าวของตัวเอง 

มีผ้าส่วนตัว 3 ผืน มีบริขาร 8 เสนาสนะ กุฏิ ก็ไม่มีของตน อาศัยตามเหมาะควร จะอยู่พักอาศัย เปลี่ยนแปลงได้ ไปนอนโคนไม้ นอนกลางแจ้งนอนที่อื่นได้ ไม่ได้ยึดถือเป็นเราเป็นของเรา ไม่ได้มีบ้านเรือนส่วนกลาง เป็นต้น 

ลักษณะนี้ เป็นสาธารณะโภคี พอมาถึงยุคนี้เข้าใจสิทธิมนุษยชนสมบูรณ์แบบ เข้าใจอิสรเสรีภาพสมบูรณ์แบบ แล้วก็เป็นสังคมที่ไม่มีสมบูรณาญาสิทธิราชย์เลย แม้เป็นเผด็จการแม้เป็นคอมมิวนิสต์ จะมาบังคับไม่เลย อาจจะตั้งหลักเกณฑ์ เป็นศีลของพระพุทธเจ้ามีอยู่แล้ว ไม่ต้องบัญญัติใหม่เลย อย่างพวกเราก็ใช้ศีลของพระพุทธเจ้า เข้ามาอยู่ในกรอบศีลของพระพุทธเจ้า 

คนนี้ยังอยู่ในขั้นแค่ ศีล 5 คนนี้ศีล 8 คนนี้ศีล 10 พอศีล 10 มันจะตีถัวไปถึงทรัพย์ศฤงคาร บ้านช่องเรือนชานหมดเลย เป็นองค์รวม ใน จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล มันจะมีรายละเอียดซ้อน แยกออกจากกันขาดไม่ได้ แต่ท่านมาสรุป เป็นศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 เอามาปฏิบัติ เราก็ใช้ได้ พวกเราปฏิบัติสำเร็จ 

แค่ศีล 10 เรามีสาธารณโภคีกันได้แล้ว ส่วนใครจะมีกิเลสแอบซุกเป็นของเราก็เป็นส่วนตัว เราก็รู้ตัวว่าเรายังยึดเป็นของเรา ยังแฝง ไม่สะอาดหมดจดก็ยังมี อบายมุข ก็เป็นสัจจะที่จริง 

ที้นี้ อาตมาใช้เศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจ จะเรียกว่าการเมืองก็ได้ การเมืองประชาธิปไตยสาธารณโภคียิ่งลึกซึ้ง เป็นสังคมสาธารณโภคีหรือจะบอกว่าเป็นเศรษฐกิจสาธารณโภคี 

เศรษฐกิจหมายถึงข้าวของที่แบ่งแจกเฉลี่ยกันใช้ ของมีส่วนกลางส่วนน้อยมีจำนวนหนึ่ง แต่ผู้ใช้มีมาก โดยเฉพาะคนที่ใช้อยู่มีความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้กลับเอาไปเป็นของตัวของตน ไปห้ามมันไม่มีไม่ได้เป็นมนุษยชาติ เอาไปกักของตัวรวยล้นฟ้าใช้ไป 3 ชาติ 5 ชาติก็ไม่หมด แต่มันก็สะสมเอาสิทธิตามโลกต้องเอาสิทธิเข้าไป เขามีสิทธิโดยธรรม ยึดเป็นของของเขารวยล้นฟ้า ก็เลยเกิดธนบัตร เอามาให้ใช้เฉลี่ยแต่กลับเอาไปเป็นของตนเอง เอาเป็นของตัวเองไม่พอ หลอกเอาตัวเลขของข้า แต่เอ็งเอาธนบัตรไปใช้แต่ตัวเลขเป็นของข้านะเอ็งเป็นหนี้ข้า มันซับซ้อน 

จนกลายเป็นไม่ต้องยึดเป็นเราเป็นของเราทุกคนมีจิตวิญญาณ ทุกคนมีสาธารณะ กินใช้ร่วมกัน โภคะ โภคี เป็นของสาธารณะ เราก็เป็นคนมักน้อยเป็นคนไม่ผลาญ ไม่เปลือง ไม่กินใช้มากแต่สร้างมากขยันมีกายกรรม วจีกรรม กับมโนกรรม มีผลผลิตของเรา ผลผลิตทางเกษตรกรรมมีตัวมีตนมีรูปร่าง เช่นปลูกผักปลูกพืชเป็นต้น หรือจะสร้างอุตสาหกรรมก็ตาม 

เป็นเนื้อหาของวาจาก็ตาม เป็นผู้ที่มีเนื้อหาความจริงสาธยายได้ถูกต้องดี ฟังรู้เรื่องเอาไปใช้ปฏิบัติประพฤติทำตามได้ เจริญ จากความคิด ก็ซ้อนอยู่ในมนุษยชาติ 

สรุปแล้วก็มนุษย์มีทรัพย์ส่วนกลาง แล้วเข้ามาอยู่ร่วมกินร่วมใช้กันอย่าง ไม่แย่งชิง ไม่ทะเลาะวิวาท ไม่ฆ่าแกง จะมีกิเลสส่วนตัวบ้างนิดหน่อยก็สงบเรียบร้อยราบรื่นง่ายงาม ไม่มีคดีที่มาแย่งเงิน แย่งทรัพย์สินเงินทอง แย่งเพชรพลอย แม้แต่แย่งเสื้อผ้าหน้าแพรเป็นปัจจัยก็ไม่มี สงบเรียบร้อย 

เหมือนอย่างสังคมพวกเรามันเป็นสังคมที่สมบูรณ์แบบ เอาจิตวิญญาณเป็นประธาน จิตวิญญาณมี คุณธรรม คุณวิเศษ คุณธรรม ระดับโลกุตระเป็นจริงแท้จริง ไม่มีตัวตนลดตัวตน จะเหลือตัวตนก็น้อยลงน้อยลงให้ได้จนไม่มีตัวตน คำว่าตัวตนนี้จึงยิ่งใหญ่มาก 

ไม่มีตัวตนเป็นภาษาทางนามธรรม จริงๆ แล้วตัวเองมี กัมมัญญา มีความรู้ความสามารถก็ใช้สร้างสรรผลผลิต วาจา ความคิด ให้ผู้อื่น ได้เป็นประโยชน์ไปอย่างซับซ้อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ลึกซึ้งมาก 

ในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทั้งหมดแล้วสาธารณโภคีเป็นเรื่องสูงสุด ในสภาพที่มี และเป็นเรื่องของสังคม เพราะสังคมสาธารณโภคีกว้างใหญ่มากขึ้น มีมากก็กระจายไปในโลกมากขึ้น นั่นคือโลกเจริญ ตอนนี้เราก็ทำขึ้นในประเทศไทย กระจายสาธารณโภคี

นี่อาตมาให้ตรวจสอบดูว่าชุมชนเรามีกี่ที่แล้ว มันล้มหายตายจากโรงหรือมันมีขึ้นมาใหม่ไปดูซิ เป็นชุมชนหรือสังคมชั้นเอก ชั้นโท ชั้นตรี ชั้นจัตวา ชั้นสำรอง ตั้งกรอบกำหนดว่า ชั้นเอก มีประมาณสักเท่าไหร่แข็งแรงอย่างไร ชั้นโทเป็นอย่างไร ชั้นตรีเป็นอย่างไร ชั้นจัตวาเป็นอย่างไร ชั้นสำรองเป็นอย่างไร ก็ไล่กันเป็นขั้นๆๆ ก็ลองกำหนดกันดู ชั้นกองหนุนอีก

ในองค์รวม ภาวะรวมของมนุษยชาติและสังคม ซึ่งจะมีเศรษฐกิจการเมืองสังคมอยู่ในนี้ก็แล้วแต่ ก็แบบสาธารณโภคี คือต่างคนต่างไม่ยึด เป็นเศรษฐกิจ เป็นสังคม เป็นการเมือง ก็ไม่ใช่เป็นเราเป็นของเรา แต่เราก็อาศัยทำงานกับสังคม ก็ต้องช่วยกัน 

การเมืองคืออะไร สังคมคืออะไร เศรษฐกิจคืออะไร ไม่ใช่ของเราแต่เราต้องช่วยกัน แล้วเราก็อยู่อาศัย เป็นผู้อาศัย ที่ได้มีความรู้ความสามารถ สร้างสรรออกไป มากๆ แต่ตนเองอาศัยน้อย นั่นแหละคือคนเจริญ ตนเองก็ใช้น้อย 

เราสร้างได้ 100 นึง เราใช้ 20 อีก 80 ให้ผู้อื่นไป อันนี้โก้แล้ว สาธารณโภคี แต่ทางโลก สร้างได้ 10 แล้วเขาก็เอามาเป็นของตน ล้านๆ หรือไม่ได้สร้างเลย ตัวเองได้แต่ใช้ บริวาร ใช่คนอื่นสร้างแล้วตัวเองก็ได้ โลภ คือลักษณะของทุนนิยมสามานย์ที่เลวร้ายที่สุด เป็นระบบวิธีทุนนิยมสามานย์เลวร้ายสุด เป็นศัตรูตัวร้ายของสาธารณโภคี สุดคนละขั้ว 

เคยมีคนพูดไว้ว่า อาตมานี้ มาต่อสู้กับเถรสมาคม กับศาสนาคณะใหญ่ อาตมาว่าเปล่า นิดหน่อย อาตมาสู้กับทุนนิยมสามานย์คือคู่ต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ 

สู่แดนธรรม...พ่อท่านเคยบอกว่า เถรสมาคม ไม่ใช่คู่มวยของอาตมา พ่อท่านมาชาตินี้มาจับคู่กับทุนนิยมทั้งโลก 

พ่อครูว่า... ทำไมถึงตั้งชื่อขึ้นมาว่าบุญนิยม เพราะคำนี้ช่างคล้องจอง ทุน กับ บุญ​

มันคนละอย่าง ทุน Infinity แต่ บุญ​นี้ 0 ยิ่งกว่า 0 ส่วนทุนนี่ Infinity 

ซึ่งมันคนละขั้วสุดโลกเลย ถ้ามีสภาวะจริงไหม มี พวกคุณก็ค่อยๆรู้กันมาทีละระดับ เราก็ทำตามมา มีคุณสมบัติคุณวิเศษ เพราะว่าไม่ใช่เรื่องง่าย การทำได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเรื่องวิเศษ ไม่ใช่เอาคำว่ายกยอเล่นเป็นที่ ,คุณวิเศษ แต่ผู้ทำได้มีคุณวิเศษนั้นจริงมันเหนือชั้นกว่ามนุษย์สามัญ ไม่ได้มานั่งยกยอยกย่อง เหมือนอาตมายกตัวเอง อาตมาไม่ได้ยกยอตนเอง อาตมาพูดความจริง แต่พวกคุณไม่รู้จักความจริง 

ทำไมอาตมาบอกความจริง ก็เพื่อให้คุณดูคุณเห็นครบครันเลยว่านี่ของจริง สภาวะจริงมีทุกอย่างเลย ไม่ว่าวัตถุแท่งก้อนพฤติกรรมกายวาจาใจ ทั้งจิตคิดจิตนิยามอยู่ในนี้ครบ นี่แหละแท่งความจริง ไม่ใช่เรื่องลอยลมไม่ใช่เรื่องสมมุติ ไม่ใช่เรื่องคนเป็นไปได้ อาตมาก็เป็นคนเหมือนกับคุณทุกคน แต่อาตมามีคุณวิเศษอันนี้ได้ คุณวิเศษอันนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้แล้วเอามาประกาศให้คนปฏิบัติตาม อาตมาปฏิบัติตามหาไม่รู้กี่ล้านชาติ จนมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ไม่ใช่พูดเกินความจริง ล้านชาติไม่ใช่พูดเกินความจริง สั่งสมบารมีมาจริงๆ 

จนมาถึงชาตินี้ แล้วเอามายืนยัน ไม่ใช่อยู่ดีๆไปเอาของใครมา ไม่ได้ เหมือนเอาเสื้อผ้าคนอื่นมาใส่ไม่ใช่ ต้องเป็นของเรา เป็นสัมภาระวิบากของเรา กรรมของเราทำมาเองได้เป็นเอง 

เพราะฉะนั้นแม้แต่จะรู้ว่า สิ่งที่เป็นที่มีที่ได้เป็นพฤติกรรมของเราเป็นคุณวิเศษ ไม่ใช่เอาของคนอื่นมาเป็นของเรา หรือไปซื้อหาตามร้านขายยาหรือห้างสรรพสินค้ายิ่งใหญ่ในมหาจักรวาลก็ไม่ใช่ มันต้องเรียนรู้และประพฤติ เป็นหน่วยกิตจริงๆเลยสะสมเนื้อหาเป็นพฤติกรรมกายวาจาใจของเราเอง เกิดได้เป็นได้ขึ้นมา 

แล้วเป็นเรื่องของชีวะเป็นจิตนิยาม สั่งสมกรรมวิบาก ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านจัดกรรมวิบากไว้ใน อจินไตย 4 ข้อ เป็นเรื่องที่ผู้ไม่ศึกษาจะไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่ากรรมวิบากมีจริงเป็นจริงในมนุษย์ ซื่อสัตย์สุจริตที่สุด กรรมเป็นอันทำ ทำแล้วบอกว่าไม่ใช่ของตนก็ไม่ได้ ทำแล้วไม่เอาก็ไม่ได้ กรรมเป็นทุกอย่าง 

เพราะฉะนั้นสรุปลงไปสูงสุดแล้ว ในความรู้ของมนุษย์ก็มีกรรมกับ God เป็นภาษาอังกฤษ ภาษาไทยคือ กรรมกับ กอด กอดแน่นเลย เป็นตัวกูของกู ทั้ง God ทั้งกอดทั้งกด เป็นของตัวของตน

แต่พระพุทธเจ้าอธิบายขยายความ จะกอดจะกดอย่างไรๆ คุณก็ยึดไปเป็นอีกล้านปีก็ยึดเป็นของตัวของตน แค่คนอื่นเขาแย่งเขาเปลี่ยนแปลงในฐานะบุคคลที่อยู่ในสังคม คุณยังเอาฐานะไว้ไม่อยู่เลย ชาตินี้ คุณมีฐานะ เป็นคนสูง ชาติต่อไปคุณอยากสูงอย่างนี้ก็อาจไม่ได้ ลดลงไป ต่างคนต่างแย่งเป็นสมบัติผลัดกันชมไม่เที่ยง ไม่มีใครสะสมสมบัติไว้เป็นของตัวของตนได้ ตลอดกาลนานกี่ชาติไม่เปลี่ยนแปลงไม่มี ต้องเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น ยึดเป็นตัวเป็นตนเป็นของตัวของตนไว้ตลอดกาลนานไม่ได้ ยึดไม่ได้

คนหลงยึด จึงเป็นคนที่ยังมีอวิชชา โง่อยู่ คนที่รู้แล้ว ยึดไว้เพียงอาศัยให้พอเหมาะพอดีน้อยลงน้อยลง แล้วเราก็สามารถรู้ว่าคนอื่นเขาต้องอาศัยเยอะอาศัยมากเป็นภาระมาก คุณก็ต้องใช้ทั้งแรงทั้งเวลา ทั้งทรัพย์  ทุนรอน อาตมาสรุปไว้ เวลา ทุนรอน แรงงาน คุณก็ต้องใช้ 3 อย่างมีมากขึ้นมากขึ้น คุณก็ติดอยู่ในโลกีย์ในสังสารวัฏนี้ ไปอีกนานนนนนนนนน คุณจะไม่ยอมให้มันหยุดหรอก 

เพราะเทวนิยมจะไม่รู้จักความสูญ เทวนิยมจัดรู้แต่ว่าต้องมีต้องมากต้องเยอะต้องมากต้องมีตลอดกาล แล้วจะยึดให้เป็นเราเป็นของเรา อยู่ให้เที่ยงไม่เปลี่ยนแปลง ได้ไหม? ไม่ได้ ไม่มีวันที่ฉันจะคุกเข่าให้ นี่เพลง

สรุปอีกทีนึง เกิดมาเป็นคน มาเรียนรู้ สิ่งที่เป็นเราเป็นของเรา แล้วรู้ให้ได้ว่ามันไม่ใช่ของเรา 

ภาษามันง่ายๆพูดพล่อยๆโก้ๆเท่ๆได้ แต่มันจะเป็นจริงไม่ใช่ง่าย แล้วมันมีสภาวะซ้อน ซ้อนมากๆเลย คนที่ยิ่งไม่เอามาเป็นเราเป็นของเรา มันยิ่งเป็นของเรา คือเขาจะยิ่งยกให้ ยิ่งเราไม่เอาเขายิ่งยกให้ ถ้ายิ่งอยากได้เขายิ่งจะแย่งเอาไป ยิ่งแย่งกันยิ่งแย่งกันใหญ่เลย

จริงไหม? ...จริง 

ถ้าผู้ใดไม่เอา ให้เอาไปๆ หมดตัวหมดตน คนเอามาให้หมดเลย ง่ายไหม? ...ง่าย

 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สมณะเดินดิน... หากปัจจุบันศาสนาพุทธเสื่อมโลกุตระไม่มีแล้ว หากไม่มีคนมากอบกู้ศาสนาพุทธจะไปถึง 5,000 ปีได้อย่างไร จึงต้องมีผู้กอบกู้ ซึ่งเขาอาจจะบอกว่ามาทีหลังพ่อครูก็ได้ แต่เราจะเห็นว่าอย่างในยุคนี้ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ปูพื้นฐานไว้หลายอย่าง แต่ก็ยังต่อ ยอดกันได้ยากทำได้ยาก แต่พวกเราเข้าใจ พวกที่ไม่ศรัทธาก็คงไม่เข้าใจ 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ทำทานอย่างไรให้ไปถึงความรักมิติที่ 7

พ่อครูว่า... มาเข้าถึงวิชาการ วิชาการที่ว่าก็ได้ยินได้ฟังกันมานานมาก อยู่ในศาสนาพุทธได้ยินเลยว่า ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ ทาน ศีล ภาวนา ว่างั้นนะ ได้ยินกันมานาน เสร็จแล้ว 

ทาน ศีล ภาวนา ซึ่งมันก็เป็นเรื่องของความกว้าง ครอบคลุมไปหมดเลย ทั้งพฤติกรรมมนุษย์ทั่วไป 

พอ ศีล สมาธิ  ปัญญา มันจะตีกรอบแคบเข้ามาหาการปฏิบัติธรรม ถ้า ทาน ศีล ภาวนา หากไม่ปฏิบัติธรรมอย่างน้อยคุณก็ทำทาน หรือแม้แต่คำว่า ภาวนา แปลว่า การเกิดผลนั้นๆ เอาล่ะ ยังไม่วิเคราะห์ที่ว่าคนปฏิบัติธรรมผิดเพี้ยนในการภาวนา ซึ่งไปไม่ถึงผล ซึ่งผลเขาก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไรไม่รู้ว่าเป็นภาวนา 

เอา ทาน ศีล ภาวนา 

ทาน ตัวแรกในพฤติการณ์ของมนุษย์ ตัวแรกเลย ทาน คือการให้ เป็นคุณสมบัติ การเอา เป็นโทษสมบัติ การเอายิ่งยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา เป็นตัวโทษสมบัติแท้ 

การให้ไปจากการเป็นเราเป็นของเรานั่นคือ คุณแท้ คุณสมบัติแท้

ทีนี้คนปฏิบัติทานกัน  ก็ซับซ้อนเลย ทำวิธีทาน เอาออกให้ออก ใครก็เห็นว่าดี คนนี้เป็นคนแจกคนให้คนอื่น ดีจริงๆ ดี แต่ใจ ยังไม่ได้ให้หรอก ยังคิดว่าเอ็งต้องเอามาคืนข้าพร้อมกับดอก  ดอกคิดทบต้นสูงนะ ใจมันยังไม่ได้ปล่อยจริงยังไม่ได้ให้จริง 

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในเรื่องทานสูตร

1. ทานจะต้องทานอย่างสาเปกโข ทานก็คือการให้ โดยไม่มีการตั้งความหวัง ตั้งภพชาติ เป็นตัวเป็นตน ให้ก็คือให้ นั่นคือทานที่มีอานิสงส์ที่สุด ตรงที่สุด สูงที่สุด จบเลย 

เพราะฉะนั้นคุณทานอะไรก็แล้วแต่ ไม่มี สาเปกโขเลย สมบูรณ์แบบแล้วในเรื่องทาน ถ้าคุณเริ่มทาน อย่างน้อยจำเป็นเราเป็นของเรา โดยเฉพาะเป็นเราเป็นของเรานั้น ยิ่งไปกว่านั้นคุณต้องเอามาคืนนะ ของเราให้เอามาคืนนะ นั่นยิ่งไม่ได้ทานไม่ได้ให้ ให้วัตถุเขาเอาไปใช้จนแหลกลาญจนไม่เหลือเศษเป็นผงคลี แต่คุณก็ยังจะให้เอามาคืน ให้มีราคาไม่น้อยกว่าที่ให้ไป คิดดอกคิดต้นอย่างสูงอีก ดีไม่ดี คิดแบบทุนนิยมสามานย์ เขาก็หาวิธีให้ได้กลับมามาก 

ทีนี้การคิดเป็นวัตถุ ใครก็เห็นก็รู้ว่า อย่างนี้ ทุนนิยมสามานย์หน้าเลือด คนที่มีปัญญารู้แล้ว นอกจากคนที่ ไม่มีปัญญารู้ ชอบ อยากจะเป็นผู้ได้เปรียบมากๆ ได้เอามาเป็นของตัวของตนมากๆชอบๆ อย่างนี้ก็แล้วไป เป็นพวกเลวร้ายด้วยกัน เห็นดีเห็นงามไปด้วยกัน 

แต่ถ้าคนชัดเจนแล้วว่าไม่ดีไม่เอา ก็จะอ่านสภาพตั้งแต่มันหยาบ เป็นวัตถุแท่งก้อนจนกระทั่งถึงฝากไว้ จดไว้ เป็นสัญญา เป็นหลักฐาน เขียนสัญญาตามกฎหมาย คนนี้คนนั้น อย่าทะเลาะกันนะ ให้ไปแล้วใช้หนี้หรือไม่ใช้หนี้อย่างไรกฎหมายกำหนดบอกหมด ถ้าไม่อย่างนั้นมาเอาเป็นของกูกันหมด เพราะฉะนั้นกฎหมายทั้งหมดทั้งนอกก็ต้องมีเลยอย่างละเอียดซับซ้อนด้วย 

ทีนี้ คนที่พอจะมีภูมิธรรม ว่า ถ้าไปเอาตัวตนวัตถุมาเป็นของเราทั้งหมด เขารู้นะ คนเขาก็เห็น เพราะฉะนั้นทำเป็นว่าให้ผู้อื่นไปแล้วกัน แต่แล้วจดไว้หมด จดเป็นรูปธรรม เป็นสัญญาเป็นมรดก กฎหมายก็รองรับไว้พวกนี้ จนกระทั่ง ไม่ต้องเขียนสัญญาหรอก ใช้ความจำ เป็นหลักฐาน สัญญา สัญญาณ กัน อย่างเช่นสัญญาลูกผู้ชาย อันใดเป็นของเอ็ง  อันใดไม่เป็นของเอ็ง 

สู่แดนธรรม... แสดงว่าสัญญานี้ก็ยึดถือว่าเป็นของเราอยู่ 

พ่อครูว่า... แน่นอน อย่างมหาบัว เรี่ยไรเงิน  เขามาให้ท่านนะ แต่ท่านฉลาดซ้อน ทุนนิยมสามานย์ร้ายกาจ ว่า เอาให้ชาติ แล้วท่านมีสัญญาด้วยนะว่า อย่าเอาไปใช้ นะให้เป็นเงินคงคลังนะ แต่ป่านนี้คงเอาไปใช้ เพราะฉะนั้นในจิตของมหาบัว ไม่ได้พรากว่าไม่ใช่ตัวกูของกูเลย ยังเต็มไปด้วยตัวกูของกูเต็มบ้องเลย แต่เป็นนามธรรม ที่มันเป็นความโง่ยิ่งกว่ารูปธรรม 

เพราะรูปธรรม หากเรายึดถือเป็นเราเป็นของเรากอบโกยเป็นของเรา คนก็จะเห็นว่าน่าอาย แต่นี่คนไม่รู้ ว่าเป็นของกู หลงเป็นของกูยิ่งใหญ่ ชาตินี้กูช่วยไว้ ประเทศนี้กูช่วยไว้ มหาบัวไม่รู้ว่าตนเองยึดถืออย่างนั้น แล้วซ้อนอีกว่า บอกตนเองบริสุทธิ์ไม่เอามาเป็นของตัวสักบาทเดียว บริสุทธิ์ เอาไปไว้ให้แบงค์ชาติ ไม่เป็นของตัวเลย ยิ่งเป็นของตัวที่ยิ่งใหญ่ นี่แหละคือความซับซ้อนของสิริมหามายา ที่ไม่รู้เท่าทัน

ชาตินี้อาตมาไม่ได้ทำอะไรเลยเงินทองข้าวของอะไรให้แก่ประเทศชาติ อาตมาทำแต่ความรู้ทำแต่ธรรมะเป็นเรื่องนามธรรม แม้แต่ทำเป็นหนังสือเป็นข้อเขียนก็แจก แต่ก่อนนี้ขายบ้าง เพราะว่าคนมาช่วยน้อยมันไม่หวาดไม่ไหว แต่เดี๋ยวนี้ก็ทำได้พอสมควรแจกได้เลย 

สู่แดนธรรม... แสดงว่าที่พ่อท่านทำกุศลตลอดมาก็ไม่ได้ทำใจในใจยึดถือเป็นของพ่อท่าน ไม่อย่างนั้นทางศิษย์หลวงตามหาบัวอาจจะบอกว่าที่สอนไปนี้เป็นคำสอนของฉันช่วยประเทศชาติ 

พ่อครูว่า... ไม่ได้ยึดเป็นของตน ต้องการให้กว้างออกไป อาตมาไม่ได้ยึดว่าเป็นของประเทศไทยเท่านั้น ให้ไปทั่วโลก ประเทศไทยยังไม่มีฐานรู้ฐานธรรมะมากแต่ค่อยๆคิดค่อยตามมาได้ เพราะฉะนั้นมันเป็นจุดสูงสุด คนจะเข้าใจตามว่าคนทำได้อยู่นะ ไม่ใช่ยูโทเปียของโทมัสมอร์ที่คิดแล้วทำไม่ได้ เป็นวิมานอยู่   แต่นี่ทำได้นะ มีทั้งวัตถุตัวตนบุคคลพฤติกรรม มีทั้งจิตวิญญาณที่สอดคล้องตามพฤติกรรมข้างนอก พฤติกรรมข้างนอกไม่เอาเป็นของเรา จิตใจก็เป็นเช่นนั้น 

สู่แดนธรรม... ได้ฟังพ่อท่านเปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่าง ในจิตใจของพ่อท่าน 

พ่อครูว่า... ไปอ่านความรัก 10 มิติ นั่นแหละคือจิตอาตมา ตั้งแต่มิติที่ 1 ถึงมิติที่ 7, 8 ที่ 9 ไม่มีเราเป็นของเราเลย เพื่อทุกอย่างทั้งหมด ไม่ได้เป็นเราเป็นของเราเลย 

ซึ่งถ้าเข้าใจนัยยะสำคัญของความรัก 10 มิติก็จะรู้ 

ความรัก10 มิติอาตมาเขียนตั้งแต่ พ.ศ. 2517 บวชได้ประมาณ 4 ปี บวช 2513 ไปเทศน์ 2517 ตอนนั้นมันก็ขึ้นมาว่าเราจะเทศน์เรื่องอะไรดี ความรัก 10 มิติก็ขึ้นมา ก็เรียบเรียงอยู่ตรงนั้นเลย ทั้งพยัญชนะภาษาทั้งสภาวะเทศน์ออกไป สดๆ เลือดหยดติ๋งๆ 

กัณฑ์แรกบอกว่าดี มีคนนิมนต์ไปเทศน์อีก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และวิทยาลัยครูบอกว่าไปเทศน์ อีก 2 กัณฑ์นี้ก็เลยรวบรวมคำเทศน์ออกมาเป็นความรัก10 มิติเล่ม 1 

สู่แดนธรรม... พ่อท่านแม้จะมอบความรักไปต่างประเทศก็เป็นความรักมิติที่ 6 

พ่อครูว่า... ใช่ ขั้นที่ 6 สากลนิยมหรือจักรวาลนิยม กว้างออกไป เพราะความรักขั้นที่ 7 จึงเข้าสู่เทวนิยมหรือปรมาตมันนิยม แต่คนที่ยังเข้าใจความรักมิติที่ 7 ไม่ได้ เขาก็จะยึดเทวะ ยึด 2 เป็น 1 ก็ยังเป็นตัวเราของเรายังเข้าใจไม่ได้ นอกจากโลกุตระจะเข้าใจฐาน 7 ต้องขยายตัวออกไม่เป็นเราเป็นของเรา ขยาย 2 ทำเป็น 1 จาก 7 จึงจะเจริญไปเป็น 8 เป็นความรักมิติที่ 8 อาริยนิยมหรืออเทวนิยม

สู่แดนธรรม... ทุกอย่างที่พ่อท่านปรารถนาที่จะทำเพื่อมนุษยชาติ ไม่ว่าจะเป็นการเมืองจะเป็นทุนนิยม หรือ เศรษฐกิจสาธารณโภคี ทุกอย่างล้วนแต่มีรากเหง้าออกมาจากความรักอย่างนี้ทั้งนั้นใช่ไหมครับ 

พ่อครูว่า... ใช่ จิตเป็นประธานเรียกเป็นภาษาสากลว่าความรัก อย่างเทวนิยมเขาบอกว่าเขารักทุกสรรพสิ่ง แล้วความรักของเขายังมีตัวตนที่ใหญ่ไปกับความรักด้วย เทวนิยม มีความใหญ่ของตัวเองไปกับความรักครอบงำให้คนอื่น เป็นเชิงทาส ตรงกันข้ามกันกับของพระพุทธเจ้าที่ถอดตัวถอดตน

สมณะเดินดิน... ตอนที่ไปเชียงใหม่ ม.เชียงใหม่นิมนต์ให้ไปเทศน์เรื่องความรัก เป็นที่มาของความรัก 10 มิติ คนฟังก็ติดใจ ฮือฮา มีอาจารย์วิทยาลัยครูมาฟังด้วยก็เลยให้ไปเทศน์ที่วิทยาลัยครูต่อก็เลยเป็นกัณฑ์ที่ 2 

สู่แดนธรรม... คำที่พ่อท่านเคยพูดว่า อาตมาไม่ได้เกลียดศัตรู แม้แต่ว่าคนจะมาขัดขวางเป็นอุปสรคไม่ให้เผยแพร่ธรรมะ 

พ่อครูว่า... ใช่ๆ การเกลียด นี่ เป็นความโง่ที่สุด อาตมาวิจารณ์ข่ม เช่น ข่มมหาบัว ธัมมชโยก็ตาม อาตมาไม่ได้เกลียดไม่ได้ชัง แต่อาตมาสงสาร เป็นจิตตัวสงสาร สงสารแบบโลกๆ จะมี Concept การสงสารอย่างไรก็ใช่ทั้งนั้น แม้ที่สุดอาตมาสงสาร ก็ไม่ได้มี Concept อย่างที่คนคิดว่าอยากจะช่วยเหลือเกิน ก็อยากช่วยเหลือนั่นแหละ แต่ไม่ได้อยากจนกระทั่ง มากเกินไป ช่วยได้ก็ช่วย ก็พยายามช่วย อย่างเช่นอาตมาช่วยมหาบัว ช่วยธัมมชโย ช่วยนะ อาตมาไม่ได้ข่มเบ่ง แต่มันเลี่ยงไม่ออก 

เราช่วยคือให้เขารู้ตัวว่าอันนี้มันไม่ได้ผลนะ มันควรเลิกควรละ ควรจะตื่นรู้ได้ว่า เราไปเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร

สมณะเดินดิน... มีลูกศิษย์เขาติดใจว่าทำไมพ่อครูไม่พูดตอนมหาบัวยังอยู่ 

พ่อครูว่า... ตอนนั้นอาตมาเจียมตนอยู่ แม้แต่เดี๋ยวนี้ก็ยังเจียมตนกันอยู่บ้าง ไม่ได้อยากจะทำอะไรให้ใหญ่โต เพราะว่ามันไม่ดี เป็นแต่เพียงว่ามันจำเป็นต้องทำมันจำนนต้องทำเช่นนี้ ไม่ทำอย่างนี้ไม่รู้จะทำอย่างไร  ต้่องข่มสิ่งที่ควรข่ม ยกสิ่งที่ควรยก มันไม่มีทางหลีกเลี่ยง จะไปยกย่องในสิ่งที่ไม่ควรยกย่องมันก็บ้าเท่านั้นเอง 

เพราะฉะนั้นในลักษณะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ สรุปลงไปที่พฤติกรรมใหญ่ของมหาบัว คือ มิจฉาทิฏฐิไปหลับตาปฏิบัติ ธัมมชโยก็ตาม มิจฉาทิฏฐิไปหลับตาปฏิบัติ 

หลับตาปฏิบัติมันไม่ใช่ของพุทธเลย แต่เป็นของเดียรถีย์ 100% 1,000% 100,000% ซึ่งมันไม่ใช่เลย แค่สัมมาทิฏฐิแค่นี้ยังไม่สัมมาทิฎฐิก็เป็นโมฆะตลอดกาล 

ศาสนาพุทธในเมืองไทยนี้ตื่น อาตมาจึงพยายามที่สุดที่จะให้ เหมือนกับพระพุทธเจ้าพยายามจะไปโปรด อาฬารดาบส อุทกดาบส ก็นั่งหลับตาทั้งนั้น เขาก็ตายไปแล้ว ก็เลยไปเจอชฎิล 3 พี่น้องก็หลับตาเหมือนกันก็ไปโปรดก็ได้มา อย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้นเรื่องหลับตาจึงเป็นเรื่องของโบราณๆที่มันเป็นตัวมิจฉาทิฏฐิ มันเป็นกลองอานกะ โลกุตระธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นอาริยะกะ  มันสูญหายไปแล้ว อาตมาจึงเอามาเปิดเผยขึ้นมาใหม่ ซึ่งเขาก็ไม่เชื่อ เขาก็ยังยึดมั่นถือมั่นกับการนั่งหลับตา แค่นี้เป็นโมฆะ 

ถ้าเผื่อว่าคนไทยนี่ซึ่งเป็นฐานพุทธศาสนา ตื่นจากอันนี้ ตื่นรู้ทันอันนี้ว่า อาจารย์ใหญ่ๆแต่ละสำนักตื่นรู้เลยว่าเรางมงายมากี่ชาติแล้ว ตายๆๆๆ แล้วก็มาเรียนตามจรณะ 15 วิชชา 8 เรียนรู้ตามคำสอนที่เป็นพุทธคุณของพระพุทธเจ้าแท้ๆ ลืมตาปฏิบัติศีล อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิมุติ ตามลำดับจะเกิดจริง อย่างที่อาตมาพยายามอธิบายอยู่นี่ 

ศาสนาพุทธหรือโลกุตรธรรมจะเกิดจะเจริญรุ่งเรืองจริงๆ แต่นี่มันแค่หลับตาลืมตาแค่นี้แหละ อาตมาถือว่าพวกหลับตาปฏิบัติเป็นพวกโจรปล้นศาสนา พระพุทธเจ้าเป็นพระราชาสั่งพนักงานให้เอาโจรไปฆ่าด้วยหอก 100 เล่มตอนเช้า อาตมาก็เป็นพนักงานของพระพุทธเจ้า ไปฆ่าด้วยหอก 100 เล่มเช้า สาย เย็น หอกหักหมดเลย โจรก็ยังไม่ตาย และมันไม่สะดุ้งสะเทือนอะไรเลย ก็ไม่อยากพบพระราชาอีกเดี๋ยวจะถามว่าฆ่าตายหรือยัง หอกเราก็หักหมดแล้ว เจอกลางวันอีก เป็นไงตายหรือยังแล้วโจร ยังไม่ตายพระเจ้าข้า ก็ไปฆ่าอีก เย็นเอาไปทำหอกอีก 100 เล่มเอาไปฆ่าอีก ละไว้ในฐานที่เข้าใจ ไม่ถามอีกแล้ว เช้ากลางวันเย็น จนป่านนี้หอกอาตมาหักไปไม่รู้กี่ร้อยดอก เป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสน เป็นล้านดอกแล้ว ยังหนังเหนียวอยู่เลย

พระพุทธเจ้าท่านตรัสตรงนี้เอาไว้ว่า เป็นโจรร้ายที่ทำลายศาสนา ต้องเอาไปฆ่าให้ตาย ไม่อย่างนั้นเขาก็ไปทำวิบากร้ายอยู่อย่างนั้น ไปฆ่าเขาตาย  ไปถ้าจะซ้อนลึกลงไปอีก การฆ่าโจรให้ตาย เทียบกับหอก 100 เล่มที่อาตมาพยายามทำธรรมะให้คมๆ มันยังไม่ทิ่มเนื้อโจรเข้าไปได้เลย หอกหักเลย โอ้ทำไมหนอ ถึงเป็นถึงขนาดนี้ ข้ออุปมาอุปไมยของพระพุทธเจ้านี้สุดยอดเลย 

อาตมาเอามาขยายความถ้าไม่มีสภาวะจริงไม่มีความจริง ขยายไม่ออกนะ  อาตมาขยายออก นี่แหละคืออาหาร 4 ของพระพุทธเจ้าคือสุดยอดอาหาร 4 ตั้งแต่ กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร เขามีวิญญาณหนังเหนียวจริงๆ สุดยอดเลย  

สมณะเดินดิน... สรุปจบ

 


เวลาบันทึก 06 กุมภาพันธ์ 2565 ( 05:31:10 )

640929

รายละเอียด

640929_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สภาวะของความจริง 6 ประการ 

https://www.boonniyom.net/50680.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/14yzsVU5gxdu6LfJualj0IKupBAnTkzo4dyOzxhQZNNI/edit?usp=sharing 

 

ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/11lf-ABAB9hwI6D_beb5cLksRnzUqA3ZB/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/8k6livRDwn/ 

 

สมณะฟ้าไท... วันนี้เป็นวันพุธที่ 29 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 8 ค่ำ เดือน 10 ปีฉลู 

ตอนนี้สถานการณ์ที่ต้องระวังนอกจากโควิดก็คือเรื่องน้ำท่วม เราออกอากาศผ่านดาวเทียม ทางกล่อง psi ได้ช่อง 237 

พ่อครูว่า...สอง สาม นี่เป็น 7 ได้มากกว่า สอง สาม 6 นะ แล้ว สอง สาม เป็น 6 ก็ได้ สอง สาม เป็น 5 ก็ได้ ก็ถูกทั้งคู่ คนที่รู้ถูกทั้งคู่แล้วเป็นสิริมหามายา ok ทั้งสองอย่าง

สมณะฟ้าไท... ตอนนี้น้ำกำลังท่วม ระวังจมน้ำ 

พ่อครูว่า... คนที่ตกน้ำตายส่วนใหญ่ว่ายน้ำเก่ง เพราะอวดดีกับน้ำ เราไม่รู้ตั้งเยอะแยะ บางทีมันดิ่งลงไปขึ้นไม่ได้เลยนะ เจอหมุนลงไปเลย ไม่กี่นาทีก็เสร็จ 

สมณะฟ้าไท... คนที่อยุธยา ขับเรือเชี่ยวชาญ แต่เขาประมาทก็ตายเพราะเรือพลิกคว่ำ (เปิดคลิปเรือโยงคว่ำและจมน้ำไปเลย https://dai.ly/x84j00l) เป็นข้อคิดว่าอย่าประมาท 

สถานการณ์โควิด ที่วารินฯก็ต้องอพยพกัน คนที่ไปอพยพร่วมกันก็ต้องระวัง covid ด้วย พวกเราไปที่อุทยานบุญนิยมก็ต้องระมัดระวัง ใครจะไปไหนก็ต้องระมัดระวังเป็นที่สุด เป็นภาวะที่ซ้อนกัน แม้แต่น้ำที่มาก็สกปรกมีสารเคมี ไปลุยน้ำมาก็ต้องล้างให้สะอาด 

พ่อครูว่า... มีข่าวคราว ...ชาวอโศกทั้งหลายฟังทางนี้ 

 


เวลาบันทึก 19 ตุลาคม 2564 ( 15:18:00 )

641001

รายละเอียด

641001_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ธรรมบรรยายพรหมชาลสูตร ตอน 1

https://www.boonniyom.net/50679.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1N65jNq69VDoTtjCCm0gTzWLQrkXsnGvYphQOs5nmZz0/edit?usp=sharing 

 

ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1SxZxFjwopiCV_rbic3EwmS3PG3LbbZKL/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่  https://youtu.be/wH6kHRByZa8

 

สมณะเดินดิน... วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก เหตุการณ์โควิดในประเทศไทย พอเริ่มคลายล็อค ก็เกิด cluster ใหม่ๆเพิ่มขึ้นอีก อนุโลม ต่อไปยอดผู้ป่วยก็คงจะเพิ่มขึ้นอีก พวกเราจัดประเพณีกินเจก็ดีแต่อย่าให้เกิด cluster ขึ้นมาอีก 

เร็วๆนี้พ่อครูได้ชี้ให้เห็นโทษภัยของการปฏิบัติธรรมแบบหลับตา แต่ดูกรณีลุงตู่แม้จะมีทั้งเสียงตำหนิและชื่นชม แต่ก็ไม่หวั่นไหว ยังคงอยู่เพื่อทำหน้าที่ให้ดีที่สุดต่อไป ทำอย่างไรให้ปฏิบัติธรรมกันแบบลืมตาเดิมมรรคมีองค์ 8 ไม่หวั่นไหวต่อผัสสะ ก็ยังมั่นคงแข็งแรง จะพลิกฟื้นประเทศไทยขึ้นมาได้

พ่อครูว่า...


เวลาบันทึก 18 ตุลาคม 2564 ( 09:37:59 )

641108

รายละเอียด

641108_พ่อครูเทศน์งานมหาปวารณาครั้งที่ 39 สร้างอาหารให้กับโลก

https://www.boonniyom.net/51219.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/11v0qhGYXiEb7bPuFAGsmn7q-ShBw89OaxMaXbiPrY2M/edit?usp=sharing 

 

ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1x_2E_4WcPbsPYw9gVG-Ss4-O1Qx1YI3A/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/1595883307470268   

และ

https://youtu.be/zuOvuxqsRpo

พ่อครูว่า... วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2564 ขึ้น 4 ค่ำเดือน 12 ปีฉลู

ที่บวรราชธานีอโศก คนเราเดี๋ยวๆก็แก่ เราอยู่ไปอยู่มาก็ 88 ปีแล้ว ทำไมมันไหว เหมือนตลกๆ 

กวี อโศกสัมปวังโก ส่งกวีมา

มหาปวารณา 2564

 

พุทธกัป ครั้นถึงกึ่ง จึงวิกฤติ บรรพชิต ผิดแนวทาง สร้างปัญหา

ยึดเอาพง ไพรสัณฑ์ เป็นมรรคา ศาสนา จึงอาภัพ อับนิพพาน

 

ตามพุทธะ-พยากรณ์ ก่อนดับขันธ์ องค์"ตะวัน-ทับฟ้า" จักมาสาน-

สืบภาระ คู่นว-รัชกาล “เดือนเด่นฟ้า" ผู้เป็นผ่าน-เผ้าชาวไทย

 

“ธรรมิกราช” ชาติเชื้อ พระสัตถา ทรงสยัง อภิญญา ฌานวิสัย

สัตบุรุษ สุดแกล้วกล้า ฟ้าอภัย สรรค่าสร้าง-คนไว้ให้โลกา

 

ขอประกาศ เกียรติประวัติ ไว้ให้รู้ โพธิรักษ์ ยอดนักสู้ กู้ศาสนา

โพธิสัตว์ ผู้พิชิต อวิชชา โพธิกิจ หยุดมิจฉา ล้างอาธรรม์

 

สร้างประชาธิปไตย ในคอมมิวนิสต์ สร้างคนจน ให้มีจิต คิดสร้างสรร

สร้างพืชผล ล้นนาไร่ ไว้แบ่งปัน สร้างความมั่น-คงไว้ให้วงศ์วาน

 

ขอพลีกาย ถวายพ่อ ผู้รื้อขน- สัตว์ผู้วน ในวัฏฏสงสาร

ขออยู่เพื่อ มรรคผล และนิพพาน ขอร่วมสาน สืบศาสน์ ทุกชาติไป

 

อโศก สัมปวังโก 5 พ.ย.2564

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน พ่อครูรู้ได้อย่างไรว่าการปฏิบัติของตนถูกต้อง

_ลูกหมาน้อย : จากการอ่านหนังสือเจริญชีพด้วยการก้าว หน้า 64 หลวงปู่มีแรงบันดาลใจค่ะ เอาสิ่งของที่สะสมไว้มาแจกจนหมด ความรู้สึกขณะนั้นเป็นอย่างไรคะ 

พ่อครูว่า... ความรู้สึกคือตอนนั้นทำไมเราสะสมอะไรมาก ของกินต้องซื้อตลาดเข้ามากิน ส่วนของใช้ต่างๆนานาเสื้อผ้าหน้าแพรเครื่องใช้เครื่องสอยก็เอาแจก เสื้อมองตากู ก็เอาไปแจก ตอนนั้นซื้อตัวละ 700 นะ ทองคำบาทละ 400 เสื้อสีต่างๆก็แจกจ่ายไปเอาเหลือไว้แต่สีขาว 

ปฏิบัติธรรมไปก็เลยถึงขั้นไม่เอาแล้วอย่างโลกเขา ก็มีความรู้สึกเป็นจริงอย่างนั้นแบบที่เคยหลงในโลกีย์สีสันวรรณะ มันก็ไม่เอาแล้ว 

2.การเริ่มปฏิบัติธรรมครั้งแรกของหลวงปู่ที่กิน 1 มื้อ ลดการใช้ข้าวของและการนอนที่สบาย มานอนห้องพระ มีอะไรเป็นแรงบันดาลใจให้ทำอย่างนั้น 

พ่อครูว่า... ห้องพระไม่มีเตียงไม่มีฟูกอะไร ก็นอนบนกระดานธรรมดา เอาเสื่อปูเข้าก็นอนห้องพระ ใกล้พระเข้าไปเรื่อยๆไง ก็มานอนอย่างนั้นดีกว่า คือที่บ้านมีห้องพระต่างหากอยู่ห้องหนึ่ง ห้องนอนมี 3 ห้องนอน ห้องพระ 1 ห้อง ก็ไม่นอนห้องตัวเอง มานอนห้องพระ 

3. แล้วหลวงปู่รู้ได้อย่างไรคะ ว่าเส้นทางสายนี้ถูกต้อง 

พ่อครูว่า... เรื่องนี้ก็จริงนะ ถ้าถามก็คือมันรู้ได้อย่างไร เป็นเรื่องอจินไตย รู้ได้อย่างไรว่าถูกต้อง คนที่ถามมานี้ลึกๆ จะสะดุดใจว่า อาตมามาถูกต้องตรงทางหรือเปล่า รู้ได้อย่างไรว่าทางนี้ถูกต้อง เออ.. ของใครใครก็คงเข้าใจว่าถูกต้อง มหาบัวก็คงเข้าใจว่าของตนเองถูกต้อง ท่านสมเด็จพุทธโฆษาจารย์หรือท่านมหาประยุทธ์ก็คงเข้าใจว่าของท่านถูกต้อง ของแต่ละคนแต่ละคนก็คงเข้าใจว่าของตนเองถูกต้อง 

แต่อาตมาขัดแย้งกัน ไม่อย่างเดียวกันกับมหาบัว กับมหาประยุทธ์ แล้วรู้ได้อย่างไรว่าอันไหนถูกต้อง ซึ่งมหาประยุทธ์และมหาบัวก็คงมีความมั่นใจของตัวเองเชื่อว่าตนเองถูกต้อง ตอบว่ารู้ได้อย่างไร ซึ่งมันก็ต้องมีของตนเอง มันเป็นของตนเอง เป็นอัตตาของตนเอง เป็นมานะ เห็นดีเห็นงาม ยึดดียึดงามนั้นเป็นของตน เข้าใจตามความรู้ ตามทิฏฐิ ตามสัญญา เข้าใจเชื่อมั่นว่าอย่างนี้น่ะถูกต้อง 

แต่เมื่อเข้าใจกันคนละอย่างต่างกัน ทิฏฐิต่างกัน กายต่างกัน สัญญาต่างกัน และ การปฏิบัติมันก็ต้องต่างกัน ผลที่ได้มันก็ต้องต่างกัน 

ที่นี้จะรู้ได้อย่างไรว่าใครถูกต้อง โชคยังดีที่ประเทศไทยก็ยังมีพระไตรปิฎก ของพระพุทธเจ้า ทางมหาบัวก็ยอมรับ ทางมหาประยุทธ์ก็ยอมรับ เราชาวอโศกอาตมาเองก็ยอมรับ เอาพระไตรปิฎกนี้เป็นของศาสนาพุทธ เราก็ใช้หลักเกณฑ์อันนี้ตรวจสอบดูสิ สูตรไหนสูตรไหน ท่านตรัสไว้อย่างไร จรณะ 15 วิชชา 8 เป็นต้น แม้แต่ปฏิจจสมุปบาท แม้แต่ผลที่เกิด ปฏิบัติแล้วจะเป็นคนมีวรรณะ 9 มีสาราณียธรรม 6 ใครทำสำเร็จล่ะ ใครทำแล้วมีคนวรรณะ 9 มาเป็นคนที่เลี้ยงง่าย บำรุงง่าย มีชีวิตไม่ไปยุ่งยากวุ่นวายอะไร 

สุภระ สุโปสะ มามักน้อยกล้าจน เป็นคนมีเงินน้อย  เป็นคนกล้าจน เป็นคนใจพอ สันตุฏฐิ มาเป็นคนพัฒนาตัวเองเป็นคนมีชีวิตขัดเกลากายวาจาใจของตน อย่างพวกเราเจตนาขัดเกลาเลย ได้มากได้น้อย ของใครก็ของใคร มีศีลที่เจริญขึ้นๆ เคร่งขึ้นๆ สูงขึ้นๆ ธูตะ

จนเกิดผลเป็น ปาสาทิกะ  กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ดูน่าเลื่อมใสเจริญขึ้นจริงๆ จนกลายเป็นคนประสบผลสำเร็จไม่สะสม อปจยะ แต่ ขยัน ยอดขยัน ท่านมหาประยุทธ์แปลว่าระดมความเพียร แปลวิริยารัมภะว่า ปรารภความเพียร ขยันอยู่เสมอ 

ก็เอามาเช็คดู วรรณะ 9 คนไหนกลุ่มไหนขนาดไหน ปฏิบัติแล้วมันเข้าเกณฑ์พวกนี้อยู่กันเป็นกลุ่มหมู่อยู่กันอย่างมีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม อยู่กันอย่างเกื้อกูลกันช่วยเหลือกันไปเลี้ยงดูกันไป ทางกาย ทางวาจา ทางใจ เป็นครอบครัวใหญ่ เป็นพี่เป็นน้อง ลาภที่ได้มา ต่างคนต่างทำงาน มีลาภมีผลได้ มีรายได้มีสิ่งได้ ก็เอามารวมเข้ากับกองกลาง 

ลาภธัมมิกา เอามารวมกันเป็นสาธารณโภคี ร่วมกันกินร่วมกันใช้ ซึ่งยอดและยาก ทั้งฆราวาสก็เป็นได้  สมัยพระพุทธเจ้าทำได้แต่ในกลุ่มของสงฆ์นักบวช ไม่สามารถทำได้ถึงระดับฆราวาส เป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่ใช่ว่าอาตมาเก่งกว่าพระพุทธเจ้า แต่เป็นที่เหตุปัจจัยตอนนั้นยังไม่ครบ เป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นยุคของสังคมทาส ยังมีลูกทาส นายทาส แต่ละคนไม่รู้จักเรื่องสิทธิของตนเองสิทธิมนุษยชน สิทธิในการพูดการแสดงออก สิทธิตามกฎหมายสิทธิต่างๆ เป็นวัฒนธรรม ตามสัจธรรมต่างๆ ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรสำหรับคนในยุคนั้น ไม่มีความรู้และไม่ได้สอนกัน ไม่มีใครสามารถที่จะมาแจกแจงให้ทุกคนเข้าใจเรียนรู้ แล้วก็ปฏิบัติตนเป็นคนหลุดพ้นจากความเป็นทาส มีสิทธิส่วนตน ไม่มีในยุคโน้น 

แล้วทรัพยากรในโลกยุคโน้น ก็ยังไม่อัตคัดขาดแคลนเหมือนในยุคนี้ ยุคนี้มันร่อยหรอลง เพราะโลกพร่องอยู่เป็นนิจ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า โลกพร่องอยู่เป็นนิจ ของกินของใช้มันก็ร่อยหรอลง ซึ่งมันน่าจะเจริญขึ้นมากขึ้นได้ แต่มันกลับร่อยหรอลง ธรรมชาติเสียหายลงไป พืชพันธุ์ธัญญาหารที่เกิดเองตามธรรมชาติ ก็ร่อยหรอลงน้อยลงน้อยลง คนจึงต้องช่วยหรือคนต้องช่วยตัวเอง ต้องปลูกเองขึ้นมากินมาใช้ อาศัยธรรมชาติไม่พอ อย่างนี้เป็นต้น นี่คือสิ่งที่มันเกิดจริงเป็นจริง 

 

SMS วันที่ 3 - 4 พ.ย. 2564

_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม : กราบนมัสการพ่อครูเจ้าได้ทราบข่าวเรื่องน้องน้ำมาอีกแล้วหรือค่ะ นึกว่าจะรอด มาเยี่ยมกันแล้ว แต่พวกเราก็ไม่ทุกข์สุดยอดของการทำใจ กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า... มันเป็นธรรมดาถึงเวลาวาระตามธรรมดาธรรมชาติ เราเป็นคนมีปัญญาเฉลียวฉลาด ก็อยู่กับธรรมชาติได้ คนที่อยู่ขั้วโลกเหนือเขาก็อยู่ได้ เขาเต็มไปด้วยความหนาวเป็นเรื่องใหญ่ แต่เขาก็อยู่ได้ พืชพันธุ์ธัญญาหารไม่มีเขาก็อยู่ได้แบบของเขา ก็เป็นธรรมดาดิ้นรนเพื่ออยู่รอด 

 

_แดง ลานกราบ : ดูพระเจ้าอโศกมหาราชแล้วนึกถึงความโหดร้ายของการสร้างบารมีจัง เพราะต้องใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาตลอดเลย ต้องใช้ความอดทนอย่างยิ่งเลยค่ะ

พ่อครูว่า...เขาก็สร้างสิ่งที่เป็นตัวอย่าง เป็นลีลาของพฤติกรรมมนุษย์ เอามาประกอบเป็นนิยาย เรื่องเยอะเอามาประกอบต่อกัน ซ้ำไปวนมาก็แล้วแต่ แรงขึ้นเบาลงก็แล้วแต่ มันยาวยืดยาด ได้ข่าวว่าตั้ง 400 กว่าตอน ขยันทำ เหลือเกินเหลือกินจริงๆ
 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ความหมายของปวารณา 

_นุ้ย วิโรจน์ มาบุตร : งานปวารณามีพิธีการอะไรบ้างครับ

พ่อครูว่า...พิธีของเรา จริงๆก็ไม่ได้หนีไปจากการตั้งใจเรียนรู้ธรรมะ เป็นเป้าหมายหลัก ก็เคี่ยวเข้มขึ้น งานมหาปวารณาก็เคี่ยวเข้มขึ้นกว่าธรรมดาบ้าง ทุกคนก็มีสำนึกรู้แล้วว่า ต้องเอาใจใส่ ตั้งใจในเรื่องเรียนทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ให้ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เป็นความฉลาดของคนที่ทำมา เราก็ทำประจำปีมาตลอด ที่จริงใช้ชื่อเอามาเรียกเฉยๆว่า มหาปวารณา 

มหาปวารณาแปลว่า อนุญาตให้ใครต่อใครติเตียนได้ ว่ากล่าวได้ ความหมายของคำว่า มหาปวารณาหมายความอย่างนั้น แล้วเราก็เอามาใช้ อยู่ด้วยกันก็ติเตียนกัน มีอะไรก็ขัดเกลากันไปชีวิตก็เจริญ การติเตียนตำหนิกันนี่เป็นสิ่งยอดเยี่ยม สรรเสริญกันนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นคำต่ำทราม สรรเสริญไม่มีค่า สรรเสริญต่ำทราม แม้แต่ทำให้ลดละหน่ายคลายก็ไม่ได้ ฟังแล้วชัดเจนนะ สรรเสริญมันไม่น่ามีเลยในสารบบของชีวิต แต่ตำหนิมันจำเป็น ดีมาก ผู้รู้  ผู้หลุดพ้น ผู้ที่เจริญผู้ที่สูงกว่าก็ตำหนิผู้ที่ต่ำกว่าเป็นธรรมดา 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ธรรมะพ่อครูต่างจากของสำนักอื่น

_ยอด : อยากให้พ่อท่านสมณโพธิได้เจอกันกับท่าน อ.สุจินต์ บ้านธัมมะ ไครจะแน่กว่ากัน คงมันส์น่าดูน่าฟัง(ยิ่งกว่าโพธิรักปะทะไสว แก้วโสม)????

พ่อครูว่า...พวกนี้ชอบดูมวย จ้างก็ไม่ไปชกกันหรอก คุณสุจินต์ก็สนใจธรรมะมาตลอดชีวิต อายุ 90 กว่าแก่กว่าอาตมา สนใจพระอภิธรรมเป็นหลัก ซึ่งอาตมาก็เป็นอภิธรรมแต่คนละอย่างกัน อภิธรรมอย่างอาจารย์สุจินต์ เต็มไปด้วยภาษา ทำมาจนกระทั่งชีวิตอายุ 90 กว่า มันน่าจะมียิ่งกว่าชาวอโศก อาตมามาทำทีหลังทำช้ากว่า อายุก็น้อยกว่า แต่ใช้เวลาทำงานศาสนามาน้อยกว่าอาจารย์สุจินต์ ยังได้เป็นรูปธรรม เป็นชุมชนเป็นสังคม มีวัฒนธรรม มีชีวิตจริง เข้ามารวมกัน เอาเนื้อหาสาระศาสนามาเลย มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา 

สมาธิอย่างของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่สมาธิไปนั่งหลับตาเอา แต่สมาธิที่เป็นสมาธิที่เป็น สมาหิโต สมาธิที่จิตตั้งมั่นแข็งแรง เกิดจากการปฏิบัติลดละกิเลสจนสิ้นอาสวะ จิตก็ตกผลึกลงเป็นสมาธิเป็นจิตตั้งมั่น อธิบายขนาดนี้ก็น่าจะเข้าใจแล้วว่า สมาธิที่ไปนั่งหลับตาเอานั้น กับสมาธิที่เกิดจากเจโตปริยญาณ 16 มีสมาหิตะ สมาหิตโต วิมุตะ วิมุตโต คนละอย่างกับสมาธินั่งหลับตา 

ศีลก็มี แต่ของเราศีลนั่นมาขัดเกลากิเลสจริงๆเลย ปฏิบัติศีลข้อ 1 จนกระทั่งถึงขั้นไม่กินเนื้อสัตว์ ทางโน้นก็อย่างนี้แหละเป็น สีลัพพตปรามาส สีลพตุปาทาน ไม่ใช่ง่ายๆ ก็เห็นๆกันแต่ละคนก็ปฏิบัติไป 

 

_ทำเป็นธรรม : มนุษย์พืช มีแค่ สัญญา+สังขาร..แล้ว วิญญาณ กับ เวทนา ไปไหนครับ?

พ่อครูว่า...พืชมีแต่สัญญากับสังขาร มันก็กำหนดรู้ของมันในตัวว่าจะเอาธาตุอะไรมาปรุงแต่งเป็นตัวมันเท่านั้น (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สู่แดนธรรม... ช่วงพ่อท่านปฏิบัติธรรมตอนเริ่มต้น ทำไมพ่อท่านรู้ว่าตัวเองปฏิบัติมาไม่ผิด เท่าที่ได้เริ่มปฏิบัติกับพ่อท่านมา ตอนนั้นก็สมัครบวช ท่านสมณะก็ให้อ่านหนังสือเจริญชีพด้วยการก้าวตามรอยบาทพระศาสดา ปฏิบัติถือศีลกินน้อยใช้น้อยทำงานให้มาก สรุปแล้วคือการปฏิบัติแบบ อปัณณกปฏิปทา 3 ข้อสำคัญคือไม่ขาดการสังวรอินทรีย์ 

ลืมตามารับรู้โลกเกิดผัสสะเกิดกิเลส แล้วจะต่อสู้ลดละกิเลส ซึ่งเป็นการปฏิบัติสู้กับกิเลสจริงๆ แต่เท่าที่เคยเรียนกับอาจารย์เมื่อก่อนเจอพ่อครู เราไม่ได้ต่อสู้กับโจรจริงๆเลย แต่ปฏิบัติกับพ่อครู เราเจอและต่อสู้กับโจรจริงๆ ที่ปรากฏทางตาหูจมูกลิ้นกาย จนเราสามารถทำให้โจรหมดอำนาจมาบงการจิตใจของเรา ได้ผลคือจิตใจเราอิสระ ได้ผลจึงรู้ว่าเราปฏิบัติไม่ผิด 

พ่อครูว่า...คุณทำเป็นธรรม .ที่ถามว่ามนุษย์พืชนั้นวิญญาณกับเวทนาไปไหน. ก็มันยังไม่มีมันไม่ได้ไปไหน คุณไปนึกถึงจิตนิยามที่มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันก็เป็นเรื่องของจิตนิยาม แต่นี่มันเป็น พีชนิยาม ไม่ถึงขั้นจิตนิยาม มันเป็นชีวะระดับต่ำ มีแต่สัญญากับสังขาร ไม่ใช่วิญญาณมันไปไหน ชีวะเหมือนกันแต่เป็นชื่อว่าคนละระดับ 

มันมีพลังงานในตัวมันเรียกว่า พลังงานสัญญากับพลังงานสังขาร ส่วนจิตนิยามที่พัฒนาถึงขั้นได้ชื่อว่าเป็นสัตว์แล้ว ตั้งแต่สัตว์เดรัจฉาน สัตว์ 1 เซลล์หรือ 2 เซลล์ก็แล้วแต่ จนมาเป็นมนุษย์หลายล้านเซลล์ สังขารปรุงแต่งกันอยู่ในชีวิต ก็มีเวทนา มีวิญญาณ มีอาการ ต้องรู้ว่าอาการเวทนาเป็นอย่างนี้ อาการสัญญาเป็นอย่างนี้ อาการสังขาร อาการวิญญาณเป็นอย่างไร เข้าใจอาการเคลื่อนไหวของพลังงานพวกนี้ แล้วเราก็จะจัดการกับสิ่งเหล่านี้ได้ถูกต้อง หรือทำกับพลังงานพวกนี้ตามหน้าที่ของมัน สัญญาก็มีหน้าที่อย่างนี้ สังขารหรือเวทนาก็มีหน้าที่อย่างนี้ วิญญาณอย่างนี้ เรียนรู้และเข้าใจพลังงาน อาการ ลิงค นิมิต ตามอุเทส ตามคำอธิบายของพระพุทธเจ้าหรือสัตบุรุษ อาจารย์ที่สัมมาทิฏฐิ แม้ไม่สามารถที่เข้าใจ ก็มีอุเทสคำอธิบายตามของเขา ก็เรียนรู้กัน ตอนลืมตามีสติเต็ม 

(ปล.ขอให้อาแป้งช่วยทวนคำถามพ่อท่านด้วยนะครับ เพราะบางทีตอบข้ามประเด็น-ไม่ตรงประเด็น-ไม่ครบประเด็นน่ะครับ) ตอนลืมตามีสติเต็ม ผมลดสายโทสะ จับกายผีได้ และลดได้ตามปัญญาของพุทธ ตรวจตัวเองแล้วเวลากระทบข้างนอก โทสะไม่ออกมาหยาบๆ ไม่แรงแบบน่าเกลียด (ตามฐานของผมนะครับ)....แต่เมื่อคืนก่อน ผมนอนคุยกับผี  คือ ในฝัน ผมมีอารมณ์โกรธน้องชายแรงมากเลยครับ จนต้องสะดุ้งตื่น เล่นเอาเหนื่อยเลยครับ.. คำถามคือ..

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ฝันของพระอรหันต์ต่างจากฝันของปุถุชน

_1. ในฝันตอนไม่มีสติ.. ทำไมโทสะของเรามันขึ้นแรงกว่า ตอนลืมตามีสติ(ตอนลืมตาผมว่าผมลดมันได้เยอะและไม่ออกมาข้างนอกหยาบ ๆ แล้ว)

2. วิธีจะไม่ให้มันเกิดแรง ก็ต้องทำจาก ภพนอก ของเราให้หมด เพื่อเข้าไปหา ภพใน จะบรรเทาสภาวะทุกข์ของเราได้ใช่ไหมครับ?

3. พระอรหันต์ จะมีการฝันแบบ โกรธคนแต่ไม่มีรสโกรธ ไหมครับ? 

แบ่งตอบ 2 วันก็ได้นะครับถ้าคำถามผมได้ลง แบ่งให้ท่านอื่นได้ถามบ้างนะครับ

 สู่แดนธรรม... คนบางคนทำไมตอนมีสติลืมตาตื่น ถึงสังวรได้ดี ปัญหาอยู่ที่ว่า ทำไมตอนฝันถึงแรงกว่าตอนตื่นปกติ มันน่าจะเป็นธรรมชาติของคนขาดสติ กิเลสที่อยู่ลึกๆจะขึ้นมาทำงานเต็มที่ 

พ่อครูว่า... ใช่ๆ ก็สติมันมีพลัง ท่านเรียกว่าอธิปไตย เป็นอำนาจ เป็นพลัง สติเมื่อตื่นเต็มลืมตา มันจะเป็นธรรมชาติธรรมดาคน นอนหลับไป มันก็ตกภพ 

สติ มันแปลว่าร้อย มาจากศัพท์คำว่า สต แปลว่าร้อย ก็คือตื่นเต็มร้อย ชาคริ หรือชาคระ หรือชาคริยา ตื่น มีภาวะตื่นเต็ม

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาชาคริยานุโยค แม้จะหลับตานอนหลับก็ต้องตั้งความตื่น พยายามอย่าให้มันตกหลับไหล ถ้าหากหลับไหลก็ถูกผีเข้า ถูกอำนาจกิเลสครอบงำ มีฝันเลอะเทอะไปหมด ซึ่งเยอะมากในตอนนอนหลับนี้ เพราะเราปิดทวารทั้ง 5 ข้างนอก มันก็เลยไปรวมอยู่ในทวารข้างใน 

ชีวิตตอนตื่นนอนเรามีทั้ง 5 ทวารแบ่งไปตาหูจมูกลิ้นกาย มันก็กระจายออกไป ทีนี้เมื่อไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายไปรวมอยู่ภายในหมดเลย มันก็เลยเป็นพลังงาน รูปก็ดี เป็นเสียงรสสัมผัสมันมะรุมมะตุ้มรวมกัน ปรุงแต่งกันเป็นเรื่องราว 

เรื่องของรูปมันก็ต้องเอาของมันบ้าง เสียงก็จะเอาของมันบ้าง กลิ่นก็จะเอาของมันบ้าง ไม่ว่าจะกลิ่นหรือรส แม้ โผฏฐัพพะ มันก็มีมโนสังขาร มีการปรุงแต่งทางจิต มันก็เต็มไปหมดเลย เรื่องก็เลยเยอะ อยู่ในจิต 

เพราะฉะนั้นการที่จะควบคุมให้ตื่น เป็นชาคริยาเต็มร้อยมันก็ยาก คุมไม่ค่อยได้ ถึงต้องมาฝึกฝน จริงๆแล้วมันก็เป็นธรรมชาติของการปรุงแต่ง เป็นพระอรหันต์ก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นในตอนนอนหลับ มีเรื่องราวมีสภาพของพลังงานรูปนาม ปรุงแต่งกันเป็นธรรมชาติ ยังไม่เป็นพระอรหันต์ก็มีกิเลสเลอะเทอะไปกับโลก พอเป็นพระอรหันต์แล้ว จิตก็ไม่มีเรื่องของกิเลสของโลก มันก็มีเรื่องของธรรมะ ก็ปรุงแต่งเป็นธรรมะไป เป็นเรื่องเป็นราวของธรรมะไปเท่านั้นเอง 

คนไม่รู้ก็บอกว่าพระอรหันต์นอนแล้วจะมีฝันไหม คนไม่รู้ว่าฝันคืออะไรก็นึกว่าเป็นเรื่องราวที่ปรุงแต่งกันก็เรียกเลอะกันเป็นฝันหมด 

ฝันในความหมายของชาวโลกที่คนเข้าไปเข้าใจก็คือ สภาพที่ปรุงแต่งกันแล้วก็มีกิเลสเข้าไปปรุงกันใหญ่นั้นเรียกว่าฝัน พอไม่มีกิเลสแล้ว อย่างพระอรหันต์ท่านไม่เรียกฝัน แต่มีเรื่องราว ปรุงแต่งเป็นเรื่องราว ซึ่งเรื่องราวเหล่านั้นก็เป็นธรรมะเป็นเหตุเป็นผล เป็นนิมิตเป็นเครื่องหมาย มีความเข้าใจ สังเคราะห์สังขาร ชนิดที่ไม่ได้เป็นรสของโลกๆที่จะต้องมีรสอร่อยรสสนุกแบบรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส มีอัสสาทะ มันไม่มี 

มันก็เป็นการปรุงแต่งตามจริงของมัน มีความรู้มีความหมาย ก็มี 2 ชนิด 

ชนิดปรุงแต่งเป็นธรรมชาติ กับชนิดสะกดจิตไม่ให้ทำงาน ที่จริงมันทำงานได้ แต่พวกหลับตาสะกดจิต สะกดจิตไว้ สะกดจิตตัวเองให้ไม่เอาสัญญามารับรู้ มาปรุงแต่งอะไร ซึ่งไม่ใช่มันไม่ปรุงแต่งนะ มันไม่หยุดปรุงแต่งหรอกสำหรับพลังงานสังขาร มันก็ปรุงแต่งอยู่ แต่ตัวเองไปดับสัญญาดับการกำหนดรู้ ดับความรู้สึกดับเวทนา มันก็เลยไม่รู้จักสังขาร โง่เองเป็นวิธีของเดียรถีย์นั่งหลับตาสะกดจิต ดับสัญญาดับเวทนาก็เลยไม่รู้ว่าตัวเองปรุง มันก็เลยสะดวกใหญ่ไม่มีอะไรไปควบคุมไม่มีสติสัมปชัญญะมันก็ปรุงหนักเข้าไปใหญ่ มันยิ่งหนักกิเลสยิ่งได้โอกาส 

สู่แดนธรรม... พอดีผมนึกถึงที่พ่อท่านเคยตอบพวกเรา ที่ไปสร้างชุมชนอยู่ไกลๆพอสมควรแล้วไปมีปัญหากับชาวบ้าน ชาวบ้านก็ไม่ยอม เขาไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร ก็แสดงออกไปประท้วงกับชาวบ้าน เอาโซ่รัดตัวเอง แล้วไปประท้วงกับชาวบ้าน ชาวบ้านก็รับไม่ได้ เขาก็บอกว่าตัวเองทำไปโดยไม่รู้ตัวที่เอาโซ่ไปรัดตัวเองไปประชุมกับชาวบ้าน 

พ่อครูว่า... ถ้าคุณบอกว่าคุณทำไปโดยไม่รู้ตัวนั่นแหละมันเป็นกิเลสที่หยาบมาก ในขณะลืมตาตื่นแล้วทำอะไรแบบไม่รู้ตัว มันเป็นกิเลสที่มากแบบใดครับ 

พ่อครูว่า... คนเราโมโหจัด เคยเห็นไหม แม้ตัวเองไม่เคยทำ แต่จะมีคนอื่นทำให้เห็น ไม่รู้ตัวหรอกเหมือนผีเข้าสิง โมโหจัด ทำอะไรรุนแรงเลอะเทอะ บางทีกิเลสราคะจัด ไม่มีบันยะบันยัง โลภจัด จนกระทั่งต้องแย่งชิงเข่นฆ่าคนอื่น ซึ่งมันมีอำนาจของกิเลสนี้จริง 

เพราะฉะนั้นมันจึงต้องสร้างพลังงานที่ไป 1. รู้ว่ากรรมกิริยาหรืออารมณ์โกรธ อารมณ์ความโลภ อารมณ์ราคะเป็นอย่างไร ก็อย่าให้มันเป็นตัวนี้แหละ อย่าให้มันเป็นราคะ อย่าให้เป็นโทสะ  อย่าให้เป็นโมหะ ให้มันเบาลง  ให้มันอ่อนลง 

คนไม่ปฏิบัติธรรมก็มีความรู้มีสำนึกมีความเข้าใจอันนี้เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว และได้ป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นมาขายขี้หน้า คนแสดงความโลภจัดออกมาต่อหน้าใครมันน่าเกลียด โทสะก็ตาม ราคะก็ตาม

ยิ่งราคะหรือโทสะนี้ง่าย มันโกรธแล้วแสดงออกมามันน่าอายก็เลยต้องควบคุมบังคับ ควบคุมได้เท่าไหร่ก็สุดวิสัยแสดงออกเท่านั้น ควบคุมได้น้อยก็แสดงออกเลย ฝึกปรือกดข่มไว้ก็แสดงออกไม่แรง แต่ของพุทธฝึกฝนนั้นไม่ต้องไปกดข่ม 

ต้องเรียนรู้ด้วยปัญญาจริงๆไม่ได้ไปข่ม กดข่มมันไม่รู้แล้ว ยิ่งกดข่มมันจะถึงจุดระเบิดได้ เพราะฉะนั้นก็เลยกลายเป็นคนไม่มีสติไม่มีอะไรยับยั้ง ระเบิดออกมานั่นแหละคือคนหน้ามืด โทสะมากก็หน้ามืด ราคะหนักก็หน้ามืด โลภะหนักก็หน้ามืด 

พระพุทธเจ้าบอกว่ากดข่ม ไม่รู้แล้วมันสะสมก็จะระเบิด เรื่องของเรื่องคือมีกิเลสราคะโทสะโมหะนี่แหละคือตัวเหตุ ต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ว่าถ้าไปมีพลังงานอย่างนี้มันโง่ โง่ๆๆๆ พลังปัญญาจะมีอำนาจแห่งความรู้ธาตุรู้ที่มีพลังจริงๆ 

พลังรู้แล้วมีอำนาจลดพลังราคะโลภะโทสะ เป็นสัจจะที่พระพุทธเจ้าค้นพบ เมื่อเกิดปัญญาได้ปัญญาก็จะกำราบ ลดโทสะ ด้วยความรู้ว่าอย่าโง่นะ เพราะฉะนั้นความโง่หรืออวิชชาก็ยอมแพ้ไปตามสัจจะ ปัญญาจึงเป็นธาตุรู้ที่ยิ่งใหญ่ 

สายเทวนิยม สายเรียนรู้แบบหลับตาวิธีเทวนิยมทั้งหลาย ไม่มีปัญญาเกิดได้หรอก ธาตุรู้ที่เป็นโลกุตระที่เรียกว่าปัญญา ปัญญา 8 ที่อาตมากำลังเขียนอยู่ยังไม่จบนี่แหละ ละเอียดลออชัดเจน ยิ่งเขียนยิ่งเห็นชัดเจนว่า ธาตุรู้เป็นปัญญาที่ตรัสรู้โดยพระพุทธเจ้า แล้วคนก็เอาคำว่าปัญญาไปเรียกกันเลอะเทอะ ซึ่งแท้จริงมันมีไม่ได้ง่ายๆหรอก แม้แต่ ข้อ 1 ไปจนถึงข้อ 8 ในปัญญา 8 มีเองไม่ได้ ต้องได้รับการเรียนรู้จากพระพุทธเจ้า  จากสัตบุรุษจากครูที่สัมมาทิฏฐิ 

ฟังแล้วก็เรียนรู้ซ้ำตามปัญญาข้อที่ 2 ต้องไปไต่ถาม เอาไปปฏิบัติเกิดข้อสงสัยก็ไปไต่ถาม ให้พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จึงจะมีปัญญารู้ว่ากิเลสมันลดลง กิเลสมันดับลงไป จิตมันสะอาดมันสงบ สงบเพราะกิเลสลดลง กิเลสมันตาย ไม่ใช่ลดธรรมดา แต่กิเลสมันตายจริงๆ มันถูกทำลายตัวตนของกิเลสลงไป จิตใจก็เลยสงบแบบลดตัวตนและตัวตน ถูกพลังปัญญากำจัดออกไป เป็นความสงบอีกแบบนึง ต่างกับความสงบที่เป็นีบบโลกีย์

ปัญญาข้อที่ 3 จึงได้รู้จักความสงบ 2 อย่าง คนเรียนรู้แบบโลกียะธรรมดาก็บอกว่ามีความสงบ 2 อย่างเขาไม่รู้หรอกว่ามีความสงบ 2 อย่าง อย่างที่เป็นโลกุตระเป็นอย่างไร สายอาจารย์มั่น สายมหาบัว สายนั่งหลับตา แม้แต่เถรสมาคมก็เถอะ ไม่ใช่จะมีปัญญาข้อที่ 3 นี้ได้ง่ายๆ จะรู้ว่ากิเลสลดเป็นความสงบ ลดจากราคะก็สงบ ลดจากโทสะก็สงบ 

สงบเพราะว่าลดละกิเลสจริงๆ กับสงบเพราะกดข่มกิเลส 

สงบแบบโลกุตระนั้นลดไฟกิเลสให้ตายไปได้จริง กับสงบแบบสะกดมันไว้มันก็ยิ่งดิ้นมากสักวันมันก็ระเบิด ไม่ได้เข้าใจอย่างนี้หรอก 

ไปเข้าใจกายสงบจิตสงบ กายสงบก็คือ บังคับไม่ให้ร่างกายกระดุกกระดิก กายคือร่างสรีระเคลื่อนไหวกายวิญญัติ ทำให้กายไม่กระดุกกระดิก นี่คือกายสงบแบบมิจฉาทิฏฐิ เดียรถีย์ ไม่ใช่ปัญญา ได้แค่นี้ แล้วเขาพยายามสะกดจิตให้จิตนิ่งอย่าไปรับรู้สัญญา เวทนาเห็นไหมความสงบแบบเดียรถีย์เป็นอย่างนี้ 

ส่วนความสงบของพระพุทธเจ้านั้น กายยิ่งแคล่วคล่องว่องไว กิเลสยิ่งตาย กายยิ่งคล่องแคล่วเป็น กายปาคุญญตา กิเลสสงบอีก จิตก็ยิ่งแคล่วคล่อง กายก็ยิ่งแคล่วคล่อง ไม่ใช่หมายความว่าไม่กระดุกกระดิก หยุดไปหมด กายภายนอกก็ไม่กระดุกกระดิก จิตก็ไม่นึกคิด ไม่มีสัญญา ไม่มีเวทนาก็คือสงบ ซึ่งมันคนละเรื่องกันเลย 

ฟังเข้าใจพอแยกกันออกชัดขึ้นไหม นี่คือปัญญาข้อที่ 3 เป็นความสงบ 2 อย่าง ไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ ไม่ใช่จะเข้าใจได้ง่ายๆ มันเป็นโลกุตระแล้ว 

ข้อ 1 ข้อ 2 ต้องฟังถ่ายทอดจากผู้มีโลกุตระแท้ ข้อ 1 นั้นโดยตรงจากของพระพุทธเจ้าเลย แล้วยังต้องเข้าไปถามพระพุทธเจ้าอีกในข้อที่ 2 หรือผู้รู้ไม่มีแล้วพระพุทธเจ้า มีสัตบุรุษ ผู้รู้ที่สัมมาทิฏฐิอย่างมีอยู่ในยุคนี้ โพธิรักษ์อย่างนี้ ก็ต้องเข้ามาถาม ต้องเข้ามาศึกษาจากโพธิรักษ์ ก็มีอยู่เท่านี้ เพราะมันไม่รู้จักค่าของความเป็นโลกุตระ โลกุตระมันหมดไปแล้ว ตามพระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อาณิสูตร เหลือกลองอานกะที่มันเปลี่ยนแปลงไปแล้วในครึ่งศตวรรษของพุทธกัปของพระพุทธเจ้ามันก็จริงที่สุดตามพระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ทั้งนั้น 

ผู้ที่เข้มาหาสัตบุรุษ มาฟังธรรมะไตร่ถามอย่างพวกเราทำ ก็เห็นความสำคัญเรื่องของการฟังธรรม โดยฟังธรรมจากสัตบุรุษมันเป็นลาภอย่างยิ่งของชีวิต คนที่รู้ค่ารู้สาระ จะต้องพยายามเข้ามาในชีวิตนี้ ผู้ที่ไม่รู้ค่าเห็นอย่างอื่นสำคัญกว่า เขาก็ยังอยู่กับลาภยศสรรเสริญโลกียสุขไป เห็นโลกโลกีย์ มีครอบครัว มีคณะบริวารอะไรที่สำคัญ เขาก็ไป 

แต่คนเห็นว่าเกิดมาทำแบบนั้นมันทำมาไม่รู้กี่ล้านชาติแล้ว เกิดมาแสวงหา คลุกคลีอยู่กับโลกที่เขาพากันทำ มันน่าเบื่อ เพราะฉะนั้นพวกคุณนี้ชัดเจนว่าโลกียะไม่เอา จึงมาทางนี้เลย แล้วก็ชัดเจนว่า คนที่ถูกโลกครอบงำ ยังมีจะเรียกว่าบารมีก็ไม่เชิง คือยังมีโอกาสจะต้องรวย จะต้องมียศฐาบรรดาศักดิ์ ต้องอะไรต่ออะไรอยู่ มีโลกธรรม ติดอยู่อย่างนั้น ยิ่งยศสูงๆร่ำรวยก็ยิ่งยาก 

ชาวอโศกเห็นได้เลยว่า มีนายพลได้แค่ พลตรีจำลองศรีเมือง นอกนั้นนายพันก็หายากอยู่แล้ว เท่านี้ หรือคนระดับชั้นปริญญาเอก ระดับชั้นซี 8 ซี 9 ซี 10 ไม่มาหรอก รวยก็ไม่มา ยศสูงก็ไม่มา มากันอย่างพวกคุณนี่แหละ มันสมคล้อยว่า โพธิรักษ์ได้ลูกศิษย์ลูกหาแค่นี้หรือ นายพลมีหรือ ปริญญาเอกมีหรือ ซี 9 ซี 8 ซี 10  ไม่มีหรือ?  ไม่มีหรอก มีแต่พวกกระจอกๆ พวกนี้แหละ น่าสงสารเนาะ อาภัพอัตภาพ 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สู่แดนธรรม... เขาสอนกันว่า อรหันต์จะไม่สะดุ้งตกใจกลัว เขาว่ายังมีความกลัวตายอยู่ 

พ่อครูว่า... สติ สัญญา กำหนดจดจ่อ กับเรื่องนี้ เป็น concentrate คนที่พยายามจะมากระตุก หรือมีอะไรทำให้เปลี่ยนแปลงจากนี้ไป พลังงานมันรวมอยู่ตรงนี้เพลินไปมันก็สะดุด มันก็เป็นธรรมชาติธรรมดา สะดุดได้ สะดุ้งได้แต่เขาเข้าใจหยาบๆ 

 

_ปะตรงเตือน : ดิฉันได้เห็นว่าแต่ก่อนชีวิตที่มีความทุกข์ร้อนใจ เพราะ ตนเองตกอยู่ในห้วงของอารมณ์ จมอยู่ในความคิด ดิ่งไปกับการเพ่งโทษถือสา โทษคนอื่นไม่เคยโทษตนเอง เมื่อตั้งใจถือศีลและใช้ชีวิตอยู่กับหมู่กลุ่ม เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นสอนให้รู้ว่า สิ่งเลวร้ายมันไม่ได้อยู่ที่คนอื่นเลย ปัญหามันอยู่ที่กรรมของเราเองแท้ ๆ จึงได้เห็นความสำคัญของการปฏิบัติศีลและทำอธิศีล จัดสรรเวลาทำงานส่วนตัวและงานส่วนรวม เคลื่อนกายไปกับขบวนการกลุ่ม เป็นการแก้กรรมของตน ถือศีลอยู่แต่กับตัวเอง ไม่ได้แก้กรรมเท่าถือศีลและเคลื่อนตัวไปกับกระบวนการองค์รวมค่ะ

พ่อครูว่า... อันนี้จริงที่สุด พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า การอยู่กับหมู่มิตรสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของศาสนา ไปอยู่คนเดียวปลีกตัวนั้นมันผิด ไม่ใช่ศาสนาพุทธเลย แค่นี้ถ้าเข้าใจแล้ว จะไม่หนีไปออกป่าไปนั่งหลับตาอยู่ผู้เดียวหรอก ถ้าเข้าใจแค่นี้นะ 

แต่ทำไมมันถึงยากเย็นนัก ถึงยิ่งเห็นเลยว่า โลกุตรธรรมในความเป็นสัจธรรมของพระพุทธเจ้านี้ มันไม่ง่ายเลย โพธิรักษ์สู้ๆ 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน แจกอาหารเนื้อสัตว์ให้คนกินเป็นบาปไหม

_คุณมะลิ : ดิฉันทำงานด้านอาสาสมัครสาธารณสุข คอยประสานงานกับคุณหมอและคุณพยาบาล แจกยา และถุงยังชีพ เพื่อช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในระดับชุมชนค่ะ ช่วงที่วิกฤต คนตกงาน ขาดแคลนอาหารกันมาก ฯลฯ  ได้มีกลุ่มนักธุกิจมีใจเป็นกุศล  ร่วมตัวกันทำข้าวกล่องที่ไม่ใช่มังสวิรัติ มาฝากให้ช่วยแจกจ่ายประชาชนที่เดือดร้อนจำนวนเป็นพันกล่องค่ะ (เขามีเหตุจำเป็นที่ไม่สะดวกมาแจกด้วยตัวเอง) 

มีญาติธรรมในวัดตำหนิ ดิฉันว่า ตัวเองก็กินมังสวิรัติ ทำไมไปแจกอาหารที่มีเนื้อสัตว์ล่ะ ไม่กลัวบาปหรือ? ในสถานการณ์เช่นนี้ดิฉันควรทำอย่างไร  ดิฉันจะบาปมากมั้ยคะ 

พ่อครูว่า...ไม่บาปหรอก เพราะคนยังกินเนื้อสัตว์เขาก็รับเนื้อสัตว์ เราก็แจก เขาเอามาให้เรา แต่เราไม่ได้ไปขวนขวายหามา คนอื่นเขาไม่มีเรี่ยวแรงแจก ไม่มีเวลาแจก เอามาให้เราแจกแล้วก็แจกช่วยเขาไป นานๆทีมีหนอะไรพวกนี้ ก็ช่วยกันไปเท่านั้น  ไม่บาปอะไรหรอก ได้กุศลด้วยช่วยทำไป 

เพราะคนกินมังสวิรัติแล้ว คุณมีเนื้อสัตว์มาแจก เขาก็จะไปเอาทำไม เพราะเขาไม่ได้กินเนื้อสัตว์ ส่วนคนที่ยังกินเนื้อสัตว์อยู่ เขาถึงจะเอา ก็เผื่อแผ่เกื้อกูลได้กว้างขึ้น เอื้อมเอื้อเกื้อกว้างได้มากขึ้น

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน สร้างอาหารให้กับโลก

พ่อครูว่า... เทศน์หัวข้อเรื่อง “สร้างอาหารให้กับโลก”

อาตมาก็สรุปลงไปที่ว่า “คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ” ทุบหัวพวกสร้างอาวุธนี้ ทุบหัวพวกนี้บ้าง คนฉลาดสร้างอาหารจริงๆ คนโง่เง่าชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธมาฆ่าแกงกัน แล้วเขาก็ไม่สำนึกหรอก ไม่เข้าใจว่ากรรมวิบากเป็นอย่างไร เขาสร้างพวกนี้มันเป็นกรรมวิบากอย่างเลวร้าย คนคิดวิธีการสร้างอาวุธ 

ตั้งแต่สร้างหนังสติ๊ก วิบากแล้ว คนคิดสร้างหนังสติ๊กไปยิงสัตว์ เขาไม่สร้างหนังสติ๊กไว้ยิงผลไม้หรอก สร้างหนังสติ๊กเพื่อไปยิงสัตว์ก็บาปแล้วคนนี้ 

สร้างลูกดอกเอาไว้เป่าไปยิงสัตว์ สร้างอาวุธมาฆ่าคนเลย สร้างอาวุธไม่ได้เจตนาจะฆ่าสัตว์นะ หลักๆที่เขาสร้างอาวุธเจตนาจะเอามาฆ่าคน เป็นจิตที่ต่ำช้ามาก จิตที่เลวร้ายมาก ยิ่งสร้างให้มันมีอำนาจมีประสิทธิภาพ วิเศษเก่งเท่าไรก็บาปกินหัวมากเท่านั้น อย่างเช่น คิม จองอึน ไม่รู้จะทำอย่างไร คิดอ่านจะสร้างอาวุธไปตามวิถีชีวิตเขา มันเป็นความจำเป็นของเขาอย่างที่เขาจะต้องป้องกันตัวเองเขาเพราะเขาเหลือหมู่น้อยแล้ว ประเทศเดียว ที่เป็นคอมมิวนิสต์จริงๆ ก็เหลือเกาหลีเหนือประเทศเดียว นอกนั้นประเทศอื่นเขาก็คลายตัวหมดแล้ว เข้าใจแล้วว่ามันไปไม่รอดหรอก มันซับซ้อนสุด 

ชาวอโศกเป็นคอมมิวนิสต์มั้ย .. เป็น.. ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นคอมมิวนิสต์ 100% เป็นพ่อของคอมมิวนิสต์ทั้งหลาย ชาวอโศกนี่ รวมกลุ่มกันเป็นหนึ่งเดียวไง แล้วก็เอาทรัพย์หรือรายได้เป็นตัววัดค่า ถ้าเอารายได้เข้ามากองกลางได้มากเท่าไหร่คือคอมมิวนิสต์ ตั้งกลุ่มออกกฎหมายสร้างวิธีการให้เสียภาษี ให้เข้ากองกลางให้มากที่สุด นั่นเป็นประเด็นหลัก เขาจะได้เงินเข้ากองกลางมาบริหารมากขึ้น สะดวกขึ้น ดีขึ้น มันเป็นวิธีแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ 

แต่เขาไปแก้ปัญหาด้วยวิธีการบังคับ กดข่มกันด้วยกฎหมาย มันไม่จบ อย่างพวกเรา ไม่ได้ถูกบังคับด้วยกฎหมาย แต่เรียนรู้ด้วยปัญญา แล้วรู้ว่าไปหวงแหนทำไม คุณกินใช้ตัวเองเท่าไหร่กันเชียว เราทำงานเหลือกินเหลือใช้ เกินกินเกินใช้ก็เอามารวมกันแบ่งปัน จะได้เผื่อแผ่คนที่ตกยาก คนแก่ เด็ก ที่ช่วยตัวเองไม่ได้ คนป่วย คนพิการ คนประสาทเสีย ก็ได้ช่วยกัน มันมีอีกสำหรับคนขี้เกียจและขี้โกง มันก็กินอยู่ในนี้ ก็ต้องทำขึ้นมา จะได้กินได้ใช้กัน 

ในชีวิตคนนี่นะ เอาพลังงานที่จะไปสร้างอาวุธยุทธภัณฑ์ มาสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารกัน ให้มันมีเยอะและมีคุณภาพดีมากขึ้น สังคมก็มีกิน ชีวิตก็อยู่รอด ก็แจกไปเรื่อยๆ เกื้อกว้างไป ทุกวันนี้คมนาคมง่ายขึ้น อีกหน่อยเอาใส่โดรนไปแจกให้เขา ใส่รหัสให้มันสั่งการเข้าไปแจกจ่ายตามย่านต่างๆ ทั่วโลก นี่ก็พูดเพ้อๆฝันๆไป ถ้าทำได้อย่างนั้นโลกนั้นแสนสุขขเลย 

คนมันมีข้อจำกัดเหมือนกัน บางภูมิประเทศสร้างอะไรไม่ได้ เช่น ขั้วโลกเหนือ เอาโดรนใส่พืชพันธุ์ธัญญาหารไปแจก เขามีแต่เนื้อสัตว์ให้กิน เราก็เอาพืชผักไปให้กิน อายุเขาก็สั้นอายุแค่ 40 กว่าปีก็ตาย แล้ว 25 ปีนี้คือโดยเฉลี่ย คนขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้ 

แล้วคนที่จะไปเกิดตกอยู่ในพื้นที่นั้นก็มีวิบากหนัก กับพวกที่เกิดในทะเลทรายอยู่ในแอฟริกา อยู่ในแดนร้อนๆ มันก็เป็นวิบากของเขา ก็ต้องไปเกิดต้องไปตกอยู่ในถิ่นนั้น ไปไหนก็ไม่ได้ อย่างพวกเราเกิดอยู่ในถิ่นนี้ ไปไหนได้ก็ไม่ไป มันรู้แล้วว่ามันดีกว่า บางคนไปเหมือนกัน ท่องเที่ยวไป เสร็จแล้วก็สู้เมืองไทยไม่ได้ อีกหลายประเทศก็มีภูมิประเทศคล้ายๆกันนี้ เป็นดินแดนที่น่าอยู่ 

สรุปแล้วชีวิตของเราเกิดมา กิน ใช้ จนกระทั่งมีเครื่องใช้ เครื่องประกอบ เป็นคอมพิวเตอร์ อะไรต่างๆ ซึ่งมากเกินไปแล้ว คอมพิวเตอร์เทคโนโลยีเหล่านี้ยิ่งสร้างให้มากอีกเท่าไหร่ก็ยิ่งการเกิดการแก่งแย่งให้ได้เปรียบเสียเปรียบ เพราะฉะนั้นสร้างเก่งในทางอุตสาหกรรม ไม่ช่วยให้สังคมสงบได้ ให้มาเก่งทางสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารให้มาก แล้วอย่าหวงแหน อย่าขี้เหนียว เผื่อแผ่แจกจ่ายออกไป โลกจะอยู่เย็นเป็นสุขและสงบอบอุ่นกันมากกว่า สร้างเทคโนโลยี ทุกวันนี้ยิ่งแข่งกัน 

ต่อไปจะเห็นชัด เทคโนโลยีทางอุตสาหกรรม มันไม่ได้ช่วยให้ความสงบในแนวลึก ไม่ได้สงบเท่า มันดูเหมือนสงบนะ สร้างอาวุธมาขู่กัน สร้างเครื่องไม้เครื่องมือ จนกระทั่งสงบคืออะไร ทุกคนก็จดจ้องอยู่ตรงนี้ วันๆก็อยู่แต่ตรงนี้ เสียแรงงาน เสียกายกิริยา วจีกิริยา ที่จะเอาไปทำประโยชน์แก่มวลชน ก็ได้แต่กดอยู่ตรงนี้ มีแต่ชิบหายกับชิบหาย เสียเวลาให้มันไปตรงนี้ 

เอาละ อาจจะใช้ประโยชน์จากการกดนี้บ้าง แต่ถ้าเอาพลังงานเอาแต่กดๆๆๆ  ส่งสื่อสารกันเท่านั้น กับการมาสร้างผลหมากรากไม้พืชพันธุ์ธัญญาหารให้มันเยอะแล้วก็ไล่แจกกัน อันไหนมันจะทำให้มนุษยชาติเป็นอยู่ได้ดีกว่ากัน เด็กๆตอบได้ไหม .... สร้างอันไหนจะมีประโยชน์คุณค่ามากกว่ากัน
สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารกับสร้างเทคโนโลยีเครื่องอุตสาหกรรม...เด็กตอบว่าสร้างอาหารให้กับโลกเนี่ย เจริญกว่า 

มันไม่ยากหรอกง่ายๆชัดๆ แต่เขาไม่เข้าใจกันไม่มีปัญญา ไปหลงเทคโนโลยี รู้สึกว่าเราได้ใช้ความเฉลียวฉลาดมาสร้าง ไอ้นี่มันทำปลูกแล้วมันก็เกิดขึ้นมา ไม่เห็นจะต้องฉลาดอะไรมากมายเลย เห็นไหมคนเรามันหลง ที่จริงมันไม่ฉลาดหรอก มันโง่ลง จริงๆแล้วมันโง่ลง ซับซ้อน 

สู่แดนธรรม... วิสัยทัศน์พวกนี้ต่างประเทศเขาก็คิดขึ้นมา ในหนังเรื่องหนึ่งชื่อ มหาชี เป็นมหาเศรษฐีระดับ CEO พันล้านมากถ้าชาวบ้านทำงาน แต่หนังยาว ตั้ง 3 ชั่วโมง 

พ่อครูว่า... คนก็เข้าใจกันไป สร้างหนังอะไรมาจากความเข้าใจโลก แต่มันก็ได้เป็นปลีกย่อย ไม่ได้มารวมลงที่จุดสำคัญ ว่าชีวิตจริงๆมันจะไปมีเรื่องมากอะไรนัก มันก็เลยเป็นเรื่องใหญ่ ที่จริงแล้วชีวิตเป็นเรื่องน้อยเป็นเรื่องง่ายๆ ยิ่งกว่ายอดหญ้า สบาย ไม่มีอะไรมากหรอก อย่างพวกเราเข้าใจไม่มีอะไร วันๆ... ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด  ผ้าขาดมีคนช่วยชุน  

สบาย ถามจริงๆเถอะ ใครคิดอยากจะออกไปจากหมู่กลุ่มวัฒนธรรมแบบนี้บ้างยกมือ...ไม่กล้าสิ อาย บางคนอาจจะอยากออกจนใจจะขาด แต่มาอาย

เด็กๆเขายัง innocent ยังไม่เข้าใจก็เอาเถอะ แต่คนผ่านชีวิตอายุ 40 50 60 ปีขึ้น เท่านั้นแหละ ไอ้ชีวิตไปดิ้นรนน่ะ เป็นแต่เพียงว่าวาสนาบารมีของโลกุตรธรรม ที่อาตมาพาทำ มันยังไม่อยู่ในระดับสูง มันยังอาภัพพะอยู่ ก็ได้ขนาดนี้แหละ 

เพราะฉะนั้นคนที่พอรู้ ที่จริงมันสลับซับซ้อน คนที่รู้จักทุกข์แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องไปรวยมากแล้วถึงจะทุกข์ ไม่ต้องมียศศักดิ์มากถึงจะทุกข์ มีแค่นี้ แค่รวยอย่างพวกคุณได้ขนาดนี้เห็นทุกข์แล้ว ก็แย่งชิงกัน มียศศักดิ์ฐานะระดับสังคม ขนาดพวกคุณนี่แหละ เห็นทุกข์แล้ว มา 

เพราะฉะนั้นยิ่งกลับกัน พวกคุณนี้เห็นทุกข์ไว แสดงถึงการมีบารมีชั้นสูง พวกที่มีทุกข์อยู่ทาง ลาภก็เยอะ แบกไว้ภาระตำแหน่งยศศักดิ์ไว้เยอะสูง แบกภาระ ไม่รู้ตัว นั่นแหละพวกนั้นยังหยาบหนา พวกคุณนี้บางเบา 

เพราะฉะนั้นสรุปจริงๆโดยสัจจะ ผู้ที่มาอโศกนี้มีบารมีทั้งนั้น ไม่ต้องไป โอ้โห ต้องทรมานอยู่ทางโน้นเยอะแยะ หนักหนามากมาย จึงจะรู้ตัว แค่นั้น บอกว่า ไม่เอาแล้วมา เพราะฉะนั้นคนมีบารมีจึงมีจำนวนน้อย เป็นธรรมดาธรรมชาติ มีจำนวนน้อย ก็ได้ขนาดนี้ 

ตีหัวเข้าบ้าน เหลืออีก 10 นาทีก็คือ คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ 

นี่เป็นเรื่องทุบหัวของสัจธรรม พูดออกไป ให้เขาได้ยินได้ฟัง แม้เป็นภาษาไทย คนต่างชาติไม่ค่อยรู้ เพราะไม่ค่อยมีคนแปลภาษาโพธิรักษ์ออกไปเท่าไหร่ เขาก็เลยไม่เห็นความสำคัญ ก็ไม่เป็นไร อาตมาก็พูดอยู่ในวง ผู้ใดแสวงหาพากเพียร มีบารมีได้มารับฟังรับรู้ก็ดี 

แล้วก็พยายามเรียนรู้ตาม ค้นคว้าตาม ก็จะเห็นจริงเห็นจังว่าชีวิต ถ้าคนไทยเท่านี้แหละ คนไทยประเทศไทยเท่านี้แหละ ประชากรของคนไทย เข้าใจว่าอาชีพมาสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารเป็นสิ่งประเสริฐที่สุดในชีวิต ชีวิตของกสิกร มาสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารนี้ เป็นชีวิตประเสริฐเลิศยอด ชีวิตที่ไปคิดสร้างอาวุธยุทธภัณฑ์ได้เก่งกาจขนาดไหน เลวยอด 

นี่แยกดำแยกขาวให้ฟังอย่างชัดที่สุดแล้ว 

โลกยุคนี้ถึง 2500 ปีกว่าของศาสนาพุทธ โลกข้างนอกเขายังไม่เข้าใจ แม้แต่คนไทยที่เป็นชาวพุทธก็ยังเข้าใจได้ยาก เพราะฉะนั้นยิ่งเป็นคนไทยศาสนาอื่นไม่ต้องห่วงหรอก เขายังยาก เขายังรุนแรงกันอยู่อย่างนั้น 

มาเป็นชาวพุทธแล้วถึงจะเบาบางลงจริงๆ แล้วก็หมดตัวหมดตน แม้ที่สุดคนทำร้ายเราเราก็ไม่ตอบ คนทำร้ายเราเราก็ไม่โกรธเคือง ไม่ตอบโต้ คิดเสียว่ามันเป็นวิบากของเรา เราก็หลีกเลี่ยงเอา อย่าให้ใครมาทำร้ายเรามัน ก็ไม่ดี ใครมาทำร้ายเรามันก็ไม่ดี ยิ่งเราไม่ทำร้ายใครแล้วใครมาทำร้ายเรายิ่งเป็นความซับซ้อน ยิ่งเป็นความไม่ดีมาก 

คนที่ไปทำร้ายพระอรหันต์ พระอรหันต์ท่านไม่ทำร้ายใคร มันก็ต้องบาปมากเป็นธรรมดา คนไปทำร้ายโจร โจรไปทำร้ายโจรด้วยกันมันก็บาปไม่เท่าไหร่ แต่คนไปทำร้ายพระอรหันต์ก็บาปมากกว่าไปทำร้ายโจรด้วยกัน เป็นธรรมดา ก็พูดแล้วก็คงไม่ยากอะไร เข้าใจได้ 

ถ้าประชาชนหรือมนุษยชาติ หันมาเข้าใจความจริงอันนี้ให้ชัดเจนเลยว่า ชีวิตผู้สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารเลี้ยงมนุษย์โลก เป็นอาชีพสุดยอดแล้ว 

แล้วก็มาผันชีวิตมา ผันมาเป็นชาวไร่ชาวนาชาวสวน สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารกัน เราดูรายการของ เปี๊ยก_ตายแน่ สัมภาษณ์คนที่หันเหจากชีวิตที่เคยเป็นข้าราชการ เคยเป็นนักธุรกิจ เคยเป็นลูกจ้างนายทุน ที่หลงลาภยศสรรเสริญโลกียสุขหันเหมาสุดท้ายก็มาทำอย่างนี้ มาทำกสิกรรม มันก็มีความสุขกว่า สัมภาษณ์ออกมาแต่ละคนๆ 

บางคนไปใช้เวลาอยู่ทางโลกนานจนปลดเกษียณจึงรู้สึก บางคนรู้ทันก่อน 

สู่แดนธรรม... เด็กๆรู้จักไหมเขาชื่ออาเปี๊ยก ชื่อตายแน่  นามสกุล  มุ่งมาจน เป็นพิธีกรรายการถึงสื่อถึงคน รายการก้าวตามพ่อ เขาคนเดียวทำงานเป็นทีมงาน 

พ่อครูว่า... หลายคนเขาไม่ได้ฟังธรรมะอาตมาหรอก หลายคน แต่มีบ้างฟังตามรายการของเปี๊ยกนี่แหละ เขาก็เปลี่ยนผันชีวิตมาได้ ไม่เอาแล้วเป็นข้าราชการ เป็นนักธุรกิจทางโลก ก็มาสร้างป่าสร้างพืชผัก มีที่ดินของพ่อของแม่เท่านี้ก็มาทำ มันเป็นสุขมันสบาย ตามดูสิ เป็นสัจจะที่มีคนกลุ่มหนึ่งที่รู้สึกตื่นตัว (ดีง่ายว่า จากมนุษย์เงินเดือน มาเป็นมนุษย์ไส้เดือน ทำให้ดินดีขึ้น) 

พ่อครูว่า... จริงนะ คนจะได้คิดแบบนี้ มีปฏิภาณปัญญารู้แบบนี้ มันเป็นโลกุตระจริงๆ มันเป็นเรื่องเหนือชั้น เหนือชั้นกว่าคนสามัญธรรมดาทั่วไปที่เป็นเทวนิยมโลกียะ ไม่รู้ได้ง่ายๆไม่สำนึกได้ง่ายๆ 

เพราะฉะนั้นคนที่สำนึกมาทางนี้ มันคือธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นโลกุตระ มันเป็นทางออกที่สงบ มีประโยชน์ หมดโทษหมดภัย เป็นชีวิตที่ประเสริฐจริงๆ อาตมาก็ไม่รู้จะสรุปอย่างไร 

มันก็น่าสงสารคนไปหลับตาไปเป็นเดียรถีย์ออกนอกทางพระพุทธเจ้า แสวงบุญออกนอกขอบเขต เลยไม่เกิดบุญในจิตเลย 

บุญคือ พลังงานธาตุรู้ ที่กำจัด เผากิเลสได้จริง พวกนี้แสวงบุญไม่ได้บุญ เพราะแสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ ไม่เจอบุญหรอก ไปเจอแต่ของปลอม ไม่ได้บุญ อย่างดีก็ได้แต่กุศล ได้กุศลเท่านั้นไม่ได้บุญ ไม่ได้พลังงานที่จะมา สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ นี่คือคำแปลของคำว่า ปุญญะ หมายความว่า เป็นพลังงานที่กำจัดกิเลส ให้สะอาดบริสุทธิ์ ออกไปจากสันดาน ให้สันดานหมดจด สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ 

วิโสเทติ แปลว่าสะอาดบริสุทธิ์ ทุกวันนี้เขาเข้าใจคำว่าบุญก็ไม่ได้ ไปเข้าใจเป็นกุศลงวงไปหมดแล้ว จริงๆนะไม่ใช่อาตมาใส่ความ เขาเข้าใจบุญไม่ถูกเนื้อแท้สาระแท้ของคำว่าบุญ

สู่แดนธรรม...สรุปจบ


เวลาบันทึก 02 ธันวาคม 2564 ( 20:55:04 )

641112

รายละเอียด

641112_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ โฮมแฮงกันซัดหอกเพื่อฆ่าโจรทำลายศาสนา

https://www.boonniyom.net/51221.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/14RhVxrXLoiNr7WfS4lOLV0p8DVOWODqYkhAVmZyfyrg/edit?usp=sharing 

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1WPLFOZ6MCDgo1oRM1TRJINELF0cANKsN/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/9e6CzbOYSF/

และ https://youtu.be/e7ew-pTKNto 

 

สมณะเดินดิน... วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก เราเสร็จสิ้นงานมหาปวารณา จากนั้นก็จะเข้าสู่ งานเพื่อฟ้าดินตอนปีใหม่ ภาวะของโลกเริ่มเห็นการขาดแคลนอาหาร อัฟกานิสถานที่ตาลีบันเข้าไปยึดครอง มีความแห้งแล้ง ปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่ได้ องค์การสหประชาชาติบอกว่าอีกหน่อยคงเป็นนรกบนดิน อาหารก็ไม่มี ความหนาวเหน็บก็เข้ามา ในประเทศไทยเราก็มีน้ำท่วมกันบางแห่ง 2 รอบ น้ำท่วมของพวกเรายังมีเวลาเตรียมตัว แต่ของชาวบ้านร่วมแบบไม่ให้มีเวลาเก็บของเลย ท่วม 2 รอบด้วย ขณะเดียวกันสถานการณ์ covid ก็ยังอยู่ ม็อบต่างๆก็ยังอยู่  

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน สลายยางเหนียวของอัตภาพได้ด้วยวิชชาของพุทธ

พ่อครูว่า...  จำได้นะ.. “คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ” ก็เตือนกันไว้ มันไม่ใช่เรื่องพูดลอยลม ไม่ใช่พูดเล่น แต่มันเป็นสัจธรรม การสร้างอาวุธขึ้นมาฆ่ากันมันเลวร้ายมาก มันหยาบ มันเป็นอาวุธ เป็นเครื่องมือ เป็นวัตถุทางสสาร ทางดินน้ำไฟลมแท่งก้อน โลหะ เอามาผสมกัน ทั้งดินน้ำไฟลม เอามาทำเป็นอาวุธ เพื่อที่จะฆ่าแกงกัน มีฤทธิ์ มีอำนาจ มีประสิทธิภาพ ตูมลงไป คนเนี่ยถูกระเบิดเข้า จะกลายเป็นขี้เถ้าเลย ไม่เหลือซากให้เห็นเลย เขาเอาถึงขนาดนั้น ใจคอมันโหดเหี้ยมขนาด จริงๆเลยนะคน 

เขาไม่ได้สะดุด ไม่ได้ฉุกคิด ไม่ได้สำนึกเลย ซึ่งมันก็น่าเห็นใจ คนพวกนี้เขาไม่ได้เคยเรียนเรื่องกรรมวิบาก ไม่รู้จักจิตวิญญาณ มันเป็นอะไรอย่างไร มันจะต้องเกิด ต้องตาย จะต้องหมุนเวียน จะต้องรับกรรมวิบากอะไรต่ออะไรซับซ้อนอีกไม่รู้กี่ชาติ เป็นล้านๆชาติ 

เทวนิยมนับถือพระเจ้า เขาไม่ได้เรียน ไม่ได้รู้เลย  ไม่ประสีประสาน่าสงสาร Innocent ไม่รู้ไม่ชี้ ไม่เดียงสา ไม่เข้าใจเรื่องกรรมเรื่องวิบาก ก็ไม่ซาบซึ้งเรื่องความหมุนเวียนของจิตนิยาม ที่จะต้องเป็นอัตภาพเกิดแล้วเกิดอีก แล้วก็มีลีลา มีสิ่งต้องพบประสบอยู่ในแต่ละชาติแต่ละชาติ ยิ่งกว่านิยาย นิยายล้านๆๆๆ เรื่อง ก็คือคนทุกคน แต่ละคนมีนิยายแต่ละชาติแต่ละชาติ คนเดียวก็นิยายมากมายแล้ว แต่ละคน หลายขั้นหลายตอนหลายประสบการณ์ แล้วก็หลงในสุขบ้างทุกข์บ้าง กว่าจะมาได้เรียนสัจจะธรรมโลกุตระธรรมของพระพุทธเจ้า 

ถึงได้รู้ว่าจิตวิญญาณมันโง่ มันอวิชชา หลงในการยึดมั่นปรุงแต่ง ต้องได้อย่างนี้ต้องเป็นอย่างนี้ อย่างนี้เป็นสุขอย่างนี้เป็นทุกข์ จนกระทั่งมาบรรลุธรรมโลกุตระธรรมของพระพุทธเจ้า ถึงจะรู้ว่า อ๋อ.. สิ่งที่ได้เกิดมาเป็นอัตภาพแล้วนี่ มันมีอวิชชามา จนกว่าจะมาพบพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้ค้นพบความจริงสุดยอดว่า 

จิตวิญญาณหรืออัตภาพของแต่ละอัตภาพ แต่ละคน มันสามารถเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไป หมุนเวียน และที่สุดมันไม่ใช่ตัวตนจริง มันอนัตตา สามารถศึกษาจนกระทั่งทำให้จิตนิยามของเรานี้ สูญสลาย เลิกการจับตัวที่จะหมุนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ หมุนเวียนอยู่ในกาละของเอกภพของมหาจักรวาล เลิกเลยจิตนิยาม แยกเป็นดินน้ำไฟลมได้เลย 

ซึ่งไม่มีใคร ไม่มีศาสดาองค์ใดตรัสรู้จุดนี้ได้เลย มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้อันเดียวกัน มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นในมหาจักรวาลนี้ ในประดาศาสดาทั้งหลาย ก็มีศาสนาพุทธมีพระพุทธเจ้า ที่จะสามารถทำให้จิตของตนเองทำให้อัตตาของตนเอง วิญญาณของตนเองนี้ เลิกเป็นจิต เลิกเป็นวิญญาณ เลิกเป็นอัตตา สลายกลายเป็นดินน้ำไฟลมไปได้ จึงพิสูจน์ได้ว่า เทวนิยมล้างอัตตาไม่ได้ ทำลายวิญญาณไม่ได้ ผู้รู้สูงสุด ศาสดาทางเทวนิยมทุกองค์ยอมจำนน ว่าจิตวิญญาณเป็นอัตตานิรันดร เป็นอยู่ แล้วก็มีเจ้าแห่งวิญญาณใหญ่เรียกว่าพระเจ้า เรียกว่า พระเจ้าครอบครอง บงการสั่งการเป็นเจ้าของทุกจิตวิญญาณหมด จะเป็นอย่างไรต้องพระเจ้าเป็นผู้บัญชา เป็นผู้บงการ เป็นผู้ให้เป็น แล้วไม่มีสิ้นสุด 

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ล้มล้างความเชื่อนั้น ทำลายสูญได้ ไม่มีพระเจ้าเป็นเจ้าของจิตวิญญาณเรา เราเป็นเจ้าของจิตวิญญาณเราเอง เราสลายเป็นดินน้ำไฟลมไปได้เลย ตายแล้วไม่ต้องไปอยู่กับพระเจ้านิรันดรเลย ซึ่งเป็นสุดยอด 

มันสุดยอดตรงที่ว่า 1. ขั้นตอนแรกรู้จักความดีความชั่ว ตามเทวนิยมเขาก็เรียนความดีความชั่วที่เป็นสมมติสัจจะ ตามแต่ละกลุ่มหมู่สมมุติ  แต่ละยุคแต่ละกาละ มันไม่ได้เป็นของจริงอะไร แต่เราก็จะต้องทำตามยุคสมัย ทำดีอย่าทำชั่ว นั้นเป็นขั้นตอนหนึ่ง โลกียะก็จบแค่นี้ 

ส่วนโลกุตระของพระพุทธเจ้านั้นรู้ว่านอกจากดีชั่ว ยังติดยึดว่าเป็นจิตวิญญาณหมุนเวียนอยู่ในโลก ต้องเป็นโลกแห่งความดี เป็นโลกแห่งความชั่ว แต่มันไม่เที่ยงมันลืมหมุนเวียนอยู่เหมือนเดิม เกิดไปทีหนึ่ง มันก็ลืมของเก่า แล้วมันก็ทำชั่วทำดี ทำชั่วทำดี หมุนเวียนกันไป แม้แต่ในองค์ประกอบของยุคสมัย แต่ละถิ่นแต่ละที่แต่ละแดนแต่ละคน แต่ละสังคม มันก็สมมุติต่างกันอยู่แล้วดีชั่ว 

แต่สิ่งที่ไปยึดติดว่ามันมี แล้วก็มีสุขมีทุกข์ แล้วก็ไม่รู้ว่าจิตวิญญาณมันเป็นสังขารที่ปรุงแต่งกันอยู่เท่านั้น ถ้ามีวิชชารู้สังขาร มีสังขารแล้วก็มาเป็นวิญญาณ แยกศึกษาได้เป็นนามรูป พระพุทธเจ้าใช้นามรูปเป็นตัวสภาพ 2 ศึกษา เป็นอายตนะ เป็นเวทนา รู้เหตุแห่งเวทนา 

ไปสำคัญอยู่ที่เวทนา สุขทุกข์ หรือเป็นตัวต้องเกิดกิเลสตัณหา รวมตัวอยู่ในเวทนานี้ พระพุทธเจ้าถึงได้ให้เรียนนเวทนา แจกออกเป็นเวทนา 108 แยกให้เป็นอย่างที่ศาสดา เคหะสิตะะรู้ ก็จบแค่นั้น ส่วนของพระพุทธเจ้านั้นเป็นเนกขัมมะสิตะ เห็นได้ว่า มันมีเหตุ มีกิเลสเป็นตัวเหตุ ก็เอาเหตุออก เนกขัมมะ พ้นจากเหตุ จนสุดท้าย อรหันต์ มันหมดแล้วจากกิเลสตัวการที่มันผูกมันยึดเป็นอุปาทาน เป็นตัวยึดถือตัวตรึงตัวโง่ ทำให้มันเกิดอัตตา จัดการได้เลย 

สิ่งที่เป็นยางเหนียว เป็นอวิชชา เป็นความโง่ เมื่อจิตมันหมด หรือเมื่อจิตมันรู้ชัดแล้วแล้วทำให้จิตไม่ไปโง่ ไม่เป็นยางเหนียวที่ไปยึดติดกันอีก ก็สลายได้หมดเลย สลายได้จริงๆเลย ก็เป็นเรื่องอจินไตย เป็นเรื่องที่เทวนิยมเขาเชื่อไม่ได้หรอก เพราะมันเกินกว่าภูมิเขา 

เทวนิยมกว่าจะค่อยๆมารู้มีปัญญา 8 

ทางเทวนิยมเขาก็เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้รู้สูงสุด แต่พระเจ้าเขาเป็นความลึกลับ ไม่รู้ว่ามีหรือไม่มี อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่มีผู้ที่เอาความรู้ความจริงจากพระเจ้ามาประกาศ เป็นประกาศก ศาสดาทุกองค์เป็นประกาศก เป็นผู้ประกาศความรู้ความจริงของสิ่งลึกลับที่เรียกว่าพระเจ้า เป็นศาสนาที่ลึกลับ จึงทำลายไม่ได้ ทำลายอัตตา ทำลายจิตวิญญาณ ทำลายธาตุรู้สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ หรือสามารถที่จะมีปัญญารู้ความจริงจบครบหมดเลย สามารถบงการพลังงานที่มันเป็นอัตภาพเป็นวิญญาณ เป็นอัตตาของแต่ละคน ถึงได้จัดการควบคุมได้ ให้ไม่ทำชั่ว ทำแต่ดี เหมือนกับเทวนิยมต้องการได้ แล้วมันเที่ยงกว่าด้วย เหมือนกับอรหันต์เกิดมาไม่ทำชั่วอีกแล้ว เกิดอีกกี่ชาติก็ทำจะดี จะเป็นอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าสูงสุดที่สุด 

ในธาตุจิตที่สูงสุดก็คือเป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็รู้ครอบจักรวาลหมดเลย รู้รอบถ้วนทุกอย่างหมดเลย ว่าจิตนิยามที่มันเกิดมาแล้วนี่ มันไม่สามารถดับได้ เขาจึงจำนนไปเป็นเทวนิยม อัตตาของเขานิรันดร แต่ของพระพุทธเจ้าไม่จำนน สามารถรู้แจ้งจบ มีขั้นตอน ทำดี ไม่ทำชั่วสำเร็จ ทำแต่ดี ทำจิตให้บริสุทธิ์อย่างมีหลักประกันด้วย เทวนิยมไม่เที่ยงหรอกเป็นสมบัติผลัดกันชม แต่ของพระพุทธเจ้าทำดี ไม่ทำชั่ว เที่ยง เกิดอีกได้ เป็นอรหันต์จากชาตินั้นอีกแล้ว เมื่อไหร่ก็ได้แล้วก็เรียนรู้ความจริงของจิตวิญญาณ ของธาตุอัตภาพของอัตตานี้ อ๋อ.. มันมีอวิชชาที่เป็นยางเหนียวจับตั้งแต่ต้น แล้วมีความรู้สามารถล้างยางเหนียว ล้างความยึดเกาะตัวเกาะติดอันนี้ได้ ก็สลายหมดจบได้ ซึ่งมันเป็นอจินไตย พิสูจน์ได้เขาจะไม่เชื่อเลย ทางเทวนิยมเขาฟังไม่รู้เรื่อง จนกว่าเขาจะค่อยๆเจริญอีกเป็นล้านๆชาติ

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน มูลสูตร สูตรสู่ความเป็นอมตะ

พ่อครูว่า... พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสยืนยันว่าผู้ใดมาพบศาสนาพุทธแล้ว พบแล้วก็มีความยินดีพอใจ ต้องอย่างนี้การศึกษาสัจธรรม สัจจะ 1 อย่างโน้นเป็นสัจจะอีกอันหนึ่งที่ไม่เที่ยง แต่อันนี้แหละจะรู้รอบโลกครบรู้จบ รู้เต็มที่เลยจนสลายได้มีนิพพาน 

นิพพานคืออะไร สามารถทำปรินิพพานเป็นปริโยสาน เป็นสุดท้ายสลายเป็นดินน้ำไฟลมไปได้ ดีนะ ตรงที่ นิพพานเป็นปริโยสาน มีหลักฐานอยู่ในมูลสูตร 10 ข้อสุดท้าย อาตมามีสภาวะอันนี้ บรรลุอันนี้มาแล้ว มีหลักฐาน จึงได้เอามาอธิบายสู่ฟัง ถ้าคนไม่มีปัญญาที่จะรู้ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ แต่พูดตามตามกันไปจะไม่มีน้ำหนัก ฟังแล้วไม่ค่อยจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องจริง มันเป็นอย่างไรมาอย่างไรมันไม่รู้ได้ง่ายๆ แต่อาตมามีสภาวะนั้นจริง จึงอธิบายตามหลักฐานพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมูลสูตร 10

มูล แปลว่า รากเค้า รากต้นเค้าทั้ง 10 อย่าง 10 ขั้นตอนยิ่งใหญ่มาก เริ่มต้นตั้งแต่แค่ความยินดี  ฉันทะเป็นมูลกา ข้อแรก โอ้โห ยิ่งใหญ่ 

พวกเราชาวอโศก แม้แต่ไม่ถึงชาวอโศกหรอก พวกเดียรถีย์สายอาจารย์มั่น เขาก็เอาจริงเอาจัง แต่มิจฉาทิฏฐิก็ตาม แต่ลึกๆแล้ว ศาสนาพุทธนี้ยิ่งใหญ่ ก็รู้ จึงมีฉันทะ แต่เป็นฉันทะที่มันไม่สว่าง ฉันทะแบบมืดๆ ยินดีอย่างไม่เปิดเผย ไม่กระจ่าง ไม่ละเอียด ไม่มีสภาวะรองรับครบ เพราะว่าเป็นการปฏิบัติแบบมืดๆ เป็นศาสนามืดๆ มันก็เลยไม่กระจ่าง 

เริ่มต้นมีฉันทะก็ไม่ธรรมดาแล้ว ยิ่ง มนสิการ เป็นข้อที่ 2 คือการทำ การ แปลว่าทำยังไม่มีโยนิโสนะ มีแต่ มนสิการ คนสามารถทำใจของตน ที่ใจของตน ก็ทำใจในใจของตนเองจัดการใจของตนเอง คนจะจัดการใจในใจของตนเองเป็น โอ้โห.. ต้องรู้ว่าใจคืออะไร จิตคืออะไร เจตสิกคืออะไร แล้วก็ต้องรู้เลยว่า อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ของพระพุทธเจ้า อุเทส คำสอน คำอธิบายของสัตบุรุษ ของผู้รู้ที่อธิบายไว้ ให้เรียนรู้ อาการ ลิงค นิมิต มีเครื่องหมายให้รู้เครื่องหมายของอาการจิต แล้วก็จัดการกับอาการของจิต 

เริ่มต้นจิตมันมี 2 หน่วย เทวะแล้ว มันก็เริ่มต่างกันแล้ว ต่างกันอย่างหยาบ ให้เรียนหยาบก่อน แล้วจัดการทำเหตุปัจจัยที่ทำให้เราหลงปรุงแต่งอยู่ในโลกไปเรื่อยๆ ทีละคู่ไปเรื่อยๆ ก็ทำใจในใจเก่งขึ้นเรื่อยๆ จนลงไปถึงที่เกิด โยนิโส คำว่าโยนิ คือที่เกิด

ลงไปถึงที่เกิดจุดที่เกิดเป็น สัมภวะ แดนเกิด เกิดจิตวิญญาณนี่แหละ

มันจะเกิดปฏิภาณปัญญา  วิจัยวิจารณ์จิตนิยามต่างๆ​ รู้จิตเจตสิกต่างๆได้ เช่น  เวทนา 108 เป็นต้น  ที่พระพุทธเจ้า แจกวิภัตติไปเป็นกระบวนการ 108 แล้วก็แยกตัวที่มันเป็นเคหสิตะ แยกกิเลสเอากิเลสออกได้เป็นเนกขัมมะ จนหมด หมดเกลี้ยงจิตก็สะอาดเรียกว่าอุเบกขา 

เป็นเนกขัมมะสิตะอุเบกขา บริสุทธิ์ ซึ่งองค์ประกอบของอุเบกขาก็มี 5 อย่างคือ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา อาตมาก็หยิบเอามาจากคำสอนพระพุทธเจ้า อยู่ในธาตุวิภังคสูตร อาตมาก็เอามาแจกแจง ผู้ไม่รู้ท่านเอามาอธิบายอย่างอาตมา ก็คงยาก คงไม่ได้อย่างอาตมาธิบาย 

ซึ่งเห็นได้ว่า ผู้ที่ตามแสวงหาสิ่งลึกซึ้งเกี่ยวกับวิญญาณเกี่ยวกับจิตเกี่ยวกับธรรมะยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ พอมาเจออันนี้แล้วถึง ยินดีมีฉันทะเกิด แล้วยิ่งรู้ว่า จะจัดการกับจิตกับใจได้นะ มนสิการ จัดการได้เลย จัดการได้ด้วยหลักการที่พระพุทธเจ้าท่านสรุปไว้เลย ในมูลสูตร 10 โดยการ ต้องเรียนรู้มีผัสสะ 

เป็นอันที่ 3 เรียนรู้โดยไม่มีผัสสะ หลับตาเข้าไปไม่มีผัสสะ โมฆะจากศาสนาพุทธ เป็นเดียรถีย์นอกรีต ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย ใน พรหมชาลสูตร พระพุทธเจ้าสรุปไว้ชัดเจน ไม่มีเวทนา ไม่มีกรรมฐาน ไม่มีที่ตั้งให้การปฏิบัติ มีแต่วิญญาณ หลับตาก็เป็นสัมภเวสี ซึ่งมันไม่เป็นความจริง 

ความจริงที่เป็นปัจจุบันชาติ มีตาหูจมูกลิ้นกาย ทางทวารทั้ง 5 กระทบ มีจิตร่วม มันจึงจะครบความเป็นจริงของวิญญาณ หลัดๆเลย กระทบเดี๋ยวนี้ 

ตาก็เป็นวิญญาณ หูก็เป็นวิญญาณ จมูกลิ้นกายก็เป็นวิญญาณ วิญญาณทางข้างนอก มีกิเลสหมด ก็ทำให้มันลดลงไป จนเหลือเข้าไปหมดแล้วเหลือแต่อยู่ข้างใน เป็นรูปจิต อรูปจิต เป็นขั้นตอนจึงจะเลิกจิตวิญญาณ ดับจิตวิญญาณ ให้สลายหมดสิ้นจริงๆ 

การศึกษาต้องมีผัสสะ ถ้าไม่มีผัสสะ ไปหลับตา อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร สงสารก็สงสาร พูดด้วยใจจริง อาตมาเห็นความมุ่งมาดปรารถนาดี ท่านเอาชีวิตมาทิ้งในทางธรรมะ ที่ท่านแสวงหาและปรารถนาจริงๆแต่ละชาติ แต่ละชาติท่านก็ยังหลงเดียรถีย์ไปพาผิดอย่างนั้น ชื่อว่าได้มาเป็นชาวพุทธแล้ว อาตมาก็เป็นชาวพุทธที่รู้สัมมาทิฏฐิ เห็นพวกน้องๆทั้งนั้น อาจารย์มั่น มหาบัว ก็น้องอาตมาทั้งนั้น อาตมาเป็น ไก่ตัวพี่ ในยุคนี้ ขออภัยที่ต้องพูดความจริงอันนี้ 

เห็นแล้วก็สงสาร เลิกได้แล้วอย่างนั้น มันเดียรถีย์ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาก็เห็นเขานั่งเต็มป่า ท่านก็มาสอนใหม่ ไม่เหมือนโพธิรักษ์ ที่พระพุทธเจ้าท่านมีการสอนมาก่อนแล้ว พระพุทธเจ้าท่านตีทิ้งไม่ได้ ท่านต้องเก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน เอาพวกเดียรถีย์มาเป็นบริวาร ส่วนอาตมานั้นไม่ใช่ พระพุทธเจ้าปลูกฝังศาสนาพุทธไว้เต็มสภาพแล้ว แต่เขาดันเป็นขบถ เป็นโจรปล้นศาสนา เฮ้อ! เป็นโจรปล้นศาสนาจริงๆเลยนะ 

อาตมาเห็นโจรปล้นศาสนาอยู่อย่างนี้ ก็ต้องปลุกให้รู้สึก ให้เข้าใจว่า อย่าไปปฏิบัติแบบตาบอดมืดสนิทอยู่อย่างนั้น ตื่นมา ชาคริยา มาฟังมารู้อย่างนี้ 

แต่อาตมาชาตินี้เป็นคนอาภัพ เขาไม่เชื่อ เขาไปเชื่อผู้ที่ปทปรมะ ท่องจำมาก  บอกสอนก็มาก ปทปรมะบุคคล แต่ไม่สามารถที่จะบรรลุธรรม สักกายทิฏฐิ ก็ไม่พ้น เพราะคำว่า กาย ก็ไม่เข้าใจเป็นสัมมาทิฏฐิ 

อาตมาแม้แต่คำว่ากาย ก็ต้องมาสอนกันใหม่ บรรยายให้เข้าใจคำว่า กาย ซึ่งก็ไม่ใช่จะรู้กันได้ง่ายๆ อาตมาก็ไม่ได้รู้มาตั้งแต่ต้น  ที่จริงมันมีของเดิมอยู่แล้ว แต่มันยังไม่ขึ้นมา อาตมาอธิบายคำว่า กาย อย่างละเอียดนี้มาไม่กี่ปีนี้นะ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องตื้นๆ เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก เป็นข้อต้นของสัมมาทิฏฐิที่จะต้องพ้นคำว่า กาย ต้องเข้าใจเรื่องคำว่า กาย ให้สัมมาทิฏฐิให้ได้ 

พระพุทธเจ้าถึงสอนความเป็นกายตามความเป็นจริง ซึ่งมันแยกกันไม่ได้ แต่ก็สอนให้รู้ว่า แยกได้ด้วยปัญญา ปัญญานี้แยกกายกับจิตได้ด้วยปัญญา 

เพราะฉะนั้นผู้ตั้งใจมาเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าไปสู่พระนิพพานจริง พระพุทธเจ้าถึงให้อุปัชฌาย์สอนแยกกายแยกจิต แก่ลูกศิษย์ที่มาบวชเพื่อต้องการนิพพานทุกคน 

แต่ที่นี้ทุกวันนี้อุปัชฌาย์ก็ไม่รู้ว่าแยกกายแยกจิตอย่างไร ก็ไปแยกแบบนั่งหลับตาแล้วแยกกายออกจากจิต จิตลอยออกไปจากกาย กายก็นั่งแข็งอยู่ตรงนั้น จิตก็ลอยไปแล้วมาเห็นตัวเองนั่งแข็งอยู่อย่างนั้น นี่แหละผู้แยกกายแยกจิตสำเร็จของศาสนาเขาว่าอย่างนั้น ซึ่งเป็นอุปาทาน ก็หลงแยกกายแยกจิตได้แค่นั้น ซึ่งลึกซึ้ง อาตมาอธิบายไปแล้วมันไม่ใช่เล่นๆ 

แยกกายได้ว่า จิตของเราไม่เป็นกาย มันคืออย่างไร คือ จิตของเราไม่เป็นจิต ดูได้ว่าเราทำจิตไม่ให้เป็นจิตได้แล้ว จึงไม่มีกายเป็นแต่เพียง พีชนิยาม เป็นพีชนิยาม ก็ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ไม่มีวิญญาณ  ไม่มีบาปไม่มีบุญ ไม่มีวิบาก เป็นพืช 

ความหมายแค่ พีชนิยาม ต้องทำจิตของเราให้เป็น พีชนิยาม เท่านี้แหละ ก็ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้วในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า 

เพราะฉะนั้นจึงบอกว่า โอ้โห.. น่าเห็นใจที่มันได้เสื่อมไป 2,500 กว่าปี ก็เสื่อมไปหมด อาตมาจึงต้องมากู้กลับ ต้องมาเริ่มคำว่า กาย 

ก็คิดว่า เพิ่งมาอธิบายไม่กี่ปีนี้ก็ยังน้อยอยู่ ก็คงยังต้องพยายามอยู่อธิบายไปอีกนานพอสมควรทีเดียว เพราะฉะนั้น ถึงไม่พยายามจะไม่ตายเร็วๆไม่ตายง่ายๆ ถ้าสังขารมันพูดไม่ได้อธิบายไม่ได้ก็ต้องตายแล้ว แต่มันยังอธิบายยังพูดได้อยู่ก็ไม่ตาย ยังไงก็ไม่ตาย มารจะมานั่งบอกไปได้แล้ว ตายได้แล้ว เราก็บอกว่าไม่ตาย มารมันเก่งกว่าเราไม่ได้หรอก จนกว่าเราจะจำนนต่อสังขาร มันไม่ได้จริงๆก็ต้องจำนนก็ต้องไป 

ทุกวันนี้ก็รู้สึกว่า แหม หนัก พยายามประคองสังขารให้มันอยู่ หนัก แต่พูดไปก็เท่านั้น 

ถ้าเข้าใจที่ท่านให้มาพิจารณาว่าเมื่อใดไม่ใช่กาย เมื่อใดไม่ใช่จิต แยกกายแยกจิตได้จริงๆ ผู้นั้นแหละถึงจะปฏิบัติธรรมบรรลุอรหันต์ได้ ถ้าแยกกายแยกจิตไม่เป็น บรรลุอรหันต์ไม่ได้หรอก แม้จะศึกษาไปรู้รอบโลก เหมือนท่านพุทธโฆษาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นพุทธโฆษาจารย์ที่เขียนคัมภีร์วิสุทธิมรรค หรือที่เป็นคนไทยปัจจุบันนี้ก็ตาม รู้มาก ศึกษาพยัญชนะ แต่ไม่ศึกษา เป็นปทปรมะ ไม่ศึกษาให้ลงไปถึงจิต มนสิการจนเป็นโยนิโส จนลงไปถึงที่เกิดอย่างถ่องแท้แยบคาย ละเอียด จนไปถึงนามธรรมที่เกิด สัมภวะหรือปภวะ แดนเกิดที่เกิด แต่ต้องมีผัสสะ จึงจะเห็นที่เกิดแดนเกิด ผัสสะเป็นสมุทัย 

ต้องมีผัสสะเป็นเหตุ แล้วจึงจะมาทำเวทนาได้ ถ้าไม่มีผัสสะ เวทนาไม่เกิด เป็นสัมภเวสี ไม่มีวิญญาณฐีติ ปฏิบัติที่ตาหูจมูกลิ้นกายก่อน  แล้วปฏิบัติเอากิเลสออกให้ได้จริงๆ 

ในเวทนา ให้มาเรียนเป็นกรรมฐาน ที่ไปเรียนในวิสุทธิมรรคกรรมฐาน 40 มันเป็นสมถะทั้งนั้น เป็นของเดียรถีย์หมด ไม่ใช่เรื่องของศาสนาพุทธเลย จริงๆนะ อาตมาถึงว่า ทำอย่างไรให้คนมาศรัทธาเรา เราไปบังคับเขาไม่ได้ แต่เราก็ได้แต่แสดงความจริง น่าจะฟังความจริงที่อาตมาพูดอธิบายตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า เอาพระไตรปิฎกมายืนยัน อ้างอิง ไม่ใช่ไปอ้างอิงอรรถกถาจารย์มาประกอบ ซึ่งอาตมาไม่เอามาประกอบ อาตมาเอาแต่พระไตรปิฎกก็ชัดเจน ได้ครบแล้ว ไม่ต้องไปอาศัยอรรถกถาจารย์ เพราะอาตมาก็เป็นอรรถกถาจารย์อยู่ในตัวอยู่แล้ว

ก็เอามายืนยันอธิบาย ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติวิญญาณฐีติ 7 วิโมกข์ 8 รู้จักความเป็นสัตว์ทั้ง 9 จนกระทั่งทำความเป็นสัตว์หมดไป ไม่เป็นสัตว์แล้ว กลายเป็นผู้เจริญ  กลายเป็นผู้บรรลุ สุดท้ายก็ยิ่งกว่าพระเจ้า เจริญยิ่งกว่าพระเจ้า สามารถรู้แจ้งรู้จริงในเรื่องของจิตวิญญาณ เรื่องของอัตภาพหมด จบ ทำความเกิดความดับได้จริงๆ 

ฉะนั้นจึงสามารถที่จะมีสติ มีปัญญา มีวิมุติ ในมูลสูตรอีก 3 ข้อ

มีสติเป็นอธิปไตย  มีปัญญาเป็นอุตตระ มีวิฟมุติเป็นแก่นสารเป็นสาระ เพราะปฏิบัติศึกษาถูกต้อง มาถึงเวทนาเป็นที่ประชุมลง ศึกษาอยู่ที่ฐานเวทนาเป็นกรรมฐาน เป็นที่ประชุมลง จึงรู้หมด สติถึงบริบูรณ์เป็นอธิปไตย ปัญญาก็บริบูรณ์เป็นอุตตระ วิมุติก็บริบูรณ์ จบ เป็นแก่น  ด้วยหลักการ ศีล สมาธิ ปัญญา แก่น 

ศีลเป็นสะเก็ด สมาธิเป็นเปลือก ปัญญาเป็นกระพี้ วิมุติเป็นแก่น พระพุทธเจ้าอธิบายไว้หมดแล้ว ในมหาสาโรปมสูตร 

ศาสนาพุทธทุกวันนี้ศีลก็ไม่มี แค่สะเก็ดก็ไม่มีแม้นิดนึง สมาธิก็เลอะเทอะไปหมดเลย เป็นสมาธิมิจฉาทิฏฐิของเดียรถีย์ ปัญญายิ่งไปใหญ่ เป็นเฉโกทั้งนั้น ไม่ใช่ปัญญา 8 เลย วิมุติจึงไม่ต้องหวังเลย แก่น แต่เขาไม่ได้อะไรรู้ไหม เขาได้ใบกับดอก 

พระพุทธเจ้ายืนยันสรุปว่า ใบกับดอกก็คือ ลาภสักการะสรรเสริญ ทั้งหลายแหล่ ก็จริงไหมล่ะ เถรสมาคมทั้งเถรสมาคม ถ้าไม่มีลาภสักการะสรรเสริญพวกนี้ จะอยู่กับอะไร มาเป็นผู้ปฏิบัติพยายามจะไม่เอาตำแหน่งยศศักดิ์ ไม่เอาลาภยศอะไร ก็ไปนั่งหลับตาเป็นเดียรถีย์ออกป่า มืดๆไปควักขึ้นมาไม่ออกเลย จนกระทั่งจมไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อาตมาก็ไม่กล้าเข้าไปสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า เพราะไปแล้วมันหายไปเลย เข้าไปแล้วไม่ได้ออกมา  เพราะมันยิ่งกว่านรกอเวจี มืดหมดเลย ทางโลกเขาก็มีสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า เป็นหลุมดำ ใครตกไปในหลุมดำก็หายไปเลย 

 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สมณะเดินดิน...

 

พ่อครูว่า... ในมูลสูตร 10 กว่าจะถึงประชุมลงที่เวทนาจบ สโมสรณา ก็จะสมบูรณ์ด้วยสติ ปัญญา วิมุติ เป็นแก่นแกนหมดเลย ผู้ที่สมบูรณ์ด้วย 3 อย่างก็เป็นอมตะบุคคล ในมูลสูตรข้อที่ 9 เป็นอมตะบุคคล เป็นคนที่อยู่เหนือความเป็นความตาย อยู่เหนือความเกิดความตาย 

จะเกิดก็ได้จะตายก็ได้ สามารถจริงๆ ผู้มีบารมีสูงสามารถจะตายก็ตาย เกิดก็เกิด จะไม่เกิดอีกก็ได้ จะตายแล้วไม่เกิดอีกก็ได้ 

ผู้ที่ไม่มีปัญญารู้ถึงขนาดนี้ ตายแล้วไม่เกิดอีก ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นเทวนิยมจึงจำนน ตายแล้วต้องไปอยู่กับพระเจ้า อยู่กับความลึกลับ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา อยู่ในที่ลึกลับมืดไม่รู้อยู่ที่ไหนอะไรอย่างไร 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน อนุปคัมมะผู้ไม่เข้าใกล้ทั้งความมีและความไม่มี

พ่อครูว่า... ที่จริงความรู้ของพระศาสดาแต่ละองค์ เป็นความรู้ของตัวเองที่ได้ศึกษามาแต่ละชาติแต่ละชาติ แต่เขาไม่รู้ตัวเองไม่รู้อัตตา ไม่รู้ว่าตัวเองสั่งสมมาได้ขนาดนี้ มาประกาศให้คนอื่นยอมรับ คนอื่นเขาก็รับ ว่าจริงเป็นความรู้ขนาดนี้ เป็นโลกียะที่เข้าท่า คนที่มีฐานะขนาดนั้นก็รับขนาดนั้น เป็นบริวารของศาสดานั้นไป ศาสดาของเทวนิยมจึงมีหลากหลายมากมาย ทุกวันนี้ก็ไม่รู้มีกี่ศาสนา 

ศาสดาองค์สุดท้ายที่พยายามสร้างศาสนาก็คือ ศาสนาที่ชื่อว่าบาไฮ มีพระบาฮาอูลา พยายามจะรวมศาสนา เอาศาสนาพุทธไปรวมด้วย แต่ท่านเป็นเทวนิยมเป็นโลกียะะ ซึ่งเขาไม่รู้มันรวมไม่ได้  มันทำไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้นศาสนาของท่านจึงไม่เจริญจึงไม่ขึ้น ท่านหลงว่าท่านใหญ่กว่าศาสนาพุทธ จะเอาศาสนาพุทธไปรวมด้วย มันก็เลยฟ่ามๆ เป็นความรู้ไม่เป็นก้อนหนึ่งที่จะดิ่งไปในทางเทวนิยมก็ไม่ดิ่ง มันก็เลยเพ้อๆฝันๆ คนก็เลยไม่ยอมรับนับถือเท่าไหร่ ศาสนาบาไฮจึงไม่เจริญ ได้แค่นั้น ไม่เจริญ 

นี่ก็เป็นความรู้ที่อาตมาเข้าใจ ไม่ได้ไปวิจัยวิจารณ์ผิดอะไร แต่เป็นเรื่องจริง ก็ได้แค่นั้น 

จนกว่าศาสนาเทวนิยมหรือผู้ที่ไปยึดติดเทวนิยม จะค่อยๆซึมซับ เกิดมาอีกหลายชาติ ก็จะซึมซับว่า พุทธเขามีอะไรดีก็เข้ามาศึกษา เหมือนกับศาสดาทางศาสนาคริสต์ อิสลาม แต่อิสลามนั้นช้าหรือยากนานกว่าศาสนาคริสต์ ศาสนาคริสต์หลายท่าน แม้แต่เป็นคนไทยก็หลายท่าน ศึกษาศาสนาพุทธ จนกระทั่ง ค่อนข้างจะอิน ไปในศาสนาพุทธเยอะ 

จนวันใดวันหนึ่งก็มาเกิดเป็นพุทธ ก็เริ่มจะไต่เต้าของศาสนาพุทธขึ้นมาเรื่อยๆ สนใจธรรมะ ก็จะมีวิบากบารมี ไต่เต้าขึ้นมาเรื่อยๆ เริ่มจากเทวนิยมที่มาหาอเทวนิยม หรือมาหาพุทธไปเรื่อยๆ ก็จะค่อยๆเป็นไป 

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ผู้ที่พบศาสนาพุทธนั้นยากแสนยาก แล้วยิ่งจะเชื่อมั่นเข้าใจเห็นดีตามศาสนาพุทธยิ่งยากกว่า แล้วไม่ต้องพูดถึงที่ยากกว่านั้น ที่จะมาปฏิบัติตามเป็นสัมมาทิฏฐิและได้มรรคผลยิ่งยากเข้าไปใหญ่เลย 

จริงๆแล้วเทวนิยมเขาไม่มีปัญญาที่จะเชื่อว่าพระพุทธเจ้านี้ยิ่งใหญ่ พระพุทธเจ้านี้สูงสุดในการเกิดมาเป็นมนุษยชาติ เกิดมาเป็นอัตภาพ จนกระทั่งเลิกอัตภาพได้เลย สูงสุดแล้ว ไม่ต้องมีอัตภาพ ไม่ต้องเหลือเป็นจิตนิยามอีก สลายหายไปเลย เลิกมีเลิกเป็น 

เพราะฉะนั้นผู้ที่จะมาเข้าใจได้ คนจะมาเห็นว่าชีวิตเกิดมา มันมีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป จะมาเห็นทุกข์อริยสัจอย่างนี้ไม่ใช่ง่ายๆ แล้วก็มาเห็นจริงเชื่อมั่นว่า ก็มีศาสนาพุทธนี่แหละ จะพ้นทุกข์ พ้นการเกิดมามีทุกข์อีก 

ความทุกข์กับความสุข ก็จะรู้ว่ามันเป็นกระดาษแผ่นเดียวแยกกันไม่ได้ เป็นคู่ที่แยกกันไม่ได้ มัน เป็นมายาหลอกว่าสุข แต่ที่จริงก็ทุกข์ทั้งนั้น ที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป 

สุขมันหลอกเรา เพราะฉะนั้นผู้ที่เข้าใจอย่างนี้แล้ว จึงไม่กลัวทุกข์ ก็ศึกษาลึกเข้าไปที่ทุกข์ มีเหตุตัวไหนเป็นตัวการให้เกิดทุกข์อยู่อย่างนี้ ไม่ต้องเอามาหลอกเลยสุข 

เพราะฉะนั้นผู้ที่จะชัดเจนว่า อย่าเอาสุขมาหลอก มันมีแต่ทุกข์เท่านั้น เพราะฉะนั้นพวกนี้จึงหลงทิศทางไปทรมาน ทุกรกิริยา มากมาย จนกระทั่งพระพุทธเจ้าอุบัติ ให้ปฏิบัติตาม พระพุทธเจ้าท่านปฏิบัติเถิด ปฏิบัติให้รู้จักเหตุ ทุกข์นั่นมันมีเหตุ และมันมีวิธีที่จะลดความทุกข์ไปตามลำดับเป็นข้อๆ 

เกี่ยวกับสัตว์ เกี่ยวกับข้าวของ เกี่ยวกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส 3 ข้อหลัก ศีล 1 2 3 

ถ้าเข้าใจอย่างนี้ก็จบหมดแล้ว ศีล ข้อใดๆก็เป็นตัวขยายออกไปเรื่อยๆ ศีลแก่นแกน มี 3 ตัวนี้ ข้อที่ 4 เป็นวาจา ข้อที่ 5 ก็คือจิตที่มันจะเป็นอวิชชา หรือไม่อวิชชา

มาเรียนรู้อันนี้ได้ ก็มาสรุปเรียนรู้ตั้งแต่เกี่ยวกับสัตว์ 

สัตว์เดรัจฉานก็ไม่ต้องไปยุ่งกับมันมาก มันเกิดให้มันไปตามยถากรรม วิบากกรรมของมัน เราไม่ต้องไปทำอะไรกับมันได้หรอก ไม่ต้องไปเกี่ยวเกาะกับมัน คนที่เกิดมาอยู่ร่วมกันนี่แหละยังมีวิบากร่วมกันที่เกี่ยวเกาะร่วมกันอีกเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นเชิงรักเชิงชัง ยังเกี่ยวเกาะกันอยู่นักต่อนัก 

เพราะฉะนั้นในพวกเราแต่ละคนๆ ก็มีนิยายของแต่ละคน ใช่ไหม จะเห็นได้ว่า เออ มันก็เชิงรักเชิงชัง ไปติดในกาม ติดในสถานะอะไรอื่นๆอีก เฮ้อ!

แล้วสถานะอื่นๆอีก ไม่ว่าจะเป็นสถานะของลาภยศสรรเสริญอะไร มันก็ยังเหลือตัว รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส กว่าจะมาเรียนรู้ แล้วก็หมดติดหมดยึด 

การหมดติดหมดยึด การเป็นอุเบกขา การเป็นความไม่ผลักไม่ดูด ไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว จิตกลางๆ เป็น “อนุปคัมมะ” 

ลึกซึ้งมากเลยอันนี้ ท่านไปแปล มัชฌิมาปฏิปทาว่า ทางสายกลาง แล้วปฏิบัติให้เดินทางสายกลาง คนคนนี้ก็เดินไปในทางสายกลาง อย่าแวะข้างทางนะจ๊ะ ทางซ้ายทางขวาไม่เอาแล้วไม่มีไม่มก็เดินไปอีกยาวววววว ไกล ไม่ถึงที่หมายหรอก เพราะเขาเดินทางสายกลาง ไม่มาเรียนรู้ 2 ข้างว่าเป็นกามกับอัตตา จนรู้แจ้งในกามและอัตตาแล้ว ไม่มีกามและอัตตา ก็รู้ในความมีและไม่มี ไม่มีกามไม่มีอัตตา 

คนพวกนี้ก็จึงเป็น อนุปคัมมะ ไม่เข้าไปมีกับเขาแหละ เข้าไปมีกามก็ไม่มี เข้าไปมีอัตตาก็ไม่มี

มนุษย์ที่ยังมีอวิชชาอยู่  เขาก็ต้องมีมากน้อยก็แล้วแต่ จนกว่าจะเป็นอรหันต์ 

เป็นอนาคามีก็ยังมีเหลืออัตตา จนหมดไม่มีกามไม่มีอัตตาแล้ว คุณก็บรรลุสูงสุดแล้ว เป็นคนเป็นกลาง 

เพราะฉะนั้นคนเป็นกลางถึงเรียกว่ามัชฌิมา คนผู้เป็นกลาง แต่ท่านไปแปล ตีขลุมรวม มัชฌิมาปฏิปทาว่า เป็นข้อปฏิบัติเพื่อให้ไปเป็นคนเป็นกลาง แต่ท่านก็ไปรวมกันซะ ว่า ข้อปฏิบัติกลางๆ ก็ให้ปฏิบัติตามข้อปฏิบัตินี้ไป อย่าไปแวะข้างทาง อย่าเรียนรู้เรื่อง กาม เรียนรู้อัตตา ซึ่งเป็นอันตาสองข้าง อันตา คือที่สุด 2 ฝั่ง ไม่ให้เรียน เรียนรู้แต่ตัวกลางๆแล้วก็เดินไปกลางๆ อาตมาพยายามอธิบายสภาวะจากที่ท่านเข้าใจตามภาษาที่ท่านยึดติด น่าสงสาร

ก็จะกลายเป็นบุคคลผู้ที่แสวงหา พ่อแม่ลูก 3 คน เดินไปในทางทุรกันดาร ทางทุรกันดารนั่นแหละคือทางอวิชชา เดินไป แล้วก็มีความมุ่งหมายมี Concept มีทิฏฐิมีจุดมุ่งหมาย มีเจตนา จะไปสู่นิพพาน ได้แต่พยัญชนะภาษาว่านิพพาน จะไปสู่นิพพาน 

ก็ไปด้วยกัน 3 คน พ่อแม่ลูก คุณก็ยังมีคู่ มีพ่อมีแม่มีลูกอยู่นั่นแหละ ก็ยังไม่รู้มันเป็นภาระ มันเป็นห่วงทั้งนั้น เป็นผัวเป็นเมียก็ห่วง เป็นลูกก็ยิ่งห่วงเข้าไปอีก 

สุดท้ายแล้วพระพุทธเจ้าก็สร้างเป็นพล็อตเรื่องว่า 3 พ่อแม่ลูกเดินทางไปแล้ว มีอาหารยังชีพไป หมดอาหารแล้ว ตายๆๆ จะทำอย่างไร พ่อแม่ 2 คนก็เห็นแก่ตัวจัด เมื่อไม่มีอาหารจะกินแล้ว และเป็นคนติดเนื้อสัตว์ด้วย ไม่มีอาหารแทนที่จะกินพืช จะเดินทางไปไหนอยู่แล้วไปป่าเขาถ้ำก็มีพืชทั้งนั้น แต่ดันไม่มีปัญญาจะกินพืช จะกินเนื้อ แล้วจะฆ่าสัตว์อื่นๆก็ไม่เป็นอีก มีลูกก็เอาคนนี้ล่ะวะ แหม.. นิทานพระพุทธเจ้านี้สุดแสบทรวงเลย เอาเนื้อลูกนี่แหละ 

ผัวเมียก็ตัดสินใจฆ่าลูกกิน โอ้โห.. พล็อตเรื่องของพระพุทธเจ้านี้สุดแสบจริงๆ เลย ทมยันตีตายไปแล้วนะนี่ แกมีจินตนาการเก่ง ผูกเรื่องอะไรต่ออะไรขึ้นมา เขียนนิยายเก่ง แกเขียนได้ลึกซึ้งลึกลับ ยิ่งกว่า Harry Potter ด้วย 

กินเนื้อลูก ฆ่าลูกตายเอามากินแล้ว ก็ยังงงๆอยู่ว่า ลูกที่น่ารักของฉันหายไปไหน ปัดโธ่เอ๊ย! ก็เอ็งฆ่าลูกกินก็ยังลืมไปเลยไม่รู้ตัว โอ้โห.. พล็อตเรื่องของพระพุทธเจ้านี้ สุดโง่ สุดลืมโง่ดักดานจริงๆเลย นี่ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใน ปุตตมังสสูตร อันนี้ข้อที่ 4 วิญญาณาหาร 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน โฮมแฮงกันซัดหอกเพื่อฆ่าโจรทำลายศาสนา

_ล. 16 3. ปุตตมังสสูตร

[244] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร เหมือนอย่างว่า พวกเจ้าหน้าที่จับโจรผู้กระทำผิดได้แล้วแสดงแก่พระราชาว่า ขอเดชะด้วยโจรผู้นี้กระทำผิด ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ลงโทษโจรผู้นี้ตามที่ทรงเห็นสมควรเถิด 

พ่อครูว่า... โจร ผู้ทำลายศาสนาคือใคร คือพวกนั่งหลับตาปฏิบัติออกนอกรีตศาสนาพุทธไม่มีทางบรรลุเลย ก็คือโจรปล้นศาสนาตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าไว้ 

_จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้านี้ เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ช่วยประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้า ต่อมาเป็นเวลาเที่ยงวันพระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอย่างนี้ว่า 

พ่อครูว่า...เจ้าหน้าที่ที่รับคำสั่งพระราชาคือใครคืออาตมา โพธิรักษ์ มีท่านเดินดิน ถือหอกไปช่วยอาตมาด้วย อาตมาหมดแรงท่านก็ช่วยแทง ท่านฟ้าไท ท่านถักบุญ ท่านด่วนดี สม.กล้าข้ามฝัน สม.รินฟ้า นั่นแหละช่วยกันถือหอกแทง 

_ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงช่วยกันประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวัน เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวัน 

พ่อครูว่า...แทงจนหอกหักจนเมื่อยก็มาพัก 

_ต่อมาเป็นเวลาเย็น พระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอีกอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง 

พ่อครูว่า...อาตมานี่แหละ เป็นเจ้าหน้าที่

_เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเย็น เจ้าหน้าที่(พ่อครูว่า...ก็คืออาตมานี่แหละ) คนนั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเย็น 

พ่อครูว่า...จบนิทานค้างไว้เท่านี้แล้วท่านก็ถามต่อ

_ภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายยังเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน คือว่าเมื่อเขากำลังถูกประหารด้วยหอกร้อยเล่มตลอดวันอยู่นั้น จะพึงได้เสวยแต่ทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหาร นั้นเป็นเหตุเท่านั้น มิใช่หรือ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอกแม้เล่มเดียว ก็พึงเสวยความทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหารนั้นเป็นเหตุ แต่จะกล่าวไปไยถึงเมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอกสามร้อยเล่มเล่า ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า จะพึงเห็นวิญญาณาหารฉันนั้นเหมือนกัน เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้วิญญาณาหารได้แล้วก็เป็นอันกำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เมื่ออริยสาวกมากำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เรากล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกจะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ

พ่อครูว่า...จะเรียนรู้วิญญาณาหารต้องเรียนรู้นามรูป ก็เรียนรู้แยกรูป 28 นาม 5 มาศึกษาวิญญาณาหาร ศึกษาวิญญาณที่เราอาศัยนี้ จะรู้ได้ครบเลย รู้แค่นามรูปนี้แหละให้ดี แล้วปฏิบัติด้วยนามรูปนี้แหละ คุณจะทำลายวิญญาณ จบกิจได้เลย 

เพราะฉะนั้นคำว่า นามรูป มาขยาย ปฏิจจสมุปบาท 

คนที่มีอวิชชาไม่รู้จักสังขาร สังขารมีวิญญาณเป็นปัจจัย วิญญาณมีนามรูปเป็นปัจจัย 

ผู้ที่มีอวิชชาอยู่ไม่รู้จักสังขาร ไม่รู้วิญญาณ แยกนามแยกรูปไม่ได้ ก็คือแยกสภาวะ 

1 รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือตัวผู้รู้ที่มีธาตุรู้ไปสัมผัสกับรูปนั้น ก็จะเกิดการรู้ขึ้นมา ตามวิโมกข์ 8 ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ 

วิโมกข์ 8 มิจฉาทิฏฐิทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเถรสมาคม ไม่ว่าพระป่าที่นั่งหลับตาทั้งหลาย ก็เข้าใจว่าไปเข้าสมาบัติคือไปนั่งหลับตา เรียกว่าสมาบัติ เข้าสมาบัติ ซึ่งมันไม่ใช่ 

วิโมกข์ ​8 นั้นเป็นการอธิบาย ให้รู้ว่าศาสนาพุทธนั้นมันมี รูปีรูปานิ แล้วต้องปัสสติ นี่เป็นวิโมกข์ข้อที่ 1 บาลีมีเท่านี้ 

รูปี กับรูปานิ คือมีรูปที่จะให้รู้ นี่ กล้วยอ้อย กระเจี๊ยบ มันจาวมะพร้าว ก็มีสารพัดให้รู้รูปี รูปานิ คือผู้ที่จะไปรู้รูป ก็จะรู้รูปก็ต้องมีประสาท มีโคจร มีวิสัย ที่ที่จะเข้าไปรู้ 

คนตาบอด รูปมันมี แต่ตาไม่มี ก็ปัสสติเห็นไม่ได้

หรือคนหูหนวก เสียงมันมี เสียงสารพัดเสียง แต่หูมันหนวก มันรู้ไม่ได้ 

คนจมูกบอด จมูกหนวก จมูกโหว่ ไม่มีประสาททางจมูกเลยที่จะสัมผัสรู้กลิ่น มันก็รู้กลิ่นไม่ได้ 

ลิ้น คนไม่รู้ ลิ้นเป็นไอ้เข้ ก็ไม่มีทางรับรู้รสได้ 

โผฏฐัพพะ คือการสัมผัสภายนอกทั้งหมดมันก็ไม่มีให้สัมผัส เช่น วิญญาณสัมภเวสี ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย  ไม่ได้สัมผัสอะไรเลย พวกนี้มืดตลอดกาล มืด พวกนั่งหลับตามีแต่วิญญาณสัมภเวสี ก็มืดอยู่ตลอดกาลนั่นแหละ ไม่ได้ผุดเกิดอะไรหรอก  ไม่ได้มาเห็นแสงสว่าง  ไม่ทำให้เห็นความจริงกับเขาเลย เลิกเถอะนั่งหลับตาเอ๋ย เลิกเถอะ 

ถ้าอาตมาทำให้พวก ที่พระพุทธเจ้าโปรด เหมือนพวกชฎิล 3 พี่น้อง เป็นหัวหน้าเผ่า มีหมู่ใหญ่ๆ ถ้าอาตมาทำให้พวกหลับตาหรือแม้แต่เถรสมาคมก็ตาม ชัดเจนในเรื่องนี้ได้นะ เลิกเรื่องนั่งหลับตาสมาธิอย่างเดียว มาลืมตาปฏิบัติตามจรณะ 15 วิชชา 8 นี้ เท่านี้แหละ โอ้โห.. ศาสนาพุทธนี้ อาตมาว่าชาตินี้ ถ้าอันนี้สำเร็จแล้ว อาตมาตายตาหลับจริงๆ 

ปัจฉาหนักแน่นถาม ..ไม่มารอบสองหรือ? 

พ่อครูว่า..มาก็ได้ มาดูงาน 

โอ้โห.. สุดยอดเลย อาตมาก็ต้องทำอย่างนี้ ต้องปลุกหัวหน้าชฏิล ก็ลูกน้องหัวหน้าชฎิลก็เหลือแหล่แล้ว เพราะว่าคนสนใจ มันมีทุกสำนักเลยรวมไว้หมดแล้ว ถ้าได้หัวหน้าชฏิล ก็สบายแล้วโพธิรักษ์ โพธิรักษ์คือใคร อ๋อ สัมมา

มาเข้าใจว่ทิฏฐิที่อยู่ที่นี่สัตบุรุษอยู่ที่นี่ แต่ไปหลงมานานก็เพิ่งเข้าใจก็ ตายๆๆๆ หิริ อย่างแรงกล้า ด่าโพธิรักษ์เสียไม่มี ละอายอย่างแรงกล้า ก็เลยต้องรักอย่างแรงกล้า เคารพอย่างแรงกล้า  เกรงกลัวอย่างแรงกล้า แหม.. จะเป็นได้ไหมหนอ 

สู่แดนธรรม... พ่อท่านพูดอย่างนี้พวกลูกศิษย์ทางโน้นก็จะบอกว่า เห็นไหม ท่านยังเรียกร้องจะเอาอะไรอยู่ 

พ่อครูว่า... ไม่ได้เรียกร้องจะเอาอะไร แต่เป็นการสาธยายธรรม มานั่งเพ่งโทษ เรียกร้องเอาอะไร โพธิรักษ์ไม่เอาอะไรแล้วจริงๆ แสดงธรรมอย่างเดียว เพื่อจะให้เกิดปัญญารับรู้ความจริงพวกนี้ 

สู่แดนธรรม... ถ้าสมมุติว่าพ่อท่านทำสำเร็จในชาตินี้ บารมีของพ่อท่านจะเพิ่มขึ้นมั้ยครับ

พ่อครูว่า... เพิ่มสิ อาตมาก็จะทำบารมีที่ว่าคือ สามารถจะนำพาศาสนาพุทธให้กว้างขวางขึ้น ผู้ที่เป็นหัวหน้าคณะก็จะพร้อมมากับบริวารมากขึ้น มาเห็นดีเห็นด้วยว่าต้องเอาอย่างโพธิรักษ์นะ แต่ก่อนนี้อาจารย์เข้าใจผิด มิจฉาทิฏฐินะ ต้องมาเอาอย่างโพธิรักษ์นี่แหละถูก ก็จะมี หิริ ละอายเลย กลัวบาป มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ 

เพราะฉะนั้นผู้ที่จะไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะ ก็จะจมอยู่ในอวิชชา 

สัทธรรม 7 ของจรณะ 15 ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหุสัจจะ วิริยะ สติ  ปัญญา 

ถ้าศรัทธาไม่เปลี่ยนแปลง กับมิจฉาทิฏฐิ ที่ยึดมั่นถือมั่นอยู่ ก็จะไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะขึ้นได้เลย ไม่มี 

ถ้าเข้าใจถูกต้องเลย ใครก็ตาม ที่ได้ซัดอาตมา  จ้วงจาบอาตมาไปแล้วอย่างแรง ก็จะ หิริโอตตัปปะ ว่าไปว่าสัตบุรุษ ทั้งที่ตัวเราเองเป็นอสัตบุรุษ จะละอายเลย ถ้ารู้ตัวจะเกรงกลัวอาตมาเลย นี่สัจจะเป็นอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นเทวธรรมอันนี้จะเกิดได้ ไม่ง่าย คนที่จะสำนึกจะรู้ตัวว่าตัวเองผิด โดยเฉพาะตอนยังมีชีวิตอยู่ร่วมกันนี้ โอ้โห.. อัตตามานะอะไรต่ออะไร มันค้ำคอ ลาภยศ สรรเสริญ โลกียสุขมันค้ำคอ 

สู่แดนธรรม... ถ้าเขาเป็นเช่นนั้นจริงมีหิริโอตตัปปะสำนึกใหม่ บารมีของเขาจะเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นใช่ไหมครับ 

พ่อครูว่า... ใช่สิ ก็จะหันมาสนใจที่อาตมาพูดอธิบาย ที่เขาไปยึดติดอยู่อย่างนั้นมันต้องผิดแน่นอน แต่เขาไม่เชื่อหรอกว่าอาตมาถูกเขาผิด เขาก็เชื่อว่าอาตมาผิด เขาถูก ใช่ไหม มันต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นเขาจะไปฝืนอยู่ทำไม เขาต้องการนะ เขาปรารถนา หลายคนบวชมาตั้งแต่เป็นเณร แสวงหามาทั้งชีวิต อย่างมหาประยุทธ์ เป็นต้น พระพุทธโฆษาจารย์ 

สู่แดนธรรม... หลายคนไม่อยากมาหิริโอตะกับพ่อท่าน เพราะว่าเหลือตำแหน่งลาภยศจะสูญเสีย เขาคิดว่าพ่อท่านจะได้ความดีความชอบ 

พ่อครูว่า... เขาจะลงจากบัลลังก์ไม่ได้ อาตมาไม่ได้มีตัวมีตนอะไร อาตมาดีชั่วไม่เอาความสุขความทุกข์ไม่เอา อาตมาไม่เอาสภาพ 2 ใดๆ เลย อาตมา อนุปคัมมะ ไม่เข้าไปใกล้ส่วน 2 ทั้ง 2 อย่างเลย ดีชั่วก็ไม่เอา สุขทุกข์ก็ไม่เอา เจริญหรือต่ำก็ไม่เอาทั้งนั้น 

สู่แดนธรรม... พ่อท่านเหน็ดเหนื่อยเพื่ออะไร 

พ่อครูว่า... เพื่อศาสนาอันยิ่งยอดของพระพุทธเจ้า ไม่ได้ทำเพื่อตัวตนส่วนใดส่วนหนึ่งของเราเลย นี่พูดอย่างจริงใจ จะบอกว่าอวดอุตตริมนุสสธรรม ก็อวดสุดใหญ่เลยนะ อวดสุดบริบูรณ์เลยนะ ฟังธรรมะดีๆ อาตมาพูดแต่ความจริงทั้งนั้น อาตมาจะพูดความไม่จริงไม่ได้ อาตมาพูดมีแต่ความจริงทั้งนั้น 

แม้ว่าอาตมาตำหนิหรือใช้คำหนักว่าด่าก็ตาม อาตมาตำหนิใคร ด่าใคร ก็เป็นความจริงใจ ที่จะต้องตำหนิ เพราะท่านยังหลงความมืดงมงายเราก็ต้องช่วย อาตมาไม่ใช่คนใจดำ อาตมาเป็นคนมีเมตตาจริงๆ เกื้อกูลช่วยเหลือ ต้องทำ มันเป็นหน้าที่ของพระพรหม 

สมณะเดินดิน... สรุปจบ


 


เวลาบันทึก 02 ธันวาคม 2564 ( 19:52:42 )

641119

รายละเอียด

641119_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ประเด็นโลกุตระจากงานศพอาจารย์สมเกียรติ

https://www.boonniyom.net/51218.html  

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1Ucf1pUnYjSOV73yW-Bvrh2uijvW9IFh8wiA9d8vldK0/edit?usp=sharing 

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1r7ezPb1w2T9y-gYV3YS-ESryd5YO5G-p/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/WVFL45Yb-0M และ https://fb.watch/9nlqF_KoCQ/ 

 

สมณะเดินดิน...วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2564 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ที่บวรราชธานีอโศก เราไม่ได้ฟังธรรมจากพ่อครูมาหลายวัน เนื่องจากมีงานศพอาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ มาเป็นวาระพิเศษ เป็นกรณีพิเศษขึ้นเกิดโดยธรรมชาติ เราจัดงานถ่ายทอดสดงานศพถึง 4 วัน จัดแบบไม่ได้เขียน script มาก่อน แต่ก็เป็นความลงตัวที่เกิดขึ้นได้ 

ที่สีมาอโศกปกติไม่ค่อยจะมีทีมงานบุญนิยมทีวีทีมใหญ่อยู่ แต่พอดี มีดินนาและเอกเต็มบาตร เดินทางมาที่นั่นพอดี ก็เลยเกิดการเชื่อมโยงให้เกิดการถ่ายทอดสด เป็นการลงตัวตามลำดับ พ่อครูว่า ลงตัวก็ดีแล้วดีกว่าลงหัว ลงหัวคือคิดกันจนหัวยุ่ง แต่พวกเราลงตัว เพราะแต่ละคนมาช่วยกัน 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ประเด็นโลกุตระจากงานศพอาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ 

พ่อครูว่า...พูดถึงงานศพของอาจารย์สมเกียรติ มันเป็นประเด็นที่ทำให้สังคมเกิด question Mark ขึ้นมาอยู่หลายประเด็น 

ประเด็นที่หนึ่งก็คือ ทำไม อาจารย์สมเกียรติจะต้องสั่งครอบครัวให้มาจัดงานศพที่สีมาอโศกที่ชาวอโศก ทำไมจะต้องสั่งอย่างนี้ 

ประเด็นนี้ก็ขอไขความว่า 

อาจารย์สมเกียรตินี่ เป็นโพธิสัตว์ ก็พูดไปแล้วบอกไปแล้ว ไม่ได้พูดเล่น เรื่องพวกนี้พูดเล่นพูดพล่อยบาปกินตายเลย มันเป็นเรื่องสัจธรรม  กรรมเป็นอันทำ  ทำเล่น ทำหัวไม่ได้ เช่นพระพุทธเจ้า ใครอย่าไปด่าพระพุทธเจ้าเล่น เป็นเรื่องสัจธรรมไปด่าพระพุทธเจ้าได้อย่างไร บาปกินหัวเท่าไหร่ มันเป็นเรื่องสัจธรรม 

อาจารย์สมเกียรติเป็นโพธิสัตว์ย่อมรู้ว่า ศาสนาพุทธคืออะไร อันนี้สำคัญมาก อาจารย์สมเกียรติรู้ว่าศาสนาพุทธคืออย่างนี้ คืออย่างที่เราชาวอโศกทำ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ในชีวิตอาจารย์สมเกียรติไม่ค่อยได้ไปวุ่นวายกับวัดอื่นที่ไหนเท่าไหร่ ทั้งๆที่อาจารย์สมเกียรติเป็นคนของสังคม เป็นคนกว้างขวางในสังคม แต่ก็ไม่ตามใจสังคมในจุดนี้เลย 

แต่ก็ไม่ได้แข็งกระด้างจนเกินควร ก็ดูทำได้ดีทีเดียว แต่ตอนนี้อาตมาเอามาพูดไขความ เพื่อให้รู้ว่า ในมนุษยชาติมีจิตที่เป็นปัญญา ปัญญาเป็นธาตุรู้ของพระพุทธเจ้าที่ค้นพบ ไม่ใช่เป็นปัญญาของโลกีย์ทั่วไปที่เขาเข้าใจกัน 

อาตมาพยายามอธิบายเอาปัญญา 8 ของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกเล่ม 23 มาขยายความ ตอนนี้เขียนเข้าไป 500 กว่าหน้าแล้ว ก็ยังไม่จบ ทวนไปทวนมา ขยายแล้วขยายอีก เอาพระสูตรอื่นๆมาประกอบ ตอนนี้ไปเจอ สูตร อภิภู อภิภายตนะ 8 เอามาขยายอีกยิ่งซับซ้อนลึกซึ้งละเอียด แต่เชื่อว่าเขียนไปพูดไปทำเอาไว้ คนไม่ค่อยเข้าใจได้ง่ายๆหรอก คนไม่สนใจจะอ่านจะรู้เท่าไหร่ แต่ก็ต้องทำไว้ อาตมาต้องทำเอาไว้ ไม่ใช่ดูถูกคนนะ แต่มันเป็นสถานะที่แท้จริง สถานะของคนยุคนี้ เป็นสถานะที่คนไม่มีภูมิธรรมทางโลกุตรธรรม ปัญญาเป็นความรู้ทางโลกุตรธรรม ไม่ใช่แค่ความรู้โลกียะเท่านั้น 

คนก็ยังยาก คำว่าความรู้ ในภาษาไทยไม่มีคำอื่น นอกจากจะใช้คำว่าปัญญา คำว่า เฉโก เป็นความรู้ความฉลาดแต่เป็นความรู้ความฉลาดที่ประดาโลกียชน ปุถุชนเขามีกัน แต่เขาไม่เข้าใจกันแล้ว เอาเฉโกมาเรียกว่าเป็นความรู้เขาก็จะงง เขาจะรู้ว่า เฉโก เป็นความรู้ขี้โกงความรู้ที่มีกิเลสปนอยู่ 

ความรู้ที่ไม่มีกิเลสจึงจะเรียกว่าปัญญา อย่างน้อยที่สุดความรู้ที่คุณพยายามไม่ให้มีกิเลสเข้าไปร่วมได้ ความรู้ตอนนั้นอันนั้น ความรู้ที่คุณแสดงออกไปนั้น ทางกาย ทางวาจา ที่ไม่มีกิเลสเข้าไปร่วมปรุงเข้าด้วย อันนั้นจึงจะเรียกว่าความรู้ที่เป็นปัญญา 

ขณะใดที่คุณแสดงความรู้ออกไปแล้วมีกิเลสร่วมไปนั้น ไม่ใช่ปัญญาสักตัว มันยังไม่บริสุทธิ์บริบูรณ์ด้วยกิเลส 

อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งไม่ใช่จะเข้าใจกันได้ง่ายๆ 

เพราะฉะนั้น ธรรมะที่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่สำหรับมนุษยชาติ โดยเฉพาะธรรมะ ขั้นโลกุตระที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ จึงเป็นสุดยอดในการเกิดมาเป็นคน แล้วก็มาได้ปัญญา นอกจากได้ปัญญาแล้ว ปัญญานั้นเอามาปฏิบัติที่ตนเอง จนกระทั่งผู้มีปัญญาก็จัดการกับตัวเอง ให้ตัวเองอยู่ในสถานะที่ดีที่สุด 

เช่น เจ้าชายสิทธัตถะ มีปัญญา เกิดปัญญาแล้วจัดตัวเองให้อยู่ในสถานะที่ดีที่สุดคือเป็นคนอย่างไร เป็นคนไม่มีอะไรเลย ทั้งๆที่ท่านเป็นเจ้าของแผ่นดินในแคว้นของท่าน เป็นเจ้าของทรัพย์สิน  เป็นเจ้าของอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นเจ้าของอำนาจในหมู่ชนคนทั้งหลาย ท่านก็ไม่เอาสักอย่าง โยนทิ้งหมดเลย มาเดินพระบาทเปล่า ไม่เอาทรัพย์ศฤงคารอะไรเลย 

แล้วก็มาให้ปัญญาหรือมาให้ความรู้สถาปนาปัญญาลงไปในมนุษยชาติ จนมนุษยชาติรับได้ อจินไตยก็คือ ยุคพระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็ต้องมีคนที่มีภูมิธรรมมารองรับ ถ้าไม่เช่นนั้นจะเป็นศาสนาไม่ได้ มันต้องมีความจริงอันนั้นพร้อมด้วย 

อย่างยุคนี้นี่ ก็มีพวกคุณนี่แหละ จำนวนหนึ่ง จนอาตมาตายมันก็ไม่มากหรอก ไม่มาก มันจะต้องมีจำนวนหนึ่ง ที่คนจะมารู้โลกุตรธรรม นี่เป็นสัจธรรมที่สำคัญ 

แล้วคนอย่างพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เป็นคนเหมือนเราทุกคน สุดท้ายท่านแสวงหาแล้วก็ได้สิ่งที่สูงสุด จนกระทั่งสุดท้ายท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตายชาติสุดท้ายที่เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านก็เลิกเกิด จิตนิยามของท่านหายไป อัตภาพของท่านก็สูญสลายไป เป็นดินน้ำไฟลม ที่อาตมาไขความไปแล้ว อธิบายสัจธรรมสุดท้ายพวกนี้จนหมดสิ้นแล้ว 

เพราะฉะนั้นเกิดมาเป็นคนหนึ่งคน ได้อัตภาพมาตั้งแต่เป็นชีวะ จิตนิยามเซลล์เดียว จนพัฒนามาเป็นมนุษย์ไม่รู้กี่ล้านชาติ กว่าจะได้มาเป็นคน จากเซลล์ ตั้งแต่แบคทีเรียจนถึงเป็นสัตว์ จนกระทั่งเป็นสัตว์ที่มีเซลล์ไม่รู้กี่ล้านเซลล์ จนกระทั่งมาเป็นสัตว์ สัตว์น้ำ สัตว์บก 2 ขา 4 ขา จนกระทั่งมาเป็นคนได้ แล้วพัฒนาจากคน จากปุถุชนมาเป็นอาริยะ กว่าจะจบอรหันต์ แล้วก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ นี่คือใบไม้กำมือเดียวที่ศาสนาพระพุทธเจ้าสรุปไปให้แต่ละคนรู้ความจริงอันนี้ แล้วก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ 

และ ตัวเองจะเป็นได้ จะแยกธาตุจิตนิยามของตัวเองเป็นดินน้ำไฟลมได้ แต่ยังไม่แยก ตายแล้วก็กลับมาสืบทอดธรรมะพระพุทธเจ้า หรือสืบทอดธรรมะอันยิ่งใหญ่โลกุตระนี้ต่อไปอีก ให้มันยืนยาวที่สุดเท่าที่มันสมควรจะอยู่ ของพระสมณโคดมควรอยู่เท่านี้ ของสมณะโกนาคมโนควรอยู่เท่านี้ ของสมณะกัสสปะจะอยู่เท่านี้ แต่ละพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ก็สมกับความเป็นจริงที่ต้องเป็นจริงอย่างนั้น จะนานเท่าใดอย่างไร ก็ตามสัจจะที่มี ท่านได้ระบุไว้หมดแล้ว 

เหมือนกับที่ทางเทวนิยมเชื่อว่า ทุกอย่างพระเจ้าบันดาล ตีกรอบไปหมดแล้ว สั่งการจะต้องเป็นอย่างนี้ๆ พระเจ้าจัดการไว้หมดแล้ว อย่าทำให้พระเจ้าท่านโกรธก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นท่านเปลี่ยนแปลงให้ไปลงนรก ไม่อย่างนั้นก็เอาใจพระเจ้าไว้ดีๆ ก็อย่างนั้นทั้งนั้น 

สรุปแล้วเกิดมาเป็นคนได้ เกิดธาตุรู้ธาตุปัญญา ก็จะรู้ความจริงสูงสุดว่า อ๋อ.. เกิดมาแล้ว ธาตุชีวะชีวิตเป็นจิตนิยาม กี่ล้านๆชาติก็วนเวียน สุขๆ ทุกข์ๆ สูงๆ ต่ำๆ ร่ำรวย จน ทรมานทรกรรม หรือสบายไปตามเรื่องตามราว รู้เรื่องกรรมวิบาก 

ศาสนาพระเจ้า ศาสนาเทวนิยมไม่รู้จักกรรมวิบาก ไม่รู้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นศาสนาที่น่ากลัว แต่ก็บังคับไม่ได้ จะน่ากลัวยังไงก็ต้องเป็นไปตามนั้น ต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมานไป ศาสนาพุทธจึงหมดความกลัว บรรลุอย่างพระอรหันต์บรรลุแล้ว ไม่ได้กลัวอะไรจะเกิดจะตายอย่างไร หรือจะเกิดอีกๆๆๆๆ ไม่ยอมสลายเป็นดินน้ำไฟลม อย่างเช่นอาตมาจะบำเพ็ญโพธิสัตวภูมิไปอีกเรื่อยๆก็ได้ จะให้นานไปอีกก็ได้ เหมือนพระอวโลกิเตศวร เจ้าแม่กวนอิม จะอยู่ไปอีกเท่าไหร่ เป็นนานนิรันดร ก็อยู่ไปสิ นี่เป็นเรื่องอจินไตย เป็นเรื่องที่คิดเล่นๆไม่ได้ แต่เป็นเรื่องจริงที่ลึกซึ้งสูงสุด

พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พอท่านตรัสรู้สิ่งที่สูงสุดแล้วในความเป็นคน เป็นสัตว์โลก ก็ไม่เอาอีก ท่านมีสมบัติพัสถาน มีสถานะ มีทรัพย์สินต่างๆนานา ท่านก็ไม่เอา ปล่อยให้พวกบ้าๆบอๆไปหลงแย่งชิงกันไป ท่านไม่เอาแล้ว ฟังเข้าใจไหม มันง่ายๆ แต่มันยากๆนะ อะไร? 

ก็นี่แหละ ก็ตรัสรู้สูงสุดแล้วเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านไม่เอา ไอ้ที่โลกมันแย่งมาตลอดไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์ สมบัติผลัดกันชม เขาไม่รู้หรอก พระพุทธเจ้าท่านไม่แย่ง ถ้าท่านอยู่เป็นฆราวาส เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท่านจะเป็นจอมจักรพรรดิเลย ยิ่งกว่าเจงกิสข่าน เพราะจะเป็นจอมจักรพรรดิจริงๆ เป็นจอมจักรพรรดิโลกุตระ ไม่ต้องไปฆ่าแกงทำร้ายใคร ไม่ต้องล่าเมืองขึ้น แต่ประเทศต่างๆ 

ในสมัยพุทธเจ้ามีแคว้นต่างๆในทวีปอินเดียจะมาขึ้นอยู่กับพระพุทธเจ้าหมด เพราะฉะนั้นจะเป็นใหญ่ ใหญ่ยิ่งกว่าพระเจ้าปเสนทิโกศล ใหญ่กว่าพระเจ้าพิมพิสารในยุคนั้นที่เป็นแคว้นใหญ่ 2 แคว้นในทวีปอินเดีย จะใหญ่กว่าเลย ท่านจะเป็นจอมจักรพรรดิ  แต่ท่านไม่เอาอะไรเลย เสื้อผ้าหน้าแพรก็ไม่เอารองเท้าทองก็ไม่เอา ถอดรองเท้าฝ่าพระบาทเปล่า เสื้อผ้าก็ไม่เอา เอาผ้าห่อศพมานุ่งห่ม 

ท่านตรัสรู้นะ มีความรู้สูงสุดนะ และท่านก็ทำตลอดพระชนม์ชีพ จนกระทั่งปรินิพพานไปก็จบ ท่านค้นคว้า ค้นหา จนกว่าจะได้ความเป็นพระพุทธเจ้ามาไม่รู้กี่ล้านชาติ อย่างอาตมา เป็นโพธิสัตว์ กว่าจะรู้ว่า 

โอ้โห..คนเรากว่าจะสูงสุดมันแค่นี้เอง แต่มันโอ้โห สูงสุดที่สุดจริงๆ สูงสุดที่สุดก็คือต่ำสุด ไม่มีอะไรไม่เอาอะไร มีทุกอย่างที่มนุษย์จะพึงได้พึงเอา ท่านกลับไม่มีไม่เอา 

“มี” ที่ไม่มีประมาณเท่ากับ 0 สนิทเลย เท่ากัน แล้วท่านก็เลือกเอา 0 ไม่ไปเลือกเอาอย่าง “มี” ที่ไม่มีประมาณ 

ซึ่งมันเกินกว่าที่คนจะคิด เพราะฉะนั้นศาสนาที่ยังไม่เข้าใจโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าจึงยากมาก 

อาตมาก็ภูมิใจอย่างยิ่งเลยที่มีความรู้น้อยนิด เป็นโพธิสัตว์ ไม่ได้เป็นโพธิสัตว์อะไรเท่าไหร่หรอกแค่นี้แหละ เกิดมาในยุคนี้ คนในศาสนาพุทธกระแสหลักเขาก็บอกว่าหลงตัวหลงตนบ้าๆบอๆ เขาก็มองอย่างนั้นด้วยซ้ำ ขนาดศาสนาพุทธ แต่มีคนมาเข้าใจก็หยิบนึง (ทำมือกอบมา) มีเท่านี้ กอบเดียว ได้เท่านี้ เอ๊าะเจ๊าะ แต่มันก็สำคัญ 

อาตมารู้ตัวเองอาตมามาทำงานก็เหมือนกัน แต่ไม่ได้เท่าพระพุทธเจ้านะ ไม่เอางานทางโลกมาทำงานทางธรรม ไม่ได้สงสัยลังเล  ไม่ได้งง ไม่ได้สับสน ไม่ได้ต้องการลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอะไร มันต้องเป็นอย่างนี้ มันต้องมาเป็นอย่างนี้ไม่เป็นอื่น ไปเป็นอื่นมันไม่เอา มาเอาอย่างนี้ จะถูกด่าถูกว่า จะถูกเข่น เอาเป็นเอาตายอย่างไร ก็ต้องมาทำงานนี้ ไม่ทำงานนี้จะทำงานไหน งานนี้เป็นงานที่สุดยอดแล้ว อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านเป็น อาตมาก็ต้องเอางานนี้เป็นงานหลักไปอีกไม่รู้กี่ชาติจนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสานเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง หรือ รีไทร์ตนเอง อาตมาไม่รีไทร์ตนเอง ไม่ 

อาตมาพูดไปอย่างนี้พวกเถรวาทหรือพวกชาวไทย เขาฟังแล้ว ก็อาจงง หากอาตมาเกิดในแดนมหายาน จะถูกประคบประหงมไม่ได้เรื่องหรอก จะได้รับการสรรเสริญ 

การได้รับการสรรเสริญนี้ มันเป็นเรื่องต่ำทราม คำตรัสของพระพุทธเจ้านี้ก็สุดยอด ไม่มีค่าควรแก่การให้เกิดการละหน่ายคลายอะไร จริงไหม?... จริง คมเสียจนไม่รู้จะคมอย่างไร มันคม อย่าไปแตะเชียวนะ เข้าไปใกล้ก็บาดแล้ว คมสุดยอดจริงๆ 

 

เอ้า เดี๋ยวดู sms ก่อน

สมณะเดินดิน... พ่อท่านพูดประเด็นเดียวอยู่เลยครับมีประเด็นอื่นอีกยังไม่ได้พูด 

พ่อครูว่า... ข้อสังเกตประเด็นอื่นก็ขอแวะนิดหน่อย ในฐานะที่ทวง

 

พ่อครูว่า... ที่อื่นๆก็มองเพ่งมา เพราะว่าอาจารย์สมเกียรติ เป็นคนที่ลูกก็ยังไม่เข้าใจ แต่เมื่อพอตายลงลูกก็เข้าใจ ฉันเดียวกันกับคนที่ยังไม่เข้าใจอาจารย์สมเกียรติ จะเข้าใจยิ่งขึ้นเลย แม้แต่ชาวพุทธกระแสหลัก ก็จะคิดว่า น่าคิดนะ ทำไมคนที่เป็นคนของประชาชน และเป็นคนของประชาชนที่มีสาระเป็นสาระ ที่เป็นสาระเนื้อแท้ของสังคมด้วย 

ไม่ว่าจะทางด้านเศรษฐศาสตร์  ทางด้านรัฐศาสตร์ หรือด้านของสังคม อาจารย์สมเกียรติมีพอ เพราะฉะนั้นก็ทำให้คนสะดุด นักศาสนาจะสะดุด 

และที่สำคัญคือ จะเกิดการเชื่อมต่อ ไม่มีใครกล้าเข้ามาในแดนของอโศก เขาเรียกว่าแดนสนธยา เมืองลับแล ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้ามา แต่คนมาเพราะอาจารย์สมเกียรติ เข้ามาเยอะทีเดียว ขนาดคนอย่างสนธิ ลิ้มทองกุล ยังก้าวเข้ามาได้ตั้ง 1 วัน ฟังดีๆก็แล้วกันหมายความว่าอย่างไร เพราะ อาจารย์ของสนธิเขาก็คือมหาบัวที่อาตมาว่า คืออย่างไร มีความซับซ้อนนัยยะลึกซึ้งหลายอย่าง ก็ยังต้องมา 1 วัน ทั้งๆที่มีงานตั้ง 3-4 วัน มีอะไรอีกเยอะแยะ เกิดสภาพต่างๆเป็นรายละเอียดปลีกย่อย แต่พูดแค่นี้ก็แล้วกัน

 

SMS วันที่ 12-14 พ.ย. 2564

SMS วันที่ 9 พ.ย. 2564

_ใบฟ้า ธัมทะมาลา : กราบขอบพระคุณพ่อครูด้วยเศียรเกล้าที่กรุณาเปิดโอกาสให้ลูกๆที่พร้อมดำเนินการเกี่ยวกับการรักษาด้วยstem cell ถวายเป็น"โพธิบูชา"แด่พ่อครู สาธุๆๆค่ะ

พ่อครูว่า...หมอก็ยังไม่รับรองกันนะ

 

_พรทิพย์ มุ่งกลัด : ตามความเข้าใจของตัวเอง stem cell ในทางโลกุตระหมายถึง หมู่ชนชาวอโศกที่เป็นตัวอย่างในการปฏิบัติให้พ้นทุกข์และแบ่งปันเป็นการักษาโรคทั้งทางกาย และใจค่ะ

 

_ตุ๊ก อัศวิน : ขอโอกาสเจ้าค่ะ..'ไท' vs 'ไทย" มีนัยยะต่างกันอย่างไร..เจ้าคะ

พ่อครูว่า...ต่างกันตรงมี ย.ยักษ์ กับไม่มี ย.ยักษ์ ส่วนความหมายก็อันเดียวกันหมายถึงอิสรเสรีภาพ 

 

SMS วันที่ 11 พ.ย. 2564

_พลอยแผ้ว ชาวหินฟ้า : กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพนับถืออย่างสูงค่ะ จากคำกล่าวที่ว่า ไทย, ลาวเป็นพี่น้องกัน ไทยเป็นพี่, ลาวเป็นน้อง แต่ความรู้สึกของคนลาวเขาบอกว่า ลาวเป็นพี่ไทยเป็นน้อง และที่ดิฉันศึกษามาพบว่าวัฒนธรรมลาวเป็นวัฒนธรรมที่เรียบง่ายและดีที่สุด ถ้างั้นเราจะกล่าวว่าลาวเป็นพี่ไทยเป็นน้อง คนไทยก็จะได้ลดอัตตามานะด้วย จะดีและสร้างสรรกว่าไหม? เพราะพี่หรือน้องก็แค่สมมุติ นี่คิดผิดไหมคะ?

 

_Thanaphat Samanchai (ธนาพัฒน์ สามัญชัย) : วิชาพุทธศาสตร์มหาวิทยาลัย มหาจุฬาฯ(มจร.)สอนดีไหมครับพ่อท่าน

พ่อครูว่า...เอ๊ มีมหาวิทยาลัยสอนโจรหรือไม่ ถ้ามีก็เป็นมหาวิทยาลัยไม่ดีแน่ๆ แต่นี่ไม่ได้สอนโจรนะ แต่ก็เป็นวิทยาลัยที่ดีแน่ แต่ก็มีทิฏฐิของแต่ละมหาวิทยาลัย มีจุดหมายมี aim มีเป้าอะไรก็ว่าไป ของเราเป็นอนุวิทยาลัย อนุโรงเรียน ก็มีเป้าหมายของเรา มี goal ของเรา

 

_พลอยแผ้ว ชาวหินฟ้า : ขอกราบเรียนถามพ่อครูอีกนิดว่า อยู่กับปัจจุบันมากที่สุดตามที่สติจะระลึกได้ ขจัดตัวถีนมิทธะที่มักซ่อนแฝงมาทำให้ตื่นไม่เต็ม ถ้าพลาดก็ไม่วนกับอดีต ส่วนอนาคตเป็นการวางแผนในระยะสั้นที่จะทำตามนั้นแล้วกลับมาอยู่กับปัจจุบัน อย่างนี้ถูกไหม? คะ

พ่อครูว่า...ถูก ดี พวกเราเข้าใจธรรมะกันดีขึ้นเรื่อยๆนะ 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน คำว่า กาย นั้นลึกซึ้ง ตั้งแต่ต้นจนจบในการปฏิบัติธรรม 

_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ลูกได้ฝึกพรากกับสิ่งที่รักและยึดติดมากค่ะ 3 ชั่วโมงแรกไม่มีอาการ พอเข้าชั่วโมงที่ 4 ลูกก็มีอาการเศร้าและทุกข์มากค่ะ  อาการที่เศร้า ทุกข์ ไม่ใช่ปัจจุบัน อย่างนี้ เป็น "กาย" ไหมคะ 

พ่อครูว่า...คำว่า กาย มันลึกซึ้ง เป็นทั้งเริ่มต้นและเรื่องจบ 

เช่น ผู้ที่ศึกษาธรรมะพุทธเจ้าจะมาบวช พระพุทธเจ้าท่านมีวินัยเลย ต้องสอนแยกกายแยกจิตให้ได้ มันแยกไม่ได้แต่ต้องแยกให้ได้ ถ้าแยกไม่ได้ก็ไม่รู้ คือ กายกับจิต นี้ มันแยกกันไม่ออก 

กายคือจิต จิตคือกาย แต่ต้องแยกให้ออกว่ามันมีความต่างกัน ลิงค มันเป็นเพศที่จะต้องอยู่ร่วมกัน และอยู่กันอย่างแยกกัน แม้ภาษาก็พูดยากแล้ว

สังโยชน์ 10 ข้อแรกก็ต้องพ้นมิจฉาทิฏฐิในเรื่องของกาย และต้องรู้ความหมายของกาย ต้องรู้ความหมายของสักกายะ ต้องรู้ที่จิตและกายของตนเองให้ได้ เป็นข้อแรก 

ปฏิบัติธรรมมะโลกุตระของพระพุทธเจ้าข้อแรกก็ต้องปฏิบัติ กายในกาย คุณไม่พิจารณา กายในกาย แต่ไปพิจารณาแต่ จิตในจิต ก็เป็นโมฆะบุรุษทางศาสนาพุทธ ไม่ได้มีทางบรรลุธรรม 

เพราะฉะนั้นการนั่งหลับตา อาตมาได้แต่สงสารไม่รู้จะทำอย่างไร ถึงจะปลุกให้ตื่นขึ้นได้ โอ้ย! พญานาคเอ๊ย เป็นพญานาคอยู่ใต้ก้นบึ้งบาดาลจริงๆ เสียงอาตมา ไม่ใช่เสียงถาดทองคำของพระพุทธเจ้าที่จะกระทบกับถาดใบเก่าของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ที่จะทำให้พญานาคค่อยจะรู้สึกตัวว่า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาอีกองค์หนึ่งแล้วเหรอ พอรู้สึกตัวขึ้นมาเท่านั้นแหละ แล้วก็หลับต่อไป จนกว่าพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งจะมาอุบัติขึ้นในโลก แล้วก็จะมีเสียงกระทบถาดทองอีก ค่อยรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีหนึ่ง ค่อย ตีงคีง(ภาษาอีสาน) คือรู้สึกตัวขยับตัวขึ้นมาหน่อย อ๋อ.. พระพุทธเจ้าเกิดอีกองค์นึงแล้วหรือ ว่าแล้วก็หลับต่อไป คือ คำเปรียบเปรย อุทาหรณ์ช่างสุดยอดจริงๆเลย 

เพราะฉะนั้นอาตมาแทงด้วยหอกเช้า 100 กลางวัน 100 เย็น 100 จ้างก็ไม่รู้สึก คีง(ตัว)หรอก ไม่รู้สึกตัวอะไรหรอก เหมือนไม่มีอะไรกระทบกับตัวเราเลย บ่ฮู้สึกคีง บ่ฮู่คีง ค่อยๆศึกษาไปนะ เอาปัจจุบันเป็นเอกก็ดีแล้ว 

 

_แดง ลานกราบ : ได้อ่านลำธารชีวิตแล้วรู้สึกมันมาก มันหยดติ๋ง ๆ เลย พ่อครูอธิบายได้ดีเยี่ยมจริงๆค่ะ จะพยายามทำตามเท่าที่กำลังมีนะคะ ขอขอบพระคุณที่มีพ่อครูมาให้ได้เจอค่ะ

 

_1945 : ดู MV.ของพี่โอ๋แล้ว เพลงดีสร้างสรรค์ชอบดูช่องนี้ชอบกิจกรรมชอบฟังธรรมจากหลวงพ่อ

 

_ตุ๊ก อัศวิน : ยุคนี้..สิ่งมอมเมา..พัฒนาจนตามไม่ทัน..แข็งแกร่งจนต้านไม่ไหว!! ข่าวว่า..Metaverse..คือ โลกเสมือนจริง ด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมของโลกแห่งความจริงและเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน จนกลายเป็น "ชุมชนโลกเสมือนจริง" ฟังแล้ว..ให้ปริวิตกมาก..เจ้าค่ะ!!!

โลกในปัจจุบันนี้..มนุษย์(ผู้มีอาการ32)..ถูกหลอก..ถูกลวง..(ด้วยอวิชชา)..ให้หลงใหล..จนได้ อาการที่33..ที่ทุกวันนี้ยังล้าง(อวิชชา)ให้เกิดมีสัมมาทิฎฐิ..ยังไม่แล้วนะคะ..ต้องมาเผชิญกับ Metaverse ที่กำลังจะมา..ให้หลงใหล..ในมิช้ามินานนี้แล้ว..!! น่าวิตก. นะเจ้าคะ!!

พ่อครูว่า...อย่าไปหอบโลกมาเป็นของเราเลย เขาจะทำเราก็ไปห้ามเขาไม่ได้ อาตมาอธิบายธรรมะมา คุณเข้าใจว่ามีอาการที่ 33 เกิด เท่านี้อาตมาก็คุ้มแล้ว 

อาการ 33 เป็นอาการบ้าๆบอๆที่คนอุปาทานขึ้นมา หลงว่ามี ตาวติงสา หรือดาวดึงส์ เป็นแดนที่จะต้องได้ ว่าเป็นแดนแห่งความสุข คุณคนนี้อธิบายมา แสดงว่าเข้าใจ 

แต่ คุณจะไปเอาเรื่องอะไรกับมันเล่า ก็ปล่อยมันมา มันจะมาจะไปก็อย่าไปยุ่งอะไรกับมัน ไม่ไปยุ่งอะไรกับมันหรอก 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สมณะเดินดิน... ที่พ่อครูบอกว่า พระพุทธเจ้ามาทำสิ่งที่ดีที่สุด คือ มาสู่ ความไม่มีอะไร ไม่เอาอะไร ไม่เป็นอะไร มาเป็นคนจน (พ่อครูว่า... พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ) สมัยเทียบกับสมัยเรา พระพุทธเจ้าลำบากกว่าพวกเราเยอะ เพราะบางทีมีตำนานว่า พระพุทธเจ้าต้องฉันปลายข้าวกับน้ำส้มผักดอง เพราะอาหารไม่มี มีพระที่ต้องอวดอุตริมนุสธรรมเพื่อให้คนเอาอาหารมาให้ฉัน อย่างนี้เป็นต้น ขาดแคลนมาก แต่พวกเรา มีสาธารณโภคีรองรับ เราจะจนหรือไม่อย่างไรก็มีสาธารณโภคีรองรับตั้งแต่เกิดจนตาย จากครรภ์มารดาสู่เชิงตะกอน ของพวกเราดูแลกันดีๆ อุดมสมบูรณ์ การที่เราจะไปสู่ความไม่มีมันจะง่ายกว่าใช่ไหม ในสมัยโน้นพระก็ลำบาก ไปสู่ความไม่มีลำบากกว่าเรา แต่อุดมสมบูรณ์ จึงไม่ต้องไปมีไปเก็บเงินหาเงินสำรองอะไรเอาไว้ เป็นโอกาสทองที่เราน่าจะบำเพ็ญได้ และพ่อครูว่า สาธารณโภคีไม่ได้เกิดบ่อยๆ เป็นล้านปีจะเกิดซักครั้ง ถึงขนาดครั้งนี้แล้วเราก็ยังสลัดไม่หลุด ก็คงจะต้องไปเกิดในยุคทมิฬ ถูกบังคับ แต่สมัยนี้หากเราสมัครใจบำเพ็ญเองก็เป็นโอกาสของเรา คนอยู่กับพวกเรา คนไม่มีอะไรก็มีความสุขที่สุด แต่คนที่มีมากก็ลำบาก ยิ่งอยู่บ้านราชฯถ้ามีมาก น้ำท่วมทีนึง ก็ลำบากท่านมือมั่น ต้องพาคนไปขนของให้ เป็นโอกาสพวกเราที่ยิ่งไม่มีอะไร ยิ่งอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ได้ 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน โทษของวิจิกิจฉา 5 ประการ

พ่อครูว่า... ต่ออีกนิดนึง มนุษย์อย่างพวกเรานี้ เป็นมนุษย์อะไร? ชาวอโศก มาเข้าใจได้อย่างไร มาเชื่อได้อย่างไร เอาชีวิตมาอย่างนี้ได้อย่างไร แค่นี้อาตมาก็ “งึด” ใครไม่ “งึด” ก็ช่าง มันเป็นตางึดอีหลี!อีหลอ! 

ลองคิดดูสิ ว่าคุณมาได้อย่างไร มาสนิทใจกันบ้างไหมนี่ (โยมว่า สนิทใจ) มาแล้วสนิทใจด้วยนะ ไม่ละล้าละลังว่า เราบ้าหรือเปล่า? ไม่รู้หรือว่าเราบ้าหรือเปล่า ...ไม่บ้า หรือ บ้าก็บ้าวะ มันสนิทใจจริงๆ มันไม่มีลังเล ไม่มีวิจิกิจฉา

คำว่า วิจิกิจฉา เป็นตัวหนึ่งในนิวรณ์ 5 เป็นตัวสำคัญมากเลย ในเรื่องของอะไรก็แล้วแต่สำหรับธรรมะพระพุทธเจ้า ถ้ามีวิจิกิจฉาไปไม่ออก 

คุณมาเรียนรู้ ถ้าคนจะมาเรียนรู้ศึกษาจากชาวอโศกแล้วมีตัววิจิกิจฉามา ก็ไม่ได้เลย ไม่ได้ ขนาดมาแบบไม่มีวิจิกิจฉาเลย ก็ยังออกไป มันไม่อยากไปเลย แต่ต้องออกไป มันไม่มีวิจิกิจฉาเลยว่ามันดีแน่ๆ แต่เราเอาเองเอาไม่ได้ ซึ่งมันไม่มีวิจิกิจฉานะ สำคัญมากเลย ไม่มีตัวข้องคาในจิตใจเลย 

โทษของวิจิกิจฉา 5 ประการ (ความลังเลสงสัยให้โทษ)

1. ทำให้ทุกข์  

2. ระกำช้ำระบม  

3. ไร้พลัง จิตไม่แล่น  

4. เนิ่นช้า บรรลุช้า  

5. เหยาะแหยะ ไม่เด็ดขาด  

เพราะฉะนั้นใครที่จะมาอยู่กับชาวอโศก หากยังไม่แน่เต็มร้อยนะ ลังเลยังข้องใจ ไม่ได้เรื่องหรอกมาก็ เข้ามาแปะๆแมะๆ ไม่ได้อะไรจากสัจธรรมหรอก 

เหยาะแหยะไม่เด็ดขาด ถ้ายังมีวิจิกิจฉาก็เด็ดอะไรก็ไม่ขาดหรอก เป็นใย ดีไม่ดี เป็นใย เหมือนเสลดอาตมา มันเหนียวจริงๆเลย เสลดออกมาแต่ละทีกว่าจะขาด เอาไปให้โรงงานอีพ็อกซี่เขาซื้อ มันเหนียวยิ่งกว่ากาวช้าง 

ในยุคนี้เป็นยุคใกล้กลียุคแล้ว ยังมีพวกคุณเป็นได้ นี่แสดงซึ่งสภาวะจริง มันพิสูจน์ความจริง อาตมาว่าอาตมาได้พาพิสูจน์ความจริงมาอย่างสำคัญ เอาชีวิตคนจริงๆ มามีชีวิตอยู่อย่างนี้จริงๆ ไม่อธิบายรายละเอียดต่างๆหรอก

มาจนกระทั่งกลายเป็นสาธารณโภคีได้ โอ้โฮ อาตมาภาคภูมิใจมากเลยที่ตนเองทำได้สำเร็จ มาทำให้เกิดสังคม สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ  เกิดจาก เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา  

ลาภที่ได้ก็เอามาเฉลี่ยเข้าส่วนกลาง ซึ่งคอมมิวนิสต์เขาก็ยังทำไม่ได้เลย แต่พวกเราทำได้สำเร็จ แล้วก็ศึกษากันไป ทิฏฐิสามัญญตา ศีลสามัญญตาไปตามลำดับ สุดยอด 

 

_Supatta Chandrasuwan (สุพัทธา จันทรสุวรรณ) : เถรสมาคมน่าได้อ่าน Bomb of Love เจ้าค่ะ ที่พ่อเขียน

พ่อครูว่า...คำว่า Bomb of Love ก็ไม่ได้เข้าใจกันได้ง่ายๆ ภาษาอังกฤษเขาใช้ Explosion เป็นแรงระเบิด แต่เป็นแรงระเบิดอย่างสร้างสรรค์ แต่คำว่า Bomb เขาว่าเป็นคำที่ใช้ลักษณะทำลาย 

ซึ่งเป็นพฤติการณ์ของสังคมมนุษยชาติที่เกิดขึ้นได้จริง อย่างที่โพธิสัตว์ไอสไตน์บอกไว้ให้ลูกคอยดู ว่า ในโลก จะเกิดลักษณะอาการของ Bomb of love แล้วก็มาเกิดที่ประเทศไทย แสดงความรัก ระเบิดออกมาเป็นหนึ่งเดียว เป็นการระเบิดที่มารวมกัน  ไม่ใช่ระเบิดที่ทำให้แตกสลาย 

(มีเสียงจุดพลุ ประทัด งานลอยกระทงดังเข้ามาในรายการพอดี)

พ่อครูว่า... เขาจุดกระโพก 

เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ที่ไอสไตน์เขาว่าไว้ Bomb of love เกิดขึ้นในเมืองไทย ซึ่งเป็นเรื่องแสดงถึงความรักที่ออกมา แสดงตัวออกมา ระเบิดออกมาจากจิตวิญญาณคน ออกมารวมกันเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่งดงาม ใครเห็นใครก็ต้องยกย่องเชิดชู ทุกคนเสียสละออกแรงงาน ออกทุนรอนมาอย่างเต็มใจ มันเกิดพฤติการณ์ที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ซึ่งอธิบายความยิ่งใหญ่นี้ยากอยู่ แต่มันก็เกิดแล้ว มันเกิดจริง สุดยอดเลย ยอดเยี่ยม แล้วเกิดที่เมืองไทย ที่คนไทย เกิดขึ้นมาได้ ยิ่งใหญ่ 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ข้อบ่งชี้ว่าศาสนาพุทธกระแสหลักไปผิดทาง 

_H.tw (เอช. ทีดับเบิ้ลยู) : ศรัทธากิจกรรมกลุ่มอโศกมานาน ใช้บริการสินค้าเป็นประจำ เคยคุยกับ prof.ชาวคานาดา เมื่อ 30 กว่าปีเกี่ยวกับกลุ่มอโศก และพาไปเยี่ยมชมสันติอโศก  prof. กล่าวว่า อโศก เป็น "peaceful community"

พ่อครูว่า... คนต่างประเทศเขามองออก เป็นโปรเฟสเซอร์ด้วย มองว่าเป็นดินแดนแห่งสันติ ชื่อก็เป็นสันติอโศกแล้ว เป็นชุมชนแห่งสันติ แล้วพวกเรามีสันติไหม ...สันติ 

เป็นเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องมุข ไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่จริงๆ ชีวิตจริงชีวิตจังเลย คนจะค่อยๆเข้าใจ โดยเฉพาะชาวต่างประเทศเห็น แต่คนไทยไม่เห็น โดยเฉพาะทางศาสนา 

ขอยืนยันนะ ว่า ชาวอโศกมาเป็นอย่างนี้ได้เพราะธรรมะพระพุทธเจ้า  เพราะศาสนาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ที่เป็นโลกุตระ แต่เถรสมาคมมองไม่ออก หาว่าเป็นเรื่องนอกรีตนอกทาง หาว่าจะมาทำลายศาสนา อันนี้ มันแสดงความจริง มันชี้บ่ง ให้เห็นว่าศาสนาพุทธกระแสหลักหรือส่วนใหญ่ นำพาศาสนาพุทธไปออกนอกทาง เป็นเดียรถีย์ไปแล้ว ที่อาตมาพูดนี้พูดอย่างไม่เกรงใจ มันไปผิดทางออกนอกทางไปแล้ว มันเสื่อมจริงๆ

พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่ามันจะเสื่อมในอนาคต แล้วจะมีคนมาสถาปนาความถูกต้องลงไปในธรรมะพระพุทธเจ้า อาตมามาทำหน้าที่นี้ อาตมาก็พูดความจริงนี่อย่างเฉยๆ พูดอย่างไม่มังกุ อุธัทจะ ไม่เก้อเขิน พูดอย่างไม่สะดุดใจ พูดอย่างจริงใจบริสุทธิ์ใจไป อาตมาไม่ได้สงสัยตัวเองไม่ได้สงสัยสัจธรรมพระพุทธเจ้า ว่า อาตมามาทำสัจธรรมพระพุทธเจ้า อาตมาเป็นตัวผู้ทำจริงๆ ก็บอกไปซื่อๆ เป็นคนซื่อ อาตมาสุดชื่อ แต่เขาก็มองไม่ออกก็ตามธรรมดาธรรมชาติ ถ้าเขามองออกก็ดีสิ เมืองไทยยังไม่มีกุศลเท่าไหร่ ได้เท่านี้ก็เอา 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน สายปัญญาตายปุ๊บเกิดปั๊บไม่ไปสุทธาวาส

_ธรรมธารทิพย์ วงษ์รักษ์ มาลิณี : ขอแสดงความอาลัยอย่างสุดซึ้ง คนดีไม่มีวันตาย อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ มาเกิดใหม่ไวไวนะคะ

พ่อครูว่า... ไวอยู่ ตายปุ๊บเกิดปั๊บ บางคนตายปุ๊บเกิดในท้องหมาปั๊บเลย บางคนเกิดปุ๊บลงนรกปั๊บ ไม่บางหรอกมีเยอะ คนที่ตายปุ๊บเกิดปั๊บ ก็เกิดมีวิบากดีจริงๆ 

อย่างอาจารย์สมเกียรติ เป็นคนมีวิบากกุศลโลกุตระ ตายปุ๊บเกิดปั๊บ มันต้องตายปุ๊บเกิดปั๊บทั้งนั้น ก็ต่อภพภูมิได้ไม่ขาดช่วง แล้วมันก็เป็นไปตามสัจจะ อาจารย์สมเกียรติก็ไม่เกิดไปไหนหรอก มาเกิดในหมู่พวกเรานี่แหละ ขนาดตายแล้วยังสั่งเสียครอบครัวให้เอามาทำงานศพที่อโศก ซึ่งไม่ใช่ง่ายๆนะ คนที่มีกู๊ดวินทางสังคมขนาดนี้ ทำอย่างนี้ได้ไม่ใช่เล่นๆ

SMS วันที่ 15-16 พ.ย. 2564

_Arisa Boonjong (อริศา บุญจง) : สาธุสำหรับอาจารย์ใหญ่สมเกียรติค่ะ แม้ไร้ลมหายใจ อ.ยังสร้างประโยชน์ให้สังคมต่อไปอีก ขอให้ อ.สู่ภพสูงสุดค่ะ

พ่อครูว่า... ตายแล้วเขาว่าไปสู่สัมปรายภพ หมายถึงภพหน้าต่อไป เพราะยังไม่เป็นผู้ปรินิพพานเป็นปริโยสานที่ตายแล้วเลิกจบ นั่นก็คือผู้ยังไม่ไป หรืออนาคามี แปลว่า ผู้ไม่ไป ตายแล้วจะไม่มาต่อภพภูมิเป็นมนุษย์อีก ก็อยู่ในสุทธาวาส หรือเป็นอนาคามีที่ไม่ไปจมในสุทธาวาสเหมือนพระพุทธเจ้าสมณโคดม เหมือนอย่างอาตมา ไม่ไปจมอยู่ในสุทธาวาส 9 ตายแล้วรีบเกิด มาอยู่ในภพภูมิมนุษย์ ไม่ตายแล้วแบบไม่มาเกิดเป็นมนุษย์จิตวิญญาณค่อยๆสลายไปตามสภาพความสามารถของอนาคามี 5 ประการ 

1. อันตราปรินิพพายี (ผู้เพียรทำปรินิพพานในระหว่างภพ) 

2. อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ) 

3. สสังขารปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก  ประกอบปุญญาภิสังขารในภพตนให้มากๆ) 

4. อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้การปรุงแต่งอภิสังขารให้มากนัก) 

5. อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร  หรือไม่เป็นน้องใครอีก  แล้วปรินิพพานไว) 

พวกปัญญาธิกะจะไม่เป็นอย่างนั้น อย่างพระพุทธเจ้าหรืออาตมาจะไม่ไปจมอยู่ในภพภูมิอย่างนั้น เสียเวลา จะรีบมาเกิดเป็นโพธิสัตว์ เพราะอย่างนั้นอาตมาบอกแล้วว่า อาจารย์สมเกียรติเป็นโพธิสัตว์ เกิดแล้ว จะเกิดที่ไหนยังไม่รู้ ไม่ต้องเดา เดาก็ยาก


 

_นุ้ย วิโรจน์ มาบุตร : พ่อท่านบอกว่า อ.สมเกียรติ เป็นพระโพธิสัตว์เชียวนะนั่น /(15 พย.64) 

พ่อครูว่า... ฟังเสียงอาจจะบอกว่าไม่เชื่อ แต่อาตมาพูดความจริง เป็นเรื่องพูดเล่นไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรู้ 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน The One percent problem

พ่อครูว่า... อาตมาเจอข้อเขียนของ ศาสตราจารย์ ดร. สมภาร พรมทา ในหนังสือเราคิดอะไร 

เอามาพูดหน่อยสนุกๆดี 

ปัญหาประชาธิปไตยในอเมริกา

    แต่ถึงที่สุดแล้ว ปัญหาประชาธิปไตยแม้จะผ่านปมประเด็นเรื่องความไม่มั่นคงทางการเมืองอย่างที่บ้านเราประสบอยู่ในเวลานี้ กลายเป็นประชาธิปไตยที่ไม่มีการออกมาชุมนุมกันกลางถนนแล้ว ทุกอย่างนิ่งแล้ว (ปี 56 เราก็กำลังชุมนุมกันอยู่อย่างเอาเป็นเอาตายด้วย) อย่างในอเมริกา ประชาธิปไตยก็จะเจอปัญหาอีกอย่าง ที่ประเทศอเมริกาและประเทศอื่นๆในยุโรปประสบอยู่ คือ

ปัญหาว่านอกจากการปกครองแบบประชาธิปไตยเขามีปรัชญา ว่า รัฐบาลต้องทำตัวเสมือนกรรมการมวย เอกชนก็คือนักมวย เอกชนก็ต่อยกัน คือ แข่งขันทำมาหากิน ใครเก่งก็รวย ใครไม่เก่งก็ซวย ว่าอย่างนั้นเถอะ 

รัฐบาลมีหน้าที่ทำให้การแข่งขันดำเนินไปตามกฎหมาย เหมือนกรรมการมวยที่มีหน้าที่ทำให้นักมวยชกกันตามกติกา ส่วนใครเก่งใครแข็งแรง แล้วชกอีกข้าง นอนหงายไปแล้ว กรรมการจะไปสงสารหรือช่วยเหลือไม่ได้ ผิดหน้าที่กรรมการ 

เนื่องจากคนเก่งในทางการหาเงินนั้นเป็นคนส่วนน้อย เมื่อประชาธิปไตยคิดอย่างนี้ ก็มีคนจำนวนน้อยกอบโกยทรัพย์ได้มากกว่าคนอื่นๆ ประเทศอเมริกาเวลานี้ก็มีตัวเลขอันเป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่า ทรัพย์สินทั้งประเทศ รวมกันแล้วแยกเป็น 3 กอง เท่ากัน 

2 กองแรก คนครอบครองอยู่คิดเป็นจำนวน 1% 

อีก 1 กอง คน 99% เป็นเจ้าของ 

อุปมาเหมือนมีข้าวอยู่ 3 จาน ประเทศอเมริกาคือคนที่ประเทศที่มีคนเพียงคนเดียวกินข้าว 2 จาน ส่วนคนอื่นอีก 99 คนกินจานเดียว 

ในหนังสือที่วิเคราะห์สภาพสังคมอเมริกันสมัยใหม่ที่ผมอ่าน เปิดเล่มไหนก็เห็นเขาพูดถึง The One percent problem กลายเป็นว่า เรื่องคน 1% รวยเป็น 2 เท่าของคน 99% กลายเป็นสัจธรรมของประเทศนี้ไปแล้ว ไม่มีใครคิดว่าจะแก้ปัญหานี้ได้ น่าอนาถใจ 

ผมคิดว่าประเทศไทยเรา สำรวจจริง ตัวเลขอาจจะน่าอนาถใจมากกว่านั้(พ่อครูว่า..จริง!)

เพราะว่าการเมืองไม่สู้สะอาด เมื่อเทียบกับอเมริกา พูดง่ายๆก็คือ รัฐบาลหรือนักการเมืองอเมริกันนั้นเขาเป็นกรรมการจริงๆ ไม่ตุกติกจนน่าเกลียด แต่ของเราไม่แน่ อาจเป็นกรรมการที่รับสินบน หรือไม่ก็เป็นเจ้าของค่ายมวยเสียเอง เวลาชกก็ตัดสินเข้าข้าง 

พ่อครูว่า... บทความมีเท่านี้ที่เขาเอามาให้ ก็หยิบมาอ่านผสมผสานไปอธิบายใช้พวกนี้เป็นสื่อในการขยายความ 

มันเป็นเรื่องของสังคมมนุษยชาติ อาตมาพูดไม่ได้เกรงใจ พูดอย่างแสดงความจริงเลยว่า อเมริกานี้เป็นประชาธิปไตยที่เลวที่สุด พูดมานานแล้ว 

ส่วนคอมมิวนิสต์ที่เลวที่สุด ก็คือเกาหลีเหนือ เป็นคอมมิวนิสต์ที่สืบสันตติวงศ์ เป็นพระเจ้าแผ่นดินด้วย  เป็นประธานาธิบดีด้วย  เป็นนายกรัฐมนตรีด้วย ฮุปไว้หมดเลย อำนาจทุกอย่างสุดยอดแห่งเผด็จการ ยิ่งใหญ่ที่สุด 

เพราะฉะนั้นมนุษยชาติที่มีตัวอย่างอยู่ในสังคมโลกประเทศต่างๆที่เป็นไป ประเทศไทยใหญ่ 2 ประเทศคือจีนกับอินเดีย เป็นตัวอย่างให้เห็นเลยว่า ประเทศอินเดียนี้นิ่ง การเมืองอย่างไรก็ไม่เคลื่อนไม่คลาย ไม่เปลี่ยนอะไรมากมายหรอก อยู่อย่างนั้นแหละ จะเป็นประชาธิปไตยของเขา แบบทุนนิยมก็ไม่คลี่คลายตีอะไรไม่แตก เขาก็อยู่อย่างนั้น แต่เขาก็อยู่กันอย่างสงบเรียบร้อยดี 

ถ้าจะว่าแล้ว สงบกว่าเมืองจีน เมืองจีนยังมีเรื่องราว ฆ่าแกงตีกันบ่อย อินเดียเขาไม่.. เขาก็อยู่ของเขาอย่างสงบสบายของเขาไป อินเดียมี covid เยอะ ส่วนจีนเขากันได้เก่ง

จีน เป็นยุคที่แสดงความเจริญรุ่งเรืองได้สูงในยุคนี้ แสดงได้สูงจนกระทั่ง เป็นเหมือนประชาธิปไตย ประชาชนยกให้สีจิ้นผิง จะให้เป็นประธานาธิบดีไปเรื่อยๆ เข้าใจเชื่อนำพาประเทศชาติไปดี จริงๆแล้วคนจีนเป็นคนขยัน คนไทย คนลาว เป็นคนขี้เกียจ เอ้าจริง 

เพราะฉะนั้นคนจีนมาที่นี่ หอบเสื่อผืนหมอนใบมาก็รวยทั้งนั้น เพราะมันเป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่ยิ่งใหญ่ ทำมาหากินได้ แต่เมืองไทย ..เอ้า เวลาจะหมดแล้ว

สมณะเดินดิน... สรุปจบ


เวลาบันทึก 02 ธันวาคม 2564 ( 19:50:58 )

641124

รายละเอียด

641124_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาความเข้าใจเรื่องกายของอ.แปลง

https://www.boonniyom.net/51216.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1cYLkgS673wQoI5SqvzDcJGHsSEpU7Ct_K17wenNgUPA/edit?usp=sharing 

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1d2-wFHoX-jhHHI4aL2N0yxM2fViCEEsx/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/1560771574300992 และ https://youtu.be/R7o9xqJaVLI 

 

สมณะฟ้าไท... วันนี้วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก เราผ่านงานมหาปวารณาไป งานต่อไปก็จะเป็นงานเพื่อฟ้าดิน คาบเกี่ยวปี 2564 กับปี 2565 จะมีการสอบ โดยใช้หนังสือเปิดยุคบุญนิยมเล่ม 3 ในการออกข้อสอบ 

ข่าวสารบ้านเมืองทุกวันนี้มีข่าวความรุนแรงมาก ส่วนเรื่องการเมือง จะมีนักการเมืองที่ซื่อสัตย์รับใช้ ประชาชน จะมีไหม เห็นมีแต่พล.อ.ประยุทธ์ เท่านั้นที่ทำจริง

 

พ่อครูว่า... SMS วันที่ 22-23 พ.ย. 2564

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน โพธิสัตว์ต้องมีความเป็นอรหัตตผลมาก่อน

_ไพรลั่น : กราบนมัสการพ่อครูครับ ถ้าผมสามารถช่วยคน ทางร่างกายได้ ถึง 100,000 คน ผมจะได้เป็นโพธิสัตว์ไหมครับ?

พ่อครูว่า...คุณอยากเป็นก็เป็นเถอะ สภาวะธรรมความเป็นโพธิสัตว์ไม่ใช่พูดเล่นๆ ประเด็นสำคัญที่สุด คุณจะเป็นโพธิสัตว์คุณต้องมี อรหัตตผลก่อน

อรหัตตผล 1. คือโสดาบัน อรหัตตะ นะ ไม่ใช่ อรหันต์ หันต์คือสูงสุด 

ไม่ลึกลับของพระโสดาบัน คือไม่ลึกลับในเรื่องกาย พ้น สักกายทิฏฐิ ข้อต้น พ้น สักกายทิฏฐิ ข้อต้นก็ยังไม่พอจะต้องมีความรู้ที่ 2 

พ้น สักกายทิฏฐิ ต้องรู้ว่า กาย คืออะไร พ้น สักกายทิฏฐิ 

2. คุณต้องรู้ กาย นี้คือจิต และกายนี้แยกเป็นกายเป็นจิตได้ กายแยกเป็น 2 ก็ได้ กาย เป็นหนึ่งก็ได้ แม้ที่สุด กาย เป็น 0 ก็ได้ 

เช่น ต้องแยกกายให้ได้ว่า จริงๆนะ กายกับจิตต้องเป็นอันเดียวกัน กายไม่มีจิตร่วมด้วยไม่ใช่กาย แต่กายนี่ เราสามารถทำให้เป็นพีชะ เป็นอุตุได้ โดยกรรม โดยธรรมะ ธรรมนิยาม 5 พระพุทธเจ้าถึงมีวินัย เมื่ออุปัชฌาย์จะบวชคนขึ้นมาเป็นภิกษุ ขึ้นมาใหม่จะต้องสอนกรรมฐาน 5

สภาวะของจิต สภาวะของสสาร สภาวะของพลังงาน สภาวะของรูปของนามให้เข้าใจว่า 

จะอธิบายอะไรก็ได้ ผมขนเล็บฟันหนัง ซึ่ง เล็บนี่อธิบายง่ายที่สุด อย่างอื่นอธิบายได้ยากกว่า ผมก็ยาวไป ขนก็สั้น เล็ก ฟันนี่ก็เอามาอธิบายยาก แต่เล็บนี้ง่ายที่สุด 

อธิบายอีก โดยเฉพาะมีคำถามของ อาจารย์แปลง สุวรรณกาญจน์ ซึ่งติดตามมานะ แต่น่าสงสาร พยายามหามุมแย้งๆๆ แต่คุณจะไม่มี ปรโตโฆษะ หากมี ปรโตโฆษะ แล้วรู้จักกาย คุณจะทำ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิตได้

สายนั่งหลับตาก็ทำจิตแต่ไม่ถ่องแท้ แยบคาย ไม่โยนิโส ไม่ถึงที่เกิด มันก็ไปตื้ออยู่ไม่ถึงจิต แล้วจิตที่ว่า คือ วิญญาณที่มีที่ตั้ง กระทบตา หู จมูก ลิ้น กายลืมตาอยู่ 

เพราะฉะนั้นอาจารย์แปลง สุวรรณกาญจน์ หากเอาแต่แย้งจะไม่มีทางจบ แต่สัจจะมี 1 เดียวไม่มี 2 เป็น 1 ไม่ได้นี่คือนิมิตเหมือนกันเป็นสื่อให้เห็นว่ามี 2 ทอง

คุณ ไพรลั่น ศึกษาดีๆไปเถอะ ให้พ้นสังโยชน์ 3 รู้กายในกายจนพ้นวิจิกิจฉาในเรื่องกาย พออธิบายกับใครๆได้ว่า กายคืออะไร สามารถปฏิบัติที่ปฏิบัติธรรมแยกกายแยกจิตได้พอสมควรจริงๆ อย่างพ้น วิจิกิจฉา แล้วทำตามหลักให้พ้น สีลัพพตปรามาส ไม่ใช่พ้นแค่ สีลพตุปาทาน 

สีลพตุปาทาน คือถือศีลพรต ตามจารีตประเพณี ซึ่งถือกันมาอย่างผิดๆเอาของเดียรถีย์มาถือ แล้วปฏิบัติศีลแค่นั้น ยกตัวอย่างง่ายๆของอาจารย์ก็สอนปฏิบัติศีล ศีลจะควบคุมแค่กายกับวาจา ไม่ถึงจิต

แม้แต่ ท่านขยายความของอานิสงส์ของศีล 10 ข้อก็ไม่เกี่ยวกับกาย แต่ไปเกี่ยวกับชีวิตหมดเลย 

ตั้งแต่ อวิปฏิสาร...ไปจนถึงวิมุติ เขาก็ไม่พยายามเข้าใจหรืออย่างไร ซึ่งก็คงจะยากจริงๆ ต้องพยายามให้เข้าใจให้ได้สิ แต่คุณพยายามไม่เข้าใจพยายามจะแย้ง ถึงคุณแย้งแล้วก็ชนะอย่างไรคุณก็ได้ของคุณไป แต่คุณไม่บรรลุหรอก…

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน พ่อครูผู้มาเปิดยุคบุญนิยม

พ่อครูว่า... อาตมาเข้ามาเป็นผู้ เปิดยุคบุญนิยม 

ทำไมต้องใช้คำนี้ เพราะคำนี้คนไม่เข้าใจไม่รู้เรื่อง เป็นคำลึกลับมานาน ไม่มีใครรู้ศาสนาพุทธเสื่อมมานานไม่มีโลกุตรธรรมมา 2,500 ปี ทำบุญได้ผิดเพี้ยนแต่เป็นกุศล ซึ่งที่จริงและบุญเป็น one way Traffic เดินตรงอย่างเดียวไม่มีโค้งงอไม่มีองศา หายไปเลย เป็นนิวเคลียร์ฟิชชัน ตรงออกไปไม่มีโค้งงอกลับมาเลย ถ้าเป็นนิวเคลียร์ฟิวชั่นมันจะมารวมตัวกัน 

อาตมาเกิดมาในยุคนี้มาประกาศเปิดตัวยืนยันนำโลกุตรธรรม ที่มีคำว่าบุญ คำว่า ฌานฌาน คำว่า กาย คำว่า ศีล เป็นสัมมาทิฏฐิ ที่เขาได้ผิดเพี้ยนไป เอามาเปิดเผยให้ตรงกับความหมายของพระพุทธเจ้า ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ 

เอามาประกาศตั้งแต่อาตมาทำงานมา 51 ปี ก็มีคนเข้าใจรับได้ จนกระทั่งเอาตัวเองมาปฏิบัติกลายเป็นคนมี กายวาจาใจ บรรลุธรรมเป็นคนวรรณะ 9 สาราณียธรรม 6 จิตมีพุทธพจน์ 7 ได้จริง ยืนยันตามหลักพระพุทธเจ้า 

มีสาธารณโภคี ยืนยันว่าเป็นอย่างนี้ เกิดในยุคนี้ เกิดในยุคพระพุทธเจ้าก็ขยายไม่ออกเพราะเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นยุคทาส นายทาส ลูกทาส ไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน สิทธิอะไรในตัวเองไม่รู้จัก ทุกวันนี้คิดที่มันเกินเฟ้อ กระทบคนอื่นทำร้ายคนอื่น เบียดเบียนคนอื่นก็ไม่รู้เรื่องกันทุกวันนี้ เป็นสิทธิอันธพาล จะไปล้มล้างเขา ก็สิทธิของสังคมก็ให้เขาทำไปสิ เขาจะนับถือกษัตริย์ก็เป็นสิทธิของเขา แล้วเป็นสิทธิคนจำนวนมากนับถือ คุณเองแม้จำนวนพวกคุณก็มีน้อย 

อย่างพวกเราชาวอโศกเป็นจำนวนน้อย เราก็เห็นคนจำนวนมากเขานับถืออย่างนั้นไปเราก็ว่าเท่านั้นเอง เพราะสูงสุดหลักธรรมพระพุทธเจ้า ถ้าถือว่าเป็นพวกเดียวกัน ด่ากันได้ 

แต่ถ้าไม่เป็นพวกเดียวกันอย่าไปแตะเขา อย่าไปด่าเขา ด่าเขาเดี๋ยวเขาโกรธ ดีไม่ดียกทัพเอาระเบิดเอาปืนมาเลย ไม่ได้ แต่ถ้าพวกเดียวกันจริงๆนี้ ได้ และต้องมีประมาณ 

แม้แต่พวกเดียวกันด่าเท่านี้ได้ ถ้าด่าเกินกว่านี้ เดี๋ยวก็ถูกอาวุธหรือไม้หน้า 3 ปืนมายิงตายเหมือนกัน ถูกระเบิดตายเหมือนกัน จะทิฏฐาวิกัมม์หรือ ปฏิกโกสนาก็ได้ อาตมาทำการปฏิกโกสนา คือคัดค้านว่าอย่างแรงได้ แต่หาก ทิฏฐาวิกัมม์คือ แสดงความเห็นต่อหมู่ แต่อย่าให้อักโกสะ คือหยาบจนเขาทนไม่ได้ ด่าเขาจะอักโกสะ เขาทนไม่ได้ แต่เอาแค่ ปฏิกโกสนา ถ้าอักโกสะ คือเขากระอักเลย ไม่ได้ แต่เพียงให้สะท้อนกลับปฏิกโกสนา 

คำว่า บุญได้หายไป ในความหมายของมันเป็นสัจธรรม อาตมาต้องกลับมาในยุคนี้ซึ่งมันได้เสื่อมไปแล้ว ซึ่งมันได้เข้าใจเป็นกุศลไปแล้วเท่านั้นเอง ซึ่งมันไม่ใช่ 

กุศลกับบุญต่างกันมาก กุศลเป็นสมบัติ บุญเป็นวิบัติ บุญเป็นศูนย์ กุศลมีหาประมาณมิได้ แม้แต่ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่สันโดษในกุศล จะมีเท่าไหร่ก็มีไปเถอะ อย่าว่าแต่โพธิสัตว์เลย แต่บุญนี้มี 0 จบ 0 แล้วมันก็ไม่ไปไหนมาไหนอีกแล้ว ซึ่งมันคนละขั้วเลย 0 กับหาประมาณมิได้ มันคนละขั้ว เข้าใจคนละฟากฝั่งมาเป็นอันเดียวกัน ซึ่งอันเดียวกันโดยอนุโลมก็พูดได้ 

แต่ผู้ที่มีที่เป็นได้แล้ว เป็น 0 หรือเป็นเท่าไหร่ก็ได้ แต่เราไม่เป็นทั้งสองอย่าง เป็นอนุปคัมมะ เราเป็น 0 ก็ได้จะเป็นเท่าไหร่ก็ได้ 

อย่างพระอวโลกิเตศวรท่านจะไม่ยอมจบง่ายๆ  ปณิธานของท่านจะรื้อขนสัตว์โลกให้หลุดพ้นหมด ท่านจะปรินิพพานเป็นคนสุดท้าย เป็นปณิธานที่สุดยอดจริงๆ จะมีตัวตนคนจริงๆหรือไม่ก็เป็นแบบเทวนิยม เป็นแบบมหายาน แต่ปณิธานที่ดีที่สุดซึ่งไม่ใช่ปณิธานไม่ดี สุดยอด แย้งไม่ได้เถียงไม่ได้ แต่มันจะทำได้หรือไม่ล่ะ  ถ้าทำได้มันดีแน่เลย แต่มันจะเป็นไปได้ไหม 

เมื่อคำว่าบุญมันเพี้ยนมันผิดในยุคนี้ อาตมาก็เอากลับมาให้เกิด นิยม นิยมชมชอบจนให้เป็นนิยมะหรือนิยตะเที่ยงตั้งมั่นลงไป เพราะอาตมาเป็นผู้รับผิดชอบ พูดเปิดเผยความจริงไป เปรี้ยงเดียว คนก็ฟังเข้าใจนะ อาตมาว่า แต่เขาไม่เชื่อ เขาก็หาว่าอาตมามีเล่ห์เหลี่ยมตลบตะแลงซ้อนเชิง แต่อาตมาว่าอาตมาไม่มี แต่อาตมามีความรักกว้างโอบอ้อมเกื้อกูลทั่ว นี่เป็น สิริมหามายา 

คุณจะพูดอย่างมีหรือไม่มีจะปฏิเสธหรือยอมรับอย่างไร ซึ่งมันมีสภาพ 2 อยู่ตลอดกาล เราก็รู้ทั้งสองอย่าง แต่เราไม่เป็นทั้งสองอย่าง แต่เราจะอนุโลม ถ้าสิ่งที่ควรลงท้ายใช้ภาษาว่า ควรหรือไม่ควร อะไรมันควร เป็นองค์ประกอบที่เป็นปัจจุบันธรรม พระพุทธเจ้าตรัสถึงมีอะไรที่ห้ามหรืออนุญาต ตรัสไว้หมด

จนกระทั่งในคำตรัสทั้งหลาย ไม่อนุญาตไม่ได้ห้ามไว้เลย ต้องอาศัยของจริงที่เป็นสภาวะตอนนี้ตัดสินพิจารณาว่า อย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ห้าม อาศัยคำสอนพระพุทธเจ้ามาประกอบ องค์ประกอบอย่างนี้ควรจะทำอย่างไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรก็ทำตามควร สิ่งที่ไม่ควรเราก็จะไปทำทำไม ก็พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ตรัสไว้เลย ทั้งอนุญาตและไม่อนุญาตก็ไม่ได้ตรัสไว้ในมหาปเทส 4 

1. สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า  สิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร  ขัดกับสิ่งที่ควร  สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย  

2. สิ่งที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า  สิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร  ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร  สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย

3. สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า  สิ่งนี้ควร  หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร  ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย  

4. สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า  สิ่งนี้ควร  หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร  ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร  สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย. 

(พระไตรฯ ล.5  ข.92) 

ต้องใช้ status quo ในยุคพระพุทธเจ้ามีสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีทาส ไม่รู้สิทธิมนุษยชน แต่ในยุคนี้มันได้ อาตมาก็ไขความไว้หมดแล้ว ทำสาธารณโภคีถึงฆราวาส เพราะว่ามีองค์ประกอบทำได้ ไม่ใช่อาตมาเก่ง แต่เหตุปัจจัยมันลงตัวเป็นไปได้ ก็ยากที่จะเข้าใจกัน

 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สมณะฟ้าไท... 

พ่อครูว่า... 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน อจินไตย ทำไมธัมมิกราชต้องเกิดในเมืองไทย

_0852 สายลมหวาน : น่าแปลกครับ ชมพูทวีปย้ายมาอยู่ไทยซึ่งชาวไทย ลาวขยันน้อยไม่เหมือนแกว(ญวน)และจีน ทำไมไม่เกิดที่ประเทศที่คนส่วนใหญ่ขยันเช่นจีน หรือว่าส่วนหนึ่งหรือส่วนมากไทยมีเชื้อขยัน(จีน)มากขึ้นได้สัดส่วนที่จะเกิดชมพูทวีป

พ่อครูว่า... อจินไตย ธรรมิกราช 2 องค์จะมาเกิดเป็นไทย ไม่ได้เกิดเป็นจีนไม่ได้เกิดเป็นแกว คุณแก้ไขไม่ได้หรอก Born To Be 

ไทยเป็นประเทศที่มีศาสนาพุทธ ตั้งแต่เกิดประเทศไทยเป็นแกนหลักเป็นศาสนาหลัก ไม่เคยลด ไม่เคยเบา ไม่มีอะไรแทรกได้ ไม่มีอะไรจะมาแย้งมาแย่ง เอาชาวไทยเอาคนไทยไปได้ ศาสนาอื่นๆเทวนิยมพยายาม แม้จะเป็นคริสต์ อิสลาม ฮินดู เขาได้พยายามมาแล้วเป็นพันปีมาแล้ว ก็ทำไม่ได้ คนไทยก็ยังเป็นพุทธศาสนิกชน ทุกวันนี้ พ.ศ. 2500 กว่าปีแล้ว ก็ยัง 95% คนในประเทศไทย นับถือศาสนาพุทธ 

ทีนี้ ซ้อนลึกๆ คนจะรับรู้ธรรมะพระพุทธเจ้า เช่น รู้กาย รู้จิต รู้บุญ รู้สมาธิ เป็นของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ไม่ใช่ของคนทั่วไป เป็นสัมมาทิฏฐิ บุญก็สัมมาทิฏฐิ ศีลก็สัมมาทิฏฐิ เป็นเรื่องยาก คนรู้ต้องเป็นคนมีบารมี คนไทยนี่แหละมีเชื้อบารมีของพุทธ เพราะฉะนั้นธรรมมิกราช 2 องค์ต้องเกิดมาเป็นคนไทย ตราศาสนาพุทธ นำศาสนาพุทธกลับมา ในหลวงรัชกาลที่ 9 กับอาตมานี่แหละ ขออภัยที่ต้องย้ำยืนยันตนเอง แม้ในหลวงรัชกาลที่ 9 จะสวรรคตไปแล้ว อาตมาต้องทำต่อในนามธรรมคือ Dynamic รูปธรรมคือ Static ซึ่ง รูปธรรมขยายยาก Dynamic Static 

Static ก็คือศรัทธาเจโต ส่วน Dynamic เป็นปัญญา อาตมากำลังเขียนหนังสือเรื่องปัญญา 8 

สรุป ยุคนี้เขาไม่รู้จักบุญก็ต้องมาเปิดยุคบุญ ให้รู้ให้เข้าใจทำใจในใจบุญให้สำเร็จ จะเข้าใจบุญว่าเป็นผลงานสำเร็จของตนที่ทำได้ คือมันรู้จักกิเลส มันมีอำนาจมีพลัง มีสมรรถนะมีประสิทธิภาพ ทำให้กิเลสตายไป เป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย

ฌาน เป็นเพชฌฆาตมือ 1 2 3 บุญ เป็นเพชฌฆาตมือที่ 4 ฟันฆ่าตัดคอมาแล้ว มือ 1 มือ 2 มือ 3  มือที่ 4 ตัดเอง ตายสนิท เกิดสามเส้ามาสู่เส้าที่ 4 

แค่อธิบาย 1 2 3 4 ก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อาตมาพยายาม อย่าว่าแต่เรื่องบุญเรื่องกาย อาตมานำมาขยายทั้งพยัญชนะสภาวธรรม

คำว่า กาย คือ ก กับ ย เอาสระอามาขยายเป็นพหูพจน์

ก คือ พยัญชนะตัวที่ 1 

ย คือ เศษวรรค ตัวที่ 1 เป็นตัวต้นสองต้น เอา สระอามาต่อ เท่านี้คือสามเส้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทุกอย่างเลย จะให้เป็นกายหรือไม่เป็นกายอยู่

ไม่ใช่สามัญปุถุชน ไม่ใช่สามัญของศาสนาเทวนิยม แต่เป็นเรื่องวิสามัญของพระพุทธเจ้า ตั้งแต่โสดาบัน เริ่มตั้งแต่คำว่า กาย จนไปถึงลักษณะอื่นๆอีก จนกระทั่งสิ้นอาสวะ 

อาตมาอธิบายนี้ไม่ใช่จับแพะชนแกะ มั่ว ไม่ใช่ ถ้าไม่มีสภาวะรองรับด้วยหลักการที่แท้จริงแล้ว เดี๋ยวก็เละ เดี๋ยวก็เลอะไม่เป็นส่ำ อธิบายอะไรไม่เข้าเรื่อง ก็จะกระจัดกระจาย 

เดี๋ยวจะอธิบายที่ อ.แปลง ส่งมา ส่วน สู่แดนธรรมก็ชื่อเล่นว่า แปลง แต่คนก็มักเรียกว่า แป้ง กัน เพราะเขาชอบศิลปะใช้แปรงระบายสี ก็ชื่อเล่นว่า แปลง  

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน สังขาร จินตนาการ จินตมยปัญญา ต่างกันอย่างไร

_4354 : กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสุดเกล้า ขอเรียนถามว่า สังขาร จินตนาการ จินตมยปัญญา เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไรครับ

พ่อครูว่า... สังขารคือการปรุงแต่ง เอามารวมกัน ตั้งแต่ 2 อย่าง 3 อย่าง จนกระทั่งนับไม่ถ้วนอย่าง ปรุงแต่งสังขารกัน 

สังขารมันรวมหมดทั้งภายนอกภายใน กายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขาร โลกก็สังขารกันได้ ดินน้ำลมไฟ ก็สังขาร รวมได้หมด

ส่วนจินตนาการคือ ความคิด คิดอะไรก็ได้ คิดบ้าๆบอๆคิดอะไรคิดดีๆ คิดเลวคิดอะไรได้หมดเป็นจินตนาการ แล้วเขาก็เอามาทำ โจรคิดอย่างโจร คนอเมริกันคิดอย่างคนอเมริกัน คนเกาหลีเหนือคิดอย่างคนเกาหลีเหนือ จีนคิดอย่างจีน ไทยคิดอย่างไทย คิด สารพัด ต่างกันไปสารพัดมากมาย

ส่วน จินตมยปัญญา อันนี้สิยอด จินตมยปัญญาคิดแบบพุทธ ปัญญาเป็นของพุทธเป็นของพระพุทธเจ้าปัญญาไม่ใช่ความรู้เรื่องทั่วไปไม่ใช่ เฉโก

ปัญญาเป็นของพระพุทธเจ้าตรัสรู้ เป็นโลกุตระธรรม ปัญญาเป็นโลกุตรธรรม 

อาตมาเขียนปัญญา 8 ขยายไป 600 กว่าหน้าแล้ว ก็ยังเลยๆไปอีก

สู่แดนธรรม... หากฟังพ่อท่านพูดแล้วคิดตาม ก็เป็นจินตามยปัญญาใช่ไหม เขาก็ว่าแค่คิดฝันเอา

พ่อครูว่า... ถ้ามันเป็นโลกุตรธรรมก็ใช่ ถ้าไม่ใช่โลกุตรธรรมก็ไม่เป็นปัญญา 

มันต่างจากจินตนาการ

 

_น้อมอภัย : กราบเรียนถามหลวงปู่ค่ะว่า แล้วคนที่สร้างปัญหา ให้เราปวดหัวเรียกว่าคนอะไรคะ เมื่อเรายังต้องอยู่บ้านติดกันแบบนี้ มาหยิบของไปไม่ขออนุญาต แล้วก็ไม่คืนด้วยค่ะ พอเราจะใช้ ก็หาไปเหอะ หาสองชม. เสียพลังงานไปเยอะ ค่ะ

พ่อครูว่า...คุณก็ยกให้เขาไปเลยสิ หรือไม่ก็อธิบายให้เขาชัดๆพูดกันดีๆ ให้ได้หรือให้ไม่ได้อย่างไร เป็นบ้านใกล้เรือนเคียงกันซึ่งเขาก็ถือวิสาสะบ้าง โดยเฉพาะพวกเราเป็นสาธารณโภคี ซึ่งถ้าหวงเป็นของตัวของตนอยู่คุณก็จะไม่เจริญนะ 

ถ้าคุณยังหวงอยากได้คืนก็ผูกพันไปข้ามชาติ ถ้าให้เขาไปเลยก็จบ ไม่ใช่ยึดถือเป็นเราเป็นของเรา คุณก็ได้ปลดปล่อยความเป็นเราเป็นของเราออกไป 

 

_พรทิพย์ ไทยเอียด : น้อมกราบพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งค่ะ หนังสือเปิดโลกบุญนิยมที่พ่อครูเขียนทั้งเล่ม 2 เล่ม 3 ช่วยเปิดโลก เปิดจิตวิณญาณใหม่ให้ลูกได้โดยแท้จริง กราบขอบพระคุณพ่อครูที่เมตตามนุษย์ผู้โง่ เขลา เบาปัญญาให้ได้เกิดปัญญาที่สัมมาทิฏฐิขึ้น กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

 

 สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ตอบปัญหาของ อ.แปลง เรื่องความเป็นสยังอภิญญา

_อ.แปลง สุวรรณกาญจน์ : โบราณว่า "บางทีผู้อวดรู้ กับผู้ไม่รู้ก็เป็นผู้เดียวกัน น่าสงสารมาก ...ก็ตนเองไม่รู้ไม่เห็นด้วยตนเอง จำขี้ปากผู้อื่นมาพูด เลยพูดให้ผู้อื่นเข้าใจไม่ได้ พูดวกไปเวียนมา เอาสาระไม่ได้ คนไม่มีพลังฌาน พลังสมาธิ เป็นอย่างนี้แหละ" ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง"หาตนให้เห็น บริโภคให้เป็น ดำรงตนให้สมควร(รู้จักสัปปุริสธรรม7 รู้จักอนุโลมญาณไหมท่านสมณ ก้อนข้าว กับจีวร ยังไม่เห็นละเลย ดีแต่ตำหนิผู้อื่น เว้าโปๆขี้ตาโตบ่แกะ แถมบ่รู้สึกตัวอีก) จะมีสุขเป็นนิรันดร์

พ่อครูว่า... ตบท้ายด้วยมีสุขเป็นนิรันดร์นี้ก็ลึกซึ้งนะ แต่อาตมาไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ขยายความไปแล้วว่าอาตมาไม่มีสุขไม่มีทุกข์ แต่คุณสรุปจบว่าจะมีสุขนิรันดร์ก็หมายความว่าต้องทำอย่างที่คุณพูดไปแล้ว ท่านจะมีสุขนิรันดร์ อาตมาก็ว่าคุณมีสุขไปเถอะ อาตมาไม่เอาทั้งสุขและทุกข์ 

ที่ว่าบางทีผู้อวดรู้กับผู้ไม่รู้ก็เป็นผู้เดียวกัน คุณพูดถูก มีเยอะ ผู้อวดรู้กับผู้ไม่รู้เป็นผู้เดียวกัน น่าสงสารมาก ก็ตนเองไม่รู้ไม่เห็นด้วยตนเอง จำขี้ปากผู้อื่นมาพูด เลยพูดให้ผู้อื่นเข้าใจไม่ได้พูดวกไปเวียนมาเอาสาระไม่ได้ 

ก็ตนเองไม่รู้ไม่เห็นด้วยตนเอง คำนี้คุณไม่รู้อาตมา อาตมาเป็นผู้รู้ตัวเองว่าอาตมาเป็นผู้ที่เป็น สยังอภิญญา คือผู้รู้เองเห็นเองเกิดมาในยุคนี้ ไม่มีใครกล้าพูดหรอก มีอาตมามากล้าพูดคนเดียว ยืนยันในความเป็น สยังอภิญญา 

ตอนนี้อธิบายถึง ปัญญา8   อภิภู คือผู้มีอภิภายตนะ 8 

ซึ่ง อภิภายตนะ 8 ก็ขยายความไป ตอนนี้ขยายยังไม่จบ สิ่งเหล่านี้เป็นความรู้ของอาตมาที่ได้บำเพ็ญมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 เป็นของตนเองแล้ว เป็น สยังอภิญญามาแล้ว มาเกิดในยุคนี้ ตามที่พระพุทธเจ้ายืนยันหลักฐานเอาไว้ ในสัมมาทิฏฐิ 10 ข้อที่ 10 

ว่า ผู้เป็น สยังอภิญญา จะเป็นผู้ขยายโลกนี้โลกหน้าให้ผู้อื่นได้รู้ตาม อาตมาก็ยืนยันตัวเองเป็นอย่างนี้ ผู้ที่ฟังรู้เรื่องได้ประโยชน์ก็มากันได้ อย่างคุณ อ.แปลง ยังเข้าใจยาก เข้าใจไม่ได้ง่ายๆหรอก 

แค่ คุณจะเข้าใจตามผู้อื่น ไม่ได้เข้าใจเองเหมือนอย่างอาตมานี่ก็ยังยากอยู่แล้ว แม้ผู้ที่เป็น สยังอภิญญาอย่างอาตมาอธิบาย แยกแยะตั้งเท่าใด มันก็เหมือนกับใช้หอก 100 เล่มแทงเช้า กลางวัน เย็น หอกอาตมาหักไปหลาย 300 เล่ม ก็ยังไม่รู้สึกรู้สา เวทนายังไม่เกิดยังไม่รู้สึกอะไร บื้อ 

 

ที่ว่า อาตมาไปจำขี้ปากผู้อื่นมาพูด เลยพูดให้ผู้อื่นเข้าใจไม่ได้ พูดวกไปเวียนมา  ขออภัย อาตมาไม่เอาขี้ของใครมา โดยเฉพาะขี้ปาก อาตมาเอาแต่เฉพาะเนื้อของพระเจ้ามา อาตมาไม่เอาสกปรกขี้ปาก ไม่ไปเอาขี้ปากใครมาหรอก อาตมาเอาแต่เนื้อๆของพระพุทธเจ้ามา 

สู่แดนธรรม... ผมก็ไม่เห็นว่าพ่อท่านไปจำคำของใครมา

พ่อครูว่า... อาตมาอธิบายของอาตมาเองตามยุคสมัย ไม่ใช่ภาษายุคพระพุทธเจ้า อาตมาชอบภาษาสมัยพระพุทธเจ้า แล้วภาษาที่เขาแปลมาก็ชอบ เคยใช้นามปากกา
เพียงเพ็ญ พีรพงศ์ จะเขียนสำนวนโดยใช้สำนวนพระไตรปิฎก ก็พยายามใช้แต่สำนวนเหมือนพระไตรปิฎก เขียนให้คุณสมบูรณ์ บก.หนังสือพิมพ์ ตอบโต้กัน โดยไม่เปิดเผยตัวเองว่าผู้ชาย ใช้นามปากกาว่า เพียงเพ็ญ พีรพงศ์ โต้ตอบกันอยู่ ส่งข้อเขียนสำนวนให้แกไป ตั้งแต่ยุคที่อยากเป็นนักประพันธ์ ก็เขียนจัง อายุยังไม่ถึง 20 ตอนโน้น

สู่แดนธรรม... คำอธิบายของพ่อท่านเป็นคำของพ่อท่านเอง เช่น บุญ สมาธิ

พ่อครูว่า... ไม่ได้ไปจำขี้ปากใครมาเลย และที่ว่าพูดอธิบายให้คนอื่นเข้าใจไม่ได้   ขออภัย อาตมาพูดแล้วไม่ใช่ทำให้คนอื่นเข้าใจไม่ได้ แต่คนเข้าใจไม่ได้ต่างหากเล่า คนเข้าใจไม่ได้  คือคนยังภูมิไม่ถึง แต่คนอย่างชาวอโศกเข้าใจได้เอามาปฏิบัติจนเกิดผลพัฒนามาเป็นคนจน เป็นญาติธรรมได้ ซึ่งก็เป็นจำนวนไม่มากหรอก จำนวนมากยังไม่ได้ ก็ย้อนแย้งอยู่ว่า  ทำไมไม่ทำที่จีนหรือที่คนเยอะๆ เพราะว่ามันทำไม่ได้ เพราะแกนแก่น แม้แต่คำว่าชมพูทวีปย้ายมาอยู่ที่ประเทศไทย ไม่ได้ไปอยู่ที่จีนหรือญี่ปุ่น อินเดียหรือที่อื่นหรอก มาอยู่ที่ไทยนี่แหละ อันนี้ก็ยืนยัน อาตมาไม่ได้พูดเล่น 

สมณะฟ้าไท... ที่พ่อครูอธิบาย ขนาดเราเองก็ยังเข้าใจได้ยาก ต้องฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก ปฏิบัติไปฟังไปค่อยได้เพิ่ม 

พ่อครูว่า... ขอยืนยันว่าอาตมาไม่ได้ไปจำขี้ปากใครมาพูด แต่พูดจริงๆเนื้อหาสาระสัจจะพระพุทธเจ้า พูดแล้วคนอื่นเข้าใจไม่ได้ก็ไม่ใช่ทั้งหมด นี่ไง ก็หน้าสลอนฟังอยู่ตอนนี้ หน้าจอก็มี ต่างประเทศก็มี จริง มันยังไม่มากมายเพราะมันยาก ไม่ใช่ของสาธารณะดาษดื่นกลางตลาด มันไม่ใช่ แต่มันเป็นของห้าง คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34) เท่านี้ก็ปีนอ่าน เข้าใจให้ดีก่อนนะคุณ

 ไม่ใช่ว่าคนอื่นเข้าใจไม่ได้ แต่คุณต่างหากเข้าใจไม่ได้ แล้วคุณก็ว่า อาตมาพูดวกไปเวียนมาเอาสาระไม่ได้ ใช่แล้วเพราะคุณฟังแล้วไม่เข้าใจ ไม่เข้าถึง มันเข้าแต่หูและขี้หูหลุดไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ มันไม่เข้า มันเข้าแต่หูกระทบ แล้วมันก็ออกมา ไม่เข้าไปถึงใจ เพราะว่าคุณเข้าใจไม่ได้ สรุปง่ายๆ 

คุณเข้าใจวงวน 1, 2 ,3 สามเส้า แล้วก็แยกออกเป็น 4 ,5 ,6 เป็นสองโลกแล้วจนอีก 7, 8, 9 ก็เป็น สามโลกแล้ว เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน 

ที่ว่า คนไม่มีพลังฌาน สมาธิ ก็เป็นอย่างนี้แหละ ก็ตกลง แล้วคุณตบท้ายว่า ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง หาตนให้เห็น ตนคำนี้คืออัตตา บริโภคให้เป็น ดำรงตนให้อยู่สมควร นี่ก็บอกว่ารู้จัก สัปปุริสธรรม 7 รู้จัก อนุโลมญาณไหมสมณะ

คุณนั่นแหละ ตีไม่แตกแยกแทงไม่เข้า แข็งโป๊ก ทำลายอะไรไม่ได้เลย อนุโลมปฏิโลมไม่ได้เลยสักอย่าง 

เพราะฉะนั้น ก้อนข้าวกับจีวร ยังไม่เห็นละเลย ...อ้อ จะให้โป๊เลย ไม่ให้ใส่จีวรเลย หรือไม่ให้กินเลย หรือ

และยังบอกอีกว่า เว้าโปๆขี้ตาโตบ่แกะ แถมบ่รู้สึกตัวอีก

ก็ไม่แย้งอีกเพราะแย้งอีกก็เหมือนเอาน้ำราดหัวตอเท่ากันกับแทงด้วยหอกร้อยเล่มเช้ากลางวันเย็น ก็ไม่รู้สึก ขออภัยเอาคำพูดพุทธเจ้ามายืนยัน 

ก็ไม่แตกต่างที่อาตมาพยายามใช้หอกร้อยเล่มแทงด้วยหอกเช้ากลางวันเย็นกับคนปฏิบัตินั่งหลับตา อาตมาก็ว่า คุณก็คงอยู่ในพวกนั่งหลับตาปฏิบัติด้วยกัน 

สู่แดนธรรม... แน่นอนครับ ตอนแรกก็คิดว่าจะขออาสาพ่อท่านช่วยตอบ แต่ก็คิดว่าไร้ประโยชน์

พ่อครูว่า... เป๊ะเลย 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ตอบปัญหาความเข้าใจเรื่องกายของอาจารย์แปลง สุวรรณกาญจน์

_อ.แปลง สุวรรณกาญจน์ : พระพุทธเจ้าพูดถึงกายว่าอย่างไร ฟังนะผู้มิจฉาฯ

...อจีรัง วตยังกาโย ปฐวิง อทิเสสติ ฉุทโท อเปตะวิญญาโณ นิรัตถัง วกลิงกลัง

คาถาบังสุกุลเป็น(ค้นจากเน็ต)

อะจิรัง วะตะยัง กาโย

ปะฐะวิงอะธิเสสสะติ

ฉุฑโฑ อะเปตะวิญญาโณ

นิรัดถัง วะ กะลิงคะรังฯ

แปลว่า....(แปลบรรทัดต่อบรรทัด)

ร่างกายนี้มันไม่เที่ยงหนอ

อีกไม่ช้าไม่นานนักจักนอนทับซึ่งแผ่นดิน

ครั้นปราศจากวิญญาณอันเขาทิ้งเสียแล้ว

ย่อมประดุจดังว่าท่อนไม้และท่อนฟืนหาประโยชน์มิได้

 

พ่อครูว่า... ก็ถูกต้อง คุณพูดไปเพื่อยืนยันว่าอาตมาไม่เข้าใจคำว่ากาย 

อาตมาเข้าใจกาย แต่ความเข้าใจนี้สัญญาต่างกัน กายต่างกัน เพราะกายของคุณนั้นเป็นกายชนิดหลับตา ส่วนกายที่อาตมาพูดเป็นกายชนิดลืมตา 

คนหลับตาพูดถึงกาย ก็จะมีกายอยู่แต่ในสัมภเวสี ยึดถือว่ามีกาย ในสัมภเวสีเป็นนิรมาณกาย เป็นกายที่เนรมิตเอง ไม่ใช่เป็นกายที่มีความจริงมีที่ตั้งทางตาหูจมูกลิ้นกาย ข้างนอก กายของคุณเป็นกายสัมภเวสี กายที่สร้างขึ้นเอง 

พวกนั่งหลับตาแล้วไปดับสัญญา เป็นสัตตาวาส 

สัตตาวาสข้อที่ 1 2 3 4 ยังพออธิบายผสมผสานกับวิญญาณฐิติ 4 ก็อาศัยศึกษากันได้บ้าง แต่อันที่ 5 สำหรับพวกที่นั่งหลับตาปฏิบัติเป็นการเข้าไปดับสัญญาหรือเป็น อสัญญีสัตว์ คือดับการกำหนดรู้

สัญญีคือ ตัวเองกำหนดรู้ แต่ไปดับธาตุกำหนดรู้ไม่ให้กำหนดรู้ตัวเองแล้วเข้าใจว่า เป็นการนิโรธนั่งดับปี๋ ไม่ได้ลืมตามีตาหูจมูกลิ้นกาย มีแต่จิต แล้วดับจิตอีก ดับเจตสิกสัญญา แล้วไปแปล สัญญาเวทยิตนิโรธ

สัญญาเวทยิตนิโรธ มีสามคำสัญญา เวทนยิตน นิโรธ สัญญากำหนดรู้เคล้าเคลียอารมณ์ รู้เวทนา 108 ละเอียดแล้วก็ทำให้ดับ อะไรจะให้ดับ กิเลส กิเลส หยาบ กลาง ละเอียด ดับหมดเลย ก็เห็นก็รู้อย่างแจ้งสว่าง รู้ๆเห็นๆ ชานโต ปัสโตวิหรติ รู้อยู่เห็นอยู่เป็นปัจจุบันนั้นเทียว ชัดเจนทุกอย่างไม่ใช่ไปดับสัญญาไม่รู้ แต่รู้แจ้งๆเลย รู้ลืมตา สัมผัสตาหูจมูกลิ้นกาย โดยใจตื่นเต็ม ชาคริยา เป็นผู้ที่รู้ 

สู่แดนธรรม... อาจารย์ผมสอนว่าถ้ายังมีตัวรู้กำหนดสัญญาอยู่มันยังไม่ดับ มันยังไม่นิพพาน ถ้าหากนิพพานต้องดับจิตด้วย 

พ่อครูว่า... ก็เลยพาซื่อ พวกฤาษีตาเดียว พวกนี้ตาไฟนะ เขาต้องหลับตาไว้ หากลืมตามามันไหม้โลกเลย

สู่แดนธรรม... เขาว่าต้องฆ่าผู้รู้ ไปเพ่งตรงนี้

พ่อครูว่า... ก็น่าสงสาร คุณก็น่าสงสารอาตมา อาตมาก็น่าสงสารคุณก็ดีแล้วล่ะศึกษากันไปดีๆ 

พยายามทำเป็นเป็นผู้รู้น้อย หรือผู้ไม่รู้ก่อน และศึกษาตามผู้รู้ ศึกษาค่อยๆทำไปตั้งแต่ศีลแต่ละข้อเป็นศีลสมาธิปัญญา 

ศีลก็เข้าใจคนละอย่าง สมาธิก็เข้าใจคนละอย่าง ปัญญาก็เข้าใจคนละอย่าง วิมุติยิ่งไปคนละอย่างเลย เท่าที่ฟังคุณ อ.แปลง สองทอง นี่

 

ที่ว่า ร่างกายนี้ไม่เที่ยง แม้แต่จิตวิญญาณก็ไม่เที่ยง ยิ่งกายนี้ต้องเข้าใจได้ก่อน

ร่างคือสรีระไม่ใช่กายะ ร่างคือภายนอก เป็นเรื่องของดินน้ำไฟลม ร่าง ภาษาไทย กาย จึงมีคำอีกคำหนึ่งว่า  ร่างกาย เป็นภาษาไทยเป็นคำที่มี 2 

ถ้าเรียกว่า ร่างกาย ในภาษาไทย เรียกว่าคนยังเป็นๆ แต่ถ้าเผื่อว่าคนที่ตายลง กายคือจิต ไม่มีแล้ว เหลือแต่ร่าง 

ร่างนี่แหละ สรีระนี่แหละ คือ​ ศพ คือ สวะ คือ สิ่งที่จิตวิญญาณไม่ร่วมอยู่ในนั้นแล้วเป็นดินน้ำไฟลมไปแล้ว 

เพราะฉะนั้นศาสนาพระพุทธเจ้านั้นให้เรียนความรู้สึก ที่จะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ธาตุจิตวิญญาณแล้ว มันเป็นธาตุ ที่ไม่รับรู้สึกเลย นอกจากไม่รับรู้สึกเลยแล้ว มันไม่มีชีวะด้วย แยกคำว่า ไม่รู้สึก ไม่มีเวทนา และ ไม่มีชีวะด้วย นี่คือธาตุ อุตุนิยาม 

เพราะฉะนั้นเราจะรู้เลยธาตุในร่างกายเรา เช่น ท่านแยกให้พิจารณาผมขนเล็บฟันหนัง เล็บของคุณ มันยาวออกมาพ้นประสาท มันเป็น พีชะ มันมีชีวะ มันยังยาวออกมาได้ มีอาหารเลี้ยงก็ยาวออกไปได้ เป็นพีชะแต่มันไม่มีเวทนา มันไม่รู้สึกไม่ใช่วิญญาณ 

เล็บที่ใหม่รู้สึก ส่วนที่ไม่รู้สึกแล้วมันไม่ใช่วิญญาณ ไม่มีเวทนามันไม่รู้สึก ไม่เจ็บอะไร ตัดมันก็ไม่เจ็บ ตัดมันก็หลุดออกมา 

พอตัดหลุดออกมาจากร่างกาย มันเป็นดินน้ำไฟลมแท้ๆ มันเป็นธาตุอุตุ เป็นธาตุสสารเป็นธาตุวัตถุ 100% หมดชีวะ แยกให้ได้

หากตัดเล็บขาดจากชีวะ แล้ว แต่จิตของคุณยังบอกว่าเล็บของฉัน ผู้หญิงเล็บที่ไว้สวยๆหัก ใจจะขาด เล็บของฉันๆ ที่จริงมันเป็นอุตุไปแล้ว คุณเอามาต่ออีกอย่างไรคุณก็ไม่ติด เล็บนี่

เหมือนผม ตัดออกไปแล้ว ต่ออย่างไร มันก็ไม่มีอาหารมาเลี้ยง แต่ธาตุพวกนี้มันทนนะไม่เปื่อยง่าย หากแยก ให้รู้ว่าเมื่อใดมันเป็นอุตุ เมื่อใดมันเป็นพืช 

มันอยู่กับร่างกายอยู่ มันยังเป็นชีวะ มันยังจะยาวออกมาได้ อาหารเลี้ยงได้ เหมือนคน ปฏิบัติเป็นมิจฉาทิฏฐิ จิตเกาะเกี่ยว จิตวิญญาณตนเอง ไม่ยอมให้จิตวิญญาณออกจากร่าง หลงผิดจิตก็ไม่ออกง่ายๆ ตายไปแล้วก็ยังไม่ออก ตายไปแล้วก็ยังอยู่ สัตว์เดรัจฉานตายไปแล้วจิตวิญญาณมันก็ออกจากร่าง สัตว์เดรัจฉานมันยังรู้เลย แต่พวกหลงผิดนี่ ยึดกายเป็นของเรา เสร็จแล้วก็เลยยังไม่เน่าง่าย หรือยิ่งต่อท่อใส่อาหารเข้าไปให้ อย่าง ตายเป็นพืชแล้วเป็นมนุษย์พืชใส่ท่ออาหารไป ก็ยังยืดไปอีกนานเลย

พวกหลงผิดไปนั่งสะกดจิตแล้วไม่ยอมทิ้งร่าง ตายไปแล้วจิตวิญญาณก็ยังยึดเป็นของกู ร่างก็ไม่เน่า พวกมิจฉาทิฏฐิยึดกายเป็นของตนนั้น ตายไปแล้วก็ไม่เน่าง่ายๆ พวกนี้จะไม่มีแบคทีเรียอะไรมากมาย ตายแล้วจะค่อยๆแห้งลงไปๆ ก็ไม่เน่า 

เสร็จแล้วก็เอามาบูชาเป็นมิจฉาทิฏฐิบุคคล ซึ่งไม่ใช่ของศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าเลย นั่งสมาธิตายก็ตาม นอนตายก็ตาม แล้วไม่เน่าเอาใส่โลงแก้วไว้กราบ แต่เขากราบมิจฉาทิฏฐิบุคคล นอกรีต เป็นเดียรถีย์น่าสงสารมาก มันเลยเถิดเป็นมิจฉาทิฏฐิปานฉะนี้ ไม่รู้ว่าตายเป็นตาย เป็นเป็นเป็น

คนตายแล้วร่างไม่เที่ยง ตายไปแล้วก็เป็นดินน้ำไฟลม ครั้นปราศจากวิญญาณ เขาทิ้ง  เขาหมายถึงผู้มีปัญญาเขาทิ้งซะแล้ว ก็ย่อมประดุจดังท่อนไม้ดินน้ำไฟลม ท่อนไม้ อุตุนะ ท่อนฟืน อุตุ หาประโยชน์ไม่ได้หรอก อย่าไปงมงายว่าเป็นของฉัน แล้วจะต่อชีวะเป็นของฉัน 

ถ้าจิตมันลดมันตก มัน drop ไปถึงเป็น พีชะแล้ว ไม่ฟื้นมาเป็นจิตนิยมอีกแล้ว มีแต่จะกลายเป็นอุตุ ปล่อยเขาไปเถอะ ไม่มีวิญญาณ ไม่มีเวทนา ไม่มีจองเวรจองกรรม ไม่มีวิบากร่วมกันอีกเลย หมอ นายแพทย์ทั้งหลายจงรับทราบไว้จริงๆ แต่ก็รับทราบได้บ้างแล้วล่ะ 

เพราะฉะนั้นมนุษย์พืช ถอดท่อช่วยหายใจออกก็ไม่บาป เพราะมนุษย์พืช คือพืช ไม่ได้รู้ตัว ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว ยึดแต่ในจิตตน ถ้าเป็นปุถุชนก็ติดหรือเป็นพวกเทวนิยมมิจฉาทิฏฐิก็ยึดไว้อย่างนั้น เลยกลายเป็นร่างที่เน่าช้า ถ้ายังให้อาหาร ยังสูบอากาศใส่ปอด ให้อาหารทางสายอยู่ ก็จะชลอไปอย่างนั้นเป็นโมเมนตัม นานไปอีก เหมือนเลี้ยงต้นไม้เอาไว้ ไม่ให้ปุ๋ย ไม่ให้อาหารมันก็ตายเช่นเดียวกันกับต้นไม้ อยู่ได้นานด้วย 10 ปี 20 ปี เป็นการตายไม่รู้จักตาย ทรมานกันทั้งผู้อยู่และผู้อยู่ในสภาพนั้น 

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสชัด ถ้าปราศจากวิญญาณอันตัวเขาทิ้งไปแล้ว  ประดุจดั่งท่อนไม้และท่อนฟืน หาประโยชน์มิได้ คนตายร่างกายเอาไปทำฟืนก็ไม่ได้ ท่อนไม้ยังเอาไปทำที่นั่งทำโต๊ะทำตั่งได้ แต่ร่างกายเอาไปทำไม่ได้ เน่าเฟะไม่ได้เรื่อง เหลือกระดูกพอได้ 

สมณะฟ้าไท... สรุปจบพ่อครูว่าสัตว์เดรัจฉานตายก็ทิ้งร่างเลยแต่คนตายแล้วยังไปยึดถือตัวตนอยู่ว่าไม่เน่าไม่เปื่อยก็เป็นมิจฉาทิฎฐิ


เวลาบันทึก 02 ธันวาคม 2564 ( 19:46:31 )

641126

รายละเอียด

641126_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาอย่างอวดตัวแต่ถ่อมตน ด้วยความจริง

https://www.boonniyom.net/51214.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1tuM96gtEABAaYNOeunm2A7PpBSeEyFl0frTiHyQKuS8/edit?usp=sharing 

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1eyc4RNnGc9V8aPQdyC43hyyHabWEWRW7/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่  https://fb.watch/9wuANhRCBw/

    และ    https://youtu.be/gDsk5wHNzkE

 

สมณะเดินดิน...วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 แรม 7 ค่ำ เดือน 12 ที่บวรราชธานีอโศก ช่วงนี้สถานการณ์ covid ยังไม่ผ่อนคลาย ตอนนี้มีเชื้อกลายพันธุ์จากแอฟริกาใต้เข้ามา ซึ่งจะมีการระบาดมากกว่าเดิม 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน โลกุตระสามารถอยู่เหนือ ทำจิตตนให้เป็นอยู่หรือสูญสลายได้

พ่อครูว่า... ได้ฟังโลกุตรธรรม คนที่ไม่เห็นค่าโลกุตรธรรม ไม่ว่ายุคไหนก็แล้วแต่ ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาโลกุตรธรรมไม่มี มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวในเอกภพมหาจักรวาล ที่สามารถที่จะมีโลกุตรธรรมขึ้นมาให้คนรู้จักเรียนรู้และปฏิบัติให้เกิดจิตวิญญาณเป็นโลกุตรธรรม ซึ่งเป็นคุณธรรมขั้นคุณวิเศษอุตตริมนุสสธรรม มีความรู้รอบในความเป็นจิตวิญญาณ และสามารถทำจิตวิญญาณของตน ให้เป็นไปตามที่ตนจะใช้อาศัย 

จะทำจิตวิญญาณให้ไม่มีเวทนา กลายเป็นจิตวิญญาณที่เหมือนดินน้ำไฟลม เป็นอุตุนิยม เป็นวัตถุไปเลยก็ได้ ไม่มีเวทนาให้เป็นชีวะพีชธาตุได้ ไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณมีแค่สังขารสัญญาปรุงแต่งกันอยู่ ประกอบเป็นชีวิต แต่ไม่มีเวทนา ถึงไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่มีบาปไม่มีบุญอะไรกับใคร ยังไม่เป็นธาตุที่ปรุงแต่งถึงขั้นเป็นบาปเป็นบุญ 

ซึ่งชาวเทวนิยมทั้งหลาย จะไม่มีโอกาส ไม่มีสิทธิ์ เพราะศาสดาทางเทวนิยมไม่มีความรู้อย่างนี้ ในเรื่องจิต เจตสิก รูป นิพพาน อย่างแท้จริง เขาไม่มี และเป็นคนส่วนมากของโลกด้วย คนที่จะมีบารมี มีปฏิภาณ ปัญญา ธาตุรู้ที่สามารถเข้าใจความโลกุตระได้ ไม่ใช่เรื่องแกล้งเป็น หรือทำเป็นรู้ได้ มันไม่ใช่ มันรู้จริง ไม่ใช่ทำเป็นรู้ ปุโลปุเลไป มันก็ไม่ใช่ 

ต้องสัมผัสรู้แท้จริงเลย อาการของเวทนาเป็นอย่างไร อาการของสัญญา กำหนดรู้เข้าใจเลยว่าอาการมันเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นนามธรรม กำหนดรู้ได้เลย อาการของเวทนา อาการของสังขารปรุงแต่งกันเป็นอย่างนี้ รวมลงแล้วเป็นวิญญาณ โดยมีสัญญาของตัวเองเป็นกำหนดรู้ กำหนดรู้เวทนา สังขาร วิญญาณ กำหนดรู้เจตนา แล้วสามารถทำใจในใจมนสิการใช้ในใจของตนเองได้ มีความสามารถในนาม 5 นี้จริงๆ ทำได้จริงๆเลย ก็ทำให้จิตเป็นอุตุ เป็นพีชะ แต่จิตก็ยังเป็นจิตนิยามอยู่ แต่มีอิทธิพลเหนือ มีอนุปคัมมะ มี อภิภุย เป็นผู้มีอิทธิพลเหนือสภาพนั้นเลย เหนือภาวะนั้นเลย รู้เห็นเต็มๆ แต่ อนุปคัมมะอภิภุย

ในโลกเขาก็มีเป็นโลกีย์ เป็นอบายมุข เป็นกาม เป็นรูป ในโลกคนอื่นเขา แต่ผู้เป็น อนุปคัมมะ เป็นผู้มัชฌิมะ  เป็นคนผู้เป็นกลาง ยืนอยู่แล้วก็เห็นรู้อันนี้อยู่ ยิ่งกว่าพระเจ้า รู้ได้หมด ควบคุมด้วย จัดแจงได้ด้วย สำหรับตนเองนะ ไม่ใช่เที่ยวได้ไปจัดการคนอื่น จัดการตน แต่สามารถบอกคนอื่น อธิบายคนอื่น ให้เข้าใจให้เป็นอย่างที่ตนเองเป็นได้ ให้ไปทำตามได้ จริง สามารถถึงอย่างนั้น 

แล้วที่สุดแห่งที่สุดสามารถที่จะรู้เลยว่า จิตนิยามทำให้เป็นอุตุ ทำให้เป็นดินน้ำไฟลม ชนิดเลิกที่จะมารวมตัวกันติดๆเลย กายสเภทาปรัมมรณา หลังจากการตายนั้น จบไม่มีชีวะอีกเป็นพืชก็ยังไม่เป็นเลย เป็นอุตุ เรียกว่า ปรินิพพานเป็น ปริโยสานตายสิ้นรอบ เป็นครั้งสุดท้ายจบ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สามารถปรินิพพานเป็นปริโยสานได้แล้ว แต่ยังไม่ทำให้แก่ตน ยังพัฒนาเป็นโพธิสัตว์ต่อๆๆๆไป เพิ่มพุทธภูมิไป จนกว่าจะไปถึงสุดท้ายเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง หรือเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไป ถ้าเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มีสิทธิ์ปฏิบัติตนเป็นต้นเค้า จนมีสัมมาสัมโพธิญาณเท่ากับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แต่ท่านไม่แสดงตัว ว่าท่านเป็นผู้มีสัมมาสัมโพธิญาณ แล้วท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปส่วนตนจึงมีพระพุทธเจ้าขึ้นมา ถ้าหากประกาศก็เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งขึ้นมา ถ้าหากประกาศก็มีพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งขึ้นมา พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นโลกก็เลยไม่รู้จักว่ามีองค์นี้มีภูมิธรรมสูงสุดในความเป็นคน แล้วท่านก็มาช่วยโลก ท่านจะไม่ประกาศซ้อนกับพระพุทธเจ้าองค์อื่น ถ้าจะประกาศท่านเป็นเจ้าของศาสนาแห่งหนึ่งในโลกที่จะพึงเป็น ไม่ใช่ไปแย่งกับพระพุทธเจ้าองค์ไหน 

สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ อจินไตย คิดเอาเดาเอาไม่ได้หรอก เป็นความละเอียดลออลึกซึ้งที่มีนัยยะศึกษาต่างกันไปอย่างละเอียดประณีตจริง นิปุนา ยิ่ง ละเอียดลึกซึ้งซับซ้อน เดาเอาไม่ได้

ที่อาตมาพูดเพราะอาตมามีสภาวะจริง ไม่ได้อธิบายอย่างในตำราที่มีในเถรวาท หรืออาจมีในอรรถกถาจารย์ของมหายาน แต่เถรวาทไม่มี ชาวพุทธในเมืองไทยเป็นเถรวาทไม่ได้เป็นมหายาน เขาก็เลยบอกว่าเอาอะไรมาพูด ....ก็เอาอันที่พูดไปนั่นแหละมาพูด เขาถามว่าเอามาจากไหน มันฟังพอได้ไหม เป็นเรื่องเป็นราวให้สืบต่อขยายความให้ละเอียดลึกซึ้งขึ้นหรือไม่ หรือว่าพูดไปแล้วมีใครรับรู้ได้ด้วย เพ้อๆพกๆ ฟุ้งซ่านไป ก็ไม่ใช่ แต่เอาไปปฏิบัติได้ในแต่ละคนมากบ้างน้อยบ้าง 

ในผู้ที่ศึกษาผู้ที่มีปฏิภาณไหวพริบ ฟังที่อาตมาพูดสาธยายต่างๆนี้ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความจริงไม่ได้พูดเล่น พูดเรื่องอย่างนี้พูดเล่นได้อย่างไร หากพูดแล้วเลอะเทอะเขาจะหาว่าบ้าเอา แต่พูดอย่างมีเหตุมีผลมีหลักฐาน และพวกเราฟังเข้าใจมีสภาวะด้วย ก็จะรู้ว่าเราพอมี แต่ละคนก็มี แต่ละนัยยะของแต่ละคน มากคน ร้อยคนพันคนหมื่นคนก็มี นัยยะที่แตกต่างกันมันมีมุมมีเหลี่ยมมีมิติต่างๆที่พวกเราต่างคนต่างกันอยู่นะ ก็รับรู้แต่ละมิติ เหมือนช้างมีสัดส่วนคนละอย่าง แค่นี้เรียกว่าขา อย่างนี้เรียกว่าข้างช้าง งวงช้างหางช้าง ก็มีมากมายหลายมิติมากกว่าช้าง 1 ตัวแสนเท่าพันเท่า 

สรุปที่คนมาเรียนรู้ที่พระพุทธเจ้าให้มาศึกษา เป็นความรู้รวมยอด ที่ควรจะไปศึกษาอะไรก็แล้วแต่ ศาสตร์ทุกศาสตร์ ทุกวันนี้มีมากมาย แต่ยุค พระพุทธเจ้ามี 18 ศาสตร์ พระพุทธเจ้าก็เรียนจบหมดเทียบได้กับเกียรตินิยมทั้งหมด เหมือนทุกวันนี้ก็มีคนเรียนจบเป็นด็อกเตอร์หลายสาขา 

 

SMS วันที่ 24-25 พ.ย. 2564

 

_พลอยแผ้ว ชาวหินฟ้า : ขอเรียนถามพ่อครูว่า ก คือ การเริ่มต้นของรูป,ย คือ การเริ่มต้นของนาม, สระ า คือบทบาทการดำเนินไปของรูปและนาม รวมความแล้วคือการดำเนินไปของรูปและนาม แปลอย่างนี้ใช้ได้ไหมคะ?

พ่อครูว่า... พอได้ เช่นแกงก็มีเนื้อ มีผัก ใส่น้ำกับแกง  ก ย และ สระอา ก็ได้แกงมาเลย กาย ก็พอได้ว่ากันไป เรียนรู้กันไป คือมันเป็นการแยกแยะ อันนี้เทียบกับอันนี้ เทียบจากสองนี่แหละ มันมี 1 2 หรือมี 3 ก็ขยายไปจากจุดเริ่มต้นคือ 1 2 ของทางโลกไป 1 2 3 4 5 แต่ทางโลกเขาไม่รู้จัก0 ทำ 0 ไม่เป็น เขาทำได้แต่ 1 และ 1 ไม่รู้จักจบ ไม่มี 0 1 2 3 4 5 6 7 8 นะประมาณไม่ได้แต่ของพระพุทธเจ้าท่านรู้จบหมดเลย ประมาณไม่ได้ก็ได้เป็น 0 ก็ได้ และสรุปได้เลย ที่จริง 0 กับหาประมาณไม่ได้เป็นอันเดียวกัน 

เทวนิยมฟังแล้วก็หัวตีพื้นเลยว่าพูดอะไรของเอ็ง เขาจะไม่รู้เรื่องเลย เพราะเทวะ พระเจ้าเขาไม่มี 0 นิรันดร มันก็เลยยาก 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ลักษณะของหมู่กลุ่มที่เป็นโลกุตรธรรม 

_จนให้เป็น แล้วสบาย : กราบนมัสการครับท่านฟ้าไท หนังสือเปิดยุคบุญนิยมเล่มสองมีแจกที่ไหนครับ จะขอรับได้ที่ไหนครับ

พ่อครูว่า... อันนี้จริงนะ พวกเราจนเป็นหรือยัง?...เป็นแล้ว สบายไหม?...สบาย คนในโลกนี้ทุกข์ร้อนเดือดร้อนเพราะไม่มีปัญญา ไม่รู้จักตัวเองไม่รู้จักการดำเนินชีวิต ว่าเราจะอยู่อย่างไร เราก็อยู่กันอย่างมีกรรมกิริยา ทำงานสร้างสรรสิ่งที่เราจะอาศัย สร้างกินสร้างใช้ แล้วก็อยู่ได้กับสิ่งที่เราสร้าง ไม่เบียดเบียนใคร ไม่เดือดร้อน รักษาชีวิตไปได้ 

เดรัจฉานมันก็พอรู้ตัวเองโดยอาศัยธรรมชาติของมัน แต่คนนั้นฉลาดกว่า สร้างธรรมชาติขึ้นมา ปลูกพืชผักขึ้นมาเอง ปลูกผลหมากรากไม้ขึ้นมา กินไปอาศัยไป ไม่เอาผลไม้รากไม้ก็ไปขุดหัวมันมากิน มาใช้กินแทนแป้งส่วนหนึ่ง ครบ สบาย 

เพราะฉะนั้นผู้ที่เรียนรู้ศาสนาพุทธเรียนรู้สภาวะพึ่งตนเองได้ มันจะขี้เกียจขนาดไหน ถ้าไม่มีจริงๆก็ต้องทำ ถ้าไม่ทำก็ต้องตาย ถ้าไม่มีที่ให้ทำ เข้าไปเข้าป่าเขาถ้ำไปทำ พอสมควร ไม่ได้ไปบุกรุกป่า รู้พออาศัยหากินก็ทำได้ ตัวเองกิน เอาแต่แค่ชีวิตตัวเองเลี้ยงตัวเองรอด 

ทางเชนเขา กินให้น้อยแล้วเข้าป่าไม่ต้องไปอะไรกับใคร ว่างๆก็เดินแก้ผ้าโทงๆไม่ใช้อะไร มีแต่ภาชนะที่ใส่อาหารกินเท่านั้น ก็รอดแล้วชีวิต มันก็สุดโต่งขนาดนั้น แต่ของพระพุทธเจ้าก็อยู่ธรรมดาพึ่งพาตนเองรอด ฉลาดกว่าเดรัจฉาน อันนั้นมันฉลาดกว่าเดรัจฉานสำหรับพวกเชน ฉลาดไปในเชิงเดรัจฉาน 

อย่างของพระพุทธเจ้าศึกษาความเป็นมนุษย์ เหตุปัจจัยที่จะอยู่กับชีวิต มีข้าวผ้ายาบ้าน เป็นต้น สบายแล้ว แล้วพวกเราศึกษาตามธรรมะพุทธเจ้ามาจนป่านนี้แล้ว อาตมาเห็นผลสำเร็จของตนเอง ที่เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาธิบายขยายให้พวกเราเรียนรู้  แล้วก็เรียนรู้มา จนกระทั่งรู้จักหยุดรู้จักพอ เป็นคนมีวรรณะ 9 สุดยอดเลย เป็นคนที่เลี้ยงง่าย ไม่เป็นภาระอะไรมากมาย เอื้อเฟื้อเจือจานกัน จะขี้เกียจอย่างไรก็ไม่เห็นพวกเราบ่น มันก็จบแล้วชีวิตจะเรียกว่า เศรษฐศาสตร์ การเมือง รัฐศาสตร์ และสังคมศาสตร์อะไร ก็จบหมดแล้ว สำเร็จ เศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ ก็จบหมด 

เขาแก้ปัญหาเศรษฐกิจแต่ละประเทศในโลกเก่าแก้ไม่จบ เพราะไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจเพื่อให้คนรวย คุณจะแก้ให้ตายแก้ไปอีกกี่ชาติๆๆ คุณก็ไปใส่ในสมองของคนว่า คุณต้องฐานะดี คุณต้องรวย มันก็จะแข่งรวยกัน มันก็แย่งกันฆ่ากัน ใครเก่งก็ได้ เสร็จแล้วก็แย่งกัน สมบัติผลัดกันชม ก็ถึงได้มีสงครามกันตลอดเวลา ไม่จบ

แต่เมื่อมาเรียนรู้กับพระพุทธเจ้าแล้ว กลายเป็นคนรู้ว่า คนเป็นอย่างนี้ก็สบายแล้ว เลี้ยงง่าย จะพัฒนาให้เจริญก็มีทิศทางโลกุตระ มีศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา สอนสบาย สอนให้เจริญได้ไง สุโปสะ เพราะว่าเข้าใจความจน อัปปิจฉะ มาเอาแต่น้อยๆ คนเราไม่ต้องไปมีมากอะไร ไม่มีที่สุดก็คือ 0 ก็อยู่ได้ จะว่า 0 จริงๆก็พอมี ผ้านุ่ง ผ้าห่ม ที่พักอาศัย อาหารก็มีกินส่วนกลาง ผ้านุ่งส่วนตัวก็ 3-4 ชุด สมัยพระพุทธเจ้า มีผ้าจำนวนน้อย ไม่เจริญ แต่ทุกวันนี้เหลือเฟือ

ยารักษาโรคไม่มีก็ไม่เป็นไรยังไม่ป่วยก็ไม่ต้องใช้ ที่พักอาศัยก็ไม่เห็นแย่งกัน บ้านพักมีเหลือเฟือ เรือนเรือ เรือเรือน บางคนก็มาสร้างบ้านทิ้งไว้ เราก็มีกุญแจกองกลาง ถึงเวลาใช้ก็ให้ไปใช้ แต่ก็เราไม่มีคนมากจนบ้านไม่พอ คือ มันอุดมสมบูรณ์เต็มหมด เพราะเรามักน้อย อัปปิจฉะ ใจพอ สันตุฏฐิ สันโดษ มันพอ มีเท่านี้พอแล้ว นอกนั้นก็มีแต่พัฒนาตัวเอง สัลเลขะ ปรับปรุงตัวเองขัดเกลาตัวเอง ส่วนที่ยังต้องปรับปรุงยังไม่จบกิจ ตามหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า ธูตะ จนกระทั่งได้ผลเป็น ปาสาทิกะ อาการกาย วาจา ใจ ได้สำเร็จลงตัว จบด้วยอปจยะ วิริยารัมภะ ไม่ต้องสะสมอะไร บ้านช่องเรือนชานที่พักอาศัย เสื้อผ้าอาหารมีพร้อม 

ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด  ผ้าขาดมีคนช่วยชุน  ไม่ต้องสะสม คนไม่สะสมแล้วอยู่ได้อย่างไรในสังคมมนุษย์ มีอาศัยเพียงเล็กน้อย เสื้อผ้าหน้าแพร อาหารการกินไม่ต้องสะสม ก็กินร่วมกัน บ้านช่องเรือนชานก็พักที่นู่นที่นี่อย่างไม่ต้องหวงแหน พึ่งพาอาศัยกันได้ มันก็พออาศัยได้ บ้านช่องเรือนชานก็ไม่ใช่โกโรโกโร่ ผุพัง ขนาดนั้น 

เมื่อมาศึกษาเศรษฐศาสตร์ที่สมบูรณ์ก็จะรู้ตัว ควรจะศึกษาอย่างนี้เข้าใจวิถีอย่างนี้ควรจะรู้จักหมู่กลุ่มของมนุษยชาติที่เขาศึกษาอย่างไร ไม่ต้องสอบเอนทรานซ์ไม่ต้องไปสอบเข้ามหาวิทยาลัย เข้ามาอโศก ไม่ต้องไปสอบมหาวิทยาลัย แค่เห็นว่าหมู่นี้น่ามาศึกษา น่ามาเป็นพลเมืองปรับชีวิตให้เข้ากันได้ มีอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อย่างนี้ สมบูรณ์แบบเลย คนก็ไม่ค่อยจะชัดเจนได้ง่ายๆ 

ในประเทศไทยมีโลกุตรธรรมอย่างนี้ มีคนมีวรรณะ 9 รวมตัวกันอยู่เป็นสาราณียธรรม 6 เอาคำสอนพระพุทธเจ้ามาพูดแล้วมันยิ่งใหญ่จริงๆ สุดยอดแห่งวิชาการ แต่โลกก็ยังเข้าใจไม่ได้ว่าคำสอนพระพุทธเจ้านี้สุดยอดเพราะอะไร เพราะคนส่วนใหญ่เป็นเทวนิยม ยังไม่สามารถที่จะเข้าใจเศรษฐศาสตร์แบบพุทธ สังคมแบบพุทธ รัฐศาสตร์แบบพุทธ ยังไม่สามารถเข้าใจ

เพราะฉะนั้นเมืองไทยมีเศรษฐศาสตร์แบบพุทธ มีรัฐศาสตร์แบบพุทธ แต่ยังมีพวกที่หลงรัฐศาสตร์ ไปเรียนดอกเตอร์มาจากเทวนิยม แล้วเอามาพูดในเมืองไทย น่าสมเพช น่าสงสาร 

รัฐศาสตร์ของประเทศไทย เป็นรัฐศาสตร์โลกุตรธรรม อย่างพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เป็นผู้ที่นำพารัฐศาสตร์โลกุตรธรรมมาตั้ง 70 ปี เขาก็ยังไม่เข้าใจ แต่จะเข้าใจอย่างไรไม่เข้าใจอย่างไรมันก็จะซึมซับเข้าไปในมันสมองของมนุษย์แน่ๆ Osmosis เข้าไป 70 ปีท่านได้ทรงงาน ทรงโลกุตรธรรม ทรงพระจริยวัตร ซึ่งมันอธิบายไม่ง่าย 

ลักษณะอย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 นี่แหละ เป็นลักษณะโลกุตรธรรม ทรงมีพระจริยวัตรของพระองค์ คนก็ดูเห็นพระจริยวัตร มันจะมีตัวตัดสินเลือกเฟ้น 

คนที่อยู่ในฐานะผู้บริหารผู้รับหน้าที่รับผิดชอบ แง่นั้นเชิงนี้ ในแง่วิศวกรรม การสื่อสาร ชลประทานอะไรก็แล้วแต่ รวมแล้วก็คือสิ่งที่มนุษย์อาศัย กับการเฉลี่ยที่เราได้ชำนาญในเรื่องใด แม้ว่าเรามีความชำนาญในเรื่องเดียว คนปลูกพืชผักอย่างเดียว คุณก็ทำ แล้วอันอื่นก็อาศัยของเขาบ้าง ในคนก็มีการแลกเปลี่ยนการขาย ก็สบายกว่าแลกเปลี่ยน 

เดี๋ยวนี้มีการขายทางไลน์ ทางอากาศ อยากได้อะไรก็กดสั่ง มีเงินจ่ายเขาก็แล้วกัน ยิ่งสะดวกเลย 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สมณะเดินดิน... ที่พ่อครูปลูกฝังพวกเรามา 50 ปีแล้วก็แตกต่างจากคนทั่วไปมาก 

 

_จนให้เป็น แล้วสบาย : กราบนมัสการครับท่านฟ้าไท หนังสือเปิดยุคบุญนิยมเล่มสองมีแจกที่ไหนครับ จะขอรับได้ที่ไหนครับ

พ่อครูว่า... ก็เขียนขอในรายการท่านฟ้าไทสิ บอกที่อยู่มาด้วย 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ทำไมคนยุคนี้รับโลกุตรธรรมได้ยาก

_Saksri Maimeethong (ศักดิ์ศรี ไม่มีทอง) : คนทำไมไม่แปลกหูเลยว่าหลวงปู่รูปนี้ อายุเกือบ90 ทำไมพูดไม่เหมือนพระรูปอื่น ๆ เลย เขาน่าจะสะดุดหูบ้าง ผมเข้าใจว่าคนที่ฟังติดตาม ส่วนหนึ่งถือว่าเป็นบารมีเก่าใช้มั๊ยครับ แต่อีกคนพอได้ฟังชาตินี้ก็เกิดความแปลกหู แปลกใจ เลยติดตามฟังและเข้าใจไปเรื่อย ๆ อย่างนี้เรียกว่ากรรมใหม่บารมีใหม่ใช่มั๊ยครับ คนกลุ่มหลังจะมีน้อยกว่ากลุ่มแรกใช่มั๊ยครับ แสดงว่าคนกลุ่มหลังก็สะสมความดีมาพอสมควรจนวิบากจัดสรรมาให้ได้ฟังธรรมะชั้นยอด..จากสัตบุรุษ..

พ่อครูว่า...คนที่ฟังแล้วไม่รู้เรื่องก็น่าสงสารจริงๆ คนที่จับได้เห็นสาระเป็นสาระก็ได้จริงๆก็เป็นบารมีเก่าของเขา มีที่เป็นบารมีใหม่แต่ก็มีพื้นของบารมีเก่ามา

อธิบายโดยใช้พยัญชนะคำว่า อัญญธาตุ ธาตุจิตที่เป็นโลกุตระ แต่ว่า อัญญธาตุ ก็ไม่ได้หมายความว่า พอสัมผัสปั๊บ เป็นเทวนิยม ร้อยเปอร์เซ็นต์ เสร็จแล้วมาได้ยิน ธรรมะที่มีอัญญธาตุ คือ ธาตุอื่นที่ไม่เหมือนที่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย อาจจะเคยได้ฟังแต่รับไม่ติดก็ผ่านไปผ่านไป แต่ตอนนี้ พอเริ่มมีจิต เมื่อสัมผัสแล้วสะดุด แล้วก็ตามศึกษาต่อ อัญญธาตุ ก็จะเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น มากเกินกว่า 50% เป็น 60% ถึง จะได้ชื่อว่า อัญญธาตุ อย่าง อัญญาโกณฑัญญะ พอฟังพระพุทธเจ้าเข้าใจเลย เป็นพระโสดาบัน พระพุทธเจ้าจึงได้บอกว่า อัญญาสิ วตโภโกณฑัญโญ มีภูมิเก่ามาก่อน 

กว่าจะได้ไป อัญญา แปลว่าธาตุรู้โลกุตระ เป็นความรู้ความเฉลียวฉลาดแบบโลกุตระ อัญญาคือพหูพจน์ อัญญะคือเอกพจน์ ขยายเต็มรูปก็เป็นปัญญา กว่าจะมาถึงนี่ก็อีกนาน 

 

สมณะเดินดิน... พระพุทธเจ้าเปรียบผู้มีปัญญาเป็นประดุจดังเขาโค มีจำนวนน้อยมากเปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่มีปัญญาเป็นดั่งขนโค พวกเราไม่ต้องคิดทำใหญ่แต่ทำน้อยๆให้ดีๆ ทุกวันนี้มีสื่อสารเผยแพร่ออกไป อย่างคลิปของสาวจีนที่ทำอาหาร 

สู่แดนธรรม... ทำไมคนที่อัญญาไม่เกิด เปรียบเสมือนคนที่เดินคู่ขนานกับลำคลอง อยู่กันคนละฝั่ง จังหวะที่เขาจะเกิด ดูว่าตอนไหนจะเดินไปเจอสะพาน 

พ่อครูว่า... อาจเป็นลำคลองที่ไปบรรจบกัน มันเป็นเรื่องยาก เป็นอจินไตย เป็นเรื่องที่เดาไม่ได้ เป็้นเรื่องลึกซึ้งซับซ้อนมีเหตุปัจจัยของมันแต่ละเหตุปัจจัย อยู่ๆจะเกิดโดยไม่มีเหตุปัจจัยไม่ได้ มันละเอียดลึกซึ้งในเหตุปัจจัยต่างๆ 

พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสถึงปฏิจจสมุปบาท 12 สภาพ มันก็หยาบเยอะแล้ว แต่คนก็ยังตามเรียนไม่ได้ ละเอียดเกินจะเข้าใจ เพราะเป็นนามธรรม  สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา ภพ ชาติ ชรา มรณะ 

หากไม่ได้เรียนรู้พยัญชนะกับสภาวะอย่างสมบูรณ์ก็ไม่ได้ ทุกวันนี้คนก็เรียนแต่พยัญชนะเยอะไปหมดเต็มเถรสมาคมแต่สภาวะไม่ค่อยมี ก็ได้แต่อาศัยพยัญชนะมาอาศัยเลี้ยงชีวิต ได้ลาภยศสรรเสริญ โลกียสุข เลี้ยงชีวิตไปทั้งชีวิตหนึ่ง เยอะเต็มเถรสมาคม 

สู่แดนธรรม... คนจะรับสิ่งใหม่ต้องเอาสิ่งเก่าออกก่อน อย่างเช่นพระป่า 

พ่อครูว่า... ไม่ใช่แต่พระป่าหรอก พระบ้านที่เรียนรู้เต็มหูเต็มหัว อันนี้ยิ่งยากกว่าพระป่าอีก พวกที่ยึดถือลาภยศสรรเสริญ อันเป็นอันตรายอันแสบเผ็ด แม้พระขีณาสพ ออกป่าเขาถ้ำเป็นอันตรายต่อพระขีณาสพ ไม่มีนะ มีแต่ลาภสักการะสรรเสริญเป็นอันตรายอันแสบเผ็ดแก่พระขีณาสพ ทำเป็นเล่นไป หนักหนาสาหัส 

พระบ้านที่ไปเรียน กับพระป่า ใครมากกว่ากัน พระบ้านมากกว่า เรียนนักธรรมตรี โทเอก เปรียญ 9 เรียนพุทธศาสนา จบดร.พวกนี้ Post Doctor อีก เราว่าไป เขาก็หาว่าเราปากจัด ที่จริงเราปากชัด ก็เรื่องของเขา

 

_สายลมหวาน : เรียนรู้กายจากเวทนาที่เกิดจากผัสสะ โดยการทำสังขารให้เป็นอภิสังขาร ให้เป็นปุญญาภิสังขารจนเสร็จจบเป็นอปุญญาภิสังขาร คือชำระกิเลสหมดสิ้น กรรมที่ทำต่อมาก็เป็นอเนญชาภิสังขาร ถูกไหมครับ

พ่อครูว่า...ถูก อาตมาฟังคุณสายลมหวานพูดสั้นๆนี้เข้าใจ พูดมาถูกต้อง แม้แต่คำว่า ทำสังขารโดยเป็นอภิสังขารให้เป็น ปุญญาภิสังขาร จบเป็นอปุญญาภิสังขาร ชัดเจน จบหมดกิเลส ก็ไม่ต้องมีบุญ อปุญญาภิสังขาร 

เพราะฉะนั้นกรรมที่ทำต่อจากนั้นก็เป็น อเนญชาภิสังขาร เป็นสังขารที่ โลกทำอะไรท่านไม่ได้ เป็นผู้อภิภุย เขาจะมีโลกภายนอกโลกภายใน มีทั้งสุพรรณะ ทุวรรณะ มีอะไรอื่นๆอีก ที่พระพุทธเจ้าท่านยกมาเป็นสี สีเขียวก็อีกหลายเฉด สีแดงก็มีหลายเฉด สีเหลืองก็หลายเฉด จนกระทั่งขาว ขาวมีกี่เฉด 

สู่แดนธรรม... ขาวเก่าๆ ขาวอมฟ้า ขาวอมเหลือง 

พ่อครูว่า... เป็นรายละเอียดที่อาตมาอธิบายมาถึงอภิภายตนะ 8 จะว่าสนุกก็สนุก จะว่ายากก็ยาก แต่ว่าน่ารู้มันก็น่ารู้จริงๆเลย แต่อาตมาก็สงสารคนที่ภูมิยังไม่ถึง ก็เลยมีฟังจำนวนคนไม่มากนัก คนที่เข้าใจรู้ฟังไปมีธรรมรส ก็จะมีจำนวนหนึ่งนอกนั้นก็จะจับไม่ติด ก็จะไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร แต่มันต้องพูดไว้ อาตมาต้องอธิบายไว้ ต้องนำมาแยกแยะเพื่อที่จะให้เข้าใจ ต่อเชื้อเอาไว้ก็เลยต้องทำ

 

_ปะตรงเตือน นาวาบุญนิยม : คนไทยมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือแบ่งปันกันและกัน ทำงานขยันขันแข็ง มีความศรัทธาศาสนา โดยเฉพาะชาวพุทธ ที่ทำตนเป็นคนดี ซึ่งมีมากในสังคม แต่น่าเสียดายที่ พระสงฆ์ติดอยู่แค่สวดมนต์ทำพิธีกรรม นั่งหลับตา ไม่สามารถสอนให้คนเกิดสัมมาทิฏฐิได้ คนดีหลายๆ คนจึงไม่ได้ต่อยอดภูมิธรรม ผู้ที่ศึกษาบุญนิยมได้เป็นชาวอโศก โชคดีแล้วที่ได้ฟังธรรมโลกุตระจากพ่อครู สมณะ สิกขมาตุ ท่านลดละกิเลส จากการปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 อย่างถูกแท้ ถูกถ้วน ถูกตรง เพราะท่านเป็นนักบวชที่ปฏิบัติศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เป็นนักบวชที่ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ได้มาอยู่ในอโศกเรียนรู้แล้วจึงต้องบากบั่นลดกิเลส ทำงานเสียสละ เพื่อรวมเป็นพลังของแผ่นดินพุทธ ช่วยประเทศชาติต่อไป

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน อวดตัว ถ่อมตน กับพูดความจริง เป็นเช่นไร

_สงกรานต์ ภาคโชคดี : กราบคารวะพ่อท่านด้วยความเคารพยิ่ง

กราบขอความกรุณาพ่อท่าน พิจารณาขยายความ การพูดถึงตนเอง 3 แบบ คือ 

1.อวดตัว 2.ถ่อมตน 3.พูดตามจริง 

ด้วยองค์ประกอบ 2 อย่าง คือ พูดจริงหรือไม่ และเพื่อใคร

พ่อครูว่า... คุณว่า อาตมามีกี่อย่าง ...มีหมดครบทุกอย่าง 

รวมแล้ว คือพูดตามจริง 

อาตมายืนยันว่า อาตมาที่พูดไปทั้งหมดไม่ได้พูดเล่น อาตมาจะไม่พูดอะไรที่ไม่จริง แต่คนฟังจะรู้สึกสำคัญว่า อาตมาพูดนี้ สำคัญมากเลยนะ คนเราไม่พูดอะไรที่ไม่จริงเลย นอกจากฟังคำพูดสนุกๆเล่นๆ ก็ต้องรู้เวลาวาระอย่างนั้น แต่ถ้าได้เทศน์แล้วไม่มีอะไรจะพูดไม่จริง พูดตามจริง 

อวดตัว อาตมาบอกความจริงโดยไม่มี สาเฐยจิต อวดตัว โชว์ตัว แสดงตัวว่าเป็นเช่นนั้นตามจริง คือพูดตามจริงนั่นแหละ อวดตัว ตามความเป็นจริงที่อาตมาเป็น 

แล้วอาตมาก็มีนัยยะถ่อมตัว มีจริงๆ บางครั้งพวกคุณอาจจะรู้สึกเลยว่ามากไป ถ่อมตัวมากไป 

พ่อครูว่า...พูดอวดตัวตามจริงก็เพื่อผู้อื่น ข้อสำคัญคือจริงหรือไม่ อาตมายืนยันว่าพูดจริงก็เพื่อใคร เพื่อศาสนา เพื่อมนุษยชาติทุกคน 

_1.อวดตัว ทั้งพูดไม่จริง หรือเกินจริง และมักเพื่ออวดตนเองให้ดูดี ข้อนี้ก็ตัดสินได้ไม่ยากว่า ไม่ควรทำ หรือทำแล้วเป็นบาปแน่นอน

พ่อครูว่า... คุณว่าอาตมาพูดให้ตัวเองดูดีไหม...ไม่ ฟังแล้ว บางทีนะ อันนี้ซับซ้อน คนที่พูดให้ตัวเองดูดี ก็จะมัดระวัง อันไหนที่โลกจะตำหนิโลกวัชชะ เขาจะระวังมาก อาตมานี้ไม่ระวังสักอย่าง จริงใจมากอย่างสมควรอะไรก็พูดไปหมด แสดงออกทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม พร้อมกันไป เป็น  นัจจะ คีตะ วาทิตะ 

หากว่าผู้ตรวจตัวและพูดไม่จริงเกินจริงข้อนี้ก็ตัดสินแล้วว่าไม่ทำ มันเสแสร้งกลบเกลื่อนตัวเองเป็นบาปแก่ตัวเอง กิเลสหนาไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นคนที่ไม่แสดงความจริงธาตุแท้ของตัวเอง กลบเกลื่อน แต่มันก็ซ้อนก็ต้องระมัดระวังอย่าไปแสดงอะไรที่ไม่ดี แสดงว่าเป็นคนมีอารมณ์โกรธ อารมณ์โลภอะไรออกมา ทั้งๆที่เราก็มีอารมณ์โกรธ อารมณ์โลภอยู่ เราก็ควรระมัดระวังอย่าให้ออกไปทางกาย วาจา ถ้าออกมาอย่างเลอะเทอะมันก็ดูน่าเกลียดเรี่ยราด มันไม่เข้าท่า คนที่มีมากก็ต้องระวังถูกแล้ว แต่คนที่มีน้อยลงเรื่อยๆก็ไม่ต้องระวังแล้ว แล้วจะรู้ว่าคนคนนี้มีจริงมีกิเลสเท่าไหร่เขาแสดงออกมา 

แต่ถ้าคุณมีมากๆอย่าเอาออกมา เก็บไว้ ระมัดระวังไว้อย่าให้มันออกมา แต่ถ้าคุณมีน้อยจนกระทั่ง ขนาดนี้อยู่ในโลกเขาก็แสดงกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ต้องระมัดระวังมากเท่าไหร่ ก็แสดงจริงออกมา คนก็จะได้เห็นได้รู้ ได้ระมัดระวังด้วย คนนี้ขี้โกรธนะ คนที่โกรธตัวเองนะ ไวนะ คนนี้ขี้โลภไปนะ คนนี้ขี้ราคะเยอะ ก็ไวนะ มันเป็นประโยชน์ต่อตนเองต่อท่าน มันต้องอวดต้องแสดงจริง นัยยะละเอียดเป็นอย่างนั้น 

 

_2.ถ่อมตน มักเป็นการพูดจริงไม่ครบ เช่น มี 100 บอกว่ามีแค่ 50 หรือมากน้อยกว่า แต่ไม่ครบ 100 ก็ถือว่าพูดจริงไม่หมดทั้งนั้น

พ่อครูว่า...จริงๆมีนัยะ ละเอียด ถ่อมตน เรามี 100 ก็ไม่ได้หมายความว่าแสดงออกแค่ 50 ถ่อมตนก็หมายความว่า เรารู้อยู่ว่า ในกาละเทศะฐานะอย่างนี้ ควรจะโชว์ ควรจะแสดงออกมาเต็มตามที่เรามี ไหวไหม เหมาะสมกับเหตุปัจจัยองค์ประกอบหรือไม่ ไม่เหมาะสม เราก็แสดงเท่าที่ได้ ก็ประมาณเป็นชั้นๆไป อย่างนี้เรียกว่าถ่อมตน ประมาณตน 

อย่างที่คุณสงกรานต์ว่ามา บอกว่ามีแค่ 50% มันเป็นเรื่องราว เสแสร้งให้คนอื่นรู้อย่างนั้น

สู่แดนธรรม... เดี๋ยวนี้พวกแม่ค้าขายของเขารู้ว่าถ่อมตนและคนจะมาซื้อก็เลยถ่อมตน 

พ่อครูว่า... มันมีหลายแง่มุม

_แต่ถ้าพูดเพื่อคนฟัง เช่น อาจพิจารณาว่า ในขณะนั้นผู้ฟังยังมีภูมิธรรมไม่พอที่จะรับได้ทั้งหมด ฟังแล้วอาจเป็นผลเสียกับผู้ฟัง เช่น เสื่อมศรัทธา เป็นต้น (พ่อท่าน ก็เคยพูดโดยเฉพาะในช่วงแรกๆของการเปิดเผยภูมิธรรม ทำนองว่า มีเพชรอยู่มากมาย แต่ให้เห็นแค่ส่วนเดียว ก็พอ) ก็ถือเป็นการทำเพื่อผู้อื่น เป็นกุศลกรรม ใช่ไหมครับ?

แต่บางคนอาจถ่อมตน เพราะเห็นว่าจะเป็นที่ยอมรับ พูดให้สอดคล้องกับค่านิยมในสังคมนั้นๆ(เช่น สังคมไทย ชอบคนถ่อมตน) จะถือว่าเป็นการทำเพื่อตนเอง มีอัตตา เป็นอกุศลกรรมได้หรือไม่ครับ?

พ่อครูว่า... ได้มี เป็นอกุศลกรรม ทำให้คนเข้าใจผิด คุณเองไม่เป็นเช่นนั้นหรอกแสดงออกมาแล้วก็ไม่จริง คุณแสดงได้ดีกว่านั้น แต่คุณแสดงออกมาไม่ดี ไม่เต็มที่ แล้วไปหลงว่านี่แหละคือถ่อมตน ซึ่งไม่ใช่หรอก ดีก็แสดงออกมาให้เต็มที่สิ อย่างอาตมา ไม่เคยไปอมพะนำไว้ มีอะไรก็ว่าไปเต็มๆ 

แล้วถ่อมตนก็อธิบายไปแล้ว ถ่อมตน คือเราเองระมัดระวังในเหตุปัจจัย ดูองค์ประกอบ อันนี้ควรจะแสดงขนาดนี้ คนกลุ่มนี้ควรแสดงขนาดนี้ มีสัปปุริสธรรม 7 กาละนี้ คนกลุ่มนี้ขนาดนี้ รู้จักแสดงธรรมะตาม อัตถะ สัปปุริสธรรม 7 คือ  1.ธัมมัญญุตา เป็นผู้รู้จักเหตุ 2.อัตถัญญุตา เป็นผู้รู้จักเป้าหมายจุดประสงค์  3.อัตตัญญุตา เป็นผู้รู้จักตน ตัวเราแค่ไหนแล้ว 4.มัตตัญญุตา เป็นผู้รู้จักประมาณ 5.กาลัญญุตา เป็นผู้รู้จักกาล 6.ปริสัญญุตา เป็นผู้รู้จักชุมชน ส่ิงแวดล้อม 7.ปุคคลปโรปรัญญุตา เป็นผู้รู้จักบุคคล  

_3.พูดตามจริง เป็นการพูดตรงตามที่ตนเอง มีจริง เป็นจริง เต็ม 100 (ซึ่งไม่มีใน 2 แบบแรก) และพูดอย่างไม่มีสภาวะจิตของการอยากอวด แต่เพื่อต้องการให้ผู้ฟังได้ประโยชน์เท่านั้น และถึงเวลาที่ควรพูดแล้ว จึงเป็นกุศลกรรมอย่างเต็มที่

แต่ถ้าพูดตามจริงเต็ม 100 แต่จิตใจยังอยากอวด ก็ยังเป็นอกุศลกรรม ใช่ไหมครับ?

พ่อครูว่า... อันนี้คืออาตมาก็เคยบอกกำกับตลอดเวลา ว่าอาตมาเป็นอย่างนี้อาตมาไม่ได้อยากจะอวดเลย อาตมาบอกความจริงตามความเป็นจริง คนก็ไม่เข้าใจได้อย่างที่คุณสงกรานต์เข้าใจ คนไม่เข้าใจก็เลยไม่เชื่อถือไม่ยอมรับ แต่คนที่เข้าใจยอมรับ ดีไม่ดีเขาเห็นความถ่อมตนของอาตมา อย่างที่พูดไปแล้วอาตมามีเพชรเป็นกระบะแต่เอามาแจกทีละน้อย 

 ถ้ามีจิตอยากอวด อันนี้เป็นเรื่องจริงของความอยากอวด เป็นสาเฐยจิต จิตอยากอวดอยากโอ่ ก็ต้องอ่านอาการจริงๆว่าเป็นอาการอยากอวดไหม

ยกตัวอย่างอาตมา อาตมาบอกตัวเองตั้งแต่เริ่มต้นแสดงธรรม อาตมาบอกว่าเป็นโพธิสัตว์ เพราะอาตมารู้ว่าคนที่เราวาดเมืองไทยเขาไม่รู้เรื่องโพธิสัตว์ เขาไม่ได้ถือว่าโพธิสัตว์เป็นอริยบุคคล เขาบอกว่าเป็นผู้แสวงหาอาริยธรรมเป็นสัตว์ใต้ต้นโพธิ์ อาตมาก็พูดได้สบายแต่เขาไม่ติดใจ แต่แท้ๆแล้วโพธิสัตว์นั้นเหนือกว่าอรหันต์ 

พระโพธิสัตว์ต้องได้อรหัตตผลก่อนถึงจะเป็นโพธิสัตว์ ถ้าหากยังไม่ได้อรหันต์สักคน ไม่ได้เป็นโพธิสัตว์แม้แต่ขั้นโสดาบัน โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 

อาตมาธิบายไปเข้าใจดีไหม เป็นสภาวะเป็นขั้นตอนเข้าใจไปตามลำดับ คนที่ไม่ติดใจอะไรก็ได้รับความรู้ความจริง โดยใช้พยัญชนะของท่านแหละ อาตมาไม่ได้บัญญัติเอง อาตมาอธิบายจนกระทั่งทุกวันนี้เขาก็เข้าใจว่าโพธิสัตว์นั้นเหนือกว่าอรหันต์ แล้วโพธิสัตว์ระดับ 7 ด้วย ทุกวันนี้เขาก็เลยตาเหลือก ที่แท้เขาพูดอวดตัวมาตั้งแต่ต้น คนเข้าใจก็จะชัดเจนว่าท่านได้ถ่อมตนมาตั้งแต่ต้น 

50 ปีแสดงตัวเต็ม กว่าจะมาจะบอกว่าเป็นอรหันต์ ทั้งๆที่บอกว่าเป็นโพธิสัตว์มาตั้งแต่ไม่รู้เท่าไหร่ ตั้งแต่ 2528 ตั้งแต่เริ่มออกบวชก็บอกว่าเป็นโพธิสัตว์ เห็นไหม ต้องรู้กาลเทศะที่จะต้องพูด 

 

_ใบฟ้า  นาวาบุญนิยม : ศ.26พย.64:7.16น. กราบขอโอกาส กราบเรียนพ่อครูดังนี้ค่ะ

ทุกเช้าที่ได้ฟังธรรมะของพ่อครู เป็นมงคลชีวิตของการเริ่มต้นวันใหม่

ยามเย็นที่ได้ฟังธรรมะจากพระนิยตะโพธิสัตว์ นับว่าเป็นของขวัญที่ล้ำค่าแก่ชีวิตในวันนั้น  กราบขอบพระคุณ กราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้าฯ


 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน พระสงฆ์ยุคนี้มีแต่สวดมนต์ทำพิธีกรรมจึงทำลายศาสนา 

พ่อครูว่า... กลับมาขยายความที่ฝากไป ที่ว่า “พระสงฆ์ติดอยู่ที่สวดมนต์ ทำพิธีกรรมนั่งหลับตา” พระสงฆ์ติดอยู่แค่สวดมนต์ทำพิธีกรรม

การสวดมนต์ เขาก็ทำการสวดเพื่อรักษาคำสอนไว้ เขาคิดว่าเป็นการรักษาศาสนา แต่ที่จริงเป็นการทำลายศาสนาเพราะว่า 1.คุณเอาไปสวดหากินแลกเงิน 2.สวดอวดโชว์ 3.หลงเป็นภพชาติ สวดได้อานิสงส์เป็นสวรรค์วิมานสวดกันข้ามวันข้ามคืน ถ้าไม่มีการสวดมนต์สรุปอย่างเดียว ไม่มีศาสนาพุทธ

พิธีกรรม ทำแต่พิธีกรรม นอกจากสวดมนต์แล้วก็มีพิธีกรรมต่างๆ ด้วยการประกอบเรื่องราวรูปแบบอย่างนั้นอย่างนี้ จนกระทั่งกลายเป็นพิธีกรรมชั้นสูง กลายเป็นราชพิธี จนกระทั่งยอมรับกัน ถือว่าศาสนาพุทธมีเท่านี้ และผู้ที่ทำพิธีกรรม จนกระทั่งถึงราชพิธี ก็ได้ตำแหน่งยศศักดิ์ขึ้นไป 

อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น พระสงฆ์มีหน้าที่รับจ้างทำพิธีกรรม วัดนี่มีธนาคารของตัวเอง รวยสะบัดเลยนะ บริหารเงินในธนาคาร ได้เงินจากการบริหารการเงินอีก ถ้าเจ้าของวัดนี้ถอนเงินตัวเองออกจากธนาคารที่ตั้งนั้น ธนาคารนั้นก็ล้ม นี่ของญี่ปุ่นเลยนะ ยิ่งกว่าพราหมณ์ มหาศาลในยุคพระพุทธเจ้า ในยุคนี้พิสดารมากกว่านั้นเยอะ สรุปแล้วพิธีกรรมต่างๆ ตั้งแต่ยกตัวอย่างไปถึงญี่ปุ่นให้ฟัง 

ที่นี้พิธีกรรมของไทยไม่เป็นอย่างนั้นทีเดียว สู้ญี่ปุ่นไม่ได้ไม่เก่งเท่า ญี่ปุ่นเป็นเจ้าของพิธีการ มีการสืบทอดไปถึงลูกหลานสันตติวงศ์ด้วย เป็นพราหมณ์มหาศาลอย่างนั้นเลย ตามสมัยโบราณ พ่อเป็นพราหมณ์ ลูกเป็นพราหมณ์ ตระกูลหลานเหลนนั้นก็เป็นพราหมณ์ แม้แต่กษัตริย์เขาก็ถือว่าเป็นฆราวาส ในอัมพัฏฐสูตรว่าไว้ อัมพัฏฐมานพ ถือว่าตนเป็นพราหมณ์ สมณโคดมอย่ามาทำเป็นแอ๊ค ท่านมาจากกษัตริย์ต้องไหว้พราหมณ์ พระพุทธเจ้าก็บอกว่า จะไหว้คนที่มีคุณธรรมมีธรรมะควรจะไหว้ หากว่ามีแต่ภาษาบัญญัติมีแต่ศักดินาติดอยู่อย่างนั้น ไม่มีอะไรที่จะเป็นจรณะ 15 วิชชา 8 เลย 

แล้วพระพุทธเจ้าก็ไล่จนกระทั่งอัมพัฏฐะตกเก้าอี้เลย ตัวเองไม่มีจรณะ 15 วิชชา 8 สักนิดเลย แต่พระพุทธเจ้าท่านมีท่านยืนยันได้ อัมพัฏฐะก็แพ้ นั่งซบเซาคอตก แต่ไม่ทำ อวดดีอีก แพ้แล้วก็ทำกร่าง กลับไปถึงสำนักตนเอง อาจารย์ก็เลยเตะให้ 

แปลภาษาปิฎกว่าไว้เลยนะ อาตมาไม่ได้พูดเลยเถิด

สู่แดนธรรม... ท่านแปลในพระไตรปิฎกว่าเอาเท้าปัด 

พ่อครูว่า... มันก็แปลเพราะๆ ที่จริงเตะเลย อาจารย์ให้ไปดูพระพุทธเจ้าว่าพระพุทธเจ้ามีพระคุยหาเร้นอยู่ในฝักหรือเปล่า แต่ไปทำเสียชื่อสำนักหมดก็เลยเตะให้ ขายหน้าอาจารย์หมด 

ขยายความให้รู้ว่าความไม่รู้ของคนในยุคนี้คล้ายๆกัน แล้วพวกที่ถือว่าตัวเองเป็นพระมหาศาล เหมือนพราหมณ์มหาศาล ก็มีหลายชั้น ชั้นที่มีลาภยศสรรเสริญข้าวของเงินทอง ไปเป็นผ้าป่าก็เป็นไปในทางติดภพชาติติดวิมาน Magical ลึกลับ สร้าง นิรมาณกาย สัมโภคกาย อทิสมานกาย 

สมณะเดินดิน... สรุปจบ


เวลาบันทึก 02 ธันวาคม 2564 ( 19:45:04 )

641210

รายละเอียด

641210_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ คนจน 2 แบบ คนจนอวิชชากับคนจนโลกุตระ ตอน3 

https://www.boonniyom.net/51209.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1vqpWZsp07Tx16DiMNWgqKtuM2v7lt6Rg7plkNbkPF3A/edit?usp=sharing 

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1g2kTTiewoLpfin9RoEQwfF6Bj6HOu-K4/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่  https://fb.watch/9P1eSkWqqC/

และ https://youtu.be/AnOtYEZW-dc


 

สมณะเดินดิน... วันนี้วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก มีอดีตนายกหญิงของประเทศไทยส่งข้อความมาว่า ประเทศไทยแก้ปัญหาชาติไม่ได้เพราะรัฐธรรมนูญให้เป็นสากลไม่ได้รับการยอมรับ ที่สำคัญคือเป็นรัฐธรรมนูญที่ทำให้สืบทอดอำนาจเผด็จการ แต่ก็มีคนแย้งว่ารัฐธรรมนูญฉบับก่อนพวกคุณสืบทอดอำนาจกันมาหลายคนแล้ว ดังนั้นรัฐธรรมนูญฉบับนี้น่าจะดีกว่าที่ขจัดพวกนี้ออกไปได้ 

อลิซาเบธ วอร์เรน วุฒิสมาชิกหญิงมะกัน พูดไว้เมื่อเร็วๆ นี้ว่า...

“ประเทศไม่ได้อยู่ได้เพราะประชาธิปไตย ไม่ได้อยู่ได้เพราะรัฐธรรมนูญ ไม่ได้อยู่ได้เพราะกฎหมาย แต่ประเทศจะยั่งยืนอยู่ได้ด้วยกำลังของพลเมืองดี ที่ไม่ดูดายและยอมแพ้ต่อคนชั่วคนทุจริต ที่กัดกร่อนทำลายประเทศชาติ พลเมืองดีจึงต้องยืนหยัดรักษาบ้านเมืองไว้ให้มั่นคงเพื่อลูกหลานรุ่นต่อไป”

น่าจะตรงกับสภาวะของประเทศไทยขณะนี้

พ่อครูว่า... SMS วันที่ 8-9 ธ.ค. 2564

 

_สมสมัย นันตะโภค : กราบนมัสการค่ะ พ่อครูอธิบายพญานาคได้ชัดมากค่ะ ไม่ว่าจะเป็นผู้โกนผมห่มผ้าเหลืองหรือฆารวาสต่างก็เป็นพญานาคอยู่ทั้งนั้น สาธุค่ะ

 

_สติพล จนพัฒนา : มีบางคนเขาบอกว่าพ่อครูสายเจโต..แต่ผมว่าพ่อครูสาย

ปัญญาแต่แกนเจโตใช่ไหมครับ หรือเป็นสายอุภโตภาคครับ(ผมเชื่อพ่อครูเพราะ พ่อครูมีสภาวะมาหลายชาติแล้วครับ)

พ่อครูว่า...อาตมาเป็นแกนปัญญา ซึ่งต้องรับเอาเจโต ต้องพยายามฝึกจิตให้มีเจโต มีความแข็งแรงทางแกน Static ให้เข้ามาเป็นสอง เป็น อุภโตภาควิมุติ เสมอ แต่อาตมาจริงๆเป็นแกนพุทธิปัญญา

 

_นาคี ภูน้ำเพชร : คนเป็นโรคจิตเภท จะเรียกว่าเป็นคนมีถีนมิทธะ หรือเปล่าครับ

พ่อครูว่า...ได้ทั้งนั้น ถีนมิทธะ ก็ได้ อุทธัจจะกุกกุจจะ ก็ได้ กามมากๆก็ได้เป็นจิตเภท ขี้โกรธพยาบาทมากๆก็เป็นจิตเภทได้ นิวรณ์ 5 มีมากเป็นจิตเภทได้ทั้งนั้น 

_จุ๊บแจง เสียงห้าว : พบเจอนโยบายแปลกๆ ในบวรของชาวอโศกบางแห่งเลยรู้สึกสับสนกับระบบที่เรียกว่าสาธาณะโภคี เช่นว่า ขายสินค้าผลิตภัณฑ์ในบวรหรือรายได้ที่มาจากร้านพานิชย์บุญนิยมในบวร หรือผลผลิตทางการเกษตร (ผลผลิตทางการเกษตรเพื่อขาย แต่ในโรงครัวกลางขาดแคลน) มีทุนทรัพย์เพื่อที่จะสะสมมาถวายพ่อครูในโอกาสใดโอกาสหนึ่ง แต่กลับละเลยในการดูแลสาธาณะโภคีภายในบวร เกิดภาวะที่พึ่งพาในยามเจ็บป่วยกันยาก ทั้งด้านอุปโภคบริโภค และยารักษาโรค ทั้งนักบวชและสมาชิกในบวร และบ้างก็เก็บหลักฐานการถือครองที่ดิน หรือ อื่น ๆ 

โดยให้เหตุผลว่าสะดวกในการทำธุรกรรมบ้าง ไม่ไว้ใจคณะกรรมการบวรท่านอื่นบ้าง ถึงขั้นไม่รับฟังสมณะผู้ใหญ่ในบวรก็มี สับสนจริง ๆ เกิดอะไรแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร

พ่อครูว่า...ที่พูดมานี้เกิดขึ้นอย่างที่ว่าจริงๆหรือ 

สู่แดนธรรม... น่าจะเป็นความเห็นหนึ่ง ต่างคนต่างเห็นตามภูมิของตนเอง 

พ่อครูว่า... ก็มองอะไรกันให้มันชัดๆ มองอะไรยังไม่ครบถ้วน ไม่ดูเป็นไปตามความพอเหมาะพอดี จริงๆแล้วทุกอย่างไม่เป็นอะไรที่เป๊ะๆลงตัวในองค์กรหมู่กลุ่มที่มีหลายคน มันทำไม่ได้หรอก จะทำได้เมื่อมีผู้เป็นพระอรหันต์ถึงนิพพานทั้งหมดเท่านั้น นอกนั้นไม่ถึงนิพพานทั้งหมดก็มีอะไรแตกต่างที่ไม่ตรงกัน ถ้าเราเอาข้อตัดสินที่เป็นสัจจะเป็นหนึ่งเดียวของอรหันต์ของนิพพานมาวัด มันก็จบ ซึ่งมันไม่มีทางเป็นไปได้ในโลก ละเลียดเกินไป คุณก็จะทุกข์เอานะ

อาตมาว่าชาวอโศกอยู่ในสัดส่วนที่ดีมากแล้ว คนสารพัดสารเภมารวมกัน ร้อยพ่อพันแม่มารวมกัน โดยที่ไม่ได้เอาลาภยศสรรเสริญโลกียสุขมาเป็นเครื่องบำเรอ เป็นเครื่องที่จะดำเนินให้เป็นไป แต่ให้มาเป็นคนจน 

 

_ปะตรงเตือน : ดิฉันรู้สึกว่าตนเองช้าที่ไปหลงยินดีกับการทำตบะแบบกดข่ม พอฝึกลดละแล้ว ก็อยากให้ตนเองบริสุทธิ์ ก็ทำตบะเว้นขาด กดข่มไปนาน ๆ ก็หลงว่าทำได้ จิตจะไปค้างอยู่ที่ปีติที่สามารถทำตบะแบบเว้นขาดได้แบบสบายกว่าแต่ก่อน (แรงดูดหรือแรงผลักลดลง) เมื่อได้รับคำแนะนำจากท่านสมณะให้กลับมาสัมผัสและฝึกอ่านเวทนา ตอนแรกจะเห็นกิเลสขี้เกียจพิจารณา การที่จะตั้งสติตามอ่านมันเมื่อย จึงหัดฝึกบ่อย ๆ และสร้างพลังฉันทะที่จะอ่านใจ พร้อมกับตามรู้ใจและยอมรับความจริงว่า ยังมีกิเลสอยู่มากบ้าง หรือ น้อยบ้าง ซึ่งในบางผัสสะก็ได้เห็นชัดเจน หากไม่สัมผัสใหม่ก็คงจะหลงว่าตนเองไม่มีกิเลส ซึ่งที่จริงยังมีอยู่แต่มันถูกกดหัวไว้ การกดข่มจึงคือความเนิ่นช้า การปฏิบัติธรรมจึงต้องกล้าที่จะเผชิญ ผัสสะ ไม่หนี แต่ฝึกจนอยู่เหนือ

พ่อครูว่า... ถูกต้อง ดีมาก 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน คนจน 2 แบบ คนจนอวิชชากับคนจนโลกุตระ ตอน4

พ่อครูว่า... มาพูดถึงเรื่องที่อาตมาจะพูดวันนี้คือเรื่องของความจน 2 แบบ 

ความจนมันเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งสุดยอดประเสริฐ ที่คนในโลกที่ไม่ใช่เราชาวโลกุตรธรรม จะฟังแล้วก็งง ฟังแล้วก็เข้าใจไม่ได้ ว่า เอ๊ มาเป็นคนจนเป็นเรื่องพูดเล่นหรือเปล่า ? พวกเราบอกว่าไม่ได้พูดเล่น

มีตั้งแต่แบบตื้นๆง่ายๆ จนกระทั่งไปถึงลึกซึ้งสูงสุดเลย 

จนวัตถุ จนสิ่งที่โลกนิยม จนเงินทองข้าวของทรัพย์ศฤงคารวัตถุต่างๆ จนลาภ จนในยศชั้นในสรรเสริญ จนในสรรเสริญ จนในยศชั้นตำแหน่งหน้าที่ 

อาตมาเป็นคนที่ร่ำรวยสรรเสริญหรือจนในสรรเสริญ ...โยมว่า จนในสรรเสริญ

อาตมาเป็นคนจนในสรรเสริญ โดยส่วนใหญ่เขาไม่มาสรรเสริญอาตมา อาตมาได้คนที่พอเห็นใจเข้าใจที่พอรู้ชัดเจน เคารพนับถือว่าอาตมามาจนนี้ถูกแล้ว แล้วอาตมาก็ไม่ได้จนหลอกๆ แต่จนจริงๆ แล้วก็จนอย่างเต็มใจจน จนอย่างเบิกบานสำราญใจด้วย 

มันจึงเป็นความลึกซึ้งซับซ้อน เป็นความยิ่งใหญ่ 

คนที่จะกล่าวว่าความจนเป็นสิ่งที่ประเสริฐ อาตมาเป็นคนเล็กคนน้อย กล่าวก็ไม่กระไร แต่พระเจ้าแผ่นดินของไทยท่านตรัสไว้ แต่เมื่อตรัสไปแล้วคนก็รับลูกไม่ได้ ข้าราชบริพาร ผู้บริหารต่างๆรับลูกไม่ได้ 

ท่านพยายามทำเป็นชั้นๆมาว่า ก็ทำอย่างพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียงก็คือเศรษฐกิจคนจนนั่นแหละ ท่านลงลึกชัดอีกว่า เราขาดทุนนั่นแหละคือเราได้ เราเสียนั่นแหละคือเราได้ ลงไปให้สุดชัดเจนเลยนะ คนก็งง นักเศรษฐกิจของโลกก็ได้แต่งง จบดร.ทางเศรษฐกิจอะไรๆทั้งหลายก็ยังงง เพราะมันเป็นโลกุตรธรรม 

ทีนี้ในหลวงตรัส ท่านเป็นคนไทยก็ไม่เสียไม่สูญเปล่าอะไร เพราะในประเทศไทยมีคนจนที่เต็มใจจนแล้วก็จนสำเร็จ จนอย่างเบิกบานสำราญใจ คนจนสร้างเศรษฐกิจ คนรวยเป็นคนทำลายเศรษฐกิจ ลึกๆสุดยอดเลย คนรวยเป็นคนทำลายเศรษฐกิจ 

เศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์คือการสะพัดให้เสมอภาคเท่าเทียมกัน คนขาดแคลนคนมีน้อยก็ให้เฉลี่ยให้เพียงพอ แต่นี่เขาไม่ทำ เขากักตุนกอบโกย คนที่ไม่สามารถแย่งชิงเอาได้ก็จน เขาก็ใจดำอำมหิตสุดยอดเห็นแก่ตัว น่าเกลียดจริงๆ 

เป็นคนวรรณะทราม วรรณะต่ำ เรียกว่า อวรรณะ

1. เลี้ยงยาก  (ทุพภระ) 

2. บำรุงยาก  (ทุปโปสะ) 

3. มักมาก  (มหัปปิจฉะ) 

4. ไม่รู้จักพอ  (อสันตุฏฐิ) 

5. เกียจคร้าน  (โกสัชชะ) 

6. คลุกคลีหมู่คณะ(คลุกกองกิเลส) (สังคณิกา) 

(พตปฎ. เล่ม 1  ข้อ 20)  ตรงข้ามกับ วรรณะ 9

พวกนี้ดูเหมือนขยันนะ บางคน บางคนก็เกียจคร้านจริงๆ ดูชัด ถ้าได้แล้วขยัน ถ้าไม่ได้จ้างก็ไม่เอา เพราะเขาคนรวย

ไปแปล สังคณิกะ ข้อที่ 6 คลุกคลีด้วยหมู่คณะ เรามาขยายว่า คลุกคลีด้วยกองกิเลสพยัญชนะคือ คณิกะ คือ พวกคนรวมหัวด้วยอวิชชา คนส่วนมากในโลกเป็นคนอวิชชา

คนมีวิชชา เป็นคนโลกุตระเป็นคนอาวรยะที่แท้จริงเป็นส่วนน้อยไม่ได้เป็นคณะใหญ่หรอก เพราะคณิกะก็เป็นคณะใหญ่ที่รวมตัวกันก็รวมหัวกัน เขาก็พยายามสร้างอำนาจด้วยการรวมหัวกันในโลก เขาถือว่าเป็นลักษณะยิ่งใหญ่สำเร็จของโลก เป็นจ้าวโลก คณาธิปไตย

เพราะฉะนั้นคนที่จะมีภูมิปัญญามีวิชชา ที่จะรู้แบบโลกุตระ ว่า คนเราเกิดมาเป็นคนจน นี่ ประเสริฐ ประเสริฐทั้งตนเอง ประเสริฐทั้งช่วยโลก คนจนคือคนช่วยโลก คนรวยคือคนผลาญทำลายโลก ซึ่งมันเป็นภาวะแทรกซ้อนลึกซึ้งเยอะแยะ 

คนที่มีปัญญา มีความฉลาดแบบโลกุตระ ที่จะเข้าใจในเรื่องความจนโลกุตระ ความจนแบบนึง 

คำว่าจน ง่าย ตื้นๆง่ายๆคือ ไม่มีสมบัติวัตถุ ที่โลกเขานิยมชมชอบ ข้าวของเงินทองทรัพย์ศฤงคารแก้วแหวนเพชรนิลจินดาต่างๆ เราก็เข้าใจโลกเขาว่ามันต้องรวย มันต้องมีพวกนี้มากๆ แต่เราเข้าใจแล้วเราก็ไม่เอา จับได้ ทำได้ สามารถได้ แต่ไม่เอา ได้ก็สะพัดออก ตั้งใจจน 

ทีนี้ในโลก ที่เป็นโลกโลกุตระก็จะมีคนกลุ่มที่มีปัญญาอย่างนี้ เช่น ชาวอโศก เข้าใจว่าคนประเสริฐต้องมาจนอย่างนี้ จึงมาจริงๆ มาเป็นคนจนจริงๆ จนสำเร็จ แล้วก็อยู่กับหมู่เลย ทรัพย์ศฤงคารไม่ต้องเป็นของตัวเอง ไม่ต้องมีของตัวของตน รวบรวมไว้เป็นของส่วนกลาง แน่นอนก็อาจจะไม่ละเอียดไม่บริบูรณ์ไม่สะอาดเต็มที่ บางคนก็มีสะสมเล็กๆน้อยๆบ้างก็เป็นธรรมดา error 

ส่วนลึกๆนั้นเขาก็รู้ว่าเรายังมีเล็กมีน้อยก็คือยังไม่เก่งยังไม่สมบูรณ์ อยู่กับส่วนกลางจริงๆมีเท่าไหร่เท่านั้น ตามบารมีของเราด้วย 

เราอยู่แล้วจะเบิกส่วนกลางเขาก็ไม่ค่อยจะให้ เป็นหมาหัวเน่า ก็ใช่สิ คุณอยู่ในหมู่นี้ทำไมคนเขาไม่ค่อยยินดีให้ โดยเฉพาะคนมีหน้าที่จะแบ่งจะแจก 

คนที่จะแบ่งแจกให้ นอกจากส่วนกลางจะให้แล้ว ยังมีส่วนตัวให้กันได้อีก ถ้าคนไม่เป็นหมาหัวเน่าก็อยู่ได้แน่นอน อะไรนิดๆหน่อยๆพวกเราก็แบ่งกันให้กันช่วยเหลือกัน คนที่มีอยู่บ้านเขาก็ให้กัน อย่างที่เราเป็นจริงกัน ซึ่งมันละเอียดซับซ้อนลึกซึ้งแล้วเป็นจริง 

สังคมคนที่มามีปัญญาเข้าใจมาจนและมาจนได้สำเร็จจริงๆแล้ว แล้วก็มีชีวิตดำเนินไปอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ เป็นอิริยาบถเป็นกิริยาของชีวิตที่เป็นไปธรรมดา ไม่เดือดร้อนอะไร เพราะจิตมันมีวรรณะ 9 สมบูรณ์ 

อยู่สบายๆเป็นคนเลี้ยงง่ายๆ ศึกษาร่ำเรียนพวกเราก็ร่ำเรียนตลอดเวลา เพื่อจะไปสู่โลกุตระตลอดเวลาเป็นอาริยะที่แท้จริง สุโปสะ 

ขัดเกลาตนเองมักน้อย มันยังมีมากไม่ถึงที่สุดไม่ถึงศูนย์ก็มีจริงๆ จะใช้สอยอะไรก็ไปตามถึงเวลา วาระ ก็ใช้ก็มีก็เป็นไป ใช่แล้วมันเหลือก็เอาไปคืนกองกลาง ถึงเวลาจะใช้ก็ไปเบิก ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น เราก็ทำงานให้กองกลางเอาไปทำ 

โดยเฉพาะผู้ที่รู้ชัดเจนเลยว่า ส่วนตัวเรามันจบ มันพอ มันไม่บำเรอตัวเราเองอีกแล้ว เพราะฉะนั้นคนที่ถึงขีดคั่นขนาดนี้สบาย เพราะมันไม่บำเรอตนไม่ต้องให้แก่ตน จิตที่จะต้องเอามาให้แก่ตนเป็นของตนมันไม่มี ขอเบิก 100 เขาให้มา 50 ให้มา 80 ก็ไม่เป็นไร ก็ทำแค่นี้ เพราะเราทำให้ส่วนกลาง มันจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไร ทำไมเขาไม่ให้มันต้องมีเหตุผลไม่ต้องไปซักไซ้ไล่เลียงอะไร เขาชังน้ำหน้าเราก็เป็นได้ ไม่ชังน้ำหน้าแต่มันมีเท่านี้เบิกได้เท่านี้ก็ได้ 

ถ้าเราไม่ใช่คนเป็นหมาหัวเน่า เราทำให้ส่วนกลางจริงๆ เบิกเท่าไหร่เขาก็ไม่ขัดข้องถ้ามี นอกจากมันไม่มีก็จำนน มันมีเท่านี้ก็ต้องเอาเท่าที่มันมี ซึ่งที่จริงก็ไม่ได้ขัดสนถึงขนาดนั้น จะทำอะไรเท่าที่พอเป็นไป พวกเราก็รู้ว่าส่วนกลางก็ตาม ส่วนตัวก็ไม่มีอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องทำอะไรที่มันมากเกินไป ก็รู้อยู่แล้ว มากเกินพวกเราก็ช่วยกันดูแลว่ามากไปมันเกินฐานะ 

ทีนี้ คนเป็นคนจนอยู่ในสังคม เป็นคนช่วยเศรษฐกิจประเทศชาติ เพราะเราเองเราเป็นคนจน เป็นคนจนแบบที่ประเสริฐ ไม่ใช่คนจนแบบอวิชชา 

คนจนแบบอวิชชา พวกเราจะเข้าใจกันอยู่แล้ว คนจนโลกียะ มันจำนน ตนเองแย่งเขาไม่ได้ มีความสามารถเท่านี้ได้เท่านี้ แล้วก็จำนนอยู่เท่านี้ ก็จนอยู่ไป แต่จิตใจอยากได้ เพราะฉะนั้นจึงไปซื้อหวย พวกยังซื้อหวยอยู่นี่เป็นคนส่อแสดงชัดเจนว่า มันไม่รู้จักความจน 

ขนาดคนรวยบางคนยังซื้อหวยเลย คนรวยในฐานะปานกลางซื้อหวยแต่ละทีเป็นหมื่นๆ ทุกงวด ก็ถูกกินแต่ไม่เข็ด ก็มันอยากได้ ซื้ออยู่นั่นแหละ โง่ให้เจ้ามือหวย ก็คือรัฐบาลเอาเงินไป 

อาตมาเคยเล่นหวยตั้งงบประมาณไว้ ตั้งแต่สมัยก่อนโน้น ทอง 1 บาทมีค่า 400 บาท อาตมาตั้งงบประมาณไว้ 10,000 บาท แล้วก็ซื้อเรียงลำดับเลย เพราะฉะนั้นล็อคเลข 2 ตัว 3 ตัวหมด ต้องถูกทุกงวด จะมีรางวัลหางเลข ก็จะได้เงินพวกนั้นมาเพื่อที่จะเอามาหมุนเงินหมื่นให้หมดได้ ปรากฏว่าหมด มันไม่ได้คืนมา มันถูกหางเลขทุกงวด จนมันไม่มีซื้อครบเล่ม มันก็ไม่ถูกหางเลขสิทีนี้ ก็หมดสิ อาตมาทำมาแล้ว ตั้งงบประมาณไว้ซื้อเป็นเล่มเลย ล็อคหางเลขเพื่อจะถูกรางวัล ถ้ามันถูกรางวัลที่ 1 ก็ไปได้อีกนาน แต่มันไม่ได้ หมด หมื่นหมด จริง คุณไปลองเถอะ เชื่อไหม? เขาเรียกสลากกินเรียบ กินรวบ 

ซึ่งประเทศไทยก็มีหวยพวกนี้แหละ มันแสดงถึงความสิ้นไร้ไม้ตอก 

หวยก็ตาม จริงๆแล้วยิ่งเรื่องเล่นหุ้นยิ่งเป็นเรื่องขายขี้หน้ามาก เพราะมันเป็นเรื่องของคนเอาเปรียบ เป็นระบบนายทุนที่ยิ่งใหญ่ มันมีภาวะซับซ้อน มีอำนาจอยู่ในเรื่องพวกนี้ 

อำนาจของความรวย อำนาจของหมู่กลุ่ม อำนาจของความขี้โลภ อำนาจความขี้โลภนี่มันร้ายแรง ทำให้คนไม่เก่งฆ่าตัวตายไปเยอะ ไอ้คนที่เก่งเฉโก ฉลาดแกมโกงก็รวยไป ซึ่งเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากในประเทศที่มีการเล่นหวยเล่นหุ้น 

หวยนี่ยิ่งหยาบ หุ้นเขาว่าผู้ดี แต่ที่จริงเป็นผู้ร้ายซ้ำซ้อน ใช้ความฉลาดกลบเกลื่อน หนักหนาสาหัสกว่าหวย เพราะเล่นกันไม่รู้กี่ล้านต่อกี่ล้าน หนักหนาสาหัส 

 

สรุปลงที่ว่า เศรษฐศาสตร์ยิ่งใหญ่ที่สุดมาเป็นคนจนวรรณะ 9 ยืนยันชัดเจนที่สุด 

อาตมาแปล อัปปิจฉะว่า กล้าจน ชอบจะมีน้อยๆ น้อยที่สุดก็เป็น 0 อยู่ที่ตัวที่ 7 อปจยะ ไม่สะสม ผู้ไม่สะสมเลยก็เป็นศูนย์แต่ยอดขยัน วิริยารัมภะ คู่สุดท้ายขอวรรณะ 9 

ผู้ที่มีวรรณะ 9 ได้ พฤติกรรมของแต่ละคน มีกรรมกิริยา มีชีวิตอยู่ด้วยวรรณะ 9 เป็นคนเจริญ วรรณะ คือ the classes เป็นคนที่มีชั้นวรรณะสูง ไม่ใช่ชั้นวรรณะแบบพราหมณ์กษัตริย์แพศย์สูตร 4 เหล่า แต่เป็นคุณธรรมความประเสริฐของคน ถ้าคนที่มีวรรณะ 9 ครบเป็นคนสุดประเสริฐเลย 

อาตมานำ หลักใหญ่ของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติประพฤติจนได้ผล อาตมาถือว่างดงามสำเร็จถึงขั้นสาราณียธรรม 6 มีสาธารณโภคี ซึ่งมันเป็นเศรษฐศาสตร์ที่ประชาธิปไตยเขาต้องการ คอมมิวนิสต์ก็ต้องการ คือเป็นคนจน จนขนาดทำงานอยู่ในนี้ อยู่ในหมู่เรา ทำงานเสร็จ ก็ไม่เอาเข้าเป็นของส่วนตัวเลย เข้าส่วนกลางทั้งหมด 100% เรียกว่าเสียภาษี 100% ให้แก่ส่วนกลาง 

ไม่มีที่ไหนในโลกเด็ดขาด เท่าที่อาตมาอยู่ในสังคมมนุษย์ แม้จะเป็นกลุ่มสังคมอาร์มิช 

สมณะเดินดิน... ก็ถือว่า เป็นอัศจรรย์ ที่มีกลุ่มคนสาธารณโภคีที่ทำแล้วเอาเข้ากองกลางหมด ทำให้เห็นถึงความไม่มีตัวไม่มีตัวตน ลดตัวลดตน ถ้ามีตัวตนสูงทำไม่ได้ แม้แต่เงินผู้อายุยาวก็ยังเอาเข้ากองกลาง ทั้งที่ไม่ต้องเอาเข้ากองกลางก็ไม่มีใครว่า 

พ่อครูว่า... ซึ่งมันพิสูจน์ความจริงของคน ถ้าเราทำสังคม เป็นสังคมสาธารณโภคีได้อย่างที่เราทำสำเร็จ คนที่ได้เงินแม้แต่เงินรัฐบาลให้คนอายุ 60 ปีขึ้นไป ก็ยังเอาเข้ากองกลางเลย คือ มั่นใจแล้วอยู่อย่างจิตใจพอเพียง มีเท่านี้ได้เท่านี้ ไม่ต้องมีเลยได้ก็สบายอยู่กินเท่านี้ก็พอใจแล้ว สบาย เป็นสุข

มีความพอ สันโดษ มีกินเท่านี้ มีใช้เท่านี้ ก็อุดมสมบูรณ์แล้ว เป็นคนไม่มักมาก เป็นคนมักน้อยจริงๆ มีกินเท่านี้ มีใช้เท่านี้ในชีวิต มีปัจจัยเท่านี้เหตุปัจจัยอย่างนี้ อาศัยใช้กินไปเป็นวันๆ เกื้อกูลกัน สังคหะ พึ่งเกิดแก่เจ็บตายได้จริงๆ

แต่คนที่ยังมีจิตใจเล็กๆน้อยๆที่ยังไม่สมใจที่เขียนมาก็ขายขี้หน้า ถ้าอยู่ในสังคมอโศกแล้วยังรู้สึกจุกจิกอย่างนี้ นั่นคือคุณยังมีกิเลสส่วนตัวส่วนที่ยังต้องการได้ โธ่..อาตมาว่า ที่นี่มันอุดมสมบูรณ์เหลือเฟือ แต่เขาก็ยังรู้สึกขาดแคลนได้ มันเป็นจิตที่ คุณไปหาที่อยู่ที่ไหน 

สมณะเดินดิน... อาจเป็นวิบากที่ทำให้คนไม่ชอบหน้า จึงไม่ช่วย 

พ่อครูว่า... ด้วย มันประกอบกัน สื่อออกมาเอง สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุล เพื่อนฝูงเห็นแล้วก็เลยทำอย่างนั้น ยิ่งถ้าเป็นคนไม่ตะกละ จะไม่ได้รับผล สะท้อนกระทบอย่างนั้น ถ้าไปโทษสังคม อย่างที่ว่า สังคมสาธารณโภคีเป็นอะไรไป อาตมาว่า ถึงขนาดนี้แล้ว ต้องพูดว่า ใครเก่งกว่าอาตมาทำให้ได้ขนาดนี้ลองดู ยิ่งในโลกยุคนี้ ทุนนิยมสามานย์ ใครเก่งทำได้อย่างนี้ก็เชิญหน่อย มีสังคมไหนที่อยู่กันอย่างแบบนี้ได้ สาธารณโภคีได้ขนาดนี้ 

สู่แดนธรรม... ถ้าเก่งกว่าต้องเป็นไก่ตัวพี่แล้วครับ 

พ่อครูว่า...  แต่ไม่มีใครทำได้หรอก ไม่มีใครทำอย่างนี้ได้เลย อาตมาทำได้เพราะเป็น ไก่ตัวพี่ ในยุคนี้จริงๆ 

เพราะฉะนั้นในเรื่องของสัจธรรมพวกนี้เป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ อาตมาพาทำนี่ ไม่ใช่เรื่องสามัญ ไม่ใช่เรื่องปกติมนุษยชาติธรรมดา แต่เป็นเรื่องที่ใหญ่มากคือทุกคนแสวงหาสุข สุข ที่ต้องขึ้นอยู่กับโลกธรรม สุขที่ขึ้นอยู่กับลาภ สุขที่ขึ้นอยู่กับยศชั้น สุขที่ขึ้นอยู่กับสรรเสริญ สุขที่ขึ้นอยู่กับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส สุขที่ขึ้นอยู่กับอัตตาของแต่ละคน กูต้องได้อย่างนี้ ต้องมีอย่างนี้ ต้องเป็นอย่างนี้ บางทีเงื่อนไขที่เขาต้องการได้มาให้แก่ตนมันพิเศษ เขาให้ไม่ได้ เป็นเรื่องเรียกร้องแปลกพิลึกนักหนาสาหัสยากเย็นด้วย แต่เขาเป็นพวกวิปริต อย่างนี้ก็มี เพราะฉะนั้นเขาไม่อยู่เป็นสุขหรอก เพราะเขาต้องการมาบำเรอตน 

ผู้ที่ไม่มีตัวตนไม่ต้องการบำเรอตัวตน ตัดกิเลสตัวตน ไม่ต้องบำเรอตนเองได้อย่างสมบูรณ์ จึงยิ่งกว่าสุข ปรมังสุขัง มันไม่ใช่สุข 

คนที่จะอ่านเวทนาสุขทุกข์ อาการของจิตที่มันสุขมันทุกข์ แล้ว อาการนี้ไม่มีในจิตเลยเรียกว่า อทุกขมสุข โอ้โห สุดยอด มันเป็นอาการที่ จริงๆแล้วมันจะต้องลงกันกับอุเบกขา 

ไม่สุขไม่ทุกข์จริงๆแล้วต้องลงกันกับอุเบกขา ฟังนัยยะ ไม่สุขไม่ทุกข์ต่างกับอุเบกขาอย่างไรให้ดีๆ 

คนจนที่จนสำเร็จ แล้วก็ไม่สุขไม่ทุกข์เพราะมีจิตอุเบกขา อุเบกขา คือ จิตบริสุทธิ์จากกิเลส ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา นี่ พระพุทธเจ้าแจกแจงไว้ เอาบาลีมายืนยันเลยเป็นหลักฐาน แต่เขาไปแปลเป็นไทยอย่างตื้นเขินพื้นๆ แต่ถ้าบาลีแล้ว สุดยอดลึกซึ้งเลย แปลเป็นไทยเขาแปลใน ธาตุวิภังคสูตร 

เขาก็แปลว่า บริสุทธิ์ผุดผ่อง อ่อน ควรแก่การงาน ผ่องแผ้ว ก็แปลไว้อย่างนั้น ในพระไตรปิฎก 

เราก็เอามาขยายความ บริสุทธิ์ ปริสุทธาก็ทับศัพท์

ปริโยทาตา ก็ผุดผ่อง มันสะอาดสูงขึ้นไปอีก 

มุทุ ก็แปลว่า อ่อน เขาไม่รู้ว่าจะแปลว่าอะไรก็แปลว่าอ่อน 

กัมมัญญา ก็แปล ควรแก่การงาน 

ปภัสรา ก็แปลว่าผ่องแผ้ว

อาตมาเข้าใจสภาวะธรรมทั้ง 5 ก็เอามาขยายความ จิตของผู้ที่มีอุเบกขา ของพวกที่เป็นฤาษีเดียรถีย์ก็ไม่ต้องทำงานอะไร ไม่มีบวกไม่มีลบ อยู่กลางๆเฉยๆ ไม่บวกไม่ลบเฉยๆ นั่นก็คือ จะลืมตาหรือหลับตาก็ตาม เขาก็จะมีความเข้าใจอยู่ประมาณนั้น 

แต่แท้จริงแล้วนัยยะลึกซึ้งของอุเบกขา ต้องรู้จักกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด จิตของเรา ปราศจากกิเลสอย่างละเอียด หมดกิเลส จิตบริสุทธิ์แล้ว 

เราจะเข้าใจว่าจิตเราบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสเท่าใดก็ปฏิบัติอีก ปริโยทาตา ให้มันสะอาดกว่านั้นขึ้นไปอีก ความสะอาดจะมีให้เห็นได้ว่า 

สะอาดประมาณนี้เรานึกว่าเราสะอาดแล้วนะ เราบริสุทธิ์ไม่มีกิเลสแล้วนะ แต่จริงๆแล้วมันทำได้เนียนลึกยิ่งกว่านั้นอีก 

มุทุ ที่แปลว่า อ่อน ก็ไม่รู้จะแปลอย่างไรภาษาบาลี แต่ มันมีสภาวะธาตุของจิต มุทุภูตธาตุ มันทั้งดัดง่าย ไว เร็ว ปรับตัวของมันได้ดี เนียนลึก บางเบา ละเอียด เป็นความไม่มีอะไรที่ยิ่งๆขึ้น 

เพราะฉะนั้นจิตที่บริบูรณ์ จิตที่ยิ่งประเสริฐ จิตยิ่ง เป็นอาริยะสูงสุด ขึ้นไปเรื่อยๆ จึงเป็นจิตที่ มุทุนี่แหละเป็นองค์รวมของทั้งจิตทั้งกิเลส ด้านศรัทธาด้านปัญญา มันหมดไปๆ ก็เป็น มุทุภูตธาตุ ที่เจริญมากยิ่งขึ้น 

จิตอย่างนี้จึงเป็นจิตที่มีกรรมการกระทำที่สุดยอด เป็น กัมมัญญา กรรมที่ประกอบด้วยอัญญา คือจิตเจริญ จิตฉลาด ฉลาด แบบโลกุตระที่มาจาก อัญญะ คือจิตอื่นที่ฉลาดแบบโลกุตระแล้ว มาเป็นอัญญา ก็เป็นพหูพจน์ก็ยิ่งเจริญๆๆ เมื่อเจริญเต็มที่ก็เรียกด้วยศัพท์ว่าปัญญา จิตตัวนี้ที่เจริญ 

เจริญอย่างมีสัปปุริสธรรม 7 มี มหาปเทส 4 จัดสรรให้เหมาะควรกับกาละเทศะฐานะจึงเรียกว่าเหมาะควรกับการงาน จัดสรร หยุดอยู่ในตัวให้เหมาะสมกับการกระทำร่วมกับมนุษย์แต่ละกลุ่มแต่ละหมู่ แต่ละ กาละเทศะฐานะ กัมมัญญา 

เพราะฉะนั้นจะอยู่กับโลกซึ่งจะมีผลกระทบกระแทกกระทุ้งกระเทือนอย่างไรก็ยังผ่องใสผ่องแผ้ว ประภัสสร ก็ยังสะอาดไม่มีอะไรติดไม่มีอะไรที่จะหมอง ไม่มีอะไรจะทำให้ขุ่นได้เลย ไม่มีอะไรทำให้หมองได้เลย สะอาดมีประสิทธิภาพในตัวเองสูงสุด 

ฉะนั้นคุณสมบัติที่ต้องเรียกว่าคุณวิเศษอย่างนี้ ไม่ใช่ปากเปล่า จิตเป็นจริงประพฤติปฏิบัติได้จริง อย่างพวกเรานี้ปฏิบัติได้จริง มากบ้างน้อยบ้าง ผู้ที่มีภูมิปัญญาปฏิภาณก็ดูเอาเอง 

คนข้างนอกเข้าใจโลกุตรธรรมไม่ค่อยได้ ชาวพุทธได้เสื่อมไปจากศาสนาพุทธ ไม่ใช่ศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าเสื่อมไปที่ไหน แต่ชาวพุทธนั้นเสื่อมไปจากสัจธรรมของพระพุทธเจ้าโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า เลยกลายเป็นแค่โลกียธรรมก็ยังไม่เรียบร้อยเลย ยังเข่นฆ่าแย่งชิงกันอยู่อย่างนั้น 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สมณะเดินดิน... พูดถึงคนรวยทำลายเศรษฐกิจ มีการสำรวจช่วง covid-19 พวกมหาเศรษฐีก็จนลงไปบ้าง แต่ใช้เวลาไม่กี่เดือนก็กลับมารวยอย่างเก่า แต่่ลคนจน ใช้เวลามากกว่า 10 ปี ที่จะทำให้ฟื้นกลับมาอย่างเก่าได้ 

คนที่รวยขึ้นในช่วง covid ทำให้คนยากจนมากขึ้น 500 ล้านคน เพราะทรัพยากรมันมีจำกัดเท่านี้ที่โลกมี ทั้งหมดรวยขึ้นราว 16.2 ล้านๆบาท แต่มีผลทำให้คนจนลงถึง 500 ล้านคน  นี่ก็คือความรวยเป็นหายนะทำให้โลกเดือดร้อน ที่เขารวยขึ้นมาสามารถเอาไปซื้อวัคซีนให้คนทุกคนในโลกได้ แต่เขาก็ไม่ยอมให้หรอก 

พ่อครูว่า... ที่จริงชาวโลกเขาศึกษาเศรษฐศาสตร์เขาก็พอรู้ ว่าคนรวยนี้เป็นคนทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ เป็นคนทำให้การสะพัดเงินทองไม่ทั่วถึงแน่นอน เพราะมันเอาไปกักตุนกอบโกยมากอยู่ที่คนคนนึงมากยิ่งขึ้นๆๆๆ มีอัตราการเพิ่มของความรวยมากขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ในระบบทุนนิยม   ระบบดอกเบี้ย ระบบธนาคาร ระบบหุ้นหรือระบบอื่นๆก็แล้วแต่ ที่เป็นระบบของนายทุนยิ่งซับซ้อน 

เพราะฉะนั้นเขาพยายามที่จะพัฒนาเศรษฐกิจ โดยเอาคำว่า ไม่ต้องมาจน ทุกคนจะต้องรวยเท่าเทียมกัน ก็คิดเพ้อๆฝันบ้าๆบอๆโง่ๆ มันเป็นไปได้อย่างไรคนจะต้องรวยเท่าเทียม ถ้าคนมาจนเท่าเทียมกันยังพอเป็นไปได้เพราะมันมีที่จบ ต่างคนต่างไม่สะสมไม่เอาเลย ขยันอย่างเดียวแล้วไม่เอาไว้เลยคือเป็น 0 อันนี้ทำได้พวกเราศึกษาสาธารณโภคี ต่างคนต่างทำแล้วก็มักน้อยสันโดษไม่เอาไว้กับตัวเองเข้าศูนย์กลางกินน้อยใช้น้อย 

เราจะมีเหลือสะพัดให้แก่ข้างนอกได้ คนจนอย่างพวกเรานี่แหละเลี้ยงโลก เพราะเราไม่ได้มีความซับซ้อน คนจนในโลกนี้จะจนอย่างไรก็แล้วแต่ เขาไม่ได้เลี้ยงโลก คนจนที่เป็นโลกียะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปพูดถึงคนรวยทางโลกียะมันจะเลี้ยงโลก มันมีแต่ผลาญโลกทำลายโลกให้แย่ลงไปทุกที 

เพราะฉะนั้นการพัฒนาเศรษฐกิจจึงบอกว่า พัฒนาแบบคนรวยให้คนรวยเสมอภาคกัน อย่าให้จน มันเป็นหลักการหลักวิชาที่ล้มเหลวตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ แต่ให้คนแต่ละคนอย่าไปสะสม อย่าไปมีมาก ให้ลดน้อยลงมันเป็นไปได้ ให้มารู้จักความจนเต็มใจจนรู้จักพอ ชีวิตเท่านี้ก็พอแล้ว ชีวิตเท่านี้ก็สมบูรณ์แบบและอุดมสมบูรณ์แล้ว ให้เข้าใจด้วยปัญญา 

เพราะฉะนั้นในหลวง ร.9 จึงตรัสไว้ว่าประเทศชาติให้พัฒนาแบบคนจนพวกจบด็อกเตอร์มาทั้งหลายแหล่ไม่มีใครขานรับเลย มืดแปดด้านกันทั้งนั้นไม่รู้เรื่องกับในหลวง แต่จะไปค้านแย้งกับในหลวงไม่ได้ ในหลวงท่านก็ตรัสแล้ว ก็แขวะ พวกนักเศรษฐศาสตร์ ว่าพูดอย่างนั้นได้อย่างไร เป็นอย่างนั้นจริงๆ ท่านก็รู้ว่า พูดไปนี้มันขัดหูเขาแน่นอน มีที่ไหนคนจะมาคิดจน ในหลวง ร.9 นี่แหละคิดจน แต่ท่านทำไม่ได้เหมือนโพธิรักษ์ ขออภัยที่ต้องพูดถึง โพธิรักษ์ทำได้ เพราะมันเป็นฐานะอาตมาจริงๆอาตมาทำได้ ให้มาจนได้ มาจนอย่างเต็มใจ มาจนอย่างตั้งใจมาจนอย่างสุขใจ แล้วมาจนกันจริงๆแล้วก็อุดมสมบูรณ์ ถือว่าเป็นคนสบาย 

ยกตัวอย่างพวกเรา อย่างดีง่าย เขามาอยู่ช่วย 39 ปีแล้ว อาตมาก็เห็นว่า เขาเป็นคนแบบโลกุตระจริงๆ (ชัดดีมากว่า… พ่อครูพูดตอนผมยังไม่ตายก็เลยได้ยิน) ไม่ได้พูดสรรเสริญยกยออะไรหรอกแต่เอาความจริงมาพูด เขาเป็นคนก็สบายๆ ทำงานไม่ต้องขึ้นกับเงินทองอะไร ทำไป มีน้ำมันให้ทำก็ทำ ไม่มีน้ำมันก็ไม่ได้ทำ มีเหตุปัจจัยมันขัดข้องอย่างไรก็หาทางทำไปทำได้ก็ทำเท่าที่มี ดีง่าย สบายมาก ตกลง ตอนนี้ชื่ออะไรแท้ๆ นายทะเบียน 

ชื่อนายชัดดีมาก นามสกุล สบายมาก จะได้รู้ไว้เพราะว่าคุณเปลี่ยนชื่ออยู่เรื่อยๆ 

ไม่ได้พูดเพื่อแกล้งยกยอเล่น เขาก็สบายมาก ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แล้วจะไปที่อื่นไหม .. ตอบว่า ถ้ามีดีกว่านี้ก็จะไป แต่ยังไม่เห็นว่ามีดีกว่านี้ 

ก็มีหลายคนพูดอย่างนี้ แต่ อาตมาก็ขอพูดจริงๆว่า มันหาที่จะดีกว่านี้ ไม่มีหรอกที่อื่น 

พูดให้คนหมั่นไส้ แต่ที่จริงมันเป็นความจริง เพราะ ที่นี่เป็นเมืองคนจน จนสำเร็จ จนที่สุขสำราญ จนที่อุดมสมบูรณ์ เราอุดมสมบูรณ์ คนอื่นเขามองว่าเราอุดมสมบูรณ์เหมือนกันนะ เขาบอกว่า พวกนี้มันเป็นคนจนแต่จนอะไรวะ 

ตั้งแต่เรามาสร้างราชธานีอโศก ในถิ่นที่กันดาร เราก็ต้องสร้างบ้านแปลงเมืองสร้างสิ่งที่อยู่ จนทุกวันนี้ ตั้งแต่แรกคนเข้ามาอาศัยทำงาน ตั้งแต่ถอนหญ้า ตั้งแต่ทำตรงนั้นตรงนี้ จนกระทั่งถึงขั้นก่อสร้าง ใช้ความรู้ความสามารถเข้ามาอาศัยเลี้ยงชีวิตไป ตั้งแต่ 2537 จนถึง 2564 ก็เกือบ 30 ปีแล้ว เขาก็อาศัย เลี้ยงตนเองอย่างนี้ คนงานมาทำงานที่นี่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละเดือนเราจ่ายเงินให้คนงาน ทั้งๆที่เราเองก็ทำงานฟรีกันแล้ว 

อาตมาว่างานที่ได้ นี่ พูดความจริงนะ คนข้างนอกมาทำงานที่นี่ อู้งาน อู้กิมบ้อ แต่เขาได้รายได้ตามที่จะได้ เขาก็ได้เลี้ยงชีวิตไป กลายเป็นแดนที่เขาอาศัยหากินได้ตลอดเวลา ซึ่งเราก็ไม่ได้รังเกียจอะไร ก็เท่ากับช่วยเศรษฐกิจประเทศชาติเหมือนกัน ให้คนมาอาศัยทำงานเลี้ยงชีพอยู่ที่นี่ เป็นซาอุฯกระจิ๊ด ไม่ต้องเดินทางไปซาอุดิอาระเบีย 

สู่แดนธรรม... ผมเคยถามคนที่เห็นกันมานาน ว่า ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่รับเงินมากับมือถึงแสนหรือยัง เขาก็บอกว่าเกินแล้วครับ 

พ่อครูว่า... มันไม่แสนหรอก บางคนซื้อรถแทรกเตอร์ซื้อรถแบคโฮได้ เสร็จแล้วเช้าก็มีเทรลเลอร์ใส่มาเองด้วย มีงานอะไรก็ทำ ก็ได้เลี้ยงชีวิตไปสบาย อย่างนี้เป็นต้น คนอื่นๆก็เลี้ยงชีพไปตามฐานะของเขา 

นี่คือความจนของพวกเรา และเป็นความจนที่ได้ช่วยเศรษฐกิจประเทศชาติ ก็ที่ว่าคนเรานั้นได้มาอาศัยเป็นแหล่งทำมาหากินตลอดเวลา เลี้ยงชีพเขาอย่างเป็นสุขสำราญเบิกบานใจ สงบ ไม่ได้มีความเดือดร้อนอะไร 

พวกเรานี้ลึกซึ้งมากตรงที่ว่า คนข้างนอกเข้ามาทำงานที่นี่ ก็ไม่ปรากฏว่าจะมีอาชญากรรม ที่เป็นเรื่องราวถึงโรงพัก ก็ไม่มี แล้วเราไม่ได้ห่วงแหนไม่ได้เก็บงำ ก็เปิดเผย เขาจะทำอย่างไรก็ได้ ขับรถโกดังเข้ามาที่นี่แล้วขนอะไรต่ออะไรไปในตอนกลางคืน เยอะแยะ แต่เขาไม่ขนหรอก ถ้าเขามาขนเมื่อไหร่เราก็คงต้องเก็บ พูดไปเหมือนไปท้าทาย

มันมีเหตุปัจจัยมีจิตใจที่มีพลังงานลึกซึ้งซับซ้อน เราเป็นคนไม่เอาเปรียบ ยิ่งให้เขา เขายิ่งเกรงใจ เขาจะมาละลาบละล้วงทำทุจริตมันไม่ค่อยกล้าทำ 

สู่แดนธรรม... แค่เขาจะพูดทะเลาะกันยังไม่กล้าเลย มีแค่ว่า เงินเดือนออกจะมีเจ้าหนี้มาดัก เขาก็ยอมกันไป ไม่ได้ทะเลาะกัน 

พ่อครูว่า... นี่มันซับซ้อนลึกซึ้ง ยิ่งเกรงใจกันไป เป็นเรื่องสังคมศาสตร์ที่ลึกซึ้ง อย่าว่าแต่เรื่องเศรษฐศาสตร์เลย เป็นสังคมศาสตร์ที่ลึกซึ้งซับซ้อนแนบเนียนมาก เป็นเรื่องของคุณธรรม 

ที่ยกตัวอย่างไปแล้ว คุณธรรมที่ส่อแสดง เช่น อเมริกาไม่เชิญไทยไปร่วมประชุม ส่อแสดงจิตที่ต่ำลงของอเมริกา มันไม่รู้คุณค่า หรือ มันรู้คุณค่าว่า เอาประเทศไทยมาก็ไม่ได้ประโยชน์ เพราะเขาเป็นนายทุนสามานย์จัดจ้าน เลยคิดว่าเอาประเทศไทยมาก็ไม่ได้ประโยชน์ จะเป็นการถ่วงหรือขัด ไม่เอามาก็ดีแล้ว เราก็ยิ่งดี อาตมาว่า ไม่เห็นต้องไปง้องอนอะไร 

จริงๆแล้วมันมีความซับซ้อนลึกซึ้งมากเลยว่า สาระสัจจะที่แท้จริงของมนุษย์ชาติคืออาหาร เราเอาอาหารจากอเมริกามาเลี้ยงประเทศไทย ประเทศไทยขาดแคลน เราต้องเอาอาหารจากอเมริกามาเลี้ยงประเทศไทยเราจึงจะอยู่ได้ หรือว่าอเมริกาต้องพึ่งพาอาหารจากประเทศไทย นี่มันลึกซึ้งตรงนี้ แม้ว่าเขาจะมีเงินมากเป็นดอลล่าร์ ได้เปรียบตั้งเท่าไหร่ก็ตาม ทั้งๆที่เป็นกระดาษปั๊มตัวเลขขึ้นมาเฉยๆ แล้วมันก็ยกค่าอยู่ในสังคมในโลกให้จำนนให้ยอมคนนี้ อัตราเงินของเขาเท่านี้ได้ก็ว่ากันไป แต่โดยนัยยะซับซ้อนลึกซึ้งแล้วมันเป็นการลดค่าหรือเพิ่มค่าในตัว 

บางทีเขาก็เรียกว่าเงินดอลลาร์แข็ง เงินบาทแข็ง เป็นช่วงๆ ซึ่งที่จริงแล้วเขาไปหลงยึดถืออัตราการวัดด้วยตัวเลข ของรายได้รายรับกับรายจ่าย เขาไม่ไปดูที่ว่า 

1. สาระสัจจะสร้างอะไร ถ้าประเทศใดยิ่งสร้างอาวุธขึ้นมา แล้วได้เงินทองจากอาวุธมากมาย ประเทศนั้นยิ่งทรามยิ่งเสื่อม ถ้าหากประเทศใดยิ่งสร้างอาหาร ได้มากยิ่งขึ้นๆ แล้วสะพัดไปให้กับประเทศอื่นได้ราคาต่ำลงเรื่อยๆ ยิ่งเจริญยิ่งเจริญ 

เอาแต่แค่อาวุธกับอาหาร ประเทศที่สร้างอาวุธได้เก่งประหารคนได้เก่งยิ่งราคาแพงมากเท่าไหร่ยิ่งต่ำมากเท่านั้น ประเทศที่ยิ่งสร้างอาหารได้ดีทั้งคุณภาพและปริมาณได้มาก แล้วยิ่งสะพัดให้แก่ประเทศอื่นถูกลงเรื่อยๆ จึงเป็นประเทศที่เจริญทางเศรษฐกิจ เจริญอย่างได้เป็นสัจจะความจริงยิ่งยอด 

เพราะฉะนั้นเมืองไทยอย่าไปแคร์ประเทศที่สร้างอาวุธมากมาย สร้างสิ่งประเสริฐสิ่งที่เด่นของเราคืออาหาร 

อาตมาเคยพูดหลายทีแล้ว ถ้าเราสนับสนุนชาวไร่ชาวสวนชาวนาชาวกสิกรทั้งหลายแหล่ ให้ได้ฐานะ จะใช้วิธีให้เหรียญตรา ชั้นสูงๆขึ้นก็ควรทำ แม้จะไม่ได้เงินมากมายอะไรก็ต้องทำ ต้องยกย่องเชิดชูอย่าไปกดชาวไร่ชาวนาชาวสวน อย่าไปกดชาวกสิกร ให้เกียรติแก่ชาวกสิกรจริงๆ ประเทศนั้นจะเป็นประเทศที่มีปัญญาสูงส่ง รู้จักความสำคัญในความสำคัญรู้จักสาระในสาระ เป็นประเทศที่มีจิตวิญญาณ มีปัญญาประเสริฐเข้าใจสัจธรรมอันสูงส่ง 

สรุปรวมด้วยภาษาเศรษฐกิจ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสว่าเรามาเป็นคนจน เอาแบบคนจน วิธีการใด เราไม่ต้องไปรวยหรอก จนนี่แหละ เราพอกินพอใช้เหลือเฟืออยู่กันอย่างสามัคคีอะลุ่มอล่วยกัน ท่านตรัสไว้สั้นๆสมบูรณ์แบบ 

เราก็รู้ชัดเจนว่าเราขาดทุน ขาดทุนนี่แหละเราประเสริฐ เราเป็นผู้ที่เป็นเจ้าแห่งเศรษฐกิจ คนที่เอาแต่รวยรวยๆมันเป็นทาสทางเศรษฐกิจไม่ใช่เจ้า คนที่เอาแต่จนลงไป เป็นนายเศรษฐกิจ แล้วจนอย่างสุขสำราญพออยู่พอกิน เหลือแล้วแจกจ่ายคนอื่น เป็นคนจนที่สร้างสิ่งสำคัญสิ่งจำเป็นเป็นปัจจัยแห่งชีวิตของมนุษยชาติ 

ไม่ต้องเอาแรงงานความรู้เวลาไปทุ่มเทเสียหายกับสิ่งพวกนั้นเท่าไหร่เลย ทำอันนี้ แล้วให้มีน้ำใจ สร้างอาหารการกินพืชพันธุ์ธัญญาหาร แล้วก็มีน้ำใจ ทำให้ถูกเท่าที่จะทำได้ 

เพราะฉะนั้นถ้าสามารถทำได้ เพราะตัวคนในประเทศก็เป็นคนพยายามฝึกมาเป็นคนจนกัน อย่าไปแย่งกันรวย ฝึกมาเป็นคนจน แหม มันลึกซึ้งนะ 

อย่างพวกเรานี่ทำความลึกซึ้งของมนุษยชาติทำให้เป็นคนประเสริฐ เป็นคนมาจนกันได้ ไม่ใช่ภาษาแบบเล่นลิ้นพูดกันโก้ๆ แต่เป็นภาษาที่แสดงถึงภูมิปัญญามีความรู้อันลึกซึ้ง มีความดำเนินชีวิตไปได้อย่างไม่ขัดแย้ง ไม่ไปทำให้คนอื่นเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ คนอื่นพสะดวกสบายทางเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้นด้วย แล้วเราก็ไม่ไปแย่งความสุขใคร ซึ่งเป็นยอด

สู่แดนธรรม... พวกเราไม่ไปแย่งความสุขใครก็ความสุขของพวกเราคือปล่อยวาง มีศักยภาพก็ไปทำความขยัน ไม่มีใครแย่งเรา เราก็ไม่แย่งใคร 

พ่อครูว่า... พวกเรามาจนใครจะมาแย่งความจนเราล่ะ นี่ พูดกันง่ายๆ พูดภาษาจริงๆ ไม่ได้เล่นลิ้น ไม่ได้เล่นคารม ไม่ได้พูดโก้เก๋ แต่ ก็พูดความจริง เรามีความสุขที่ยิ่งใหญ่ยั่งยืน ที่พลเอกประยุทธ์บอกว่า มั่นคงมั่งคั่งยั่งยืน นี่แหละพวกเราคือผู้ที่มั่งคั่งมั่นคง มั่งคั่งยั่งยืน 

พวกเรามั่งคั่งอะไร มั่งคั่งด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร มั่งคั่งด้วยเหตุปัจจัยชีวิต เราไม่ได้หลงใหลในความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยที่คนโลกๆเขาหลงกัน อาหารก็ไม่ได้กินอย่างบ้าๆบอๆ ที่เขาโฆษณาร้านโน้นร้านนี้กันชั้นสูงอย่างนั้นอย่างนี้กัน..ไม่มี เราก็กินอาหารอย่างสามัญ ง่ายๆเลี้ยงง่าย 

ชีวิตที่จะขยัน ชีวิตที่จะมีสมรรถนะความสามารถ ไม่ได้หมายความว่าเรางอมืองอเท้า เราก็มีชีวิตที่ขยัน ที่มีสมรรถนะที่มีความสามารถที่จำเป็นที่สำคัญของสังคม ไอ้ที่มันเฟ้อเกิน ไม่เข้าท่าเราไม่ไปเสียเวลา เสียแรงงาน ใครจะไปเก่งทั้งนั้นก็เก่งไป ยกตัวอย่างเก่งทางสร้างอาวุธ มันเป็นบาป คนสร้างอาวุธมาเป็นคนบาปทั้งนั้น นี่พูดสัจจะนะ ไม่ได้ไปว่าไปลงโทษเขา แต่มันเป็นเรื่องจริง 

เพราะฉะนั้นถ้าจะสร้างวิศวกรรม ก็จะสร้างแต่สิ่งที่อาศัย อย่างคอมพิวเตอร์ก็สร้างมา อะไรที่เป็นทางวิศวกรรมมันมีตั้งเยอะแยะ แต่เขามันยาก พวกที่คิดจะเป็นเจ้าใหญ่นายโต คนที่สร้างอาวุธคือคนขี้กลัว คนไม่ต้องใช้อาวุธคือคนไม่กลัว เราไม่ต้องการไปฆ่าใคร ใครจะมาฆ่าเรา เราไม่กลัว ฆ่าก็ฆ่าไป 

คนที่กล้าหาญชาญชัยกว่ากัน คนมีอาวุธมากๆคือคนขี้โกง ยิ่งสร้างอาวุธมากเท่าไหร่ยิ่งเป็นคนขี้กลัว อย่างเช่นเกาหลีเหนือ โอ้โห ลงทุนสร้างอาวุธร้ายต่างๆเอาไว้ขู่โลกเขา ขี้ขึ้นสมอง ขี้กลัวขนาดหนักเลย นี่เป็นปรัชญาที่ลึกซึ้งนะ เป็นเรื่องจริง ถ้าเขาไม่ทำขู่ไว้เขาก็กลัวว่าจะถูกรุกราน มีเมืองจีนอาจจะรุกราน แต่เดี๋ยวนี้จีนเขาก็คงจะไม่ทำ เกาหลีใต้อาจจะเอาคืน ซึ่งมันจะต้องเป็นตัวอย่างของโลกต้องเป็นไป 

เพราะฉะนั้นคนจน 2 แบบ คือคนจนอย่างไม่มีปัญญา กับคนจนที่มีปัญญา 

อย่างพวกเราเป็นคนจนที่มียอดปัญญา มีปัญญาชัดเจน ปัญญาประเสริฐสุดแล้ว เพราะไม่ได้ไปกลัวความจน หรือมาเป็นคนจนอย่างดรามาติก เท่ๆโก้ๆ ไม่เลย แต่เต็มใจจน แล้วเห็นว่าความจนเป็นเรื่องประเสริฐที่มาจนได้ เป็นเรื่องจบในตัวแล้ว เป็นคนจนที่มีจบ จบในจน จนอย่างจริงๆ เป็นคนมีความจนที่จริง แล้วสบาย เป็นคนจนที่มีความสุขเป็นอยู่สบายไม่เดือดร้อนมีความสงบเรียบร้อยดีด้วย ทำให้บ้านเมืองเรียบร้อย สงบ ไม่ได้เป็นเหตุเป็นสมุทัยเป็นปัจจัยที่ทำให้ประเทศชาติเดือดร้อน 

สู่แดนธรรม... ทำไมทฤษฎีนี้วิเศษมากเลยครับ น่าจะพัฒนาต่อไปนะครับ 

พ่อครูว่า... เราไม่หยุดพัฒนาหรอก ยังเห็นเลยว่าเมืองไทยไปอาศัยเรียนจากประเทศนอกที่เป็นเทวนิยม ที่ยังไม่เข้าใจความจนแบบโลกุตระของพระพุทธเจ้า ตำราของพระพุทธเจ้าศึกษาให้สัมมาทิฏฐิเถอะ แม้แต่เถรสมาคมก็ไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่ได้เข้าใจอย่างที่อาตมาพูด 

ถ้าเถรสมาคมเข้าใจอย่างที่อาตมาพูดแค่ครึ่งเดียว ไม่ต้องเอาถึง 100% ครึ่งเดียวเท่านั้นแหละ ประเทศไทยจะไปเจริญยอดเยี่ยมมากกว่านี้ 

ไม่ต้องดูใคร ดู พส. 2 คน มหาสองคน ที่เป็นตัวปฏิกิริยาอยู่ในสังคมขณะนี้ หลงเงินเพื่อเงิน อยู่อย่างนั้น สุดท้ายก็ยังไม่รู้ว่าตกลงเป็นอย่างไร ตกลงเงินที่บวชอยู่ คุณศรีสุวรรณจรรยาบอกว่า ตามกฎหมาย ในขณะที่บวชอยู่ สึกไปแล้วเงินต้องเป็นของวัดไม่ได้เป็นเจ้าของเจ้าตัว เอาไปเอามา 

คือ ฟังแล้วมันน่าอายขายหน้า พระพุทธเจ้าจริงๆ เรียนกันมาเปรียญ 9 เปรียญ 7 เรียนกันไป คนที่พยายามไม่หลงเงินอย่างพระป่า แต่ก็ไปหลงซับซ้อนเหมือนอย่างมหาบัว 

ซับซ้อนโดยไม่รู้ตัว ทำตัวเหมือนว่าตนเองไม่ต้องการเงิน แต่ที่จริงสร้างภพชาติ ถึงขั้นว่าไม่ได้เป็นคนรวยในประเทศเท่านั้นนะ แต่เป็นเจ้าของประเทศเป็นคนค้ำจุนประเทศเอาไว้นะ มหาบัว เขามีภพชาติของเขาอย่างนั้นแหละ 

ประเทศไทยอยู่ได้เพราะเงินของเขา ที่จริงเขาเรี่ยไร เอาประเทศเป็นตัวประกันแล้วไปเรี่ยไรอาศัยสถาบันก็ได้มาเอาเข้ากองคลัง มันเป็นวิธีการสร้างฐานะของตัวเองให้เด่นให้โก้ในชีวิต ประสบผลสำเร็จ แล้วนึกว่าเป็นวิธีการที่ตัวเองปฏิบัติทางศาสนาพุทธสูงสุด ซึ่งแม้แต่คำว่าเรี่ยไร ก็ไม่ใช่หน้าที่ของพระสงฆ์เลย ศาสนาพุทธไม่มีเรื่องเรี่ยไร เป็นเรื่องน่าเกลียดที่สุดเรื่องการเรี่ยไร ทุกวันนี้มันเสื่อม 

ความเป็นผ้าป่าคือความไม่รู้ว่าผ้านี้ของใคร แล้วก็ไปชักผ้าบังสุกุล นี่ใครจะเป็นเจ้าของผ้าป่า แล้วผ้าป่าจะได้งบเท่าไหร่ มันผิดจากศาสนาพระพุทธเจ้าไปอย่างชิบหายวายป่วง ทุกวันนี้ทอดกฐินกันก็ว่าจะได้เงินเท่าไหร่ ได้เงินมาเลี้ยงวัดวาไป ก็อ้าง การสร้างโบสถ์วิหารเจดีย์ สร้างศาสนวัตถุอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งมันเป็นความเสื่อมจนไม่รู้จะเสื่อมอย่างไรในศาสนาพุทธ 

พระป่า ทำที เป็นไม่หลงเงิน แต่ก็ไปหลงทางด้านจิต หลับตาเป็นเดียรถีย์ เป็นพญานาค ถ้าเข้าใจแล้วพญานาคก็คือโจรปล้นศาสนา ที่พระพุทธเจ้าท่านสมมุติเป็นเรื่องว่ามีพระราชา จับโจรได้ที่มาปล้นทำลาย ขอให้เอาโจรไปฆ่า ประหารเสียให้หยุดทำบาป ฆ่าก็ยังไม่ตายอีก ซับซ้อนในอุทาหรณ์ของพระพุทธเจ้า สุดยิ่งใหญ่สุดซับซ้อน 

เราเรียนเรื่องความจนแล้วมาประพฤติปฏิบัติให้มาเป็นคนจนให้สำเร็จ คือการกอบกู้เศรษฐกิจประเทศชาติ แล้วมันกินลึกไปถึงการเมือง กินลึกไปถึงสังคมด้วย การมาเป็นคนจนนี่ แล้วทุกคนก็ยินดีในความจน การเมืองก็ดีการบริหารก็ดี มีเงินเป็นหลักหมดเลย 

เพราะฉะนั้นผู้ที่สำเร็จอาชญวิทยาก็เลยพยายามมีเงินให้มาก ใช้เงิน จนกระทั่งทุกวันนี้เลยกลายเป็นคนยิ่งใหญ่ในวงการการเมือง คนอื่นก็เลยลอกเลียนแบบซับซ้อน 

เพราะฉะนั้นถ้าใครเข้าใจวิธีการของทักษิณได้ เป็นวิธีการที่เลวร้าย แต่ประเทศไทยเข้าใจเรื่องทักษิโณมิกส์ เป็นวิธีการการเมืองที่เลวร้ายที่สุด คนไทยเข้าใจขึ้น เพราะมีตัวอย่างให้เห็นจริงๆ เพราะฉะนั้นจึงต้องขอบคุณทักษิณที่ประพฤติความเลวร้าย สมกับที่เรียนจบด็อกเตอร์อาชญวิทยา เป็นตัวอย่างทักษิโณมิกส์ให้เห็น ถึงอย่างไรคนส่วนใหญ่ก็พอเข้าใจมีคนงมงายเป็นจำนวนน้อย 

ถ้าเข้าใจซ้อนลงไปอีกว่า ยิ่งเป็นผู้บริหาร และเป็นคนไม่สะสม เป็นคนไม่โลภโมโทสันเป็นคนจน ประเทศชาติจึงเป็นประเทศที่เจริญ บริหารแบบคนจนดังที่ในหลวงตรัส

สมณะเดินดิน... สรุปจบ


เวลาบันทึก 14 ธันวาคม 2564 ( 12:09:20 )

641213

รายละเอียด

641213 รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 20 ความมหัศจรรย์กองกลางสาธารณโภคีของชาวอโศก

https://www.boonniyom.net/51207.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1150C17VId7ZfZKWHupfH2trPwto5VnrtMtUkjtJt5I4/edit?usp=sharing  

 

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/1gF91IFeev4TZMsWDdbZELvxHnBxnKvfi/view?usp=sharing 

     

และดูวิดีโอได้ที่   https://fb.watch/9S_qdPsMYq/   และ

https://youtu.be/IFo18VNqXGE 

 

สู่แดนธรรม...วันนี้วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 9 ค่ำเดือนอ้ายปีฉลู ติดตามฟังบรรยายธรรมะพ่อครูมาหลายปี จะได้เห็นแกนที่พ่อครูนำมาอธิบายเป็นแกนที่เอาปัญญามาอธิบาย ซึ่งทั่วไปในโลกจะอธิบายโดยใช้แกนศรัทธา โดยที่ ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นมีความเป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ 

พ่อครูว่า... SMS วันที่ 10-12 ธ.ค. 2564

 

จนแต่กดข่มแบบศาสนาเชนยังไม่ใช่คนจนโลกุตระ

_ใบฟ้า ธัมทะมาลา : กราบขอยืนยันค่ะว่า เป็นคนจนโลกุตระนี้เบาสบายและ สุขสำราญเบิกบานใจจริงๆค่ะ กราบขอบพระคุณกราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้าค่ะ

พ่อครูว่า...ต้องมีการกำกับด้วยว่าเป็นคนจนโลกุตระ ถ้าเป็นคนจนโลกียะไม่สามารถปฏิบัติศีลสมาธิปัญญาได้มรรคผลที่แท้จริงก็ไม่จริง กดข่ม ทำได้ ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วก็เวียนคืน อาจจะได้ระยะเวลายาวนานจนกระทั่งกลายเป็นศาสดา กดข่มเป็นผู้มักน้อยสันโดษ ศาสดาที่มักน้อยสันโดษลึกซึ้งมากที่สุดได้แก่ ศาสดาพระมหาวีระ ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่ เป็นศาสดาของศาสนาเชน ศาสดาที่ไม่นุ่งผ้านุ่งผ่อนเลย ไม่เอาอะไรเลยมากน้อยจนสุดโต่ง แล้วเขาก็มีลัทธิคล้ายพระพุทธเจ้าตรงที่ว่า เขาบรรลุอนัตตาเหมือนกัน แต่เขาไม่มีอะไรจนสุดโต่ง สังคมก็ไม่เอามนุษยชาติก็ไม่เอาหนีไปคนเดียวปลีกเร้นเข้าป่าเขาถ้ำ ทนไม่ได้ทนไม่ได้เลิกงามยามดีก็ออกมาโชว์ตัวให้คนเขาซึ่งเขามาอัศจรรย์เคารพนับถือ เดินแก้ผ้าโทงๆแล้วก็ถือบิณฑบาตกิน มีบาตรใบเล็กๆใบเดียว กับไม้ปัด ถือว่าทุกสัตว์มีชีวิตเป็นวิบากทั้งนั้น ก็ปัดออก ก็เป็นคนไม่เข้าใจความจนที่แท้จริงแต่จนจนเลยเถิด แต่จนของพระพุทธเจ้านี้จนอย่างมีภูมิปัญญา ค่อยๆฟังไปอย่างเป็นลำดับ มันไม่ง่าย หากง่ายก็เป็นพระอรหันต์ได้หมดแล้ว 

 

_โกศล สุขเล็ก : กราบคารวะพ่อท่าน..พุทธวจน..ใดใดในโลกล้วนสมมุติ..รวยจนเป็นเรื่องสมมุติ..ชั่วดีเป็นเรื่องสำคัญ..

พ่อครูว่า...ชั่วกับดียังเป็นเรื่องสมมตินั้นถูกแล้วเป็นเรื่องสำคัญ แต่คุณคนนี้เห็นว่ารวยจนเป็นเรื่องสมมุติ ชั่วดีเป็นเรื่องสำคัญ รวยจนก็เป็นเรื่องสมมุตินั้นถูก ชั่วดีก็เป็นเรื่องสมมุติอีกสำคัญอยู่ ไม่ใช่ไม่สำคัญ รวยจนก็เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าจิตไม่มีปัญญา จิตไม่ลดกิเลสจนกระทั่งไม่มีตัวตน มันก็จะยังมีอยู่นั่นแหละ จะต้องรวยต้องจนอยู่นั่นแหละ มากน้อยก็แล้วแต่ มันก็ค่อยๆศึกษาไป 

 

_เคียงดิน ชาติบุญนิยม :


เวลาบันทึก 14 ธันวาคม 2564 ( 11:29:22 )

641213

รายละเอียด

641213 รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 20 ความมหัศจรรย์กองกลางสาธารณโภคีของชาวอโศก

https://www.boonniyom.net/51207.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1150C17VId7ZfZKWHupfH2trPwto5VnrtMtUkjtJt5I4/edit?usp=sharing  

 

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/1gF91IFeev4TZMsWDdbZELvxHnBxnKvfi/view?usp=sharing 

     

และดูวิดีโอได้ที่   https://fb.watch/9S_qdPsMYq/   และ

https://youtu.be/IFo18VNqXGE 

 

สู่แดนธรรม...วันนี้วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 9 ค่ำเดือนอ้ายปีฉลู ติดตามฟังบรรยายธรรมะพ่อครูมาหลายปี จะได้เห็นแกนที่พ่อครูนำมาอธิบายเป็นแกนที่เอาปัญญามาอธิบาย ซึ่งทั่วไปในโลกจะอธิบายโดยใช้แกนศรัทธา โดยที่ ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นมีความเป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ 

พ่อครูว่า... SMS วันที่ 10-12 ธ.ค. 2564

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน จนแต่กดข่มแบบศาสนาเชนยังไม่ใช่คนจนโลกุตระ

_ใบฟ้า ธัมทะมาลา : กราบขอยืนยันค่ะว่า เป็นคนจนโลกุตระนี้เบาสบายและ สุขสำราญเบิกบานใจจริงๆค่ะ กราบขอบพระคุณกราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้าค่ะ

พ่อครูว่า...ต้องมีการกำกับด้วยว่าเป็นคนจนโลกุตระ ถ้าเป็นคนจนโลกียะไม่สามารถปฏิบัติศีลสมาธิปัญญาได้มรรคผลที่แท้จริงก็ไม่จริง กดข่ม ทำได้ ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วก็เวียนคืน อาจจะได้ระยะเวลายาวนานจนกระทั่งกลายเป็นศาสดา กดข่มเป็นผู้มักน้อยสันโดษ ศาสดาที่มักน้อยสันโดษลึกซึ้งมากที่สุดได้แก่ ศาสดาพระมหาวีระ ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่ เป็นศาสดาของศาสนาเชน ศาสดาที่ไม่นุ่งผ้านุ่งผ่อนเลย ไม่เอาอะไรเลยมากน้อยจนสุดโต่ง แล้วเขาก็มีลัทธิคล้ายพระพุทธเจ้าตรงที่ว่า เขาบรรลุอนัตตาเหมือนกัน แต่เขาไม่มีอะไรจนสุดโต่ง สังคมก็ไม่เอามนุษยชาติก็ไม่เอาหนีไปคนเดียวปลีกเร้นเข้าป่าเขาถ้ำ ทนไม่ได้ทนไม่ได้เลิกงามยามดีก็ออกมาโชว์ตัวให้คนเขาซึ่งเขามาอัศจรรย์เคารพนับถือ เดินแก้ผ้าโทงๆแล้วก็ถือบิณฑบาตกิน มีบาตรใบเล็กๆใบเดียว กับไม้ปัด ถือว่าทุกสัตว์มีชีวิตเป็นวิบากทั้งนั้น ก็ปัดออก ก็เป็นคนไม่เข้าใจความจนที่แท้จริงแต่จนจนเลยเถิด แต่จนของพระพุทธเจ้านี้จนอย่างมีภูมิปัญญา ค่อยๆฟังไปอย่างเป็นลำดับ มันไม่ง่าย หากง่ายก็เป็นพระอรหันต์ได้หมดแล้ว 

 

_โกศล สุขเล็ก : กราบคารวะพ่อท่าน..พุทธวจน..ใดใดในโลกล้วนสมมุติ..รวยจนเป็นเรื่องสมมุติ..ชั่วดีเป็นเรื่องสำคัญ..

พ่อครูว่า...ชั่วกับดียังเป็นเรื่องสมมตินั้นถูกแล้วเป็นเรื่องสำคัญ แต่คุณคนนี้เห็นว่ารวยจนเป็นเรื่องสมมุติ ชั่วดีเป็นเรื่องสำคัญ รวยจนก็เป็นเรื่องสมมุตินั้นถูก ชั่วดีก็เป็นเรื่องสมมุติอีกสำคัญอยู่ ไม่ใช่ไม่สำคัญ รวยจนก็เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าจิตไม่มีปัญญา จิตไม่ลดกิเลสจนกระทั่งไม่มีตัวตน มันก็จะยังมีอยู่นั่นแหละ จะต้องรวยต้องจนอยู่นั่นแหละ มากน้อยก็แล้วแต่ มันก็ค่อยๆศึกษาไป 

 

_เคียงดิน ชาติบุญนิยม :


เวลาบันทึก 16 ธันวาคม 2564 ( 10:31:44 )

641215

รายละเอียด

641215_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ชาวอโศกคือมนุษย์อัศจรรย์ตามปหาราทสูตร  

https://www.boonniyom.net/51208.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1-G0cR9Wpk12S-ZCPEvnUcCm_bgQdWFsTQnCwR-uM8U0/edit?usp=sharing 

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/17SpRfvEAZpppPe14y6Qatkwma4ojxuRs/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่  https://fb.watch/9VCTzaT11n/ 

และ  https://youtu.be/Qp5TTbFlamg 

 

สมณะฟ้าไท... วันนี้เป็นวันพุธที่ 15 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “อาหารเป็นหนึ่งในโลก” จะเกิดเป็นใครก็ตามก็ต้องกินอาหารทั้งสิ้น โศลกปีนี้พ่อครูว่า “คนฉลาดสร้างอาหารคนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ” 

จะสร้างอาหารได้ต้องสร้างดินสร้างน้ำสร้างปุ๋ยสร้างบรรยากาศให้เหมาะสม อาหารจะได้เกิดขึ้น ที่ราชธานีอโศก กำลังระดมสร้างอาหารกันเยอะแยะมากมาย เด็กก็ให้ความร่วมมือ เก็บน้ำปัสสาวะมาทำปุ๋ย ให้เขาทำกิจกรรมที่เกิดกุศลมากขึ้น แต่ละคนก็ได้ทำปุ๋ยทุกวัน อาหารก็หมุนเวียนเป็นพืช มาสู่คนแล้วไปสู่พืชมาเป็นอาหารให้คนอีก 

วันนี้เรามาฟังอาหารทางจิตวิญญาณจากพ่อท่านซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสูงสุดที่จะพัฒนาจิตใจให้เจริญในยุคนี้

พ่อครูว่า...  SMS วันที่ 13-14 ธ.ค. 2564

 

_คอยใคร : กราบเคารพพ่อครูครับ เมื่อวานผมได้ยินพ่อครูพูดถึงรถแลมเบตต้าว่า 

พ่อครูใช้แต่แลมเบตต้า ไม่ใช้เวสป้า ผมเลยขอถามว่า ทำไมพ่อครูใช้แต่แลมเบตต้า แล้วแลมเบตต้าดีกว่าเวสป้าตรงไหนครับ 

พ่อครูว่า...ถามทำไมก็ไม่รู้ ชีวิตตั้งแต่แรกๆก็ไม่มีเงินซื้อรถเก๋งขี่ ก็ซื้อรถมอเตอร์ไซค์ แทนที่จะใช้รถมอเตอร์ไซค์อย่างคนอื่นเขาก็ไปใช้รถแบบสกู๊ตเตอร์ รถสกู๊ตเตอร์ก็มี 2 ยี่ห้อคือ lambrettaกับVespa 

เลขทะเบียนรถอาตมาตอนนั้น 1555 เป็นรถมอเตอร์ไซค์ lambretta ตั้งชื่อว่าจันทน์กะพ้อ ส่วนรถยนต์คันแรกชื่อชบาบาน ซื้อมา 5,000 บาท ตอนนั้นก็แพงเหมือนกันนะ รถญี่ปุ่น Datsun ออกมาใหม่ๆก็ 5,000 บาท แต่ก่อนนี้ 

ก็ทำงานเป็นทั้งครูเป็นนักทำโทรทัศน์ ทำมาตั้งแต่เป็นนักเรียนเรียนยังไม่จบ พ.ศ 2500 ออกมาก็ทำงานโทรทัศน์ไม่ได้ทำงานอื่นเลย โทรทัศน์เขาก็ยอมรับอยู่แล้ว เมื่อบอกจะสมัครเขาก็ให้เขียนใบสมัครเลย ก็เข้าไปเลยตั้งแต่บัดนั้น ทำงานอยู่ถึง 12 ปี แล้วก็ยังสอนหนังสือเป็นไซด์ไลน์ ซื้อรถ lambretta วิ่ง โรงเรียนอยู่ตามที่ต่างๆ ก็วิ่งไปสอนน่าดู 3-4 โรงเรียน ก็ได้สตางค์เท่านั้นแหละ มาเลี้ยงช่วยครอบครัวไป เพราะเป็นพี่คนโต มีน้องตั้ง 6 คน ส่งเสียน้องเรียนหมด 

เป็นพี่เลี้ยงน้อง มันยากกว่าพ่อแม่เลี้ยงลูก พ่อแม่เลี้ยงลูกมาตั้งแต่เล็กๆจนกว่าจะเป็นหนุ่มสาวมันใช้เวลานาน ส่วนพี่ชายเลี้ยงน้องนั้นมันโตพอๆกันเลย พ่อแม่เสียไปทิ้งน้องไว้ให้พี่เลี้ยง บางคนก็ส่งไปเรียนเมืองนอกเลย อยากไปก็ให้มันไป เล่าไว้แล้วในประวัติ 

สรุปใช้ รถ lambretta ซึ่งเครื่องมันวางตรงกลาง แต่ รถ Vespa เครื่องมันจะวางเอียงหน่อย จากนั้น มีฐานะดีขึ้น ก็ใช้รถยนต์ไม่ได้ใช้มอเตอร์ไซค์แล้ว แต่มันก็ยังมีใช้วิ่งไปจรบ้าง ก็ยังอยู่ บางทีก็มีรถยนต์ 2-3 คันทีเดียว แต่ก่อนนี้เป็นคนฟุ่มเฟือยไปตามโลกเขา เก๋นะ เท่นะ ทำบ้า

 

_แก้ว : เรื่องจิตใจสังขารปรุงมันกว้างใหญ่ จะเอาแค่ บังคับมันอยู่ในกรอบก่อนได้ อย่างไรคะ

พ่อครูว่า... เอาศีลเป็นหลัก ตั้งแต่เกี่ยวกับสัตว์ก็ปล่อยมันไปตามกรรม เราอย่าไปยุ่งกับมัน เกี่ยวกับคนมีวิบากร่วมกันเยอะแยะ แล้วก็ในของ อย่าทุจริตในของ ส่วนทางตาหูจมูกลิ้นกายก็ทางศีล 1 2 3  ศีลข้อ 1 สัตว์เลี้ยง ศีลข้อ 2 เรื่องเข้าของ ศีลข้อ 3 ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ เป็น 3 ข้อหลักใหญ่ ศีล 5 ส่วนศีลข้อ 4 ก็เป็นวาจา ศีลข้อ 5 เกี่ยวกับจิต 

 

_0323 : ผลงานพ่อครู เหนือกว่าผู้ได้รับรางวัลโนเบลด้วยซ้ำ

พ่อครูว่า...จะไปยกตนข่มท่านไปทำไม รางวัล nobel เขาถือว่าเป็นยอดของมนุษยชาติในโลก เป็นมูลนิธิ ที่มีทุนรอนของนายโนเบลให้ไว้ สำหรับออกดอกออกผลแล้วมีเงินมาแจกจ่ายคนที่สนับสนุน คนที่ทำอะไรได้เด่นๆ คิดค้นอะไรได้ใหม่ๆ 

จริงๆเรานี้เป็นเรื่องใหม่มากในโลก ยังไม่เคยมีเก่า มันใหม่ตลอดกาลนานโลกุตระนี่ แต่เขาเข้าใจยังไม่ได้ อันนี้ก็ต้องเข้าใจเขาเห็นใจเขาจริงๆ แต่ก็เป็นธรรมดาเขาเข้าใจไม่ได้ ถ้าเขาเข้าใจได้เห็นเป็นคุณค่าเห็นว่าเป็นยอด เขาก็ต้องให้รางวัล แต่เขาไม่เห็นว่าเป็นคุณค่าก็เป็นธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นเจ้าไหน รางวัลโนเบล รางวัลแมกไซไซ อย่างเราก็ได้แมนเฮมา เขาเห็นเขารู้ก็ให้รางวัลมา อย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นไปไม่มีปัญหา 

 

_7458 จารย์หลุย : ยุคโควิด พระเจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล กลายเป็นตัวปัญหาเสียเอง จะช่วยชาวบ้านยังไง

พ่อครูว่า... ขอพูดตรงๆตามสัจจะจริงว่ามันเป็นความเสื่อม ศาสนาพุทธนั้นเสื่อมมาก แม้แต่ผู้บริหารเองก็ยังหลงใหลได้ปลื้มกับใบไม้ผลไม้ ใบดอกของต้นไม้เขาก็ได้แค่นั้น มันเป็นความเสื่อมจริงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ พ.ศ.2500 นี้ ศาสนาพุทธเสื่อมไปแล้วจริงๆ ไม่ได้ไปลงโทษหรือใส่ความไปว่าอะไร แต่มันเป็นเรื่องจริงที่มันเกิดก็ต้องเอามาพูดอธิบายประกอบให้รู้ว่า มันเป็นจริงอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นเราก็ต้องกอบกู้ขึ้นมา จะต้องพัฒนาให้มันเจริญขึ้นอย่างไร ก็ว่ากันไป 

เขาเอาภาพรางวัลที่วัดชิลซังซา ให้มา เป็นถ้วยกำยานที่ทำจากโลหะ เขาไม่ได้ให้เป็นเงินหรือใบประกาศมา 

ก็มีอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ที่ให้รางวัลมาแต่เก่า ท่านสัญญา ธรรมศักดิ์ ก็เคยมาคุยกับอาตมาแล้วลงไปก็บอกกับคนอื่นว่าองค์นี้เป็นอรหันต์ ท่านกล้าพูดถึงขนาดนั้นก็ไม่ใช่เล่นเลยนะ 

 

ชาวอโศกคือมนุษย์อัศจรรย์ตามปหาราทสูตร  

พ่อครูว่า... อาตมาจะเอา ปหาราทสูตร มาเป็นหลัก ในการอธิบายความมหัศจรรย์ ซึ่งมี 8 ข้อ 

_ปหาราทสูตร ล.23

[109] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ควงไม้สะเดาที่นเฬรุยักษ์สิงสถิต ใกล้กรุงเวรัญชา ครั้งนั้น ท้าวปหาราทะจอมอสูร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามท้าวปหาราทะจอมอสูรว่า ดูกรปหาราทะพวกอสูรย่อมอภิรมย์ในมหาสมุทรบ้างหรือ ท้าวปหาราทะจอมอสูรกราบทูลว่า 

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกอสูรย่อมอภิรมย์ในมหาสมุทร ฯ

พ. ดูกรปหาราทะ ในมหาสมุทรมีธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาสักเท่าไร ที่พวกอสูรเห็นแล้วย่อมอภิรมย์ ฯ  

 

ป. มี 8 ประการ พระเจ้าข้า 8 ประการเป็นไฉน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 1 ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ 

 

อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่ง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอไม่ล้นฝั่ง นี้เป็นธรรมอันน่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 2 ในมหาสมุทรที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

 

อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ เพราะในมหาสมุทรคลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่งให้ขึ้นบกทันที ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ และในมหาสมุทรคลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่งให้ขึ้นบกทันที นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 3 ในมหาสมุทรที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

 

อีกประการหนึ่ง แม่น้ำสายใหญ่ๆ บางสาย คือ แม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี แม่น้ำเหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละนามและ โคตรเดิมหมด ถึงความนับว่ามหาสมุทรนั่นเอง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่ แม่น้ำสายใหญ่ๆ บางสาย คือ แม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี แม่น้ำ เหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมเปลี่ยนนามและโคตรเดิมหมด ถึงความ นับว่ามหาสมุทรนั่นเอง นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 4 ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

 

อีกประการหนึ่ง แม่น้ำทุกสายในโลก ย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทรและสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่แม่น้ำทุกสายในโลกย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทร และสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 5 ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

 

อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรมีรสเดียว คือ รสเค็ม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรมีรสเดียว คือ รสเค็ม นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 6 ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

 

อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด ในมหาสมุทรมีรัตนะเหล่านี้ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬเงิน ทอง ทับทิม มรกต ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด ในมหาสมุทรนั้นมีรัตนะ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม มรกต นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 7 ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

 

อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของพวกสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆและสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรนั้นมีดังนี้ คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติมิรมิงคลา พวกอสูร นาค คนธรรพ์ แม้ที่มีร่างกายประมาณ 100 โยชน์ 200 โยชน์ 300 โยชน์ 400 โยชน์ 500 โยชน์ ก็มีอยู่  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของสิ่งที่มีชีวิตใหญ่ๆ และสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรนั้น มีดังนี้ คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติมิรมิงคลา พวกอสูร นาค คนธรรพ์ แม้ที่มีร่างกายประมาณ 100 โยชน์ 200 โยชน์ 300 โยชน์ 400 โยชน์ 500โยชน์ ก็มีอยู่ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 8 ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้แลธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา 8 ประการ ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ภิกษุทั้งหลายย่อมอภิรมย์ในธรรมวินัยนี้บ้างหรือ ฯ

 

พ. ดูกรปหาราทะ ภิกษุทั้งหลายย่อมอภิรมย์ในธรรมวินัยนี้ ฯ

ป. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในธรรมวินัยนี้ มีธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาสักเท่าไร ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้ว จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

 

1. พ. มี 8 ประการ ปหาราทะ 8 ประการเป็นไฉน ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหว ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง ดูกรปหาราทะ ข้อที่ในธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 1 ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

พ่อครูว่า...ที่ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ ในความเป็นลำดับ คนที่เรียงลำดับได้ดีที่สุดจะบรรลุธรรมได้เร็วที่สุด สั้นที่สุด ดีที่สุด สะอาดที่สุดด้วย เพราะมัน ไม่ไปวกวนอะไร ตรงไปทีเดียว ใสกระจ่างสว่าง ตรง ซึ่งหายาก 

เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่สุดในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ทางธรรมชาติบอกว่าราบเรียบน่าอัศจรรย์ ตามเหตุปัจจัย อันนี้พระพุทธเจ้าก็มีเหตุปัจจัยเหมือนกันจึงทำให้เป็นลำดับในระยะสั้นราบเรียบสะอาดที่สุดเหมือนกัน 

พ่อครูว่า...ไม่เป็นโลกุตระก็คือไปนั่งหลับตาปฏิบัตินั่นแหละ พูดเพราะว่าสุดสงสาร เขาตั้งใจมาปฏิบัติดีแต่ก็หลงใหลติดยึดในทาง เดียรถีย์ มันข้ามขั้นลำดับสำคัญ มันจึงยอกย้อน 

ลำดับ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย หยาบ กลาง ละเอียด แต่นี่ไปนั่งหลับตาเล่นแต่ภายในอย่างเดียว มันผิดกระบวนธรรมไปเยอะ 

 

_2. ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่ง ฉันใด สาวกทั้งหลายของเราก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่ล่วงสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต ดูกรปหาราทะ ข้อที่สาวกทั้งหลายของเราไม่ล่วงสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 2 ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

 

สู่แดนธรรม... เขาว่า ตอนมีชีวิตปัจจุบันก็ทำข้างนอกอยู่แล้ว ข้างในก็ไปนั่งสมาธิ 

พ่อครูว่า... ข้างนอกคุณทำได้หรือยัง มีจิตเหนือเป็น อนุปคัมมะ เป็นอภิภุยได้หรือยัง เหนือได้หรือยัง นึกว่าได้จากการนั่งหลับตา อย่างมหาบัว นึกว่าได้แล้วยังเคี้ยวหมากปากแฉะไปตลอดจนตาย อาตมาก็ยังไม่รู้ว่าในโลงศพที่เผาไปเอาหมากใส่ไปให้หรือไม่ (โยมว่าใส่อยู่แล้วตามประเพณี) ใช่ ประเพณีโบราณก็มีอย่างนั้น สุดรักสุดใคร่เลยหมากกับมหาบัว ขาดไม่ได้

คือไม่รู้เรื่องติดสิ่งเสพติดตื้นๆหยาบๆ จะไม่รู้ได้อย่างไร แต่พูดมามากแล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไร ที่พูดนี้ก็ย้ำเตือนเพื่อที่จะให้ผู้ที่ยังไม่ตาย ที่ยังไปหลงใหลติดยึดอยู่กับมหาบัว ไปนั่งหลับตา อาตมาถึงต้องขยายความพูดถึงเรื่องนี้อีกเยอะ เพราะน่าสงสารศาสนาพุทธในประเทศไทยนี่แหละ คือ แค่ จรณะ 15 วิชชา 8 ก็มีหลักฐานยืนยันชัดๆ อปัณณกปฏิปทา 3 ก็ชัดที่สุดเลย มีศีลอยู่โทนโท่ 

แต่เขาหลับตาปฏิบัติก็ไม่เกี่ยวกับศีล กับสัตว์ ไม่เกี่ยวกับข้าวของอะไรเลย หลับตามันอยู่อย่างเดียว รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็ไม่เอาไม่รู้เรื่อง นั่งหลับตาเข้าไป แล้วก็เนรมิตเอา คิดเอา ฝันเอา สร้างเอา อุปาทานเอา จบอยู่ในโลกฝันๆ เพ้อๆ ฝันๆ นี่คือความจริงทั้งนั้นที่พูด ไม่ได้ใส่ความ ไม่ได้ไปลงโทษลงโพยต่อว่า ไม่ใช่ แต่เป็นเรื่องจริงทั้งนั้นเลย

สู่แดนธรรม... ตอนอยู่วัดอโศการามท่านอาจารย์ได้พาทำหรือไม่ครับ

พ่อครูว่า... ตอนนั้นยังทำนั่งหลับตาอยู่ด้วยเหมือนกันแต่ว่า ก็ไม่ได้ไปติดยึดแบบเขาก็รู้อยู่ แต่ทีนี้ มันจะทำอย่างไรได้อยู่ในท่ามกลางอย่างนั้น ขนาดนั้น จะเรียกว่า เป็นหมาหัวเน่าก็ได้อยู่ในหมู่ พวกนั้นก็เอาอย่างที่เขาเป็น กินหมากปากเปรอะกันไป ดูดบุหรี่ตุ๋ยๆ เราก็โอ้..มันยังไง

เพราะฉะนั้นจึงอยู่กับวัดอโศการามไม่นาน ก็ออกมา ไปตามลำดับของเรา จนกระทั่งไปหาที่ อยู่แดนอโศก พ.ศ.2516 อาตมาบวช พ.ศ.2513 ช่วงปลายปี วันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ.2513 เมื่อ 2 ปีกว่าก็ออกไปแล้ว ไม่อยู่ทนนานอะไร 

ตอนอยู่วัดอโศการาม ก็ออกมาบรรยายวัดข้างนอก วัดธาตุทอง วัดวรนาถ วัดอาวุธเป็นต้น อธิบายธรรมะข้างนอกทุกวัน ก็มีญาติโยมมารับไปอธิบาย บรรยาย ข้างในเขาก็ให้เทศน์ พระใหม่ปกติแล้วเขาไม่ให้ขึ้นเทศน์นะ พระใหม่ บวชยังไม่ได้ถึง 10 ปียังไม่ใช่เถระเขาไม่ให้ขึ้นธรรมาสน์เทศน์บนศาลา แต่อาตมาได้รับการยอมรับให้ขึ้นเทศน์ ท่านให้ขึ้นเทศน์เมื่อไหร่อาตมาก็ขึ้นเทศน์ บางทีไม่เทศน์อาตมาก็ออกไปบรรยายข้างนอก 

พูดไปแล้วบางทีก็ไปลบหลู่ ไปข่มเขา ก็ไม่น่าดูอะไร แต่ก็เป็นจริงไปแล้วตามสัจจะ
      สู่แดนธรรม… ตอนนั้นในหัวของพ่อท่านไม่มีคำว่า ออกป่า บ้างหรือครับ

พ่อครูว่า... ไม่มี มีอยู่เหมือนกันที่ว่าเขาก็ออกป่านะ

อาตมามาอยู่ที่แดนอโศกแล้ว จึงขอพรรคพวก ออกป่าบ้าง ก็ไปอยู่ในป่าเมืองกาญจน์ 1 เดือน เขาก็สร้างกุฏิน้อยๆให้ อยู่บนยอดเขาสูง เราก็ขึ้นไปอยู่ป่าคนเดียว กลางคืนก็ได้ยินเสียงสัตว์ได้กลิ่นสัตว์ออกมา เราก็นอนหลับอยู่ในกุฏิ 

สู่แดนธรรม... การหลับตาสมาธิพ่อท่านผ่านมาหมดแล้ว

พ่อครูว่า... คือ อย่างที่เขาทำ นั้น อาตมาทำมาหมดทุกอย่างตามที่เขาเป็น นั่งหลับตาสะกดจิตเข้าไป จนไม่รู้เรื่องอะไรข้างนอกเลย นั่งอยู่ที่วัดอโศการาม นั่งตรงชานกุฎิออกไป ก็นั่งให้ยุงทะเล มันมาเป็นหมู่ๆ รุมกัด ก็ไม่รู้สึกหรอก ตื่นขึ้นมาแดงเถือก ลายพร้อยไปทั้งตัว ก็ทำมาหมดแล้ว ทำมาจนกระทั่ง จะนั่งหลับตาอย่างไร เราก็ทำมาหมดแล้ว 

แม้แต่ไสยศาสตร์ ก็อาศัยเจโตสมถะทำ ก็ไปเล่นไสยศาสตร์อยู่ตั้ง 8 ปี ตั้งแต่เป็นฆราวาส จนหมดสงสัยในเรื่องของไสยศาสตร์ บวชแล้วอาตมาไม่ได้ไปอาบัติ เล่นไสยศาสตร์ 8 ปี เล่นตอนเป็นฆราวาสจนเบื่อ 

สู่แดนธรรม... ในขณะที่พ่อท่านนั่งสมาธิเป็นหลักเป็นงานใหญ่ พ่อท่านรู้สึกว่า ได้บรรลุอะไรจากการนั่งสมาธิในช่วงนั้นหรือไม่ครับ 

พ่อครูว่า... ไม่ได้บรรลุอะไร มีแต่ดับให้สนิท การบรรลุธรรมด้วยวิธีอื่นไม่ได้ไปนั่งหลับตา ด้วยวิธี จรณะ 15 วิชชา 8 

อาตมามีของเดิม สัมมาทิฏฐิ  เป็นผู้ที่มาสืบทอดศาสนาพุทธ เป็นโลกุตรธรรมสมบูรณ์ พูดความจริง แต่เขาก็หาว่าคุยตัวอยู่คนเดียว สิ่งที่ถูกมันมีอยู่อย่างเดียว สิ่งที่ถูกมันไม่มีสองหรอก สัจจะมีหนึ่งเดียว สิ่งที่ถูกไม่มี 2 หรอก เขาก็เห็นว่า ที่อาตมาพูดมันมีหนึ่งเดียวอีกหนึ่งเดียว คือสูงสุดความถูกต้องนั้นมันมีหนึ่งเดียวไม่มี 2 สัจจะไม่มี 2 ต้องเข้าใจให้ได้ 

พระพุทธเจ้าตรัสว่า เอกังหิสัจจัง นัตถิ ยมถิ 

 

_3. ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ เพราะในมหาสมุทรคลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่งให้ขึ้นบก ฉันใด ดูกรปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลผู้ทุศีล มีบาปธรรม มีสมาจารไม่สะอาดน่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญญาว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ปฏิญญาว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน ชุ่มด้วยราคะ เป็นเพียงดังหยากเยื่อ สงฆ์ย่อมไม่อยู่ร่วมกับบุคคลนั้น ประชุมกันยกวัตรเธอเสียทันที แม้เขาจะนั่งอยู่ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงกระนั้น เขาก็ชื่อว่าห่างไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ห่างไกลจากเขา ดูกรปหาราทะ ข้อที่บุคคลผู้ทุศีล มีบาปกรรม มีสมาจารไม่สะอาดน่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว ไม่ใช่สมณะ แต่ปฏิญญาว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ปฏิญญาว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน ชุ่มด้วยราคะ เป็นเพียงดังหยากเยื่อ สงฆ์ย่อมไม่อยู่ร่วมกับบุคคลนั้น ประชุมกันยกวัตรเธอเสียทันทีแม้เขาจะนั่งอยู่ในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงกระนั้น เขาก็ชื่อว่าห่างไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ห่างไกลจากเขา นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 3 ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

พ่อครูว่า...ถ้าสงฆ์ส่วนน้อยส่วนตัวทำผิด เขาก็เหมือนหมาหัวเน่าที่สงฆ์ส่วนใหญ่ก็วางเฉย เรียกว่า พรหมทัณฑ์ เป็นโทษที่รองจากปาราชิก อยู่ก็อยู่เหมือนหมาหัวเน่า เป็นภาวะที่ไม่มีใครเห็นเขาเป็นคนอยู่ในหมู่เลย เป็นการกดดันลึก เป็นลักษณะลงโทษแบบผู้ดีของศาสนาพุทธ มันรองจากปาราชิกเลย ส่วนปาราชิกให้ออกจากหมู่เลย แต่พรหมทัณฑ์ให้อยู่ในหมู่กลุ่มแต่เหมือนกับเขาไม่มีอยู่ 

ทีนี้ อีกอัน ถ้าหมู่เล็กอยู่กับหมู่ใหญ่ หรือตัวคนเดียวอยู่กับหมู่ใหญ่ อย่างอาตมานี้คนเดียว อาตมาก็อยู่ไม่ไหว จึงประกาศแยก อาตมามีภิกษุ 21 รูปกับเณรอีก 2 ประกาศในวันที่ 6 สิงหาคม 2518 ต่อหน้าสงฆ์ 180 รูป ที่วัดหนองกระทุ่ม ประกาศขอแยก ท่านก็อยู่ของท่าน 

อาตมาเปรียบเทียบว่า เราเห็นว่า ท่านเอาสูตรพระพุทธเจ้ามาทอดปาท่องโก๋ขายให้คนกิน แต่คนกินท้องขึ้นท้องเสียหมดเลย เราก็บอกว่าผิดสูตร ไม่ใช่สูตรของพระพุทธเจ้า เราเสนอสูตรของเราไปให้ คำสอนแบบเราว่า เสนอไปอย่างไรก็ไม่เอา เมื่อไม่เอา ก็เอาเถอะ ท่านเป็นบริษัทใหญ่ ร้านใหญ่ ท่านไม่ล้มหรอก ท่านก็ขายตามสูตรของท่านไป เราก็ขอประกาศแยกตัวออกมา นี่คือการประกาศนานาสังวาสโดยธรรม ตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเลย อาตมาก็ประกาศลาออกมาตั้งแต่วันนั้นตั้งแต่ 6 สิงหาคม 2518 แยกมาอยู่ที่แดนอโศก จากวัดหนองกระทุ่มมาอยู่ที่แดนอโศก   

แล้วจากวันนั้น ตอนแรกท่านก็ยอมรับกันดีนะ ไม่มีเรื่องอะไร เราก็ดำเนินของเราไปได้หมู่กลุ่มของเราก็โตขึ้น มีมากขึ้นๆ วันร้ายคืนร้าย ไม่รู้ไปกินปูนไปกินยาผิดมาจากไหน 

สู่แดนธรรม... ตอนนั้นมีพรรคพลังธรรมกำลังเป็นที่นิยม 

พ่อครูว่า... ไปกินยาผิดจากไหนไม่รู้ บอกว่าไม่ได้ ขออภัยท่านประยุทธ์ ปยุตโต นี่แหละเป็นหลัก บอกว่า ต้องชำระอธิกรณ์ ซึ่งหมู่ใหญ่ ก็เข้าใจอย่างหมู่ใหญ่ เราจะไปอยู่รอดอะไร เราก็ต้องยอม …

ตอนมีเรื่องครั้งแรก เข้าไปในวัดหนองกระทุ่ม ไม่มีที่พักหรอก โบสถ์ยังไม่มีหลังคาฝนมันก็จะตก เข้าพรรษา เราก็อธิษฐานพรรษาที่แดนอโศกแล้ว ก็ต้องไปอธิษฐานพรรษาที่วัดหนองกระทุ่ม เราก็อยู่ไม่ได้ หลังคาโบสถ์ก็ไม่มี หน้าฝนด้วย เราก็ว่าไม่เอา พวกเราก็ปรึกษากันว่าแข็งข้อ ไม่เอา กลับไปอยู่แดนอโศกอย่างเก่า นี่ก็บอกว่า 

ถ้าท่านจะมีอะไรมาหาอาตมา โดยตรง ประกาศไว้ อุปัชฌาย์ เป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดหนองกระทุ่มเป็นหลวงอา ก็เป็นอุปัชฌาย์มหานิกายของอาตมา ตอนนั้นท่านก็ไม่สบายอยู่แล้วก็เลยบอกว่าอย่าไปรบกวนท่านให้มาหาอาตมาเลย

ตั้งแต่วันนั้น 7 สิงหาคม 2518 เราก็อิสรเสรี นานาสังวาส สำเร็จได้ด้วยทำมาตั้งแต่บัดนั้นมาก็อยู่ได้มาเรื่อยๆ เราก็มีภิกษุมากขึ้นหลายสิบขึ้นมา 

จนกระทั่ง พ.ศ.2525 พันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ มาตีเราอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ก็ไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่ จน พ.ศ.2532 มหาประยุทธ์เขียนหนังสือซัดเรา 3 เล่ม หมู่ใหญ่ก็เล่นงานเรา ตัดสิน โดยไม่เอาจำเลยเข้าไปอยู่ร่วม ผิดสัมมุขาวินัย พิพากษาเลย ใช้คำว่า อัปเปหิ อโศกหรือโพธิรักษ์ออกจากหมู่สงฆ์ เราก็เลยย้อนบอกว่า เราได้ประกาศนานาสังวาสจากท่านมาก่อนแล้วนะ ไม่ใช่ท่านมาอัปเปหิเรา เราประกาศนานาสังวาสตามธรรมวินัย ท่านอัปเปหิเรานั้นเป็นการผิดธรรมวินัย ท่านอธิกรณ์เราไม่ได้ 

2. ธรรมยุตกับมหานิกายรวมกันทำสังฆกรรมไม่ได้ผิดคณะปูรกะ อย่างนี้เป็นต้น ไปอ่านหนังสือประนีประนอมกันด้วยนานาสังวาส อาตมาเขียนเล่มนั้นพิมพ์ไปแจกจ่ายกันไป 

พูดตามหลักพระธรรมวินัยให้เห็นเลยว่า สงฆ์หมู่ใหญ่นี่ เพี้ยนไปจนไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่ตรงตามพระธรรมวินัยเลย น่าเกลียด

สู่แดนธรรม... เขาเห็นว่าหากเอาพระธรรมวินัยมาใช้มันจะไม่มีผลถึงขั้นขึ้นศาล เขาจึงต้องหาวิธีทำให้ขึ้นศาล 

พ่อครูว่า... แล้วก็ไปอาศัยศาลที่เป็นฆราวาสขึ้นมาตัดสินเรา เราก็ต้องแพ้ เอาสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติมาใช้ คือ กฎหมายสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาเอาผิดเรา ข้อสำคัญก็คือว่าสังฆราชมีพระบัญชาสั่งให้สึกภายใน 7 วัน ไม่สึกผิดกฎหมาย อันนี้บัญญัติเองไม่ใช่บัญญัติพระพุทธเจ้า 

สู่แดนธรรม... กฎหมายนี้มีเอาไว้ใช้สำหรับพระเรร่อนที่ทำนอกพระธรรมวินัย 

พ่อครูว่า... เสร็จแล้วเอามาเล่นงานเรา เราก็ไม่มีปัญหาเราประกาศนานาสังวาสแล้วก็ไม่ว่าอะไร จะอัปเปหิก็ไม่ว่าอะไร ใช้ศัพท์คำว่าอัปเปหิไปข่มขู่เรา บอกว่าเราถูกขับออกจากหมู่ใหญ่ แต่ที่จริงเราลาออกมาอย่างผู้ดี

อยู่มาตั้งนานแต่วันร้ายคืนร้าย พ.ศ.2532 ก็เกิดเรื่องราวขึ้นโรงขึ้นศาล สุดท้ายศาลตัดสินให้ผิด ผิดกฎหมายที่ว่าสมเด็จสังฆราชสั่งให้เสร็จภายใน 7 วันแล้วไม่สึก กฎหมายก็ลงโทษให้รอลงอาญา เราก็อยู่นอกคุกไม่ได้เข้าคุก เราไม่ได้นุ่งห่มเหลืองไม่ได้นุ่งห่มผ้าจีวรของพระ เราก็นุ่งห่มขาวมา จนกระทั่งถึงเวลาที่เขากำหนด เราก็มาเปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนชุดเป็นผ้าสีกรักเราครองผ้า ไม่เหมือนธรรมยุต ไม่เหมือนมหานิกาย เดี๋ยวเขาจะหาว่าลอกเลียนแบบภิกษุ เราก็มีแบบการห่มผ้า แบบของเรามาตั้งแต่บัดนั้น เรื่องมันก็เป็นมาด้วยประการฉะนี้ท่านผู้ชม 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สมณะฟ้าไท... ตอนสมณะห่มขาวมีขนหน้าแข้งแต่โยมก็เรียกแม่ชี ตอนหลังหมดคดี พ่อครูว่า มาแต่งชุดโจงกระเบนกันไหม ไม่มีใครเอาเลย ตอนหลังพ่อครูให้มาแต่งชุดแบบนี้ 

พ่อครูว่า... ออกแบบเองใหม่ ห่มแบบเฉวียงบ่า เหมือนมีสังฆาติ เราใช้แบบนี้มาจนถึงทุกวันนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร กลายเป็นว่าเราใช้ผ้า 2 ผืน ไม่ถึง 3 ผืน สังฆาติ ก็ไม่ต้อง เป็นผ้าเปลี่ยนซักใช้เท่านั้นเอง ไม่ได้เดือดร้อนอะไร 

 

_4. ดูกรปหาราทะ แม่น้ำสายใหญ่ๆ บางสาย คือ แม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี แม่น้ำเหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมหมด ถึงความนับว่ามหาสมุทรนั่นเอง ฉันใด ดูกรปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน วรรณะ 4 เหล่านี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมเสีย ถึงความนับว่าสมณศากยบุตรทั้งนั้น ดูกรปหาราทะ ข้อที่วรรณะ 4 เหล่านี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมเสีย ถึงความนับว่าเป็นสมณศากยบุตรทั้งนั้น นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 4 ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

พ่อครูว่า...อินเดียเขาถือวรรณะมากเลยนะ ให้เปลี่ยนยังไงก็ไม่ได้ เช่น คนจัณฑาล  จะต้องอาบน้ำชั้นล่างสุด พราหมณ์จะอาบน้ำบนสุด ไหลจาก พราหมณ์กษัตริย์แพศย์ศูทร จนกระทั่งมาถึงจัณฑาล อาบหลังสุด คนเขาบอกให้จัณฑาลขึ้นไปอาบข้างบนสิ ใครเขาก็ไม่รู้หรอกว่าใครเป็นวรรณะไหน แต่จัณฑาลก็บอกว่าไม่เอา ไม่ได้ ไม่ทำ เขายึดมั่นถือมั่นจริงๆเลย ซื่อสัตย์จริง ซื่อจริงๆเลย

เพราะฉะนั้นอินเดียอยู่ได้ด้วยความซื่อสัตย์ คน 1,200 กว่าล้านคน เขาก็อยู่ร่วมกันได้ด้วยความซื่อสัตย์จริงๆยอดเยี่ยม 

 

_5. ดูกรปหาราทะ แม่น้ำทุกสายในโลก ย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทรและสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆ ฉันใด ดูกรปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน ถึงแม้ภิกษุเป็นอันมากจะปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มด้วยภิกษุนั้น ดูกรปหาราทะ ข้อที่ถึงแม้ภิกษุเป็นอันมากจะปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มด้วยภิกษุนั้น นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 5 ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

พ่อครูว่า...แต่มี อรรถกถาจารย์ที่ยังไม่เข้าใจไม่บรรลุ นิพพานเป็นปริโยสานก็สับสนวนเวียน สับสนระหว่าง อนุปาทิเสสนิพพาน กับ สอุปาทิเสสนิพพาน อะไรคือเหลือ อะไรคือไม่เหลือ และพุทธไทย ค่อนไปทางอุจเฉททิฏฐิด้วย ถ้าพระอรหันต์ตายแล้วก็สูญเลย เขาก็งงว่าอะไรเหลือ สอุปาทิเสสนิพพาน จะเหลืออะไร เขาเข้าใจอย่างเดียวว่าอรหันต์ตายแล้วสูญ เขาก็เลยแปล ว่า สอุปาทิเสสนิพพานคือ นิพพานของผู้ยังไม่บรรลุอรหันต์ ส่วน อนุปาทิเสสนิพพาน คือนิพพานของผู้ที่บรรลุอรหันต์แล้ว

นี่คือมิจฉาทิฏฐิของพุทธเมืองไทย แล้ว โพธิสัตว์ ที่อาตมาอธิบาย โพธิสัตว์ระดับ 4 5 6 7 8 9 อีก เขาก็รับไม่ได้ อาตมาก็หนักในการอธิบาย 

เป็นอรหันต์หมดกิเลส จะบำเพ็ญโพธิสัตว์หรือไม่ ถ้าไม่บำเพ็ญโพธิสัตว์ก็มีสิทธิ์ ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปเลย อรหันต์ทุกองค์มีสิทธิ์ ทำได้แล้วแยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมได้แล้ว 

ความรู้ที่อาตมาเอามาเติมที่ทางเถรวาทศาสนาเดิม พุทธเดิม ที่มีอยู่เหลืออยู่ที่เข้าใจกัน ก็คือ อรหันต์ที่เป็นอมตะ มีวิมุติแล้วในมูลสูตร 10 หมดจากวิมุติก็มาเป็นอมตะ 

อมตะอันเป็นอันที่ 9 ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เป็นอันที่ 10 วิมุติเป็นอันที่ 8

อมตะบุคคลคือ สั่งตัวเอง จะตายสูญหรือตายเกิดอีกก็ได้ อย่างอาตมา อาตมาเอาความจริงที่อาตมามี อาตมาเป็นอยู่ จึงอธิบาย ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ อธิบายมูลสูตรทั้ง 10 ได้สมบูรณ์ แต่ก่อนไม่มีใครแจกแจงได้ 

เขาก็อธิบาย อมตะคือผู้ไม่ตาย แล้วเขาก็ว่าเที่ยง เขาก็วนอีก อมตะ คือไม่ตายแต่มีต่ออีก เขาก็ไปไม่เป็น

 

_6. ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรมีรสเดียว คือ รสเค็ม ฉันใด ดูกรปหาราทะฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมวินัยนี้มีรสเดียว คือ วิมุตติรส ดูกรปหาราทะ ข้อที่ธรรมวินัยมีรสเดียว คือ วิมุตติรส นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 6 ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

พ่อครูว่า... อันนี้ไม่ต้องขยายความมากก็ได้ น้ำทะเลมีรสเค็มอย่างเดียว มีหลวงปู่ทวดที่ทำให้น้ำทะเลจืดได้ จึงเป็นเรื่องทึ่ง ลือกันเป็นตำนานมา เหยียบน้ำทะเลจืด 

 

_7. ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในมหาสมุทรนั้นมีดังนี้ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬเงิน ทอง ทับทิม มรกต ฉันใด ดูกรปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมวินัยนี้ก็มีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในธรรมวินัยนั้นมีดังนี้ คือ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8 ดูกรปหาราทะ ข้อที่ธรรมวินัยนี้มีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในธรรมวินัยนั้นมีดังนี้ คือ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8 นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ประการที่ 7 ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

พ่อครูว่า...ทั้ง 7 สูตรนี้ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8 มันเป็นหลักธรรมที่ทุกคนต้องมี ทุกคนต้องเข้าใจ ทุกคนต้องทำครบ แต่พวกที่ตัดลัดมันไม่มี สติปัฏฐาน 4 ก็ไม่ครบ 

พิจารณากายนอก แล้วพิจารณากายใน เขาก็ไม่มี เขามีแต่กายใน ก็ไม่มีกาย กาย เขาก็มีแต่ลมหายใจเข้าออกสั้นยาว แล้วก็ไป อธิบายเป็น 16 หลัก อานาปานสติ

16 หลักนั้น เป็นสิ่งที่เป็นธรรมะ ลืมตานี่แหละ 16 หลัก สัมผัสทั้งหมด ถ้าหลับตานั้นก็ได้แต่ตัวหนังสือ มันไม่มีสภาวะ 16 หลักนั้นได้หรอก 

เพราะฉะนั้นคนที่ตัดลัดพวกนี้จึงสะเพร่า มันไม่ครบ มันไม่มีทางบรรลุธรรมสรุปง่ายๆ พวกหลับตาปฏิบัติ ตีหัวเข้าบ้านเลย ไม่มีทางบรรลุธรรม เพราะโพธิปักขิยธรรม 37 ไม่ครบไม่มีพอ กายตั้งแต่ต้นเลย กายในกาย กายต้องมีนอกมีในด้วย อันแรกก็ไม่ได้แล้ว และอันหลังจะไปได้อย่างไร กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด แล้วเม็ดอื่นๆกลัดต่อไปมันจะไปอย่างไร ดีไม่ดีจะไปผิดเป็นเม็ด 2 เม็ด 3 เม็ด 4  แค่กลัดกระดุมยังไม่รู้เรื่องเลยแล้วมันจะได้อะไร ยิ่งกว่านายธัมโม เท่ากับนายดีดี

 

_8. ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของสิ่งที่มีชีวิตใหญ่ๆ สิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรนั้นมีดังนี้ คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติมิรมิงคลา พวกอสูร นาคคนธรรพ์ แม้ที่มีร่างกายประมาณ 100 โยชน์ 200 โยชน์ 300 โยชน์ 400โยชน์ 500 โยชน์ มีอยู่ ฉันใด ดูกรปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมวินัยนี้ก็เป็นที่พำนักอาศัยแห่งสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ สิ่งมีชีวิตในธรรมวินัยนี้ มีดังนี้ คือ พระโสดาบัน ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล พระสกทาคามีท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล พระอนาคามี ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล พระอรหันต์ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ ดูกรปหาราทะ ข้อที่ธรรมวินัยนี้เป็นที่พำนักอาศัยแห่งสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ สิ่งชีวิตมีในธรรมวินัยนี้มีดังนี้ คือ พระโสดาบัน ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล พระสกทาคามี ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล พระอนาคามีท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล พระอรหันต์ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 8 ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ 

ดูกรปหาราทะ ในธรรมวินัยนี้ มีธรรมที่น่าอัศจรรย์ อันไม่เคยมีมา 8 ประการนี้แล ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

จบสูตรที่ 9

พ่อครูว่า...ความใหญ่ของพระพุทธเจ้านั้นคือ ใหญ่เป็นโสดาบัน ใหญ่เป็นสกิทาคามีใหญ่เป็นอนาคามี ใหญ่เป็นอรหันต์ ไม่ใช่ตัวใหญ่น้ำหนักเพิ่ม กินที่กินทาง ไม่ใช่ ใหญ่ของท่านต้องชัดเจน 

ในชาวอโศก มีโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ แม้แต่เป็นฆราวาส เป็นผู้ชายเป็นผู้หญิง ก็มี โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ยืนยันได้จริง เอหิปัสสิโก เชิญให้มาดูได้ เชิญให้มาสัมผัสได้ 

เพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งยืนยันความจริงว่า นี่คือ มนุษย์อัศจรรย์ ชาวอโศกคือมนุษย์อัศจรรย์ 

คุณไปเห็นคนเหาะได้ว่าอัศจรรย์ คุณไปเห็นว่าคนมันเตะลูกบอลเข้าโกลเก่ง มีแทคติกมีทริคต่างๆ เก่ง อัศจรรย์ คนตีลังกาหกคะเมนได้เก่ง อัศจรรย์ คนเล่นหุ้นเก่งๆ อัศจรรย์ คนขี้โกงเก่งๆ อัศจรรย์ 

เพราะฉะนั้น คนอัศจรรย์ ต้องเข้าใจว่าคืออะไร เป็นโสดาบันก็สุดมหัศจรรย์แล้ว ยิ่งกว่านั้นมีสกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อัศจรรย์น่าอัศจรรย์ อยู่กันอยู่เป็นชุมชนเป็นหมู่กลุ่ม อย่างเช่นชาวอโศก เป็นเรื่องที่จะต้องพิสูจน์กัน จะต้องศึกษา 

ถ้าไม่มีความรู้ก็แน่นอน จะไปทึ่ง จะไปอัศจรรย์ จะไปน่าประหลาดใจได้อย่างไร เพราะเขาไม่มีความรู้ จนกว่าคุณจะมีความรู้ แม้จะเป็นความรู้โดยปริยัติโดยบัญญัติมาก่อน อ๋อ.. ความรู้อย่างนี้คนมีจริงเป็นจริงได้หรือ จนกว่าจะถึงเวลานั้น 

เพราะฉะนั้นชาวอโศกเรามีหมดเลย ทั้ง โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นคนมหัศจรรย์จริงๆ แล้วต้องมาศึกษาว่า มันจริงอย่างไร มันเป็นอย่างไร 

สมณะฟ้าไท... สรุปจบ


เวลาบันทึก 16 ธันวาคม 2564 ( 05:21:40 )

641215

รายละเอียด

641215_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ชาวอโศกคือมนุษย์อัศจรรย์ตามปหาราทสูตร  

https://www.boonniyom.net/51208.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1-G0cR9Wpk12S-ZCPEvnUcCm_bgQdWFsTQnCwR-uM8U0/edit?usp=sharing 

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/17SpRfvEAZpppPe14y6Qatkwma4ojxuRs/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่  https://fb.watch/9VCTzaT11n/ 

และ  https://youtu.be/Qp5TTbFlamg 

 

สมณะฟ้าไท... วันนี้เป็นวันพุธที่ 15 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “อาหารเป็นหนึ่งในโลก” จะเกิดเป็นใครก็ตามก็ต้องกินอาหารทั้งสิ้น โศลกปีนี้พ่อครูว่า “คนฉลาดสร้างอาหารคนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ” 

จะสร้างอาหารได้ต้องสร้างดินสร้างน้ำสร้างปุ๋ยสร้างบรรยากาศให้เหมาะสม อาหารจะได้เกิดขึ้น ที่ราชธานีอโศก กำลังระดมสร้างอาหารกันเยอะแยะมากมาย เด็กก็ให้ความร่วมมือ เก็บน้ำปัสสาวะมาทำปุ๋ย ให้เขาทำกิจกรรมที่เกิดกุศลมากขึ้น แต่ละคนก็ได้ทำปุ๋ยทุกวัน อาหารก็หมุนเวียนเป็นพืช มาสู่คนแล้วไปสู่พืชมาเป็นอาหารให้คนอีก 

วันนี้เรามาฟังอาหารทางจิตวิญญาณจากพ่อท่านซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสูงสุดที่จะพัฒนาจิตใจให้เจริญในยุคนี้

พ่อครูว่า...  SMS วันที่ 13-14 ธ.ค. 2564

 

_คอยใคร : กราบเคารพพ่อครูครับ เมื่อวานผมได้ยินพ่อครูพูดถึงรถแลมเบตต้าว่า 

พ่อครูใช้แต่แลมเบตต้า ไม่ใช้เวสป้า ผมเลยขอถามว่า ทำไมพ่อครูใช้แต่แลมเบตต้า แล้วแลมเบตต้าดีกว่าเวสป้าตรงไหนครับ 

พ่อครูว่า...ถามทำไมก็ไม่รู้ ชีวิตตั้งแต่แรกๆก็ไม่มีเงินซื้อรถเก๋งขี่ ก็ซื้อรถมอเตอร์ไซค์ แทนที่จะใช้รถมอเตอร์ไซค์อย่างคนอื่นเขาก็ไปใช้รถแบบสกู๊ตเตอร์ รถสกู๊ตเตอร์ก็มี 2 ยี่ห้อคือ lambrettaกับVespa 

เลขทะเบียนรถอาตมาตอนนั้น 1555 เป็นรถมอเตอร์ไซค์ lambretta ตั้งชื่อว่าจันทน์กะพ้อ ส่วนรถยนต์คันแรกชื่อชบาบาน ซื้อมา 5,000 บาท ตอนนั้นก็แพงเหมือนกันนะ รถญี่ปุ่น Datsun ออกมาใหม่ๆก็ 5,000 บาท แต่ก่อนนี้ 

ก็ทำงานเป็นทั้งครูเป็นนักทำโทรทัศน์ ทำมาตั้งแต่เป็นนักเรียนเรียนยังไม่จบ พ.ศ 2500 ออกมาก็ทำงานโทรทัศน์ไม่ได้ทำงานอื่นเลย โทรทัศน์เขาก็ยอมรับอยู่แล้ว เมื่อบอกจะสมัครเขาก็ให้เขียนใบสมัครเลย ก็เข้าไปเลยตั้งแต่บัดนั้น ทำงานอยู่ถึง 12 ปี แล้วก็ยังสอนหนังสือเป็นไซด์ไลน์ ซื้อรถ lambretta วิ่ง โรงเรียนอยู่ตามที่ต่างๆ ก็วิ่งไปสอนน่าดู 3-4 โรงเรียน ก็ได้สตางค์เท่านั้นแหละ มาเลี้ยงช่วยครอบครัวไป เพราะเป็นพี่คนโต มีน้องตั้ง 6 คน ส่งเสียน้องเรียนหมด 

เป็นพี่เลี้ยงน้อง มันยากกว่าพ่อแม่เลี้ยงลูก พ่อแม่เลี้ยงลูกมาตั้งแต่เล็กๆจนกว่าจะเป็นหนุ่มสาวมันใช้เวลานาน ส่วนพี่ชายเลี้ยงน้องนั้นมันโตพอๆกันเลย พ่อแม่เสียไปทิ้งน้องไว้ให้พี่เลี้ยง บางคนก็ส่งไปเรียนเมืองนอกเลย อยากไปก็ให้มันไป เล่าไว้แล้วในประวัติ 

สรุปใช้ รถ lambretta ซึ่งเครื่องมันวางตรงกลาง แต่ รถ Vespa เครื่องมันจะวางเอียงหน่อย จากนั้น มีฐานะดีขึ้น ก็ใช้รถยนต์ไม่ได้ใช้มอเตอร์ไซค์แล้ว แต่มันก็ยังมีใช้วิ่งไปจรบ้าง ก็ยังอยู่ บางทีก็มีรถยนต์ 2-3 คันทีเดียว แต่ก่อนนี้เป็นคนฟุ่มเฟือยไปตามโลกเขา เก๋นะ เท่นะ ทำบ้า

 

_แก้ว : เรื่องจิตใจสังขารปรุงมันกว้างใหญ่ จะเอาแค่ บังคับมันอยู่ในกรอบก่อนได้ อย่างไรคะ

พ่อครูว่า... เอาศีลเป็นหลัก ตั้งแต่เกี่ยวกับสัตว์ก็ปล่อยมันไปตามกรรม เราอย่าไปยุ่งกับมัน เกี่ยวกับคนมีวิบากร่วมกันเยอะแยะ แล้วก็ในของ อย่าทุจริตในของ ส่วนทางตาหูจมูกลิ้นกายก็ทางศีล 1 2 3  ศีลข้อ 1 สัตว์เลี้ยง ศีลข้อ 2 เรื่องเข้าของ ศีลข้อ 3 ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ เป็น 3 ข้อหลักใหญ่ ศีล 5 ส่วนศีลข้อ 4 ก็เป็นวาจา ศีลข้อ 5 เกี่ยวกับจิต 

 

_0323 : ผลงานพ่อครู เหนือกว่าผู้ได้รับรางวัลโนเบลด้วยซ้ำ

พ่อครูว่า...จะไปยกตนข่มท่านไปทำไม รางวัล nobel เขาถือว่าเป็นยอดของมนุษยชาติในโลก เป็นมูลนิธิ ที่มีทุนรอนของนายโนเบลให้ไว้ สำหรับออกดอกออกผลแล้วมีเงินมาแจกจ่ายคนที่สนับสนุน คนที่ทำอะไรได้เด่นๆ คิดค้นอะไรได้ใหม่ๆ 

จริงๆเรานี้เป็นเรื่องใหม่มากในโลก ยังไม่เคยมีเก่า มันใหม่ตลอดกาลนานโลกุตระนี่ แต่เขาเข้าใจยังไม่ได้ อันนี้ก็ต้องเข้าใจเขาเห็นใจเขาจริงๆ แต่ก็เป็นธรรมดาเขาเข้าใจไม่ได้ ถ้าเขาเข้าใจได้เห็นเป็นคุณค่าเห็นว่าเป็นยอด เขาก็ต้องให้รางวัล แต่เขาไม่เห็นว่าเป็นคุณค่าก็เป็นธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นเจ้าไหน รางวัลโนเบล รางวัลแมกไซไซ อย่างเราก็ได้แมนเฮมา เขาเห็นเขารู้ก็ให้รางวัลมา อย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นไปไม่มีปัญหา 

 

_7458 จารย์หลุย : ยุคโควิด พระเจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล กลายเป็นตัวปัญหาเสียเอง จะช่วยชาวบ้านยังไง

พ่อครูว่า... ขอพูดตรงๆตามสัจจะจริงว่ามันเป็นความเสื่อม ศาสนาพุทธนั้นเสื่อมมาก แม้แต่ผู้บริหารเองก็ยังหลงใหลได้ปลื้มกับใบไม้ผลไม้ ใบดอกของต้นไม้เขาก็ได้แค่นั้น มันเป็นความเสื่อมจริงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ พ.ศ.2500 นี้ ศาสนาพุทธเสื่อมไปแล้วจริงๆ ไม่ได้ไปลงโทษหรือใส่ความไปว่าอะไร แต่มันเป็นเรื่องจริงที่มันเกิดก็ต้องเอามาพูดอธิบายประกอบให้รู้ว่า มันเป็นจริงอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นเราก็ต้องกอบกู้ขึ้นมา จะต้องพัฒนาให้มันเจริญขึ้นอย่างไร ก็ว่ากันไป 

เขาเอาภาพรางวัลที่วัดชิลซังซา ให้มา เป็นถ้วยกำยานที่ทำจากโลหะ เขาไม่ได้ให้เป็นเงินหรือใบประกาศมา 

ก็มีอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ที่ให้รางวัลมาแต่เก่า ท่านสัญญา ธรรมศักดิ์ ก็เคยมาคุยกับอาตมาแล้วลงไปก็บอกกับคนอื่นว่าองค์นี้เป็นอรหันต์ ท่านกล้าพูดถึงขนาดนั้นก็ไม่ใช่เล่นเลยนะ 

 

ชาวอโศกคือมนุษย์อัศจรรย์ตามปหาราทสูตร  

พ่อครูว่า... อาตมาจะเอา ปหาราทสูตร มาเป็นหลัก ในการอธิบายความมหัศจรรย์ ซึ่งมี 8 ข้อ 

_ปหาราทสูตร ล.23

[109] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ควงไม้สะเดาที่นเฬรุยักษ์สิงสถิต ใกล้กรุงเวรัญชา ครั้งนั้น ท้าวปหาราทะจอมอสูร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามท้าวปหาราทะจอมอสูรว่า ดูกรปหาราทะพวกอสูรย่อมอภิรมย์ในมหาสมุทรบ้างหรือ ท้าวปหาราทะจอมอสูรกราบทูลว่า 

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกอสูรย่อมอภิรมย์ในมหาสมุทร ฯ

พ. ดูกรปหาราทะ ในมหาสมุทรมีธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาสักเท่าไร ที่พวกอสูรเห็นแล้วย่อมอภิรมย์ ฯ  

 

ป. มี 8 ประการ พระเจ้าข้า 8 ประการเป็นไฉน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 1 ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ 

 

อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่ง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอไม่ล้นฝั่ง นี้เป็นธรรมอันน่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 2 ในมหาสมุทรที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

 

อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ เพราะในมหาสมุทรคลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่งให้ขึ้นบกทันที ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ และในมหาสมุทรคลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่งให้ขึ้นบกทันที นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 3 ในมหาสมุทรที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

 

อีกประการหนึ่ง แม่น้ำสายใหญ่ๆ บางสาย คือ แม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี แม่น้ำเหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละนามและ โคตรเดิมหมด ถึงความนับว่ามหาสมุทรนั่นเอง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่ แม่น้ำสายใหญ่ๆ บางสาย คือ แม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี แม่น้ำ เหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมเปลี่ยนนามและโคตรเดิมหมด ถึงความ นับว่ามหาสมุทรนั่นเอง นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 4 ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

 

อีกประการหนึ่ง แม่น้ำทุกสายในโลก ย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทรและสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่แม่น้ำทุกสายในโลกย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทร และสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 5 ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

 

อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรมีรสเดียว คือ รสเค็ม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรมีรสเดียว คือ รสเค็ม นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 6 ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

 

อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด ในมหาสมุทรมีรัตนะเหล่านี้ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬเงิน ทอง ทับทิม มรกต ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด ในมหาสมุทรนั้นมีรัตนะ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม มรกต นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 7 ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

 

อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของพวกสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆและสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรนั้นมีดังนี้ คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติมิรมิงคลา พวกอสูร นาค คนธรรพ์ แม้ที่มีร่างกายประมาณ 100 โยชน์ 200 โยชน์ 300 โยชน์ 400 โยชน์ 500 โยชน์ ก็มีอยู่  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของสิ่งที่มีชีวิตใหญ่ๆ และสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรนั้น มีดังนี้ คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติมิรมิงคลา พวกอสูร นาค คนธรรพ์ แม้ที่มีร่างกายประมาณ 100 โยชน์ 200 โยชน์ 300 โยชน์ 400 โยชน์ 500โยชน์ ก็มีอยู่ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 8 ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้แลธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา 8 ประการ ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ภิกษุทั้งหลายย่อมอภิรมย์ในธรรมวินัยนี้บ้างหรือ ฯ

 

พ. ดูกรปหาราทะ ภิกษุทั้งหลายย่อมอภิรมย์ในธรรมวินัยนี้ ฯ

ป. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในธรรมวินัยนี้ มีธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาสักเท่าไร ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้ว จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

 

1. พ. มี 8 ประการ ปหาราทะ 8 ประการเป็นไฉน ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหว ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง ดูกรปหาราทะ ข้อที่ในธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 1 ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

พ่อครูว่า...ที่ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ ในความเป็นลำดับ คนที่เรียงลำดับได้ดีที่สุดจะบรรลุธรรมได้เร็วที่สุด สั้นที่สุด ดีที่สุด สะอาดที่สุดด้วย เพราะมัน ไม่ไปวกวนอะไร ตรงไปทีเดียว ใสกระจ่างสว่าง ตรง ซึ่งหายาก 

เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่สุดในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ทางธรรมชาติบอกว่าราบเรียบน่าอัศจรรย์ ตามเหตุปัจจัย อันนี้พระพุทธเจ้าก็มีเหตุปัจจัยเหมือนกันจึงทำให้เป็นลำดับในระยะสั้นราบเรียบสะอาดที่สุดเหมือนกัน 

พ่อครูว่า...ไม่เป็นโลกุตระก็คือไปนั่งหลับตาปฏิบัตินั่นแหละ พูดเพราะว่าสุดสงสาร เขาตั้งใจมาปฏิบัติดีแต่ก็หลงใหลติดยึดในทาง เดียรถีย์ มันข้ามขั้นลำดับสำคัญ มันจึงยอกย้อน 

ลำดับ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย หยาบ กลาง ละเอียด แต่นี่ไปนั่งหลับตาเล่นแต่ภายในอย่างเดียว มันผิดกระบวนธรรมไปเยอะ 

 

_2. ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่ง ฉันใด สาวกทั้งหลายของเราก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่ล่วงสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต ดูกรปหาราทะ ข้อที่สาวกทั้งหลายของเราไม่ล่วงสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 2 ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

 

สู่แดนธรรม... เขาว่า ตอนมีชีวิตปัจจุบันก็ทำข้างนอกอยู่แล้ว ข้างในก็ไปนั่งสมาธิ 

พ่อครูว่า... ข้างนอกคุณทำได้หรือยัง มีจิตเหนือเป็น อนุปคัมมะ เป็นอภิภุยได้หรือยัง เหนือได้หรือยัง นึกว่าได้จากการนั่งหลับตา อย่างมหาบัว นึกว่าได้แล้วยังเคี้ยวหมากปากแฉะไปตลอดจนตาย อาตมาก็ยังไม่รู้ว่าในโลงศพที่เผาไปเอาหมากใส่ไปให้หรือไม่ (โยมว่าใส่อยู่แล้วตามประเพณี) ใช่ ประเพณีโบราณก็มีอย่างนั้น สุดรักสุดใคร่เลยหมากกับมหาบัว ขาดไม่ได้

คือไม่รู้เรื่องติดสิ่งเสพติดตื้นๆหยาบๆ จะไม่รู้ได้อย่างไร แต่พูดมามากแล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไร ที่พูดนี้ก็ย้ำเตือนเพื่อที่จะให้ผู้ที่ยังไม่ตาย ที่ยังไปหลงใหลติดยึดอยู่กับมหาบัว ไปนั่งหลับตา อาตมาถึงต้องขยายความพูดถึงเรื่องนี้อีกเยอะ เพราะน่าสงสารศาสนาพุทธในประเทศไทยนี่แหละ คือ แค่ จรณะ 15 วิชชา 8 ก็มีหลักฐานยืนยันชัดๆ อปัณณกปฏิปทา 3 ก็ชัดที่สุดเลย มีศีลอยู่โทนโท่ 

แต่เขาหลับตาปฏิบัติก็ไม่เกี่ยวกับศีล กับสัตว์ ไม่เกี่ยวกับข้าวของอะไรเลย หลับตามันอยู่อย่างเดียว รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็ไม่เอาไม่รู้เรื่อง นั่งหลับตาเข้าไป แล้วก็เนรมิตเอา คิดเอา ฝันเอา สร้างเอา อุปาทานเอา จบอยู่ในโลกฝันๆ เพ้อๆ ฝันๆ นี่คือความจริงทั้งนั้นที่พูด ไม่ได้ใส่ความ ไม่ได้ไปลงโทษลงโพยต่อว่า ไม่ใช่ แต่เป็นเรื่องจริงทั้งนั้นเลย

สู่แดนธรรม... ตอนอยู่วัดอโศการามท่านอาจารย์ได้พาทำหรือไม่ครับ

พ่อครูว่า... ตอนนั้นยังทำนั่งหลับตาอยู่ด้วยเหมือนกันแต่ว่า ก็ไม่ได้ไปติดยึดแบบเขาก็รู้อยู่ แต่ทีนี้ มันจะทำอย่างไรได้อยู่ในท่ามกลางอย่างนั้น ขนาดนั้น จะเรียกว่า เป็นหมาหัวเน่าก็ได้อยู่ในหมู่ พวกนั้นก็เอาอย่างที่เขาเป็น กินหมากปากเปรอะกันไป ดูดบุหรี่ตุ๋ยๆ เราก็โอ้..มันยังไง

เพราะฉะนั้นจึงอยู่กับวัดอโศการามไม่นาน ก็ออกมา ไปตามลำดับของเรา จนกระทั่งไปหาที่ อยู่แดนอโศก พ.ศ.2516 อาตมาบวช พ.ศ.2513 ช่วงปลายปี วันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ.2513 เมื่อ 2 ปีกว่าก็ออกไปแล้ว ไม่อยู่ทนนานอะไร 

ตอนอยู่วัดอโศการาม ก็ออกมาบรรยายวัดข้างนอก วัดธาตุทอง วัดวรนาถ วัดอาวุธเป็นต้น อธิบายธรรมะข้างนอกทุกวัน ก็มีญาติโยมมารับไปอธิบาย บรรยาย ข้างในเขาก็ให้เทศน์ พระใหม่ปกติแล้วเขาไม่ให้ขึ้นเทศน์นะ พระใหม่ บวชยังไม่ได้ถึง 10 ปียังไม่ใช่เถระเขาไม่ให้ขึ้นธรรมาสน์เทศน์บนศาลา แต่อาตมาได้รับการยอมรับให้ขึ้นเทศน์ ท่านให้ขึ้นเทศน์เมื่อไหร่อาตมาก็ขึ้นเทศน์ บางทีไม่เทศน์อาตมาก็ออกไปบรรยายข้างนอก 

พูดไปแล้วบางทีก็ไปลบหลู่ ไปข่มเขา ก็ไม่น่าดูอะไร แต่ก็เป็นจริงไปแล้วตามสัจจะ
      สู่แดนธรรม… ตอนนั้นในหัวของพ่อท่านไม่มีคำว่า ออกป่า บ้างหรือครับ

พ่อครูว่า... ไม่มี มีอยู่เหมือนกันที่ว่าเขาก็ออกป่านะ

อาตมามาอยู่ที่แดนอโศกแล้ว จึงขอพรรคพวก ออกป่าบ้าง ก็ไปอยู่ในป่าเมืองกาญจน์ 1 เดือน เขาก็สร้างกุฏิน้อยๆให้ อยู่บนยอดเขาสูง เราก็ขึ้นไปอยู่ป่าคนเดียว กลางคืนก็ได้ยินเสียงสัตว์ได้กลิ่นสัตว์ออกมา เราก็นอนหลับอยู่ในกุฏิ 

สู่แดนธรรม... การหลับตาสมาธิพ่อท่านผ่านมาหมดแล้ว

พ่อครูว่า... คือ อย่างที่เขาทำ นั้น อาตมาทำมาหมดทุกอย่างตามที่เขาเป็น นั่งหลับตาสะกดจิตเข้าไป จนไม่รู้เรื่องอะไรข้างนอกเลย นั่งอยู่ที่วัดอโศการาม นั่งตรงชานกุฎิออกไป ก็นั่งให้ยุงทะเล มันมาเป็นหมู่ๆ รุมกัด ก็ไม่รู้สึกหรอก ตื่นขึ้นมาแดงเถือก ลายพร้อยไปทั้งตัว ก็ทำมาหมดแล้ว ทำมาจนกระทั่ง จะนั่งหลับตาอย่างไร เราก็ทำมาหมดแล้ว 

แม้แต่ไสยศาสตร์ ก็อาศัยเจโตสมถะทำ ก็ไปเล่นไสยศาสตร์อยู่ตั้ง 8 ปี ตั้งแต่เป็นฆราวาส จนหมดสงสัยในเรื่องของไสยศาสตร์ บวชแล้วอาตมาไม่ได้ไปอาบัติ เล่นไสยศาสตร์ 8 ปี เล่นตอนเป็นฆราวาสจนเบื่อ 

สู่แดนธรรม... ในขณะที่พ่อท่านนั่งสมาธิเป็นหลักเป็นงานใหญ่ พ่อท่านรู้สึกว่า ได้บรรลุอะไรจากการนั่งสมาธิในช่วงนั้นหรือไม่ครับ 

พ่อครูว่า... ไม่ได้บรรลุอะไร มีแต่ดับให้สนิท การบรรลุธรรมด้วยวิธีอื่นไม่ได้ไปนั่งหลับตา ด้วยวิธี จรณะ 15 วิชชา 8 

อาตมามีของเดิม สัมมาทิฏฐิ  เป็นผู้ที่มาสืบทอดศาสนาพุทธ เป็นโลกุตรธรรมสมบูรณ์ พูดความจริง แต่เขาก็หาว่าคุยตัวอยู่คนเดียว สิ่งที่ถูกมันมีอยู่อย่างเดียว สิ่งที่ถูกมันไม่มีสองหรอก สัจจะมีหนึ่งเดียว สิ่งที่ถูกไม่มี 2 หรอก เขาก็เห็นว่า ที่อาตมาพูดมันมีหนึ่งเดียวอีกหนึ่งเดียว คือสูงสุดความถูกต้องนั้นมันมีหนึ่งเดียวไม่มี 2 สัจจะไม่มี 2 ต้องเข้าใจให้ได้ 

พระพุทธเจ้าตรัสว่า เอกังหิสัจจัง นัตถิ ยมถิ 

 

_3. ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ เพราะในมหาสมุทรคลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่งให้ขึ้นบก ฉันใด ดูกรปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลผู้ทุศีล มีบาปธรรม มีสมาจารไม่สะอาดน่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญญาว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ปฏิญญาว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน ชุ่มด้วยราคะ เป็นเพียงดังหยากเยื่อ สงฆ์ย่อมไม่อยู่ร่วมกับบุคคลนั้น ประชุมกันยกวัตรเธอเสียทันที แม้เขาจะนั่งอยู่ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงกระนั้น เขาก็ชื่อว่าห่างไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ห่างไกลจากเขา ดูกรปหาราทะ ข้อที่บุคคลผู้ทุศีล มีบาปกรรม มีสมาจารไม่สะอาดน่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว ไม่ใช่สมณะ แต่ปฏิญญาว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ปฏิญญาว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน ชุ่มด้วยราคะ เป็นเพียงดังหยากเยื่อ สงฆ์ย่อมไม่อยู่ร่วมกับบุคคลนั้น ประชุมกันยกวัตรเธอเสียทันทีแม้เขาจะนั่งอยู่ในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงกระนั้น เขาก็ชื่อว่าห่างไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ห่างไกลจากเขา นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 3 ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

พ่อครูว่า...ถ้าสงฆ์ส่วนน้อยส่วนตัวทำผิด เขาก็เหมือนหมาหัวเน่าที่สงฆ์ส่วนใหญ่ก็วางเฉย เรียกว่า พรหมทัณฑ์ เป็นโทษที่รองจากปาราชิก อยู่ก็อยู่เหมือนหมาหัวเน่า เป็นภาวะที่ไม่มีใครเห็นเขาเป็นคนอยู่ในหมู่เลย เป็นการกดดันลึก เป็นลักษณะลงโทษแบบผู้ดีของศาสนาพุทธ มันรองจากปาราชิกเลย ส่วนปาราชิกให้ออกจากหมู่เลย แต่พรหมทัณฑ์ให้อยู่ในหมู่กลุ่มแต่เหมือนกับเขาไม่มีอยู่ 

ทีนี้ อีกอัน ถ้าหมู่เล็กอยู่กับหมู่ใหญ่ หรือตัวคนเดียวอยู่กับหมู่ใหญ่ อย่างอาตมานี้คนเดียว อาตมาก็อยู่ไม่ไหว จึงประกาศแยก อาตมามีภิกษุ 21 รูปกับเณรอีก 2 ประกาศในวันที่ 6 สิงหาคม 2518 ต่อหน้าสงฆ์ 180 รูป ที่วัดหนองกระทุ่ม ประกาศขอแยก ท่านก็อยู่ของท่าน 

อาตมาเปรียบเทียบว่า เราเห็นว่า ท่านเอาสูตรพระพุทธเจ้ามาทอดปาท่องโก๋ขายให้คนกิน แต่คนกินท้องขึ้นท้องเสียหมดเลย เราก็บอกว่าผิดสูตร ไม่ใช่สูตรของพระพุทธเจ้า เราเสนอสูตรของเราไปให้ คำสอนแบบเราว่า เสนอไปอย่างไรก็ไม่เอา เมื่อไม่เอา ก็เอาเถอะ ท่านเป็นบริษัทใหญ่ ร้านใหญ่ ท่านไม่ล้มหรอก ท่านก็ขายตามสูตรของท่านไป เราก็ขอประกาศแยกตัวออกมา นี่คือการประกาศนานาสังวาสโดยธรรม ตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเลย อาตมาก็ประกาศลาออกมาตั้งแต่วันนั้นตั้งแต่ 6 สิงหาคม 2518 แยกมาอยู่ที่แดนอโศก จากวัดหนองกระทุ่มมาอยู่ที่แดนอโศก   

แล้วจากวันนั้น ตอนแรกท่านก็ยอมรับกันดีนะ ไม่มีเรื่องอะไร เราก็ดำเนินของเราไปได้หมู่กลุ่มของเราก็โตขึ้น มีมากขึ้นๆ วันร้ายคืนร้าย ไม่รู้ไปกินปูนไปกินยาผิดมาจากไหน 

สู่แดนธรรม... ตอนนั้นมีพรรคพลังธรรมกำลังเป็นที่นิยม 

พ่อครูว่า... ไปกินยาผิดจากไหนไม่รู้ บอกว่าไม่ได้ ขออภัยท่านประยุทธ์ ปยุตโต นี่แหละเป็นหลัก บอกว่า ต้องชำระอธิกรณ์ ซึ่งหมู่ใหญ่ ก็เข้าใจอย่างหมู่ใหญ่ เราจะไปอยู่รอดอะไร เราก็ต้องยอม …

ตอนมีเรื่องครั้งแรก เข้าไปในวัดหนองกระทุ่ม ไม่มีที่พักหรอก โบสถ์ยังไม่มีหลังคาฝนมันก็จะตก เข้าพรรษา เราก็อธิษฐานพรรษาที่แดนอโศกแล้ว ก็ต้องไปอธิษฐานพรรษาที่วัดหนองกระทุ่ม เราก็อยู่ไม่ได้ หลังคาโบสถ์ก็ไม่มี หน้าฝนด้วย เราก็ว่าไม่เอา พวกเราก็ปรึกษากันว่าแข็งข้อ ไม่เอา กลับไปอยู่แดนอโศกอย่างเก่า นี่ก็บอกว่า 

ถ้าท่านจะมีอะไรมาหาอาตมา โดยตรง ประกาศไว้ อุปัชฌาย์ เป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดหนองกระทุ่มเป็นหลวงอา ก็เป็นอุปัชฌาย์มหานิกายของอาตมา ตอนนั้นท่านก็ไม่สบายอยู่แล้วก็เลยบอกว่าอย่าไปรบกวนท่านให้มาหาอาตมาเลย

ตั้งแต่วันนั้น 7 สิงหาคม 2518 เราก็อิสรเสรี นานาสังวาส สำเร็จได้ด้วยทำมาตั้งแต่บัดนั้นมาก็อยู่ได้มาเรื่อยๆ เราก็มีภิกษุมากขึ้นหลายสิบขึ้นมา 

จนกระทั่ง พ.ศ.2525 พันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ มาตีเราอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ก็ไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่ จน พ.ศ.2532 มหาประยุทธ์เขียนหนังสือซัดเรา 3 เล่ม หมู่ใหญ่ก็เล่นงานเรา ตัดสิน โดยไม่เอาจำเลยเข้าไปอยู่ร่วม ผิดสัมมุขาวินัย พิพากษาเลย ใช้คำว่า อัปเปหิ อโศกหรือโพธิรักษ์ออกจากหมู่สงฆ์ เราก็เลยย้อนบอกว่า เราได้ประกาศนานาสังวาสจากท่านมาก่อนแล้วนะ ไม่ใช่ท่านมาอัปเปหิเรา เราประกาศนานาสังวาสตามธรรมวินัย ท่านอัปเปหิเรานั้นเป็นการผิดธรรมวินัย ท่านอธิกรณ์เราไม่ได้ 

2. ธรรมยุตกับมหานิกายรวมกันทำสังฆกรรมไม่ได้ผิดคณะปูรกะ อย่างนี้เป็นต้น ไปอ่านหนังสือประนีประนอมกันด้วยนานาสังวาส อาตมาเขียนเล่มนั้นพิมพ์ไปแจกจ่ายกันไป 

พูดตามหลักพระธรรมวินัยให้เห็นเลยว่า สงฆ์หมู่ใหญ่นี่ เพี้ยนไปจนไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่ตรงตามพระธรรมวินัยเลย น่าเกลียด

สู่แดนธรรม... เขาเห็นว่าหากเอาพระธรรมวินัยมาใช้มันจะไม่มีผลถึงขั้นขึ้นศาล เขาจึงต้องหาวิธีทำให้ขึ้นศาล 

พ่อครูว่า... แล้วก็ไปอาศัยศาลที่เป็นฆราวาสขึ้นมาตัดสินเรา เราก็ต้องแพ้ เอาสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติมาใช้ คือ กฎหมายสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาเอาผิดเรา ข้อสำคัญก็คือว่าสังฆราชมีพระบัญชาสั่งให้สึกภายใน 7 วัน ไม่สึกผิดกฎหมาย อันนี้บัญญัติเองไม่ใช่บัญญัติพระพุทธเจ้า 

สู่แดนธรรม... กฎหมายนี้มีเอาไว้ใช้สำหรับพระเรร่อนที่ทำนอกพระธรรมวินัย 

พ่อครูว่า... เสร็จแล้วเอามาเล่นงานเรา เราก็ไม่มีปัญหาเราประกาศนานาสังวาสแล้วก็ไม่ว่าอะไร จะอัปเปหิก็ไม่ว่าอะไร ใช้ศัพท์คำว่าอัปเปหิไปข่มขู่เรา บอกว่าเราถูกขับออกจากหมู่ใหญ่ แต่ที่จริงเราลาออกมาอย่างผู้ดี

อยู่มาตั้งนานแต่วันร้ายคืนร้าย พ.ศ.2532 ก็เกิดเรื่องราวขึ้นโรงขึ้นศาล สุดท้ายศาลตัดสินให้ผิด ผิดกฎหมายที่ว่าสมเด็จสังฆราชสั่งให้เสร็จภายใน 7 วันแล้วไม่สึก กฎหมายก็ลงโทษให้รอลงอาญา เราก็อยู่นอกคุกไม่ได้เข้าคุก เราไม่ได้นุ่งห่มเหลืองไม่ได้นุ่งห่มผ้าจีวรของพระ เราก็นุ่งห่มขาวมา จนกระทั่งถึงเวลาที่เขากำหนด เราก็มาเปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนชุดเป็นผ้าสีกรักเราครองผ้า ไม่เหมือนธรรมยุต ไม่เหมือนมหานิกาย เดี๋ยวเขาจะหาว่าลอกเลียนแบบภิกษุ เราก็มีแบบการห่มผ้า แบบของเรามาตั้งแต่บัดนั้น เรื่องมันก็เป็นมาด้วยประการฉะนี้ท่านผู้ชม 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สมณะฟ้าไท... ตอนสมณะห่มขาวมีขนหน้าแข้งแต่โยมก็เรียกแม่ชี ตอนหลังหมดคดี พ่อครูว่า มาแต่งชุดโจงกระเบนกันไหม ไม่มีใครเอาเลย ตอนหลังพ่อครูให้มาแต่งชุดแบบนี้ 

พ่อครูว่า... ออกแบบเองใหม่ ห่มแบบเฉวียงบ่า เหมือนมีสังฆาติ เราใช้แบบนี้มาจนถึงทุกวันนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร กลายเป็นว่าเราใช้ผ้า 2 ผืน ไม่ถึง 3 ผืน สังฆาติ ก็ไม่ต้อง เป็นผ้าเปลี่ยนซักใช้เท่านั้นเอง ไม่ได้เดือดร้อนอะไร 

 

_4. ดูกรปหาราทะ แม่น้ำสายใหญ่ๆ บางสาย คือ แม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี แม่น้ำเหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมหมด ถึงความนับว่ามหาสมุทรนั่นเอง ฉันใด ดูกรปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน วรรณะ 4 เหล่านี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมเสีย ถึงความนับว่าสมณศากยบุตรทั้งนั้น ดูกรปหาราทะ ข้อที่วรรณะ 4 เหล่านี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมเสีย ถึงความนับว่าเป็นสมณศากยบุตรทั้งนั้น นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 4 ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

พ่อครูว่า...อินเดียเขาถือวรรณะมากเลยนะ ให้เปลี่ยนยังไงก็ไม่ได้ เช่น คนจัณฑาล  จะต้องอาบน้ำชั้นล่างสุด พราหมณ์จะอาบน้ำบนสุด ไหลจาก พราหมณ์กษัตริย์แพศย์ศูทร จนกระทั่งมาถึงจัณฑาล อาบหลังสุด คนเขาบอกให้จัณฑาลขึ้นไปอาบข้างบนสิ ใครเขาก็ไม่รู้หรอกว่าใครเป็นวรรณะไหน แต่จัณฑาลก็บอกว่าไม่เอา ไม่ได้ ไม่ทำ เขายึดมั่นถือมั่นจริงๆเลย ซื่อสัตย์จริง ซื่อจริงๆเลย

เพราะฉะนั้นอินเดียอยู่ได้ด้วยความซื่อสัตย์ คน 1,200 กว่าล้านคน เขาก็อยู่ร่วมกันได้ด้วยความซื่อสัตย์จริงๆยอดเยี่ยม 

 

_5. ดูกรปหาราทะ แม่น้ำทุกสายในโลก ย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทรและสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆ ฉันใด ดูกรปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน ถึงแม้ภิกษุเป็นอันมากจะปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มด้วยภิกษุนั้น ดูกรปหาราทะ ข้อที่ถึงแม้ภิกษุเป็นอันมากจะปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มด้วยภิกษุนั้น นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 5 ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

พ่อครูว่า...แต่มี อรรถกถาจารย์ที่ยังไม่เข้าใจไม่บรรลุ นิพพานเป็นปริโยสานก็สับสนวนเวียน สับสนระหว่าง อนุปาทิเสสนิพพาน กับ สอุปาทิเสสนิพพาน อะไรคือเหลือ อะไรคือไม่เหลือ และพุทธไทย ค่อนไปทางอุจเฉททิฏฐิด้วย ถ้าพระอรหันต์ตายแล้วก็สูญเลย เขาก็งงว่าอะไรเหลือ สอุปาทิเสสนิพพาน จะเหลืออะไร เขาเข้าใจอย่างเดียวว่าอรหันต์ตายแล้วสูญ เขาก็เลยแปล ว่า สอุปาทิเสสนิพพานคือ นิพพานของผู้ยังไม่บรรลุอรหันต์ ส่วน อนุปาทิเสสนิพพาน คือนิพพานของผู้ที่บรรลุอรหันต์แล้ว

นี่คือมิจฉาทิฏฐิของพุทธเมืองไทย แล้ว โพธิสัตว์ ที่อาตมาอธิบาย โพธิสัตว์ระดับ 4 5 6 7 8 9 อีก เขาก็รับไม่ได้ อาตมาก็หนักในการอธิบาย 

เป็นอรหันต์หมดกิเลส จะบำเพ็ญโพธิสัตว์หรือไม่ ถ้าไม่บำเพ็ญโพธิสัตว์ก็มีสิทธิ์ ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปเลย อรหันต์ทุกองค์มีสิทธิ์ ทำได้แล้วแยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมได้แล้ว 

ความรู้ที่อาตมาเอามาเติมที่ทางเถรวาทศาสนาเดิม พุทธเดิม ที่มีอยู่เหลืออยู่ที่เข้าใจกัน ก็คือ อรหันต์ที่เป็นอมตะ มีวิมุติแล้วในมูลสูตร 10 หมดจากวิมุติก็มาเป็นอมตะ 

อมตะอันเป็นอันที่ 9 ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เป็นอันที่ 10 วิมุติเป็นอันที่ 8

อมตะบุคคลคือ สั่งตัวเอง จะตายสูญหรือตายเกิดอีกก็ได้ อย่างอาตมา อาตมาเอาความจริงที่อาตมามี อาตมาเป็นอยู่ จึงอธิบาย ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ อธิบายมูลสูตรทั้ง 10 ได้สมบูรณ์ แต่ก่อนไม่มีใครแจกแจงได้ 

เขาก็อธิบาย อมตะคือผู้ไม่ตาย แล้วเขาก็ว่าเที่ยง เขาก็วนอีก อมตะ คือไม่ตายแต่มีต่ออีก เขาก็ไปไม่เป็น

 

_6. ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรมีรสเดียว คือ รสเค็ม ฉันใด ดูกรปหาราทะฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมวินัยนี้มีรสเดียว คือ วิมุตติรส ดูกรปหาราทะ ข้อที่ธรรมวินัยมีรสเดียว คือ วิมุตติรส นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 6 ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

พ่อครูว่า... อันนี้ไม่ต้องขยายความมากก็ได้ น้ำทะเลมีรสเค็มอย่างเดียว มีหลวงปู่ทวดที่ทำให้น้ำทะเลจืดได้ จึงเป็นเรื่องทึ่ง ลือกันเป็นตำนานมา เหยียบน้ำทะเลจืด 

 

_7. ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในมหาสมุทรนั้นมีดังนี้ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬเงิน ทอง ทับทิม มรกต ฉันใด ดูกรปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมวินัยนี้ก็มีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในธรรมวินัยนั้นมีดังนี้ คือ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8 ดูกรปหาราทะ ข้อที่ธรรมวินัยนี้มีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในธรรมวินัยนั้นมีดังนี้ คือ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8 นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ประการที่ 7 ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

พ่อครูว่า...ทั้ง 7 สูตรนี้ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8 มันเป็นหลักธรรมที่ทุกคนต้องมี ทุกคนต้องเข้าใจ ทุกคนต้องทำครบ แต่พวกที่ตัดลัดมันไม่มี สติปัฏฐาน 4 ก็ไม่ครบ 

พิจารณากายนอก แล้วพิจารณากายใน เขาก็ไม่มี เขามีแต่กายใน ก็ไม่มีกาย กาย เขาก็มีแต่ลมหายใจเข้าออกสั้นยาว แล้วก็ไป อธิบายเป็น 16 หลัก อานาปานสติ

16 หลักนั้น เป็นสิ่งที่เป็นธรรมะ ลืมตานี่แหละ 16 หลัก สัมผัสทั้งหมด ถ้าหลับตานั้นก็ได้แต่ตัวหนังสือ มันไม่มีสภาวะ 16 หลักนั้นได้หรอก 

เพราะฉะนั้นคนที่ตัดลัดพวกนี้จึงสะเพร่า มันไม่ครบ มันไม่มีทางบรรลุธรรมสรุปง่ายๆ พวกหลับตาปฏิบัติ ตีหัวเข้าบ้านเลย ไม่มีทางบรรลุธรรม เพราะโพธิปักขิยธรรม 37 ไม่ครบไม่มีพอ กายตั้งแต่ต้นเลย กายในกาย กายต้องมีนอกมีในด้วย อันแรกก็ไม่ได้แล้ว และอันหลังจะไปได้อย่างไร กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด แล้วเม็ดอื่นๆกลัดต่อไปมันจะไปอย่างไร ดีไม่ดีจะไปผิดเป็นเม็ด 2 เม็ด 3 เม็ด 4  แค่กลัดกระดุมยังไม่รู้เรื่องเลยแล้วมันจะได้อะไร ยิ่งกว่านายธัมโม เท่ากับนายดีดี

 

_8. ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของสิ่งที่มีชีวิตใหญ่ๆ สิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรนั้นมีดังนี้ คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติมิรมิงคลา พวกอสูร นาคคนธรรพ์ แม้ที่มีร่างกายประมาณ 100 โยชน์ 200 โยชน์ 300 โยชน์ 400โยชน์ 500 โยชน์ มีอยู่ ฉันใด ดูกรปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมวินัยนี้ก็เป็นที่พำนักอาศัยแห่งสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ สิ่งมีชีวิตในธรรมวินัยนี้ มีดังนี้ คือ พระโสดาบัน ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล พระสกทาคามีท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล พระอนาคามี ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล พระอรหันต์ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ ดูกรปหาราทะ ข้อที่ธรรมวินัยนี้เป็นที่พำนักอาศัยแห่งสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ สิ่งชีวิตมีในธรรมวินัยนี้มีดังนี้ คือ พระโสดาบัน ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล พระสกทาคามี ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล พระอนาคามีท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล พระอรหันต์ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 8 ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ 

ดูกรปหาราทะ ในธรรมวินัยนี้ มีธรรมที่น่าอัศจรรย์ อันไม่เคยมีมา 8 ประการนี้แล ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

จบสูตรที่ 9

พ่อครูว่า...ความใหญ่ของพระพุทธเจ้านั้นคือ ใหญ่เป็นโสดาบัน ใหญ่เป็นสกิทาคามีใหญ่เป็นอนาคามี ใหญ่เป็นอรหันต์ ไม่ใช่ตัวใหญ่น้ำหนักเพิ่ม กินที่กินทาง ไม่ใช่ ใหญ่ของท่านต้องชัดเจน 

ในชาวอโศก มีโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ แม้แต่เป็นฆราวาส เป็นผู้ชายเป็นผู้หญิง ก็มี โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ยืนยันได้จริง เอหิปัสสิโก เชิญให้มาดูได้ เชิญให้มาสัมผัสได้ 

เพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งยืนยันความจริงว่า นี่คือ มนุษย์อัศจรรย์ ชาวอโศกคือมนุษย์อัศจรรย์ 

คุณไปเห็นคนเหาะได้ว่าอัศจรรย์ คุณไปเห็นว่าคนมันเตะลูกบอลเข้าโกลเก่ง มีแทคติกมีทริคต่างๆ เก่ง อัศจรรย์ คนตีลังกาหกคะเมนได้เก่ง อัศจรรย์ คนเล่นหุ้นเก่งๆ อัศจรรย์ คนขี้โกงเก่งๆ อัศจรรย์ 

เพราะฉะนั้น คนอัศจรรย์ ต้องเข้าใจว่าคืออะไร เป็นโสดาบันก็สุดมหัศจรรย์แล้ว ยิ่งกว่านั้นมีสกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อัศจรรย์น่าอัศจรรย์ อยู่กันอยู่เป็นชุมชนเป็นหมู่กลุ่ม อย่างเช่นชาวอโศก เป็นเรื่องที่จะต้องพิสูจน์กัน จะต้องศึกษา 

ถ้าไม่มีความรู้ก็แน่นอน จะไปทึ่ง จะไปอัศจรรย์ จะไปน่าประหลาดใจได้อย่างไร เพราะเขาไม่มีความรู้ จนกว่าคุณจะมีความรู้ แม้จะเป็นความรู้โดยปริยัติโดยบัญญัติมาก่อน อ๋อ.. ความรู้อย่างนี้คนมีจริงเป็นจริงได้หรือ จนกว่าจะถึงเวลานั้น 

เพราะฉะนั้นชาวอโศกเรามีหมดเลย ทั้ง โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นคนมหัศจรรย์จริงๆ แล้วต้องมาศึกษาว่า มันจริงอย่างไร มันเป็นอย่างไร 

สมณะฟ้าไท... สรุปจบ


เวลาบันทึก 16 ธันวาคม 2564 ( 10:23:14 )

641220

รายละเอียด

641220 รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 21 ตอบปัญหาให้พ้นความสุขคือความโง่

https://www.boonniyom.net/51205.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1oR6rb-diy0fdWS0cc7uOWkIgvN5OJRx9_3Tw45MaAIc/edit?usp=sharing  

 

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/1jiwVFeZ2LvmGX_Wf5CFyMtScf6vqta_1/view?usp=sharing 

     

และดูวิดีโอได้ที่   https://fb.watch/a0bxrcSlZ6/   

 และ https://youtu.be/aaWm-nvxLpc 

 

สู่แดนธรรม...วันนี้วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้มีเด็กนร.มานั่งฟังด้วย มาฟัง สัมมาทิฏฐิ  เพื่อให้เป็นกำลังแยกแยะอะไรเป็นมิจฉาอะไรเป็นสัมมา เป็นการศึกษา มรรคมีองค์ 8 มีผลผลิตการงานที่ดี เช่นที่บนโต๊ะรายการพ่อท่าน

 

พลังงานบุญที่สัมมาทิฏฐิเป็นเช่นไร 

พ่อครูว่า... อาตมาก็ไม่รู้ว่าอะไร เขาก็บอกว่า มันพร้าว มันจาวมะพร้าว มีสารพัดที่เราจะรู้จัก พืชพันธุ์ธัญญาหาร ซึ่งเราได้สร้างมาอาศัยให้แก่ตนยังชีพไป อุดมสมบูรณ์ไม่ขาดแคลนไม่กลัวจน เพราะว่า ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด  ผ้าขาดมีคนช่วยชุน  บุญก็ต้องศึกษาดีๆถึงจะเข้าใจเรื่องบุญได้อย่างสำคัญถูกต้องสัมมาทิฏฐิ 

เพราะว่าบุญเป็นภาษาของโลกุตระธรรม ไม่ใช่ภาษาโลกียะเท่านั้น ซึ่งทุกวันนี้ศาสนาพุทธมันเสื่อมมาก เข้าใจคำว่าบุญผิดไปไกลลิบ เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่สามารถพัฒนาจิตวิญญาณให้เกิดฌานเกิดบุญ แล้วก็หมดบุญ เพราะว่าเมื่อกิเลสหมด บุญก็หมดไปด้วย บุญมีหน้าที่ชำระกิเลสเท่านั้น ชำระกิเลสหมดบาปหมดอกุศล บุญก็หมด พระบาลีมีเกณฑ์ยืนยันไว้ว่า ปุญญปาปปริกขีโณ แปลว่าหมดบุญหมดบาป 

พระอรหันต์ทุกคนเป็นคนไม่มีบุญได้มีกุศล แล้วไม่สันโดษในกุศลด้วย แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสชัดเจนว่า ท่านไม่สันโดษในกุศล แต่ท่านก็ตรัสว่าท่านเป็นคนไม่มีบุญไม่มีบาปแล้ว มียืนยันเลย ในพระไตรปิฎกก็มีคำตรัสยืนยัน ในพระสูตรอะไรที่ท่านเล่าประวัติของท่าน เล่ม 32 ข้อ 392 ท่านก็ตรัสยืนยันว่า บัดนี้เราเป็นผู้สิ้นบาปและบุญ ปุญญปาปปริกขีโณ เป็นผู้ไม่มีอาสวะ ผู้หมดอาสวะแล้ว เป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาปทั้งนั้น 

เป็นความรู้ที่คนสมัยนี้เข้าใจไม่ได้ เข้าใจกร่อน ผิดเพี้ยนไป อยากได้บุญ ซึ่งบุญไม่ใช่สิ่งที่น่าอยากได้เลย มันเป็นอาวุธสำหรับประหารกิเลส เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังอยากได้บุญอยู่ก็คือผู้ยังมีกิเลส จะไปอยากได้มาทำไม ก็ทำให้บุญหมดไป ใช้บุญให้เป็น ศึกษาจิตวิญญาณ ให้จิตวิญญาณสร้างฌาน สร้างบุญให้ถูกต้อง เมื่อฌานมีบุญถูกต้อง พลังงานฌานคือพลังงานไฟ เรียกด้วยภาษาไทยว่าไฟเป็น อุณหธาตุ ที่จะมีพลังงานไฟที่มีอำนาจ มีฤทธิ์แรงกว่าไฟราคะ โทสะ โมหะ 

ราคะ โทสะ โมหะ ก็เป็นพลังงานในจิต ซึ่งพลังงานบุญหรือพลังงานฌาน ก็เป็นพลังงานที่มีฤทธิ์เหนือกว่าไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ นี่ก็เป็นสัจจะที่ เดี๋ยวนี้ก็ผิดเพี้ยนไปเข้าใจบุญว่าเป็นกุศล ศาสนาพุทธก็เลยไม่มีมรรคผลอะไร เข้าใจบุญไม่ได้ ทำแต่กุศลเป็นโลกียะ บุญที่เป็นพลังงานของปรมัตถ์หรือเป็น ฌานที่เป็นปรมัตถ์ ฌานโลกุตระ เป็นฌาน ของศาสนาพุทธเขาก็ไม่รู้ ซึ่งฌานวิสัย เป็น อจินไตย ที่ชาวเดียรถีย์ ชาวเทวนิยมเข้าใจไม่ได้ว่า ฌานจริงๆแล้วเป็นอย่างไร ฌาน ก็ไปนั่งหลับตาเอาเป็นต้น ซึ่งมันไม่มีทางเลย ฌานก็นั่งหลับตาเอาแล้วจะเกิด ฌาน เด็กๆฟังหลวงปู่บอกอันนี้เอาไว้ ศาสนาพุทธ เข้าใจผิดก็นั่งหลับตาแล้วจะเกิดฌาน เกิดสมาธิ สมาธิก็เกิดอย่างเดียรถีย์ เป็นฌานแบบคนนอกพุทธ ไม่ใช่คนพุทธ ศึกษาให้ดีๆถ้าไม่ถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ มันก็จะไปเป็นทิศทางที่ผิดได้มรรคผลที่ผิด ก็ผิดไปไกลลิบเลย 2,500 กว่าปีแล้ว หลวงปู่มา กอบกู้เอาโลกุตรธรรมคืนมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ 

 

SMS วันที่ 17-19 ธ.ค. 2564

 

ผู้จะประกาศตนเป็นพระอรหันต์มีข้อระวังอย่างไร 

_สติพล จนพัฒนา : **ผมคนหนึ่งเชื่อว่าอาจารย์หมอเขียวเป็นพระอรหันต์แล้ว

เพราะท่านเคยพูดว่าท่านเป็นพระอรหันต์โพธิสัตว์ระดับที่ 5 คืออนุโพธิสัตว์.

พ่อครูว่า...คนที่พูดว่าตัวเองเป็นอรหันต์ เป็นคนที่ถ้าเผื่อว่าตัวเองไม่เป็นจริงนี้ ซวย ที่บอกออกไปว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ เพราะตนเองต้องระมัดระวังตนเองอย่างหนักเลย จะต้องรู้ว่าพระอรหันต์มันไม่ใช่คนธรรมดา เป็นคนไม่มีกิเลส เพราะฉะนั้นจะไปปล่อยไก่ ทำให้กิเลสทะเร่อทะร่าออกมา ไม่ว่ากาม ไม่ว่าพยาบาท ไม่ว่ากิเลสระดับไหนก็แล้วแต่ ขายขี้หน้าตัวเองอย่างสำคัญ

เพราะฉะนั้นคนที่จะประกาศว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ เป็นอาริยะระดับสูงๆ จนกระทั่งถึงอรหันต์ โอ้โห ผู้ประกาศนั้น ต้องเห็นว่าประกาศแล้วตนเองก็ไม่หน้าแตก ไม่ขายขี้หน้า ตนเองก็จะรักษา ความเป็นอรหันต์ ความเป็นคนไม่มีกิเลสในจิตจริงๆ ราคะ โทสะ โมหะ มันไม่มี ไม่แสดงตัว ไม่ออกอาการให้คนอื่นเขาเห็นเขาจับอาการได้ 

ถ้าเกิดว่าเราไม่จริง มันก็ ออกโผล่ออกมา หรือดีไม่ดี อัดอั้นเอาไว้มากๆก็ระเบิดตูม หน้าแตก หมอไม่รับเย็บเลย ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องดีหรอก คนที่จะประกาศตัวเอง เป็นพระอรหันต์เป็นพระอริยะ ไม่ใช่เรื่องน่าประกาศอะไรง่ายๆ 

เพราะฉะนั้นผู้ที่จะประกาศต้องเข้าใจและเชื่อมั่น ว่า ประกาศออกไปแล้วมีประโยชน์ ไม่ใช่ประกาศด้วยจิตอยากโอ่อยากอวด พระอรหันต์จะไม่มีจิตอวดโอ่อยากอวด ผู้ที่จะประกาศตนเองว่าเป็นพระอรหันต์ จะต้องเชื่อมั่นว่าตัวเอง ต้องไม่แคดแลด(โผล่) กาม มีปฏิฆะแคดแลดออกมา (ทะเล็ดรอดออกมา) เหมือนคนภาคใต้ ภาคกลาง พยายามพูดภาคอีสาน พูดภาคกลางไปๆมาๆ เดี๋ยวสำเนียงภาษาอีสานแคดแลดออกมา ประเดี๋ยวสำเนียงภาษาใต้แคดแลดออกมา จะเป็นอีสานโผล่มามันจะชัดเลย

สู่แดนธรรม... ถ้าเกิดว่ามันจำเป็น ถ้าจะปรับการรับรองตนเองกลางๆ รับว่าเป็นโพธิสัตว์พ่อท่านจะให้ทัศนคติว่าอย่างไรครับ 

พ่อครูว่า... คือคำว่าโพธิสัตว์ คำว่าอรหันต์ ในประเทศไทย ผู้รู้ในประเทศไทย ยังเข้าใจไม่ได้ เข้าใจแต่ว่าโพธิสัตว์คือผู้ที่ไม่ใช่อาริยะ โพธิสัตว์คือผู้ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า ตั้งจิตตั้งปณิธานว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า แต่ยังไม่เป็นอาริยะขั้นโสดาบัน สกิทาคามี อะไรเลย ถือว่าเป็นสัตว์ใต้ต้นโพธิ์ ซึ่งเขาเข้าใจผิด 

พระโพธิสัตว์นั้นคือผู้ที่มีภูมิพระโพธิสัตว์จึงจะเป็นโพธิสัตว์ สัตว์ใต้ต้นโพธิ์จะเป็นโพธิสัตว์ได้อย่างไร ทีนี้ภาษาพยัญชนะก็แปล โพธิสัตว์ว่าคือผู้ที่มีภูมิตรัสรู้ ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป เป็นโพธิสัตว์ระดับ 1 อย่างหมอเขียวบอกว่า เป็นโพธิสัตว์ระดับ 5 ก็เท่ากับเป็นโพธิสัตว์ระดับ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นโพธิสัตว์ที่จะพากเพียรเป็นพระพุทธเจ้าต่อไปก็เป็นระดับที่ 5 ระดับที่ 6 อนิยตโพธิสัตว์ ระดับที่ 7 นิยตโพธิสัตว์ เที่ยงแท้ที่จะไปเป็นพระพุทธเจ้า จากนั้นก็ขึ้นไปมหาโพธิสัตว์ ระดับที่ 8 ระดับที่ 9 ก็เป็นพระพุทธเจ้า

ก็มีลำดับอยู่อย่างนี้อธิบายมา ตลอดเวลา ซึ่งไม่มีใครอธิบายอย่างที่อาตมาอธิบายเพราะเขาไม่มีภูมิระดับนั้น โดยเฉพาะประเทศไทยเป็นเถรวาท จริงๆแล้วก็ไม่ใช่เถรวาทแท้หรอก เข้าใจคำว่า เถรวาทก็ไม่ค่อยถูก

จริงๆแล้วคำว่าเถรวาทะ คือ ในพระไตรปิฎกมีเถรวาทะ มีคำพูดของพระเถระในรุ่นเดียวกันที่เกิดในยุคพระพุทธเจ้าพูดไว้ มีวาทะ มีคำพูดคำกล่าว เช่น พระสารีบุตร พระกัสสปะพระอานนท์ พระโมคคัลลานะ เป็นต้น พูดแล้วบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกเอาไว้ คำต่างๆเป็นคำของเถระ ไม่ใช่คำของพระพุทธเจ้า แต่เป็นคำของพระเถระรุ่นเดียวกันกับที่ได้รับมาจากพระโอษฐ์จากพระพุทธเจ้าในรุ่นเดียวกันมา แล้วก็มาพูดไว้บันทึกไว้ในพระไตรปิฎก นั่นคือ เถรวาทะ

ทีนี้ เมืองไทยถือว่าเป็นเถรวาทะ เรียนรู้ตามคำสอนของพระเถระในรุ่นของพระพุทธเจ้า ที่พูดไว้บันทึกไว้มา ซึ่งก็คือในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐนี่แหละ ไม่ได้มีคำพูดของ ผู้ที่เป็นอรรถกถาจารย์ อาจาริยวาท รุ่นหลังจากพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ ในพระไตรปิฎกเป็นพระ เถรวาทะ กับ คำสอนจากพระโอษฐ์จริงๆที่รวบรวมเอาไว้

ทีนี้มีบางคนชักมักใหญ่ใฝ่สูง ไม่เอาคำสอนของพระเถระอยู่ในพระไตรปิฏก คัดออกหมด เอาแต่พุทธวจน มีผู้ที่มักใหญ่ใฝ่สูงอย่างนั้น ก็เอาเถรวาทะให้มันได้ก่อนเถอะ พระเถระ ที่ขยายความให้ได้เข้าใจยิ่งขึ้นกว่าก็ลบหลู่พระเถระอีก ก็ยิ่งใหญ่ไป จะเป็นผู้ที่มีภูมิสูงจะเอาแต่ของพระพุทธเจ้าก็แล้วแต่

นัยยะต่างๆนี้ อย่างอาตมา มาประกาศตนเองว่าเป็นพระโพธิสัตว์ระดับ 7 ซึ่งอาตมาไม่ได้พูดพล่อย พูดเล่นๆ พูดอย่างมีความรู้และก็มีความจริง ที่เป็นจริงออกมาเป็นคำจริงทั้งนั้นที่พูดออกมา พูดไม่จริงมันก็บาปแล้ว อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 จะพูดจา ไม่รู้จักบาปไม่รู้จักบุญก็แย่แล้ว

อาตมาเป็นคนหมดบุญแล้วด้วยไม่มีบุญ อาตมาเป็นคนบาปก็ไม่มีแล้ว อกุศลไม่มีแล้ว แต่คนไม่เข้าใจเป็นนัยยะที่ละเอียดลึกซึ้ง มีแต่กุศล 

พระอรหันต์จะเป็นผู้ที่มี สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) ตามที่พระพุทธเจ้าสอนพระอรหันต์รุ่นแรกไว้ ว่าพวกคุณทั้งหลายเป็นผู้ที่ไม่ทำแล้วในเรื่องที่เป็นบาป กรรมที่เกิดขึ้นจึงมีแต่กุศล เพราะว่าได้ทำจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ไม่ต้องมีบุญมีบาปอีกแล้ว ซึ่งเขาก็เข้าใจเรื่องนี้ไม่ได้ไปแปล สัพพปาปัสสอกรณังว่า ไม่ทำชั่ว แล้วทำแต่ดี ทำจิตให้สะอาดผ่องใส ซึ่งมันไม่ใช่ 

โอวาทปาติโมกข์ 3 เป็นเรื่องของพระอรหันต์ ซึ่งเดี๋ยวนี้ความเข้าใจที่แยกไม่ออกว่า ผู้หมดบุญหมดบาป หมดดีหมดชั่ว เป็นผู้ที่ไม่ทำชั่วอย่างเด็ดขาดเลย ทำแต่ดี มีแต่กรรมที่ดีถ่ายเดียว ไม่มีอกุศลเจตนาที่จะเป็นบาป ไม่มีในพระอรหันต์ขึ้นไป เป็นต้น 

พูดถึงคนบอกว่าประกาศว่าหมอเขียวประกาศอรหันต์ ก็ดีสิ หมอเขียว จะได้ระมัดระวัง ไม่งั้นตัวเองจะหน้าแตกเอง ก็มันไม่ใช่เรื่องสามัญ ยิ่ง อาตมาประกาศตนเองเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 เกินกว่าพระอรหันต์ไปมากแล้ว ประกาศไปนั้นมันดีที่ไหนกัน มันต้องระมัดระวังจะตายจะเป็น ทำเป็นเล่นไปเถอะ ไม่อย่างนั้นก็ยิ่งเน่าใหญ่เลย คนที่รู้เขามี นึกว่าคนอื่นเขาไม่มีปัญญาหรือ คนอื่นเขามีปฏิภาณปัญญาไหวพริบ นึกว่าคนอื่นเขาโง่เง่ากว่าทั้งนั้นจะหลอกเขาได้หลอกเขาดี แล้วจะหลอกคนไปทำไม พูดความจริงสิ เอาความจริง จะเอาความหลอกมาให้เป็นกรรมเป็นวิบากบาปทำไปทำไม ผู้ที่รู้แล้วนั้นไม่ทำหรอก 

อาตมาไม่ทำ แม้บางที คนไม่เข้าใจ อาตมา มีภาษาไปตำหนิ ไปว่าอันโน้นอันนี้ไปวิจารณ์อย่างนั้นอย่างนี้ ก็หาว่าอาตมาพูดเป็นอุปวาโท เป็นภาษาที่ไปทำร้ายทำลายคนอื่น มันไม่ใช่ อาตมามีแต่ อนูปวาโท มีแต่คำพูดที่ไม่มีหวังร้าย ไม่ได้มีความร้ายความเลวอะไร มีแต่ความปรารถนาดีที่จะวิพากษ์วิจารณ์ จะตำหนิติเตียน ถึงขั้นจะใช้คำว่าบริภาษ หรือ คำด่า อยากจะแปลคำพูดของอาตมาเป็นคำด่าก็แล้วแต่ ซึ่งอาตมาก็ไม่ได้ใช้คำหยาบคาย ซึ่งคำด่านั้นจะต้องเป็นคำหยาบคาย คำไม่ถูกต้อง ซึ่งเรียกว่าคำด่า คำด่าคือคำไม่ถูกต้อง เป็นคำที่เกิดจากอกุศลจิต โกรธบ้าง ราคะหรือโลภแรงบ้าง เป็นคำที่ผิดเพี้ยนไปจากความจริงนี่คือคำด่า 

อาตมาไม่เคยด่าใคร แต่ตำหนิแน่นอน ตำหนิเก่งด้วย ตำหนิแรงด้วย แต่ไม่ได้บริภาษไม่ได้ด่า นิคฺคเณฺห นิคฺคหารหํ ปคฺคเณฺห ปคฺคหารหํ  ควรข่มคนที่ควรข่ม  ยกย่องคนที่ควรยกย่อง ไม่ได้พูดแก้ตัวนะ ต้องฟังธรรมให้เป็น แล้วจะเข้าใจ 

ในสังคมโลกนี้ใครจะประกาศตนเองว่าเป็นพระอรหันต์ ก็ประกาศให้ดี ระวังให้ดี ไม่งั้นขายขี้หน้า อย่างเช่น มหาบัวอย่างนี้ ประกาศว่า ซึ่งไม่กล้าประกาศว่าตนเองเป็นพระอรหันต์แต่ประกาศว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย เลี่ยงไปโน่น ไม่กล้าพูดตรงๆว่าอรหันต์ แต่ให้คนเข้าใจเป็นคำที่ฟังแล้วเป็นไวพจน์ ให้คนเข้าใจว่ามันก็เป็นอรหันต์นั่นแหละ โดยที่ตนเอง ขายขี้หน้าอยู่ แม้แต่คำว่าเสพติด เสพติด ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเท่านั้น กินหมากพลู เสพในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ก็ไม่รู้ก็เสพติดจนตาย แค่นี้ก็ไม่รู้ มันเป็นสิ่งเสพติดที่หยาบขั้นต้น ขั้นอบายมุขแท้ๆ ก็ยังไม่ได้ 

ที่อาตมา ต้องพูดเพื่อให้เกิดการศึกษาให้รู้ว่าสิ่งเสพติดคืออะไร ศีลข้อที่ 1 เรื่องของสัตว์ ผู้ที่รู้เรื่องสัตว์แล้วจะรู้จักวิบาก หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ แล้วจะเข้าใจว่าสัตว์คือเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกัน ในวิถีของการดำเนินชีวิตใดๆ แม้ที่สุดเราจะยังชีวิต เราก็ไม่ไปเกี่ยวข้องกับสัตว์เอามาเป็นอาหารให้ตนเองกิน คนมีปัญญาจะรู้เรื่องสัตว์ อย่างนั้น 

มันเป็นทุจริตกรรม มันเป็นวิบากกรรม ถึงขั้นอย่าว่าแต่ไปฆ่าเอามากินเลย มันจะมีปัญญา ที่รู้เลย รู้ว่าวิบากบาปคืออะไร ที่อาตมายกใน ชีวกสูตร 5 ข้อ เป็นวิบากบาป ไม่ใช่บุญเป็นอันมากเลย 5 ข้อ อธิบายกันเท่าไหร่ คนก็ยังรู้ความสุขุม ประณีต ละเอียด ของคำสอนพระพุทธเจ้าอันนี้ไม่ได้ ก็ชอบอ้างกันนะว่าพระพุทธเจ้าให้บริสุทธิ์โดยส่วน 3 และบริสุทธิ์โดยส่วน 3 นั้นลึกซึ้งแค่ไหน ซึ่งเขาไปแปลเพี้ยนไปว่า เขาฆ่าเฉพาะผู้นั้น ชื่อนั้น เท่านั้นกินไม่ได้ 

ที่จริงไม่ได้หมายความถึงอย่างนั้น แต่หมายความถึงว่า สัตว์ใดหรือตัวใดที่ตายด้วยคนเจตนาฆ่า เจตนาพระพุทธเจ้าแยกรายละเอียดถึง 5 ชั้น 

เจตนาข้อที่ 1 แม้แต่เริ่มต้น มีชื่อ กล่าวชื่อสัตว์ตัวใดตัวหนึ่ง ไก่ หมู ไปเอามา บางทีหมาเขาก็กิน พอเจตนาที่จะไปจับสัตว์มา กล่าวชื่อนั้นสัตว์นั้นให้ไปจับมา คนที่มีปฏิภาณรู้ว่าไก่ตัวนี้ ปลาตัวนี้ ไม่ต่อไปว่า น่าเอามาต้ม น่าเอามาย่าง น่าเอามาปิ้ง ไม่พูดต่อ แต่กล่าวชื่อสัตว์เท่านั้น เจาะจง อุทิสสะ หรือเจตนามุ่งหมาย นำชื่อสัตว์ตัวนั้นมากล่าวแค่นี้ก็เป็นบาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย 

ยิ่งมีเจตนามากขึ้นสูงขึ้นเป็นข้อที่ 2 ให้เขาไปจับมันมา ผูกคอมา ลากมันมา สัตว์มันก็มีทุกขเวทนา มันก็บาปหนักมากยิ่งขึ้นอีก เป็นบาปของผู้ทำ ไม่พอ 

ขั้นที่ 3 จงฆ่ามันเลย สัตว์ตัวนี้ ตรงนี้ก็ปฏิเสธไม่ออกแล้วทั้งกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมครบเลย ฆ่า 

ขั้นที่ 4 สัตว์นั้นแม้กำลังถูกฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส ขณะที่สัตว์มันถูกฆ่าอยู่นั้นมันเป็นทุกข์ มันก็เกิดทุกข์เท่าไหร่บาปก็เกิดเท่านั้นให้แก่ผู้ที่ไปสั่งฆ่าและผู้กำลังฆ่า ร่วมกันทำบาปด้วยกัน ทั้งผู้สั่งฆ่า ทั้งผู้ลงมือฆ่า บาป เป็นอย่างที่ 4 หนักขึ้นไปอีก 

อย่างที่ 5 ยิ่งหนักใหญ่ หนักกว่าขั้น 1 2 3 4 คือ ผู้ที่มีเจตนา มีความมุ่งหมายจะเอาเนื้อสัตว์ที่ตนเองฆ่าแล้วก็ทำเป็น ขาทณียโภชนา หมายความว่า ทำเป็นอาหาร อย่างประณีตเลย มาต้มยำ มาแกง อย่างดีเป็นผัดอย่างดี ปิ้งอย่างดี ย่างอย่างดีก็แล้วแต่ ทำอย่างชนิดใช้เชฟชั้น 1 เลย 

ทำเสร็จแล้วก็เอาไปถวายทั้งภิกษุที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า หรือเอาไปถวายพระพุทธเจ้า เพื่อจะให้ยินดีด้วยเนื้อสัตว์นั้น ซึ่งเป็นการไม่สมควรจะเอาเนื้อสัตว์ไปยั่ว ไปยัดเยียดให้แก่ภิกษุ เอาล่ะพระพุทธเจ้าไม่อยู่ไม่มี ก็เอาไปยั่วแหย่สาวก ให้ท่านยินดี ย่อมประสบบาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย เพราะเป็นสิ่งที่ อกัปปิยะ เป็นการไม่สมควรที่จะทำอย่างนี้อย่างยิ่งเลย เป็น อกัปปิยะ 

แค่คำว่า อกัปปิยะ มันก็เป็นเรื่องไม่สมควรที่จะเอาอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายสาวกพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธเจ้า มันไม่สมควร เป็นการไม่สมควรใจอย่างยิ่ง อกัปปิยะ 

อย่าว่าแต่ฆ่าสัตว์เลย เนื้อสัตว์ ที่คุณเอาไปปรุงแต่งเป็นอาหารเนื้อสัตว์ชั้นดี เอามาถวายสงฆ์ภิกษุสาวกของพระพุทธเจ้าก็ไม่สมควรแล้ว อกัปปิยะ แล้วยังจะไปกินเข้าไปอีก ยังไกลไม่รู้กี่โยชน์ เห็นไหม นี่คือรายละเอียดที่อาตมาพยายามอธิบายสู่ฟัง ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ก็ไปกันใหญ่ 

เพราะเรื่องของวิบากกรรมของมนุษยชาติกับสัตว์ทั้งหลายแหล่ มันเป็นวิบากที่เนื่องกันมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ซึ่งไม่สมควรที่จะต้องไปทำวิบากพวกนี้ 

เพราะ สัตว์คนไม่ใช่สัตว์กินเนื้อ สัตว์คนเป็นสัตว์กินพืช คนนี้เป็นสัตว์กินพืช มีลำไส้ที่ยาว ซึ่งลำไส้ของสัตว์กินเนื้อมันสั้น เล็บก็เป็นเล็บแบบเล็บฉีกเหมือนกีบ เหมือนม้าเหมือนช้าง ไม่ใช่เล็บแบบเหยี่ยว เล็บหมา เล็บเสือ เล็บสิงห์ ไม่ใช่เป็น claw 

แล้วสัตว์กินพืชจะกินน้ำแบบดูดน้ำกิน ส่วนสัตว์ที่เป็นสัตว์กินเนื้อสัตว์กินน้ำจะเลียเอา แต่สัตว์ที่กินพืชกินน้ำจะกินแบบดูดน้ำกินเอา มีอีกหลายมุม เช่น น้ำย่อยในลำไส้ของสัตว์ 

แต่ที่สำคัญพระพุทธเจ้าท่านมุ่งหมายถึงวิบาก ซึ่งมันโอ้โห เฉพาะคนด้วยกัน 

เรื่องสัตว์ที่มันเกิดมาทุกตัว มันเป็นวิบากของมัน ปล่อยให้มันอยู่ไปตามยถากรรมของมัน คุณไม่ต้องไปเกาะเกี่ยวกับมัน ไปเอามันมารักมาชัง ไปเอามันมาฆ่าแกง หรือไปรักมันอย่างดูดดื่ม จนต้องประคบประหงมเป็นลูกเต้า เลี้ยงดูอุ้มชูมันยิ่งกว่าลูกจริงๆอะไรอย่างนี้ มันเกินไป มันเป็นการสร้างวิบากให้แก่ตนเอง ซึ่งเขาไม่เข้าใจในเรื่องกรรมวิบากนี้ ก็เลยน่าสงสาร 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สู่แดนธรรม... ธรรมชาติสร้างสัตว์มา สัตว์ที่แข็งแรงกว่าก็จะอยู่ได้อยู่รอดกว่าสัตว์ที่อ่อนแอกว่า เขาว่ากันแบบนี้ เอาทฤษฎีของชาร์ลดาร์วินมา เพื่อให้ตนเองไม่ต้องนับถือศาสนาอะไร จนกระทั่งทุกวันนี้ลัทธิไม่อยากเชื่อคุณงามความดีก็จะอ้างความเท่าเทียมกัน 

พ่อครูว่า... เรื่องอรหันต์เรื่องโพธิสัตว์เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ความรู้สามัญที่จะรู้กันได้ง่ายๆ อาตมาพูดไปนี้คงจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องคู่กัน อรหันต์กับโพธิสัตว์ 

เกิดนิกายหินยานกับมหายาน หินยานจะเรียนเฉพาะอรหันต์ ส่วนมหายานเด่นโพธิสัตว์มากกว่าอรหันต์ เถรวาทก็นับถืออรหันต์ โพธิสัตว์ไม่รู้เรื่อง อยู่ในวงแคบแต่อรหันต์เท่านั้น 

ที่จริงแล้วความรู้ทั้งสองอย่างเป็นธรรมชาติ อรหันต์กับโพธิสัตว์ก็คือ เทวะชนิดหนึ่งเป็นภาวะ 2 ที่จะต้องรู้คู่เคียงกันไป โลกียะกับโลกุตระก็ดี อรหันต์กับโพธิสัตว์ก็ดี 

ซึ่งคำว่าเทวะ ภาวะ 2 เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก สรุปว่า ภาวะ 2 คือ ภาวะที่ต้องเอามาเปรียบเทียบกัน อะไรถูกต้อง อะไรดี อะไรควร เออ เอาอันนั้น 

อะไรที่ไม่ควรก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นนั้น หรืออย่าไปเป็นอย่างนั้นเลย เอาอันที่ดีเลือกอันที่ดีอันเดียวไว้ การเปรียบเทียบ 2 ในทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้จึงเป็นที่รู้ตั้งแต่เบื้องต้น จนกระทั่งจบสุดเลย 

เช่น 2 คำว่า มีกับไม่มี เป็นที่สุดแล้ว สุดท้าย มีกับไม่มี เทวนิยม ไม่รู้จักความไม่มี สุดท้ายเขาก็ไปยืนอยู่ที่ด้านความมี นิรันดร ส่วนพระพุทธเจ้านั้นสุดท้ายมาอยู่ที่ความไม่มี ท่านก็เลยตกลงทำให้เกิดความไม่มีได้ เป็นนิรันดร 

จึงเลิกได้แม้แต่อัตภาพหรืออัตตา ก็สามารถสลายไม่ให้มีได้เลย เทวนิยมสลายไม่ได้ ก็ยังมีอยู่นิรันดร แล้วจะมีอยู่อย่างไรก็ไม่รู้รายละเอียดของวิบาก ก็เหมาไปให้ผู้ยิ่งใหญ่คือเจ้าแห่งจิตวิญญาณ ไปอยู่กับพระเจ้านั่นแหละ พระเจ้าสั่งการทั้งหมด แล้วพระเจ้าอยู่ที่ไหนอยู่อย่างไร ก็บอกว่า ก็พระเจ้านั่นแหละ เป็นสิ่งลึกลับ เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เป็นสิ่งที่ไม่รู้ตัวตน 

พระพุทธเจ้าเรียนตัวตน เรียนอัตภาพ เรียนปรมาตมัน หรืออาตมัน จนกระทั่งรู้แจ้งรู้จิต จนเลิกปรมาตมันหรืออาตมันของตนเอง เทวะหรือ 2 ภาวะ รูปนามของตนเอง สลายเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย ตายแล้วไม่ต้องไปอยู่กับพระเจ้า อย่างที่ลัทธิที่เขาไม่รู้ว่า อัตตา เป็นของตนรู้แต่ว่า อัตตา สุดท้ายจะไปอยู่ไหนจัดการอย่างไรก็มีพระเจ้าเป็นผู้จัดการ ตายแล้วก็ไปอยู่กับพระเจ้า ก็เลยเลอะกันไปใหญ่ แล้วก็ไม่รู้จนกระทั่งทุกวันนี้ ก็อยู่อย่างไม่รู้ 

แต่ของพระพุทธเจ้านั้นรู้ สิ่งที่มีรู้ สิ่งที่ไม่มีแล้วก็รู้สิ่งที่ไม่มี จึงทำความมีให้ไม่มี สูญเลยจบ ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาที่มีที่จบ จะไม่จบก็ได้เป็นโพธิสัตว์ อย่างทุกวันนี้ พระอวโลกิเตศวร มีพระปณิธานที่ยิ่งใหญ่ จะช่วยสอนคน รื้นขนสัตว์ จะช่วยสอนคนให้บรรลุพระอรหันต์ไปปรินิพพานเป็นปริโยสานหมดไป จนหมดคนสุดท้ายท่านจึงจะปรินิพพานเป็นปริโยสานเป็นคนสุดท้าย ก็เป็นปณิธานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ จะว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันก็เป็นไอเดียเป็นความคิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ใครจะมีปณิธานนั้นก็เอาสิ อาตมาก็เอาแค่ที่อาตมาเข้าใจ เป็นขนาดพระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่สูงสุดแล้วก็พอแล้ว ปรินิพพานเป็นปริโยสานแล้ว อาตมาไม่ต่อแล้วไม่เอา 2 สมัยด้วย เป็นพระพุทธเจ้า 2 สมัยก็ไม่เอา แล้วอาตมาเชื่อมันด้วย ถึงขั้นนี้แล้ว เชื่อมั่นว่าไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ใดที่จะเป็นพระพุทธเจ้า 2 สมัย ไม่มี สมัยเดียวก็เหลือกินแล้ว 

อันนี้เป็นเรื่องที่ อาตมารู้ความจริงพวกนี้ ก็พูดสู่กันฟัง ใครฟังก็ได้รับความรู้เพิ่มเติมเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้างก็ไม่เป็นไร ดีไม่ดีนอกจากไม่เข้าใจแล้วหาว่าพูดไม่ได้เรื่อง ไม่เข้าเรื่อง ก็ไม่มีปัญหาอีก เพราะว่า อาตมาเป็นคนไม่มีปัญหาอยู่แล้ว มีแต่ปัญญาอย่างเดียว ใครที่มีปัญหาก็เป็นเรื่องของผู้ที่มีปัญหา 

เพราะฉะนั้นใครประกาศอรหันต์ระวังให้ดีเถอะ ไม่ใช่เรื่องสนุกอะไรหรอก ทำเป็นอวดทำเป็นเล่นไป เป็นอรหันต์แล้ว เขาก็บอกว่าเป็นอรหันต์แล้ว ระวังนะ เดี๋ยวหน้าแตก 

 

_ณะ ชะอำ : นมัสการพ่อครูด้วยความเคารพครับ พ่อครูมีความเห็นอย่างไรใน

กรณีที่โรงเรียนสัมมาสิกขาปฐมอโศกได้เชิญไลฟ์โค้ชมาบรรยายในการดำเนินชีวิต และก็เข้าไปดูในเฟสของเขาซึ่งมีแนวคิดในเรื่องของสิทธิเท่าเทียมคนเท่ากันเหมือนกับพวกกลุ่มสามนิ้ว ผมในฐานะผู้ปกครองนักเรียนสัมมาสิกขาปฐมอโศก ผมเป็นห่วงนักเรียนครับ กราบขอบพระคุณครับ

พ่อครูว่า... ก็รับรู้ความเห็นของคนอื่นบ้าง ไม่ต้องไปยึดมั่นถือมั่น เขามีความคิดเห็นอย่างไรก็ไม่ต้องดูถูกกัน มีโอกาสให้แสดงให้รู้กัน ก็เกิดความรอบรู้กว้างขวางขึ้น มันก็ไม่แคบก็ไม่เป็นไรนี่นา แต่ถ้าคุณต้องการเท่าที่คุณรู้ อันอื่นคุณไม่เอาคุณไม่รู้หรอกก็แล้วไป ลางเนื้อขอบลางยา ไม่เป็นปัญหาอะไร 

 

_เกษม เพ็งกลาง :ผมมั่นใจและศรัทธาอาจารย์?แป้งครับ

พ่อครูว่า... ก็ลางเนื้อชอบลางยาอีกแหละ คนที่จะรู้จะเข้าใจก็รู้ได้ เพราะแป้ง ก็ไม่ใช่คนที่เพิ่งจะมาเรียนรู้ธรรมะ ก็เป็นผู้ที่มีภูมิในระดับโพธิสัตว์คนหนึ่งเหมือนกัน เป็นผู้ที่ใฝ่ศึกษา ไม่อย่างนั้นจะไม่มีภูมิปัญญาอย่างที่แสดงออก คนที่ไม่มีภูมิปัญญารับรู้อย่างที่ สู่แดนธรรม แสดงออกมา ที่จริง ช่วยอาตมาได้มาก บางทีประเด็นบางอย่างอาตมายังไม่มีไหวพริบพอ เขาก็มีไหวพริบถึงแล้ว ยิ่งพระบาลี ก็ไม่ได้เรียนมา อาตมาแม้ไปบวชก็ไม่ได้สอน เขาก็ได้รู้อย่างที่อาจารย์สอนมา ก็เป็นองค์ประกอบ เราก็ได้เทียบเคียงของผู้รู้อื่นกับผู้ที่เรารู้ก็อธิบายเป็น 2 อย่าง พูดให้ฟังก็ฟัง อย่างไหน ที่มันควรจะเอา เราก็เลือกเอา เป็นธรรมดาที่ อย่างไหนที่เราไม่เห็นก็ไม่เข้าท่าก็เป็น อธรรมวาที เป็นต้น มันก็มี 2 อย่างให้เราเลือกทั้งนั้นในโลก ก็เห็นดีเห็นงามอย่างไรก็แล้วแต่ 

คนในโลกนี้จะมี 2 พวก พวกที่เป็นเทวนิยมก็เลือกเอาเทวนิยม แม้แต่ในชาวพุทธเอง  อเทวนิยม อยากได้โลกุตระ แต่เอาไม่ได้หรอกก็ได้แต่โลกียะ ได้เทวนิยม ก็รีๆขวางๆ อยู่ในวงการศาสนาพุทธ อาตมาก็ต้องตำหนิ ต้องบริภาษ ต้องว่า เพราะว่ามารีๆขวางๆ มาทำอะไรเละเทะเกะกะอยู่ในศาสนาพุทธมันไม่เข้าท่า ก็ต้องวิจัยวิจารณ์ไปเป็นธรรมดา 

 

พ่อครูคุยกับเทวดาเพื่อสอนคนให้พ้นสุขพ้นทุกข์อย่างไร

_เด็กบ้านราชฯถามมา…คำว่า หลวงปู่คุยกับเทวดาคืออะไรครับ 

พ่อครูว่า... เอ้าดี อธิบายสู่ฟัง คำว่า คุยกับเทวดา ไม่ใช่ภาษาของอาตมาพูด ถ้าเป็นภาษาของพระพุทธเจ้าท่านตรัสของท่าน ซึ่งอาตมาก็มี อย่างเดียวกันกับของพระพุทธเจ้านั่นแหละ มันคือภูมิรู้ ภูมิรู้ของเราเอง พระพุทธเจ้าท่านศึกษามามีภูมิรู้ของท่านอยู่ในสัญญา อยู่ในธนาคารความจำ ที่ท่านมีมา เยอะ 

ธนาคารความจำ โลกุตรธรรมก็ดี โลกียธรรมก็ดี เยอะ เพราะฉะนั้นเวลามาเปิดเผยมาสอนมาอธิบาย มันจะเอามาทั้งหมด โครม มาทั้งหมดเลยมันไม่ได้ มันก็ต้องค่อยๆทยอยออกมา เอาออกมา ดีไม่ดีมันมีมากก็ต้องเอามาจัดระเบียบ ลำดับ ก่อนหลัง อะไรต่างๆนานา 

เพราะฉะนั้นคำว่า คุยกับเทวดา ก็เท่ากับว่า เราเอาความจำ ที่เป็นความรู้ความจริงสัจธรรมที่เรามี พระพุทธเจ้าท่านมีของท่านเท่าไหร่ ท่านเป็นเจ้าของ ท่านเป็นธรรมสามี อาตมาก็มีธรรมะของอาตมาเท่าที่มี ยิ่งเกิดมาในยุคนี้ไม่มีพระพุทธเจ้า ไม่มีไก่ตัวพี่ ไม่มีสัตบุรุษที่เป็นพี่ ยิ่งกว่าอาตมา 

อาตมาถึงผู้ที่ต้องเอาของตัวเองออกมาทั้งหมด ก็จึง ค่อยๆคุยกันกับเทวดา ค่อยๆคุยกันกับธรรมะของเรา อะไรควรจะออกมาก่อน อะไรควรจะออกมาทีหลัง ตอนนี้ถึงคราวที่ออกมาได้หรือยัง เอาออกมาพูดได้หรือยัง มีลำดับที่ควรหรือยัง ผู้ที่จะรับธรรมะในระดับนี้ขั้นนี้มันสมควรหรือยัง ก็คุยกันกับเทวดา คุยกันกับความรู้ของเรา ที่เรามี ก็เท่ากับเรามาตรวจสอบ มาเลือกเฟ้น 

เหมือนสำนวนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าท่านใช้ว่า พอตื่นเช้า ท่านก็ระลึกถึงว่าวันนี้ควรจะไปโปรดใคร ก็เหมือนกับเทวดาไปสอนเขา ควรจะไปโปรดใครก็เรียงลำดับ ทำตามที่ควร อย่างนี้เป็นต้น 

พระพุทธเจ้าท่านจะไปโปรดใคร ของท่านเป็นผู้ที่มีอนาคตังสญาณ มีญาณหยั่งรู้อะไรที่ลึกซึ้งมากมายว่า ถ้าไปโปรดผู้นี้ขณะนี้เหมาะสม แล้วจะเป็นประโยชน์ เป็นหัวหน้าหมู่ หัวหน้าคณะ หรือเป็นผู้ที่จะโปรดแล้วจะมีผลมีประโยชน์ ได้อะไรที่เป็นกอบเป็นกำ เหมาะสมเหมาะควร ไม่ใช่เป็นเบี้ยหัวแตกเลอะเทอะ ท่านมีภูมิธรรมละเอียดลออสูงส่งยิ่งกว่าอาตมา 

อาตมาก็ได้แต่สอนกลางๆไป บางที เด็กๆก็รับไม่ค่อยไหว บางทีผู้ใหญ่ก็ดี ว่า เออ สูง ส่ง ผู้ที่มีภูมิปัญญาสูง  แล้วอาตมาก็ต้องอธิบายธรรมะ ที่สูงและละเอียดไปเรื่อยๆ จึงบรรยายธรรมะมามากกว่า 50 ปีแล้ว ผู้ที่รับจากอาตมามาก็ช่วยบรรยายตามขั้นตอนมาอยู่แล้ว 

อาตมาจึงต้องทำฐานที่มันสูงขึ้นไปที่ยังไม่มีใครพูดได้ ไม่มีใครเอามาอธิบาย ก็อธิบายเอาไว้ ยิ่งอายุมากใกล้จะตาย ก็รีบเอาออกมาสาธยาย ทำให้เข้าใจเอาไว้ ซึ่งมีอีกเยอะที่เขาอธิบายธรรมะของพระพุทธเจ้าอย่างผิดๆ 

อาตมาจึงต้องเก็บเอามาแก้ เอามาบอกใหม่ให้มันชัดเจน ถ้าอย่างนั้นมันผิดนะ อย่างนี้ถูกเป็นอย่างนี้ ต้องเอามาแก้ เอามาย้ำ ยืนยัน ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่ออาตมาไม่มีสิทธิ์ที่จะบังคับคนหรอก แต่อาตมาจริงใจและมีสิทธิ์ที่จะพูดความจริง พูดในกาละที่สมควร ต้องทำ

เพราะในชีวิตสัตว์โลกไม่มีอะไรจะดีเท่ากับธรรมะ โดยเฉพาะธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นโลกุตระ สุดยอดแล้ว ถ้าได้ฟังแล้วก็จะทำให้ตนเองเป็นคนดี 

1. อย่างที่เทวะโลกียะเขารู้ เป็นคนดีในโลกตามสมมติสัจจะ 

2. อันนี้สิยิ่งใหญ่ จะต้องรู้โลกุตรธรรมหรือความรู้ของพระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า คุณจะต้องรู้ว่าเกิดมาจิตวิญญาณของคุณนี้ 

1. คุณต้องทำให้ดี ดีถาวรและไม่ทันช่วยเกิดตลอดกาล มีหลักประกันจะเกิดอีกกี่ชาติคุณก็ไม่ทำชั่ว สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปกำลังสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) จิตสะอาดบริสุทธิ์ถาวรแน่นอนเที่ยงแท้ ให้เป็นหลักประกันของศาสนาพุทธ ที่จะทำดียังไม่มีการทำชั่วอีก จะเกิดอีกกี่ชาติกี่ชาติต่อไปก็ไม่เป็นไร 

เพราะฉะนั้นเป็นคนที่มีหลักประกันอยู่ในโลกนี้

2. รู้จักจิตนิยาม รู้จักอัตภาพ ความเป็นอนัตตา ว่ามันเป็นเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งกันอยู่เท่านั้น จริงๆ มันเป็นอนัตตาไม่ใช่อัตตามันไม่ใช่ตัวจริง  จริงๆหรอก มันก็อยู่ในภาวะที่คุณเข้าใจได้ ผู้ที่มีปัญญาเข้าใจได้เป็นพระอรหันต์แล้วเป็นโพธิสัตว์จะชัดเจนเลย อยู่ไปก็ได้ เป็นอมตะบุคคล ทำประโยชน์ต่อไป 

1. ไม่ทำชั่วไม่ทำบาปแล้ว เด็ดขาด มีหลักประกันอยู่แล้ว 

2. ก็สอนให้คนดีตามโลกียะเขาสอน ดีที่สุดด้วยรู้จักดีที่ชัดเจน แล้วดีได้โดยเที่ยงแท้ไม่มีตกต่ำอีกเป็นธรรมดา อวิปรินามธัมมัง นิยตะ เที่ยงแท้มีแต่จะไปสู่ที่สูงที่สุดเป็นต้น 

3. สลายอัตภาพได้เลยเป็น 0 ไปเลย  คุณยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ยังไม่สลายอัตตา สูญเป็นดินน้ำไฟลม คุณก็ทำหน้าที่สืบทอดพระศาสนา หรือว่า สอน สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทุกพระองค์ สถาปนา เอาความรู้อันนี้ให้แก่มนุษย์เอาไว้ อย่าให้สูญสิ้นไป เพราะว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 

พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เกิดมาแล้วสุดท้าย ชาติสุดท้ายของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ศึกษาความรู้มาทุกอย่างในโลกรู้หมด เรียกว่า เป็น Doctor Post Doctor ทุกประเภท แต่แล้วไม่เอาสักอย่าง มาเอาธรรมะที่จะต้องรู้จักจิตนิยาม รู้จักบุคคล รู้จักอัตภาพ รู้จักอัตตา แล้วสอนให้หมด ทำอนัตตาให้แก่ตัวเองก็ได้นิพพานเป็นปริโยสานให้ได้ 

1. เพราะมีโลกุตระที่เป็นหลักประกัน เป็นคนดีไม่ทำชั่วอีกเลย มีหลักประกันไม่ทำชั่วอีกเลย เกิดกี่ชาติก็ไม่ทำชั่วอีกเลย มีแต่ทำดี 

2. รู้จักสัจธรรมมีจิตนิยามสลายได้เป็นศูนย์ จะอยู่ก็อยู่ได้มีหลักประกันอย่างนี้ด้วย แล้วก็สอนให้พ้นทุกข์พ้นสุขด้วย 

 

คนมีศีล ไม่ครบไม่สมบูรณ์ เป็นอาริยะบุคคลได้หรือเปล่า 

_1614 : คนมีศีล ไม่ครบ ไม่สมบูรณ์ จะเป็นพระอริยะบุคคล ได้ หรือเปล่า 

พ่อครูว่า... ไม่ได้ศีลไม่สมบูรณ์เป็นไม่ได้ เพราะฉะนั้น คนไม่เรียนศีลอย่างเป็นขั้นตอน เพราะฉะนั้นศีลข้อที่ 1 2 3 

ศีลข้อที่ 1 เรื่องของสัตว์คุณก็ไม่บริสุทธิ์ไม่สะอาดพอ ข้อที่ 2 เรื่องทุจริต กับข้าวของกับพืช มันไม่เหมือนกันนะ สัตว์มันจะต้องระมัดระวังเรื่องเมตตา กรุณา มุทิตาเกื้อกูลกัน ส่วนข้าวของนี่อย่าทุจริต พืชก็อย่าทุจริต มันไม่มีบาปไม่มีเวรแก่กันและกัน พืชก็ตาม ดินน้ำไฟลมก็ตาม เพชรนิลจินดาก็ตาม มันเป็นข้าวของเป็นวัตถุ อย่าไปทุจริต อย่าไปแย่งชิง อย่าไปขโมย อย่าไปเอาของเขาที่ไม่ใช่ของเราอะไรต่างๆนานา 

ส่วนข้อที่ 3 ศีลข้อที่ 3 เป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ศีลข้อที่ 3 มหาบัวไม่รู้เรื่องเลย แม้แต่เรื่องข้อ1 ก็เถอะ ก็กินสัตว์อยู่นั่นแหละ ไม่รู้เรื่องเลย 

ข้อที่ 2 ข้าวของพืชพันธุ์ธัญญาหารก็ไม่รู้ แล้วอาศัยข้าวของ วัตถุ พืชพันธุ์ธัญญาหาร เป็นตัวประกัน สร้างฐานะให้แก่ตัวเอง เด่นโด่ง วัตถุ ข้าวของ พืชพันธุ์ธัญญาหารไม่รู้อิโหน่อิเหน่เท่าไหร่ แต่ไปใช้วัตถุข้าวของ สร้างฐานะให้แก่ตนเอง ให้ตนเองเด่นโด่ง 

เพราะฉะนั้นเกิดมาในโลก เมื่อไม่รู้เรื่องสัตว์ ไม่รู้เรื่องข้าวของ เรื่องวัตถุอะไรก็ไม่รู้เรื่อง เรื่องรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็ไม่รู้เรื่อง ติดเสพ กินหมากพลู ติด รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเต็มๆเลย 

ขออภัยอาตมายกตัวอย่างมหาบัว มันเป็นสิ่งที่คนเป็นจริงๆ บอกได้ว่าตัวอย่างของคนจริงนี่มันยิ่งกว่าอ่านหนังสือพันเล่ม อาตมาก็พูดไม่ได้ไปเกลียดไปชัง แต่สงสารด้วย แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร 

ถึงแม้ว่า ท่านมหาบัวยังอยู่ก็อาตมาก็อาจจะว่า แต่อาจจะเกรงใจในการว่าไม่เท่ากับที่ตายแล้ว ถ้าตายไปแล้วจะไปเกรงใจได้อย่างไร เขาไปอยู่ไหนต่อไหน จะเป็นสัมภเวสีลงนรกขึ้นสวรรค์ ก็แล้วแต่คนจะเชื่อกัน แต่อาตมาก็ว่าไม่ได้ไปสวรรค์อะไรหรอก เพราะว่ามีแต่ความอวิชชา จะไปสวรรค์ได้อย่างไร ก็พูดเป็นตัวอย่างของคนที่มีพฤติกรรมจริง ยิ่งกว่าอ่านหนังสือพันเล่ม ก็ต้องยกตัวอย่าง 

 

_Hacter แฮคเตอร์ : นิยามความสุข คือ อะไร ?

_มน ใจปณม  · รายการมองโลกมองธรรม ตอนส่องวิถีภารตะที่จะเอาชนะโควิด คุณซัสปาล วีรันชัย เป็นแขกรับเชิญที่พูดได้ดีมาก มีความรู้ในวิถีวัฒนธรรมของตัวเองจริง และไม่พูดถึงผู้อื่นแรงเกินไป รายการวันนี้ดีมากเจ้า

 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สู่แดนธรรม... 

 

ศิลปะต้องมีที่จบคือนิพพาน 

พ่อครูว่า... เมื่อกี้นี้ สู่แดนธรรม... พาดพิงว่า อาตมาเป็นศิลปิน อันนี้จริง คำว่าศิลปินคำนี้ คือผู้ที่มีศิลปะ แล้วก็รู้จักศิลปะจริงๆ 

ศิลปะพระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัดเจนว่า เป็นสิ่งที่นำพาไปสู่โลกุตระ เป็นมงคลอันอุดม อุดมหรืออุตมะหรือโลกุตระ ศิลปะ เป็นนิยามของพระพุทธเจ้า 

สิ่งที่ไม่ใช่ศิลปะ สิ่งอะไรก็ตามที่คุณสัมผัสแล้วมันไม่พาไปสู่โลกุตระ สิ่งนั้นไม่ชื่อว่าศิลปะ เรียกง่ายๆว่าศิลเปรอะ ศิลเลอะเทอะ บ้าๆบอๆอะไรก็ไม่รู้ แล้วแต่จะใช้เทคนิค ใช้วัสดุอะไรต่างๆนานา ค้นหาแต่วิธีเทคนิค กับวัสดุอะไรมาประกอบกัน ว่านี้คืองานศิลป์ เลอะไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด จึงเรียกว่าเปรอะ ไม่มีที่จบ แต่ศิลปะนั้นมีที่จบคือนิพพาน อุตมะหรืออุตระ

ศิลปะต้องมีที่จบคือนิพพาน นี่คือนิยามของพระพุทธเจ้า 

เพราะฉะนั้นที่เรียกกันว่าศิลปะในโลกก็เรียนกันจนจบปริญญาเอก จบแล้วก็ได้เป็นศิลปินเอกของโลก ของเทวนิยม ของโลกโลกีย์ มันศิลเปรอะทั้งนั้น นี่ทำกันในประเทศนั้นประเทศนี้ยกย่อง หลงขายกัน ซื้อขายกันเป็นราคาเป็น หมื่นๆแสนๆล้าน ซื้อมาใส่มูลนิธิตัวเองเอาไว้โก่งราคาขาย ไม่ได้พาลดกิเลสอะไรหรอก 

สรุปง่ายๆว่าศิลปะต้องพาให้ลดกิเลสได้ หรือเป็นโลกุตระ ถ้างานใด ไม่ทำให้กิเลสลดงานนั้นไม่ใช่ศิลปะ นี่นิยามชัดๆ พระพุทธเจ้านิยามเอาไว้ชัดๆ เป็นโลกุตระ

โลกุตระคือ ผู้สร้างเองต้องรู้ว่างานนี้เมื่อคนสัมผัสแล้ว สายราคะสัมผัสแล้วลดราคะ สายโทสะสัมผัสแล้วลดโทสะ สายโมหะสัมผัสแล้วหมดเลอะหมดหลง เข้าร่องเข้ารอยเลย งานอย่างนี้เป็นงานศิลปะ 

อาตมานี่แหละ เป็นศิลปิน อาตมาเรียนจิตรกรรมมาจริงแต่ไม่ได้เขียนภาพ มาใช้วรรณกรรม มาใช้ภาษา ใช้อักษรศาสตร์ ใช้ภาษาวรรณกรรม ทำงานด้านนี้ สาธยายเพื่อที่จะให้เกิดการรับรู้แล้วแก้ไขปรับปรุงจิต ให้ถึงจิตเลย กาย วาจา จิต แก้ไขจิต ให้รู้จักกิเลสแล้วลดกิเลสได้

อาตมา งานของอาตมา คือ งานพูด งานสาธยาย  งานเขียน ให้คนได้รับรู้แล้วเอาไปลดกิเลสตัวเองได้ นี่คือศิลปิน ที่พูดนี่ไม่ได้ยกย่องตนเองนะ พระพุทธเจ้าเป็นสุดยอดศิลปิน 

เรียนรู้ดีๆจากพระพุทธเจ้าแล้วเอาไปลดกิเลสได้ จนหมดกิเลสเลย สุดยอดศิลปิน อาตมาก็เป็นลูกพระพุทธเจ้าทำให้คนมาลดกิเลสได้ด้วยบ้าง แล้วก็หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ตามไปบ้างก็มีอยู่แล้ว 

นี่คือคำว่า ศิลปะ ที่พูดพาดพิงถึงศิลปิน ก็ขยายความให้ชัดเจนลึกซึ้งขึ้นไป ไม่อย่างนั้นมันเปรอะไปหมดเลย อย่างเทวนิยมอย่างโลกเขาทั้งหลายแหล่ เปรอะไปทั้งนั้นอะไรก็ไม่รู้เขาเรียกว่าศิลปะ 

ก็นิยามให้ชัดเจนว่า ศิลปะคือ คนที่มีราคะสัมผัสแล้วลดราคะ คนที่มีโทสะสัมผัสแล้วลดโทสะ คนที่มีโมหะสัมผัสแล้วลดโมหะ นี่คือศิลปะ นิยามง่ายๆไม่ยากอะไรหรอก แต่เข้าใจยากทำยากด้วย และรู้ยาก เขาไม่รู้ นอกจากพระพุทธเจ้า 

สู่แดนธรรม... ถ้าอย่างนั้นทฤษฎีศิลปะที่เขียนกันอย่างหนาไม่ต้องซื้อมาอ่านใช่ไหมครับ ผม 

พ่อครูว่า... จะต้องสร้างอัตลักษณ์ของตนเอง ยิ่งมีอัตตามากขึ้น จะต้องเป็นเจ้าของ เจ้าของอะไร วินเซนต์ แวนโก๊ะ เจ้าของมี ที ของเขา คือเทคนิค ฝีแปรงของเขาเป็นอิมเพรสชั่นเป็นแบบใหม่ ยังไม่เคยมีใครทำ ก็หลงเท่านี้ติดแค่นี้ แล้วก็ลอกเลียนกัน ไม่ลอกเลียนกันก็เป็นอิทธิพล พาให้เป็น สร้างอัตลักษณ์ของตนเอง ตนเองก็ได้ชื่อว่าเป็นศิลปินที่เป็นเจ้าของเทคนิค เป็นเจ้าของ ที เส้นสายทีแปรงวิธีการของตนเอง 

คนที่ศึกษาแล้วมาเรียนศิลปะ อย่างอาตมาสอน จะเข้าใจว่า เราเคยสกปรกเลอะเทอะพากันบ้าบอไม่ได้เรื่องมานานแล้ว 

(Insert) ภาพ ดอกทานตะวันของวินเซนต์แวนโก๊ะ จะว่าถ้าจะให้เป็นโลกุตระก็คือ ดูความไม่เที่ยงมันเหี่ยวมันสลายไปนั้นเอง แต่คนเขาก็ไปติดที่ฝีแปรง คนนี้เขียนมาเท่าไหร่ก็ขายได้ราคาแพงหมด ก็ถือว่าฝีแปรงคนนี้จึงเป็นของแท้ คนลอกเลียนมาไม่ใช่ของจริงไม่เอาไม่ได้เท่านี้เป็นต้น 

 

คำว่าอาริยะกับอริยะ แตกต่างกันอย่างไร

_ด.ญ.ใสกลางเพ็ญ(น้ำมนต์)...คำว่า อาริยะกับอริยะ แตกต่างกันยังไงคะ 

พ่อครูว่า... อาริยะ กับ อริยะ แตกต่างกันคือ อริยะหมายถึงคนที่ ปฏิบัติแบบนึง ซึ่งไปนั่งหลับตาปฏิบัติ ไปปฏิบัติแบบโบราณ แบบฤาษีพาผิดๆออกไป แต่ก่อนคำว่าอาริยะ พระพุทธเจ้าพาปฏิบัติแบบถูกต้อง แต่มาถึงยุคนี้มันผิด หลวงปู่เลยเอาคำว่า อาริยะ ที่เป็นคำเดียวกันนั่นแหละแต่มันต่างกันที่สระอากับสระอะ ให้มันเป็นภาษาพยัญชนะที่ต่างกัน เพื่อมายืนยันว่า 

ผู้ที่ปฏิบัติธรรมแล้ว บรรลุธรรม ลดกิเลสได้จริง ถูกต้อง เพราะทุกวันนี้ อริยะ มันเพี้พี้ยนมันผิดไปแล้วใช้ไม่ได้ ทุกวันนี้ เรียกคนอริยะ คือ คน0บรรลุธรรมชนิดผิดไปแล้ว หลวงปู่เลยเอาคำว่าอาริยะมา ให้เป็นคำที่เรียกใหม่ คนก็ท้วงว่าพูดเอาเอง 

อาริยะคือของใหม่ มาจากคำว่าพระศรีอาริยเมตไตรย นี่ไง อาริยะ เป็นของใหม่ ศาสนาก่อนมีพระพุทธเจ้าองค์ก่อนนี้เข้าใจ อริยะ อย่างนั้น คนที่เสื่อมไปจากของพระพุทธเจ้า อาตมาก็นำมาใหม่ อาตมาเปิดศักราชของพระศรีอาริยเมตไตรย จึงนำคำว่า อาริยะ มาเรียกคุณสมบัติหรือคุณวิเศษที่พระพุทธเจ้าท่านสอน 

สู่แดนธรรม... พ่อท่านไม่ได้เจตนาทำลายความหมายคำว่า อริยะ

พ่อครูว่า... เขาเสื่อมไปเอง หากจะใช้คำว่าอริยะเขาก็จะเข้าใจอะไรอย่างนั้น แต่เราใช้คำใหม่ มันไม่ใหม่ทีเดียว แต่มันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เรายืนยันว่าเป็นพระศรีอาริย์ เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ อาตมาเปิดศักราชของพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ให้ จึงใช้คำว่า อาริยะของพระศรีอาริย์มาใช้ 

สู่แดนธรรม... คนใช้คำว่าอริยะคือคนหมกมุ่นอยู่กับตัวเองมาก ดับความรู้สึก ดับดิ่งอยู่กับตัวเองยิ่งได้รับความนับถือ 

พ่อครูว่า... น้ำมนต์ ฟังแล้วจะเข้าใจอย่างไร แยกได้ไหม พูดไปแล้วชักยาว 

สู่แดนธรรม... ถ้าอาริยะ คือ มีอาริย์ มีผู้อื่นรับรู้ด้วย มีอารีย์ต่อเขา แต่ถ้าอริยะ ไม่มีผู้อื่นรับรู้กับเขาด้วย 

พ่อครูว่า... เป็นอริด้วย เอาอันนี้ก็ได้ ไม่ต้องไปติดในพยัญชนะมาก น้ำมนต์รู้เรื่องไหม?.. รู้เรื่องแล้วใช้ได้

 

ความสุขคือความโง่

พ่อครูว่า... ทีนี้ เข้ามาสู่ความสุข นิยามความสุขคืออะไร? “ความสุขคือความโง่ เพราะฉะนั้นผู้ใดยังหลงความสุขอยู่ผู้นั้นก็คือคนโง่ สุขมันมีคู่คือความทุกข์แยกไม่ออกเหมือนกระดาษแผ่นเดียวมีสองหน้า หน้าหนึ่งเป็นความสุขหน้าหนึ่งเป็นความทุกข์ หลอกเรา หลอกไปหลอกมา เดี๋ยวเอาหน้าความสุขมาหลอกให้เราดู เดี๋ยวหน้าจริงก็มาให้เราดูเป็นความทุกข์ มันก็กลับไปเป็นความสุขอีก หลอกกันไปหลอกกันมาสลับกันไปอย่างนี้ คนที่อวิชชา คนที่ไม่รู้ก็จะหลงความทุกข์เป็นความสุข” 

พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องความสุขความทุกข์ สรุปเลย เลิกสุขเลิกทุกข์ไปเลย ไม่มีสุขไม่มีทุกข์เรียกว่า อทุกขมสุข กลางๆ ทีนี้คำว่า จิตกลางๆ ไม่สุขไม่ทุกข์นี้ ไม่ใช่เรื่องเดา ไม่ใช่เรื่องพูดเล่นๆง่ายๆว่าจิตว่างๆ จิตว่าง ว่างจากสุข ว่างจากทุกข์

จิตของผู้บรรลุไม่มีสุขไม่มีทุกข์คือจิตอุเบกขา อุเบกขา แตกต่าง จากคำว่าไม่สุขไม่ทุกข์ เขาเอามาเรียกแทนกันว่า จิตอุเบกขาคือจิตไม่สุขไม่ทุกข์

อุเบกขาไม่ใช่จิตไม่สุขไม่ทุกข์ จิตอุเบกขา อุเบกขา แปลว่า จิตบริสุทธิ์ 

อุเบกขาแปลว่าความบริสุทธิ์จากกิเลส ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา 

นี่เป็นองค์ธรรม 5 ของอุเบกขา 

จิตบริสุทธิ์จากกิเลสก็ต้องเรียนรู้กิเลส กิเลสนั่นแหละมันพาให้สุขมันพาให้ทุกข์ มันไม่รู้ความสุขไม่รู้ความทุกข์ สุขทุกข์เป็นผีหลอก 

สุขทุกข์เป็นผี ผีทั้งสุขผีทั้งทุกข์ แต่ผีทุกข์ คุณกลัวมันคุณไม่อยากได้มัน แต่ผีสุขคุณไม่กลัวมัน วิ่งหาด้วย มันก็หลอกคุณโดยที่คุณไม่รู้ตัว งมงายในความสุข หลงสุขอยู่ 

ฉะนั้นผู้ที่หลงสุข ยังเสพสุข ยังมีสุขอยู่ คือผู้ยังโง่ 

ฉะนั้นผู้ที่เป็นสุขนิยม คือผู้ที่เอาแต่สุข โดยเฉพาะไปหลงว่า เจ้าของความสุขคือพระเจ้า ผู้อยากได้ความสุขก็อ้อนวอนพระเจ้าจะประทานให้ นั่นคือผู้ไม่รู้ คือผู้โง่อยู่ นี่เป็นภาษาวิชาการ ไม่ใช่ไปด่าพระเจ้าหรือไปด่าคนนั้นคนนี้อะไรหรอก ผู้ที่ยังไม่รู้คือคนโง่คนอวิชชา 

ไม่รู้ว่าสุขไม่รู้ว่าทุกข์ มันเกิดจากจิต รายละเอียดของจิต ที่ท่านแยกว่าเป็นเวทนา 

เวทนาคือความรู้สึก ถ้าความรู้สึกนี้มันยังมีกิเลสข้ามาร่วม แล้วคุณก็ไปเล่นกับกิเลส กิเลสก็มาผสมปรุงแต่งกับจิตของคุณ มันปรุงแต่งแล้วมันก็ไม่เที่ยง ปรุงแต่งแล้วได้ดั่งใจก็เรียกว่าสุข ปรุงแต่งแล้วไม่ได้ดั่งใจก็เรียกว่าทุกข์ 

ดีไม่ดีไม่ชอบใจ ก็ผลักกันเลย  ฆ่ากันเลย มันก็มีอยู่แค่นั้น 

อารมณ์ที่แปรปรวน อารมณ์ที่เอาอะไรที่ กิระดั่งได้ยินมา เรียกเต็มๆว่า กิเลส 

คนทั้งหลายก็บอกว่า อย่างนี้น่าได้น่ามีน่าเป็น ถ้าได้แล้วสุข ถ้าไม่ได้แล้วทุกข์ ก็ไปหลงเชื่อตามที่เขาว่ามา กิระดั่งได้ยินมา กิระกับเอสะ คือกิเลส คำว่า เอสะคือดั่งนี้ กิระดั่งที่เขาว่ามา อะไรก็ว่ามาอย่างนี้เล่าลือกันมาสืบต่อกันมาไม่รู้กี่ชาติกี่ล้านปี 

มันเป็นสิ่งที่ไปยึดถือ ก็ขยายไปเรื่อยๆ บรรยายให้ดูเข้าทีไปเรื่อยๆก็ยิ่งหลงไปเรื่อย จาก กิระเป็นกิรติ เป็นเกียรติยศเป็นโลกีย์ บานทะโร่โท่ไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งหนาซับซ้อนไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งโง่หนักเข้าไปเรื่อย 

สุข พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า คนยังโง่อยู่ ก็ยังหลงความสุขความทุกข์ เป็นภาวะ 2 ของอารมณ์ ก็มาเรียนรู้อารมณ์ 2 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60 

อารมณ์จริงกับอารมณ์ อารมณ์เก๊ก็คือความสุขความทุกข์ อารมณ์จริงก็คือความรู้สึกเมื่อตาเห็นรูป รูปอันนี้เป็นอย่างนี้ อันนี้เป็นลูกกลม อันนี้ไม่กลม อันนี้ลูกยาว อันนี้รูปแดงๆ อันนี้รูปเขียวๆ ก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง ก็เป็น 1

ถ้าเป็น 2 ขึ้นมาก็สวย ไม่สวย น่าได้ไม่น่าได้ น่ากินไม่น่ากิน น่าอยากไม่น่าอยาก ก็เป็นกิเลสผสม ผเส ปนไปเรื่อย

ผู้ที่รู้ความจริงใน 2  รู้ความจริงตามความเป็นจริงคือมันเป็น 1 ไม่มีต้องมี 2 มาปรุงแต่งปรุงโฉมขึ้นมาก็จบ รู้ความจริงตามความเป็นจริงก็จบ 

คนนี้ดำคนนี้ขาว คนนี้หน้าเหลี่ยมคนนี้หน้าแหลมคนนี้หน้ากลม คนนี้หน้าเขายกย่องว่าสวย คนนี้หน้าเขายกย่องว่าไม่สวย ก็เข้าใจความจริง 

สู่แดนธรรม... จริงๆแล้วสุข ในอีกขั้นหนึ่ง ที่พวกเราควรมี ที่พ่อท่านเคยบอกว่า เป็นสุขที่หลีกเร้นออกจากการปรุงแต่ง เป็นวูปสโมสุโข เป็นสุขที่ไม่ได้มีโทษภัย ควรทำได้อย่างไรครับ 

พ่อครูว่า... ก็อย่างที่เรียนรู้เวทนา รู้ความจริงตามความจริงเป็นเวทนาเดียว รู้ความจริงตามความเป็นจริงหนึ่งเดียว ก็จบได้ 

เพราะฉะนั้นที่พูด “อทุกขมสุข ไม่ใช่อุเบกขา” 

อุเบกขาเป็นจิตสะอาดจากกิเลสโง่ มันโง่สุขมันโง่ทุกข์ 

คำว่าไม่สุขไม่ทุกข์ ก็หมายความว่า คุณก็ยังมีภาวะของสุขของทุกข์อยู่

ทีนี้ เมื่อภาวะของสุขของทุกข์อยู่คือยังไม่เลิกไปเลย คุณทำให้ไม่มีสุขก็ไม่มีทุกข์ก็ไม่มีเลิกไปเลยเท่ากับคุณทำให้จิตมีปัญญา แล้วไอ้ตัวที่โง่คือตัวกิเลสทำให้กิเลสสลายออกไปจากจิตหมดเลย ให้มีความเป็นกิเลส แม้แต่กิเลสไปติดความไม่สุขไม่ทุกข์ก็ไม่มี จึงเป็นจิตสะอาด ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา 

เกินกว่าจะฟังแล้วเข้าไปถึงรายละเอียดของสภาวะคำเหล่านี้ได้ง่าย ยาก

สู่แดนธรรม... อทุกขมสุข ต่างจากอุเบกขาตรงที่ว่า อทุกขมสุข มันวนเวียน 


เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2564 ( 13:06:23 )

641222

รายละเอียด

641222_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ อภิภู คือผู้นำพาคน ไปสู่ความจนอันประเสริฐ

https://www.boonniyom.net/51203.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1ieKnBjIgE2fnza2NT07jiPbPXcMNiU-gaSsz-dA2WfI/edit?usp=sharing 

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1Qfz9SGiQs-Bm7W60Q8UHAmijyicK8DDf/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/a2ShPYk8j1/ 

และ https://youtu.be/iNU4rtvQTEQ 

 

สมณะฟ้าไท...วันนี้เป็นวันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้คนอยากไปฉลองปีใหม่กัน คนอยากได้สิ่งใหม่ๆแต่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ ทำพฤติกรรมเดิมทำให้กิเลสหนาคือปุถุชน

ชาวอโศกจัดงานปีใหม่ใช้ประโยคว่า Happy new you คือเริ่มต้นปีใหม่ ชีวิตใหม่พ่อครูจะเทศน์ข้ามปี วันที่ 31 ธันวาคมและวันที่ 1 มกราคม รายการภาคค่ำเน้นให้มีจิตสาธารณะกันมากขึ้น 

พ่อครูว่า...SMS วันที่ 20-21 ธ.ค. 2564

_สินอโศก : “น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ ดิฉันรับชมสดเท่าที่จะทำได้อยู่เสมอเจ้าค่ะ ดิฉันรับรู้ได้ว่าพ่อครูจะมีอารมณ์ขันแทรกอยู่ระหว่างกลางบ่อยๆ ทำให้ไม่เบื่อเลยเจ้าค่ะ”

พ่อครูว่า...อันนี้จริงนะ อาตมาเป็น Humorist ตัวจริง เป็นผู้ที่มีอารมณ์ขันอยู่เสมอเป็นธรรมดา 

 

_รุ่งศรี  แก้วดวงสี : กราบคารวะพ่อครูค่ะ  ลูกสบายดีแล้ว เคยฟังหมอเขียวบอกว่าถ้าเราปฏิบัติธรรมคู่ครองและลูก ๆ จะทำตัวดีขึ้น ถึงแม้จะอยู่แบบถือศีลพรหมจรรย์  พ่อท่านเคยบอกว่าเรื่องคู่เราต้องหาทางออกเอาเอง  และลูกก็ได้เห็นแล้วว่า แม้มีทางตันก็มักจะมีเหตุการณ์ช่วยให้เขาเข้าใจเสมอ การที่เราอยู่กับคู่ เพราะกลัวการพยาบาทจากเขาจะทำให้ต้องครองคู่กันข้ามภพชาติ หรือการอยู่เพื่อรอช่องทางออกอย่างประณีประนอม กับการหักดิบอันไหนมีบาปมากกว่ากันคะ กราบขอบพระคุณค่ะ

พ่อครูว่า...  ประนีประนอมดีกว่า หักดิบเดี๋ยวหมอจะไม่รับต่อให้ 

 

_พลอยแผ้ว ชาวหินฟ้า : กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพนับถืออย่างสูงค่ะ

ต่อข้อถามที่ว่าทำไมศาสนาพุทธจึงต้องหยั่งลงณ.ประเทศไทยและทำไมพระยาธรรมมิกราชถึง 2 พระองค์จึงต้องเกิดมาเป็นคนไทย

ดิฉันได้ค้นคว้าและรวบรวมแต่ก็ไม่ทราบว่าจะครอบคลุมหรือไม่ดังนี้ค่ะ

1. ประเทศไทยตั้งอยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตรและในโลกนี้มีเพียง2แห่งคือแหลมทองหรืออินโดจีนและป่าดงดิบในทวีปอาฟริกาซึ่งพำนักได้ยาก อินโดจีนมีความหลากหลายทางชีวภาพ, อุดมด้วยทอง, หยก, พลอยและอื่น ๆ ยากจะหาที่ใดเปรียบเทียบ

2. ในแหลมอินโดจีนด้วยกันมีพื้นภูมิที่ดีที่สุดกล่าวคือ

    ก.ไม่มีภัยธรรมชาติรุนแรงเช่นแผ่นดินไหว, ภูเขาไฟระเบิดแต่มีนำ้ท่วมอันเป็นภัยธรรมชาติสถานเบากว่าภัยธรรมชาติอื่นๆ

     ข.ไทยจะได้รับภัยจากพายุต่าง ๆ น้อยกว่าประเทศอื่นๆในย่านเดียวกัน จึงประสบภัยธรรมชาติน้อยกว่าประเทศอื่นๆ

3. เนื่องเพราะความอุดมสมบูรณ์ด้วยไม้สัก, ช้าง, สมุนไพร, อัญมณีและแร่ธาตุต่างๆไทยจึงเป็นตลาดการค้ามาตั้งแต่สมัยโบราณจึงมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม, จริตนิสัย, เผ่าพันธุ์มีการผสมกลมกลืนชาติพันธุ์จนยากที่จะกล่าวว่าบรรพบุรุษของไทยคือเชื้อชาติใดเพราะมีการหลอมรวมมาตั้งแต่ต้นของ ขอม, มอญ, ละว้า, อินเดีย, จีน, ฮอลันดา, เสปน, ฝรั่งเศสและอื่น ๆ จึงได้พันธุกรรมที่เข้มแข็งตามหลักของวิชาพันธุกรรมกล่าวคือไม่เจโตอย่างอินเดีย และไม่ปัญญาแบบจีนแต่เป็นแบบลูกผสมอันเป็นจริต, พฤติภาพที่ศาสนาพุทธหยั่งลงได้ง่ายกว่า

พ่อครูว่า... ที่บอกว่าอินเดียเป็นเจโต และปัญญาคือจีน ขอบอกว่าไม่ใช่ จีนนั้นคือเฉโก แต่อาจเฉโกอย่างดี เป็นความรู้โลกียะไม่ใช่ความรู้ฉลาดแบบโลกุตระ 

ปัญญานั้นเป็นความฉลาดแบบโลกุตระ ยังไม่มีในจีนหรอกมีแต่ในเมืองไทย 

 

4. พระพุทธเจ้าได้ส่งมหาสาวกออกเผยแผ่ศาสนาไปทั่วโลก พระมหาสาวกเหล่านั้นจาริกไป ณ ประเทศต่าง ๆ ชาติแล้วชาติเล่าเพื่อสั่งสอนพระพุทธศาสนาตามกรรมและ ปัจจัยเพื่อค้นหาผู้รับพระธรรมของพระพุทธเจ้าและในที่สุดก็แรนดอม(RANDOM)มาเรื่อยในหลากหลายประเทศและในที่สุดก็มาสิริรวมที่ประเทศไทย พระยาธรรมิกราช 2 องค์จึงโคจรมาพบกันที่นี่

5. พระเจ้าอโศกมหาราชได้ส่งสมณะทูตมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาทั่วโลกเช่นเกิดผลดังข้อ4เช่นกัน

6. เนื่องเพราะเป็นถิ่นอุดมสมบูรณ์ผู้คนจึงไม่ตระหนี่หวงแหน เมื่อมีผู้อพยพหนีภัยใด ๆ มาขอร่วมอาศัยก็ไม่หวงแหนกลับเชื้อเชิญต้อนรับจึงเป็นที่รวมของผู้อพยพหนีภัยต่าง ๆ จึงเป็นที่รวมของผู้รักสงบ, เป็นไทและไม่เบียดเบียนมาอยู่ร่วมกัน

7.กรณีศึกษาพระบรมไตรโลกนารถรบกับพระเจ้าติโลกราชระหว่างกรุงศรีอยุธยาและเชียงใหม่ไม่มีใครชนะส่อว่าพระบารมีเสมอกันที่สุดพระบรมไตรโลกนารถขอบวชและขอให้พระเจ้าติโลกราชหาเครื่องบวชให้และขอบิณฑบาตเมืองเชลียงคือนัยยะส่อแสดงขยายยืนยันข้อ 4 ว่าที่แท้ก็พวกเดียวกันไม่ได้ยกเมฆหรือจินตนาการ แต่ปะติดปะต่อความอยากรู้

8. ในพื้นภูมินี้เดิมอยู่กันหลวมๆแบบเจ้าเมืองหรือหัวหน้าเผ่า เมื่อผู้มีบารมีผู้ใดเกิดที่เมืองใดก็ยอมรับนับถือเป็นกรณีพิเศษแต่ไม่มีการล่าเมืองขึ้นจวบจนสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่7ทรงแผ่ขยายการสร้างอโรคยาศาลาทั่วไปในถิ่นอินโดจีนผู้นำอื่น ๆ จึงเริ่มสะดุดและไหวตัวด้วยเห็นเงาการล่าอาณานิคมจึงเป็นเหตุให้พ่อขุนผาเมืองและพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ช่วยกันขับไล่ขอมไปจากพื้นภูมินี้และต่อยอดด้วยการที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชคิดประดิษฐ์อักษรไทยเพื่อแสดงความเป็นตัวตนของประเทศไทยให้เด่นชัดยิ่งขึ้น

9. การเกิดประเทศไทยไม่ได้มาจากการล่าอาณานิคมแต่เกิดจากการสัมพันธ์เครือญาติและแรงศรัทธาในผู้นำ

10. ประเทศไทยมีประวัติการแย่งชิงราชสมบัติน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านนับเป็นความแปลกที่หาได้ยากในประเทศใด ๆ ผู้ไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระมหากษัตริย์มักนิยมบวชในทุกยุคทุกสมัยยากที่จะพบในประวัติศาสตร์ชาติอื่น ๆ 

     จึงขอกราบเรียนพ่อครูช่วยตรวจสอบว่าถูกหรือผิดประการใดค่ะ นมัสการมาด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า... ตอบอาตมาไม่มีปัญญาตรวจสอบ ทุกคนมีความรู้ดีด้านนี้เยอะ

 

_Thanaphat Samanchai (ธนาพัฒน์ สมานชัย) : กราบนมัสการพ่อท่านครับ พ่อท่านรู้จักครูบาเฮงไหมครับ ท่านทำคลิปลง tiktok อยู่อย่างไม่มีไฟฟ้า ใช้พลังงานแสงอาทิตย์

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน อภิภู คือผู้นำพาคน ไปสู่ความจนอันประเสริฐ

พ่อครูว่า...อาตมาตั้งใจจะขยายความ อภิภายตนะ ซึ่งที่จริงเป็นเรื่องสูง แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าจะรับฟังรับรู้กันบ้าง เราก็เรียนอะไรมามาก ต่ำ สูง มีอีกเยอะก็เรียนสูงอีกหน่อยจะเป็นอะไรไป 

อภิภายตนะคือ การกระทบสัมผัสเกิดอายตนะมีสภาพเชื่อมต่อ ธรรมดาธรรมชาติมีกันเป็นธรรมดาธรรมชาติของทุกคน อายตนะก็มี 6 คู่ ตากระทบรูปก็เกิดอายตนะ หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส กาย หรือ โผฏฐัพพะ กระทบกันภายนอกกับภายใน และภายใน จิตวิญญาณ มนายตนะกับธัมมายตนะ อีกคู่หนึ่งภายใน 

อายตนะก็มี 6 คู่เป็นธรรมดาธรรมชาติของคน แต่เมื่อไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้มีภาษาบัญญัติ ไม่ได้มีการวิจัยวิจารณ์ ไม่ได้มีหลักทฤษฎี เขาก็ไม่ได้เรียนกันหรอกในทางเทวนิยม แต่ทางพุทธของเราเรียนรู้แล้วก็เข้าใจ นอกจากเข้าใจแล้วก็จัดการ ก็จะจัดการกับอายตนะ 6 นี้ได้

ผู้จัดการให้ได้เป็นสภาพความรู้ที่ยิ่งใหญ่ จากการรู้ที่เกิดจากนามรูป จึงเกิดอภิภายตนะ 8 ขึ้นมา 

อภิภายตนะ 8 จึงไม่ใช่ความเป็นอายตนะ 6 หรือความเป็นอายตนะ 1 คู่เท่านั้น แต่มันเป็นความรู้พิเศษ ความสามารถพิเศษที่เกิดขึ้นในคน ผู้มีประสิทธิภาพสูงถึงขั้น มีอภิภายตนะ 8 

ผู้มีอภิภายตนะ 8 เรียกโดยศัพท์ว่าเป็น อภิภู 

อภิภู คือผู้มีความรู้ในระดับสูง เป็นผู้ยิ่งใหญ่ สูงในระดับ สยังอภิญญา ขึ้นไปแต่ยังไม่ถึงสยัมภู อย่างอาตมา มีความรู้ระดับอภิภู

อภิภู จึงเป็นผู้ที่นำพาคนไปสู่ความจน อันสุขสำราญเบิกบานใจ พาไปสู่ความจนอันอุดมสมบูรณ์ พาไปสู่ความจนอันพ้นทุกข์พ้นสุข โอ้โห.. เป็นความจนมหัศจรรย์ 

พวกเราฟังแล้วไม่แปลกใช่ไหม ฟังแล้วเฉยๆ แต่ข้างนอกจะบอกว่าพูดอะไรกัน คนที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังเมื่อได้ฟังแล้วก็จะบอกว่า มาจากไหน พูดภาษาอะไร บ้าหรือเปล่า จะอย่างนั้นจริงๆ ตกใจจะไม่มากันเลยก็ไม่รู้จะทำยังไง  ก็เอาแต่คนที่แสวงหาและเห็นว่าอย่างนี้ใช่เลย 

อาตมาทุกวันนี้ ตามหาญาติ พยายามตามหา พี่น้อง ลูกเต้าเหล่าหลาน จะมาจะเป็นตัวน้อยตัวใหญ่ถ้าเป็นญาติก็มา ไม่ใช่ญาติไม่มาหรอก เจอแล้วรีบหนีเลยไม่เข้าไปใกล้ แต่คนที่เป็นญาติเมื่อเข้ามาใกล้แล้วจะรู้ว่า นี่เองหาทางเข้ามาอยู่ร่วมตรงนี้ ไล่ก็ไม่ไปอีกต่างหาก 

เพราะฉะนั้นอภิภู คือผู้ที่มีความสามารถในการเจริญอภิภายตนะ 8 ได้ 

อภิภายตนะ 8 อยู่ในพระไตรปิฎก เริ่ม 11 ตั้งแต่ข้อ 349 เล่ม 10 ข้อ 100 ก็มี คำความเหมือนกันหมดเลย 

อาตมาได้พูดหลังไมค์ มีผู้พิมพ์ตามที่อาตมาพูดแล้วรวบรวมให้ อ่านอันนี้ทุ่นแรงด้วย

เพราะตัวเองพูดเอง พิมพ์มาให้ไม่เยิ่นเย้อเกิน

 

“อภิภู” ผู้นำพาไปสู่ความจนอันศักดิ์สิทธิ์ ของชาวอโศก 

:โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์​ 22 ธ.ค. 64

 

อภิภายตนะ 8 หรือผู้ที่รู้ยิ่งรู้จริงในอายตนะ 

อายตนะ แปลว่า สะพานเชื่อมระหว่าง 2 สภาพ สะพานเชื่อมสภาวะระหว่างรูปกับนาม มี   ผัสสะ จึงเกิดอายตนะ รูปกับนามทำงานแปะกันปั๊บจึงเกิดอายตนะ 

 

อายตนะก็มี 2 ขั้ว ขั้วหนึ่งเป็นขั้วรูปอีกขั้วหนึ่งเป็นขั้วนาม 

อายตนะของคนก็มีได้ถึง 6 ตากระทบรูป 1 หูกระทบเสียง 2 จมูกกระทบกลิ่น 3 ลิ้นกระทบรส 4 ข้างนอกข้างในกระทบกัน 5 ข้างในข้างในกระทบกันอีกเป็น 6 เป็น 6 คู่เรียกว่าอายตนะ 6 

 

ส่วน อายตนะ 8 คือ อภิภายตนะ 8 มันไม่ได้หมายถึงอายตนะพวกนั้นเท่านั้น ซึ่งก็อยู่ในฐานของอายตนะ 6 แต่มันหมายถึงคุณสมบัติความเก่งความสามารถ ของคนที่มีความรู้ในอายตนะ ได้ถึง 8 ชนิด 

 

มีคำว่า อภิภู  อภิภายตนะ และ อภิภุยฺย

 

อภิภู คือตัวบุคคลนั้น ที่ทรงไว้ ซึ่งความรู้ความจริงที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งเล็กนั้นๆ 

อภิภายตนะ  คือ อายตนะที่มีคุณสมบัติถึง “อภิ” ขั้นยิ่งใหญ่ เป็นคุณสมบัติของผู้อภิภู อีกทีหนึ่ง มีคุณสมบัติ คุณวิเศษ​ ของผู้อภิภู ถึง 8 อย่าง

 

อภิภายตนะ 8 ไม่หลับตาปฏิบัติ จึงเป็นข้อยืนยันว่าศาสนาพุทธไม่หลับตาปฏิบัติ ถ้าหลับตาปฏิบัติจะไม่มีคุณสมบัติคุณวิเศษที่ถึงขั้น อภิภายตนะ 8 ได้เลย ผู้ปฏิบัติหลับตานอกรีตพูดกันไม่รู้เรื่องหรอกกับอภิภายตนะ 8 จะไม่เกิดคุณวิเศษเหล่านี้ได้ เมื่อหลับตาปฏิบัติ พวกหลับตาปฏิบัติจะเป็นพวก เดียรถีย์ 

 

ผู้ยิ่งใหญ่จะต้องมีความสามารถ ต้องเปิดรับสัมผัสภายนอกทั้ง 5 ทวาร ไม่ใช่ว่าไปปิดความรู้สึกจะปิดความรับรู้เลยทั้ง 5 ทวาร รับรู้อยู่แต่ทวารใจคู่ที่ 6 คู่เดียว ไม่ใช่ ซึ่งศาสนาพุทธไม่ได้เสื่อมแต่ชาวพุทธได้เสื่อมไปจากสัจธรรมที่ถูกต้องของศาสนา 

 

อภิภุยฺย มันหมายถึง ความสามารถความเก่งของอภิภู ที่สามารถมีอิทธิพลอยู่เหนือสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะอยู่เหนือ ตั้งแต่รูป กำหนดเอารูปภายนอก แล้วกำหนดเอารูปภายใน เห็นรูปภายนอกพร้อมกันทั้งสองสภาพ รูปภายนอกและรูปภายในคู่กันเสมอไม่ขาด เป็นสองสภาพ 

 

คุณสมบัติของผู้ยิ่งใหญ่เรียกว่า อภิภู เป็นผู้ยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ 

พวกหลับตาปฏิบัติ คือพวกเดียรถีย์ไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ยิ่งใหญ่จะต้องมีความสามารถ ต้องเปิดตาเห็นข้างนอกต้องเปิดเผยได้ยินเสียงข้างนอก จมูกรับกลิ่นข้างนอก ลิ้นกระทบรสอยู่ โผฏฐัพพะก็กระทบสัมผัสอยู่ ไม่ใช่ไปปิดความรู้สึก ปิดความรับรู้เลยทั้ง 5 ทวารนอก ไม่ใช่ ไปรู้อยู่แต่ทวารใจคู่ที่ 6 ไม่ใช่ ! 

 

พระพุทธเจ้าท่านบริภาษภิกษุสาติ ที่บอกว่า วิญญาณล่องลอย พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าเธอมาตู่เราอย่างนี้เป็นการขุดศาสนาเรา ขุดนี่คือทำลายรากทำลายโคนของศาสนาพุทธเลย 

 

ถ้าตาหูจมูกลิ้นกายภายนอกไม่มี ไม่เรียกว่าวิญญาณในศาสนาพุทธ แต่เรียกว่า สัมภเวสี เป็นธาตุรู้ที่ไม่มีที่ยึดที่ตั้ง อยู่ที่ใจของแต่ละคน คนหลับตาก็อยู่ในจิตของตนเองคนเดียว จะให้จิตตนเองคิดอย่างไรไปอย่างไรมาอย่างไร ก็คุณคนเดียว นรกสวรรค์อะไรก็แล้วแต่ คุณปั้นเอง จริงไม่จริง เท็จหรือไม่เท็จ ก็ของคุณคนเดียว 

 

เพราะฉะนั้นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่ได้ตรัสรู้แบบหลับตาแล้วก็ไปอยู่คนเดียวไม่ใช่ ท่านตรัสรู้โลกมีโลกวิทู พวกหลับตาปฏิบัติน่าจะสะดุ้งเมื่อฟังอาตมา ว่าเราทำไมโง่ทำผิดจากที่พระพุทธเจ้าสอนศาสนาพุทธไปถึงขนาดนี้เชียวหรือ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

 

พวกหลับตาทั้งหลายแหล่ ปิด 5 ทวารนอกทั้งหมดเลยไปยึดเอาอยู่แต่ภายใน ภายในก็เลยกลายเป็นพวกนิรมาณกายเป็นสัมภเวสีต่างคนต่างสัมภเวสี ต่างคนต่างจิตวิญญาณของตัวเอง เป็นของตัวเองอยู่คนเดียว เรียกว่าวิญญาณสัมภเวสี 

 

สัมภเวสี แปลว่าวิญญาณล่องลอย คือวิญญาณไม่มีที่ตั้งทางตาหูจมูกลิ้นกายใจเป็นที่ตั้งร่วมกันกับคนอื่นๆ สามารถรับรู้เกี่ยวข้องกัน รู้กันและกัน พูดกันรู้เรื่อง แต่นี่มันไม่มี นั่งสร้างนิรมิต เนรมิตเอาเองแต่ละคนปั้นไป ไม่มีความจริงเลยเป็นนิรมาณกาย 

 

เสร็จแล้วมาทำทีเป็นว่า รู้ด้วยกันเป็นสัมโภคกาย ต่างคนรู้เรื่องกันตรงกันพูดกันรู้เรื่องกัน โมเมไป แต่ทุกคนเป็นอาทิสสมาณกาย คือพวกตาบอดทั้งหมด ไม่มีใครเห็นของใคร มีแต่ของตนเองอยู่ นิรมาณกาย นี่คือ กาย 3 ที่เป็นกันอยู่จริง พวกหลับตา เดียรถีย์ เป็นอย่างนี้ทั้งหมดเลย จึงเป็นพวกที่น่าสงสารมากงมงายงมคลำไปแล้วสมมุติกันไป ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างพบแต่ของตนผู้เดียว เหมือนคนตาบอดชมว่าท้องฟ้าสีสวยดีนะเหมือนกัน คนตาดีบอกว่าเก่งนะเรายังไม่เห็นเลย

 

จึงเป็นพวกสัตตาวาสข้อที่ 1 เป็นพวกสัตตาวาสข้อที่ 1 กายต่างกันสัญญาต่างกัน ต่างคนต่างสร้างภพสร้างชาติ สร้างตัวสร้างตนไปกัน ต่างคนต่างไปเลย จริงๆไม่ได้ตรงกันสักอย่าง แต่โมเมทำทีกันว่าสัมโภคกายรู้ร่วมกันไป แต่แท้จริงต่างคนต่างโมเมชั่น นี่เป็นโลกแห่งสมมุติแท้ๆ เป็นพวกปลอม 100%

 

เพราะฉะนั้นมันมีตั้งแต่สัตตาวาสข้อที่ 1 กายต่างกันสัญญาต่างกัน เป็นมารเป็นมนุษย์เป็นพรหมก็สมมุติกันไปเอง เลอะเทอะกันไปหมด ต่างคนต่างสมมุติว่ากันไปสารพัดสารเพ  แม้จะสำนักเดียวกัน อาจารย์เดียวกันสอนทฤษฎีเดียวกัน แต่พอเอาเข้าจริงก็กำหนดของตนเอง รูปนามที่มันปรุงแต่งขึ้นมา เรียกว่ากายก็ตาม ก็เป็นของตนเองเท่านั้น ซึ่งต่างจากของคนอื่นไปหมดเลยไม่ได้เหมือนกันสักอย่าง กายต่างกันสัญญาต่างกัน 

 

พวกที่มิจฉาทิฏฐิก็เห็นต่างกันไป ส่วนพวกสัมมาทิฏฐิจะเห็นหนึ่งเดียวกัน สัจจะมีหนึ่งเดียวเท่านั้น 

 

เพราะฉะนั้นในข้อที่ 1 ของอภิภายตนะ รายละเอียดของผู้ที่เป็น อภิภู ผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง ผู้มีอำนาจเหนือที่แท้จริง เหนืออะไรต่างๆ เหนือ อะไรบ้าง 

 

เหนือ ตั้งแต่ทวารภายนอกทวารภายในจะรู้ร่วมกันได้พร้อมกันเสมอ เร็วจนกระทั่งถือว่าพร้อม รู้ขณะที่ข้างนอกก็รู้กันอยู่ข้างในก็รู้กันอยู่ มีร่วมกันอยู่ไม่ขาดจากกัน เพราะว่าจิตมันเร็วกว่าแสง แสงมันจะกระทบข้างนอกแค่นั้น ข้างในมันเป็นจิตนั้นมันรู้อะไรต่ออะไรอีกมากมาย 

 

เพราะฉะนั้นแสงกระทบกัน มันกระทบกันตั้งไม่รู้กี่ทีแล้ว จิตมันตามรู้ได้หมดทุกอย่าง มันเร็วกว่าแสงตั้งเท่าไร ความเร็วของจิตนั้น เร็วกว่าแสงตั้งไม่รู้กี่เท่า รู้หมด จิตมันเร็วกว่านาที วินาที ไม่ใช่ว่าอาตมาเก่งดูโทรทัศน์ทีละ 2 3 จอ ก็เพราะพวกนั้นมันช้ากว่าจิต

 

เพราะฉะนั้นข้างนอกข้างในจึงไม่ได้เป็นเรื่องยากเรื่องลำบากอะไรของ อภิภู

นอกใน กำหนดหมาย เรียกว่าสัญญา กำหนดรู้ได้เร็วได้หมดทั้งรูปภายนอก ในรูปภายใน เห็นรูปภายนอก เสร็จแล้วถึงจะมีรายละเอียดเป็น ปริตตัง

ข้อแรก ปริตตะ ข้อที่ 2 ถึงจะเป็น อัปปมาณา 

 

ท่านแปล ปริตตัง ว่า เล็ก แปล อัปปมาณา ว่าใหญ่ แปลว่าเล็กก็ได้ แต่มันยังไม่บริบูรณ์ควรจะแปลว่าน้อย มากกว่าเป็นเชิงปริมาณ ปริมาณเราไม่เรียกเล็กนะ ปริมาณเราจะเรียกว่าน้อย อัปปมาณา เราจะเรียกว่ามาก มากจนกระทั่ง Infinity มากจนประมาณไม่ได้ 

 

หรือจะเรียกว่าเล็กกับใหญ่ก็ด้วย น้อยกับมากก็ด้วย ปริตตังกับอัปปมาณา

ต่อมาคำว่า สุวัณณะ ทุพัณณา ท่านแปลว่า ผิวพรรณดีผิวพรรณทราม อาตมาว่า แปลว่าผิวเฉยๆ ก็เอาน้ำมันเอาแป้งมาทาสิ ซึ่งมันไม่ใช่ มันไม่ได้หมายถึงผิวพรรณแค่นี้ แต่มันหมายถึงขั้นชั้น ความสูงความต่ำ ความเจริญความเสื่อมทราม 

 

ความเสื่อมทรามก็ ทุ  ส่วน ความยิ่งใหญ่ ความเจริญก็ สุ

หมายถึงระดับขั้นชั้น ดีกรี ของความยิ่งใหญ่ความเจริญความประเสริฐ ความวิเศษ เรียกว่า สุพัณณะกับทุพัณณะ 

 

อภิภู ท่านไปแปลในนี้ว่า ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว อภิภุยะ คุณสมบัติ อภิภุยยะ คือ ครอบงำหรือมีอิทธิพลเหนือรูปเหล่านั้นแล้ว ขั้นแรกเป็นขั้นรูป ข้อที่ 1 คือขั้นรูป 

 

อภิภายตนะขั้นที่ 2 ก็รูปอยู่แต่เป็นอัปปมาณา ข้อที่ 3 ถึงจะไป อรูป

แต่ว่า ข้อที่ 1 เน้น รูปภายในเห็นรูปภายนอก ข้อที่ 1 เป็น ปริตตัง ข้อที่ 2 เป็น อัปปมาณา

ข้อที่ 3 ไปก็จะมี อรูป ก็มีปริตตะกับอัปปมาณา ข้อที่ 4 ก็อัปปมาณา แล้วก็มีสุพัณณะทุพัณณะ

 

ฟังแล้วคนที่ไม่เข้าใจว่าแตกต่างอย่างนี้จะมีประโยชน์อะไร เพราะเห็นว่าไร้สาระ แต่พวกเรานี่เข้าใจว่า นี่แหละมันเกี่ยวถึงความเป็นคน พฤติกรรมของคน จิตใจของคน คุณสมบัติของคนจิตวิญญาณของคน แต่คนที่เขาไม่รู้จักพวกนี้เขาไม่เข้าใจ เขาไม่มีภูมิถึง เขาจะเห็นว่าอะไร ไม่พูดถึงว่าอะไรได้มากินแซ่บๆน่าจะดีกว่า ว่างั้น หรือวันนี้ได้เงินเท่าไหร่ยังง่ายกว่าเยอะ ก็ใช่ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เท่านั้น มันเป็นเรื่องของอภิธรรม 

 

แล้วอภิภู เป็นคนในระดับใด ?

อภิภู เป็นคนในระดับ สยังอภิญญา สูงขึ้นไป.. สยังอภิญญา เข้าไปหาสยัมภู เป็นอภิภู

 

สยังอภิญญา เป็นคำกลางๆ รู้เอง ข้ามชาติมาเท่านั้น การรู้ข้ามชาติมานี้เล็กๆน้อยๆก็ได้ จนกระทั่ง รู้ได้อย่างดีรู้ได้อย่างมีสาระจริงๆเป็นขั้นคนสูง คนสูงขั้น อภิภู คนผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ ต้องเป็นโพธิสัตว์ขั้น 7 ขั้น 8 ขึ้นไป 

 

ทีนี้คำว่า ส่วนบุญ หมายความว่าความสามารถกำจัดกิเลสได้แล้ว ส่วนบุญคือส่วนที่กำจัดกิเลสได้แล้ว ไม่ไช่ได้อะไรมาให้ตนเป็นสมบัติแต่เป็นวิบัติ การได้ส่วนบุญจะเหมือนมีอภิภูไปทีละขั้นหรือไม่ ซึ่งก็ไม่ใช่อย่างนั้น 

 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สมณะฟ้าไท... เราฟังธรรมพ่อครูเทศน์ซ้ำแต่มีนัยยะ ละเอียดลึกซึ้ง แล้วเราก็ยังทำได้ไม่หมดด้วย การปฏิบัติธรรมมีรายละเอียด แม้ทำได้แล้ว จะอธิบายได้อย่างพ่อครูก็ทำได้ยากอีก
โพธิสัตว์จะต้องผ่านความยากลำบากมากมาย 

 

พ่อครูว่า... อุปสรรคคือของหวานของมันของอร่อยของโพธิสัตว์ 

สู่แดนธรรม... อภิภู แปลว่าผู้ขย้ำก็ได้ ผู้ข่มขี่ ผู้ครอบงำได้ ผู้มีอิทธิพลอยู่เหนือ แปลได้หลายอย่างครับ

พ่อครูว่า... เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้จักคำว่าบุญ แล้วรู้จักคำว่าส่วนบุญที่ได้ที่ทำสำเร็จ มันไม่ได้อะไรมาเป็นส่วนบุญ แต่กรรมของเราที่ทำสำเร็จ สร้างพลังงานที่ไปปราบกิเลสของเราเอง สำเร็จก็เป็นส่วนบุญ แต่มันยังไม่หมดกิเลสสิ้นอาสวะก็เป็น สาสวะ ไปเรื่อยๆจนหมดสิ้นอาสวะ กำจัดกิเลสได้หมดแล้ว 

 

แต่อภิภูนี้เลยไปจากนั้นแล้ว เป็นผู้ทำลายกิเลสพวกนี้ได้แล้ว โพธิสัตว์ 4 ระดับ ระดับ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นอาริยบุคคล ถึงขั้น อรหันต์ ก็เป็นอาริยบุคคลเต็ม 

พอเลยจากอาริยบุคคลเต็มขั้นที่ 4 ไปสู่ขั้นที่ 5 ก็เป็นอนุโพธิสัตว์ ก็หมายความว่าจะเริ่ม บำเพ็ญพุทธภูมิ ขั้นแรก อนุโพธิสัตว์ 

 

ผู้ที่บำเพ็ญภูมิขั้นแรกนี้ยังไม่เป็น อภิภู หรอก 

เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึง โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ 

อนุโพธิสัตว์ยังไม่เป็นขั้น อภิภู 

แม้แต่ขั้นที่ 7 ก็ค่อยๆสะสมไปเป็นลำดับ ขนาดอาตมาสะสมอภิภู ไปเรื่อยๆ มหาโพธิสัตว์ถึงเรียก อภิภูได้เต็มปาก

 

อาตมาพยายามอธิบายนี้เป็นการสะสมความเป็น อภิภุยฺยะ ไปเรื่อยๆ 

 

สมณะฟ้าไท... ระดับ 5 และ 6 สั่งสมความเป็น สยังอภิญญา ได้หรือไม่

พ่อครูว่า... ใช่ สยังอภิญญา คือผู้สั่งสมความเป็นอภิภู

สู่แดนธรรม... พ่อท่านตั้งระดับอภิภู ไว้สูงเกินไปไหมครับ เพราะผมเห็นว่า ชาวอโศกที่ครอบงำรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสได้ก็น่าจะเป็นอภิภู 

พ่อครูว่า... ต้องสะสม เลย 50 หน่วยขึ้นไป แต่คุณไม่สะสมเลย จะเป็นได้อย่างไร 

สู่แดนธรรม... เพราะมีคำว่าปริตตาครับที่พระพุทธเจ้าชี้ช่องให้ 

 

พ่อครูว่า... ปริตตา อย่าว่าเล็กน้อยนะ แต่เป็นเรื่องละเอียดสูงส่ง เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งไปเข้าใจปริตตาก็ดี อัปปมาณาก็ดี มีสิริมหามายา ก็รู้ประดับปัญญาไปก็แล้วกัน 

 

สามารถมีในระดับ โสดาบัน มีอภิภุยยะไปเรื่อยๆได้ไหม? สามารถมีอภิภุยยะในบางเรื่องได้ไหม?

 

สามารถมีอภิภุย ในบางเรื่อง แต่คำตอบคือ จริงๆแล้ว ยังไม่ได้ ยังไม่ควรเรียก เพราะว่า อภิภุย ท่านแปลว่า ผู้ที่ครอบงำได้แล้วนะ มีอิทธิพลเหนือสิ่งเหล่านั้นเสร็จแล้ว 

 

อาตมาเป็นผู้ที่มีภูมิบางอย่างอธิบายได้แล้ว แต่ก็ยังเป็นไม่ได้ก็มีหลายอัน ซึ่งเป็นวิสัย ขึ้นไปหาพุทธะวิสัยที่อาตมาก็มี ฌานวิสัย

ฌานนี่ไม่ได้แปลว่า แค่ นั่งหลับตาตื้นๆง่ายๆ เข้าไปอยู่ในภพ ไม่ใช่ แต่ฌานนี้คือ ปัญญา ฌาน อยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น เพราะฉะนั้นเริ่มมีปัญญาที่ทำปรมัตถธรรม รู้จักกิเลสทำให้กิเลสลดลง พระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า 

นัตถิ  ฌานัง  อปัญญัสสะ     ปัญญา  นัตถิ  อฌายโต 

ยัมหิ  ฌานัญจะ  ปัญญา  จ   ส  เว  นิพพานสันติเก 

ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา   ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน

ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด  ผู้นั้นแล อยู่ในที่ใกล้นิพพาน

(พตปฎ. เล่ม 25   ข้อ 35)

 

ปัญญาของพุทธเป็น จักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลก ลืมตามีแสงสว่าง หลับตาไม่มีปัญญาไม่มีฌานหรอก เอาพระบาลีเอาหลักฐานในพระไตรปิฎกมายืนยันแต่เขาก็ไม่เข้าใจ แต่พวกคุณเข้าใจ ปัญญาเกิดไม่ได้ในที่ไม่มีแสงสว่างไม่มีดวงตาที่จะสัมผัสรูปนามกระทบกัน 

จะมีได้ต้องมี จักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลก ที่อยู่ในแสงสว่างกว้างๆ หลับตาปี๋ มีแต่ความมืดกับความบอดไม่มีปัญญา พวกหลับตาปฏิบัติน่าจะฉุกคิด สะดุ้งเฮือกๆ ว่า หลงผิดมาตั้งนาน แล้วพวกสำนักนั่งหลับตาก็มีตั้งเยอะ สำนักลืมตาพูดมีกี่สำนักกัน มาเป็นอย่างที่อาตมาพูดนี้มีกี่สำนัก...น่าจะมีสำนักอื่นบ้างนะ คุณพบแต่อาตมาไม่ได้พบคนอื่นก็เลยว่าไม่มี

 

สมณะฟ้าไท... ส่วนใหญ่ สมาธิก็ว่านั่งหลับตา สวนโมกข์ก็สอนนั่งหลับตา

พ่อครูว่า... ท่านก็สอน อานาปานสติเล่มเบ้อเร่อ ท่านก็ยังไม่ชัดเจน

สู่แดนธรรม... ที่ผมเคยเรียนมาก็ว่า ต้องนั่งทำสมาธิจนแสงสว่างเกิดนั่นแหละปัญญาถึงจะมา ผมก็รอแต่ไม่เกิดสักที

พ่อครูว่า... อาตมาเคยอธิบายไปหลายทีว่า คุณหลับตาลง ไม่มีแสงสว่างได้เลยมีแต่ความมืด แต่ที่คุณเห็นเป็นแสงสว่างแสงสีต่างๆขึ้นมานั้นเป็น อุปาทานทั้งนั้น เป็นสิ่งที่ยึดติดปั้นเองสร้างเองขึ้นมาทั้งนั้น ซึ่งมันไม่มี แต่คนอุปาทาน มีมานานแสนนานไม่รู้กี่ชาติแล้ว มันก็ล้างยากเท่านั้นเอง

ถ้าคุณเข้าใจสัมมาทิฏฐิแล้วก็เอาให้ชัด หลับตาแล้วมืดอย่างเดียว ลืมตามันก็มีแสง ความจริงมีมากมีน้อยอย่างไร 

สู่แดนธรรม... ผมเคยตามพิสูจน์ว่าแสงสว่างที่ครูบาอาจารย์ว่านั้นเกิดขึ้นอย่างไร ผมก็เลยศึกษาจากพวกแพทย์ บอกว่าเป็นการทำงานของสมอง ที่หลั่งสารเคมีออกมาทำให้เกิดแสงสว่าง 

พ่อครูว่า... วิทยาศาสตร์ทางแพทย์ก็เลยอุปาทานเละเหมือนกัน แสงนี่แหละใน อภิภายตนะพระพุทธเจ้าตรัสถึงแสงสีเขียวสีแดงสีขาวไว้ชัดเลย จะรู้ความจริงเลยว่ามันไม่มี มันมีก็ต้องมีแสงจริง มีเหลืองมีเขียวมีแดงในแสงจริงๆ หลับตาแล้วจะมีแสงสีอะไร แล้วคุณก็บอกว่ามีสารเคมีหลั่ง มันอุปาทานทั้งนั้น 

 

อาโลก ตาก็มีรูปเป็นอาโลก หูก็มีเสียงเป็นอาโลก จมูกก็มีกลิ่นเป็นอาโลก ลิ้นก็มีรสเป็นอาโลก

อรหันต์ หลับตาก็มีความมืดเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ถ้าไม่ใช่อรหันต์หลับตาแล้วมีแสงสีต่างๆก็เป็น กายอย่างเดียวกันสัญญาต่างกัน

 

ภูมิต่ำกว่านั้นยังไม่ต้องแหยม อธิบายไว้เป็นเส้นทางในการนำทางเท่านั้น ซึ่งมั่นใจว่าสัมมาทิฏฐิ ไม่ผิดหรอก แต่ว่า มันต้องพูดไว้ 

 

อภิภู นั้น ยังภูมิต่ำกว่า สยัมภู 

สยังอภิญญา ยังภูมิต่ำกว่า อภิภู 

สยังอภิญญา คือผู้ดำเนินไปสู่ อภิภู

 

สยังอภิญญา คือ ผู้ที่มีแล้วของตนเอง ข้ามชาติมา อย่างอาตมานี่ชัดเลย ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดเลยในสัมมาทิฏฐิ 10 ข้อที่ 10 สยังอภิญญา สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ  โลเก สมณพราหมณา   สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา  เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ  โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)  

 

อาตมาเป็นคนนั้นระบุเป็นบุคคลจึงตัวตนจริงในยุคนี้ แล้วอาตมาก็ยืนยันว่าใช่คนนี้ แล้วคนที่เขาไม่เชื่อมันก็น่าสงสารไป แต่คนที่เข้าใจแล้ว ก็โอ้โห แล้วมันมีจริงเป็นจริงได้อย่างไร 

 

เป็นจริงก็คือ 1 รู้ธรรมะในขั้นโลกุตระ รู้โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ สูงกว่าอรหันต์ อย่างน้อยก็ขั้นที่ 7 ขึ้นไป 

 

อาตมาก็บอกว่าอาตมาเป็นขั้นที่ 7 ที่จริงจะปีนไปหาขั้นที่ 8 บ้างแล้วอย่างไรอาตมาก็ไม่จำเป็นจะต้องไปพูด อธิบายแต่ขั้นที่ 7 นี้ คนอื่นๆก็ยังภูมิไม่ถึงอาตมา อาตมาจึงไม่จำเป็นต้องยกตัวเองเป็นขั้นที่ 8 ขั้นที่ 9 มันไม่มีขั้นที่ 7 ให้อาตมาซ้อนชั้นขึ้นไปอีกแล้วจะไปพูดทำไม อาตมาเป็นผู้ใหญ่แล้วเป็นไก่ตัวคนพี่แล้ว แล้วจะมีไก่ตัวพี่ของที่ไหนขึ้นไปอีก ลมๆแล้งๆเปล่า 

 

ชาตินี้ถึงบอกว่าใครเป็นไก่ตัวพี่ก็ปรากฏตัวหน่อยน้องจะได้อาศัยบ้าง อาตมาไม่ได้ริษยา และไม่ได้ห้ามนะ ก็ไม่เห็นจะมีใครโผล่มา ถึงโผล่ออกมาแล้วอธิบายไม่ได้ก็หน้าแตก เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครกล้าโผล่มา คงประมาณกันแล้วว่าไม่ใช่ของเล่น หน้าแตกหมอไม่รับเย็บเลยนะ ก็ยังไม่มีใครกล้าโผล่มา 

 

เราก็ขยายสภาพจริง 

1. ทั้งอธิบาย 2. นำพาให้ปฏิบัติ 3. สำเร็จผลเป็นไปได้ 

4.รวมตัวกันเป็นหมู่ เป็นสังคม 

5. มีคุณวิเศษถึงขั้น เมื่อมาเป็นสังคมแล้วมีวัฒนธรรม 

มีทั้งเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม อยู่รวมกัน มีลาภที่ได้มาโดยธรรมก็นำมารวมกันเป็นกองกลาง กินใช้ร่วมกัน เป็นสาธารณโภคี แล้วก็อยู่ร่วมกันอย่างเสมอสมานกัน ทั้ง ศีลสามัญญตาออก ทิฏฐิสามัญญตา ครบตามสาราณียธรรม 6 

 

แล้วแต่ละคนก็ยืนยันอีกว่า สั่งสมคุณสมบัติวรรณะ 9 แต่ละคนเป็นคนเลี้ยงง่ายบำรุงง่าย เป็นคนมามักน้อย มากล้าจน มาตั้งใจ จนเต็มใจจน จนเป็นคนจนสำเร็จจริง ไม่ใช่จนเล่นๆ แต่จนจริงๆ ไม่สะสมไม่ต้องมีอะไรเลย อยู่กันอย่างสุดยอดเศรษฐศาสตร์ เป็นคนจน เป็นความจริงที่ทวนกระแสโลกเขา เขาให้ไปรวยเราไม่เอา เรามาจน ไม่บ้าด้วยนะ 

 

จนก็พอ เพียงพอ คนรวยนั่นมันไม่มีเพียงพอหรอก แต่คนจนเราเพียงพอได้เพราะมันจนถึง 0 แล้วไม่มีทางเป็นอื่นอีก มันก็พอเท่ากัน จึงมีความเสมอภาคกัน เพราะมันจนเท่ากันหมดเลย 

 

เอ้า! รับสมัครงานล้านตำแหน่ง ทุกคนมาทำงานที่นี่ได้เงินเดือนเท่ากันกับเจ้าของร้านเลย เท่ากันกับผู้อำนวยการเลย เงินเดือน 0 บาทเท่ากันหมด ท่านหนักแน่นบอก อย่างนี้มีด้วยหรือ มาสมัครเลย เลยอยู่เลยไม่ไปเลย พวกคนงานบ้านคำกลาง บ้านกุดระงุมมาทำงานอยู่ที่นี่เงินเดือนสูงกว่าเจ้าของอีก ซื้อรถแบคโฮรถปิคอัพรถเก๋งได้เลย แต่พวกเรานี้จน 0 เป็นเรื่องประหลาดมหัศจรรย์ 

 

สังคมอย่างนี้จึงกลายเป็นสังคมวิเศษ สังคมพระศรีอาริย์ สังคมคนเจริญที่มีคุณสมบัติ คุณวิเศษที่ลอกเลียนกันได้ก็เชิญเลย ซึ่งมันไม่ใช่จะลอกเลียนกันได้ง่ายๆ มาเสแสร้งแกล้งเป็น มันทำไม่ได้ มันต้องเป็นจริง มันไม่จริงมันไม่ได้เลย อยู่ไม่ได้ เป็นไม่ได้ อย่างไรก็ไม่เหมือน อย่างไรก็ไม่คือ ถึงคือ ทำเต๊ะท่าได้หน่อยเดียวก็ต้องดิ้นหนี โดยไม่ต้องไปไล่หรอก มันทนไม่ได้หรอก ถ้าไม่มีคุณสมบัติทางจิตแท้ๆอยู่ไม่ได้หรอก 

 

จึงไม่ได้เป็นเรื่องที่ไปเบียดเบียน ไม่ได้ผลักดันเข้ามาแล้วก็ไม่ได้ผลักไส ไม่ได้ขับดัน ไม่ได้ไปทำร้ายทำลายอะไรกัน มีแต่เกื้ฃอกูลช่วยเหลือกัน เป็นของแปลกเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ที่เขาควรยกให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกชนิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แม้แต่กินเนสบุ๊ค น่าจะบันทึกนะ วัฒนธรรมอย่างนี้ก็มีด้วยหรือ วัฒนธรรมอย่างนี้ เป็นวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ในมรดกของโลก ประเทศไทยมีมรดกอันนี้อยู่ที่พวกเราทำ เป็นมรดกของพระพุทธเจ้าตกทอดมาถึงเรา เป็นมรดกที่ยิ่งใหญ่มากเลยมรดกของโลก มาถึงวันนี้ยังทำได้เป็นวัฒนธรรมอย่างนี้ มันเป็นเรื่องสัจจะจริงๆเองเลย เป็นสัจจะของแต่ละคนๆ จริงเอง มันสุดยอดอย่างนั้น 

 

จึงเป็นการพิสูจน์คน พิสูจน์จิตวิญญาณที่ได้ฝึกปรือเรียนรู้อาริยธรรมของพระพุทธเจ้า มันจึงเป็นคนพิเศษจริงๆเป็นคนวิเศษจริงๆ ที่ไม่เหมือนโลกียะเลย 

 

ส่วนคนที่จริงแล้วไล่อย่างไรก็ไม่ไป นอกจากว่า คุณจะแย่จนกระทั่งไล่คุณก็ไม่ไป ต้องหาตำรวจมาจับออกไป ซึ่งเราก็เคยมีแต่มีน้อยมาก ทำมา 50 ปีก็น่าจะแค่ 1-2  คน  แบบนั้นก็มันแย่แล้ว ก็หน้าด้านหน้าทนเกินไป ไม่ออกได้ยังไงคุณแย่กว่าเกณฑ์เขาเหลือเกินไม่ไหว

 

มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่มันย้อนแย้ง Incredible เป็นเรื่องไม่น่าเป็นไปได้เลย เป็นเรื่องอัศจรรย์ เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยังไง มันไม่น่าจะเป็นไปได้สิอย่างนี้ มันเหนือกว่า Impossible อีก 

 

เราคนจน ทำไมขายต่ำกว่าทุนแล้วแจกได้อีกด้วย มีนายทุนลึกลับที่ไหนส่งเงินให้หรืออย่างไร ก็ไม่ใช่ …มีที่จิตของพวกคุณเป็นตัวเบื้องหลัง เป็นนายทุนให ญ่ เป็นเรื่องของแรงงานพลังงานของแต่ละคน ที่มีคุณสมบัติวรรณะ 9 กินน้อยใช้น้อย ชีวิตไม่เปลืองไม่ผลาญ แต่ขยันสร้างสรร  

 

นอกจากกินน้อยใช้น้อย ไม่เปลืองไม่ผลาญ แล้วไม่สะสมที่ตัวด้วย เอามารวมไว้กับส่วนกลาง ทุกคนมีทิศทางเดียวกันเป็นหนึ่งเดียวกัน มันจึงมารวมอยู่ที่นี่หมดเลย มหาสมุทรนี้ใหญ่ แม่น้ำเล็กแม่น้ำน้อยไหลมาอยู่ที่นี่หมดเลย มาเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วเรียกชื่อเดียวกันหมดเลย แม่น้ำร้อยพันสาย มารวมกันที่นี่หายไปหมดเลยชื่อเดิม เป็นหนึ่งเดียวคือมหาสมุทรนี้ ใครๆก็เป็นตระกูล “จน” หมด 

 

นามสกุล “จน” ของชาวอโศก เท่าที่นับได้ตอนนี้ 

1. จนดีจริง 

2. มุ่งมาจน 

3. กล้าจน 

4. ตั้งใจจน

5. เต็มใจจน 

6. พร้อมจน 

7. มาจน 

8. จนสุขสำราญ 

9. จนอีหลี 

10. จนอีหลีอีหลอ 

11. จนทุกชาติ 

12. จนแล้วจนรอด

13. จนสำเร็จ 

14. จนนะจน 

15. ชื่นใจจน

 

สู่แดนธรรม... มีอีกคนครับ เขาคิดจะตั้งนามสกุล กลั้นใจจน

พ่อครูว่า... ตายแน่ๆ 

 

สมณะฟ้าไท... สรุปจบ


เวลาบันทึก 27 ธันวาคม 2564 ( 18:16:48 )

641224

รายละเอียด

641224_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ชาติ 5 พาพ้น ขิฑฑาปโทสิกะและมโนปโทสิกะ 

https://www.boonniyom.net/51204.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1oBGV8VbMGYZp9afQDKRRB04qa3xEf9oUsyeG48Nw-tc/edit?usp=sharing 

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1fwfZwybL8tlgWCbavF5ZZXnY__-2q5uD/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/R2si-NMXfLs

และ https://fb.watch/a5uK60D55R/  


 

สมณะเดินดิน... วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม 2564 ที่อุบลราชธานี อีกไม่กี่วันก็เข้าสู่งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน พ่อครูเทศน์ ทำวัตรเช้า 2 วัน วันสิ้นปีกับวันขึ้นปีใหม่ ภาคเย็นมีรายการเชิญยายหร๋อย มาออกรายการ ให้เห็นจิตสาธารณะ 

พ่อครูว่า...SMS วันที่ 22-23 ธ.ค. 2564

 

_ประวัติ พระพุทธเจ้า : ตอนนี้สันติอโศกเปิดยังครับ / สนใจที่จะบวชที่สันติอโศก

พ่อครูว่า...ดี ตั้งใจดี แต่ตอนนี้เรายังไม่เปิดหมู่บ้าน แต่คนในๆ คนชาวอโศกถ้าพร้อมก็มาเป็นปะเป็นนาคกันได้ เชิญ​ตอนนี้นักบวชมีน้อย แต่คนข้างนอกต้องมาติดตามต้องมาศึกษาใช้เวลา อย่างน้อย 4 ปี ต้องมาอยู่ดูศึกษา จึงมาบวชได้ 

 

_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ การที่ลูกได้ใส่บาตรพระ ด้วยขนมและอาหารที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์ แต่พระที่ลูกใส่บาตรท่านฉันเนื้อสัตว์ นั้น จะเป็นการที่ลูกให้การสนับสนุนพระที่ปฏิบัติผิดต่อพระพุทธศาสนาไหมคะ ลูกควรทำใจอย่างไร น้อมกราบนมัสการพ่อครูเมตตาช่วยชี้แนะลูกด้วยค่ะ 

พ่อครูว่า...ถูกแล้ว ทำถูกแล้ว ท่านจะฉันเนื้อสัตว์ก็ช่างท่าน เราใส่อาหารที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์ให้ท่าน ท่านจะฉันหรือไม่ฉันก็เรื่องของท่าน ถูกแล้ว ไม่ต้องไปกังวลอะไรหรอก ถ้าเราไม่กินเนื้อสัตว์แล้วขวนขวายเอาเนื้อสัตว์ไปให้ท่านฉันอันนี้ผิด 

 

_สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ : ค่ายธรรมะอโศกออนไลน์ฯพิสูจน์มาตรารัฐศบค.ทุกกฎพรก.ทุกกติกา พรบ.ควบคุมโรคฯด้วย social distancing DMHT ไม่เป็นอุปสรรคในการเรียนรู้ธรรมะหลายบวรอโศก'ไม่เป็นปัญหาในกิจกรรมพึ่งตนพอเพียงแบ่งปันทุกงานบุญพื้นบ้านฯทุกนิทรรศการพื้นเมืองวิถีใหม่ฯที่ทุกบวรกรุงสยามบวรท้องถิ่นไทยจัดทุกกิจกรรมวิถีใหม่ปลอดภัยทุกเทศกาลไทย 'พิสูจน์ผลชัดแจ้งทุกบวรอโศก!

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน สุขภาพของพ่อครูกับกวฬิงการาหาร 

_ใบฟ้า นาวาบุญนิยม  ศ.24ธค.64:6.01น.

กราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้าฯ กราบเสนอพ่อครูพิจารณาตามสมควรค่ะ 

 "คำถามจากใจลูก(ๆ)"เพื่อเป็นแนวทางในการฟื้นฟูสุขภาพ ด้าน อ.อาหาร ของพ่อครูดังนี้ค่ะ

1.อาหารที่ฉันได้คล่องโดยไม่ยากไม่ลำบาก(ยามเข้าสนามรบ)คืออาหารประเภทใด

2.อุณหภูมิของอาหารคือ ร้อน อุ่น เย็น มีผลต่อการฉันหรือไม่

3.ความเห็นในเรื่อง วัตถุดิบในการปรุงถวายต้อง"organic"100% หรือไม่

4.อาหารที่มักก่อให้เกิดอาการไอคืออาหารชนิดใด

5.การพูดคุยในระหว่างฉันอาหารมีผลต่อการไอหรือสำลักบ่อยครั้งหรือไม่

6.อาหารชนิดใด ที่ฉันแล้วรู้สึกถึง พลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

7.การเป็น"independent man"ในการพิจารณาเลือกฉันอาหารที่จะถวาย ยังคงมีอยู่ประมาณใด

      คำถามพ่วงคือ สุขภาพโดยรวมของพ่อครูเป็นอย่างไรคะ  กราบขอบพระคุณ กราบนมัสการ ด้วยเศียรเกล้าฯค่ะ

พ่อครูว่า... อาตมาจะบ่นอยู่บ่อยๆตอนเริ่มรับประทานอาหารว่า เข้าสนามรบอีกแล้ว จริงๆแล้วมันฝืน พยายามตั้งใจกิน กินให้มันได้ครบจำนวน ทรมาน พอเพียงที่เขาจัดหามาให้มีอาหารอะไรก็ดูตามภูมิของตนเอง กินให้มันพอที่จะใช้ต่อวัน ก็ดีนะ แต่ละวันแต่ละวัน เข้าแล้วก็ออก เขาก็ตรวจสอบตลอด อุจจาระทุกวัน เช้ามาไม่นานหรอกประมาณ 7 โมงกว่าก็อุจจาระเรียบร้อยทุกวัน เขาก็ตรวจสอบลักษณะอุจจาระ เป็นก้อนเป็นเหลวมีสีสันก็ตรวจสอบทั้งนั้น ก็ดีช่วยกัน เขาก็ช่วยกันเพื่อไม่ให้มันผิดประหลาดพิการไปตามประโยชน์ที่ควรได้ 

จริงๆแล้วเป็นเรื่องจริงของอาตมาที่ฝืนสังขารฝืนอายุขัย อายุขัยนั้น 72 นี่ก็ฝืนเลย 1 นักษัตรมาเลย 84 ถ้าไป 96 ก็ 2 นักษัตร ถ้าไปร้อยแปดก็เป็น 3 นักษัตร 

ตอนนี้ในใจลึกๆพยายามจะพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าว่าจะไปได้ไกลเท่าไหร่ก็แล้วแต่ มันก็เป็นการสร้างสัมประสิทธิ์ให้แก่ตนเอง ฝืนไปให้ได้ไกลสุด เป้าหมายที่กะไว้จริงๆ ถ้าได้จริงๆ น่าจะได้ 133 ปี เป็นการพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าด้วย แล้วก็ได้ทำงานไปด้วย 

การพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าด้วยการเอาชีวิตจริงๆมาพิสูจน์ โดยองค์ประกอบของเรา มันละเอียดเกินกว่าที่อาตมาจะอธิบาย มันเป็นเรื่องจริงที่ ทั้งพลังงานดินน้ำไฟลม จิตวิญญาณ วัสดุ สสาร ต่างๆนานา เราต้องปรุงแต่งให้พร้อมเลยได้สัดส่วนที่มันจะสามารถสังขารกันอยู่รอด ไปรอด ดูแต่ว่าจะขาดใจเมื่อไหร่ ไปเมื่อไหร่ก็ลองดู 

  • อาหารชนิดใดที่ฉันได้คล่องก็บอกว่า มันฝืนทุกอย่าง 

  • อาหารที่ร้อนก็ลวกปาก มันเย็นเกินไปก็ไม่ไหว ก็ไม่ร้อนจัดเย็นจัดกินได้ทั้งนั้น 

  • อาหารที่ปรุงมาถวายเขาก็พยายามอยู่แล้ว ขนาดไร้สารพิษกับปลอดสารพิษ เขาก็ยังเอาคำว่าไร้สารพิษ แค่ปลอดสารพิษคุณภาพยังไม่ถึงไร้สารพิษนะ ปลอดสารพิษคือพยายามรักษาไม่ให้มีสารพิษ แต่ก็ยังใส่สารเคมีอยู่ แต่ก็เก็บเกี่ยวในระยะเวลาที่ปลอดสารพิษ เขาก็ทำอยู่แล้ว พยายามอยู่แล้ว 

  • อาหารที่ก่อให้เกิดการไอนั้นอาตมาไม่รู้ เพราะว่ามันยังยาก เขาก็พยายามจะบอกว่าเป็นอันนั้นอันนี้ โดยเฉพาะบอกง่ายๆคืออาหารมันแห้งๆ จะทำให้ไอก็เป็นสามัญสำนึกตื้นๆ อาหารที่เข้าไปในปากแล้วมันจะแห้งขนาดไหนมันก็ไปปนกับน้ำลาย น้ำย่อยภายในตลอดเวลามันแห้งไม่ได้หรอก ก็เลยไปเอาความเข้าใจง่ายๆ คิดว่าอาหารแห้งจะไปเกาะกับหลอดอาหาร หลอดคอ ติดคอ ก็เป็นความรู้สึกความเข้าใจง่ายๆตื้นๆ ซึ่งจริงๆแล้วจะแห้งขนาดไหนเข้าไปในคอแล้ว มันไม่แห้งหรอกเพราะมันจะมีน้ำมีเมือก ตลอดทางของมันไม่มีแห้งได้หรอก มันอยู่ที่เหตุปัจจัยมากกว่านั้นก็คือมีกระเปาะ ที่มันทำงานชนิดใด หมอก็ยังไม่รู้รายละเอียดว่ามันเก่งขนาดไหน มันจะมีช่องทางออกมาอย่างไร ปรุงแต่งอย่างไรให้เกิดอาการ แต่ที่อาตมารู้ตัวก็คือ เวลาจะไอมันจะมีอาการคันในคอ มันคันมันจึงต้องไอ ไม่ไอไม่ได้เหมือนอาการคันคุณก็ต้องเกา คล้ายๆอย่างนั้น ก็ดูไป 

  • ไม่ได้สังเกตหรอกอาหารใดที่เพิ่มพลังงานชัดเจน ไม่รู้สิ ตอนนี้เขาให้ดื่มน้ำให้มาก เดี๋ยวก็ให้ดื่มน้ำดื่มน้ำ นี่จะมากหน่อย คิดง่ายๆว่าน้ำจะทำให้มันไม่แห้ง ซึ่งจะลดอาการไอ ถ้ามันแห้งมันก็ติดก็ทำให้ไอ ก็ตีความอย่างนั้นง่ายๆ อาตมาก็ดื่มจนพุงกางหลายที 

  • การเป็น independent Man เขาเสนอมาอาตมาก็เลือกได้ มีอิสระเสรีภาพพอที่จะเลือก แต่เขาเสนอมา เขาพยายามฉันไม่ได้ขัดแย้งอะไร เจตนาดีปรารถนาดีอาตมาก็นับถือความปรารถนาดีที่ให้กันมาก็ทำไป 

  • สุขภาพโดยรวม ก็ถูไปไถไปได้ ตอบง่ายๆอย่างนี้ จริงนะ.. มันไม่ได้หมายความว่าเหมือนหนุ่ม 20 กระปรี้กระเปร่า แคล่วคล่อง ทำอะไรไม่ได้เหนื่อยง่าย ไม่ต้องมานอนพัก ก็ไม่ใช่ อันนี้ทำอะไรไปบ้างก็เหนื่อยแล้วต้องพัก ก็พักไปทำไป ซึ่งก็ดี ตรงที่ว่า พวกเราเข้าใจแล้วยกให้อาตมาแล้ว จะอยู่อย่างไรจะเป็นอย่างไรเชิญเลย เขารับผิดชอบช่วยกันทั้งนั้น อาตมาอยู่ให้สบายเอาชีวิตรอดให้ได้ไปเรื่อยๆก็แล้วกัน ทุกคนยกให้ ตรงนี้ก็ต้องขอบคุณทุกคน ก็พยายามไป สังขารก็ถูไปไถไป มันเป็นการพิสูจน์การต่ออายุไขของเราด้วย เหตุปัจจัยทั้งหมด 8 อ. นั่นแหละ ก็พยายาม ก็เป็นการพิสูจน์ 8 อ. ด้วย

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สมณะเดินดิน....พ่อท่านพยายามเน้น 8 อ. แต่พวกเราเวลาอินกับศาสตร์ไหนก็ทุ่มเทจนลืม 8 อ.

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน การนั่งหลับตาเป็นศาสนาเทวนิยมอย่างไร 

_จากคนบ้านนอกคอกนา : อิฉันตามฟังหลวงพ่อมาพักนึงพักใหญ่แล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้เกิดสงสัยขึ้นมาว่าที่หลวงพ่อพูดถึงศาสนาเทวนิยมนั้นมันเกี่ยวข้องกันยังไงกับการนั่งหลับตาล่ะเจ้าค่ะ ขอบคุณหลวงพ่อมากเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า... เรื่องนี้ยาวแน่นอน 

การนั่งหลับตา นี่ หลับตาทำไม การนั่งหลับตา ของคนทั่วไปในโลกทั้งโลกเลย นั่งหลับตาชนิดหนึ่งที่ถือว่า การนั่งหลับตาทำสมาธิ ภาษาไทยก็เอาคำว่า สมาธิของบาลี มาเรียกการนั่งหลับตาและเกิดสมาธิ 

สมาธิแปลเป็นไทยว่าจิตตั้งมั่น จิตมันแข็งแรงตามที่เขาต้องการ เขาจะมีสัญญามีทิฏฐิอย่างไรเขาต้องการอย่างนั้น อย่างที่ เขาเข้าใจว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นให้มันได้จิตอย่างนั้น 

1. มีจิตนิ่ง 2. จิตมันรวมแน่น ทั้งนิ่งและก็รวมแน่น อะไรมากระทบกระแทกกระทุ้งอย่างไรมันก็ไม่เปลี่ยนแปลงง่ายๆ นิ่ง แน่น นาน ไม่เปลี่ยนแปลงง่าย อะไรมากระทบกระแทกกระเทือนอย่างไร มันก็ไม่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ เขาหมายถึงอย่างนั้น ซึ่งมันเป็นลักษณะของ สมถะ ฟังประเด็นนี้ให้ดีนะ แล้วจะชัดเจนเลย

นี่คือสมาธิของคนทั่วไปทั้งโลกเรียกว่าพวกชาวเทวนิยม หรือ ชาวโลกียะทั้งหลายโลกๆ ธรรมดาคนสามัญในโลกเป็นโลกียะ

ทีนี้ คำว่าสมาธิของพระพุทธเจ้าท่านใช้ศัพท์ของท่านคำว่า สมาหิตะหรือสมาหิโต พยัญชนะนี้อยู่ใน เจโตปริยญาณ 16 แปลว่า จิตตั้งมั่นดังที่เขาหมายถึง อย่างเดียวกัน แต่ไม่ต้องไปหลับไม่ต้องไปสะกดจิตไม่รับรู้นิ่งแน่นนาน ไม่ใช่อย่างนั้น 

จิตเป็นสมาธิของพระพุทธเจ้านั้นคือ จิตที่ไม่นิ่ง แต่คล่องแคล่ว ว่องไว ทั้งภายนอกภายในด้วย กายปาคุญญตา ทั้ง จิตตปาคุญญตา มีความแคล่วคล่อง ว่องไว ปราดเปรียวทั้งหมดเลย แต่ไอ้ที่นิ่งนั้นคือ กิเลสมันหายไปจากจิตเลย ตัวnewsance ตัวกวนไม่มีมาเลย จะเรียกว่าผีมารซาตานก็แล้วแต่ คือ กลิ ตัวที่เป็นภัยเป็นโทษของจิต นี่คือนัยยะละเอียด จับตัวนี้ให้ได้ ตั้งแต่ หยาบ กลาง ละเอียด ละเอียดมาก จนมันเกลี้ยง จิตบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา อย่างตั้งมั่นแข็งแรงเที่ยงแท้ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) 

หมายความว่าสะอาดชนิดที่เรียกว่า นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

ไม่ใช่ไปหยุดนิ่งแข็งเฉย ไม่ใช่ แต่คล่องแคล่วมีปัญญาเข้าร่วมอย่างสำคัญเลย แล้วรู้ดีรู้ชั่วรู้โลกียะ โลกุตระ ชัดเจนหมด แล้วทำให้สุดยอดของโลกียะ สุดยอดของโลกุตระ สุดยอดเบื้องต้นคืออรหันต์ โพธิสัตว์ระดับ 4 อย่างนี้เป็นต้น  สูงกว่านั้นก็เจริญไปได้ จะต้องเกี่ยวข้องกับความกว้างของจิตที่แตกต่างของแต่ละคน คนคนหนึ่งก็มีแง่มีประเด็นเยอะด้วยและอีกหลายๆคนในโลกใบนี้นับไม่ถ้วนไม่มีวันจบง่ายๆ แต่ให้มากที่สุด 

เพราะฉะนั้นผู้ใดทำให้มากที่สุด ผู้นั้นจบอภิภายตนะ 8 เป็น อภิภู ที่อาตมากำลังอธิบายถึงตรงนี้ จนครอบงำสถานะพวกนั้นได้ มีอิทธิพลเหนือสถานะด้วยความมี อภิภุยฺยะ

นี่คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่อาตมาศึกษาตามก็พอมีหลักฐาน อาตมามีสภาวะลึกซึ้งเหล่านั้น สภาวะที่ละเอียดลึกซึ้งนั้นจะละเอียดกว่าพยัญชนะที่ท่านว่ากันไว้ โดยเฉพาะที่แปลเป็นภาษาไทย ก็แปลไม่ถึง 

อาตมาว่ามาจากบาลีนั้นเข้าถึงมากกว่า เข้าถึงสภาวะมากกว่า เริ่มตั้งแต่ ก หมายถึงสภาวะอย่างไร ข หมายถึงสภาวะเอง ค ฆ ง มีสภาวะอย่างไร อาตมาเข้าใจสภาวะของพยัญชนะเหล่านี้ 

รากเหง้าของภาษาบาลี 

วรรคที่ 1 ก ข ค ฆ ง

วรรคที่ 2 จ ฉ ช ฌ ญ

วรรคที่ 3 ฏ ฐ ฑ ฒ ณ

วรรคที่ 4 ต ถ ท ธ น

วรรคที่ 5 ป ผ พ ภ ม

เศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ

 

สมาธินั่งหลับตาทำจิตให้นิ่ง โลกียะเขาเข้าใจว่าทำจิตให้ทื่อหยุดนิ่ง ซึ่งตรงกันข้ามกับจิตของพระพุทธ แต่ของพระพุทธเจ้านั้นไม่ได้ทำให้จิตหยุดนิ่ง แต่เอาเหตุปัจจัยที่ทำให้จิตไม่บริสุทธิ์ออกไป ที่มันเป็นเหตุแห่งความไม่ดีพาให้ไม่รู้ ไม่พาให้ฉลาดเฉลียว ไม่พาให้เป็นอาริยะ พาไม่เข้าใจโลกุตระ นั่นแหละเอาจิตเหล่านั้นออก จนมันออกไปได้จริงด้วยว่าเนกขัมมะ ออกได้หมด ก็ได้จิตตัวที่มีประสิทธิภาพที่ไม่มีภาษาเรียกแล้ว เป็นจิตที่มีประสิทธิภาพ ทั้งรู้ทั้งฉลาด ทั้งเป็นได้ในตัวเอง แล้วเป็นจิตประเสริฐ เป็นจิตยิ่งใหญ่ เป็นทั้งเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นทุกอย่างเลย เป็นทั้งพระพรหม เป็นทั้งพระโพธิสัตว์ เป็นทั้งผู้ปราบ 

ผู้ปราบบางทีก็แย่งกันระหว่างพระศิวะกับพระราม ท่านแย่งกันเป็นผู้ปราบ ผู้ที่เป็น กลางเรียกว่าพระพรหม ตรีมูรติมี พระศิวะ พระราม พระพรหม ก็แย่งกันไม่เป็นไร แย่งกันเพื่อที่จะช่วยมนุษย์ พระศิวะช่วยในลักษณะปราบ พระรามช่วยในลักษณะสร้างสรรค์ ส่วนพระพรหมก็เป็นกลาง 

สู่แดนธรรม... เขาไม่สามารถหลุดออกจากเทวนิยมหลับตาทำสมาธิ นึกถึงตอนเจ้าชายสิทธัตถะอยู่กับ อาฬารดาบส อุทกดาบส อย่างนั้นใช่ไหมครับ

พ่อครูว่า... คำว่า สมาธิของเทวนิยม จะต้องสะกดจิตให้เป็นแท่งเป็นก้อน แน่นนิ่งหนึบหนับอยู่อย่างนั้นไม่กระดิกอะไร ไม่ออกมา ใครก็เข้าใจ 

แต่ของพระพุทธเจ้าไปเอาเหตุตัวผี ตัวซาตาน ตัวร้าย ตัวกลิ ที่ทำให้จิตไม่แคล่วคล่องว่องไว ไม่ปราดเปรียว มีอิสระเสรีภาพ มีประสิทธิภาพ มีความประเสริฐสูงส่งยิ่งใหญ่ ไอ้ตัวนี้แหละ ตัวกลิ หยาบ กลาง ละเอียด เรียกว่ากิเลสทั้งหลายแหล่ ที่เป็นตัวการ 

ของพระพุทธเจ้าจึงเรียนรู้เหตุ ดับเหตุแล้วทุกอย่างดับหมด เหลือแต่สิ่งที่ประเสริฐ ไม่ต้องไปกดไปข่ม ของพระพุทธเจ้านั้น Dynamic ของฤาษีเทวนิยมมัน Static สรุปเข้าหาวิทยาศาสตร์ 2 ตัวนี้ จบ เทวนิยมอีกฟากโลกียะ จะไปจบที่แค่ Static ของพระพุทธเจ้าเป็น Dynamic และมี Static ด้วย มี 2 อย่าง 

สู่แดนธรรม... ในศาสนาพุทธเมืองไทย เป้าหมายคนเก่งสุดยอดไปถึงแค่ อุทกดาบส อาฬารดาบส แต่พวกหลวงปู่หลวงพ่อในเมืองไทยที่ทำก็ยังไม่เก่งเท่าหรอก แต่แม้เก่งถึง เจ้าชายสิทธัตถะก็ยังเห็นว่าไม่ถูกทาง ยังติดในภพ การไม่ออกจากภพไปไหนได้ แบบนี้เรียกเป็นเทวนิยมใช่ไหมครับ

พ่อครูว่า... ได้ เทวนิยมเป็นภาษารวม จิตจะสร้างพลังงานที่ตัวเองหยุดๆๆๆ ทำให้แน่ให้นิ่งได้ มันก็ได้ ความสามารถนั้นมันก็ทำได้ ตายแล้วก็เป็นอย่างนี้ นรกไม่รู้ไม่เห็นอะไร 

เหมือนพระพุทธเจ้าอุทานว่า ฉิบหายแล้วหนอ จะช่วยได้อย่างไรกับ อาฬารดาบส อุทกดาบส เพราะตัวเองติดในความแข็งสร้างเกราะไม่ให้ใครเข้าไปช่วยได้เลย แข็งแน่นนานไกล หนีออกจากคนอื่นไม่ให้เกี่ยวข้อง ตัวเองก็ไปของตัวเองไม่รู้อยู่ไหน พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าฉิบหายแล้ว อันนี้ช่วยไม่ได้เลย ต้องปล่อยเขาไปตามวิบากเขาไปเอง ซึ่งมันเป็นตัวอย่างที่สุดโต่งขนาดหนัก 

สรุปลง พวกนั่งหลับตาจะไปเก่งที่สุด อุทกดาบส หรือ อาฬารดาบส เท่านั้น เลิกได้แล้ว อย่าดันทุรังเลย อาตมาก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร พูดแล้วพูดอีกก็เหมือน โจรที่พระราชาให้เอาไปฆ่าด้วยหอก 100 เล่มเช้ากลางวันเย็นก็ยังเฉย ใครจะแทงอย่างไร ท้วงติงอย่างไร ใครจะมาเตือนอย่างไร ก็ติดยึดของตนเองอยู่ ที่ติดยึดของตน ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงเลย ก็ตายๆๆ

ซึ่ง อาตมาก็ได้แต่สงสาร ได้แต่พูด อาตมาพูดยิ่งกว่าหอก 100 เล่มเช้ากลางวันเย็น (เสียงดัง น่าจะยางรถแตก) 

ก็น่าจะมีปฏิภาณเข้าใจ นั่งหลับตาสะกดจิต ให้มันแข็ง ให้มันนิ่ง ให้มันแน่น ให้มันนานแบบนั้น มันไม่ใช่ผลทำให้จิตเจริญ จิตประเสริฐ  จิตมีคุณค่า จิตมีประโยชน์อะไรเลย มันทำให้ตัวเองทั้งร่างกายทั้งพฤติกรรม กิริยาต่างๆ หยุดแข็ง ยิ่งกว่าเป็นแท่งเป็นก้อนอะไรไป จิตก็หยุด วาจาก็หยุด กายกรรมก็หยุด หยุดให้นิ่งไปได้นาน ฝึกนั่งสมาธิไปเข้าสมาบัติ 7 วันเขาก็เรียกว่าเก่ง ตัวเลข 7 เป็นเลขที่เป็นพลังงานสูงสุดแล้ว นั่งให้มันเก่งนั่งได้ 7 วัน ออกมาแล้วโอ้โห ยอดสมาธิ มานั่งเลี้ยงกัน เอาอะไรมาเลี้ยงกันบอกว่าสุดยอดแล้ว เข้าสมาบัติเข้านิโรธ ก็ไปหลงความเลอะเทอะนอกเรื่องนอกราวอย่างนั้นกัน 

สู่แดนธรรม... พระปฏิบัติรุ่นใหม่จะบอกว่า วิปัสสนาขณะนั่งหลับตา เขาได้สมาธิแล้ววิปัสสนาเห็นไตรลักษณ์ได้

พ่อครูว่า... คำว่าพิจารณาเห็นไตรลักษณ์ได้มันเป็นจินตนาการ ไตรลักษณ์คือ ความเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ก็ได้แต่ความคิด เขานั่งหลับตาก็ได้แต่สร้างความคิด อะไรมันเกิดมันเกิดอย่างไร เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป มันไม่จบหรอก สายเทวนิยม สายไม่รู้อนัตตตา ไม่รู้ปรินิพพานปริโยสานเขาจึงไม่จบ เทวนิยมสุดท้ายก็ไปอยู่กับพระเจ้า 

คำว่าตายไปแล้วไปอยู่กับพระเจ้า เป็นคำตอบของความจำนน จำนนของเขาตายแล้วเสร็จไปอยู่กับพระเจ้าแล้วก็จบ พูดอะไรไม่ออก ต่ออะไรไม่ได้ ไม่รู้เรื่องอะไรต่อ 

เพราะฉะนั้นเมื่อตายแล้วจะต้องมาเกิดอีกเวียนวนตามกรรมวิบาก เขาไม่รู้จักกรรมวิบากเลย ตายแล้วก็แล้วแต่พระเจ้า แล้วแต่ว่าพระเจ้าจะให้ไปไหน นรก ก็มีภพมีชาติ สวรรค์ก็มีภพมีชาติ

ผู้ที่สูงสุดคือ ตายไปแล้วอยู่กับพระพุทธเจ้าก็อยู่ในภพสวรรค์ สวรรค์ก็คือความสุข ถึงเรียกว่า พวกสุขนิยม สุขเที่ยง อะไรตีใส่ในสิ่งที่พอใจ เหมือนมหาบัวว่า พอใจๆ สิ่งที่พอใจเป็นสุขหมด มหาบัว ก็ไม่รู้ว่าที่ตัวเองพูดพอใจพอใจนั่นแหละ คือสุขนิยมที่นิรันดร นี่ตายแล้วคงไปอยู่กับพระเจ้าแล้วมหาบัวนี่ สุขนิยม 

คำว่า พระเจ้าเป็นภาษาเท่านั้น สภาวะเป็นอันเดียวกัน 

พระเจ้าอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ ลึกลับจนถึงทุกวันนี้ ไม่มีใครรู้ว่าพระเจ้าคืออะไร เทวนิยมไม่รู้จักพระเจ้าคืออะไร ที่จริงแล้วพระเจ้าก็คือตัวเอง คือจิตวิญญาณ แล้วก็ศึกษาจิตวิญญาณคืออะไรจนกระทั่งรู้การเกิดการดับของจิตวิญญาณและทำการเกิดการดับได้ ก่อนจะมาเรียนรู้ความดับ 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ชาติ 5 พาพ้น ขิฑฑาปโทสิกะและมโนปโทสิกะ 

พ่อครูว่า... วันนี้ขอเปิดศักราชเกิดกันก่อน 

การเกิด พระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 7 วิภังคสูตร 

 [7] ก็ชาติเป็นไฉน ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลง 1- เกิด 2- เกิดจำเพาะ 3- ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชาติ ฯ

ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ 

5 คำนี้เป็นการเกิด ที่มีวิชชา มีความรู้ มีปัญญา รู้จักการเกิดที่พระบาลีว่า ชาติ 

ผู้มีปฏิภาณปัญญารู้ว่าการเกิดทั้ง 5 นี้ต่างกันอย่างไร 

การเกิดชาติคืออย่างนี้ การเกิดแบบสัญชาติคืออย่างนี้ การเกิดโอกกันติ คืออย่างนี้ การเกิด นิพพัตติ คืออย่างนี้ การเกิด อภินิพพัตติ คืออย่างไร

อาตมาขอยืนยันอาตมาเป็นพระอรหันต์รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว เป็นโพธิสัตว์ด้วย อธิบายขยายความได้เก่งกว่าอรหันต์ต้นๆ เพราะระดับ 7 เลยจาก อนิยตโพธิสัตว์ มาเป็นนิยตโพธิสัตว์แล้ว 

 

ชาติ คือการเกิด เป็นคำกลางๆ

สัญชาติ คือ การเกิดที่มีสัญญา มีความจำ มีวิบาก ที่ได้สั่งสม แล้วตนเองก็เอาวิบากนั้นมาใช้ ถ้าไม่รู้ ไม่เข้าใจ อ่านเหตุปัจจัยของวิบากไม่ได้ ผู้นั้นก็เกิดสัญชาตญาณ คือธาตุรู้มันเกิดจากเราเกิดอย่างที่ตัวเองเคยเป็น เกิดมาในชาตินี้ก็เอามาใช้ 

จิงโจ้มันเกิดออกมา แล้วมันก็มีสัญชาตญาณบอกว่ามันจะต้องเดินเข้าไปหากระเป๋า ที่จะต้องเป็นที่อยู่ เพราะฉะนั้นจิงโจ้ทุกตัวมันมีสัญชาตญาณ ของมัน 

หรือคนทุกคนมีสัญชาติญาณของตัวเองมาเก่า ก็จะเป็นอย่างนั้น เช่นเด็กทุกคนเกิดมา เกิดมาแล้วรู้จักกินไหม เอานมใส่ปากก็ดูดทันทีเลยเป็นสัญชาตญาณอย่างนั้น เยอะแยะต่างๆนานา ยังขยับไม่ได้ก็ร้องไห้เอา พูดไม่เป็น แม่ก็ต้องแปลภาษาร้องไห้ว่าจะเอาอะไร ต้องการอะไรหรือมันเจ็บปวดตรงไหน ต้องแปลภาษาลูกให้ได้ ถ้าแปลภาษาลูกไม่ได้ก็ร้องไห้อยู่นาน ไม่ได้บำบัดสิ่งที่ต้องการ ถ้าแปลได้ไวก็บำบัดการร้องไห้ของเด็กได้ง่ายขึ้น  

ชาติ คือการเกิดทั้งหมดเรียกว่า ชาติปิทุกขา การเกิดอะไรก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น 

สัญชาติคือเอาของเก่ามาทำให้เกิดตามที่ตัวเองมีมาเรื่อยๆ  

โอกกันติ คือ การหยั่งลง ในปัจจุบัน เมื่อเราเกิดมาแล้ว เกิดมาก็มีจิต มีกาย จิตเราก็จะมีกรรม มีวิบาก หยั่งลงไป ถ้าคนที่มิจฉาทิฏฐิ  คนที่ไม่รู้ดีรู้ชั่ว ไอ้ที่ทำลงไป ถ้ามีต้นรากของกิเลสก็จะได้แต่ชั่วสั่งสมในทางจิตของตนเอง ถ้ามีธาตุดีก็จะมีดีบ้างชั่วบ้าง ถ้าสามารถรู้ความดีความชั่วของโลกีย์นะ ก็จะเลือกเอาที่ดีสะสมลงไป สะสมความดีแบบโลกีย์ ดีที่สุดก็ได้เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่ง แล้วก็สร้างศาสนาเทวนิยม ละชั่ว ประพฤติดี ซึ่งมันไม่เที่ยงหรอก ดีชั่วไปแล้วมันก็ลืม เสร็จแล้วก็มาหาชั่วใหม่ หมุนเวียนกันอยู่อย่างนี้เป็นสมบัติผลัดกันชม นับชาติไม่ถ้วน นับความวนไม่จบ เป็นอยู่อย่างนี้สำหรับโลกีย์

ที่นี้เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ก็พบว่า ถ้าปล่อยให้จิตวิญญาณอัตภาพมันวนเวียนอยู่อย่างนี้ การเกิด ชาติปิทุกขา การเกิดใดๆทั้งนั้นเมื่อมีการเกิด โดยเฉพาะการเกิด 

1.เกิดเป็นจิตนิยาม เมื่อจิตนิยามมีอวิชชาก็เกิดกรรมนิยาม แล้วก็เกิดธรรมนิยาม เมื่ออวิชชา การกระทำกรรมทุกกรรม ก็เป็นวิบากเป็นอันทำของตัวเองทุกกรรม หยาบ กลาง ละเอียด ตั้งแต่คิดพูดทำ ทางกายกรรมก็เป็นการกระทำ สั่งสม ทรงไว้ ของแต่ละคน 

พระพุทธเจ้าก็มาตรัสรู้ว่า

 ต้องเรียนรู้เรื่องของกรรม การกระทำ 

1.มันมีดีมีชั่ว โลกียะเขาก็ต้องพยายามเอาแต่ดี ให้ละชั่วประพฤติดีนี่เป็นโลกียะ ได้ดีต่อไปมันก็ไม่เที่ยง วนอยู่อย่างนั้นไม่รู้กี่ล้านๆชาติ 

พระพุทธเจ้าจึงศึกษาว่าดีก็ดีแหละ แล้วเอาด้วย พฤติกรรมที่มันเป็นกรรมดี ก็เอา เอากรรมดี สุ=ดี ทุ=ชั่ว ก็ทำสุ ให้เป็นสุคติไปเรื่อยๆ สั่งสมแต่ดี 

2. แล้วจะอยู่กับกรรมกับธรรมะความทรงสภาพนี้ ไม่รู้จักจบ สลายจิตวิญญาณนี้ ไม่ให้เป็นจิตวิญญาณเลยได้ไหม ....พระพุทธเจ้าก็เป็นผู้ค้นพบ ว่า อ๋อ.. สลายได้ มันเป็นเหตุปัจจัยของสังขารของการปรุงแต่งกันอยู่เท่านั้น แล้วก็เกิดวิญญาณ แล้วก็มาจบอยู่ตรงนี้ อวิชชา สังขาร วิญญาณ 

พระพุทธเจ้าตรัสรู้วิญญาณ เป็นการปรุงแต่งของ 2 สภาพ เป็นรูปกับนาม จึงเริ่มรู้ว่ามันเกิดจาก 2 สภาพปรุงแต่งกันและเป็นสภาพที่ 3 เป็นสภาพบวกลบ แล้วก็เป็นนาม หมุนเวียนอยู่อย่างนั้นเป็น cyclic order ออกจากสภาพนี้ไม่ได้ มีแต่เสื่อมแล้วก็เจริญ เจริญแล้วก็เสื่อม เสื่อมแล้วก็เจริญ สลับกันไปสลับกันมา สั้นบ้างยาวบ้าง มากบ้างน้อยบ้าง อะไรก็ได้ แต่วนเวียนอยู่อย่างนี้นานไม่รู้กี่ล้านชาติ เทวนิยมก็เป็นอย่างนี้ 

พระพุทธเจ้าแยกรูปนามได้มีสภาวะ 2 พยัญชนะยิ่งใหญ่คือคำว่า เทวฺ แปลว่า 2 นี่แหละคือพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่พ้นโลกีย์ ก็อยู่ตรงนี้ พระพุทธเจ้าแยกรูปแยกนามได้ ว่า มันอาศัยรูปกับนามนี่แหละ วิญญาณนี่แหละ ใน ปุตตมังสสูตร ข้อที่ 4

วิญญาณถ้าแยกรูปเป็นนามเป็นสภาพ 2 ไม่ได้ก็เสร็จ ถ้าวิญญาณแยกรูปนามได้มีปฏิภาณปัญญารู้ว่า รูปก็อย่างหนึ่ง นามก็อย่างหนึ่ง ถ้ารูปแท้ๆ คือพยัญชนะหรือสสาร ถ้านามแท้ๆ คือธาตุรู้ คือจิตวิญญาณ

จิตวิญญาณต้องสัมพันธ์เกี่ยวเกาะ หากจิตวิญญาณอยู่อย่างเดี่ยวโดดๆมันไม่ได้หรอก มันก็จะได้เป็นภพชาติ เป็นวิญญาณล่องลอยอยู่ในจิต  ซึ่งไม่มีใครรู้เห็นด้วยเอามาพูดก็ไม่ได้ 

เทวนิยมศึกษาไม่ได้ แต่พระพุทธเจ้าเป็นศาสนาที่ศึกษาได้ แต่วิญญาณล่องลอย ศึกษาไม่ได้หรอก คุณยึดอย่าง อาฬารดาบส อุทกดาบส ยึดจิตนิ่ง ป่านนี้ก็นิ่งอยู่ในภพชาติอย่างนั้นไม่รู้กี่ล้านชาติ เพราะไม่มีอะไรเกี่ยวกับเขาได้ ใครก็ไม่เกี่ยวกับเขา เขาก็ไม่เกี่ยวกับใคร 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สมณะเดินดิน... ตอนนี้พวกเราอยู่ขั้นไหน โอกกันติหยั่งลงหรือไป อุทกดาบส อาฬารดาบส 

พ่อครูว่า... ถ้าสามารถเอาดีให้มันหยั่งลงได้ก็เจริญ เจริญสูงสุดก็เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่ง แล้วก็ไม่เที่ยงต้องวนเวียนมาเป็นลิ่วล้อใหม่ตามวิบาก เขาไม่เข้าใจกันวิบาก วิบากจึงเป็นเรื่องอจินไตยเป็นเรื่องคิดเอาไม่ได้ ต้องรู้รายละเอียดของกรรมวิบากต่างๆ คือทำอะไรแล้วกรรมจะต้องเป็นผล เป็นของของตน ไม่เอาไม่ได้ เพราะฉะนั้นสั่งสมเป็นอกุศลคุณก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นสั่งสมกุศล พระพุทธเจ้าท่านศึกษาว่าแค่กุศลกับอกุศลเราก็รู้แล้ว ก็เอาที่ดี เลือกเอาแต่ที่ดีให้ได้ จนกระทั่งรู้ว่าจิตนี้มันก็มีดี แต่ที่จริงมันคืออะไร 

จิตมันคือการปรุงแต่งของธาตุ 2 ท่านก็แยกมาเรียนรู้ธาตุ 2 แยกออกมาจากรูปนาม มาเป็น อายตนะ

ตัวนี้ยากมากที่จะเรียนรู้ ผู้ที่เรียนรู้อายตนะ 8 นั่นแหละคือผู้ที่เป็น อภิภู นอกจากจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่รู้จักอายตนะ 8 แล้ว ยังเป็น อภิภุยฺยะ เป็นคนที่อยู่เหนือสภาวะต่างๆนี้ มีอิทธิพลทั้งรู้ทั้งทำได้ ครอบงำสิ่งทั้งหลาย ครอบงำสิ่งทั้งหลายทั้งหมด  

ก็มาเรียนรู้กรรมดี อย่าทำกรรมชั่วเลย ทำแต่ดี ไม่ทำชั่วเลย จึงเป็นผู้ที่รู้ จิตที่มันชั่วคืออย่างไร มีกิเลส และนอกจากมีกิเลสแล้วสมมติของโลกเขาว่าอย่างนี้ดี สมมุติไม่ตรงกันหรอกนะ ชาตินี้ตระกูลนี้อีกฟากหนึ่งถือว่าอย่างนี้ดีจะไม่ตรงกัน ก็เข้าใจในความไม่ตรงกัน ก็ทำตามโลก เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม อันนี้เป็นสมมุติ  เป็นสิริมหามายา ไม่เที่ยง ดีไม่เที่ยง

ความดีไม่เที่ยง ชาตินี้ถือว่าอย่างนี้ดี แต่อีกชาติหนึ่งถือว่าชั่วเลยนะ คนละเรื่องเลย เราก็เอาตามเขา คุณอยู่ในโลกไหนชาติไหน เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม ก็อยู่กันให้สงบ อย่างไปกันได้ ไปด้วยกัน นั่นเป็นสมมุติธรรมดาๆ โอกกันติ

ทีนี้โลกุตระในโอกกันติ รู้จักนิพพัตติ รู้จักการเกิดอีกชนิด ที่ 4 เกิดโดยที่ทำให้เหตุที่มันพาเกิดนั้นไม่มี ดับเหตุที่มันพาเกิดให้ได้ รู้ว่าตัวนี้แหละคือ อวิชชาตัวโง่ มันพาให้เกิดอยู่เรื่อยเลย 

เพราะฉะนั้นถ้าเอ็งมีแต่เหตุทำให้เกิดอยู่ตลอดเวลาเป็นโลกสมุทัย เอ็งก็เกิดอยู่อย่างนิรันดร ก็ต้องรู้ให้ได้ว่า อ๋อ ตัวนี้เป็นเหตุต้องดับมัน ก็มาเรียนรู้ความดับ นิพพัตติ คือ การเรียนรู้เหตุที่มันพาให้เกิด แล้วดับเหตุที่มันพาเกิดนี้ให้ได้ ตั้งแต่ขั้นหยาบ 

สู่แดนธรรม... คำว่า นิพพัตติ คนอินเดีย อ่านว่า นิรวาณ เขาแปลว่ามันเย็น ถ่านที่มันดับแล้วคือนิพพาน

พ่อครูว่า... เย็นคือสมถะ แต่เราต้องดูเหตุ ที่มันโง่หรือมันไม่ฉลาด ที่มันอวิชชาหรือมันเป็นวิชชา มันรู้สภาวะของตัวที่ทำให้โง่ มันก็เลยทำเกิดอยู่เรื่อยๆ ต้องฉลาดว่าตัวเหตุตัวนี้แหละพาเกิด 

สู่แดนธรรม... มันคือเหตุที่ร้อนทำให้หมดไปมันก็เย็นใช่ไหมครับ 

พ่อครูว่า... นี่ไม่มีทั้งเย็นและร้อนมันเป็น 0 ดับเหตุก็เป็น 0 นิพพัตติ จะเริ่มรู้แล้วรู้เหตุดับเหตุ ไม่ให้เหตุมันหยั่งลง โอกกันติ

เหตุที่พาเกิดตั้งแต่หยาบ คุณปรุงแต่งเป็นสังขารโลก ปรุงแต่อยู่กับโลก เช่น ฉันจะต้องเป็นเจ้าโลกเป็นเจงกีสข่าน เป็นจอมยิ่งใหญ่เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐเป็นเจ้าโลกอะไรอย่างนี้ คนก็หลงไปอย่างนั้นจะต้องเป็นอันนั้นให้ได้ แล้วก็แสดงองค์ประกอบ จะเป็นเจ้าโลกได้อย่างไร จะควบคุมทางด้านเศรษฐกิจ ทางด้านอำนาจ ทางด้านอาวุธ อำนาจสร้างความเฉลียวฉลาด อะไรก็แล้วแต่ที่มันจะเป็นเจ้า เป็นตัวกูของกู ผู้มีอำนาจ กูมีข้าวของ กูมีฤทธิ์ กูมีสิ่งที่คนอื่นสู้ไม่ได้ ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าจตุมหาราช ใหญ่สี่ทิศเลย พยัญชนะว่า จตุมหาราช ใหญ่ครอบงำทั้งสี่ทิศในโลกมหาจักรวาลเลย 

หลงเป็นผู้มีอำนาจใหญ่ ข้านี่แหละใหญ่ คนก็ถามว่าดินน้ำไฟลมไม่หยั่งลงไม่ได้ที่ไหน พระพรหมก็บอกว่าข้านี่แหละใหญ่ๆ ถามถึง 3 ครั้ง ก็บอกว่าข้านี่แหละใหญ่ๆ พูดอยู่ต่อหน้าบริวารทั้งหลายแหล่ เสร็จแล้วก็ดึงเข้าหลังม่าน เอ็งมาถามข้าว่า ดินน้ำไฟลมไม่หยั่งลงไม่ได้ ณ ที่ไหน ข้าจะไปรู้เหรอ แต่มาถามฉีกหน้าข้าต่อหน้าบริวารได้อย่างไร ก็เลยให้ไปพบพระพุทธเจ้าเลย 

สู่แดนธรรม... เขาถามว่าดินน้ำไฟลมสิ้นสุดที่ไหน 

พ่อครูว่า....นั่นแหละจะแยกจิตเป็นดินน้ำไฟลม ไม่รวมตัวเป็นชีวะ พีชะก็ไม่มี จิตนิยามไม่เป็น ได้อย่างไร แยกกันเด็ดขาดเลย นั่นแหละเรียกว่าไม่หยั่งลง ทำได้ ทำอย่างไร หยั่งลงที่ไหนหรือไม่ให้มันรวมกันได้อย่างไร พระพรหมก็ไม่รู้ พระพรหมเป็นเทวนิยม ก็เลยไล่ให้ไปหาพระพุทธเจ้า คือ โรหิตัสส จึงไปศึกษากับพระพุทธเจ้า 

ดินน้ำไฟลมหยั่งลงไม่ได้หรือดินน้ำไฟลมไม่รวมตัวเป็นชีวะอีกเลย แม้แต่พีชะ ก็ไม่ได้เป็นอีกเลย จิตนิยามแยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมแตกกระจายไปเลย ได้ ณ ที่ไหน.. ณที่ต้องมีวิชชา ต้องรู้เหตุที่พาโง่ พาเกิดตลอดเวลา 

ตั้งแต่รู้ว่าเกิดอย่างหยาบ เกิดในภพของนรก เกิดอยู่ในภพของความหลงใหญ่ หลงสนุก มีอยู่ 2 อย่าง ใหญ่กับสนุก เรียกว่า ขิฑฑาปโทสิกะ กับ มโนปโทสิกะ 

ขิฑฑาปโทสิกะ คือสนุกสนานบันเทิงเริงรมย์ ก็พากันไป อีกพวกหนึ่งก็คือยิ่งใหญ่ มโนปโทสิกะ เรียกว่า จิต เป็นใหญ่ที่สุด จิตเป็นพระเจ้า 

ขิฑฑาปโทสิกะ คือความสนุกสนานบันเทิงเริงรมย์ความเอร็ดอร่อย เป็นโทษ กับ มโนปโทสิกะ มี 2 อย่างเท่านี้แหละ แยกเป็น 2 อย่างทั้งหมดนี้เลยทั้งโลก รวมลงเท่านี้ 

เมื่อรู้ซะแล้วว่า เหตุที่ทำให้มันติดอยู่ในมโน เหตุที่ทำให้ติดอยู่ใน ขิฑฑา แค่ ขิฑฑา สนุกสนานบันเทิงเริงรมย์เอร็ดอร่อย มันหยาบกว่า มโนอีก ขิฑฑายังไม่รู้เลย ทุกวันนี้ยังปรุงแต่งสนุกสนาน เอร็ดอร่อย กับยิ่งใหญ่มโน สนุกสนานเพลิดเพลินกับยิ่งใหญ่ 

พวกสมาชิกของความสนุกสนานรื่นเริงนี้ มากกว่าสมาชิกของพวกจะไปยิ่งใหญ่ เพราะมันยากกว่า ใช่ไหม จะไปเป็นผู้ยิ่งใหญ่นี้มันยากกว่า แต่สนุกสนานบันเทิงนี้ เป็นตัวที่จะทำให้คนอื่นเขาสนุกสนานรื่นเริงบันเทิง เรียกโดยศัพท์สำนวน เท่ๆว่า ให้ความสุขแก่มวลประชาชน เป็นผู้ทำความบันเทิงให้แก่มวลประชาชน บำเรอเอร็ดอร่อย ก็คือ ขิฑฑาปโทสิกะ 

เพราะฉะนั้นมวลสมาชิกของพวกบันเทิงเริงรมย์จึงมากกว่ามวลที่จะไปแย่งกันใหญ่ ใช่ไหม พวกไปแย่งกันใหญ่ ทำได้ยากกว่ามาก ก็เลยสมาชิกน้อย 

เพราะฉะนั้นต้องเลิกตั้งแต่ อันนี้หยาบรู้ตื้นๆ รู้ง่ายๆ ขิฑฑาปโทสิกะ หรือเรียกอีกศัพท์ว่า นรกปหาสะ นรกสนุกสนานบันเทิงเริงรมย์ 

แล้วก็รู้ว่าอาการของจิตที่ไปติดยึดเอร็ดอร่อย มีอัสสาทะ อยู่กับความสนุกสนานบันเทิงเริงรมย์ อย่างไร มันบำเรออัตตา

มันซ้อน 1. ชนะนึกว่ายิ่งใหญ่ 2. ให้คนอื่นยินดีหรือพอใจ ชอบใจ ยึดติดสนุกสนานไปด้วย ขิฑฑาปโทสิกะ ในโลกที่มี 2 อย่าง บันเทิงเริงรมย์ ร้องรำทำเพลงบรรเลงไป บันเทิงอีกอย่างก็เก่งทางแทคติกต่างๆ เก่งทางฟันดาบ เก่งทางฟุตบอล เก่งทางชกเขา เก่งทางทำร้ายเขา

มันก็มีโรแมนติกกับซาดิสม์ 2 อย่างเท่านี้ ก็มารู้ว่าถ้าขืนไปหลงอยู่กับอันนี้ ก็ไม่รู้กี่ชาติหลุดพ้นไม่ได้สักที ก็มาเข้าใจให้มันรู้ว่า ขิฑฑาปโทสิกะ มันเป็นเช่นนี้ มโนปโทสิกะ มันเป็นเช่นนี้ หลงสนุกสนานเพลิดเพลินเป็นอย่างนี้ หลงในจิตยึดเป็นเจ้าเป็นใหญ่เป็นอย่างนี้ ก็มาลดพวกนี้ 

คุณต้องรู้สภาวะสิ่งที่มันหลงรื่นเริงบันเทิงใจพวกนี้ ขิฑฑาปโทสิกะ กับตัวเป็นใหญ่เป็นยิ่ง มโนปโทสิกะ รู้สภาวะพวกนี้คือเหตุไม่รู้จักจบที่มันจะเกิด เกิดไม่รู้จักจบ ก็มาลดจนกระทั่งจะเป็นใหญ่ก็ไม่เป็น จะเพลิดเพลินก็ไม่เพลิดเพลินแล้ว 

มีปัญญาอันยิ่งที่เข้าใจจริงๆเลยว่า ไม่เพลิดเพลินเป็นอาการอย่างไร เวทนา อาการความรู้สึก สัมผัสแตะต้องอย่างนี้เราก็เป็น อย่างอาตมา เพลิดเพลินสนุกสนานเป็น ทุกวันนี้ก็ยังเล่นๆหัวๆอยู่บ้าง ว่างๆบางทีก็ร้องเพลงเล่น แสดงท่าทางต่างๆได้ แต่ไม่ได้ติดยึด ทำเพื่อเชื่อมโยงกับคนที่ต้องอาศัยอยู่ 

ส่วนเรื่องจะไปใหญ่ไปโตนั้น อาตมาเอาออกไปก่อน มโนปโทสิกะ ไปใหญ่เป็นโทษ มันหลงลึกหลงเนียน สมาชิกน้อย ถ้ารื่นเริงบันเทิงสมาชิกมาก ไม่เอา 

มโนมันน้อยแต่มันใหญ่ เข้าใจไหม มันน้อยแต่มันไปใหญ่ แต่ ขิฑฑาปโทสิกะ มันเล็กแต่มันเยอะ อันนี้มันไปหาปริมาณ อันโน้นมันไปหาคุณภาพ 2 อย่างเท่านั้นแหละ เป็นใหญ่เป็นพวก Quality พวกที่มาเพลิดเพลินสนุกสนานเป็น Quantity เป็นปริมาณ อันโน้นเป็นคุณภาพ เป็นเจ้าโลกเป็นใหญ่ 

อาตมาเลิกจากเป็นใหญ่มาก่อนนะ แล้วมาพยายามเข้าใจ ขิฑฑาปโทสิกะ มาอยู่กับฐานรื่นเริงบันเทิง ลดลงๆ หมดทั้ง มโนปโทสิกะ และ ขิฑฑาปโทสิกะ อาตมาทำให้หมดทุกอย่าง 

อาตมาทำให้หมดก็ได้แล้ว แต่ยังไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็เลยมาอธิบายให้มนุษย์ฟังต่อจนกระทั่งละเอียดจบครบสูงสุดเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง นี่คือปณิธาน ตอนนี้ยังไม่ได้ถึงความเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็เลยเนื้อยยเหนื่อย แล้วมาเกิดในกลียุคนี้ ซึ่งความจริงโลกุตรธรรมมันสูญไปหมดแล้ว อาตมาต้องมากอบกู้ขึ้น ตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้พยากรณ์ไว้ก่อนแล้วใน อาณิสูตร 

แล้วก็กู้ขึ้นมาได้บ้างแล้วตอนนี้ แล้วก็จะต้องมาทำให้มันเป็นกอบเป็นกำ จนกระทั่งจะต้องให้คนนี่ใช้สอยโลกุตระธรรมไปให้ถึง 5,000 ปี

สู่แดนธรรม... เป็นที่มั่นใจได้ว่าทุกอย่างที่พ่อท่านลงแรงเหนื่อยมาทั้งชีวิต พ่อท่านไม่ได้ประสงค์เป็นผู้ยิ่งใหญ่ คนเขากลัวพ่อท่านตรงนั้น 

พ่อครูว่า... ไม่เลย คนที่คิดอย่างนั้น น่าสมเพชเวทนา คุณคิดผิดแล้ว อาตมาไม่ได้คิดเป็นใหญ่อะไรเลย เป็นใหญ่มันหนัก มันหนา มันลำบาก มาเป็นน้อยๆนี่สบาย (สู่แดนธรรม..แต่รับผิดชอบใหญ่จังเลย) รับผิดชอบให้คนเขารู้อย่างที่เรารู้เท่านั้นเอง  เขารู้ผิด เขารู้จะไปเป็นใหญ่เป็นโต เป็นรำเป็นรวย มากมายด้วยรสด้วยชาติอะไรต่ออะไร มันไม่มีจบ มันมีแต่ใหญ่กับใหญ่ มากกับมาก  อัปปิจฉะ มอัปปิจฉะ เราจะให้มาน้อยๆ อัปปิจฉะ อัปปิจฉะ มันคนละทิศคนละทาง เพราะฉะนั้นจึงมาเอาทางหมด ทางจน ทางสูญ ทางไม่มีอะไร อย่าไปเอาทางมาก ทางมาย ทางรวยนั่นเลย มันเข็ดราบแล้วทั้งใหญ่ทั้งมากทั้งรวย เข็ดเลยทั้งขี้อ่อนและขี้แก่ 

สมณะเดินดิน... สรุปจบ

พ่อครูว่า... หลงใหญ่หลงเลิศ มันก็ต้องรบกับคนอื่น คนผู้นี้จึงต้องชื่อประยุทธ์ อาตมาขอบคุณท่านประยุทธ์ 2 อย่าง ท่านรับผิดชอบ ทั้งสองอย่าง อาตมาสบาย 


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2564 ( 21:09:15 )

641231

รายละเอียด

641231_พ่อครูเทศน์ ทำวัตรเช้า ส่งท้ายปีเก่า งาน ว.บบบ เพื่อฟ้าดิน สวดอภิธรรมส่งท้ายปีเก่าให้เข้าถึงนิพพาน

https://www.boonniyom.net/51201.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1Kc0JjitT6ivEjl3ckx6LefM7AF8i0Opq9bkFRV5y9f8/edit?usp=sharing  

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/ae4DifaFTR/

และ https://youtu.be/cus88fqkSd0

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน สวดอภิธรรมส่งท้ายปีเก่าให้เข้าถึงนิพพาน

พ่อครูว่า...วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

ปีเก่ากำลังจะผ่านไป โลกก็สมมุติขึ้นมาเก่าๆใหม่ๆมีคู่ สิ่งใดเกิดมามี 2 ถ้ามันไม่มีจิตวิญญาณมันก็ไม่รู้เรื่อง ดินน้ำไฟลม พลังงานสสารมันก็ต้องมีสองที่ร่วมกันสังเคราะห์สังขารกันไปด้วยกันมาด้วยกัน แยกกันรวมกัน แยกกันกับรวมกันก็เป็นสองเหมือนกัน ก็จะเป็นอย่างนี้ไปตลอดกาลนาน 

ในโลกที่มีจิตวิญญาณขึ้นมาก็จะรู้ ไอ้ตัวที่มันเป็นสสารพลังงานมันไม่รู้ พลังงานมาเป็นบวกเป็นลบ คนก็เข้าใจมีจิตวิญญาณมาเรียนรู้ ดินน้ำลมไฟ มารวมกันเกาะตัวกัน ออกซิเจนเกาะตัวกันกับไฮโดรเจน เป็นธาตุน้ำ วิทยาศาสตร์ก็รู้ มันเป็นอากาศแท้ๆมารวมกันมันก็เป็นหยดน้ำ อาโปธาตุ อะไรต่ออะไรก็มารวมกลุ่มกัน 

แต่ทีนี้มันกลายเป็นชีวะแล้ว อย่างเช่นพืชพวกนี้ ดอกไม้มันกลายเป็นชีวะ มันก็เลยไม่เหมือนดิน เพราะมันมีสังขารตัวมันเอง มันก็เลยเป็นพืช 

พลังงานก็มีอะไรเป็นตัวธาตุอะไรผสมกัน กะหล่ำปลีมีธาตุอะไรผสมกันเป็นกะหล่ำปลี ดอกกุหลาบสีแดงๆเอามา 999 ดอก เขาร้องเพลงกัน มันก็มี มันก็รู้ของมัน มันก็เอาแต่ธาตุมาสังเคราะห์ตัวมันเองเป็นดอกกุหลาบอยู่อย่างนี้ ตามเชื้อของมัน กะหล่ำปลีก็เหมือนกัน 

พอเกิดมาเป็นคนมีจิตวิญญาณมีธาตุรู้ ก็กำหนดรู้และเอามาใช้ ดีไม่ดีก็เอามาทำลาย ทำลายก็ยังไม่เท่าไหร่ เอามาทำร้ายทำเลว มันก็มีอย่างนี้ ภาษาสื่อเป็นภาษาไทยให้รู้สภาพที่คนมีกรรมกิริยา กระทำอย่างนั้นๆ มันควรหรือไม่ควร มันดีหรือมันชั่ว 

ถ้าคนไม่มาศึกษามาสำเหนียกสำนึกบ้างเลย มันก็ทำไป อยากทำอะไรตามกิเลส อยากทำอย่างนี้ ชั่วดีไม่รู้ กูก็ทำ กรรมกิริยานี้ดี กรรมกิริยานี้ก็ไม่รู้ อยากทำชั่วเท่าไหร่ก็ทำทำเลวเท่าไหร่ก็ทำ ทำร้ายเท่าไหร่ก็ทำ มันก็เป็นคนที่ไม่เอาไหนเลย เกิดมาไม่รู้จักกรรมวิบาก ทำแต่กรรมชั่วตลอดชีวิต 

เพราะฉะนั้น คนก็สอนกันมาแนะนำกัน พ่อแม่ก็สอนลูก พี่น้องสอนกันเพื่อนฝูงสอนกัน ครูบาอาจารย์สอนลูกศิษย์ไป เพื่อจะนำพากันไปสู่ที่เจริญ 

คนที่นำพาคนอื่นไปสู่ที่เจริญได้ เรียกว่าเป็นครู ภาษาไทย ซึ่งก็เอามาจากภาษาบาลี ว่า คุรุ เรียกว่าเป็น ปุโรหิต เป็นผู้สอน เป็นผู้ให้ความรู้ต่อ จะได้พัฒนาขึ้นมา คนก็มีการก้าวหน้าพัฒนาขึ้นมา รักษาสภาพที่จะเป็นคนดี ทำดีไม่ทำชั่ว ทำดีไม่ทำชั่ว แต่เขาไม่ได้เรียนรู้จิตเจตสิกรูปนิพพาน 

ศาสนาเทวนิยมก็รู้แต่ดีกับชั่วเป็นโลกียะ ทำแต่ดีไม่ทำชั่ว มันก็ดีระดับหนึ่งโลกียะ เทวนิยมทั้งหลายแหล่ก็รู้กันแค่นี้ เพราะไม่สามารถหยั่งเข้าไปรู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่รู้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ของการเคลื่อนไหว ของจิตของวิญญาณ จิตใจของคนของตัวเอง ไม่รู้จักการเคลื่อนไหว เคลื่อนไหวไปอย่างนั้นอย่างนี้ เคลื่อนไหวก็มีอาการอย่างนั้นอย่างนี้ 

เด็กๆฟังรู้เรื่องไหม ใจของเรามันมีอาการ มันเป็นอาการร้ายๆ อาการดีๆ อาการแรงๆ อาการเบาๆ   อาการดีเป็นอย่างไร  อาการชั่วหรืออาการเลวอาการร้ายเป็นอย่างไร รู้ตัวไหมเด็กๆรู้ตัวไหม อ่านออกไหมจิตใจ ...ออก ออกบ้างไม่ออกบ้าง ซึ่งก็รู้ทุกตัวไม่ได้หรอกมันไม่ทัน 

เพราะฉะนั้นเรารู้ตัวทัน อ่านอาการจิตของเรารู้ตัวทัน อาการตอนนี้เป็นอาการไม่ดีนะ อาการมันชั่ว อาการเลวๆ เอ๊..อย่างนี้มันไม่ดีนะ นี่แหละคือปรมัตถ์หรืออภิธรรมของพระพุทธเจ้า 

ไอ้ที่เขาสวดพระอภิธรรมกันยันรุ่งอะไรก็แล้วแต่ เขาก็ได้แต่สวดตัวหนังสือ เขาไม่ได้เข้ามาเรียนรู้ความจริงรู้ใจเราเองว่ามีอาการอย่างไร เราอ่านใจเราว่าอาการมันเป็นอย่างนี้ อาการมันเปลี่ยนไป เปลี่ยนได้ไหม.. 

บางทีมันไม่ยอมเปลี่ยน มันจะทำอย่างนี้แม้ว่ามันชั่วนะ รู้ว่ามันชั่วมันไม่ดี แต่มันไม่ยอมเปลี่ยน มันจะเอาให้ได้จะทำอย่างนี้แหละ ไอ้นี่ก็ดื้อดึงดันมาก เป็นคนดื้อดึงดันมาก แก้ยาก 

แต่ถ้าคนธรรมดาสามัญไม่ดื้อดึงดันขนาดนั้นถ้ารู้ว่ามันชั่ว ก็จะไม่ทำ อย่าทำ อันนี้แหละคือสุดยอดอภิธรรม สุดยอดปรมัตถ์การศึกษาธรรมะ นี่แหละเรียนรู้ตรงนี้ 

ฟังดูชัดเจนไหมเข้าใจไหม ใครฟังแล้วไม่เข้าใจผู้ใหญ่ด้วยเด็กด้วย ยกมือ นี่แหละคือความจริงอภิธรรมแท้เลย.. แล้วแก้ไขปรับปรุง 

มันมีความจำ มันมีความติดยึด เรียกด้วยศัพท์วิชาการว่าอุปาทาน มันมีความจำอย่างนี้ จำจนกระทั่งไม่ต้องจำมันติดเลย ติดตัวเองเลยเป็นอุปาทาน ยึดอยู่อย่างนั้น มันก็ทำเป็นอัตโนมัติเลยนะ ก็ต้องรู้ให้ทันว่า อาการของใจเราเป็นอย่างนี้ทำอย่างนี้อยู่เรื่อยเลยเป็นอัตโนมัติ รู้ให้ทัน ว่า เอ็งทำชั่วนะ อาการอย่างนี้ของตนเองเป็นอาการชั่ว จิตใจเราเอง 

ผู้ที่ 1 อ่านอาการอย่างนี้ของตนเองได้เรียกว่าเป็นผู้รู้ สักกะและแยกออกว่าอาการอย่างนี้คืออาการชั่วไม่ใช่อาการดีเรียกว่ารู้กาย 

ผู้ที่รู้อาการของตัวเองเกิดปั๊บแล้วก็แยกออกว่ามันดีหรือชั่ว ผู้นั้นรู้ สักกายะ พระพุทธเจ้าสอนสังโยชน์ข้อที่ 1 ให้พ้น สักกายทิฏฐิ 

ทิฏฐิ แปลว่าความเห็น มีภาษาวิชาการอีกคำหนึ่งคือ ปัสสติ ซึ่งแปลว่าเห็นความเห็น ปัสสติ ไม่ใช่ความเห็นไม่ใช่นามธรรม แต่เป็นตัวคำนามเลย ปัสสติเป็นตัวสำเร็จรูปของตากระทบรูป หูกระทบเสียง ภาษาเรียกว่าเห็น ปัสสติ คือการได้ยินเสียง ปัสสติ คือตากระทบรูป ปัสสติ คือหูกระทบเสียง ปัสสติ คือ จมูกได้รับกลิ่น ปัสสติ คือลิ้นแตะรับรส โผฏฐัพพะ เย็นร้อนอ่อนแข็งสัมผัสทั่วสรรพางค์กายกระทบกันแล้วเกิดสภาพรับรู้ ผู้ที่เข้าใจเรียกว่าพ้นสักกายทิฏฐิ 

ที่อาตมาอธิบายขยายความเรียกว่า อุเทส ให้ฟังว่าอาการอย่างนี้มีลักษณะต่างกันเรียกว่า ลิงคะ แล้วคุณก็กำหนดอาการนั้น กำหนดเครื่องหมายอาการของจิตนั้นซึ่งมันเป็นนามธรรม กำหนดเป็นนิมิต นิมิตมันตัวนี้หมายถึงอย่างนี้ 

เราสามารถเห็นจริงไม่รู้สึกสามารถสัมผัสอาการนั้นเรียกว่า ปัสสติ ฟังที่อาตมาเข้าใจเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ ถ้าไม่เข้าใจยังไม่รู้ก็เรียกว่ามิจฉาชีพ รู้ก็เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ 

รู้เฉยๆ ทิฏฐิ แต่ไม่ได้สัมผัสจริงไม่ได้อ่านจริงไม่ได้รู้สึกจริงไม่ได้กระทบจริงไม่ได้มีเหตุปัจจัยของรูปนาม แล้วเห็นเป็นปัสสติจริงๆได้ยินจริงๆได้กลิ่นจริงๆได้รสจริงๆ กระทบเย็นร้อนอ่อนแข็งจริงๆ ถ้ายังไม่เกิดยังไม่มี ปัสสติ เกิดแล้วก็มี ปัสสติ นี่เป็นรายละเอียดของอภิธรรม 

ทุกวันนี้เรียนรู้กันแต่ภาษา พวกหนึ่งเรียนรู้ภาษาอภิธรรมเยอะแยะ แล้วเขาก็ไม่ได้ปฏิบัติอย่างนี้ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งไม่เรียนแล้ว อภิธรรม นั่งหลับตาตะพึด นั่งหลับตาไป หลับตาแล้วจะไปนิพพานหลับตาแล้วก็จะดับ มันก็ดับสัญญา ดับเวทนา ดับความรับรู้ ภาษาไทยก็คือ ความรับรู้ความรู้สึก เวทนาความรู้สึก กำหนดรับรู้คือสัญญา แต่ไปดับสัญญา ดับเวทนา ดับอาการนั้นในจิตของตนเอง มันก็ทำให้ตัวเองโง่ลงๆ หรือโง่ขึ้นๆ โง่หนักก็แล้วกัน มันโง่หนักขึ้น มากเข้าทุกที นี่เขาก็ทำอยู่อย่างนี้อย่างงมงายน่าสงสาร ศึกษาธรรมะกันทุกวันนี้ พวกนั่งหลับตาเป็นโมฆะทั้งนั้น 

แหม.. วันนี้วันสิ้นปีเก่าต้อนรับปีใหม่ไม่ละเว้นเลยนะนี่ว่าเขา การตำหนิมันละเว้นไม่ได้หรอก การตำหนิมันเป็นเรื่องเจริญ ถ้าไม่มีการตำหนิหรือคนไม่มีปัญญาจะตำหนิเขา ที่นั่นที่ใดไม่มีผู้มีปัญญาที่จะตำหนิคนได้ ที่นั่นไม่ใช่ที่เจริญ ที่ที่มีคนตำหนิคนได้และตำหนิได้ถูกต้องตามสิ่งที่ควรตำหนิด้วย ที่นั่นเจริญ รู้ไหมว่าสังคมนั้นเป็นสังคมที่ไหน ...ที่อโศก!(เสียงตอบจากญาติธรรม) โอ้ ทำไมฉลาดจังรู้ความจริงตามความเป็นจริง 

อ้าว เรื่องจริงนะ พวกชาวอโศกเราอาตมาเป็นผู้นำพาเอาโลกุตระธรรม

เอาปรมัตถธรรมของพระพุทธเจ้า มาอธิบายมาอุเทศ หรือนิเทศบ้าง อธิบายขยายความอย่างสั้นอย่างยาวไปเรื่อยๆ แล้วพวกเราก็ได้รับฟัง ขยายเป็นภาษาไทยเรียกว่าเป็นภาษาถิ่น ภาษาปากภาษาพ่อภาษาแม่ Mother tongue ภาษาพ่อภาษาแม่ภาษาฝรั่งเรียกว่า mother tongue 

อย่าง ด.ญ.น้ำตาล(น้ำธารธรรม) ก็ต้องรู้ภาษาฝรั่งมาก่อน แม่เป็นคนไทย แต่ก่อนมาอยู่ที่นี่ไม่รู้ภาษาไทยเลยนะ เพราะอยู่ที่ต่างประเทศแม่ก็พูดแต่ภาษาฝรั่งก็เลยไม่รู้ พอมาอยู่ที่นี่ก็รู้ ได้อีก 2 ภาษานอกจากภาษาไทยแล้วได้ภาษาลาว(อีสาน)อีกนะ 

คนเราก็ใช้อาศัยภาษานี้สื่อ สัตว์เดรัจฉานมันมีภาษาเหมือนกันแต่ภาษามันน้อยไม่เหมือนคน มันก็ส่งเสียงกันรู้กันนิดๆหน่อยๆที่มันรู้ อย่างนั้นอย่างนี้มันก็รู้กันมันก็เข้าใจกัน ตามประสา 

ประสา คำนี้ก็คือภาษานั่นแหละมันก่อนและเพี้ยนมาจากคำว่าภาษา ตามประสา ตามที่สื่อภาษา แล้วก็รู้ตามสิ่งที่สื่อตามประสา ตามภาษาตามประสา แล้วเราก็เข้าใจกันได้ 

อาตมาเกิดมาชาตินี้ได้ภาษาที่จะสื่อมาเป็นภาษาไทยกับภาษาอีสาน อย่างเก่งนะได้ตั้ง 2 ภาษา ลาวที่อีสานพูด เหมือนกับที่ประเทศลาวพูดจริงๆ อาจจะมีบางคำที่ไม่เหมือนกันสำเนียงไม่เหมือนกันนิดหน่อย นอกนั้นก็สื่อเหมือนกันหมด เพราะดินแดนเดียวกันแบ่งเขตกันไปแบ่งเขตกันมา 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน เอกพีชี สกิทาคามี สยังอภิญญา อภิภู สยัมภู 

พ่อครูว่า... เราได้เรียนรู้ความจริงเกิดมาในชาติหนึ่งชาติหนึ่ง ได้มาเรียนรู้สิ่งประเสริฐที่สุด ที่อาตมาพยายามพูดคำว่า 

ความว่า พระพุทธเจ้านี้เกิดเป็นคนเหมือนเรา เหมือนกันทุกคน พระพุทธเจ้าเกิดเป็นคนเหมือนกับเราทุกคน เสร็จแล้วท่านเห็นความสำคัญของมนุษยชาติ ของชีวิตทั้งชีวิต ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้สิ่งที่ดีที่สุด สูงที่สุดสำคัญที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุดตรัสรู้ความรู้ธรรมะโลกุตระ 

เสร็จแล้วชาติสุดท้ายท่านมีหมดทุกอย่างที่โลกเขาจะมี แผ่นดิน ตำแหน่ง ยศศักดิ์หน้าที่ อำนาจต่างๆ ทรัพย์ศฤงคารมีหมด ท่านก็ไม่เอา จากใส่รองเท้าทองก็ทิ้งรองเท้าทองมาเดินพระบาทเปล่า เสื้อผ้าหน้าแพรเครื่องทรงที่เคยหรูหรา ถอดออกหมด นุ่งผ้าบังสุกุลห่มผ้าบังสุกุลแทน แล้วก็ทำงาน เผยแพร่โลกุตรธรรมตลอดพระชนม์ชีพ 

เพราะฉะนั้นธรรมะนี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุดโดยเฉพาะโลกุตรธรรม ที่คนคนหนึ่งที่ชื่อว่าพระพุทธเจ้าใช้เวลาตลอดพระชนม์ชีพมาจนกระทั่งถึงชาติสุดท้ายสำเร็จสูงสุดเป็นพระพุทธเจ้า ก็อยู่กับสิ่งที่สำคัญที่สุดไปจนกว่าปรินิพพานเป็นปริโยสานไป ปรินิพพานไปแล้ว หายไปแล้วพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 ข้อสุดท้าย 

ท่านก็บอกว่าเธอจะเห็นกายเราในขณะที่เรายังมีชีวิต เมื่อเราปรินิพพานไปแล้ว กายเราก็จะไม่มีแล้วเหมือนพวงมะม่วงตัดขั้ว ตกลงมาสู่พื้นแตกกระจาย พวงมะม่วงมันก็หายไปไม่มีอีกแล้ว ไม่รวมตัวติดกันอีกแล้ว ก็หมายความว่าธาตุรู้ที่เป็นธาตุจิตวิญญาณของพระองค์ แยกเป็นดินน้ำไฟลมไปหมดแล้ว ปรินิพพานเป็นปริโยสาน แยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลม กระจาย ไม่รวมตัวกันติดอีกเลย หมดพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นก็หายไปแล้วจบ ธาตุหรืออัตตาของท่าน ที่จะจับตัวกันอีกแล้ว หมุนเวียนตายเกิดเกิดตายชาติแล้วชาติเล่า 

ซึ่งความตรัสรู้สิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้านี้เป็นนักวิทยาศาสตร์ทางชีวะ ทางจิตวิทยาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พวกเราเอาชีวิตวันนี้ ตั้งแต่เรารู้มาจนกระทั่งถึงวันนี้ แล้วเราก็เอาชีวิตมาเรียนสิ่งนี้ ประพฤติสิ่งนี้ ให้ได้รับประโยชน์ได้รับผลของความจริงความรู้และความจริง ปฏิบัติให้เกิดความจริงได้จนถึงเท่าที่เราได้แต่ละคนๆ 

คุณทุกคนที่มาทำ ได้มากหรือน้อยในเวลาสั้นหรือยาวก็แล้วแต่ เห็นจริงว่าสิ่งนี้ดีที่สุดแล้ว คนนั้นมีความเห็นเดียวกันกับพระพุทธเจ้า ว่าไม่มีอะไรหรอก เกิดมากี่ชาติกี่ชาติก็อันนี้แหละดีที่สุด แม้คุณจะไม่มีภูมิเป็นระดับโพธิสัตว์ มีภูมิในระดับกัลยาณชนนี่แหละ แล้วก็เป็นอาริยชน เป็นคนที่มีโลกุตรธรรมรู้โลกุตรธรรม แล้วก็ได้ประพฤติแก่ตัวเองนี้ คุณมีความเห็นความเข้าใจเท่ากันกับของพระพุทธเจ้า ยิ่งใหญ่นะ ยิ่งใหญ่ อภิภูเลยนะ 

อภิภู แปลว่าผู้ยิ่งใหญ่ เพราะมีความรู้จุดสำคัญจุดเดียวกันกับของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เป็นเรื่องพูดตลกพูดเทียบเคียงเล่น แต่เป็นเรื่องจริงความจริงที่ย้ำให้ฟัง 

เพราะฉะนั้นพวกเราเกิดมาในชาตินี้ไปเสียเวลาอยู่ทางโลกบ้าง พอมาเจอทางนี้ก็มาเอาทางนี้ พวกคุณไม่เสียชาติเกิดแล้ว แต่พวกที่เสียเวลาไป ล่าลาภยศสรรเสริญ ติดลาภ ยศ สรรเสริญ พวกข้างนอกที่ไม่เอาทางนี้ยังเสียชาติเกิดอยู่อีกนาน 

คำว่า “เสียชาติเกิด” คำนี้มันหมายถึงขั้น ยังไม่เป็นพระโสดาบัน แต่พวกคุณนี้เป็นโสดาบันขึ้นไปแล้ว ไม่เสียชาติเกิดแล้ว เกิดชาติหน้าต้องมาเป็นโลกุตระบุคคล โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์

ถ้าเป็นโสดาบันขั้นต้น แย่ที่สุดคุณเกิดมาอีกที 7 ชาติ  เรียกว่าโสดาบันขี้กะโล้โท้ เกิดอีก 7 ชาติก็ได้บรรลุธรรม ถ้าเก่งขึ้นมากกว่านั้นก็เป็นโกลังโกละ 6 ชาติบ้างห้าชาติบ้าง 4 ชาติบ้างสามชาติบ้างสองชาติบ้าง  

ถ้าเกิดมาชาติเดียวบรรลุอรหันต์เลย เรียกว่า เอกพีชี ชาติเดียว 

มันมีคำอยู่ 2 คำ คำหนึ่งว่าเกิดชาติเดียวเหมือนกันคือ สกิทาคามี 

สกิทาคามี กับ เอกพีชี แปลว่าเกิดมาอีกชาติเดียวมันต่างกันอย่างไร 

คำว่าเอกพีชีคือ โสดาบัน 

ส่วน สกิทาคามีคือพ้นจากความเป็นโสดาบันแล้ว อย่างไรอย่างไรเกิดมาก็จะเป็นสกิทาคามี แต่โสดาบันนั้นเกิดมาอย่างไรก็เป็นโสดาบัน แต่โสดาบันคนนี้ สามารถเรียนตรงเรียนเต็ม ชาตินี้ชาติเดียวสามารถบรรลุอรหันต์ได้เลย อาจจะมีภูมิเก่ามีบารมีเก่า หรืออาจจะบารมีเก่าไม่พอ แต่มาทำเอาใหม่นี้บารมีใหม่ ขยันพากเพียร เออ ชาตินี้ชาติเดียวได้เป็นอรหันต์เป็น เอกพีชี 

เห็นความ ต่างกันไหม เอกพีชีกับ สกิทาคามี ฟังแล้วเข้าใจไหมเข้าใจนะมีคนตัวเองในของตัวเองข้ามชาติภาษาอังกฤษภิญญาพัชญ์สะสมความเป็นธรรม

รายละเอียดพวกนี้ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ขั้นสยังอภิญญา 

สยังอภิญญา หมายความว่ารู้ข้ามชาติได้ มีของตัวเองในตัวเองข้ามชาติมาได้เรื่อยๆ สยังอภิญญา 

สยังอภิญญา ก็สั่งสมความ อภิภู สั่งสมความเป็นผู้ยิ่งใหญ่ อภิภู แปลว่าผู้ยิ่งใหญ่ สะสม ให้เป็นผู้เจริญขึ้นๆ ยิ่งใหญ่จนเป็น สยัมภู คือเป็นพระพุทธเจ้าเลย 

จาก สยังอภิญญา มาเป็นอภิภู แล้ว ไปเป็นสยัมภู

เพราะฉะนั้นคำว่า อภิภู นี่ จึงหมายถึงคน อาริยบุคคลผู้ยิ่งใหญ่สำคัญเลยทีเดียว มีภูมิธรรมชั้นสูงทันที 

 แม้ว่าเกิดมาในชาติไหนก็ตาม ถ้ามีคุณธรรมขั้นอภิภูมาด้วย คนนั้นก็เป็นอภิภู มาแต่
ชาติก่อนๆ เป็นสยังอภิญญาที่มีคุณธรรมถึงขั้นอภิภูมาก่อนเลย 

อาตมาอยู่ในขั้น 7 เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ไม่ได้มีอภิภูติดตัวมาแต่ต้น อภิภูมาค่อยๆเติมตามหลังมา มันมีเก่าก็ได้ แต่ตัวเองระลึกเอามาใช้ในปัจจุบันยังไม่ได้ ก็ดึงขึ้นมา จนกระทั่งเอามาใช้ได้ 

อย่างอาตมานี้ เพิ่งมาพูดถึงอภิภู ปีนี้เอง บรรยายธรรมะมา 51 ปี ไม่ได้บรรยาย อภิภู เพิ่งมาอธิบายปีนี้เอง ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ 

อาตมาถึงบอกว่า อภิภู พวกเราได้ฟังเป็นกุศลของหูมากเลยนะ ฟังไปก่อน 

_ฝั่งบุญ… ถามเรื่องเอกพีชีต่างจากสกทาคามีอย่างไร เพราะฟังไม่ทัน

พ่อครูว่า... สกทาคามี อย่างไรๆ คุณเกิดมาจากชาตินี้ ชาตินี้คุณมีภูมิธรรมเต็ม โสดาบัน เกิดชาติหน้าอย่างไรคุณก็เป็นสกิทาคามีแน่นอน แต่เอกพีชี ยังไม่ถึงขั้นสกิทาคามีหรอก เกิดชาติหน้าก็ยังเป็นโสดา แต่สามารถทำให้ตนเอง เป็นอรหันต์ได้ในชาตินั้น เหมือนกันกับสกิทาคามี 

ไม่ใช่อรหันต์ก็เป็นอนาคามีขึ้นไป อนาคามีหมายความว่า คนที่ตายจากร่างกายที่ต้องใช้อาศัยดินน้ำไฟลมนี้ แล้วก็มีธาตุนามธรรมของเราเข้ามาร่วม เป็นกาย กายนี้ต้องเป็น 2 มีทั้งจิตทั้งร่าง ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเสื่อมจนกระทั่งในเมืองไทยภาษาไทยเรียกว่ากาย แต่เข้าใจเพียงแต่ว่าเป็นร่างเป็นสรีระไม่มีนามไปร่วมด้วย นี่แหละคือมิจฉาทิฏฐิ ไปไม่รอด ศึกษาธรรมะให้ตายอย่างไรก็ไม่บรรลุธรรม 

อย่างพวกหลับตานี้ทิ้งกายภายนอกเลย จึงเป็นโมฆะบุรุษ เป็นพวกโง่งมงายดักดานเลยจะไม่มีสิทธิ์ได้บรรลุอรหันต์ เพราะว่าทิ้งกายทิ้งส่วนนอก 

เมื่อทิ้งกายทิ้งส่วนนอกแล้ว มันเป็นเหมือนคนพิการแล้ว มีแต่จิตพิการ จิตไม่มีกาย คือจิตพิการ สำหรับคนที่เป็นคน เพราะเป็นคนต้องมีทั้งร่างภายนอกต้องมีธาตุรู้รับรู้ภายนอกอยู่ ถ้าไม่รู้มันก็ไม่ครบแต่ภายในแล้วหลงผิดอีกว่าไปตรัสรู้อยู่แต่ภายในข้างนอกไม่ต้องเกี่ยวเลยอย่าไปรับรู้ อย่างพวกที่สอนหลับตากันหลงผิดหนักๆ บอกว่าอย่าให้จิตส่งออกนอกจิตต้องอยู่แต่ข้างในข้างใน มันก็เลยยิ่งโง่งมงายหนักเข้าไปใหญ่เลย ไม่มีวันที่จะบรรลุเลย แล้วเขาก็หลงว่านั่นแหละคือสิ่งที่ถูกต้อง แล้วเขาก็ดับได้ด้วยนะ ดับเขาก็ว่านั่นแหละคือนิโรธนิพพาน ดับไม่รับรู้อะไรเลย ดับเวทนา สัญญาเป็นอสัญญีสัตว์ ไม่กำหนดรู้สัญญากำหนดรู้อะไรเลย 

พวกนี้ก็น่าสงสารมากเลย เพราะว่าไม่รู้จะช่วยเขาได้อย่างไร เพราะเขาไปยึดมั่นถือมั่นอย่างโน้นตามครูบาอาจารย์ของเขาไป แล้วเขาก็ไม่เชื่อถือโพธิรักษ์ด้วย โพธิรักษ์มาพูดอะไรพวกนี้ก็บอกว่านอกรีตนอกเรื่องนอกราว เถรสมาคม อัปเปหิออกมาแล้ว คนก็เชื่อเถรสมาคม ทั้งๆที่เถรสมาคมนั่นแหละคือโมฆะจากศาสนาพุทธ ..เขาก็ต้องเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ อาตมานี้พูดความจริงเท่านั้นไม่ใช่ไปดูถูกดูแคลนอะไรเขาหรอก 

แต่เขาก็เป็นจริงอย่างนั้นเขาจะเข้าใจเขาจะสำนึกศึกษาดูให้ดีๆก็แล้วแต่คนมีปฏิภาณไหวพริบ ถ้ารู้ว่าที่อาตมาพูดนี้ถูกต้อง เขาเองที่งมงายอยู่กับความผิดเขาก็แก้ไขเขาก็เจริญ แต่ถ้าเขาฟังแล้วเขาก็ยังยึดถืออย่างผิดๆของเขานั่นแหละมันก็ไม่เจริญ ทำไงได้คนก็ช่วยกันไม่ได้ของใครของมัน 

พวกเราจึงเป็นพวกที่โชคดีมาก อาตมาบรรยายธรรมะตั้งแต่เริ่มจนกระทั่งถึงตอนนี้ 07.13 น. เหลืออีก 44 นาทีก็หมดเวลา 

ขั้นอภิภู เป็นคุณสมบัติของผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ อย่างอาตมา สยังอภิญญา เรียนรู้ไป อภิภู คนเราก็เรียนรู้เอาไว้คุย ไม่ได้ว่าหรอกพูดความจริง ไม่ได้ว่าอะไร 

อภิภู ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีคุณสมบัติติดตัวแล้ว คุณสมบัติติดตัวนั้นคืออะไร คือ เป็นกายแล้ว แต่ในอภิภายตนะ 8 ข้อที่ 1 ไม่มีคำว่า กายในพยัญชนะอภิภายตนะ 8 แต่มีธรรมะ มีสัจจะของความเป็น กาย อยู่ในนั้น 

_พระไตรปิฎกเล่ม 10

ข้อ 100 ดูกรอานนท์ อภิภายตนะ 8 ประการ เหล่านี้แล 8 ประการเป็นไฉน คือ

ผู้หนึ่งมีความสำคัญในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็กซึ่งมีผิวพรรณดีและมีผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้เราเห็น อันนี้ เป็นอภิภายตนะข้อที่หนึ่ง ฯ

พ่อครูว่า... รูปภายในกับรูปภายนอก กำหนดรู้กาย ได้พร้อมกันเลย กาย ต้องมีภายนอกและภายในเสมอ 

_ผู้หนึ่งมีความสำคัญในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ใหญ่ ซึ่งมีผิวพรรณดี และมีผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้วมีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น อันนี้ เป็นอภิภายตนะข้อที่สอง ฯ

ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็ก(ปริตตัง) ซึ่งมีผิวพรรณดี และมีผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น อันนี้ เป็นอภิภายตนะข้อที่สาม ฯ

ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ใหญ่(อัปปมาณา) ซึ่งมีผิวพรรณ ดีและมีผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น อันนี้ เป็นอภิภายตนะข้อที่สี่ ฯ

พ่อครูว่า... ในอภิภายตนะ ข้อต่างๆจะรู้ลงไปในรายละเอียดต่างๆ ตั้งแต่ขนาด จนถึงกระทั่งสีสัน 

สู่แดนธรรม... อธิบายอภิภายตนะ  เผื่อเด็กๆให้เข้าใจง่ายขึ้น

พ่อครูว่า... ขอขยายอภิภายตนะ คือ อภิภู+อายตนะ

อายตนะคือสภาพ 2 สภาพ 2 ของการกระทบกัน ตาอาตมากระทบกะหล่ำปลี อย่างนี้เป็นต้นก็เรียกว่าอายตนะ ถ้าไม่กระทบอะไรมันก็ไม่มีสภาพสะพานเชื่อม เมื่อมีตากระทบอันนี้ก็มีสะพานเชื่อมเรียกว่าอายตนะ ขยายแปลตรงนี้ให้ฟังนิดหน่อย

พวกเรานี้ได้เรียนรู้สิ่งที่สำคัญที่สุดเท่ากับ กับที่พระพุทธเจ้าหรือว่าอันนี้สำคัญที่สุดในชีวิต สุดท้ายเกิดเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง แล้วก็ทำในสิ่งที่ทำมาตลอดพระชนม์ชีพจนกระทั่งปรินิพพานหายไปเลยเป็นปริโยสานหายไปเลยในชาติสุดท้าย ท่านก็มาทำงานที่ยอดเยี่ยมที่สุด ที่ได้ค้นหามาตลอดไม่รู้กี่ ล้านๆๆปี พวกเราก็เหมือนกัน ก็สบาย พระพุทธเจ้าท่านค้นพบจุดสำคัญมาก่อนมาออกมาบอกเราเลยลัด ไม่ต้องไปตามเสียเวลาค้นคว้ากว่าจะเป็นพระพุทธเจ้ารู้เท่ากัน 

เพราะว่าพระพุทธเจ้าค้นพบนั้นในสิ่งที่ไม่มีใครรู้ได้แล้ว ท่านต้องมาเป็นผู้รู้คนแรกในเรื่องสุดท้ายอันนี้ ตอนนี้พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก่อนเอามาประกาศเอาไว้ เมื่อประกาศเอาไว้พวกเราก็ได้รับทราบ เราก็ลัดเราก็สามารถปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ไม่ต้องเสียเวลานานเท่ากับพระพุทธเจ้า 

หรือว่าเราเองบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วสามารถจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตายแล้วเลิกไปเลย เป็นดินน้ำไฟลมไปเลยได้ แต่คุณจะยังไม่ยอมตายจะเกิดอีก มาเป็นโพธิสัตว์ต่อ เป็นอนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ เป็น นิยตโพธิสัตว์ต่อไม่มีใครห้ามทำได้ จะไปปรินิพพานเป็นปริโยสานตอนไหนก็ได้ ตอนจบพระอรหันต์แล้ว ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้าแต่ต่อไป ไปๆมาๆก็บอกว่าไม่ไหวแล้วรีไทร์กลางทาง เลิก ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้เป็นสิทธิของเรา แล้วก็เลิกไปเยอะ ไปไม่ถึงที่หมายไปไม่ถึงความเป็นพระพุทธเจ้าเยอะไม่ใช่น้อย ที่ตั้งไปนั้น 100 จะได้สัก 5 ก็ยาก ตั้งเป็นโพธิสัตว์จะเป็นพระพุทธเจ้า 100 คนจะได้สัก 5 ก็ยาก อาตมาก็ไม่รู้จำนวนประมาณตรงนี้ท่านเคยตรัสไว้ไหมพระพุทธเจ้า อาตมาก็ใช้ปฏิภาณไหวพริบพูดไป น่าจะมีพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้บ้างตรงนี้ 

100 คนที่ตั้งปณิธานจะเป็นพระพุทธเจ้า สุดท้ายรีไทร์ออกไปเสียมากจะได้เป็นพระพุทธเจ้าสัก 5 ไม่รู้ว่ามีพระพุทธเจ้าตรัสไว้ไหม แต่ไม่เป็นปัญหาหรอก 

สู่แดนธรรม... พ่อท่านเคยพูดไว้ว่าพระโพธิสัตว์เพื่อนๆกันรีไทร์ไปเยอะแล้ว 

พ่อครูว่า... ขนาดเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็ยังรีไทร์ไป จริงๆแล้วระดับ 7 ไม่ได้หมายความว่ารีไทร์ไม่ได้ ระดับ 7 หมายความว่ามีสิทธิ์ที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้า สอบเข้ามหาวิทยาลัยพระพุทธเจ้าได้แล้ว ระดับ 5 ระดับ 6 ก็ยัง ยังไปเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ยังไม่ได้เป็นอุดมศึกษา ระดับ 7 ขึ้นไปถึงจะเป็นอุดมศึกษา สามารถเข้ามหาวิทยาลัยเป็นพุทธเจ้าได้ ถ้าต่ำกว่านั้น อนิยตโพธิสัตว์ อนุโพธิสัตว์ไม่ได้

เป็นสิ่งที่พระสมณโคดมไม่ได้อธิบายไว้เท่าไหร่ เพราะท่านสอนจบอรหันต์เท่านั้น ท่านไม่เกี่ยวกับโพธิสัตว์ ท่านสอนใบไม้กำมือเดียว หมายความว่าสอนให้เรียนรู้จบอรหันต์เท่านั้น ให้รู้กิเลส จิต เจตสิก รูป นิพพาน แล้วก็ดับกิเลสให้แก่ตนเอง ไม่ต้องไปรู้กว้างรู้มากเหมือนอย่างที่อาตมาอธิบาย พระพุทธเจ้าท่านสอนอรหันต์ไว้แล้ว อาตมาจะจำเป็นไปสอนทำไม ก็พระพุทธเจ้าท่านสอนไปแล้วอาตมาก็มาสอนต่อโพธิสัตว์ ไม่ใช่ว่าอาตมาเก่งกว่าพระพุทธเจ้า แต่อาตมาจะไปซ้ำซ้อนทำไม ก็สอนด้วยแต่พระพุทธเจ้าท่านปูทางไว้แล้ว คนไม่รู้ก็รู้ตามอาตมาได้ แต่ถ้าคนรู้แล้วก็มาเรียนโพธิสัตว์ต่อเหมือนอย่างอาตมา เป็นขั้นๆมา 

สู่แดนธรรม... สอนอรหันต์ เหมือนกับวันสิ้นปีเก่า โพธิสัตว์เหมือนวันขึ้นปีใหม่ 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน คนที่แพ้ไม่เป็นก็เป็นคนเดรัจฉาน 

พ่อครูว่า... พูดถึงเรื่องพวกเรา พวกเรานี้เป็นคนมหัศจรรย์ เป็นคนมหัศจรรย์ไม่ได้พูดเล่นนะ พูดเรื่องจริงพูดความจริง เป็นคนมหัศจรรย์ 

มหัศจรรย์ตรงไหน แค่ไม่ฆ่าสัตว์ ก็เป็นคนมหัศจรรย์แล้ว 

คนไม่ฆ่าสัตว์หมายถึงว่า ไม่ฆ่าคนด้วยนะ อันนี้แหละสำคัญ คน คนนี้แหละอย่างไรๆก็ไม่ฆ่าคน เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ฆ่าสัตว์ โดยเฉพาะไม่กล้าใครไม่ฆ่าคน คนอื่นมาฆ่าเรา เราก็ยังยอม คนนี้แหละคือคนมหัศจรรย์ 

คนใดที่ยังฆ่าเขาตอบ ทำร้ายเขาตอบ คนนั้นยังไม่ใช่คนมหัศจรรย์ 

คนที่เขาทำร้ายเรามันจะเป็นอยู่ 2 อย่าง 

1. ไม่มีทางสู้ สู้เขาไม่ได้ก็ต้องปล่อยให้เขาทำร้าย 

2. คนมีทางสู้และสู้ได้ด้วย แต่ไม่ยอมทำเขา ยอมแพ้เขา นี่คือคนไม่มีตัวตน คนที่ยอมแพ้เขาคือคนไม่มีอัตตาไม่มีตัวตน 

อย่างเช่นทักษิณ ยังไม่พ้นจากความเป็นสัตว์เดรัจฉาน คนที่แพ้ไม่เป็นคือคนที่มีตัวตน เด็กๆรู้เรื่องไหม แพ้ให้เป็นนะ ถ้าแพ้ไม่เป็นก็เป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่ ถ้าหากแพ้เป็น รู้ว่าอันนี้ควรแพ้ควรหยุด ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเราผิด บางทีเราไม่ผิดหรอก เราถูกด้วย แต่เราจะไปแย้งทำไม แย้งไปก็ไม่ใช่เรื่อง แย้งไปเขาก็ไม่รู้ เราไม่มีภูมิรู้พอที่จะแย้งแล้วทำให้เขาเข้าใจว่าเขานั่นแหละผิด เรานี่แหละถูก 

อย่างหลวงปู่นี้ ลาออกมาจากเถรสมาคม ไปยังไม่ได้หรอก เขายังยึดมั่นถือมั่นอยู่ 

สู่แดนธรรม... หลวงปู่ พูดอย่างไรก็ทำได้อย่างนั้น หลวงปู่เคยถูกเขาฟ้องร้อง แต่ชนะด้วยการแพ้

พ่อครูว่า... รู้ว่าแพ้ด้วยปัญญา การยอมคือการไม่ยึดตัวตนไม่ยึดตัวเองแพ้ก็แพ้ แพ้ก็แพ้ชะตาทราม ดวงใจทรงความมั่นคง เพลงผู้แพ้แต่งเมื่อตอนอายุ 20 พอดี 2497 ยังเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์อยู่เลย ถีบจักรยานส่งหนังสือพิมพ์แล้วก็ได้เงินเรียนหนังสือไป เลี้ยงตัวเองไป 

เราเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ถีบจักรยานไปส่งหนังสือพิมพ์ คนที่เขามารับหนังสือพิมพ์จากเรา เขาก็ร้องเพลงผู้แพ้มา ก็ยังเคยนึกเลยว่า จะถามว่าเพลงนี้เพราะดีหรือครับ ผมแต่งนะครับเพลงนี้ บอกไปเขาจะเชื่อไหม เขาก็เป็นผู้ใหญ่แล้วเราก็เป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ เขาก็รับหนังสือพิมพ์จากเรา ร้องเพลงผู้แพ้มาเฉย เราจะบอกว่า เพลงนี้เพราะดีไหมครับ เพลงนี้ผมแต่งนะครับ เขาจะทำหน้าตาเหรอ เด็กคนนี้มันอย่างไร เพราะสมัยนั้น เด็กๆที่จะมาแต่งเพลงดังได้อย่างนี้ไม่มี แต่เดี๋ยวนี้ผู้ใหญ่หายหมดมีแต่เด็กแต่ง เพลงเด็กๆทั้งนั้นผู้ใหญ่หายหมด ผู้ใหญ่แก่แล้วแก่เลยไปหมด 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน คนมหัศจรรย์แบบเดียวกันกับพระพุทธเจ้า

พ่อครูว่า... มาพูดถึงปีนี้ปีใหม่ เจตนาจะพูดอันนี้ พวกเรานี้เป็นคนมหัศจรรย์ มหัศจรรย์ที่พูดไปแล้วตั้งแต่ต้นเมื่อกี้ ว่า มหัศจรรย์เท่ากับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นคนมหัศจรรย์อย่างไรพวกเราเป็นคนมหัศจรรย์อย่างนั้น สำหรับคนที่มีจิตใจรู้ว่าชีวิตคนต้องมาเอาอย่างนี้ ต้องมาเป็นอย่างนี้ต้องไปอย่างนี้ ไปแล้วไม่ไปเอาเรื่องลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอย่างที่เขาเป็น เข้าใจแล้ว มันก็ยังมีอาการกิเลสอยู่บ้าง แต่ว่าไม่เอา ฝืนมัน ฝืนสู้ไม่ไป มาล้างกิเลสตัวที่มี ใครมีความรู้สึกตรงกันอย่างนี้บ้างยกมือขึ้น ...ผู้ใหญ่ยกมือหมด เด็กๆมีบ้างเพราะถูกบังคับมาบ้างจำนวนบ้างที่มาเรียน แต่ผู้ใหญ่เขารู้หมดแล้ว 

ว่านี่แหละคือแดนมหัศจรรย์คือแดนที่ควรจะอยู่ เป็นที่อยู่ของปลาใหญ่ มหัศจรรย์ข้อที่ 8 ของปหาราทสูตร เป็นที่อยู่ของปลาใหญ่ในมหาสมุทรใหญ่ ซึ่งปลาใหญ่ยาว 400 โยชน์ ก็มีอยู่ในที่นี้ เทียบ เป็นปลาใหญ่ในมหาสมุทรที่เป็นแดนใหญ่ที่สุดของโลก น้ำมหาสมุทร มากกว่าดินนะ แล้ว สัตว์อยู่ในมหาสมุทรตัวใหญ่กว่าสัตว์บนดินโลกเยอะ ไดโนเสาร์ตัวเล็กกว่าสัตว์พวกนี้เยอะ แต่สมัยนี้เขาบอกว่าสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว ปลาใหญ่พวกนั้นสูญพันธุ์ไปหมด ชื่ออะไรบ้าง ปลาติมิงคละ ปลาติมิรมิงคละ

เป็นแดนเป็นถิ่นที่สัตว์มหัศจรรย์ สัตว์คือคนนี่แหละอยู่ แล้วก็อยู่อย่างเป็นสุขอยู่อย่างพอใจ อยู่อย่างพัฒนา อยู่อย่างเจริญงอกงาม ชีวิตเราก็เจริญงอกงาม งอกงาม เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านมี โอ้ ท่านมาเอาอันนี้ท่านไปทุกอย่างแล้ว ทรัพย์ศฤงคารอำนาจบาตรใหญ่ ถ้าหากอยู่ต่อไปท่านก็ได้เป็นมหาจอมจักรพรรดิ แต่ท่านไม่เอาท่านมาเอาอันนี้มาเอาโลกุตรธรรมอันนี้ มาทำงานอันนี้ ไม่มีลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แบบนั้นเลย สุขก็ไม่มีแล้ว มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป มาทำอันนี้ เป็นชาติสุดท้าย 

เพราะฉะนั้นเรานี้มหัศจรรย์ เป็นผู้ที่สมัครใจมาอย่างนี้รู้อย่างนี้แล้วไม่ไปอันอื่นแล้ว คุณตรงกันกับพระพุทธเจ้า ใหญ่ไหม? ใหญ่ แล้วไม่ได้พูดเล่นนะพูดเรื่องจริง อันเดียวกันเลย เป็นแต่เพียงว่าคุณยังไม่บรรลุอรหันต์ หรือผู้บรรลุอรหันต์ได้แล้ว แล้วจะรู้จักอนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ จะบำเพ็ญต่อหรือไม่บำเพ็ญต่อก็อยู่ที่เรา มันมีที่จบ 

ธรรมะพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ความจบ ท่านไม่รู้ที่ต้น มันเกิดตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ที่จบรู้ ทำจบได้ หรือ จะไม่ทำจบ จะอยู่ต่อเป็นพระอวโลกิเตศวร หรือเจ้าแม่กวนอิมก็ไม่ยอมจบก็อยู่ไปสิ มีสิทธิ์ ใครจะใช้สิทธิ์นั้นเชิญ อาตมาไม่เอาคนหนึ่ง มันนานไป 

คำว่ามหัศจรรย์คำนี้ แม้แต่คุณรู้ว่าอันนี้ตรงกับพระพุทธเจ้าแล้ว 

เริ่มต้นไม่ฆ่าสัตว์ ตรงกับพระพุทธเจ้าอีก สัตว์ใดๆก็ไม่ฆ่า โดยเฉพาะคนยิ่งไม่ฆ่าใหญ่ คนที่เคยฆ่าคนนั้นยังชั่วมาก คนที่อย่างไรก็ไม่ฆ่าคน แต่เขายังฆ่าสัตว์ ฆ่าปู ฆ่าปลา ฆ่าเนื้อ ฆ่าวัวควายกิน ก็ยังดีกว่า คนที่เขาไม่ฆ่าคนแล้ว อย่างไรเขาก็ไม่ฆ่าคน 

ไม่ฆ่าสัตว์คือคนดีแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าผู้ใดที่เข้าใจสำนึกและไม่ทำจริง เกิดมาในชาตินี้อย่างไรเราก็ไม่ฆ่าคน 2 ไม่ฆ่าคนแล้วยังป้องกันตัว 3 อย่างหลีกหนีไม่ยอมตาย นี่คือคนไม่มีตัวตนยอมตายแต่ไม่ยอมฆ่าคน 

จากนั้นไม่ยอมฆ่าสัตว์ อ้างว่า ฆ่ามาเพื่อกินก็ไม่เอา ไม่ยอมฆ่าสัตว์ แต่ถ้าเผื่อว่าเขาไม่ยอมฆ่าสัตว์ คนคนนี้ต้องมีภูมิธรรมสูงกว่าต้องไม่ยอมฆ่าคนมาก่อน จึงจะไม่ยอมฆ่าสัตว์ต่อ 

เพราะฉะนั้นคนไม่ฆ่าสัตว์จึงคือคนเจริญกว่าคนที่ยังฆ่าคนอยู่ ถูกหรือผิด?.. ถูก เห็นมั้ย 

เพราะฉะนั้นคนที่ยังฆ่าคนอยู่ในโลก ยังสร้างระเบิด สร้างปรมาณู สร้างอะไรมาฆ่ากันโครมๆอยู่นี่ ยังชั่ว 

พวกเราไม่ฆ่าคน ไม่ฆ่าสัตว์ เจริญกว่าคนพวกนั้นไหม เจริญ นี่ไม่ได้พูดเอาเล่น ไม่ได้พูดเล่นลิ้น ไม่ได้พูดเอาดีใส่ตัวแต่มันเป็นความจริง เห็นไหม 

เพราะฉะนั้นคนที่เกิดมาเลิกฆ่าสัตว์เลิกฆ่าคนเลิกฆ่าสัตว์ เลิกเบียดเบียน เลิกทำร้าย ตัดใดๆปล่อยให้เขาอยู่ตามยถากรรมของเขาตามวิบากกรรมของเขา นี่คือศีลข้อที่ 1 มีรายละเอียดดังนี้ เขาศึกษาศีลกันที่ไหน แล้วเขาไม่ได้สังวรระวังดังที่อาตมาพูดนี้หรอก แต่พวกเราสังวรระวังมาอาตมาพาทำจนกระทั่งถึงทุกวันนี้สำเร็จ มีคนจํานวนหนึ่งทำได้สำเร็จ นี่คือความมหัศจรรย์ 

อาตมาทำงานได้คนจำนวนหนึ่ง เท่านี้ก็เท่านี้ ซึ่งถ้าเกิดว่าพระพุทธเจ้าก็น่าจะไม่คุ้มนะ พระพุทธเจ้าสอนคนได้เท่านี้ ก็ไม่ต้องมาเกิดหรอก ให้โพธิสัตว์มาเกิด อาตมาก็มาทำหน้าที่สืบทอดภูมิธรรมนี้ต่อกันไปก็ได้ผลอยู่ ตามฐานะของอาตมาแหละ 

อาตมาภูมิใจที่ได้ทำงานนี้มากกว่าจะได้เงินอีกหมื่นล้านแสนล้าน นี่แหละภูมิใจมากกว่า ยืนยันความจริงทุกวันนี้อาตมาไม่มีเงินหมื่นล้านแสนล้าน ไม่ใช่หมายถึงหมาเห็นข้าวเปลือกหมาเห็นองุ่นเปรี้ยว ตัวเองกินไม่ได้แล้วบอกว่าไม่อยากกิน ไม่ใช่ 

ถ้าสมมุติเล่นๆจะไม่เป็นจริงหรอก ใครเอาเงินหมื่นล้านแสนล้านมาให้อาตมาเดี๋ยวนี้เลยนะ แล้วก็บอกว่า ต้องเอาไปทำอย่างนี้ๆนะ คุณว่าอาตมาเอาไหม.. ไม่เอา 

มีแต่อาตมาจะจ้างคุณอย่าเอามาให้เลย เพราะจ้างให้คุณเอามาให้อาตมาก็ไม่เอาหรอก มีแต่อาตมาจะเอาเงินจ้างคุณว่าอย่าเอามาให้นะ จ้างคุณ 10 บาท อย่าเอาเงินแสนเงินล้านมาให้อาตมาอย่าเอามา พูดกลับไปกลับมานี้หัวหมุนไหมเด็กๆ ฟังเข้าใจทันไหม เข้าใจทันก็เก่ง 

ความมหัศจรรย์ข้อที่ 2 ของศีล ไม่ทุจริต ต่อวัตถุ ต่อพืชพันธุ์ธัญญาหาร มันมีอยู่ในโลก ใครจะสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารเขามีสิทธิ์สร้างของเขา อย่าไปเอาของเขามาในฐานะขโมย อย่าไปเอาวัตถุ อย่าไปเอาสสาร สสารนั้นคือเพชรพลอย คือธนบัตรของเขา อย่าไปเอาของเขามา มันไม่ใช่ของเรา อย่าทุจริต ไม่เกี่ยวกับสัตว์แล้วศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับธาตุอุตุกับธาตุพืช ก็อย่าทำผิดอย่าทำชั่ว 

ผู้ที่ทำได้สำเร็จ กรรมเป็นของของตน ไม่ทำเลย คุณก็บริสุทธิ์ สะอาด ไม่ทำทุจริตนี้อีกเลยทำแล้วเป็นอันทำ ทำแล้วไม่เอา กรรมนี้ทำผิดทำชั่ว ไปทุจริตไปเอาของที่ไม่ใช่ของของเรามาเป็นของเรา ทำแล้วมันเป็นสัจจะ ทำแล้วจะบอกว่าไม่ทำ ทำแล้วบอกว่าไม่เอา ไม่ได้ มันเป็นของคุณ กัมมัสกตา กรรมเป็นของตน นี่เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าแล้วก็จริงที่สุด 

ศาสนาเทวนิยมไม่เข้าใจเรื่องกรรมวิบาก ไม่มีรายละเอียดของกรรมวิบากอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอน แล้วเมื่อมาเป็นคนเรียนรู้ตามตำราตามทฤษฎีพระพุทธเจ้า รู้ว่ากรรมเป็นอันทำ แล้วเราไม่ทำกรรมชั่วอันนี้อีกในศีลข้อที่ 2 มหัศจรรย์มาก 

พวกเรานี้ระมัดระวังเรื่องนี้ แล้วทำได้สำเร็จ ไม่กระทำการทุจริต มหัศจรรย์จริงๆ ในโลกมนุษย์ 

เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังทุจริตอยู่ ยังจะตกนรกไปอีกตั้งเท่าไหร่ วนเวียนลงนรกหนัก นรกใหญ่ เพราะเขาไม่รู้เรื่องกรรมเรื่องวิบากที่เป็นเรื่องจริง ฟังไว้เด็กๆเรื่องกรรมนี้เรื่องใหญ่อย่าไปทำเล่นๆ 

กรรมชั่วกรรมผิด แม้มีประมาณน้อยอย่าทำเสียเลย มันจะเล็กจะน้อยละเอียดอย่างไรที่เป็นของผิดของชั่วอย่าทำเสียเลยเพราะเป็นอันทำ ทำแล้วไม่เอาไม่ได้ จะบอกว่าไม่ทำก็ไม่ได้ ยิ่งใหญ่นะเรื่องกรรมนี้ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่กว่า God เพราะว่า God ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนเลยยังไม่เห็นไม่รู้อยู่ที่ไหน ทางศาสนาเทวนิยมศาสนาพระเจ้าเขาก็ยังไม่เคยเห็นพระเจ้า พระเจ้าทิ้งคำสอนเอาไว้แล้วให้ ปกาศก เอาคำสอนพระเจ้ามาฃอธิบาย 

ที่จริงแล้ว พระศาสดาของเทวดานิยมทุกองค์ ไม่รู้ว่าคำสอนที่ตัวเองเอามาสอนคือคำสอนของตัวเอง ตัวเองสั่งสมมาแต่ละชาติแต่ละชาติสุดท้ายก็มีความรู้คำสอนอันนี้ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองสั่งสมความรู้อันนี้มา ไม่เชื่อว่าตัวเองจะรู้ขนาดนี้ ทำไมมันเป็นความรู้ที่สูงจริงๆ ซึ่งก็สูงจริงๆเป็นความรู้ความดีความชั่วที่สูงจริงๆ ก็ยกให้เป็นของพระเจ้า พระบิดา เราเป็นพระบุตรทำตามก็แล้วกัน ไม่รู้ว่าเป็นของตนที่สั่งสมมาไม่รู้กี่ชาติแล้วเราก็ได้อย่างนี้ ก็เลยเกิดเป็นศาสดาเทวนิยมซึ่งมีหลายองค์ หลายศาสนา 

สู่แดนธรรม...ถ้าศาสดาคิดว่าไม่เป็นของตนเองมีคนคิดว่าไม่เป็นตัวตนได้ไหมครับ 

พ่อครูว่า... โง่ ไม่รู้เรื่องความจริงว่าตัวเองสั่งสมมาเป็นกรรมวิบาก 

สู่แดนธรรม... แสดงว่า พุทธเรา ความไม่มีตัวตนของเราต้องมีความรู้ 

พ่อครูว่า... ใช่สิ รู้กรรมวิบากรู้ว่าเราสั่งสมมาอย่างไร คนรู้กรรมนั้นยิ่งกว่ารู้ God

กรรมคือสัจจะที่สัมผัสได้ ส่วนGod คือสิ่งที่สัมผัสไม่ได้ แล้วอะไรจริงกว่ากัน 

สิ่งที่สัมผัสได้นี่จริงกว่า สิ่งที่สัมผัสไม่ได้ไม่รู้ว่าอยู่ไหน ลึกลับ แล้วมันจะไปจริงเท่าสิ่งที่สัมผัสได้ด้วยตาหูจมูกลิ้นกายได้เหมือนกันทุกคน สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งอย่างนี้ อันนี้เป็นสีสันสีขาวสีไม่ขาวสีแดงสีดำอย่างนี้ ทุกคนก็ตรงกัน แต่อาจจะใช้ภาษากันคนละภาษาเท่านั้น ไทยบอกว่าแดงฝรั่งบอกว่าred ก็เท่านั้นเอง ต่างกัน หรือจะใช้คำอื่นอีกเยอะแยะ มันเป็นเฉทของสีอีกเยอะแยะไป 

ความมหัศจรรย์ในข้อที่ 2 คือศีล เราไม่ทุจริต ต่อสิ่งที่เป็นทั้งวัตถุสสาร จนกระทั่งถึงพืช ที่เป็นชีวะอีกระดับหนึ่งเรียกว่า พีชนิยาม ซึ่งมันไม่ใช่สัตว์ ของพระพุทธเจ้าแยกการทำงานต่างกันออกไป 

แยกออกมาทำไม ไอ้พวกนี้มันไม่มีวิบากมันไม่มีการยึดถือเป็นตัวตน พืชกับสสารมันไม่มีวิบากแต่สัตว์มันมีวิบากมันต่างกันอย่างสำคัญตรงนี้ 

เพราะฉะนั้นคนที่รู้แล้วนี้จริงๆจึงไม่กินสัตว์ ซึ่งมันมีวิบาก ส่วนพืชกับวัตถุ ดินน้ำไฟลม จะเป็นวัตถุที่เป็นอื่นๆที่ไม่ใช่พืชขึ้นมา ซึ่งก็ต้องกินอยู่ เป็นส่วนที่เหมือนธาตุดินธาตุน้ำ เราก็เลี้ยงชีพเราแค่นี้ก็พอแล้ว คนที่รู้ความจริงแล้วไม่ไปต่อวิบากกับสัตว์ตัวไหน ไม่ต่อ ต่อวิบากกับสัตว์มันได้มันเป็นวิบากเป็นอันมาก 

ชีวกสูตร 5 ประการเขายังไม่เข้าใจเท่าไร   แค่เอาอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายพระพุทธเจ้าหรือสาวกพระพุทธเจ้าก็เป็นบาปเป็นอันมาก ทั้งๆที่ตนเองไม่ได้ฆ่าสัตว์เอง แต่เอาอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายพระพุทธเจ้าหรือสาวก มันเป็นอกัปปิยะ ไม่ควรเลย 

ป่วยการจะกล่าวถึงคนที่บอกให้ฆ่าสัตว์ไปจับสัตว์มาผูกสัตว์มา ได้กล่าวชื่อสัตว์นั้นๆ เป็นบาปมากอยู่แล้ว จริงๆไม่ต้องไปกล่าวชื่อสัตว์ แค่มีจิตเจตนาจะไปจับมันมา ยังไม่ต้องถึงไปฆ่านะ กล่าวชื่อสัตว์ตัวไหนที่จะไปจับมันมา เริ่มตั้งแต่ตรงนั้นบาปเป็นอันมาก 

คําสอนพระพุทธเจ้าละเอียดลออสุดยอดเลย 

เพราะฉะนั้นเว้นบาปไม่สร้างบาป บาปทำแล้วล้างไม่ได้ ไม่เหมือนศาสนาเทวนิยมที่ไปสารภาพบาปต่อพระเจ้า พระเจ้าล้างบาปให้ยกบาปได้ ถ้าบาปบุญยกได้ก็สบาย โดยเฉพาะไปอ้อนวอนพระเจ้า ศาสนาอิสลามก็อ้อนวอนพระเจ้าละหมาดวันละ 5 ครั้ง อ้อนวอน 

ศาสนาพระพุทธเจ้าไม่อ้อนวอนเลย เรียนรู้อาการกรรมกริยาต่างๆ แล้วอย่าทำสิ่งที่มันไม่ดี ตามภูมิธรรมของคุณที่คุณรู้ว่าสิ่งไม่ดีมันละเอียดขนาดไหนก็อย่าไปทำสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่ชั่วสิ่งที่เลวสิ่งที่เรียกว่าบาปอกุศลไม่ต้องทำ 

ธรรมะเทวนิยมเรียนรู้แต่ดีแต่ชั่ว ส่วนโลกุตระธรรมนั้นเรียนรู้สุขเรียนรู้ทุกข์ 

ศาสนาเทวนิยมทั้งหลายแหล่ไม่รู้จักสุขจากทุกข์ ติดสุข แล้วไม่เรียนรู้ทุกข์ ทุกข์ถึงตีท้ายครัว หรือว่า เป็นมีดเหน็บหลังอยู่ตลอดเวลาของเทวนิยม เพราะไม่รู้จักทุกข์ ไม่ได้เรียนรู้ทุกข์ ที่เป็นทุกข์อริยสัจ ทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ เพราะทุกข์กับสุขมันแยกกัน ไม่เรียนรู้ 

อันนี้แหละยิ่งใหญ่มาก ศาสนาพุทธเรียนรู้เรื่องสุขเรื่องทุกข์ แล้วเลิกสุขเลิกทุกข์ รู้เหตุที่มันไปติดความสุขความทุกข์ คุณติดความสุขมันก็ติดความทุกข์ คุณติดทุกข์คุณก็ติดสุข 

แล้วเรียนรู้เหตุที่มันติดสุขติดทุกข์ จิตวิญญาณมีตัวเหตุตัวกลิ หรือ กิเลส ตัวสำคัญ อาการของกลิหรือกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด ก็เรียนรู้ตั้งแต่ตัวใหญ่หยาบก่อน อย่าให้มันเกิดอาการนี้ในจิตของเรา ตามศีล เกี่ยวกับสัตว์เกี่ยวกับของ 

มาเกี่ยวกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย นี่เป็นศีลข้อที่ 3 

ศีลข้อที่ 3 นี่แหละ คนเผินมาก ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร บอกในเรื่องทุจริตต่อวัตถุ ต่อพืชพรรณธัญญาหาร โกงกันไป ทุจริตกันมาก็พอเข้าใจ แต่รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสนี่ ละเอียดยิ่งกว่านั้น ติดยึดเป็นสุขเป็นทุกข์อยู่นี่ สัมผัสทั้งนั้น แตะต้องกัน ตากระทบรูป เสร็จแล้วมีตัณหาอุปาทานพอใจได้มา  เออ สุข ได้ดูได้ชมก็เป็นสุข 

ยิ่งได้ไปเค้าดาวน์ยิ่งดี เห็น ได้ดูกะหล่ำปลีหัวใหญ่ ​สวยจังเอาไปสิ ดี เห็นเฉยๆหัวใหญ่ก็ว่า แต่ถ้าเขาให้ก็ยิ่งดีเลย ได้เป็นของเราแล้วได้เอาไปกิน เห็นไหมสัจธรรมพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วมันก็เป็นอย่างนี้แหละ ก็มีตัวตนเป็นหลัก ได้เห็นก็ว่าดี ได้ยินเป็นของเราได้ยิ่งดีถ้ามันชอบ ถ้าไม่ชอบใจก็อย่าเอามานะเอาไปเอาไปเอาคืนไปเกะกะ 

อาการเหล่านี้พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้หมดเลย ถ้าเราจะมีเราจะได้เราก็ทำขึ้นมาเอง ถ้าเราไม่ทำเอง อาตมาไม่ทำเองให้พวกคุณทำแล้วก็เอามาให้ ไม่เอามาให้ก็ไม่ว่าเอามาให้ก็กิน แต่อาตมาทำอันนี้ทำความรู้ธรรมะ ซึ่งมันไม่มีใครทำได้เท่าอาตมา อาตมาทำอันนี้ เป็นหน้าที่เป็นความจำเป็นด้วย เป็นสิ่งสำคัญด้วย ถ้าจะว่าไปแล้ว สำคัญกว่าปลูกกะหล่ำปลีไหม อาตมาอธิบายธรรมะสำคัญกว่ากะหล่ำปลีไหม โอ้โห ราคาแพง 

ไปสร้างปืนสร้างระเบิดเก่งเท่ากับคิมจองอึน กับ อาตมาสอนธรรมะอะไรแพงกว่ากัน ...ธรรมะ พวกเราพูดถูกหมด แต่ข้างนอกเขาก็ว่าสู้ไม่ได้หรอก คิมจองอึนเขาสร้างพัฒนาอาวุธร้ายแรง เขาถือว่ามันทำได้แล้วมาเอามาอวดมาแสดงอวดประสิทธิภาพข่มคนอื่น ข่มคนอื่นเพื่อให้คนอื่นกลัวอำนาจ คนอื่นก็ทำแข่ง แต่ต่างคนต่างปกปิดไว้ ใครทำระเบิดเก่งกว่ากันไม่มีใครรู้กว่ากันเท่าไหร่หรอก แล้ว มันก็เรียนรู้ได้ พัฒนาไปได้วิทยาศาสตร์พวกนี้มันเก่ง 

เขาก็ยังเสียเวลาเกิดชาติแล้วชาติเล่าคิดไอ้เรื่องที่เลวทราม คิดอาวุธมาฆ่ากัน เลวทรามไหม?... 

“คนฉลาดสร้าง…อาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้าง…อาวุธ” พวกเราเป็นคนที่เลิกแล้วเรื่องพวกนี่ 

สู่แดนธรรม... สรุปจบ 


เวลาบันทึก 31 ธันวาคม 2564 ( 20:58:25 )

650101

รายละเอียด

650101_พ่อครูเทศน์ ทำวัตรเช้า วันขึ้นปีใหม่ งาน ว.บบบ เพื่อฟ้าดิน

https://www.boonniyom.net/51199.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/16hwZYOdY3OAhncAqBkcTodFzWL12qsch06poK25mxjc/edit?usp=sharing   

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/112z5EWQagS82fxagArabreW9rIe0B-8G/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่     https://youtu.be/nSuJfXKVQkg 

และ    https://www.facebook.com/300138787516163/videos/900226630679727 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน พรปีใหม่ 2565 อายะ 3 จากพ่อครู สู้ไม่ถอย  

พ่อครูว่า...วันนี้วันเสาร์ที่ 1 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก เริ่มต้นปีใหม่ 2565 ปีฉลูก็ต้องไปฉลุย 

มีข้าวเหนียวพันธุ์สังข์หยด และข้าวเหนียวข้าวเจ้าพันธุ์ต่างๆ มีดอกกะหล่ำ จากศีรษะอโศก มีกล้วย มีหอมแดง หอมใหญ่ ไชเท้า มะละกอ ของบ้านราชฯ เริ่มด้วยอาหารเป็นนิมิตหมาย 

_ขอกราบอาราธนา อยู่กับลูกๆตราบนานเท่านานสืบสานศาสนาพุทธให้รุ่งเรืองและมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ดุจวัยฉกรรจ์ จะไปดุจทำไม เอาจริงๆเลยวัยฉกรรจ์แข็งแรงแข็งแรง ตอนนี้อาตมารู้สึกว่าตัวเองอายุ 18 ร้องฮาทำไม? ก็ความจริง อายุ 18 

ก็ 8-สิบ8 ไง จะไปเรียกทำไมตัวหน้า ก็ 18 ที่จริงมันก็มีแนวโน้ม มีแรงเหนี่ยวนำ เรามีเจตนา เจตนานี่แหละเป็นจุดเริ่มต้น ในนามธรรม 5 เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ นี่เป็นนามทั้ง 5 ในมหาภูตรูป 4 และมี อุปาทายรูป 24 ทำงานร่วมกันสังเคราะห์สังขารกัน เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าอันนี้แล้วเราจะเข้าใจ 

ถ้าเข้าใจรายละเอียดของมหาภูตรูป 4 ดินน้ำไฟลม ก็รู้กันอยู่แล้ว เป็นวัตถุเป็นสสาร ซึ่งเขาก็เรียนรู้กันเก่ง ทุกวันนี้ใช้พลังงานของวัตถุ มาเป็นความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นพลังงานของดินน้ำลมไฟทั้งนั้นเลย 

ทีนี้ความรู้ทางเรื่องของจิตวิญญาณ เป็นพลังงานนามธรรม พระพุทธเจ้าตรัสรู้มา ทุกวันนี้ 2,500 กว่าปี นักวิทยาศาสตร์ของโลก ก็ยังไปไม่เท่าไหร่ แต่พวกเราชาวอโศก เรียนรู้ตามอาตมา อาตมาเป็นผู้ที่ตามพระพุทธเจ้ามาติดๆ ติดมาจนกระทั่งถึงในยุคนี้พระพุทธเจ้าไม่เหมาะสมจะเกิดก็ให้อาตมาเกิดมา สู้หน้ากับผีมารทั้งหลายแหล่ หนักหนาสาหัส แต่ก็สู้ ไม่มีถอย สู้ 

มันยิ่งสู้มันยิ่งดี นักสู้ สู้อย่างมีปัญญา อย่าไปสู้อย่างพวกนักกวนนักเกเร สู้อย่างคนเกเร อย่างคนอันธพาล ไม่ได้เรื่อง ต้องสู้อย่างผู้ดี เยี่ยมยอดมาก 

ปีใหม่ปีนี้ อะไรๆก็ดูท่าทีจะเจริญนะ นี่เป็นความรู้สึกของอาตมา แม้แต่เราชาวอโศก ก็มีนิมิตหมายอะไรต่างๆนานา ให้เห็น Covid เข้ามายับยั้ง เข้ามาทำให้เกิดชะงัก ในสิ่งที่ไม่ควรจะเลยเถิดไป ไม่อย่างนั้นมันจะเลยเถิดจนไม่หยุดยั้ง 

พอ Covid มา ทำให้อบายมุข ต่างๆนานาเยอะแยะ หยุดยั้งไปได้มากเลย ซึ่งไม่มีอะไรที่จะมาหยุดยั้งอบายมุขได้ดีเท่ากับ Covid ฝีมือจริงๆ ขนาดนั้นพวกดื้อด้านดึงดัน จนกระทั่งมีผู้เห็นว่าดื้อด้านดึงดันจะไปตาย ก็ยังไม่ยอมทีเดียว ตัวกิเลสนะ คนเรามันดึงดันดื้อด้านจริงๆ ก็ไม่เป็นไร คนเราไม่เข็ดไม่หลาบก็เป็นไป คนที่ยิ่งดื้อด้านดึงดัน ยิ่งไปให้กำลังของกิเลส กิเลสก็ยิ่งแข็งแรง กิเลสของตัวใครตัวมันนะ กิเลสของตัวเอง มันก็ยิ่งแข็งแรงๆ มันก็เล่นงานตัวเองนั่นแหละ โง่ซับโง่ซ้อน ทำไปไม่รู้ว่าเติมกิเลสให้ตัวเอง แล้วกิเลสไปเล่นงานใคร ก็เล่นงานตัวเองนี่แหละ ทำไมถึงไม่ฉลาดนะ 

เรามาพูดถึงเมืองไทย เมืองไทยตอนนี้นายกฯกำลัง พวกแย่งอำนาจกัน ท่านยังไม่ถึง 70 ก็ยังมีกำลังวังชาดี ทำไปได้อีกนานอีก 10 ปี 20 ปียังได้เลย ถ้าให้นายกฯประยุทธ์ทำไปอีก 10 ถึง 20 ปี เมืองไทยจะพัฒนารุ่งเรืองไปอีกเยอะเลย จะก้าวหน้าไปไกล 

ขณะนี้ว่าไปแล้ว ทางด้านจิตวิญญาณ ประเทศไทยก็ไปไกลกว่าประเทศอื่นเยอะแล้ว เป็นประเทศประชาธิปไตย ที่เป็นประชาธิปไตยสุดยอด เป็นประชาธิปไตยที่มีอธิปไตย 3 โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย ธรรมาธิปไตย สมบูรณ์แบบ 

แล้วก็มีประชาธิปไตยที่มี อายะ 3 เป็นประโยชน์เพื่อมวลมนุษยชาติ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) 

พหุ แปลว่า มาก มันชัดเจนกว่าคำว่าประชาชนเฉยๆ ประชาชนก็คือคนทั้งหลายคนเฉยๆ ประชาก็คน ชนก็คน ส่วนพหุแปลว่ามากมาย ชนหรือชนะก็คือคน แทนที่จะเป็นประชาชนอย่างเดียว แต่อันนี้เป็นพหุชน มันชัดเจนกว่า แปลว่ามาก คนทั้งหลายมากมาย 

ประโยชน์เพื่อคนทั้งหลายมากมาย พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)

พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) ขอเอาคำว่าสุขมาใช้ เป็นกลางๆที่มนุษย์ต้องอาศัยใช้ไปก่อน ส่วนผู้ที่จะไม่มีสุขไม่มีทุกข์ หมดความสุขความทุกข์ค่อยว่ากันอีกที 

ทำให้ประชาชนเป็นอยู่สุข สุขอย่างสงบอบอุ่นสุขอย่างอุดมสมบูรณ์ พหุชนสุขายะเป็นอายะที่ 2

อายะที่ 3 คือ โลกานุกัมปายะ คือ อนุเคราะห์รับใช้ช่วยเหลือโลก เพราะฉะนั้นผู้ใดได้ช่วยเหลือโลก แต่ละคนคนละเล็กคนละน้อยก็ตาม ช่วยเหลือโลกอยู่ โลกก็เป็นไปได้ด้วยดี สมบูรณ์แบบด้วยนะ คําสอนพระพุทธเจ้า ครบสมบูรณ์แบบ 

ประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้าคือ ประชาธิปไตยที่อธิปไตย 3 มี อายะ 3 เป็นเครื่องชี้บ่ง อธิปไตยแปลว่าอำนาจ แปลว่าแรงพลัง อำนาจทางโลก โลกาธิปไตย 

แรงพลังอำนาจทางอัตตา แต่ละคนมีแรงในอำนาจ อัตตาธิปไตย แล้วแรงอำนาจนี้เป็นแรงอำนาจสร้างสรรทำให้เจริญงอกงาม ไม่ใช่แรงอำนาจทำลายล้าง เหมือนอย่างกับที่ โศลกเราใช้ เป็นคนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ 

เขาสร้างกำลังอำนาจที่เลวร้าย ซึ่งแค่นี้เขาก็ไม่สำนึกสำเหนียกไม่หยุดยั้ง มันก็เป็นจริงคนเราก็มีโง่มีฉลาด เขาก็ยังโง่อยู่ เป็นกรรมเป็นวิบากของเขา เขาก็ไม่รู้หรอกเขาทำนั้นเป็นกรรมเป็นวิบาก สัจจะที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้และเอามาประกาศไว้ อาตมาก็นำมาขยายความไปอย่างนี้ 

ทุกวันนี้เพิ่งกระเตื้องขึ้นโลกุตระ ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีจริงมีโลกุตรธรรมจริงแล้วก็พูดจริงเป็นไปจริง แม้จะมีพวกเราเป็นแกนหลัก กลุ่มหมู่ ชุมชนในประเทศที่ทำกันอย่างมีปัญญามีความรู้ ปฏิบัติได้มรรคได้ผล เกิดเป็นสังคมกลุ่มหมู่ที่เป็นพฤติการณ์ของมวลมนุษย์รวมตัวกันอยู่ เป็นพลังงาน เป็นรูปเป็นร่าง แต่เขาก็ยังมองเห็นยากเพราะตาเขาก็ยังไม่ดี อย่างตาถั่วตามัว ตาบอดอยู่ ก็ไม่รู้จะไปบังคับกันอย่างไรได้ จนกว่าจะเห็น จนกว่าเขาจะรู้จะเห็น จนกว่าตาบอดจะเห็นได้ นี่เป็นโศลกเป็นคำที่อาตมาเคยใช้ มันเป็นภาษาโวหารที่สะกิดให้คิด แล้วตาบอดจะเห็นตัวเองไรนั่นสิ มันก็ต้องตาดีขึ้นมาก่อน ตาบอดอยู่จะไปเห็นได้อย่างไร ตาดีขึ้นมาถึงจะเห็นได้ 

เพราะฉะนั้นทำอย่างไรแม้คนตาบอดก็ทำให้เป็นคนตาดี ให้มีแสงสว่างเข้าไปได้ ไปกระทบไปสัมผัส ให้รู้สึกให้เห็นแจ้ง ก็ต้องเปลี่ยนให้ได้พัฒนาให้ได้ 

ในเมืองไทยมีทั้งความจริง มีทั้งความรู้ มีทั้งความส่งเสริมช่วยให้เกิดความรู้ อย่างพวกเรา อย่างอาตมาทำหน้าที่นี้โดยตรง พยายามจะส่งเสริมให้รู้ ทำกันอยู่เต็มที่ ก็ได้ผลจริงๆเลย เพราะว่าคนไทยมีภูมิพอที่จะรับสิ่งที่เป็นโลกุตระ ความจริงความรู้ที่เป็นโลกุตระมันก็ได้ 

ถ้าไปทำในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้เลยนะ คนยังไม่มีภูมิ ยังมีความรับรู้ได้ต่ำ บังคับกันยังไงก็ไม่ได้ บีบบี้ให้รู้มันทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นคนที่รับได้ก็ต้องเป็นแต่ละคนรับได้เอง อย่างพวกเรานี้ มันมีองค์ประกอบ มีเหตุปัจจัย กาละ เวลา โอกาสให้พวกเราได้มานั่งศึกษา ได้มานั่งฟังธรรมปฏิบัติประพฤติรวมกันไป มันเป็นธรรมชาติเป็นอจินไตย เป็นเรื่องคิดเอาไม่ได้แต่เป็นเพราะเหตุปัจจัยที่ครบสมบูรณ์มันจะเป็นเช่นนี้ลงตัว 

มันจึงดูสวยงาม ดูพวกเราเด็กๆก็นั่งฟังธรรม นั่งเป็นแถวเป็นแนวเรียบร้อย ผู้ใหญ่ก็นั่งฟัง จดบันทึกไป เด็กๆเขาก็มีโต๊ะเขียน อาตมาก็มีเรี่ยวมีแรงมีกำลังวังชา ก็ทำเต็มที่ทำสิ่งที่ทำไปทำไป ตามหน้าที่ของแต่ละคนๆ

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ประเทศไทยพัฒนาไปไกลในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์

พ่อครูว่า... วันนี้ปีใหม่ อาตมาก็ได้พยายามให้เขาหาข้อมูลมา ได้ข้อมูลมา ของพลเอกประยุทธ์ พวกที่ดิสเครดิตพลเอกประยุทธ์ ก็เอาแต่เรื่องที่จริงไม่จริง เขาว่ามันไม่จริงเสียเยอะ มาถล่มทลายไป เพื่อที่จะล้มพลเอกประยุทธ์ให้ได้  อาตมาทำงานมาก็พอมีปฏิภาณปัญญารู้ ไม่ใช่พลเอกประยุทธ์ไม่มีผลงานไม่มีฝีมือเลย ทำงานมา 8 ปี มันไม่ใช่ง่ายๆ 

 

สุดปัง!เพจ PMOC เรียงอักษรไทยตั้งแต่ก.-ฮ.โชว์ผลงานรัฐบาลลุงตู่

11 มิ.ย.64 - เพจเฟซบุ๊ก ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี -PMOC ได้เผยแพร่ผลงานรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม โดยเรียงตามตัวอักษรพยัญชนะไทย พร้อมภาพประกอบอักษร ก. ถึง ฮ. ในหัวข้อ “ส่องผลงานสุดปัง! ของรัฐบาล” และติดแฮชแท็ก #ทีมประเทศไทย สำหรับผลงานรัฐบาล ได้แก่

ก - กลางบางซื่อ สถานีกลางบางซื่อ ศูนย์กลางระบบรางที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน

ข- ข้าวค้างสต๊อก ระบายข้าว 16.8 ล้านตัน ช่วยชาวนา

ค- คลองลาดพร้าว พัฒนาชุมชนริมคลองลาดพร้าว คลองโอ่งอ่าง ได้รางวัลระดับโลก คลอง ร.1 จ.สงขลา แก้ปัญหาน้ำท่วมและการชลประทาน , คนละครึ่ง มาตรการเยียวยาช่วยเหลือประชาชนจากสถานการณ์โควิด-19

ง- งาน จ้างงานเด็กจบใหม่ โดยรัฐบาลช่วยอุดหนุนเงินเดือนค่าจ้างให้เด็กจบใหม่ร้อยละ 50%

จ- เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตมีสิทธิทุกที่ (UCEP) จัดระเบียบปรับภูมิทัศน์ย่านเมืองเก่าในกรุงเทพฯ

ฉ- โฉนด รัฐบาลมอบโฉนดที่ดินทั่วไทย นำสุขคลายทุกข์ให้กับประชาชน

ช- เชื่อมฟ้า พัฒนาสนามบินทั่วประเทศ เช่น อาคารเทียบเครื่องบินสนามบินสุวรรณภูมิ ปรับปรุงและพัฒนาสนามบินขอนแก่น สนามบินตรัง สนามบินภูเก็ต สนามบินอุบลราชธานี สนามบินกระบี่ และต้อนรับสนามบินน้องใหม่ สนามบินเบตง จ.ยะลา ,ชลประทาน การบริหารจัดการแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ตามโครงการเพิ่มน้ำต้นทุนเขื่อนภูมิพล และโครงการอ่างเก็บน้ำลำน้ำชี ,ชิม ช้อป ใช้ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จัดสรรเงินงบประมาณให้ประชาชนไปใช้จ่าย

ซ - โซลาร์เซลล์ โซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดเขื่อนสิรินธรใหญ่ที่สุดในโลก ที่ จ.อุบลราชธานี

ด- ดำรงธรรม ศูนย์ดำรงธรรม รับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ ช่วยเหลือประชาชน

ต- ต่อราง สร้างรถไฟฟ้า 9 สาย และโครงการรถไฟทางคู่ อ.หัวหิน, จ.ขอนแก่น, 

จ.สระบุรี และ จ.ลพบุรี

ถ- ถนน จัดระเบียบถนนและการจราจรถนนรัชดาภิเษก จ.กรุงเทพฯ ,สร้างทางหลวงหมายเลข จ.กาฬสินธุ์ เชื่อมไปประเทศลาวได้ ,สร้างทางหลวงแผ่นดินสายใหม่ทั่วประเทศ เช่น ทางหลวงแผ่นดิน จ.ชุมพร และ จ.แม่ฮ่องสอน ฯ

ท- ทารก เพิ่มเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดเป็น 600 บาท/เดือน

ธ- ธงแดง ICAO ปลดธงแดงด้านการบินประเทศไทย

น- เน็ตประชารัฐ ครอบคลุม 24,700 หมู่บ้าน

บ- บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ช่วยลดภาระค่าครองชีพ ลดความเหลื่อมล้ำ ,บ้านประชารัฐ ,เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

ป- ประกันสุขภาพ เพิ่มสิทธิ์ประกันสุขภาพถ้วนหน้าโดยเพิ่มขึ้น ถึง 50 สิทธิ์

ผ- ผืนป่า นโยบายทวงคืนผืนป่า

ฝ- ฝายพับได้ จ.พะเยา ช่วยสำรองน้ำไว้ใช้ช่วงหน้าแล้งได้ตลอดปี

พ- พิการ เพิ่มเบี้ยคนพิการเป็น 1,000 บาทต่อเดือน และเพิ่มอีก 200 บาทต่อเดือน สำหรับเด้กพิการอายุต่ำกว่า 18 ปี และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

ฟ- แฟลตดินแดง พัฒนาที่อยู่อาศัย สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี

ม- มอเตอร์เวย์ สร้างมอเตอร์เวย์สายใหม่ บางปะอิน-นครราชสีมา และ พัทยา-มาบตาพุด ,เมืองไร้สาย นำสายไฟฟ้าลงดิน เพื่อให้มีสภาพแวดล้อมและทัศนียภาพที่ดีขึ้น ,ม.33 เรารักกัน มาตรการเยียวยาช่วยเหลือประชาชนผู้ประกันตน ม.33 จากสถานการณ์โควิด-19

ย- ยุติธรรม กองทุนยุติธรรม ช่วยเหลือประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมทางกฎหมาย

ร- เราชนะ มาตรการเยียวยาช่วยเหลือประชาชนจากสถานการณ์โควิด-19 ,เรือโดยสารไฟฟ้าฝีมือคนไทย

ล- ลดดอกเบี้ยเงินกู้ พรก. ลดดอกเบี้ยเงินกู้ ช่วยลดภาระหนี้ดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับประชาชนและผู้ประกอบการจำนวนมาก

ว- เวชภัณฑ์ รับยา ณ ร้านขายยาใกล้บ้าน และส่งเวชภัณฑ์ถึงบ้าน

ศ- ด่านศุลกากรสะเดา จ.สงขลา เป็นด่านศุลกากรที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้

ส- สวนสาธารณะ โครงการสวนเบญจกิตติ ส่วนต่อขยาย ก่อสร้างโดยกองทัพบก และสวนสาธารณะแห่งใหม่หลังคืนพื้นที่สนามม้านางเลิ้ง ,สะพานเขียวโฉมใหม่ สร้างเส้นคนเดิน และทางจักรยานลอยฟ้าเชื่อมสวนสาธารณะ

ห- หาด จัดระเบียบชายหาด เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ช่วยทัศนียภาพที่ดีขึ้น , 5จี ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยโมเดล BCG และเทคโนโลยี 5G

อ- อีอีซี โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ,ไอยูยู แก้ไขการทำประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ,อุดมศึกษา ก่อตั้งกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม (อว.)

ฮ- ไฮสปีดเทรน โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงสายแรกของประเทศไทย ที่ จ.นครราชสีมา

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สู่แดนธรรม... มีธรรมะอะไรทำให้คนเห็นแก่คนส่วนมากได้ 

พ่อครูว่า... ธรรมะพระพุทธเจ้านี่แหละ ธรรมะที่ทำให้ละตัวตนและความเห็นแก่ตัว เป็นภาษา ความเห็นแก่ตัวคืออะไร ความเห็นแก่ผู้อื่นช่วยเหลือผู้อื่นสร้างสรรค์เพื่อผู้อื่นไปจริงๆ เห็นประโยชน์จริงๆเลยคนที่ฉลาด มีปัญญาจริงๆ 

เราเกิดมาเป็นชีวิตหนึ่งชีวิต เกิดมาแล้วก็กินๆ ขี้ๆ เยี่ยวๆแล้วก็ตาย มันจะได้อะไร มันมีแรงงาน มีมือมีเท้า มีกำลังวังชาเอาออกมาทำ ก็เอาไปทำสร้างสรร เราถนัดอะไร เรามีความรู้ความสามารถอะไร เราก็ทำขึ้นมาอันนั้น อันที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่ไปทำอันที่ทำลาย เอาความรู้ความสามารถแรงงานไปสร้างสิ่งที่ทำลาย ผลาญพร่า ชิบหาย เราก็มีปัญญาพิสูจน์ ปัญญาที่จะตัดสิน อันนั้นมันไม่ควรจะไปทำ ไปทำอันสิ่งที่ควรที่ควรทำ แล้วก็เลือกทำสิ่งที่ควร ทำแล้วแน่นอนสิ่งที่ดีมันก็จะเป็นผลผลิตเป็นแรงงานที่ดี มันก็เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นต่อไปต่อไป 

เกิดมามีลมหายใจมีชีวิต ก็ได้มีแรงงานสร้างตรงนี้แหละ ดูผลงานผลผลิตเต็มหน้าเวที เอามากองเอามาอวดใช่ไหม ใช่ เอามาอวด ทำไม ก็ของดีๆทั้งนั้นเดี๋ยวก็เอาไปกินกันไปแจกจ่ายกันของดีๆทั้งนั้น ก็ทำขึ้นมาโดยน่าภาคภูมิใจ ด้วยฝีมือ ด้วยความรู้ความสามารถ แล้วก็ไม่หวงแหน 

เป็นความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ คนไม่หวงแหน คนที่สะพัดออกเร็ว ไม่มีตัวตนไม่มีของตัวของตน นี่แหละคือความเฉลียวฉลาดของนักเศรษฐศาสตร์ สะพัดให้เร็วไม่ต้องหวงแหน แล้วก็สร้างขึ้นมาใหม่แล้วก็สะพัดออกไป คนมีหน้าที่แต่สะพัดแต่ไม่สร้าง มันก็ไม่ดีเท่าไหร่ ก็ต้องสร้างบ้าง 

สู่แดนธรรม... เป็นหน้าที่ของพ่อค้าครับ 

พ่อครูว่า... มันมีความซับซ้อนซ่อนอยู่ในอันนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้สร้างเป็นศูทร ผู้เอาไปแจกจ่ายเผยแพร่ แพศย์ ผู้บริหารผู้ดูแลคือกษัตริย์ หรือผู้ดูแลความเป็นธรรมะสัจธรรม คือ พราหมณ์ ก็คือ วรรณะทั้ง 4 พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ ศูทร มันคลุมหมดแล้วล่ะ ความหมายของมนุษยชาติ ซึ่งจะไม่ลงลึก 

พูดถึงปัจจุบันธรรมจริง อย่างที่ประเทศไทยกำลังทำ ที่เรามี โศลกปีนี้ เมืองไทยฟังให้ดีๆนะอย่าไปน้อยใจเสียใจว่าเราสร้างอาวุธไม่เป็นสร้างอาวุธไม่เก่ง เราไม่สร้างอาวุธเลยดีมากแล้วล่ะ เอาพลังแรงงาน ความรู้ เวลา มาสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร 

ซึ่งอาตมานี้วันนี้ แม้แต่ปศุสัตว์อาตมาก็ไม่เน้นประมงอาตมาก็ไม่เน้น อาตมาเน้นกสิกรรม มันไม่มีวิบากไม่มีเวรภัย ไม่ไปเบียดเบียนชีวิตอื่นเขา แต่ประมงหรือปศุสัตว์มันเบียดเบียนชีวิตกัน เขาอยู่ตามยถากรรมก็ว่าไป วิบากของสัตว์ สัตว์มันมีวิบากของมันเราจะไปเกี่ยวอะไรกับมันมากมาย จะบอกว่าไปช่วยเหลือ ก็มาทำทางพืชนี่แหละมันใช้ได้ทันทีทันใด มนุษยชาติแม้แต่สัตว์โลกก็ยังอาศัยกินพืชพันธุ์ เราปลูกไว้มันก็มากิน วัวควายบางทีมันก็มากิน 

พืชพันธุ์ธัญญาหารเป็นอาหารกลาง สัตว์ทั้งหลายแหล่กินหมด คนก็กิน พืชพันธุ์ธัญญาหาร แม้แต่แมลงเล็กแมลงน้อยยังกินเลย จนกระทั่งถึงสัตว์ใหญ่ ขนาดระดับไดโนเสาร์มันก็กินพืชพันธุ์ธัญญาหาร 

หรือในแม่น้ำ สัตว์ใหญ่จริงๆมันก็กินเล็กๆ เช่น แพลงตอน กินแหนแดง ตอนนี้เรากำลังพยายามเผยแพร่สร้างแหนแดงขึ้นมา 

 

ขออ่าน sms 

SMS วันที่ 27 ธ.ค. 2564

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน เลข 8 กับพ่อครูผู้เป็นไก่ตัวพี่ในยุคนี้

_ทวี วิมลสุข : ถ้าพ่อครูไม่พูดจะมีใครในโลกนี้จะได้รู้ละครับ

พ่อครูว่า...คนนี้ลึกซึ้งมาก รู้ว่าอาตมาพูดในสิ่งที่ ถ้าไม่มีอาตมาพูด ก็ไม่มีใครได้รู้สิ่งที่มันควรรู้ อันนี้ก็จริง ไม่ใช่อาตมาหลงตัวเองหรอกแต่อันนี้เป็นเรื่องจริง ไปตรวจสอบ ดูเถอะ มากมายเยอะแยะหลายเรื่อง ซึ่งคนจะตรวจสอบไปอีกในอนาคต ตรวจสอบว่าที่อาตมาพูดและเขียนไว้ต่างๆนี่ เขาจะค่อยๆรู้ทีหลัง อาตมาตายไปนั่นแหละเขาจึงจะยกย่องอาตมา อาตมายังไม่ตายพอรู้ตัวบ้างแค่ไหนก็เอาเถอะค่อยๆดูไป แต่อาตมาตายไปแล้ว ซึ่งไม่ใช่พูดอย่างหลงตัวเอง อาตมามั่นใจว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ สืบทอดความรู้เหล่านี้มาจากพระพุทธเจ้าริงๆ ซึ่งท่านตรัสรู้สุดยอดในโลกสุดยอดในสรรพสิ่ง แล้วก็เอามาให้คนนี้รับรู้ทำสิ่งสุดยอดนี้ไว้ 

อาตมาในฐานะ ตอนนี้ขึ้น 8 แล้วนะ 88 แล้ว 18 แล้ว จริง ขึ้น 8 แล้ว จาก 7 ขึ้น 8 แล้ว แล้วคุณธรรมก็เพิ่มขึ้นเป็น 88 เป็นระดับ 8 แล้ว นี่ก็บอกให้รู้นะนี่ ให้สังเกต 

อันนี้ก็จริงที่สุด ถ้าพ่อครูไม่พูดแล้วจะมีใครในโลกนี้รู้หรือไม่ สรุปลงที่อาตมาเป็นไก่ตัวพี่ ถ้าไม่มีอาตมาพูด ในยุคนี้ไม่มีใครจะพูดหรอกถ้าไม่ใช่อาตมา 

สู่แดนธรรม... ผมก็สงสัยว่า ครูบาอาจารย์ที่เคยสอนผมมาว่าหลับตาภาวนาไปเถอะเดี๋ยวจะรู้เอง ทำไมอาจารย์เหล่านั้นไม่รู้เหมือนที่พ่อท่านรู้บ้าง 

พ่อครูว่า... ก็เพราะอาจารย์เหล่านั้นยังผิดทางยังเป็นมิจฉาทิฐิ มันก็ไม่รู้อย่างที่อาตมารู้ สนอย่างที่อาจารย์เหล่านั้นรู้อาตมารู้มาหมด ไม่ใช่ข่ม แต่พูดจริง เพราะอาจารย์ต่างๆที่รู้กันมันไม่มากเป็นของเก่าแก่ อาตมารู้มากกว่านั้นเยอะ ที่เขารู้เป็นของต้นๆ อาตมานี่เป็นนักฟุ้งซ่านมาก่อนไม่ต้องห่วงหรอก แม้ว่าเขาจะฟุ้งซ่านอย่างนั้น อาตมาถึงมาอธิบายเป็น นิรมาณกาย สัมโภคกาย อทิสมานกาย 

พระพุทธเจ้าสรุปแล้วใน พรหมชาลสูตร ไปนั่งฟุ้งซ่าน เอาระหว่างอนาคตกับอดีตปรุงแต่งกันอยู่ในนั้นมีอนาคต 44 มีอดีต 18 ปรุงแต่งกันอยู่ในนั้น อาตมาไม่ได้หยิบเอามาขยายความ เพราะยิ่งยากลึกซึ้งอยู่ ไม่เป็นไรเดี๋ยวผู้มีภูมิธรรมระดับสูงๆ ถึงเวลาวาระเวลาค่อยฟังกัน 

_ตุ๊ก อัศวิน : ขอโอกาสเจ้าค่ะ!! พ่อครูได้โปรดวิเคราะห์ศัพท์คำว่า..'อนุปปคมมะ'..เพื่อความ-เข้าใจได้ถูกตรงกับสภาวะธรรม..เจ้าค่ะ น้อมกราบขอบพระคุณยิ่งเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า...ตอบ คุณยังไม่ถึงหรอก อธิบายไปก็เมื่อยเปล่า ขออภัยไม่ได้ดูถูกดูแคลนก็ติดตามฟังไปอาตมาจะค่อยๆอธิบาย 

อนุปคัมมะ มันคือคุณสมบัติหรือคุณวิเศษ ของผู้ที่ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เรียกด้วยศัพท์ว่า อภิภู ซึ่งรองจาก สยัมภู คือพระพุทธเจ้า อภิภู คือผู้ยิ่งใหญ่สูงใกล้พระพุทธเจ้าเข้าไปแล้ว ซึ่งมีอภิภายตนะ 8 

อภิภายตนะ 8 ข้อที่ 1-8 เริ่มต้นตั้งแต่ข้อที่ 1 เป็นคุณสมบัติคนพิเศษของ อภิภู มีอยู่ในตนอย่างอัตโนมัติแล้ว 

เช่น มีสัญญา มีการกำหนดรู้ ได้เยี่ยมยอด กำหนดรู้พร้อมกันได้ทั้งภายนอกภายใน ไม่ขาด ส่วนผู้ที่ยังหลงผิด กำหนดรู้แต่ภายนอกก็ได้แต่ภายนอก กำหนดรู้แต่ภายในก็ได้แต่ภายในไม่รู้ 2 เป็น 1, 1 เป็น 2 คนยังไม่มีความเร็วความรู้ไหวพริบที่ไวเร็วเพียงพอ ยังช้าอยู่ ยังไม่แววไว ยังไม่มี มุทุภูตธาตุ 

เพราะฉะนั้นผู้ที่มีแม้แต่ข้อแรก ผม เขาก็ยังไม่ได้กัน ยังไม่เป็นกัน อย่าว่าแต่ได้เลยเขาหลงผิดเอาแต่ของภายใน ภายนอกก็รู้ว่าแต่ภายนอกไม่ได้เกี่ยวกับภายในเลย 

ภายในกับภายนอกเขาแยกขาดกัน 2 อย่างขาดกันเลย นี่คือสภาพที่ยาก ไม่ง่ายเลยที่จะรู้ แล้วรู้แล้วก็จะต้องปฏิบัติให้ได้ซึ่งไม่ง่ายอีก  

สู่แดนธรรม...คุณตุ๊กอัศวิน เขาอยากรู้แค่พยัญชนะ อนุปคัมมะ คือ ไม่เข้าไปใกล้ทั้งสองฝ่าย 

พ่อครูว่า... คุณสู่แดนธรรมอธิบาย อนุปคัมมะ ได้ถูกต้องแล้ว อธิบายแทนอาตมาแล้ว ขอบคุณมาก 

 

_ນາງເກດມະນີ ສູກສະຫວັນ  ຂະໜ້ອຍຢູ່ລາວກໍ່ປະຕິບັດທັມເພື່ອບູຊາພໍ່ທ່ານ


เวลาบันทึก 02 มกราคม 2565 ( 21:07:04 )

650105

รายละเอียด

650105_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ชาวอโศกมีความมหัศจรรย์ได้ตามปหาราทสูตร

https://www.boonniyom.net/51200.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1tfK4ddbe0dtI1BVfG9XK6AspiR8MqdN6Y2XGMaKsEK4/edit?usp=sharing 

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1qXKzz2-s5tMcgTiXzwHeZ7Q7AFk3LGvF/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่     https://www.facebook.com/300138787516163/videos/1169232763481041 

และ    https://youtu.be/0YC-FseWGFE

 

สมณะเดินดิน... วันนี้เป็นวันพุธที่ 5 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้อาจจะเห็นภาพพิเศษที่พ่อครูออกอากาศอยู่ในห้องทำงาน เนื่องจากมีสมาชิกบ้านราชฯ ตรวจเอทีเค covid แล้วผลเป็นบวก ก็เลยต้องมีมาตรการป้องกันสูงสุด แต่ยังต้องรอตรวจยืนยันด้วย pcr อีกทีนึง แต่ก็ไม่ประมาท ให้พ่อครูอยู่ในสภาพที่ปลอดภัยสูงสุด 

เราเป็น New Normal รักกันก็อยู่ห่างกันหน่อย อยู่ใกล้กันก็ไม่ปลอดภัยเท่าไหร่ เป็นนิวน้องม่อนของสังคมยุคนี้ 

พ่อครูว่า... ต้องใช้สำนวน สวัสดีปีใหม่ แต่ก็ผ่านไปหลายวันแล้ว 

วันนี้ก็เป็นวันพิเศษที่บ้านราชฯ เราได้รับอะไรเข้ามา ซึ่งเป็นเรื่องสากลมาก แล้วเราก็ไม่ได้อยากจะนิยมสากลอย่างที่ไม่น่านิยม มันก็สุดท้าย มันเก่งจริงๆ covid มาจนได้ จริงๆไปโทษโควิดไม่ได้ เราไปหามันมาเอง เราไม่ระมัดระวังตัวอันนี้ไปโทษ covid ไม่ได้ มันไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร 

พวกเรานี้เป็นคน เป็นมนุษย์ จะต้องเฉลียวฉลาด ต้องทำความหลุดพ้น หลุดพ้นในอะไรต่างๆที่ควรหลุดพ้น ซึ่งคำสอนของพระพุทธเจ้าพระหลุดพ้นนี้สุดยอดมหัศจรรย์สูงสุด เป็นความมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่มากทีเดียว 

เพราะฉะนั้นวันนี้ก็มาพูดถึงความมหัศจรรย์อย่างสำคัญเลยทีเดียว 

SMS วันที่ 3-4 มกราคม 2565

_มุ่ง ตรงธรรม : การตอบข้อสอบเป็นเรื่องการฝึกฝนให้ยอมรับความจริง และวางใจไม่เอาถูกไม่เอาผิด

พ่อครูว่า...ก็เขาจะพยายามให้ตอบให้ถูก แต่จะมาวางไม่ถูกไม่ผิด ก็ตั้งใจศึกษาให้ดีๆ 

 

ปัสสติกับเวทนาต่างกันอย่างไร

_เรืองรุ่ง พลังบุญ : กราบนมัสการเจ้าค่ะ ปัสสะติกับเวทนาเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไรคะ


เวลาบันทึก 06 มกราคม 2565 ( 19:26:11 )

650105

รายละเอียด

650105_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ชาวอโศกมีความมหัศจรรย์ได้ตามปหาราทสูตร

https://www.boonniyom.net/51200.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1tfK4ddbe0dtI1BVfG9XK6AspiR8MqdN6Y2XGMaKsEK4/edit?usp=sharing 

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1qXKzz2-s5tMcgTiXzwHeZ7Q7AFk3LGvF/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่     https://www.facebook.com/300138787516163/videos/1169232763481041 

และ    https://youtu.be/0YC-FseWGFE

 

สมณะเดินดิน... วันนี้เป็นวันพุธที่ 5 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้อาจจะเห็นภาพพิเศษที่พ่อครูออกอากาศอยู่ในห้องทำงาน เนื่องจากมีสมาชิกบ้านราชฯ ตรวจเอทีเค covid แล้วผลเป็นบวก ก็เลยต้องมีมาตรการป้องกันสูงสุด แต่ยังต้องรอตรวจยืนยันด้วย pcr อีกทีนึง แต่ก็ไม่ประมาท ให้พ่อครูอยู่ในสภาพที่ปลอดภัยสูงสุด 

เราเป็น New Normal รักกันก็อยู่ห่างกันหน่อย อยู่ใกล้กันก็ไม่ปลอดภัยเท่าไหร่ เป็นนิวน้องม่อนของสังคมยุคนี้ 

พ่อครูว่า... ต้องใช้สำนวน สวัสดีปีใหม่ แต่ก็ผ่านไปหลายวันแล้ว 

วันนี้ก็เป็นวันพิเศษที่บ้านราชฯ เราได้รับอะไรเข้ามา ซึ่งเป็นเรื่องสากลมาก แล้วเราก็ไม่ได้อยากจะนิยมสากลอย่างที่ไม่น่านิยม มันก็สุดท้าย มันเก่งจริงๆ covid มาจนได้ จริงๆไปโทษโควิดไม่ได้ เราไปหามันมาเอง เราไม่ระมัดระวังตัวอันนี้ไปโทษ covid ไม่ได้ มันไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร 

พวกเรานี้เป็นคน เป็นมนุษย์ จะต้องเฉลียวฉลาด ต้องทำความหลุดพ้น หลุดพ้นในอะไรต่างๆที่ควรหลุดพ้น ซึ่งคำสอนของพระพุทธเจ้าพระหลุดพ้นนี้สุดยอดมหัศจรรย์สูงสุด เป็นความมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่มากทีเดียว 

เพราะฉะนั้นวันนี้ก็มาพูดถึงความมหัศจรรย์อย่างสำคัญเลยทีเดียว 

SMS วันที่ 3-4 มกราคม 2565

_มุ่ง ตรงธรรม : การตอบข้อสอบเป็นเรื่องการฝึกฝนให้ยอมรับความจริง และวางใจไม่เอาถูกไม่เอาผิด

พ่อครูว่า...ก็เขาจะพยายามให้ตอบให้ถูก แต่จะมาวางไม่ถูกไม่ผิด ก็ตั้งใจศึกษาให้ดีๆ 

 

ปัสสติกับเวทนาต่างกันอย่างไร

_เรืองรุ่ง พลังบุญ : กราบนมัสการเจ้าค่ะ ปัสสะติกับเวทนาเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไรคะ


เวลาบันทึก 06 มกราคม 2565 ( 19:39:36 )

650107

รายละเอียด

650107_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ คนถือศีล 5 ได้ ถือเป็นความมหัศจรรย์อย่างยิ่ง 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1T9YfKply7JpDmVKBPeH9vZi_Gioqo_MXimXVH1rcvQA/edit?usp=sharing 

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1ncgbirctqlXM171Hc2BZ213XdYLY-W8G/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/1038502010340589    

และ   

 

สมณะเดินดิน... วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 7 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก วันเด็กปีนี้นายกให้คำขวัญว่า “รู้คิด รอบคอบ รับผิดชอบต่อสังคม” รู้สึกว่าไม่ใช่เพียงเด็กเท่านั้นที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคม สถานการณ์ตอนนี้ ยิ่งเป็นผู้ใหญ่ยิ่งต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมเพียงพอ แต่ตอนนี้สงครามโรค ยังไม่จบ การติดเชื้อ ยังทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ตอนนี้ ทั้งโรคติดเชื้อ 299 ล้าน เกือบ 300 ล้านคน ตายไป 5 ล้านคน 

ประเทศไทยจากเดิมยอดลงมาเหลือ 3,000 ตอนนี้ขึ้นไปเป็น 7,000 แล้ว มีนายแพทย์ใหญ่ๆคาดการณ์ว่า ตัวเลขต้องขึ้นไปถึง 10,000 หรือ 30,000 ก็ได้ 

มีหมอหลายคนออกมาบอกประชาชนว่า เชื้อ Omicron ที่กลายพันธุ์ไปนี้จะไม่รุนแรง จะไม่ลงปอดลึก จะอยู่ช่วงต้นๆของปอด พยายามพูดในมุมที่ไม่น่าห่วงไม่น่าวิตกเท่าไหร่ แต่คุณหมอประกิตที่เป็นคณบดีแพทย์ศิริราช ติงว่า อย่าให้ประชาชนประมาทว่าติดแล้วไม่เป็นไร เพราะจริงๆแล้วถ้าติดเชื้อแม้แต่ Omicron ก็ไม่มีใครรับประกันว่าจะไม่เสียชีวิตจะไม่เป็นอันตรายได้ บางคนก็ฉีดบ้างไม่ฉีดบ้างกับวัคซีนเปอร์เซ็นต์ก็ยังเสี่ยงอยู่ สรุปแล้วก็ไม่ควรประมาท ควรมีความรับผิดชอบต่อสังคม การป้องกันที่ดีที่สุดก็คือ สวมหน้ากาก หมั่นล้างมือ พยายามอยู่ในห้องที่มีการถ่ายเทอากาศได้ดี จะทำให้สังคมเกิดความปลอดภัย 

พ่อครูว่า... ขอโอภาปราศรัยกับ SMS สักหน่อย 

 

_ประทีปธรรม : ในการสอบว.บบบ.ครั้งนี้ ลูกได้รับประโยชน์ตอนทำข้อสอบอัตนัยค่ะ

   มันเกิดอาการอึ้ง..เขียนไม่ออก เพราะได้สำนึกรู้ว่า การสอบอัตนัยครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา เป็นการตอบจากความรู้ จึงได้ข้อสรุปแก่ตนเองว่า… การเขียนคำตอบจากความรู้ มันไม่ใช่ของจริง

     สิ่งที่ดียิ่งกว่า คือ เขียนคำตอบ จากสภาวะตนเอง 

     “ลูกยังสู้เพื่อพัฒนาตนเองให้เจริญยิ่งขึ้นค่ะ”

กราบขอบพระคุณพ่อครู และท่านสมณะสิกขมาตุทุกรูปค่ะ

พ่อครูว่า...มีนัยยะสำคัญ ความรู้ของเราเองมันเป็นความรู้ ก็แค่บัญญัติ พยัญชนะแค่ภาษา แค่ตรรกะ หรือมันเป็นความจริง มันเป็นความรู้ในขั้นถึงความจริงของปรมัตถ์ ความจริงของจิตเจตสิก รูป นิพพาน สภาวะธรรมเลย นี่เป็นความรู้ที่เจริญขึ้นดีขึ้นมากเลย 

 

อาหารเลี้ยงโลก อาหารเป็น 1 ในโลก

SMS วันที่ 5 - 6 มกราคม 2565

_คอยใคร : กราบเคารพพ่อครูครับ หลายวันก่อนได้ยินคนมาบ่นเรื่องของแต่งบนเวที ผมว่าเขาคงฟังธรรมเป็นอย่างเดียวแต่ไม่เคยฟังทำ ดูแล้วเขาฟังธรรมแบบพวกนั่งหลับตาไม่รู้ไม่เห็นอะไรที่คนเขาทำดีๆมาให้ดู 

ผมมองว่า ผลหมากรากไม้ที่มาวางบนโต๊ะหน้าเวที เป็นการบอกถึงชาวอโศกที่ฟังธรรมพ่อครูแล้วทำครับ ทำที่ว่าคือ สามอาชีพกู้ชาติ 

ของที่มาวางบนโต๊ะนั้นก็คือ 1ในธรรมะที่พ่อครูให้ทำคือ กสิกรรมไร้สารพิษ เมื่อทำได้ดีก็เอามาบอก มาให้เห็นมาอวดของดี ๆ ที่พ่อครูชอบพูดว่าอวดของดี ๆ ผิดตรงไหน แล้วก็ไม่มีจิตหวงของเหล่านั้น ทำแล้วก็แจกจ่ายในและนอกชุมชน การมาวางผลผลิตของชุมชน ผมก็ยังไม่เห็นว่ามันผิดตรงไหน หรือเขาอยากให้วางกระป๋องผ้าป่า กระป๋องกฐินติดแบงค์ปลิวว่อนถึงจะเป็นพุทธแท้ ๆ 

ผมเข้าใจผิดถูกประการใด กราบขอพ่อครูชี้แนะด้วยครับ 

พ่อครูว่า...คุณเข้าใจถูกต้องแล้วดีมาก ขยายความแทนอาตมาไปได้อย่างดีมากทีเดียว เพราะฉะนั้นผู้ที่ฟังอยู่ก็คงมีปฏิภาณปัญญาพอ จะเข้าใจได้ดีว่า ผลผลิตที่เราเอามาโชว์ เป็นเจตนาโชว์จริงๆ เจตนาแสดงออกให้เห็นว่านี่แหละเป็นของที่ควรทำ แล้วอาตมาก็พยายามเร่งรัดพัฒนา พยายามที่จะส่งเสริม พยายามจะปลุกเร้ากัน ให้ทำกสิกรรมธรรมชาติ กสิกรรมไร้สารพิษ ให้เจริญ ให้ล้น ให้เกิน ให้เหลือเฟือเลยในประเทศไทย แล้วเราจะได้แจกจ่ายออกไปเลย 

เพื่อจะพิสูจน์คำว่า อาหารเลี้ยงโลก อาหารนี่แหละเป็นหนึ่งในโลก ที่คนมีอาหารเป็น กวฬิงการาหาร ต้องจำกัดความตรงนี้ด้วยเพราะมันจะมี  ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร จะไม่ลงลึกในอาหาร 4 

กวฬิงการาหาร เป็นอาหารคำข้าวที่กินเข้าไปเลี้ยงรูปขันธ์ นี่แหละคือสิ่งที่จะยังชีพได้ทั้งเดรัจฉาน ทั้งมนุษยชาติ ทุกระดับ ไม่ว่าคนดีคนไม่ดี ไม่ว่าคนจนคนรวย คนชั้นต่ำชั้นสูงทั้งนั้น ไม่มีใครละเว้น เรื่องอาหาร 

อาตมาเห็นว่าเป็นหนึ่งในโลกดังที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้จริงที่สุด 

ท่านตรัสว่า “ข้าวเปลือก เป็นทรัพย์อย่างยิ่ง”  “ อาหารเป็นหนึ่งในโลก “ 

ข้าวที่แต่ละประเทศก็เน้นเป็นแป้งชนิดที่มีวิตามินต่างๆ ในแป้งนั้นๆหรือข้าวนั้นๆ แต่ละพันธุ์ ก็สำคัญยิ่ง ทีนี้ก็คัดสรรคัดพันธุ์ สิ่งที่มีประโยชน์ ไทยเราก็มีเยอะพันธุ์ ที่จะเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิต 

เพราะฉะนั้น ผู้ที่สามารถเข้าใจจุดสำคัญอันนี้ แล้วทำตามที่อาตมาว่า เร่งรัดพัฒนาสร้างอาหารคือ พืชพันธุ์ธัญญาหาร ให้เจริญงอกงามจริงๆ เราจะเป็นผู้ที่มีประโยชน์ จะเป็นประเทศเจริญ เจริญชนิดที่พิสูจน์ให้โลกรู้เลย ในอนาคตว่า 

“คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ” 

เอาจบไปที่ตรงนี้ก่อนก็แล้วกัน 

เพราะฉะนั้นคนที่หลงอยู่ทุกวันนี้ให้ศึกษาดีๆ อย่าไปหลงสร้างอาวุธเป็นอำนาจ แต่อาตมาขอยืนยันว่า อาหารนี่แหละเป็นอำนาจ แต่เราจะไม่เรียกเป็นอำนาจ จะเรียกว่าเป็นคุณค่าประโยชน์หนึ่งในโลก ถ้าอาวุธนั้นเป็นโทษเด็ดขาดแน่นอน 

 

เปิดใจคือปรโตโฆษะจึงมนสิการอย่างมีอัญญธาตุได้

_เดชา อำพร : ข่าวสารของกลุ่มคนไทยในต่างประเทศ(บางกลุ่ม,มีปรากฏในยูทูป) พูดถึงบางเรื่องที่สัมพันธ์เชิงการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งต่างจากที่ผู้นำอโศกสรุป...

ซึ่งเราขอพูดคร่าวๆ คือผู้นำอโศกไปสรุปว่า ท่านนั้นท่านนี้เป็นโพธิสัตว์ระดับ6บ้าง5บ้าง4บ้าง หรือกระทั่งระดับปุถุชนคนธรรมดาท่านก็ยังไปตีขลุมเหมาให้ว่าเป็นโพธิสัตว์ไปด้วย  แต่มีการวิเคราะห์และเผยแพร่ข่าวสาร(ซึ่งกลุ่มท่านอาจมองว่าเป็น"Fake news"ก็ได้) 

พ่อครูว่า...อาตมาขอยืนยันว่า คนนอกนั้นที่มาวิเคราะห์วิจารณ์ธรรมะที่อาตมาพูดอยู่นี้ยังเข้าถึงธรรมะโลกุตระไม่ได้ ยังเป็นเทวนิยมอยู่โดยเฉพาะทางตะวันตก เป็นเทวนิยมทั้งนั้นเลย คุณยังแยกเทวนิยม อเทวนิยมหรือโลกียะ โลกุตระยังไม่ออกหรอกคุณเดชา ถ้าแยกออกคุณจะไม่กล้าที่จะมาท้วงอาตมาถึงป่านนี้จริง 

คนที่มีปัญญามีภูมิรู้จะแยกโลกุตระกับโลกียะออก คนนี้มี อัญญธาตุ เป็นธาตุอื่นที่ต่างจากโลกีย์หรือเทวนิยม ซึ่งคนส่วนใหญ่ในโลกเป็นโดยมาก 

คนที่รู้โลกุตรธรรมนั้นเป็นคนส่วนน้อยในโลก ที่รู้พุทธธรรมที่เป็นโลกุตระเป็นคนส่วนน้อย เพราะเป็นยอดของพีระมิด คนส่วนใหญ่เป็นฐานของพีระมิด เป็นธรรมดา ธรรมชาติ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ใช่เรื่องที่จะไม่รู้กัน 

ในยุคพระพุทธเจ้า พระสารีบุตรเรียนอยู่กับอาจารย์ สัญชัยเวลัฏฐบุตร พอท่านได้ข่าวว่ามีพระพุทธเจ้า อุบัติขึ้นแล้ว ท่านก็เข้าไปพบเลย ยังไม่ทันได้พบพระพุทธเจ้าแท้ๆ ได้พบลูกศิษย์ พบพระอัสสชิ ที่เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า พระสารีบุตรก็ถามว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนอะไร ครูของท่านสอนอะไร พระอัสสชิก็ตอบง่ายๆ ประโยคไม่ยาว ทุกอย่างเกิดมาแต่เหตุ ดับเหตุเสียได้ทุกอย่างก็ดับ เท่านี้แหละพระสารีบุตรซึ่งเป็นยอดปัญญาอยู่แล้ว เข้าใจทันทีเลย โอ้โห..อย่างนี้ใช่ อาจารย์ท่านคือใคร ก็คือพระสมณโคดม เท่านั้นแหละ สารีบุตรไปหาสัญชัยเวลัฏฐบุตรที่เป็นอาจารย์ ชวนกันไปพบพระพุทธเจ้าเลย ก็เกิดการวิเคราะห์วิจัยขึ้นระหว่างพระสารีบุตรกับสัญชัยเวลัฏฐบุตรที่เป็นอาจารย์ 

สัญชัยเวลัฏฐบุตรถามว่า แล้วคนในโลกนี้ มีคนโง่มากหรือคนฉลาดมาก ฟังดีๆนะคุณเดชา พระสารีบุตรก็ตอบด้วยความจริงเลยว่า คนฉลาดมีน้อย คนโง่นี้มีมาก ตอบอย่างนี้ 

สัญชัยเวลัฏฐบุตรมีโลกียธรรมก็ชอบความมาก ความมหัปปิจฉะ บอกว่าสารีบุตรเธอจงไปอยู่กับคนหมู่น้อยกับพระสมณโคดม เราจะอยู่กับคนหมู่มากที่เป็นคนโง่ คนฉลาดต้องอยู่กับคนที่หมู่มากเป็นนักประชาธิปไตยด้วย นี่ซ้อนไว้นิดนึง ไม่วิจัยต่อตรงนี้ จะซับซ้อนลึกซึ้ง 

พระสารีบุตรจากวันนั้นก็ชวนพระโมคคัลลานะ มาอยู่กับพระพุทธเจ้า มาอยู่กับคนจำนวนน้อย ส่วนน้อยที่เป็นยอดพีระมิด สัญชัยเวลัฏฐบุตรก็อยู่กับคนส่วนมาก ก็คือคนในโลกที่เป็นเทวนิยมที่เป็นโลกีย์ เป็นคนส่วนมากนั่นแหละตราบจนถึงทุกวันนี้ ก็เป็นอยู่อย่างนี้ 

ฟังดีๆ คุณฟังดีๆ ตั้งใจฟังศึกษาให้ดีแล้ว อย่าทิ้งกันนะ ไปด้วยกันฟังกันดีๆนะ 

เพราะฉะนั้นที่คุณเดชาวิจารณ์ถึงอาตมาว่า ไปชี้คนนั้นคนนี้ว่าเป็นโพธิสัตว์ อาตมากำลังมาเผยแพร่สัจธรรม ธรรมะที่เป็นพุทธศาสนา ที่มีทั้งอรหันต์และโพธิสัตว์ เป็นอันเดียวกันแต่ก็เป็น 2 มี 1 ในส่วน 2 ติดตามดีๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดกันเล่นๆ อาตมาพูดเล่นไม่ได้ พูดผิดไม่ได้ มันเป็นกรรมเป็นอันทำ มันเป็นบาป อาตมาเชื่อกรรมเชื่อวิบากนะ ไม่พูดอะไรพล่อยๆเล่นๆเพราะกรรมเป็นอันทำ มันเป็นวิบากของอาตมา อาตมาจะไม่พูดผิด ฟังความนี้ให้ชัด อาตมาพูดทุกคำถูกทั้งนั้น โดยเฉพาะยิ่งแสดงธรรม จะไม่ให้ผิดเด็ดขาด เพราะผิดแล้วมันเป็นอันทำ บาปหนักเป็นอนันตริยกรรม อาตมาถือเป็นอย่างนั้น 

ว่า.. "โพธิสัตว์หลายท่าน"โดยเฉพาะบางท่านที่ท่านผู้นำอโศกไปสรุปยกย่องให้นั้น ยังมีเรื่องผิดศีล 5 โดยเฉพาะข้อกินเนื้อสัตว์(ศีลข้อ1) และ"โพธิสัตว์บางท่าน"(ที่ท่านยกย่อง มากๆ) มีการเล่าถึง(ที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์)ว่า..ผิดหมดในศีล5 ทั้ง 5ข้อนั่นเลยเทียวนะ โดยเฉพาะข้อที่ยังมีการดื่มสุราดังต่างประเทศ และยังสูบบุหรี่ของต่างประเทศเช่นกัน(ตอนสมัยที่ยังไม่ละสังขาร)..อยู่เป็นประจำด้วยนะ(และยังมีเรื่องเล่าลือเรื่องตัวจริง,ตัวปลอมดัวยครับ)

พ่อครูว่า... คุณเดชาคงกินมังสวิรัติ กินมังสวิรัติได้คงถือตัวว่ามีศีลข้อ 1 แล้วนะ 

นี่ก็เป็นรายละเอียดที่คุณเดชาเอามาแย้ง อาตมาคงไม่ใช้เวลานี้เอามาวิเคราะห์ อาตมากำลังย้อนกลับไปอธิบายธรรมะตั้งแต่ศีล อปัณณกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 อธิบายจรณะ 15 วิชชา 8 อาตมากำลังย้อนอธิบายไปละเอียดตามลำดับ ให้งดงาม ให้ดีๆ ติดตามฟัง
    ข้อมูล,ข่าวสารที่มากกว่านี้ ขอให้คนอโศก,กลุ่มอโศกไปแสวงหา,ค้นคว้า(เพื่อนำมาเล่าให้ผู้นำอโศกฟัง)เอาเองนะจ๊ะ เพราะพูดให้มากกว่านี้ไม่ได้จ้ะ..

ขอขอบคุณที่รับฟัง

พ่อครูว่า... ที่พูดไม่ได้นี่ไม่รู้หรือว่าพูดไปแล้วจะขายขี้เท่อหรือเปล่า พูดบ้างสิ เราจะได้ฟัง อาตมาว่า ถ้าคุณเอาแต่เพ่งโทษอาตมา เอาแต่จับผิดอาตมาตลอดไป ไม่เปิดจิต คุณจะไม่เกิดสัมมาทิฏฐิเอาเลย ไม่เกิดเลยเป็นอันขาด ลองสิ ลองเปิดจิตเปิดใจ รับอาตมาซะบ้าง ว่าเอ๊.. คนนี้เผื่อจะมีอะไรดีๆอยู่นะ เปิดจิตรับ มีปรโตโฆษะบ้าง คุณจะสามารถเข้าใจได้สัมมาทิฏฐิได้ โดยเฉพาะคุณต้องปฏิบัติด้วย คุณต้องปฏิบัติตามที่อาตมาพูดนี้ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ ตาม จรณะ 15 วิชชา 8 คุณจะสามารถเข้าใจแล้วเชื่อขึ้นมาบ้าง มันจะเกิดความเชื่อขึ้นมาเอง คุณก็จะเริ่มมีจิตเห็นดี ยินดี คือมีฉันทะเป็นมูล อันนี้เป็นข้อ 1 ของมูลสูตร 10 คำว่าฉันทะหรือยินดี ซึ่งมันเป็นเรื่องลึกซึ้งมาก 

อาตมาต้องอธิบายอีกนานเลย แม้แต่คำว่าฉันทะหรือยินดีในมูลสูตรข้อที่ 1 ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วคุณไม่เกิดจิตตัวที่เป็นความยินดี เป็นฉันทะเป็นมูลเป็นเค้าขึ้นมา จริงๆแล้วล่ะก็ คุณไม่มีทางที่จะศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าไปตลอด ถ้าฉันทะไม่เกิด ฉันทะในสิ่งที่เป็นสัมมาทิฏฐิจริงๆไม่เกิด คุณมนสิการ คุณทำใจในใจอย่างนั้น คุณก็ทำใจในใจอย่างที่เป็น อโยนิโสนสิการ    อโยนิโสมนสิการ ทำใจในใจอย่างไรก็เป็นการทำใจในใจที่ผิดทางทั้งนั้น 

คำว่า โยนิโสมนสิการ ก็ติดตามฟังให้ดีๆ วันนี้จะไม่ลงรายละเอียดของ โยนิโสมนสิการ เพราะเป็นรายละเอียดที่ลึกซึ้งมาก 

ขออภัยแม้แต่ท่านประยุทธ์ ปยุตโต หรือสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ ที่คนไทยนับถือมากเป็นปราชญ์เป็นผู้รู้ ก็ยังนิยามคำว่าโยนิโสมนสิการต่างกันกับอาตมา ก็บอกไว้แค่นี้ก่อนก็แล้วกัน 

เพราะฉะนั้นท่านประยุทธ์ ปยุตโต จึงขัดแย้งอาตมา แล้วก็เป็นผู้ที่ เป็นหัวเรือใหญ่ จัดการเปิดฉากจัดการอาตมา ตั้งแต่พ.ศ. 2532 เป็นเรื่องเป็นราวกันมา จนกระทั่งแยกดำแยกขาวออกไป เพราะอาตมาออกมาได้สำเร็จตามพระธรรมวินัย อาตมาได้ประกาศนานาสังวาสแล้ว แต่ท่านประยุทธ์ก็ไม่เข้าใจนานาสังวาส ไปรื้อคดี ไปรื้ออาตมากลับมา รัฐบาลประกาศตั้งแต่ 2518 ประกาศนานาสังวาสแล้วก็อยู่ดีมาเรื่อยๆ แต่เมื่อ พ.ศ. 2532 ท่านประยุทธ์ ปยุตโต เขียนหนังสือซัดอาตมา ซัดไปได้ 3 เล่ม อาตมาก็มีอยู่เพียง 1 เล่มอยากได้ทั้ง 3 เล่ม ใครมีนะ หามาให้อาตมาหน่อย 

แล้วท่านยังทิ้งท้ายไว้ในเล่มที่ 3 ว่า เดี๋ยวจะยังมีอีกที จะซัดอีก แต่จากนั้นท่านก็ไม่ได้เขียน ซัดอาตมาต่อ อันนี้อาตมาจะเข้าใจเอาเองว่าท่านอาจจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง ยังดีใจลึกๆอยู่ว่า แหม.. จะไปพูดถึงขั้นที่พระพุทธเจ้าตรัสกับโกณฑัญญะก็ไม่ได้นะ โอ้! โกณฑัญญะ รู้แล้วหนอ คงจะยังไม่ได้ถึงขั้นนั้น ถ้ารู้ได้ถึงขั้นนั้นนะ เกิด อัญญธาตุ ขึ้นในจิตท่านประยุทธ์ ปยุตโต แล้วก็สุดยอด เมืองไทยไปลิ่วเลย 

ขออภัยที่อาตมาพูดเหมือนคนอวดดี หลงตัวตนมาก มันพูดเหมือนคนอย่างนั้น แต่อาตมาพูดอย่างมีน้ำหนัก พูดอย่างจริงใจ พูดอย่างเชื่อมั่นว่าอาตมาเจตนาดี แล้วก็พยายามที่จะพูดเพื่อให้เข้าใจกันด้วยดี เอ้า ผ่านอันนี้ก่อน 

 

_Pipat Suwapat (พิพัฒน์ สุวพัฒน์) : ชอบความคิดท่านฟ้าไทครับ

 

มหัศจรรย์ของความเป็นบุญนิยม 

_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม : กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพอย่างสูง การทำการค้าบุญนิยม 4 ระดับที่ ชมร. มีเรื่องมหัศจรรย์ เกิดใน ชมร. มีการแจกฟรีเป็นเวลา 6 เดือน เนื่องจากการแจกมีคนร่วมบุญ ครั้งนี้จะเรียกเหตุการณ์นี้ว่า มหัศจรรย์ของการแจกฟรีถูกไหมค่ะ กราบนมัสการค่ะ

พ่อครูว่า...แค่ประเด็นนัยยะสำคัญอันนี้ก็อธิบายมา 50 กว่าปีแล้ว แต่อธิบายความต่างกันของบุญกับกุศลนี้เพิ่งอธิบายมาไม่กี่ปีนี้ อาตมาถึงว่าเสียดาย ตอนนี้สังขารร่างกายชักไม่ค่อยไปก็เลยเห็นว่า เอ๊ จุดนี้ มันเปิดแล้วก็สำคัญมากเลยถ้าอาตมาทิ้งไปก่อน ก็ยังไม่น่าจะแข็งแรงพอความรู้จุดนี้อยู่คำว่าบุญ ก็เลยพยายามต่อสังขาร อายุสังขารร่างกายของตนเองให้ยาวไปอีก ซึ่งเป็นการพิสูจน์สัมประสิทธิ์ ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าจะต่ออายุให้ยาวเกินกว่า กัป 

(พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะเดินดิน... พระสารีบุตรคุยกับอาจารย์สัญชัยเวลัฏฐบุตร ก็นึกถึงสำนวนพวกเราที่ชอบพูดกันว่า ให้เลือกเอาระหว่าง ไปเป็นเปรตในหมู่ปราชญ์กับเป็นปราชญ์ในหมู่เปรต

พ่อครูว่า... เป็นหนึ่งในคลองหรือเป็นสองในทะเล 

สมณะเดินดิน... ถ้าเป็นปราชญ์ในหมู่เปรต ก็อาจกลายเป็นเปรตไปในที่สุดก็ได้

พ่อครูว่า... จะเรียกว่ามหัศจรรย์ของการแจกของฟรีก็ถูก เราชาวอโศกกำลังสร้างความมหัศจรรย์ขึ้นในโลก เป็นความมหัศจรรย์ของโลก เป็นความมหัศจรรย์ ชัดยิ่งกว่าความมหัศจรรย์ แต่ก่อนนี้ที่เขายกไว้ 7 อย่าง ในโลก มีอะไรๆซึ่งเป็นเครื่องก่อสร้างส่วนใหญ่ 

นครวัดนครธม ทัชมาฮาล กำแพงเมืองจีนอะไรพวกนี้ ซึ่งเป็นวัตถุก่อสร้างส่วนใหญ่ แต่ ความมหัศจรรย์ที่อาตมากำลังพูดถึงนี้ก็คือ คุณธรรมในตัวมนุษย์ ที่เป็นคุณธรรมในระดับโลกุตรธรรม ทวนกระแสโลก ไม่ได้เป็นได้คนเดียวเท่านั้น เป็นได้เป็นหมู่เป็นกลุ่ม เรียกว่าบ้ากันเป็นหมู่เลย คนทั้งโลกเขาว่าบ้า อย่างโยมหลอย ก็นึกว่าเราบ้าอยู่คนเดียว มาเจอบ้ากันเป็นหมู่อย่างนี้ชื่นใจชื่นใจ อย่างนี้เป็นต้น 

มันเป็นการทวนกระแส เป็นสิริมหามายา เป็นเรื่องที่ซับซ้อนลึกซึ้งยิ่งกว่านักมายากลที่เล่นมายากล แม้แต่คำว่าสิริมหามายา คำว่านักมายากลนี้ก็ต้องทำความเข้าใจกันดีๆเลยว่าเป็นเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องหลอก ไม่ใช่เรื่องมายากล แต่เป็นเรื่องจริงนะ เป็นความจริงตามความจริง ที่มันเร็ว แล้วมันกลับไปกลับมาๆ ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ นี่มันสุดยอดถึงขนาดนี้ ให้ติดตามดีๆ 

 

คนถือศีล 5 ได้ ถือเป็นความมหัศจรรย์อย่างยิ่ง 

_Pornthip Mungklad (พรทิพย์ มุ่งกลัด) : ในมหาสมุทรหรือทะเลไม่เกลื่อนด้วยซากศพเพราะคลื่นในทะเลจะซัดขึ้นฝั่งเปรียบได้กับคนที่มี seal ไม่ครบจะพบกับทะเล (ขาดตัว l ) แปลว่าอยู่นอกขอบเขตของพุทธใช่มั้ยคะ และ season ซึ่งพ่อครูได้แปลว่า ลูกทะเล เปรียบได้กับโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และอรหันต์ใช่มั้ยคะ

พ่อครูว่า... มันมีทั้งส่วนถูกและส่วนไม่ถูก แม้แต่คำว่า season ที่แปลว่าทะเลอาตมาก็ไม่ใช่เป็นคนแปล แต่ท่านประยุทธ์ท่านเป็นคนแปลก ท่านเจตนาเพื่อจะยัดเยียดว่าอาตมาแปล season ว่า sea แปลว่าทะเล son แปลว่าลูกชาย ท่านยกตัวอย่างอาตมาพูดถึงพยัญชนะภาษาบาลีอธิบายเหมือนกับแยกวิเคราะห์ ไม่ได้ตรงตามที่ท่านเรียนมาเป็นเปรียญ 9 อาตมาไม่ได้เรียนมาก็ไม่ได้ขยายความไม่ได้แยกวิเคราะห์วิจัยพวกนี้ตามที่ท่านเรียนกันมา 

ท่านก็ว่าอาตมานี้ผิด เหมือนกับไปแยก sea เป็นทะเล อีกคำว่า son 

พอไปแปล season ก็บอกว่าลูกทะเล ซึ่งท่านก็บอกว่าไม่ใช่ มันแปลว่าฤดูกาลต่างหาก ก็ถูกของท่าน แต่อาตมาไม่ได้แปล ท่านเอามาใส่อัตโนมัติเอง นี่ก็เป็นรายละเอียดที่จริงๆ ท่านเองอาจจะพยายาม คนเราพยายามจะเอาความฉลาดของตนเอง ขยายความให้คนอื่นเข้าใจตามที่ตนเองต้องการได้ ท่านก็อธิบายอย่างนี้ 

อาตมาก็ว่าท่านต้องการให้เป็นอย่างนี้ แต่อาตมาเห็นว่าท่านอธิบายผิด พยายามเอาสิ่งที่มันไม่ค่อยถูกมาใส่อาตมา season อาตมาขยายความอย่างนี้ ซึ่งอาตมาไม่ได้ขยายความเลยนะ เรื่องของคำว่า sea 

แม้แต่คำว่าตัณหา คนก็มายัดเยียดอาตมาว่าอาตมาแปล ตัน แต่ว่าไปไม่ได้ หา แปลว่าหา ตัณหาก็แปลว่าหาไม่เจอ ซึ่ง อาตมาไม่ได้เป็นคนแปลไปอย่างนั้น 

ซึ่งตอนนั้นมีฆราวาส ไปพบกันที่ลานตักศิลา วัดมหาธาตุ ลานอโศก ตอนนั้นเป็นตลาดนัดธรรมะ ถกกันน่าดู พอถึงวันอาทิตย์ก็เต็มแน่นเลย ถกกันสนุก เสร็จแล้วมีคนนี้แยกวิเคราะห์ปัญหาแบบนี้ ก็คล้ายกันกับที่ท่านประยุทธ์แยก season แล้วเอามายัดให้อาตมาว่าจะมาเป็นคนแปลซึ่งไม่ใช่ อาตมาไม่ได้แปลอย่างนั้น 

ก็มีคำ 2 คำที่ขยายความอย่างนี้เยอะเหมือนกันแต่มันไม่ใช่อย่างนั้น อาตมาเอาสัจจะที่เป็นสภาวะธรรมเป็นหลัก ส่วนพยัญชนะอาตมาก็แปลใช้อาศัย แต่อาตมามุ่งหมายเอาสภาวะแท้ๆ ที่ต่างกันกับที่นักวิชาการทุกวันนี้ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ว่าเมื่อมีคนประดิษฐ์ประดอยคำให้ไพเราะหรูหรางดงาม ตามความรู้ที่ท่านขยายออกไป แต่มันออกนอกโลกุตระ 

ติดตามฟังให้ดีๆ ซึ่งจะมีจุดพิสูจน์กันตรงนี้ ตรงที่ว่า 

คำอธิบายของอาตมา ผู้ศึกษาธรรมะโลกุตรธรรมจริงๆ ของพระพุทธเจ้าคือโลกุตรธรรม ซึ่งอาตมายืนยันว่าอาตมาเป็นผู้นำโลกุตรธรรมมาเปิดเผยกระจาย ซึ่งมันสูญหายไปแล้ว ยกอ้าง อาณิสูตร หรือกลองอานกะ พระพุทธเจ้าทำนายไว้ในอนาคตว่า ต่อไปโลกุตรธรรมจะหายไปเหมือนกับกลองอานกะ ที่จะเป็นการปลอมไป อาตมาก็ต้องเอาเนื้อแท้ของกลองอานกะ คือ เอาสิ่งที่ถูกต้องกลับคืนมาให้ได้ 

อาตมาก็ได้พิสูจน์มาแล้วจน 50 ปี ค่อยๆอธิบายค่อยๆสร้างความเข้าใจ ซึ่งก็มีคนที่ติดตามอาตมา ตั้งแต่ผู้มีบารมีเดิม เป็นพวกเป็นหมู่เก่ามาด้วย เป็นพวกใหม่ด้วยเข้ามารวมกัน ใช้เวลา 51-52 ปีแล้ว  ก็ได้หมู่ขนาดนี้เป็นรูปขึ้นมาขนาดนี้ มีชุมชนชาวอโศก ซึ่งเป็นสาธารณโภคีเป็นสาราณียธรรม 6 มีวรรณะ 9 มีพุทธพจน์ 7 อะไรพวกนี้ต่างๆ ซึ่งอาตมายืนยันหลักฐานของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ติดตามฟังดีๆ แล้วก็จะค่อยๆเข้าใจ ค่อยๆรู้อะไรต่ออะไรเพิ่มขึ้น 

ที่คุณพรทิพย์  ถามสุดท้ายว่า Season ที่พ่อครูแปลว่าลูกทะเลนั้นเปรียบเสมือน โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ หรือไม่

อันนี้ก็เปรียบเสมือนในมหาสมุทรมีปลาใหญ่ต่างๆฉันใด ฉันเดียวกันกับมนุษยชาติ ก็มีมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ เช่น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ท่านนับว่าเป็นความมหัศจรรย์อันหนึ่ง  

 

สมณะเดินดิน... สังเกตว่านักวิชาการจะแยกไม่ออกระหว่างความรู้กับความจริง แล้วหลงว่าความรู้นั้นเป็นความจริง

พ่อครูว่า... มาเริ่มต้นด้วย ภาษาตื้นๆก่อน ภาษาตื้นๆคือ  ความมหัศจรรย์หรือเรียกด้วยภาษาวิชาการว่า ปาฏิหาริย์ พระพุทธเจ้าแบ่งปาฏิหาริย์นี้เอาไว้ 3 อย่าง 

1. อิทธิปาฏิหาริย์ 2. อาเทสนาปาฏิหาริย์ 3. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ 

ปาฏิหาริย์ 3 ข้อนี้ในเกวัฏฏสูตรพระไตรปิฎกเล่ม 9 

    ดูกร เกวัฏฏะ  เราทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองแล้ว  จึงได้ประกาศให้รู้   ปาฏิหาริย์ 3 อย่าง  เป็นไฉน ?  คือ 

    1. อิทธิปาฏิหาริย์ (แสดงฤทธิ์ทางใจ ไปซ้ำกับพวกคันธารี) 

    2. อาเทสนาปาฏิหาริย์ (หยั่งรู้จิตคนอื่น ไปซ้ำกับมณิกา) 

    3. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ (สอนวิชชา8 เป็นปัญญาสัมปทา) 

พระองค์ทรงเห็นโทษภัยจึง อึดอัด(อัฏฏิยามิ) ระอา(หรายามิ) เกลียดชัง(ชิคุจฉามิ) ในอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทสนาปาฏิหาริย์  แต่ทรงยกย่องให้สอน ให้ทำใจ ให้เข้าถึงอนุสาสนีปาฏิหาริย์ .  

(เกวัฏฏสูตร   พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 339-341) 

 

อิทธิปาฏิหาริย์คือ การแสดงด้วยรูปธรรม การแสดงเด่นๆ การแสดงความเก่งพิลึก เหาะเหินเดินน้ำดำดิน แทงไม่เข้ายิงไม่ออก ประหลาด แปลก คนทำไม่ได้ง่ายๆเลย อันนั้นเป็นรูปธรรมเลย 

ส่วนอาเทสนาปาฏิหาริย์นั้นเป็นนามธรรม สามารถที่จะทายของหายก็ได้ สามารถที่จะใช้อำนาจทางจิต (เสกตะปูเข้าท้อง เป็นอิทธิปาฏิหาริย์ )คือ รู้ของหายก็ได้ ทายใจคนก็ได้ ทายใจสัตว์ก็ได้ รู้แต่สิ่งลึกลับที่เป็นนามธรรม นี่เรียกว่า อาเทสนาปาฏิหาริย์ 

ส่วน อนุสาสนีปาฏิหาริย์นั้นฟังดีๆ 2 อย่างนั้นท่านบอกว่า ท่านเกลียดชัง  ท่านเบื่อหน่าย ท่านระอา ท่านตีทิ้ง ที่จริงไม่ได้ตีทิ้งหรอก แต่ท่านปฏิเสธ อย่าให้ชาวพุทธนั้นไปสนใจเพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นโลกียะ เป็นเรื่องหลงใหลในความเก่งความสามารถ ไม่ได้ประโยชน์ละหน่ายคลาย ไม่ได้ลดละกิเลสเลย ไม่เกี่ยว 

อนุสาสนีปาฏิหาริย์ถึงจะลดละกิเลส อันนี้แหละเป็นสำคัญ เช่น 

ศีลข้อที่ 1 เป็นคำสอน อนุสาสนีแปลว่าคำสอน เมื่อผู้ใดเรียนศีลแล้ว จากแต่ก่อนเป็นคนจิตใจอำมหิต โหดร้าย ฆ่าสัตว์ ฆ่าแหลก ฆ่าแม้แต่คน แต่เมื่อมาปฏิบัติธรรมคำสอนพระพุทธเจ้าและปฏิบัติตาม ก็รู้ว่า เราทำไมถึงทำชั่วขนาดใจโหดร้ายอำมหิตถึงการฆ่าชีวิตผู้อื่น ซึ่งคนเขาก็รักชีวิต สัตว์ก็รักชีวิตของเขา เหมือนกันกับเรารักชีวิตของเรา 

ทำไมคุณถึงไปฆ่าเขา มันอำมหิต โหดร้าย ใจดำ มันเลวสุดเลวเลยในความเป็นคน เดรัจฉานเขาไม่รู้เรื่องหรอก แม้แต่ปุถุชน คนโลกีย์ ก็ยังไม่ได้รู้ลึกซึ้งในเรื่องนี้ คนโลกุตระเท่านั้นถึงจะรู้ซึ้ง 

ในกระบวนการของจิตนิยาม เรียกว่าเป็นพลังงานในระดับชีวะ ที่เป็นสัตว์ ตั้งแต่เซลล์เดียวขึ้นไปแล้วก็พัฒนาขึ้นไปจนกระทั่งเป็นล้านๆๆเซลล์ มาเป็นอาริยะ เป็นพระพุทธเจ้า ก็คือพลังงานที่เป็นจิตนิยาม กว่าจะพัฒนาขึ้นไปได้นั่นแหละ 

สัตว์ตัวที่เป็นสัตว์เซลล์เดียวขึ้นมาแล้วตัวหนึ่ง ตัวนี้นะ สัตว์ตัวนี้นะ อาจจะพัฒนาขึ้นไปเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคตกาล อีกล้านๆๆๆปีก็ได้ คุณไปทำลายจิตวิญญาณ ของสัตว์ตัวนั้น เซลล์นั้น คุณทำลายเป็นการตัดสิ่งที่เป็นประโยชน์ในโลกควรจะได้รับ พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งซักองค์จะเกิดขึ้น คุณก็ไปตัดทอน คุณก็ไปทำลายแล้ว คุณจะบาปขนาดไหน 

เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้รายละเอียดอย่างที่อาตมาพูดจะไม่ไปฆ่าสัตว์ สัตว์เมื่อเป็นพลังงานจับตัวขึ้นมาเป็นจิตนิยามขึ้นมาแล้ว ปล่อยเขาเลยเขาจะไปของเขาตามบาปตามกรรมของเขา ตามกุศลหรือตามบุญตามบาปของเขา กุศลอกุศลของเขา เป็นชะตากรรมของเขา เป็นของตนเอง เขาจะเป็นทายาทเป็นมรดกกรรมของเขาเอง กรรมจะพาเขาเป็นเขาไปเอง กรรมจะเป็นเผ่าพันธุ์ของเขาไป สั่งสมไปจนกระทั่งเป็นเผ่าพันธุ์ของพระพุทธเจ้า เขาจะพึ่งกรรมของเขาเอง 

กัมมปฏิสรโณ เพราะฉะนั้นอย่าไปยุ่งกับกรรมของใครๆ อย่าไปยุ่งกับชีวิตของใครๆ ที่จะต้องทำให้ชีวิตของเขาต้องเสื่อมหรือต้องตาย โดยเฉพาะที่เรากำลังพูดนี้ ทำเขาตาย อย่าไปทำเลย 

ผู้ที่รู้ว่าสัตว์ อย่างไรเราก็ไม่ไปทำให้เขาตายแน่ จนกระทั่งถึงที่ว่าถ้าเรากับเขาจะทำร้ายกัน สักวันเขาจะทำลายให้เราตาย เราก็ต้องยอมตาย ไม่ให้เกิดพยาบาท 

เช่น เกิดไวรัสโควิค อาจจะเริ่มเป็นสัตว์แล้ว เพราะว่าเคลื่อนจากที่ได้แล้ว นับเป็นสัตว์ พืชนั้นจะไม่เคลื่อนไปจากที่ เรียกว่า nitch เมื่อเคลื่อนออกไปจากที่ก็พัฒนาเป็นสัตว์ โควิดมันไหลไปทั่วโลกเลยมันก็จะเป็นสัตว์แล้ว 

เพราะฉะนั้นอย่าไปดูถูกอย่าไปดูแคลน สัตว์แม้เป็นเซลล์เดียวก็อย่าไปฆ่า อย่าไปทำร้ายเลย 

ผู้ที่ถือศีลข้อที่ 1 รายละเอียดของศีลข้อที่ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ วางอาวุธ วางศาสตรา มีความกรุณาเอ็นดู หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ แต่ละคำที่อาตมาพูด เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น จนกระทั่งสุดท้ายหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ แม้เขาจะเป็นโทษ 

จะเป็นโทษกับอันนั้นอันนี้ เราก็ต้องฉลาดที่จะไม่ให้เป็นโทษ อันนี้ซับซ้อน เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามสร้างประโยชน์แก่กันและกันจึงมีความซับซ้อน 

อาตมากำลังสร้างประโยชน์แก่ท่านมหาประยุทธ์ เป็นต้น แต่ท่านจะรับรู้หรือเปล่า อาตมาทำประโยชน์เพื่อมหาบัวหรือลูกศิษย์มหาบัว เป็นต้น โดยตำหนิ ด้วยความปรารถนาดี ด้วยการสอนอธิบาย ให้เปลี่ยนแปลงเสียจากสิ่งที่ท่านเป็น ให้หยุดได้ ถ้าไม่หยุดจุดนี้แล้วมันจะไปอีกไกลอีกนานเลย 

เช่น หลับตาปฏิบัติกันอยู่ ยังเสพติดสิ่งที่เหมือนกับอาจารย์อยู่ หลงใหลในเรื่องความขลัง เรื่องลึกลับ เรื่องที่จับมาพิสูจน์ไม่ได้และเป็นนามธรรมที่เวิ้งว้าง แล้วเอามาคุยโม้ ต้องศึกษาให้ดีๆ แล้วจะรู้ ไม่เช่นนั้นแล้วจะถูกครอบงำทางความคิด จะแย่ 

เพราะฉะนั้นในเรื่องคำสอนพระพุทธเจ้าเริ่มตั้งแต่ อาตมาให้ศึกษาตั้งแต่ศีลข้อที่ 1 ไม่ฆ่าสัตว์จนกระทั่งหวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ รายละเอียดลึกกว่านี้ก็ได้ แต่ขอพักไว้ตรงนี้ก่อน 

ศีลข้อที่ 2 เป็นต้น นี่เป็นคำสอนที่เป็นอนุสาสนี ผู้ทำตามได้นั่นแหละเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ไม่ฆ่าสัตว์นี่แหละ หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่นี่แหละ นี่แหละคือคนมหัศจรรย์ มีอยู่ในชุมชนชาวอโศกเยอะเลย เหมือนสัตว์ใหญ่อยู่ในมหาสมุทร มี โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ซึ่งรู้จักศีลข้อ 1 ดีแล้ว ไม่ฆ่าสัตว์ เด็ดขาด สัตว์ใหญ่สัตว์เล็กไม่ฆ่าหมดเลย 

แม้แต่เด็กตัวเด็กๆที่นี่ก็ไม่ฆ่าสัตว์รู้จักศีลข้อที่ 1 ปฏิบัติศีลข้อที่ 1 นี่แหละคือความมหัศจรรย์ 

ซึ่งคนไม่เห็นเป็นความมหัศจรรย์ คนไม่เชื่อ ไม่เข้าใจว่าจะเป็นความมหัศจรรย์ได้อย่างไรก็แค่ไม่ฆ่าสัตว์ เราไม่ฆ่าคนอื่นเขาก็ฆ่าอยู่แล้ว เรื่องกินเนื้อสัตว์(เขาก็อ้างว่า)เขาก็ไม่ได้ฆ่า ซึ่งมันมีรายละเอียดอาตมาจะไม่ลงรายละเอียดพวกนั้นอีก เพราะอธิบายไปหลายทีแล้ว 

มาเข้าข้อที่ 2 ของที่เขาไม่ได้ให้ เมื่อเขาไม่ได้ให้ เราไปเอาของเขามา หรือเอาของเขาไปจากเจ้าของเขา โดยเขาไม่ได้อนุญาตไม่ได้ยอม เป็นทุจริตกรรม 

ของที่ว่าไม่ใช่สัตว์ แต่เป็นวัตถุก็ดี เป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารก็ดี ทั้งนั้นแหละที่ไม่ใช่ของของเรา ศีลข้อ 2 นี้แยกจากข้อหนึ่งคือเรื่องของสัตว์ มีชีวิตจองเวรจองภัย ในศีลข้อที่ 1 

ศีลข้อที่ 2 ของที่เราเอามาโดยทุจริต โดยตัวมันเองมันไม่รู้เรื่อง มันไม่มีการจองเวรจองภัย แต่เจ้าของ ฟังให้ดีนะซ้อนแล้วนะ 

เจ้าของ ของของนั้น ไม่ว่าจะเป็นวัตถุหรือพืชพันธุ์ธัญญาหาร เขาจองเวรจองภัย เป็นความลึกซึ้งซับซ้อนอีก 

คนที่ไม่หวงแหนของ ยิ่งไม่หวงแหน ยิ่งคุณไปเอาโดยทุจริตยิ่งบาปซับบาปซ้อน เป็นร้อยเท่าพันเท่า ตรงนี้ซับซ้อนมาก 

คุณไปขโมยของโจร ก็บาปประมาณนึง แต่ถ้าคุณไปขโมยของคนที่เขาสุจริตเขาไม่ใช่โจร บาปกว่าไปขโมยของโจร 

คุณไปขโมยของผู้ที่ไม่หวงแหน ของ ซึ่งไม่ใช่คนสามัญธรรมดา ที่เขาหวงแหนของเขา แต่ว่า คนนี้ไม่ใช่โจรก็บาปแล้ว ทีนี้คนนี้ไม่หวงแหนแล้ว ระดับต้นจนถึงระดับปลาย ก็บาป ยิ่งขึ้นไปอีก ยิ่งไม่หวงแหน ยิ่งไม่มีตัวตนเลย พูดลัดๆ ไปขโมยของพระพุทธเจ้า เป็นต้น มันจะบาปขนาดไหน ขโมยของพระอรหันต์  ของพระอาริยะระดับต้นก็บาปขนาดหนึ่ง ของพระอรหันต์ก็บาปยิ่งกว่า ของพระโพธิสัตว์ยิ่งสูงขึ้นไปอีกบาปบาปบาป ขึ้นไป กี่ชั้น กี่ชั้น อย่าเล่นกับกรรมวิบากนะ เป็นของจริงนะกรรมวิบาก ไม่ใช่อาตมาไปตั้งอัตราลงโทษเอาเองไม่ใช่ แต่มันเป็นสัจจะ 

เพราะฉะนั้นศีลข้อที่ 2 แม้ไม่เกี่ยวกับสัตว์ ทุจริตในศีลข้อที่ 2 ไม่ซื่อสัตย์ ไปเอาของที่ไม่ใช่ของของเรามา เพราะฉะนั้นเมื่อมาบวชเป็นสงฆ์เป็นภิกษุ คุณไปเอาของที่เขาไม่ได้ให้มาเกินกว่า 5 มาสกก็ปาราชิก 

อันนี้คนที่อวดดีๆ แล้วยังมีแรงของกิเลส ในอโศกเราก็มี แต่ก็ออกไปแล้ว ปาราชิกให้ออกไปหลายคนแล้ว แต่มีน้อย ใน 50 ปีมานี้ ก็มีน้อย ถือว่าน้อย 

ตั้งแต่อาตมาเริ่มต้นมีพระสงฆ์ที่เป็นหมู่มา ก็ค่อยมาด้วยกัน จนกระทั่งแยกมาตั้งแต่   พ.ศ. 2518 ตอนแรกมี 21 รูปกับเณรอีก 2 รูป จนเดี๋ยวนี้เมื่อก่อนมีเป็น 100 เดี๋ยวนี้ลดลงมาไม่ถึง 100 แล้ว ซึ่งไม่ง่าย แต่อาตมาคิดว่าจะมีเพิ่มขึ้นไปอีกในอนาคตอีกไม่นานนี้ ตอนนี้รู้สึกว่าธรรมะนี้จะเฟื่องฟู รุ่งเรืองดี 

 

ศีลข้อที่ 3 เป็นเรื่องของรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ละเอียดกว่านั้นอีก เรียกว่า กามคุณ 5 ภายนอกนะ ทางตาหูจมูกลิ้นกาย โผฏฐัพพะ ผู้ยังมีกิเลสราคะ เสพสุขดูดดึงในเรื่องกามมันเป็นโทษเรียกว่า กามาทีนวะ แต่คนยังเห็นเป็นกามคุณ เห็นเรื่องกามเป็นเรื่องดี 

นัยยะซับซ้อน กาม เป็นความปรารถนา  เป็นความใคร่อยาก เป็นความประสงค์ มันมีนัยยะที่เป็นไวพจน์ซับซ้อนอยู่ ก็มีประโยชน์บ้าง เป็นกุศลเจตนา เป็นความปรารถนาที่ดี แล้วเราก็ทำสิ่งที่ดีนั้นๆ ก็เจริญไป ก็เป็นประโยชน์อยู่ 

แต่ มันก็ยังเป็นความปรารถนามาบำเรอ อัตตา จึงเรียกว่ากาม ผู้ที่มีความปรารถนาดีทำดีๆๆ โดยไม่มีการบำเรออัตตาเลย ขอพูดตัวจบ ไม่บำรุงอัตตาเลย ทำดีไปอย่างในตัวแล้วไม่มีต้องการอะไรตอบแทน ไม่มีหวังอะไรมาให้ตัวเองเลย แม้แต่มาเสพอารมณ์ ว่าเราใหญ่เรามีบุญคุณ เราได้ชื่นใจ ปลื้มใจ ดีใจ ไม่ แต่รู้ว่าดีว่าควร แต่จิตก็ไม่มีดูด ไม่มีผลัก ที่เป็นตัวจบเรียกว่าอุเบกขาธาตุ ถ้าจิตที่เป็นตัวอุเบกขา บริสุทธิ์สะอาดจากกิเลสทุกอย่าง 

ปริสุทธาแล้วก็ยิ่งเก่งขึ้นไป ปริโยทาตา สั่งสมในแกนจิต เรียก มุทุภูตธาตุ แล้วมีกรรมการงานต่อไปเป็นกัมมัญญา ก็ยิ่งเก่ง สะสมความบริสุทธิ์ขึ้นไปเรื่อยๆ จิตก็ยิ่งเป็นประภัสสร ซึ่งไม่รู้จะแปลเป็นภาษาไทยว่าอย่างไร ประภัสสร ยิ่งสะอาดยิ่งแข็งแรงๆ แววไว ปราดเปรียว ที่แม้จะใช้ภาษาไทยเป็นภาษาพื้นฐานขยายความก็ยังไม่ครบกระบวนการ ไม่ครบพฤติการณ์ของคุณภาพ คุณลักษณะ ของสิ่งที่ประเสริฐสุดเหล่านั้น 

กลับมาถึงศีลข้อที่ 3 รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสนี่แหละ เสพบำเรออัตตา 

รูปก็ดี ตากระทบรูป หูกระทบเสียงพอใจเสพ ซึ่งไม่ง่ายหรอกที่คนจะมาลดละแต่ทำได้เป็นความมหัศจรรย์เป็นความประเสริฐยิ่งใหญ่ มันเป็นธรรมะอันเป็นคุณวิเศษ สุดยอดแล้วไม่มีอะไรสุดยอดประเสริฐเท่าธรรมะโลกุตระของพระพุทธเจ้า 

นี่ไม่ใช่พูดอย่างหลงตัว ไม่ใช่ พูดอย่างคุยโต ไม่ใช่ แต่เป็นสัจจะความจริงที่ยิ่งใหญ่จริงๆ อาตมาไม่มี สาเฐยจิต อยากอวดอยากโชว์อยากพูดเล่นไป ไม่ใช่ แต่พูดความจริงตรงๆตามเนื้อแท้ๆในสิ่งนั้น 

เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็ดี ก็หมดการบำเรออัตตา ไม่มีอย่าง หยาบ กลาง ละเอียด ตั้งแต่ มโนมยอัตตา 

โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา 

โอฬาริกอัตตาคือ อัตตาหยาบภายนอกก็ลดได้ เหลือ มโนมยอัตตา เหลือภายใน ภายในที่เป็นเนื้อหยาบอยู่ จนละเอียดลึกลงไปเรื่อยๆ ดีกว่า อรูป สุดท้ายเก็บละเอียดหมด อรูปอัตตา ดับสุดสูญ นั่นถึงจะถือว่าสิ้นอาสวะ 

เพราะฉะนั้น รายละเอียดที่อาตมาอธิบาย ถือว่าคร่าวๆไปนี้ จึงควรศึกษานี่คือศีลทั้ง 3 ข้อนี้ 

ส่วนศีลข้อที่ 4 ก็คือวจีกรรมที่พูดถึงศีล 3 ข้อนี้ในเบื้องต้น แล้ว 

ศีลข้อที่ 5 เกี่ยวกับจิตที่เกี่ยวกับศีลทั้ง 3 ข้อนี้ นี่คือกระบวนการของศีล 5 

สู่แดนธรรม... เป็นความมหัศจรรย์ 

พ่อครูว่า... เป็นความมหัศจรรย์ของศีล 5 ผู้ปฏิบัติได้จึงถือว่ามหัศจรรย์จริงๆ

ขอตีหัวเข้าบ้านนิดนึง อย่าหมั่นไส้กัน ชาวอโศกมีศีลโดยเฉพาะมีศีล 5 เป็นพื้นฐาน ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่ หยาบ กลาง ละเอียด ก็มีไปตามฐานานุฐานะของแต่ละบุคคล ปฏิบัติได้ ยุคนี้ ปฏิบัติได้ 

ปฏิบัติได้จริง ปฏิบัติได้อย่างมีคุณสมบัติหรือคุณวิเศษนั้นๆ สมบูรณ์แบบ แล้วก็ทำได้แล้วไม่ได้ฝืน ไม่ได้ต้องกดต้องข่ม หรือต้องระวังไว้ ไม่ต้องเลย ทำได้จนเป็นอัตโนมัติ ไม่ฆ่าสัตว์เป็นอัตโนมัติ ไม่เอาของผู้อื่นเป็นอัตโนมัติ แม้แต่ของผู้อื่นที่เขาจะให้ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะเดินดิน... พ่อครูพูดถึง ความมหัศจรรย์ของศีล นึกถึงนักบวชชาวอโศก ที่ถือ จุลศีลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก ว่า ผู้ถือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล  จะเจอกับสามัญญผล ที่เหมือนกับ กษัตริย์ที่ได้รับการมุรธาภิเษก ไม่มีอะไรจะมาทำลายอำนาจของกษัตริย์นี้ได้ ให้เห็นว่า ความเป็นนักบวชชาวอโศกก็เฉียดฉิวผ่านคุกตะรางผ่านการจับกุมต่างๆนานามา แต่ อานิสงส์ของ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ก็ทำให้เราแคล้วคลาดอยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งที่ก็เสี่ยงพอสมควร แต่ก็รอดมาได้

มีครั้งที่มีคนแจ้งนายอำเภอให้มาจับ เราก็บอกว่า เราฉันมื้อเดียวไม่ได้ทำเดรัจฉานวิชาไม่ได้ทำปาฏิหาริย์แบบที่เขาทำกัน นายอำเภอก็กลับมาศรัทธาพวกเรา แทนที่จะมาจับ ก็เอาข้าวสารอาหารแห้งมาให้ นายอำเภอก็ปวารณาไว้ นี่เป็นอานิสงส์ของศีลที่คนประจักษ์ได้

พ่อครูว่า... เพราะฉะนั้นก็ ความเป็นจริง เกิดจริงเป็นจริงแล้วไม่ว่าชาวโลกเขาจะเรียกว่าคนบ้า คือไม่เหมือนเขา คนทั้งโลกเขาจะไปรวยคนทั้งโลกเขาจะไปมีลาภยศสรรเสริญแล้วก็เสพสุข โดยเฉพาะเสพความสุข เขาจะไม่เข้าใจง่ายๆเลยเสพสุข แต่นี่มาไม่เอาสุข แล้วสุขมันเป็นอย่างไร มันน่าเกลียดตรงไหน คนเขาก็จะว่าอย่างนั้น บ้าหรือเปล่าไม่เอาสุข ใช่ไหม 

คนไม่เอาสุข นี่มันบ้าได้ระดับนะนี่ บ้าเข้าขีดเลยนะ ไม่เอาสุข

เพราะ สุข คำนี้ ไม่ใช่ธรรมดาที่คนจะเข้าใจได้ง่ายๆ ซึ่งอาตมาก็ขยายความมาอยู่ 

โลกทั้งโลกเป็นโลกีย เป็นสุขนิยม เป็นสุขเที่ยง ศาสนาเทวนิยมก็ติดในความสุขนิยมทั้งนั้น เป็นศาสนาที่ไม่รู้จักโลกุตระ ที่ไม่เอาสุขไม่เอาทุกข์ 

ซึ่งพระพุทธเจ้าบอกว่า 2 คือ 1 คือ 1 จะไม่เอา 2 คุณทำให้เป็น 1 ได้อาศัย จริงๆแล้วมันก็เพียงอาศัย จริงๆมันก็คือ 2 อยู่นั่นเอง จริงๆแล้วคุณก็ต้องไปเอาทั้งสอง แล้วคุณจะสูญ 

ฟังอีกทีนึง 

ทุกอย่างมันเป็น 2 หมด เพราะฉะนั้นคุณจะไม่เอา 2 คุณก็เลือกเอา 1 ทำให้ได้เป็น 1 ถ้าทำได้อย่างโลกุตระ แม้คุณจะทำสุขได้ จนกระทั่งสุขนั้นไม่เป็นสุขแล้ว ไม่มีสุขก็จะไม่มีทุกข์เรียกว่า อทุกขมสุข 

จิตที่ทำให้ไม่มีสุข แล้วก็ไม่มีทุกข์ พอสุขกับทุกข์ 2 อย่างนี้มันเป็นอันเดียวกัน 

เพราะฉะนั้นคุณจะไม่เอา 2 แม้ว่าคุณจะทำให้มันเหลือ 1 มันก็ยังเป็น 2 ติ่ง อยู่อย่างนั้นแหละ คุณต้องไม่เอาทั้ง 2 จึงเป็น 0 เลย จึงสมบูรณ์สุด สูงสุดเลย 

สิ่งที่เป็นความรู้จริงในความจริงที่ปฏิบัติได้ ประพฤติได้ตั้งแต่มีชีวิตเป็นๆ พิสูจน์ตั้งแต่อบายมุข ของหยาบ แล้วคุณก็ทำให้ไม่สุขไม่ทุกข์ ซึ่งมันก็มีอยู่ในโลกแล้วอยาบขึ้นทุกวันด้วย เละเทะขึ้นทุกวันด้วย จัดจ้านรุนแรงขึ้นทุกวันด้วย คุณก็รู้ทันในอบายมุขพวกนี้ ไม่เอา เป็น อนุปคัมมัง อนุปคัมมะ เป็นคนที่รู้ว่าในโลกมันก็มี แล้วเราก็ทำความไม่มีได้แล้ว แล้วเราก็ไม่เอาความไม่มีนี้ไปข่มความมีกับเขา ไม่มีก็ไม่มีไป เหมือนเราไม่มีตัวตน มีก็อยู่มี หรือคนอื่นที่ทำได้เหมือนอย่างเรา เขาไม่มี คนที่เขาไม่ได้ติดเขาก็ไม่มี คนที่ยังไม่ได้ติดทางโลกเขานึกว่าติดหรือได้กำไรก่อนแล้ว เมื่อรู้ตัวแล้ว ดีนะ เราไม่ติดเลย สบายได้ฟรี ได้ก่อนแล้ว ที่เหลือติดอยู่ ก็ไล่ให้มันหมดก็เป็นพระอรหันต์ คนนั้นก็โชคดี 

แต่ส่วนมากมันไม่โชคดีอย่างนั้นหรอก ​มันติดมาเยอะ ทำไมไม่หมดสักทีวะ ก็จะรู้

เพราะฉะนั้นเรื่องธรรมะนี้ ถ้าไม่ได้กับตัวเองจริงๆโดยเฉพาะโลกุตรธรรม คุณไม่ถึงที่สุดหรอกว่า 1 หรือ อัตตา แล้วทำให้ไม่มีอัตตา ทำให้หมดตัวตน ทำให้สูญไปเลย มันเป็นอย่างไร คุณก็ได้แต่พูดไป ตรรกะไป ซึ่งมันต้องมีสภาวะรองรับและคุณก็ทำได้จริงไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ขั้นอบายมุขที่อยู่ในโลก แต่ก่อนนี้เราติด สิ่งที่ไม่ติดเราก็นึกไม่ออกหรอกแล้วไปติดอะไรคุณก็จะรู้ว่า อ้อ.. อันนี้เนาะ 

จนคุณทำได้ คุณไม่ติดยึดเลย กลาง ถาวร ยั่งยืนด้วย มันก็มีอยู่ในโลกแต่เราสูญอย่างอัตโนมัติ อย่างสบาย ไม่เป็นภาระไม่ต้องไปอะไรเลย มีก็เห็น เห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รับรส อยู่กับเขาได้ เราก็ไม่มีปัญหาอะไร จะใช้จะสอย จะทำเป็นร่วมด้วยอันที่เป็นประโยชน์ ถ้าร่วมด้วยในสิ่งที่เป็นคุณค่าประโยชน์ก็ร่วมด้วยได้ ซึ่งเป็นคนที่ไม่ได้เป็นคน ฉุด ไม่ได้เป็นคนถ่วง แต่เป็นคนที่มีประโยชน์กับโลกไปตลอดทุกอณู ไม่ทำลายแล้วแถมเป็นประโยชน์ไปในตัวไปตลอดเวลาเลย 

สรุป อบายมุขไปแค่ 6 ข้อ ที่จริงแล้วมีอบายมุข 4 อีก มีความแตกต่างกันอยู่ข้อหนึ่ง ใน 4 และ 6 

เช่น การละเล่น ที่เรียกกันว่า กีฬา หรือ ความรวย ที่เรียกว่า ความมั่งมีร่ำรวย ผู้ที่ร่ำรวยมากๆคุณเก่ง คุณฉลาด คุณมีกลยุทธ์ สามารถรวบรวมมาเป็นของตนได้มาก แล้วคุณก็พอใจยินดีในสิ่งที่ตนมีมาก ได้มากนั้น พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่อย่างสุจริตด้วยนะ คุณก็ยังเป็นคนใจร้ายใจดำอำมหิต เพราะเท่ากับทรมานเท่ากับเบียดเบียนผู้อื่น เพราะคุณเก่งคุณสามารถ คุณเอามาเป็นของตนได้ คนอื่นก็ขาดแคลน ยากลำบากถึงขั้นบางคนต้องฆ่าตัวตาย เหตุเพราะคุณนะ 

นี่ไม่ใช่พูดเรื่องขี้ตู่นะ แต่เป็นเรื่องจริง 

โดยคุณไม่รู้เลยว่าคุณเองจะเป็นเจ้าของสิ่งนี้ไปอีกเท่าไหร่ ให้ 200 ปีเลย คุณอายุ 200 ปี เก่งมากเลยอยู่ได้ 200 ปี คุณก็ต้องตายจากสิ่งของเหล่านั้น สิ่งของเหล่านั้นไม่ใช่ของคุณหรอก มันไม่ใช่ของคุณแน่นอนอีก 200 ปี คุณจะเขียนพินัยกรรมให้เป็นของคุณไปอีกชาติหน้า เขียนให้ตายไปอย่างไรไม่มีทางเป็นไปได้ มีแต่คุณจะไปใช้หนี้เขาในชาติหน้า เมื่อคุณรู้เรื่องกรรมวิบากแล้ว อาตมาจะไม่ได้ลงรายละเอียดเรื่องกรรมวิบาก คุณไม่รู้ตัวหรอก 

สู่แดนธรรม... ถ้าเขาจะเถียงว่าความรวยเป็นของเขาแล้วทำไมต้องไปใช้หนี้ใช้กรรม 

พ่อครูว่า... คุณก็โลภเอามาคุณก็ดึงเอามาคุณสามารถ จริงๆอาตมาสามารถ คนเก่งๆก็สามารถกันทั้งนั้น เขาเก่งเขาสามารถแต่เขาไม่เอา แต่คุณเก่งคุณสามารถแต่คุณเอาแล้วมีกลเม็ดเด็ดพรายเอามาอีกด้วย เอามาแข่งร่างแข่งเรือแข่งพายแข่งโตกัน แล้วทำให้คนอื่นเขาขาดแคลน ซึ่งมันเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ เรื่องความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ที่ลึกซึ้งที่สุดเลย 

เพราะฉะนั้น เศรษฐศาสตร์ที่ดีที่สุดคือเศรษฐศาสตร์แบบคนจน และเป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ เป็นคนจนที่มหัศจรรย์ เป็นคนจนที่มีคุณค่าประโยชน์  เป็นคนจนผู้ยิ่งใหญ่ 

ที่พูดไว้นี่ไม่ใช่โม้เกินจริง เมืองไทยเป็นเมืองที่มีคุณวิเศษอันนี้ เป็นเมืองที่มนุษย์เป็นไปได้ในเรื่องนี้ ทั้งรู้และทำได้ มีผู้รู้ในระดับเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ตรัสไว้พูดไว้ ตามภูมิของท่าน ตามฐานานุฐานะของท่าน อาตมาก็รู้ อาตมาก็อยู่ในฐานะของอาตมา อาตมาอธิบายได้มากกว่าท่าน เพราะอาตมาอยู่ในฐานะที่อาตมาเป็นสัดส่วนที่อาตมาทำได้ยิ่งกว่านั้น เพราะอาตมารับผิดชอบมากกว่าท่านในเรื่องธรรมะโลกุตระ 

อาตมาก็ทำหน้าที่ตามฐานะของอาตมา ซึ่งก็พูดกันไปแล้วว่าในประเทศไทยจะมีธรรมิกราช 2 รูป อาตมาก็เปิดเผยตัวเอง ไม่ได้พูดยกตัวเอง ไม่ได้พูดหลงตัวเอง ไม่ได้พูดอยากใหญ่อยากโตอะไร ติดตามอาตมาไปเถอะจนกว่าอาตมาจะตาย อาตมาไม่ได้ไปอยากใหญ่อยากโตอะไร หลายคนบอกว่าน่าจะเป็นสังฆราช อาตมาขอเป็นสังฆราษฏร ไม่ได้พูดอย่างหมาเห็นองุ่นเปรี้ยวนะ 

สู่แดนธรรม... ที่ไม่รับเพราะว่าไม่อยากรับผิดชอบมาก 

พ่อครูว่า... รับผิดชอบมากเป็นความฉลาดแกมโกงนิดหน่อย ไม่สวยเท่าไหร่นะ ไม่อยากรับผิดชอบหน้าที่อะไรเลย ไม่อยากรับผิดชอบภาระอะไรเลยเป็นคนแสดงถึงความขี้เกียจ ความเห็นแก่ตัว ความไม่เอาถ่าน ขายขี้เท่อออกมามันไม่สวย 

สรุปแล้ว วันนี้พูดถึง ความมหัศจรรย์ ไปได้นิดเดียว ยังจะพูดถึงความมหัศจรรย์ ยังไม่เข้าไปตามลำดับความมหัศจรรย์ข้อที่ 1-8 

ท่านเดินดิน..สรุปจบ


เวลาบันทึก 08 มกราคม 2565 ( 05:48:21 )

650110

รายละเอียด

650110 รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 23 ความมหัศจรรย์ของการแยกกายแยกจิตได้ 

https://www.boonniyom.net/51198.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1GyNDqbB54S3Mx_uY14dTZHX_JoV8avlJMaI7K9Pmrsk/edit?usp=sharing 

 

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/1AJtBMmyD-3BXxGxnaPV4jWmbHpdwD72S/view?usp=sharing 

     

และดูวิดีโอได้ที่    https://www.facebook.com/300138787516163/videos/456935932602387 

          และ    

 

สู่แดนธรรม...เปิดรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 23 ครั้งแรกของปี 2565 พ่อครูให้โศลกว่า คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ  พ่อท่านเคยบอกพวกเราไว้นานแล้วว่า ประเทศไทยถ้าหากรวมตัวกันดีๆแล้ว สร้างคุณานุประการให้แก่ชาวโลก ประเทศไทยจะเป็นมหาอำนาจฝ่ายกรุณา 

พ่อครูว่า... เขาให้อาตมา ประชาสัมพันธ์เรื่องค่าย เขาจัดค่ายกัน 

ขอเชิญท่านผู้สนใจ เข้าร่วม ค่ายอุโบสถศีลชาวอโศก ออนไลน์ ครั้งที่ 2 

“เริ่มปีใหม่ สร้างอาหารใจให้พ้นทุกข์​” วันที่ศุกร์ที่  14 - อาทิตย์ที่  16  มกราคม  2565

 

ยุคโควิดปิดเมือง กับชีวิต New normal  Practice Dhamma from home เรายกวัดมาไว้ที่บ้านคุณแล้ว ขอเชิญมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ บวร ออนไลน์ชาวอโศก 

 

ท่านสามารถเข้าร่วมค่ายโดยรับใบสมัครและรับลิงค์* zoom เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมค่ายออนไลน์โดย สแกน QR Code บนหน้าจอรายการนี้ เพื่อเข้าร่วมห้องไลน์ Open chat ค่ายออนไลน์ชาวอโศก แต่หากท่านอยู่ต่างประเทศไม่สามารถเข้า Open chat ได้ ให้แอดไลน์ไอดี asokecamp มาเป็นเพื่อนไลน์กับแอดมินค่าย เพื่อจะได้ส่งรายละเอียดให้

 

จากนั้นท่านจะได้รับ ลิงค์เข้า. Zoom และหากท่านใช้ Zoom ไม่เป็น สามารถแชทกับแอดมิน เพื่อให้สอนการใช้ Zoom แก่ท่านได้ 

 

พ่อครูว่า... อาตมาไม่ค่อยเป็นเลยเรื่องไลน์ เรื่องอะไรพวกนี้ อ่านให้ฟังเที่ยวหนึ่งก็พอ

SMS วันที่ 7-8 มกราคม 2565

 

อนุปคัมมะ ต่างกันกับมัชฌิมาปฏิปทา อย่างไร

_สว่างแสง ขวัญดาว : รายการของท่านเดินดินดีมากค่ะ ที่นำคณะปลูกข้าวไร่ของอาจารย์ร่วมจิตมานำเสนอ เพราะข้าวไร่ปลูกง่าย ทนแล้ง ไม่ต้องปลูกในน้ำ เหมาะสมกับยุคนี้ที่เศรษฐกิจตกต่ำมาก ใครอยากได้พันธ์ข้าวอาจารย์ก็อมรมให้ มีการติดตามเป็นพี่เลี้ยงให้อีก และยายหรอยในรายการท่านฟ้าไทก็เป็นคนจนที่มหัศจรรย์มากค่ะ 

กราบเรียนถามพ่อครูค่ะ   อนุปคัมมะ ต่างกันกับ มัชฌิมาปฏิปทา อย่างไรคะ  

พ่อครูว่า... ต่างกันคือ อนุปคัมมะ คุณธรรมของผู้ปฏิบัติที่ เป็นผลแล้ว

เป็นผู้มีอิทธิพลอยู่เหนือสิ่งแวดล้อม โดยไม่เข้าไปใกล้อะไรสักอย่าง เรียกว่า อนุปคัมมะ แต่รู้ว่าเขามีแล้ว ซึ่งเป็นคุณวิเศษของศาสนาพุทธ เห็นเขาจนเห็นเขารวย เราก็รู้ เห็นเขามีอำนาจบาตรใหญ่ เห็นเขาไม่มีอำนาจบาตรใหญ่ เห็นเขารักเห็นเขาชังรู้หมด ในโลกมันมีสภาพแตกต่างกัน มากน้อยต่างกันอย่างไรเท่าไหร่รู้เห็น แต่ท่านไม่ได้เป็นอะไรกับเขาสักอย่าง 

เข้าใจผิดกันไปไกลแล้วไม่ได้บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า มัชฌิมาปฏิปทา มาจาก 2 คำ คือ มัชฌิมากับปฏิปทา 

มัชฌิมาคือความเป็นกลาง หรือ คนที่เป็นกลางแล้วคือคนที่ อนุปคัมมะ แล้ว คือคนเป็นกลางแล้ว 

ปฏิปทาแปลว่าข้อปฏิบัติหรือข้อประพฤติเพื่อจะให้ไปเป็นคนที่เป็น อนุปคัมมะ เป็นคนที่มีคุณสมบัติ วิเศษ ที่รู้อะไรทุกอย่างแต่ไม่ได้ไปเข้าข้างอะไรไม่ได้ไปหลงตกอยู่ในฝ่ายไหนเลย 

เพราะฉะนั้นข้อปฏิบัติที่จะไปเป็นมัชฌิมาหรือไปเป็น อนุปคัมมะ จึงคือหลักประพฤติ เพื่อจะมาเป็นบุคคลผู้เป็น อนุปคัมมะ ชัดเจนนะ 

 

_เดชา อำพร : คำหยอกแซว(กึ่งวิจารณ์)ในวาระปีใหม่2565..ทั้ง3ท่านเลยนะ..

1.ชื่อย่อยรายการพุทธฯตามภูมิวันเสาร์-->รายการ"สมณะรุ่นใหญ่ช่วยไขปัญหาชีวิต"

2.ท่านเดินดิน-->ฟังปรัชญา(ฉายา)แฝงมุขตลกจาก"คณะเดินดินชวนยิ้ม"

..."พุทธแบบอโศก..โลกสวยเสมอ"... และ....."อวยประเทศไทยไว้ก่อน"...

3.ท่านบินบน-->"ยังดั้งเดิม,ขวาสุด,ขรึมขลัง,น้อมฟังผู้อื่น..แต่แฝงพลังใฝ่หาสัจจะ"

4.ท่านจันทร์-->"ผู้พยายามแสวงหาความเป็นกลาง คืออวยทุกฝ่าย,ไม่แสวงหาศัตรู"

ด้วยความเคารพทั้ง3ท่านครับ...

การวิจารณ์ด้วยคำพูดแรงๆช่วยให้สังคมไทยดีขึ้น..แต่การอวยไม่สู้เป็นประโยชน์..

เพราะจะสร้างนิสัยชอบเชลียร์ผู้ใหญ่ให้กับสังคมไทย..และคนกลุ่มนี้ยังได้พูดเร่งเร้าให้อย.ต้องเข้าไปสุ่มตรวจสารพิษหรือสารปลอมปนในอาหารทั้งเนื้อสัตว์และพืชผักผลไม้..ทั้งในศูนย์การค้าและในท้องตลาดอย่างแข็งขันเข้มข้น,เอาจริงเอาจัง.. ให้สมกับที่ท่านทั้งหลายได้รับเป็นเงินเดือนทุกเดือนจากภาษีของประชาชนด้วย..

ต้องอย่าให้มีระบบเงินทอนหรือเงินใต้โต๊ะ ที่พอมีการส่งเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องก็จะผ่านอย่างสบายบรื๋อออ..ไปหมด..ดังที่เขาร่ำรือกัน..

แล้วเช่นนี้.. ประชาชนจะฝากความหวังทางสุขภาพไว้กับองค์กรใด?

พ่อครูว่า...ผู้ที่ทำงานจริงก็มีนะ..ไปติเตียนเขาซะหมด ข้อบกพร่อง ไม่สุจริตก็มีบ้างเป็นธรรมดา แต่เอาเถอะ คุณติเตียนมาก็ดีแล้ว เพื่อจะได้แก้ไขปรับปรุงกันไป

 

_พุทธพิมพ์ไพร (ลานนาอโศก) : จากการได้ฟังธรรมของพ่อครูในรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  ของวันศุกร์ที่ 7 มกราคม   พ่อครูเทศน์เรื่องศีล  วันนั้นมีเนื้อหาช่วงนึง  ที่พ่อครูเทศน์ว่า "สัตว์ตัวนึงที่คุณฆ่า  สัตว์ตัวนั้นอาจจะกำลังบำเพ็ญ อีกล้าน ล้านปี อาจจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ อย่าไปทำร้าย  ฆ่าเขา ให้รักษาศีลให้ดี"

ตนเองฟังแล้วได้คิดไตร่ตรองตาม  รู้สึกว่าต้องขอกราบขอบพระคุณพ่อครูที่สอน  เปิดเผยธรรมะของพระพุทธเจ้า  ช่วยให้เรารอดพ้นจากการที่ก่อวิบาก ด้วยความไม่รู้ ช่วยชีวิตเราทั้งชาตินี้และทุกๆชาติของเรา  ต่อจากนี้ที่จะไปก่อวิบากในเรื่องเบียดเบียนทำร้ายชีวิตผู้อื่น  ที่ผ่านมาก็ตัวพุทธเองได้ทานอาหารมังสวิรัติตั้งแต่อายุ 15 หลังจากเข้าค่ายยุวพุทธตอนนี้ทานมาได้ 32 ปีแล้ว  ที่ผ่านมาก็รู้ว่าดี  ตัดการเบียดเบียน...ยิ่งได้ฟังเทศน์ของพ่อครูเมื่อวันที่ 7 ก็ยิ่งซาบซึ้ง ถึงความสำคัญของการทานมังสวิรัติเป็นอย่างยิ่ง เนื่องในวันเกิดที่ 8 มกราคม  จึงขอตั้งจิตอธิษฐานทานอาหารมังสวิรัติตลอดไปทั้งชาตินี้และชาติหน้า

กราบขอบพระคุณพ่อครูอย่างสูงที่ให้ชีวิตใหม่ ทางธรรม  และมอบสังคมสิ่งแวดล้อมสาธารณโภคี  สังคมสัปปายะ  ที่ทำให้พุทธ ได้มาอาศัยฝึกขัดเกลาตนให้ได้สู่สิ่งที่มนุษย์คนนึงเกิดมาควรเป็นให้ได้ในชีวิต

พ่อครูว่า...ชาติหน้าจำให้ได้นะ อุแว้ขึ้นมาแล้ว พอจะกินข้าว แม่เอาเนื้อสัตว์มาป้อน ก็ไม่กินเนื้อสัตว์ หนูกินมังสวิรัติมาแต่ชาติก่อนแล้ว ก็เห็นความสำคัญในความสำคัญที่อาตมาพาทำแล้วก็เข้าใจ..

 

พวกพญานาค คือพวกหลับตาปฏิบัติ ไม่เป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์

พ่อครูว่า... อาตมายังตั้งใจจะอธิบายเรื่อง ความมหัศจรรย์ที่ไม่เคยมีมา ใน ปหาราทสูตร พระไตรปิฎกเล่ม 23 ข้อ 109 

 

ข้อที่ 1 พ. ดูกรปหาราทะ ในมหาสมุทรมีธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาสักเท่าไร ที่พวกอสูรเห็นแล้วย่อมอภิรมย์ ฯ   

ป. มี 8 ประการ พระเจ้าข้า พ่อครูว่า...มีความรอบรู้อย่างยิ่ง ที่จริงความมหัศจรรย์ 8 ประการนี้เป็นของศาสนาพุทธ แต่ก่อน พราหมณ์ เป็นผู้ที่มี สุรภาโว แต่ต่อมาได้เสื่อมไปเป็นอสูรแล้ว ไม่กล้าจะมาเป็นโลกุตระไม่กล้าจะมาศึกษาศาสนาพุทธ ไปเอาศาสนาอะไรที่ตัวเองหลงไปนาน กับอสูร ไปเป็นอสูรกับเขาหมด 

 

8 ประการเป็นไฉน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 1 ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ 

พ่อครูว่า... ขนาดเป็นอสูรยังอภิรมย์กับความมหัศจรรย์ที่เป็นลำดับ ข้อที่ 1 เป็นลำดับ ไล่เรียงมา ตามลำดับ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ไล่ลำดับไม่สลับ ไม่ก้าวกระโดด ไม่ใจร้อน ไปตามลำดับ อันนี้แค่นี้ พระพุทธเจ้าถือว่าเป็นความมหัศจรรย์แล้ว 

เพราะฉะนั้นอาตมาก็ขอขยายความ แค่เป็นลำดับไม่ลัดขั้นตอน 

เช่น จรณะ 15 มีศีล ข้อ 1 สำรวมอินทรีย์เป็นข้อที่ 2 โภชเนมัตตัญญุตาเป็นข้อที่ 3 ชาคริยานุโยคะเป็นข้อที่ 4 ศรัทธาข้อ 5 หิริข้อ 6 โอตตัปปะ ข้อที่ 7 พหุสัจจะข้อที่ 8 วิริยะเป็นข้อที่ 9 สติเป็นข้อที่ 10  ปัญญา ข้อที่11

ฌาน 1 2 3 4 เป็นข้อที่ 12 13 14 15 เป็นลำดับไล่เรียงไป ไม่ลัดไม่ตัด ไม่ตัดทิ้งอะไร นี่คือความมหัศจรรย์ของศาสนาพุทธแต่ทุกวันนี้ชาวพุทธเสื่อมไปจากศาสนาพุทธแล้ว 

จะปฏิบัติฉันเป็นอย่างไร ไม่มีอะไรเลยนั่งหลับตา จึงจะเกิด ฌาน 1 2 3 4 อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับพระไตรปิฎกก็อย่าไปอ่าน ทำฌานจะะเกิดฌาน นั่งหลับตาสมาธิอย่างเดียว เดี๋ยวก็มีเอง นี่คือมิจฉาทิฏฐิ หรืออวิชชาที่ตกขอบ ออกนอกศาสนาพุทธไปไกล สุดโลกเลย เป็นโลก เดียรถีย์ เป็นโลกที่ออกนอกศาสนาพุทธไปไกลลิบแล้วเอามาใส่ในศาสนาพุทธ ทำให้ศาสนาพุทธเสื่อมต่ำผิดพลาดไปไกล 

คนพวกนี้ อาตมาไม่ได้ใส่ความ ไม่ได้ว่าแต่คนพวกนี้ทำบาป เป็นโจรผู้ทำลายศาสนา ทำลายจิตวิญญาณ ทำลายธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่ท่านตรัสอยู่ในอาหารสูตร ข้อที่ 4 เป็นโจรผู้ทำลายศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าท่านก็สมมุติว่ามีพระราชา เห็นโจรมาทำร้ายทำลายสิ่งที่ไม่ควรทำร้าย ก็ให้เจ้าพนักงานไปฆ่า แทงด้วยหอก 100 เล่ม เช้า 100 เล่ม แทงเสร็จแล้วก็กลับมา พระราชาเจออีกก็ถามว่าเป็นยังไงตายแล้วหรือยังโจร ก็ยังไม่ตายพระเจ้าข้า เอาไปฆ่าให้ตายด้วยหอก 100 เล่มอีกไป เจ้าพนักงานก็ไปแทงด้วยหอกอีก 100 เล่ม เสร็จแล้วตอนเย็น พระราชาเจอพนักงานอีกก็บอกว่าตายหรือยัง ยังพระเจ้าค่ะ ก็เอาไปฆ่าอีกด้วยหอก 100 เล่มไปแทงฆ่าให้ตายอีก เจ้าพนักงานก็เอาไปแทง เอาหอก 100 เล่มไปแทง

คือ เขาไม่รู้สึกรู้สา แทงเท่าไหร่ก็ไม่เข้า แทงเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกไม่สะกิดเขาเลย เขาก็ยังจมอยู่ในวังวน จมอยู่ในที่มืด จมในอวิชชา อันนั้นอย่างเก่านั่นแหละ อันนี้อาตมาก็ อยากจะขยายความให้พิสดารไปอีก ถึงขั้นเป็นพญานาค ที่นอนเฝ้าถาดทองคำของพระพุทธเจ้า เป็นการนอนหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น หลับตลอดกาลนานเลย เขาจะรู้สึกตัวขึ้นมา ในโลกนี้ หรือในชีวิตของเขาชีวิตของพญานาค เขาจะรู้สึกตัวขึ้นมาสักทีหนึ่งก็ต่อเมื่อพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง อุบัติขึ้นมาในโลก 

อุบัติมาแล้วท่านก็ลอยถาดทวนน้ำมา ซึ่งเป็นธรรมาธิษฐาน เสร็จแล้วก็จมลงมาตรง กองถาดพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ จะดังอย่างไรก็แล้วแต่ เราก็พูดเป็นกิ๊กก็ได้ พญานาคก็จะได้ยินแต่แค่เสียงถาดทองที่เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ลอยมาแล้วกระทบถาดทองของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ อย่างเดียวๆ นอกนั้นหลับไม่รู้คู้ไม่เห็นอะไรสักอย่างรู้ได้แค่นี้ โอ้โห อุทาหรณ์ของพระเจ้านี้สุดยอด ทำไมถึงได้โง่ดักดานโง่ดึกดำบรรพ์โง่อยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทร นอนหลับ พอได้ยินเสียง กริ๊ก แล้วก็หลับไปอีกอย่างเก่า รอให้พระพุทธเจ้าองค์ใหม่อุบัติขึ้นอีกมาลอยถาดอีกก็ดังอีก กริ๊ก ก็ตื่นมาอีกครั้งหนึ่ง นี่คืออุทาหรณ์ของพระพุทธเจ้าสลบไสลไม่รู้เรื่องเลยใครจะพูดอย่างไรมีอย่างไร กูไม่รู้เรื่องทั้งนั้น จมอยู่ในสิ่งที่กูยึดถือ งมงายกูมืดบอดอยู่อย่างนี้ 

สู่แดนธรรม... เป็นการหลับอยู่ในภวังค์ก็เป็นพญานาค เขาถือว่าไม่ได้สนใจโลกปรุงแต่งแล้ว ครับผมเข้าใจว่าเขาไม่ได้ปรุงแต่งกับโลก เขาว่าหลุดพ้นจากโลกภูมิแต่งด้วยซ้ำไป แต่มันเป็นโลกที่ตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้าตรัสรู้ 

พ่อครูว่า... ก็น่าสงสารไม่รู้จะทำอย่างไรคือมันเยอะอันตรายก็สงสาร คนไทยที่ไปหลงงมงายนั่งหลับตา ขอยืนยันอีกๆๆๆ เลยว่า ลัทธิพุทธไม่หลับตา ศีล อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่ใช่หลับตา ชาคริยาคือตื่น ตื่นๆไม่ใช่หลับ ฝึกตื่นเสมอไม่ใช่ฝึกหลับ ไม่ใช่เป็นเพียรหลับ ไม่ใช่ไปเพียร นิทรานุโยคะ หรือว่า ไสยานุโยคะ อะไร มันไม่ใช่ มันต้องชาคริยานะ

สำรวมอินทรีย์คือตา หู จมูก ลิ้น กายต้องเปิด อินทรีย์ทั้ง 6 ต้องเปิด สำรวมสังวรเสมอเมื่อกระทบสัมผัสต้องเรียนรู้ ศาสนาพุทธต้องเรียนรู้ตื่นๆกระทบอย่างนี้ หลับตานั้นเป็นเรื่องนอกศาสนาพุทธจริงๆ ตีทิ้งไปได้เลย อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อาตมาพูดชัดพูดเพราะพูดแรง 

สู่แดนธรรม... แม้แต่คำว่า ชาคริยา คำว่าชา คำเดียว ก็ต้องบอกว่า รู้จากการเห็น จึงจะเรียกว่า ชา 

พ่อครูว่า... สำรวมอินทรีย์แล้วต้องเรียนรู้ โภชเนมัตตัญญุตา กิเลสรวมอยู่ตรงนี้ทั้งนั้นเลย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่จะกระทบลิ้นสัมผัส แล้วเป็นรส เป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเราต้องไม่งมงายอยู่กับสิ่งนั้น อย่างมหาบัว กินหมาก รสทางลิ้นไม่รู้เรื่องเลยไม่รู้จักกามคุณถ้าไม่รู้จักการติดยึดไม่รู้เลย แล้วคนก็ไปลงว่าเป็นอะไรหัน อาตมาจึงได้สุดสงสารจริงๆเลย 

ไม่ใช่ไปว่าอาตมาจะไปเกลียดชังมหาบัวแต่สงสารท่าน แล้วก็สงสารคนที่ไปหลงงมงายตามมหาบัว ไปหลงเป็นอรหันต์ ไปหลงเป็นคนตามที่ท่านได้หลอก ขอยืนยันว่าท่านหลอก อกาตมาไม่คิดว่าท่านไม่รู้ว่าสิ่งนี้เป็นกิเลส พอตามประวัติเคยได้ยินว่าท่านเคยได้หยุดกินหมาก แต่ท่านหยุดไม่ได้ ท่านก็เลยกลบเกลื่อนเลย กลบเกลื่อนว่า นี่มันไม่ใช่กิเลส มันเป็นเรื่องของธาตุขันธ์ กลบเกลื่อนไปเลย มันเป็นอันตรายต่อนิพพาน 

โกหกซ้ำโกหกซ้อน พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าคนที่โกหกทั้งๆที่รู้ คนๆนี้อย่าไปคบเป็นอันขาด ไม่มีอะไรที่จะไม่โกหก โกหกได้หมด โกหกทั้งๆที่ตนรู้ว่านี่คือการโกหก นี่เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้านะ เป็น สัมปชานมุสาวาท

เป็นเรื่องที่สุดสงสาร ทำไมเสื่อมไปหนัก ศาสนาพุทธ ไปหลงงมงายกับผู้ที่มิจฉาทิฏฐิหนัก แล้วก็ไปหลงว่าเป็นผู้ที่ประเสริฐสุดยอด มันโอ้โห คนละขั้วกับความจริง 

สู่แดนธรรม... ปัญหานี้ถูกมองว่า ท่านทั้งหลายปฏิบัติไม่เป็นตามลำดับก็เป็นปัญหาของพ่อท่าน พ่อท่านทำอย่างไรจึงทำให้เขาลดละให้ตามลำดับ 

พ่อครูว่า... ต้องมีลำดับสิ 

เมื่อปฏิบัติศีลและมีสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคคะ แล้ว สำรวมระวังระวังตาหูจมูกลิ้นกายใจ แล้วตื่นรู้แยกกิเลสได้ กำจัดกิเลสได้ไปเรื่อยๆ จึงจะเกิดศรัทธา จึงจะละอาย

ประเด็นนี้แหละยิ่งใหญ่มาก ละอายอย่างแรงกล้า พระพุทธเจ้าตรัสว่าถ้าใครได้คบสัตบุรุษคือคบกับพระพุทธเจ้า อธิบายธรรมะโลกุตระ ผู้ที่เข้าใจผู้ที่ชัดเจนแล้วโอ้โห ทำไมเราถึงได้โง่เง่า ทำไมเราถึงได้ผิดยึดนานจมอยู่ โอ้โห น่าเกลียดน่าละอาย ทำไมถึงโง่ มันรู้สึกถึงความโง่ของตัวเองอย่างชัดเจนเลยว่า แล้วจะรู้สึกละอาย 

เพราะฉะนั้นผู้ใดฟังธรรมะที่อาตมาพูด ยังไม่รู้สึกยังไม่ถอดถอน ยังไม่เข้าใจยังไม่เชื่อยังไม่รู้ไม่ศรัทธา แล้วก็ไม่เกิด หิริ ไม่เกิดความละอายขึ้นมานะ ก็คือยังไม่ตื่น 

สู่แดนธรรม... ผมเคยเห็นคนหนึ่งครับเขามาสารภาพว่า พอเขาได้อ่าน สิ่งที่พ่อท่านได้เขียนเรื่องเทวดา ที่พ่อท่านวิจัยเรื่องเวทนา ใน EQ โลกุตระ เขาอ่านแล้วมาสารภาพว่าอยากเข้ามากราบขออภัยท่าน ที่พ่อท่าน เมื่อก่อนเขาได้ดูหมิ่นดูถูกไป เขาเข้าใจได้เขาก็จะเป็นคนใหม่ขึ้นมา 

พ่อครูว่า... ใช่ทันทีเลย ..อย่างที่พระพุทธเจ้าอุทานว่า โอ้.. อัญญาสิวตโภโกณฑัญโญ 

มันถึงจะเปิดทางเข้ามาหาศาสนาพุทธ ไม่เช่นนั้นไม่เข้ามาหาศาสนาพุทธ 

พูดตรงๆเลย คนที่ฟังธรรมอาตมา แล้วต่อต้าน ไม่มีทางที่จะเข้าสู่ธรรมะโลกุตระของพระพุทธเจ้าได้ แล้วเขาจะไม่เกิดศรัทธา แล้วเขาจะไม่มีหิริ เขาจะยึดถืออย่างที่เขาเข้าใจเชื่อถืออยู่ตลอดเวลา ยิ่งยึดมากเท่าไหร่ เขายิ่งเห็นว่าเราพูดตรงกันข้าม เขาก็จะยิ่งว่า เขาเข้าใจผิดแล้วว่าอาตมา 

ยกตัวอย่างเช่น มหาประยุทธหรือท่านพุทธโฆษาจารย์ ถ้าท่าน เกิดดวงตานะ สัมมาทิฏฐิรู้ว่าอาตมาเป็นสัตบุรุษจริง ท่านจะอายขนาดไหน ท่านทำไว้ขนาดนั้น 

แต่ อาตมาว่าไม่มีทางหรอก ตลอดชีวิตชาตินี้ ท่านจะไม่รู้สึก 

สู่แดนธรรม... ไม่รู้ว่าขออภัยนะครับ ผมไม่อยู่ในฐานะที่จะพูด ไม่พูดก็ได้ครับ 

พ่อครูว่า... ที่อาตมาพูดนี้เปิดเผยความจริงไม่ได้ชิงชังท่านมหาประยุทธ์ ไม่ได้ชิงชังมหาบัว อาตมาไม่ชังไม่รัก ขอยืนยันว่าอาตมาเป็นอรหันต์ 

การพูดว่าอรหันต์ เปิดเผยว่าเป็นอรหันต์ มันเป็นความจำเป็นในยุคนี้ อาตมาจำเป็นต้องพูด จำเป็นต้องบอก จำเป็นต้องยืนยัน ขนาดนี้ยังไม่กระดิกหู มันอวดไปทำไมวะ ใครเขาก็จะรู้เองแหละว่าเป็นอรหันต์หรือไม่เป็นอรหันต์ ก็ขนาดบอกนี้ คุณยังไม่รู้เลย ยืนยันเอาพระไตรปิฎกมากางยืนยันเลย อาตมาพาพวกเราปฏิบัติจนเกิดสาราณียธรรม 6 เกิดวรรณะ 9 เกิดพุทธพจน์ 7 เกิดอะไรต่ออะไรเป็นจริงตรงตามพระพุทธเจ้าเลย คุณก็ยังไม่แวบไหวอะไรเลย เอ๊.. โพธิรักษ์น่าจะมีส่วนถูก 

สู่แดนธรรม... แสดงว่าเขามีแว่นส่องพระคนละอย่าง เขาเป็นนักดูพระเหมือนกันนะครับ ใช้แว่นขยายส่องพระ แต่คนละเกรดกัน เขาว่าพระอรหันต์ต้องอย่างที่เขาเข้าใจ

พ่อครูว่า... ใช่อรหันต์ต้องอย่างที่เขาเข้าใจ ซึ่งอาตมาบอกว่าอาตมาไม่มีความอยากอวดอยากโชว์มีแต่ความเปิดเผยความจริง พูดความจริง อาตมาพูดความไม่จริงไม่เป็น พูดจนหมดจนเกลี้ยงไม่เหลืออะไรแล้ว 

สู่แดนธรรม... จริงๆแล้วก็น่าเห็นใจพ่อท่านนะครับ คนไทยมีคตินิยมว่า ถ้าจะยกย่องกันต้องให้คนอื่นพูด แต่ทีนี้พ่อท่านไม่มีใครเป็นพี่ ไม่มีใครรู้ 

พ่อครูว่า... ไม่มีใครรู้ได้จึงจำเป็นต้องบอก จะให้คนอื่นบอก รอไปจนตายเขาก็ไม่รู้ไม่บอก ขนาดเอาพระไตรปิฎกมากางว่าอาตมาเป็นอย่างนี้อย่างนี้ ไล่ไปจนกระทั่งถึงตอนนี้ อภิภู 

อภิภู จริงๆแล้ว สยังอภิญญา จึงจะมี อภิภู ซึ่งต้องเป็นระดับ 8 ขึ้นไป 

อาตมาก็พยายามอธิบาย อภิภู ผู้ที่มีคุณสมบัติอภิภายตนะ 8 

อภิภายตนะ 8 ไม่ใช่อายตนะ 6 ทีเดียว คนสามัญก็มีอายตนะ 6 คือตา หู จมูก ลิ้น กายใจ แต่อภิภายตนะ 8 ไม่ใช่อายตนะ 6 คู่นี้ แต่ก็อยู่ในฐานของ 6 คู่นี้ เป็นคุณสมบัติพิเศษที่ยิ่งใหญ่ของผู้ที่มีคุณสมบัตินั้น เป็นคุณสมบัติของ อนุปคัมมะ เป็นความยิ่งใหญ่ของ จิตที่อยู่เหนือ มีอิทธิพลอยู่เหนือความมี ความไม่มี แล้วก็ไม่เข้าไปใกล้ทั้งความมี ความไม่มี ไม่เข้าไปใกล้ความมีหรือไม่มีกิเลส ถึงจะเป็นผู้ที่ปฏิบัติมัชฌิมาปฏิปทาสำเร็จ บรรลุผลเป็น อนุปคัมมะ อย่างนี้เป็นต้น 

เรื่องธรรมะที่ลึกซึ้ง อาตมาชาตินี้มาขยายความมาบอกว่า มนุษย์ที่จะบรรลุธรรมเป็นอย่างนี้ ถ้าปฏิบัติจนกระทั่งเป็นกลุ่มชุมชน จนกระทั่งมีพฤติกรรม มีพฤติการณ์ ของคุณธรรมโลกุตระ เป็นหมวดเป็นหมู่ เป็นชุมชน ชุมชนโลกุตระ กระจายอยู่ทั่วไปในประเทศไทย ยากแสนยากแต่ก็มีจริงได้  เป็นจริงได้เป็นสังคมสาธารณโภคีที่มีสาราณียธรรม 6 อันพิสูจน์เป็นเรื่องพิสูจน์สัจธรรม ที่มีผลยืนยันแท้จริง ถ้าเผื่อว่าผู้นั้นฟังธรรมได้ดีและเกิดปัญญาจริง 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

 

ทำความตายในความเกิด ทำความเกิดในความตาย

_สู่แดนธรรม... ต้องทำความตายให้เป็นเหตุของการเกิด อยากให้พ่อท่านขยายความข้อความ 

พ่อครูว่า... ความตายของความเกิด อาตมาก็เคยบอกว่าจะอธิบาย ความตายของความเกิดหรือความเกิดของความตาย 

ความตายของความเกิดก็คือ การตายของกิเลส จิตจึงจะเกิด ถ้าการตายของกิเลสได้จิตจึงจะเกิด ถ้ากิเลสไม่ตายการเกิดของจิตไม่มี 

จะต้องรู้อะไรตายจริง แล้วก็จะรู้ว่าตายจริงแล้วจิตจึงเกิด เป็นอย่างนี้  

อาตมาเคยบอกว่าอาตมาเป็นอรหันต์ รู้ได้อย่างไรว่าเป็นอรหันต์ ก็ถ้าอาตมาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอรหันต์แล้วจะบอกว่าเป็นอรหันต์ได้อย่างไร บอกว่าอรหันต์รู้ไม่ได้ นอกจากรู้ไม่ได้จะมีคนมาซักไซ้ถามไถ่อีก แล้วจะตอบเขาได้หรือ หน้าแตก หมอไม่รับเย็บเลยนะ ถ้าไปเปิดเผยขนาดนั้น 

สู่แดนธรรม... คำถามนี้ทำไมต้องถามด้วยครับ เพราะว่า เขาคงมีคติยึดถือว่า ต้องให้ผู้อื่นเป็นผู้บอกจึงจะใช่ 

พ่อครูว่า... ผู้อื่นจะมีผู้มาทำรู้อรหันต์ได้อย่างไร ไม่มี รู้ไม่ได้ถ้าเจ้าตัวไม่บอกผมจะรู้ได้อย่างไร ขนาดบอกแล้วอธิบายแล้วว่าอรหันต์เป็นอย่างนี้ ยังฟังไม่รู้เรื่องเลย แล้วก็จะไปเชื่ออรหันต์เดา ว่า องค์นี้ เป็นอรหันต์ ทำไมรู้ล่ะ ก็เดาเอาอย่างที่เขาว่า เขาไม่บอกก็เลยต้องเดาเอา ก็เลยมีแต่อรหันต์เดา ในสังคมทุกวันนี้ เมื่ออรหันต์จริงมาบอก ก็บอกก็บอกว่าไม่ใช่ อรหันต์จริงต้องไม่บอก 

เขาบอกว่าผู้ที่บอกว่าตัวเองบรรลุคือคนที่ไม่บรรลุ นี่คือปราชญ์เอกของศาสนาพุทธพูดอย่างนี้เลย มันขัดแย้งกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ โลหิจสูตร 

     _โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น  เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป  เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว   กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่... ฯลฯ ”  . 

    พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ  ย่อมมีคติ 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน  อย่างใดอย่างหนึ่ง 

(พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 358) 

พ่อครูว่า... นี่คือความเสื่อมของโลกุตรธรรม เหมือนกลองอานกะ คนเขาจะเชื่อภาษาแบบโลกีย์ พอใครมาบอกภาษาโลกุตระ เขาจะไม่เชื่อ ตรงกับที่พระพุทธเจ้าพูดไว้เป๊ะเลย ที่อาตมาพูดมันตรงกับที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ หรือจะมีใครมายืนยันอย่างอาตมา อาตมายืนยันแล้ว ทำงานนี้มาถึง 50 ปีแล้วนะ แล้วยังจะทำอีก ยังจะฝืนสังขารต่อไปให้ยืนยาวเท่าที่จะทำได้เพื่อยืนยันความจริงอันนี้ คนที่ไม่เชื่อจะได้เชื่อสักวันหนึ่ง จะเป็นสุภัททะคนสุดท้ายหรือไม่ 

สู่แดนธรรม... หัวข้อที่ชงไว้ให้กับพ่อท่าน คือ เรื่องลำดับของการทำให้ความตาย เป็นเหตุปัจจัยให้เกิด ความเกิด ถ้าใครไม่สามารถทำเหตุตัวนี้ให้สิ้นสุดความตายได้ มันก็ไม่เป็นลำดับที่ต่อเนื่องไป 

พ่อครูว่า... คุณจะต้องรู้จักความตายที่ว่านี้ ที่เรียกว่านิพพานหรือนิโรธ ความดับ อีกศัพท์หนึ่ง ที่เป็นซินโนนีมหรือเป็นไวพจน์ก็คือความดับ ดับอะไร ก็ดับกิเลส ดับกิเลสตาย เมื่อกิเลสดับ จิตจึงเกิด คุณก็ต้องอ่านจิต เจตสิก รูป นิพพาน อ่าน อภิธรรมพวกนี้ได้

แล้วในจิตเจตสิกต่างๆ ตัวสำคัญที่สุดที่จะต้องรู้ก็คืออาการความเป็นตัณหา หรืออุปาทาน 

อาการของอุปาทานมันก็รู้ยาก เพราะมันเป็นตัวตั้ง ส่วนตัณหามันเป็นตัวเคลื่อน เป็นอาการของกิเลสที่มันเคลื่อน เป็น Dynamic อุปาทานเป็นกิเลส Static รู้ยากกว่า พอมีอาการเคลื่อนก็รู้ง่ายกว่า 

เพราะฉะนั้นเราจะต้องรู้ตัณหา  ตัณหาจะเกิดได้ในเวทนา พระพุทธเจ้าก็สอนเจาะเข้าไปที่เวทนา ให้เรียนรู้เวทนา โดยโพธิปักขิยธรรม 37 เป็นโลกุตระธรรม 37 พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัดว่าโลกุตรธรรมมี 37 

อยู่ในพระไตรปิฎกเล่ม 31 ข้อ 620 โลกุตรธรรม 46 

ท่านก็ตรัสไว้ชัด ว่าจะต้องมาเรียนรู้ โลกุตระข้อแรกคือกาย 

กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม 

 

ความมหัศจรรย์ของการแยกกายแยกจิตได้ 

พ่อครูว่า... ขณะนี้อาตมาก็ย้ำเรื่องกายมากเลย พยายามยืนยันให้เข้าใจคำว่ากาย 

เพราะคำว่ากายคำนี้ยิ่งใหญ่มาก ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงที่สุดจบ กายคือสภาวะ 2 กายไม่ใช่สภาวะเดียว แล้วกายไม่ใช่เป็นหมายเอาถึงสรีระด้วย กายหมายเอาจิต มโนวิญญาณ ด้วย นี่ก็เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้าว่า 

กาย ตถาคตเรียกว่าจิต มโน วิญญาณ พระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 230 

พวกเราพยายามปฏิบัติธรรมแล้วยืนยันตามพระไตรปิฎกมาตลอดเวลา ขนาดนั้นคนที่ตั้งใจฟัง ตั้งใจศึกษาแสวงหา ก็ยังไม่พยายามเปลี่ยน 

อาตมาพยายามแกะรอยพระไตรปิฎก แล้วก็ยืนยันพระไตรปิฏก ว่าอันนี้หมายถึงอย่างนี้จริงๆตรง ตรงๆนะ ยืนยัน อาตมาว่า อาตมาสอนหรือแนะนำหรือพาปฏิบัติอยู่นี้ ยิ่งกว่าพวกพุทธวจน พวกที่ไปเรียบเรียงตัวหนังสือพุทธวจนะ เขาจะเอาแต่พุทธวจนะแล้วไม่ได้อธิบายอย่างที่อาตมายืนยันแล้วตรงไหม เขาเอาแต่ว่าใครไม่เอาตามพุทธพจน์ ไปเอาตามอรรถกถาจารย์ เอาตามสาวก ไม่เอานะ เขาคัดเอาคำของพระเถระออกหมดเลย เขาเอาแต่พระพุทธพจน์ พุทธวจนะอย่างเดียว เอาหัวเชื้ออย่างเดียว 

ก็ยิ่งไปกันใหญ่เลย ขณะที่พระเถระเถรีรุ่นในยุคพระพุทธเจ้าขยายความไว้ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็รับรองคำพูดของพระเถระเถรี เขาก็ไม่เอา เขาเก่งกว่าพระเถรีเถระในยุคพระพุทธเจ้าอีก อาตมาก็ว่าหมายสูงจริงๆพวกนี้ 

มาเข้าสู่คำว่ากาย 

คำว่ากาย เริ่มต้น มันมี 2 เริ่มต้น 1 พระพุทธเจ้าตรัสเป็นกลางๆของหลักสูตรว่า คุณจะต้องพ้น สักกายทิฏฐิ 

เริ่มต้นอีกอันหนึ่ง พระพุทธเจ้ามีหลักวินัยว่า พระอุปัชฌาย์จะต้องอธิบายแยกกายแยกจิต ให้ผู้ที่บวชขึ้นมาเป็นพระ เป็นภิกษุ ให้รู้จักกาย รู้จักแยกกายแยกจิตได้ให้เข้าใจอย่างสัมมาทิฏฐิเลยว่า เมื่อใดเป็นอุตุนิยาม จิตหรือพลังงานจิตนิยาม เมื่อใดเป็นอุตุ เมื่อใดเป็นพีชะ เมื่อใดเป็นจิต แล้วก็จะทำให้เป็นกรรมเป็นธรรมะ เรียกว่าธรรมนิยาม 5 

ถ้าไม่เข้าใจอันนี้ไม่มีทางที่จะบรรลุอรหันต์ ถ้าไม่สามารถแยกกายแยกจิต ทำจิตไม่ให้เป็นกาย ไม่ให้มีกาย ทำจิตให้เหมือนอุตุ  เป็นเหมือนดินน้ำไฟลม ซึ่งไม่เป็นชีวะ เป็นวัตถุธาตุ ถ้าทำไม่ได้ คุณก็ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ 

สู่แดนธรรม... ทำไม่ได้ก็ยังคา 2 อยู่ใช่ไหมครับ 

พ่อครูว่า... ทำไม่ได้ก็ยังมีกายอยู่ เพราะฉะนั้นจิตที่ไม่มี กายอยู่ กายเป็นชีวะ ไม่ใช่สรีระ ดินน้ำไฟลมอย่างเดียว ไม่ใช่ กายเป็นชีวะ จนกระทั่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า กายนี้ ตถาคตเรียกว่าพระไตรปิฎกเรียกว่า จิต มโน วิญญาณ พระไตรปิฏกเล่มที่ 16 ข้อ 230 จำข้อได้ผิดพลาดบ้าง เราไม่ได้ความจำเก่งเหมือนพระอานนท์ ท่านหนักแน่นยังจำพระไตรปิฎกเล่มนั้นเล่มนี้ได้เก่งกว่าอาตมา 

พระพุทธเจ้าท่านสอนให้รู้จักกาย รู้จักจิต แยกกาย แยกจิตให้ได้สำหรับนักบวช ถ้าหากมาบวชแล้วแยกไม่ได้ก็เป็นโมฆะ แยกอุตุนิยาม แยกพีชะ อาการอย่างไรเป็นอุตุ อาการอย่างไรเป็นพีชะ อาการอย่างไรเป็นจิต แล้วก็ไปสร้างกรรมให้มันทรงไว้ซึ่งสภาพที่เป็นอุตุ เป็นพีชะ ทรงไว้ซึ่งสภาพเป็นจิตให้ได้ คุณเข้าใจอย่างนี้แล้วทำได้อย่างนี้จริงๆ คุณก็เป็นพระอรหันต์ 

แต่ถ้าคุณเข้าใจไม่ได้ปฏิบัติบรรลุไม่ได้คุณก็ไม่ได้เป็นอรหันต์ ที่เรียกพระอรหันต์ต่างๆนั้นเขาเรียกกันไปหมดในยุคนี้ ที่ไปไล่เรียงกันมามีทั้ง 40-50 องค์ที่เป็นอรหันต์ เป็นอรหันต์เก๊ทั้งนั้น ขออภัยที่พูดความจริงไม่ได้ไปดูถูกดูแคลนใส่ความ แต่ต้องการพูดความจริงให้ฟัง ไม่เช่นนั้นจะไปหลงงมงายกันไปใหญ่ 

ขออภัยจริงๆ อรหันต์ต้องมาดูคนชาวอโศกต้องมาดูอาตมา ซึ่งอาตมายืนยันว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ ยังไม่ได้มี สาเฐยจิต ไม่ได้มีจิตอยากอวดอะไร อาการที่เป็นสาเฐยจิต อาตมาก็รู้ว่าเป็นอย่างไร อาตมาไม่มีอะไรมันก็ยืนยันว่าไม่มี อาตมาจะไม่โกหก โกหกเป็นอนันตริยกรรมอย่างไร อาตมา ถ้าโกหกไม่มีหน้าผ่องใสอย่างนี้หรอก หน้ามันจะเป็นสัตว์นรกไปถ้าเป็นอนันตริยกรรม ขนาดพระเทวทัตยังถูกธรณีสูบเลย บิดเบี้ยวไปหมดเลย ถูกธรณีสูบ 

สู่แดนธรรม...มาปฏิบัติธรรมขนาดนี้แล้วยังจะเอาวิบากใส่ตัวเองทำไมอีก 

พ่อครูว่า... อะไรก็ไม่เอาแล้วยังจะมาเอาอะไรอีก เอานรก 

การแยกกายแยกจิตนี่ล่ะ พระพุทธเจ้าถึงได้สอนเป็นลำดับ

ข้อที่ 1 ของสังโยชน์ก็ดี ข้อที่ 1 ของโพธิปักขิยธรรมก็ดี 

ข้อที่ 1 ของสังโยชน์ก็คือ สักกายทิฏฐิ คุณจะต้องทำความเห็นความเข้าใจความรู้ของคุณให้รู้จัก กาย อย่างสัมมาทิฏฐิ แล้วก็ต้องรู้กายนี้ กายนี้มันเป็นจิต ในตนนี้แหละ สักกายทิฏฐิ ต้องรู้ในตนให้ได้ กาย ของตนเป็นอย่างนี้ พ้นทิฏฐิ คือ พ้นจากมิจฉาทิฏฐิมาเป็นสัมมาทิฏฐิให้ได้ 

ถ้าไม่พ้นมิจฉาทิฏฐิ ข้อต้นนี้เป็นสัมมาทิฏฐิที่ข้อต้นนี้ หมด ทั้งกระบวนไม่มีทางที่จะปฏิบัติธรรม 

สู่แดนธรรม.. เท่ากับขับรถหลงทางเข้าไปในซอยในกรุงเทพ 

พ่อครูว่า... ไม่ได้เลย ถ้าคุณไม่สัมมาทิฏฐิในเรื่องกาย คุณจะไปพิจารณากายในกายที่เป็นโพธิปักขิยธรรม คุณจะพิจารณาไม่ถูกเลย 

ยกตัวอย่าง เปิดพจนานุกรมบาลีไทยเลย 

กายะ คือ กอง ไม่ใช่เดียวนะ คือกอง ฝูง คือหมู่ คือ องค์ประชุม แล้ว กายคืออะไร คือหมวดแห่งเจตสิกธรรม คือได้แก่ เวทนา สัญญา และสังขาร 

เวทนา สัญญา สังขาร นี่แหละคือ กาย นี่เปิดพจนานุกรมอธิบายแล้วนะ 

เพราะฉะนั้นใครเข้าใจว่า กาย คือ สรีรังคือสรีระ คือร่างภายนอก ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิดักดานเลย แต่มีสรีระไหม มี เกี่ยว เป็นองค์ประชุมทั้งภายนอกและภายใน นี่ต้องมีความรู้อันนี้ 

แล้วภายในเป็นหลัก กาย เป็นเจตสิก พระพุทธเจ้ายืนยันว่า  กายคือจิต มโน วิญญาณ พระไตรปิฏกเล่มที่ 16 ข้อ 620 ศึกษาดีๆ ทุกวันนี้พุทธศาสนาได้เสื่อมได้ผิดไปไกลมากเลย เป็นปราชญ์เอกขนาดไหนที่คุณนับถือ ขออภัยอย่าหาว่าลบหลู่เลย ยังไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่มีบรรลุอาริยะ ไม่มีบรรลุอรหันต์ได้ 

ธรรมะของพระพุทธเจ้าต้องเป็นโลกุตระเป็นอารยธรรม ต้องบรรลุอรหันต์ ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธเพียงศาสนาโลกียะ เทวนิยม เหมือนกับโลกเขาไปหมด ปฏิบัติให้ละชั่วประพฤติดี ศาสนาใดๆในโลกเขาก็ทำกัน ไม่มีศาสนาไหนเหมือนศาสนาพุทธ ที่ให้ละกิเลส แล้วดับสุข ดับทุกข์ มีศาสนาเดียวในโลก ให้ละกิเลสแล้วดับสุขดับทุกข์ ส่วนความชั่ว ความดีก็เรียนรู้ด้วย แล้วรู้ด้วยว่าดีชั่วไม่เที่ยง 

ดีชั่วคือการสมมติ แล้วแต่กลุ่มไหน ศาสนาพุทธก็มีดีชั่ว วงศาสนาอื่นก็มีดีชั่วแบบที่ศาสดาเขาว่า ก็ทำตามศาสดา ศาสนาใดก็มีดีชั่วตามที่ศาสนาเขาว่ากันไว้ซึ่งไม่เหมือนกันนะ ขัดแย้งกันอยู่ จนกระทั่งรบกัน เทวนิยมรบกันเลยแต่พุทธไม่รบ พุทธไม่มีรบ แยกนิกายอย่างไรก็ขัดแย้งกันแค่ปากหอก ไม่ได้ไปรบราฆ่าฟัน ตีรันฟันแทง ไม่ทำ 

ขึ้นต้นคำว่า กายก็ยืนยันได้ว่าเป็นหมวดแห่งเจตสิก เวทนา สัญญา สังขาร ฟังดีๆนะ ที่เข้าใจกาย เป็นสรีระ เป็นวัตถุธาตุ คุณผิดมานานมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่เกี่ยวกับดินน้ำไฟลม ไม่เกี่ยวกับสรีระ ต้องเป็น 2 กายต้องเป็น 2

อีกคำ กายกรรม ตามพจนานุกรมแปลว่า สิ่งที่พึงกระทำทางกาย กรรมแปลว่าการกระทำ หรือแปลว่าการออกกำลังกาย 

ซึ่งที่จริงมันไม่ใช่ กายกรรม เป็นการกระทำทั้งภายนอกภายในของคุณนั่นแหละที่เรียกว่ากายกรรม ทั้งภายนอกและภายใน มีจิตเป็นประธาน 

สู่แดนธรรม... หนังอินเดีย การทำงานเขาพูดว่า กรรม กายกรรม แปลว่าการทำงานของกองจิตได้ไหมครับ 

พ่อครูว่า... กายจิตเป็นประธาน จะเคลื่อนไหวออกมาเป็น กายวิญญัติ วจีวิญญัติ ก็มาจากประธานคือจิต แม้คุณไม่รู้ตัวก็คือเป็นอัตโนมัติเป็นสัญชาตญาณออกมาก็คือการกระทำของจิตออกมา แม้คุณไม่รู้ตัวเป็นสัญชาตญาณ สะสมมากี่ชาติอยู่ในอนุสัยออกมาก็เป็นอย่างนั้นเลย คลอดมาแล้ว เด็กอุแว้ ออกมาก็กินนมได้เลย ไม่ว่าคนหรือสัตว์เดรัจฉาน หรือจิงโจ้ออกมาก็คลำหากระเป๋าแม่ อยู่ในกระเป๋าแม่ อย่างนี้เป็นต้น เป็นสัญชาตญาณ 

ต่อมา กายกัมมัญญตา ท่านก็แปลว่า ความคล่องแห่งกาย ความเป็นความควรของกองแห่งเวทนา สัญญา สังขาร 

กายกัมมัญญตา คำว่า กัมมัญญตา มีคำว่า กาย คำหนึ่ง เป็นการกระทำความเหมาะสมควรทางกาย หมายความว่ามีการกระทำ กัมมัญญะ ควบ มีอำนาจของจิต อัญญธาตุ ควบคุมกรรม กัมมัญญตาหรือกัมมัญญา มี อัญญธาตุหรืออัญญา ธาตุรู้ตัวใหม่ที่ควบคุมการ กระทำออกมาทางภายนอก เรียกว่า กายกัมมัญญตา

ถ้าจิตกัมมัญญตา ก็แสดงว่ามันอยู่ในจิตไม่ออกมา มันเป็นการงานอันเหมาะควรของจิตของเรา คนอื่นก็ไม่เห็นกายกรรม วจีกรรมของเรา มีแต่มโนกรรม 

นี่คือ กายกัมกัมมัญตา

 

กายกลิ กลิคือโทษ คือภัย เพราะฉะนั้นตัว กลิ คือตัวโทษตัวภัย ขยายกลิก็คือกิเลส ตัวสำคัญเลย ตัวที่เป็นตัวกิเลสนั่นแหละ เป็นตัวเชื้อโรค เชื้อร้ายที่มันอยู่ในจิตอยู่กับจิต ควบคุม กายกลิ ควบคุมตัวเรา เป็นโทษเป็นภัยออกมาทางกายตลอดเวลา ภายนอกไม่สำรวมอยู่ในจิตเท่านั้น 

สู่แดนธรรม... ที่ผมรู้จักคำว่ากลิ ก็ตรงกับ คำว่า กาฬ ที่แปลว่าดำ กาละ ก็แปลว่าดำ

พ่อครูว่า... ความมืดความดำความโง่ กายลิ คือเป็นโทษ คือสิ่งชั่วช้าที่อยู่ในกาย 

ถ้าเข้าใจว่า กายมีแต่ร่างภายนอก สิ่งชั่วช้ามีแต่เพียงภายนอกก็ไปทำอะไรกับมันไม่ได้เลย เช่น เป็นมะเร็ง เป็นแผล เป็นฝี เป็นตัวภายนอก แม้แต่เป็นขี้ไคล เป็นคราบอะไรก็แล้วแต่ 

สู่แดนธรรม... แต่จริงๆแล้ว หมายถึง กิเลส สิ่งชั่วช้าที่ครอบงำจิต 

พ่อครูว่า... ใช่ สิ่งชั่วร้ายที่อยู่ในกายอยู่ในจิต กายคือจิต สิ่งชั่วช้าที่ครอบงำอยู่แล้วออกมาภายนอกด้วยเลย 

 

กายสวะ คือ ท่านแปลว่า ความหมักหมมแห่งร่างกาย แสดงว่า คนนี้ไม่อาบน้ำเลย ร้อยวันพันวันหมักหมมจัด เดินผ่านมาได้กลิ่นแต่ไกล ท่านแปลว่าความหมักหมมในร่างกาย ความสกปรกที่มีอยู่ในร่างกาย ฟังแล้วมันตื้นๆ นะ 

ความจริงแล้วอาสวะกิเลสหมักหมม กิเลสหมักดอง อยู่ในจิตของคุณออกมาแสดงออกทางกายเลย กายสวะ ออกมาเต็มที่เลย นี่คือการแปลของอาตมาหรือการขยายความของอาตมาเท่าที่อาตมามีภูมิ รู้ในสภาวะที่พยัญชนะบาลีว่าอย่างนี้ 

สู่แดนธรรม... ได้ความว่า พ่อท่านแปลอะไรก็แล้วแต่ จะเน้นเข้าหาภายใน เข้าหาปรมัตถ์ก่อน เรื่องที่รับรู้กับคนภายนอกเป็นเรื่องราว 

พ่อครูว่า... เพราะฉะนั้นเรื่องของอุตุเราพูดกับมันไม่รู้เรื่องหรอก มันก็เป็นของมันตาม พลังงาน เราไม่เกี่ยว เราไปทำอะไรกับมันไม่ได้ หรือแม้แต่พีชะ มันก็ไม่รู้เรื่องกับเรา ขนาดจิตนิยามเราก็สอนได้แต่คนที่เป็น เวไนยสัตว์ 

เพราะฉะนั้น ที่อาตมาสอนอธิบายอยู่นี้ คนที่มาฟังจึงเป็นเวไนยสัตว์ สัตว์ที่สอนได้สัตว์ที่ฟังธรรมะรู้เรื่อง ที่ฟังธรรมะอาตมาไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจไม่มีประโยชน์ ยังเป็นอเวไนยสัตว์อยู่ 

สู่แดนธรรม... พ่อท่าน เคยยก 

เวไนย ระดับต้นๆ อบายมุขก็รับไม่ได้ คือขั้นต่ำ 

แต่ถ้าไม่สามารถเข้าใจโลกุตรธรรมได้ เขาเป็นเวไนยสัตว์ระดับโลกียะ แต่ว่าสำหรับโลกุตรธรรมเขาไม่ได้เป็นเวไนยสัตว์ 

พ่อครูอธิบายสภาพ อุตุ พีชะ ของเล็บ

พีชะไม่มีเวทนา ไม่มีความรู้สึก ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่บาปไม่บุญ

พ่อครูว่า...ฟังดีๆนะ เป็นหัวใจศาสนาเลย ถ้าแยกกายแยกจิต ให้เป็นอุตุ เป็นพีชะ จิตนิยาม แยกอย่างนี้ ปรุงแต่งอย่างนี้เป็นพืชะ ปรุงแต่งนี้เป็นอุตุ 

ถ้าเข้าใจอย่างสัมมาทิฏฐิไม่ได้ คุณทำกรรมการกระทำให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้ คุณก็ไม่ถึงธรรม จะเป็นอรหันต์ทำนิพพาน ทำนิโรธธรรม ทำไม่ถึง ทำไม่ได้ 

คุณต้องเข้าใจอุตุ พีชะ จิต อย่างสำคัญเลย ต้องแยกให้ชัด ถ้าแยกไม่ชัด ไม่เข้าใจ แล้วทำไม่ถูกไม่ตรง หมดทาง 

พระพุทธเจ้าท่านให้เรียนรู้จาก อวัยวะภายนอก มันมี ผมขนเล็บฟันหนัง เรียนรู้จากการพิจารณาเอาส่วนใดมาอธิบายก็ได้แยกกายแยกจิต 

จาก เอาเล็บมาเป็นตัวอย่าง  เอาผมมาเป็นตัวอย่าง เอาขนมาเป็นตัวอย่าง เอาฟันมาเป็นตัวอย่าง  เอาหนังมาเป็นตัวอย่างได้ทั้ง 5 ตัวอย่าง 

แต่อาตมาชอบที่จะเอาเล็บมาเป็นตัวอย่าง ผมมันก็ยาว เล็บมันก็ไม่ยาวไม่ใหญ่อะไร ฟันก็ละเอียดไปข้างใน แต่เล็บนี่มองเห็นด้วย อธิบายได้ง่ายกว่า

เมื่อใดเล็บเป็นอุตุ เมื่อใดเล็บเป็นพืชะ เมื่อใด้เล็บเป็นจิต 3 สภาพนี่แหละ คุณต้องทำกรรมให้เกิด ถ้ารู้แล้วทำแล้วคุณจะทรงไว้ ถ้าสมบูรณ์แบบคุณก็เป็นนิพพาน เป็นนิโรธธรรม 

เล็บ ส่วนที่ถูกตัด ตัดออกมา เล็บที่มันยาวยืดออกมา แล้วคุณตัดออกมาหลุดออกจากร่างกายเล็บนั้นก็เป็น อุตุนิยาม หมดพีชะ หมดความเป็นชีวะ เหมือนต้นไม้ ถูกถอนออกจากสิ่งที่มันอาศัยอยู่ หากต้นไม้อยู่กับดินก็อีกเรื่องหักต้นไม้กินอากาศก็อีกเรื่อง 

เอาเล็บนี่แหละ ตัดเล็บออก คุณตัดไม่เจ็บ เล็บ ส่วนที่เลยออกจากระบบประสาท ชีวะ พีชะ มันเป็นชีวะพีชะ มันเลยออกมาจากระบบประสาทมันเป็นพืช  ไม่มีความเจ็บปวดไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญาณ เล็บ ส่วนที่เลยออกจากเส้นประสาทมาที่มันยาวออกมาได้ ยังเลี้ยงด้วยอาหาร ยาวออกไปได้ 

อาตมาเคยอธิบายเลยเถิดว่า คนที่ยึดมั่นถือมั่นว่ากายเป็นของเรา เนื้อหนังมังสาผมขนฟันหนังและเป็นของเรา ตายไปแล้ว ผมก็ยังยาวออกมา แล้วก็ยังยาวออกมาอยู่ ไม่ถอดวิญญาณ พวกนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ตายแล้วไม่เน่าเป็นต้น ผมก็ยังยาวออกมา เล็บก็ยาวออกมา ไม่เน่า พวกนี้มิจฉาทิฏฐิหนัก แล้วก็ไปเคารพกันว่าเป็นผู้ที่พลังจิตสูงมากตายแล้วไม่เน่า 

สู่แดนธรรม... นักวิทยาศาสตร์บอกว่าเป็นแรงเฉื่อย เป็นพลังงานที่ยังไม่สิ้น 

พ่อครูว่า... พลังงานไม่สิ้นเพราะอะไร เพราะเขายึดว่านี่คือกายของกูไม่ออกไป ทั้งๆที่จิตของคุณไปแล้วตายไปแล้วไม่เป็นจิตวิญญาณ แต่ถ้า พืชธาตุยึดยังอยู่ เหมือนมนุษย์พืชนั่นแหละถ้าคุณยังให้อาหารอยู่ กายนี้ก็ยังอยู่เหมือนที่อยู่ใน ICU นั่นแหละ ถอดสายออกเมื่อไหร่ก็เป็นมนุษย์ตาย ไม่ใช่มนุษย์พืช แต่ที่ยังหนักอยู่คือไม่ยอมตายก็เลยพยายามดึงตัวเองไว้ 

พีชะ ไม่มีเวทนาไม่มีความรู้สึก เจ็บปวดไม่มี บาปบุญไม่มี เพราะฉะนั้นเล็บที่มันพ้นปลายประสาทออกมายังเป็นพืช เป็นชีวะ ไม่เจ็บไม่ปวดไม่บาปไม่บุญ ไม่มีจองเวรจองกรรมไม่มีรักไม่มีชัง ตัดมันก็ขาดออกมาไม่เจ็บ ที่ขาดออกไปแล้วเป็นอุตุ ไม่มีเจริญแล้วมีแต่แห้ง เสื่อม แต่มันทน ขี้ไคลก็เปื่อยง่ายกว่าเล็บ ฟันก็ทน

ส่วนที่ยังเป็นพีชะ เราต้องอ่านให้ได้ว่าเป็นพีชะเป็นชีวะ เพราะฉะนั้นเราต้องไปเทียบกับจิตนิยาม ถ้าจิตของเรามีเวทนามีความรู้สึก เหมือนอย่างเล็บ ส่วนที่ไม่ติดกับประสาทไม่เกี่ยวข้องกัน ให้ขาดจากประสาท แล้วจิตเป็นประสาทแต่ยังมีชีวิตอยู่กับตัวเรายังไม่ตาย จิตนิยามนี้ยังไม่ตาย ให้จิตนิยามมีอาการของพืชะ เอาอาการของพีชะ ให้เกิดความรู้สึกที่ไม่รู้สึกไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เป็นต้น ทำให้เกิดอาการอย่างนี้ให้ได้ 

เพราะฉะนั้นอาการของความไม่สุขไม่ทุกข์จึงเป็นอาการของ อรหัตตผล ในศาสนาพุทธของเราเอาอย่างนี้ ไม่ใช่ดีชั่ว แต่อยู่ที่สุขที่ทุกข์ เป็นพื้นฐาน 

อทุกขมสุข จะเป็นไวพจน์กับคำว่าอุเบกขา ซึ่งต่างกัน 

อุเบกขาคือรู้ด้วยปัญญา ทำให้กิเลสมันออกไปหมดจนกระทั่งบริสุทธิ์ จิตบริสุทธิ์ตัวแรก ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา 

จิตอุเบกขาไม่มีกิเลส ก็ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์อย่างถาวรอย่างดี แต่ไม่สุขไม่ทุกข์ที่ไม่รู้เลย กดข่มเฉยๆ ที่เรียนหลับตาสะกดจิตก็ได้แค่ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่ได้อุเบกขา 

อุเบกขาลึกกว่า อทุกขมสุข คือ รู้กิเลสแล้วฆ่ากิเลสตายไปจากจิต จึงจะเป็นอุเบกขา 

สู่แดนธรรม... ผมเคยสรุปอย่างนี้ว่า อุเบกขาคือผลที่เกิดจากทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ตายไปแล้วความเกิดก็จะเกิดในอุเบกขา เกิดความบริสุทธิ์ 

พ่อครูว่า...  ชีวิตของเรายังอยู่แต่ถ้าจิตของเราเป็นอุเบกขา คุณต้องเรียนรู้อุเบกขา 108 หรือเวทนา 108 ตรงแยกอุเบกขาเป็น 2 ฝ่าย เคหสิตะเป็นมโนปวิจาร 18 และทำให้เป็นเนกขัมมะ เป็นมโนปวิจารอีก 18 

ต้องเรียนรู้ 2 ขั้วมโนปวิจารให้ได้ คุณจึงจะอ่านกระทบสัมผัสแล้วเกิดจิตแยกเป็นเนกขัมมะและเคหสิตะ ทำให้เป็นอุเบกขา เนกขัมมะ คือบริสุทธิ์จากกิเลส จะได้เป็นคราวๆ ก็เรียกว่า ตทังคปหาน

ทำได้ดีขึ้น ดีขึ้น นอกจากตทังคปหาน ก็เป็น ปฏิปัสสัทธิปหาน เป็นนิสสรณปหาน ก็เก่งขึ้นไปตามลำดับ นี่แหละ ถ้าเข้าใจกายไม่ได้เลย แยกว่ามันเป็นชีวะหรือไม่เป็นชีวะ

เป็นชีวะ แต่ทำให้เป็นพีชะให้ได้ทั้งๆที่มันเป็นจิตนิยาม เป็นจิตรู้ครบรู้ถ้วน แต่คุณสามารถทำให้จิตมันเป็น พีชะธาตุได้ จิตที่เป็นเหมือนกับพืช ไม่สุขไม่ทุกข์ไม่มีกิเลส 

กิเลสตัวที่มันไปโง่ เป็นเวทนาสุขทุกข์ พอไม่มีกิเลส ไม่ไปยึดถือเวทนาว่าเป็นเรา สุขทุกข์ เวทนาก็เป็นกลางๆ รู้ความจริงตามความเป็นจริงเท่านั้น เจ็กไทยแขกฝรั่งก็เรียกไปตามพยัญชนะแต่ละที่ 

เห็นสีแดง ก็เป็นสีแดง เจ๊กแขกไทยฝรั่ง ก็เห็นสีแดงเหมือนกัน นี่คือเวทนาแท้ แต่อีกคนหนึ่งแดงสวย อีกคนนึงยังไม่สวยนั่นแหละคือเวทนาเก๊ 

นั่นแหละเรียนรู้ความจริงที่มันมีการแปลกแยกไปจากสิ่งที่เป็นจริงตามความเป็นจริง หนึ่งเดียว คุณแยกได้ แล้วก็ไม่ให้จิตของเราไปโง่งมงายตามที่เขาเป็น ที่เขาว่าสวยไม่สวย 

แต่รู้ลิงคะ รู้ความต่างได้ ว่าแดงนี้ แตกต่างจากแดงอันนี้ 

ไม่ใช่ว่าแดงขนาดนี้สวย แดงขนาดนี้ไม่สวย ถ้ายิ่งแดงขนาดนั้นไม่สวยใหญ่เลย ต้องแดงแบบเฉดนี้จึงจะสวย นั่นคือถ้าคุณสมมุติ คุณไปยึดติดทั้งนั้นเลย 

ที่ อธิบายไปเป็นปรมัตถ์ธรรม เป็นอภิธรรม ที่ยาก แต่ต้องเรียนอย่างนี้ นี่คือศาสนาพุทธ ถ้าไม่ได้เรียนอย่างนี้คุณก็ไม่ได้อะไร ถ้าเรียนอย่างนี้เข้าใจได้ดีถูกต้องทำได้ดี คุณก็มีจิตเป็นอรหันต์ หมดสุขหมดทุกข์ก็จบแล้วชีวิต ชีวิตหมดสุขหมดทุกข์ก็จบ ดีชั่วนั้นแน่นอนไม่ทำชั่วแน่นอน 

สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปกำลังสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) โอวาทะปาติโมกข์เป็นของพระอรหันต์ไม่ใช่ของธรรมดา แปลว่าละชั่วประพฤติดีน่ะ ผิด ไม่ทำบาปแล้วบุญก็ไม่ต้องทำ แต่ไม่ต้องกล่าวคำว่าบุญ เพราะฉะนั้น สัพพปาปัสสะ แม้แต่บาปก็ไม่ทำ บุญนั้นไม่ทำอยู่แล้ว 

กรรม ของผู้ที่ทำอยู่นี้จึงมีแต่ กุสลสูปสัมปทา กรรมของผู้ที่ไม่ทำบุญไม่ทำบาปอีกแล้วคือผู้ที่มีกรรมแต่กุศลอย่างเดียว นี่เขาก็เข้าใจกันไม่ได้ 

สู่แดนธรรม... ไม่เคยเห็นครูบาอาจารย์คนไหน สอนให้แยกกายแยกจิตได้อย่างพิสดารเช่นนี้ 

พ่อครูว่า... มี เขาสอนให้แยกกายแยกจิตด้วยนะสมาธิแล้วลอยออกไปภายนอก

สู่แดนธรรม... พ่อท่านบอกสำทับ หากเข้าใจแยกกายแยกจิตไม่สัมมาทิฏฐิ ทำไม่ได้คุณก็ห่างไกลจากการบรรลุอรหันต์ …สรุปจบ


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2565 ( 05:07:13 )

650112

รายละเอียด

650112_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ความมหัศจรรย์ 8 ประการในชาวอโศกบุญนิยม 

https://www.boonniyom.net/51196.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/11J6u5yavI6TTFkswL-dsAeDXk2vjSOH-OvSrGFGAV7c/edit?usp=sharing  

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1TRVOwo5z8l9z5zNKeZIzTZ2qo8YxshaQ/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่     https://www.facebook.com/300138787516163/videos/1086936565429703 

และ   

 

สมณะเดินดิน...วันนี้เป็นวันพุธที่ 12 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ใกล้จะถึงงานพุทธาภิเษกฯ ซึ่งอยู่ในช่วงวันวาเลนไทน์และวันมาฆบูชา งานที่จัดกันมาก็เป็นการเพิ่มภูมิเพิ่มปัญญาให้แก่พวกเรา ในงานนี้ก็จะมีการสอบซึ่งจะใช้การเทศนาของพ่อครูเป็นข้อสอบ  ดูข้อมูลได้ที่ www.boonniyom.net ขอให้เราไปทบทวนดู การทำวัตรตอนเช้าดูจะไม่ค่อยเหมาะกับสุขภาพพ่อครูซักเท่าไร ก็มีผู้เสนอให้เทศน์ตอนเย็น ก็ดูความเป็นไปได้ ตอนทำวัตรเช้าก็เป็นสมณะ สิกขมาตุแทน

 

พ่อครูว่า...

SMS วันที่ 10-11 มกราคม 2565

 

สาธารณโภคีนี้คือสิ่งมหัศจรรย์ในยุคอดีตจนถึงปัจจุบัน

_ตุ๊ก อัศวิน : โพธิกิจของพ่อครู ที่ได้นำพาลูกๆ(ชาวอโศก) ปฏิบัติมานาน >50 ปี จนได้รูปธรรมต่างๆ ที่จับต้องได้.. ท้าพิสูจน์ได้.. ที่เห็นเด่นชัด คือ สาธารณะโภคี ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในโลก..ในยุคนี้!!  น่าจะกระทบ จิต ของผู้มีปัญญาได้บ้าง..นะเจ้าคะ!!  ฤา..ยุคนี้..จะไม่มี "ผู้กล้า/ผู้มีปัญญา" มาถอน กิ่งหว้า หรือหนอแล !!!

พ่อครูว่า… เอาตำนานถอนกิ่งหว้ามากล่าวถึงเลย ผู้ไม่รู้ตำนานก็คงจะไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร คือหมายความว่าอย่างนี้ ถอนกิ่งหว้า คือในยุคพระพุทธเจ้า จะมีการถกปัญหาถกธรรมะกัน ผู้ที่อยากจะถกธรรมะกับใครก็เอากิ่งหว้านี้ไปหัก หักกิ่งหว้าไปปักไว้ หน้าสำนักเขาเลยท้า ให้ออกมา โต้ ให้ออกมาถกเรื่องธรรมะกัน เข้าใจอย่างนั้นเลย ลัทธินี้มีอยู่ในทิเบต เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ เอาวิธีปักกิ่งหว้ากันอยู่ เขาถกกันหน้าดำหน้าแดง แต่เขาไม่ได้โกรธกันนะ 

ทีนี้ที่คุณตุ๊กกล่าวถึงว่า อาตมาได้แสดงธรรม จนคนชาวอโศกได้ปฏิบัติกันจนเกิดมรรคผล แล้วเกิดเป็นรูปธรรมต่างๆที่จับต้องได้พิสูจน์ได้เห็นได้ชัด คือสาธารณโภคี ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในโลกในยุคนี้ ในยุคพระพุทธเจ้าก็มหัศจรรย์ แต่ว่ามันเป็นภาวะจำนน 

สาธารณโภคีมันจะแพร่กว้างออกไปไม่ได้เลย เพราะว่าเป็นยุคที่มีข้อจำกัด เป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่อาตมากล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีกไปหลายที เป็นยุคทาส เป็นยุคที่ผู้คนเป็นเรื่องทาสกันอยู่ มีระบบทาส มีระบบที่ยังไม่มีปัญญาไหวพริบพัฒนา ในเรื่องของสิทธิความเป็นคน มนุษยชน ยังไม่รู้จักสิทธิของความเป็นคน สิทธิมนุษยชน… ยังเป็นยุคทาสกันอยู่ มันก็เลยไม่สามารถที่จะทำให้คนทั่วไป ประชาชนทั่วไปสามารถจะปฏิบัติสาธารณโภคีได้ 

แต่ยุคนี้ทั่วโลกไม่มีแล้วความเป็นทาส เลิกทาสกันทั่วโลกแล้ว แล้วก็ไม่ใช่ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์อีกด้วย พร้อมกับคนรู้ดีแล้วว่า ตนมีสิทธิมนุษยชนเต็มร้อย ในยุคนี้ 

เพราะฉะนั้นจึงเป็นยุคที่ต่างกันกับยุคพระพุทธเจ้า จึงเป็นยุคที่อาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาให้ศึกษาปฏิบัติกันแล้ว ก็เกิดสาธารณโภคีได้ เพราะจิตของเขาเกิดสาราณียธรรม สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ และเป็นคนที่มีภูมิธรรมขั้นวรรณะ 9 เกี่ยวข้องกันยังไง เกี่ยวข้องกันมากเลย

เพราะจิตที่บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าและเป็นโลกุตรธรรมแล้ว จะเป็นคนที่เป็นอยู่ง่าย   เลี้ยงดูง่าย ปกครองง่าย บริหารง่าย อยู่กินกันง่ายๆ ไม่เป็นเรื่องลำบากเลย จะกินจะอยู่ จะเป็นจะไป จะไปจะมา จะอย่างโน้นอย่างนี้ เป็นเรื่องอย่างนั้นขัดข้องอย่างนี้ ไม่ชอบใจ ไม่เลย 

เพราะจะรู้ถึงสถานะของสังคมที่ดี เป็นความเจริญชนิดที่สำคัญมาก วรรณะ 9 นี้คือ The Classes เป็นขั้นชั้นระดับโลกุตระของมนุษยชาติ 

สุภระ สุโปสะ และเป็นคนที่ศึกษา มีวิสัยทัศน์มีทัศนคติกว้าง เปิดรู้ รับรู้ว่า อ๋อ.. โลกเขาไม่ได้แคบเหมือนสมัยโบราณสมัยเก่า โลกทุกวันนี้กว้างหาที่สุดมิได้ ปานฉะนั้นทีเดียว สุโปสะ เพราะฉะนั้นพัฒนาให้เจริญได้ง่าย

ที่สำคัญก็คือมีจิตอัปปิจฉะ มีจิตมักน้อย มีจิตไม่ต้องการมาก ต้องการมีน้อย มักน้อยคือต้องการไม่ต้องมีมาก ชีวิตไม่ต้องมีมาก มีมากมันหอบ ลำบากลำบน รักษายากเป็นภาระ เป็นที่ปองหมายของโจร เป็นที่ริษยา อะไรต่างๆนานา จะมีปฏิภาณปัญญาเยอะ เข้าใจว่า

อ๋อ.. มาเป็นคนจนนี้ปลอดภัย เป็นคนที่ไม่ต้องไปเบียดเบียนอะไรต่างๆนานาสารพัด มีเหตุปัจจัยมีผลเยอะ สรุปว่าเป็นคนจนเป็นคนประเสริฐ ดีกว่าจะไปเป็นคนรวย เป็นคนรวยนี้ขออภัย พูดชัดๆ มันเป็นแนวคิดที่ต่ำทราม มาเป็นคนจนนี้เป็นแนวคิดที่เจริญที่ประเสริฐ

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ยืนยันได้เลย มาเป็นคนมักน้อย เป็นคนมาจน สละออกหมด ทิ้งทรัพย์ศฤงคารหมด ไม่ใช่เรื่องพูดโมเมเอา แต่เป็นเรื่องสัจธรรมตายตัวมาทุกยุคทุกสมัย เป็นสัจจะที่วิเศษ เป็นคนต้องการน้อย มีน้อยก็พอ แค่นี้ก็พอ

เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่มาก อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ 

ปวิเวก แปลว่าความสงบ เป็นผู้เข้าใจ ในเรื่องความสงบ ความสงบ ไม่ใช่เรื่องต้องหนีไปจากบรรยากาศด้วยจากผู้คนสังคมหนีจากสิ่งกระทบต่างๆ ไม่ใช่ 

ความสงบในปัญญาข้อที่ 3 ในปัญญา 8 ข้อที่เป็นผู้ที่ได้ความสงบ 2 อย่าง พระพุทธเจ้าท่านตรัส จะเกิดปัญญาโลกุตระ ความรู้ความฉลาดแบบโลกุตระ จะรู้จักความสงบ 2 อย่าง  สงบจากกิเลสทั้งกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ......

แต่ความสงบแบบโลกียะที่เขาเข้าใจกันเป็นความเข้าใจที่มิจฉาทิฏฐิ แม้แต่มโนก็ทำให้คิดช้าๆ เชื่องช้า หยุดคิดหยุดทำ คล่องแคล่วว่องไว ให้เซื่องๆ หยุดๆนิ่งๆ ดับได้แล้วก็หลงว่าเป็นนิโรธ เอาอย่างนั้นเลย 

ซึ่งเป็นเรื่องลึกซึ้งมากเลยในเรื่องความสงบของพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องลึกซึ้งมากเป็นโลกุตระธรรม ยิ่งสงบยิ่งคล่องแคล่วว่องไวปราดเปรียว ไม่ใช่ความสงบอันที่สองของพระพุทธเจ้า ยิ่งสงบไม่ใช่ความเฉื่อยไม่ใช่ความช้า แต่ยิ่งไปคล่องแคล่วว่องไวปราดเปรียว เหมือนพระสารีบุตรนี้ยิ่งกว่าลิง ได้รับความสรรเสริญยกย่องด้วยจากพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากที่จะเข้าใจ 

คนที่ท้วงอาตมาเป็นพระอรหันต์ทำไมไม่มีความสงบ สงบอะไรยิ่งกว่าลิง ก็น้อยไป อาตมายังลิงน้อย พระสารีบุตรลิงใหญ่กว่าอาตมา อาตมายังเป็นลิงเกรงใจ พระสารีบุตร ลิงไม่ต้องเกรงใจ พระพุทธเจ้าอยู่ทั้งพระองค์ เรื่องนี้คนเข้าใจได้ยาก 

นี่คือเรื่องที่อาตมาอยาก  ขอเสริมเติมเข้าไปอีกนิดหน่อย ใน sms ข้อนี้ เข้าใจให้ได้ เดี๋ยวอาตมาจะเอาความมหัศจรรย์มาอธิบาย

 

_Aranyar Zeman (อรัญญา ซีแมน) : น้อมกราบนมัสการพ่อครูที่เคารพอย่างสูงค่ะ เพลงไตเติ้ลเข้ารายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ทำนองไพเราะดีค่ะ

พ่อครูว่า...ไปชมเชยคุณโอ๋ฆราวาส ที่เป็นคนทำดนตรีอันนี้ ทั้งทำนองทั้งบรรเลง เขาเล่นเองทั้งวงคนเดียวสมัยนี้ ก็เป็นทาเล้นท์ของแต่ละคน

 

_แก้วตะวัน พวงบุบผา : น้อมกราบนมัสการพ่อครู ท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ..เรื่องกายฟังหลายครั้งยังไม่ค่อยเข้าใจ ก็ต้องฟังพ่อครูต่อไปอาจเข้าใจได้สักวัน แต่ตอนนี้ก็ถือว่าดีกว่าเมื่อก่อนค่ะ

พ่อครูว่า...อาตมาก็ยังอธิบายไม่จุใจ กายเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก ตั้งใจฟังไปอาตมาจะพยายาม

 

_สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ : กราบขออนุญาตสมณะสิกขมาตุ ขอแสดงความยินดีกับสปิริตชน แกนนำแนวร่วมกู้ชาติรักษ์กฎนิติรัฐหลักนิติธรรม อ.ไชยวัฒน์ฯ อ.อมรฯ ได้รับการปล่อยตัว กลับสู่บ้านวิถีใหม่ปลอดภัยสาธุ

 

_เจิน วดี : กินพืชเว้นเนื้อสัตว์ เราไม่เบียดเบียนใคร อยากทำอยู่ค่ะ สบายใจไม่ต้องเอาชีวิตใคร

 

อสุรกายคือจิตอ่อนแอ ที่แม้แต่หมากก็ยังติด

_Thammanoon Nuhong (ธรรมนูญ นุหงส์) : กินหมาก สูบบุหรี่ ไม่ได้บัญญัติไว้

ในพระธรรมวินัย ไม่เคยทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน

พ่อครูว่า...อยากก็ทำซิ ไม่มีใครห้ามเลย จะเป็นอรหันต์กินหมาก สูบบุหรี่ ก็เอาเลย

ถ้าคุณยังกินหมาก สูบบุหรี่ ก็อยู่กับมหาบัวต่อไป ยาอี ยาบ้าก็ไม่เห็นได้บัญญัติในพระไตรปิฎก แนวคิดที่พยายามไม่แต่เรื่องนิดแค่นี้ ขออภัยเถอะอย่าหาว่าอาตมาได้ไปพูดข่ม มหาบัวมากเลย มหาบัวยังไม่มีภูมิธรรมมากเลยใจยังอ่อน ใจยังไม่แข็งยังอ่อนแอ 

จริงๆไม่ใช่มหาบัวจะไม่เข้าใจไม่รู้ว่าหมากพลูเป็นสิ่งเสพติด เคยคิดเลิกแต่เลิกไม่ได้ก็เลยกลบเกลื่อนอย่างที่อาตมาเคยพูดมาหลายที่ ข้างในเขาจะรู้กันดีเรื่องนี้เพราะเป็นเหตุ
การณ์จริงๆในชีวิตมหาบัวเอง เสร็จแล้วก็หลอกชาวบ้าน ว่าตัวเองนี้เป็นพระอรหันต์ 

แค่สิ่งเสพติดแค่นี้ปฏิภาณขนาดเป็นมหานะ จะไม่รู้จริงๆ อาตมาว่าไม่จริงไม่เชื่อ จะมีนัยยะแห่งการโกหกซ้อนอยู่ในนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า คนที่โกหกทั้งๆที่ตัวเองรู้ว่าเป็นคำโกหก จะเป็นคนที่เขาจะโกหกสิ่งใดในโลกอีกได้ทุกอย่าง ไม่มีที่เขาจะโกหกไม่ได้ เป็นคนที่ยากที่จะคบ ขออภัยอาตมาไม่ได้ไปเบ่งไปข่มอะไรท่านมหาบัว พูดจริงใจนะว่าอาตมาก็สงสารท่าน ว่าท่านทำไมมีทิฏฐิอย่างนี้ มีทัศนคติอย่างนี้ แล้วก็ยังเสแสร้ง กลบเกลื่อนหลอกชาวบ้านต่อไปให้เขาหลงผิดกัน ซึ่งมันเป็นการทำลายทั้งสัจธรรม ทำลายทั้งธรรมะพระพุทธเจ้า แล้วตัวเองก็ได้สิ่งที่ไม่ดีไม่งาม พูดชัดๆก็คือได้ความผิดความชั่วไปให้กับตัวเองตลอด ปฏิภาณแค่นี้ทำไมไม่มี ปฏิภาณแค่นี้ไม่มีแล้วก็ไป ถือว่าไปเรียนโลกุตระไปเรียนโลกอรหันต์ มันไกลแสนไกล 

เป็นคนที่อ่อนแอ แค่สิ่งเสพติดแค่นี้กก็ละไม่ได้ จึงเรียกภาษาบาลีว่า อสุรกาย เป็นคนไม่กล้า จิตอ่อนแอมาก แล้วกลบเกลื่อนหลอกผู้อื่นต่อ ถ้าพูดถึงตรงที่จิตอ่อนแอนี้ก็มีคนเอากวีที่อาตมาได้เขียนเอาไว้ลงในหน้าปก หนังสือ “เราคิดอะไร” 

ตั้งแต่ พ.ศ. 2558 เดือนพฤษภาคม  

 

                       อสุรกายคือใจที่ไม่กล้า

 

            (1) อสุรคือจิตแท้        ของคน

            ใจไม่กล้าของตน        นั่นแท้

            ใจตนต่ำลงจน        เลวชั่ว ใช่เลย

            คือจิตคนผู้แพ้        บ่กล้าทำดี

            (2) แม้มีโอกาสให้        ตนทำ

            แต่เพราะกิเลสจำ        พ่ายแพ้

            อ่อนแอจึ่งไม่สำ-        เร็จกิจ นั้นนา

            ลาภยศสรรเสริญแล้    ฤทธิ์ร้ายทำลายคน

            (3) ปุถุชนทั้งหมดล้วน    คืออสูร

            เล็กใหญ่ตามกายกูล    แต่ละผู้

            นามและรูปคือมูล        ประชุมเกิด กายแฮ

            อสุรกายนั้นรู้-        จักได้ในตน           

            (4) ทุกคนเรียนอ่านได้    จริงตาม จิตเฮย

            องค์ประชุมรูปนาม        เพ่งรู้

            เห็นกายเกิดพ่ายกาม    นั่นแหละ อสูรแล       

            จิตอ่อนแอไป่สู้        บ่กล้าทำดี

            (5) ทุกคนมีจิตนี้        ในตน

            พึงฉลาดทำใจจน        แกร่งกล้า

            เอาชนะจิตตนชน        อุปสรรค 

            โอกาสดีอย่าช้า        จักพ้นจิตอบาย

            (6) อสุรกายจิตแท้        ตนทำ

            จิตถูกกิเลสกำ-        หนดไว้

            จิตจึงอ่อนแอสำ-        เร็จเสร็จ มารเลย

            ต้องกำจัดกิเลสได้        จึ่งพ้นจิตอบาย           

            (7) อสุรกายดับสิ้น    จากจิต

            บริสุทธิ์ให้สนิท        จึ่งแท้

            เผด็จศึกประเสริฐฤทธิ์    กันเถิด       

            จะชนะทุกสิ่งแล้        อย่าแพ้ภัยตัว.   

   

                        สไมย์ จำปาแพง           

                            5 พ.ค. 2558

        [นัยปก เราคิดอะไร ฉบับ 299 ประจำเดือน มิถุนายน 2558]       

 

พ่อครูว่า...สไมย์ จำปาแพงเป็นคนแต่งชาวอโศกรู้ดี เป็นนามปากกาของอาตมาที่ใช้ได้เป็นชื่อเดิมของอาตมาตั้งแต่ใบเกิด เอามาใช้เป็นนามปากกานามแฝง 


 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สมณะเดินดิน... พ่อครูยกตัวอย่าง 50 ปีที่ทำงานมา เป็นระบบสาธารณโภคีทพิสูจน์ได้ พ่อครูพาทำ ระบบสาธารณโภคีที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ คนมาอยู่รวมกันหลายร้อยคน มีที่มาต่าง ถ้าไม่มีคุณธรรม ไม่เป็นมนุษย์วรรณะ 9 จะเป็นปัญหามากเลย เราดูจากคนที่มีปัญหาคือคนที่เป็นอสูรกาย มาอยู่กับพวกเราแล้วก็แอบสูบบุหรี่บ้าง เคี้ยวหมากบ้าง ไปเล่นหวยบ้าง มาอยู่สาธารณโภคีแทบจะวงแตกไปไม่ได้เลย ถ้าจิตเขามีอสุรกายมากอย่างนี้ เข้ามาอยู่ก็ทำให้ระบบของเราเดินหน้าไปไม่ได้ 

ทีนี้ พระจะมีปัญหาที่มีธงชัยพระอรหันต์มาหุ้มเอาไว้ คนก็ยกไว้ให้ทุกอย่างว่าเป็นผู้วิเศษอยู่ ที่จริงไม่รู้ว่ากิเลสอาจจะมากกว่าฆราวาส อย่างที่วิพากษ์วิจารณ์กัน บวชกัน 20 30 ปีแล้วสึกออกไปหนักยิ่งกว่าฆราวาสอีก ตอนเป็นพระทำไมไม่เห็น เพราะว่ามีธงชัยพระอรหันต์หุ้มเอาไว้ คิดว่าจะไม่มีกิเลส …เป็นตัวชี้วัดว่าระบบสาธารณโภคี ถ้ามีคนมีอสุรกายมาอยู่เยอะๆก็จะทำให้ไปได้ยาก 

หมู่บ้านราช มาอยู่ใหม่ๆทางจังหวัดจัดให้เป็นหมู่บ้านที่มีความยากจนอันดับ 5 ของจังหวัดอุบลราชธานี แต่ใครมาแล้วก็บอกไม่น่าเชื่อว่า เครื่องไม้เครื่องมืออาคารสถานที่ ไม่น่าจะเป็นของหมู่บ้านที่ยากจน มีความอุดมสมบูรณ์ครบพร้อม นี่เป็นความพิเศษของศาสนาปกติที่แต่ละคนมีความจนจึงทำให้ส่วนกลางมีความอุดมสมบูรณ์  

 

ความมหัศจรรย์ 8 ประการในชาวอโศกบุญนิยม

พ่อครูว่า... เอ้า ที่นี่มาเข้าสู่เรื่องที่อาตมาอธิบายอยู่ตอนนี้คือ เรื่อง ความมหัศจรรย์ ของศาสนาพุทธ เป็นเรื่องมหัศจรรย์ของโลกจริงๆ มหัศจรรย์ยิ่งใหญ่ 

 

ข้อที่ 1 เป็นความมหัศจรรย์ตรงที่ว่า เป็นศาสนาที่มีความเป็นลำดับ เพราะฉะนั้นความเป็นลำดับนี้ ถ้าเผื่อว่าคนที่ไปลัดสั้นตัดตอนของคำสอนพระพุทธเจ้า ไม่เรียนไปตามลำดับแต่ละสูตรก็ดี แต่ละกระบวนธรรมก็ดี ไปตัดทิ้งเสีย เช่น กระบวนธรรมของพุทธคุณ ซึ่งมีจรณะ 15 วิชชา 8 เป็นต้น ถ้าไปตัดซะ 

เช่น จรณะ 15 ต้องขึ้นต้นด้วยศีล แล้ว อปัณณกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 แล้ว ฌาน 4 อย่างนี้เป็นต้น หากไปตัดศีลทิ้ง ไม่เอา ไม่ต้องเกี่ยวข้อง อปัณณกปฏิปทา 3 จะไม่เกิดสัทธรรม 7 เลย ฌานที่ได้จึงไม่ใช่ฌานที่ไม่อยู่ในกระบวนธรรมของศาสนาพุทธเลย 

เพราะฉะนั้นไปนั่งหลับตาปฏิบัติไม่ได้อยู่ในกระบวนธรรมที่มีเหตุมีปัจจัยแก่กันและกันเพราะมีศีลจึงมี อปัณณกปฏิปทา 3 เป็นเหตุเป็นปัจจัย 

เช่น เราถือศีลข้อที่ 1 เราไม่ฆ่าสัตว์ เพราะฉะนั้นเราไม่ฆ่าสัตว์นี้ เราจะต้องสังวรสำรวม ใน อปัณณกปฏิปทา  สังวรสำรวมตาหูจมูกลิ้นกายเมื่อเรากระทบสัมผัสกับสัตว์ เราจะต้องมีเมตตา เราจะต้องไม่ทำร้าย เราจะต้องไม่เบียดเบียน ไม่ต้องพูดถึงฆ่าเลย ปฏิบัติต่อกันอย่างมีเมตตากายกรรมเมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม อยู่กันอย่างปรารถนา หรือ หวังประโยชน์เพื่อ โดยเฉพาะคนด้วยกัน หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ เช่น อาตมาหวังประโยชน์เพื่อมหาบัว หวังประโยชน์เพื่อธัมมชโย อย่างนี้เป็นต้น หรือแม้แต่ผู้ใดผู้อื่นที่อาตมาตำหนิอยู่ มันเป็นการหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ เป็นความเมตตาเกื้อกูลกันด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง

คนไม่เข้าใจหาว่าอาตมาตำหนินั้น เป็นการอวดดี อวดใหญ่ เบ่งข่ม ซึ่งไม่ใช่ มันเป็นเรื่องของธรรมะ อย่างมหาบัวนี้สิ้นชีพไปแล้ว แต่อาตมาก็ยังพูดอยู่เพราะอะไร เพราะลูกศิษย์มหาบัวยังดำเนินรอยตามมหาบัวอยู่อีกเยอะมาก ถ้าจะพูดไปแล้วก็ตั้งแต่อาจารย์มั่น แต่มหาบัวเป็นตัวเด่น อาจารย์มั่นก็ไม่ได้สอนมาพูดกับคนทั่วไป ไม่เป็นที่กว้างขวางเหมือนมหาบัว มหาบัวเป็นคนฉากหน้าที่คนรู้จักดี ก็เอามากล่าวเพื่อเรื่องราวนี้ เรื่องนี้จะได้เข้าใจกันได้ง่ายขึ้น รอไปเอาสิ่งที่มันเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่รู้กันทั่วไปในเรื่องนี้ประเด็นนี้มาใช้ แล้วมันก็เข้าใจได้ เป็นต้น 

เพราะฉะนั้น เรื่องการตำหนิติเตียนนี้ จึงเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ พระพุทธเจ้าตรัสเลยว่าคำสรรเสริญนี้เป็นคำต่ำทราม ฟังให้ดีนะนี่อาตมาไม่ได้พูดเล่นพูดเองนะ คำสรรเสริญพระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นคำต่ำทราม ไม่มีส่วนที่จะทำให้เกิดเรื่องละหน่ายคลายอะไรได้จากคำสรรเสริญ 

แต่คำตำหนินี้ทำให้เกิดความละหน่ายคลายได้ นี่ก็เป็นความลึกซึ้งของความรู้อย่างพระพุทธเจ้าที่เอามาสอนมนุษย์ คิดเล่นๆ มันไม่ออกไม่ทัน ไม่ได้หรอก พระพุทธเจ้าตรัสนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ที่ข้อ 1 เป็นลำดับ อย่าไปเที่ยวได้ตัดลัดเล่น 

แต่เพราะความเสื่อมที่เป็นจริงในยุค 2,500 กว่าปีนี้ ศาสนาพุทธ คนชาวพุทธเสื่อมไปจากศาสนาพระพุทธเจ้า อย่างเกือบจะไม่เหลือเชื้อเลย เกือบ ที่จริงอาตมาน่าจะบอกว่าไม่เหลือเชื้อเลย อาตมาเป็นผู้นำเอาโลกุตรธรรมมาสถาปนาลงไปในยุคนี้ ที่จริงมันหมดสูญไปแล้วจริงๆ มันเป็นอย่างนั้นไม่ใช่อาตมาคุยใหญ่โตอะไรหรอก อาตมาพูดสัจจะ พูดความจริงสู่ฟังตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใน อาณิสูตร 

ว่ากลองอานกะ ยุคต่อมา โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าจะสูญหายไป เขาจะไปเชื่อคำสอนของคนรุ่นใหม่ ซึ่งคนทุกวันนี้อาตมาพูดนี้เป็นโลกุตระแท้ คนเชื่อน้อย คนที่มีปฏิภาณปัญญา คนที่มีบารมีจริงๆจึงมาฟังธรรมะอาตมารู้เรื่อง คนไม่มีบารมีฟังธรรมะอาตมาไม่ซาบซึ้งหรอก 

เพราะฉะนั้นในความเป็น ฌาน จึงเป็นฌาน เดียรถีย์ ไปนั่งหลับตาทำไม่ใช่เป็นฌาน ที่เกิดจากศีล อปัณณกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 จึงเกิดฌาน มีเหตุมีปัจจัยเช่นนั้น ที่เขาทำกันไม่ใช่ ฌานแบบพุทธเลย 

นี่พูดตามหลักวิชาการอ้างอิงตามพระไตรปิฎกอ้างอิงความรู้ความจริงต่างๆ เพราะไม่มีวิชชา 8 เลย 

ขออภัยที่อาตมาต้องลงลึกในเรื่องวิชชา 8 

1. วิปัสสนาญาณ 

2. มโนมยิทธิ 

3. อิทธิวิธญาณ 

4. โสตทิพย์ 

5. เจโตปริยญาณ 

6. บุพเพนิวาสานุสติญาณ 

7. จุตูปปาตญาณ 

8. อาสวักขยญาณ 

วิปัสสนาญาณ คือญาณปัญญาคือวิชชา คือความรู้โลกุตระที่มันเกิดอย่างเห็นๆ วิ คือยิ่ง ปัสสะคือเห็น มีตา หู จมูก ลิ้น กาย โผฏฐัพพะ ทำงานร่วมกับภายใน 

แล้วจึงเกิดการเห็นที่มีปฏิภาณปัญญา มีโลกุตรธรรม มีปัญญาเป็นโลกุตระปัญญา เป็นอริยะปัญญา ไม่ใช่ปัญญาความรู้ความฉลาดแบบโลกีย์เท่านั้น 

วิปัสสนาญาณ ญาณคือวิชชา คือปัญญา ความรู้ที่เป็นวิปัสสนา ต้องเห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัสทางกาย ต้องมีภายนอกภายใน เป็นอภิภายตนะ 8 ต้องมีภายนอกภายใน 

เช่น ผู้หนึ่งผู้ใดที่มีคุณธรรมอภิภู 

มีความสำคัญในรูปภายใน กำหนดสัญญารูปภายใน เห็นรูปภายในภายนอก จิตที่รู้ภายในและเห็นรูปภายนอก มี 2 อย่างทั้งภายนอกภายใน นี่เป็นข้อที่ 1 ของความรู้ ของภูมิธรรมของคนผู้ยิ่งใหญ่ คนมหัศจรรย์ ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตระที่มหัศจรรย์ของผู้ยิ่งใหญ่ เพราพฉะนั้นไปหลับตานี้ตีทิ้งได้เลยไม่มีภายนอก ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่พุทธธรรม ไม่ใช่พุทธคุณ 

นี่พูดอย่างชัดเจนเลย พูดจาไม่ไว้หน้ากัน ไม่เกรงใจ พูดเต็มรูป แล้วเป็นความจริงด้วยเป็นความหวังดีปรารถนาดีจริงๆ 

เพราะฉะนั้นในความไม่เป็นลำดับในข้อที่ 1 จึงเป็นเรื่องที่ ล้มเหลว เป็นความเสื่อมที่สำเร็จรูปบริบูรณ์ นี่คือความเสื่อมที่ยิ่งสุดเลยในศาสนาพุทธยุคนี้ อาตมาต้องมากู้กลับความเสื่อม 

อย่าเข้าใจว่าอาตมาอวดตัวอวดน หลงตัวหลงตนเลย แต่มันเป็นเรื่องจริง ฟังธรรมะด้วยดีเกิดปัญญาให้ดีแล้วจะเข้าใจว่า อ๋อ.. คุณรู้แล้วคุณก็ไม่จำเป็นจะต้องรีบมาอยู่กับอโศก ไม่ต้องก็ได้ อยู่กับพวกคุณนั่นแหละ อยู่ในเถระสมาคมนั่นแหละ เข้าใจให้ถูกเป็นสัมมาทิฏฐิและพากเพียรปฏิบัติให้ตรงตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ตั้งใจฟังอาตมาไปด้วย ก็ได้ ไม่ต้องมาแสดงรูปธรรมออกมา อยู่กับชาวอโศก ไม่ต้อง อยู่กับเถรสมาคมนั่นแหละ ถ้าว่าจริงๆแล้วคงรับไม่ไหว ถ้ามากันมากคงจะเละเป็นโจ๊กเลย 

เพราะฉะนั้นในเรื่องของความเป็นลำดับนี้ จึงเป็นเรื่องข้อที่ 1 เลยที่มหัศจรรย์ว่าศาสนาพุทธอย่าไปตัดลัดทิ้งลำดับ โดยเฉพาะวิชชาจะระณะสัมปันโน ซึ่งเป็นความประพฤติปฏิบัติจรณะ 15 และวิชชาอีก 8 อย่าไปตัดลัดทิ้งเป็นอันขาด แต่เดี๋ยวนี้ตัดขาดวิ่นหมดไม่เหลือเลย เหลือแต่ฌานหลับตา ควานหาศีลเป็นเหตุ อปัณณกปฏิปทา 3 เป็นเหตุ สัทธรรม จะเกิดเป็นตัวเชื่อมตัวเกิดผลที่มี ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ ไม่เหลือแล้ว ไม่มีเลย เพราะฉะนั้นอย่าไปพูดถึงความมี วิริยะ สติ  ปัญญา ในสัทธรรม 7  คุณก็มีวิริยะสติปัญญาแบบเดียรถีย์ แบบนอกรีต ไม่ใช่แบบของพุทธ แบบพุทธธรรมเลย มันได้วิปริตมันได้เสื่อมสูญไปอย่างแท้จริง ตั้งใจฟังให้ดีๆ ถ้าเข้าใจแล้วฟื้นคืนกลับไปสู่ความถูกต้องให้ได้ให้ดี 

บอกแล้วไม่จำเป็นต้องเฮละโลมาที่อโศก อยู่ที่พวกคุณอยู่นั่นแหละ แต่เข้าใจให้ได้และประพฤติตรงตามธรรม เรียนรู้ให้ดี ตั้งใจฟังแล้วตั้งใจปฏิบัติ แล้วก็จะกอบกู้ศาสนาพุทธขึ้นมาได้ 

 

_ต่อมาประการที่ 2 อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่ง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอไม่ล้นฝั่ง นี้เป็นธรรมอันน่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 2 ในมหาสมุทรที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

พ่อครูว่า... ท่านจับประเด็นที่ว่า เต็มเปี่ยมและไม่ล้น ก็หมายความว่า มัชฌิมา ไม่พร่องไม่ล้น อยู่ในขอบ Horizon อยู่ในเส้น Horizon ไม่เปลี่ยนไม่ล้นตลอดกาลนาน โดยทางธรรมะก็หมายความว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นไม่ขึ้นไม่ลงกับอำนาจอะไรเลย น้ำขึ้นน้ำลง ขึ้นตามที่จะต้องหมุนเวียนในตามข้างขึ้นข้างแรม ไม่ใช่ ทรงสภาพอยู่อย่างนี้ ตลอด สัจจะเป็นหนึ่งเดียวไปตลอด นี่เป็นข้อที่ 2 

 

_อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ เพราะในมหาสมุทรคลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่งให้ขึ้นบกทันที ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ และในมหาสมุทรคลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่งให้ขึ้นบกทันที นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 3 ในมหาสมุทรที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

พ่อครูว่า... ต้องขออภัยที่ต้องพูดความจริงตามความเป็นจริง ถ้าอโศก มีคนปาราชิกเมื่อไหร่ ต้องขจัดออกเลยไม่เอาไว้เน่าเหม็นหมด แม้แต่สังฆาทิเสส ใครที่สังฆาทิเสสก็ต้องให้อยู่กรรม ก็ต้องให้ปฏิบัติ แม้คุณจะบกพร่องมาแต่ก่อน พวกคุณก็ยังมีคนระลึกถึงได้ บางคนอยู่กรรมมากสุดกี่ปี ระลึกได้ว่าเคยบวชแล้วเคยผิดสังฆาทิเสสมาก็ต้องกลับมาอยู่กรรม บางคน 6 ปี อย่างนี้เป็นต้น 

ปาราชิกนี้ซากศพแน่ แม้แต่แค่สังฆาทิเสสก็เรียกว่าซากศพ ต้องทำให้สะอาด ซัดขึ้นฝั่งหมด แต่ในเถรสมาคม ซากเน่าซากศพ ซากคนเป็นโรคเป็นภัยอะไรเต็ม อยู่ในมหาสมุทรเถรสมาคม อยู่ด้วยกันอย่างเละเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เป็นสัจจะ 

อาตมาบวชเข้าไป อาตมาพยายามทนฝืนอยู่แต่ไปไปมามาไม่ได้ เพราะฉะนั้นอยู่ได้แค่ พ.ศ. 2518 จำต้องประกาศนานาสังวาส  ซึ่งเป็นเรื่องที่ผสมผเสปนเป อยู่ไม่ได้ เพราะเป็นมหาสมุทรที่มีซากศพเน่าเต็มไปหมด คนปาราชิก คนอาบัติอะไรอยู่เต็มไปหมด ไม่สะอาด มันอยู่ไม่ได้ อาตมาก็เลยต้องประกาศนานาสังวาส จริงๆนะนี่ไม่ได้ไปข่ม ไม่ได้ไปลบหลู่ อาตมาก็เห็นใจเหมือนกันในยุคนี้ท่านจะทำอย่างนั้นกัน เพราะฉะนั้นผู้ที่อยู่รู้ทั้งรู้ก็ต้องจำนน ท่านก็เก่งอยู่ได้กับซากศพเน่า อยู่กับพวกขี้เรื้อนกุดถังเต็มบ่ไปหมดเดียวกัน อาตมาไม่ไหว จึงประกาศนานาสังวาส 

เมื่อประกาศนานาสังวาสก็เป็นเรื่อง ที่จริงไม่เป็นเรื่องหรอกตอนที่ประกาศนานาสังวาสเสร็จ แต่ตอนหลังเขามาไหวทันว่า มาด่าพวกเรานี่หว่า ก็เลยกลบเกลื่อน เหมือนมหาบัวกลบเกลื่อนเรื่องสิ่งเสพติด เถรสมาคมก็กลบเกลื่อน ก็มาจัดการอาตมา ทั้งๆที่ อาตมาประกาศ
พ.ศ.2518 แต่เมื่อ พ.ศ.2532 ก็มาจัดการอาตมา  มาหาเรื่องมาเอาเรื่อง จนสุดท้ายจบธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า เลยต่างคนต่างแยกกันอยู่เป็นนานาสังวาสบริบูรณ์ 

 

เพราะฉะนั้นผู้ที่จัดการอาตมาพวกนั้นเป็นอนันตริยกรรมเอง นี่เป็นธรรมดาเป็นสัจธรรม คุณเข้าใจว่าอาตมาเป็นคนละนิกายนี่ คุณก็อนันตริยกรรมเอง อาตมาไม่เอา เรื่องที่ไปแยกสงฆ์ เป็นนิกาย เป็นอนันตริยกรรม 

คนนี้ฟังไปฟังมาก็เอากวีที่อาตมาเขียนไว้

ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด 

 

(1)ชื่อว่า “คน” สูงสุดไซร้     คือสัจจะ 

จริงหนึ่ง “ปรมัตถ”            จิตแท้ 

สอง “สมมุติ” คือคณะ         ประชาร่วม กันรา

หากผนึกมั่นมุ่งแก้            วิกฤติได้ทันกาล

 

(2)ถ้าพาลเฉื่อยช้าอีก     ก้าวเดียว 

ฝูงสัตว์นรกกรูเกรียว         ขย่มซ้ำ

 

ฝันสวรรค์แหลกลาญเหลียว      หาบ่ เหลือเลย

มารยักษ์มันขยี้ขย้ำ            ขบเคี้ยวกินหวาน

 

(3)ต้องหาญหักบัดนี้    ทันใด

ฤกษ์บ่เคยรอใคร            อย่าช้า

สุกจะเน่าแล้วไฉน            ไม่กัด กินเฮย

“เอาเถิดเจ้าล่อ” ท้า         ห่อนแคล้วบรรลัย

 

(4)ใดใดก็ชัดแท้         ทุกเม็ด

แต่ไม่ลงมือเผด็จ             ศึกเสี้ยน

ตนไม่ช่วยตนเสร็จ            ก่อนอื่น  ช่วยแฮ

โรคจิตกระมิดกระเมี้ยน        พิษร้ายจงระวัง


 

(5)โลกยังจมอยู่ด้วย     ปุถุชน

ยากจักตามรู้ตน            ชัดได้

อัตตาไม่ “กล้าจน”            ทรัพย์โลก

จึงไม่บริสุทธิ์ให้            เศรษฐ์สร้างความจริง

 

(6)ไทยชิงธงพุทธแท้    มาครอง

โลกุตระวสีของ            สัจจ์ชี้

จึงบรรลุก่อนผอง            มนุษยโลก

ความชนะยิ่งใหญ่นี้            สุดไร้เทียมทาน

 

(7)คนประหารกิเลสได้    เป็นจริง

จึงบริสุทธิ์เอ่ยอิง            สัตย์แท้

เพราะพร้อมทุกสิ่งกิง-        ชัจจะ*ศาสตร์

ที่สุดบริสุทธิ์แล้            เท่านั้นชนะสรรพ์

“สไมย์ จำปาแพง” 22 ก.ค. 2559

 

พ่อครูว่า...กิงชัจจะ แปลว่า ผู้มีชาติเกิดจากอะไร

สู่แดนธรรม... โคลงบทนี้ผมขอได้ไหมครับ ฟังแล้วประทับใจ 

คำแรกที่ว่า ถ้ามัวช้าไป ฝูงนรกจะกรูเกรียว 

พ่อครูว่า...ชาวอโศกไม่มีซากศพนะ แต่มหาเถรสมาคมมี อยู่ด้วยกันได้ยังไง 

 

_ก็มาอันที่ 4 อีกประการหนึ่ง แม่น้ำสายใหญ่ๆ บางสาย คือ แม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี แม่น้ำเหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละนามและ โคตรเดิมหมด ถึงความนับว่ามหาสมุทรนั่นเอง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่ แม่น้ำสายใหญ่ๆ บางสาย คือ แม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี แม่น้ำ เหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมเปลี่ยนนามและโคตรเดิมหมด ถึงความ นับว่ามหาสมุทรนั่นเอง นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 4 ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่  

พ่อครูว่า... อันนี้ลึกซึ้ง มียืนยันที่สุดในชาวอโศก ชาวอโศกนี้ลึกซึ้งมาก จิตชัดเจน มาเข้าถึงธรรมว่า อ๋อ.. ธรรมะต้องมาเป็นคนจน 

เอาประเด็นคนจนแค่นี้ก็เถอะ ชาวอโศกรู้แล้วว่าต้องมาเป็นคนจน เพราะฉะนั้นมาจากตระกูลใดๆ มาเปลี่ยนสกุลหมดเลย ตอนแรกก็มาเปลี่ยนนามสกุลเป็นอโศกตระกูล เป็นชาวหินฟ้า เป็นนาวาบุญนิยมแค่นั้น ตอนหลังนี้มาเป็นจน ไม่รู้กี่จนต่อกี่จน เปลี่ยนชื่อเป็นจนหมดเลย จะเรียกว่าเกิดแฟชั่น จน ก็ได้ โอ้โห.. เลิกตระกูล เลิกชื่อเลิกนามเก่าหมดเลย ไม่เอาจริงๆไม่อยากใช้เลยมาเอาอย่างนี้แหละ เลือดเนื้อที่ไปเป็นแบบวรรณะ 9 ของพระพุทธเจ้านี่แหละมาเข้าใจมาเป็นคนจนคนมักน้อยคนสันโดษ คนไม่สะสมคนขยันหมั่นเพียร วิรยารัมภะ 

ซึ่งมันเป็นเนื้อหาสัจจะของธรรมะที่เข้าไปถึงใจ ของชาวอโศกที่ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าแล้ว มันเป็นเรื่องของสัจธรรม เพราะฉะนั้นมันจึงมาเป็นจริงๆเลย สมมุติข้างนอกนั้นยังเล่นกันเละเทะเลย บัญญัติภาษาข้างนอกยังเละเลย แต่ทุกคนมาจุดเดียวกันหมดเลย เอาแต่แค่เรื่องจนเรื่องเดียวก็ซาบซึ้งเข้าใจ เป็นเรื่องสัจจะที่มหัศจรรย์มาก 

แม่น้ำทั้งหลายละชื่อหมดเลย มาเป็นชื่อเดียวกันหมด เดี๋ยวนี้ชาวอโศกพิสูจน์ความมหัศจรรย์อันที่ 4 ก็อันนี้แหละ เห็นๆอยู่อย่างนี้แหละ จะเข้าใจได้ไหมที่อาตมาพอขยายความนี้ นี่เป็นสัจจะความจริงนะ 

 

_อันที่ 5 อีกประการหนึ่ง แม่น้ำทุกสายในโลก ย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทรและสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่แม่น้ำทุกสายในโลกย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทร และสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 5 ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

พ่อครูว่า... หมายความว่าเรื่องนี้ คุณธรรมโลกุตรธรรม ใครจะมีมากเท่าไหร่เท่าไหร่ก็ไม่มีเพราะไม่มีแต่ไม่มีล้น โลกุตรธรรม คุณจะมาปฏิบัติอีกกี่คนกี่คน พูดง่ายๆ เป็นรูปธรรม

อโศกตอนนี้เราต้องการคนประมาณ 777 คน ต่อให้อยู่70,000 อโศกนี้เลี้ยงได้ เพราะอะไร ถ้าเป็นคนมักน้อยสันโดษ เป็นคนสาธารณโภคี ขอให้มาจริงเถอะ ทุกวันนี้ไม่ได้เกิดเดือดร้อนอะไรเลย ตั้งแต่ พ.ศ. 2531 จนถึง พ.ศ. 2565 ย่างเข้า 28 ปีแล้วยังสงบเรียบร้อย ไม่เดือดร้อนวุ่นวายเลย ไม่พร่องไม่เต็มและไม่มีทางล้น จะเพิ่มอีกเท่าไหร่ก็ไม่มีทางล้น เพราะมันจะอยู่ได้จริงๆ 

ทุกวันนี้ในบ้านราช เรือนเรือว่างเยอะเหลือเกิน เรือนเรือ เราสร้างเรือนเรือเป็นหลัก แม้แต่เรือนที่ตั้งอยู่ คนเป็นเจ้าของไม่ได้อยู่ คนที่อยู่ไม่ได้เป็นเจ้าของมีเยอะ ว่างอยู่อีกก็มีเยอะ ก็มาอยู่ได้อีกง่ายไม่เต็ม ไม่พร่องไม่เต็มไม่ล้นง่ายหรอก แต่คนที่จะมาอยู่โดยสัจธรรมก็ต้องทำได้ ได้เนื้อได้หนังของชาวโลกุตระบ้าง ไม่อย่างนั้นมาอยู่ไม่ได้เข้ามาไม่ได้ เปลี่ยนแปลงตัวเองเข้ามาอยู่ไม่ได้ เป็นเรื่องอัศจรรย์ข้อที่ 5 

 

_ข้อที่ 6 อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรมีรสเดียว คือ รสเค็ม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรมีรสเดียว คือ รสเค็ม นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 6 ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

 

พ่อครูว่า... คำว่ารสเค็มนี้ก็คือ เกลือรักษาความเค็ม เหมือนขี้รักษาความเหม็น เป็นสัจจะที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ขี้รักษาความเหม็น เกลือรักษาความเค็ม มันเป็นเรื่องสัจจะที่ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงไม่เป็นอื่นเลย เป็นสัจจะหนึ่งเดียวไม่แปรเปลี่ยน นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เป็นได้แล้วเป็นได้เป็นเลย 

ผู้ที่มีอารยธรรมจะเกิดความเที่ยงแท้ เริ่มตั้งแต่พระโสดาบัน จิตเข้ากระแส แล้วก็จะอยู่เข้ากระแสนี่แหละ จะมี อวิปริณามธัมมัง ใช้ภาษาว่าจะยึกยัก แต่ไม่ตกต่ำ ถ้าตกไปไม่ใช่โสดาบัน มันก็จะอยู่ในขีดนี้ ถ้าลงไปจากกระแสก็ไม่ใช่โสดาบัน อวินิปาตธรรม

จนกระทั่งถึงขีดนิยตะไม่ยึกยักแล้ว อยู่กับที่อยู่กับเที่ยงแล้ว จากนิยตะที่เที่ยงแท้ก็เป็น สัมโพธิปรายนะ นี่แหละมีรสเดียวคือรสเค็มรสเดียวกัน 

จากโลกียะเข้ากระแสมา บางทีไม่เร็วนักก็ต้องอีกหลายชาติ โสดาบันในตำนานพระพุทธเจ้า เข้ามาแล้ว ก็เขวี้ยงจอบทิ้งไปตั้ง 7 ที ต้องบวชแล้วก็สึกออกไปถึง 7 ครั้ง อย่างนี้เป็นต้น มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ หรอก โลกียะมันกระแสแรง แต่ถ้าเข้ากระแสแล้วเสร็จ รสเดียวรสเค็ม ไม่ไปเอารสอื่นอีก 

 

_ข้อที่ 7  อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด ในมหาสมุทรมีรัตนะเหล่านี้ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬเงิน ทอง ทับทิม มรกต ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด ในมหาสมุทรนั้นมีรัตนะ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม มรกต นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 7 ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

พ่อครูว่า... พวกอสูรที่ไม่มีปัญญา เห็นความมีคุณสมบัติแบบนี้ มหาสมุทรมีทรัพย์ศฤงคารมีแก้วต่างๆ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม มรกต อะไรต่างๆเยอะแยะ เป็นวัตถุ 

เป็นวัตถุที่โลกเขาต้องการ เห็นว่าเป็นของมีค่ามีราคา เป็นของที่แย่งชิงกันจริงๆในชีวิตของสังคมมนุษยชาติ ในมหาสมุทร 

ฉะนั้นคนที่มีปฏิภาณไหวพริบดี ก็จะรู้ว่าในมหาสมุทรมีสิ่งประเสริฐ สิ่งวิเศษต่างๆพวกนี้ ที่มนุษย์พึงควรมีควรได้ แต่คนตาบอดคนตาถั่วมันที่ไม่มีภูมิปัญญา จะมองไม่ออกจะไปหลงลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ว่าเป็นแก้วประพาฬ แก้วมุกดา แก้วมรกต อะไรต่างๆ เป็นคนที่ไปคนละทิศ เป็นความรู้คนละอย่าง จะเป็นคนที่ไปหลงเละๆเทะๆ สิ่งที่เราเห็นอยู่กับซากศพด้วยกันจะเป็นอยู่อย่างนั้น ขออภัยนะ พูดไปแล้วก็รู้สึกตัวว่า ไปด่าเขา แต่มันไม่ได้ด่าหรอกพูดความจริงสู่ฟัง ขออภัยที่พูดแล้วเป็นเช่นนั้นจริงๆ ไปข่มไปว่า มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ 

 

_ข้อที่ 8 อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของพวกสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆและสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรนั้นมีดังนี้ คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติมิรมิงคลา พวกอสูร นาค คนธรรพ์ แม้ที่มีร่างกายประมาณ 100 โยชน์ 200 โยชน์ 300 โยชน์ 400 โยชน์ 500 โยชน์ ก็มีอยู่  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของสิ่งที่มีชีวิตใหญ่ๆ และสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรนั้น มีดังนี้ คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติมิรมิงคลา พวกอสูร นาค คนธรรพ์ แม้ที่มีร่างกายประมาณ 100 โยชน์ 200 โยชน์ 300 โยชน์ 400 โยชน์ 500โยชน์ ก็มีอยู่ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 8 ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้แลธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา 8 ประการ ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ภิกษุทั้งหลายย่อมอภิรมย์ในธรรมวินัยนี้บ้างหรือ ฯ

พ่อครูว่า... ย้อนมาถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ตอบ มี ปหาราทะ ภิกษุทั้งหลายย่อมอภิรมย์ในพระธรรมวินัยนี้ เช่นภิกษุชาวอโศกย่อมอภิรมย์ในพระธรรมวินัยนี้ 

จะเห็นได้ว่าภิกษุชาวอโศก สึกยาก แต่กระนั้นก็ยังมีสึกไปไม่น้อย แต่ถึงสึกแล้วก็ยังอยู่ในแวดวง เพราะจิตเข้ากระแส อยู่ในแวดวง 

ที่ออกไปจริงๆเลยน้อยมาก ชาวอโศกที่บวชแล้วและออกไปมีน้อยมาก 50 กว่าปีมาแล้ว 

พระพุทธเจ้าบอกว่ามี 8 ประการ เป็นไฉน 

 

_พ. มี 8 ประการ ปหาราทะ 8 ประการเป็นไฉน ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหว ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง ดูกรปหาราทะ ข้อที่ในธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 1 ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ 

พ่อครูว่า... มีการศึกษาไปตามลำดับ อาตมาต้องการสำทับอันนี้แหละสำคัญทุกวันนี้มันหันทิ้งกันไปหมดไม่เหลือซาก (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

โดยเฉพาะ หั่นศีล หั่น อปัณณกปฏิปทา 3 พูดซ้ำซ้ำวนเวียนอยู่อย่างนี้แหละ ไม่เอาเลย แล้วไปหลงว่าเป็นพระอรหันต์ ศีลไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่มี ไม่ประพฤติเพื่อให้เกิด สัทธรรม 7 ไม่ใช่ธรรมะพุทธเจ้า ไม่มี มีแต่เดียรถีย์ อย่าหาว่าอาตมาว่าเลยแต่มันเป็นเรื่องจริง 

พระที่ควรยกย่องนับถือกัน เกือบจะชาติไทยทั้งหมดกระมัง นับถือพระป่า พระหลับตาที่ ไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 

เพราะฉะนั้นศีลไม่มี อย่าว่าแต่พระป่าไม่มีศีลเลย พระบ้านก็ไม่มีศีล ของเขาเหลือแต่แค่วินัย 227 แค่นี้ไม่ใช่เรื่องตื้นๆนะแต่เป็นเรื่องลึกซึ้ง เขาไม่รู้จัก จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล อาตมาเอามาพูด เขาก็บอกว่าเอามาจากโลกไหน เอามาจากโลกของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกเล่มนี้แหละ 

มหาศีล เหลืออยู่ที่ไหนในมหาเถรสมาคม ไม่เหลือเลย มหาศีลของเถรสมาคม มีแต่เดรัจฉานวิชชามีแต่ไสยศาสตร์มีแต่พิธีกรรมอะไรต่ออะไรเต็มไปหมด 

มหาศีลนั้นคือข้อห้ามทำเดรัจฉานวิชาไสยศาสตร์ แต่ เถรสมาคมมีเต็มไปหมด แต่อยู่ในชาวอโศกไม่มี นี่แหละคือมหาสมุทรที่แท้ของศาสนาพระพุทธเจ้า เป็นมหาสมุทรที่มีปลาใหญ่ 

ท่านเทียบปลาใหญ่ว่า คืออะไร 

_ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของสิ่งที่มีชีวิตใหญ่ๆ สิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรนั้นมีดังนี้ คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติมิรมิงคลา พวกอสูร นาคคนธรรพ์ แม้ที่มีร่างกายประมาณ 100 โยชน์ 200 โยชน์ 300 โยชน์ 400โยชน์ 500 โยชน์ มีอยู่ ฉันใด ดูกรปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมวินัยนี้ก็เป็นที่พำนักอาศัยแห่งสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ สิ่งมีชีวิตในธรรมวินัยนี้ มีดังนี้ คือ พระโสดาบัน ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล พระสกทาคามีท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล พระอนาคามี ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล พระอรหันต์ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ ดูกรปหาราทะ ข้อที่ธรรมวินัยนี้เป็นที่พำนักอาศัยแห่งสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ สิ่งชีวิตมีในธรรมวินัยนี้มีดังนี้ คือ พระโสดาบัน ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล พระสกทาคามี ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล พระอนาคามีท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล พระอรหันต์ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 8 ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ 

ประการที่  7 ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในมหาสมุทรนั้นมีดังนี้ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬ

เงิน ทอง ทับทิม มรกต ฉันใด ดูกรปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมวินัยนี้ก็มีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในธรรมวินัยนั้นมีดังนี้ คือ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8 ดูกรปหาราทะ ข้อที่ธรรมวินัยนี้มีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในธรรมวินัยนั้นมีดังนี้ คือ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8 นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา

ประการที่ 7 ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนี้ ในเถรสมาคมบอกยังมีอยู่ แต่แท้ยังไม่มีเนื้อแท้ ขนาดสติปัฏฐาน4 ยังไม่พ้น แค่กายคำเดียวยังไม่สัมมาทิฐิ คำว่ากาย คำเดียวเขาก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจกันก็ไม่มีทาง เพราะเขา เข้าใจผิดไปไกลตรงที่ว่า กายนี้คือ สรีระ กายนี้หมายถึงร่างภายนอก คนไทยเข้าใจอย่างนั้นนะคำว่ากาย

ไปถามสิ ปริญญาตรีทั้งหลาย ไม่ว่าจะจบปริญญาตรีในทางธรรมะด้วย ปริญญาเอกด้วยเอ้า ไปถามสิ กาย คืออะไร เขาจะบอกว่าหมายถึงสรีระภายนอก อาตมาถึงว่า ธรรมะพระพุทธเจ้ายังคงกระพัน ในพจนานุกรมก็ยังดียังแปล กายว่า คือ องค์ประชุมของเจตสิก องค์ประชุมของเวทนาสัญญาสังขาร อาตมาดูแล้วก็ยังดี ในพจนานุกรมก็ยังเหลือ กาย นี้ เขาก็ยังชัดเจน ว่า มันแปลว่า หมู่ฝูง องค์ประชุมของเจตสิกคือเวทนาสัญญาและสังขาร 

พจนานุกรมก็ถูกต้องอยู่ แต่เขาไม่เข้าใจว่า กาย คือสรีระ ไปเปิดพจนานุกรมดูสิ สรีระที่ไหนคำว่ากาย คือกอง คือฝูง คือหมู่ คือองค์ประชุม ไม่ได้เดี๋ยวเดียว 

สรีระก็มี ที่จริงมีอยู่ในนี้ ในเวทนา สัญญา สังขาร ไม่ได้ทิ้งรูป ไม่ได้ทิ้งสรีระ มนุษยชาติมีสรีระด้วย และมีเวทนา สัญญา สังขาร ในขันธ์ 5 

เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจไม่ได้พวกคุณก็ไม่เข้าใจได้ว่า กาย คืออะไร กาย คือ รูป เวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณ รวมองค์ประชุมทั้งหมด คือกาย พิสดารมาก 

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าถึงสอน แม้แต่ มาบวชปุ๊บ ให้ อุปัชฌาย์สอนให้แยกกายแยกจิตให้ชัดๆ เป็นธรรมะนิยาม 5 ให้ได้ 

ถ้าไม่รู้จักการแยกกายแยกจิตอย่างชัดเจนแล้ว ว่า แยกอย่างไร 

แยกให้รู้ว่าเมื่อใดองค์ประชุมนั้นเป็นอุตุนิยาม เมื่อไหร่เหลือพืชนิยาม เมื่อใดเหลือจิตเป็นจิตนิยาม จึงจะปฏิบัติกรรมนิยามธรรมะนิยามได้ 

ถ้าเข้าใจว่า แยก อุตุพีชะจิตไม่ได้ มา ปฏิบัติธรรมศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าไม่บรรลุ  อรหันต์หรอก ไปไม่รอด ไปไม่ได้ อุปัชฌาย์บวชให้ก็บวชแค่นั้น ถ้าไม่เข้าใจ 

เพราะฉะนั้นแม้แต่อุปัชฌาย์เองทุกวันนี้ก็ไม่ได้เข้าใจ แยกอุตุ แยกพืช แยกจิต ไม่ได้ ล้มเหลวไปทั้งกระบวน 

สู่แดนธรรม...อุปัชฌาย์ก็ยังสอนกรรมฐานนี้อยู่เหมือนกัน 

พ่อครูว่า... ก็ยังสอนตามพระธรรมวินัยที่บังคับไว้อยู่แต่ไม่ได้รู้จริงถึงสภาวะที่แท้ นี่เป็นสัจจะที่ล้มเหลว มันเสื่อมสิ้นไปแล้ว ศาสนาพุทธ อย่าเถียงอาตมาเลย เพราะอาตมาเปิดตำราสู้คุณ เปิดพระไตรปิฏกสู้ คุณจะจบเปรียญ 9 จบด็อกเตอร์มาอย่างไรก็อาตมาเปิดตำราสู้คุณ คุณเรียนมาเถอะ คุณก็เรียนมาอย่างผิวเผิน อธิบายกายผิดเพี้ยนออกไป แล้วไม่มีผลสำเร็จ 

เพราะฉะนั้นมันจึงกลายเป็นมหาสมุทรที่มีน้ำเน่า เต็มไปด้วยซากศพและขยะ คนขี้ทูดกุดถังกองเต็มไปหมด ขออภัยที่ต้องมาพูดหนักไป ต้องขออภัยจริงๆ แต่โดยสัจจะมันเป็นอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นอาตมาถึงบอกว่า บวชแล้วก็อยู่ร่วมกันอยู่ไม่ได้หรอก มันต้องนานาสังวาส ก็ไม่ได้ไปฟื้นฝอยหาตะเข็บอะไรต่อ จนกระทั่งสุดท้ายไม่สำเร็จผล เพราะอาตมาก็เป็นของอาตมาแล้วอาตมาก็อยู่ของอาตมา ไม่ได้มีมหาสมุทรเน่าๆอย่างนั้น อาตมาก็อยู่ในวังน้ำใส ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดอะไรบ้าง 

มีปลาต่างๆหมายถึงอะไร ปลาต่างๆนี่หมายถึง พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ปลาต่างๆที่เป็นปลาใหญ่ หมายถึงอย่างนั้น

_ท่านสรุปตอนท้าย ว่า  ข้อที่ธรรมวินัยนี้เป็นที่พำนักอาศัยแห่งสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ สิ่งชีวิตมีในธรรมวินัยนี้มีดังนี้ คือ พระโสดาบัน ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล พระสกทาคามี ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล พระอนาคามีท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล พระอรหันต์ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 8 ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่

ดูกรปหาราทะ ในธรรมวินัยนี้ มีธรรมที่น่าอัศจรรย์ อันไม่เคยมีมา 8 ประการนี้แล ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

จบสูตรที่ 9

พ่อครูว่า... ผู้ไม่ใช่พระภิกษุทั้งหลาย เห็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อยู่ในมหาสมุทรนี้ก็จะไม่อภิรมย์ เพราะเขาไม่รู้ นอกจากไม่รู้แล้วตาถั่ว ตามืดตาบอด เห็นเป็นไม่ใช่ปลา แต่เห็นเป็นปลาสร้อยปลาซิวด้วย ดีไม่ดีเห็นเป็นปลาเจ็บปลาป่วยด้วย เห็นเป็นปลาแปลก ปลาปลอมอยู่ในแม่น้ำนี้อีกด้วย ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ 

ในชาวอโศกคือมหาสมุทรที่มี โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ มีปลาใหญ่ 

สู่แดนธรรม... เป็นปลาใหญ่ที่ทำตัวเป็นปลาเล็กเขาเลยมองเห็นเป็นปลาซิว 

พ่อครูว่า... เขามองเห็นเป็นปลาซิว ปลาสร้อย ปลาแปลก ปลาปลอมอะไรด้วย แต่ที่จริง มหาสมุทรนี้คือปาท่องโก๋มาอยู่กัน ซึ่งก็แปลกนะ เราประกาศนานาสังวาสก็ประกาศบอกว่ามาสร้างร้านปาท่องโก๋ร้านเล็กๆ ท่านเป็นบริษัทใหญ่ทอดปาท่องโก๋ ทำเป็นบริษัทแข็งแรงอยู่รอด เราขอมาทำร้านเล็กๆข้างทาง ทอดปาท่องโก๋ขายไป ถ้าประชาชนเขานิยมสูตรที่เราทอดนี้ เขาก็มาอุดหนุนเรา เราก็ไปได้ ร้านเราอยู่ได้ อาตมาพูดอย่างนี้เลยตอนหน้าพระสัง ฆาธิการ 180 รูป 

ของท่านอาจารย์มาว่าเป็นสูตรที่ผิดจากพระพุทธเจ้า คนกินแล้วท้องอืดท้องเฟ้อ อย่างนี้ทำลายมนุษยชาติให้เจ็บป่วย ก็จึงเอาสูตรแท้ๆของพระพุทธเจ้ามาทอด ขายอยู่ข้างทางตรงนี้ขอแยกมาอยู่ตรงนี้ แยกนานาสังวาส เขาก็ไม่ให้แยก เขาก็ทำผิดพระธรรมวินัย 

สู่แดนธรรม... พ่อท่านใช้อุปมาปาท่องโก๋เลยนะครับ 

พ่อครูว่า... ก็ปาท่องโก๋จริงๆ ซึ่งดูแล้วก็แปลกดีเหมือนกันนะ ทำไมถึงออกมาอย่างนี้ได้ก็ไม่รู้เป็นอย่างนั้นจริง 

คือสัจจะอย่างนี้ อาตมาเกิดมาทำงานนี้จนกระทั่ง 50 กว่าปี อาตมาก็ไม่ได้คิดตัวเองว่า ชาตินี้นะ เราต้องเป็นเรา เราต้องมาทำงานนี้ ต้องเป็นเราจริงๆ ชัดเจนในตัวเอง ว่า ตัวเองเป็นใคร ตัวเองมาทำงานอะไร งานนี้เป็นอย่างไร แล้วทำได้ไหม ทำมีผลสำเร็จไหม 

อาตมาก็ตรวจสอบดูแล้ว ทำได้แฮะ มีผลสำเร็จจริงอยู่ ก็พอสมควรจะทำได้ขนาดนี้ ก็ยังพอทำให้คนเกิดมาเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ได้อยู่ แต่คนข้างนอกเขาไม่เชื่อ วงนอก ที่เขาเองเข้าใจผิดไป อย่างไรเขาก็ปิดประตูที่จะรู้ เขาก็จะไม่มี ปรโตโฆษะอีก เขาจะไม่มีสัมมาทิฏฐิที่จะเริ่มแม้แต่ ปรโตโฆษะ 

จะมีบ้างผู้ที่มีอคติและแสวงหาสัจธรรมจริงจะมีอยู่บ้าง ก็จะฟังอาตมาอยู่บ้าง แม้เขาจะตกก็เป็นชาวเถรสมาคม ได้รับตำแหน่งยศศักดิ์อะไรต่อไปทีเดียว ก็ขึ้นหลังเสือแล้วนี่ ก็อยู่บนหลังเสือนี่แหละ ค่อยๆเก็บตกเก็บหล่นเอา จากโพธิรักษ์มีอยู่บ้าง มีจริงๆ ก็อนุโมทนาสาธุๆก็เก็บไปเถอะก็เห็นใจ 

บางคนก็อายุมากแล้วจะทำลายเพราะขี่หลังเสือแล้ว ลงจากหลังเสือเดี๋ยวเสือขบเอา คือ ความละอายของตัวเอง ตนเองไม่อยากเปิดเผยแสดงออก ก็เลยผสมผเสไป อย่างไรก็อยู่กับหมู่ใหญ่ เหมือนกับสัญชัยเวลัฏฐบุตร ขออยู่กับหมู่ใหญ่ที่เป็นคนโง่ ส่วนบุคคลฉลาดโลกุตระนั้นเป็นคนส่วนน้อย คนส่วนใหญ่เป็นคนที่อยู่กับโลกียะเป็นธรรมดา เขาก็ต้องจมอยู่กับทางโน้นไป 

อาตมาทำงานมาจนกระทั่ง 50 ปีนี้แล้วระลึกที่พูดไป ระลึกสิ่งที่ระลึกได้ต่างๆ มันจะเป็นอจินไตย ที่ยาก ที่คนจะเข้าใจ แม้แต่อาตมายังไม่ถึงขั้นพุทธวิสัย แต่ฌานวิสัย ของอาตมามีมากพอ

คำว่า ฌาน คำเดียวนี้ยาก ที่ชาวเถรสมาคม จะเข้าใจได้ เพราะฌาน ไม่ได้หมายความว่าไปนั่งหลับตาเลยของพระพุทธเจ้า ฌาน ไม่ได้ไปนั่งหลับตาเลย 

ฌาน คือพลังงานที่เป็นปัญญา ที่รู้จักกิเลสที่แฝงอยู่ในจิตเจตสิกต่างๆ ฌาน มีปัญญา รู้จักกิเลสที่แฝงอยู่ในจิตเจตสิกต่างๆ แล้ว รู้วิธีทำให้กิเลสนี้ลดละ จางคลาย ดับลงไปได้ 

นี่คือ ประสิทธิภาพ ของ ฌาน หรือ ปัญญา ของพระพุทธเจ้า 

ฌาน นี้คือปัญญา ฌาน อยู่ที่ไหน ปัญญา อยู่ที่นั่น ปัญญา อยู่ที่ไหน ฌาน อยู่ที่นั่น พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัดเจน 

นัตถิ  ฌานัง  อปัญญัสสะ     ปัญญา  นัตถิ  อฌายโต 

ยัมหิ  ฌานัญจะ  ปัญญา  จ   ส  เว  นิพพานสันติเก 

 

ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา   ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน

ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด  ผู้นั้นแล อยู่ในที่ใกล้นิพพาน

(พตปฎ. เล่ม 25   ข้อ 35)

 

คำว่าปัญญาเป็นความฉลาดโลกุตระไม่ใช่เฉโก เฉโก ก็เป็นความฉลาดแต่เป็นความฉลาดแบบโลกีย์ ส่วนปัญญาเป็นความฉลาดแบบโลกุตระ

เพราะฉะนั้นเอาปัญญาไปเรียกความฉลาดทั่วไปทั้งหมด ทำให้คำว่า ปัญญาของพระพุทธเจ้าเสียหายหมด เละเทะหมดเลย ซึ่งมันไม่ใช่ ปัญญา หมายถึงโลกุตระธรรมหมายถึงจิตที่ฉลาดรู้จักโลกุตระแล้วปฏิบัติโลกุตระ 

ปัญญา 8 ของพระพุทธเจ้า อาตมากำลังเขียนขยายความไปได้ 800 หน้าแล้ว 

เป็นเรื่องยิ่งใหญ่กว้างขวางลึกซึ้งมาก สุดยอด แต่ทุกวันนี้มันกลายเป็นถูกทำลายให้ตื้น แคบ ให้เละเทะไปหมดแล้ว

พูดกันแล้วก็เหมือนยกย่องตนเอง คนอื่นโง่ไปหมดเลย ก็ต้องขออภัยจริงๆ สาธุ ไม่รู้จะทำอย่างไร 

สมณะเดินดิน... สรุปจบ 


เวลาบันทึก 12 มกราคม 2565 ( 21:59:38 )

650114

รายละเอียด

650114_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ อภิธรรมของศีลข้อ 1 ที่ชาวอโศกปฏิบัติได้

https://www.boonniyom.net/51195.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1L28rsCd67q-WP4fUMBmHorttZ4OM9UeWjvNlHO0nwQE/edit?usp=sharing   

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1Y8BQLj-sw5C4PYn3K79GPAsqnaitMxHg/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่     https://www.facebook.com/300138787516163/videos/645978286525860 

และ    https://youtu.be/f-GCzfWWnmk

 

สมณะเดินดิน...วันนี้วันศุกร์ที่ 14 มกราคม 2565 ขึ้น 12 ค่ำ เดือน2 ปีฉลู ปีนี้พ่อครูบอกว่าเป็นปีที่น่าจะเกิดความลงตัวขึ้น ในหมู่กลุ่มของพวกเรา ก็มีความเคลื่อนตัวขึ้น ศิลปินตอนนี้ก็มารวมตัวกันมาสร้างเรือรามจักร มีกลุ่มศิษย์เก่าร่วมมือกันทำนา 

ปีนี้หมูแพงคนก็เลยหันไปกินไก่ต่อมาไก่ก็แพงขึ้นอีก ก็มีรณรงค์ให้ไปกินเนื้อจระเข้แทน จระเข้นอนหลับอยู่ดีๆตอนนี้ก็เริ่มเดือดร้อน สังคมก็เดือดร้อน ทำไมไม่มีใครหันมาบอกว่ามากินถั่วกินผักแทน 

ปีนี้ เราเชิญอาจารย์ดร.ร่วมจิตมาเผยแพร่เรื่องข้าวไร่ให้พวกเราฟัง ถามอาจารย์ว่าถ้าเราจะปลูกข้าวไร่ควรจะเริ่มอย่างไรก่อน อาจารย์บอกว่า เริ่มจากชุมชนใหญ่หรือเล็กก็ได้ เริ่มต้นทำคนละแค่ 2 ไร่ก่อน เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า เราทำได้ 2 ไร่ก็ได้ข้าว 1 ตันครึ่ง ข้าวไร่เป็นพืชที่รากเยอะลำต้นแข็งแรง ถ้าสำเร็จจึงจะขยายไปสู่ข้าวนาปีเพื่อให้มีความมั่นใจมากขึ้น หากชุมชนไหนสนใจ อยากให้แสดงความประสงค์ ทาง LINE กลุ่มเพื่อฟ้าดิน 

ปีนี้พ่อครูอายุ 88 ขึ้นไป พ่อครูเคยบอกว่าปลูกข้าวกันให้ได้สักแสนตัน พวกเราลองแล้วก็ได้เป็นแสนสาหัสแทนก็เลยเอาไว้ก่อน ตอนนี้ลองขยายผลให้เครือแห่เครือข่ายขยายผลไปเรื่อย เมื่อพร้อมกันเราก็นัดกันปลูกข้าวพร้อมกัน ปีนี้ปลูกข้าวเพื่อแจกประชาชน คงจะครึกครื้น มีทั้งข้าวนาข้าวไร่ แต่ฟังดูแล้วข้าวไร่น่าจะเป็นข้าววรรณะ 9 ที่ใช้น้ำน้อยปุ๋ยน้อยแข็งแรงทนทาน อยากให้พวกเราทดลองปลูกกันเพื่อความมั่นใจ ในชีวิตของชาวนา 

มีเนื้อเพลงที่บอกว่า อย่าดูถูกชาวนา... มือถือเคียวชันเข่า ปลูกข้าวเลี้ยงเราสืบมา 

พ่อครูว่า...อันนี้มันไปเพี้ยน ใครไม่รู้ร้องเพลง ที่ว่าถือเคียวคันเก่า ไม่ใช่ถือเคียวชันเข่า ถ้าถือเคียวชันเข่าจะไปทำอะไรได้มันหมดแรงพอดี 

สมณะเดินดิน... มันฟังเพลงแล้ว รู้สึกว่าชีวิตชาวนาทนสู้นั่งชันเข่าหมดสภาพ แต่พ่อครูบอกว่าเพลงนั้นแต่งผิด ที่จริงแล้วเป็นถือเคียวคันเก่า นับวันวิกฤติโลกร้อนจะสูงขึ้น เรามาช่วยกันทำเรื่องปลูกข้าวให้เป็นเลิศ พ่อครูเคยบอกว่าจะตั้งมูลนิธิข้าวดีราคาถูก ตั้งข้อแม้ว่าคนจะบริจาคเงินเข้ามูลนิธิได้ต้องบริจาคไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท มีแต่เศรษฐีในประเทศไทยที่จะบริจาคเข้ามูลนิธินี้ได้ ทำข้าวดีราคาถูกเพื่อช่วยเหลือประชาชน ซึ่งนับวันโลกก็ยิ่งขาดแคลน เรามาสร้างพื้นแผ่นดินให้อุดมสมบูรณ์ขึ้นมา อาหารกายเราก็ช่วยกันสร้าง ส่วนอาหารใจเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้อาหารกายสำเร็จ ก็ต้องมาฟังโลกุตระจากพ่อครู ขออาราธนาครับ 

อาหารของวิชชาและวิมุติ

พ่อครูว่า... อาตมาก็จะพูดเน้นไปในทางเรื่องของอาหารใจ อย่างที่ท่านเดินดินว่า เน้นไปในทางเรื่องอาหารใจเป็นหลัก อาหารกายก็คงรู้กัน เรียกว่าทำกันอยู่แล้วดิ้นรนกันอยู่แล้วจัดการกันไป อาหารใจนี่แหละมันสำคัญ ถ้าเรามีปัญญาที่จะรู้จักอาหาร โดยเฉพาะ อาหารที่อาศัย 

ในอาหารสูตร ท่านบอกว่า 

1. การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ . .

2. การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์ 

3. ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์  

4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ . . สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา

5. สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ . . ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์ 

6. ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์  คือ  กาย วาจา ใจ  เลิกทำการงานทุจริต 

7. สุจริต3 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สติปัฏฐาน4 บริบูรณ์ 

8. สติปัฏฐาน4 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ . 

9. โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์     (อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 61) 

 

อาหารเป็นคำข้าวที่กินไว้เลี้ยงขันธ์ร่างกาย ท่านตรัสไปถึง อาหาร 4 มี กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณหาร 

ซึ่งความรู้ของพระพุทธเจ้าครอบคลุมครบพร้อมหมดทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของธรรมะที่เป็นโลกุตรธรรม อาตมาว่า โอ้โห ถ้าผู้รู้แจ้งรู้จบแล้วมันไม่มีปัญหามีแต่ปัญญา มีแต่ปัญญาที่จะชัดเจน อะไรๆที่เป็นอยู่ในสังคมในโลกในพฤติกรรมมนุษย์ มันก็เป็นอย่างที่มันเป็น มันไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดอะไร เพราะว่ากิเลสมันเป็นไปได้สารพัดบ้าๆบอๆ 

บางทีมันก็เป็นไปได้อย่างที่เรานึกไม่ถึงว่า จะเป็นไปได้อย่างนั้นร้ายแรงอย่างน่าเกลียด 

 

SMS วันที่ 12-13 มกราคม 2565

 

โกศล สุขเล็ก  · กราบคารวะพ่อท่าน..ถ้ามหาเถรสมาคมนำพระธรรมของพระพุทธเจ้ามาเปิดเผยก็เท่ากับประจานตัวเอง

พ่อครูว่า... เป็นเรื่องหลงผิดไปยกสิ่งที่ไม่น่ายกย่อง เช่นศาสนาพุทธให้เลิกไปหลงในการติดลาภยศสรรเสริญสุข แต่สังคมศาสนาพุทธทุกวันนี้กระแสหลักก็ยังเต็มไปด้วยเรื่องลาภ เรื่องยศ เลอะเทอะเละเทะกับเรื่องยศ สรรเสริญสุขเป็นนามธรรม ก็เพียบพร้อม ไม่ใช่ไม่มี สรรเสริญไม่ใช่ไม่ติดแต่ติดอย่างลึกซึ้งเลยทั้งสรรเสริญและสุข เรื่องลาภยศที่เป็นเรื่องนอกเห็นได้ง่ายก็ชัดเจนเต็มไปหมด ซึ่งก็ไม่รู้ตัว ตัวเองก็เป็นอยู่อย่างนั้น เมื่อไม่รู้ตัวก็เอาพระธรรมะพระพุทธเจ้ามาพูดไม่ได้ เพราะตัวเองตรงกันข้ามกับที่พระพุทธเจ้าสอนเสร็จ หากเอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาเปิดเผยมันก็เป็นการประจานตัวเองอย่างที่คุณโกศลว่าก็จริง 

 

การระลึกชาติแบบไหนที่ทำให้ได้บรรลุธรรม

_เดชา อัมพร : เราเคยบอกว่าในพุทธก็มีเรื่อง"บุพเพนิวาสานุสติญาณ".. ก็คือการระลึกอดีต(ซึ่งน่าจะรวมไปถึง"อดีตชาติ"ด้วย)..เพราะถ้าเป็นเรื่องที่ผิด.. พระพุทธเจ้าก็ต้องเป็นผู้ผิดเป็นองค์แรก.. และไหนอย่างท่านโพธิรักษ์ก็ยังเคยนำมาพูดถึงให้พอรู้เช่นเดียวกันว่า..อดีตชาติของท่านเป็นผู้ใดมาบ้าง?(จริงหรือไม่จริงเอาไว้ค่อยพูดวิเคราะห์วิจัยกันอีกทีหนึ่ง)..ซึ่งเราเห็นว่า.. การระลึกอดีตชาติได้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้มีศีลธรรมเป็นพื้นฐานอยู่แล้วอยู่ไม่ใช่น้อย.. เพื่อจะได้ไต่เต้าในการตัดกิเลสในชั้นต่อๆไป..เช่น ในเรื่อง"กามคุณหญิงชาย" ก็จะได้รู้ว่า..เราเคยประสบอะไรมาบ้างในอดีตชาติในเรืองราวแบบเดียวกันนี้ หรือเคยเจ็บปวด,ชอกช้ำ,ผิดหวัง,เห็นทาสแท้ของคู่ครองหรือต่างเพศมามากเท่าไหร่? ซึ่งอาจนำมาระลึกแล้วทำให้ผ่อนคลายความติดยึดและเพิ่มบุญบารมีต่อไป เพราะรู้สึกเข็ดหลาบ..ก็เป็นได้..

เราจึงเห็นว่า..ไม่น่าจะมีการปิดกั้นภูมิรู้เรื่องวิธีจะระลึกชาติให้ได้..เหล่านี้เลย.. เพราะเมื่อปิดกั้นแล้ว..วิชาก็จะสูญหายหรือเสื่อมสูญไปเรื่อย ๆ (หรือถ้าการระลึกอดีตชาตินั้น มันไม่มีจริง แค่เป็นคารมเพื่อสร้างเครดิตให้คนศรัทธาเท่านั้น ก็ควรจะได้บอกกันตรง ๆ ไปเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาติดตามเพื่ออยากรู้เรื่องเหล่านี้อีกต่อไป)..

ก็เหมือนวิชาการทางโลกนั้นแหละ.. เช่น "วิขาแพทยศาสตร์" ท่านโพธิรักษ์เองก็ยังเคยพูดประมาณว่า.."วิชาแพทยศาสตร์เป็นเดรัจฉานวิชา"ด้วยเลย ไม่ใช่หรือ? และท่านก็คงไม่ได้ปฏิเสธถ้ามีลูกหลานชาวอโศกต้องการจะไปศึกษาในวิชาการเหล่านี้ด้วย ใช่หรือไม่?..ซึ่งเราก็พยายามค้นหา,ค้นคว้าอยากรู้วิธีการที่เป็นไปได้อย่างแท้จริง.. แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีอาจารย์พุทธใดๆ ที่จะบอกสอนว่า..วิธีที่จะทำให้เราระลึกชาติได้โดยไม่ยากนั้น..จะต้องทำอย่างไร?..

พ่อครูว่า...การระลึกชาติได้นั้นก็เป็นประโยชน์สำหรับผู้มีพื้นฐานธรรมมะที่ดี แต่ถ้าผู้ที่ไม่มีพื้นฐานธรรมะที่ดีนั้น อย่างเช่น พระยันตระ ไม่มีศีลธรรมก็ไปทำเละเทะ แต่ถ้าผู้มีศีลธรรมก็จะเป็นประโยชน์มาก อย่างเช่นอาตมาระลึกถึงอดีตชาติได้ ก็มาใช้ประโยชน์ที่แท้จริง อาตมาก็ไม่ได้ไปเอาอดีตชาติมาเพื่อที่จะเอามาเป็นประโยชน์ที่จะทำให้เหมือนพระนิกร ซึ่งหนักเข้าลามกจกเปรตเสียหาย 

พ่อครูว่า...ที่ว่าการแพทย์เป็นเดรัจฉานวิชานั้น อาตมาก็ขยายความ ให้รู้ว่าเดรัจฉานวิชาหมายความว่าอย่างไร ไม่ได้หมายถึงวิชาของสัตว์เดรัจฉาน 

เดรัจฉานวิชาหมายถึงวิชาที่ไม่พาพ้นทุกข์ ไม่พาไปสู่นิพพาน เป็นวิชา เดรัจฉานแปลว่าขวางทางนิพพาน อาตมาก็ขยายความอธิบายคนที่ไม่เข้าใจ ไปว่าไปด่าว่าเดรัจฉาน ก็คนละเจตนากับอาตมาคนละขั้นคนละอย่าง เขาก็เข้าใจผิดไป 

แต่วันที่อาตมาไปอธิบายที่คณะแพทย์ศาสตร์ อาตมาตั้งชื่อเรื่องว่าวิชาแพทย์ศาสตร์เป็นเดรัจฉานวิชา มันเป็นแทคติกของอาตมาที่ตั้งชื่อเรื่อง โอ้โห วันนั้น ห้องแทบแตก ที่อาตมาไปอธิบายนั้นคนไปฟังแทบแตกเลย อย่าว่าแต่แพทย์เลย วิศวกรรม เทคนิคการแพทย์ก็มาเต็มห้องหมดเลย หาว่าจะมาด่าวิชาแพทย์เป็นเดรัจฉานวิชาได้อย่างไร 

อาตมาก็ได้คนมาฟังเต็ม สมที่เจตนา แล้วก็ได้อธิบายให้ฟัง ก็ถ้าอาตมาอธิบายไม่ได้อาตมาออกมาไม่ได้นะ เขาเอาตายเลย ถ้าหากอาตมาแก้ไม่หลุดพูดความจริงนี่ไม่ได้ แต่คนเหล่านั้นเป็นชนชั้นปัญญาชนมีปัญญา ก็ชัดเจน

(พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะเดินดิน... ดูเหมือน ในพวกเราสมัยหมอฟ้ารัก ก็เคยฟังกัน

พ่อครูว่า... แม้แต่ ดร.มานะด้วย 

คุณเดชาฟังอาตมาบรรยายบ้างหรือเปล่า ถ้าอาตมาบรรยายวิธีที่จะระลึกชาติได้โดยไม่ยากนั้นจะทำอย่างไร ก็พูดอธิบายอย่างที่จำได้ว่า คุณก็ระลึกถึงเมื่อวานนี้ ก็ย้อนทวนว่าเมื่อวานนี้คุณกินอะไร อาหารเช้าเมื่อวานนี้ อาหารกลางวันอาหารเย็นกินอะไร ชีวิตคนทำอะไร นี่คือการระลึกอดีตชาติ คุณไล่ไปๆ ก็จะค่อยๆเก่งขึ้นแล้วนึกถึงอะไรได้ดีขึ้น 

ส่วนจะระลึกข้ามชาติได้นั้นอย่าเพิ่งไปกล่าวเลย ถ้าคุณสามารถมีภูมิธรรมระลึกได้จริงๆเลย ลึกเข้าไปถึงจิตเจตสิกของคุณแล้วก็สามารถข้ามชาติ ซึ่งมันจะมีสัญญาเป็นความจำ สัญญาเป็นธาตุเจตสิกของจิต วิญญาณ ของอัตภาพ มีเจตนา สัญญา สังขารวิญญาณ 

มันจะบันทึก อย่างสัตว์ทั้งหลายและมีสัญชาติญาณ นั่นแหละคือความจำเก่ามันออกมาแสดงตัว โดยที่คุณไม่ต้องระลึกแต่มันออกมามีจริง ตั้งแต่อดีตชาติเก่าๆ ชาตินี้คุณก็ทำได้โดยอัตโนมัติเลย เป็นไปโดยยังไม่ต้องไปสอน ตั้งแต่สัตว์เดรัจฉานจนกระทั่งถึงคน อะไรอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งศึกษาดีๆ แล้วจะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้มันมีจริง 

สู่แดนธรรม... พ่อท่านเคยสอนวิธีระลึกชาติจะเป็นประโยชน์ทางธรรมะ พ่อท่านสอนอันนี้มากกว่า 

พ่อครูว่า... ใช่ สอนระลึกชาติที่เป็นธรรมะก็หมายความว่า ธรรมะที่มีอยู่ในพระพุทธเจ้าตรัสเอาพระไตรปิฎกเป็นหลัก คุณหยิบมาแล้ว คุณเข้าใจ คุณรู้ ติดตัวมาแต่ชาติก่อน ที่อาตมาก็ยืนยันว่าตัวเองมีแต่ชาติก่อน เข้าใจแล้วก็เอามายืนยันอธิบาย อธิบายแล้วคนเข้าใจได้ เมื่อคนเข้าใจได้แล้วเอาไปปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วก็เกิดผลจริงบรรลุจริง 

เช่น อย่างชาวอโศก ปฏิบัติศีลปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 ปฏิบัติแล้วก็เกิดผลเป็น ฌาน ลดกิเลสเผากิเลสลงไป จนกระทั่งกลายมาเป็นคนที่ลดละหน่ายคลาย 

อย่างที่ชาวอโศกเข้ามาอยู่ในนี้ ลดละหน่ายคลายมาทั้งนั้น ไม่ไปกระเหี้ยนกระหือรือแย่งลาภยศสรรเสริญสุข อย่างที่เขาเป็นกันแม้ในเถรสมาคม ซึ่งชาวอโศกจะไม่เหมือนเถรสมาคมเลย ยิ่งทั่วๆไปแล้วก็ไม่ต้องไปพูดถึงเลย ขนาดเถรสมาคม ก็คงไม่ปฏิเสธที่อาตมาพูด ยังแบกลาภ หามยศ พวกพระสายหลับตาที่จริงมีลาภนะ แต่ก็ทำเป็นกลบเกลื่อน ทำเป็นไม่มีเพื่อเชิดชูตัวเองเลอเลิศ ให้ได้รับการนิยมชมชอบ อย่างเช่นมหาบัว นี่คือความฉลาด เฉโกของพวกที่ใช้วิธีพวกนี้ 

ลาภก็ดี ยศก็ดี อย่างพวกพระที่ออกมาหลับตาออกป่าไม่ค่อยไปแย่งลาภยศ แต่ทางพระเถรสมาคมยังแบกยศ เทิ่งๆๆ สรรเสริญนั้นซ้อนลึก มีทั้งพระป่าและพระบ้านเต็มไปหมดแล้วก็ไม่รู้จักสุขก็ยังเสพสุขกันอยู่เลย ไม่เข้าใจเรื่องสุข เลิกสุข ไม่มีสุขไม่มีทุกข์จริงๆ ก็พยายามศึกษาพยัญชนะ แต่ไม่เข้าใจลึกซึ้ง 

พยัญชนะว่า ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ก็พูด แต่จริงๆแล้ว สุขเป็นสุข เช่น ไปแปล นิพพานังปรมังสุขัง ไปแปลเป็นไทยว่า สุขอย่างยิ่ง นี่คือการไม่รู้จักสุข สุขอย่างยิ่ง 

จริงๆอาตมาแปลแล้วว่า มันยิ่งกว่าสุข นิพพานัง ปรมังสุขัง นั้นมันยิ่งกว่าสุข มันไม่ใช่สุข มันยิ่งกว่าสุข อะไรอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันก็ตรงตามที่เขามีภูมิรู้ เขาก็แปลตามตรงอย่างนั้นอย่างนั้น พูดไปแล้วก็เหมือนกับยกตัวเองข่มผู้อื่นต่อไป 

 

_เจิน วดี : ชอบความเกื้อกูล และช่วยกัน งานจึงสำเร็จ พัฒนางานพัฒนาตน เพื่อส่วนรวมดีขึ้น กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า... คนนี้ก็มีปฏิภาณปัญญาหรือว่าพฤติกรรมอย่างนี้ก็มีนะก็คือมองในชาวอโศก อย่างที่คุณเจินวดีพูด

 

ต้องเป็นคนแบบไหนจึงเทศน์ได้อย่างไม่เกรงใจคนรวย

_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ : สมณะด่วนดีเทศน์เมื่อวันพฤหัส ที่ 13 ม.ค. 65 เทศน์ดีครับ เทศน์แบบไม่เกรงใจคนรวยเลย..ชอบครับ

พ่อครูว่า...อาตมาก็คนนึง ไม่เกรงใจแล้วล่ะคนรวย ที่เกรงใจคนรวยกันอยู่นั้นก็เพราะว่า เดี๋ยวไปว่าคนรวยแล้วคนรวยเขาก็จะไม่มาบริจาค ให้มาทำทาน เขาจะอดอยากปากแห้ง เขาก็เลยไม่ค่อยกล้าที่จะว่าคนรวย ถ้าอย่างเรานี้ อาตมาก็ดี  สมณะด่วนดีก็ดี ไม่ได้ฟังเสียง 

เพราะมันเป็นเรื่องจริงของธรรมะ เป็นเรื่องจริงของสัจธรรม คนที่ไปรวยนี้ คนที่จะไม่ไปมุ่งรวย เป็นคนที่คิดผิด มันเป็นเรื่องของกิเลส เป็นเรื่องของมารครอบงำที่แท้จริง ซึ่งพูดไปแล้ว  มันขัดแย้งไปหมดในคนที่มีฐานปุถุชน เราต้องเป็นฐานอริยบุคคลในฐานที่สูงขึ้นจริงๆ ถึงจะเห็นจริงๆเลยว่า แหม เป็นคนต้องมาจนนะ 

เพราะฉะนั้นคนที่มาเป็นชาวอโศกหยุดที่จะเลิกไปรวยอีกเลย หันไปทางมาจน มุ่งมาจน ตั้งใจจน เต็มใจจน จนสำเร็จ จนจนสำเร็จ มันมีอีกไม่รู้กี่จนต่อกี่จน เข้าใจซาบซึ้งคำว่าจน จนเอาไปตั้งนามสกุล มันจะถึงร้อยนามสกุลหรือยังไม่รู้ เอาไปจดทะเบียนกัน เอาคำว่าจนไปจด ตอนนี้มี 15 นามสกุล แล้ว 

คือซาบซึ้งในคำว่าจน ซึ่งมันไม่ใช่ความหลอกความหลง แต่มันเป็นความชัดเจน มันเป็นความเห็นจริงว่า คนเรานี้เนาะ เราก็แย่งความรวยมาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ โอ้โห ไม่เหน็ดไม่เหนื่อย พอเข้าใจแล้วก็มาทำตัวเป็นคนจน 

เมื่อเป็นคนจนได้ที่ คนจนได้พอสมควร สามารถที่จะเข้ามาอยู่รวมกลุ่มกับชาวอโศกที่เป็นแดนคนจนที่แท้จริง ซึ่งพูดถึงว่าคนที่จะมาเป็นคนจน พูดกับคนชาวโลกเขา เขาบอกว่า มันไม่มีหรอก พวกคนจนคือพวกที่ ยายหลอยพูด คือ ก็คนบ้า พวกคนจนคือพวกคนบ้า 

เพราะมันคนละเรื่องกันกับแนวคิดคนสามัญทั่วไป มันทวนกระแสกันจริงๆเลย แล้วมาจนมันจนทำไม สมรรถภาพก็มี ความรู้ความสามารถ เรี่ยวแรงอะไรมีหมด แล้วเราจะมาทำตนให้เป็นคนจน ทำไปทำไม ใครจะรวย ก็รวยไป อยากจะทำทานบริจาคก็ทำสิ แจกบริจาคไป จนแล้วจะเอาที่ไหนไปบริจาคอะไรอย่างนี้ เขาก็คิดอย่างง่ายอย่างตื้น 

ถ้าเผื่อว่าพระพุทธเจ้าเข้าใจอย่างที่พูดไปเมื่อกี้นี้ ถ้ามาเป็นคนจนไม่ต้องมีทรัพย์สิน ไม่ต้องไปสะสมอีก มีวรรณะ 9 พระพุทธเจ้าก็ไม่เป็นพระพุทธเจ้าที่ทิ้งทรัพย์สมบัติต่างๆ  มานุ่งผ้าบังสกุล ไม่ใส่รองเท้า ดำเนินพระบาทเปล่า แล้วก็นอนโคนไม้โคนดินไป ใครมาสร้างกุฏิ มาสร้างที่พักอะไรให้ก็พักไป แต่ก็ไม่เคยติดยึดว่าเป็นของตัวของตนอะไร ท่านก็จะไปทำทำไม เพราะอย่างที่คุณคิดคุณว่าไปทำทำไม 

เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นความลึกซึ้งที่ทวนกระแสจิตคน ยากที่จะเดา เป็นอจินไตย เป็นเรื่องที่คิดเล่นๆไม่ได้ ถ้าคนไม่มีภูมิถึงจริง 

เพราะฉะนั้นผู้ที่เข้าใจแล้วก็เข้าใจเรื่องจน แล้วก็เอาชีวิตมาจน เดินทางตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านก็ทรงประพฤติอย่างนั้น ในชีวิตของพระองค์จริงๆ 

เพราะฉะนั้นก็จึงมีคนมาเป็นคนอย่างนั้นจริงๆ  อย่างเช่นชาวอโศกเรา จนเกิดเป็นสังคมชุมชนชาวอโศกที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศไทย อย่างนี้เป็นต้น อันนี้เป็นเรื่องจริงของคนพวกนี้มาจริงๆไม่ใช่มาเล่นๆ 

มันเป็นเรื่องที่ทวนกระแสอย่างมหัศจรรย์ เรากำลังพูดถึงความมหัศจรรย์ 8 ประการ 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สมณะเดินดิน... พระพุทธเจ้าค้นพบชีวิตที่วิเศษสุดอย่างที่มนุษย์ควรจะเป็น ได้ข้อสรุปว่าชีวิตที่ดีที่สุดคือต้องมาจน ใส่เสื้อผ้าจนๆ ไม่ใส่รองเท้า ไม่ใช้เงินใช้ทอง เถรสมาคม พูดไม่ได้จะเป็นการประจานตัวเองแต่คงไม่ใช่แบบชาวอโศก เพราะชาวอโศกมาจนทั้งชาติจนสำเร็จ ก็คือชัดเจนว่าชาวอโศกจะมาเป็นทิศทางที่พระพุทธเจ้าพาทำ ถ้าเราชื่อจนสำเร็จจนทั้งชาติ จนอีหลีอีหลอ แต่ชีวิตไม่ได้เป็นทิศทางที่จะน้อยลง 0 ลง มีทิศทางอย่างนี้ ก็ถือว่าเราก็เป็นขบถเหมือนกัน เพราะอุตส่าห์ตั้งชื่อว่ามาจนแต่ทิศทางชีวิตจะรวยขึ้นรวยขึ้น ก็เคยเห็นพวกเราที่รวยขึ้นก็จะเริ่มเพี้ยน หาว่าพวกเราที่ยังจนอยู่นั้นเป็นพวกเพี้ยน หาว่ามาซ่องสุมทำอะไรกันผิดๆ นี่คืออันตรายของความรวย 

สู่แดนธรรม... เขาคงใช้นามสกุลว่า กลั้นใจจน

สมณะเดินดิน... ถ้าผิดเพี้ยนไปคงจะให้นามสกุลว่า กลั้นใจจน

 

คนจนที่มมีวรรณะ 9 คือผู้กอบกู้มนุษยชาติได้

สู่แดนธรรม... พ่อท่านถามว่า มนุษย์ทำตัวมาจนทำไม ผมก็แว๊บคำตอบว่า มาเพื่อกอบกู้มนุษยชาติได้ไหมครับ 

พ่อครูว่า... ได้ มากอบกู้มนุษยชาตินี้ เพราะว่าจริงๆแล้วความจน วรรณะ 9 

วรรณะ คือขั้นชั้น ความเจริญของมนุษย์ มนุษย์ที่มีภูมิธรรม ในระดับเป็นขั้นเป็นชั้นขึ้นไป ใน 9 ระดับของวรรณะ นี่แหละเป็นความเจริญ เป็นความประเสริฐของความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องมหัศจรรย์เป็นเรื่องทวนกระแสโลกอย่างชัดเจนเลย 

อย่างพระพุทธเจ้านี่นะ ถ้าเผื่อว่า ท่านจะอยู่เป็นผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ แล้วก็สอนเรื่องธรรมะโลกุตระท่านก็ทำได้ แต่มันไม่สมประกอบ ก็เราบอกว่าจะไม่มาเอาลาภยศสรรเสริญ แล้วทำไมจะไปอยู่แบกลาภยศสรรเสริญเหมือนเถรสมาคม ก็จะไปมีอยู่ทำไมก็ออกมาสิ แยกมานานาสังวาสเลย เขาก็อยู่อย่างนั้น เราจะเป็นอย่างเขาทำไม 

อย่างอาตมาชัดเจน มาบวชแล้วถ้าขืนไปอีกอย่างนั้น ไม่เอาแล้วแยกดีกว่า ไม่อย่างนั้นอาตมาก็ต้องไปทางโน้นอีก หรือจะไปแล้วเขาก็กั้นก็ห้าม ก็อาศัยพระธรรมวินัยของพุทธเจ้าประกาศนานาสังวาส อาตมาจึงประกาศนานาสังวาสแต่เขาไม่รู้เรื่องกัน เถรสมาคมไม่รู้เรื่องนานาสังวาส 

ตอนแรกพออาตมาประกาศยืนยันนานาสังวาส เขาก็ยังงงๆ ปล่อยให้เราประกาศตั้งแต่ พ.ศ. 2518 จนกระทั่ง พ.ศ. 2532 มีมหาประยุทธ์นี่แหละ ก็บอกว่าไม่ได้ เอาคารมที่ตัวเองตีว่า ถ้าเผื่อว่ามาบวชแล้ว อยู่ในหมู่นี้แล้ว ถ้าเผื่อว่าจะประกาศนานาสังวาสต้องสึก 

ถ้าจะสึกต้องไปประกาศนานาสังวาสทำไมล่ะ ดูซิว่าตรรกะแค่นี้ก็แย่เลยมหาประยุทธ์ ถ้าสึกจะไปประกาศนานาสังวาสทำไม ก็สร้างใหม่เลยเป็นนิกายใหม่เลย อาตมาทำนิกายไม่ได้ ถ้าทำนิกายเป็นอนันตริยกรรม อาตมาก็ต้องอยู่กับหมู่ใหญ่นี่แหละเป็นพุทธ เรียกว่าสังวาสเดียวกัน แต่ธรรมวินัยท่านให้ประกาศนานาสังวาสได้ ประกาศโดยส่วนย่อยส่วนน้อย หรือหมู่ใหญ่จะประกาศให้หมู่น้อยเป็นนานาสังวาสก็ได้ มี 2 อย่างเท่านั้นแหละ 

นี่ก็เป็นสัจจะในธรรมวินัยอย่างชัดเจน เขาก็เรียนก็รู้กันลึกซึ้งมากมายจบเปรียญ 9 จบปริญญาเอกกัน 

สู่แดนธรรม... เราคิดกันว่าออกจากพวกเขาเป็นนานาสังวาส แต่เขาคิดว่าถ้าออกจากเถรสมาคมทำได้อย่างเดียวคือต้องสึก 

พ่อครูว่า... อันนั้นก็ต้องทำเป็นนิกายชัดๆ ซึ่งพูดไปก็เท่านั้นมันผ่านไปแล้วแต่มันเป็นความรู้ 

สู่แดนธรรม... ที่ผมถามไปว่า การกอบกู้มนุษยชาติพ่อท่านก็ตอบว่าต้องทำด้วยการเป็นคนวรรณะ 9 

พ่อครูว่า... วรรณะ 9 ฟังดีๆนะ วรรณะ 9 เป็นขั้นชั้น the classes เป็นขั้นชั้นของมนุษย์จริงๆ เพราะถ้าเป็นผู้มีคุณธรรม จะเริ่มตั้งแต่เป็นคนเลี้ยงง่าย เลี้ยงได้เลยเลี้ยงอย่างหมูอย่างไก่เลย อย่าพูดอย่างหมูอย่างหมา มีอาหารให้กินก็อยู่สบาย เรื่องไม่มาก 

แล้วก็สอน เอาธรรมะมาสอนได้ง่าย สุโปสะ ตั้งใจฟัง อย่างที่พวกเราชาวอโศกไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็มานั่งฟัง เทศน์ทีนึง ก็มานั่งฟังกันเต็มก็เข้าใจ สุโปสะ ง่าย

แล้วก็มีจิตลึกที่จะมามากน้อย หรือแปลว่ากล้าจน ชอบที่จะเป็นคนจน อัปปิจฉะ กล้าจนหรือชอบที่จะเป็นคนจน ชอบจะมีน้อยๆ ไม่ชอบมีมาก เป็นจิตจริง ของคนที่มีจิตตัวนี้ ไม่ใช่เสแสร้ง ไม่ใช่เล่นลิเก ไม่ใช่แฟชั่นอะไร แต่เป็นเรื่องจริง จิตมันเกิดจริงๆเรียกว่าขั้นชั้นของจิตวิญญาณ เรียกว่าเป็นวิญญาณที่เจริญ 

ถ้าใครยังไปอยากรวย ปรารถนาจะไปรวยอยู่ ยังไม่ทวนกระแส ยังไม่หันมาเข้ากระแสพุทธศาสนา ยังไม่เข้ากระแสโลกุตระ เป็น New Normal ตลอดของพระพุทธเจ้านี้ มันไม่เคยเก่าเลย อกาลิโก ตลอดกาล

เมื่อเข้าใจอย่างนี้ก็ต้องมากำหนดตัวเองว่าเราเป็นคนมักมากไปเรื่อยไม่รู้จักพอ ก็ต้องมีขอบเขตเรียกว่า สันตุฏฐิ รู้จักพอ ใจพอ หยุดแค่นี้นะ มีมากกว่านี้ไม่เอานะ สละออกจริงๆเท่านี้ก็พอ คนที่ใจพอสูงสุดก็คือ 0ก็พอ ที่จริงมันก็ต้องมีบริขารบ้างที่ต้องใช้ประกอบ เดี๋ยวนี้บริขารแม้แต่แว่นตา แม้แต่คอมพิวเตอร์ก็เป็นบริขาร ก็เคยอธิบายไปหมดแล้ว ที่มันจำเป็นไม่ใช่เป็นการบำเรอบำรุง แต่เป็นการทำงาน อาศัยใช้ประโยชน์ อย่างนี้เป็นต้น ก็รู้จัก สันตุฏฐิ สันโดษหรือใจพอ

แต่เขาอธิบายคำว่าสันโดษไปเลอะเทอะ แปลว่าพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ อาตมาก็เคยอธิบายหลายทีแล้ว ก็ไปถามคุณเจริญที่ร่ำรวยในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเจริญโภคภัณฑ์หรือเจริญ สิริ เขาก็เพิ่งพอใจในสิ่งที่เขามีอยู่เขาก็สันโดษ คุณเจริญ ธนินท์ หรือคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี เขาก็พอใจ ในสิ่งที่เขาไม่อยู่ ไปแปลภาษาไทยและไปหมด ซึ่งมันต้องแปลว่ามีขีดจำกัดที่จะต้องพอ แล้วเข้ามาหาน้อยมาหา อัปปิจฉะด้วย ไม่ใช่พึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ซึ่งมันจะรู้จักพอได้อย่างไร อย่างนั้น เป็นการแปลคนละเจตนารมณ์ออกนอกลู่นอกทาง อย่างนี้ที่เป็นการเลี่ยงบาลีของพระพุทธเจ้า 

สันโดษก็ดี จึงรู้ความจริงและเป็นคนขัดเกลาตนเอง ขัดเกลา ที่มันเป็นเลือดของโลกียะเป็นเลือดของคนปุถุชนคนโลกๆ ชัดเกลา เรียนรู้เข้าใจชัดเจนเลยว่าเดินทางโลกุตระเป็นเช่นนี้ ถ้าจะปล่อยตัวเป็นโลกียะก็เป็นเช่นนั้น จมอยู่กับโลกีย์ ไม่งอกไม่เงย 

สู่แดนธรรม… ขนาดมักน้อยสันโดษยังไม่พอยังต้องถูกขัดเกลาอีกครับ ขัดเอาอะไรออกอีกครับ 

พ่อครูว่า... ก็กิเลสที่เหลือจนกว่าจะจบ จนกว่าจะเป็นอรหันต์ ต้องสัลเลขะ ธูตะ คือตามหลักเกณฑ์ข้อปฏิบัติของพระพุทธเจ้าที่จะทำให้เคร่งครัดดีขึ้นไปเรื่อยๆ ตามหลักการที่เคร่งครัด ผู้ที่ทำได้ตามลำดับมันเป็น ศีลเคร่งหรือข้อปฏิบัติที่เคร่งขึ้น คนอื่นปฏิบัติไม่ง่ายแต่ผู้ที่ทำได้และไม่ยาก ผู้ที่เคร่งนั่นแหละ ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากไปเรื่อยๆ เรียกว่า ธูตะ 

จนกระทั่งได้ไปตามสบาย มีอาการนั้นได้โดยไม่ต้องฝืน ไม่ต้องยาก ไม่ต้องลำบากอะไร เป็นฌาน ไม่ว่าจะเป็นข้อปฏิบัติอย่างนั้นอย่างนี้ก็ทำได้สบาย โดยไม่ได้ยากไม่ได้ลำบากอะไร เป็นฌานทั้ง 4 

รู้ว่ามีเหตุปัจจัยอะไรก็วิตกวิจารแล้วทำจัดการก็ทำได้ จิตถ้ายังมีฌาน 1 2 3 มันก็จะมีอารมณ์จิตวิตกวิจาร แล้วก็ทำได้ดีขึ้นก็ดีใจ ปีติ แล้วก็รู้สึกว่าสุขใจ แต่เป็นสุขอย่างสงบนะ กรึ่มๆอยู่ จนกระทั่งสมบูรณ์เป็นอุเบกขา ก็เป็น ฌาน ข้อที่ 4 ซึ่งยังไม่ลงรายละเอียด

เป็นสัจจะที่ยืนยันพิสูจน์ได้ตามที่อธิบายโดยเฉพาะในชาวอโศก ทำได้จนกระทั่งไม่เห็นมันยากอะไร มาอยู่อย่างนี้มาจน ก็มากินมาอยู่อย่างนี้ หลายคนมาตั้งแต่สาวๆ มาตั้งแต่หนุ่มๆ เดี๋ยวนี้ก็แก่ๆกันไป ตายกันไปก็เยอะแล้ว ก็ไม่คิดจะหนีไปไหน รู้เลยว่าอย่างนั้นไม่เอาแล้วอย่างโลกีย์ที่จะไปอย่างโน้น ก็อยู่อย่างนี้จนตาย แล้วก็สบายใจ พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตายกันได้ สบาย 

ซึ่งมันเป็นสังคมเป็นพฤติการณ์ของมนุษยชาติ ที่มันจบนะ นอกจาก ปาสาทิกะ แล้วก็มีอปจยะ มาอยู่อย่างนี้แล้วไม่ต้องสะสมอะไร ใช้ส่วนกลาง ใช้สาธารณโภคี ไม่ต้องไปสะสมอะไร สบาย ไม่ต้องแบกต้องหาม ไม่ต้องมานั่งคิดบัญชี เรื่องบัญชีที่จะต้องคิดตามธรรมตามสัจจะ ก็ให้ผู้ที่ต้องทำบัญชีเขาทำได้ ก็ต้องทำบ้าง ไม่ทำมันก็ไม่รู้ไปมาอย่างไรมันมีหรือไม่มี มีอยู่หรือไม่มีอยู่ มันก็ต้องศึกษา 

เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าทุกอย่างลงตัวตามคำสอนพระพุทธเจ้าไปเลยไม่ต้องสะสม เสร็จแล้วมาเป็นคนสุดท้ายเป็นวรรณะข้อที่ 9 วิริยารัมภะ ทุกคนขวนขวาย ตั้งใจพากเพียรมีชีวิต รู้ว่าขี้เกียจเป็นอบาย ซึ่งมันก็ไม่มีขี้เกียจแล้วพวกชาวอโศกอยู่ในนี้ ขี้เกียจมันน่าละอายจริงๆอยู่ในนี้ใครที่ขี้เกียจ ตัวเองรู้สึกตัวได้ก็จะละอาย จึงเป็นภูมิธรรมที่แท้จริง 

เป็นคนที่ วิริยารัมภะ ปรารภความเพียร ถึงจะมีเลือดขี้เกียจเป็นคนขี้เกียจหนักหนามาอย่างไร มาอยู่ที่นี่มันก็ต้องขี้เกียจไม่ได้ มันก็ต้องละอาย ละอายอย่างแรงกล้า เพราะมาอยู่ในหมู่นี้ เราจะเป็นคนหมาหัวเน่าอยู่ในนี้ มาขี้เกียจให้เห็นกันขึ้นขนอย่างนี้ เพื่อนก็ว่าเอาแย่อย่างนี้เป็นต้น 

ซึ่งมันเป็นพลังองค์รวมของหมู่กลุ่ม ที่ให้คุณขยันอยู่เสมอ พยายาม ท่านประยุทธ์ท่านแปลว่าระดมความเพียร วิริยารัมภะ ระดมความเพียร ก็ใช่

วรรณะ 9 เป็นคุณลักษณะคุณวิเศษอันน่ามหัศจรรย์ ของมนุษย์ ในยุคพระพุทธเจ้าทำได้ ในยุคนี้ก็ทำได้ แสดงว่าพุทธศาสนานี้มีฤทธิ์ แม้ในยุคนี้ก็ทำได้ เปิดเผยความจริงอธิบายความจริงนี้ คนยังมีดวงตา มีธุลีในดวงตาน้อยก็เห็นก็จึงได้มาเอา แม้ว่าจะมีน้อยคนกว่าในยุคพระพุทธเจ้า ก็แน่นอน คนที่จะมีบารมีย่อมมีน้อยลง เพราะศาสนาก็เสื่อมไปเรื่อยๆ คนเสื่อมจากศาสนาพุทธไปเรื่อย จนสุดท้ายมันก็จะหมดไปเลย 

แม้แต่ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่า โลกุตรธรรมจะไม่มีแล้วนะเป็น กลองอานกะ พูดย้ำซ้ำซากไปไม่รู้กี่ทีแล้ว เพื่อยืนยันความจริงอันนี้ แต่มันก็รื้อฟื้นขึ้นมาได้ เพราะศาสนาพุทธยังไม่หมดเชื้อ ยังมีโลกุตระ

สู่แดนธรรม... วรรณะ 9 ก็ไปพิจารณาลาดลุ่มลึกไปได้อีกใช่ไหมครับ 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

 

อภิธรรมของศีลข้อ 1 ที่ชาวอโศกปฏิบัติได้ 

สมณะเดินดิน... ให้เห็นความลาดลุ่มลึก ของพระธรรมวินัย ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ง่ายๆ พระอาจารย์ส่วนใหญ่ก็อยากจะสอนในเรื่องสูงๆ เรื่องต่ำๆจะไม่ค่อยอยากอธิบาย การที่จะสอนอย่างพ่อท่านได้จะต้องเป็นคนที่ไม่มีอัตตา ส่วนใหญ่อาจารย์เขาก็จะสอนแต่เรื่องสูงๆพานั่งหลับตาบรรลุไปเลย ซึ่งมันไม่เป็นไปตามลำดับขั้นอันน่าอัศจรรย์ เอาแต่ตัวสูงๆมาสอนกัน แต่ที่เขาสอนไม่ให้มีตัวตน เมื่อสอนเสร็จก็ไปฉลองอบายมุข บางคนก็ยังดื่มเบียร์อะไรอยู่ มันย้อนแย้ง ยังติดในอบายมุขหยาบๆอยู่ เวลาสอน พูดกันเรื่องหมดตัวหมดตนทั้งนั้น จึงเป็นการกลับหัวกลับหางไปหมด ไม่เป็นลำดับเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายอยู่ตลอด 

พ่อครูว่า... มีลำดับ  เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย มาตลอดจริง คนที่สอนสูง โดยไม่มีพื้นฐานเป็นที่ตั้ง คนนั้นสูงขาลอย สูงเพ้อๆ สูงฟุ้งซ่าน สอนสูงที่เป็นจริงไม่ได้ 

คนที่มีปฏิภาณปัญญาจะรู้ว่า ถ้าคุณไม่มีที่ตั้งเป็นพื้นฐานอย่างแข็งแรง คุณจะสูงไปอย่างไรก็สูงไปไม่ได้มาก สูงไปไม่ได้จริง  ต้องมีพื้นฐานเป็นที่ตั้ง 

เข้าใจสัจจะที่พูด ต้องมีพื้นฐานเป็นที่ตั้งให้ได้ คนไม่มีศีลเป็นพื้นฐานเป็นที่ตั้ง แล้วก็ไม่มีลำดับ อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่มีพื้นฐาน ขาลอย พวกเพ้อพก พวกจินตนาการ อยู่ในห้วงแห่งจินตนาการ เป็นศาสนาที่ไร้ความจริง ศาสนาที่ไม่มีเนื้อความจริง เป็นแต่ความคิด เป็นความฝัน  เป็นแต่ความฟุ้งซ่านตรรกะทั้งนั้นเลย 

สมณะเดินดิน... มีคนอุปมา ถ้าคุณคิดอยากจะรวย อยู่เฉยๆคุณจะรวยได้หรือเปล่า ถ้าคิดเป็นพระอริยะเป็นพระอรหันต์มันยากยิ่งกว่าเป็นรวยใช่ไหมครับ แต่ถ้าคุณไม่มีข้อปฏิบัติอย่างไรเลย ให้คิดอย่างไร ก็ไม่มีทางได้เป็นพระอรหันต์ 

พ่อครูว่า... เปรียบเทียบทางโลกๆ ก็ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างที่ว่าแล้ว

ยิ่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่าความมหัศจรรย์ข้อที่ 1 ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นมีลำดับ ก็พูดถึงเมื่อกี้แล้วว่า ต้องมีพื้นฐานเป็นที่ตั้ง ถ้าไม่มีพื้นฐานการติดตั้งอย่างแข็งแรง คุณจะเจริญขึ้นไปให้สูงอย่างไรก็ เป็นเรื่องเพ้อเจ้อเป็นเรื่องเพ้อพก พวกขาลอยทั้งนั้น วันหนึ่งก็ล้มคว่ำ

ถ้ามีพื้นฐานเป็นที่ตั้งอย่างแข็งแรงแล้วมันไม่มีล้ม เพราะฉะนั้น ศีลเป็นพื้นฐาน ต้องเรียนรู้รายละเอียดของความเป็นจริงที่ว่า 

ศีลข้อที่ 1 หมายความว่าอะไร ประพฤติอะไร ประพฤติแล้วจะได้ผลอะไร 

เอาคำตรัสของพระพุทธเจ้ามาอธิบาย ง่ายๆไปเรื่อยๆ

_ศีลข้อที่ 1  พระสมณโคดม ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่.

ศีลข้อที่ 2 พระสมณโคดม ละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้ ต้องการแต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เป็นผู้สะอาดอยู่.

ศีลข้อที่ 3 พระสมณโคดม ละกรรมเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกล เว้นขาดจากเมถุนอันเป็นกิจของชาวบ้าน.

พ่อครูว่า... เอา 3 ข้อนี้มาสาธยาย 

พระสมณโคดม ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่.

อาตมาอ่านเนื้อความคำตรัสคำสอนของพระพุทธเจ้าอันนี้นี่เป็นพื้นฐาน เป็นพื้นฐานของการศึกษาเป็นพื้นฐาน มีพื้นฐานที่เป็นที่ตั้ง ในการศึกษาศาสนาพระพุทธเจ้า 

พระพุทธเจ้าสอนให้ คำนึง ให้มาเรียนรู้การเกี่ยวข้องกับสัตว์เป็นข้อต้น แต่คุณก็ไปเรียนปรมัตถ์ ไปเรียนอภิธรรม ไปเรียนอะไรต่ออะไรที่สวยหรูสูงส่ง เป็นเรื่องความรู้ขั้นสูงเขาเรียนกัน ไอ้นี่เขาถือว่าเป็นขั้นต่ำ ถือว่าศีลเป็นขั้นต่ำ ไม่ใช่ขั้นของปัญญาชน เป็นขั้นของกรรมกร เป็นขั้นของคนยังไม่ไปไหนเลย จึงต้องมาพูดถึงศีลอยู่ 

จริงๆแล้วคำว่าสัตว์ คือมนุษย์หรือคือสัตว์ในระดับคน 

สัตว์เดรัจฉานนั้นช่างหัวมันเถอะ ปล่อยมันไปตามยถากรรม อย่าไปยุ่งไปเกี่ยวอะไรกับมัน ไม่ต้องเอามากินไม่ต้องไปเกี่ยวเลย เพราะทุกอย่างมันมีกรรมวิบาก คุณจะไปสร้างกรรมวิบากกับสัตว์ทั้งหลายทำไม เก่าๆก่อนๆคุณก็ทำมานักต่อนักแล้ว เพราะฉะนั้นชาตินี้คุณเลิกได้เลยเกี่ยวกับสัตว์ทั้งหลายแหล่ คนไม่รู้บอกเขาไม่ฟังก็ช่างเขา เราไม่ต้องไปเลี้ยงไม่ต้องไปช่วยเหลือ ไม่ต้องไปอะไรต่ออะไร อาจจะช่วยบ้างเล็กๆน้อยๆ ที่มันน่าสังเวชน่าสงสาร ซึ่งก็เป็นเรื่องสุดวิสัยจำนนจะต้องช่วยเหลือก็แล้วไป แต่ก็ไม่ต้องหรอกเพราะวิบากของใครก็ของใคร ถ้าคุณเข้าใจเรื่องกรรมวิบากได้ดี 

มาเกี่ยวข้องกับสัตว์ที่เป็นคนนี่แหละ เพราะฉะนั้นท่านบอกว่าอย่าฆ่าสัตว์อันนี้ก็คือ อย่าฆ่าคน เกิดมาเป็นคน อย่าฆ่าคน เพราะฉะนั้นผู้ที่มาบวชแล้วฆ่าคนก็ปาราชิกเลย ฆ่าคนนี่ปาราชิกเลย เมื่อมาบวช ปาราชิกคือ ไล่ออกจากศาสนาพุทธไปทั้งชาติเลย ชาตินี้ไปไกลๆเลยอย่ามายุ่ง ถ้าจะมาศึกษาก็ไล่ออกไปไม่ให้ฟังคำสอนเลย แต่ทุกวันนี้เขาไม่รู้เรื่องกันแล้ว อยู่ด้วยกันกับพวกปาราชิกเน่าเหม็น เละเทะไปหมด อาตมาถึงบอกว่าอยู่ด้วยไม่ได้ต้องลาออกมา ที่พูดไปนี้จริงๆนะ จะหาว่าหยิ่งผยอง ถือดีถือตัวก็ตามใจ 

เพราะฉะนั้นการมาศึกษาข้อแรก เลิกเลยเรื่องฆ่าสัตว์ข้อเดียวคำเดียวนี้แหละเลิกฆ่าสัตว์ คนไม่ฆ่าสัตว์เล็กสัตว์น้อย คนก็ไม่ฆ่า ข้อเดียวนี้โลกจะสงบขนาดไหน นอกจากไม่ฆ่าแล้วอยู่ด้วยกันอย่างมีความเอ็นดู กรุณา หวังประโยชน์เพื่อสัตว์หรือเพื่อคนด้วยกันนี่แหละ หวังประโยชน์เพื่อคนทั้งปวงอยู่ คิดดูสิว่าสังคมจะเจริญแค่ไหน ยิ่งกว่าเจริญโภคภัณฑ์ด้วยนะ จริง เจริญยิ่งใหญ่เลย 

แม้แต่แค่ ศีลข้อเดียวข้อ 1 นี่ ปฏิบัติให้จริงให้ซาบซึ้ง ให้เข้าใจลึกซึ้งเลยว่า สัตว์เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ก็ท่องก็พูดกันนะ สัตว์คือเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น 

ก็เดี๋ยวจะไปกินข้าวแล้ว กินแกงวัวแกงควายแกงไก่แกงเป็ดแกงปูแกงปลา กินกันอยู่นั่นแหละ เพื่อนกินเพื่อน

พระพุทธเจ้าถึงมีอุทาหรณ์เรื่องการกินเนื้อลูก คนเป็นความงมงายของคนขนาดนั้น กินเนื้อลูก ฆ่าลูกกินแล้วก็ไม่รู้ไม่ชี้ แล้วบอกว่าลูกน่ารักของเราหายไปไหน ก็บ้า ทำเป็นเนื้อเค็มกินก็ยังถามว่าลูกไปไหน คือ มันโง่งมงายจนไม่รู้ว่ากรรมที่ฆ่าลูกตัวเองกินอยู่หลัดๆ

อุทาหรณ์ของพระเจ้าสุดแสบจริงๆ มันจะโง่ไปถึงขนาดในมนุษย์มนา อย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าศาสนาพุทธทุกวันนี้ 2,500 กว่าปีแล้ว มันได้เสื่อม มันได้เพี้ยนไป เพราะว่าลาภยศสรรเสริญ เป็นอันตรายแสบเผ็ดแก่การประพฤติพรหมจรรย์ หรือเป็นอันตราย อันแสบเผ็ดของพระอรหันต์ ต้องเลิกออกมา ขนาดพระพุทธเจ้าเองท่านยังไม่เอาเลย คุณเก่งกว่าพระพุทธเจ้าได้อย่างไร ไปอยู่กับลาภยศสรรเสริญ เก่งอย่างไร 

เพราะฉะนั้นมันคือความไม่รู้ ไม่รู้ฤทธิ์เดชอันแสบเผ็ดของลาภยศสักการะสรรเสริญ เป็นอันตรายแสบเผ็ดของผู้ที่จะปฏิบัติเพื่อเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดให้เหม็นขี้ฟันเลย กับพวกที่แบกลาภยศสรรเสริญในสังคม แล้วตัวเองบอกว่าจะปฏิบัติพระพุทธเจ้าให้สัมมาทิฏฐิไปสู่นิพพาน พูดเรื่องนิพพาน เมื่อเราอธิบายนิพพานก็หาว่าไม่ใช่ เขาก็บอกว่าต้องอย่างเขา พูดอย่างนั้นก็เหม็นขี้ฟันกันเท่านั้น 

ขออภัยที่อาตมาพูดชัด ภาษามันตีทิ้ง ภาษามันไปลบหลู่ ซึ่งสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็ต้องลบหลู่ นิคฺคเณฺห นิคฺคหารหํ ปคฺคเณฺห ปคฺคหารหํ  ควรข่มคนที่ควรข่ม  ยกย่องคนที่ควรยกย่อง 

พอจะมายกย่องทีไรก็มายกชาวอโศก พอจะข่มก็ต้องข่มผู้ที่ไม่ถูก สิ่งที่ไม่ถูก ซึ่งพูดที่ไรมันก็ถูกอย่างนั้น 

ผู้ที่แสวงหาไม่มีอคติในใจก็จะรู้ว่า อ๋อ.. อย่างชาวอโศกนี้ถูกต้องที่สุดเลย ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้เช่นนี้จริงๆเลย ผู้แสวงหาแล้วไม่มีอคติ จะมา 

ผู้ที่ยังมีอคติ ยังมีอวิชชา จิตยังไม่ค่อยรู้เรื่อง ยังงมงายอยู่ ติดในลาภยศสรรเสริญ เขามาไม่ได้หรอก นอกจากมาไม่ได้ก็มองพวกเราเป็นพวกที่ผิด ซึ่งมันเป็นสัจจะนะไม่รู้จะว่าอย่างไร เขาก็ต้องเป็นอย่างนั้น  เขาก็ต้องรู้สึกอย่างนั้น เขาก็ต้องเห็นอย่างนั้น 

สู่แดนธรรม... เป็นผลดีกับเราด้วย เพราะว่าถ้าคนอย่างนั้นมา เราก็ต้องเป็นภาระ

พ่อครูว่า... เพราะว่าหากได้คนที่ติดยึดอย่างนั้นมาเราก็จะยาก ยิ่งจะแย่เลยนะ 

เพราะฉะนั้นในศีลข้อที่ 1 ข้อเดียว ใครจะบอกว่าอาตมาไม่พ้นไปไหน อธิบายอยู่แค่ศีล นั่นแหละ อาตมาอธิบายอภิธรรมในศีล เป็นขั้นความรู้ที่เข้าไปถึงจิต เจตสิก รูป นิพพานในศีลนี่แหละ 

สู่แดนธรรม... กิมัต แปลว่า อย่างไร สนธิกับคำว่าอัตถะ ซึ่งแปลว่าประโยชน์ คือได้ประโยชน์อย่างไรในการรักษาศีล 

พ่อครูว่า... อานิสงส์ของศีล การปฏิบัติศีลไปสุดยอดเลย รวบจบเลยก็ได้ ถึงข้อที่ 10 ประโยชน์ของการรักษาศีลก็คือวิมุตติญาณทัสสนะ มันคือข้อที่ 10 เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่มีศีลเป็นพื้นฐานเป็นที่ตั้ง วิมุตของคุณก็เป็นวิมุติที่ไม่มีศีลเป็นที่ตั้ง มันจึงเป็นวิมุตขาลอย เป็นวิมุตเพ้อเจ้อ เป็นวิมุตตรรกะ เป็นวิมุตไม่มีพื้นฐานอะไรเลย คุณก็เป็นขอมดำดินไม่รู้มาจากไหนโผล่แล้วก็มีวิมุต มุดแลัวก็โผล่มา

ปฏิบัติศีล ไปเพื่ออะไร การได้อานิสงส์ 10 ของศีล .

ปฏิบัตินั้นเป็นไปเพื่อจิต ไม่ใช่ปฏิบัติศีลเป็นไปเพื่อกายวาจาเท่านั้น นี่เขาสอนกันอย่างนั้นก็เป็นการลบล้างคำสอนพระพุทธเจ้าเท่านั้น 

กุสลานิ  สีลานิ  อนุปุพเพนะ  อรหัตตายะ  ปูเรนตีติ 

ศีลที่เป็นกุศล ย่อมยังอรหัตผลให้บริบูรณ์ไปตามลำดับ
    1. อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) แน่นอนการปฏิบัติควบคุมกายวาจาต้องปฏิบัติมาเป็นพื้นฐานเริ่มต้นมาก่อน แต่อานิสงส์หรือผลประโยชน์จากการปฏิบัติศีลต้องถึงใจ กายกับวาจานั้นมันเป็นของที่คุณต้องทำก่อน คุณจะออกไปโรงเรียน คุณจะออกไปข้างนอก คุณต้องนุ่งผ้า คุณไม่นุ่งผ้าแล้วคุณก็ต้องไปเป็นพวกเชน แก้ผ้าโทงๆ พวกนี้ก็สุดโต่ง 

ของพุทธเจ้าไม่ใช่อย่างนั้นต้องรู้สังคม ต้องรู้จักกาละ เทศะ ฐานะ การปฏิบัติศีลแล้วอานิสงส์ก็คือ ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ 

เอาตั้งแต่ข้อต้น ไม่ฆ่าสัตว์ คุณไม่ฆ่าสัตว์นี่แหละ สัตว์หรือตัวจริงก็คือมนุษย์นี่แหละ สัตว์มนุษย์นี่แหละ ฆ่ากันในปัจจุบันนี้อย่างน้อยคุณก็ต้องติดคุก เดือดเนื้อร้อนใจไหมหรือว่าคุณติดคุกก็สบายใจ ข้าวมีกิน สบายอยู่ในคุก นี่ก็คือเรื่องของคนที่ไม่มีทางไป ในนิยายของใครที่แต่ง เขียนเรื่องสั้น 

คนไม่มีทางไป เขาก็พยายามที่จะทำผิดเพื่อที่จะให้ตำรวจจับ แล้วก็จะได้เข้าคุกไปเขาจะได้มีทางอาศัยอยู่สบาย พยายามไปขโมย แย่งอาหารเขากิน เพื่อที่ตำรวจจับก็ปล่อยเฉย ไปทำอะไรต่างๆนานาสารพัดทำอะไรที่จับผิด ก็ไม่มีใครมาจับสักที คนแต่งชื่อ Henry เป็นนักประพันธ์ตีหัวเข้าบ้าน สุดท้ายทำอย่างไรตำรวจก็ไม่จับ เมื่อย ก็เลยเข้าไปนอนอยู่ในสวนสาธารณะ มันมีม้านั่ง นอน ไปนอนสบาย ทำผิดแล้วตำรวจอย่างไรก็ไม่จับ แต่เมื่อไปนอนพัก ตำรวจก็มาจับ เพราะว่าผิดกฎ ไปนอนในม้านั่งสาธารณะ ตำรวจก็จับ 

เป็นเรื่องสั้นที่เขียนหักมุม 

พระพุทธเจ้าให้เอาเรื่องของมนุษยชาติด้วยกัน บอกแล้วในศีลข้อที่ 1 มีเมตตากรุณาเอ็นดูหวังประโยชน์ต่อกันและกัน ถ้าคนทั้งโลกมีศีลข้อ 1 ข้อเดียว ก็ไม่ต้องไปคิดสร้างอาวุธมาเข็นฆ่ากัน วางแม้แต่ไม้หน้าสาม ที่เป็นอาวุธ ไม่ต้องไปสร้างปืนผาหน้าไม้ ลูกระเบิดอะไรหรอก แม้แต่ไม้หน้าสามก็เป็นอาวุธได้ หลาวแหลนก็เป็นอาวุธได้ ไม่เอา วางหมด มีความเมตตา มีความกรุณาเอ็นดู หวังประโยชน์แก่กันและกันอยู่ เท่านี้แหละจบ ทั้งโลกเลย 

สู่แดนธรรม... อย่างนั้นอเมริกาคงรับไม่ได้เพราะเขาค้าอาวุธอยู่ 

พ่อครูว่า... อเมริการับไม่ได้เพราะเขาค้าอาวุธ คือ มันเป็นความคิดที่ดี คนสร้างอาวุธก็อย่างที่ว่า คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ 

อันนี้ไม่ได้ไปแกล้งว่า แต่เป็นเรื่องจริงๆเลย คือเป็นความคิดที่ต่ำมากเลย สร้างอาวุธมาฆ่ากัน คือไม่ได้รู้เลยรู้เรื่องเลยว่า ฆ่ากันทำไม มีอะไรแบ่งกันได้ก็แบ่งกัน นั้นคือจิตชั้นสูงของคน เพราะฉะนั้นคนจะสูงได้ก็ต้องมีความรู้จริงว่า เออ.. เกิดมาเป็นคนด้วยกัน เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น 

ศาสดาก็มีสอน แต่ทำไมไม่สอนถึงเรื่องของชีวะ ชีวิต แล้ว อย่าไปฆ่ากัน วางศาสตราวางอาวุธ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านให้เลิกเสียจริงๆ ถ้าทำอย่างนี้ได้ทั้งโลก หวังประโยชน์เพื่อกันและกัน หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ซึ่งมันเป็นสัจจะ เท่านี้แหละจบแล้ว เรื่องทั้งโลกเลย ศีลข้อเดียวนี่ ไม่สร้าง ไม่มีอาวุธกันเลย 

สู่แดนธรรม... ที่เขาทำผมว่ามันมาจากทิฏฐิ

พ่อครูว่า... มันมาจากอวิชชา มันมาจากความไม่รู้ มันหนักยิ่งกว่าทิฏฐิอีก ความไม่รู้เลย ว่าเกิดมาเป็นมวลมนุษย์ด้วยกันในโลก จะต้องอยู่ด้วยกันให้ได้ อยู่ด้วยกันอย่างมีเมตตากรุณา มุทิตา อย่างแท้จริง 

เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธมีคำสอนอันนี้ชัดเจน แล้วเข้าใจและเห็นจริง จึงประพฤติจริง แล้วใครประพฤติจริง ก็คือชาวพุทธประพฤติจริง ชาวพุทธในเถรสมาคมประพฤติจริงไหม จริงบ้างไม่จริงบ้าง ไม่จริงเสียเยอะ ที่จริงๆก็คือชาวอโศก 

เมื่อประพฤติอย่างนี้กันได้จริง ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรา มีความละอายที่จะไปทำร้ายทำลายกัน 

ชาวอโศกที่เกิดความโกรธจะตบจะตีแค่นั้น แค่คิดก็ละอายกันแล้ว ก็ยับยั้งกัน ถึงไม่มีกรณี ไม่มีคดีที่จะเกิดอย่างนี้ให้ต้องพิพากษาต้องอะไรต่ออะไรกัน ในชาวอโศก 50 ปีมาแล้ว มีหมู่บ้าน มีชุมชน มีสังคม ไม่ได้มี แต่ถ้าอย่างทั้งโลกเขา โรงพักต้องบันทึกประจำวัน เดี๋ยวก็มาแล้ว มันด่ากัน มันฆ่ากัน มันตีกันยิงกัน โอย! เหนื่อยเลย

สมณะเดินดิน... สู่แดนธรรมเขาเป็นตำรวจชุมชน ก็ไม่มีงานทำเลย 

พ่อครูว่า... รัฐเขต ก็เป็นตำรวจชุมชนบอกว่าไม่มีงานทำเลย ทำไมสังคมนี้ไม่มีการทำร้ายไม่มีการฆ่ากัน ไม่มีตีกัน สังคมอะไรวะ 

สู่แดนธรรม... คอยดูแต่ไฟป่าจะมาไม่มา 

พ่อครูว่า... มีตำรวจเอาไว้ไล่ควายที่จะมากินพืชพันธุ์ธัญญาหาร ควายของชาวบ้านชาวช่องเขา ถ้าไปกินหญ้าก็ไม่ว่าอะไร แต่มากินพืชพันธุ์ธัญญาหารเรา ข้าวปลูกไว้ในกระถางเข้ามากินยอดหมดเลย (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะเดินดิน... เจ้าของบอกว่าควายมากินหญ้าที่นี่แล้วขับถ่ายสะดวกเพราะไร้สารพิษ 

พ่อครูว่า... สัจจะความจริงพวกนี้มันเกิดขึ้น แล้วเอามาปฏิบัติตามสัจจะที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ พิสูจน์ได้ ในยุคนี้ก็ยังพิสูจน์สัจจะธรรมได้ตั้งแต่ศีลข้อที่ 1 ก็มีคนปฏิบัติได้อย่างน่ามหัศจรรย์ 

ชาวอโศกซึ่งเป็นคนมหัศจรรย์ ปฏิบัติศีลข้อ 1 ได้ คนมหัศจรรย์ 

สมณะเดินดิน...สรุปจบ


 


เวลาบันทึก 15 มกราคม 2565 ( 05:18:45 )

650117

รายละเอียด

650117 รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 24 จากโสดาบัน 4 ไปถึงความมี ไม่มี อภิภู

https://www.boonniyom.net/51194.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/15jDR6JsTg7QftXG3UVJHE1tQy1sT6U6lq3HAPlOFqwQ/edit?usp=sharing 

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/18SpUhRWBeZb6WMhyeuRZvlou8y8vr2Tl/view?usp=sharing 

     และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/aB4-UOTpm6/

             และ    https://youtu.be/HXan_YOd12E 

สู่แดนธรรม...วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 17 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก คนฝากมาถามว่า คนนั้นคนนี้เป็นพระอรหันต์หรือไม่ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นไปเพื่อเกิดประโยชน์ลดกิเลสหรือไม่ 

พ่อครูว่า...ก่อนอื่นก็โชว์ผลผลิตบนโต๊ะนี้ หัวหอมหัวใหญ่ ผักกาดขาวหัวใหญ่ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)  มะเขือเปราะจากสวนปู่เถา 

SMS วันที่ 14 -16 มกราคม 2565

กฎหมายป้องกันรัฐบาลเก่าไม่ควรเอามาใช้กับประชาชนปฏิวัติผู้บริสุทธิ์ 

_แก้วตะวัน พวงบุบผา : กราบนมัสการพ่อครู ท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ..ขอส่งกลอนในรายการมองโลกมองธรรม เปิดใจ คุณไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ และคุณอมร อมรรัตนานนท์

วิบากกรรมได้ถูกแก้แค่ต้องรับ 

ถูกจับปรับจองจำคือกรรมเก่า 

แม้ทำดีเต็มสามารถเพื่อชาติเรา 

ก็อาจเศร้าเข้าคุกทุกข์ตามมา 

ขอกราบท่านผู้รักชาติศาสน์กษัตริย์

ทุกท่านชัดอุดมการงานมีค่า 

แม้ต้องโทษไม่โกรธเคืองประเทืองปัญญา

ท่านเป็นครูขอบูชาค่าควรเมือง 

พ่อครูว่า... ดีมากลอนนี้ก็ดีทีเดียว ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่พ้อกันอยู่ ทำดีช่วยชาติศาสน์กษัตริย์แต่ก็จะต้องไปติดคุกติดตะรางหาว่าผิดกฎหมาย ซึ่งกฎหมายนี้ รัฐบาลนั้นรัฐบาลนี้ออกมาป้องกันตัวเอง ถ้าเกิดไปต่อต้าน มันเหมือนพาซื่อเกินไป ไปต่อต้านรัฐบาลนั้นรัฐบาลนี้ก็ผิดกฎหมาย รัฐบาลนั้นเองออกกฎหมายป้องกันตนเอง เสร็จแล้วนัยยะสำคัญของมันก็คือ 

กฎหมายนี้รองรับอะไร… รองรับรัฐบาลที่เขาป้องกันตนเองเอาไว้ จริงๆแล้วมันเหมือนกับที่กฎหมายบอกว่า ห้ามปฏิวัติรัฐประหาร   แต่มันเป็นเรื่องสุดวิสัย มันเป็นเรื่องที่คุณจะเอากฎหมายห้ามอย่างไร เขาก็จำต้องปฏิวัติเพราะเขาก็ทนไม่ได้ เขาก็จะต้องทำ ในทำนองเดียวกันประชาชนก็ต้องทำ  ถึงออกกฎหมายอย่างไรเขาก็ต้องทำ แต่รัฐบาลนั่นแหละออกกฎหมายกันเอาไว้ว่าผิดกฎหมาย แล้วก็พากันซื่อตามกฎหมาย 

เมื่อประชาชนหรือคนที่เขาไปไล่รัฐบาลนั้นแล้ว รัฐบาลนั้นก็พ่ายแพ้ออกไปแล้ว ประชาชนก็เห็นดีเห็นงามกันแล้ว เปลี่ยนแปลงระบบเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่แล้วดีขึ้นดีแล้วชัดเจนแล้ว จะไปรื้อเอาไอ้ที่เป็นผิดกฎหมายของรัฐบาลเก่าที่ออกเอาไว้ เอามาใช้กับพฤติกรรมของประชาชนบริสุทธิ์ที่เขาทำเพื่อประเทศชาติโดยตรง แล้วก็ถูกต้องตามสัจจะด้วย เพราะว่ารัฐบาลนั้นควรให้ประชาชนไปไล่ออก มันเป็นสิทธิของประชาธิปไตย 100% ด้วย นี่แหละซ้อนอยู่ตรงนี้ 

อาตมาก็ว่าเออเนอะ ทำอย่างไรเขาจะชัดเจน ซึ่งก็ไปบังคับไม่ได้หรอก ผู้ที่เขามีสิทธิ์ที่จะพิจารณา พิพากษาอะไรต่ออะไรไม่ควรก็ทำไป เราก็ไปบังคับให้เขาเข้าใจอย่างที่เราเข้าใจไม่ได้เราก็ต้องเข้าใจอย่างที่เขาเข้าใจแล้วเขาก็ปฏิบัติไปตามที่เขาเข้าใจ ก็ถือว่าวิบากเก่าอย่างที่แก้วตะวันพวงบุบผาว่ามาก็แล้วกัน ซึ่งลึกๆก็คงเป็นเช่นนั้น

เหมือนอย่างอาตมา อาตมาเกิดมาชาตินี้ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆเลย และฟังดีๆนะไม่ใช่ว่าอาตมาเข้าข้างตัวเอง และอาตมาก็ไม่ได้ทำผิดอะไร แต่อาตมาก็โดนคดีอะไรต่างๆนานา จนสุดท้ายมันหมดเรื่องคดีแล้ว จนทุกวันนี้ อาตมาก็อิสระเสรีภาพ ก็ทำก็ว่าอะไรตามที่อาตมาจริงจัง ตามปรารถนาดีตามเจตนาที่ควรจะทำ มันก็ได้ผลนะ ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา เพราะว่าความจริงเท่านั้นแหละจะเป็น หรือความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะเป็นสิ่งที่ชนะในที่สุด 

ทำไมคนเราต้องเกิดมามีกิเลสด้วย

_คำถามเด็กว่า... หลวงปู่ครับ ทำไมคนเราเกิดมาถึงต้องมีกิเลสครับ 

พ่อครูว่า…ฟังให้ดีๆ กิเลสนี่คือความโง่ของสัตว์โลก สัตว์โลกคือตั้งแต่เกิดเป็นสัตว์เซลล์เดียวแล้วก็จนกระทั่งพัฒนาขึ้นมาเป็นสัตว์ที่โตขึ้น โตขึ้น โตขึ้นเป็นตัว เป็นตน เป็นรูปเป็นร่าง เข้ามาเป็นแมลงหวี่ เป็นไส้เดือน กิ้งกืออะไรมาเรื่อย จนกระทั่งเป็นสัตว์ 2 ขา 4 ขา สัตว์น้ำ สัตว์บก สัตว์ปีกอะไรมา จนกระทั่งมาเป็นคน เป็นคนก็ยังเป็นคนที่โง่ๆเง่าๆ ยังไม่ได้เจริญกว่าสัตว์เดรัจฉานเท่าไหร่ จนเจริญกว่าสัตว์เดรัจฉาน เจริญกว่าลิง เป็นต้น เจริญขึ้นๆมาเป็นคน 

เมื่อเจริญขึ้นมาเป็นคน มีความเจริญทางความคิดความอ่านและความรู้ ความรู้ในการเป็นสังคมที่จะอยู่ร่วมกันให้ดีที่สุด เป็นสุขที่สุด สงบที่สุด อบอุ่นที่สุด เป็นประโยชน์แก่กันดีที่สุดได้อย่างไร ก็มีผู้รู้คิด จนกระทั่งสูงสุดได้เป็นศาสดา ได้เป็นศาสดาหมายความว่าได้เป็นเจ้าของความรู้ ความคิด ที่ทำให้คนดีที่สุดเท่าที่ศาสดาแต่ละองค์จะเข้าใจ 

ละชั่วประพฤติดี เป็นคนดีที่สุดได้ แล้วเขาก็เป็นศาสดา แล้วก็มาสอนให้คนอื่นทำตามเป็นคนดีตามที่พระศาสดาจริงใจ พระศาสดาทุกคนก็จริงใจ ก็อยู่ดีเป็นสังคมแต่ละกลุ่ม ตามแต่ศาสดาแต่ละองค์เท่าที่แนวคิดของแต่ละศาสนาจะมีหลายศาสดา ในยุคเดียวกัน ยุคไหนๆก็ช่าง จะไม่มีศาสดาองค์เดียวที่เป็นเทวนิยมที่เป็นโลกียะอย่างนี้ จริงๆนะจริงใจแต่ละศาสดา จริงใจไม่มีการแฝง ด้วยเรื่องไม่ดีอะไรเลย มีแต่ความจริงที่ดีบริสุทธิ์ 

หรือก็เก่งตามแนวแต่ละศาสดาก็จึงต่างกัน เช่น ที่มีอยู่ทุกวันนี้ ก็มีศาสดาที่เป็นชาวศาสนาหลายศาสนาอยู่ในโลกใหญ่ๆเล็กๆ เป็นสิบๆเป็นร้อยๆศาสนา แต่ใหญ่ๆจริงๆก็มี เห็นๆที่รู้ๆกันอยู่ 2-3 ศาสนา 

จะมีศาสนาที่เป็นอนัตตา เป็นไม่มีตัวตนอยู่ 2 ศาสนาในโลก คือศาสนาพุทธกับศาสนาเชน ศาสนาพุทธกับศาสนาของพระมหาวีระ หรือศาสนาเชน ศาสดาพระมหาวีระ 

ศาสนาเชนนั้น สุดโต่งไปไกลลิบ ทั้งสัตตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิ ไม่มีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สุดโต่งไปทางความไม่มี ไม่มีอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเลย 

เพราะฉะนั้นในชีวิตของคนศาสนาเชน จึงจะไม่อินังขังขอบกับอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าวัตถุไม่ว่ามนุษย์ ไม่ว่าสัตว์ทั้งหลาย แต่รู้ว่าสัตว์มีวิบาก เพราะฉะนั้นก็จะไม่สร้างวิบาก จะไม่ทำร้ายสัตว์ใดๆเลย สัตว์ขนาดใหญ่ขนาดเล็กที่สุดแค่ไหน ก็ไม่พยายามเบียดเบียนทำร้าย อย่างเด็ดขาด 

เพราะฉะนั้นจะต้องรักษาสภาพความรู้สึกตรงนั้นไว้ จะต้องปล่อยวางหมด ไม่เอาอะไรไม่เป็นอะไรไม่ติดไม่คิดอะไรทั้งนั้นเลย มีชีวิตอยู่ก็กินๆอยู่ๆ กินให้น้อยที่สุด อยู่ให้หยุด อยู่ให้ไม่ต้องมีอะไรที่สุดเลย หนีเข้าป่า ไม่พบกับใคร นอกจากจะมีความจำเป็นต้องมาหาผู้คนที่จะต้องหาอะไรไปกินไปใช้ที่แต่ละผู้แต่ละคนต้องการก็มาหาไป 

เสร็จแล้วเขาก็จะต้องตาย เขาจะต้องตายชนิดที่ว่า ตายอย่างปล่อยวาง ไม่มีอะไรทั้งหมดเลย อย่างสุดโต่ง สาหัสสากรรจ์ที่สุด ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าตายอย่างที่ไม่มีอะไรที่สุดนั้นเป็นอย่างไร เขารู้แต่ว่า กรรมวิบากมันเวียนวนซ้ำซาก เขาก็ไม่ทำกรรมอะไรอีกเลย  เป็น    อกรรมกิริยา ไม่ทำกรรมอะไรอีกที่จะเป็นวิบากกรรมกับสัตว์ใดเลย แม้แต่สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่  สัตว์เล็กที่สุด เขาก็จะมีไม้ ไม้ปัดเบาๆอ่อนๆละเอียด จะนั่งจะพักที่ไหน ก็กลัวจะไปทับสัตว์ต่างๆ 

แล้วอะไรมันจะมาทำ ตัวเองก็ยอมหมดไม่ทำโต้ตอบด้วย แล้วก็มีชีวิตอยู่ต่อไปจนกระทั่งที่สุดก็ตาย ตายแล้วก็ถือว่าเขาจบแล้ว สูญเลย ถือว่าอย่างนี้คือสูญแล้ว เป็นนิพพานแบบของเขา เป็นนิพพานแบบพระมหาวีระคือศาสนาเชน เป็นความเข้าใจแบบเชน 

นั่นคืออนัตตาแบบพระมหาวีระหรือแบบศาสนาเชน กับศาสนาพุทธที่เป็นอนัตตา แตกต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญมาก 

ศาสนาพุทธนั้นรู้จักความมีกับความไม่มี อย่างแท้จริง ไม่ต้องไปตรรกะ ไม่ต้องไปคิดเอาไปไกลจนกระทั่งชนิดที่มันไม่มี ไม่มีอย่างจินตนาการอย่างที่ศาสนาเชนจินตนาการ เราไม่เอาจินตนาการ แต่เอาความไม่มีให้รู้ให้เห็น ให้รู้ให้เห็นกับธาตุจิตหรือธาตุจิตวิญญาณที่สัมผัสแล้วเกิดอะไรมี แล้วเราก็ศึกษาความมีนั้น จากจิตวิญญาณเราเองอีกนั่นแหละ แยกมาเป็นเจตสิกให้รู้ว่าความไม่มีในสิ่งที่เราไปยึดว่ามีนี้คืออย่างไร 

ภาษาพูดพูดได้เท่านี้ ผู้ปฏิบัติก็จะต้องไปปฏิบัติเอง โดยไล่ไปตั้งแต่หยาบๆ เช่น กิเลสราคะเป็นอาการอย่างนี้ กิเลสโทสะเป็นอาการอย่างนี้ กิเลสโมหะ โมหะก็คือความยังไม่รู้ว่ามันเป็นโทสะหรือมันเป็นราคะ ละเอียดขึ้นละเอียดขึ้นโมหะ 

พอเก่งอย่างหยาบๆ ราคะหยาบ โทสะหยาบ แล้วก็ชัดเจนแล้วว่าจิตที่เป็นอาการโทสะ อาการราคะของเราที่เป็นคู่กันที่จริงผลักกับดูด มันไม่มีแล้วมันเป็นกลางๆแล้ว เป็นจิตกลางกลาง 

ถึงแม้มันมีในโลกคนอื่นเขามีให้เห็นตำตาอย่างไร เราก็เห็นว่าคนเขายังมีอยู่ คนอื่นเขาต้องมีอยู่แน่เพราะเขาไม่ได้ล้างเหมือนเรา เราก็รู้ความมีกับความไม่มี โดยไม่เข้าไปยึดถือความมีหรือความไม่มีในขณะที่เรายังมี ไม่เข้าไปมี ไม่เข้าไปใกล้ ไม่เข้าไปยึด ไม่เข้าไปเป็นในความมีกับความไม่มี 2 อย่างนี้ ในขณะที่เรายังมีความรู้อยู่เป็นๆนี่ เรียกว่า อนุปคัมมะ 

คนๆนี้แหละเป็นคนที่ จบกิจด้วยมัชฌิมา เป็นคนกลางที่สุดแล้ว แล้วกลางอย่างมี กลางอย่างไม่หลงว่า คุณมีนี้นะ ไม่ใช่คุณไม่มีตามความคิดตรรกะเหมือนเชน ไปไม่มีตามความคิดตามตรรกะทางศาสนา ไปไม่มีสุดโต่ง แล้วมันจะเป็นยังไงจินตนาการไปเฉยๆ มันมีความจริงยืนยันขณะที่มี และมีอันนี้คือมีอย่างลึกซึ้งตรงที่ท่านรู้ เรียนแยกธาตุวิญญาณ 

เป็นเจตสิกต่างๆที่สุด เจตสิกที่มันยึดมั่นถือมั่นอยู่ก็คือเวทนา เป็นธาตุนามธรรมตัวแรกของขันธ์ 5  รูป เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ 

เพราะฉะนั้นเวทนาตัวแรกนี้รู้สึก รู้ รับรู้ มีรู้ขึ้นมา เพราะฉะนั้นเมื่อมันรู้ก็มีไม่รู้กับรู้ เราก็เรียนความรู้ ที่ไม่มี รู้ที่ไม่มีสิ่งที่เราจะยึดถือว่าเป็นเรา พระพุทธเจ้าท่านจะจบว่า ไม่ยึดเป็นเราไม่ยึดเป็นของเรา ภาษาก็มีเท่านี้ ผู้ที่ปฏิบัติมีภูมิธรรมถึงขนาดนี้ จึงจะรู้ความจริงตามความเป็นจริงด้วยตัวเอง โดยที่ไม่ต้องเชื่อแม้แต่พระพุทธเจ้า เพราะเราเป็นเองจริงเองแล้ว โดยไม่ต้องเชื่อใคร นี่สูงสุด 

เพราะฉะนั้นผู้ที่ปฏิบัติได้อย่างนี้จึงรู้จักอนัตตา ความไม่มีตัวตน โดยใช้ภาษาว่าตัวตน เป็นภาษาไทย 

ตัวตนก็ซ้ำมาจากภาษาบาลีนั่นแหละคือตน ตะ นะ ตน ตนคือพยัญชนะ 2 ตัว ต กับ น 

ต ก็คือตั้ง ตั้งอยู่นี่แหละ 

น ก็คือไม่มี 

ฉะนั้นสิ่งที่ไม่มีก็คือสภาพ 2 ของทุกสิ่งที่มีความมี ตั้งอยู่กับไม่ ตั้งอยู่กับไม่ตั้ง ไม่มี มีกับไม่มีนี่แหละ แต่มันเป็นพยัญชนะตัวต.ตอ กับ ตัว น.นอ ถ้าเรียกอย่างบาลีก็ ตะ กับ นะ เท่านั้นเอง

2 ตัวนี้แหละรวมเรียกว่าเป็น อัตตา

อัตตาก็คือ สภาพมุมเหลี่ยมของสิริมหามายา อัตตาคือ อะ หรือ อัตตะ กับ ตต 

อัตตะหรืออัตตา อัตตะคือ เอกพจน์ อัตตาคือพหูพจน์ อะคือไม่ ต ต คือตั้งอยู่เป็น 2 

นั่นคือเป็น 3 ลักษณะ อัตตา แต่ ตน มีแค่ 2 ตัว 

ที่เอา น มาใช้ กับ อะ มาใช้ อตต กับ ตน 

อะ เป็นสระ บางเบายิ่งกว่าพยัญชนะ แม้แต่เศษวรรคก็ไม่ใช้ 

แต่ น นี่เป็นพยัญชนะ ก็ใช้แค่ 2 ตัวก็พอคือ ตน 

แต่ อัตตา ต้องใช้ อ กับ ตต 

ฟังเข้าใจไหมเด็กๆ ผู้ใหญ่เข้าใจไหม 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

คนเราอาศัยสองสิ่ง คือความมีกับความไม่มี

สู่แดนธรรม... สรุปว่าทำไมคนเราเกิดมาต้องมีกิเลส..ก็เพราะว่าดวงจิตคนที่เกิดมา ยังไม่สามารถชำระให้หมดความไม่มีได้ เกิดมาศึกษา..

พ่อครูว่า... เป็นคำสองคำที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า คนต้องอาศัย 2 สิ่งคือความมีกับความไม่มี เป็นสิ่งที่เรียนรู้ไปจนกระทั่งจบ ไม่จบก็ไม่จบอยู่ที่ความไม่รู้ความมีแต่ความไม่มี 

ถ้ารู้ความมีกับความไม่มีเสียแล้ว ชัดเจนว่าจบว่ามีเป็นอย่างนี้ไม่มีเป็นอย่างนี้ แล้วเราก็ทำความไม่มีได้ เหมือนอย่างที่ท่านตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43 

ความมีเป็นอย่างนี้ ความไม่มีเป็นอย่างนี้ แล้วท่านก็บอกว่า อ๋อ ความมีนี้กับความไม่มีเพราะฉะนั้นเราก็ทำความไม่มีได้ 

เสร็จแล้วมามีความไม่มี เอ๊..อย่างไร

จบด้วยความไม่มีเหมือนกัน ทำให้เกิดความไม่มีให้ได้ แล้วก็มามีอีกทีนึง แต่ก็จบด้วยความไม่มี 

สุดท้ายก็จบด้วยความไม่มี ไม่มีคือไม่มีอะไร ก็ได้ขยายความไปหมดแล้ว 

ไม่มี คือ การทำธาตุจิตวิญญาณนี้ให้สลาย ธาตุรู้นิสัย เป็นอุตุเป็นดินน้ำไฟลมไป

ทำได้ตั้งแต่ตอนเป็นๆ แต่เราไปยึดถือในโลก โลกที่เป็นอบายมุขโลกหยาบๆ ต่อไปมีเวทนานี่แหละไม่มีความสุขความทุกข์มีความเป็นความมี จนกระทั่งเลิกไม่สุขไม่ทุกข์ไม่ต้องเป็นไม่ต้องมีเลยกับสิ่งนั้น หยาบ กลาง ละเอียด 

จากนั้นมาเป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเราก็ทำได้อีก ละเอียดมาเป็นรูปเราก็ทำในภวตัณหา รูปเราก็ทำได้อีก เหลือบางเบาเป็นอรูป เราก็ทำได้อีกหมดเลย พยัญชนะมันก็มีสื่อได้แค่นี้ 

ผู้ที่รู้จักสภาวะ ทำได้เป็นจริง มีของจริง เป็นลำดับๆ เป็นลำดับลำดา ไปจนถึงขั้น อรูป ก็จะรู้ความจริง ตามความเป็นจริงแล้วปฏิบัติได้หมดถึงขั้น อรูป 

อาตมาพูดนี้ไม่ได้เอามาจากตำรา  แต่เอามาจากตัวเองที่มีสภาวะพวกนั้น แล้วมาพูดสู่พวกคุณฟังได้ จากสภาวะที่มีจริงของตนเอง พูดอย่างมั่นใจ พูดอย่างชัดเจน พูดอย่างละเอียด ละเอียดขนาดนี้ ผู้ฟังก็ตาม ตามความหมายจากพยัญชนะและก็เอาไปปฏิบัติเอง ก็จะรู้เองตามนั้น 

ขยันแต่โง่ กับ โง่แต่ขยัน แตกต่างกันหรือไม่ 

_สู่แดนธรรม...พ่อท่านครับเรื่องนี้ยังมีคนมาถามอีก 

ผู้ใหญ่ฝากมาถาม ในความที่มีอยู่นี้คือมีความขยัน อยากจะทราบความหมายที่มันแตกต่างกันให้ได้ว่า มันแตกต่างกันหรือไม่ คือความมีชนิดนี้เรียกว่าความขยัน แต่ว่ามันมีรายละเอียดที่ว่าในความขยันนั้น เขากลับเป็นความโง่ ขยันแต่โง่ อีกคนหนึ่งโง่แต่ขยันมันต่างกันไหมครับ 

พ่อครูว่า... ขยันแต่โง่กับโง่แต่ขยัน 

ขยันแต่โง่หมายความว่า ทำ ทำ ทำ ทำ ทำ แต่ทำอย่างโง่ๆ 

ที่นี่อีกอันหนึ่งโง่แต่ก็ขยัน 

ขยันแต่โง่นี้จะเกิดพลังงาน ขยันๆๆ แต่ทำแล้วชิบหายไปหมด ทำมากเท่าไหร่ก็ยิ่งฉิบหายเท่านั้น ขยันแต่โง่มันก็ทำเสียเพราะทำอย่างโง่ๆ 

ที่นี้คนโง่แต่ขยันนี่สิ ยังค่อยยังชั่วกว่า คนขยันแต่โง่ เพราะมันโง่ มันไม่ค่อยรู้หรอก แต่มันก็ขยันไปทำ มันก็เลยขยันน้อยกว่าคนที่โง่แต่ขยัน 

คนโง่แต่ขยันก็ยังน้อยกว่าคนขยันแต่โง่ 

ก็เขาโง่ก็เลยขยันเพิ่มเติมให้ตัวเองฉลาดขึ้น ขยันไปฟังธรรม ขยันไปศึกษาอีก แต่ความขยันแล้วโง่นี่สิ มันขยันเท่าไหร่ก็ชิบหายเท่านั้น 

สู่แดนธรรม... ปัญหานี้ถ้าผมว่าฝึกตั้งแต่รู้จักแยกรูปแยกนามให้ชัดๆ สิ่งที่แยกให้ชัดๆคือไม่ปูโลปูเล ทุกวันนี้ปูโลปูเล แม่แต่หัดเขียนหนังสือก็หัดเขียน โดยเฉพาะก่อนจะส่งไลน์ไม่ตรวจคำเสียก่อนเลยบางทีคำผิดคำถูกเยอะเลย เขียนผิดนี่ ชีวิตเปลี่ยนเลยนะ 

พ่อครูว่า... ที่สำคัญเลยนะ LINE ผิด ชีวิตเปลี่ยน ระวังเถอะนะนักไลน์ได้ก็ไลน์ตะพึด LINE ผิดชีวิตเปลี่ยน เป็นไปในทางดีก็แล้วไป แต่กลัวจะเปลี่ยนไปในทางที่ไม่ดีสิ 

สู่แดนธรรม... อย่างเช่นคำว่าอยากกับคำว่าอย่าง เขาเขียนสับสนไปหมด บางทีเขียนว่าอยาก แต่สะกดด้วย ง อย่าง บางทีจะเขียนว่าอยากแต่ไปเขียนว่าอย่า 

ทำจิตให้เป็นพีชะ ไม่มีเวทนาจึงรู้ความควรความไม่ควรได้

_อีกคนฝากมา คนอยู่บ้านราชฯ… ชื่นชม การสอบ ว.บบบ บอกว่าเป็นยันต์พิธีที่มหัศจรรย์ ทำให้เกิดความรอบรู้เรื่องกายเรื่องบุญ เรื่องเทวนิยมกับอเทวนิยม

พ่อครูว่า... คนที่พูดมาถึงมาเนี่ย ก็เป็นเรื่องสำคัญนะ เรื่องบุญ เรื่องกุศล เรื่องความแตกต่างอะไรพวกนี้ อาตมาพูดอธิบายตลอด กาย แตกต่างกันอย่างไร ระหว่างคนที่เข้าใจผิดยังสัมมาทิฏฐิไม่ได้เข้าใจกายไม่ได้ ทุกวันนี้ในชาวพุทธ จะเป็นปราชญ์ระดับปราชญ์ก็ตาม ยังเข้าใจกายอย่างมิจฉาทิฏฐิ แล้วปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าไม่ได้ปฏิบัติไม่ออก เพราะคำว่ากายเป็นคำต้น เป็นคำแรก เป็นคำสำคัญต้นๆเลย ความเป็นกาย 

กาย คือ ก กับ ย 

ก.ไก่ เป็นพยัญชนะตัวแรก ส่วน ย เป็นพยัญชนะของเศษวรรค ตัวแรกเหมือนกัน 

ก ย มา สองตัวนี้มา เอาสระอา มาเชื่อมซะ ครบทุกอย่างเลย กายะ เป็นรูปนาม เป็นสองสภาพ เป็นเทวะเป็นสภาพสอง เราก็เรียนรู้กันจนหมดจบยังอีกเยอะมากเลยในเรื่องของกาย มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลย 

ซึ่งอาตมาก็เคยพยายามชี้ให้เห็นชี้ให้้ฟัง ว่า กาย เป็นตัวแรกที่คุณจะต้องพ้นมิจฉาทิฏฐิในสังโยชน์ 10 ถ้าคุณไม่สัมมาทิฏฐิในคำว่ากาย และมันก็อยู่ที่ตัวเรา สักกะ แปลว่าตัวเรา

คุณไม่พ้นความไม่รู้อันนี้ คุณยังโง่ยังไม่รู้ยังเข้าใจไม่ถูกต้อง ยังผิดเพี้ยนอยู่ ไปไม่ออกปฏิบัติธรรมต่อไปก็ไม่ได้เลย แม้เข้าใจแล้ว เข้าใจกายได้แล้ว อย่างถูกต้องด้วย เข้าใจถูกต้องแล้ว คุณต้องมาแยกกาย แยกจิตให้เป็นอีก 

เพราะกายนั้น มันมีจิตอยู่ด้วย แล้วแยกกันไม่ได้เด็ดขาด เหมือนกระดาษแผ่นเดียวกายกับจิต แยกจากกันไม่ได้เลย ถ้าหมดกาย คุณก็หมดจิต ดับกายก็ดับจิต มีกายก็มีจิต 

นี่เป็นเรื่องยาก เพราะฉะนั้นต้องมาเรียนรู้การแยกกาย แยกจิตในขณะที่คุณยังมีกาย มีจิต คุณต้องทำกายให้ไม่มี ในขณะที่คุณมีจิต แล้วคุณต้องทำกายให้ไม่มี อันนี้สิ มันเป็นเรื่องที่ศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ตรัสรู้ อาตมารู้ตามเรื่องนี้เอามาพูดปัญญากับพวกเราทุกวันนี้ ก็ยัง ไปหมดสงสัยแล้วในเรื่องแยกกายแยกจิต แล้วเราก็มีจิตที่ทำความไม่มีกายได้ เพราะจิตของเราเป็นพีชะ

ยังไม่ตายปรินิพพานเป็นปริโยสานก็อาศัยไว้ใช้เหมือนมนุษย์พืช แต่เป็นมนุษย์ที่มีจิตแข็งแรง มีสติสัมปชัญญะ แต่ไม่ใช่มนุษย์พืชที่นอนไม่รู้ตัวเลย ไม่ใช่ มนุษย์ที่จิตเป็นพืช แต่ไม่ได้เป็นมนุษย์พืช 

เมื่อทำจิตให้เป็นพืชได้ก็ไม่มีเวทนาเพราะพืชไม่มีเวทนา พืชมีแต่สัญญากับสังขาร 

พืชมีรูป มีสัญญา มีสังขาร สามเส้า ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ จึงไม่มีบาป ไม่มีบุญ ไม่มีจองเวรจองกรรม ไม่มีรักไม่มีชัง ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เอาสภาพของพืชมันเป็นอย่างงี้ ชีวะมันเป็นชีวะอย่างนี้ เอามาใช้ 

จิตวิญญาณของมนุษย์ ผู้บรรลุธรรมจึงทำจิตของตนให้เป็นพืช เป็นสภาพที่ใช้พยัญชนะ แยกไปว่าไม่มีกาย ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ไม่มีบาป ไม่มีบุญ ไม่มีผลักไม่มีดูด ไม่มีสภาพ 2 ผู้ที่ต้องการไม่มีได้สำเร็จ เป็นผู้ที่มีวสวัตตี เป็นผู้ที่ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ ทำจิตของตนให้เป็นอย่างพืชได้สำเร็จ เป็น วสวัตตี 

หรือมันคล้ายๆกันกับ อนุปคัมมะ ก็คือ มีอิทธิพลทำจิตของตัวเองให้รู้อยู่มันมีอยู่ 2 อย่าง แล้วตนก็อยู่กับสองอย่างนี้สบาย ไม่ได้ไปเข้าข้างไหน อะไรควรเป็นก็เป็น อะไรควรไม่มี เราก็ต้องไม่มี อะไรควรมี เราก็มี

สู่แดนธรรม... ในระดับเด็กๆ โจทย์สำหรับเด็กที่จะให้เข้าใจความจริงไม่ได้ ต้องลองมีตุ๊กตาสักอย่าง เด็กๆอาจพยายามสังวรละเลิก รู้อะไรควรทำ คือ ความควร จะยิ่งกว่าความชอบใจ เด็กๆหลายคน แต่ละคนก็คงเคยทำมา ทั้งของกินของใช้ เด็กคนไหนถ้าสามารถทำได้ ละความต้องการความชอบได้ แล้วก็ฝืนใจทำในสิ่งที่ควร อันนี้ถือว่าเป็นการสร้างนิสัยเป็นพื้นฐานปฏิบัติธรรม 

พ่อครูว่า... แยกออกไหม ความชอบ ทำตามชอบใจกับไม่ทำตามชอบใจ แต่ทำตามที่ควรจะทำ ต่างกันไหม เข้าใจให้ได้ เราไม่ทำตามที่เราชอบใจ หรือตามที่เราชัง แต่เราทำตามที่ควร บางทีเราไม่อยากทำหรอกแต่มันควรต้องทำ เราไม่ค่อยอยากทำหรอก  แต่มันควรทำก็ต้องทำ ถ้าไม่ควร แหม มันอยากทำด้วยซ้ำไป แต่มันไม่ควรก็อย่าทำ แต่มันไม่อยากทำเลยแต่มันควร ควรจะทำนะ มันก็ต้องทำ เข้าใจไหม..เด็กๆก็ยังเข้าใจได้เลย 

คุ้มค่าอย่างไรในการใช้เงินมากเปิดบุญนิยมทีวี

_9706 : ทีวี ช่องบุญนิยม ประชาชนคนส่วนใหญ่คงไม่ได้รับชม

พ่อครูว่า... เราใช้เงินมากในการทำโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม สิ่งที่เราสื่อออกไป เราถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่มนุษย์ควรรู้ ควรได้ ควรเป็น ควรทำให้บรรลุ เราก็ทำไป ผู้ที่มีดวงตาเห็นมีปฏิภาณปัญญาเห็น เขาก็รับเอา 

คุณคนนี้บอกว่า ประชาชนคนส่วนใหญ่ก็ใช่ คนส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยรู้หรอก เพราะคนที่จะรู้ได้มันเป็นโลกุตรธรรม  มัน เป็นธรรมะยอดปิรมิด คนที่สามารถรู้ว่าสิ่งที่เราทำกันอยู่ ก็ประพฤติกันอยู่ เรียนรู้กันอยู่ พากเพียรบรรลุให้ได้สูงสุดกันอยู่ มันเป็นเรื่องของอาริยชน มันเป็นเรื่องของโลกโลกุตระ ซึ่งคนทั่วไปยังเข้าใจไม่ได้ ยังไม่รู้ค่า เราไปว่าเขาก็ไม่ได้เพราะเขายังไม่มีบารมี เขายังไม่มีภูมิ ยังไม่ถึงวาระที่เขาจะต้องเข้ามารู้สิ่งนี้ เข้ามารับสิ่งนี้ ฐานะของเขายังอยู่เหมือนกับไส้เดือนกิ้งกือ จะให้มันเหมือนกับลิงที่ฉลาดกว่าไส้เดือนเยอะก็ไม่ได้ เขายังเป็นแค่ไส้เดือน เขาก็ต้องเป็นแค่ไส้เดือน เขาจะมาเป็นลิงไม่ได้ ฉันเดียวกันเป็นคนเหมือนกัน แต่คนอย่างเขา ก็ได้แค่อย่างเขา อย่างเขาระดับไส้เดือน จะมาเป็นคนในระดับที่ลิงเป็น มันก็ยังเป็นไม่ได้เพราะว่ามันไม่ใช่ฐานะที่จะเป็น เขาจึงจะต้องสั่งสมความรู้ความฉลาดความมีบารมีเพิ่มเติมขึ้นมาอีก ไม่รู้กี่ชาติกี่ชาติ นี่เป็นเรื่องที่เป็นจริงๆ ทุกคนจะต้องปฏิบัติเอาเอง เรียนรู้เอาเอง อยู่ดีๆจะไปซื้อเอาตามร้านขายยา ไปเอาจากอันนั้นอันนี้ ไปขอจากพระเจ้าไม่ได้หรอก ไม่มี ต้องศึกษาทุกคนปฏิบัติประพฤติให้เกิด ให้มี ให้เป็นในตนให้ได้ 

ฉะนั้นช่องบุญนิยมนี้ ถึงอย่างไรๆมีคนดูเกิน 5 คนเราก็ถือว่าเป็นผลสำเร็จแล้ว เริ่มต้น แต่ทุกวันนี้เกิน 5 คนอยู่แล้วเกิน 500 อยู่แล้วมันคุ้มแสนคุ้ม 

สู่แดนธรรม... พ่อท่านเคยเปรียบ หากว่ามีคนเข้ากระแสโสดาบัน 2 - 3 คนก็ถือว่าคุ้มค่ามากแล้ว ทำไมถึงเรียกว่าคุ้ม 

พ่อครูว่า... ที่คุ้มค่าก็เพราะว่ามันเป็นเชื้อโลกุตระ มันเป็นเชื้อโลกุตระธรรมอันเป็นเชื้อธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ เหนือชั้นแห่งความรู้สูงสุดที่จะมีหรือไม่มีได้สำเร็จจริงๆเลย 

เทวนิยม ส่วนใหญ่เขาทำความไม่มีให้แก่ธาตุวิญญาณของเขาไม่ได้ เขาทำไม่ได้ ส่วนใหญ่ในโลกทั้งโลกเลย เขาทำไม่ได้ เขาจะต้องมีจิตวิญญาณหมุนเวียนอยู่ในกรรมวิบากในวัฏสงสารอีกนานเท่านาน ฉะนั้นพุทธมาทำได้ก็เพราะโลกุตรธรรมของศาสนาพุทธ เป็นอรหันต์เป็นต้นไปถึงจะสลายธาตุจิตวิญญาณตนเองเป็นดินน้ำไฟลมได้ 

จบเลิกหรือจะไม่จบก็ได้ จะต่อไปอีกก็ได้ จะเป็นแค่ศาสดาของโลกียะเป็นแค่เรื่องเล็ก ไม่ใช่เรื่องดีเรื่องชั่วเท่านั้น เพราะฉะนั้นที่เป็นโลกุตระเหนือชั้นกว่าดีชั่ว โลกียนั้นชัดเจนดีชั่วอยู่แล้ว เรามีปัญหา แต่การเลิกจิตวิญญาณนี่ซิ เทวนิยมที่รู้จะดีจะชั่วแล้ววนเวียนในวัฏสงสารอย่างนี้ไม่มีทางรู้การเลิกจิตวิญญาณ วิญญาณของศาสนาเทวนิยมจึงเป็นวิญญาณนิรันดร แล้วก็ไปจบอยู่ที่ว่า ไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร  แล้วพระเจ้าอยู่ที่ไหน  ไม่มีใครรู้ ปิดประตูรู้ 

ถ้าอยู่กับพระเจ้าคืออะไร คือปิดประตูที่จะพูดกันเพราะมันไม่รู้ ต่างคนต่างไม่รู้ พูดกันก็ไม่รู้เรื่อง พระเจ้าคืออะไร พระเจ้าอยู่ที่ไหน พระเจ้าเป็นอย่างไร แล้วพระเจ้านิรันดรด้วยแปลว่า 

นิระ แปลว่า ไม่ อันตระ แปลว่า ระหว่าง ไม่มีอะไรเลยในระหว่าง ไม่มีอะไรให้เกิดได้ในระหว่างเลย กาละ มันมีไปตลอด ตลอดกาละ เมื่อไหร่ที่คุณจะทำความไม่มีให้สำเร็จได้นิรันดร คุณทำให้ได้ คุณทำ นิระได้ ระหว่างใดระหว่างหนึ่งก็เถอะ ก็จบ ส่วนคนที่ทำไม่ได้คือไม่จบ 

โสดาบัน 4 ระดับ 

_สู่แดนธรรม... สิ่งที่ควรได้ก็คือหลักประกัน ที่ไม่มีกิเลส 

พ่อครูว่า... ศาสดาแต่ละองค์ที่เป็นศาสดาแล้ว ไม่ได้หมายความว่าศาสดานั้นเกิดชาติต่อๆไปไม่ได้ ยังจะเกิดชาติต่อๆไปได้ แล้วจะตกต่ำลงไปเป็นคนต่ำ ศาสดานี่แหละเป็นคนต่ำได้อีก สูงขึ้นอีกก็ได้ แล้วก็วนลงต่ำขึ้นสูงวนไปต่ำอยู่อย่างนั้นแหละ 

สู่แดนธรรม... ถึงเรียกว่าวัฏสงสาร ส่วนพระโสดาบันนั้น 

พ่อครูว่า... ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดาเข้ากระแสจิต โสดาบันจุดแรกก็คือจิตเข้ากระแสโลกุตระแล้ว เรียกว่าโสตาปันนะ

พอเข้ามาแล้วก็ต้องให้คุณสมบัติมันสูงขึ้นไปจนกระทั่งไว้ใจได้เป็น อวินิปาตธรรม

อวินิปาตธรรม หมายความว่ามีคุณสมบัติของโลกุตระเข้าไปได้ถึง 2 ส่วน 4

เพราะฉะนั้นจะยึกยักได้อยู่ แหม มันจะตก ไม่ตกแหล่่ ถ้าตกก็คือมันไม่เป็นแล้วไม่อยู่ในกระแสแล้วใช่ไหม 

เข้ากระแสแล้วก็ยังมาตกอีก เดินทางยึกยักยึกยัก ถ้าหากยึกยักตกลงไปอีกก็คือไม่อยู่ในกระแส แต่ถ้ายึกยักไม่ตก นี่ก็คือผู้ที่อยู่ในกระแส แต่ยึกยักยึกยัก โสดาบันอันที่ 2 

อธิบายอีกที 

เรามาถึงเส้นชัย มาถึงขีดนี้แล้ว เราก็เข้ามาอยู่ในเขตวงกลมนี้ พอเข้ามาถึงแล้วเราก็จะพยายามไปให้ถึงที่สุดก็เข้ามาเข้ามามาถึงตรงนี้มันก็จะต้องพยายาม จะไปแต่มันก็ถูกดึงลงต่ำมันก็จะดึงลงต่ำ ถ้ามันดึงลงต่ำสุดลงไปอีกแล้วก็ตกจากกระแส แม้แต่กระแส คุณก็ไม่เข้า แต่อันที่ 2 นี้ที่ยืนยันได้ว่า คุณเป็นคนที่ 2 แท้ก็คือ คุณจะยึกยักอย่างไรคุณก็ไม่ตกจากกระแส นึกออกไหมเข้าใจไหม แต่มันจะยึกยักอยู่นานเป็นร้อยปี พันปี หมื่นปี แสนปีก็ได้ 

ถ้าคุณเองไม่แข็งแรงก็อยู่อย่างนี้ยึกยักอยู่แค่นี้ จนยึกยักกระทั่งยึกยักไปถึงขั้นที่ 3 นิยตะ

แปลว่าเที่ยงแท้ หยุดยึกยักแล้ว อยู่ตรงนี้แล้วแต่มันก็จะดึงลงอยู่นั่นแหละ ธรรมชาติของสิ่งที่มีอยู่ในโลกมันจะดึงลงต่ำ ดึงลงสู่ที่เสื่อม มันก็ต้องเจริญไปสู่ที่สุดให้ได้ 

คุณจึงพยายามใช้ความรู้ความสามารถสูงสุดจาก นิยตะ ให้พ้นนิยตะ ขีดที่ 3 จาก 4 

เลยขีดที่ 3 ไปหาขีดที่ 4 เรียกโดยภาษาว่า สัมโพธิปรายนะ ขึ้นไปสู่ที่สูงที่สุดได้ แปลเป็นไทยว่าอย่างนั้น ขึ้นไปสู่ที่สูงที่สุดได้ ไม่ตกต่ำ จากขีดที่ 3 นี้อีกแล้ว อันนี้ จึงเรียกว่าเที่ยง นิยตะ

อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 จึงเรียกว่าผู้เที่ยงต่อความเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ตกต่ำ ถ้าตกต่ำก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นสัจจะของมันก็คือความเป็นจริงที่เที่ยง ก็คือจริง ถ้าหากจริงไม่เที่ยงคุณก็ไม่จริง พยัญชนะว่าอย่างนั้น ความจริงที่ไม่เที่ยงมันก็คือไม่จริง ถ้าจริงมันต้องเที่ยงจริง ภาษาหมดแล้ว 

สู่แดนธรรม... เด็กๆพวกเราโชคดีที่มีโอกาส อยู่ใกล้สมณะ สิกขมาตุด้วย

พ่อครูว่า... พวกเราพาปฏิบัติและเลี้ยงดูด้วย 

สู่แดนธรรม... จะได้เข้าขีด เขตของความเป็นอารยะเบื้องต้นให้เป็นหลักประกันได้บ้าง 

พ่อครูว่า... มีเด็กพวกเราเป็นพระโสดาบันเยอะไป  

ลักษณะ 4 ของรูปที่ 28 ที่พ่อครูใช้ในการขยายอายุไข 

_0852 : สมัยพุทธกาล พระอานนท์เป็นพุทธอุปัฏฐากองค์เดียว สมัยนี้พ่อครูมีปัจฉาหลายรูป สมัยก่อนหมอชีวกคนเดียวดูแลพระพุทธเจ้า สมัยนี้คณะหมอเกือบสิบคนดูแลพ่อครู ดูจะเว่อ ๆ นะครับ คณะหมอก็พยายามจะฝืนกฎอนิจจังหรือความเสื่อม คุณหมอพาตัวเองให้ถึง 80 ก็เลิศแล้ว เห็นแต่คุณหมอเฉก ธนศิริ ที่อายุยืน

พ่อครูว่า...อาตมาไม่ได้เป็นคนเก่ง ไม่ได้เป็นคนมีความสามารถเหมือนพระพุทธเจ้าก็ต้องมีตัวช่วยเยอะหน่อย แต่พระพุทธเจ้านั้น ท่านแข็งแรง ทุกอย่างท่าน จริงๆไม่มีตัวช่วย ยังได้เลย เพราะฉะนั้นปัจฉาคนเดียวก็ได้ หมอคนเดียวก็เหลือแหล่ เพราะท่านแข็งแรง ทุกอย่างบริบูรณ์หมดแล้ว แต่อาตมามันยังไม่บริบูรณ์ เอาอาตมาเปรียบเทียบกับพระพุทธเจ้าอย่างไร 

สู่แดนธรรม... แม้แต่การแสดงธรรมพระพุทธเจ้าก็ไม่ไอใช่ไหมครับ 

พ่อครูว่า... ใช่

อาตมาก็พยายามอยู่ให้เกิน 120 เหมือนกัน ตั้งเป้าไว้ 133 ตอนนี้ลดลงมาจาก 151 แต่ก็รู้สึกว่าแย่เหมือนกัน รู้สึกว่าป้อแป้เหมือนกันแต่ก็พยายาม บางวันก็ โอ้โห Fresh up ดี กระปรี้กระเปร่า บางวันมันก็เมื่อยก็เพลียก็ว่าไป ก็พักผ่อนคือความไม่เที่ยง 

พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องความไม่เที่ยงเป็นที่สุด ในรูป 28 

อนิจจตา เป็นตัวสุดท้ายเลยในลักษณะ 4 ที่มี อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา ลักษณะ 4 ลักษณะสุดท้าย คนเราก็มีรู้จักเกิดกับรู้จักหยุด คือไม่ต่อสันตติ คือหยุด กับอุปจยะคือเกิด 

เพราะฉะนั้นแม้ว่าคุณเอง คุณไม่ต่อสันตติแล้ว คุณก็จะยังมีโมเมนตัม มีสิ่งที่ยังจะต้องเฉื่อยต่อไปจนกระทั่งหมดเรียกว่า ชรตา ไปถึงที่สุด จะเร็วหรือช้าก็อยู่ที่แต่ละบุคคล บุคคลไม่เฉื่อยมากหรอก พอตัดปุ๊บตายปั๊บเลย บุคคลที่ทำไม่ได้ถึงขนาดนั้นพอตายปุ๊บก็เฉื่อยไปอีกสัก 2 ปั๊บ อีกคนก็แย่กว่านั้นหน่อย พอตายปุ๊บก็เฉื่อยไปอีก 3 ปั๊บ อีกคนแย่หน่อย พอตายปุ๊บก็เฉื่อยไปอีก 40 ปั๊บ จนถึง 100/200 ปั๊บ ปั๊บหนึ่งเท่าไหร่ไปคิดเอาเอง มันก็เป็นอย่างนั้น ใช้คำลักษณะนามเป็นปั๊บๆ ยิ่งกว่าวินาทีก็ได้เท่านั้นเองไม่มีอะไร 

แต่ในระยะทางที่จะ ชรตา ยังทิ้งปลายเปิดที่อนิจจตา ถ้าฮึดขึ้นมา ไม่เฉื่อยไม่สูญ อุปจยะต่อ.. ได้ ถ้าคุณมีบารมี แต่ถ้าคุณไม่มีบารมีนะ ปล่อยไปจนกระทั่งถึง อุปจยะ สันตติปล่อยไปชรตา จนกระทั่งคุณไม่มีบารมี จะขึ้นมาอีกก็ขึ้นไม่ได้ ต้องตาย โยมหน่อยต้องตาย ถึงวาระต้องตาย 

สู่แดนธรรม... ตรงข้อสุดท้าย อนิจจตา ถ้าจะฮึดอุปจยะ ต้องใช้สันทะใช่ไหมครับ 

พ่อครูว่า... ต้องมีบารมีพอ ถ้ามีบารมีไม่พอไม่ขึ้น ต้องใช้ฉันทะสิใช่ ฉันทะเป็นมูล นี่ยิ่งใหญ่ หมอเฉกก็ดูๆกันไปตอนนี้ก็ว่ากันไป อาตมาดูๆกันอยู่ก็หลายคนไม่ออกชื่อหรอก หลายคนก็ยังมีชีวิตอยู่ไม่ถึงตาย แล้วใครจะตายก่อนกันเนาะ อาตมากับหมอเฉก อาตมาใครคนอื่นอีกไม่ออกชื่อ หรือจะดูเจ้าน้อย สุรพล โทณะวณิกก็ได้ ตอนนี้นอนติดเตียงอยู่ ติดเตียงแล้วเขาจะตายก่อนอาตมาหรืออาตมาจะตายก่อนเขาก็ได้ คนอื่นๆอีกไม่ออกชื่อ 

ที่ว่าดูๆกันไปคือไปดูยังไม่มีการศึกษา แต่ดูว่าเขาก็สามารถที่จะยังชีวิต ยังอายุขัยของเขา เขาใช้อะไรหนอ อย่างเช่นหมอเฉกก็ใช้อย่างหนึ่ง อย่างสุรพล โทณะวณิกก็แน่นอน เขาก็ต้องใช้อะไรขนาดนั้น อย่างคนอื่นๆใครก็แล้วแต่ ที่เขาพยายามยังชีวิตของเขาไปต่อ เขาก็พยายามของเขาตามที่เขามีภูมิรู้ มีความพยายาม 

สู่แดนธรรม... มีความปรารถนาไม่อยากตาย 

พ่อครูว่า... อันนั้นเป็นตัวหลักเป็นเจตนาไม่อยากตาย ยังไม่อยากปล่อย มันก็เป็นไปตามธรรมชาติก่อน เป็นตัวนำเป็นตัวตั้ง ส่วนจะไปได้ตามที่ปรารถนาทำให้ได้ตามที่ต้องการหรือไม่มันก็มีเหตุปัจจัยอื่นๆอีกเยอะ 

แพทย์ศาสตร์เป็นเดรัจฉานวิชา 

_ปะแก้วขวัญผ่อง : แพทย์ศาสตร์เป็นเดรัจฉานวิชา ที่พ่อครูเทศน์หาอ่านหรือฟังได้ที่ไหนคะ.. ลูกค้าถามมาค่ะ ขอให้พ่อท่านเทศน์หรือตอบมาอีกครั้งได้ไหมคะ

ลูกค้าคงเป็นหมอ หรือเกี่ยวข้องกับหมออ่ะค่ะ

พ่อครูว่า... แพทย์ศาสตร์เป็นเดรัจฉานวิชา อาตมาไม่ได้ด่าแพทย์ แต่อาตมาพูดหลักวิชาการ โอ้โหถ้าอาตมาด่าแพทย์ อาตมาบรรยายความจริงไม่ออก อาตมาออกจากที่บรรยายไม่ได้ ถูกอัดตายอยู่ที่นั่น มาเต็มแน่นกันเลยนะ อาตมายังจำได้ ตั้งชื่อการบรรยายว่า แพทย์เป็นเดรัจฉานวิชา คนไปฟังเข้าไปในห้องประชุมที่อาตมาจะบรรยายแน่นเลย 

มีทั้งผู้ที่เรียนหมอ มีทั้งวิศวะด้วย ปนกันไปในนั้นอัดกันไป 

อาตมาก็ต้องสาธยายด้วยหลักวิชาของพระพุทธเจ้า คำว่า เดรัจฉาน หมายความว่าขวางทางนิพพาน มันไม่พาไปนิพพาน วิชาแพทย์เป็นวิชาการเทคนิคอย่างหนึ่ง  เทคนิคในการที่จะเรียนรู้สรีระมนุษย์ มีจิตวิทยาบ้าง แต่ไม่เหมือนของพระพุทธเจ้าแน่นอน โดยเฉพาะยิ่งจิตวิทยาที่ถึงขั้นนิพพาน เพราะฉะนั้นแพทย์จึงไม่ได้เรียนวิชาที่จะพาไปถึงนิพพาน 

ทีนี้นอกจากว่าแพทย์ไม่พาไปถึงนิพพาน แพทย์ยังขวางทางนิพพานอีกก็คือ คนที่เก่งแพทย์ มีความสามารถในแพทย์เขาก็ภูมิใจปลื้มใจว่าเขามีประโยชน์ เขาก็จะรักในงานแพทย์ คุณก็จะรักแต่งานแพทย์ไม่พาไปนิพพาน มันก็ต้องขวางนิพพานสิ เขาก็จะวนอยู่ชาติแล้วชาติเล่า เขาก็จะวนอยู่ชาติแล้วชาติเล่า ชอบวิชาแพทย์และคุณก็รัก คุณก็จะชำนาญ คุณก็จะมีวิบากกับคนส่วนที่จะรักษากัน คุณก็จะเกิดมาในวัฏสงสารเกี่ยวข้องกันกับคนที่จะต้องรักษา ต่างๆนานา คุณก็จะเป็นแพทย์อีกไม่รู้กี่ชาติ จนกว่าคุณจะเบื่อแพทย์ ปล่อยวางไปเรียนอย่างอื่นดีกว่า โดยเฉพาะมาเรียนวิชานิพพานดีกว่า คุณจึงจะเลิกเรียนวิชาแพทย์มาเรียนวิชานิพพานอย่างนี้เป็นต้น 

พอเข้าใจได้นะอันนี้ ที่ถามว่าอาตมาเทศน์ไว้ตอนนั้นดูเหมือนไม่ได้อัดบันทึกไว้ หายไปหมดแล้วแหละ 

สู่แดนธรรม... ท่านสมณะพิสุทโธ น่าจะมีข้อมูลอยู่ 

พ่อครูว่า... ถามดูสิ ท่านสมณะ สมณะพิสุทโธ คือท่านชื่อนายสมณะพิสุทโธ แต่ตอนนี้ ท่านเป็นสมณะก็ต้องเรียก สมณะสมณะพิสุทโธ ท่านตั้งชื่อกันเอาไว้เลยว่า ท่านจะไม่ตกจากการเป็นสมณะ ตั้งชื่อว่า นายสมณะพิสุทโธ แต่ตอนนี้ ท่านเป็นสมณะก็ต้องเรียก สมณะสมณะพิสุทโธ ท่านกันไว้เผื่อพอ ยังไง ยังไงท่านก็ต้องเป็นสมณะจนได้ แต่ท่านก็ยังไม่ได้ตกหล่นจากสมณะ มันก็เลยเป็น สมณะสมณะพิสุทโธ ก็เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องเกร็ดเล็กๆน้อยๆ 

สู่แดนธรรม…เดี๋ยวนี้ เขาได้ขวนขวายมาทำกสิกรรม ก็เห็นอานิสงส์ที่เกิดขึ้นกับตนเอง เพราะอาศัยการทำกสิกรรมทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยได้ทำ เมื่อได้ทำแล้วก็เกิดอิทธิบาทที่จะเอากสิกรรมเป็นต้นแบบเป็นเครื่องอาศัยเป็นการละกิเลสของลูก ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากกว่า แต่ลูกจะตั้งใจทำให้ได้คะ จากคุณ พิมพ์เพชรรุ้ง

พ่อครูว่า... ดี อนุโมทนาสาธุ จากฟ้ามาลงดิน เป็นนางฟ้ามาเป็นนางดิน 

สภาวะ ฌานวิสัย กับ อภิภู เหมือน หรือ ต่างกันอย่างไร 

_จาก FC ท่านหนึ่ง : สภาวะ ฌานวิสัย กับ อภิภู เหมือน หรือ ต่างกันอย่างไร ?

พ่อครูว่า... เอาคร่าวๆจากหยาบๆ ไปหาละเอียด 

ฌาน คือไฟ คือ พลังงานชนิดหนึ่ง ฌาน มีหน้าที่เผากิเลส (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สู่แดนธรรม... เด็กๆเคยได้ยินคำว่า ฌานปนกิจ ไหมครับ สะกดอย่างเดียวกันเลย ฌานปนกิจ แปลว่า กิจที่ต้องทำการเผาเพื่อขจัดซากศพ (สว) 

(พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

ถ้าแปลจริงๆ สว คือสิ่งหมักสิ่งดอง สิ่งเศษสิ่งเหลือ ฌาน พ่อครูเลยแปลว่า เครื่องเผาเครื่องทำลาย

พ่อครูว่า... ฌาน นี้ ตรงๆเลยในพจนานุกรมไทย-บาลี เขาเกือบทิ้งกันแล้วเขาก็ยังแปลว่า ไฟ แปลว่า เพลิง แต่เขาก็นำหน้าด้วยการเพ่ง แปลว่า เพ่ง แปลว่าทำให้เป็นหนึ่งตามอะไรของเขาไปตามความเข้าใจของเขา เราก็เขียนลงไปในพจนานุกรม แปลอย่างนี้ตามที่เขาเข้าใจซึ่งได้ผิดเพี้ยนไปไกลแล้ว 

จริงๆแล้วคำว่า เพ่ง มันก็เป็นคำกลางๆ เช่น ถ้าเพ่งจดจ่อจดจ้องก็เพ่งหนักๆ เพ่งรู้เพ่งเห็นเพ่งเผา อาตมาเคยอธิบายว่า เพ่งเผา เพ่งให้รู้ หรือจับอันนั้นให้มั่น แล้วเรียนรู้ว่าอันนั้นมันเป็นกิเลส 

อย่าให้มันไปเอาเนื้อจิตหรือเนื้อเจตสิก เอาแต่เนื้อเฉพาะกิเลสมันเป็นพลังงานที่อยู่ด้วยกัน กิเลสกับจิตนี้ มันเหมือนจะเป็นหนึ่งเดียวกันเลย ต้องแยกให้ออก อาการกิเลสกับอาการจิตที่สะอาด อาการจิตแท้ๆกับจิตเก๊ คือกิเลส 

มาแยกตรง ความรู้สึกที่เวทนา เวทนาแท้ๆ เวทนาเห็นอันนี้สีขาว ขาวฉ่อง เป็นความจริง แต่เวทนาเก๋ก็บอกว่า​ ขาวนี้ อยากได้ ขาวนี้ชอบใจ ขาวนี้ไม่ชอบใจเลย นั่นคือ เก๊แล้ว เพี้ยนไปจากเดิมความจริง ก็ขาว มันก็ขาวอย่างนี้ 

ไทยมาเจอขาวก็ใช้ภาษาไทยว่า ขาว ใช่ภาษาจีนว่าอะไรก็ว่าไป ขาว หรือจะภาษาฝรั่งว่า ขาวว่าอะไรก็เรียกไปตามภาษาฝรั่ง ภาษาอะไรอีกก็แล้วแต่ ภาษาสเปน ภาษาแอฟริกัน เขาจะเรียกอันนี้ว่าอะไรก็ว่าตามภาษาของเขา แต่สัจจะมันคือ อันนี้คือขาว เป็นหนึ่งเดียวเหมือนกัน อย่างอื่นก็เรียกตามประสาไป แต่เหมือนกันหมด 

ส่วนที่ไม่เหมือนกันคือ อารมณ์ต่างกัน ชอบหรือไม่ชอบ มันมีแฝงออกมาจากการรู้จักความหมายเป็นอย่างหนึ่งอย่างเดียวสัจจะเป็นหนึ่งเดียวไปเป็นอีกอันหนึ่ง นั่นแหละคือมันเป็นสิ่งที่เป็นของเก๊ ต้องเรียนรู้ของเก๊นี้ให้ได้อย่าให้มันมาปล้น 

เพราะฉะน้น ฌานก็จะเผาของเก๊ วิสัยนั่นคือ ตัวเรา สย คือตัวเรา ตัวเราที่เก่ง 

อาตมาเคยอธิบาย เป็น 4 คำ อาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย 

อาศัย ก็คือ สิ่งที่เราต้องอยู่กับมัน อยู่ด้วยกันกับมันนั่นแหละอย่างไรยังไงก็ต้องอยู่กับมันเรียกว่าอาศัย อาศัยมันอยู่อย่างนี้แหละ 

จนกระทั่งสิ่งที่เป็นเรา สย คือเป็นเรา เป็นจนกระทั่งเป็นอัตโนมัติ เรียกว่า นิสัย 

 เป็นภาษาที่เราคงเข้าใจคือสิ่งที่เราเป็นนั่นแหละ พฤติกรรมของเรา ความเก่งความไม่เก่งของเราจะดีหรือจะเลวก็เป็นนิสัยแบบนี้แหละ นิสัยเลวนิสัยดีก็แล้วแต่เป็นอย่างนั้น 

ส่วน วิสัย นั่นก็คือเป็นได้เก่งกว่านิสัย เลือกเฟ้นและฝึกตน วิ แปลว่าไม่ก็ได้ แปลว่า วิเศษ แปลว่าเจริญมากขึ้นก็ได้ วิ นี่ แปลว่าไม่ดีก็ได้ แปลว่าดีเยี่ยมก็ได้ 

เพราะฉะนั้นคนควรจะทำสิ่งที่ดีเยี่ยม ไม่ใช่ไปเอาสิ่งที่ไม่ดีเยี่ยมใช่ไหมวิสัย ต้องทำให้ดีเยี่ยมได้จึงจะเรียกว่าวิสัย สูงกว่านิสัย 

วิสัย สูงกว่านิสัย จนเป็นอัตโนมัติ 

เป็นอัตโนมัติยิ่งขึ้นๆ จนเป็นตนเองเลย เรียกว่าเป็น ตถตา 

ก็คือ อนุสัย 

อนุ เป็นคำ แปลว่า ตาม ก็ตามที่ตัวเองสั่งสมมาทั้งหมด จะเรียกว่าอาศัยอยู่ มีนิสัยอย่างนี้อยู่ ก็คืออนุสัย มันตามตัวเราไปตลอด 

จนกว่าเราจะปล่อยมัน  

อนุ ไม่ได้ เป็นเจ้านายเรา อนุสัย ไม่ใช่เจ้านายเรา มันเป็นตัวน้อยๆ อยู่กับเรา มันตามเรา มันไม่มีอำนาจเหนือเราเป็นอนุสัย เป็นตัวเราที่ เรายังอนุโลม เอาอนุโลม มาใช้ เป็นตัวเราที่ยังอนุโลมให้มันมีตัวเราอยู่ อนุโลมอยู่กับตัวเราก็ได้ 

สู่แดนธรรม... ท่าน สมณะพิสุทธิ์ พิสุทโธ พ่อครูเทศน์ไว้นานกว่า 45 ปีไม่มีใครบันทึกไว้เลย ฌานที่คนทั่วไปทำนั้นเป็นการทำให้จิตมันรวมเท่านั้น ไม่ได้ลดกิเลสแต่ฌานที่พ่อครูสอนคือเผากิเลส ให้กิเลสหมดไปลดลงไป จนสิ้นกิเลส

พ่อครูว่า... อภิภู แปลว่าผู้ยิ่งใหญ่ ตามพจนานุกรมบาลี เขาแปลไว้อย่างนั้นอภิภายตนะ 8

คือเป็นคนที่เจริญ เป็นคนประเสริฐเป็นคนเจริญที่พัฒนาตนเองมีความรู้ความสามารถในทางโลกุตรธรรมไปจนกระทั่ง อภิภู คือผู้ที่มีอภิภายตนะ 8 

อภิ อายตนะ มีอายตนะยิ่ง อภินี่คือยิ่งใหญ่ เป็นผู้ที่มีความรู้ในเรื่องอายตนะถึง 8 ข้อ เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ รู้ทั้งรู้ถึงเป็นได้ถึง 8 ข้อ อาตมาค่อยๆทยอยอธิบายไป

ที่จริงมันเป็นเรื่องสูงของ สยังอภิญญา สูงจากฐานะของอาตมาระดับ 7 เป็นระดับ 8 อภิภู 

ระดับ 8 ก็เริ่มมีความรู้ในอภิภูขึ้นมาเรื่อยๆ ตามลำดับๆๆ ก็เอาตัวอย่างนิดหน่อย เช่น

อภิภู คือผู้ที่มีอภิภายตนะ 8 เป็นอายตนะที่ยิ่งใหญ่ 

ข้อที่ 1 ก็คือเป็นผู้ที่ มีความรู้เป็นอัตโนมัติอยู่แล้ว รู้ทั้งภายนอก รู้ทั้งภายในคู่กัน เรียกว่า กาย ไม่แยกกันแล้ว คนที่รู้ภายนอกกับภายในพร้อมกัน ไม่แยกกัน คนนี้เป็นคนชั้น 1 เป็นคนพิเศษชั้น 1 หากว่ารู้แต่ภายนอกเฉยๆ มันก็แค่นั้น รู้แต่ภายในให้เก่งให้ตายอย่างไรพวกหลับตาปฏิบัติรู้แต่ภายในให้เก่งให้ตายอย่างไร ก็เสร็จ ไปไหนไม่ออกก็บรรลุธรรมไม่ได้ 

บรรลุธรรมไม่ได้ เพราะรู้อย่างใดอย่างเดียว รู้จักภายนอกไม่รู้ภายในร่วม รู้แต่ภายในไม่รู้ภายนอกร่วม ก็ไม่บรรลุนิพพานไม่บรรลุธรรมะของพระพุทธเจ้า จะต้องมี 2 

เพราะฉะนั้นเทวนิยมรู้จักพระเจ้าแต่ภายในอย่างเดียว ภายนอกที่กระทบด้วยตา หู จมูก ลิ้น กายไม่รู้เลย ไม่มีอยู่ไหนล่ะพระเจ้า ไหนลองสัมผัสดูซิ เอามือจับ ตาเห็นได้ยินเสียงจริงๆเดี๋ยวนี้ ได้กลิ่น ลิ้นแตะได้ ก็ไม่ได้ ก็ไม่ถือว่าเป็นสัจจะครบบริบูรณ์ เมื่อไม่มีสัจจะครบบริบูรณ์เขาก็ปฏิบัติธรรมบริบูรณ์ไม่ได้ 

เพราะฉะนั้นแม้ข้อเดียว นามรูป หรือภายนอกกับภายในเท่านี้แหละไม่ครบ นี้เป็นอภิภายตนะข้อที่ 1 มีสัญญาการกำหนดรู้ภายนอกภายใน สัญญาคือการกำหนดรู้สำคัญมั่นหมาย อันนี้ภายนอกแล้วอันนี้ภายในแล้ว 2 เป็น 1, 1 เป็น 2 แค่นี้อันเดียว คุณไม่มีแล้วคุณก็ยังไม่ใช่อภิภูเลย คุณจะเป็นอภิภูได้ ต้องมีข้อนี้เป็นข้อที่ 1 จากนั้นถึงจะรู้ ปริตตัง เพื่อจะรู้ไปถึง อัปปมาณา ทุพรรณะ สุพรรณา ...ฝากไว้ก่อนโอฬาร 

สู่แดนธรรม... สรุปจบ เจริญธรรม


เวลาบันทึก 17 มกราคม 2565 ( 21:28:05 )

650119

รายละเอียด

650119_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เรียนรู้โลก 9 แบบ จนเป็นมนุษย์พืชมหัศจรรย์ 

https://www.boonniyom.net/51192.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1JK3BLT3Y9z5ALCmDfiRoKpsJrKHPta6TmGooK3deCP8/edit?usp=sharing    

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1wlgeTiEQ_UdqwSLdeUlf0NXOdOTgAeej/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่     https://fb.watch/aDMe2jCdVj/ 

และ    https://youtu.be/CRe4qbZrBIo 

อาหารแห่งวิชชาปรุงมาโดยสมณะโพธิรักษ์

สมณะฟ้าไท... วันนี้เป็นวันพุธที่ 19 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ช่วงโควิด ชาวอโศกอยู่กับที่ก็เลยสร้างทำได้เต็มที่ พ่อครูก็ให้โศลกว่า “คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ” บนโต๊ะก็เลยเต็มไปด้วยอาหาร ทำคนเดียวไม่ได้ ทำคนเดียวตายอย่างเขียดเหยียดขาตาย ต้องช่วยกันทำ ก็จะสำเร็จมาได้ 

ส่วนคนสนใจธรรมะออนไลน์ก็เพิ่มขึ้นสะท้อนให้เห็นคนมาเข้าค่ายอุโบสถศีลออนไลน์ ครั้งแรกประมาณ 100 คน ครั้งที่ 2 มี 150 คน ครั้งที่ 3 จะ 250 หรือเปล่าก็ไม่รู้ ได้แบ่งกลุ่มกันพบสมณะ ตื่นเต้นได้พบพ่อครูได้คุยกับสมณะสิกขมาตุ แต่พวกเราดูไม่ตื่นเต้นนะ พวกเราก็มาช่วยกันสร้างอาหาร ในยุคนี้การนี้ไม่มีใครสร้างอาหารได้ดีเท่ากับพ่อครูแล้ว เราต้องมากินอาหารจานนี้ ที่พ่อครูปรุงและเสิร์ฟมา 

พ่อครูว่า... อาหารที่อาตมาปรุง เป็นพ่อครัว อาหารที่อาตมาปรุงให้พวกเรารับประทานทุกวันนี้ มันเป็นอาหาร ที่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้วค้นพบ ที่แท้จริง เป็นอาหารที่ยิ่งใหญ่ อาหารนี้ อาตมาระลึกถึงอยู่แค่ 2 สูตร

สูตรหนึ่งคือ ปุตตมังสสูตร ซึ่งแบ่งอาหารเป็น 4 กับอีกสูตรหนึ่งก็คือ อวิชชาสูตร ก็มีอยู่ 10 เหตุปัจจัย 

ตั้งแต่อาหาร ที่คนเรารับประทานอาหารคือความไม่รู้เป็นอวิชชามาตลอด พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าผู้ที่ได้อวิชชา อวิชชามันยังมีอาหาร ไม่ใช่ไม่มีอาหาร ท่านตรัสอย่างนั้นเลย 

อาหารของอวิชชาคือนิวรณ์ 5 นิวรณ์ 5 เป็นอาหารที่เอร็ดอร่อยของ อวิชชา เจ้านี่ รับประทานนิวรณ์ 5 เป็นอาหาร สำคัญ แต่ละวันแต่ละวันรับประทานนิวรณ์ 5 

นิวรณ์ 5 ก็มีอาหารอีก อาหารของนิวรณ์ 5 คือทุจริต 3 กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เป็นอาหารของนิวรณ์ ง่ำๆ กินอาหารแต่ละวันทั้งกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต อาหย่อยๆ 

ทุจริต 3 ก็มีอาหาร คือการไม่สำรวมอินทรีย์ 6 ไม่รู้จักอินทรีย์ 6 ไม่สำรวมอินทรีย์ 6 นี่ เป็นอาหารของทุจริต 3 สำคัญนะ การไม่สำรวมอินทรีย์ 6 อยู่ใน อปัณณกปฏิปทา 3 หากไม่สำรวมอินทรีย์ 6 โภชเนมัตตัญญุตากับชาคริยานุโยคะก็เสร็จ 

หรืออยู่ในสัมมัปปทาน 4

1. สังวรปธาน 2. ปหานปธาน 3. ภาวนาปธาน 4. อนุรักขนาปธาน 

เพราะไม่สังวรหรือสำรวมอินทรีย์ 6 นี่แหละ จึงปหานไม่ได้ ปหานปธาน ปหานกิเลส เมื่อไม่มีปหานปธาน ความสำเร็จหรือการเกิดผลคือภาวนา ภาวนาแปลว่าการเกิดผลสำเร็จ แต่ มิจฉาทิฏฐิหลงผิดทุกวันนี้ ก็เรียกภาวนาว่าเป็นภาคปฏิบัติ 

อ้าวไปภาวนา อย่างมหาบัว ปฏิบัตินั่งสะกดจิตนั่นแหละคือภาวนา บรรลุอรหันต์ฆ่ากิเลสตายหมด โดยไม่มีเหตุปัจจัยที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ไม่รู้กี่สูตรต่อกี่สูตร มีเหตุปัจจัยเอามาอธิบายได้ ก็ไม่ได้อธิบายอธิบายแต่สิ่งวิเศษ สิ่งอดทน สิ่งที่พากเพียรพยายามจะตายก็ตาย ก้นแตกตาย นั่งสะกดจิตไปคนเดียวดุ่ยๆ แล้วอธิบายถึงความอุตสาหะวิริยะของตัวเองหนักหนาสาหัส สารพัดสารเพ คนที่ฟังก็ฟังง่ายๆแต่ไม่วิจิตรพิสดารอะไร 

เพราะฉะนั้นก็จะไปอนุรักขนาปธาน เข้าไปรักษาผลที่มิจฉาผลเอามาสาธยาย เอามาสอนเอามาสืบทอดกันไป จนพ.ศ. 2500 ขึ้นมานี้ หมด ตามที่พระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์ไว้ ใน อาณิสูตรว่า โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าจะสูญหายไปหมดเกลี้ยง เปรียบเหมือนกลองอานกะ ไม่เหลือชิ้นส่วนอะไรของความเป็นของเดิม 

เปลี่ยนเป็นของแปลกปลอมหมดในกลองอานกะ เปรียบกับเรียกชื่อเป็นพุทธเหมือนเดิมแต่ความเป็นพุทธถูกเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว อาตมาอธิบายตามเนื้อผ้า อธิบายตามความเป็นจริงที่มันเป็นจริง 

พวกเราฟังแล้วสงสัยไหม อาตมาไปใส่ความหาเรื่องใช่ไหม ไม่ใช่นะไม่ได้ไปใส่ความหาเรื่อง พวกคุณก็เชื่อสนิทเห็นจริงเห็นจังตาม 

เห็นจริงเห็นจังตรงไหน แล้วตอบมาได้อย่างไร? อยู่ที่ปฏิบัติตามกิเลสลดละได้?

ไม่ใช่ ก็มันเสื่อมไปหมดเลย ไม่เหลือชิ้นส่วนของกลองอานกะแล้วเหลือแต่ชื่อเฉยๆ อยู่ไหน อยู่นี่หรือ ชี้ไปตรงไหน?  

ก็คือส่วนใหญ่กับกระแสหลัก ชาวพุทธส่วนมากไม่เหลือโลกุตรธรรม ก็คือไม่ได้หลงเสพเสวยไปมีแบบโลกธรรม ที่ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ไม่ได้ไปงมงาย หลงเสพสะสม หลงแย่งชิงไปมีไปครอง เหมือนกับคนจะไปร่ำรวยแบบโลกีย์ 

แต่นี่ท่านเป็นกระแสหลัก อย่างพระพุทธเจ้าในยุคของท่านก็เป็นโลกุตระกระแสหลัก สังคมสงฆ์ไม่มีใครมี ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสพโลกียสุข อย่างที่เป็นทุกวันนี้เลย 

พูดไปแล้วก็เห็นใจเหมือนกันนะ อาตมาก็เห็นใจท่านอยู่ว่า แหม ท่านก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ท่านที่เข้าใจก็เข้าใจจริงๆ แต่มันสุดวิสัยที่จะแก้จะเปลี่ยนแปลงทำอะไรได้  

ผู้ที่ท่านไม่มีอคติฟังอาตมาพูดแล้วก็รู้สึกตัวอยู่ แต่ว่ามันไม่รู้จะทำยังไง ส่วนที่ท่านเห็นแย้ง ท่านก็แย้งๆๆ โอ้โห แย้ง ผู้ที่แย้งอย่างแสดงออกมามากที่สุด 

ทั้งแสดงออกต่างๆนานา ทั้งเขียนเป็นหลักฐานก็คือท่านมหาประยุทธ์ หรือสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ในบัดนี้ ท่านก็ทำ

มีคนไปถ่ายเอกสาร หนังสือที่ท่านเขียน 4-5 เล่มมาให้อาตมาเพิ่งได้มา อาตมาก็ลองมาอ่านทวนดู โอ้โห อ่านแล้วก็เออ เห็นใจท่าน ท่านเข้าใจจริงๆอย่างนั้น ถึงเห็นใจท่านเลย ท่านเข้าใจก็ยึดถืออย่างนั้นจริงๆ 

จะบอกว่าท่านไม่หลง ท่านก็ไม่หล  แต่ท่านรักสนิทแนบแน่นกับที่ท่านเข้าใจ เชื่อถือ  แต่เราก็เห็นว่าท่านไปหลง เหมือนกับผู้ชายคนหนึ่งมีเมียสองคนก็ไปหลงมีอีกคนนึง เรื่องการเปรียบเทียบที่ไม่ค่อยน่าดู น่าเกลียดหน่อย มันปฏิภาณไม่ดี คิดอุทาหรณ์เปรียบเทียบอย่างอื่นยังไม่ทัน  เอ้า ผ่าน 

ก็เห็นแล้วก็น่าสงสาร ท่านก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อาตมาก็พยายามทำแล้วก็พิสูจน์ตามลำดับ เอาหลักฐานพระพุทธเจ้าที่ตรัสเตือนเอาไว้ เช่น กลองอานกะในอาณีสูตร คำพยากรณ์ว่าศาสนาพุทธเสื่อมลงไปโลกุตระที่ท่านสอนจะเสื่อมลงไป แต่จะมีคำสอนที่ไพเราะน่าฟัง มีเหตุผลอะไรต่างๆนานา อย่างที่ท่านเรียบเรียงตำรา นึกคิดพยายามแปลไป ท่านแปลแล้วท่านก็ว่าถูกแล้วท่านก็ว่าอาตมาแปลผิด

ต่างคนต่างชี้หน้าว่าอีกฝ่ายหนึ่ง 

ก็เห็นใจท่าน แล้วท่านเป็นคนส่วนมากด้วยเป็นคนระดับท่าน เป็นความหมายอย่างท่านมันเป็นโลกๆ เป็นโลกียะ มันก็เข้าใจง่ายสิ 

โลกุตระมันเข้าใจยาก คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34) 

ในพรหมชาลสูตร ท่านบอกว่าศีลเป็นขั้นต่ำ แต่ก็ไม่ใช่ว่าคนจะเข้าใจศีลได้ง่ายๆอย่างนี้เป็นต้น แล้วก็ปฏิบัติศีลกันไม่รอด ทุกวันนี้ก็ไม่มีศีลแล้ว ยึดได้แต่วินัย 227 ก็เป็นหลักฐานยืนยันอยู่ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล หากไม่มียืนยันในพระไตรปิฎกอาตมาก็ถูกฆ่าตายไปแล้ว 

แต่ยังมีหลักฐานร่องรอยของศาสนาว่า ศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล คือศีลของเธอประการหนึ่งภิกษุทั้งหลาย ท่านก็แปลไว้ในพระไตรปิฎกเอง เป็นสำนวนของท่านก็ชัดเจนอยู่ 

มาไล่มาเรียงกัน โดยเฉพาะมหาศีล ผิดกันหมดเป็นเดรัจฉานวิชา ท่านก็ไม่รู้จักเดรัจฉานวิชา เอาง่ายๆที่ท่านไปเรียนดอกเตอร์ ทางวิชาพุทธศาสนามาจากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด เป็นดอกเตอร์ จบปริญญาเอกทางพุทธศาสนาจากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด เป็นเทวนิยม หรือจะมีบางคนเป็นอเทวนิยมหรือแบบพุทธก็ตามก็เขาอยู่ในแดนของเทวนิยม มันก็ได้มาอย่างที่ดีกว่า คนเขาไม่ได้เป็นเนื้อแท้ ซึ่งมันไม่ใช่ตื้นๆ อาจารย์ชาเอาความรู้นั้นมาสอนแล้วก็ได้ไปได้ปริญญาเอกมา ก็นึกว่าเป็นผู้ที่รู้จักศาสนาพุทธดี เขาจบด็อกเตอร์ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยใหญ่ของโลก ซึ่งมันง่ายที่ไหนอย่างนี้เป็นต้น 

ถ้าจบดอกเตอร์จากประเทศไทย มหาวิทยาลัยสงฆ์ของไทยยังพอทำเนา แต่ก็เถอะอาตมาว่าน่าจะมาจบดอกเตอร์ที่ชาวอโศกนี่ แต่เราก็ไม่ได้ตั้ง ปริญญาตรีเราก็ยังตั้งไม่ค่อยสำเร็จเลย แม้แต่แค่วิทยาลัย มหาวิทยาลัย ปริญญาตรีก็ยังประสาทไม่ได้เลย เราก็พยายามอยู่ซึ่งมันไม่ได้ เราก็ไม่ได้ขวนขวายอะไรต่อไป เราก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากมาย แต่เราเอาเนื้อแท้ความรู้ความจริงที่ปฏิบัติบรรลุได้ อาตมาก็ไม่ได้ขวนขวายที่จะต้องไปเป็นสถาบันประสาทปริญญาตรีโทเอกก็ไม่ขวนขวาย 

แต่พวกเรามีไปเรียนปริญญาตรีโทเอกในแขนงต่างๆ หรือแม้แต่แขนงพุทธก็ตามจากที่ท่านสอน ได้ปริญญาตรีโทเอกได้มาประดับ ให้รู้ว่าอย่างที่ท่านรู้นั้น เราก็ไปเรียนมา ไม่ใช่ว่าเราเองเป็นเหมือนหมาเห็นองุ่นเปรี้ยว มันไม่เคยลิ้มลองรสองุ่นเลยก็เลยไปว่าองุ่นของเปรี้ยว ซึ่งที่จริงมันก็หวานนะ เรากินองุ่นมาจนท้องกาง ไม่ใช่หมาเห็นองุ่นเปรี้ยวแน่นอน 

ในโลกนี้ก็มี 2 อย่างสุดท้าย คนหนึ่งมองเห็นดวงดาวอยู่พราวพราย อีกคนหนึ่งมองเห็นโคลนตม สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนหนึ่งตาแหลมคมเห็นดวงดาวอยู่พราวพราย 

ส่วนใครจะเข้าใจอย่างไรตัดสินเอาอะไรก็ได้ แต่เจ้าตัวเองเป็นเจ้าของความรู้ อันไหนเห็นเป็นธรรมวาที ให้ฟังความทั้งสองฝ่ายอย่างดีแล้วเอาไปปฏิบัติพิสูจน์เลย สุดท้ายตัดสินเอง เห็นอะไรเป็นธรรมวาที เพียงคำพูดคำสอนที่มันเป็นธรรม เราก็เลือกเอาอันนั้น ส่วนอีกอันหนึ่งมันไม่ใช่เราก็เข้าใจเอาว่ามันไม่ใช่อย่างนี้เป็นต้น 

วันนี้มาเรียนเรื่องโลก 9 แบบ 

ไม่ได้เรียงชั้นแต่มันมีแตกต่างกัน 9 แบบ 

เพราะฉะนั้นขอสรุปว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าในโลกโลกุตรธรรม ความรู้อันนี้มันจะเสื่อมสูญหายไป ก็จริง จะยุคไหนมันก็ยุคนี้ที่มีเหตุปัจจัยจึงมีคนชาวพุทธมีผู้ที่รักษาดูแลพุทธ นำพาพุทธ แบบที่ท่านนำพาไป ถ้ามันไม่เสื่อมมันก็ไม่ตรงตามที่พระพุทธเจ้าท่านว่า 

ฟังดีๆนะตรงนี้ ถ้าชาวพุทธกระแสหลักในยุคนี้หลัง 2,500 กว่าปีมานี้ ซึ่งก็พอรู้ว่าศาสนาของสมณโคดมจะยืนยาวไปถึง 5,000 ปี ถ้ามันไม่เสื่อมตรงนี้ ตามที่มันเป็นก็คงจะต้องไปรออีก 3-4 พันปี จึงเห็นว่ามันจะเสื่อมหรือไง 

จะเสื่อมหรือไม่เสื่อม อาตมาเกิดมาในยุคนี้พอดี ก็มีคำพยากรณ์อีกแหละว่ามีธรรมิกราชที่จะขึ้นมากกอบกู้ศาสนาพุทธ 2 พระองค์ สอดคล้องกันตรงกันทั้งสองพระองค์ พระองค์หนึ่งก็มีพระจริยวัตรของท่านไปแล้วผ่านไปแล้ว สวรรคตไปแล้ว ก็เหลือซึ่งอาตมาก็พูดอย่างไม่ได้ มังกุ ไม่เก้อเขินเลย พูดความจริงว่า องค์หนึ่งก็คืออาตมา ก็ยังนำพาอยู่

แต่ตอนนี้อายุก็เกือบจะเท่ากับองค์ที่ท่านเพิ่งสวรรคตไป 89 ปี นี่ อาตมาก็กำลัง 88 89 กะร่อกะแร่อยู่นี่ ก็พากเพียรอยู่ว่ามันจะไหวไหมนี่ ที่จริงก็ไม่ถึงขั้นใกล้ตายอะไรหรอก ฟังดูก็เห็นอยู่ว่าไม่ถึงอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าจะตายจริงๆ
    แต่อาตมารู้ตัวเองว่าพิสูจน์ธรรมะพุทธเจ้าในหลัก สัมประสิทธิ์ในหลักที่จะต่ออายุขัย พากเพียรที่จะเพิ่มพลังงาน เพิ่มอายุขัยอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า อานนท์ เราจะมีอายุไปถึง 1 กัปหรือเกินกว่ากัปก็ได้ แต่เราพอแค่นี้ 80 ปี ท่านก็ขอปรินิพพานเป็นปริโยสานไปเสีย  แล้วท่านก็ตรัสกับพระอานนท์ไป แล้วพวกเราก็เคยได้ยินได้ฟัง ท่านจะต่ออายุไปถึง 1 กัป 120 หรือจะเลยไปกว่านั้นก็ได้ คือเอา 120 ปีเป็น 1 กัปในยุคพระพุทธเจ้า ในยุคพระพุทธเจ้ามีอายุเกิน 100 มีเยอะ จะเอาเท่าไหร่ก็ได้ 

อย่างที่อาตมากำลังจะพิสูจน์อยู่เหมือนกัน จะพยายามอยู่ให้เกิน 120 จะไปเรื่อยๆ คนที่นอนติดเตียงอยู่กันเป็น 10 ปี 20 ปี 30 ปีเขายังอยู่ได้เลย ท่านอาจารย์ชา ยังอยู่ติดเตียงตั้ง 7 ปีกว่าจะไป อาตมายังไม่ถึงขั้นนั้นเลย เพราะฉะนั้น 10 ปี 20 ปี 30 ปี มันก็น่าจะไปได้ 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สมณะฟ้าไท... คนที่เขาเห็นด้วยกับพ่อครูที่แสดงธรรม แต่เขาไม่กล้าแสดงออก แต่คนที่เห็นแย้งกลับกล้าแสดงออก ซึ่งมันเป็นเรื่องน่าประหลาด ความจริงคนที่เห็นด้วยในสิ่งที่ดีๆน่าจะแสดงออกว่าเป็นสิ่งวิเศษ 

พ่อครูว่า.. เขาอยู่ในหมู่พวกนั้นก็แสดงออกสิ ถ้ามาอยู่ในหมู่นี้ก็แสดงออกอย่างนั้นก็ถูกตีหัวแตกสิ 

สมณะฟ้าไท...ในโลกนี้ก็ต้องมี 2 อย่างนี่แหละ เราควรแสดงออกตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่มากกว่าแสดงออกตอนที่ท่านเสียชีวิตไปแล้ว แม้ว่าเราแสดงออกไปแล้วจะถูกทำให้หัวแตกหรือถูกด่าก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ว่าการประกาศสิ่งที่ดีจะเป็นคุณค่ามหาศาล อาตมารู้สึกเช่นนั้น เราบาดเจ็บนิดหน่อยไม่เป็นไรหรอก เป็นเรื่องธรรมดา ปกติเราก็ถูกด่าอยู่แล้วใช่ไหม ถูกด่ามากอีกนิดก็ไม่เป็นไร แต่เพื่อจะสร้างความดีสิ่งวิเศษเห็นสิ่งวิเศษที่สุดที่เกิดขึ้นในโลกนี้ อาตมาว่าน่าลงทุนคนที่มีฐานะอย่างนั้น ก็พูดไปตามความรู้สึกของตัวเอง แต่เขาจะทำอย่างไรก็แล้วแต่ท่าน 

กสิกรแข็งขลังเป็นกระดูกสันหลังของชาติ

พ่อครูว่า... ก่อนที่จะต่ออะไรก็ชื่นชมกับ สิ่งที่เอามาสำแดงนี้ก่อน ยกหน่อย โชว์ เปรียบเทียบกับหัวกระหล่ำปลี กับหัวโพธิรักษ์ นี่เป็นกะหล่ำปลีฝีมืออาจารย์ข้าดิน 

ความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหารนี่แหละ อาตมาภาคภูมิใจที่พวกเราช่วยกัน อาตมาก็ให้ลงดินเป็นกสิกรแข็งขลัง กระดูกสันหลังของชาติ ไทยจะเรื่องอำนาจเพราะไทยเป็นชาติกสิกรรม มีผู้รู้ประพันธ์เอาไว้ แก้ว อัจฉริยะกุลหรืออย่างไร ประพันธ์เอาไว้ 

กสิกรแข็งขลังเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ไทยเจริญอำนาจเพราะไทยเป็นชาติกสิกรรม 

เดี๋ยวมันจะลืมทวนไว้หน่อย มันเก่าแล้วไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่ ถ้าขืนอาตมาไปติดลมบน ไปติด ลาภยศสรรเสริญทางโน้นก็คงเสียดายนะ ดีแล้วมาทางนี้ 

อาตมามาถึงยุคนี้ ก็ยิ่งเห็นความชัดเจนว่า อาหารนี่แหละเป็นหนึ่งในโลก ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสจริงๆ มันเป็นเรื่องของมนุษยชาติ ที่จะต้องเลือกเฟ้นแล้วก็สร้างสรรค์เอามาพึ่งพาตนเองเลี้ยงตนเอง พึ่งพาแต่ธรรมชาติไม่พอ ธรรมชาติก็เกิดเองได้ แต่ว่าไม่ทันคนกิน คนนี่เป็นนักสวาปาม กินจริงๆ ไม่ทันไม่พอคนกิน คนไม่ทำมันเยอะกว่าคนทำ 

เมืองไทยนี้ แต่เดิมมาเป็นกสิกรรม เป็นนักกสิกรรม เป็นกสิกร แต่เดี๋ยวนี้เป็นอาชีพที่ตามโลกเขา Export มา เราก็มามีอาชีพตามเขา ต่างๆเยอะแยะหลากหลาย แต่คนมาทำกสิกรรมในเนื้อที่แผ่นดินไทย ซึ่งยังมีอีกเยอะนะที่จะทำกสิกรรมต่างๆขึ้นมาให้อุดมสมบูรณ์ เลี้ยงโลกได้ เพื่อเลี้ยงประชากรโลกได้อย่างดี แต่คนก็ยังไม่เห็นความสำคัญ 

ถ้าเมื่อใด คนไทย ชาวไทยเห็นความสำคัญของกสิกรรม จะยิ่งใหญ่มาก แล้วก็เปลี่ยนอาชีพที่แม้แต่เป็นนางฟ้า อย่างเช่น นี่นางฟ้าพิมพ์เพชรรุ้ง เป็นชาวฟ้าเป็นแอร์โฮสเตส ก็ลงมายินดีในเรื่องกสิกรรมแล้วตอนนี้สารภาพเองว่า ตอนนี้ตัวเองลงมาทำสวนทำไร่ทำนาทำพืชพันธุ์ธัญญาหาร กับหมู่กับฝูงพวกเรา

พวกเราชาวอโศกก็เถอะ แม้แต่ชาวราชธานีช่วยกัน พยายามลงไปทางโน้นให้เยอะ ซึ่งอันอื่นก็สำคัญ แต่ถ้าอันไหนพอจะไปทำทางกสิกรรมให้มาก อาตมาว่าเอาให้เด่นเลย 

เช่น ชาวบ้านราชฯนี่ ประมาณ 1,000 เป็นกสิกรสัก 800 นอกนั้นอีก 200 แบ่งไปทำหน้าที่อะไรอย่างอื่น แล้วจะไปได้ดีมากเลย 

นี่ไม่ใช่อาตมาพูดเลอะๆเทอะๆไป แต่เห็นความสำคัญในความสำคัญนี้จริงๆ จึงพูดให้เห็น แล้วพวกเราก็ทำได้ดีด้วย ทำพืชพันธุ์ธัญญาหารได้ดี ไร้สารพิษ แล้วก็เต็มไปด้วยคุณภาพ จับหัวกระหล่ำปลีดังกร๊อบเลย ใบแก่ก็เอาไปผัดน้ำมันหอยราดซีอิ๊วดีๆได้ขึ้นเหลา จริงนะ ชั้น 1 เลย 

SMS วันที่=,89)ฟัง

_สติพล จนพัฒนา : ของบ้านราชมีแต่ของดีโชว์โดยเฉพาะของกินให้คนที่ไม่มีสิทธิ์ได้น้ำลายไหลหรืออยากกิน หรือโชว์เพื่ออะไรครับ?.

พ่อครูว่า...ก็คงไม่เอาของเน่าของเสียไปโชว์หรอก ก็จะโชว์เพื่ออย่างที่คุณว่านั่นแหละให้อยากจะมาช่วยกันทำให้เยอะๆแบ่งกัน คุณนั่นแหละมา เอาชัดๆเลยเอาแค่นี้ก็แล้วกัน ยิงเข้าเป้าเปรี้ยงเลย คุณนั่นแหละมา 

Thanyaphat Darunphan ธัญภัทร ดรุณพันธ์ : ผลจากการเจอช่องบุญนิยม ทำให้ตอนนี้กินมังสวิรัติได้โดยไม่โหยหาอาลัยอาหารที่มีเนื้อสัตว์ได้แล้วค่ะ แต่กิเลสข้ออื่น ๆ กำลังพยายามลดละลดได้ตามลำดับ ๆ และก็ตั้งใจจะทำต่อไปค่ะ

พ่อครูว่า...อนุโมทนาสาธุเลยทีเดียวคุณธนภัทร 

ฝน : พ่อครูตอบจุดตัดด้วยจิตถ่อมตนมากค่ะ กับคนที่ถามว่าทำไมพ่อครูจึงต้องมีคนช่วยเยอะ ตอบได้ลึกซึ้งครบ ที่พระพุทธเจ้าทำไมต้องมีคนช่วยน้อยกว่าพ่อครูเพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องประกาศศักดาพุทธภูมิ // ส่วนพ่อครูมาสู่ยุคให้โอกาสผู้คนในหลาย ๆ ท่านให้มีโอกาสได้ฝึกฝนจิตโพธิสัตว์ร่วมไปกับพ่อครู ถือว่ามีจังหวะปล่อยเชือกธรรมเส้นนี้ หลายท่านไต่ขึ้นมาสู่ที่สูงขึ้นๆ รู้สึกตามนี้ค่ะ กราบนมัสการอย่างสูงค่ะ

พ่อครูว่า...อาตมาก็ขอยืนยันว่าจริงตามที่ฝนว่ามานะ 

วิธีวิปัสสนาฆ่ากิเลสให้สิ้นเกลี้ยงเป็นเช่นนี้เอง

_Sangswang Rittichay แสงสว่าง ฤทธิชัย : กราบนมัสการหลวงปู่ครับ วิธีวิปัสสนากับกิเลสต้องพูดคุยอย่างไรกิเลสจึงจะหายไป ทำอย่างไรจะเลิกติดในรสอร่อยได้ครับ กราบเคารพอย่างสูงครับ

พ่อครูว่า...แหม พูดอย่างกับว่า มันเป็นสัตว์เลี้ยงตัวนึงง่ายๆ พูดกันเหมือนกับมันเป็นหมาเลี้ยงตัวนึง สุนัขเลี้ยงตัวนึง หรือว่าช้างตัวนึง หรือว่าอะไรตัวนึง 

ตรงนี้แหละเป็นตัวจริง มันไม่ใช่เรื่องเล่น รสอร่อย อัสสาทะ ที่มันหลอกคนเป็นมายาตัวเก่ง เก่งนะตัวรสอร่อยนี่ รูปสวยก็ยังละได้ก่อน รสอร่อยตัวลิ้น กลิ่นหอมก็ยังละได้ก่อนตัวลิ้น กลิ่นหอม ลิ้นกับการสัมผัส เสียดสีทีหลังเลย โผฏฐัพพะ ทางลิ้น

พระพุทธเจ้าถึงมี โภชเนมัตตัญญุตา หรืออาหารที่เป็นคำข้าว กวฬิงการาหาร เป็นตัวสำคัญที่เรียน หากลดละอันนี้ได้ก็จะลดละอันอื่นได้ตาม นี่คือคำตอบให้คุณคนนี้มาเรียนรู้โภชเนมัตตัญญุตา ในรสอร่อยของอาหาร มันเป็นผีหลอก นี่แหละประเด็นพิจารณาเข้าไป 

คุณติดอะไรในรสอาหาร ชนิดนั้นชนิดนี้พิจารณามันจนจางคลายได้ แล้วก็พิจารณาตัวอื่นอีก ตัวไหนที่คุณติดจัด เอาเฉพาะอาหารที่คุณกิน เอามาพิจารณาบ่อยๆทำซ้ำๆ รับรองอีกหน่อยก็ โธ่เอ๋ย

ซ้ำๆ ที่เป็นผัสสะ อะไรที่เป็นอะไรพิจารณาซ้ำๆ พิจารณาตามสัจจะเอร็ดอร่อยมันเป็นอย่างไร จะเห็นเข้าไปชัดเจนเลยว่ะ อยู่ที่ความหลง หลงติดหลงยึด หลงอุปาทานว่ามันอร่อย 

มันจะรสอย่างไร ให้รสอร่อยเหมือนเดิมสุดๆเลย ให้แม่ครัวทำให้รสอะไรเหมือนเดิมทุกๆวัน เดี๋ยวจิตคุณก็จางคลายเองจริงๆ มันไม่เที่ยงหรอก กิเลสนี่มันไม่เที่ยง มันหลอกคนมานัก มันหลอกคนมามากมายหลอกชั่วกัปชั่วกัลป์ 

การหลุดพ้นเรื่องอาหารได้นี่ยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะทางลิ้นยิ่งใหญ่มากเลย กับรสทางสัมผัส โผฏฐัพพะ เสียดสีโดยเฉพาะสัมผัสเสียดสีทางเพศ สองมุมนี้แหละ 

เรื่องเพศ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าไม่ต้องไปทดสอบไม่ต้องไปสัมผัส เอาอันนี้ รสทางลิ้นหมดได้ ทางเพศก็ลด ทางเพศ ก็ไปด้วยกัน 2 อย่าง ไม่ต้องไปเรื่องเพศ แต่เอาเรื่องลิ้น มาเป็นนักบวช มาเป็นพระพุทธเจ้า ก็ลดรสชาติทางลิ้นนี่แหละ จะสุดเลย คงเป็นคำตอบที่พอสมควรแล้ว 

เจ้ากรรมนายเวรก็คือกิเลสตนนี่เอง

_Kru Sa ครู สา  · กิเลส กับ เจ้ากรรมนายเวร เหมือนหรือต่างกันอย่างไรคะ นมัสการด้วยความเคารพค่ะ

พ่อครูว่า...กิเลสหรือ เจ้ากรรมนายเวร เออ.. ลองคิดๆดู

สู่แดนธรรม... เจ้ากรรมนายเวรถูกสร้างมาด้วยกิเลส 

พ่อครูว่า... เออ นี่คำตอบสู่แดนธรรม ภาษาว่าเจ้ากรรมนายเวร มันเป็นเจ้านาย มันเป็นเจ้าของกรรม มันจำนนต่อตัวนี้ยกมันเป็นเจ้า เป็นเจ้าที่จะชักจูงให้เป็นอย่างไรไป 

จริงๆแล้วกิเลสหรือเจ้ากรรมนายเวรก็ตัวเดียวกันนั่นแหละ หรือจะบอกอีกทีนั่นแหละว่าเรายอมให้เขา เจ้ากรรมนายเวร เรายอมให้เขา เหมือน God เหมือนพระเจ้า ยอมให้พระเจ้า แล้วแต่พระเจ้า แล้วแต่พระประสงค์จะให้เป็นอย่างไรไป แบบนี้เป็นคนสิ้นอิสระเสรีภาพหมด ให้พระเจ้าเป็นเจ้าของอิสระเสรีภาพหมดเลย ซึ่งตรงกันข้ามกับความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่ว่า ไม่มีใครมาเป็นเจ้าของเรา เรานี่แหละเป็นเจ้าของอิสระเสรีภาพของเราเองแต่ผู้เดียว 

เราโง่เองทั้งนั้น ไม่มีใครมาเป็นเจ้า บังคับให้เรามาทำตาม (พ่อครูไอตัดออกด้วย)

สมณะฟ้าไท... พ่อครูเคยอธิบายว่ากรรมของเราเองนั้นแหละคือพระเจ้า เราก็หลงว่าต้องไปตามมัน ที่พ่อครูอธิบายตอนต้นเรื่องกินด้วยอวิชชา ให้อวิชชาเรากินเสพเต็มที่ บางคนก็กินจนพุงแตก พวกเราโชคดีมาเจอโพธิสัตว์เจ้าก็เลยเลิกกินอาหารแบบโง่ๆ หันมากินอาหารแบบโลกุตระ มหัศจรรย์จริงๆนะ โลกุตระนี่ ที่ทำตัวเล็กนิดเดียว แต่ทำงานได้มหาศาล มหัศจรรย์ 

พ่อครูว่า... พูดถึงตรงนี้แล้ว ก็อยากจะโชว์อีก ว่าคนอโศกนี่ เป็นคนที่มีรูปร่างยอดเยี่ยม อ้วนลงพุง พิกลพิการอย่างโน้นอย่างนี้ไม่เลย เรียกว่า รูปร่างสันทัดคน ได้สัดส่วน ไม่ผอมไป ไม่อ้วนเลย หลายร้อยคนจะมีอ้วนสักคน ในชาวอโศกอยู่ในบ้านราชฯก็มีอ้วนอยู่คนเดียว อ้อ.. ม่อนอยู่ในข่ายหรือ ระวังนะม่อน 

ก็น้อยจริงๆที่มีอ้วนเรียกว่าได้สัดส่วนจริงๆเลย ถือว่าเป็น error ในคนหลายร้อยคนมีอยู่แค่นั้น ก็ไม่ดูน่าเกลียด จนกระทั่ง ข้างนอกเขา..โอ้โห เห็นแล้วน่าสงสาร ก็กลายเป็นคนพิกลพิการไป 

เรียนรู้โลก 9 แบบ จนเป็นมนุษย์พืชมหัศจรรย์ 

เอ้า มาเข้าสู่ ที่เตรียมเอาไว้จะอธิบายโลก  9 เแบบ อ่านให้ฟังก่อน 

โลก” 9 ชั้น โลก หมายถึง 

1. ดวงดาว ดวงหนึ่ง ในแดนอวกาศ Space 

2. โลก หมายถึง พลังงาน ความหมุนวน เปลี่ยนแปรสภาพไปต่างๆ 

3. โลก หมายถึง สังขาร ที่มีวิญญาณเข้าร่วมปรุงแต่งกันอยู่ 

4. โลก หมายถึง อุปาทาน ที่ยึดเป็นภพ เป็นชาติ

5. โลก หมายถึง อวิชชา ที่คนผู้ไม่รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง “ความจริง” บริบูรณ์ 

6. โลก หมายถึง วิชชา หรือ ปัญญา ที่รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง “ความจริง” สัมบูรณ์ 

7. โลก หมายถึง ความมี กับ ความไม่มี เท่านั้นในความเป็น 2 (เทว) 

8. โลก หมายถึง ธรรมนิยาม 5 

9. โลก หมายถึง สูญ หรือ ศูนย์ (สูญหายไป ; ศูนย์กลาง)

พ่อครูว่า... คนไทยอาคำว่า ศูนย์มาเขียนสองแบบคือ สูญ กับ ศูนย์

อย่างอาคารเรานี้ใช้คำว่า ศูนย์สูญ คำแรกเป็นสันสกฤต คำที่ 2 เป็นบาลี 

มาใช้เป็นความหมายที่ต่างกันบ้าง อย่างสูญคือ หายไปหมดไป เป็นความไม่มี 

ส่วน ศูนย์ หมายถึง ความมี กลางๆ อาศัยเลย สภาพศูนย์อันนี้เป็นสภาพอาศัยเลยกลางๆ เช่น ศูนย์กลาง 

เพราะฉะนั้นจะเขียนหนังสือว่าศูนย์กลาง คุณจะต้องเขียนศูนย์ ถ้าไปเรียก สูญกลางก็ได้ ก็หมายถึงกลางตรงนั้นไม่มีอะไร 

แต่ถ้าศูนย์กลาง หมายถึงความเป็นกลางที่มีอาศัยอยู่ ความเป็นกลางอันนี้ โอ้โหเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดที่คนจะต้องปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้า เอาตรงนี้แหละเป็นสำคัญที่สุดเลย ลักษณะ 

อีกภาษาหนึ่งท่านใช้เรียกว่ามัชฌิมา ผู้ที่บรรลุอันนี้ ผู้ที่บรรลุได้แล้วแล้วเป็นตัวปฏิกิริยาไดนามิกเลย อนุปคัมมะ เป็นคนเข้าถึงสภาพ 2 อย่างแล้วก็มีอยู่ทั้ง 2 อย่างยังไม่ตายยังไม่สูญยังไม่ไปไหนมีวิจารณญาณอยู่ กับความมีกับความไม่มี ซึ่งเป็นความลึกซึ้งสูงส่งมากเลยอันนี้ 

เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็น อนุปคัมมะ หรือคนเป็นมัชฌิมา คือคนสุดยอดแล้วจบเลยในศาสนาพุทธ เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ เรียกว่าอภิภู จบเข้าเขตปาง 8 

ขยายความโลก 9 แบบ 

1. โลกหมายถึงดวงดาว ก็คือลูกโลกนี้แหละอยู่ในอวกาศ มีดาวแต่ละดวง อย่างของเรานี้เป็นพวกดาวดวงหนึ่งเป็นโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ ลูกโลกที่เราอาศัยอยู่ โลกมนุษย์นี้ ก็เป็น 1 ใน 9 ดวง เรียกว่าดาวเคราะห์ นพเคราะห์ ที่เป็นจักรวาลที่เรียกว่า สุริยะจักรวาลนี้ จากพระอาทิตย์ดวงเดียวดวงนี้ ก็มีโลก 9 ลูกหมุนรอบพระอาทิตย์นี้อยู่ สุริยะจักรวาล 

นี่หมายความถึงโลก ลูกโลกที่มันหมุนอยู่ในแดนอวกาศทั้งหมด นี่คือเป็นรูปธรรมแท้ๆ นี่คือโลก คือดวงดาว 

2. โลกหมายถึงพลังงาน พลังงานความหมุนวน เปลี่ยนแปรสภาพไปต่างๆ ตามเหตุปัจจัยต่างๆ ที่จะมาปรุงแต่งพลังงานอย่างไร มันก็หมุนเวียนเป็นพลังงานหมุนวนสังเคราะห์กันอยู่ในนี้ มีจุดศูนย์กลางแล้วก็มีแรงดูดพลังงานไป เป็นนามธรรม ที่จริงจะเป็นอรูปธรรมก็ได้ ถ้าเป็นอุตุก็เรียกเป็นรูปธรรม แม้แต่เป็นพีชะก็เรียกว่าเป็นรูปธรรม ไม่ได้ว่าเป็นนามธรรม จิตนิยามขึ้นไปจึงเป็นนามธรรม มีเวทนา มีความรู้สึก จึงเรียกว่านาม ถ้ายังเป็นแค่พืชยังไม่เรียกว่านามมทีเดียว เรียกว่ายังเป็นอรูปธรรม พลังงานอรูป 

แม้ว่ามันมีชีวะแล้วยังไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ ยังไม่จัดอยู่ในจิตนิยาม ยังไม่ทุกข์ไม่สุข ยังไม่จองเวรจองกรรม ยังไม่มีบาปมีบุญ นี่เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แต่ข้อที่ 8 โลกเป็นธรรมะนิยาม 5 

3. โลกคือสังขาร ตอนนี้มีวิญญาณเข้ามาร่วมเป็น สังขาร วิญญาณ นามรูป เป็น 3 เส้า

อวิชชา จึงรู้สังขาร สังขารจึงได้ว่ามีวิญญาณ วิญญาณจึงมีเหตุปัจจัยรู้งานบวชในนามรูป ต้นสังขารวิญญาณนามรูป สังขารคือสิ่งที่ปรุงแต่งกันอยู่ระหว่างสามเส้า เราเรียกตัวกลางว่าวิญญาณ มันปรุงแต่งกันอยู่ ก็แยกเป็น 2 คือนามกับรูป 

พระพุทธเจ้าขยายรูปเป็นรูป 28 แต่นามมี 5 เอง

อุปทานยึดไปเป็นภพเป็นชาติ ที่ยึดคือวิชชา ไม่รู้สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะผัสสะ เวทนา ตัณหา ก็เลยตกตะกอนตกผลึกเป็นอุปทาน เป็นภพเป็นชาติ 

4. โลก หมายถึง อุปาทาน ที่ยึดเป็นภพ เป็นชาติ

5. โลกหมายถึงอวิชชา ขยายถึงต้นตอของปฏิจจสมุปบาท อวิชชานี่แหละ ก็คือคนไม่รู้จักรู้แจ้งความจริงบริบูรณ์ ก็คืออวิชชา เหลือน้อยก็หนึ่งน้อยก็เป็นอวิชชาน้อยหนึ่ง เหลือสองน้อยก็อวิชชาสองน้อย 

เพราะฉะนั้นต้องศึกษาให้เป็นวิชชา

6. โลก หมายถึง วิชชา หรือ ปัญญา ที่รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง “ความจริง” สัมบูรณ์ 

เคยสังเกตไหมว่าคำว่าบริบูรณ์ กับคำว่าสัมบูรณ์  2 คำนี้มีนัยยะสำคัญต่างกันอยู่ เคยสังเกตเห็นไหม 

บริบูรณ์หมายถึงเต็มเปี่ยม สัมบูรณ์ หมายถึงทั้งเต็มรอบครบถ้วนไปหมดเลย สัมบูรณ์ 

บูรณะอย่างปริอย่างรอบ กับ บูรณะอย่างสมะ ต่างกันที่สมะกับปริ ต่างกัน ถ้าจะไปลงถึงพยัญชนะก็ชัดขึ้นอีกแหละ แต่เอาไว้ก่อน ทั้งปริ มี ป ริ แต่ สม มี ส กับ ม เอง เป็นเศษวรรค ส่วนปริคือพยัญชนะตัวต้นเลย ป มีอีกสามใยเหนียวผูกไว้คือ อยะคือ ยางเหนียวผูกไว้ เพราะฉะนั้น ปริ มีสภาพความหยาบกว่า สมะ  

7. โลก หมายถึง ความมี กับ ความไม่มี เท่านั้นในความเป็น 2 (เทว) เพราะฉะนั้นสรุปแล้ว 2 สภาพนั่นแหละ เทวฺ อาตมาสรุปแล้วในมหาจักรวาลในทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าหากแยก 2 ในมุม เหลี่ยม มิติต่างๆประเด็นต่างๆนานาได้ทั้งครบทุกมุมทุกเหลี่ยม ทุกวิถีทุกมิติเลยนะรวมอยู่ที่เทวะสภาพ 2 ยิ่งใหญ่ที่สุดเลยสภาวะ 2 ถ้าเข้าใจแล้วในสภาวะที่คุณจะต้องเรียนรู้ที่ความมี ถ้าไม่มีก็ตีเป็น 0 ไปเลยจบ 0 กับ จบต่างกันตรงภาวะ 0 คือไม่มีก็จบแต่ถ้ามีก็คืออนันตัง  คือหาประมาณไม่ได้ อัปปมาณา ส่วนไม่มีก็คือ 0 ตัวเดียว ถ้ามีนี้ไปเลยอันนันตังก็ได้ อัปปมาณาก็ได้ หรือหาที่สุดไม่ได้ หรือมากมายจนนับไม่ถ้วนแต่เขามีให้นับ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 จนเป็น 10 ล้านเป็นโกฏ ก็ได้ ภาษาไทยบอกว่านับไม่ถ้วน นับอย่างไรก็นับไม่ถ้วน 

8. โลก หมายถึง ธรรมนิยาม 5 ตัวนี้แหละ เอาตัวที่ 9 เลยแล้วก็หันกลับมาอธิบายตัวที่ 8 คร่าวๆสำหรับเวลาที่เหลือ 20 กว่านาที 

9. โลก หมายถึง สูญ หรือ ศูนย์ (สูญหายไป ; ศูนย์กลาง) จะเป็นสูญหรือศูนย์ก็ตาม ถือว่าจบ จบลงที่ศูนย์ ถ้าใครไม่รู้ความศูนย์ ความจบ ความไม่มีที่บริบูรณ์สมบูรณ์แล้ว คุณก็เลยปัญหาไปแล้ว ปัญหามันมีอยู่ที่ว่า รู้จักความสูญได้ความไม่มีความจบได้ก็จบ ถ้ายังมีอะไรที่ยังสงสัยอยู่แสดงว่าคุณเองคุณยังไม่หมดปัญหา เลยปัญหาไปแล้ว หรือยังมีปัญหาที่ขาดหกตกหล่นยังไม่ครบเท่านั้นเอง ถ้าใครครบแล้วสูญครบ จบ จ่ายจบครบ จ่ายครบจบแน่ ที่เขาไปล้อเลียนพวกเรียนหนังสือ คุณจ่ายทรัพย์ครบก็จบแน่ มันเสื่อมขนาดนั้น 

ธรรมนิยาม 5 เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด ที่ ถ้าไม่เข้าใจ ไม่มีทางบรรลุอรหันต์ ไม่เข้าใจอย่างชัดเจนเลยในธรรมะนิยาม 5 แบ่งสภาวะของนิยามก็คือแบ่งสภาพนิยามไว้แต่ละอย่าง นิยามไว้ว่าอุตุนิยาม ไว้ว่าพีชนิยาม ไว้ว่าจิตนิยาม ไว้ว่ากรรมนิยาม ไว้ว่าธรรม 5 คำนี้ 

พระพุทธเจ้าจึงให้สอน ผู้ที่จะสอนคนคืออุปัชฌาย์ เมื่อรับเข้ามาก็ต้องดูแลรับผิดชอบลูกศิษย์ลูกหา อันเตวาสิกนี้ แล้วสอนให้บรรลุธรรมะนิยาม 5 นี่แหละ 

ถ้าอุปัชฌาย์ไม่รู้จักธรรมะนิยาม 5 นี้แล้ว อุปัชฌาย์เต่า อุปัชฌาย์เป็ด อุปัชฌาย์ไม่ได้เรื่องหรอก อุปัชฌาย์ไม่มีทางที่จะสอนให้คนเขาบรรลุธรรมได้ อุปัชฌาย์อย่างนั้นมีไหม มีที่ไหน มีทั่วไป อุปัชฌาย์ทุกวันนี้เป็นอุปัชฌาย์เป็ด  อุปัชฌาย์เต่า เต่าก็ไข่ทิ้งเป็ดก็ไข่ทิ้งมีลูกแล้วก็ทิ้ง เดี๋ยวนี้ขายราคาแพง 

ธรรมนิยาม 5 มี อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม  กรรมนิยาม ธรรมนิยาม

พระพุทธเจ้าท่านสอน ให้อุปัชฌาย์สอนว่าต้องแยกจิตแยกกาย คำว่ากายนี้สำคัญคำว่ากายไม่สบายจริงๆเลยเนี่ยที่ต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้ง มีความหมายมากเลยในคำว่ากาย เพราะฉะนั้นคำว่ากาย จึงเป็นคำแรกที่ผู้ที่จะมาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าจะต้องรู้จักคำว่า กาย อย่างสัมมาทิฏฐิ 

ถ้ารู้คำว่ากายไม่สัมมาทิฏฐิเลย ไม่ต้องเรียนต่อ 

สังโยชน์ 10 ต้องพ้นสักกายะทิฏฐิ กายแล้วสักกะคือของตน อ่านในตนนี่หละ อ่านความเป็นรูปนาม ความเป็นกาย ความเป็นภาวะ 2 ความเป็นภายนอกภายใน นี่ล้วนแล้วแต่เป็นความหมายของคำว่ากายทั้งนั้น ซึ่งอาตมาก็ยังอธิบายอยู่ นี่ก็แบ่งไว้ 10 ข้อ ในเรื่องของกาย จะเอามาขยายความ เขียนไว้แล้วในปัญญา 8

อุปัชฌาย์จะต้องสอนธรรมนิยาม 5 คือแยกกายแยกจิต ให้แก่ลูกศิษย์ให้เข้าใจอย่างสัมมาทิฏฐิให้ได้ เมื่อบวชให้เสร็จ ท่านก็ต้องอธิบายธรรมนิยาม 5 ให้ลูกศิษย์ เดี๋ยวนี้ไม่ได้อธิบายกัน เพราะไม่มีความรู้อันนี้ ท่านสอนเฉยๆ ซึ่งยังเหลือภาษาอยู่บ้าง ว่าจะต้องมีธรรมนิยาม 5 แต่ไม่มีความรู้กันแล้ว เพราะฉะนั้นจึงเป็นความเสื่อมของศาสนาพุทธจริงๆ อุปัชฌาย์ไม่รู้จักธรรมนิยาม 5 

ขออภัยต้องกล่าวพาดพิงไปถึงแม้แต่ท่านประยุทธ์ ปยุตโต ท่านพุทธโฆษาจารย์ ท่านก็ขยายความไว้ อาตมาก็ตามศึกษาดู ในหนังสือของท่าน ซึ่งไม่ได้เคยไปพบปะคุยกัน ก็ดูว่าท่านเข้าใจธรรมนิยาม 5 อย่างไร ซึ่งท่านเข้าใจไม่เหมือนอาตมา 

ถ้าเข้าใจธรรมนิยาม 5 ไม่เหมือนอาตมา มันบรรลุธรรมไม่ได้ บรรลุอรหันต์ไม่ได้ 

ถ้าแยกธาตุรู้ออก ไม่ได้ว่า ธาตุรู้นี่เป็นอุตุธาตุ คือไม่มีธาตุรู้แล้ว เป็นนามธรรมแล้ว อุตุวัตถุดินน้ำไฟลม พลังงานอย่างที่ไอน์สไตน์บรรลุธรรม ตรัสรู้ ไอน์สไตน์ตรัสรู้เรื่องพลังงาน 2 

 E = MC2 ไม่ได้รู้เรื่องของนามธรรมอย่างที่ว่า แต่เริ่มรู้ไปเรื่อยๆแล้วไอน์สไตน์เริ่มรู้เรื่องเข้าใจแล้วว่า อ๋อ พระพุทธเจ้าเป็นเรียนรู้อันนี้จบ เพราะฉะนั้นไอน์สไตน์จึงยอมยกให้พระพุทธเจ้า ไอน์สไตน์จึงเริ่มเป็นโพธิสัตว์ เพราะความรู้นี้เขายอมพระพุทธเจ้า แต่เขาจำนนที่ปางนี้เกิดเป็นไอน์สไตน์ อยู่ในโลกของเทวนิยม แล้วก็ไม่มีเวลา ไม่มีอะไรที่ โดยเฉพาะบารมีเขายังขยายมากกว่านั้นไม่ได้ เขาก็เลยได้แค่นั้น และก็จบอายุไปก่อน 

เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจ 1 สภาพของอุตุคือพลังงานของสภาพวัตถุต่างๆ ดินน้ำไฟลมมันก็จะต้องมารวมกัน มันดูดมันผลักกัน ต่างๆนานา เหมือนพลังงานที่ไอน์สไตน์ค้นพบแล้วอธิบายเป็นสูตร  E = MC2  นี่แหละยิ่งใหญ่ ทุกวันนี้ใช้พลังงานมีกันอยู่ทั้งโลก 

ทีนี้ พลังงานนี้ ถ้ามันเป็นชีวะเราก็เป็นเจ้าของ ถึงขั้นเป็นชีวะ ถึงขั้นสูงกว่าพีช เป็นจิตนิยาม พลังงานในระดับอุตุ พลังงานในระดับพีช พลังงานในระดับจิต แล้วจัดแจงเองเรียกว่ากรรม 

กรรมกับธรรมะ เป็นสภาพ 2 คือ static กับ Dynamic กรรมนิยามเป็น Dynamic ส่วนธรรมนิยามเป็น Static ธรรมเป็นตัวทรงไว้ กรรมเป็นตัว Dynamic กรรมเป็นตัวลบ ส่วนธรรมะเป็นตัวบวก ก็ 2 ลักษณะนั่นแหละ ตั้งแต่ความเป็นอุตุเป็นพีชก็มีกรรมกับธรรมะ แต่มันไม่รู้จักอุตุมันไม่รู้เรื่อง พีชมันก็ไม่รู้เรื่อง แม้ว่ามันเป็นชีวะแล้ว แล้วมันก็ใช้พลังงานชีวะด้วยนะ พืชมันใช้พลังงานดูดพลังงานผลักได้ ผลักคือมันไม่เอาเพราะมันเป็นพิษภัยต่อมา อันไหนเอามันก็เอาเพราะเป็นประโยชน์ต่อมันเอง มันเป็น it เป็นตัวมันเอง มันมีสัญญากำหนดแล้วก็มาปรุงแต่ง เป็นตัวเจ้าของเป็นประธาน มีสัญญากับสังขาร สัญญาว่าธาตุนี้ใช่ อันนี้ไม่ใช่ไม่เอาไม่เกี่ยวก็ปล่อยเขาไป ดีไม่ดี มันมาเบียดเบียนก็ต้องจำนน แต่เขาไม่เคยเบียดเบียนใคร 

คุณลักษณะอันวิเศษของพืชที่ไม่เบียดเบียนใครเลย มีแต่สร้างตนเองเพื่อประโยชน์ผู้อื่น พืช เป็นอาหารให้แก่สัตว์ เป็นอาหารให้แก่คน ก็ยิ่งใหญ่แล้ว พืช เป็นอาหารให้แก่สัตว์และคน หรือพืชใหญ่ๆ ก็เป็นที่พักพิงอาศัย กลายมาเป็นต้นไม้กลายมาเป็นแก่นแกนใช้ได้หมด ใช้ทั้งใบทั้งดอกทั้งต้นให้คนอาศัยทั้งนั้นเลย พืช พีชนิยาม จึงเป็นตัวประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสัตว์โลก ตั้งแต่เล็กจนกระทั่งใหญ่ที่สุด 

มีพืชอะไรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็คนนี้แหละเป็นตัวเอามาใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด ถึงแม้ว่ามันไม่ใช่คน ก็เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของสัตว์ต่างๆมาใส่ทุกอย่างเลยนะ เพราะฉะนั้นพืชจึงยิ่งใหญ่ในโลกที่เป็นประโยชน์คุณค่า 

ผู้ที่สามารถทำจิตนิยามของตนเอง กรรมนี่แหละ สังขารหรืออภิสังขาร จัดการพลังงาน จัดการการปรุงแต่งพลังงาน 2 ของเราให้เป็น 1 ได้ 

คุณก็หมดทุกข์หมดสุขหมดโลกหมดบุญ หมดวิบากหมดชอบหมดชัง อโหสิหมด ไม่มีอะไรที่จะเป็นพิษภัยอะไรเลย 

เพราะฉะนั้นผู้ตรัสรู้อย่างพระพุทธเจ้า สภาวะพลังงานตัวกลางที่สุดคือพืช จึงยิ่งใหญ่ที่สุด 

สู่แดนธรรม... ในยุคนี้คงมีแต่พ่อท่านอธิบายอย่างนี้ 

พ่อครูว่า... ยุคนี้อย่าง สู่แดนธรรม... อธิบายมาก็ไม่ผิดมีแต่อาตมาอธิบายอย่างนี้ เพราะอาตมาคือผู้รู้ ขออภัยอย่างท่านประยุทธ์ก็ไม่ได้อธิบายอย่างนี้ ไม่ใช่ดูถูก แต่ท่านยังไม่ได้ดูถูกต้องอย่างที่ทางธรรมะนิยาม 5 

สู่แดนธรรม... ผมเคยเอาคำพ่อท่านไปพูดให้เพื่อนฟังเขาก็ไม่เข้าใจ ผมสรุปให้เขาฟังว่า จริงๆพระอรหันต์ก็คือพืช เขาก็ไม่เข้าใจ 

พ่อครูว่า... เป็นมนุษย์พืชที่มีสติเต็มเป็นของตนเองคือพระอรหันต์ 

มนุษย์พืชที่มีสติเต็ม รู้ภายนอกภายในเต็ม ไม่ใช่เป็นมนุษย์พืชที่ไม่มีสติเป็นของตนเองไม่ใช่ มีสติเต็มร้อย รู้ภายนอกภายใน รู้การสัมผัสสัมพันธ์ปรุงแต่งกายสังขารในตัวเองได้ยอดเยี่ยมเลยนี่คือพระอรหันต์ 

นี่แหละคนที่จะตอบสนองจะต้องรู้ธรรมะนิยาม 5 นี้ กรรมกับธรรมะแยกไว้สอง กรรมคือสิ่งที่คุณต้องทำเป็นสภาพ Static กับ Dynamic เป็นสภาพรูปกับนาม 2 ตัว ตัวหนึ่งเป็นตัวทรงไว้เรียกว่าเป็นธรรมะ ตัวหนึ่งเป็นตัวกระทำเรียกว่ากรรม ตัวตั้งเป็นตัวหลักทรงไว้กับตัววิ่งทำงาน แล้วทำอะไร 

ทำจิตของคุณให้เป็นพืช หรือเป็นอุตุให้ได้ ตั้งแต่เป็นๆนี่ยังไม่ตายนี่แหละ คุณสามารถที่จะทำได้ ตั้งแต่เป็นๆยังไม่ตาย เช่น 

เอาใกล้ๆนี่ อ้าว เราติดหอมหัวใหญ่ ติด โอ้ยชอบจังเลย ได้กินวันละหัว 2 หัว ซึ่งมันก็คงจะมากไป 

สู่แดนธรรม... เอาไปชุบแป้งทอด 

พ่อครูว่า... สารพัดปรุงแต่งไป มันมากไปมันก็เสีย คุณก็จะหนัก คุณก็จะเต็ม เต็มไปด้วยเฉพาะธาตุอันนี้  ธาตุอันอื่นที่เราต้องอาศัยมีอีกเยอะแยะ อันนี้ก็มีธาตุในตัวมันจำนวนหนึ่งประมาณหนึ่ง มันไม่ครบหรอก คุณจะกินอย่างไรมากไปก็พิการแล้ว เพราะฉะนั้นต้องกินทุกๆอย่างเฉลี่ยกัน พืชพันธุ์ธัญญาหารต่างๆมันก็มีธาตุอาหารต่างๆกัน ถ้าเรากินพืชพันธุ์ธัญญาหารหลากหลาย อย่าไปกินแต่อย่างเดียว กินหลากหลาย พืชพันธุ์ธัญญาหารที่สะอาดที่ดี ที่ไร้สารพิษ ที่เป็นประโยชน์ ยิ่งมีความรู้ในพืชพันธุ์ธัญญาหารมีธาตุนั้นธาตุนี้ เดี๋ยวนี้เขาก็เรียนกัน ชัดเจนทุกอย่าง มันมีอยู่ในพืชชนิดต่างๆ มันก็ครบ ก็อยู่ได้ ก็จะอายุยืนยาว 

อย่างอาตมานี่ก็ฝืนอายุขัยตัวเองมาตั้งแต่อายุ 72 มันเลย 84 ได้ 1 นักษัตรแล้ว เดี๋ยวไปถึง 96 จวนแล้วๆ ก็ประมาณ 8 ปีก็ถึง 96 ก็จะไปได้ ยืดอายุขัยตัวเองไปถึง 96 ก็จะดูความจริงว่าเราอายุ 96 สภาพความสังขารที่มันปรุงแต่งกัน มันจะมีธาตุที่ปรุงแต่งกันขึ้นมา เรียกง่ายๆว่า มันจะหนุ่มขึ้นมั้ย ถ้ามันมีลักษณะหนุ่มขึ้นมานะ อาตมาถึง 120-133 ที่ต้องการได้แน่เลย มาดูตอนอายุ 96 

อาตมาตั้งแต่อายุ 20 กว่า หน้าก็ดูแห้งกว่านี้เยอะเลยนะ ตั้งแต่อายุ 20 30 กว่า เดี๋ยวนี้อายุ 80 กว่า อาตมาว่าหน้าเต็มเปล่งปลั่ง อันนี้พูดสัจจะไม่ได้พูดยกยอตนเองแบบโลกๆเขาหลอกพูดชัดจะให้ฟัง

ถ้าไม่มีความรู้ในธรรมะนิยาม 5 แยกสภาพของ อุตุ พีชะ จิต ถ้าคุณแยกอันนี้ไม่ออกไม่เข้าใจ แล้วทำไม่ได้ ไม่มีทางบรรลุอรหันต์ ไม่มีทางที่จะทำจิตตัวเองให้เป็นอุตุไปเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย ไม่มี เพราะคุณไม่รู้ คุณทำไม่เป็น คุณจะไปเป็นได้อย่างไร 

สู่แดนธรรม... เขาตีขลุมให้ปล่อยวาง

พ่อครูว่า... ปล่อยวางเป็นภาษา ให้สงบ ปล่อยวางแสงสว่างมันเปิด ดับมันก็คือมืดเท่านั้นเอง ไม่มีอะไร มีกิณหากับอาภัสรา

อาภัสราก็สว่าง กิณหาก็มืดดับ มี 2 ทิศทางเท่านั้นเอง 

สู่แดนธรรม... หากเขาแค่ปล่อยวางจะได้ไหมครับ 

พ่อครูว่า... ไม่ได้ เป็นภาษาเท่านั้น คุณจะต้องมีสภาวะธรรมจริงๆว่ามันหมดยางเหนียวมันหมดการยึดกันเลย คุณทำสภาวะทำให้หมดยางเหนียวหมดการยึดกันเลย กับคุณบอกว่าคนปล่อยวางก็มีตัวคุณกับคุณวาง มันเป็นพยัญชนะเท่านั้น แต่ถ้าอันนี้เป็นตัวจริงของผู้ที่ทำให้หมดยางเหนียว หมดการดูด หมดการตรึงกันอยู่เลย นี่มันเป็นสภาวะที่แท้ ใช้พยัญชนะอธิบายสภาวะได้ประมาณนี้ 

ฉะนั้นถ้าเข้าใจความหมายของอุตุต่างกับพีช ต่างกับจิตอย่างไร สามเส้านี้ เข้าใจอันนี้ไม่ได้ ไม่มีทางบรรลุอรหันต์ 

พระพุทธเจ้าจึงได้พยายามใช้สิ่งที่มีจริง ใช้ผมขนเล็บฟันหนัง 5 ชนิดที่มันอยู่ภายนอกติดตัวเรานี้ก็ได้ จะหลุดออกไปจากตัวเราไปก็ได้ ผมขนเล็บฟันหนัง ส่วนของผมก็ตาม ส่วนของขนก็ตาม ส่วนของเล็บก็ตาม ส่วนของหนังก็ตาม ส่วนของผิวที่มันอยู่ภายนอกก็ตาม 

5 อย่างนี้คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่ยิ่งใหญ่มากเลย 

เอาส่วนใดมาพิจารณาได้ก็เหมือนกัน อาตมาก็ชอบเอาเล็บมาอธิบายมันง่ายมันชัดไม่เกินไม่ยาวเกินไม่เล็กเกิน ถ้าหากใช้ขนก็เล็กสั้น ผมก็ยาวก็เล็กเกิน ถ้าหากว่าฟันมันก็ยากอย่างมากก็มีขี้ฟัน ถ้ายิ่งผิวหนังหรือขี้ไคล เป็นขี้ของใครหว่า ก็ของคุณนั่นแหละขี้ไคล ไม่ใช่ขี้ของใครก็เป็นขี้ของคุณ มันยังติดอยู่ที่ผิวหนังของคุณเท่านั้นแหละ ที่จริงมันไม่ใช่กายของคุณแล้ว มันหลุดออกไปแล้ว ขัดออกไม่ต้องไปทิ้ง ถ้าไม่ทิ้งขี้ไคลมันก็หนาเตอะ 

แต่ก่อนขี้ไคลออกเยอะ ตอนสมัยหนุ่มๆแต่ตอนนี้ถูยังไงขี้ไคลก็ไม่มี ซึ่งมันเป็นความหมักหมมชนิดหนึ่ง อธิบายต่อก็จะยาว เข้ามาสู่สภาวะ อุตุ พีชะ จิต ดีกว่า

สมณะฟ้าไท... สรุปจบ

 


เวลาบันทึก 19 มกราคม 2565 ( 20:57:53 )

650121

รายละเอียด

650121_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ โลก 10 แบบ ที่ไม่ใช่แค่ Imagine ตอนที่ 1 

https://www.boonniyom.net/51193.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/11ItF3nhKHfNo0p41XOckbLZC5NZqIHvNoXn79jC9FMo/edit?usp=sharing    

https://drive.google.com/file/d/12dX2dIztbXQz3M3AM6pHFUHkgBOgr0b3/view?usp=sharing 

ดาวน์โหลดเสียงที่  

    

และดูวิดีโอได้ที่     https://fb.watch/aGp0p0M3CK/ 

และ    https://youtu.be/W6cbCkryi3U 

สมณะเดินดิน... วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 21 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ช่วงนี้อากาศก็หนาวลง ทางเหนือมีพายุลูกเห็บตก อากาศจะหนาวลงอีกหลายองศา 

ประเทศจีนมีนโยบายทำให้ covid เป็นศูนย์ แต่ก็ทุกสื่อสารประเทศทางตะวันตกบอกว่าเป็นนโยบายที่ทำให้ ตามโลกไม่ทัน เหมือนกับคนอยู่ในถ้ำไม่รู้โลกภายนอก แต่ผลที่ได้คือประเทศทางตะวันตกนั้นมีผลกระทบจากโควิดมากมาย สถานการณ์ประเทศจีนแสดงให้เห็นถึงความสามัคคีของคนในชาติ 

พ่อครูว่า... ต่อจากท่านเดินดินว่าไว้ว่า ปัญหาต่างๆไม่หมด เพราะไม่มีปัญญา คำว่าปัญญาคำนี้นี่ อาตมาพยายามบอกต่อโลกว่า ปัญญานั้นเป็นความรู้ ความฉลาดที่พิเศษ มีเฉพาะศาสนาพุทธที่เป็นโลกุตระแท้จริงเท่านั้น เรียกว่าปัญญา ที่พยายามอธิบาย ก็ยังยาก 

ปัญญา 8 ตอนนี้อาตมาขยายไป แน่นอนแล้วว่าจะต้องแบ่งเป็น 2 เล่ม เล่มละ 300 กว่าหน้า เพราะตอนนี้เกือบ 800 หน้าแล้ว ว่าจะตัดครึ่งนึงออกมาพิมพ์ก่อน ลองลิ้มลองดูว่าจะเป็นรสชาติอย่างไร ถ้าคนอ่านแล้วเรียกร้องหาอีกก็ต้องรีบเร่งหาสตางค์มาพิมพ์เล่ม 2 ต่อ แต่ถ้าอ่านแล้วบอกว่าไม่ได้เรื่อง ก็ ไม่ต้องพิมพ์เล่ม 2 

แต่อาตมาคิดว่า มันมีอะไรที่ครบรอบ เอามาขยายความสัมพันธ์ ขยายความ ให้พิสดารแล้วเติมความที่ไม่รู้ในความไม่มีแต่มันมีอยู่ในมนุษยชาติ

SMS วันที่ 19-20 มกราคม 2565

_สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ : คนไม่มีศีล คือคนไม่มีศิลปะฯที่มีภาพของความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงต้องเป็นผู้มีศีล 5 ฯ สัจธ.พ่อครูฯอดีตศิษย์เก่าสถาบันเพาะช่างฯ

พ่อครูว่า...ก็จริงไม่ขยายความล่ะ คนไม่มีศีลคือคนไม่มีศิลปะ ที่จริงก็ทั้ง 38 มงคล มงคลอันอุดมมี 38 ศีลเป็นข้อ 1 ใน 38 

_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ แม่กลับมาปฏิบัติธรรมอีกครั้ง หลังจากที่หยุดพักไป 28 ปี ครั้นเห็นท่านสิกขมาตุกล้าข้ามฝันกำลังเทศน์อยู่ แม่บอกว่าสิกขมาตุองค์นี้เหมือนแม่เณรบุญปลูกจัง ลูกมาถามญาติธรรมดู ปรากฎว่าท่านสิกขมาตุกล้าข้ามฝัน กับแม่เณรบุญปลูกเป็นองค์เดียวกันค่ะ 

_ยอมแพ้ แต่ใจเต็มร้อย : กราบนมัสการพ่อครูครับ โลก 9 แบบที่พ่อครูอธิบาย นั้น เรียงกันเป็นลำดับ จากใหญ่ไปหาเล็ก จากน้อยไปหามาก และจากนอกตัวไปหาในตัวเรา ซึ่งเราควรจะต้องไปรู้ทั้งหมดทุกข้อ หรือ รู้เฉพาะข้อสุดท้ายได้มั้ยครับ

พ่อครูว่า... ยังไงก็ได้ จะรู้ไปทีละข้อหรือสลับกันก็ได้ 

สถาปนาของศาสนาพุทธคือปรินิพพานเป็นปริโยสาน 

_จาก ด.ญ."หนู" : หนูเป็นคนไม่ค่อยเข้าใจเรื่องคำศัพท์ต่างๆเท่าไหร่นักหรอกค่ะ อย่างเช่นคำว่า"สถาปนา"เป็นต้น  เปิดดูในกูเกิ้ลเขาแปลว่า "ยกย่องโดยแต่งตั้งให้สูงขึ้น"  อ่านดูแล้วก็รู้สึกงงๆ จริงๆแล้วมันแปลว่าอย่างอื่นอีกได้มั้ยค่ะขอบพระคุณค่ะ

พ่อครูว่า... ได้ แปลว่าอย่างอื่น ขยายความให้แตกต่างมุมเหลี่ยม แตกต่างประเด็นต่างๆมิติไปอีกได้ สถาปนาก็ตาม สถาปนา ซึ่งเป็นภาษาบาลีนี่ แปลได้ เป็นต้นว่า 

สถาปนา จะแปลว่า นำมาตั้งสถิตลงไป  หยั่งลงไปในแดนนั้นหมู่คนนั้น ให้แน่นเข้าก็ได้ 

สถาปนา แปลว่า สิ่งนี้จะบริบูรณ์ ทั้ง Dynamic และ Static มันหยั่งลงไปหรือว่าเป็นตัวรวมตัวที่สมบูรณ์ขึ้น ทั้งตัวตั้งและตัวเคลื่อน ทั้งตัวบวกและตัวลบ เจริญขึ้นเต็มขึ้น มุทุภูตธาตุ ถ้าสรุปเป็นโลกุตรธรรมสูงสุด มีในตัวเองเป็นหทยรูป ซึ่ง หาที่อยู่หาที่ตั้งไม่ได้ ของใครก็ของใคร ที่จะจับตัวนี้ได้เอง ตามที่รู้สภาวะอันนี้ ไม่มีที่อยู่ไม่มีตัวตน ไม่มีสถานที่ มีกาละคือ ในขณะที่คุณยังมีชีวิตอยู่ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน แม้คุณตายไปแล้ว มันก็ไปสถิตอยู่กับคุณ ของคุณ จนกว่าคุณจะตายแยกธาตุนี้ออกเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย มันจึงจะหายไป คุณทำได้ เป็นพระอรหันต์ขึ้นไป เป็นต้น เป็นโพธิสัตว์ที่รู้แล้ว ทำให้ธาตุจิตนิยามของคุณหรืออัตตาของคุณ สลายเป็นดินน้ำไฟลมไปได้ คุณทำได้จริงๆ มันจึงจะเป็นจริงมันจึงจะสูญไปเลิกไป จิตนิยามคุณก็หายไปเลย นี่เป็นสุดยอดแห่งความรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 

อาตมาก็โชคดีที่ในพระไตรปิฎก ฉบับของพระมหากัสสปะแท้ๆนี่แหละ ฉบับที่เราใช้อยู่เป็นฉบับสยามรัฐ ยังมีอันนี้ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เป็นข้อที่ 10 ของมูลสูตร ซึ่งโอ้โห!..สุดยอดเลย ที่อาตมาเจอแล้ว จับตัวได้แล้ว นี่แหละตัวนี้ สุดยอดที่จะเอามาใช้ เอามาอธิบายเอามายืนยันกับโลกเขา สุดยอด จับตัวได้ 

อาตมาก็นำเอามายืนยัน มาพยายามแสดงอุเทส เพื่อให้คนเข้าใจคำว่า ปรินิพพานเป็นปริโยสานนี่แหละ 

พระอรหันต์ทุกองค์จะต้องทำตัวนี้เป็น จึงจะสามารถทำให้อัตภาพของเรา พระอรหันต์ตายแล้วจะทำให้ทุกอย่างสลายอัตภาพตัวเองสูญสลายไป ไม่เกิดมาอีก ก็ต้องมีความรู้ตัวนี้ ความรู้อย่างนี้ ถ้าไม่มีความรู้ตัวนี้หรือความรู้อย่างนี้ คุณก็เลิกอัตภาพของคุณไม่ได้ สลายอัตภาพของคุณไม่ได้  คุณก็ต้องเกิดวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารของคุณต่อ 

และยิ่งไม่รู้ว่าคุณจะต้องไปอยู่กับพระเจ้า เงียบ ตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้า จบ อธิบายอะไรต่อจากนั้นไม่ได้ นั่นคือความรู้เทวนิยม ที่อั้นตู้ เรียกว่า จะไปก็ไปๆพักๆ พอถึงปลายซอย ตันแล้ว ไม่มีที่ไปแล้วก็ต้องจอดอยู่ตรงนั้นหมดเลย เต็มโลกอยู่ตรงนี้ คือเทวนิยมที่ไปถึงซอยตันด้วยกันหมด ก็เลยจบอยู่ตรงนั้น 

ขณะนี้ ขอแวะการเมืองสักนิด

การเมือง ตอนนี้ อยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อ ไม่ว่าจะไปประเทศไหนก็ตาม 

ตั้งแต่มหาภารตะยุทธ รามเกียรติ์ไล่มาจนถึงบัดนี้ คือเรื่องของสรณะ เป็นเรื่องของโลกเป็นธรรมดาธรรมชาติ ผู้ใดไม่รู้ทันสรณะไม่รู้ทันการรบ เอาตัวเข้าไปเป็นเบี้ยในกระดาน คุณก็ถูกเขากินเขาฆ่า เละเทะอยู่ในนั้น คุณจึงต้องเจริญขึ้นมาเป็นโคนให้ได้ เจริญขึ้นมาเป็นม้าเป็นเรือให้ได้ จากม้าจากเรือแล้วขึ้นมา จนกระทั่งเป็นขุน ให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นหมากรุกของชนชาติใดก็เหมือนกันหมด มีทั้งตัว ตี่ กือ เบ้ ผ่าย ....อะไร แต่ก่อนอาตมาก็เล่นหมากรุกจีนตอนนี้ลืมไปหมดแล้ว การเดินการเล่นก็มีกติกาคล้ายๆกัน 

โลกในเพลง imagine เป็นจริงได้แล้วที่ชาวอโศก

พ่อครูว่า... โลกที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน อาตมาให้คนค้นคำ เนื้อเพลง Imagine มา เขาก็เอาคำแปลที่เป็นของ จิระนันท์  พิตรปรีชา ก็ดี เขาโปรย ขยายความ Imagine 

IMAGINE/ John Lennon (แปลโดย จิระนันท์ พิตรปรีชา)

...Imagine there’s no heaven. It’s easy if you try

หากไม่มีสรวงสวรรค์.. ฝันง่ายๆ

No, hell below us

นรกร้ายเบื้องล่าง ก็ว่างหาย

Above us, only sky

เงยขึ้นเห็นฟ้าโปร่ง โล่งสบาย

Imagine all the people

ลอง นึกภาพ..คนทั้งหลาย

Living for today…

อยู่ร่วมกัน..เพื่อวันนี้

พ่อครูว่า... ที่อาตมาหยิบอันนี้ขึ้นมาพูดถึง ข้อความเนื้อหาสาระใน Imagine มันดังไปทั่วโลก เป็นเพลงที่ดังไปทั่วโลกของ 4 เต่าทอง ดังสนั่นหวั่นไหว จอห์น เลนนอนเป็นคนแต่ง ที่จริงเอาคำเหล่านี้มาจากโบราณเขา อาตมาเจออยู่ในรากเหง้า อันนี้เป็นของโบราณเอามาตีกิน ทั้งทำนองทั้งเนื้อร้องเลย ของโบราณ 

Imagine there’s no country

ลบเส้นแบ่งแห่งรัฐชาติ..ลองวาดฝัน

It isn’t hard to do

เพียงเท่านั้นเรื่องร้ายๆก็คลายคลี่

Nothing to kill or die for

ไม่ต้องฆ่า ไม่ต้องรีบเอาชีพพลี

And no religion, too.

และไม่มีเส้นทาง ต่างศรัทธา

Imagine all the people

ลองนึกภาพ ผองชนคนทั้งหลาย

Living life in peace,,

สุขสบายสันติธรรมค้ำคุณค่า

You may say I’m a dreamer

เธอจะหยันว่าฉันเพ้อ ไม่ลืมตา

But I’m not the only one

แต่ก็มีมากกว่าฉัน ที่ฝันเป็น

พ่อครูว่า... เหมือนชาวอโศกที่คนก็อยากมา

I hope someday you join us

ได้แต่หวังว่าวันหนึ่งเธอจึงเห็น

And the world will be as one

มาร่วมเป็นหนึ่งเดียว สร้างโลกใหม่

Imagine no possessions

โลกที่ไร้การครอบครองของผู้ใด

I wonder if you can

ลอง คิดดูได้ไหม..อยากให้ลอง

พ่อครูว่า...พวกเราเป็นได้แล้ว มันน่าโชว์มันน่าอวด แต่คนยังไม่เชื่อ ไม่ใช่อะไรหรอกเพราะอาตมาถูกดิสเครดิต ถูกประกาศไปอย่างกว้างขวาง ถูกทำลายความเชื่อถือ แล้วเดี๋ยวนี้คนก็ยังที่มาเชื่อถืออาตมาก็ยังน้อยอยู่เลย ที่พูดนี่ไม่ได้น้อยใจ รู้ความจริงอยู่ว่า ที่คุณพูดอยู่และต้องการนี้อยู่ตรงนี้ ซึ่งมันยังยากอยู่เพราะเป็นโลกุตรธรรม 

No need or greed or hunger

จะสิ้นทุกข์ทรมาน การกดขี่

A brotherhood of man

เมื่อโลกนี้พี่น้องกัน ชนทั้งผอง

Imagine all the people

ลองวาดฝันวันใหม่ ได้ปรองดอง

Sharing all the world..

ร่วมแบ่งปันครรลองโลกของเรา

You may say I’m a dreamer

เธอจะหยัน ว่ายังเพ้อละเมอฝัน

But I’m not the only one

แต่มิใช่เพียงแค่ฉัน ฝันเก่าเก่า

I hope someday you join us

จะรอเธอมาร่วมแรง ช่วยแบ่งเบา

And the world will live as one

เพื่อโลกเราสุขสมาน ศานติครอง.

จีระนันท์ พิตรปรีชา

โยมว่า...ที่เขาพูดมานี้เป็นเรื่องเพ้อเจ้อหรือเปล่าครับ 

พ่อครูว่า...เขาไม่เพ้อเจ้อหรอก เขาก็คิดว่าดี ว่าถูกต้อง แต่เขาไม่มีบารมี ทั้งๆที่คนไทยมี ชาวอโศกมีให้รู้ ให้เห็น ให้พิสูจน์ อกาลิโก เอหิปัสสิโก มาพิสูจน์ได้เลยขณะนี้ อกาลิโกยุคนี้มาเลย อกาลิโกมาพิสูจน์ได้ แต่เขาไปเชื่อสังคมกระแสหลัก ที่ได้ดิสเครดิตอาตมาไว้ ไปหลงคารมเขา ไปเชื่อว่าทางโน้น บอกว่าทางนี้มาทำลายศาสนา มาทำลายสังคมอะไรต่ออะไร อันนี้แหละที่ทำให้อาตมายังไม่อยากตาย ที่คุณหยามอาตมามากตรงนี้ อาตมาก็เลยบอกว่าไม่เป็นไร หยามอาตมา อาตมาจะอยู่พิสูจน์ความจริงไปเพื่อที่จะขยายผลออกไปจนกระทั่งคนตาบอดเห็นได้ คุณจะบอดต่อไปก็ให้มันรู้กันไป ขยายต่อไปจนกว่าคนตาบอดจะเห็นได้อย่างนี้เป็นต้น 

อาตมาเขียน กวีของอาตมาบ้าง ตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม 2556 ผ่านไป 9 ปีแล้ว ชื่อกวีว่า คนพ้นทาส ชาติพ้นทุกข์ 

        คนพ้นทาส ชาติพ้นทุกข์

            (1) ชาติคือบ้านที่แท้        ของตน

            มนุษย์ชาติไทยทุกคน        พี่น้อง

            ทั่วไทยใช่ต่างชน             ต่างชาติ  

            ล้วนญาติชาติเชื้อต้อง        ผนึกให้เป็นจริง

           (2) กิเลสสิงใจชั่วไซร้        ไม่ระลึก

            หลงโลกไป่รู้สึก            สักน้อย

            ทำไฉนจักสำนึก            อริยสัจ บ้างนอ 

            ไทยนี่พุทธอ้อยต้อย        แต่ร้างแรมธรรม               

            (3) จึงระกำช้ำชอก        ฉะนี้แล

            หลงศาสตร์บ่แยแส         ศาสน์บ้าง

            เป็นทาสขลาดอ่อนแอ        สุดสุด          

            สยบเยี่ยงผีถูกจ้าง            โม่แป้งขบถธรรม   

           (4) ย้ำให้ไทยทุกผู้            ทบทวน

            ทุกระบบทุกกระบวน        หมดหล้า            

            คือระบอบแห่งโซ่ตรวน        ผูกมนุษย์ ไว้แฮ

            ลาภยศแผลงฤทธิ์กล้า        เบ่งบ้าเป็นนาย

 

            (5) คนกลายเป็นสัตว์ผู้        ถูกมัด   

            สังโยชน์ผูกร้อยรัด            หลุดมิได้    

            อะไรผูกก็บ่ชัด            เท่าอวิช- ชาเลย

            นายที่โหดเหี้ยมใช้            กิเลสร้ายผูกคน

 

            (6) ช่วยตนโดยก่อหนี้        คือแอก

            รัฐช่วยกระหน่ำซ้ำแบก        แต่หนี้ 

            บริหารแบบกู้แหลก         แจกล่อ

            สร้างระบบทาสเช่นชี้        ชัดฉะนี้บรรลัย

 

            (7) หากไทยหวังพ้นทาส        กันจริง

            ต้องปลดแอกตามคิง        ธ ไท้

            พึ่งพุทธมิต้องอิง            แอบอื่น อีกเลย   

            ช่วยมนุษย์พ้นทาสได้         ชาติพ้นทุกข์ระทม.       

   

                        สไมย์ จำปาแพงŽ           

                            4 ม.ค. 2556

สมณะเดินดิน... เราฟังเพลง imagine ก็เคลิ้ม แต่เมื่อมาดูความจริงก็เป็นอีกอย่าง เหมือนเรารู้ว่าเป็นโรคมะเร็งในร่างกาย คนไม่มีความรู้ก็บอกว่าไม่ใช่มะเร็งอะไรหรอก เคยมีพี่ชายของญาติธรรม เป็นมะเร็งเขาเลยไปหาหมอที่เชียงใหม่ หมอที่เชียงใหม่บอกว่าไม่ใช่มะเร็ง เขาก็เลยกินอยู่อย่างสบาย แต่อีกไม่นานก็ตายจากมะเร็ง 

พ่อครูว่า... อาตมาแต่งเพลง อิสรภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ แต่งไปได้ 4 เพลงแล้ว อีกภาพหนึ่งคือ บูรณภาพ 

สู่แดนธรรมจองไว้ว่าจะแต่ง แล้วไม่เอาขันหมากมาสักที ว่าจะแต่ง ก็ไม่เอาขันหมากมาสักที นี่ภาษาไทยนะ เราไปได้เรื่อยๆภาษาไทย

บูรณภาพยังไม่ได้แต่ง บูรณภาพ แปลว่าเต็ม 

อิสระเสรีภาพ พวกเราชัดเจนแล้ว ภราดรภาพ คือ เป็นพี่เป็นน้อง ก็มีแล้วเต็มแล้วสบายแล้ว สันติภาพก็ได้แล้ว สมรรถภาพ เราก็ได้แล้วนี่ ทุกวันนี้ก็ใช้สมรรถภาพกัน ต่างคนต่างกระปรี้กระเปร่าขยันหมั่นเพียรสนุกสนาน แต่ละวันแต่ละวันมีเรี่ยวมีแรง ใครเมื่อยใครป่วยก็พักไป ใครเมื่อยใครป่วยก็พักไป คนมีแรงก็ทำไปไม่เกี่ยงกัน ภาษาอีสานว่าบ่หนิ่งกัน ต่างคนต่างร่วมไม้ร่วมมือกัน สนุกสนานธรรม 

ตอนนี้เรากำลังพยายามสถาปนาถนนส้มตำ ใครเดินถนนนี้เข้ามา อุปกรณ์การทำส้มตำยกครกเอามาแดกข้าวมาเท่านั้นเรียบร้อยเลย มะละกอก็มี พริกก็มี มะเขือเทศก็มี เอามีดมาด้วย นอกจากครกกับสากแล้วเอามีดมาด้วย ปลาแดกด้วย ต้นปลาแดกก็ยังปลูกไม่ได้ ที่จริงมันน่าจะมีต้นที่รสเค็มนะ ต้นที่แทนปลาแดก แทนเกลือ แทนน้ำปลา เป็นรสเค็ม มันจะเหมือนกับปลาแดกก็ใช้ได้ น่าจะปลูกได้ ถ้าปลูกได้ละโอ้โห.. มันจะเป็นถนนส้มตำที่แท้จริงเลย นี่กำลังทำอยู่ไม่ได้พูดเล่น ถ้าเกิดขึ้นมาจริงๆจะสนุกมากเลยทีเดียว 

เรามีเรี่ยวแรง ทำไมเราทำได้ เพราะเรามีใจ มีจิตใจที่ไม่หวงแหน ไม่ขี้เหนียว แล้วก็มีใจที่จะเกื้อกูล เผื่อแผ่แจกจ่ายเอื้อเฟื้อเจือจานแก่ผู้อื่น มันเป็นคุณธรรมของมนุษยชาติ มันเป็นสิ่งที่เจริญที่ดีพวกเรารู้ชัดเจน ก็ทำให้มันจริงแล้วก็ทำได้ ทำได้แล้วก็ยิ่งมีปิติ ยินดี รื่นเริงบันเทิงใจนะ ไม่ได้หน้าเหี่ยวเฉาอะไรเลย นี่คือภูมิปัญญาที่เจริญของคนประเสริฐ ของคนเจริญ สุดยอดเลย มันก็ไปอย่างนี้ แล้วทำให้เจริญๆๆแล้วยิ่งเสริม

มันมีวรรณะ 9 จิตใจมีฐานของจิตวรรณะ 9 กับมีพุทธพจน์ 7 

สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ  ซึ่งเป็นคำสอนพระพุทธเจ้า เรามาพิสูจน์ความเป็นจริง จิตใจจะเป็นไปตามภาษาที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

ปิยกรณะ ก็รักกันแล้วมีรักมิติที่สูงขึ้นไป จนถึงมิติที่ 9 เลย ไม่ใช่รักกันแค่ครอบครัวญาติพี่น้อง 

สิ่งที่อาตมาได้ขยายความไม่ว่าจะเป็นความรัก 10 มิติ แม้ว่าจะเอาธรรมะพระพุทธเจ้าขึ้นมา ความรัก 10 มิติพระพุทธเจ้าไม่ได้ขยายความไว้แต่อาตมามีภูมิธรรมจากต้นตอของพระพุทธเจ้านี่แหละ มันได้ ก็ทำไว้หมดต่อยอดอะไรไว้

เสร็จแล้วก็มายืนยันสาราณียธรรม 6 มีวรรณะ 9 มีความรักกันเคารพกัน คุรุกรณะ สังคหะ เจือจานเอื้อเฟื้อกันอย่างที่เป็นกัน ซึ่งเป็นความประเสริฐของมนุษยชาติที่ไม่มีชาติไหนปฏิเสธหรอก นอกจากนายทุนหน้าเลือดเท่านั้นที่จะรู้สึกขัดใจ เพราะเขาทำไม่ได้ แต่ถ้าคนสั่งมันปกติแล้วไม่ว่าจะเป็นคนแดนนรก คนที่มันหวงแหนนายทุนที่ขี้เหนียว ขี้โลภ ตะกละสะสมให้แก่ตัวเอง เป็นคนสัตว์นรก เขาก็จะเป็นอย่างนั้นอยู่ ขออภัยนะไม่ได้ด่านายทุน แต่ขยายความจริง อธิบายความจริงให้ฟัง 

คุณเป็นอย่างนี้ก็ต้องถูกว่าอย่างนี้ จะไปแปลคำนี้ว่าด่าก็เรื่องของคุณ ไม่ได้ด่า ไม่มีจิตจะไปมุ่งร้ายหมายไร้อะไร มีแต่จิตย้ำให้เห็นว่ามันไม่ดีเปลี่ยนแปลงเสีย แต่คุณฟังไม่เป็นแล้วก็ไม่แก้ไขปรับปรุงแล้วยังไปโกรธไปอาฆาตพยาบาทไปชิงชังอาตมาอีก มันยิ่งซับซ้อนความโง่ ถ้าคุณคิดอย่างนั้นทำอย่างนั้นคุณยิ่งโง่หนักเข้าไปอีก นี่อาตมาไม่ได้ด่าซ้ำเติมนะ มันซับซ้อนมันเป็นสัจธรรม มันเป็นความจริงที่มันเป็นอย่างนี้ ฟังไว้เถอะศึกษาธรรมะฟังไว้เถอะศึกษาธรรมะ อย่าไปมัวแต่สะสมเงินทองข้าวของขี้โลภไม่รู้จักจบไม่รู้จักพอ โลกมันเดือดร้อนเพราะอวิชชาแบบนี้ ไปมัวอวิชชาอยู่ ไปมัวโง่เเหง้าแบบนี้อยู่ แล้วไปหลงพวกนี้อยู่มันนาน พูดอย่างนี้จะบอกว่าน่าเห็นใจก็ไม่เห็นใจนะ จะพูดหนักๆอย่างนี้แหละ จะแปลว่าด่าก็คือด่า อย่างนี้ 

เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มาศึกษาสัจธรรม ที่สุดยอดของมนุษย์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว มันไม่คลี่คลายไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอยู่อย่างนั้น แต่ถ้ามาศึกษาดีๆ เริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายไปตามลำดับดีๆ ต้องเรียนรู้ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย

ทุกวันนี้คนไปหลงเอาแต่ยอดแล้วก็ไม่รู้ตัว ยอดภูเขาเอเวอเรสต์ต้องการพิชิตแต่ไม่รู้ต้นและกลางสมบุกสมบันยากเข็ญแค่ไหนก็ไม่เอา คิดเอาวันๆเหมือน Imagine จินตนาการจะเอาแต่ยอดๆๆฝันเพ้อ เพราะฉะนั้นคนที่ฝันเพ้อนี่เยอะ 

อาตมาเอาเพลงนี้มาเพราะจะมากระตุกพวกฝันเพ้อ รู้มากรู้สวยเข้าใจอะไรเยอะ แต่ไม่ลงมือ ไม่ประพฤติ ให้มันเป็นเบื้องต้น ละลด ไอ้สิ่งที่เป็นเรื่องต้นๆ ลาภ ยศ สรรเสริญ เป็นอันตรายแสบเผ็ดพระขีณาสพเผลอไม่ได้ อันนี้เผลอไม่ได้ เตือนพระขีณาสพเลย เผลอไม่ได้ เผลอมันเล่นงานเอาแสบเผ็ดจริงๆ

ทุกวันนี้ยังไม่บรรลุอรหันต์ ก็ต้องแสบต้องเผ็ด แต่ไม่รู้จักความแสบความเผ็ด จมอยู่กับความสุดแสบสุดเผ็ด

มันดักดานเหมือนโจรปล้นศาสนาที่อาตมาพูด วนไปซ้ำแล้วซ้ำอีก ที่พระราชาเห็นแล้วว่า คนนี้เป็นโจรปล้นบาปที่ปล้นทำลายศาสนา ให้เอาไปฆ่า เจ้าพนักงานก็เอาไปฆ่า ฆ่าด้วยการแทงด้วยหอกร้อยเล่มเช้ากลางวันเย็นก็ยังไม่ตาย ก็เลยทิ้งปลายเปิดเอาไว้อย่างนั้น ใครทำได้อันนี้แหละคือผลสำเร็จ ใครฆ่าโจรร้ายนี้ตายก็หมายความว่า หยุด อย่าไปหลงติดอยู่แบบเก่า ออกมาทำอย่างที่พวกเราพากันทำอย่างที่พระพุทธเจ้าพากันทำ มาลด ละเลิก เรียนรู้ปรมัตถ์ต่างๆมาเรียนรู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน จริงๆ เขาก็ไปหลงพยัญชนะเข้าไปอีกก็น่าสงสาร 

ศาสนาพุทธเสื่อมเพราะติดบัญญัติภาษาพยัญชนะไม่ลงไปถึงความจริง ที่เข้าไปถึงจิต เจตสิก รูป นิพพาน แยกเจตสิกโดยเฉพาะไปถึงเวทนาเจตสิก ซึ่งเป็นตัวเจตสิกตัวแรกจากรูป มาเป็นนาม นามก็คือจิต เจตสิก

นามตัวแรกคือ เวทนา ก็ส่งไม่ถึง สัญญาก็ยังไม่เข้าใจถูกต้องเท่าไหร่ สังขารก็เข้าใจไม่ถูกต้องเท่าไหร่ ยิ่งวิญญาณยิ่งไม่รู้เรื่องเลย 

จะรู้จักวิญญาณต้องรู้จักตั้งแต่สภาพ 2 ตื่นรู้จักนามรูป ก็ไม่รู้ ความเป็นสองความเป็นนามรูปก็ไม่รู้ 

ขยายความความเป็นสองจิตวิญญาณคือกาย กายคือ รูปนอกรูปในก็ไม่รู้ หลงผิดไปเอาแต่จิต จิตเป็นประธาน ก็เรียนแต่รูปใน รูปนอกไม่เอา งมงายอยู่แต่ในรูปใน เป็นสัมภเวสีไปอีก อาตมาจึงเหนื่อย ยังเหลือแต่จะหน่ายเท่านั้น ถ้าหน่ายเมื่อไหร่ก็ไม่เอาเลิกแล้ว แต่ตอนนี้ก็พยายามไม่ไปถึงตรงนั้น เหนื่อยก็พัก พยายาม นี่อย่างตอนที่เดินเข้ามาตรงนี้ทางโน้นก็บอกว่าสู้ๆ เราก็สู้ๆ มีผู้เชียร์ 

คือพูดไปแล้วจริงๆ ขออภัยต้องพูดเรื่องนี้ อาตมาเกิดมาในยุคนี้ เป็นยุคที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้จริงๆเลยว่าเป็นยุคที่โลกุตรธรรมมันสูญไปหมดแล้วเหมือนกลองอานกะ 

นี่เป็นเรื่องจริงไม่ใช่อาตมามุกขึ้นมาแต่เป็นเรื่องจริง พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าต่อไปในอนาคตข้ามชาติมาเกิดชาตินี้เป็นพยานพยานเป็นบุคคลในสมาชิก 10 หลักจะเป็นคนอย่างเราโลกุตระจะเสื่อมสูญ ไม่มีแล้ว กลองอานกะ ไม่เหลือเนื้อมีแต่ชื่อกรองก็คือชื่อโลกุตระภาษายังอยู่เป็นโลกุตระ แต่มันไม่มีเนื้อแท้เลย 

อาตมาพูดบอกต้นว่าอาตมาเป็น สยังอภิญญา เป็นผู้ที่มีโลกุตระธรรมมาแต่ชาติปางก่อน มาข้ามชาติมาเกิดชาตินี้เป็น สยังอภิญญา เป็นบุคคลในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก ดีที่มีหลักฐานยืนยันเอาไว้

โลก 10 แบบ ที่ไม่ใช่แค่ Imagine ตอนที่ 1 

พ่อครูว่า... อาตมาขอยืนยัน แล้ว สยังอภิญญา จะเป็นคนอย่างไร 

สยังอภิญญา ก็คือเป็นคนที่อธิบายโลกนี้โลกหน้า 

โลกที่กำลังพูดกันอยู่นี้กำลังแยกมาแค่ 9 แล้วขยายเป็น 10 

คนที่ไม่มีอคติฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา สุสูสังลภเตปัญญัง  

คนที่ ทุสูสังก็อวิชชา

เพราะฉะนั้นอาตมาก็ยืนยันว่าอาตมาเป็น สยังอภิญญา อย่างพวกคุณนี้เชื่อก็มาปฏิบัติตาม อาตมาก็พาปฏิบัติศีลสมาธิปัญญา อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา  

ตอนนี้ขยายความไปจนชัดเลยว่าก็คือจรณะ 15 วิชชา 8 ชัดเจนพวกเราก็ชัดเจนไม่มีความสงสัย ยืนยัน ทั้งพยัญชนะคำสอนพระพุทธเจ้า ว่าเราทำถูกตามลำดับตามเนื้อหาของพระพุทธเจ้าตามข้อปฏิปทาต่างๆ แล้วก็ได้ผล เป็น อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา  จนมีวิมุติ วิมุติญาณทัสนะขึ้นมา

ชัดเจนก็มีสิ่งยืนยันไม่ใช่คนเดียว เป็นร้อยคนเป็นพันคนเป็นหมื่นคน อาตมาว่าได้ถึงหมื่น แสนก็น่าจะถึง นับโสดาบันขึ้นไป นับให้มันชัดๆ ทั้งโสดาปัตติมรรค

คนฟังอาตมา 50 ปี คนนี้น่าจะถึงแสน ถ้าไม่ถึงแสนก็สู้ลิซ่าไม่ได้นะ 

แม้มันจะได้น้อยได้ไม่มากแต่ได้เนื้อแท้ เกิดเป็นสังคมนอกจากวรรณะ 9 จริงๆแล้ว เป็นคนเลี้ยงง่าย เป็นคนบำรุงง่าย เป็นคนมากล้าจนมักน้อย อัปปิจฉะ มาเป็นคนใจพอ สันตุฏฐิ มาเป็นคนที่ขัดเกลาตนเอง สัลเลขะ ขัดเกลา กาย วาจาใจตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า มีธูตะ ศีลเคร่ง ศีลสูงขึ้นจนบรรลุผลมีอาการน่าเลื่อมใส กายกรรมน่าเลื่อมใส  วจีกรรมน่าเลื่อมใส  มโนกรรมน่าเริ่มใสขึ้น 

ผลสรุปเป็นคนที่ไม่สะสม อปจยะ และยอดขยัน ระดมความเพียร นี่เป็นสำนวนของท่านประยุทธ์ปยุตโต สำนวนที่ท่านแปลเก่าๆคือปรารภความเพียร เป็นผู้ที่เพียรอยู่เสมอไม่หยุดหย่อน รู้จักพักรู้จักเพียร แล้วก็เกิดผล 

เกิดผลเป็น สาราณียธรรม สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา  อยู่กันอย่างเมตตา สุขสำราญเบิกบานใจอยู่ในระบบสาธารณโภคี 

ลาภที่เราได้มา สิ่งที่ทุกคนร่วมกันขยันพากเพียรสร้างมาก็เกิดผลผลิตเอามารวมส่วนกลาง อย่างที่เห็นกองโต มันอุดมสมบูรณ์จริงๆ 

(มีคนเขียนมาให้อ่าน ผัก ที่อยู่บนโต๊ะ)กวางตุ้งผักกาดขาวสวน ดาวสู่แสงพุทธ กะหล่ำปลี  กะหล่ำดอกจากสวนอาจารย์ ข้าดิน มะรุมจากสวนอาละอองนิล ผักชีลาวดอกไม้ฝรั่ง Forget Me Not สวนแม่เต็มศิริ

พวกเราเอามาประดับตกแต่งบนโต๊ะจนคนว่า เป็นสมณะคือศีลมากกว่า 8 แล้วทำไมมีดอกไม้มาประดับโต๊ะ ก็อะไรกันนักกันหนา จะตกแต่งนิดหน่อยก็ไม่ได้

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สมณะเดินดิน... พ่อครูเป็น สยังอภิญญา ท่านประกาศตั้งแต่เริ่มต้นทำงานศาสนาใหม่ๆว่า อาตมาเป็นคนไม่มีครูบาอาจารย์ อันนี้ไม่เข้าหูคนอื่นเลย  รองรับกับคำ สยังอภิญญา ซึ่งไม่ใช่อยู่ดีๆก็มาเป็นได้ หรือไปซื้อตามร้านขายยา 

พ่อครูว่า…ถ้าเข้าใจวัฏสงสารการตายแล้วและก็เกิดมาแล้วก็มีอนุสัย มีจิตที่เป็นต้นตอของเรา สย สยัง ตัวเรา ที่มันติดตามเราไปอนุสัย จนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสานก็นี่แหละคือ สยังอภิญญา ตัวเรานี่แหละ มันมี สก สว สย

สก เป็นตัวตนที่หยาบที่สุด ใช้พยัญชนะตัวต้นของพยัญชนะเลย 

ต่อมาก็ สว ก็ตัวตน อาสวะนี่ ตัวตน ที่จะต้องมาพัฒนาสวะ ตัวตนที่มีการปรุงแต่งเป็นสังขารมีกิเลสมาร่วมปรุงแต่ง ภาษาไทยเรียกว่า สวะ ต้องเอาสวะออก

ว ตัวนี้เป็นตัวที่ 4 ของเศษวรรค ก็เอา ตัวนี้ออกให้หมด หมด สก หมด สว เหลือ สย ซึ่งเป็นเศษวรรคทั้งหมดเลย 

ย ตัวที่ 1 ของเศษวรรค ตัวนี้สำคัญตัวสุดท้าย ถ้าเผื่อว่ามันยังหลงอยู่ก็จะเป็น ย เช่น ยสะ ยโส เป็น ยศ 

สย กับ อย 

สย มาเป็น ยส 

อย จะเรียกว่า ยอ ก็ได้ มาเป็นภาษาไทยคือ ย.ยกขึ้นไปเลย ที่จริงมันก็จะหมดแล้ว 

ยส กับ อย 

อย ท่านแปลว่า ยาง อย คือ เชื้อ ของความเกาะความเหนียวกันอยู่ ยางเหนียว มันยังเหลือเชื้อต้องติด ต้องผูก ต้องยึด เพราะฉะนั้นต้องหมด อย ความเป็นยางเหนียว ต่างคนต่างอิสระหมดเลยไม่มีลักษณะดูดผลักกันจริงๆเลย ถึงจะหมดเกลี้ยง 

สิ่งที่ยังไม่หมดไม่เกลี้ยงก็ยังมาผูกพันเข้าจึงเรียกว่า โลก อาตมาก็หยิบมาพยายาม 160   10 อย่าง 

โลก” 10 ชั้น โลก หมายถึง 

1. โลก หมายถึง ดวงดาว ดวงหนึ่ง ในแดนอวกาศ Space 

2. โลก หมายถึง พลังงาน ความหมุนวน เปลี่ยนแปรสภาพไปต่างๆ 

3. โลก หมายถึง สังขาร ที่มีวิญญาณเข้าร่วมปรุงแต่งกันอยู่ 

4. โลก หมายถึง อุปาทาน ที่ยึดเป็นภพ เป็นชาติ

5. โลก หมายถึง อวิชชา ที่คนผู้ไม่รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง “ความจริง” บริบูรณ์ 

6. โลก หมายถึง วิชชา หรือ ปัญญา ที่รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง “ความจริง” สัมบูรณ์ 

7. โลก หมายถึง ความมี กับ ความไม่มี เท่านั้นในความเป็น 2 (เทว) 

8. โลก หมายถึง ธรรมนิยาม 5 

9. โลก หมายถึง สูญ หรือ ศูนย์ (สูญหายไป ; ศูนย์กลาง)

10. โลก หมายถึง โลกจินตา ที่เป็น อจินไตย 

โลก ตัวที่ 10 นี้ร้ายนักมันวนอยู่นั่นแหละไม่ออกจากไปได้ โลกจินตา ที่เป็นอจินไตย

โลกจินตา หมายถึงห้วงแห่งความคิด Imagine นี่แหละ จินตนาการ พูดด้วยศัพท์เต็มรูป 

อีกศัพท์คือโลกจินตา จินตนาการคือนามเพื่อการความคิดของจิต คิดมาเป็นรูปเป็นร่างก็เรียกว่า โลกจินตา เป็นรูปร่าง เป็นตัวเป็นตนขึ้นมา 

โลกจินตาคือ อจินไตย ตัวที่ 4 เป็นตัวที่คิดเอาไม่ได้ง่ายๆ ต้องมีภูมิธรรมถึงจริงๆจึงจะรู้ว่า โลกจินตาคืออะไร ผู้จมในโลกจินตาน่าสงสาร 

ผู้คงแก่เรียน learned man เป็น ปทปรมบุคคล เรียนศรัทธาในการศึกษา แต่ไม่เรียนเข้าไปถึงรายละเอียดของจิตเจตสิกรูปนิพพาน เรียนนะแต่ไม่รู้ เหมือนนกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ

เรียน นกก็อยู่กับฟ้า เห็นฟ้า ปลาก็อยู่กับน้ำเห็นน้ำแต่ไม่รู้จักฟ้าไม่รู้จักน้ำ ก็วนอยู่ในฟ้า วนอยู่ในน้ำนั่นแหละนาน เป็น ปทปรมบุคคล 

คือผู้ที่เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้ามาก็มากท่องจำได้ก็มาก ฟังมามาก ท่องจำได้ก็มาก กล่าวสอนพูดบอกอยู่สาธยายอยู่ก็มาก แต่ตัวเองไม่บรรลุมรรคผลเลยในชาตินั้น นี่ น่าสงสารมีอยู่ในปราชญ์ชาวพุทธเรา จมอยู่อย่างนั้นน่าสงสาร อาตมาพูดด้วยความจริงใจว่าน่าสงสาร ทำอย่างไรหนอ ท่านจะเลิกหยุดในความเป็น ปรปรมะ ทำอย่างไรท่านจะเลิกหลงอยู่ใน โลกจินตา

ทำไมจะรู้ว่าเราจะไปโลกจินตนาการ Imagine ไปถึงไหนหนอ บอกว่า Imagine ก็เข้าใจมีรายละเอียด เขาก็เข้าใจ แต่ไม่เข้าถึง ไม่ปฏิบัติให้บรรลุถึงเนื้อแท้เลย เข้าใจเข้าใจเข้าใจ ดีอยู่หน่อยที่เข้าหูแล้วเข้าใจ แต่ไม่เข้าถึงไม่บรรลุธรรม ไม่แทงทะลุรอบเป็นปฏิเวธธรรม 

ไม่ปฏิบัติด้วย ปฏิบัติแต่ปฏิบัติอย่างมิจฉาทิฏฐิ ไม่ได้ปฏิบัติอย่างจรณะ 15 วิชชา 8 แต่ไปปฏิบัติอย่างเดียรถีย์ฤาษี คือ นั่งหลับตา หรือทำสมถะเท่านั้น แยกสมถะกับวิปัสสนาไม่ออก แยกไม่สำเร็จ ก็เลย หลงวน อยู่ในโลกแห่งพยัญชนะ อยู่ในโลกแห่งบัญญัติ  อยู่ในโลกแห่งความคิด บัญญัติต่อบัญญัติ โอ้โห..อย่าไปเถียงเลยนะ ไม่ทันเลย อาตมาสู้ไม่ได้ รู้มาก โอ้.. 

สู่แดนธรรม... เขาขุดบ่อล่อปลาให้เราไปตกด้วย 

พ่อครูว่า..บังเอิญไม่กินปลา ก็เลยปลอดภัย ไม่ตกหลุม 

เริ่มต้น ตั้งแต่ โลก หมายถึงโลกจินตา อจินไตย คิดเอาไม่ได้ ต้องมาเริ่มต้นที่โลกที่ 1 

1. โลก คือ ดวงดาว ดวงดาวนี้ หมายถึง ลูกกลมๆอยู่ในอวกาศ ลูกโลกที่เราอาศัยอยู่คือดวงดาว อยู่ในจักรวาลน้อยมี 9 ดวง ตามสัจจะเลย มันสัมพันธ์กันอยู่ 9 ดวง และมีพระอาทิตย์อีกดวงหนึ่ง อาศัยพลังงานสัมพันธ์กับพระอาทิตย์ดวงเดียวกันนี้ อันนั้นเป็นเรื่องทางฟิสิกส์ อาตมาไม่ต่อ มาต่อทางนามธรรม ทางธรรมะ 

โลกอันที่ 1 หมายถึง ดวงดาว เราก็เข้าใจแล้ว 

2. โลกหมายถึงพลังงาน ในโลกลูกหมุนมันก็มีพลังงาน ก็เริ่มซับซ้อน ถ้าโลกเป็นลูกที่มันหมุนอยู่ก็มีพลังงานในโลก พลังงานที่ซ้อนอยู่ในนั้น มีความร้อน แสง เสียง แม่เหล็กไฟฟ้าทางฟิสิกส์ก็อยู่ในนี้ทั้งหมด ในโลกนี้ เพราะฉะนั้นคนเราก็เอาความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้าเอาไปใช้ เพราะมันได้มาจากพระอาทิตย์เป็นตัวแม่เยอะ ความร้อน แสง เสียง แม่เหล็กไฟฟ้าส่งมา แค่นี้ก็ใช้ โอ้โห.. เอามาใช้เหลือเฟือเลย จนกระทั่งเกิดความรู้ความสามารถจะเดินทางไปสู่พระอาทิตย์ เขายังไม่อยากพูดเท่านั้นแหละ สักวันเขาจะกั้นความร้อนจากพระอาทิตย์ได้แล้วเขาจะเดินทางไปถึงพระอาทิตย์เลย อย่าไปว่าแค่ดาวอังคาร ดาวพุธ ออกจากดาวเคราะห์ 9 ดวงไปหาพระอาทิตย์เลย ก่อนอื่นเขาก็ไปหาพระจันทร์ก่อน เขาก็ว่าไปโลกพระจันทร์ได้แล้ว ก็จะไปดาวพระอังคารที่ไกลกว่า ก็ว่ากันไป 

ซึ่งการคิดจะไปโลก โลกอย่างนั้นมันไม่จบหรอก เกิดมาอีกกี่ชาติก็ได้ไปเรื่อยๆ ก่อนคุณจะไปถึงพระอาทิตย์ คุณก็หมุนเวียนลงไปในนรกก่อน คิดไม่ได้แล้วก็ไปลงนรกแล้วก็เกิดมาใหม่ อจินไตย อาตมาเคยบ้าพวกนี้เคยรู้มา ที่พูดไม่ใช่หมายความว่าเราไม่รู้ แต่รู้มาก่อน อาตมาก็เคยโง่งมงายอย่างนั้น คิดฟุ้งซ่านไปกับทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ไม่เคยคิด 

เพราะฉะนั้นที่หลงเหลือทุกวันนี้มาจากเศษที่มันเคยคิดมาก่อนแล้ว แบบวิทยาศาสตร์เขาคิด ทุกวันนี้ เป็นของเก่าเหลือเศษๆเอามาใช้ 

มาเน้น นามธรรม แล้วเราจะรู้หมดเลย ทั้งโลกที่เป็นรูปธรรมทั้งหมด

เพราะฉะนั้นจะรู้จักพลังงาน เมื่อพลังงานในโลก 

3. โลกคือสังขาร ก็เอามาปรุงแต่ง เริ่มต้นจะปรุงแต่งสามเส้ามีรูปนามแล้วก็ประธาน 

สังขารโลก คือการปรุงแต่งดินน้ำไฟลมมีพลังงานในโลก ปรุงแต่งกันอยู่ด้วยความร้อน แสง เสียงแม่เหล็กไฟฟ้าจนกระทั่งมาปรุงแต่งเป็นชีวะ 

ความร้อน แสง เสียง แม่เหล็กไฟฟ้าก็คือพลังงานอุตุ เมื่อมาเป็นพืชมาเป็นชีวะ ก็จะเกิดมีตัวเจ้าของขึ้นมาบงการ กะหล่ำปลีก็บงการความเป็นกะหล่ำปีของมันไป กล้วยมันก็บงการความเป็นกล้วยของมันไป

(พ่อครูไอตัดออกด้วย)

สมณะเดินดิน... พ่อครูพูดไว้ คนที่คิดจะไปดวงอาทิตย์ ก็จะตกนรกไปก่อนจะถึงพระอาทิตย์



 


เวลาบันทึก 21 มกราคม 2565 ( 20:46:48 )

650124

รายละเอียด

650124 รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 25 ปาฏิหาริย์ของคนจนมหัศจรรย์ 

https://www.boonniyom.net/51190.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1YUj5HGmadpP6jY6z__aS31-I0BBzYUivUOZtymOZOuk/edit?usp=sharing  

 

ดาวน์โหลดเสียงที่    https://drive.google.com/file/d/1hAsgNSN6_XLjCxEGBgW3gxSi1e4dxwyZ/view?usp=sharing 

     

และดูวิดีโอได้ที่    https://fb.watch/aKmdhRoyGP/ 

          และ   https://youtu.be/u1DXVxKDqkk 

สู่แดนธรรม... วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 24 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 

 

ไม่เดือดเนื้อร้อนใจเป็นปาฏิหาริย์ของศีลข้อ 1 ในเบื้องต้น

พ่อครูว่า... อาตมาเกิดมายุคนี้อาตมาเป็นคนแปลกประหลาด จากคนยุคนี้เขา แปลกประหลาดจนเรียกได้ว่า มหัศจรรย์ 

ความมหัศจรรย์นี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ภาษาบาลีท่านเรียกว่า ปาฏิหาริย์ คือความเป็นไปได้อย่างเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาเขาจะเป็นได้ เช่น คนเหาะได้ ดำดินได้ เดินบนน้ำได้ เรียกว่าอิทธิปาฏิหาริย์ มีฤทธิ์มาก แสดงได้อย่างเป็นรูปธรรม เห็นอย่างโต้งๆเลย เดี๋ยวนี้ก็มี อย่าว่าแต่คนเดินได้เลย เอาเหล็กแท่งเป็นร้อยตันเหาะขึ้นไปข้างบนอากาศได้ ยิ่งใหญ่กว่ายุคพระพุทธเจ้าอีก เอาแท่งเหล็ก รู้จักไหมเด็กๆ เครื่องบิน เหาะขึ้นไปบนฟ้าได้ หนักตั้งเป็น 100 ตัน เก่งจริงๆเลยคนยุคนี้ ทำอิทธิปาฏิหาริย์ 

อาเทศนาปาฏิหาริย์ก็เก่งมหาศาลอีกนั่นแหละ แต่ไม่ใช่คน ใช้เครื่องพวกนี้ จิ้มๆ โอ้โห เป็นสิ่งที่ละเอียด ลอยไปกับอากาศปุ๊บปั๊บ ทั้งเร็วทั้งไว บันทึกก็ไว นิดเดียวบันทึกไว้เต็มโลกเลย เรียกว่า อาเทศนาปาฏิหาริย์ เป็นเรื่องที่ไม่เห็นเป็นรูปธรรมเหมือนอิทธิปาฏิหาริย์ เดี๋ยวนี้ก็เก่งกันมาก 

มีอีกปาฏิหาริย์อันหนึ่งคือ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ อนุสาสนีแปลว่า คำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นปาฏิหาริย์ เป็นเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์ คนเป็นไปได้ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน มันเป็นไปได้อย่างไร ยิ่งยุคนี้ยิ่งประหลาดมากเลย

เพราะฉะนั้นชาวอโศกเรามาปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นไปได้ ปฏิบัติศีลก็เป็นศีลได้ 

ศีล ที่ปฏิบัติได้นี่นะ มันเป็นอย่างไร ประโยชน์จากการปฏิบัติศีล ผลแท้จากการเป็นศีล ท่านตรัสไว้ 

1. อวิปฏิสาร ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ คนมีศีลมีอานิสงส์คือไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ชาวอโศกเราปฏิบัติศีลแล้วสบายไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ลึกซึ้งมากเลยนะความไม่เดือดเนื้อร้อนใจในศีลข้อที่ 1 ผู้ปฏิบัติได้ไม่ฆ่าสัตว์ อย่าว่าแต่ฆ่าคนเลย คนที่ฆ่าคนอยู่นี่ เดือดเนื้อร้อนใจมาก เพราะมันอาฆาตเคียดแค้นกันมากฆ่ากัน มันไม่จบหรอก 

เคยดูหนังจีนไหมมันฆ่ากันไม่จบเลย มีแต่ตามฆ่ากัน แล้วก็ต้องตามล้างแค้นให้พ่อนะ ก่อนตายก็สั่งไว้ ล้างแค้นให้ปู่นะ พยาบาทล้างแค้นกันไม่รู้จักจบ 

แต่ผู้มาถือศีลได้ ปฏิบัติศีลมีอานิสงส์ ปฏิบัติศีลตามพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้อง ไม่ฆ่าใคร ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่กินเนื้อสัตว์ หมดความเดือดเนื้อร้อนใจ 

นี่คือปาฏิหาริย์ นี่คือความมหัศจรรย์ ที่คนตาถั่วมองไม่เห็น คนตาถั่วไม่รู้จักเรื่องที่วิเศษมหัศจรรย์ โดยเฉพาะคำสอนของพระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว 

ผู้ใดทำได้เป็นเรื่องวิเศษประเสริฐ เป็นเรื่องมหัศจรรย์ ยุคไหนก็มหัศจรรย์ ยิ่งในยุคนี้ยิ่งมหัศจรรย์ เพราะทำกันไม่ค่อยได้แล้ว ปฏิบัติศีลก็เป็น สีลัพพตุปาทาน หมายความว่าปฏิบัติไปตามจารีตประเพณีเก่าๆสืบทอดกันมา บอกว่าปฏิบัติศีลธรรมอย่างไรก็ไปถือศีล แม้ฆ่าสัตว์ก็ไปทำอย่างดื้อๆ เฉยๆ เหมือนกับ สูงสุดก็เหมือนกับเชน นี่ไม่ฆ่า สัตว์ใหญ่ สัตว์เล็ก สัตว์น้อย แต่ไม่รู้ว่า ไม่ฆ่าสัตว์แล้วจะเกิดผลที่จิตอย่างไร จิต ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ไม่รู้จัก 

อ้อ.. เราไม่ฆ่าสัตว์ เรามีแต่ความเป็นมิตร เรามีแต่ความเมตตา เราไม่ทำร้ายอะไรใครต่อใครเลย ยิ่งนับวัน ยิ่งเราไม่ฆ่าสัตว์ใด ไม่ทำร้าย ไม่เบียดเบียนสัตว์ใดๆเลย ยิ่งปลอดภัย 

แม้แต่ ในที่สุดกรรมวิบาก เราไม่ฆ่าเลย หยุดเด็ดขาด กรรมวิบากนี้จะเจริญ ประเสริฐ โอ้โห มันจะทำให้เป็นคนปลอดภัย แม้แต่เหตุร้ายอะไรที่จะมาหาเรา จะไม่มาถึงเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ เรียกว่า ปาฏิหาริย์ 

ที่เรื่องร้ายๆ อย่างอาตมา พิสูจน์ในชาตินี้ เข้าไปอำนวยการเพื่อจะให้เราไปชุมนุมประท้วงอยู่ในสนามรบ เขาก็ยิงกันตายไปไม่รู้เท่าไหร่ อาตมาก็เป็นเป้าอยู่บนเวที มันไม่ต้องใช้สไนเปอร์หรอก ใช้ปืนอะไรเล็งก็ถูก เป้าตัวโตๆอย่างนี้ แต่ก็ไม่มีใครคิดจะยิง 

อันนี้มันเป็น อจินไตย เป็นเรื่องที่ เป็นกรรมวิบากที่รักษา ธัมโมหเวรักขติ ธรรมจารี ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม คิดเอาไม่ได้ แต่อาตมาก็มีบารมีเรื่องนี้พอสมควร  แต่ก็ไม่ได้ประมาทอวดดิบอวดดีท้าทาย อย่างที่คนอื่นท้าทายไม่ได้ท้าทาย ก็ทำตามเหตุปัจจัยที่มันมี ที่มีเหตุการณ์ต่างๆผ่านมา มหัศจรรย์จริงๆ 

หมดสุขหมดทุกข์คืออนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ที่พระพุทธเจ้าสอน

มหัศจรรย์ทางด้านความเป็น อาเทศนาปาฏิหาริย์ เป็นนามธรรมเป็นอรูป ถ้าจะเอานามธรรมจริงๆ ต้องเอาอย่างอนุสาสนีปาฏิหาริย์ อาเทศนาปาฏิหาริย์เป็นอรูป ที่เรานึกไม่ถึง มันเป็นไปได้ อย่างคนที่มีอาเทศนาปาฏิหาริย์หยั่งรู้คนที่ทำของหาย คนนี้มีอะไรลึกลับอะไรก็ทายถูกต่างๆนานาพวกนี้เรียกว่า อาเทศนาปาฏิหาริย์ มันก็เก่ง คนเป็นไม่ได้ง่ายๆ แต่มันมีคนที่ทำได้น้อย ส่วนมากเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องหลอกกัน อิทธิปาฏิหาริย์ทำไม่ได้เลยเหาะเหิรเดินน่ำดำดิน เนรมิตอะไรเป็นรูปธรรมมันเป็นไปไม่ได้แล้ว นอกจากจะเก่งอย่างอื่นใช้พลังงานวัตถุอย่างแท้จริง 

ส่วนจิตหรืออรูปนั้น ก็โกหกเสียเยอะ จะมารู้รายละเอียดลึกลับอะไร ทายของหาย ทายวิญญาณ ทายนู่นทายนี่ หลอกกันเสียเยอะ ด้วยความไม่รู้ก็หลอกกันแต่ไปหมด 

เช่นไม่มีความรู้ในเรื่องผีก็บอกว่า ผีมี มันมีในอวิชชาในอุปาทานของคน มีแต่ความเป็นอุปาทานความเป็นผู้โง่ ผู้อวิชชา มี ผีที่มีอันนั้นเป็นผีหลอก มันไม่มีจริง 

คนที่เขาบอกว่าผีมีจริงอย่างโน้นอย่างนี้ เป็นการหลอกตนเอง หลอกคนอื่น พากันหลอกกันไป เมืองไทยนี่แหละหลอกกันเป็นผี ที่อื่นเขาก็ไม่กระไร ไม่เหมือนเมืองไทย กลัวผี

คนตายแล้ววิญญาณคนตายยังหวงวิญญาณ จะมาหลอกคนนั้นคนนี้ จะมาปรากฏตัว จะมาแสดงตัวให้รู้กัน คนไทยขี้กลัวผีกันเยอะ แล้วก็มีนิยายสร้างกัน เป็นนิยายหลอกโลกกันไม่รู้นิยายตั้งเท่าไหร่เรื่องผี ของคนไทย สร้างเป็นหนัง เป็นละคร ซีรีส์ยาวๆเยอะแยะเลย นับถือศาสนาพุทธแท้ๆ แทนที่จะรู้ความจริงในเรื่องพวกนี้…ไม่.. โง่ดักดาน โง่เง่า

แม้แต่มาปฏิบัติธรรมะแล้ว เรียนรู้ตามหลักพระพุทธเจ้าแล้วก็ยังมิจฉาทิฏฐิ เรียนผิด เรียนไป มีวิญญาณเป็นตัวเป็นตน เป็นวิญญาณเป็นผีมาหลอก 

ขอยืนยันว่า ผี ที่จะมาหลอกเรา เป็นรูปเป็นร่างเป็นตัวเป็นตนไม่มีในโลก ที่ไหนๆในโลก โลกสันนิวาสที่คนรับรู้ร่วมกันได้ ผีมันไม่มี มันมีแต่ในโลกสัมภเวสี เป็นโลกในการนึกคิดเอาเอง หลับตาแล้วไปตามความนึกคิดของใครต่อใคร แล้วคนไทยนี้งมงายเรื่องนี้เยอะ ฝันเพ้อไป เป็นอะไรต่ออะไรต่างๆนานา แล้วก็หลอกกันไป หลอกกันได้หลอกกันดีมากมาย 

จนกระทั่งคนที่จะสัมมาทิฏฐิ มาเรียนรู้ตามคำสอนพระพุทธเจ้าเรียกว่า อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ให้รู้จักจิตวิญญาณ ความเป็นพลังงานชีวะ ที่เรียกว่า จิตนิยาม ที่เอามาสาธยาย อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม  จนสามารถจัดการกับจิตตัวเองได้เรียกว่า กระทำกับจิตตัวเองเรียกว่า มนสิการ ทำกับจิตตัวเองได้อย่างเก่ง อย่างถ่องแท้ จริงแท้แยบคายละเอียดลออแยยบคายเรียกว่า โยนิโส ลงไปถึงที่เกิดที่ตั้งที่เป็น สัมภวะหรือปภวะ แล้วให้จิต เป็นเช่นนั้นเช่นนี้ 

สูงสุดเลย ทำใจในใจหรือทำจิตของตนเองให้เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือ ทำได้อย่างเก่ง ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าถึงขั้นว่าทำจิตของเรานั้นให้ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข หมดทุกข์หมดสุข หมดบาปหมดบุญ หมดเลวร้าย 

แม้ที่สุด รู้ถึงขั้นรู้ว่าจิตวิญญาณนั้นเป็นอนัตตา จิตวิญญาณไม่ใช่ตัวตน แล้วก็ทำให้จิตวิญญาณของเราเองนี้ สลายหมดตัวตนไปได้เลย  สลายเป็นดินน้ำไฟลมเป็นอุตุธาตุ 

สลายเป็นอุตุธาตุไปได้เลย ตามคำสอนตามอนุสาสนีปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า 

เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทศนาปาฏิหาริย์เป็นเรื่องมหัศจรรย์เหล่านั้น พระพุทธเจ้าไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยว ซึ่งมันเป็นจริงอยู่ แต่ว่ามันไม่มีความสำคัญกับชีวิต มันไม่มีความสำคัญเท่าคำสอนที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ 

ตรัสรู้แล้วก็มาสอนให้รู้จักจิตวิญญาณ จิตเจตสิกรูปนิพพาน สามารถเรียนรู้จิตจนกระทั่งถึงดับทุกข์ดับสุขเรียกว่านิพพาน ดับทุกข์ ดับสุขได้รอบเรียกว่า ปรินิพพาน ดับทุกข์ ดับสุขแล้วก็ดับจิตวิญญาณทำให้สลายแยกธาตุไปได้เลยสมบูรณ์แบบเรียกว่า ปรินิพพานเป็นปริโยสาน 

นิพพาน 3 ขั้น 

นิพพาน มี 3 ขั้นง่ายๆ 

1. นิพพาน 

2. ปรินิพพาน 

3. ปรินิพพานเป็นปริโยสาน

ปริ แปลว่า รอบ 

นิพพานแปลว่า ทำได้ ยังไม่รอบถ้วน ทำได้ไปแต่ละอย่าง โสดาบัน สกิทาคามี พระอนาคามี เป็นอรหันต์แล้วก็ถือว่ามี ปรินิพพาน ทำนิพพานได้รอบถ้วนสมบูรณ์แล้ว 

แล้วก็สามารถที่จะทำให้เป็น ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ คือแยกธาตุเป็นดิน น้ำ ไฟ ลมไปเลยได้ด้วย แต่พระอรหันต์ที่ยังไม่เข้าใจในเรื่องของพยัญชนะ เรื่องของ อนุสาสนีย์ คำสอนพระพุทธเจ้าที่เป็นตัวบัญญัติพยัญชนะที่สื่อสมมุติในโลก อาจจะทำปรมัตถ์ ทำจิตของตัวเองเป็นดิน น้ำ ไฟ ลมได้แล้ว แต่ภาษาบัญญัติที่อธิบายเอาไว้ ยังไม่ค่อยเข้าใจ ยังไม่รู้ ไม่ได้เรียนรู้ทั้งพยัญชนะและอัตถะ ก็จะไม่เข้าใจ 

แต่ผู้ที่เรียนรู้ได้ทั้งพยัญชนะและ อัตถะ ชัดเจนตรงกันก็จะเอามาอธิบายได้ อย่างหลวงปู่ อย่างอาตมา อธิบายกันอยู่ตลอดเวลา เสมอทุกวันนี้ 

คนรวยคือคนเป็นหนี้โลกจะหลุดพ้นหนี้ต้องมาเป็นคนจนมหัศจรรย์

อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้าทั้ง รูป อรูป ทั้งนามธรรม ทั้งความรู้สึก เวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณเป็นนามธรรม จึงเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์อย่างยิ่ง 

มหัศจรรย์ที่คนเขารู้สึกว่าไม่เห็นมหัศจรรย์อะไรหรอก คนที่ไม่รู้จักความสำคัญ 

เช่น เป็นคนมาเป็นคนจน โอ้โห เป็นคนอยู่ในโลกนี้แล้วก็เห็นดีเห็นงามว่า เออ เรามาเป็นคนจนนี้สบายดี ปลอดภัย ไม่เบียดเบียนใคร พึ่งตนเอง รอด แล้วก็สร้างสรร ขยันเพียร เผื่อแผ่ให้หมู่ฝูง ให้คนอื่นได้รับไป ไม่เป็นหนี้ ไม่เป็นบาป เป็นคนจนที่ไม่มีหนี้ไม่มีบาป 

คนรวยนี้มีหนี้เยอะ หนี้ทางธรรม เอาเปรียบเอารัดคนอื่น กอบโกยขี้โลภมาก ขี้เหนียวคิดดอกเบี้ย หาวิธีการที่จะเอาเปรียบเขาได้ซับซ้อน โอ่โห บาปมากเลยคนรวย ไม่คิดเองก็เอาวิธีคิดของเขามาใช้แล้วกอบโกย รวยได้เปรียบมาก ยิ่งได้เปรียบมากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นหนี้มากเท่านั้น เขาก็ไม่รู้ความจริงเรื่องกรรมวิบากพวกนี้ 

เทวนิยมหรือชาวตะวันตกที่เรียนจากพระเจ้า ไม่ได้เรียนรู้เรื่องกรรมวิบาก ตามที่เป็น อจินไตย ที่พระพุทธเจ้าที่สอน เขาไม่รู้ เพราะฉะนั้นเขาก็ทำอย่างอวิชชางมงายไป แม้แต่คนไทยที่เป็นพุทธ ก็ไม่ได้ศึกษาธรรมะอย่างรู้ดี ก็ไปแย่งชิงความรวย ไปเอาเปรียบเอารัด ไปอยู่ในกฎเกณฑ์พวกที่เขาสร้างการได้เปรียบเอาเปรียบเอารัด ก็เข้าไปอยู่ในกฎเกณฑ์อันนั้นเป็นหนี้เป็นบาปเป็นคนเป็นหนี้ไป 

คนที่หลุดพ้นจากกฎเกณฑ์โลก ที่เป็นหนี้ที่ อวิชชา โง่เง่าพวกนั้น ออกมาอย่างชาวอโศกได้ เป็นคนมหัศจรรย์ ยิ่งออกมาได้ด้วยภูมิปัญญา เข้าใจเลยว่า เราหลุดพ้นมาจากที่เป็นหนี้เป็นบาปเป็นภัยอะไรไม่เข้าเรื่องเลย ซึ่งเราก็ทำมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว ชาตินี้ก็เคยทำมากันทั้งนั้น อาตมาว่าน้อยมากก็แล้วแต่ 

พอเข้าใจอย่างชัดเจนแล้ว โอ้โห เลิกได้แล้วแต่ต้องมีหมู่มวลคณะอย่างชาวอโศก คุณเลิกคนเดียวคุณต้องไปอุยู่แบบเชน ไปอยู่ในป่าหนีไปอยู่คนเดียว ซึ่งมันไม่มีสาระอะไรเลย รอวันตายไปเฉยๆพวกเชน อยู่ก็เปลืองที่นั่ง เปลืองอากาศ กินอาหารเขาไม่มีประโยชน์อะไรเลย ก็กลับเป็นหนี้อีกแหละ เป็นหนี้โลก เป็นหนี้สังคม ต้องอาศัยกินจากบิณฑบาต จากขอเขากิน พวกเชนไม่ทำเองนะ ไม่ทำอาหารเองไม่ทำ กินพืชพันธุ์ธัญญาหารก็ไม่ปลิดไม่เก็บ ให้เขาเอาอาหารมาให้ ซึ่งเป็นหนี้เต็มๆเลย เขาไม่เข้าใจเรื่องความเป็นหนี้เรื่องกรรมวิบากพวกนี้ เขาไม่เข้าใจ 

มีพระพุทธเจ้านี้ พาสอนให้หลุดหนี้ พ้นหนี้ แล้วยังแถม ถ้าจะว่าแล้วเป็นเจ้าหนี้ เกื้อกูลช่วยเหลือคนอื่น แต่เราไม่ได้ทำสัญญาให้เขาต้องมาใช้ต้นใช้ดอกอะไร ให้เขาไปเลย ให้โดยไม่มี สาเปกโขไปเลย สุดยอดจริงๆ มหัศจรรย์จริงๆ 

ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมแม้ใกล้กลียุค

อาตมาเกิดมาในยุคนี้จึงเป็นยุคที่ชาวพุทธเสื่อมจากศาสนา เสื่อมจาก อนุสาสนีปาฏิหาริย์ เสื่อมจากโลกุตระธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้แล้ว อาตมากอบกู้ขึ้นมาเอามาประกาศ 

เออ ยังมีคนรู้ได้เป็นคนที่มีธุลีในดวงตาน้อย เข้าใจก็ทยอยมารวมกันมา จนทุกวันนี้ถูกพวกตามืดตาบอด ท้วง จะปราบให้อาตมานี่หายไป บอกว่า มาสอนอะไรที่ผิดไปจากที่เขายึดถือ ผิดไปจากที่เขาถือว่าถูกต้อง ทั้งๆที่เขาผิดเต็มประตูเลย เขาเป็นโจรปล้นศาสนาพุทธด้วย ทำลายศาสนาพุทธอยู่โดยไม่รู้ตัว เป็นโลกียะ ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นโลกุตระ ของเขาเต็มไปด้วยลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุข แย่งชิงกัน หรือว่าหลงทิศทาง เป็นเดียรถีย์ ไปนั่งหลับตาแล้วจะไปปรินิพพานอะไรไป แล้วรวมหัวกัน จะมาเล่นงานอาตมา ก็เลยไปกันใหญ่ 

แต่ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม อาตมาก็รอดมาได้ ยืนยันความจริง ยืนยันความบริสุทธิ์ใจของพระพุทธเจ้า จนกระทั่งถึงทุกวันนี้

อาตมาอายุ 80 กว่า ถ้าถึง 100 อาตมาก็ทำงานศาสนาไปได้ถึง 64 ปี ไม่ใช่น้อย ก็พยายามอยู่นะ เจตนาพยายามจะให้ถึง 100 แต่ไม่รู้มันจะถึงหรือไม่ถึง มันฝืนอายุขัยของตัวเอง ซึ่งอาตมาก็เคยพูดว่าอายุขัยของอาตมา 72 ก็พยายาม ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า อานนท์ เราจะพยายาม ยังอายุขัย ให้ไปถึงหนึ่งกัปหรือเกินกว่ากัปได้ อันนี้ก็เป็นความจริง 

อาตมาก็พิสูจน์ความจริงอันนี้ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ความรู้ในเรื่องของสัจธรรมทางจิตวิญญาณ อมตะบุคคล มันสามารถที่จะยืดอายุตัวเองได้อยู่ แต่มันก็มีขอบเขตเหมือนกันมีที่สุด ซึ่งเราก็พยายามต่อ ต่อด้วยกรรมวิบาก ต่ออายุด้วยกรรมวิบาก ไม่มีใครมาต่อให้เราหรอก เราต้องต่อกรรมวิบากด้วยสัมประสิทธิ์ที่เราจะต้องพากเพียรสร้างอยู่ 

มันก็ถึงที่สุดของมันจนได้ ซึ่งเราก็พยายามที่จะเรียกว่า ตะกละ จะเรียกว่า โลภมากก็ได้ คือจะไม่ตายง่ายๆเอาเถอะ โลภ จะอายุยืน 

เราจะโลภเอาอายุยืนไปทำ เพื่ออะไร อายุยืนไปเพื่อรักษาลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขหรือสุขอะไรก็แล้วแต่เถอะ มันไม่ใช่ แม้แต่สุข มันก็ไม่ได้เสพสุขเสพทุกข์อะไร ก็กลางๆ เป็น อนุปคัมมะ แล้วสบาย

พวกเราเรียนสูงพูดอนุปคัมมะได้ เข้าใจรู้เรื่อง แต่ผู้ยังไม่เข้าใจก็ติดตามไปพิสูจน์ได้อย่างน่ามหัศจรรย์ 

เพราะฉะนั้นเมื่อมีชีวิตอยู่เราก็พยายามสร้างสิ่งที่ประเสริฐ เราไปสร้างวัตถุ เราไปสร้างเครื่องบิน เราไปสร้างคอมพิวเตอร์ก็มหัศจรรย์ คอมพิวเตอร์ก็มหัศจรรย์ สร้างเครื่องบินจรวดก็มหัศจรรย์ สร้างอาวุธฆ่าคนก็มหัศจรรย์ แต่มันโง่หนัก สร้างเครื่องบินสร้างคอมพิวเตอร์อะไรก็ยังพอสมควรพอทำเนาใช้ประโยชน์ แต่สร้างอาวุธยิ่งร้ายยิ่งแรงเท่าไหร่ มันก็คือแสดงถึงความไม่เป็นมนุษย์ กลายเป็นพวกอสูร อสุระ พวกขี้กลัว 

คนขี้กลัวถึงพยายามที่จะมีอาวุธ คนที่ไม่กลัว จะไม่แสวงหาอาวุธ จะไม่อยากได้อาวุธ อาตมาไม่เคยคิดอยากได้ปืน และจะมีปืน ไม่เคยเลย ไม่เอาแล้วอย่าเอามาใกล้ ไม่เกี่ยว 

แต่เคยยิงปืนไหม..เคย เรียนหนังสือต้องไปเรียนรักษาดินแดน ต้องไปฝึกยิงปืน มันกระแทกไหล่ตึงๆตึงๆ ก็ดูดีเหมือนกัน ตอนนั้นก็สนุกเหมือนกันแต่มันไม่ไหว ไม่ได้ชอบอะไร 

คือ ลึกๆของจิตคน อาตมารู้แล้วว่าคนมันไม่สมควรจะต้องไปใช้อันนี้  ไปทำอันนี้ ไปประพฤติพวกนี้ มันเลว มันคนชั้นต่ำ แต่เขาหลงผิดเป็นคนชั้นสูงสร้างอาวุธได้เยี่ยมยอด อะไรที่ร้ายแรงประสิทธิภาพสูงยิ่งเยี่ยมยอดแล้วนั่นก็คือพวกหลงผิด หลงสร้างบาปสร้างเวร สร้างอาวุธมาฆ่ากันเอง แล้วเอาไปทำกันจริงๆ แล้วมันก็เป็นกรรมวิบากจริงๆ 

เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่อง อจินไตย พูดทิ้งไว้เท่านั้น ฝากไว้ 

ปาฏิหาริย์ของคนจนมหัศจรรย์ ที่ผู้รู้จริงจึงให้รางวัล

มาพูดถึงความมหัศจรรย์ทางโลกุตระ ชาวอโศกเป็นคนที่มีอยู่ในโลก ที่เป็นคนมหัศจรรย์ที่สุดที่มนุษย์ยังไม่เห็น มนุษย์ส่วนใหญ่ชาวโลกียะเขามองไม่ออก แม้แต่ชาวพุทธซึ่งเสื่อมไปจากโลกุตรธรรมกันก็ไม่รู้ ชาวพุทธไทยนี่แหละ ชาวอโศกนี่แหละ คนไทยชาวพุทธไทย แล้วมีโลกุตระเป็นมหัศจรรย์ 

โลกุตระก็คือผู้ที่อยู่เหนือโลก คำว่า เหนือโลก คำนี้ไม่ได้หมายความว่าค่อมอยู่กับโลก ขี่โลกแล้วขับโลกไป..ไม่ใช่ หรือนั่งมอเตอร์ไซค์ไปก็ไม่ใช่ 

เหนือโลกหมายความว่าความหมุนเวียน หมุนวนระหว่างกรรมวิบาก เป็นวิบากชั่ว วิบากต่ำ วิบากเลว คือ ผลของกรรมที่ไม่ดี เราเลิกทำ คนเลิกทำชั่วประพฤติดี เป็นคนมหัศจรรย์แล้ว ภาษาโลกๆ แล้วก็ดีชั่วอย่างโลกๆ ตามสมมุติกัน 

คนไทยก็สมมุติอย่างคนไทย  คนฝรั่งชาตินั้น ชาตินี้ก็สมมุติตามวัฒนธรรมของเขาความยึดถือของเขา คนไทยเราก็แบบไทยๆ เราก็ไม่ทำชั่วที่คนไทยเราถือกัน ดีที่คนไทยเราถือ เราก็ทำดีนั้น นี่เป็นขั้นต้นของโลกียะก็สำเร็จแล้ว 

คนที่ไม่ทำชั่ว ทำดีได้ แล้วก็ไม่ยึดติดในการทำดีไม่ทำชั่ว เป็นคนที่รู้จักถึงนามธรรม ถึงเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ถึงจิต เจตสิก รูปนิพพาน 

มีสัญญา มีการกำหนดรู้ มีธาตุรู้ธาตุที่อยู่ในสัญญาสามารถกำหนดองค์ประชุม ของรูปนาม ของสภาวะ 2 ได้ เรียกว่ากายก็ตาม เรียกว่าเทวดาก็ตาม เรียกว่ารูปนามก็ตาม 

มีอายตนะสัมผัสเข้าก็เกิดอายตนะ เกิดสะพานเชื่อมขึ้นมา ยืดยาวออกไปก็จะรู้ สะพานยาว เป็นอิทัปปัจจยตาหรือเป็นปฏิจจสมุปบาทขึ้นมาได้ 

ยืดเฉพาะเวทนา ยืดไปเป็น 108 อย่างนี้เป็นต้น 

มันเกิดจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ 6 ทวาร แล้ว 6 ทวารนี่แหละ แต่ละส่วน ตาก็ดี หูก็ดีจมูกก็ดี  ลิ้นก็ดี เกิดความทุกข์สุขหรือไม่ทุกข์ไม่สุข 

ไม่ทุกข์ไม่สุขก็มี 2 อย่าง เป็นโลกีย์ก็คือไม่ทุกข์ไม่สุข ด้วยวิธีการกดข่ม ด้วยวิธีใดด้วยวิธีเทวะเขาก็ทำได้ แต่มันไม่ถาวรไม่ยั่งยืน เพราะไม่ได้เรียนรู้ผัสสะโลกุตระถึงขั้นจิตเจตสิก 

พระพุทธเจ้าสอนถึงโลกุตระถึงจิตมีเหตุ เพราะมันโง่มันไม่รู้จักเหตุ ต้องรู้จักเหตุว่าเหตุคือการไปหลงว่าสุขว่าทุกข์ จนรู้เหตุ อ๋อ.. เหตุไปยึดถืออย่างนี้ก็สุขก็ทุกข์ 

เมื่อรู้ว่าเหตุแล้วว่าไปยึดถือว่าสุขและทุกข์ เป็นบัญญัติเป็นภาษาเป็นสิ่งที่ไป ถ้าชอบใจก็เป็นสุข ไม่ชอบใจก็เป็นทุกข์ 

แต่พระพุทธเจ้าสอน ก็สุขหรือทุกข์ที่มันยังอวิชชา มันก็โง่ที่จะมีสุขมีทุกข์ 

โง่ คือตัวธาตุที่ไม่รู้ความจริง พอธาตุรู้ความจริงว่า อ๋อ มันสังขารปรุงแต่งกันได้อย่างนี้นี้ มันก็เป็นอย่างนี้ 

เช่น ดอกสุพรรณิการ์ดอกนี้ โอ้โห ดอกใหญ่เหลือง นี่เก็บมาหลายชั่วโมงแล้วยังไม่เหี่ยวเท่าไร ก็สวยงาม 

อันนี้จะว่าเราปรุงแต่งมัน มันก็เหมือนปรุงแต่งจะว่าเราไม่ปรุงแต่งมัน มันก็เกิดอยู่ในดินแดนของชาวเรา เทียบกับหน้าอาตมาเห็นไหม ไม่ใช่ดอกเล็กๆเลย สวย อาตมาก็เรียกตามบัญญัติโลกเขาว่า สวย ตามสมมุติโลกไป อาตมาไม่ได้หลงสมมุติ ก็รู้สมมุติพูดโดยสมมติไปเหมือนกับโลกเขาสมมติกันได้ทั้งนั้นแหละ อาตมาไม่ได้ขี้หลงขี้ลืมอะไร เขาสมมุติว่าอย่างนี้ตามสากล โดยเฉพาะคนไทยก็ตามได้

ดอกนี้เกิดขึ้นในราชธานีอโศก ต้นอยู่ใกล้ๆนี่เอง มันทิ้งใบหมดเลย มีแต่ดอกเต็มไปหมด เก็บมาเต็มโต๊ะเลย มีหลายที่ด้วย ดูมันก็งาม มันก็ทำให้ดูสว่างไสว ตามสมมุติโลกเขาว่างดงาม เราก็งดงามไป 

เราปลูกหอมหัวใหญ่ ใหญ่ เทียบกับหน้าอาตมาเล็กเมื่อไหร่ ขาวใส ผ่อง เขาขมวดใบมันเอาไว้ยาวเกือบเมตร หอมหัวใหญ่เราก็ปลูก เอาไว้เป็นอาหาร

ดอกสุพรรณิการ์เราก็ตามโลกเขาไป เราก็ไม่ได้เน้นถูกมากอะไรก็มีพอสมควร มีดอกสุพรรณิการ์มี ดอกทองอุไร ที่เรามาตั้งชื่อใหม่ว่า เหลืองไม่หยุด เหลืองไปเต็มมันก็ดู ชาวโลกเขาเห็นว่าอย่างนี้มันงาม เราก็มาทำสิ่งที่งามตามโลก เราไม่ได้ไปขัดแย้งอะไรกับโลกเขาเลย 

นี่ เราก็ปลูกในที่นี้มันก็สวยงาม ก็อาศัยกิน อาศัยแจก อาศัยเผื่อแผ่ไปเป็นประโยชน์เป็นอาหาร 

หมากผักไซเจ๊ก ภาษาอีสาน ภาษาไทยคือ มะระจีน ส่วนมะระลูกเล็กๆนั้นเรียกว่ามะระขี้นก เนื้อมันไม่มากเหมือนมะระจีน 

ตามประวัติเดิมของอาตมา เย็นเมื่อส่งหนังสือพิมพ์เสร็จไปที่ร้านไม่ต้องสั่งเลย มะระสดแกงจืดกับเครื่องในไก่ ข้าว 1 ชาม พริกหอมมะนาว 1 ถ้วย เท่านั้นแหละ ซัดข้าว 2 ชาม 3 ชามไป กับต้มมะระแกงจืดกับเครื่องในไก่ ที่ร้านราชวัตร อาตมาเดินเข้าไป กุ๊กเขาเห็นไม่ต้องสั่งหรอก เขาก็ทำมาให้เลยกินอยู่เป็นนานหลายปี ทำงานเลี้ยงชีพ อาตมาถีบจักรยานส่งหนังสือพิมพ์ เย็นเสร็จก็แวะไปกินข้าว ที่ราชวัตร 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สู่แดนธรรม... รุ่นของพวกอาหลงผิดกันไปบ้าง ไปหลงอิทธิปาฏิหาริย์ต้องมีการทำได้แบบเหนือคนทั่วไปที่ยากจะทำกันได้ง่ายๆ แต่พระพุทธเจ้าตร้สว่าสิ่งนั้นไม่ใช่คำสอนของพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ยกย่องคำสอนที่ทำให้คนปฏิบัติได้ตาม เป็นปาฏิหาริย์ที่คนทั่วไปสามารถทำกันได้ 

พ่อครูว่า... คนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจหรือคนจนที่อุดมสมบูรณ์ คนจนที่เผื่อแผ่แจกจ่ายเจือจานผู้อื่น คนจนที่ไม่เป็นหนี้ แต่ได้เป็นเจ้าหนี้แต่ไม่ได้ยึดถือว่าเราเป็นเจ้าหนี้เขา นี่แหละคือคนจนมหัศจรรย์ 

ชาวอโศกนี่แหละเป็นคนจนมหัศจรรย์ มหัศจรรย์แม้แต่ดอกสุพรรณิการ์ก็ดอกใหญ่งามจริงๆเลย แล้วมากมาย ไม่ได้ปลูกแต่มันก็เกิดตามประสา หักไปเสียบบ้าง มันก็เกิดก็มี 

แม้แต่มะระจีน ดูสิ ลูกหนึ่งแกงได้ 2 หม้อ หม้อเล็กๆนะ 

เคยพูดว่ามันประชดหรือยังไงปลูกอะไรก็งดงามก็ใหญ่ ต่างๆนานาพวกนี้

สู่แดนธรรม... มันเป็นเพราะพวกเราชาวอโศกเป็นคนจนอย่างมหัศจรรย์ มีความรักในดิน ก็เลยบำรุงดินมาตั้งแต่แรก 

พ่อครูว่า... มันเป็นความพยายามที่เรารู้เหตุแล้วก็จะสร้างเหตุให้มันดี สร้างเหตุคือ สั่งดินให้มันดีสร้างเหตุปัจจัยที่จะเกิดพืชพันธุ์ธัญญาหารดี แล้วก็ลงทุนทำเหตุผลมันก็เกิดอย่างที่มันเป็น 

สู่แดนธรรม... เราซื้อที่ดินแพงเลยก็ต้องทำให้มันคุ้ม 

พ่อครูว่า... ด้วย

มาพยายามเข้าไปลึกๆ พูดกันอธิบายให้เข้าถึงลึกๆ เป็นคนจนมหัศจรรย์ มาเป็นคนจนไม่ใช่เรื่องไม่ได้เรื่อง ไม่ใช่เรื่องตกต่ำ ไม่ใช่เรื่องเสื่อมทรามอะไรเลย มันเป็นเรื่องประเสริฐจริงๆ แล้วเราก็ยินดีที่จะมาเป็นคนจน 

ใครยังจนไม่ลงก็ตัวใครตัวมัน ยังยักไว้ ยังสะสม ยังมีอะไรต่ออะไรอยู่ไม่กล้าจนอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะอยู่ในนี้มีส่วนกลาง มีสาธารณโภคีที่จะ ถ้าเราไม่เป็นคนต้องการมาก มักมาก อยู่กับส่วนกลางที่มีตามที่เขาให้ ถ้าเราไม่เป็นหมาหัวเน่าจริงๆ มันก็อยู่ได้สบาย ก็พออยู่พอกินเลี้ยงชีพอะไรไปสบาย 

สังคมคนชนิดนี้เป็นสังคมคนที่มหัศจรรย์ที่สุด ที่คนเข้าใจได้ยาก เขาไม่เชื่ออย่างสนิทใจด้วยซ้ำไปว่า พวกเราเป็นสุขสงบ เขาว่าต้องกดข่มต้องฝืนต้องลำบาก ซึ่งเราก็ไม่ได้ฝืนไม่ได้ลำบาก ไม่ต้องกดข่มเลย เรามีอย่างนี้มีอยู่มีกิน มีการพึ่งเกิดพึ่งแก่ พึ่งเจ็บเพิ่งตายกันได้ ชีวิตเป็นญาติธรรม จะเป็นลูกใครหลาน ใครตระกูลไหนก็มาเป็นญาติธรรม เป็นความมหัศจรรย์ก็หนึ่งในความมหัศจรรย์ 8 อย่าง ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใน ปหาราทสูตร

ว่า แม่น้ำสายไหนๆก็มาไหลรวมกันตรงนี้ จะชื่อแม่น้ำอิรวดี แม่น้ำยมุนา แม่น้ำคงคาอะไรไหลมาถึงมหาสมุทรมีแล้ว ชื่อต่างๆหายหมด ตระกูลต่างๆเลิก มาเป็นมหาสมุทรเดียวกันหมดเลย ลบชื่อ ลบตระกูล 

เพราะฉะนั้นชื่อตระกูลของชาวอโศกจึงชอบคำว่า จน ก็เลยมาตั้งตระกูลจนกันไม่รู้กี่ตระกูลกันเลยชาวอโศกนี้ 

เข้าใจกันทั้งนั้น เป็นเพียงจิตของคนบางคนยังไม่จนได้สนิท มันจนจนกระทั่งจริงๆเราไม่ต้องมีไม่ต้องสะสมหรอก ก็กินใช้กับส่วนกลางนี่แหละ ป่วยเจ็บก็ส่วนกลางดูแล ไม่รักษาก็ตาย วางใจ 

ถ้าเราเป็นหมาหัวเน่าเป็นคนที่สังคมไม่ค่อยชอบหน้า คุณก็ตายทรมานหน่อย แต่ถ้าคุณเองไม่ได้เป็นหมาหัวเน่า ก็มีคนดูแลจนวาระสุดท้ายตามที่จะช่วยเหลือเฟือฟายกันได้ จะต้องเสียเงินรักษากันเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านอะไร เราก็ช่วยกันไป แต่ละคนแต่ละคนเท่าที่อยู่ในฐานะของเรา 

ซึ่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากเลย ว่า คนอย่างนี้อยู่ในโลกทุกวันนี้ มันยังมีโลกสังคมแบบนี้ สังคมที่พึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตายกันได้ สังคมที่เป็นสาธารณโภคี เป็นสังคมสาราณียธรรม 

อยู่กันด้วย เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม พูดได้อย่างคล่องได้อย่างสบาย เพราะพระพุทธเจ้าท่านค้นพบ อาตมาพาพวกเรามาปฏิบัติพิสูจน์ได้แล้วก็เป็นได้ มันเลยพูดได้อย่างสบายปาก พูดได้อย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่อายไม่เก้อไม่เขิน เพราะพวกเราเป็นได้ ผู้ที่ยังเป็นไม่ได้ก็เข้าใจมีสัมมาทิฐิ หรือมีทิฏฐิสามัญญตา มีศีลสามัญญตา ก็พยายามปรับตัวเราเองเข้ามาให้เป็นกลาง 

เป็นคนจนที่มีวรรณะ 9 เต็มเลย เต็มคือ สุดท้ายไม่ต้องสะสมอะไร อปจยะ และวิริยารัมภะ ข้อที่ 8 และ 9 

เลี้ยงง่าย  (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)  มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)  ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9  ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)  

บางคนก็ยังไม่สูญยังไม่พอ  สูงสุดก็จิตเป็นศูนย์เลย ไม่ต้องมีเป็นของเราเลย เสร็จแล้วก็ขัดเกลากันไป ให้บริสุทธิ์

ก็ขัดเกลา ตามหลักเกณฑ์ของ พระพุทธเจ้า ให้มี อาการน่าเลื่อมใส แล้วก็ไม่สะสมอยู่กับกองกลางจริงๆเลย 

พูดไปแล้วอาตมาไม่ถามหรอก คนที่เป็นได้จริงก็มีจริงๆอย่างพวกเรา จะน้อยจะมากอาตมาก็ไม่ได้ไปเช็คสถิติก็ไม่เป็นไร แต่ก็ไม่มีใครที่จะไปตะกละตะกลาม โลภโมโทสัน ไปหาอะไรมาสะสมให้แก่ตัวเองมากมายแล้ว นอกจากกิเลสมันยังเหลืออยากได้เพิ่มมันยังกลัวไม่ไว้ใจตนเองว่า ถ้าเผื่อว่าเราเป็นหมาหัวเน่าเขาไม่เลี้ยงเราก็จะได้มีของตัวเองไว้ ก็ไม่ไว้ใจตัวเอง 

แต่ถ้าตัวเองไม่ต้องไว้ใจหรือไว้ใจก็ไว้ใจหมู่ ไว้ใจกองกลางเท่านั้น ได้เท่าไหร่ก็เอาตามวิบากตามบารมีของเรา ถ้าใครกล้าเขาก็ไม่ต้องสะสม ไม่ต้องสะสมถึงขนาดว่าบางทีเรามีบำนาญด้วยซ้ำไป มีรายได้ มีลูกมีหลานเอามาให้ ก็เอามาเข้ากองกลางหมดถึงขนาดนั้น จะมีกี่คนก็ไม่รู้ไม่ได้เช็คสถิติ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันเป็นเรื่องความมหัศจรรย์ของสังคมแบบนี้ ในยุคนี้มีด้วยหรือ 

เขามีชุมชน คิบบุช อามิช อิตโตเอ็น เขาพยายามให้เป็นอย่างนี้ แต่ชาวอโศกเราเป็นได้ ไม่ใช่หลงใหลตัวเอง เป็นได้ยิ่งกว่า และเป็นจริงได้ด้วยไม่ใช่สมมติเล่น ไม่ใช่เป็นความเพ้อพกเลอะเทอะ แต่เป็นเรื่องจริงที่เป็นแล้ว เป็นได้ 

ตั้งแต่อาตมาเริ่มมีชุมชน บวชใหม่ๆ แล้วเริ่มต้นมีชุมชน ตั้งแต่ชุมชนปฐมอโศกเป็นชุมชนแรกจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ เป็นสาธารณโภคีนี้มาตลอดได้ พิสูจน์ยืนยันได้ อยู่ได้ 

ซึ่งเป็นสังคมที่มหัศจรรย์จริงๆ หาไม่ได้ในที่ใดๆ คิบบุช ก็ไม่เหมือน อิโตเอ็น ก็ไม่เหมือน แซมาอึลอุนดง ก็ไม่เหมือน แต่เราเป็นได้เป็นเรื่องจริงคนจริงๆ มีพฤติกรรม มีวัฒนธรรม มีบวร มีบ้านวัดโรงเรียน นี่ ยืนยันเป็นเอหิปัสสิโก เชิญให้มาดูได้ อกาลิโก แม้ในยุคนี้เป็นยุคทุนนิยมสามานย์ ยุคเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ ยุค โลภโมโทสันจัด แย่งชิงกันหนัก เลวร้ายที่จะต้องแย่งชิง ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข

แต่พวกเราหลุดพ้นออกมาได้ จากโลกียะที่เขายึดถือ ออกมาเป็นคนอยู่ในสังคมมหัศจรรย์ได้ ตรงตามพระพุทธเจ้าสอน 

เริ่มตั้งแต่มีศีล มีศีลเป็นมหัศจรรย์ มีสมาธิเป็นมหัศจรรย์ มีปัญญามหัศจรรย์ มีวิมุตที่มหัศจรรย์ 

มหัศจรรย์อย่างไร 

มหัศจรรย์อย่างที่ชาวโลกเขาไม่ได้มาคิดอย่างนี้  ไม่แสวงหาอย่างนี้ ไม่พยายามเป็นอย่างนี้ด้วย เขากลับพยายามจะไปมีทรัพย์สินมากๆ โลภมากๆ มียศชั้นสรรเสริญมีอำนาจในโลก มียศอำนาจอยู่ในโลกใหญ่ๆสูงๆ เขาทิ้งไม่ได้ 

พระพุทธเจ้ามียศ มีอำนาจ เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท่านทิ้งออกมาเลยไม่ใหญ่ดี แต่คนทุกวันนี้ แม้แต่กระแสหลัก ทิ้งได้ที่ไหนก็แย่งกันอยู่ เทิ่งๆ ให้คนว่าได้ เอาละไม่หลงยศก็หลงสรรเสริญ คนจะติเตียนนี้ไม่ได้ จะต้องรักษามาด รักษาท่าทีอย่าให้ติเตียน คนนิยมอย่างไรสมมุติที่จะไม่ให้ติเตียนก็เอาตามสมมุติไม่เอาเข้าหาปรมัตถ์เลย 

แต่ อาตมาเข้าหาปรมัตถ์ อย่าว่าแต่ติเตียนเลย จะด่าก็ด่า อาตมาเข้าหาปรมัตถ์ ตั้งแต่ต้นมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ได้แยแส กับความสรรเสริญหรือนินทาว่าร้าย ยืนหยัดอยู่ที่ความจริงความดีงามความถูกต้องที่ควรจะเป็นตามพระพุทธเจ้า ไม่ได้แคร์กับสรรเสริญ 

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสรรเสริญมันไม่ดี  มันก็ดี 

เพราะฉะนั้นผู้จะมาสรรเสริญอาตมาก็ต้องมองออกว่า คนอย่างนี้มีด้วยหรือ มันควรต้องสรรเสริญควรยกย่อง 

เกิดมา ก็แหม เกือบจะตายไปก่อนไม่ได้สรรเสริญ ไม่ได้รางวัลอะไรเลย ก็ได้รางวัลกับเขาบ้าง มีคนพอจะมีดวงตาเห็นได้ ให้เงินมาตั้งร้อยล้านวอน เกาหลีใต้ให้มา ยกให้เป็นผู้ควรได้รับรางวัลสันติภาพ ในด้านสันติภาพ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

นี่เขาให้รางวัล (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สู่แดนธรรม... คนที่จะสรรเสริญพ่อท่าน พ่อท่านเคยบอกว่า ปกติแล้ว คนมีภูมิพอๆกัน เขาถึงมองออก แต่ภูมิคนทำดี ในระดับโลกุตระนั้นมีน้อยคนจะมองออก แต่กระนั้นคนในโลกก็ยังมีคนที่มองพ่อท่านออก อาการน่าเลื่อมใส ที่อยู่ในวรรณะ 9 ซึ่งอาการน่าเลื่อมใสอยู่ในข้อที่ 7 แต่คนทั่วไปจะทำอาการน่าเลื่อมใสแค่ความสงบเสงี่ยมพูดจาสุภาพ แต่โลกุตระข้างในยังไม่จริง  เขาก็ทำอย่างดรามาติกดราม่า แต่คนที่เขามองพ่อท่านออกเขาก็ให้รางวัลในแง่ของสันติภาพ 

พ่อครูว่า...ถ้าคนมีดวงตาดีจะให้รางวัลอาตมาในด้านเศรษฐกิจ เพราะอาตมาพาพวกเรา มามีเศรษฐกิจที่สุดยอดประเสริฐ ประหลาด มหัศจรรย์ เศรษฐกิจที่จะต้องมาเป็นคนจน 

แล้วไม่ใช่คนจนงอมืองอเท้า แต่เป็นคนจนที่ขยันสร้างสรรหมั่นเพียร แล้วมีปัญญารู้ด้วยว่าอะไรควรสร้าง อะไรไม่ควรสร้าง อะไรควรเสียแรงไปทำ อะไรไม่ควรเสียแรงลงไปทำ เช่นเสียแรงลงไปสร้างอาวุธ เสียแรงลงไปทำอบายมุข เสียแรงลงไปแย่งชิงลาภยศอะไร ไม่ต้องเสียแรง อย่างนั้นน่ะ มันโง่ มันไม่ได้เจริญ ไม่ได้ประเสริฐอะไร 

มีปัญญาที่จะรู้รายละเอียดพวกนี้ แล้วก็มาเป็นคนที่มีเศรษฐศาสตร์ชั้นสูง 

เพราะฉะนั้นคำว่า เศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์ ทางโลก เขาก็ยังไม่พยายามกระดิกหูเพราะว่าอาตมาพูดมานานแล้ว 

เศรษฐศาสตร์ต้องมาเอาแบบคนจน ในหลวงของเรา รัชกาลที่ 9 ก็ตรัสอันนี้ สังคมต้องมาเอาแบบคนจนแล้วจะสุขสำราญ จะอยู่เย็นเป็นสุขอบอุ่น ที่ท่านตรัสไว้จะอยู่อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน 

อย่างพวกเรานี้ตรง ในหลวงท่านเป็นโพธิสัตว์ไม่ได้แกล้งพูดนะ ถ้าใครมีภูมิปัญญาปฏิภาณเพียงพอจะรู้เลยว่า ท่านเป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งเหมือนอาตมา แล้วท่านก็พยายามที่จะสร้างตามบารมีของท่าน ตามฐานะของท่าน ท่านก็สร้างได้ประมาณนั้น ให้คนเข้าใจได้ขนาดนั้น 

ส่วนอาตมาต้องให้เข้าใจได้ยิ่งกว่านั้น ต้องพัฒนาให้เข้าใจจริงๆ แล้ว ปฏิบัติได้จริงๆ มีสังคมจริงๆ มีหมู่กลุ่มที่ปฏิบัติได้จริงๆเป็นบ้านวัดโรงเรียนเป็นบวร เป็นสังคมที่มีวัฒนธรรมโลกุตระ อย่างแท้จริง ซึ่งอาตมาทำสำเร็จ สำเร็จแล้ว 

แม้มันจะไม่กว้างไม่ใหญ่ คนไม่รู้เขาไม่รู้ว่า ทำอย่างนี้มันสุดประเสริฐแล้วเขาก็จะไม่รู้ มันเป็นสัจจะเขาไม่รู้เขาไม่มีภูมิปัญญาที่จะรู้ อาตมาไม่ประหลาดใจที่คนจะไม่ให้รางวัลอะไรอาตมา เพราะเขาจะไม่รู้ค่าในสิ่งที่อาตมาทำ ว่าควรจะต้องยกย่องว่าควรจะต้องให้รางวัลก็มี แมนเฮ รู้ แล้วให้รางวัลซึ่งไม่น้อยนะให้ตั้ง 100 ล้านวอนของเขา เขาก็ไม่ใช่องค์กรที่ยิ่งใหญ่อะไรนักหนา ก็เป็นองค์กรพอสมควร แต่เขาก็มีดวงตาพอเข้าใจได้ มาให้รางวัล 

เพราะเขารู้ว่าอย่างนี้เป็นอย่างไร แต่เขาก็มองไปทางด้านสันติภาพ ยังไม่ได้มองไปทางเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจ ถ้าคนที่มองเห็นทางด้านเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจ จะสำคัญกว่าเลย เพราะว่าทุกวันนี้เศรษฐกิจมันนำหน้าสันติภาพ ถึงอย่างไรโลกทุกวันนี้มันก็เป็นสันติภาพไปตามธรรม เพราะมีการคานกัน ไม่ทำให้เกิดความเดือดร้อนฆ่าแกงเหมือนอย่างในสมัยอำนาจบาตรใหญ่ สมัยเจงกิสข่าน นโปเลียน อเล็กซานเดอร์มหาราช ต่างๆนานาพวกนี้   มันพ้นจากยุคนั้นมาแล้วยังเหลือเศษคนที่โง่งมงายจะไปสร้างอำนาจเบ่ง สร้างอาวุธมาข่มขู่เขา ทำให้ตัวเองเด่นอะไรอยู่อย่างนั้น อยู่แค่นั้นซึ่งเขาไปถึงไหนกันแล้ว เขาไปหาเลยสันติภาพ เลยไปสร้างเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ที่มันมหัศจรรย์ไปแล้ว เขาก็ยังไม่รู้ ยังงมงายอยู่กับเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมสามานย์ 

เศรษฐศาสตร์ที่อาตมาอธิบายหลายทีแล้วว่า เศรษฐศาสตร์ที่เข้าใจ GDP อันประเสริฐเป็น GDP ที่เจริญจะเป็นอย่างไร 

GDP (Gross Domestic Product) ..Product ก็คือผลผลิตที่เมื่อผู้ใดผลิตโดยเฉพาะในกลุ่ม โดเมสติก กลุ่มไหนก็กลุ่มนั้น จากคนไทยก็คือคนไทยร่วมกัน ผลิต Product สร้าง สร้างได้แล้ว แล้วก็พึ่งพาอาศัยเลี้ยงตัวเอง ผลผลิตนั้นในไทยเราเอง โดเมสติก ในหมู่คนไทยเราเองภายใน เลี้ยงดูกันอยู่รอดแล้ว มีอยู่มีกินอาศัยได้เหลือเฟือเพียงพอ ใช้แรงงาน  ใช้สมรรถนะ ใช้ความสามารถ เห็นความสำคัญในความสำคัญ เห็นสาระในสาระ 

เช่น อาหารคือสาระ อาหารคือคำข้าวที่กินเลี้ยงขันธ์ เราเข้าใจเราก็สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร เราก็อยู่ในโซนที่สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารได้ดีด้วย เราก็สร้างจนพอกินพอใช้เหลือเฟือ เลี้ยงชาติเลี้ยงประเทศ ทีนี้เมื่อเลี้ยงประเทศแล้วเราจะไปเผื่อแผ่แก่คนอื่น เพราะฉะนั้นจะเผื่อแผ่คนอื่นไป 

รายได้องค์รวมเรียกว่า Gross ของคนไทย รายได้ส่วนรวม ถ้าเราได้แลกเปลี่ยนหรือรายได้ตอบแทนการซื้อขายผลผลิตของเรา 1 ผลผลิตของเราดีไม่มีสารพิษ มีคุณค่าทางอาหาร มีคุณค่าอย่างประเสริฐ ขาย ยิ่งขายราคาถูก ถูกเท่าไหร่ได้รายได้มาน้อย แต่โดเมสติคผลผลิตของเราก็ยังคุ้มกินคุ้มใช้พอที่จะขายอยู่ถึงขั้นแจกฟรีผู้อื่นด้วย นี่คือ GDP ที่เจริญที่สุดสูงที่สุด 

แต่ถ้าเอาผลผลิตของ โดเมสติกโปรดักส์ ไปให้ผู้อื่นแล้วก็ได้รายได้แลกเปลี่ยนมา ได้มามากขึ้นได้เปรียบ แล้วเราถือว่าเรามี GDP ดี อันนี้ขี้โกง 

สู่แดนธรรม... เขาบอกว่าตำราของเขาถูก 

พ่อครูว่า... ตำราขี้หมาพวกนี้ ตำราพวกนั้นมันผิด มันมีความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ มันไม่ใช่คนที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเจือจาน สังคหะ เกื้อกูลผู้อื่น มันยังไม่ใช่เศรษฐกิจเจริญ 

product ผลผลิตที่เราทำ Domestic ของเราเองในประเทศของเราเองภายในโดเมสติก มันพอกินพอใช้เหลือเฟือเลี้ยงตัวเองเหลือรอด เผื่อแพร่แจกจ่ายผู้อื่น มีมากเกินที่เรากินใช้ เราก็แจกเขา ไม่ใช่เอาผลผลิตที่ดีด้วยก็ยิ่งออกไปโก่งราคายิ่งเอาเปรียบเอารัดได้ราคาที่เกินทุนเท่าไหร่คือเจริญเท่านั้น โอ้โห ทำไมถึงคิดทรามได้ถึงขนาดนั้น 

สู่แดนธรรม... อย่างนั้นละ รางวัลเศรษฐศาสตร์คงจะอีกนานมาก 

พ่อครูว่า... ยากมาก แม้แต่กรรมการใน Nobel Prize ก็จะยังคิดไม่ออกหรอกว่า อ๋อ เศรษฐกิจขณะนี้ หรือแม้แต่สันติภาพเขาก็ยังมองไม่ออก อาตมาสร้างสันติภาพอย่างที่แมนเฮเขาเห็น ว่าใช่ แล้วก็ให้รางวัลมาแล้ว 

หรือว่ารางวัลแมกไซไซก็ตาม Nobel prize ก็ตาม เขาจะยังเข้าใจไม่ได้หรอก มองไม่ออก มองไม่ได้หรอก ไม่ใช่ดูถูกเขานะ ถ้าเขามองออกเห็นได้จริงแล้วนะ เขาต้องให้รางวัลอาตมา 

สู่แดนธรรม... แสดงว่าที่พ่อท่านพูดไว้ คนที่จะให้รางวัลผู้อื่นต้องมีภูมิรู้ 

พ่อครูว่า... ต้องรู้ว่าคนคนนี้ประเสริฐจริงๆ ควรจะได้รับรางวัลอุดหนุนส่งเสริม ก็เป็นเรื่องจริง 

อาตมาจึงไม่ได้ประหลาดอะไร ไม่ได้รางวัล nobel prize ไม่ได้รางวัลแมกไซไซ  ที่จริงแล้วจะต้องมีคนเสนอขึ้นไป ไม่ใช่อยู่ดีๆเขาก็จะมาให้ ไม่ว่าจะเป็น Noble Price หรือแมกไซไซ แมนเฮ ก็เหมือนกัน แมนเฮ ก็มีคนเกาหลีที่มาเมืองไทยเขามาเห็นจริงในพวกเรา เขาก็เลยนำเสนอขึ้นไป แล้วเขาก็รู้ว่าอาตมาเป็นผู้นำอยู่ในส่วนนี้ เข้าไปคลุกคลีอยู่ที่ศีรษะอโศกเขาก็รู้จักก็อันเดียวกัน เขาก็รู้ว่าว่าวัฒนธรรมแบบนี้ ก็เลยเสนอองค์กรแมนเฮ เขาก็เห็นตามเห็นจริงเพราะว่าตั้งหลายปีเขาจึงให้รางวัล อย่างนี้เป็นต้น

จะบอกว่าอาตมายินดีไหมก็ไม่ได้ยินร้ายอะไรเขามาให้รางวัล ไม่ได้ยินร้ายยินชั่วอะไรเขามาให้สิ่งที่ดีก็ถูกต้องแล้ว ที่จริงอาตมาควรยิ่งกว่านั้น ไม่อยากพูดตรงนี้ ก็ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาทำตามภูมิปัญญาที่อาตมาเห็นว่าควรทำ 

พูดไปแล้วยืนยันอีกว่าอาตมาทำสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ที่คนยังเข้าใจความมหัศจรรย์นี้ยังไม่ได้ แล้วเป็นความมหัศจรรย์ที่ไม่ใช่เรื่องประหลาดที่เหาะเหินเดินน้ำดำดินได้ หยั่งรู้จิตวิญญาณ ไม่ใช่ 

มหัศจรรย์ตามคำสอน พระพุทธเจ้าก็เป็นคำสอนของท่านคนมาปฏิบัติตามได้ก็เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ อาตมาก็เอาคำสอนนั่นแหละมาขยายความตามยุคนี้ ให้พวกเราหรือคนทั้งหลายในยุคนี้ ฟังรู้เห็นตามให้เข้าใจได้ จนเห็นดีแล้วมาปฏิบัติประพฤติตามด้วยความยินดีหรือความจริงใจ มีฉันทะเป็นมูล มีมนสิการเป็นสัมภวะ จนกระทั่งเกิด จนกระทั่งเป็นโดยการปฏิบัติมีผัสสะเป็นสมุทัย  มีเวทนาเป็นที่ประชุมลง จนกระทั่งมีสมาธิเป็นประมุข แล้วก็มีสติเป็นพลังใหญ่อธิปไตย มีปัญญาเป็นอุตตระ มีวิมุติเป็นสาระแก่นสาร มีอมตะเป็นที่หยั่งลง 

คนที่ปฏิบัติได้จริงๆก็เป็นคนอมตะ รู้จักตายรู้จักเกิด แล้วจะเป็นคนที่ไม่ตายไม่เกิดได้ นี้เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นคนที่ไม่ตายไม่เกิดแล้ว จะตายก็ได้ จะไม่เกิดก็ได้ ไม่เกิดอย่างปรินิพพานเป็นปริโยสานเลยได้ ตายแล้วเกิดอีกก็ได้ 

สู่แดนธรรม... ถ้าคนฟังธรรมะวันนี้เข้าใจเขาคงไม่อยากให้พ่อท่านตาย 

พ่อครูว่า... ใช่ แต่ว่าสักวันใดวันหนึ่งอาตมาก็คงต้องตาย พระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่กว่าอาตมาก็ยังต้องตายเลย แต่อาตมาจะยังไม่ตายปรินิพพานเป็นปริโยสาน เพราะอาตมายังมีปณิธานที่ต้องทำงานให้แก่โลก ศึกษาให้แก่ตัวเอง เพื่อที่จะไปเป็นผู้ที่เข้าใจโลกเข้าใจอัตตา ที่ประดามีที่คนที่สูงที่สุด อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเท่าๆกันกับคนอื่น แต่ท่านพากเพียรเป็นไม่รู้กี่ชาติเป็นล้านๆชาติ จนตรัสรู้สิ่งที่สูงสุดสูงสุดจนกระทั่งรู้ว่าจิตวิญญาณที่เป็นพระเจ้านั้นไม่มีจริง อยู่นิรันดรนั้นไม่จริงเท่า 

จิตวิญญาณเป็นอนัตตา ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เราเองเป็นเจ้าของจิตวิญญาณ และเราสุดท้าย ก็แตกสลายธาตุเป็นอนัตตาไม่มีตัวตน ไม่มีจิตวิญญาณเหลือเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย เพราะรู้แล้ว ว่า เกิดอยู่ก็มีแต่ทุกข์ที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป 

เพราะฉะนั้นก็ทำงานให้เต็มที่ เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งแล้วสุดท้ายก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานแล้ว แล้วก็ทำได้ด้วย 

ศาสนาพระเจ้าศาสนาเทวนิยมทำไม่ได้ จำนน ก็เลยบอกว่าจิตวิญญาณเป็นนิรันดร ซึ่งไม่นิรันดร พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วสามารถทำลายให้เป็นดินน้ำไฟลมไปได้ เขาก็บอกว่าพูดเอาเอง เขาก็ยืนยันว่าต้องไปอยู่กับพระเจ้า เขาไม่เข้าใจพูดอย่างไรเถียงกันอย่างไรก็ไม่รู้จักจบ เขาก็ยืนยันว่าต้องไปอยู่กับพระเจ้า คุณจะบอกว่าเป็นดินน้ำไฟลม ไหนเขาก็บอกว่าเป็นตัวเป็นตนเป็นคนดีนี่ ใครรับรองว่าตายไปแล้วจะกลายเป็นดินน้ำไฟลมไปหมดเลย เขาก็แย้งได้ เรานี่แหละรับรองตัวเอง ทำไมรับรองได้ เพราะรู้โลก รู้อัตตา

อัตตาอาศัยโลก เสร็จแล้วเราก็หมดโลกไม่ต้องเกิด โลกคือความเวียนวน ไม่ต้องมาเวียนวน เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่รู้จักการวนเวียนของโลกหรือกรรมวิบากที่ต้องเกิดวนแล้ววนอีก 

ศาสนาพระเจ้า 100% ตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้า ชาตินี้ตายไปแล้วไปอยู่กับพระเจ้าและจบภายในชาติเดียว เขาไม่มีต่อ ไม่มี rebirth เขาไม่มีการเวียนตายเวียนเกิดเขาไม่รู้จัก เขารู้จักชีวิตชาติเดียว ตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้าก็จบ 

เพราะฉะนั้นศาสนาที่รู้จักเวียนตายเวียนเกิดอยู่บ้าง แต่ยังไม่รู้จักความสูญสลายเป็นอนัตตาหรือว่าเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน เขายังทำไม่ได้เท่านั้นเอง 

เพราะฉะนั้นผู้ที่ทำได้ถึงขั้นเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน สลายธาตุจิตวิญญาณตัวเองได้ เมื่อกี้พูดไปถึงว่าโลกนรกความสำคัญกับชีวิตช่อง 7 ละครจะสลายได้ต้องรู้จักความเป็นโลกกับความเป็นอัตตา 

โลกคือความหมุนเวียนไปแล้วหมุนเวียนไปเล่า พิสูจน์ได้ตั้งแต่ตอนเป็นๆ โลก ที่เป็นอบายมุข โลกที่เป็นนรกต่ำ เราเคยไปหลงวนเวียนเป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นความสำคัญกับชีวิตเหลือเกิน เช่น โลกอยู่ในอบายมุขต้องไปเล่นการพนัน ต้องไปหลงเล่นอยู่กับละเม็งละครไป 

สู่แดนธรรม... แข่งขันกันสอบให้ได้ที่ 1 

พ่อครูว่า... หลงในความมัวเมาไปดื่มน้ำเมา ไปท่องเที่ยว ไปดูละเม็งละคร ไปเล่นการพนันแก่งแย่งทรัพย์ศฤงคารสมบัติผลัดกันชมหลงกันอยู่อย่างนั้น เป็นอบายมุข แล้วเขาก็ไม่รู้อบายมุขหรอกทั้งโลก 

เขาไม่ได้เรียน เทวนิยมเขาไม่ได้เรียน แย่ง สมบัติเพื่อที่จะมีเยอะๆ มากๆ แล้วเอาอำนาจสมบัติ เสร็จแล้วเขาก็ตายจากสมบัติกันไป คนอื่นก็มาหลงอำนาจต่อ รักษาสมบัติไว้ได้ก็ได้ รักษาสมบัติไว้ไม่ได้ก็เปลี่ยนมือไปเป็นคนอื่น ก็วนเวียนอยู่แค่นี้ 

เพราะฉะนั้นผู้ที่จะรู้จบเขารู้แล้วว่าปัดโธ่เอ๋ย มันวนเวียนไม่รู้จักจบเสียที จนกระทั่งพระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า มันจะจบได้อย่างไง

จบได้จนกระทั่งรู้ว่าโลกอบายมุข เราก็เลิกไม่เวียนกลับไปอีกมันก็มีอยู่ในโลก อบายมุขอันที่ หยาบ  ที่สุดก็คือ ฆ่าผู้อื่นแสดงอำนาจบาตรใหญ่ นี่คืออบายมุขที่เลวร้ายที่สุดในโลกเขาไม่รู้ เขาจะเป็นเจ้าโลกเป็นต้น นั่นแหละคือยอดอบายมุข 

แย่งเอาทรัพย์สินในโลกมา รวยให้มากที่สุดและเป็นเจ้าหนี้เขาให้หมด ทุกคนเป็นลูกหนี้เรานี่คืออบายมุขที่เลวร้ายที่สุด 

อันหนึ่งโทสะ อันหนึ่งเป็นโลภะ

หรือมัวเมาในราคะ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เสพบำเรอตัวเองในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส จนกระทั่งไม่รู้ปรุงแต่ง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ไปขนาดไหนขนาดไหนก็ไม่รู้ บำเรอตัวเองรู้สึกว่าสุขก็ปรุงมากยิ่งขึ้น มันไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนกันเพราะมันเป็นสมมุติ สมมุติว่าตรงนี้แล้วก็สมมุติต่อไปมากยิ่งขึ้นยิ่งขึ้น ลืมแล้วตรงนี้ก็มายิ่งขึ้นมาตรงเก่าอีก นี่ย่อมาให้เห็นว่ามันวน ไอ้ที่เก่าก็ลืมไปเรื่อยๆ จนเลื่อนมาถึงตัวเก่าเป็นใหม่มาก วนอยู่อย่างนี้เก่าๆใหม่ๆใหม่ๆเก่าๆ ไม่รู้จัก ซ้ำซาก 

เหมือนแฟชั่นผู้หญิง ส้นสูงแล้วก็ส้นเตี้ย ส้นเตี้ยแล้วก็ส้นสูง นุ่งสั้นแล้วก็นุ่งยาว นุ่งยาวแล้วก็นุ่งสั้น นั่นแหละเหมือนก็อยู่อย่างนั้น ไม่มีอะไร ยึดถือกันไป 

เสื้อผ้าหน้าแพรก็ใส่เพื่อกันร้อนกันหนาว กันแมลงสัตว์กัดต่อย กันอุจาด เท่านั้นเองก็จบแล้วอย่างพวกเรานี้ก็จบ เสื้อผ้าหน้าแพรก็ใช้กันร้อนกันหนาว กันแมลงสัตว์กัดต่อยกันอุจาด สบาย แต่ซักบ้างนะเด็กๆ ผู้ใหญ่ก็เถอะ ซักๆบ้าง สงสารคนอื่นบ้าง 

สรุปตีหัวเข้าบ้าน คนจะไม่รู้ว่าชาวอโศกเป็นคนมหัศจรรย์ มาจนก็มหัศจรรย์ เราไม่ได้จนเล่นๆ จนอย่างเข้าใจ จนอย่างมีภูมิปัญญา จนอย่างจริงๆ จนแล้วก็มีความสุข จนแล้วก็มีความอุดมสมบูรณ์ จนแล้วก็เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น จนแล้วก็เป็นเจ้าหนี้ด้วย ไม่ใช่เป็นลูกหนี้ เป็นยังไงนะจนแล้วเป็นเจ้าหนี้ จริง แต่เราไม่ทวงหนี้ ไม่คิดดอก เราเป็นคนให้ประโยชน์ผู้อื่น เราสร้างแล้วเราผลิตแล้วเราก็ให้ ให้ แจกจ่ายไป โดยไม่ได้คิดว่านี้ต้นทุนนะ เอาดอกคืนนะ หรือจะคืนต้นทุนด้วยก็ดีไม่เลย ให้ไปแล้วก็ ไม่มีสาเปกโข ไม่มีอะไรตอบแทน  ซึ่งเป็นเรื่องบริสุทธิ์สะอาดไม่เห็นแก่ตัวแก่ตน มันเป็นไปได้เป็นเรื่องมหัศจรรย์จริงๆ 

แล้วคุณเองคุณไม่มีส่วนได้ ได้ ได้เป็น ลาภ ที่เราทำเองสร้างขึ้นมาเอง ด้วยเรี่ยวแรงด้วยความรู้ความสามารถสิ่งที่ควรสร้าง ไม่เอาเรี่ยวแรงความรู้ความสามารถไปสร้างสิ่งไร้สาระ แต่สร้างสิ่งที่ได้อาศัย สร้างได้อย่างเหลือเฟือเจริญด้วย เช่นได้หอมหัวใหญ่งาม มะระจีนงามใหญ่ ดอกสุพรรณิการ์ มันอยู่ในดิน ที่นี่ดินดีมันก็งาม ไม่ใช่ไม่มีเหตุ ทุกอย่างมาแต่เหตุทั้งนั้นผลจึงตามมาจึงเจริญ 

เจริญและความมักน้อยสันโดษ ไม่สะสม เพิ่งความขยัน สมรรถนะ 

อาตมาเคยสรุปว่าความร่ำรวยคือความขยันและสมรรถนะของเรา นี่คือความร่ำรวยที่โจรปล้นไม่ได้ ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ คือคนที่มีความรู้ความสามารถกับความขยัน เป็นทรัพย์ที่กินไม่หมดใช้ไม่หมด เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นด้วย 

สู่แดนธรรม... สรุปจบ


เวลาบันทึก 24 มกราคม 2565 ( 20:52:23 )

650126

รายละเอียด

650126_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาพาถลกหนังพญานาคจอมหลับตา 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1unHnc9KxwY3AF_TkTrg8g0K8xuwzRmBLDIZHmN37mNg/edit?usp=sharing

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1gmhdk0hFeNkKJngq4PEku4ovbWr8qRYF/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่     https://fb.watch/aM_Rkdv0Wh/

และ    https://youtu.be/NZ_m35Bl7V4 

 

สมณะฟ้าไท... วันนี้เป็นวันพุธที่ 26 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ในงาน พุทธาภิเษกฯเราจะใช้หนังสือปัญญา 8 ที่พ่อครูเขียนสอบ แต่ว่าจะสอบแค่ 100 หน้า มีทั้ง  E-Book และแบบถ่ายเอกสารเป็นเล่มตัวหนังสือใหญ่อ่านสบายตา สำหรับที่บ้านราชฯ มีการอ่านอัดเสียงให้ฟังด้วย 

ในประเทศไทยก็มีดีที่นายกรัฐมนตรีไปเยือนซาอุดิอาระเบีย เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ก็ยังมีพวกที่ดิสเครดิตนายกฯตู่อีก อาจจะเป็นเพราะว่านายกฯขี้โกงเขาก็มีเงินมีทอง แต่นายกฯที่ซื่อสัตย์ทำให้พวกนักการเมืองอดอยากปากแห้ง 

พ่อครูว่า...SMS วันที่ 21-23 มกราคม 2565

สัมมาสมาธิกับสมาธิสัมโพชฌงค์เหมือนหรือต่างกันอย่างไร 

_หนึ่งนาใจ : สัมมาสมาธิในอริยมรรคองค์ 8 ต่างหรือเหมือนอย่างไรกับ องค์ 6 สมาธิสัมโพชฌงค์ (คหบดีแก้ว)ครับ 

พ่อครูว่า...สัมมาสมาธิในมรรคมีองค์ 8 เป็นลักษณะที่แจ้งให้ทราบว่าเมื่อปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ ก็จะเกิดผลเป็นสัมมาสมาธิ 

ฟังอีกที สัมมาสมาธินั้นเกิดจากการปฏิบัติมรรค 7 องค์เป็นเหตุ แล้วจึงเกิดผลเป็นสัมมาสมาธิ องค์ที่ 8 

เพราะฉะนั้นสัมมาสมาธิในอริยมรรคมีองค์ 8 จึงเป็นสมาธิที่สมบูรณ์แบบ ที่สมบูรณ์แบบก็เป็นสมาธิที่เป็นอุเบกขา มันจะเนื่องกับโพชฌงค์ ก็จะเป็นอุเบกขาสุดท้าย 

อุเบกขานั้นแปลว่า จิตเป็นกลาง หรือชัดๆคือ จิตบริสุทธิ์  อุเบกขาคือความบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา คือองค์ 5 ของอุเบกขา ที่พวกเราได้ฟังอาตมานำมาจากพระไตรปิฎก ในวิภังคสูตร 

ทีนี้ สมาธิในสัมโพชฌงค์นั้น เป็นการระบุว่าของพระพุทธเจ้านี้ ในโพชฌงค์ 7 

โพชฌงค์ก็คือ โพธิ แปลว่าความตรัสรู้ ที่รู้จากความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเฉพาะพระองค์เลย ไม่มีใครเหมือนหรอก 

สติก็ไม่เหมือน ธัมวิจัยก็ไม่เหมือน วิริยะก็ไม่เหมือน ปีติก็ไม่เหมือน ปัสสัทธิก็ไม่เหมือน สมาธิก็ไม่เหมือน สมาธิสัมโพชฌงค์ของพระพุทธเจ้าไม่เหมือนกับสมาธิของลัทธิอื่นๆใดๆในโลกทั้งหมด นี่คือประเด็นสำคัญ 

สมาธิของพระพุทธเจ้านั้น เรียกโดยพยัญชนะของพระพุทธเจ้าว่า สมาหิโต เป็นสมาธิที่รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริงถึง กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม 

ธรรมในธรรมคือธรรมะที่เป็นโลกุตระธรรมกับโลกียธรรม 

สมาธิของพระพุทธเจ้าจึงเป็นโลกุตรธรรม เป็นสมาธิที่มีเจโตปริยญาณ 16 

เจโตปริยญาณ 16 ตัวสมาธิก็อยู่ที่คู่เกือบจะสุดท้ายเรียกว่า สมาหิตะ กับ อสมาหิตะ

เพราะฉะนั้นผู้ที่ปฏิบัติธรรมแล้ว แม้จะเป็นชาวพุทธก็ตาม นั่งหลับตาเป็นฤาษี เป็นพระป่าไปทำสมาธิและบอกว่าตัวเองเป็นอรหันต์ บรรลุอรหันต์ บรรลุนิโรธอะไรก็ตามแต่ เพ้อเจ้อทั้งนั้น ถ้าไม่สามารถที่จะแยกแยะ 

แยกแยะ มโนปวิจาร เรียกว่าพฤติของจิต อาการเคลื่อนไหวของจิต ที่มันเป็นเคหะสิตะ 18 แล้ว ศาสนาพระพุทธเจ้าสอนให้ทำเป็นเนกขัมมะอีก 18 ได้ มันเป็นคู่กันระหว่างเคหะสิตะ กับ เนกขัมมะ ของโลกีย์เป็นเคหะสิตะ ของพระพุทธเจ้าก็มาเรียนรู้ความจริงรู้ไปถึงสภาพความจริงของจิตเจตสิกรูปนิพพาน หรือเรียนรู้ถึงเจตสิกต่างๆละเอียด 

โดยเฉพาะละเอียดจะเข้าไปสำคัญตรงเวทนา แยกเป็นเวทนา 108 แล้วก็ทำเนกขัมมะ จนกระทั่งเป็นสมาธิสัมโพชฌงค์ และในสมาธิสัมโพชฌงค์ก็คือเป็นจิตที่ตั้งมั่นแล้ว สรุปสุดท้ายก็บอกว่าเป็นอุเบกขา ตั้งมั่นเพราะจิตเป็นอุเบกขา เป็นอุเบกขาแล้วถึงตั้งมั่น จะเป็นสมาธิสัมโพชฌงค์และอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ทำให้จิตหมดกิเลสบริสุทธิ์สะอาด แล้วก็สั่งสมลงเป็น อเนญชา ตกผลึกลงไป แล้วก็ตั้งมั่น 

ซึ่งไม่ใช่ไปนั่งสมาธิหลับตาแล้วก็สะกดจิตให้จิตมันตั้งมั่น แบบนั้นมันผิวเผินมาก ไม่ได้เป็นจริงเป็นจังอะไรหรอก กดข่มไว้ได้นานก็นาน นานเป็นชาติๆเลยนะ ก็ติดนิสัย ติดวิสัย เป็นวิสัยของเดียรถีย์เป็นชาติๆเลย

อาตมาก็พยายามจะปลุกพวกที่ไปหลงนั่งหลับตาสมาธิ ย้ำแล้วย้ำอีกเพราะสงสารเขาว่ามันไม่ใช่ของพุทธเลย อย่าไปงมงาย เลิกได้แล้ว อย่าไปหลงผิดคิดว่าเป็นพระอรหันต์กัน ติดหลงใหลตามกันมาตั้ง 2,500 กว่าปีแล้วเสื่อมหนัก ถ้าจะมาก็มาปลุกขึ้น แต่เขาไม่เชื่อแต่มา ผู้ที่เชื่อแล้วชักตื่นขึ้นมาบ้างก็ดี 

เพราะอาตมาอธิบายไม่ได้อธิบายนอกรีต ทางโน้นอธิบายไม่ได้อย่างอาตมาหรอก ทางนั่งหลับตา แม้แต่จะเรียนพยัญชนะอันนี้เก่งๆพระอภิธรรม ขออภัยไม่ได้ไปทักทายอะไร เขาก็อธิบายไม่ได้อย่างอาตมา เพราะเขาจะอธิบายตามพยัญชนะ ถ้าใครไปซักถามพยัญชนะเก่งๆให้เป๋นะ เข้าป่าเลย

แต่ถ้าอาตมา ถ้ามาซักคำพยัญชนะ อาตมาไม่เข้าป่า เพราะมีสภาวะแล้ว ก็จะดึงให้เข้าป่า คุณพาอาตมาออกป่าทำไม อาตมาก็จะดึงเขากลับเท่านั้นแหละ 

ก็ไม่ใช่เรื่องอวดดี  แต่เป็นเรื่องที่จริงใจ  เป็นเรื่องที่พูดทุกอย่างเปิดเผยตัวเองว่าอาตมาขึ้นมากอบกู้ศาสนาพุทธมาเอาโลกุตรธรรมคืนมา ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่านี่คือความเสื่อม โลกุตระจะหายไปแล้วก็จะมี สยังอภิญญา ขึ้นมากอบกู้ สยังอภิญญา คือผู้รู้จักสัมมาทิฏฐิ 10

รู้จักว่าทานมีผล ยัญพิธีมีผล สังเวยบวงสรวงมีผล กรรมมีผล โลกนี้มีโลกหน้ามี พ่อมีแม่มี สัตว์โอปปาติกะมี และ สยังอภิญญา ก็ต้องมี

แล้วใครล่ะ ออกมายืนยันว่าตัวเองเป็น สยังอภิญญา ก็ นายรัก รักพงษ์ไง ออกมาบวชแล้วก็ยืนยันว่าตัวเองเป็น สยังอภิญญา

พูดเหมือนเล่นๆแต่ที่จริงพูดจริง ไม่ได้พูดเล่น 

อาตมามาทำหน้าที่นี้จริงๆ ก็ยืนยันไปหมดแล้ว แล้วไม่ใช่ยืนยันธรรมดา อธิบายสาธยายขยายความนัยยะสำคัญของสภาวะต่างๆ คนที่มีปฏิภาณไหวพริบฟังก็จะรู้ อันนี้ถึงอย่างไรก็ฟังแล้วมีคำอธิบาย​ มันก็น่าทึ่งว่า อธิบายได้อย่างไร เป็นเหตุเป็นปัจจัยกันและกัน ต่อเนื่องกันและกัน ไม่ได้อธิบายแล้วก็ขาดๆวิ่นๆ แล้วไปยังไงมายังไงต่อ ไม่ใช่ จะรู้ตัวเหตุตัวผล ตัวเหตุปัจจัยไปเรื่อยๆตลอด เป็นเช่นนั้น 

เอ้า ติดตามฟังไปดีๆอาตมาทำงานมา 50 กว่าปีแล้ว คนไหนยังไม่ตื่น ยังไม่รู้ ยังไม่เชื่อเลยก็สุดวิสัยที่จะช่วยเขา อาตมาก็ช่วยกันแล้ว ช่วยไม่ได้ก็ต้องปล่อยไป แล้วทำไมก็บอกว่าคุณน่ะรู้ตัวเถอะ ออกนอกรีตนอกทางเป็นเดียรถีย์ แล้วจะมีน้ำหน้ามาช่วยเขา คุณเข้าใจไหม ถ้ามีก็ต้องเข้าใจเขา 

 

ปรินิพพาน กับปรินิพพานเป็นปริโยสานต่างกันอย่างไร 

_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ คำว่า มีนิพพานเป็นปริโยสาน กับ มี ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ต่างกันอย่างไรคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้าค่ะ

พ่อครูว่า...พยัญชนะก็บอกอยู่แล้วว่าต่างกัน นิพพานก็คือนิพพาน ปริก็มีปริ ปริ แปลว่ารอบถ้วน นิพพานก็คือแปลว่านิพพาน แปลว่าผู้ที่ทำอาสวะให้สิ้นได้ 

ปรินิพพานคือผู้ที่ทำอาสวะให้รอบสิ้น แล้วแถมเป็นผู้ที่สามารถเรียนรู้ สามารถบอกผู้อื่น แล้วให้ผู้อื่นรู้ตามเป็นโพธิสัตว์ไปได้อีกๆๆๆ

ส่วนปรินิพพานเป็นปริโยสานนั้นคือผู้รู้ผู้นี้ เป็นทั้งอรหันต์ เป็นทั้งโพธิสัตว์ ที่สามารถที่จะบอกผู้อื่นยืนยันกับผู้อื่นได้ละเอียดลออ เหมือนอย่างอาตมานี้ 

จริงๆแล้วนิพพานสูงสุดนั้นคือ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน 

ดีว่าในพระไตรปิฎกมูลสูตรมีคำนี้อยู่คือ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน
    นิพพานคือ ผู้ถอนอาสวะสิ้นได้แล้ว 

ปรินิพพานคือ ผู้มีนิพพานรอบถ้วน แม้แต่ของตนและบอกคนอื่นให้รู้ตาม และสามารถพอรู้ของผู้อื่นได้ด้วยและรู้สุดถึงที่สุด ที่จริง ผู้ที่ทำปรินิพพานเป็นที่สุด เป็นปริโยสาน คือ ผู้ที่แยกธาตุดินน้ำไฟลม แยกจิตนิยามเป็นดินน้ำไฟลมไปได้นั่นเอง 

เพราะฉะนั้นที่ถามมาเป็นประเด็นแต่แค่ว่า นิพพานเป็นปริโยสาน กับปรินิพพานเป็นปริโยสานต่างกันอย่างไร มันก็มีคำต่างกันคือนิพพานกับปรินิพพานเข้ามาประกอบ ให้เข้ามาอธิบายได้กว้างขวางขึ้น 

สำหรับอาตมาอธิบายได้กว้างขวางขึ้น เพราะมีความรู้ระดับโพธิสัตว์ขึ้นไป ส่วนคนไม่รู้ ก็อธิบายไม่ได้เหมือนอย่างอาตมาหรอก ก็ไม่มีปัญหาอะไรขอให้ทำนิพพานเป็นปริโยสานได้ก็แล้วกัน พระอรหันต์ทุกองค์มีนิพพานเป็นปริโยสาน ทีนี้อาตมาถนัดคำว่าปรินิพพาน เพราะเป็นความเต็มรอบทั่วไป ก็จะพูดปรินิพพานเป็นปริโยสาน 

_Aumporn Kul (อัมพร กุล) : คนที่ คอรัปชั่น (ไม่ได้ไปขโมยใคร) ผิดศีลใหมครับ

พ่อครูว่า...มันหนักหนาสาหัสกว่าไปขโมยของส่วนตัวด้วย ไปขโมยของส่วนกลาง ผิดศีลข้อ 2 นั่นแหละ 

ปัญญาข้อที่ 3 ความสงบกายสงบจิตในปัญญา 8 ประการ 

_ตุ๊ก อัศวิน : ขอโอกาสเจ้าค่ะ "บริบูรณ์" มีความหมายต่างจาก 

"สมบูรณ์ "มีความเข้าใจ ดังนี้ได้ไหมเจ้าคะ บริบูรณ์ = สองมิติ คือ กว้าง/ยาว

สมบูรณ์ = สามมิติ คือ กว้าง/ยาว/สูง สมบูรณ์ จึงมีความหมาย ที่ลุ่มลึกกว่า

บริบูรณ์ ดังนี้..ถูกไหม. เจ้าคะ น้อมกราบ._/\_.เจ้าค่ะ

พ่อครูว่า...ได้ จะเข้าใจอย่างนั้นก็ได้ คำว่า ปริ กับ คำว่า สมะ

สมะ แปลว่าขาว แปลว่าสงบ 

ปริ แปลว่า รอบ 

ก็มีนัยยะลึกซึ้งของสภาวะ ถ้าคุณทำสภาวะได้ มันก็ละเอียดมันก็จะรู้ว่า อ๋อ!..บริบูรณ์เป็นอย่างนี้ ขาวรอบ ขาว สมะ สงบสนิท เป็นอย่างนี้ 

คำว่า สงบ คำนี้นี่ เป็นภาษาไทย สงบ 

ภาษาบาลีมีเยอะหลายคำ คำว่า สงบ ก็มาอธิบายคำว่าสงบที่เป็นโลกุตระกับโลกียะเท่านั้นให้ฟังนิดหน่อย 

สงบ โลกียะ ตื้นที่สุดก็คือ หยุดการเคลื่อนไหว ภายนอก กายวิญญัติสงบ ก็แสดงว่าภายนอก แขนขาเนื้อตัว หูตาจมูกลิ้นไม่ขยับอะไร นิ่งไปดื้อๆทื่อๆ ถือว่าสงบ 

คู่นี้ได้ตายลงไปแล้วอย่างสงบ ตายสนิทแม้แต่ลมหายใจก็ไม่ออก นี่คือสงบภายนอก ก็เข้าใจได้ไม่ยากอะไร 

แต่คำว่าสงบภายใน หรือคำว่าสงบที่พระพุทธเจ้าหมาย เช่น ปัญญา ข้อที่ 3 

ในปัญญาข้อที่ 3 บอกว่า เอ้า!..อ่านซิ

“ข้อที่ 3 เธอฟังธรรมนั้นแล้ว ย่อมยังความสงบ 2 อย่าง คือ ความสงบกายและความสงบจิต ให้ถึงพร้อม ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 3 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ”

ประเด็นอยู่ที่ความสงบกาย สงบจิต ผู้ที่ไม่เข้าใจคำว่ากายก็จะคิดว่ากายสงบคือภายนอกไม่กระดุกกระดิกเลย ปัสสัมภยังกายสังขารัง คือ การทำความสงบให้แก่กาย กายสังขาร เป็นการปรุงแต่งสังขารทางกายแล้วทำความสงบ ในอานาปานสติ ก็มี

ซึ่งมันไม่ได้หมายความว่าไม่กระดุกกระดิกร่างกาย โลกียเขาเข้าใจแค่ว่าไม่กระดุกกระดิกร่างกายภายนอกไม่เคลื่อนไหว ซึ่งอันนั้นไม่จริง 

เพราะความสงบของพระพุทธเจ้านั้น มันจะค้านแย้งกัน กายปาคุญญตา ที่แปลว่า ความคล่องแห่งกาย โอ้โห!.. กายยิ่งแคล่วคล่องว่องไวเลยเพราะจิตสงบ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับภายนอกชอบใจชื่นใจกับวัตถุภายนอก หรือไม่ชอบใจไม่ชื่นใจกับวัตถุภายนอกก็รู้กิเลสอันนี้แล้วก็ทำให้กิเลสตัวนี้หาย 

เพราะฉะนั้นภายนอกจะสัมผัสอะไรจะชื่นชอบก็ไม่มี จะชิงชังก็ไม่มีสงบ นี่คือโลกุตระ 

เสร็จแล้วจึงไปทำ รูปราคะอรูปราคะ เป็นจิตปาคุญญตา มีความคล่องแคล่วในจิตนั้น ให้จิตนั้นกิเลสลดลงไปเรียกว่า ปัสสัมภยังจิตตสังขารัง ทำความสงบให้แก่จิตสังขารอีกที

เพราะฉะนั้นธรรมกิเลสในจิตสังขารที่เหลือรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชาได้อีก หมดทั้งรูป ทั้งอรูป คุณก็เป็นอรหันต์ที่สงบหมด ทั้งภายนอกภายในอย่างบริบูรณ์ 

เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้อย่างนี้คุณก็ไปงมโข่ง กายสังขาร ทำกายภายนอกให้สงบได้นึกว่าเสร็จ คุณก็นั่งสงบหลับตาทำให้จิตมันหยุด อย่าง หยาบ กลาง ละเอียด อย่างที่คุณจะประมาณเอง ว่ามัน หยาบ กลาง ละเอียด คือมันหยุดนิ่งจนคนไม่รู้เรื่องเป็นอสัญญีสัตว์ได้คุณก็นึกว่าสงบจิต เป็นอสัญญีสัตว์ ไม่กำหนดรู้อะไรเลย มะลื่อทื่ออยู่อย่างนั้น ซึ่งน่าสงสารแล้วก็เต็มอยู่ในเมืองไทยอย่างที่อาตมาพูดนี่แหละ ทุกวันนี้ก็ยังปฏิบัติได้อยู่แค่นี้ ไม่ได้ก็คือปฏิบัติให้ได้อย่างที่อาตมาพูดนี่แหละ เป็น เดียรถีย์ ซึ่งไม่ได้เป็นของโลกุตระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เลย 

พูดไปแล้วก็เหมือนกับข่มไปว่าเขา ว่ามันผิด เราก็ว่าผิด มันไม่ถูกต้องก็ว่าไม่ถูกต้อง นิคฺคเณฺห นิคฺคหารหํ ปคฺคเณฺห ปคฺคหารหํ  ควรข่มคนที่ควรข่ม  ยกย่องคนที่ควรยกย่อง 

ก็หาว่าไปข่มไปดูถูกดูแคลน ก็มันดูถูกจริงๆว่ายังไงก็ไม่ผิด ก็ต้องพูดสิ่งที่ไม่ผิดไป ก็ต้องพูดถูกสิ พูดสิ่งที่ผิดเป็นสิ่งที่ผิดจริงๆ มันก็ต้องถูกสิ อาตมารู้จักความผิดที่ผิดจริง เมื่ออาตมาพูดไปว่ามันผิดจริง มันก็ต้องถูกสิ 

แต่มันพูดไปผิดๆเพี้ยนๆ อย่างเช่นอาตมา อาตมาว่าถูก เขาก็เข้าใจผิด อาตมาเข้าใจความถูกเป็นความผิด แล้วเขาก็นึกว่าเขาถูก คนนั้นก็อยู่ในวัฏสงสารต่อไป ก็เป็นผู้ที่น่าสงสารต่อไป 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สมณะฟ้าไท... พ่อครูสอนเราให้ฝึกเป็นลิงชั้นดี ทำงานคล่องแคล่ว ไปซ้ายไปขวาไปหน้าไปหลังได้ยังไม่มีติดขัด ของเขาทำให้ยากอืดอาด 

พ่อครูว่า... ของเขาไม่ทันโลกหรอก โลกเดี๋ยวนี้มันไวยิ่งกว่าอะไร 

สมณะฟ้าไท... โลกถึงทำอะไรเราไม่ได้ เพราะเราเหนือโลก 

พ่อครูว่า... 

_หินทอง : ท่านบินบนนำจินตนาการ (เพลง Imagine)ของจอห์น มาเทียบเคียงกับสิ่งที่ทำได้จริงของชาวอโศกได้ดีมากเลย เยี่ยมมากครับท่าน

_เดชา อำพร : "พื้นฐานของโลกที่สันติสุขแท้".. คือ ต้องไม่มี"โรงฆ่าสัตว์"..ชาวพุทธที่แท้จริง.. จึงไม่สมควรจะ"เลี้ยงสัตว์ใด ๆ เพื่อนำมาเป็นอาหาร".. และ"ชาวพุทธแท้"ต้องไม่สนับสนุนการ"เลี้ยงปศุสัตว์"ในทุก ๆ มิติของสังคม.."การฆ่าสัตว์"เพื่อนำ"เพื่อนร่วมโลก,ร่วมชะตากรรม"ใน"วัฏสงสาร" มาทำเป็นอาหาร.. นับเป็น"ความโหดร้าย"ใน"ส่วนลึกของจิตใจมนุษย์"อย่างยิ่ง.. อย่างที่ไม่มีเหตุผลใดจะมาแก้ต่าง,แก้ตัวได้เลย...ด้วยความเคารพครับ 

พ่อครูว่า...เขาก็เลี้ยงจนเชื่องเลยนะไม่ว่าจะเป็นสัตว์ชนิดไหน สัตว์มันคงคิดว่าเมตตาใจดีจังเลย มันก็สนิทสนม วันร้ายคืนร้ายก็จับมันมากินหน้าตาเฉย ฆ่ากินไป ยิ่งกว่ายักษ์กว่ามาร เหมือนเลี้ยงลูกแล้วก็ฆ่ากินหน้าตาเฉย แล้วก็บอกว่าลูกที่น่าเอ็นดูของฉันหายไปไหน ...ไอ้บ้า เอ็งฆ่ากินกับมือแล้วบอกว่า ลูกที่น่าเอ็นดูไปไหน มันไม่มีสติสัมปชัญญะไม่มีความรู้อะไรขนาดนั้นคน เป็นอุทาหรณ์ที่พระพุทธเจ้านำมาประกอบในอาหาร 4 ตั้งแต่ กวฬิงการาหาร ฆ่าลูกกินเนื้อเฉย

_แมง ทัพ : จะได้ฟังเทศน์ท่านจันทร์วันไหนบ้างค่ะ อยากฟังท่านจันทร์เทศน์เจ้าค่ะ

ขอบคุณค่ะ 

(ท่านจันทร์มีเทศน์รายการสุขทุกข์ของชีวิต ทางบุญนิยมทีวี ทุกวันจันทร์กับวันอังคารเวลาประมาณ 11.00 - 13.00 น.

รายการวิปัสสนาข่าว วันอังคารกับวันพุธเวลา 07.00-09.00 น. 

ทางวิทยุออนไลน์ มีสมาร์ทบอมบ์เรดิโอ ช่วงเวลาประมาณ 01.00 - 05.00 น. และทางเฟสบุ๊คของท่าน 

วันเสาร์ อาทิตย์ ท่านก็เทศน์อยู่ที่ พุทธเมตตาธรรมสถาน 

อื่นๆ บางวันก็รับนิมนต์ไปเทศน์ที่สันติอโศก และที่อื่นๆ ในงานศพหรืองานต่างๆด้วย)

พระอรหันต์อยู่กับปฏิจจสมุปบาทอย่างไร 

_ดินเพ็ญไพร  ขอโอกาสถามค่ะ

1. พระพุทธเจ้า พ่อครู  พระอรหันต์ หลุดพ้นจากวงจรปฏิจจสมุปบาท แล้วพระพุทธเจ้าหรือพ่อครู อยู่ในโลกนี้ด้วยอะไร...หมายถึง พ่อครูสอนคนเยอะแยะ พบ ปะคนหลากหลาย มีกิจกรรมที่หลากหลาย แล้วพ่อครูทำยังไง โดยอยู่เหนือปฏิจจฯ??

พ่อครูว่า...โอ้โห ถามอันนี้ต้องอธิบายยาว แต่จะพยายามสรุปให้ไม่ยาวนัก 

ปฏิจจสมุปบาท ถ้าคนเข้าใจแล้วก็จะรู้ครบ ก็แปลว่า วงจรของชีวิตของผู้อวิชชา ไม่รู้จักสังขาร พอไม่รู้จักสังขารมันมีวิญญาณเป็นปัจจัย เมื่อไม่รู้วิญญาณเป็นปัจจัยก็เพราะว่าไม่รู้จักนามรูปเป็นปัจจัย ไม่รู้นามรูปเป็นปัจจัยก็ไม่รู้อายตนะเป็นปัจจัย ไม่มีอายตนะเป็นปัจจัยเพราะว่าคุณไม่ได้สัมผัสภายนอกภายใน เช่นคุณไปหลับตา คนไปหลับตานี้ไม่มีสัมผัสภายนอก เพราะฉะนั้นจึงไม่มีวงจรปฏิจจสมุปบาทอะไรไปปฏิบัติไม่มีเวทนา 

มีอายตนะได้เพราะมีสัมผัส มีสัมผัสจึงจะเกิดอีกมุมหนึ่ง เกิดอายตนะและเกืดเวทนา เกิดความรู้สึก จึงไปศึกษาที่เวทนา นี่คือจุดสำคัญของศาสนาพุทธ ศึกษาเวทนาในเวทนา 

ในโพธิปักขิยธรรม 37 ให้พิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม  

ในกาย คุณก็ต้องรู้องค์ประกอบมันมี 2 สภาพ รูปกับนาม ข้างนอกกับข้างใน เดี๋ยวจะกลับมาอธิบาย กาย อีก

กาย เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ครอบจักรวาลไม่ใช่เรื่องเล่น

เมื่อคุณอวิชชา คุณไม่รู้สังขารคุณก็ไม่รู้ว่าวิญญาณเป็นปัจจัยของสังขาร เพราะคุณไม่รู้จักว่าวิญญาณมีนามรูปเป็นปัจจัยที่จะให้เกิดวิญญาณ แล้วนามรูปนี้ ถ้ามันไม่เกิดปฏิกิริยาสัมผัสกัน มันก็ไม่เกิดอายตนะ เมื่อสัมผัสขึ้นมาก็มีอายตนะ เป็น 2 เกิดเป็นผัสสะ เกิดเป็นอายตนะ

แต่ในความเป็น 2 ที่สัมผัสกันนี่แหละ มันเลยเกิดสังขารเกิดเวทนา คุณก็ศึกษาสังขารนี้ ซึ่งมีเวทนาอยู่ในสังขาร ในเวทนามีเหตุ ตัวร้ายคือ ตัณหา อุปาทาน 

ตัณหาคือตัวกิเลสที่เคลื่อนที่ อุปาทานคือกิเลสที่เป็น static เป็นตัวนิ่ง  เมื่อคุณรู้เหตุตัวนี้ได้ คุณไม่สามารถทำให้กิเลสตัวนี้มันดับ มันก็เหลือเป็นภพ เป็นชาติ หมุนเวียนเป็นปฏิจจสมุปบาทอยู่ตลอดกาลนาน แต่ถ้าคุณดับ สามารถทำให้กิเลสหมดลงไปได้ ภพหมดชาติดับ คุณก็เต็มไปด้วย วิชชา รู้เท่าทันสังขาร รู้เท่าทันเวทนา 

ดับตัวโง่ อวิชชา ก็เลยรู้ว่าเพราะสังขารมันก็ปรุงแต่งกันมาตามเหตุปัจจัย ไม่โง่แล้ว ไม่อวิชชาแล้ว ก็อยู่กับอภิสังขาร 

อภิสังขารจึงมี 3 

1. ปุญญาภิสังขาร 2. อปุญญาภิสังขาร 3. อเนญชาภิสังขาร

ปุญญาภิสังขารคือ ปรุงโดยให้เกิด ปุญญะ ก็คือการฆ่ากิเลส เป็นพลังงานที่จะมาฆ่ากิเลส เป็นฌาน แล้วก็เป็นบุญ 

ฆ่ากิเลสได้เสร็จ เป็นมือประหารเด็ดขาด ถ้าลงถึงมือบุญประหารแล้วละก็ กิเลสต้องตาย ตายไม่ฟื้นด้วย เพราะบุญนั้นฆ่าแล้วฟื้นไม่มี ถ้าถึงมือบุญแล้ว เป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย 

เหมือนแทงด้วยหอกร้อยเล่มเช้า ตายไม่สนิทหรือไม่ตายเลย กลางวันเย็น ก็ไม่ตาย นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสเป็นจริงว่า ไอ้โจรร้าย เจ้าพนักงานเก่งขนาดไหนก็เอาไปฆ่ามันไม่ตายง่ายๆ มันครองโลกนะ เหมือนทุกวันนี้ อาตมาพูดไปเถอะ เขาจะหลับตา อาตมาตายไปแล้วอีกร้อยปี พันปี พวกนี้ก็ยังหลับตา เป็นพญานาค เดี๋ยวจะอธิบายกายกับพญานาคอีก พวกหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น แหม มันกระแทกใจลึกดีจริงๆเลย อาตมาเห็นแล้วน่าสังเวชใจ ทำไมถึงโง่ดักดาน มืดบอด ไม่กระเตื้องอะไรเลย 

บอกยังไงก็ทำเป็นหัวเราะเยาะเมินไม่มอง แล้วก็ไปเคารพบูชาคนที่มืดด้วยกันไป คนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้ เสร็จแล้วก็สนุกสนาน โอ้โห..หนังสนุกจังเลย คนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้ คุณนึกถึงไหม 

หนังเขามีภาพ มีแสง มีสี แต่มันไม่มีภาพมีแสงมีสีให้คนตาบอดเห็น ไม่ใช่ไม่มี มันมีแต่คนตาบอดไม่เห็นมันก็อัดเสียง แล้วมันดันเป็นหนังใบ้อีก คนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้ สมพอกันมันพอกั,น 

ถามว่าพ่อครูอยู่กับอะไร... อยู่กับความจริงตามความเป็นจริง สมมุติก็รู้ว่าสมมุติ ปรมัตถ์ก็รู้ว่าเป็นปรมัตถ์ สิ่งที่มีก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่มี สิ่งที่ไม่มีก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่มี เป็น อนุปคัมมะ เป็นบุคคลที่เข้าใจแล้วก็อยู่กลาง เป็นบุคคลบรรลุความเป็นกลางอย่างสำเร็จ 

สู่แดนธรรม... คำถามนี้น่าจะมาจาก ความเข้าใจว่า พระอรหันต์จะต้องไม่เกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาทอีกเลย แต่จริงๆแล้วพ่อครูอธิบายว่า พระอรหันต์ก็อยู่กับปฏิจจสมุปบาทนี่แหละ 

พ่อครูว่า... มันมีคนที่เขามีก็ต้องใช้อาศัยพวกนี้ พระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43 ว่าต้องอาศัยความมีกับไม่มีนี่แหละ เป็นเครื่องอาศัยในการศึกษา จนกระทั่งจบโลกสมุทัยกับโลกนิโรธ นี่ก็พูดสรุปๆ ศึกษาดีๆแล้วก็จะเข้าใจ 

สู่แดนธรรม... พ่อท่านถามว่า ประเทศไหนในโลกไม่มีโรงฆ่าสัตว์เลย มีคนบอกว่าประเทศภูฏานครับ 

พ่อครูว่า... เออ! เข้าท่า ประเทศภูฏานไม่มีโรงฆ่าสัตว์ น่าคิดๆ 

2. แรกๆเห็นพ่อครูไอมากๆ แล้วสงสาร รู้สึกว่าถ้าไอแทนได้ก็จะข่วยไอแบ่งเบาท่าน เห็นน้ำหนักท่านต่ำ ฉันก็ไม่ได้เยอะ เห็นใจ สงสารท่าน แต่พอมาหลังๆ โยมกลับคิดว่า สงสารก็ช่วยท่านไม่ได้  ใจหดหู่เปล่าๆ มาล้างกิเลสในตัวเอง ทำตามพ่อครูสอนให้ได้ผล  ถ้าพ่อครูรับรู้ ท่านจะได้มีกำลังใจกินข้าวและอยู่ต่อไปอีกนานๆ ยังงี้คิดเห็นแก่ตัวหรือเปล่าคะ รู้ว่ากายขันธ์ของท่านไม่โอเคก็ยังอยากให้ท่านเมตตาอยู่ต่ออีก??

พ่อครูว่า... จริงๆใช่ ไม่เป็นการแก้ตัวหรอก ดีแล้วล่ะคิดอย่างนี้ดี 

หมายความว่าทั้งๆที่ไกลขนาดจะมาไม่ไหวแล้ว มันไม่โอเค มันโนเคแล้ว แต่ก็ยังอยากให้อาตมาอยู่ต่อไป เห็นแก่ตัวมั้ย.. ก็ไม่เป็นไรหรอกการเห็นแก่ตัวเพื่อให้ตัวเองเจริญไปสู่ที่สูงที่สุดเป็น สัมโพธิปรายนะ ก็ไม่เสียหายอะไร 

SMS วันที่ 24-25 มกราคม 2565

การปฏิสันถารแสดงว่าพุทธเป็นศาสนาไม่หนีสังคม 

_0015 : ทำไมพระพุทธองค์จึงให้ความสำคัญกับการปฏิสันถารมากถึงกับกำหนดให้การเคารพยำเกรงในปฏิสันถารอยู่ในหมวดธรรมเดียวกับการเคารพยำเกรงในพระพุทธเจ้าฯ ครับ

พ่อครูว่า...การปฏิสันถารเป็นการบอกว่าศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาออกจากสังคมเหมือนศาสนาเชน ศาสนาพุทธที่ท่านตรัสกล่าวถึงขั้นนั้น การปฏิสันถารนั่นเทียบเท่ากับการเคารพยำเกรงพระพุทธเจ้า เท่ากันเลย สำคัญยิ่ง 

อาตมานี่เป็นคนไม่ดีเลยไม่เก่งในการปฏิสันถารเลย เทียบกับท่านเพาะพุทธ ท่านจันทร์ คนละด้านเลย อาตมานี้เป็นคนแย่มากเลยในเรื่องของปฏิสันถาร 

ถ้าอาตมาปฏิสันถารเก่งกว่านี้อีกสักนิดเดียว ไม่ต้องมาก อื้อหือ จะดีมากเลย แต่มันก็สุดวิสัยเพราะมันเป็นวิสัยไปแล้ว ไม่ใช่นิสัยเท่านั้น ก็ได้ประมาณนี้ก็รู้เป็นข้อบกพร่องของอาตมา ปฏิสันถารน้อย แต่ก็นั่นแหละ ก็แก้ตัวว่า ขนาดไม่ปฏิสันถารนี่ยังมีผู้ที่จะต้องสอนอยู่ไม่ใช่น้อยแล้ว ไปปฏิสันถารอีก ลูกค้าอาตมาจะเยอะขึ้น มันจะไหวหรือ ป่านนี้คงตายแล้วล่ะ ก็เอาแต่พอตัว จะเรียกว่าแก้ตัวก็ได้ 

_บุญญากร พัฒนสัตถาพร (Boonyakorn Pattanasattaporn) : วันนี้ในอดีต เมื่อวันที่ 24 ม.ค.2554 หรือวันนี้ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตรงกับวันจันทร์ ทนายทองใบ ทองเปาด์ ถึงแก่กรรม ในวัย 84 ปี ทนายทองใบ ทองเปาด์ ได้อาสาช่วยว่าความให้กับคดีกรณีสันติอโศก เมื่อ พ.ศ.2532 โดยเป็นหัวหน้าคณะทนายของคดีกรณีสันติอโศก

ประวัติทนายทองใบ ทองเปาด์ ผู้ที่ได้สร้างคุณประโยชน์ให้กับสังคมไทยมากมายจนนับไม่ถ้วน เป็นทนายของคนยากไร้และผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมต่าง ๆ เป็นทนายนักต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน ได้รางวัลแมกไซไซ สาขาบริการสาธารณะ และรางวัลคนดี ศรีสารคาม และได้รับรางวัลสัญญา ธรรมศักดิ์ และรางวัลนักกฎหมายดีเด่นประจำปี 2547 จากกองทุน ศจ.สัญญา ธรรมศักดิ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

พ่อครูว่า...ก็ดีก็ระลึกถึงผู้ที่ทำดีทบทวนกันบ้าง 

_แก่นนวน มาลัยขวัญ : บ้านราชปลูกหอมหัวใหญ่ได้ดีมาก เดี๋ยวขอนแก่นจะทดลองปลูกตามค่ะ แต่ปีนี้คงช้าไป แต่ก็จะทดลองปลูกดูนะคะ

สัจจะความจริงที่คนเราควรรู้ก่อน อย่างละเอียดทุกแง่มุมก็คือกิเลสตนเอง 

_สตาร์แอร์ ทุ่งคอก : หากเรายังไม่เข้าใจ สัจจะความเป็นจริง1เดียวอย่าง

ละเอียดทุกแง่ทุกมุม เราจะ 0 ได้มั้ยครับ พ่อครู

ที่มา ที่ไป

650126


เวลาบันทึก 26 มกราคม 2565 ( 21:35:44 )

650202

รายละเอียด

650202 หนูตัวเล็กอย่างไทยจะช่วยราชสีห์ซาอุฯตัวใหญ่ได้ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1_xTkAda93GkRQTPzuS7yzqEbYJxFK29J1faBfvtoX6o/edit?usp=sharing  

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1b7u0a6nHAhjWOeLtFj9CMKJBYPpqxLUC/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่     https://www.facebook.com/300138787516163/videos/996657674324488 

และ   

 

สมณะเดินดิน… วันนี้เป็นวันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก เดือนมกราคมผ่านไปเข้าเดือนกุมภาพันธ์ อายุเราก็ผ่านไปอีก 1 วัน พ่อครูเคยมีบอกว่าแก่ไม่ทันเดี๋ยววันเดียววัน  

พ่อครูว่า...แก่ไม่ทันเดี๋ยววันแล้วเหวย

ปาฏิหาริย์ของศีลที่เกิดได้อย่างเป็นกลุ่มชุมชน 

สมณะเดินดิน... ศีลข้อที่ 1 มีใจเมตตาเกื้อกูลหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ เป็นปาฏิหาริย์ที่คนทั่วไปทำไม่ได้ง่ายๆ เคยได้อ่านบันทึกพวกพระนั่งหลับตาในป่า ท่านบอกว่านั่งเจริญเมตตาทั้ง 4 ทิศ เห็นสรรพสัตว์ทั่วทิศก็มีเมตตาไพบูลย์แผ่ไป ท่านเป็นพระฝรั่ง แต่ว่าเมื่อเข้ามาในเมืองต่อพาสปอร์ต ปรากฏว่าเจอเจ้าหน้าที่เล่นตุกติก เลยคิดว่าหน้าของเจ้าหน้าที่เล็กกว่ากำปั้นเรานะ เจอคนขัดใจก็รู้สึกโมโห 

การเจริญเมตตาถือศีลข้อที่ 1 ไม่ใช่จะไปอยู่แผ่เมตตาในป่า แต่ก่อนมีพวกเราอยู่ชั้น 4 บอกว่าแผ่เมตตาอยู่ คนก็บอกว่าลงมาขนทรายแผ่เมตตาลงมาข้างล่างหน่อยสิ 

มีคนถามว่า กินเนื้อสัตว์เขาอยู่แผ่เมตตาไหม แผ่ กำลังเคี้ยวเนื้อสัตว์อยู่แผ่เมตตาไหม แผ่ ...เขาก็ตอบอย่างนั้น 

คนที่ถือศีลข้อที่ 1 จนมีจิตเมตตาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ไม่ใช่เพียงไม่ฆ่าสัตว์ แต่มีจิตเพื่อคนเมตตาต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ การถือศีลข้อที่ 1 ก็เป็นปาฏิหาริย์ของพุทธแล้ว ไม่ต้องพูดถึงศีลทั้ง 5 ข้อเลย 

พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า การเพ่งโทษพระโสดาบันมีบาปยิ่งกว่าไปเพ่งโทษศาสดาใดๆอีก 

ปาฏิหาริย์ของพุทธแต่ละข้อ ถ้าไม่ได้ฟังธรรมลึกซึ้งก็จะรู้สึกธรรมดา การฆ่าสัตว์ของเขาอาจจะไม่ได้ฆ่าวัวควาย ไม่ได้กินเนื้อวัวควาย แต่เมื่อดูสิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้มีความละเอียดอย่างยิ่งจะต้องถือศีลแล้วเกิดผลที่จิตด้วย จึงจะเป็นสุดยอดปาฏิหาริย์ เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ที่ทำให้ลดความโลภโกรธหลงได้ จากการที่เรามีศีลแต่ละข้อเป็นปาฏิหาริย์ของศาสนาพุทธที่เป็นสุดยอดปาฏิหาริย์ 

พ่อครูว่า... อาตมาเคยย้ำเรื่องความรู้แม้แต่เรื่องกับสัตว์ ตามชีวกสูตรที่กล่าวถึงการกระทำที่เป็นบาปเป็นอันมาก ไม่ใช่บุญเลย เริ่มกล่าวชื่อสัตว์ก็มีเจตนาแล้ว เริ่มต้นจุดบาป ต่อจากนั้นจะเห็นเจตนาชัดในข้อที่ 2 ไปจับมันมาลากคอมันมา ก็ให้คนไปจับมันมา 

ข้อที่ 3 ฆ่ามันเสีย บาปหนักเข้าไปอีก แม้ตัวเองไม่ได้เป็นคนทำ แต่ตัวเองเป็นคนดำริเป็นคนพูดคนบอกให้ฆ่ามันเสีย คนก็ฆ่ามัน 

ข้อที่ 4 สัตว์มันก็ตายเพราะถูกฆ่ามันก็ทุกข์โทมนัสบาปเข้าไปอีก ข้อที่ 5 ยังไม่พอ มิหนำซ้ำยังเอาเนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่าโดยคน ซึ่งไม่ใช่ที่บอกว่าระบุฆ่าเพื่อคนนั้นคนนี้ แต่ระบุว่าสัตว์นั้นถูกคนฆ่า ไม่ใช่สัตว์ที่สัตว์มันกินแล้วเหลือเดน อย่างนั้นเป็นปวัตตมังสะ นี่โดยตรงเลยไม่ต้องไปเลี่ยงบาลี ไม่ใช่ระบุชื่อนั้นชื่อนี้คนนั้นกินไม่ได้นอกนั้นกินได้หมดเลยจ้า นี่มันขี้โกงเบี้ยวบาลีเพื่อจะกินเนื้อสัตว์ คนที่แปลบาลีอย่างนี้ คนนี้ที่แปลคนแรกบาปตกนรก คนที่เอาไปขยายผลจากคำสอนผิดอีก 

ยิ่งเอาไปถวายพระพุทธเจ้า ถวายสาวกพระพุทธเจ้า เพื่อให้พระพุทธเจ้าและสาวกยินดีในการกินเนื้อสัตว์ ว่าเป็นของควรกินนะจ๊ะ จะบ้าหรือ บอกว่าเนื้อสัตว์เป็นของควรกินที่จริงมันเป็น อกัปปิยะ ไม่ใช่ของควรกิน ก็มีคำกำกับอยู่แล้ว ก็ไม่แตกฉานในคำสอนของพระพุทธเจ้า 

เพราะฉะนั้นจึงมีความติดยึดความหลงความโง่ ความไม่รู้จริงๆ เขาก็หาทางแย้งหาทางเถียงไป 

เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจดีๆ มีคนมีภูมิปัญญาแท้ๆ ชัดเจนจึงหายาก 

เพราะฉะนั้นคนไม่ฆ่าสัตว์ไม่กินเนื้อสัตว์แค่นี้แหละเป็นปฏิหาริย์แล้ว 

ไม่กินเนื้อสัตว์เพื่อรักษาสุขภาพก็อย่างหนึ่ง ไม่กินเนื้อสัตว์เพราะรู้จักวิบากกรรมก็ลึกเข้าไปอีก เพื่อสุขภาพนั้นได้ไปในตัวฟรีๆเลย ไม่กินเนื้อสัตว์เพราะว่ารู้ว่ามันเป็นวิบากกรรม 

เพราะฉะนั้นรายละเอียดคำสอนพระพุทธเจ้าตั้งแต่ศีลข้อที่ 1 ศีลข้อที่ 2 นั้นเป็นเรื่องทุจริต ที่มีเต็มโลกเลย อาตมาคิดวิธีทุจริตตามเขาไม่ไหวในโลกนี้ เพื่อจะขี้โกงเพื่อจะหลอกลวงเพื่อจะอำพราง อาตมาไม่สู้ ยอมแพ้จริงๆเลย เขาคิดซับซ้อนลึกลับ ลึกซึ้งอะไรก็แล้วแต่ โอ้โห ความคิดของคน เพราะฉะนั้นศีลข้อ 2 ก็อย่างนั้น 

ถ้าศีลข้อ 3 นี่แหละโดยตรงของศาสนาพุทธ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทางกายทางใจ แม้สัมผัสทางกาย ต้องเรียนรู้เลยว่า มันละเอียดลออถึงขั้น คุณจะหลงสุขเพราะรูป หลงสุขเพราะกลิ่น หลงสุขเพราะเสียง เพราะรส เพราะกลิ่น เพราะสัมผัสเสียดสี ทางนอกทางใน ครบหมดเลย 

ถ้าเรียนรู้จริงและปฏิบัติจริงซึ่งเป็นคนปาฏิหาริย์เป็นอรหันต์จริง เพราะฉะนั้นแม้แต่แค่นิดหน่อยไม่กินเนื้อสัตว์เป็นปาฏิหาริย์ เป็นโสดาบันปฏิหาริย์ เป็นอรหันต์ ยังไม่ปาฏิหาริย์ได้หรือ 

เพราะฉะนั้นคนทุกวันนี้เสื่อมไปจนกระทั่ง อาตมาประกาศอรหันต์ก็หัวเราะฟันหลุดเลย คนอย่างเอ็งนะหรือเป็นอรหันต์ ใครเขาเป็นได้วะ จริงหรือเปล่า 

เขาไม่เข้าใจนัยยะซับซ้อนลึกซึ้งต่างๆ มันเป็นสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์เอาไว้ว่าความเสื่อมของศาสนาพุทธ เหมือนกับกลองอานกะไมเ่หลือเลย มีแต่ชื่อว่า อานกะ แต่เนื้อแท้ องค์ประกอบต่างๆนานาไม่เหลือ ปลอมแปลงเอาของใหม่ใส่เข้าไปหมด อาตมาก็ต้องมาถอดเอาของแท้ใส่แทน โอ้ย มันก็ยากแสนยาก

คำสอนที่อาตมาพยายามทั้งพูดทั้งอธิบายทั้งอ้างอิงยืนยัน ทั้งพาปฏิบัติพิสูจน์ จนได้มรรคได้ผลขึ้นมาจริง ได้ขึ้นมามีบุคคลยืนยัน มีกลุ่มหมู่สังคมปฏิบัติประพฤติได้ตามคำสอนพระพุทธเจ้าจริงจังยืนยัน จนเป็นวัฒนธรรม 50 ปีนี้ถือว่าเป็นวัฒนธรรมได้แล้ว หยั่งลงแล้ว

ที่ว่ายืนยันหยั่งลง ไม่ใช่หยั่งลงเพราะว่ามันตอกตะปูเฉยๆ แต่มันยืนยันหยั่งลงด้วยจิตวิญญาณของแต่ละคนพวกคุณ มนุษย์รู้แจ้งเห็นจริงมันชัดจริง เราเอามาปฏิบัติก็สอดคล้องทั้งจิตวิญญาณทั้งภายนอกภายใน อธิบายได้อย่างซับซ้อนละเอียดลออ อธิบายเก่งๆ อธิบายได้ดี อธิบายยังไม่เก่งก็อธิบายได้บ้าง อย่างนี้เป็นต้น แต่มันรู้แล้ว มันไม่ถอดถอน มันไม่เปลี่ยนแปลง มันเป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) 

มันเป็นจริงอย่างนั้น พวกเราฟังแล้วมีเป็นเรื่องมีหลายเรื่องแล้วใช่ไหม ชัดเจนเป็นแล้วได้แล้วยืนยันเลย เรื่องที่เราได้มา เรื่องหยาบ กลาง ละเอียด เป็นลำดับไปตามฐานะของแต่ละบุคคล สุดยอด 

SMS วันที่ 28-30 มกราคม 2565

_ลักขณา โกยรัมย์ : ฟังพ่อครูแล้วก็ให้สบายใจค่ะ ฟังแล้วเอามาทำ ทำในสิ่ง

ที่เราทำได้ ค่อยเป็นค่อยไป ไม่โลภค่ะ แม้จะยังอยู่ในโลกโลกีย์แต่ใจยังยินดี

กับความเป็นโลกุตรธรรมอยู่เสมอ กราบนมัสการค่ะ

 

_สว่างแสง ขวัญดาว  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

ช่วงที่งานพุทธาฯคนภายในมีการสอบกัน คนภายนอกจะขอร่วมสอบด้วยได้ไหมคะ จะทำอย่างไรคะ 

พ่อครูว่า...ทำได้ วันสอบ สามารถทำข้อสอบ ในเพจเฟสบุ๊ค บุญนิยมทีวี ได้ วันที่ 18 ก.พ.นะ

_สตาร์แอร์ ทุ่งคอก  · ขอบุญกุศลอันน้อยนิดของกระผม ส่งผลให้พ่อครูหายป่วยโดยเร็ววันครับ ขอแรงใจหลายๆคนช่วยกันครับ พ่อมีประโยชน์และจำเป็นกับโลกมนุษย์ใบนี้มากครับ

ที่มา ที่ไป

650202


เวลาบันทึก 02 กุมภาพันธ์ 2565 ( 22:03:53 )

650204

รายละเอียด

650204 พ่อครูฝืนตายฝืนกินอยู่ด้วยอาหาร 4 พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1sRVxMWl6766aFFmoOh9DlvcLqK6EqnXsuvubNjDxqwE/edit?usp=sharing  

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1iijpCkyAq113Ss-0Sq23KHEx0fc5LkoR/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่     https://fb.watch/aYSpcq1oxK/    

และ    https://youtu.be/fLHyr2g4uHA 

 

สมณะเดินดิน…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงเร็ว มีสลับร้อนสลับหนาว เป็นการทดสอบความแข็งแรงของร่างกายของพวกเรา ที่จังหวัดอุบลฯ ปีนี้ได้รับการประกาศเป็นเขตเศรษฐกิจพอเพียงเป็นจังหวัดแรก มีโครงการโคกหนองนาโมเดลมากที่สุดในประเทศไทยจำนวน 4,400 แห่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดมีไฟผลักดันโครงการนี้มาก 

วันอาทิตย์ที่ 6 ที่จะถึงนี้จะมีการอบรมการปลูกข้าวไร่ตั้งแต่ 9:00 น. เป็นต้นไป ผ่านโปรแกรม Zoom จะมีการแจ้งรหัสทางกลุ่มไลน์เพื่อฟ้าดิน เป็นข้าวอีกชนิดนึง ที่ไม่ต้องใช้น้ำมากในการปลูก ปลูกในที่สูงก็ได้ในที่ต่ำก็ได้ ซึ่งข้าวไร่บางพันธุ์มีกลิ่นหอมมากกว่าข้าวหอมมะลิอีก มีลำต้นแข็งแรงใช้ปุ๋ยน้อยใช้น้ำน้อย ทนทานต่อสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงสูง เป็นโครงการสร้างอาหารให้กับมนุษย์ พ่อครูบอกว่า คนฉลาดสร้างอาหาร คนที่ฉลาดยิ่งกว่าต้องมาฟังโลกุตรธรรม 

พ่อครูว่า...เดี๋ยวเราจะได้พูดกันถึงเรื่องอาหารที่ได้เตรียมไว้ ซึ่งตรงกับที่ท่านเดินดินได้เกริ่นไว้ ยังดีที่พันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ตายไปก่อน ถ้ายังไม่ตายคงจะบอกว่า โพธิรักษ์จะบ้าหรือเปล่า ธรรมะมันไม่พูดจะพูดแต่เรื่องอาหารจะกินจะกินจะกิน มันจะหลงการกินไปถึงไหนอะไรอย่างนี้ ก็น่าเห็นใจเขา เขาเข้าใจไม่ได้ว่าธรรมะคืออะไร เขาก็คงเข้าใจว่าธรรมะคือคุณากร ส่วนชอบสาคร ดุจดวงประทีปชัชวาล 

SMS วันที่ 2 ก.พ. 2565

 

_คอยใคร : ผมก็แอบทำข้อสอบวันเฉลยคำตอบครับ แต่ว่ามีเวลาคิดน้อยเพราะท่านสมณะอ่านคำถามจบอ่านคำตอบจบ บางคำถามผมยังคิดคำตอบไม่ทันเลยครับ เพราะผมมีความรู้ทางธรรมอันน้อยนิดครับ

 

ชาวอโศกมนุษย์วรรณะ 9 ไม่ขึ้นลงไปกับกระแสโลก 

_เพลงวารินถิ่นนักปราญ อาราม : ข้าวของแพง ทำไมลุงตู่ไม่ถูกไล่ออกครับบบ

พ่อครูว่า...เรื่องของแพงของถูก มันก็เกิดการแปรปรวนไปตามเศรษฐกิจโลก ไม่เกี่ยวกับลุงตู่บริหารสังคมประเทศหรอก ค่าความแปรปรวนเศรษฐกิจโลกแพงๆถูกๆแล้วมันก็เป็นไปตามนั้น ส่วนคนที่หลุดพ้นจากวงจรเศรษฐกิจโลกอย่างชาวอโศกแล้ว ข้าวจะแพงหรือถูกชาวอโศกไม่เดือดร้อน อาหารการกินเป็นหนึ่งในโลก ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง ชาวอโศกไม่เดือดร้อนเลย พร้อมทุกอย่างเพราะไม่ไปหลงบ้าๆบอๆกับเรื่องผิวเผินอะไรก็ไม่รู้ไม่ใช่สาระไม่ใช่ปัจจัย 4 ไม่ใช่เรื่องสำคัญของชีวิต อย่างผิวเผินยังหลงเลอะ เขาก็ต้องปั่นป่วนไปกับเศรษฐกิจโลกอะไรอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของมนุษย์ ถ้าเผื่อว่าเข้าใจเศรษฐกิจของพระพุทธเจ้าแล้ว สอน อย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสไว้ว่ามาทำแบบคนจน กินความหมดเลย ไม่ต้องไปรวย ชาวไร่ชาวนาก็ไม่ต้องไปรวย ไปรวยมันซวย เป็นคนจนที่มีกินมีอยู่อุดมสมบูรณ์อยู่กันอย่างอบอุ่นเป็นสังคมอย่างชาวอโศกเราเป็น ชาวอโศกเรานี่ เป็นสังคมที่สำเร็จ เป็นสังคมที่บรรลุผลสำเร็จในความเป็นมนุษย์ชาติและสังคม 

สบม ทมด ปกก หห สบายมากปกติธรรมดาหายห่วงแล้วจริงๆ ชีวิตดำเนินไปจนกว่าจะตายไม่ต้องไปเดือดร้อนดิ้นรนเป็นหมาหอบแดดแจ้งชิงลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ไปแย่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอะไร สร้างลาภโดยธรรมและเอาเข้ากองกลาง กินใช้ร่วมกันแจกจ่ายเจือจาน มันสุขสำราญเบิกบานใจ สุดยอดเศรษฐกิจ สุดยอดรัฐศาสตร์ สุดยอดสังคมศาสตร์ 

พูดไปแล้วคนเขาฟังก็จะบอกว่า โพธิรักษ์พูดเพ้อเจ้ออะไรหลงตัวหลงตน พวกคุณพ่อเข้าใจแล้วเชื่อว่าอาตมาพูดนี้เป็นจริงไหม ...จริงใช่ไหม ซึ่งจริงๆนะมันมีจุดพอ มันมีจุด จุดมันมีวรรณะ 9 ซึ่งพระพุทธเจ้ามีทฤษฎีหลักเลย เลี้ยงง่าย  (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)  มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)  ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9  ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)  

พูดแล้วอาตมาก็ภาคภูมิใจที่พระพุทธเจ้าในยุคนี้แม้แต่เป็นยุคที่หลงโลกีย์กันหนักหัวปักหัวปำกันทั้งโลก  พวกเราก็ยังแหวก ไอ้โลกที่เขาหลงใหลได้ปลื้มกันออกมา บรรลุธรรมกันได้ ก็ยังภูมิใจว่าเราสามารถที่จะนำพาธรรมะโลกุตระของพระพุทธเจ้านี้ มาให้รู้ให้เรียนกันและปฏิบัติกัน จนไม่สูญเปล่า มันสำเร็จได้ผล เกิดมรรคเกิดผลจริง ก็ยังเห็นประสิทธิผลอันสัมบูรณ์ของพระพุทธเจ้า 

พูดไปแล้วคนไทย เมืองไทย ถึงแม้ว่าคนอื่นจะไม่เป็นเหมือนอย่างกับชาวอโศก เพราะชาวอโศกก็เป็นตัวอย่างให้กับคนที่มีธุลีในดวงตาน้อย เป็นคนที่ไม่มีอคติในจิต ก็ยังเห็นว่า มนุษยชาติ ชีวิตบรรลุผลสำเร็จ บรรลุธรรมหรือบรรลุผลสำเร็จในความเป็นชีวิตนี้เป็นเช่นนี้เอง เขาก็จะเห็นว่า เป็นได้ เป็นอรหันต์เป็นอนาคามีเป็นสกิทาคามีเป็นโสดาบัน เป็นอย่างนี้นะ 

คนที่ไม่อคติจริงๆได้ศึกษาทฤษฎีพระพุทธเจ้าพอสมควรจริงๆ จะเห็น แต่เขาก็ซวยตรงที่ว่าเขาขึ้นหลังเสือ หรือว่าเขาไปตกอยู่ในที่ที่เขาจะมาก็มาไม่ได้ อยากมาก็มาไม่ได้ ไม่ต้องเอาอะไรไกล แค่พวกเราอยากเข้ามาบ้านราชฯ อยากมาอยู่บ้านราชฯ แค่พวกเรานะ แล้วคนข้างนอกจะเป็นอย่างไร… 

 

การยึดถือความเห็นของเราว่าถูกก็เป็น กาย

_สว่างแสง ขวัญดาว : กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ การที่เรายึดความเห็นของเราว่าถูกต้อง แล้วมีคนมาขัดใจเรา เราก็ทุกข์การยึดความเห็นของเราว่าถูกต้องนี้เป็นกายไหมคะ น้อมกราบพ่อครูด้วยเศียรเกล้าค่ะ

พ่อครูว่า... คุณยึด คุณก็รู้แล้วอ่านออกว่าคุณยึด ถูกต้องมันก็ต้องเป็นกายของคุณแน่นอน เพราะคุณยึดไว้ยังเป็นเราเป็นของเรา กาย เป็นของเรา คุณยังไม่หมดความเป็นกาย 

เมื่อยังไม่หมดความเป็นกาย จิตของคุณก็ยังไม่เป็นพีชะธาตุ คุณก็ยังเป็นจิตนิยามที่ยังมีอวิชชา จนจิตนิยามของคุณหมดอวิชชา จิต ไม่มีกายเป็น พีชธาตุ ก็ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขได้ 

 

_ช่อทิพ หนูทอง : ดูรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ไลฟ์สดทางเฟส..โฆษณา เยอะจัง

พ่อครูว่า...เราไม่ได้โฆษณาเองแต่เขาขึ้นโฆษณาของเขาเอง ก็ดีแล้วล่ะอาศัยกันและกัน โฆษณาเยอะจังก็แสดงว่าคนสนใจมากขึ้น ก็ดีแล้ว 

ใครก็ตามที่เขาจะเอาแบบของเรา แล้วออกไปหากิน เราภูมิใจไหม อย่าไปยึดถือว่ามันเป็นของเรา อนุโมทนาสาธุเชิญเลย ไม่มีหรอกของเรา อนุโมทนา เราก็เอาแบบของพระพุทธเจ้านี่แหละ ไม่ได้หวงแหน มันเป็นสิ่งที่ดีสิ่งที่ประเสริฐแล้วเราก็ไม่ต้องทำมาหากินแบบนั้น เราทำมาทำกินพอใช้พอเพียงอยู่แล้วไม่มีปัญหาอะไร ไม่ต้องเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้อะไรเลยสบาย 

 

จะไปอยู่กับชาวอโศกต้องทำเช่นไร 

_Pipat Suwapat พิพัฒน์ สุวพัฒน์ : ขอนอบน้อมนโมโพธิรักษ์คับ ผมอยากจะไปอยู่บ้านราชจะต้องติดต่อที่ไหนคับ

พ่อครูว่า... ถ้าคุณจะมาอยู่บ้านราช จะไปติดต่อองค์กรที่อยู่นิวยอร์กก็ดี อยู่กวางเจาก็ดี คุณเข้าไปอยู่ไม่ได้ คุณก็ต้องติดต่อมาที่ชุมชนชาวอโศกที่ไหนก็ได้ เขาก็จะตรวจดูว่าคุณมีคุณสมบัติพอที่จะมาอยู่ในนี้สะดวกสบายพอไปเจริญทั้งคุณ แล้วพวกเราก็ไม่ยุ่งยากอะไร แต่ถ้าคุณไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะมาอยู่ได้ ไม่ใช่ว่าเราเองเรารังเกียจ แต่เราเองก็ต้องระมัดระวังเหมือนกัน เขาอาจจะมาเกเรเกตุง เช่นเรามีหลักเกณฑ์ง่ายๆว่าต้องมีศีล 5 ต้องมาประพฤติปฏิบัติศีล 5 ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่มีอบายมุขก็เข้ามาอยู่ได้ นี่เป็นเกณฑ์ง่ายๆ 3 ข้อ ทำงานฟรี อันนี้ก็คงเป็นเครื่องคัดเลือก ที่ไม่ง่าย ชาวอโศกที่มาทำงานฟรี ก็มากินฟรีก็ทำงานฟรีไม่ได้ประหลาดอะไร ถ้าคุณเองยังไม่ได้ก็ยากอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าใครได้ สบาย ชีวิตนี้มันสุดยอด อาตมาพูดไปแล้วก็ภาคภูมิใจในธรรมะพระพุทธเจ้าที่ในยุคนี้สมัยนี้ก็ยังมีมรรคมีผล ที่เยี่ยมยอดเลย 

 

ความติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสของอาจารย์สายหลับตา 

มาพูดถึงเรื่องอาหาร 

มีผู้เขียนอันนี้มาว่า กราบเท้าพ่อท่าน วันพุธทำวัตรเย็น ได้ยินพ่อพูดว่า ใครทำอาหารอร่อยๆ ทำมา ก็เกิดความรู้สึกว่า จะทำอาหารมาถวายบ้าง แต่พอได้ยิน กูรูแป้ง กราบเรียนให้พ่อครูขูดลิ้น สาเหตุที่ฉันอาหารไม่ได้มากเพราะลิ้นหนา จึงรับรสอาหารได้ยาก แต่พอได้ยินพ่อตอบว่าไม่ใช่ลิ้น ลิ้นอาตมารับรู้รสได้ทุกอย่าง เปรี้ยวหวานมันเค็ม แต่จิตที่ไม่ได้ปรุงแต่งสังขาร (ไม่มีกิเลสอุปาทานอะไรแล้ว ) ปรุงไม่ขึ้นแล้ว รสอร่อยคืออย่างไร 

คำที่พ่อพูดเสมอว่าฉันอาหารเพื่อผู้อื่นเพื่อให้กายขันธ์อยู่ได้ เพื่อทำประโยชน์ ชัดเจนขึ้นมาทันที ได้ร่วมทีมทำอาหารถวายพ่อมาหลายสมัย สมัยก่อนพ่ออายุไม่มากจะฉันอาหารได้มากเป็นที่พอใจทีมแดจังกึม 

อาหารที่จัดถวายพ่อท่าน ทุกวันสีสันสวยงามน่ากิน เห็นรูปถ่ายในบันทึกประจำวัน ตามปริมาณที่จะรับเข้าร่างกายในวัยอายุ 88 รู้สึกว่าจะมากอยู่ เพราะเคยได้ยินปู่ย่าตายายว่าแก่แล้วกินอะไรมากไม่ได้ พอถึงรุ่นตัวเอง เพื่อนๆคุยกันจะได้ยินหลายคนบอกว่าอายุมากแล้วกินไม่ค่อยได้มาก ร่างกายรับได้แค่นั้น ก็ไม่เจ็บไม่ป่วยอะไรแข็งแรงอยู่ 

เวลาฉันอาหารพ่อมักจะพูดว่า เตรียมตัวเข้าสนามรบ 

พ่อครูว่า... อันนี้ก็จริงๆ คนที่เขากินด้วยกันติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสนั้นก็สุขสำราญจริงๆ อย่างเช่นมหาบัวเคี้ยวหมากทั้งวันก็สุขสำราญโดยไม่ได้รู้ว่าตัวเองติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอย่างแกะไม่ออกจริงๆ ไม่รู้ไม่ประสีประสาเหมือนอย่างเด็กๆ แล้วก็แค่นี้ โต้งๆเห็นชัดอยู่อย่างนี้ก็ยังเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ออกอยู่ว่า มหาบัว โถ!..โสดาบันยังไม่ได้เลย แล้วจะเป็นอรหันต์ยังไง มันก็น่าสงสาร งมงายกันไปหลงอรหันต์เก๊กัน ขออภัยที่ต้องพูดความจริงที่พูดไปไม่ได้ไปข่ม ไม่ได้ไปดูถูกดูแคลนอะไรหรอก แต่เป็นความจริงอธิบายธรรมะวิชาการความที่เป็นสัจจะ สู่ผู้ติดตามฟังศึกษา ต้องการศึกษาจริงๆ จะได้เรียนรู้ความจริงจะได้รู้ จะได้ไม่หลงงมงายจมอยู่กับสิ่งที่มันไม่ใช่ ไปหลงอรหันต์เก๊ว่าเป็นอรหันต์ ไปหลงผู้ที่มิจฉาทิฏฐิ แม้แต่แค่ตื้นๆ ติดอยู่แค่รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ยังไม่ได้  

ขออธิบายธรรมะเพิ่มเติม มหาบัวมีความเข้าใจ เรื่องกามคุณ เข้าใจแค่ว่าไม่มีผัวไม่มีเมีย ตัวเองก็นึกว่าตัวเองบรรลุแล้ว เพราะตัวเองไม่ได้แต่งงาน ไม่ได้มีคู่ ก็นึกว่าตัวเองบรรลุเรื่องกามแล้ว จากนั้นไม่รู้เรื่องเลย ติดยึดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เต็มบ้องจนตาย ไม่ได้สูงไปกว่านั้นเลย 

เข้าใจกามก็ไม่ครบ นึกว่ากามแค่ไม่มีคู่ผัวเมีย และตัวเองก็ไม่มี นึกว่าตัวเองบรรลุกาม บรรลุในรูปภพ อรูปภพแล้วเพราะนั่งสมาธิ เข้าไปดับกิเลสภายในก็นึกว่าดับ ภวตัณหา กามตัณหา ไม่รู้แล้วไม่มีเมีย ไปถึงรูปภพอรูปภพ ก็แค่นั่งหลับได้สะกดจิตให้ดับบรรลุอรหันต์ตายเป็นตาย ดับเป็นมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาปฏิบัติ แล้วก็หลงว่าตัวเองบรรลุอรหันต์ ดับกิเลสรูปภพ ตัณหาทางรูป อรูปได้หมดแล้วด้วยการสะกด ไม่ได้เป็นจรณะ 15 วิชชา 8 เลย 

มันยังไกลห่างความเป็นพุทธมหาศาล แต่ความเสื่อมของศาสนาพุทธไปหลงเข้าใจอย่างนั้นว่าคือทางปฏิบัติ ไปยึดเดียรถีย์ปฏิปทา มันก็เห็นความเสื่อมชัดเจนในศาสนาพุทธทุกวันนี้

อาตมาพูดไปด้วยความสงสาร ท่านที่หลับตาทั้งหลายแหล่อยู่เต็มไปหมด หรือแม้แต่จะมาศึกษาทางปริยัติ จบมหาวิทยาลัย ปริญญาเอกอะไรก็ตาม จบเปรียญ 9 ประโยค ก็ยังเชื่อว่านั่งหลับตาอยู่นั่นแหละ ว่าเป็นทางที่จะบรรลุธรรมซึ่งก็น่าสงสารทั้งพระป่าและพระบ้านที่ยังเข้าใจมิจฉาทิฏฐิ นี่ก็พูดความจริง ใครจะฟังแล้วชัดเจนแล้วก็จะเลิกละเสียเวลา มาศึกษาที่อาตมานำพระไตรปิฎกของพระพุทธเจ้ามาสาธยายกันตลอดเวลา พยายามศึกษาดีๆอาตมาไม่ได้พูดเล่น ไม่ได้พูดผิด ไม่ได้มาอวดดิบอวดดี ไม่ได้อวดตัวอวดตนอะไร มาพูดสัจธรรม มาบอกสัจธรรม แล้วก็นำธรรมะโลกุตรธรรมขอพระพุทธเจ้า เอามาสถาปนาลงไปให้ได้ 

 _เวลาก่อนฉันพ่อท่านว่าต้องเข้าสนามรบ (พ่อครูว่า... บางวันก็ 2 ชั่วโมงถึง 3 ชั่วโมง เพื่อให้ได้ปริมาณมาเลี้ยงขันธ์ ตามปริมาณที่ควรได้ แต่ไม่ใช่กินเสียท้องคัดท้องแข็ง ก็พยายามฝืน) ตามความเข้าใจของลูก คงเป็นช่วงเวลาที่ต้องฝืน ต้องอดทนเคี้ยวๆกลืนๆต่อของที่อยู่ตรงหน้า จะเกิดคำความที่ว่าฉันอาหารเพื่อผู้อื่นทำเพื่อผู้อื่นเสมอมา กวฬิงการาหาร เป็นอาหารหยาบๆ คำข้าว พระโพธิสัตว์อยู่เหนือ อยู่สูงสุดแล้ว แม้แต่วิญญาณอาหาร 

ลูกๆทุกคนอาราธนาถึงพ่อ ขอให้มีอายุยืนนาน เมื่อทราบว่าพ่อฉันอาหารได้น้อย น้ำหนักลดก็เกิดความวิตกกังวลจะช่วยพ่อได้อย่างไร 

ในความคิดของลูก…การจะช่วยพ่อ ไม่ใช่แค่กวฬิงการาหาร ควรจะไปให้ถึงวิญญาณอาหาร คือทำตนให้เป็นลูก ที่ว่านอนสอนง่าย เพิ่มสมรรถนะสร้างพลังสามัคคี (สอนตัวเองค่ะ) ขอกราบเท้าพ่อค่ะ ..ลูกใบแพร

 

ศึกษาอาหาร 4 ต้องเริ่มจากศึกษาสัมผัสทางทวาร 5 

พ่อครูว่า...ที่นี้มาพูดถึงอาหาร 4 ที่มี กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร  วิญญาอาหาร พระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 241-244

อาหารที่กินเข้าไปในปาก มันจะกระทบลิ้น ลิ้นนี่แหละเป็นตัวสำคัญ รับรส ติดรสชาติ กลิ่นก็ติด รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะเดินดิน... อาหารเป็นหนึ่งในโลก คนโบราณบอกว่า ปวดอยู่ที่หัว กลัวอยู่ที่ใจ แต่โรคภัยไข้เจ็บอยู่ที่ท้อง ก่อนจะถึงท้อง ประตูของท้องก็คือปาก 

 

พ่อครูว่า... เรามาศึกษาอาหาร 4 ของพระพุทธเจ้าให้ดีๆ ขอสรุปก่อนว่า

1. กวฬิงการาหาร อาหารที่เคี้ยวกินเข้าไปนี่แหละ มีกลิ่นก็ได้ ก็มีทั้งรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แต่ลิ้นมันตัวสำคัญ อย่างติดรสทางลิ้น แม้กลิ่นเสียงสัมผัสมันก็ติดได้ทั้งนั้น มีรูปก็ติดเห็นรูปน่ากิน ได้ยินเสียงน่ากิน ได้กลิ่นน่ากิน แตะรสน่ากิน สัมผัสเข้าไปเลยทั้งหมดทุกทวารน่ากินทั้งนั้น 

สัมผัส ผัสสาหาร มันเนื่องกัน อาหารคือคำข้าวมันก็เนื่องไปถึงผัสสะ กระทบสัมผัส จึงจะต้องศึกษา เพราะฉะนั้นผู้ที่ปฏิบัติธรรมไม่ได้ศึกษาการสัมผัสเลย ไม่ได้ศึกษาการออกมารับรู้ตาหูจมูกลิ้นกายที่เป็นกามคุณ 5 ไม่ใช่เรื่องแค่มีผัวมีเมียเหมือนอย่างมหาบัวเท่านั้น 

กามคุณ 5 ไม่ได้หมายถึงเรื่องเฉพาะผัวเมีย แต่เป็นเรื่องการติดยึดของใจด้วย แต่จริงๆเรื่องผัวเมียก็ติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสทวารทั้ง 5 ทั้งหมด  

กวฬิงการาหาร ก็เนื่องมาจากผัสสะ หากว่าไม่ได้เรียนรู้เรื่องผัสสะเลยจะไปเรียนรู้เรื่องมโนสัญเจตนา ที่จะเป็นตัณหา 

เจตนาที่จะไปสู่ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ไม่มีทางที่จะไปเรียนรู้วิภวตัณหาเลย เพราะว่ากามก็ไม่ได้เรียนรู้ ภวตัณหาก็ไปนั่งหลับตาดับ ซึ่งไม่มีทางเรียนรู้ได้เพราะว่ามันเป็นโมฆะ นั่งหลับตาไม่มีทางเรียนรู้ได้ 

กามตัณหาต้องรับรู้ทวารทั้งภายนอก อยู่แต่ภายในนั้นมีแต่วิญญาณสัมภเวสี อยู่กับของตัวเองปั้นสร้างภพชาติ มันไม่ใช่วิญญาณตัวจริง ไม่ใช่วิญญาณฐีติ มันไม่ใช่วิญญาณที่เป็นจริงเป็นความจริงมีที่ตั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมภเวสีไม่ใช่วิญญาณที่แท้ มันเป็นธาตุปรุงแต่งของนิรมาณกาย 

เพราะฉะนั้นก็ไปทำไปจัดการอยู่กับสัมภเวสีหรือธาตุจิตที่ไปนั่งเนรมิตขึ้นมาเอง อยู่ในจิตตัวเอง มันก็เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ มันไม่ใช่วิญญาณ

คำนี้ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ภิกษุสาติ 

ภิกษุสาติมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า "เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ว่า  วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว  แล่นไป  ไม่ใช่อื่น” 

ภิกษุเหล่านั้นปรารถนาจะปลดเปลื้องภิกษุสาติจากทิฏฐินั้น  จึงซักไซ้ ไล่เลียงสอบสวนว่า  ท่านอย่ากล่าวอย่างนี้  ท่านอย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค  การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาค ไม่ดีเลย เพราะพระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสอย่างนี้เลย  ดูกรท่านสาติ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น  พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยปริยายเป็นอเนก  ความเกิดแห่งวิญญาณเว้นจากปัจจัยมิได้มี.  (มหาตัณหาสังขยสูตร พตปฎ. ล.12  ข.440)

นอกจากขี้ตู่เราแล้วเธอยังขุดตนเองด้วย โดย ภิกษุสาติบอกว่า วิญญาณมันท่องเที่ยวแล่นไปที่อื่น ซึ่งไม่ใช่.. วิญญาณต้องอยู่นี้ปัจจุบัน ท่องเที่ยวไม่ได้มันอยู่นี่ ทนโท่โต้งๆ จับตัวได้  

ใครไปนั่งหลับตาปฏิบัตินี่มัน ไม่รู้จะช่วยอย่างไร เลิกได้ให้เลิก ถ้าอาตมาพูดไป ลัทธิที่นั่งหลับตา ศาสนาพุทธที่ไปหลงใหลหลับตาก็ดีไม่ว่าจะเป็นพระบ้าน พระป่า ที่ยังจะถือว่าหลับตาเป็นของศาสนาพุทธเข้าใจได้นะพุทธศาสนาจะกระเตื่องขึ้นมา มันจะเป็นประโยชน์ จะมีคนอย่างชาวอโศกเกิดขึ้น พรึ่บๆๆเลย เพราะเขาก็เรียนมากแสวงหาพากเพียรนะ แต่มันมิจฉาทิฏฐิมันกั้นไว้ มันยิ่งกว่าภูเขาเวปุลละบรรพตกั้นไว้เลย มันน่าสงสาร มันจะเสื่อมไปจนไม่รู้จะทำอย่างไร 

ก็พยายามจะพูดความจริง 50 กว่าปีแล้ว อายุก็ 88 เข้าไปแล้ว พยายามลากสังขารไปอีก เพราะว่าดูๆมันจะเชื่อมๆต่อๆกัน ก็ดีขึ้น เพราะว่าพวกที่ต่อต้าน พวกที่เข้าใจผิดมาแย้งอาตมาอะไรก็ล้มหายตายจากกันไปเยอะแล้ว ก็เหลือที่แย้งๆอยู่ก็ไม่มาก แต่ก็ยังไม่สนับสนุนไม่ส่งเสริม 

โดยค่านิยมของสังคมก็ไปยอมรับแบบเดียรถีย์ มหาเถรสมาคม ขอใช้คำนี้เลย อย่าหาว่าพูดดูถูกดูแคลนเลย ไม่ง่าย ยากมากเลย อาตมาก็เป็นคนไม่มีเครดิต ชาตินี้เกิดมาไม่มีครูบาอาจารย์ ไม่มีสำนัก ไม่มีศิษย์พี่ศิษย์น้อง มาประกาศหัวเดียวกระเทียมลีบ แล้วมันตรงกันข้ามกับที่เขายึดถือ ยิ่งพูดไปก็ยิ่งห่างกับที่เขารู้ ยิ่งพูดไปก็เหมือนไปข่มเขาอีกมากมาย แต่อาตมาก็ศึกษาสิอาตมาเกาะพระไตรปิฎกแจเลยนะ อ้างพระไตรปิฎกตลอดเวลา ประกอบเลยว่านี่พระสูตรอะไร แล้วจะบรรลุอย่างนี้ บรรลุวรรณะ 9 บรรลุสาราณียธรรม 6 บรรลุจรณะ 15 วิชชา 8 บรรลุกถาวัตถุ 10 อะไรอย่างนี้ ก็ยืนยันอยู่อย่างนี้ 

สู่แดนธรรม... เขาแงกมาเบิ่งบ้างแล้วครับ 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สมณะเดินดิน...พระพุทธเจ้า ตรัสว่า  ถ้าเธอไปยินดีในรูป แล้วตายในขณะนั้นก็มีคติ เป็นนรกหรือ เดรัจฉาน แต่คนไปปฏิบัติผิด ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ 

 

เปรียบเทียบพญานาคผู้ไม่รู้ในวิญญาณาอาหารคือโจรปล้นศาสนา 

พ่อครูว่า... มาเข้าสู่อาหาร 4 พระพุทธเจ้าท่านตรัส 

เล่ม 16 3. ปุตตมังสสูตร

[240] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาหาร 4 อย่าง เพื่อความดำรงอยู่ของสัตว์โลกที่เกิดมาแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์แก่เหล่าสัตว์ผู้แสวงหาที่เกิดอาหาร 4 อย่างนั้นคือ 1. กวฬิงการาหาร หยาบบ้าง ละเอียดบ้าง 2. ผัสสาหาร 3. มโนสัญเจตนาหาร 4. วิญญาณาหาร ภิกษุทั้งหลาย อาหาร 4 อย่างเหล่านี้แล เพื่อดำรงอยู่แห่งสัตว์โลกที่เกิดมาแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์แก่เหล่าสัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด ฯ

 [241] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กวฬิงการาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร ภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า ภรรยาสามี 2 คน ถือเอาเสบียงเดินทางเล็กน้อย แล้วออกเดินไปสู่ทางกันดาร 

เขาทั้งสองมีบุตรน้อยๆ น่ารักน่าพอใจอยู่คนหนึ่ง เมื่อขณะทั้งสองคนกำลังเดินไปในทางกันดารอยู่ เสบียงเดินทางที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยนั้นได้หมดสิ้นไป แต่ทางกันดารนั้นยังเหลืออยู่ เขาทั้งสองยังข้ามพ้นไปไม่ได้ครั้งนั้น เขาทั้งสองคนคิดตกลงกันอย่างนี้ว่า เสบียงเดินทางของเราทั้งสองอันใดแลมีอยู่เล็กน้อย เสบียงเดินทางอันนั้นก็ได้หมดสิ้นไปแล้ว แต่ทางกันดารนี้ยังเหลืออยู่ เรายังข้ามพ้นไปไม่ได้ อย่ากระนั้นเลย เราสองคนมาช่วยกันฆ่าบุตรน้อยๆ คนเดียว ผู้น่ารัก น่าพอใจคนนี้เสีย ทำให้เป็นเนื้อเค็มและเนื้อย่าง 

พ่อครูว่า...คนเรามีความเห็นแก่ตัว อย่างร้ายกาจขนาด เห็นแก่ตัวถึงขนาดว่าเมื่อไม่มีอะไรจะกินแล้ว จะตายจริงๆแล้ว เหลือลูก แล้วคนติดเนื้อด้วย ติดเนื้อสัตว์ด้วย หากว่าอยู่ในป่าเก็บผลไม้รากไม้พืชพันธุ์ธัญญาหารก็ยังไปได้ใช่ไหม แต่นี่โง่แถมอีก ต้องกินเนื้อ เห็นไหมคนกินเนื้อมันโง่ขนาดไหน จริง นี่พูดชัดๆ พูดสัจจะเลย ก็มันโง่ เดินอยู่ในทางกันดารในป่าในที่รกชัฏอย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าในทะเลทราย ทุรกันดารมาก ก็คงจะอย่างนั้น 

ก็ยังเหลือแต่ลูก ความเห็นแก่ตัวจะต้องไปให้ถึงที่สุด ลูกก็ไม่รู้ล่ะ 

_เมื่อได้บริโภคเนื้อบุตร จะได้พากันเดินข้ามพ้นทางกันดารที่ยังเหลืออยู่นั้น ถ้าไม่เช่นนั้นเราทั้งสามคนต้องพากันพินาศหมดแน่ ครั้งนั้น ภรรยาสามีทั้งสองคนนั้น ก็ฆ่าบุตรน้อยๆ คนเดียวผู้น่ารัก น่าพอใจนั้นเสีย ทำให้เป็นเนื้อเค็ม และเนื้อย่าง เมื่อบริโภคเนื้อบุตรเสร็จ ก็พากันเดินข้ามทางกันดารที่ยังเหลืออยู่นั้น เขาทั้งสองคนรับประทานเนื้อบุตรพลาง ค่อนอกพลางรำพันว่า ลูกชายน้อยๆ คนเดียวของฉันไปไหนเสีย ลูกชายน้อยๆ คนเดียวของฉันไปไหนเสีย ดังนี้ เธอทั้งหลายจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นอย่างไร คือว่าเขาได้บริโภคเนื้อบุตรที่เป็นอาหารเพื่อความคะนองหรือเพื่อความมัวเมา หรือเพื่อความตบแต่ง หรือเพื่อความประดับประดาร่างกายใช่ไหม ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า หามิได้ พระเจ้าข้า จึงตรัสต่อไปว่า ถ้าเช่นนั้น เขาพากันรับประทานเนื้อบุตรเป็นอาหารเพียงเพื่อข้ามพ้นทางกันดารใช่ไหม ใช่ พระเจ้าข้า 

พ่อครูว่า...เขาก็ยังมีจุดหมายปลายทางที่ดีเพื่อพ้นความเป็นโลก

_พระองค์จึงตรัสว่า ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า บุคคลควรเห็นกวฬิงการาหารว่า [เปรียบด้วยเนื้อบุตร] ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้กวฬิงการาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้ความยินดีซึ่งเกิดแต่เบญจกามคุณเมื่ออริยสาวกกำหนดรู้ความยินดีซึ่งเกิดแต่เบญจกามคุณได้แล้ว สังโยชน์อันเป็นเครื่องชักนำอริยสาวกให้มาสู่โลกนี้อีกก็ไม่มี ฯ

พ่อครูว่า...ไม่ใช่กินเพื่อให้มันอ้วนพีอิ่มหมีพีมันให้มันแข็งแรงเท่านั้น อันนั้นน้อยมาก เป้าหมายอันนั้นเพื่อให้รูปขันธ์อยู่ได้นี้มันน้อยมาก 

แต่เพื่อจุดหมายปลายทางของจิตนิยามที่ยิ่งใหญ่ ไปสู่นิพพานทีเดียว 

กวฬิงการาหาร ให้กำหนด เบญจกามคุณ ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ต้องศึกษาตรงนี้แล้วเลิก 

ขอยกตัวอย่างมหาบัว ที่ไม่มีปัญญารู้เรื่องอาหารเลย ไปหลงติดแค่สิ่งเสพติด กินหนักกว่าอาหารกินได้ทั้งวัน คือหมากพลู อาหารฉันมื้อเดียว แต่หมากพลูกินทั้งวัน เห็นไหมว่าโง่เง่าดักดานขนาดไหน ขออภัยที่พูดตรงและพูดจริงพูดเรื่องเกินไป คือเห็นใจลูกศิษย์ลูกหาที่เขาศรัทธาเลื่อมใสอยู่เหมือนกัน แต่อาตมาเป็นคนที่พูดความจริงไม่บันยะบันยังเท่าไหร่ ก็ขออภัย คือไม่ประสีประสาอะไรเลย มหาบัว 

แม้แต่เรื่องอาหาร 4 ก็ไม่รู้เรื่อง แน่นอนว่ามหาบัวจะติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสของอาหารหรือเปล่า คุณว่าติดไหม ก็แค่อบาย สิ่งเสพติดหยาบๆ หมากพลูยังติดไม่ถอดเลย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แล้วไอ้เรื่องรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสในอาหารนั้น มันจะไปเหลือหรือที่ไม่ติด 

แต่สังเกตให้ดีเถอะ มหาบัวนี่ พรีเทนเดอร์ เสแสร้งว่าไม่ได้ติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสในอาหาร รู้ มันชี้บ่งถึงว่ามหาบัวรู้ว่ารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสคืออะไร หลอกชาวบ้านกลบเกลื่อนลูกศิษย์ลูกหาว่า รูป รสกลิ่น เสียง สัมผัส ของหมากพลูนั้น มันไม่ใช่เรื่องรูป รส กลิ่น เสียงสัมผัสของหมากพลูนั้น มันเป็นเรื่องขันธ์ธาตุ หลอกลูกศิษย์ลูกหาซ้อนเข้าไปอีก 

พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนที่โกหกทั้งๆที่รู้ สัมปชานะมุสาวาท คนคนนี้ไม่มีความชั่วอันใดที่ทำไม่ได้ ทำชั่วได้หมด นี่เป็นคำตรัสยืนยันของพระพุทธเจ้าที่จริงที่สุดเลย 

เพราะฉะนั้นจึงเห็นได้ว่าโอ้โห..มันยากมากเลยที่คนเราจะรู้ลึกซึ้งถึงสัจธรรม ที่พูดไม่ได้เกลียดมหาบัว ไม่ได้ทับถมไม่ได้ข่ม แต่มันเป็นสัจจะความจริงที่เป็นตัวอย่าง ก็ขอยืม ก็ขอบคุณมหาบัว ซึ่งได้ตายไปแล้วล่ะ แต่มันเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนดี เป็นความพูดมากกดตามน้อยกว่าผัวเอามาปรับใช้กับมาจะขอใช้มาใช้เป็นตัวอย่างประกอบการอธิบายขยายความสูงฟังมันจำง่ายขึ้นสะดวกและเข้าใจได้ง่ายไม่ใช่ว่าไปถล่มทลายไปดูถูกดูแคลนมันเป็นตัวอย่างที่ดีมีอยู่จริงเกมง่ายในการก็มีความอวดตัวอวดตนมาก  แสดงความขี้เท่อมาก ก็เลยเป็นตัวอย่างที่นำมาชู เพราะว่าแม้แต่อาจารย์มั่น อาจารย์ของมหาบัวก็ไม่ได้พูดมาก ไม่ได้แสดงบทบาทกับสังคมมาก พฤติกรรมของอาจารย์มั่นน้อยกว่ามหาบัว มหาบัวนั้นมาก 

จึงเอามาใช้ อาตมาจึงขอเอามาใช้เป็นตัวอย่าง เพื่อเอามาประกอบการอธิบายขยายความสู่ฟัง มันจะง่ายขึ้นสะดวกขึ้น ไม่ใช่จะไปถล่มทลายดูถูกดูแคลน แต่มันเป็นตัวอย่างที่มีอยู่จริง แล้วชัดเจนง่ายในการศึกษา ผู้ที่ใฝ่ในการศึกษา รักการศึกษา รู้จักเจตนาของอาตมาให้ได้ว่าอาตมาไม่มีอกุศลเจตนา มีแต่เจตนาที่ดีสมบูรณ์แบบ ที่พูดนี้ ไม่งั้นอาตมาก็ไม่รู้จะอธิบายไป มันไม่มีอะไรจับติดง่ายๆ แต่อันนี้จับติด มหาบัวมีตัวตนมีพฤติกรรมพฤติการมีชื่อเสียงเรียงนาม ครบ มันก็จะง่ายในการยืนยันว่า มหาบัวไม่มีความรู้เรื่องกามคุณ 5 เลย ขออภัยอีก รู้ แต่โกหกโลกต่อเพื่อกลบเกลื่อนตัวเองจะได้เสพกามทางหมากพลู ซ้อน

อาตมาเชื่อมั่นว่า มหาบัวนี้ไม่แต่งงาน เพราะตัวเองได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข จากที่มาเป็นภิกษุ แล้วปฏิบัติ เพราะฉะนั้นอดเปรี้ยวกินหวาน ทนเอาไม่แต่งงานเรื่องเดียว นี่ นอกนั้นเปิดโป๊หมดเลยทุกอย่าง ติดในโลกกามคุณ 5 อบายมุข สิ่งเสพติดนี่คืออบายมุข ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย 

พูดแล้วมันย้อนแย้ง มหาบัวรู้เรื่องกามคุณ 5 แต่โกหกซ้ำซ้อนกับผู้คนทั่วไปว่า กามคุณ 5 นั้นไม่ใช่หมากพลู ไม่ใช่สิ่งเสพติดนี้นะ ย้ายไปหน่อยเดียว กามคุณ 5 คือเรื่องผัวเมีย ฉันไม่มีนะ ไอ้นี่มันเรื่องขันธ์ธาตุ ทั้งโกหกซับซ้อนจะว่าไม่รู้ก็ไม่ใช่..แต่รู้ยิ่งด้วย มันคบไม่ได้เลย คนที่มีความซับซ้อนอย่างนี้ 

ขออภัยอาตมาพูดตรงพูดชัดพูดครบให้รู้ถึงว่า สิ่งที่โลกนี้มันมีจริง มันเป็นอย่างนี้คนมันเป็นจริง มันเลยทำให้คนที่ไม่รู้ นี่แสดงถึงความเสื่อมของศาสนาพุทธมากจนกระทั่งอาตมาพูดจนป่านนี้ 50 กว่าปีไม่รู้จะกระเตื้องหรือยัง แต่ก็คิดว่าคงจะดีขึ้น 

สรุปว่าไปหลับตาปฏิบัติ แล้วก็หลงว่าบรรลุธรรมอย่างสายตามหาบัว เป็นต้น จึงเป็นเรื่องโมฆะ เป็นเรื่องที่ทำลายศาสนาพุทธอย่างร้ายแรง ยิ่งกว่าโจร ปล้นศาสนาอยู่ พระพุทธเจ้าจึงเปรียบเหมือนอย่างกับพระราชารู้ จับโจรปล้นสมบัติได้ พระราชาก็บอกให้เจ้าหน้าที่เอาโจรไปฆ่า แทงด้วยหอก 100 เล่มเช้า โจรก็มานั่งหลับตาโชว์แล้วก็มาประกาศหลับตาอยู่นั่นแหละ ไม่ตาย พระราชาก็ถามตั้งแต่กลางวันว่าตายหรือยังไอ้โจรนะ ก็ตอบได้เลยว่า มันยังนั่งหลับตาโชว์อยู่เลยจ้า พะยะค่ะ พระราชาก็บอกว่า ไปแทงให้ตายอีกด้วยหอก 100 เล่ม ไอ้พวกโจรปล้นศาสนาหลับตาอยู่ เข้าไปแทงอีก 100 เล่ม  เสร็จแล้ว เจอตอนเย็น พระราชาก็ถามว่า ตายหรือยัง ไอ้โจรหลับตาปล้นศาสนานั่นน่ะ มันยังอยู่เลยพระเจ้าค่ะ ไปฆ่ามันอีกด้วยหอก 100 เล่ม เจ้าหน้าที่ก็เอาไปฆ่าอีก แล้วก็ยังหลับตาอยู่อีกก็เปิดปลายเอาไว้ว่าไม่ตรัสต่อ ปลายเปิดเอาไว้ 

จนวันนี้ มีหลับตาอยู่ไหม ก็ยังหลับตาอยู่อีก เอาหอกอีกกี่ 100 เล่มไปแทง ก็ยังหลับตาอยู่นั่นแหละ เห็นไหม ก็ยังมีโจรปล้นศาสนาอยู่อย่างนี้แหละ 

นี่อาตมาไม่ได้โมเมไม่ได้เอาแพะมาชนแกะ บรรยายธรรมะนะ แต่เป็นจริงๆเลย การหลับตาปฏิบัติปฏิบัตินี้เหมือนโจรปล้นศาสนา เอาเดียรถีย์มาใส่ อาตมาธิบายอยู่ในปัญญา 8 ขยายความว่า พวกนี้เหมือนพญานาค ที่นอนหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น ดับมืดบอด รู้อย่างเดียวว่า ในโลกนี้มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาเท่านี้ สั้นนิดเดียวรู้แค่นี้ นอกนั้นไม่รู้อะไรเลยในศาสนาพุทธ เป็นเดียรถีย์หมด 100% เหมือนพญานาคนอนหลับไม่รู้คู้ไม่เห็นอยู่ที่ใต้ก้นมหาสมุทร แล้วก็เฝ้ากองถาดทองคำที่พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ตรัสรู้แล้วก็ลอยถาดมา 

กริ๊ก ได้ยินเท่านี้รู้เท่านี้ในความรู้ ว่าพระพุทธเจ้าเกิดแล้วนะ พอรู้แล้วก็ดับมืดอยู่ต่อไปอีกจนกว่าพระพุทธเจ้าจะอุบัติอีกองค์หนึ่ง แล้วมีลอยถาดไปอีก 1 กริ๊ก โอ๊.. พระพุทธเจ้าเกิดอีก 1 องค์หรือ ว่าแล้วก็หลับต่อไปอีก ไม่รู้ไม่ชี้กว่านั้นอีกเลย ดูเถอะตำนานพระพุทธเจ้าที่บรรยายเอาไว้นี้ มันเป็นเช่นนั้นจริงๆเลยพญานาค คืองู ที่เอาแต่นอนเอือกแล้วหลับ เป็นงูชนิดที่ต้องเรียกว่าพญางู คนก็มาใส่หงอน ใส่ลายกนกให้เป็นงู ครบเครื่องพญาใหญ่เลย เป็นงูที่โง่เง่า เป็นยอดงู ยอดพญางู ที่นอนเอาแต่นอน เอาแต่หลับเอาแต่นอน หลับไม่รู้คู้ไม่เห็นแล้วแถมอยู่ใต้ก้นบึ้งของมหาสมุทรอีก แล้วไม่รู้เรื่องอะไรเลย รู้แต่ว่าพระพุทธเจ้าเกิดเท่านั้น มีความรู้เท่านี้ แล้วพระพุทธเจ้ามีอย่างไร สอนอะไรอย่างไร ไม่รู้ 

สู่แดนธรรม... แปลว่าอวิชชาไม่มีวันตาย พระพุทธเจ้าไม่อยู่แล้วพวกนี้ก็ยังหลับอยู่ 

พ่อครูว่า... โพธิรักษ์พูดไปเถอะ แต่จะมีคนพอเห็นบ้างได้บ้างไปเรื่อยๆ ไม่เปล่าดาย ไม่สูญเปล่าอาตมาพูดไปบรรยายไปจะค่อยๆเข้าใจ แต่มันยาฟก เป็นพญานาคกว่าจะตื่น ว่ามันหมายความอย่างนี้หรืออย่างที่โพธิรักษ์พูดนี้หรือ เหรอ ดีใจจัง ใครที่เข้าใจที่อาตมาพูด ถ้ายิ่งเข้าใจแล้วเลิกเลย รู้ว่าเราเป็นพญานาคงมงายมานานขนาดนี้เชียวหรือ ตายๆๆๆ เราโง่ขนาดนี้เชียวหรือ 

พระพุทธเจ้าถึงให้เรียนรู้รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสจากตาหูจมูกลิ้นกายนี่แหละมีกิเลสเกิด ถ้าไม่รู้กิเลสอย่างนี้ ลืมตาชัดๆ ตาคุณก็กระทบรูป หูก็กระทบเสียง กินอาหารอยู่ทุกวัน 

มหาบัวพยายามตีกิน ลวงคนอื่นว่าไม่ได้ติดอาหาร อย่าว่าแต่อาหารเลย ขนาดรสของหมากพลูก็ยังติดขนาดนี้ แล้วรสอาหารจะไปเหลืออะไร ติดไม่งอไม่งอนเลย แล้วก็ไม่รู้อะไรนึกว่าตัวเองเป็นอรหันต์แม่แค่นี้ก็ยังรู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะไปเรียนรู้เรื่องผัสสะก็ไม่เอาไปนั่งหลับตาเสีย 

เมื่อไม่มีผัสสะ มโนสัญเจตนา ที่จะเกิดตั้งแต่เริ่มต้นคือกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

ก็เรียนรู้กามเลิกกาม ก็อยู่ในโลกนี้แหละมีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสแต่กิเลสกามไม่เกิดแล้ว ก็เหลือแต่ในรูปภพอรูปภพก็ดับต่อไปอีก ที่ยังติดในรูปราคะ อรูปราคะ ก็ลดอีกกำจัดอีก ก็เหลือสุดท้าย ปลายเหลือรูปราคะ ก็ยังไม่ได้หลับตาปฏิบัติสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายแต่มันเหลืออยู่ข้างในนิดหน่อยเป็นขั้นปลาย ก็ล้างอีก ครบ ไม่มีกิเลสทั้ง 3 ภพ กามภพ รูปภพ อรูปภพไม่มีแล้ว หมดกิเลสแล้ว วิภวะ ไม่มีแล้วทั้ง 3 ภพ

ก็มีแต่วิภวตัณหา เป็นตัณหาที่อยู่เหนือภพทั้งหมด ไม่มีแล้วในภพ แต่เป็นตัณหาอุดมการณ์ วิภาวะตัณหาคือตัณหาอุดมการณ์ เป็นตัณหาของพระอรหันต์ ตัณหาของพระโพธิสัตว์ ตัณหาของพระพุทธเจ้า คนก็ติดใจว่า 

ไปว่าพระพุทธเจ้ามีตัณหา เขาเข้าใจสภาวะไม่ได้ ติดยึดแต่ในพยัญชนะว่าเป็นตัณหา มันเป็นความปรารถนา ความต้องการความประสงค์ เพื่อจะสอนคนให้เลิกกามตัณหา ภวตัณหา หรือแม้แต่ในอรูปะ อรูปทั้งหมด เขาก็ไม่รู้ เจตนาที่ยังเหลือ คุณมุ่งหมายที่จะไปอยากเสพอยากติดอยู่ในภพชาติ ภว เสพติดอยู่อย่างมีภพ

 

ปณิธานจะมีอายุยืนยาวของพ่อครูเพื่อสืบต่อศาสนา 

ก็เข้ามาสู่ที่เขียนมา อาตมาก็เป็นคนเเหมือนอย่างมหาบัว เรียนรู้เรื่องไม่ติด จนกระทั่งล้างกิเลส กินอาหาร อย่าไปว่าถึงหมากพลู เรื่องหยาบๆต่ำๆของเสพติดต่ำๆอย่างนั้น แม้แต่อาหารก็ต้องกิน แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ต้องฉันอาหารเสวยอาหาร เราก็ไม่มีการติดยึดแล้วในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ไม่มีรสอร่อยไม่มีอัสสาทะ ไม่ได้แกล้งแต่เป็นจริง รู้ รู้อย่างจริง

ซึ่งเป็นเรื่องลึกซึ้งเป็นเรื่องละเอียดมากเลยว่าคนที่จะหมดการติดยึดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มันไม่มีจริงๆ มันไม่เกิดอัสสาทะนั้น 

อาตมาบอกว่า มา ปรุงมาให้เต็มที่เลย อาหารอร่อยๆใครมีฝีมือเอามา อยากจะฟื้นความอร่อยขึ้นมาบ้าง มันก็ไม่เกิดอร่อย มันไม่ได้แกล้งนะ มันเป็นอจินไตย เป็นความจริงของฌานวิสัย ที่มันเผาผลาญกิเลสได้หมดแล้วจริงๆ มันเดาเอาไม่ได้ อาตมาพูดความจริงสู่ฟัง แล้ว มันมีความซ้อน คือ 

จริงๆแล้วนี่ อาตมาน่ะควรตายแล้วล่ะ แต่อาตมายังไม่ยอมตาย ฝืนสังขารไป ยาวมาเรื่อยๆๆ ก็เลยจึง..โอ๊ย!.. ต้องไม่ตายๆ ต้องกินๆ ถ้าไม่กินตายนะ อาหารไม่พอ ก็ดูซิ นี่ ผอมลงๆ น้ำหนักลดๆ… ไม่ได้ไปแกล้ง มันฝืนเท่านั้น ไม่ได้แกล้งเป็น มันเป็นจริงๆ แต่มันก็จะต้องทำ ต้องทนอยู่อย่างนี้ ต้องอุตสาหะ วิริยะ เพื่อที่จะยังขันธ์ไป 

อาตมาเคยพูดมาหลายทีแล้ว อาตมายังขันธ์ไป ให้ยืนยาวไป เพื่อประโยชน์ที่จะต่อเชื่อมธรรมะพระพุทธเจ้า บรรยาย พวกคุณก็อบอุ่นใจนะอาตมาอบอุ่นใจ วันๆบรรยายธรรมะ คนก็ฟังอยู่หน้าสลอน ไม่ได้เหลือ 5 คน 8 คนก็ไม่ใช่ ก็ฟังกันอยู่เป็นสิบเป็นร้อย เดี๋ยวนี้ยิ่งมีทางโทรทัศน์ ทางสื่อสาร มันก็พอคุ้ม ไม่สูญเปล่า 

อาตมาก็ ทั้งที่จะ 1. ที่จะสืบทอดพระพุทธศาสนา 2. เพื่อพิสูจน์ความยังขันธ์ให้แก่ตัวเอง ยืนยาวต่อไปด้วยอิทธิบาท ด้วยสัมประสิทธิ์ ด้วยการต่อสังขารชีวิต ต่อเชื้อสังขารชีวิตให้มันยืดต่อไป ๆๆ โดยที่ไม่ให้มันมีชีวิตอยู่แต่ก็ กระดุกกระดิกอะไรก็ไม่ได้ เหมือน ติช นัท ฮันห์ เหมือนชอาจารย์ชา สุดท้ายปลายชีวิตแล้ว ได้แต่กลอกตาไปมา ทำอะไรไม่ได้ เขาก็ป้อนอาหารไปเหมือนเป็นมนุษย์พืช อาตมาไม่ได้เป็นอย่างนั้น 

ไม่ใช่อวดดิบอวดดี รู้ความเป็น ความจริง อาตมาว่าก็ยังแคล่วคล่องว่องไว อาจารย์ชา มรณภาพตอนอายุ 74 ปี อาตมาก็พยายามทั้งๆที่ชีวิตนี้อาตมาอายุแค่ 72 อายุไม่ยืนหรอก  ส่วน ติช นัท ฮันห์ อายุ 95 ปี ก็นอนเป็นมนุษย์พืชติดเตียงอยู่หลายปี 7 ปีเหมือนกัน 

แต่อาตมาพยายามไม่เป็นมนุษย์พืชนอนติดเตียง ยังทำงานแคล่วคล่องว่องไว สิ่งเหล่านี้เป็นความอุตสาหะพากเพียร ที่อาตมาไม่ใช่ทำไปโดยไม่มีปฏิภาณความรู้ในองค์ประกอบต่างๆพวกนี้ มันเป็นองค์ประกอบความรู้ที่ พูดไปแล้วมันสุดยอดเลยคำสอนพระพุทธเจ้า 

 

อภิภายตนะ 8 กับอาหาร 4 

มาพูดถึงอาหาร 4 ให้ครบก่อน   กวฬิงการาหาร เข้าใจผัสสะรู้เจตนา เราอยากเป็นกามภพ ภวภพ ก็ต้องเรียนรู้จริงๆจากอาหารนี่แหละ เรียนรู้แล้วเป็นอรหันต์จากตรงนี้ แม้ที่สุดอันที่ 4 วิญญาณอาหารก็ต้องรู้รูปนามที่พระพุทธเจ้าสรุปลงไป ว่า วิญญาณนี้ก็คือ รู้รูปนาม เมื่อรู้รูปนาม รู้สภาวะ 2 รู้ความเป็นกาย  รู้ความเป็นเทวะ ที่อาตมาสาธยายทุกวันนี้ ไม่มีใครจะมาสาธยายเรื่องกาย เรื่องเทวะ ให้พิสดารอย่างอาตมา 

ที่พูดนี้ไม่ได้หลงตัวยกตัว แต่มันเป็นสัจธรรมที่เป็นความจริงที่ตรัสรู้โดยพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกาย เรื่องเทวะ ความเป็นสอง 

กาย ก็มีความเป็นสอง เทวะ ก็มีความเป็นสอง

กาย นี่ มีความเป็น 1 ไม่ได้ ผิด เช่นเข้าใจว่ากายคือวัตถุภายนอกเท่านั้นไม่มีจิตร่วมด้วย ไม่ได้ แล้วจิตอย่างเดียว ว่าเป็นกาย มีเหมือนกัน พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เพราะเข้าใจกว่า กายคือจิตอย่างเดียว ตายไปก็มีกาย 

ที่บอกว่า คิดว่าจิตเป็นกาย แล้วหลงจิตเป็นกายอย่างเดียว ไม่เกี่ยวกับภายนอก ตายไปแล้วก็เลยมี กาย ไปด้วย อย่างนี้เป็นต้น มันสลับซับซ้อน 

เข้าใจว่ากาย เป็นภายนอกอย่างเดียว ก็ผิด เข้าใจกว่ากาย เป็นภายในอย่างเดียวก็ผิด กาย ต้องมี 2 มีทั้งภายนอกและภายใน 

เพราะฉะนั้นผู้ที่ศึกษาภายนอกภายใน จนรู้สภาพนี้พร้อม เป็นอภิภู สามารถรู้อภิภายตนะ 8 

อภิภายตนะ 8 มันต่างจากอายตนะ 1 หรืออายตนะ 6 นะ

อภิภายตนะ 8 เป็นความสามารถของอภิภู ผู้ยิ่งใหญ่ อาศัยอายตนะ คือสะพานของสัมผัสและมีสภาพ 2 มี 6 คู่ ตากับรูป หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส สัมผัสภายนอก แล้วก็ข้างในกับข้างใน 6 คู่ อายตนะ 6 

ต้องศึกษาให้ตัวเองมีกาย เมื่อเป็นอภิภูแล้ว เป็นผู้ที่รู้รูปภายใน และเห็นรูปภายนอก ทันทีเลยรู้ทั้งคู่ทั้งภายในภายนอก เพราะฉะนั้นผู้ที่ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้านั้นจะไม่ขาดการรู้ภายนอกภายในทุกเรื่อง แล้วก็แยกแยะการรู้ภายนอกภายในได้ว่า อย่างนี้เป็น ปริตตัง สุพรรณะ ทุพรรณะ รายละเอียดต่างๆกระจายไปจนถึงอภิภายตนะ 8 ข้อ อาตมายังไม่อยากอธิบายมากนักเพราะเป็นเรื่องชั้นสูง เป็นเรื่องที่ยาก อาตมาก็ยังไม่ค่อยคล่องไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ก็สงวนท่าทีไปก่อน เดี๋ยวพลาด มันไม่ง่าย มันละเอียดลออแต่ก็พอรู้พออธิบายได้ พวกเราฟังไปก่อน 

ฉะนั้นแค่อาหาร 4 รู้จักผัสสะ แล้วก็รู้ว่าเราติดยึดในรูป ติดยึดในรูป การเสพเป็นตนเป็นของตน ซึ่งภาษามีแค่นี้ไม่ใช่เข้าใจกันได้ง่ายๆ ตนต้องมีต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่เป็นไม่มี ขาดใจตายเลย ต้องอาศัยพวกนี้อยู่ขาดไม่ได้ มันรุนแรงอย่างนั้นจริงๆ มันเป็นนามธรรมแต่มันจริงๆอย่างนั้น เพราะฉะนั้นผู้ที่ขาดแล้วมันเป็นเรื่องน่าเบื่อ อย่างอาตมาขาดแล้วมันน่าเบื่อ แต่ก็จำเป็น ต้องยังขันธ์ุด้วยสิ่งเหล่านี้ 

เพราะฉะนั้นคนจึงเข้าใจยาก ไม่ใช่อาตมาแกล้งพูดว่า ต้องกินอีกแล้ว กิน มันหลายอย่าง ตั้งแต่ตัวเองจะต้องตาย แต่ก็ต้องฝืนไม่ตาย เมื่อฝืนไม่ตายก็ต้องกิน ก็เลยต้องฝืนกินอีก มันก็เลยเวลาหมด 

สมณะเดินดิน... สรุปจบ 


เวลาบันทึก 05 กุมภาพันธ์ 2565 ( 05:17:33 )

650207

รายละเอียด

650207 จนเป็นที่ 1 ในโลก แต่สร้างอาหารช่วยโลก รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 27 

https://www.boonniyom.net/51187.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1ILLTize7-49GWuoy5rIjLbOerPEy2ufzLqIYp9nXtTk/edit?usp=sharing   

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1XuNrmmSpte8I37eKS3GNiFGghhcvVmEt/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่  https://fb.watch/b0P5EQvaUQ/ 

และ    https://youtu.be/qJXAvqDMDNc 

 

สู่แดนธรรม... วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก มีผู้ถามมาว่า ทำไมธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าต้อง ลาดลุ่มลึกด้วย ... 

พ่อครูว่า...วันนี้เช่นเคย บนโต๊ะก็เต็มไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ประดับตกแต่งเต็มสดเขียวเหลืองแดงชมพูม่วงมีทุกสีสัน เราก็โชว์สิ่งเหล่านี้ เรามีของเราเองเราอุดมสมบูรณ์ได้ของเรามา แล้วเราก็ชื่นใจที่น่าจะโชว์ด้วย พอใจ เป็นสิ่งที่น่าโชว์น่าจะให้แก่คนทั้งหลายได้รับรู้รับเห็นไปด้วย เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่มนุษยชาติ อาตมายืนยันว่ามนุษยชาติเป็นสัตว์กินพืช แต่ก็ห้ามไม่ได้หรอกเขาติดเขาหลง อย่าว่าแต่เนื้อสัตว์เลย เนื้อคนเขาก็กินกันได้ติดยึดกันได้หลงกันไปได้ หรือไปกินสิ่งที่ไม่น่ากินทั้งๆที่มันกินไม่ได้ กินได้บ้างแต่ว่ามันไม่ใช่อาหารจริงเช่นกินหมากกินพลูอะไรอย่างนี้เป็นต้นก็กินกันไป ด้วยความอวิชชาโง่เง่าไม่รู้ติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสของมัน ผู้ที่ไม่รู้ในการติดยึดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็ติดยึดกันไป อย่างที่เห็นที่เป็นอยู่แล้วเราก็ ติงกันบอกกันเตือนกัน ถึงขั้นพูดกันย้ำซ้ำซากแรงๆคนก็หาว่า ว่าด่า ก็เป็นไป 

ที่จริงก็เจตนาให้รู้ตัวให้เข้าใจ ผู้ที่จะไปหลงในสิ่งที่ไม่ดีงามไม่ควรมันเสียเวลา ผู้ที่รู้ตัว ผู้ที่เข้าใจก็ได้ละเลิกมาพูดที่ไม่เข้าใจก็หลงต่อไปก็ไม่รู้จะทำยังไง 

 

ตอบปัญหาคนที่ยึดถือในการเป็นที่หนึ่ง 

_กราบนิมนต์พ่อครูช่วย ตอบในรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง...ให้เด็กฟังด้วยครับ 

คนเคยได้ที่ 1 แล้วไม่ได้ ให้ทำใจอย่างไรดี รู้แต่หลักการที่บอกว่า ให้แข่งกับตนเอง ไม่ต้องไปแข่งก็ใคร แต่ยังทำใจ ปล่อยวางไม่ได้ หลวงปู่ช่วยแนะนำวิธีให้ได้มั้ยครับ

พ่อครูว่า... แนะนำให้ไปหาท่านเพาะพุทธ ถ้าถามท่านจะได้รู้ดีกว่าอาตมา เพราะอาตมามันไม่เคยติดยึดในการศึกษาการเรียนได้ที่ 1 หรือไม่ได้ที่ 1 แต่ก็เคย เรียนอยู่ได้ที่ 1 ถ้าตั้งใจจริงๆแล้วก็จะได้ที่ 1 ถ้าไม่ตั้งใจแล้วที่โหล่ ถึงอย่างนั้นเลยอาตมานี้เรียนมา อย่าว่าแต่ที่โหล่เลยตก สอบตก ตกมานักต่อนักแล้ว ม. 6 ก็ตกรอบ 8 ไม่ต้องพูดเลยตกแล้วตกอีก 2-3 ปี จนไม่ต้องสอบม 8 ก็มาเรียนทางอาชีวะจนผ่านอาชีวะมาถึง 5 ปี จบศิลปะ 5 ปีมาก็เทียบได้ เกิน ม.8 แล้ว เขายังไม่ให้ปริญญาตรีเขาให้แค่ ปวส. ก็มีเท่านี้การศึกษาของตัวเองก็ไม่ได้น้อยใจไม่ได้เสียใจอะไร สอบไม่ได้ที่ 1 ก็ไม่ได้ติดใจ ได้ที่ 1 ก็ดีไม่ได้ก็แล้วไป ตกก็รู้ว่าตัวเองไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นก็รู้ข้อบกพร่อง จะทำใจอย่างไร ก็คือตรงนี้แหละรู้ข้อบกพร่องของตัวเองตรวจสอบ ว่า เราบกพร่องอะไรถึงทำข้อสอบไม่ได้ตามที่เคยได้ที่ 1 

สู่แดนธรรม… ผมก็เคยเรียนชั้นป. 3 ถึง ป. 4 เรียน ได้ที่ 1 ครองมาตลอด พอขึ้น ป.5 ต้องเจอคนที่เก่งกว่าจากหมู่บ้านอื่น ผมเคยได้ที่ 1 แล้วผมก็ได้อันดับที่ 14 มันไม่น่าเชื่อว่า แชมป์ของโรงเรียนเซนต์โยเซฟ ได้ที่ 1 แต่ว่าไปเจอคนเก่งต่างหมู่บ้าน เราตกไปอันดับที่ 14 ก็เลยทำใจว่า คนที่เก่งกว่าเราก็มี เราจะไปหมายมั่นสำคัญว่าเราจะครองแชมป์ตลอดได้อย่างไร 

พ่อครูว่า... ความเก่งตลอดกาลมันไม่เที่ยงหรอก ก็พากเพียรอยากได้ที่ 1 อีกก็พากเพียรจริงๆถึงจะได้ ได้แล้วก็ไม่เที่ยง ถ้าเราไม่พากเพียรอ่อนด้อยลงไปบ้าง อ่อนเยาว์เมาขี้เกียจไปไม่เต็มที่ คนอื่นเขาพากเพียรก็ชนะ เพราะฉะนั้นความเพียรจึงเป็นตัวสำคัญมาก อย่าไปยึดมั่นถือมั่นจนกระทั่งต้องได้ที่ 1 ถ้าไม่ได้ก็เสียใจนั้นมันโง่ตายเลย ไอ้พวกนี้มันเป็นสิ่งสมมุติ ที่ 1 ที่ไม่ 1 ก็เป็นสิ่งสมมุติที่โลกเขาใช้วัด ก็เป็นประโยชน์เป็นเครื่องวัด แต่ว่าเราอยากได้ก็พากเพียรเอาทำเอาเสร็จแล้วมันก็จะได้ ถ้ามันบกพร่องไม่ได้ตามสิ่งที่เราหย่อน มันหย่อนจริงตรงนั้นตรงนี้ไป เราก็แก้ไขปรับปรุง 

สู่แดนธรรม... ในคำถามมีรายละเอียด ที่บอกว่าต้องแข่งกับตัวเองไม่แข่งกับใครถ้าจะทำใจปล่อยวางไม่ได้ 

พ่อครูว่า... ก็ตอบตรงที่ปล่อยวางไม่ได้ไง ก็คงจะพอเข้าใจให้แข่งกับตัวเองนี่คงพอเข้าใจ แต่มันก็ยังอยากแข่งกับคนอื่น แล้วมันก็จะเอาชนะคนอื่น ทั้งๆที่ถูกแนะนำว่าให้แข่งกับตัวเองไม่ต้องแข่งกับคนอื่นหรอก 

แข่งกับตัวเองกับแข่งกับผู้อื่นมันต่างกันอย่างไร 

แข่งกับผู้อื่น มันไม่แน่ไม่นอนหรอก อย่างคู่ชกมวย ตอนนี้เป็นแชมป์ชนะ คู่แชมป์คนนี้สู้เราไม่ได้เราชนะ ไปเจอคู่แชมป์ที่มันแข็ง เก่งกว่าเราอีก เราก็แพ้ได้ ทำไมเราแพ้ ทำไมเราเก่งสู้ไม่ได้ ก็เพราะเราไม่แข็งแรงไม่เร็วไม่ไว ไม่มีเทคนิค ไม่มีความรู้ความสามารถที่จะเอาชนะเขาได้ เราก็แพ้ แพ้มันก็อยู่ที่ความพากเพียรที่จะต้องเอาชนะในแง่มุมเหลี่ยมใด อย่างใด ที่เราจะเก่งกว่าเขา เร็วกว่าเขา หนักกว่าเขา มากกว่าเขา สูงส่งกว่าเขาอย่างไร เราก็ต้องศึกษาเอา ฝึกฝนเอา ฝึกฝนได้มันก็ได้ผล ไม่ถึงมันก็ไม่ได้ 

ผู้ที่จะเอาแต่ชนะๆ เมื่อยนะ เพราะฉะนั้นในชีวิตผู้ที่จะเอาแต่ชนะคนอื่นเขา ก็เมื่อย เราเอาสาระ ที่บอกว่าแข่งกับตัวเองนั่นแหละคือมองถึงสาระ ตนเองทำสาระอะไรได้ดี ได้มาก ได้ถูกต้องได้เจริญงอกงามไพบูลย์ ก็ดูสาระนั้นตามสมมติของโลกเขาด้วย 

โลกที่เราอยู่ด้วยเขาสมมุติอย่างนั้นอย่างนี้ก็เรามีดีมีมากได้เก่งตามที่เขายอมรับไหม ถ้าเราอยากจะเก่งหรืออยากจะได้รับเบอร์ 1 เบอร์ 0 ขึ้นไป เราก็ทำตามที่เขายอมรับที่เขาสมมุติ ที่เขาตั้งขึ้นมา เราก็ทำอันนั้นให้ได้ ถ้าได้จริงๆคนก็ต้องยอมรับ 

อย่างหลวงปู่ คนเขาไม่เข้าใจโลกุตระ ซึ่งมันทวนกระแสกับที่เขาเองเขายึดถือด้วยซ้ำ มันย้อนแย้งกับที่เขาถือ บางคนเขาเข้าใจผิดเพราะว่าไม่ได้เป็นเหมือนที่เขาเป็น เพราะฉะนั้นคนเขาเห็นอย่างเราไม่ได้ เราก็ดูว่าเขาเองเขายึดนั้นเป็นอย่างไร เขายึดเขาถือเขาเป็นเขามีอยู่เป็นอย่างไร เทียบเคียงกับที่เราเป็นเรามีอยู่เราถือว่าอย่างนี้ดีนะ 

เช่นเรามันจน เขาแย่งไปรวยๆเขาก็ได้รวยๆได้สำเร็จสูงๆและรวยมาก แต่เรามาจน เราก็เห็นว่ามาจนนี้ดีกว่า เราก็ดูดีกว่าด้วยมิติอะไร ด้วยมุมไหนแง่ไหน เหลี่ยมไหนประเด็นไหน อ๋อ! มันดีกว่าเพราะประเด็นนี้มุมนี้ มิตินี้ เหลี่ยมนี้ประเด็นนี้ มันดีกว่า ไม่ต้องไปแบกไปหามากมายไม่ต้องไปแย่งชิง ไม่ต้องไปหนักหนาสาหัสต้องแข่งขันอะไรต่ออะไรต่างๆนานา ดีไม่ดีก็ต้องรุนแรง ดีไม่ดีก็ต้องใช้วิธีโกง วิธีไม่ซื่อไม่สัตย์ มันก็ไม่เข้าที 

เราก็ดูเนื้อแท้ของสิ่งที่เราทำ เนื้อแท้ของสาระชีวิต 

1. ที่อาศัยอยู่ในปัจจุบัน 

2. รู้ความจริงให้สุดว่ามันไม่มีอะไร มันมารวมกันอยู่เฉยๆตามที่เราพากเพียรให้มันรวมกันอยู่ ถ้าเราไม่มีพลังงานอะไรให้มันรวมกันอยู่ดึงดูดมันอยู่ มันก็จะสลาย มันจะคลายตัว มันจะไม่ยึดโยงอะไรเลยมันก็จะแยกกันไปหมด ตามสถานะของดิน น้ำ ไฟ ลม การยึดเป็นจิต ยึดเป็นแรงพืช พลังงานตัวพืชมันยึดนะ มะเขือเทศมันก็ยึดตัวมันเอาวัตถุสสารใช้พลังงานอย่างนี้ได้มา มันก็ต้องทำอันนี้ตามที่มันรู้กำหนด มันเอาอันนี้ มันไม่เอาอย่างอื่นหรอก พืชมันพยายามเอาที่มันดูดดึงมาได้มันไม่แย่ง มันก็เอาตามพลังงานของมันพลังงานมันน้อยกว่ามันก็ไม่ได้ พลังงานมันมากหน่อยก็ได้ ได้เท่าไหร่มันก็เท่านั้น ได้มากก็เจริญดีเต็มดีได้ไม่ครบไม่มากพอ มันก็เว้าก็แหว่งไม่เต็มอ้วน ไม่อ้วนพีไม่มากไม่พอ มันก็เป็นจริงตามนั้น 

ข้อสำคัญก็คือพืชนั้นต่างกับจิตนิยามตรงที่มันไม่สุข ไม่ทุกข์ มันไม่เดือดร้อนอะไรแล้วมันก็ไม่จดไม่จำไม่จองเวรจองกรรมอะไรแก่ใครด้วย มันก็มีแต่ตัวของมัน หรือทำตัวมันเองทำได้มันก็รอด ไม่รอดสุดท้ายมันมีแรงจะยึดให้ตัวมันสมบูรณ์ได้ มันก็เสื่อมสลายไปในที่สุด แยกเป็นดินน้ำไฟลม 

ดินน้ำไฟลมก็สั่งสมตัวเองจนกระทั่งมีแรงดูดเป็นตัวเป็นตนถึงขั้นเป็นพืช แล้วก็สั่งสมการดึงดูดเป็นตัวเป็นตนไปจนถึงเป็นจิต แล้วก็มีธาตุรู้เขาก็ทำด้วยอวิชชาหรือด้วยความรู้ ทำได้เอาอวิชชาก็ก่อตัวเองให้เป็นหนึ่งให้ได้เสร็จแล้วมันก็ไม่เที่ยง มันได้ในขณะที่เราเองพยายามดูดจึงพยายามเอาความเป็นหนึ่งอย่างนี้ไว้ รักษาไว้ แต่มันไม่เที่ยงหรอกสักเวลาใดเวลาหนึ่งมันก็จะมีคนที่โง่ๆหลงเข้าไปเป็นหนึ่งเหมือนกันขึ้นมาแย่งชิง เรียกว่าสมบัติผลัดกันชม 

ในโลกนี้เป็นสมบัติผลัดกันชมไม่เที่ยงหรอก ไม่เป็นเรื่องถาวรได้ นิรันดรไม่มี เพราะฉะนั้นถ้าจะเอาแต่ความเป็นหนึ่งๆ อย่างเดียวนี้เหนื่อย ลำบากลำบนทรมาน แล้วสุดท้ายจริงๆแล้วมันต้องสลายไปเลย เลิกยึดถือเป็นชีวะหรือเป็นจิตนิยาม แม้แต่เป็นพืชก็ไม่เป็นไร เป็นวัตถุไปเลยมันก็ไม่มีตัวตน มันก็สุดจบ วนเวียนอยู่อย่างนี้แหละ 

มีอุตุธาตุ พืช มีจิตนิยาม ความจริงมีเท่านี้พระพุทธเจ้าตรัสรู้หลวงปู่ก็เรียนรู้ตามมาเห็นจริงว่าชีวิตเป็นอย่างนี้ ชีวิตนี้รู้ความจริงเรานี้หมดแล้วล่ะ แต่จะต้องรักษาศาสนาพระพุทธเจ้าให้ครบ 5000 ปีต้องช่วยสืบทอดเนื้อหาของโลกุตระไปให้ได้ ก็เลยต้องรับหน้าที่อยู่ 

ก็ดีได้ช่วยเหลือ เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ระดับ 8 ไปเรื่อยๆ ยังมีปณิธานสูงสุดเท่าที่จะสูงสุดได้เป็นระดับ 9 โพธิสัตว์องค์ใดองค์หนึ่ง ก็ไปเรื่อยๆ ยังไม่ถอดถอย จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งขึ้นทำเนียบในโลกให้ได้ ถ้าไม่ถึงก็ไปเป็นปัจเจกพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความรู้เท่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์แล้วแต่ยังไม่เป็นโอกาสหรือเห็นแล้วว่าเมื่อยแล้ว ไม่ต้องหาเวลาโอกาสจะประกาศศาสนาหรอก ไม่ต้องไปแย่งคิวพระพุทธเจ้าองค์ใดหรือไม่ต้องไปเรียงลำดับที่จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดๆ พอแล้ว มันก็เท่านี้ ชีวิตสูงสุดก็เท่านี้เท่าพุทธเจ้าแล้ว แม้จะไม่ได้ประกาศตัวเอง ให้โลกได้รับรู้บันทึกลงในทำเนียบว่า มีผู้นี้ชื่อนี้นามนี้เป็นธาตุจิตวิญญาณสะสมมามีความสามารถเก่งเท่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แล้วประกาศตัวเองขึ้นมาทำงานเป็นปรากฏทุกคนก็ยอมรับความจริงนั้น แต่ท่านไม่ได้ทำ ไม่ต้องเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรอก เป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าตัวเองเป็นแล้วแต่ไม่ได้ประกาศให้โลกรู้แล้วก็ตาย ตายโดยปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตายโดยแยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมไปเลยจบ 

สู่แดนธรรม... ถ้าพระโพธิสัตว์รูปนี้ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้วว่า อย่างไรอย่างไรต้องเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตแน่นอน แล้วท่านผู้นี้ท่านจะยอมรีไทร์ไหมครับ 

พ่อครูว่า... ก็อยู่ที่ท่าน ว่า 

1 ท่านจะรักษาสถานะของพระพุทธเจ้าไหม คำทำนายแม่นนะ ถ้าเราเสียตรงนี้ก็จะเสียพระพุทธเจ้า เราจะยอมให้พระพุทธเจ้าเสียไหม  ก็ต้องทำให้ได้ถึงที่สุด เมื่อทำไม่ได้ถึงที่สุด แบบนี้โง่ ถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่สูงสุดแล้วตัวเองจะเอาไปเอาสิ่งที่สูงสุด ก็เอาที่สูงสุดได้แล้วเพียงแค่ไม่ประกาศตัวเอง ภูมิเท่ากับปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระพุทธเจ้า

มันขัดแย้งกับความเป็นจริงท่านจะมีสำนึกอันนี้ชัดเจน เราทำเสียพระพุทธเจ้าได้อย่างไรเพราะเราเดินทางนี้มาแท้ๆ ได้แท้ๆเราไม่เอา ก็เป็นความเลวของเราที่เราไม่เอา หรือเป็นความด้อยของเราที่เราไม่เอา 

สู่แดนธรรม… ผู้ที่พระพุทธเจ้าประกาศ ก็คือผู้ที่แข็งแรงตั้งมั่นจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตแน่นอน 

พ่อครูว่า... ต้องบอกว่าเธอถามเลยปัญหาไปแล้ว 

 

_ผู้ชมทางบ้านถามซ้อน เคยมีประสบการณ์ไม่อยากสอบได้ที่ 1 เพราะถ้าสอบได้ที่ 1 แล้วรางวัลที่ได้มันจะเป็นขนมปังกล่องใหญ่ ขนมปังปี๊บ ตอนนั้นอยากสอบได้ที่ 3 เพราะว่าจะได้รางวัลเป็น ลิงตีกลอง แบบนี้ถือว่าเป็นกามฉันทะใช่ไหม 

พ่อครูว่า... ใช่ เขาชอบเล่น เขาไม่ชอบกินคนนี้ 

 

_ครูเคร่ง : ขอถามพ่อครูครับ ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ 6  มีอะไรบ้างครับ  ทุกข์อริยสัจ มี 4 มีอะไรบ้างครับ  พ่อครูกล่าวถึง แต่ไม่มีรายละเอียด ขอเมตตา ขยายได้ไหมครับ

พ่อครูว่า...วันนี้ขอยกไปก่อนยังไม่อธิบายในวันนี้ 

 

SMS วันที่ 4-6 กุมภาพันธ์ 2565

 

_9706 : ส่ง SMS แพงนัก สู้ไม่ไหว

พ่อครูว่า...ทุกวันนี้ SMS ราคาข้อความละ 3 บาท หากไม่ส่งทางนี้ก็ไปส่งทาง Facebook และทางไลน์ อาตมาใช้คอมพิวเตอร์เพียงแค่เขียนหนังสือเป็นหลัก บางทีก็ต้องอาศัยคนรอบข้าง ยอมรับความจริงอาตมาไม่คิดจะเก่งพวกนั้นมากมาย ได้ตอนนี้ก็ทำงานเต็มที่แล้วยังไม่จบเลยยังค้างคาอยู่เลย ทำปัญญา 8 เล่มหนึ่งก็ยังไม่จบ ยังทวนแล้วก็ให้ออกมา ยังทบทวนไม่ถึงครึ่งเลย ก็ต้องขออภัยมันอยากให้ดีๆไปแล้วจะไม่ต้องไปทำอีก จะได้ต่อเล่ม 2 ที่มีแล้ว ถ้าได้รู้ปัญญา 8  2 เล่มนี้ก็คิดงสนว่าพอนะ ความรู้ในโลกที่จะใช้เป็นประโยชน์ตนประโยชน์ท่านในชีวิต คิดว่ามากพอ ไม่อยากใช้คำว่าสมบูรณ์แบบ 

 

_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม : กราบนมัสการพ่อท่านอย่างสูง ได้ฟังเรื่องอาหารแล้ว เข้าใจ แล้วอาหารของพ่อเป็นอาหารพระอรหันต์ฉัน เพื่ออาศัยดูแลขันธ์ ถ้าปรับรสชาตินิดหน่อยด้วย ผักพื้นบ้าน ประกอบด้วยข้าวคั่วบ้าง รสขมหน่อยจะได้เจริญอาหาร กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า...เอาน่ะ ใครทดลองดู

สู่แดนธรรม... พ่อท่านความดึงดูดที่เป็นแม่เหล็กแล้วมันหมดไป กลายเป็นเหล็กไปแล้ว หากจะให้เป็นแม่เหล็กอีกจะทำยังไง 

พ่อครูว่า... อย(อะยะ) ยางเหนียวไม่มีแล้ว มันเป็น Normal นิวตรอน ไม่มีแรงดูดแรงผลักแล้ว แตะก็แค่แตะไม่ดูดไม่ผลักอะไร เป็นลักษณะนิวตรอน กลาง ซึ่งเป็นเรื่องที่ เข้าใจได้ไม่ใช่เรื่องเข้าใจยากอะไร ถ้าอยากให้มีแรงดูดกลับมา ถ้าให้มีรสชาติดึงดูดกลับมามันก็จะทำให้ง่ายในการที่จะรับ คนที่กินด้วยแรงกิเลสมันรับเร็ว ดูดๆๆๆ ถ้าไม่มีกิเลสมันใช้เวลานาน กว่าจะได้ปริมาณพอสมควร ก็ต้องทำให้ได้ปริมาณในแต่ละวันๆ วันหนึ่งใช้เวลากิน ทุกวันนี้ไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมง เขากินกัน 15 นาทีก็เสร็จแล้ว เราชั่วโมงนึงเป็นอย่างน้อย บางที 2 ชั่วโมงบางที 3 ชั่วโมง ก็เมื่อย ไม่ได้อยากให้เป็นอย่างนั้นเลยแต่มันสุดวิสัย มันไม่ได้ปริมาณ เจตนาเราจะพยายามไม่ให้ขันธ์มันบกพร่อง ให้มันยังขันธ์นี้ไปให้ยาวนานเป็นเจตนา เพราะฉะนั้นก็ต้องพยายามให้บกพร่อง พูดไปก็มีความรู้มีประโยชน์ 

 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

_สู่แดนธรรม.. คราวที่แล้วพ่อท่านสอนให้ทำ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ส่วนเทศนาปาฏิหาริย์หรืออิทธิปาฏิหาริย์ให้ทำ 

บางคนอาจมองว่าถ้าคนหมดกิเลสแล้วคือเป็นปาฏิหาริย์ แต่ทำไมปาฏิหาริย์นี้ไม่ช่วยให้เจริญอาหารได้เลย มันเป็นปาฏิหารที่ธรรมดาเกินไปหรือไม่ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น

 

จนให้หมดสุขหมดทุกข์ได้ให้ถึง 0 

_พ่อครูว่า... ที่จริง เตรียมไว้จะพูดถึงองค์ประชุม เรื่องปาฏิหาริย์ก็น่าจะต่อ

ความจนมหัศจรรย์

สามัญสำนึกของคนทุกคนด้วยปุถุชนปกติ ต้องการโดยต้องการมีมากๆ จะได้จับจ่ายใช้สอยบำเรอความต้องการของตัวเองให้เต็มที่ ความเร็วด้วยการซื้อวัตถุต่างๆที่ต้องการก็ดี ด้วยการที่จะซื้อของบำเรอ รูปรสเสียงกลิ่นสัมผัสเสียดสี ที่ตัวเองมีอุปาทานยึดว่าอย่างนี้มันสุขอย่างนี้มันพอใจอย่างนี้มันดี มันพอใจของสมมุติ บางคนก็ชอบรุนแรง บางคนก็ชอบนิ่มนวล บางคนก็ชอบกลางๆพอดีมันไม่เท่ากันเลย มากบ้างน้อยบ้างจนกระทั่งละเอียดตัดสินยาก ก็แล้วแต่คนยึดถือ บางคนยึดถือเอามา พอได้ก็เอามาสัมพันธ์กัน ตามที่เราต้องได้มาแตะต้องกันเกี่ยวข้องกันแล้ว ก็สมใจ 

ถ้ายังติดอยู่อย่างนี้มันก็ต้องติดไปอีกนานเท่านาน จนกว่าจะไม่ต้องหรอก ทุกอย่างก็เป็นอิสระของตัวเอง มันไม่มีอะไรไม่พรากจากกัน ต่างคนต่างอิสระเสรี แต่ที่นี้คงไม่ถึงขั้นนี้ เมื่อมาถึงขั้นนี้ก็ต้องมีคู่ จะต้องมีสิ่งดูดไว้ 

อย่างอาตมา ดูสภาพที่ควรจะต้องให้คนได้รู้ ใช่เข้าใจได้เห็นว่าดี แล้วเขาก็ควรจะต้องเอาอันนี้ ก็มีภาษาจบว่า เอาอะไร เอาสิ่งที่ไม่ต้องเอา เอาสิ่งที่ไม่ต้องมี มันเป็นภาษาจบแล้ว เพราะความมีนี่แหละทำให้คนที่ไม่หลุดพ้นไปจากทุกอย่างในโลก ในมหาจักรวาลในวัฏสงสาร เขาก็จะต้องมี จนกว่าจะเข้าใจว่าโอ้โห! ก็เพราะไปจะเอาไปมีนี่แหละ มันถึงไม่เลิกไม่จบในการที่จะมี สิ่งที่เป็นจิตนิยามก็ดี แม่เป็นพีชนิยามก็ดี เพราะฉันนั้นยังเป็นชีวจิตนิยามก็ต้องมีทุกข์มีสุขอะไรอีกเยอะแยะ ลดลงมาเป็นพีชนิยามก็ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ไม่มีวิบากบาปบุญแล้วไม่จองเวรไม่ทำลาย ตัวของตัวก็เฉพาะตัว ก็ยังเหลือแต่ตัวของตัว จนกว่าจะเข้าใจว่า พีชะนี้ผสมด้วยธาตุ 3 

ถ้า 1 ถ้าตัวประธาน กับอีกธาตุหนึ่งเป็นธาตุ 2 เลขภาษาวิทยาศาสตร์บวกกับลบ เรียกภาษาคณิตศาสตร์ 1 กับ 2 หรือ 1 กับ 0 

ถ้าสภาพของ 0 เราทำ 0 ได้ก็ไม่มีอะไรแล้ว 1 ไม่มี 2 ไม่มี ก็เป็นผู้รู้คือประธาน เราก็รู้ที่จบว่า 0 คือความไม่มี ทำให้มีความเกาะยึดความเป็นตัวตนแม้แต่ยึดแค่เป็นพืชก็ไม่ต้องยึดแล้ว ทำได้รู้ได้ พระอรหันต์ ทำเป็นพูดก็รู้ได้แล้ว เพราะฉะนั้นทำเป็นพืชให้หมดโศกหมดทุกข์เราก็ต้องทำเป็นพืชได้แล้วหมดสุขหมดทุกข์ จบ 

จากหมดสุขหมดทุกข์เป็นไม่มีสุขไม่มีทุกข์เลย หมดโศกหมดทุกข์มันก็คล้ายๆกับไม่มีสุขไม่มีทุกข์เลย แต่มันยังมีนัยยะเป็นสิริมหามายาละเอียดว่ายังมีสุขมีทุกข์อยู่นะ มันยังมี 2 อยู่ แยกไม่ออกหรอก 2 มองในมุมหนึ่งก็เป็นสุข เพราะฉะนั้นเห็นทุกข์นี่แหละเป็นสุข พวกที่ไปเห็นทุกข์เป็นสุขจนกระทั่งไม่รู้ว่าทุกข์มันหนักขึ้นหนักขึ้นก็ไม่รู้ตัว เพราะโง่ขึ้นโง่ขึ้นเรื่อยๆเจริญงอกงามไพบูลย์ด้วยความโง่ ก็เลยไม่รู้ทุกข์มากมายทุกข์หนักทุกข์ใหญ่ก็ไม่รู้ตัว จนกระทั่งไม่รู้ตัวแล้วแบกทุกข์ไว้ก็คือไปหลงสุขนั่นแหละ ก็ทำให้หมดทุกข์ หมดทุกข์ก็หมดสุข หมดภาษาแล้วตอนนี้ 

อาศัยกระดาษ 1 แผ่นอธิบายหน้าหนึ่งเป็นด้านสุขอีกด้านหนึ่งเป็นทุกข์ จะแยกออกจากกันไม่ได้ ทำให้มันเหลือหน้าเดียวไม่ได้ จะสลายก็ต้องสลายไปทั้งสองหน้า สลายทั้งความสุขและความทุกข์ ไม่มี 2 เป็น 0 ไปเลย ก็จบตรงนี้ รู้จัก 0  0 ได้ก็จบ สุดแล้วก็กลายเป็นอุตุธาตุ ดินน้ำไฟลม มันไม่มีตัวตนไม่มีตัวกูของกูแล้ว มีแต่พลังงานอื่นจะมาจัดการกับมันไป เป็นพลังงานตั้งแต่พลังงานพระอาทิตย์ มีบริวารมากที่สุดก็ 9 บริวารน้อยที่สุดก็ 9 ในจักรวาลที่น้อยที่สุดก็มี 9 ดวง ซึ่งมีคนอุตริจะให้เหลือ 8 มันเป็นไปไม่ได้หรอกเพราะมันมีสภาพของสัจธรรม 

9 นี้มีเลข 3 ตัวสมดุลกันอยู่ เอาออกก็กลายเป็นตัวเขย่ง มีความบกพร่องเดี๋ยวก็กลายเป็นอุกกาบาตไม่มีวงโคจรแน่นอน ซึ่งมันเป็นได้ เปลี่ยนไปเป็นอันนั้นได้ 

แต่ด้วยแรงดึงดูดมันไม่ยอมให้จากกันง่ายๆหรอก จนกว่าคนจะถึงขั้นสร้างพลังงาน  ผลัก รู้จักพลังงานดูดพลังงานผลักและสลายการดูดการผลัก จนไม่ดูดและผลักเลยอันนี้มีจิตวิญญาณเท่านั้นที่ทำได้ ดินน้ำไฟลมทำไม่ได้ 

พีชนิยามก็พอทำได้บ้าง ดินน้ำไฟลมนั้นเป็นพลังงานแม่เหล็ก พลังงานไฟฟ้า ไฟฟ้านี่สลาย ตัวแม่เหล็กนี่ดูดไว้แน่น ก็เป็น 2 สภาพ อันนึงดูด อันหนึ่งผลัก มันมีรายละเอียดพวกนี้อาตมาก็ไม่ได้ลงลึกฟิสิกส์

(พ่อครูไอตัดออกด้วย)

สู่แดนธรรม… ตอนนี้พ่อท่านพยายามเคลียร์รันเวย์เตรียมบิน เตรียมคนคัดเลือกเฟ้นคนดูดเอาแต่คนที่มีคุณสมบัติประเภทนี้มารวมกันได้ไหม 

พ่อครูว่า... ได้พูดอย่างนี้ก็ได้ พวกที่ไม่ดีก็อย่าไปรวมกับเขาเลย เขาก็เป็นของเขา เขาอยากจะมากวนเขาก็มารวนได้ แต่เราก็พยายามไม่ได้เป็นศัตรู ไม่ได้ทำอะไรเขา จนกระทั่งสุดท้ายเขาก็ไม่เดือดร้อนอะไร เขาก็ไม่มากวนเรา เราก็ทำประโยชน์กับหมู่ที่เราอยู่ด้วย ส่วนจะไปเป็นโทษเป็นภัยกับคนอื่นๆ เราก็ไม่หมดแล้ว คนอื่นก็มีลึกๆรู้เหมือนกันว่าเขาไม่อยากหาเรื่อง หรือยิ่งมีภูมิธรรมรู้แล้วว่าคนนี้เขาไม่ได้มาหาเรื่องให้คนอื่นเดือดร้อนเลย มีแต่เขาทำประโยชน์คุณค่าสัจธรรมความดีงามพวกนี้ เขาก็ยิ่งจะไม่ทำเลย เพราะฉะนั้นคนที่จะไปทำคนดีอยู่ ไปตอแยคนที่ดีอยู่ก็คือคนโง่เท่านั้น คนโง่จะไม่เข้ามาใกล้เรามากนักหรอกเป็นอจินไตย คนที่มันต่างกันมากจะไม่เข้ามาใกล้ 

แต่คนที่โง่หนัก ก็พยายามจะไปเบ่ง ไปเบ่งกับคนที่ด้อยกว่าอยู่เรื่อยๆ อย่างที่เห็นอยู่ในโลก ทำให้ตัวเองใหญ่ตัวเองมีอำนาจ มันก็หลงอยู่อย่างนี้ จนกว่าจะเลิกหลง ทีนี้เราจะไปบังคับเขาไม่ได้ ให้เขาเลิกหลง เราไปบังคับเขาไม่ได้ เขาเองเขายึดอย่างนั้นเป็นอย่างนั้นอย่างที่มันเป็นอยู่ในโลก มันก็ต้องปล่อยไปตามที่เขาเป็น เราไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่ง เขามายุ่งกับเราหรือเขาจะมาทำร้ายเรา เขาก็ไม่รู้หรอก 

เพราะฉะนั้นก็อย่าไปทำ เราก็ทำประโยชน์นี่แหละกับคนที่ควร อย่างเช่นอยู่ด้วยกันเป็นประโยชน์ต่อกันไปให้สูงสุด เสร็จแล้วใครจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน เลิกจบแล้วชีวะชีวิตมนุษย์ เป็นจิตนิยามสูงสุดแล้วก็ทำไปสิ ทำได้แล้ว ถ้าใครยังไม่อยากปรินิพพานเป็นปริโยสานยังจะช่วยมนุษย์อยู่ มีปณิธานเหมือนพระอวโลกิเตศวรก็เอา ท่านก็มีตัวอย่างมีอยู่ในโลก ใครจะทำมากทำน้อยก็แล้วแต่ จะเอาอย่างพระอวโลกิเตศวรหรือพระเจ้าแม่กวนอิม ก็เอาสิ หรือจะเอาครึ่งนึงของท่านครึ่งทางของท่าน แล้วก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไป หรือจะไม่เอาครึ่งนึงเอาแค่เศษหนึ่งส่วนสี่ก็เอาได้ 

 

คนจนที่เป็น 0 ผู้เจริญอย่างไม่มีใครเทียม

_พ่อครูว่า... วันนี้พูดถึงเรื่อง จนมหัศจรรย์ 

การมีน้อยนี้มันไม่แย่งคนอื่น ให้คนอื่นแย่งไปหมดแล้วเราเป็น 0 แต่เรา 0 นี่นะ มันย่อมไม่เป็นคน 0 ที่ไร้ค่า เราเป็นคนที่มีความรู้มีสถานะอันเจริญ เป็นผู้รู้เป็นผู้ไม่ขี้เกียจขี้คร้าน ขยันหมั่นเพียรด้วย มีความรู้ความสามารถด้วย เราก็อยู่กับความรู้ความสามารถกับความไม่ขี้เกียจ ขยันหมั่นเพียร ผู้ทรงความรู้ความสามารถก็ขยัน ปรารภความเพียรอยู่ตลอดกับความรู้ความสามารถของเรามี มันเป็นประโยชน์ไม่เป็นโทษกับมนุษยชาติ เป็นประโยชน์ที่ดีประโยชน์ที่ควร คนอื่นรับไว้ได้ประโยชน์จริงๆ มันมีที่สุดของมันอยู่แล้ว มันไม่ต้องเลือกอะไรอีกแล้ว เราก็จบอยู่ตรงหน้าที่อยู่กับงานอันนี้ จนกว่าเราจะเลิก แยกธาตุไปเป็นดินน้ำไฟลมไป ถ้ายังไม่เลิกเราก็สร้างประโยชน์คุณค่าให้ดียิ่งขึ้น เท่าที่จะมีมนุษย์แต่ละท่านพากเพียรจะสร้างได้ดีได้มากขึ้น สูงสุดถือว่าเป็นพระพุทธเจ้า เราก็ทำ 

คุณจะรู้เองว่าคุณเทียบไปหาพระพุทธเจ้าได้แค่ไหน อย่างอาตมาก็เทียบไป ระดับ 7 ระดับ 8 ขึ้นไป แล้วเราจะรู้เองว่าเราห่างไกลคนอื่นเขามากเลย ไม่ว่าจะในยุคนี้ที่มีคนดีน้อย ในยุคที่มีคนเจริญมากเจริญน้อยเราก็ยังสูงที่สุดอีก จนกว่าเจริญมากๆกว่าคนที่เขาไม่เจริญเท่าเรา มีระยะห่างมากจนกระทั่ง เขาไล่ไม่ทัน เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้ากับผู้ที่รอง ในยุคใดเมื่อใดก็แล้วแต่ มันห่างจนเขาไม่มีทางไล่ทัน นานกี่กัป กี่ล้านปีแสงก็ยังยากที่จะมาไล่ทัน จะมีความรู้เลยว่ามันสุดวิสัย ไม่มีใครไล่ทันหรอก ก็ตัดสินได้ ว่าสูงสุด 

เราจะรู้ทั้งระยะเวลาและคุณภาพคุณสมบัติที่จะประมวลสั่งสมมาที่จะให้เท่าเทียมเราจะต้องใช้ทั้งเวลาใช้ทั้งมวลคุณสมบัติพิเศษต่างๆ ซึ่งมันจะมาเท่าเทียมเรานี้ ไม่ได้ เพราะเราเองก็ไม่ได้อยู่เปล่าเราก็เดินทางเจริญขึ้นไปเรื่อย แล้วอัตราการก้าวหน้าของเรามากกว่าอัตราการก้าวหน้าของผู้ที่เป็นรอง มันคนละขนาดเลย แล้วมันจะมีวันไล่ทันไหม มันไม่มีทางไล่ทันเลยเพราะฉะนั้นเป็นเรื่องสุดวิสัยแล้ว ผู้นั้นจะรู้เองตัดสินได้เลยว่า สุดแล้ว สูงสุดแล้ว

พวกเรานี้เป็นคนจน จนตรงไหน ถ้าหากเราไม่มีทรัพย์สินเงินทองอะไรเรา อยู่กับกองกลาง อาหารการกิน ยารักษาโรค ก็ไม่ต้องสะสมไว้ที่เรา เป็นโรคแล้วค่อยใช้ อยู่ที่กองกลาง เราใช้จริงๆก็คือเครื่องนุ่งห่ม กันร้อนกันหนาว กันแมลงสัตว์กัดต่อย กันอุจาด มีเท่านี้ชุดเท่านี้ชิ้นก็พอแล้ว มันรู้จักคุณค่าคุณประโยชน์ เท่านี้ก็พอ จะไปหอบไปหามาทำไม มันก็หมุนเวียนที่จะซักเปลี่ยนใช้ สบาย ไม่ต้องเก็บต้องสะสม จะต้องมีที่เก็บจะต้องรักษาจากพวกฝุ่นพวกแมลงอีก 

ที่อยู่อาศัยก็ไม่มีปัญหาอะไรมากเลย ที่อยู่อาศัยพวกเราเหลือเฟือ สมัยพุทธเจ้าอยู่ร่มไม้เรือนว่างที่ไม่มีเจ้าของ 

ชาวอโศกเรามีเรือนว่างเรือนอาศัย คนยังมาอาศัยอยู่ร่วมกัน บ้านที่ว่างๆไม่มีใครอาศัยอยู่ก็มีเยอะ เรือนเรือ เรือเรือน อาตมาหาเรือมาให้ บูรณะเรือขึ้นมาก็จะมีเรือที่อยู่บนบก ก็เรียกว่า เรือนเรือ  ก็มีคนมาอยู่อาศัยได้ยังไม่สิ้นไร้ไม้ตอก แต่ว่ามาอยู่ที่นี่จะต้องมาเป็นคนเช่นชาวเรา เช่นชาวเราพื้นฐานอย่างน้อยที่สุดก็คือไม่มีอบายมุข ไม่กินเนื้อสัตว์ ถือศีล 5 เป็นอย่างต่ำ ถ้าหากไม่ต่ำกว่ามาตรฐานก็อยู่ได้ตลอด ตั้งชื่อที่นี่ว่า บ้านราช เมืองเรือ ก็เป็นอจินไตยอย่างหนึ่ง แต่หลายประการ อจินไตยข้อ 1 แต่มันมีหลายประการ 

เช่นที่ว่า แล้วตกลงเอาแค่ว่า เรือ กับเรือน เอาอะไรกันแน่ เรือกับเรือน จะเอาเรือหรือเอาเรือน ถ้าเอาเรือนนี่มันอยู่บนบก แต่ถ้าเอาเรือนี่มันอยู่บนน้ำ

อาตมาทำสำเร็จเอาเรือมาอยู่บนบกก็ได้ เอาเรือมาอยู่บนน้ำก็ได้ เรืออยู่บนน้ำไม่ต้องเรือหรอก ทำแพก็อยู่บนน้ำได้ จะทำเสาทำทุ่นรองก็เป็นเรือนได้ ถ้าจะเรียกว่า เรือน คือมีเสา เรือคือไม่มีเสา มีแต่ท้องเรือลอยบนน้ำจะเอาแบบใดก็ได้ ได้ทั้งสองอย่างเราก็เอาทั้ง 2 อย่าง 

แต่เราจะเอารูปของเรือ ถึงอย่างไรบ้านเราก็มีเสามากกว่าเรืออยู่ดี จริงๆแล้วเรือนี่ถ้าน้ำมาเรือมันก็ลอยได้ ไปไหนๆตามน้ำก็ลอยไปได้จะน้ำจะขึ้นมาอีกเท่าไหร่ก็ลอยได้ ส่วน เรือนมันต่อกับดิน น้ำมามันลอยไม่ได้ ถ้าทำกึ่งเรือกึ่งเรือนก็คือแพ ครึ่งบกครึ่งน้ำ สรุปแล้วเป็นที่พักที่อาศัย 

คนอาศัยก็มีอาศัยอยู่บนน้ำกับอาศัยอยู่บนบก คนจะไปอาศัยอยู่บนอากาศไม่ได้มันต้องเคลื่อนที่ ซึ่งมันก็ยาก ไม่เคลื่อนที่มันก็อยู่บนน้ำหรืออยู่บนบกก็ได้ก็มีเท่านี้ เราก็มีทั้ง 2 อย่างที่อยู่บนบกสะดวกก็อยู่บนน้ำ อยู่บนน้ำมันก็ไปยากไหม.. ยาก มันช้ากว่า อยู่บนบกกับอยู่บนอากาศมันเร็วกว่า (นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ) 

สู่แดนธรรม..พ่อท่านเมื่อไม่ติดอะไรแล้วจะอยู่ไปทำไม ความทุกข์ที่มีก็เป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ พ่อท่านบอกว่า พระโพธิสัตว์บางรูป คนที่ใกล้เคียงก็ก้าวตามไม่ทัน แล้ว พระอิสีติสาวกต่างๆ ที่มาบำเพ็ญกับพระพุทธเจ้า บางรูปก็ ใช้เวลาบำเพ็ญต่างๆกัน แล้วพระสารีบุตรจะบำเพ็ญมากี่กัป แต่ไปดูตัวเลขแล้วมันเทียบกันไม่ได้ 

 

จนเป็นที่ 1 ในโลก แต่สร้างอาหารช่วยโลก 

_พ่อครูว่า... เข้าสู่จุดความจนมหัศจรรย์ ความจนนี่คือความไม่มีอะไร วัตถุก็ไม่ต้องไปมีอะไรมากมายเลย มันมีวิธีการสาธารณโภคี 

เป็นวิธีการเป็นกระบวนการที่ยิ่งใหญ่ มันไม่เป็นของใครมันเป็นของส่วนกลาง เราก็อาศัย จะยังชีพก็อยู่กับส่วนกลางหรือจะอาศัยทำงานก็อาศัยส่วนกลาง จะทำงานแล้วก็จะต้องใช้วัสดุ วัสดุใดหาได้ก็ใช้ วัสดุหาไม่ได้ก็ไปเบิกเงินมาซื้อใช้เขาก็ให้ก็เอาเงินไปซื้อ เขาไม่ให้ก็ทำเท่าที่มี มันไม่สิ้นไร้ไม้ตอกหรอกดินน้ำไฟลมพืชมากมายมีไม้มีเหล็ก มันหาได้เท่าที่หาได้ทำได้ แม้ที่สุดไม่ต้องทำอย่างวิศวะทำอย่างกสิกรรมกสิกร ก็ปลูกได้ ไม่มีอะไรก็เอาหญ้ามาปลูก นี่เขาเอาต้นกล้าลูกเดือยมาประดับโต๊ะ ลูกเดือยก็มีคาร์โบไฮเดรตเยอะ มีคาร์โบไฮเดรตมากกว่าโปรตีนก็แล้วแต่ก็คล้ายๆกับข้าว อาตมาไม่มีความรู้ละเอียดลงลึก ลูกเดือยก็นิยมกินกันอยู่เหมือนกัน ก็ทำขึ้นมายังชีพช่วยชีพได้ มีผักกาดหัว หรือเรียกว่าไช้เท้า ก็มีรสมีกลิ่นมีสัมผัส อย่างนั้นอย่างนี้ ก็อาศัย มีธาตุในตัวของมัน 

ทีนี้คนจนจนอย่างเราก็อยู่บนพื้นดิน มันไม่สิ้นไร้ไม้ตอกจริงๆหรอก มันสามารถดูวิธีการปลูก ปลูกพืชผักอะไรต่ออะไรให้ได้ คนที่เขาร่ำรวยมากๆเขาปลูกไม่เป็น เพราะเขาอาศัยความรวยซื้อมากินใช้พออยู่แล้ว จนกระทั่งเขาจะปลูก ปลูกไม่เป็น มันก็เป็นความจริง 

ถ้าไม่มีใครปลูกเลยเขาก็ตาย หาคนปลูกให้กินเลยไม่ได้ เอาเงินไปซื้อไม่ได้เขาก็ตาย เป็นอย่างนั้นจริง แต่เขามีเงินอยู่ อย่างพวกที่มีเงินมากๆ ประเทศที่มีเงินมากๆ พวกไม่จน มันก็ทำให้เขา พูดชัดๆหน่อย ขอใช้สัจธรรมพูด ก็ทำให้เขาโง่ที่ปลูกกินปลูกใช้ไม่เป็น แล้วคนที่จะไปตกอยู่ในที่ที่ปลูกกินใช้ไม่เป็น ก็คือผืนแผ่นดินที่เขาอยู่ เป็นพื้นแผ่นดินที่ปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารยากด้วย มันก็ลงตัว เช่น 

มีแต่ทราย หรือมีแต่น้ำแข็ง ก็ปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร ยาก หรือมีแต่ความร้อนมากๆพืชพันธุ์ธัญญาหารก็ขึ้นยาก ดินแดนที่มีแต่ความร้อนก็มีพืชที่ขึ้นรกๆเลอะๆ สัตว์กิน  แต่คนกินไม่ได้ ก็เลี้ยงตัวเองไม่รอด มีทั้งเป็นทรายเป็นน้ำแข็งหรือพื้นดินที่คนอาศัยได้ยาก รายละเอียดพวกนี้ยังมีอีกมาก อาตมาคิดออกในปัจจุบันนี้เท่านี้ 

สรุปแล้วคนเราอาศัยชีวิตอยู่บนโลกแผ่นดินนี้นี่ มันก็เป็นบารมีของคน มีวิบากของคนเหมือนกัน คนที่อยู่ในภูมิประเทศแถบเอเชีย ประเทศไทยในย่านนี้คล้ายกัน ขยันแล้วไม่มีตาย ปลูกอยู่ปลูกกินปลูกใช้ไม่มีตาย ดีกว่าอยู่ขั้วโลกเหนือ ดีกว่าอยู่ทะเลทราย ดีกว่าอยู่ที่แอฟริกาหรือเอธิโอเปีย อย่างนี้เป็นต้น หรือนิวกินี 

สิ่งเหล่านี้เป็นอจินไตย กรรมวิบากของแต่ละคนที่จะต้องไปอยู่เป็นเช่นนั้นๆ ซ้อนลึก ตรงที่ว่ามีจนกับมีรวย คนในประเทศที่รวยจนกระทั่งปลูกพืชผักกินไม่เป็น ก็ฉลาดน้อยกว่าผู้ที่ปลูกพืชผักกินเองได้ ก็เท่ากับเดรัจฉาน มันปลูกให้ตัวเองกินไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น พูดไปเดี๋ยวจะว่าไปด่าเขาอีก แต่เขารวยนะ คนเหล่านั้นมองไปอีกมุมหนึ่ง รวย 

อย่างมีประเทศที่รวยๆ เขามีสมบัติอะไรบางอย่าง เขาอาจจะมีทองคำ หรือทองดำ บางประเทศก็มีทองคำเยอะ ทองดำก็คือน้ำมัน ทองคำก็คือโลหะ บางประเทศมีทั้งทองคำและทองดำเยอะ เช่น ประเทศบรูไน แล้วพลเมืองในประเทศเขาก็มีน้อย 

จะว่าไปแล้วประเทศซาอุมีทองดำเยอะ มีน้ำมันเยอะ มีอาณาบริเวณเยอะ ทองดำก็เยอะ แต่บรูไนมีทองดำด้วย มีทองคำด้วย แต่ประเทศเขาเล็ก พลเมืองเขาน้อย เทียบเคียงแล้วเขาก็รวยน่าดูเหมือนกัน ซาอุฯก็รวย

ประเทศไทยนี้ไม่รวย นอกจากไม่รวยแล้วเข้าใจสิ่งที่เป็นอจินไตยลึกซึ้งด้วย มาจน นอกจากไม่รวยแล้วไม่แย่งรวย พากเพียรมาเป็นคนจนที่มีสมรรถนะ มีความรู้ความสามารถขยันสร้างสรรสิ่งที่มนุษย์อาศัย สิ่งที่มนุษย์อาศัยสูงสุดคือ อาหาร นอกจากอาหาร ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่กว่านั้น อาหารคือ กวฬิงการาหาร นี่แหละ สิ่งที่จะกินเข้าไปเลี้ยงสังขารขันธ์ 

ย่อสรุปลงมาแล้วชีวิตก็มาจบที่ กวฬิงการาหาร แม้แต่ในอาหารคำข้าวนี่เอง คนที่โง่ คุณต้องกินอาหารที่เป็นอาหารธาตุเป็นข้าวกับกับข้าวไปเลี้ยงขันธ์ คนที่ไปโง่กว่านั้น ติดสิ่งเสพติดยิ่งกว่าข้าว ได้เสพสิ่งเสพติดแล้วไม่ให้กินข้าว อยู่ได้ พออยู่ได้แบบลำลองเดี๋ยวก็ตาย เช่น พวกติดน้ำมันเบนซิน มันกินแต่น้ำมันเบนซินมันไม่ค่อยกินข้าวเลย เคยเห็นไหมเคยได้ยินข่าวรู้เรื่องไหม กินน้ำมันเบนซิน แล้วเขากินวิธีไหน เขามีผ้าชุบน้ำมันเบนซินแล้วมาดูด กิน มันก็เลี้ยงขันธ์ได้ แต่ไม่นานก็ตาย เพราะไม่ใช่อาหารที่แท้จริง มันลึกซึ้งละเอียดจนกระทั่งอาตมาว่า แล้วเบนซินเข้าไปสังเคราะห์ร่างกายสรีระของเขา ก็คงใช้อันนี้เป็นอาหารเป็นธาตุที่จะปรุงแต่งกันได้ นี่มีคนที่กินเบนซิน มีข่าวคราวอาตมาก็จำได้ คนไทยนี่แหละ ก็ประหลาดที่สุด อายุไม่ยืนหรอก 

บางคนไม่กินเบนซินไม่กินข้าวมากหรอก กินแต่หมากกับพลู เขาก็ถือว่าหมากพลูไปเลี้ยงขันธ์ เหมือนกับเบนซินไปเลี้ยงขันธ์ หมากพลูก็น่าจะเลี้ยงขันธ์ได้มากกว่าเบนซิน ก็เลยพอไปได้ จะลึกซึ้งเข้าไป ที่จริงเขาก็ไม่ได้กลืนกินเข้าไปทีเดียวแต่มันซึมเข้าไป อาจจะกลืนบ้างนิดๆหน่อยๆ กลืนเป็นน้ำหมาก เป็นธาตุน้ำ ไหลซึม กลืนเป็นน้ำหมากไป โดยเขารู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง ก็คงจะเอร็ดอร่อยหรือไม่อร่อยก็ตามแต่ เราไม่ได้ติดยึดอย่างเขา เราก็ไม่รู้รายละเอียด แต่ที่ยกตัวอย่างเพราะมันมีจริงในคน เขาติดกินหมากกินพลูมากกว่ากินอาหารกินข้าวกับกับกับแกง กินมันทั้งวัน กินมากไม่หยุดไม่หย่อน กินอาหารพวกนี้ก็พอยังขันธ์ไป ถ้าเขาเลิกอาหารกินแต่หมากพลูก็จะอายุสั้นเหมือนพวกกินเบนซิน แต่พวกกินเบนซินก็กินข้าวน้อยมากแล้วมันก็ตายเร็ว เพราะไม่ใช่ของไปเลี้ยงขันธ์

คนเรารู้จักสิ่งที่เป็นสารสังเคราะห์กันในตัวเรา แล้วรับมายังสมดุล แล้วทำให้สังขารขันธ์ ดินน้ำไฟลม มันสังเคราะห์กัน สังขารกันอยู่ ปรุงแต่งกันอยู่ ได้สัดส่วน ได้สมดุลอยู่ไป ให้ยืดยาว ขาดอะไรก็เติมตามที่จะมีความรู้เรียกว่าโภชนาการ เติมให้มันสมดุล อย่างอาตมาก็พยายาม มีคนช่วย พยายามรู้ บางทีรู้เกินความจริงด้วย อาตมาก็ว่าเราขาดอันนี้หรือ เขาก็เอามาให้จัง มันอยู่ที่ตัวเราตัดสินสุดท้ายว่าเราจะเอาเข้าเนื้อเข้าตัวเราแค่ไหนอย่างไรหรือไม่ 

ก็มีสิ่งที่จะเอามาไว้ในตัว สังเคราะห์สังขารตัวเองไม่มากเลย น้อย อาหารที่จะกินเข้าไปสังเคราะห์ บอกแล้วผ้านุ่งก็ไม่หนักหนาไม่ยากเลย ยิ่งที่อยู่และยารักษาโรค ยารักษาโรค มันก็ตอนจำเป็น ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้อง ที่อยู่ที่พักก็บอกไปแล้วบนน้ำบนดิน ก็อาหารการกินนั่นแหละ กินสังเคราะห์ร่างกายไป 

เพราะฉะนั้นคนเรามีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องไปมีเพชรพลอย ไม่ต้องไปมีทองคำ มีธนบัตรอะไรมากมาย แต่เราทำได้ ใช้พืชพันธุ์ธัญญาหารได้อุดมสมบูรณ์มากมายมีความรู้ ซึ่งคนทุกคนไม่ว่าคนในประเทศไหน ภาคไหน ขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้ ภาคกลาง  ทะเลทรายหรือน้ำแข็งก็แล้วแต่ ก็ต้องกินอาหาร พืชพันธุ์ธัญญาหารได้ทั้งนั้น 

แม้แต่คนขั้วโลกเหนือกินแต่เนื้อสัตว์เป็นหลัก ให้เขากินพืชพันธุ์ธัญญาหารแทนเนื้อสัตว์ เขาก็จะอายุยืนมากกว่าที่เขากินแต่เนื้อสัตว์ แต่เขาไม่มี เขาก็จำนน ต้องกินเนื้อสัตว์ กินปลากินปู แต่ว่าปูอยู่ในน้ำแข็งมีไหม 

สรุปแล้วเราอยู่กับเครื่องอาศัยที่ภาษาบาลีเรียกว่า อาหาระ เราต้องมีอาหารกิน เรียกว่าอาหารบริโภค เครื่องใช้เราเรียกอุปโภค เครื่องกินเราเรียกว่าบริโภค 

เราก็มีเครื่องกินเครื่องใช้มีจานชามส้อมกระดาษ คอมพิวเตอร์ อะไรก็แล้วแต่ พวกนี้กินไม่ได้หรอก มันเป็นเครื่องใช้ก็แยกกันได้ แยกเป็นเครื่องกินกับเครื่องใช้ 2 อย่างก็มีอาศัยอยู่แค่นั้นแหละสุดท้าย เครื่องใช้ก็พัฒนาการกันสร้างกันจนกระทั่ง จนจะกลายเป็นสิ่งวิเศษ อย่างเช่นคอมพิวเตอร์เป็นสิ่งวิเศษแล้ว ในคอมพิวเตอร์มีอีกสารพัดชื่อ มันทำอะไรได้พิลึกพิลือเก่ง ก็ว่ากันไปทางด้านวัตถุ ทางด้านพืชก็ว่ากันไป 

เมืองไทยสามารถปลูกพืช เราไม่เก่งทางวิศวกรรมทางวัตถุ อุตสาหกรรม เพราะจริงๆแล้ววัตถุมันยังชีพไม่ได้เหมือนกับพืช พื้นภูมิประเทศเราก็เหมาะสมที่จะทำพืชพันธุ์ธัญญาหาร มากกว่าที่จะทำพวกนั้น เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ต้องไปโง่ เราทำเป็นบ้างก็ทำ ใครถนัดใครชอบก็พออาศัย อาศัยไม่ได้ก็ซื้อเขา ซื้อไม่ได้ก็เอาพืชพันธุ์ธัญญาหารไปแลกเปลี่ยนเอา เขาก็ต้องให้อยู่ดี เพราะว่าเรามีอันนี้มากแล้วก็ดีด้วย คุณภาพสูงด้วย อะไรพวกนี้ไร้สารพิษก็ดี มีธาตุอาหารอีกเยอะแยะ 

สรุปลงแล้ว เรา เป็นมนุษย์อยู่กับพืชพันธุ์ธัญญาหาร สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารนี่แหละให้มีคุณภาพดีสุด มากเยอะแยะ แล้วก็คนคนละโลก ก็คุณต้องกินอันนี้ต้องอาศัยอันนี้ กินนะไม่ใช่เป็นการใช้อุปโภค แต่เป็นการบริโภค คุณอาศัยกินมากกว่าอาศัยใช้ สัตว์เดรัจฉานมันใช้เครื่องใช้น้อย มันต้องกิน เพราะเป็นสัตว์ คุณก็เป็นสัตว์คนก็เป็นสัตว์ สุดท้ายมันก็เป็นตรงนั้น 

เพราะฉะนั้นเรามามีความรู้ความสามารถที่จะสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารให้ได้ดีได้มาก จบเลย แล้วเกื้อกูลเลี้ยงโลก เราก็อาศัยกินใช้ในนั้นซึ่งมันพอ ยิ่งมีมากคนคนละไม้คนละมือต่างคนต่างเก่งต่างคนต่างขยัน ที่จะสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร ที่ดินของเรายังมีมากพอจะสร้างได้อีกเหลือแหล่เลย ทำให้เต็มที่นี่อาตมาว่า ที่ของชาวอโศก แม้แต่ที่ของบ้านราช ทำไปเต็มที่เลย อาศัยกินใช้อาศัยกินเป็นหลัก บริโภคเป็นหลักกว่าใช้ สร้างให้มากเลย เพราะคนต้องกินต้องใช้ 

เพราะฉะนั้นเราจน สิ่งที่เป็นธนบัตร ทองคำ เพชรนิลจินดา อะไรที่โลกเขาติดยึดหรือแม้แต่ของสมมุติ ขี้หมาทาสีอะไรขึ้นมาก็ว่าราคาแพง สีทากระดาษสีทาผ้าใบแพง เราไม่ต้องไปหลงใหลได้ปลื้มแบบโง่เง่าเหล่านั้น เราเอาสิ่งที่จำเป็นที่สุดสำหรับมนุษย์โลกคืออาหาร กินเข้าไปสังเคราะห์ นี่แหละ ทำอันนี้เป็นที่หนึ่ง คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ 

เป็นวิบาก บารมีของคน ชาวเอธิโอเปียก็ดี ชาวตะวันออกกลางก็ดี ชาวตะวันออกกลางเขากินน้ำมันไม่ได้หรอก น้ำมันดิบหรือน้ำมันสุกก็ตาม กินไม่ได้ กินได้ก็อย่างที่พูดไปแล้วหรือจะกินแบบเบนซิน มันจะอายุยืนยาวได้อย่างไร ซึ่งมันไม่ใช่ธาตุที่จะไปสังเคราะห์ร่างกายได้ 

อันนี้จึงดีที่สุด เราจนที่สุดในสิ่งที่คนทั้งโลกเขาหลงใหล แต่เรารวยที่สุดในสิ่งที่เป็นพืชพันธุ์ธัญญาหาร มันเป็น 2 ขั้ว ขั้วหนึ่งขั้วรวย อีกขั้วหนึ่งขั้วจน คนที่จนที่สุด แต่รวยพืชพันธุ์ธัญญาหาร มันถึงที่จบได้แล้ว รวยพืชพันธุ์ธัญญาหารแล้วรู้จักสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารที่ดีมีคุณภาพ ยอดเยี่ยมสุด มาเป็นอันนี้กัน แล้วเราก็อยู่ในนี้ด้วย เป็นบารมีของเรานะ ได้เป็นคนมาอยู่ในชมพูทวีปนี้ 

ที่มา ที่ไป

650207


เวลาบันทึก 07 กุมภาพันธ์ 2565 ( 20:54:42 )

650209

รายละเอียด

650209 โลกุตระคือสิ่งสำคัญสุดที่เกิดมาแล้วต้องเอาให้ได้ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ 

https://www.boonniyom.net/51184.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1RNWOF5_bY2lD75CLS58X3ypdVWYf0zdHo4anWuDo0AY/edit?usp=sharing  

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1jjqdM1UkdCTLj2EfPmSD0T1dMhyvPAFy/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/450514836755658        

และ   

 

สมณะฟ้าไท... วันนี้เป็นวันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ในงานพุทธา ภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ที่จะถึงนี้ จะมีการสอบปริยัติโดยใช้หนังสือปัญญา 8 จาก 100 หน้าแรก 

พ่อครูว่า...ตอนนี้เขียนขยายความไปอีกมากเลย 

สมณะฟ้าไท... ในโลกของโลกุตระ มีความรู้ ความฉลาด ความจริง คนทั้งโลกเขาทำความฉลาดโลกีย์ แต่เขาอยากได้คำว่าปัญญาไปใช้ พระโพธิสัตว์ต้องเหนื่อยยากในการมาให้ปัญญาแก่มนุษยชาติ มาให้ความรู้เรื่องโลกุตระแก่ชาวโลก 

 

โลกุตระคือการศึกษาความต่างเพื่อจบ

_พ่อครูว่า... อย่างที่ท่านฟ้าไทกล่าว อาตมาพยายามนำความรู้ที่มีความหมายขั้นโลกุตระมาอธิบายขยายความ นำพาให้พวกเราเข้าใจจะได้ปฏิบัติตามนั้น ทั่วโลกเขามีแต่ความรู้โลกียะมีแต่ความเฉโก

ความรู้โลกียะคือ ความรู้ที่สอนอยู่ในขั้นแค่ทำดี อย่าทำชั่ว เรียนรู้ความดี ทำแต่ดีแล้วอย่าทำชั่ว คู่เดียว เขาก็สอนกันแค่นั้น เขาไม่ได้เรียนรู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่ได้เข้าใจถึงอนัตตา ไม่เข้าใจถึงความเป็นอัตตาเลย 

ส่วนโลกุตระนั้นรู้จักอัตตา เรียนรู้อนัตตา เรียนรู้ความสุขความทุกข์ โลกียะไม่รู้เรื่องความสุขความทุกข์ แต่ติดในความสุขเกลียดความทุกข์ ทั้งๆที่สุขทุกข์นี้ยากจะรู้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าความสุขความทุกข์เป็นมายาของมนุษยชาติ ซึ่งมันแยกกันไม่ออก มันเป็นฝาแฝดที่แยกกันไม่ได้ เป็นฝาแฝดอินจัน ที่มีอวัยวะติดกันเลย แยกไม่ได้ถ้าแยกก็ตาย เพราะฉะนั้นถ้าไม่เอาสุขก็ไม่เอาทุกข์เลย ไม่เอาสุขไม่เอาทุกข์ โลกุตระนิพพานคือไม่มีสุขไม่มีทุกข์ 

ศาสนาพุทธทุกวันนี้เสื่อมมากจนไม่รู้เรื่องเหล่านี้ สอนกันแบบโลกีย์ให้ติดในความสุข มีสวรรค์ มีนรก ไม่มีนิพพาน ในโลกียะมีสวรรค์มีนรก ในโลกุตระหมดสวรรค์หมดนรก ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก มีแต่ความเป็นจริง 

ความเป็นจริงที่มีสิ่งแตกต่างที่มีความจริงที่สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย มีใจเป็นตัวรู้ รู้ความแตกต่างกัน ที่แตกต่างกันจริง แล้วเราก็อยู่กับความแตกต่างเหล่านี้ให้กลมกลืนสามัคคีกันได้ 

ไม่มีอะไรที่จะไม่แตกต่างกัน อันนี้คือความจริง แฝด 2 คนก็เหมือนกันแต่มีจุดต่างกันที่ไม่เหมือนกันได้ ผู้ที่รู้ละเอียดดูเป็นก็จะดูออก ไม่ต้องดูเครื่องหมายหยาบ บางคนจะดูตรงไฝ อย่างแฝดนายเวียงนายวัง จะดูตรงปานดำ แต่มันมีดูโครงสร้างรูปธรรมก็ได้ ไม่เหมือนกัน ยิ่งนิสัยก็จะแตกต่างกันอะไรอย่างนี้ บุคลิกต่างๆก็จะแตกต่างกัน คนที่ละเอียดลออก็จะดูออก สัมผัสนิดนึงก็รู้คนนี้เป็นคนนี้ แม้จะเป็นแฝดกันก็ตาม 

เพราะฉะนั้นการศึกษาที่รู้ความแตกต่างกันนี่แหละเรียกว่า ลิงคะหรือความเป็นเพศแล้วมันก็จะแย้งกันอยู่ด้วยกันยาก เพราะฉะนั้นจึงต้องมาเรียนรู้ว่าที่รู้ไม่เหมือนกันนี่แหละ จะต้องอยู่ด้วยกัน อยู่ด้วยกันก็รักกันเกิน จากกันไม่ได้อีก โง่อีก แยกกันไม่ได้เลย มีดูดกับผลักสองทาง 

เรามาเรียนรู้ความจริงว่ามันมีความต่าง ในจักรวาลมันมีสิ่ง 2 สิ่ง ตั้งแต่วัตถุ อุตุนิยาม มีบวกมีลบ มีสิ่งต่างกัน ตั้งแต่พลังงานจนกระทั่งถึงสสารที่ต่างกัน จนมาถึงพืชพันธุ์ธัญญาหารที่แตกต่างกัน แล้วก็มาถึงจิตนิยาม สัตว์ มนุษย์ ทั้งหมด 

เรียนรู้แล้วก็รู้ได้จริง ศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าค้นพบ อ๋อ.. ไอ้ตัวนำเกิด พาเกิดวนเวียนอยู่ เป็นธาตุรู้ที่มีทุกข์มีสุขคือจิตนิยาม 

สัตว์เดรัจฉานมันก็มีทุกข์มีสุขแล้ว แต่มันไม่รู้ เรียนอย่างไรมันก็เรียนไม่ได้ จนมาถึงคน อเวไนยสัตว์ ศึกษาอย่างไรก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน จนมาเป็นเวไนยสัตว์ เป็นคนที่มีบารมี มีฐานที่จะรู้โลกุตรธรรมนี้ได้ ถึงจะเรียนรู้ว่าจิตนิยามมีความเกิดมีความตั้งอยู่ ทรงอยู่ แล้วก็ความเสื่อม แล้วก็ไม่จบ จนกระทั่งค้นพบความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับให้แยกธาตุไปเลยได้ พระพุทธเจ้าประสบผลสำเร็จอันนี้สมบูรณ์แบบ 

เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธเสื่อมเพราะไม่ค่อยรู้เรื่องนี้กันแล้ว อาตมาก็นำสัจธรรมโลกุตรธรรมที่ถึงขั้นอนัตตา หรือ ถึงขั้นสุญญตา แยกธาตุปรินิพพานเป็นปริโยสาน เป็นดินน้ำไฟลมไปเลยได้ในยุคนี้ ซึ่งไม่มีใครที่จะเหลือความรู้ที่จะรู้อันนี้ 

ทั้งๆที่ในพระไตรปิฎกมีปรินิพพานเป็นปริโยสานในมูลสูตร ไม่มีใครเข้าใจได้ เขารู้แต่เพียงนิพพานมีความสูญ แต่สูญอย่างไร ปรินิพพานเป็นปริโยสานที่มีรายละเอียด 

นิพพาน ก็รู้แล้วว่ามันจบกิจ เรื่องที่จะมีชีวิตอยู่ ความทุกข์ ความสุขตามขั้นตามตอน โสดาบันก็โล่งระดับหนึ่ง สกิทาคามีก็โล่งระดับหนึ่ง อนาคามีก็โล่งระดับหนึ่ง เป็นนิพพานแต่ละขั้น อรหันต์ก็ถึงขั้นปรินิพพาน นิพพานรอบสุดจนกระทั่งหมด แล้วก็จะเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน อรหันต์ก็จะรู้ความจริงอันนี้ได้ ก็จะทำความเป็นสูญจนกระทั่งเลิกได้หรือไม่เลิกก็ได้เป็นอมตะบุคคล 

เพราะฉะนั้นผู้ยังไม่มีภูมิจะเข้าใจมูลสูตร 10 ตั้งแต่มีฉันทะเป็นมูล มีมนสิการเป็นแดนเกิด สัมภวะ มีผัสสะเป็นสมุทัย  มีเวทนาเป็นที่ประชุมลง แล้วมีสมาธิเป็นประมุข จนมีสติเป็นอธิปไตย มีปัญญาเป็นอุตตระ มีวิมุติเป็นแก่นสารสาระ 

อมตะ เป็นการหยั่งลงสู่ความเป็นอมตะ และสุดท้ายมีปรินิพพานเป็นปริโยสาน มีปรินิพพานเป็นที่สุด ปริโยสานหรืออวสานรอบถ้วนเลย อวสานอย่างจบ ไม่มีอีกแล้วสิ้นสุดสูงสุด นี่เป็นมูลสูตร 10 ข้อ อาตมาเจอสิ่งนี้เข้าแล้วโอ้โห เอามาพูดเอามาขยายความพวกเราก็ได้รับความรู้ ได้รับประโยชน์จากอันนี้กันใช่ไหม ได้ชัดเจนในธรรมะพระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้กัน ชัดเจนรอบถ้วนกันถึงขนาดนี้ ในนความเป็นจิตวิญญาณ  ในความเป็นมนุษย์ที่จะปฏิบัติประพฤติให้สมบูรณ์ที่สุดจนถึงขั้นทำปรินิพพานเป็นปริโยสานสำเร็จ แล้วเราก็จะรู้ตัวเมื่อเป็นอรหันต์ อรหันต์สมบูรณ์แบบ 

เป็นอรหันต์สมบูรณ์แบบ ก็คืออรหันต์นี้จะเกิดอีกก็ได้ จะตายสูญไปเลยปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้ อันนี้แหละทางเถรวาทเขาไม่รู้เรื่องเพราะเขาเป็นอุจเฉททิฏฐิ ถ้าโพธิสัตว์ทางมหายานก็เลยเถิด เกิดเป็นโพธิสัตว์ จนกระทั่งโพธิสัตว์ก็ไม่มีวันสูญ ไปอยู่ที่พุทธเกษตรอะไรอีก เลยเถิดไปอีกแบบนึง เราก็มาแก้ มาทำให้เข้าใจซะ เป็นเถรวาทก็ไม่เอา อุจเฉททิฏฐิก็ไม่เอา สัสสตะทิฏฐิก็ไม่เอา แต่เป็นผู้ที่อยู่เหนือแล้วสูญได้ เกิดได้ ดับได้ จะอยู่ต่อก็ได้ 

 

ทุกข์ 10 ประการ ที่เลี่ยงได้และเลี่ยงไม่ได้

_ครูเคร่ง : ขอถามพ่อครูครับ ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ 6  มีอะไรบ้างครับ  ทุกข์อริยสัจ มี 4 มีอะไรบ้างครับ  พ่อครูกล่าวถึง แต่ไม่มีรายละเอียด ขอเมตตา ขยายได้ไหมครับ

พ่อครูว่า... ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้คือทุกข์ที่เกิดจากองค์ประกอบเกี่ยวเนื่องกับทางร่างกายทางวัตถุภายนอก มันเป็นเรื่องธรรมชาติของการปรุงแต่งของกายสังขาร มี 6 อย่าง

_ก. ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ (ทุกข์อันเกิดจากกาย) . 

1. สภาวทุกข์ ทุกข์ประจำสังขาร เกิด แก่ เจ็บ  ตาย 

พ่อครูว่า...อาตมาก็เลี่ยงไม่ได้มาถึงทุกวันนี้จะไม่ยอมรับว่าแก่ก็ไม่ได้ต้องยอมรับว่าแก่ 

_2. นิพัทธทุกข์ ทุกข์อยู่เนืองนิตย์ คือ หนาว ร้อน  หิว  กระหาย  ปวดอุจจาระ  ปวดปัสสาวะ 

3. อาหารปริเยฏฐิทุกข์  ทุกข์ในการหากิน-การทำงาน 

พ่อครูว่า...ก็ทำมาหากินประจำวันของมนุษย์เลี่ยงไม่ได้ ไม่เหมือนสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานมันก็ต้องหากินเหมือนกัน ไม่ว่าจะปลูกสร้างไม่เป็นแต่มันก็ต้องหากิน มันไม่ทำงานที่จะปลูกสร้างแต่มันทำงานหากิน มันก็เลี่ยงไม่ได้ เป็นคนก็เลี่ยงไม่ได้ 

_4. พยาธิทุกข์  อวัยวะเจ้าการทำหน้าที่ไม่เป็นปกติ 

5. วิปากทุกข์ ทุกข์เพราะผลกรรม เลี่ยงวิบากเก่าไม่ได้

พ่อครูว่า...อย่างอาตมามีกระเปาะที่หลอดลมเป็นเหตุให้ต้องไอ มันสร้างเสลด ทำให้ติดท่อลม มันต้องขจัดก็คือวิธีไอ ใช้แรงเพื่อจะให้มันเอาเสลดออกให้ได้ อาตมาไม่ได้อยากได้ ไม่ได้ไปแสวงหา ไม่ใช่เชื้อโรค แต่เป็นผลวิบาก ที่ได้ตำหนิคนมามาก แม้ในชาตินี้ก็ยังตำหนิอยู่ มันเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องตำหนิคน เพราะการสอนคนไม่ใช่เป็นการสรรเสริญ 

สอนคนนี้คือการตำหนิ ตำหนิเป็นหลักให้แก้ไขปรับปรุง ส่วนคนดีๆเขาทำดีแล้วไม่ต้องสอนอะไรมาก แต่คนที่ยังไม่ดีนี่สิ ต้องสอนต้องบอกข้อบกพร่อง บอกข้อไม่ดีไม่งาม คนเขาก็ไม่ชอบ มันก็มีพลังต่อต้าน พลังไม่ชอบมันเป็นกรรมวิบากที่ละเอียดลึกซึ้ง ยังไงๆเราก็ต้องได้รับ ก็เลยเป็นอยู่ เลี่ยงไม่ได้ ถ้าไม่สมัครใจที่จะทำงานนี้ก็ไม่ต้องสมัคร ถ้าสมัครใจแล้วก็ต้องทำ 

แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง ก็มีปักขันทิกาพาธ เป็นโรคหลอดลมหลอดเสียงเหมือนกัน เพราะต้องใช้อันนี้ทำ 

_6. ทุกขขันธ์ ทุกข์รวบยอดเพราะการประชุมแห่งขันธ์ 5  อันยังอาศัยมีชีวิตอยู่ 

พ่อครูว่า...ทุกข์คือความตั้งอยู่อย่างเดิมไม่ได้ รูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่เที่ยงไม่ตั้งอยู่อย่างเดิมมันเปลี่ยนแปลง อันนี้แหละคือ มีความสูญเท่านั้นที่ไม่เคลื่อน เป็นความเที่ยง เพราะฉะนั้น 0 จะทำอะไร ทำที่จิต ที่ชัดที่สุดคือทำให้กิเลสสูญไปจากจิต นี่คือตัวแท้ เมื่อจิตสูญไปจากกิเลสแล้วก็เที่ยง สูญไปอย่างชัดเจนถาวร ปหาน อาสวะอนุสัยกิเลสก็หมดไปยัง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) 

ถ้าจะมาขยายความมาจนทุกวันนี้ พวกเราได้ยินได้ฟังก็จำได้ รู้ นี่คือทุกข์ 10 อย่างที่มี 6 อย่างไม่เที่ยง อีก 4 อย่างเป็นอริยสัจ 4 

แต่ก็ไม่ได้ไปขยายความแบบอริยสัจ 4 

 

_ข. ทุกข์ที่เลี่ยงได้ (เจตสิกทุกข์ อันสามารถดับเหตุได้แท้) 

7. ปกิณกทุกข์ (ทุกข์จรแห่งกิเลส คือ โศก ปริเทวะ  ทุกขะ  โทมนัส  อุปายาสะ  เมื่อพรากจากคนที่รัก  หรือพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก เป็นต้น) 

พ่อครูว่า...คือทุกข์ที่เข้าใจไม่ได้ แล้วก็ให้มันมาย่ำยีจิตวิญญาณตัวเอง เป็นทุกข์จร เป็นกิเลสเข้ามาเป็นตัวการมีเศร้าโศก พิไรรำพัน โทมนัส มีข้องใจขัดเคือง ไม่เรียบร้อยไม่โล่งไม่โปร่งไม่วาง ต้องเรียนรู้ความจริงให้ได้เลยว่าโง่ทั้งนั้น มันเกิดจากอวิชชา 

อย่างพวกเราข้อแรก โศก แล้วเรามาเลิกโศก ไม่โศกไม่เศร้า รู้แล้วรู้รอดรู้จบ ไม่ต้องไปพิรี้พิไรไม่รู้จักจบ มันก็หมดทุกข์หมดโทมนัส หมดอุปายาสะ ถ้าคุณไม่รู้จริง โศก ก็ไม่รู้ ทำต้นทางไม่ได้ ปริเทวะ  ทุกขะ  โทมนัส  อุปายาสะ ไม่มีเสร็จหรอก นี่คือทุกข์ที่ทำให้หมดไปจากชีวิตได้ 

_8. สันตาปทุกข์ (ทุกข์ คือ ความร้อนเผาใจ อันเนื่องมาจากกิเลสไฟราคะ  ไฟโทสะ  ไฟโมหะ  แผดเผา) 

พ่อครูว่า... พวกอภิธรรมฟังอาตมาว่า กิเลสเป็นพลังงาน เขาก็ว่าเป็นไม่ได้ ก็จะแย้งก็แย้งไป 

มาเรียนรู้อาการทางจิต เรียนรู้ได้จากอาการลิงคนิมิต อุเทส คือคำอธิบายที่อาตมาอธิบาย 

เรียนรู้แยกแยะอาการ ที่มีความต่างคือลิงคะ เป็นราคะ โทสะ โมหะมันก็มีความแตกต่างกัน โมหะ มันก็ไม่รู้ว่าคืออะไร 

ราคะ เป็นอย่างหนึ่ง โทสะ เป็นอีกอย่างหนึ่ง โทษลักษณะ ไม่ต้องเรียกคุณลักษณะ โทษลักษณะของราคะ โทษลักษณะของโทสะ มันเป็นแบบอย่างไร  เรียนรู้อย่าให้มันเกิดในจิต เรียนรู้จากการทำใจในใจ คือมนสิกโรติ หรือมนสิการ คือการทำที่ใจเรา เราเป็นคนทำ ทำเอง ทำใจของเรา ให้มีอาการอย่างนี้ๆ สามารถทำอาการของใจได้ ไม่ให้มันเกิดอาการของราคะ ดูดดึงเกิน เสพติดอยู่ มันเป็นรสเป็นชาติอย่างเป็นราคะ 

โทสะ ก็เสพติดอยู่ จะดูอาการพวกนี้แล้วรู้ว่ามนุษย์ประเสริฐเขาไม่มีอาการเหล่านี้หรอก ถ้ามีอยู่ก็เป็นมนุษย์โง่มนุษย์ไม่เจริญ รู้เหตุปัจจัยใน สามัญโลกมันจะต้องมีอะไรที่สัมพันธ์กันกระทบกัน แล้วเราก็ยังยินดีที่จะมีอันนั้น จนสุดท้ายเราก็ไม่ต้องยินดี ไม่ว่าจะเป็นราคะ ไม่ว่าจะเป็นโทสะ ไม่ต้องไปยินดี จิตของเราไม่มีราคะ โทสะ มันก็ไม่เกิดอาการของราคะ โทสะ จิตวิญญาณก็บริสุทธิ์จากราคะ โทสะ เรียกว่าบริสุทธิ์ อุเบกขา 

ก็ไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่ดูดไม่ผลัก รู้ความจริงตามความเป็นจริงว่า มันก็เกี่ยวข้องกัน กับไม่เกี่ยวข้องกัน มีความสัมพันธ์กันประโยชน์แก่กันและกันอย่างไร ก็อยู่กันไป เป็นมนุษย์ช่วยเหลือเกื้อกูลกันไป อย่างพวกเรานี้มาปฏิบัติธรรมเสร็จแล้ว ก็อยู่กันเป็นมนุษย์ช่วยเหลือกันไป ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงเพศชาย สบาย 

_9. สหคตทุกข์  (ทุกข์ไปด้วยกันกับโลก  เช่น  ลาภ  ยศ สรรเสริญ โลกียสุข) 

พ่อครูว่า... ทุกข์มันคตะ(ไปด้วยกัน) อยู่กับชีวิตที่โง่ๆ เป็นโลกโลกียธรรม คนที่ยังตกอยู่ในทุกข์ ยังติดอยู่ในลาภ สะสมลาภ แย่งชิงลาภ ตระหนี่ถี่เหนียวในลาภ ทุกข์ ทุกข์ทั้งนั้นแหละ 

ติดในยศชั้น เป็นพระครู เป็นเจ้าคุณชั้นสามัญ เป็นเจ้าคุณชั้นราช เป็นเจ้าคุณชั้นเทพเป็นเจ้าคุณชั้นธรรม เป็นเจ้าคุณชั้นพรหม เป็นเจ้าคุณชั้นสมเด็จ แบกเบิ้มๆๆอยู่นั่นแหละ 
สหคตทุกข์ แต่ไม่รู้ว่ามันเป็นทุกข์ 

ติดในสรรเสริญ ได้รับคำสรรเสริญเยินยอ ถ้าใครมาตำหนิก็ทุกข์ ตำหนินิดหน่อยก็ไม่ได้ ถือมาก เราต้องเป็นคนไม่มีที่ตำหนิ โถ! พระพุทธปฏิมายังราคิน เราต้องไม่มีที่ตำหนิ ติดในสรรเสริญเยินยอ ซึ่งไม่ใช่รู้ได้ง่ายๆ ติดยศก็ไม่ใช่รู้ได้ง่ายๆ ติดในสรรเสริญก็ไม่ใช่รู้ได้ง่ายๆ 

อาตมานี่นะ เกิดมาชาตินี้ มันติดไม่ลงหรอกสรรเสริญ มันต้องมาระมัดระวังเขาตำหนิ โอ้โห! ตำหนิมาแหลกเลย เอาแรงงานพลังงานมารับหน้าทางตำหนิก็ไม่หวาดไม่ไหวแล้ว สรรเสริญไม่ต้องไปนำพาเลย มีน้อย แล้วก็ไม่ต้องอยากได้สรรเสริญ เอาเถอะไม่เป็นไร ไม่ได้สรรเสริญก็ไม่เป็นไร แต่ก็มีคนมาสรรเสริญอยู่บ้าง คนที่มองออก คนที่เห็นจริงเขาก็สรรเสริญ 

ผู้ที่รู้จริงแล้วสรรเสริญก็ดี ตำหนิก็ดี ก็เป็นเรื่องของโลกธรรมธรรมดาก็ไม่ได้ติดใจอะไร ผู้ที่รู้ดีว่าดีควรสรรเสริญก็ดีแล้วถูก ผู้ที่รู้ว่าไม่ดีควรตำหนิ เขาก็ถูกเหมือนกัน แต่ตำหนิโดยไม่รู้ว่าควรตำหนิ ตำหนิสิ่งที่ผิด อันนี้สิขายขี้หน้ามาก แสดงความขี้เท่อ แสดงความไม่รู้จริงๆ 

อย่างอาตมา เขาไม่รู้ว่าเป็นสัตบุรุษจริง เพราะเมื่อบอกไปเขาก็แทบจะอ้วกออกมาเลย  เขาก็ดูถูกดูแคลน เพราะเขาติดยึดในสิ่งที่ผิดว่าเป็นสิ่งที่ถูก แล้วก็แบกเทิ่งๆ แบกลาภยศสรรเสริญ ลึกที่สุดก็เป็นโลกียสุข สุข เพราะลาภยศสรรเสริญนั่นแหละ ตัวโลกีย์แท้ๆ ไม่รู้ตัวมันซ้อน 

เพราะฉะนั้นรายละเอียดของสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบพวกนี้จึงลึกละเอียดมาก จะเห็นได้ว่า คนในโลกที่ติดยึดแบกพวกนี้ แบกลาภ ยศ สรรเสริญก็ตาม ถูกราคะ โทสะ โมหะ เผาเอาก็ตาม แล้วก็ยังเป็นคนที่มีโศก โทมนัส อุปายาสะก็ตาม เขาเข้าใจไม่ได้ ล้างไม่ออก ไม่ได้เป็นอาริยะ ไม่ต้องพูดถึงขั้นเป็นอรหันต์ 

 

_10.วิวาทมูลกทุกข์ (ทุกข์มีสงครามวิวาทะเป็นรากเหง้า) 

พ่อครูว่า... เป็นธรรมาธรรมะสงคราม มีความทุกข์ที่มีการวิวาทเป็นมูล เพราะฉะนั้นใครยังเป็นจอมวิวาทอยู่ก็หาเรื่องวิวาท อย่างอาตมาตำหนิ แต่ว่าอาตมาไม่วิวาทกับใคร ใครจะหาเรื่องรบกับอาตมา ก็รบไป ดีไม่ดีใครจะมาฆ่าจะมาก็ฆ่าไป ไม่วิวาทกับเขา เป็นผู้แพ้ผู้ยอม แต่คนที่วิวาทก็วิวาทไปทำไปสารพัด วิวาทมูลกะ เพราะไม่รู้ความจริงว่า มัน..โอ้โห! ไปหาเรื่องวิวาททำไม คุณจะตำหนิก็ตำหนิเขา แน่นอน คุณตำหนิเขาแล้ว เขาต้องมีผลกระเทือน เขาต้องมี reaction ต้องมีปฏิกิริยาโต้ตอบ คุณตำหนิเขา 

นอกจากคุณจะแน่ คุณจะดี คุณจะเก่ง ตำหนิเขาแล้วเขาก็สงบไม่กล้าแย้ง ไม่กล้าเถียง นั่นคือธรรมฤทธิ์ อย่างเช่นอาตมาทุกวันนี้ก็ตำหนิเขามาก ไม่ได้ปิดบัง ก็เปิดไปออกไปทางโทรทัศน์ ในทาง LINE หรือทางอะไรต่ออะไร เอามาใช้รีรันอยู่แล้วๆเล่าๆ แต่เขาก็อาจจะเป็นว่า ปัดไปเถอะ คนนี้มันมีแต่ตำหนิ เขาก็ตัดทิ้ง ส่วนคนที่จำนน มีปัญญารู้ว่าตำหนิถูกเขาก็ฟังก็ดี ฟังไม่ไหวแต่มันถูกว่าเหลือเกิน เกินไปก็ หลบบ้าง เลี่ยงบ้าง ก็ไม่ได้เกิดการวิวาท ทุกวันนี้อาตมาทำงานอยู่ก็ไม่ได้ก่อวิวาท 

ตอนแรกๆวิวาท มีคนไม่รู้ คนอวดดีหาว่าอาตมานี้ เขาไม่ให้มาสอนแบบนี้ อาตมาทำงานสอนแบบที่อาตมายึดถือว่า ถูกต้อง จนเดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนไป (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะฟ้าไท... โลกียะ ก็จะต้องถูกตำหนิจากโลกุตระเสมออยู่แล้ว โลกุตระก็ต้องถูกโลกียเขาตำหนิแน่นอน 

พ่อครูว่า... ไม่มีทางเลี่ยง เพราะฉะนั้นเราก็ไม่วิวาทกับเขา เขาก็ต้องแย้งเป็นธรรมดา 

 

SMS วันที่ 4-6 กุมภาพันธ์ 2565

 

_9706  ส่ง SMS แพงนัก สู้ไม่ไหว

พ่อครูว่า...SMS ครั้งละ 3 บาท เป็นราคาขั้นต่ำแล้ว ก็มีผู้แนะนำให้ส่งทาง LINE ทาง Facebook สิ ไม่เสียสตางค์ ซึ่งอาตมาไม่รู้หรอกว่ามันต่างกันอย่างไร 

 

_นายกิตติ จุลกิจ : ท่านพระครูท่านยังแข็งแรงอยู่เดินได้ออกกำลังกายทุกวัน วันละกิโล...เสียงยังใสและยังมีพลังอยู่ต้องฉันน้ำอุ่นมากๆอากาศเย็นจะทำให้ท่านไอและสเลดมาก...

พ่อครูว่า...ไม่ใช่แค่นั้น เหตุมันมาจากกระเปาะ

 

_Aeamaua Lee  เอื้อมเอื้อ ลี : รายการพุทธศาสนาตามภูมิ ค่ำวันเสาร์ที่ 5 ก.พ. 2565 ท่านดินทองพูดดีมากเลยค่ะมาจากสภาวะที่เกิดจริงของท่าน นมัสการด้วยความนับถือยิ่งในปัญญาของท่านที่มุ่งตัดกิเลสในตน

พ่อครูว่า...ผู้ฟังธรรมะแล้วเข้าใจเนื้อหา อันนี้ดี ว่าคนเราต้องมาทำงานหน้าที่นี้นะ เกิดมาเป็นคน ถ้าไม่ทำงานอันนี้ชาติแล้วชาติเล่า คุณก็วนตกอยู่ในดีชั่วลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เวียนวนอยู่อย่างนั้น แย่งกันไปแย่งกันมา สมบัติผลัดกันชม ทุกข์ๆสุขๆ อยู่ไม่รู้จักจบ พอรู้แล้วก็เลิกก็เพลาจากทางโน้น มาทางปฏิบัติธรรมอย่างพวกเรา ซึ่งมันก็เป็นเรื่องของมนุษยชาติด้วยกัน คนโลกีย์เขาก็เป็นของเขา ก็หน้าดำหน้าแดงหมาหอบแดดอยู่ทางโน้น กว่าจะมาเข้าใจอย่างพวกเรา (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

 

ชาวอโศกเรียนรู้เรื่องหมดสุขหมดทุกข์เป็นหลัก

_นายกิตติ จุลกิจ  : ชาวอโศกเป็นชุมชนลับแลบนโลกมนุษย์ จะเป็นที่ให้คนในโลกภายนอกเข้ามาปฏิบัติธรรมในสายโลกุตระของแท้ เอาไว้เป็นที่ชาร์จแบตความดีและเป็นที่ผลิตคนดีออกไปผจญกับโลกโลกียะ จะได้ทำให้บ้านเมืองเจริญขึ้นในทางความดี...

พ่อครูว่า...คือมันจะไม่เหมือนกับโลกทางโลกีย์เขา คุณเห็นอยู่ คุณก็แลอยู่ แต่คุณก็ ลับของคุณเอง ต้องมาศึกษาพวกมนุษย์ลับแลเขาอยู่อย่างไร เป็นสุขดีอยู่หรือ ... เป็นสุขดี เขาตอบว่าเป็นสุขดี ไม่แย่งลาภยศสรรเสริญ นี่สุขแล้ว

ไม่แย่งแล้วก็มาสร้างมาอาศัยในสิ่งที่เป็นปัจจัยชีวิต สิ่งไม่เป็นปัจจัย ก็เลิกมาเบามาก็สบาย 

เสร็จแล้วสร้างสิ่งที่เป็นปัจจัยชีวิต อาศัยกินอยู่เป็นสาธารณโภคีพูดแล้วก็อาตมาภาคภูมิใจธรรมะพระพุทธเจ้า พวกคุณก็เป็นคนในยุคเดียวกันกับคนอื่นเขา แต่พวกคุณมาทำสาธารณโภคีได้สำเร็จอยู่อย่าง สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา ใครเจริญก็เจริญไป เป็นอรหันต์ไปทีละคน ทีละคนไป ดีจริงๆ มีที่ยืน

เป็นมนุษย์ที่มีทางเดินที่เยี่ยมยอดแล้ว ที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบทางเดินของมนุษย์ พวกคุณนี่ พวกที่เข้าใจไม่ได้ก็มองเป็นเมืองลับแล แล้วเขาก็ไปเป็นหมาหอบแดด แย่งลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขอยู่ทางโน้น ดีไม่ดีก็ด่าพวกเราด้วย 

ด่าพวกเรา.. อะไรวะ บางคนเขาก็หลงความรู้ศึกษาหัวผุหัวพังเป็นปทปรมะบุคคล เรียนรู้พุทธพจน์ก็มาก สอนผู้คนอยู่ก็มาก แต่ตนเองไม่ได้บรรลุธรรมในชาตินั้นๆ แล้วก็มาตำหนิเราอีก หาบาปใส่ตัว ซึ่งมันก็น่าสงสาร เพราะเขาทำอย่างไม่รู้  

ที่ทำอยู่นี้เป็นเรื่องเหนือกว่าความดีความชั่ว แต่เป็นการล้างความสุขความทุกข์ ทางโลกียทางโลกเทวนิยมเขาไม่รู้จักสุขทุกข์แต่เขาติดในความสุขเขาแสวงหาแต่ความสุขเขาจะไม่เอาความทุกข์ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้  เขาก็พยายามหาทางเลี่ยงที่จะไม่ให้ทุกข์  ให้ตัวเองไม่รู้สึกทุกข์แต่แบกความสุขนั่นแหละคือความทุกข์เขาไม่รู้  สักวันหนึ่งเขาก็ต้องเปลี่ยนไปหรือเพี้ยนไปจากที่มันได้เท่านี้มันก็อยากได้เพิ่มแต่มันไม่ได้มันก็ตกเสื่อมหาเบื้องล่างอย่างเก่า 

ก็ศึกษากัน เขาบอกว่าพวกเราจะทำให้บ้านเมืองเจริญในทางความดีด้วย แต่เหนือกว่านั้นคือ พ้นทุกข์พ้นโศก 

 

_นพดล ทองโคตร  : พระโพธิสัตว์พ่อครู ข้าฯน้อยไม่เชื่อตามตำราและการกำหนดโรคตามหมอฝรั่ง..ว่าพ่อครูจะป่วย..ดั่งที่ว่าเลยขอรับ ขออภัยที่ข้าฯน้อยได้ขอแสดงความคิดเห็น อีกสัญญา..อีกทาง..ด้วยความเข้าใจ ศาสตร์แพทย์แผนไทย.เป็นไปไม่ได้อย่างแน่แท้..ว่า.ความบริสุทธิ์จากกิเลส.จะก่อสิ่งไม่ดีแก่เม็ดเลือดได้

…ขอแสดงความคิดเห็นอีกประเด็น..ขอรับ..ขอเสนอกอบกู้แพทย์แผนไทย..ไปพร้อมกอบกู้ศาสนา..ด้วยขอรับ

พ่อครูว่า... คุณก็ผ่านด่านมา จะมารักษาอาตมาต้องผ่านด่านน่าดู ไม่ใช่จะมารักษาอาตมาได้ง่ายๆ มันต้องผ่านด่าน พวกเฝ้าด่านนี่ถือง้าวกันคนละ สำคัญนะให้ดีๆ จะลองดูก็ได้ 

 

SMS วันที่ 7-8 กุมภาพันธ์ 2565

 

_โชติธมฺโมภิกขุ เพลิน ดอกกระโทก : รับฟังรายการพุทธศาสนาตามภูมิทางวิทยุ Zeno Radio ชัดเจนครับ

 

_รุ่งศรี  แก้วดวงสี  : กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพสูงยิ่ง....ตั้งแต่ได้เข้าค่ายอุโบสถศีลออนไลน์ ชาวอโศก ครั้งที่สองและเข้าซูมเรื่อยมาลูกก็รู้สึกเบาใจเบากาย จากการถือศีล และหมู่กลุ่มก็อบอุ่นยิ่ง ขณะนี้ลูกกำลังอ่านหนังสือ คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก พึ่งได้ร้อยกว่าหน้า  ความคืบหน้าหรือความรู้สึกส่วนตัวใดก็ไม่ทราบ ลูกรู้สึกถึงพลังของความสวยงามของพลังพุทธคุณ และธรรมะ ที่พ่อท่านเขียน และได้รับรู้จากท่านสมณะ และเพื่อน ๆ ในกลุ่ม  มันซาบซึ้ง มีสุข และโล่งเบาสบายในใจ  ว่านี่คือ ความสวยงามและมิตรภาพที่พ่อท่านสอน และลูกอยากบอกต่อคนอื่น ๆ ว่านี่คือสิ่งที่ผู้คนควรได้ ควรมี ถึงลูกจะมากราบพ่อท่านตอนนี้ยังไม่ได้ ลูกก็จะบอกคนอื่นได้อย่างเต็มหัวอกหัวใจ ว่าลูกเป็นลูกศิษย์พ่อท่าน ตอนนี้ลูกก็ได้ทำความเบิกบานในใจได้อย่างที่พ่อสอน  ดูจากคนรอบตัวว่า พวกเขาผ่อนคลายมากขึ้น  เพราะลูกได้ผ่อนตัวเองได้มากขึ้นตามลำดับ  พอมีผัสสะ จนเกินงาม ก็ได้เตือนตัวเอง  ว่า..เป็นลูกพ่อท่านภาษาอะไรมานั่งทุกข์อยู่ได้ ..แล้วปัญหาก็จะคลี่คลาย ..คำถามคือ..เปิดค่ายครั้งแรกลูกไม่ได้เข้า และคิดจะแค่ดูในเฟสบุ๊คเฉย ๆ ตกกลางคืนลูกฝันว่า คนอื่นเขาเข้าห้องเหมือนบวชเป็นเณรกันหมด มีลูกกับเพื่อนคนนึงไม่ได้เข้า ลูกรู้สึกเสียดาย  และตื่นมาเลยได้เข้าค่ายมาถึงทุกวันนี้  ฝันนี้หมายถึงอะไรคะ  กราบขอบพระคุณค่ะ

พ่อครูว่า…ฝันก็คือฝันของคุณนั่นแหละ จะหมายถึงอะไร ก็เป็นความรำพึงรำพันรู้สึกนึกคิดของคุณแล้วเอาไปฝันไม่มีสติควบคุม มันก็คิดไปได้สารพัดบางทีมันก็ปนกันเละ เรื่องที่ไม่ได้เรื่องอะไรต่ออะไร ตอบไม่ไหวหรอก ฝันก็คือความคิดที่มันเละเทะเลอะเทอะอยู่ในนั้น ไม่เป็นส่ำ จนกระทั่งคุณลดที่จะไปหลงยึดถือในสิ่งต่างๆที่ไม่เป็นส่ำ ความฝันก็จะเป็นเรื่องเป็นราวจนเป็นพระอรหันต์ไม่ฝัน และจะมีแต่นิมิตที่เป็นธรรมะเยอะแยะเลย จะหยุดหรือไม่หยุด ท่านเรียกว่าคุยกับเทวดา 

 

_งาม ผ้าขี้ริ้ว : ถ้าปฏิบัติธรรมไม่คืบหน้า มีสัมมาทิฐิแล้ว นั่งเจโตสมถะจะช่วยอนุเคราะห์ได้ไหมครับ ช่วยลดความฟุ้งซ่านได้ไหมครับ ผู้บรรลุอรหันต์ที่ไม่ต้องพึ่งพาเจโตสมถะมีไหมครับ

พ่อครูว่า...ผู้บรรลุอรหันต์ที่ไม่ต้องพึ่งพาเจโตสมถะนั่นแหละถูกต้องด้วย ผู้ที่ปฏิบัติธรรมตามหลักจรณะ 15 วิชชา 8 บรรลุอรหันต์ได้เป็นทางตรง ไม่ต้องไปพึ่งเจโตสมถะ เจโตสมถะก็คือไปนั่งหลับตาทำความสงบ หรือไปย่างหนอ ก้าวหนอ เพื่อที่จะไปยึดสมถะมีจุดให้ยึดสมถะ เพราะมันแย่ มันสงบไม่เป็น ก็ต้องใช้วิธีนั้น 

แต่ของพระพุทธเจ้านั้น เรียนรู้ตามลำดับ ศีล สมาธิ ปัญญา อปัณณกปฏิปทา 3 สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ สัมผัสกับของกินของใช้อ่านกิเลสจากของกินของใช้ในชีวิตธรรมดา แล้วก็ตื่นรู้ให้ได้ว่ากิเลสเราเกิด เราก็ล้างกิเลส อย่างนี้แหละปฏิบัติทางตรงในการทำ ปัสสัทธิ ในการทำความสงบ ที่ไม่ใช่เจโตสมถะ ล้างกิเลสแล้วก็เกิดความสงบไปตามลำดับ ๆ กิเลสออกก็สงบ 

กิเลสยิ่งหมด กายกรรมก็ยิ่งแคล่วคล่อง วจีกรรมก็ยิ่งแคล่วคล่อง มโนกรรมก็ยิ่งแคล่วคล่อง ไม่ต้องยิ่งแข็งยิ่งขึ้นยิ่งเซ่อไม่ใช่ มันคนละเรื่องกันเลยกับวิธีปฏิบัติที่ไม่ใช่ทางของพระพุทธเจ้าสายโน้นสายหลับตา นั่งแข็งทื่อ ย่างหนอก้าวหนอ อะไรพวกนี้ 

ประเด็นที่บอกว่า นั่งเจโตสมถะ จะช่วยอนุเคราะห์ก็ได้ ถ้าเข้าใจเป็นสัมมาทิฏฐิ 

อาตมาแยกแยะ นั่งเจโตสมถะ มีประโยชน์ 4 อย่าง 

1. ได้พักผ่อนแบบสงบจิต มีอุปการะมาก 

2. ศึกษาเพิ่มทักษะในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่าน  ภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์ 

3. เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน) ได้อย่างดี . 

4. สร้างพลังทางจิต ที่จะนำไปทำฤทธิ์ต่างๆ  (แต่ฤทธิ์ในพุทธศาสนา หมายถึง  ฤทธิ์ที่ระงับ ดับกิเลส เพื่อไปสู่นิโรธ-วิมุติ-วิโมกข์-นิพพาน) 

ข้อที่ 3 เป็นการตรวจนะ ไม่ใช่เป็นการทำจิต จริงก็คือ เตวิชโช เป็นการตรวจอ่านอดีต 

บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ ตรวจกิเลสเราเกิดไหม เราทำให้กิเลสดับไหม อันไหนที่ดับได้แล้ว ระดับไหนที่ยังดับไม่ได้ หรือว่าสับสนไม่เป็นลำดับเลย ไม่มีลำดับลำดา ก็ตรวจสอบดีๆ 

_สุทัศณีย์ วงษ์กิ่ง : น้อมกราบนมัสการพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ด้วยเคารพ มีครูมาสอนยุคนี้แล้ว ไม่มาเรียนรู้ตามท่านก็หมดเวลาชีวิต ในชาตินี้หาพลิกแผ่นดินก็หาต่อไป คนที่ยังหาครูสอนธรรม หาไม่จบเพราะเค้ามาเห็นพ่อครูแล้วไม่เชื่อว่าพ่อท่านเป็นสัตบุรุษ และตำหนิพ่อท่านตามโลก ตามคนส่วนที่เชื่อว่าพ่อท่านผิด ตามที่มีการตัดสินเมื่อปี พ.ศ. 2532 ค่ะ ไม่กล้าฟังกลัวผิดจากสงฆ์หมู่ใหญ่ เค้าคิดว่าอยู่ฝั่งหมู่ใหญ่หรือหลับตาเดินต่อไปสายหลวงปู่มั่นสุดยอดยิ่งใหญ่แล้วค่ะ สาธุ

พ่อครูว่า... คุณเข้าใจถูก คนเข้าใจอย่างนั้นไม่น้อยเลยตรวจสอบตัวเองเอา อาตมาก็นำเสนอสิ่งที่ถูกต้องอย่างไม่ไว้หน้า อย่างเช่นมหาเถรสมาคมพาไปนั่งหลับตามันผิด พูดมาจนหมดแล้วซึ่งทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกเอา ตัวเองตัดสินเอา 

ทฤษฏีของพุทธต้องศึกษาแล้วปฏิบัติจึงพบความมหัศจรรย์

_9706 : คำพูดคำสอนจัดเป็นทฤษฎีทั้งหมด ถ้าคนฟังไม่ปฏิบัติก็ไม่ได้อะไร ?

พ่อครูว่า... จะว่าถูกก็ถูก คำพูดการสอนเป็นทฤษฎีเป็นบัญญัติเป็นพยัญชนะทั้งหมด คนไม่ปฏิบัติก็ไม่ได้อะไร ก็ถูกอีก ถ้าคนฟังแล้วไม่เอาไปปฏิบัติ 

เช่น ศีล สอนถูกต้องตามทฤษฎี เมื่อมีศีลแล้วคุณก็ต้องปฏิบัติ สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ มีศีลแล้วก็สำรวมอินทรีย์ มีความตื่นจากกิเลส มี สติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์  

ต้องมีสัมผัสกับเครื่องกิน เครื่องใช้นี่แหละ อย่างสายหลับตาอย่างมหาบัว เขากินหมากกินพลู กิเลสหนาหยาบขนาดไหนก็ติดมันเฉย แล้วก็ไปสอนหลับตา ปึ๊งๆปั๊งๆ อะไรไป พูดไป มีบาปมีบุญ ธรรมะพุทธเจ้ามีการตรัสรู้สิ่งวิเศษ พูดไปน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงไป 

อาตมาเปิดโทรทัศน์เจอมหาบัวเมื่อไหร่ก็พยายามตั้งใจฟัง โอ้.. น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงจริงๆ ไม่มีปรมัตถ์อะไรเลย มีแต่ทำใจในใจของเขาเหมือนกัน แต่มันไม่มีเรื่องของจิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่มีเรื่องของเวทนาในเวทนา เวทนา 108 ไม่มี ไม่รู้รูป เวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่รู้เรื่องเลย ไม่พูดถึงเลย 

มันน่าสงสารคนที่นั่งหลับตา อาตมาพูดจนกระทั่งหมดเหมือนกันนะ อาตมากับพระพุทธเจ้านี้ต่างกัน พระพุทธเจ้าตีทิ้งพวกนั่งหลับตาไม่ได้ พระนั่งหลับตากันหมดทั้งนั้นเต็มป่า มันหลงผิดกันหมด ถ้าตีทิ้งก็ไม่เหลือใครเลย แล้วพระพุทธเจ้าจะสอนใคร แต่อาตมาไม่ พระพุทธเจ้าจัดการถูกต้องหมดแล้วอาตมาก็ตีทิ้ง ตีทิ้งก็ยังมีคนเหลืออย่างพวกคุณ เข้าใจ พวกที่อยู่กึ่งๆ ก็จะเข้าใจมากเพิ่มขึ้น 

พวกที่ยึดมั่นถือมั่นในการนั่งหลับตาอย่างถอนตัวไม่ขึ้นเป็นพญานาคเฝ้าถาดทองคำพระพุทธเจ้ามาชั่วนานนับกัปกาลก็แล้วไปเถอะ พวกนี้เอาหอกแทงเช้ากลางวันเย็นอย่างละ 100 เล่มก็เฉย ฟันไม่เข้าแทงไม่ออก ไม่ใช่ยิงไม่ออก อยู่อย่างนั้นแหละ คือ ยึดมั่นถือมั่นอย่างไม่ยอมเปิดจิตเปิดใจอีกแล้ว ก็สุดวิสัยที่จะไปช่วยได้ ก็ต้องให้เต่าให้ปลากินไป ไม่รู้จะทำอย่างไร 

ทีนี้ ถ้าเผื่อว่าคุณ9706 พูดว่าคำพูดคำสอนจัดเป็นทฤษฎีทั้งหมด ถ้าคนฟังไม่ปฏิบัติก็ไม่ได้อะไร หมายความว่า อาตมาสอนไปนี่ เป็นทฤษฎี ที่อาตมาพูด แน่นอนก็ไม่ได้อะไร แต่คุณปฏิบัติกันหรือเปล่า ... ปฏิบัติ 

ปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 เข้าใจ ปฏิบัติถูกต้อง จึงเกิดผลเป็นที่มหัศจรรย์ พูดได้เลยว่าเป็นความมหัศจรรย์ เกิดผลมหัศจรรย์ 

 

เข้าสู่สูตร มหัศจรรย์ 8 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สมณะฟ้าไท...

 

ความมหัศจรรย์ของการเลิกกินเนื้อสัตว์​ 

_พ่อครูว่า... ขอสรุปความมหัศจรรย์ พวกเรานี้ จรณะ 15 วิชชา 8 

ศีล อปัณณกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 ฌาน 4 เป็นพุทธคุณของพระพุทธเจ้าแท้ๆ นอกจากนี้ไม่ใช่พุทธคุณของพระพุทธเจ้า ไปนั่งหลับตามันนอกจรณะ 15 วิชชา 8 เลย ซึ่งเป็นเดียรถีย์กันจริงๆ ไอ้พวกนั่งหลับตาปฏิบัติ ฌาน เขาไปได้จากการหลับตา แต่ฌานของพุทธต้องได้จาก ศีล อปัณณกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 ฌาน 4 มีปัญญา8 หรือวิชชา 8 เกี่ยวข้องเป็นยาดำแทรกอยู่ตลอดให้เข้าใจ 

ศีล ปฏิบัติจาก อปัณณกปฏิปทา 3 แล้วจะเกิดผลอย่างนี้นะ 

แต่ก่อนนี้ศรัทธาของเรา เราก็ว่าเราศรัทธาแบบโลกๆ เอาแต่แค่ประเด็น สัตว์ เอาล่ะเราอาจไม่ใช่ชาวประมง ไม่ใช่พวกฆ่าสัตว์ แต่เราก็ยังกินเนื้อสัตว์ ฆ่าปูฆ่าปลากินอยู่นั่นแหละโดยไม่ฆ่าเอง แต่ให้คนอื่นเขาฆ่า ก็ไม่รู้ความเนื่องเกี่ยว ที่เราไม่พ้นวิบากที่มันเนื่องเกี่ยวกับพวกนี้เลย 

ซึ่งอาตมาเอาคำสอนพระพุทธเจ้ามาสอน ยกตัวอย่าง ชีวกสูตร 5 ประการ

 1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)  อยู่ดีๆจะไปกล่าวชื่อสัตว์ทำไม นอกจากพวกที่เรียนรู้วิชาการ แต่พวกเรียนรู้วิชาการเขาไม่ฆ่าสัตว์นะ เขาก็ศึกษามันแล้วก็ปล่อยมันไป พวกศึกษาสัตวศาสตร์เขาจะไม่ฆ่าสัตว์ เขาจะรู้จักชีวิต ชีวะ น่ารักษา น่าศึกษา นอกจากว่าเขาสับสน ไม่ฆ่าสัตว์หรอก แต่ยังกินเนื้อสัตว์ พวกสับสน ดีไม่ดีบางทีก็ฆ่าเองก็กิน ถ้าธรรมดาก็รักสัตว์ มันสวยงามมันน่าเอ็นดู อย่างที่เราดูในสารคดีศึกษาสัตว์ในชีววิทยา แต่เสร็จแล้วก็สับสนฆ่าสัตว์กินเองหรือไม่ฆ่าก็ยังกินอยู่ อาจจะกินเนื้อดิบด้วย บางที

คนที่ไม่ได้ศึกษาแม้แต่ศีลข้อที่ 1 ไม่ได้สำรวมตาหูจมูกลิ้นกายใจ เกี่ยวกับสัตว์เอามาทำเป็นเครื่องใช้หรือแม้แต่เอามันมาใช้เราก็ไม่ใช้ ให้มันอยู่ไปตามวิบากกรรม มันก็อยู่ของมันช้างม้าวัวควาย แต่นี่ไปเอามาสารพัดสารเพ จะแฝงเอาประโยชน์จากมันเอามาเป็นสินค้าเอามันมาฆ่าเอามันมาขาย ยังกับ ตัวเองเป็นเจ้าของ มาซื้อ แลกเปลี่ยนเป็นเจ้าของผูกไว้ใส่คอกไว้ ซึ่งชีวิตจะเกี่ยวเกาะกับสัตว์ไปอีก วิบากมันลึกซึ้งมาก 

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส  

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”  

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส  

5. ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก  (ตถาคตํ   วา   ตถาคตสาวกํ  วา  อกปฺปิเยน  อสฺสาเทติ อิมินา   ปญฺจเมน   ฐาเนน  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)     ชีวกสูตร  ล.13   ข.60  

พ่อครูว่า... ชีวิตแต่ละชีวิตก็มีกรรมวิบากของตัวเองอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับสัตว์ใดๆ ซึ่งมีความละเอียดลึกซึ้ง ข้อ 5 นี่โง่สุดยอดไปเอาเขามาเป็นอาหาร ปรุงแต่งสารพัดที่จะโง่ปรุงไป ให้เป็นอาหารชั้นดี ตัวเองโง่เอามาทำแล้วเสร็จแล้วยังไม่พอเอาไปถวายไปแนะนำ สาวกพระพุทธเจ้า ไปถวายพระพุทธเจ้า มนุษย์จะโง่ถึงขั้นไหน ตัวโง่มืดบอดจาก4 ข้อเต็มรูปแล้ว ไปชวนให้ผู้ที่ท่านปราศจากความโง่พวกนี้ทั้ง 4 ข้อนั้น ให้ท่านยินดีกับตนเอง ว่า เห็นไหมฉันถูกแล้วนะ ได้สิ่งที่วิเศษมาถวายแล้วนะ 

หากพระอริยสงฆ์ที่ชัดเจนก็จะบอกว่าคนนี้มันทำอะไร มันบาปตัวเอง 4 ข้อไม่พอ มันจะมาชวนให้ฉันบาปด้วย ให้มีจิตยินดีในเนื้อสัตว์ที่จะกินเป็นอาหาร มันเป็นอกัปปิยะ เป็นสิ่งที่ไม่สมควรเลยจะโง่อย่างนั้น เราเป็นภิกษุเป็นสงฆ์สาวกพระพุทธเจ้าแล้วไม่โง่ถึงขนาดจะกินเนื้อสัตว์ จะไปปรุงมาเอร็ดอร่อยอย่างไร ที่จะมาหลอกมาล่อมาทำให้ยินดีในเนื้อสัตว์ ผู้เป็นอริยะแล้วก็จะไม่ตกหลุมตกบ่อ ไม่ไปหลงตามคารมตามวิธีของพวกที่พยายาม ตัวเองโง่ไม่พอแล้วจะมาทำสิ่งที่โง่ๆ ทำสิ่งที่ไม่ควร อกัปปิยะ ไม่ควรเลย 

เหมือนเราเป็นโจร เป็นโจรอย่างโง่ๆไม่พอ ไปชวนคนอื่นมาเป็นโจรด้วย ไปโชว์ความเป็นโจรให้คนอื่น บอกว่าเป็นโจรนี้ดีนะดีนะ อย่างนั้นน่ะ มันโง่จนไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโจรมา 4 ข้อ แล้วยังจะมาหลงว่ามันดี มาชวนให้คนอื่นยินดี มาคนโง่กับเรา 4 ข้ออย่างนี้แหละมาๆๆ 

คนที่เอาอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายพระสงฆ์ถวายสาวกพระพุทธเจ้ากับถวายพระพุทธเจ้า โง่ คือบาปนี่แหละโง่ กิเลสหนาปึกเลย บาปเป็นอันมาก ไม่ใช่บุญเลย จนบาปหมดเนื้อหมดตัวเลย ไม่มีเหลือบุญไม่มีเหลือกุศลเลย โอ้โห…สุดยอด สุดยอดปึ๊กขนาด ภาษาอีสาน ปึ๊กขนาด ปึกแปลว่าโง่ ปึ๊กขนาดเลย ไม่รู้จะให้เอาความฉลาดแทรกไปตรงไหน มันโง่จนไม่มีช่องให้เอาความฉลาดแทรกเข้าไปได้เลย นี่ก็ขยายความตามประสาอาตมานะ ขยายความให้ฟัง 

แม้แต่ศีลข้อที่ 1 อย่างพิสดาร ที่อาตมาขยายความแล้วมันเกี่ยวกับสัตว์ ที่โง่กระทั่งต้องไปกินเนื้อสัตว์ ไม่ฆ่าแล้วยังไปกินอีก จนกระทั่งถึงขั้นเป็นวิบาก ละเอียดไปถึงขั้นวิบาก คนที่ฟังด้วยดีก็จะรู้ว่า คนนี้ไม่ต้องกินเนื้อสัตว์เลย ไม่ต้อง แล้วจริงๆคนก็ไม่ใช่เป็นสัตว์กินเนื้อสัตว์อีกด้วย อธิบายไปกันจนหมดแล้ว สัตว์กินพืช ลำไส้ก็ยาวกว่า น้ำย่อยก็ไม่ใช่แบบกินเนื้อ บอกไปหมดแล้วว่าคนเป็นสัตว์กินพืชไม่ใช่สัตว์กินเนื้อสัตว์ 

เพราะฉะนั้นคนชาวHanza เขาอายุยืนยาว เขากินแต่พืชไม่ได้กินเนื้อสัตว์กัน อาศัยสบายมีความสุขเย็น อายุ 100 ปีเป็นธรรมดา ทุกวันนี้คนอายุ 100 หายยาก แต่ที่โน่นเขาอายุ 100 เป็นเรื่องสามัญ อายุ 120 อายุ 130 เฉย พวกเรานี้ยืนยาวไปอีกหลายรุ่นจะเป็นมนุษย์อายุยืนยาวต่อไป เพราะเป็นคนที่ถูกต้อง 

คนทางขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้กินแต่เนื้อสัตว์ไม่มีพืช อายุมันแค่ 20 30 40 สูงสุดแก่แย่แล้ว ถ้าคนอายุ 40 นี้ เขาบอกเอาปล่อยแข็งตายข้างนอกเลย อาหารก็หายากเพราะเป็นเนื้อสัตว์ แล้วจิตใจก็อำมหิต อายุแก่แล้วปล่อยทิ้งให้ตายไปเลย ก็กินแต่เนื้อสัตว์ หาเนื้อสัตว์มากินก็จะยาก นี่แหละมันจึงเป็นคนใจโหดเหี้ยม ฟังๆดูแล้วนะคนเรา สิ่งแวดล้อม แล้วก็ไปอยู่ทำไม ยิ่งสมัยนี้จะไปอยู่ทำไมขั้วโลกเหนือ มาอยู่ในที่อบอุ่นได้ พูดไปก็อย่างนั้นแหละ วิบากของคนก็เป็นไปตามประสา ซึ่งคนที่ศึกษาเรื่องวิบากดีแล้วจะชัดเจน 

อย่างพวกเทวนิยมไม่รู้จักวิบาก ไม่รู้จักกรรม มีแต่คำสั่งจากพระเจ้า อะไรก็เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าหมด เป็นอะไรไปอย่างไร จะทุกข์จะสุข จะตกต่ำจะเจริญอย่างไร ก็ตามพระประสงค์ของพระเจ้าทั้งนั้น มันเลยไม่อิสระ แล้วมันก็เลยไม่มีความพากเพียร เขาพากเพียรเหมือนกันแต่พากเพียรความขี้โลภ แล้วก็อ้อนวอนพระเจ้าให้มาช่วย แล้วก็พากเพียรที่จะสะสมเอาเปรียบเอารัดอะไรไป ก็พากเพียร แต่ไม่พากเพียรที่จะเรียนรู้สัจธรรม 

โลกุตรธรรมที่เป็นสัจธรรมที่เยี่ยมยอดเขาไม่พบไม่เจอ คนจะมาพบเจอศาสนาพุทธและเป็นศาสนาพุทธที่เป็นโลกุตรธรรมน้อยกว่าน้อยมาก เหมือนอย่างที่เห็นในชาวพุทธทั่วไป ไม่ได้รู้กันได้ง่ายๆนะโลกุตระ แล้วก็เข้าใจยินดีในโลกุตระ ชีวิตเกิดมาต้องมาเอาอันนี้ เขาก็จะไม่เอาแล้วทางโน้น ทิ้ง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขมา อย่างพวกคุณ 

จะไปเข้าใจยากอย่างไร ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มันเป็นเบื้องต้นเข้าใจได้ อ๋อ.. เพราะฉะนั้นจึงทิ้งได้ง่ายเพราะเข้าใจไม่ยาก เข้าใจจริงๆโลกแต่ละไม่ต้องไปแบก ลาภ ยศ สรรเสริญ เทิ่งๆ ความสุข ยิ่งลึกซึ้งยิ่งไม่รู้เรื่อง 

เพราะฉะนั้นมีน้อยคนที่จะมีความรู้ โลกุตระในยุคนี้จะเห็นชัดเจนว่า เหลือน้อยเต็มทีเลย อาตมาก็เก็บเบี้ยใต้ถุนร้านกว่าจะได้มาคน 2 คน 3 คน 4 คน ไป กอบกู้ศาสนาไป 

มาถึงวันนี้แล้วอาตมาก็ถือว่าสำเร็จ เพราะว่าทำให้เกิดสาราณียธรรม 6 ได้ ทำให้เกิดสาธารณโภคีได้ นี่เป็นเครื่องหมายที่ยืนยันว่าอาตมาทำงานมีผลสำเร็จ เป็นจริงถูกต้องตามโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า ดังนี้ 

คนที่เขาไม่ได้ศึกษาหรือเขาไม่เชื่อเขาไม่รู้ เขายืนยันอย่างอาตมาไม่ได้ เถียงอาตมาก็ไม่ได้เพราะมีอยู่ในพระไตรปิฎกยืนยันได้ แล้วเขาก็รู้โดยปฏิภาณไหวพริบเหมือนกันว่า มันไม่ง่ายนะ อย่างนี้มันไม่ง่ายนะ มันลึกซึ้งนะ 

ถ้ายิ่งมีปฏิภาณลึกซึ้งหน่อย แล้วมันจริงด้วยนะมันสงบเรียบร้อย มันสมบูรณ์แบบจริงๆ กลายเป็นสังคมที่เศรษฐกิจก็ดีเยี่ยม การเมือง การรัฐศาสตร์ก็ดีเยี่ยม สังคมก็อยู่กันอย่างดีเยี่ยม จะชมตัวเองไปถึงไหนนะ 

สมณะฟ้าไท... สรุปจบ

ที่มา ที่ไป

650209


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2565 ( 21:30:50 )

650211

รายละเอียด

650211 ชาวอโศกคือชาวหรรษาที่แท้จริง พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ 

https://www.boonniyom.net/51183.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1i986DiZ0vd8YvCwBkZAcLYK32bwS6hvhLDhcRpuFbdc/edit?usp=sharing   

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1gVo9JEgXjHUN4ttTrujNUTmu5cs80XW9/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/DWTCW5EGMcc และ https://fb.watch/b65isnDoCd/

 

สมณะเดินดิน... วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ปีนี้เป็นปีสำคัญของชาวอโศกที่พ่อครูจะอายุครบรอบ 88 ปีเต็ม จึงขอให้พวกเราออกแบบโลโก้ ที่จะฉลองกันในวันอโศกรำลึกปีนี้ เพราะว่ามี ญาติธรรมบางท่านประสงค์จะทำเสื้อไปแจกพวกเรา อยากได้โลโก้และสโลแกนไปติดเสื้อ มีคนออกแบบมาบ้างแล้วตอนนี้ (มีภาพให้ดู)ส่งภายในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 

วันพรุ่งนี้ จะมีการเปิดตัว Banraj shop เป็นร้านขายสินค้าออนไลน์ของบ้านราชฯ 

กำหนดการเปิดร้านออนไลน์อย่างเป็นทางการ 

วันเสาร์ที่ 12 ก.พ.65 เวลา 13.00น. จะมีการ Live แนะนำสินค้า✨

ผ่านเพจ "บ้านราชเมืองเรือshop"✨

ที่มา ที่ไป

650211


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2565 ( 21:14:52 )

650213

รายละเอียด

650213 พ่อครูเทศน์เปิดงานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 46 พาปฏิญาณศีล 8

https://www.boonniyom.net/51182.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1oAS4LaSgRVuheHneY3eqPaUKPQPIJc0sGIgPl6nBQC4/edit?usp=sharing    

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/10XJld2L0KZNeYRcRfGJUbukLv1bStzki/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/b8bljTKgiy/  และ https://youtu.be/UzGtI_6k1bs

 

ใบพ่อครูว่า...วันนี้วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นวันที่อาตมามีอายุครบ 87 ปี 8 เดือน 8 วัน อาตมาเกิดวันที่ 5 วันนี้วันที่ 13  

ตัวเลขก็เป็นสิ่งที่บอกเป็นสิ่งชี้บ่งถึงอะไรที่ควรจะได้รู้ นี่เป็นความสามารถของมนุษยชาติที่ใช้เลขสังขยาเลขต่างๆพวกนี้มาจัดการเรียนรู้ได้ ก่อนจะเข้าสู่สาระสัจจะ อาตมาก็มีความสำคัญที่จะต้องประกาศให้แก่ชาวอโศก หรือคนทั่วไปได้รับทราบถึงสิ่งสำคัญนี้ก่อน 

 

กรณีปาราชิกและนานาสังวาสในชาวอโศก

_พ่อครูว่า... วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 เมื่อเวลา 09.10น.

 

      กรณีสมณะหินกลั่นต้องปาราชิก

 

     เมื่ออดีตสมณะหินกลั่น ได้แยกตัวออกจากหมู่คณะของชาวอโศกแล้ว  ก็ได้นำเอาเครื่องมือมากชิ้น (ราคาหลายหมื่นบาท) อันเป็นสมบัติส่วนกลางของชุมชน ไปเป็นของตนด้วย โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าของ ซึ่งกรรมการชุมชน เป็นผู้ดูแลอยู่

 

ต่อมา ส่วนกลางได้ให้ผู้ร่วมงานประสานขอ เครื่องมือเหล่านั้นคืน  ก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าจะคืนให้ แถมหาเรื่องหาราวว่ากล่าวกรรมการต่างๆ นานา จากนั้นก็ตัดขาดการติดต่อไปเลย  จนสุดท้ายเมื่อได้รับแจ้งว่าจะถูกพิจารณาโทษความผิดขั้น ปาราชิก จึงยอมคืนของมาให้ส่วนหนึ่ง มูลค่าประมาณ 2 แสนบาท

     คณะเอาภาระสงฆ์ของชาวอโศก (คภส.) ได้นำเรื่องนี้ เข้าที่ประชุมพิจารณากันหลายครั้ง  รวมทั้งได้ฟังความเห็น จากอดีตสมณะหินกลั่น โดยตรงอีกด้วย  แล้วจึงได้ตัดสิน ตามวินัยบัญญัติว่า

 

       _" ภิกษุใด ถือเอาทรัพย์ (สิ่งของ) ที่เจ้าของมิได้ให้  ต้องอาบัติปาราชิก (ความผิดหนักขั้นขาดจาก ความเป็นภิกษุ)  ด้วยอาการ 5 อย่าง คือ

     1. ทรัพย์(สิ่งของ)นั้น มีผู้ครอบครองอยู่ (เป็นเจ้าของ)

     2.สำคัญว่า เป็นทรัพย์(สิ่งของ) ที่มีผู้ครอบครองอยู่

     3. ทรัพย์(สิ่งของ)นั้น มีค่าราคาตั้งแต่ 5 มาสก (ปัจจุบัน ตีราคาประมาณ 500บาท) ขึ้นไป

     4. มีไถยจิต (มีจิตนำเอาของนั้นไป เยี่ยงอย่างขโมย คือกระทำโดยที่เจ้าของไม่ได้ให้)

     5. ภิกษุได้เอาของนั้นไปแล้ว (คือภิกษุได้ทำให้ทรัพย์สิ่งของนั้น เคลื่อนที่ไปแล้ว ย่อมต้องอาบัติปาราชิก)

 

      นั่นคือ สมณะหินกลั่น ได้กระทำความผิดหนัก ถึงขั้นขาดจาก ความเป็นภิกษุแล้ว

 

พ่อครูว่า... นั่นคือสิ่งที่ได้ เหมือนกับผู้พิพากษาได้อ่านคำพิพากษาให้เป็นที่รับรู้กันชัดเจน ไม่ใช่เรื่องที่อมพนำหรือจะมาประจาน แต่เป็นเรื่องต้องบอกความจริงต่อสังคมที่ประชุม หมู่กลุ่มให้รับทราบความจริงนี้เพราะ

นี่คือความมหัศจรรย์ของมหาสมุทรข้อที่ 3 คือมหาสมุทรย่อมไม่เกลื่อนด้วยซากศพ คลื่นย่อมซัดซากศพขึ้นสู่ฝั่งโดยพลัน นี่เป็นความมหัศจรรย์เป็นจริง 

อย่างแต่ก่อนนี้อาตมาอยู่บวชกับมหาเถรสมาคม ก็พยายามทำไป ก็พอรู้แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร สุดท้ายก็ต้องทำตามพระธรรมวินัยคือประกาศนานาสังวาสแยกตนเองออกมาตามหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า 

เถรสมาคมก็ตามความรู้ของกระแสหลักก็ตามไม่รู้หลักนานาสังวาส อาตมาทำอย่างถูกต้องก็มีผู้รู้อยู่บ้างมันจนสำเร็จผล ตั้งแต่ พ.ศ. 2518 วันที่ 6 สิงหาคม เราก็ประกาศยืนยันตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า เข้าไปตรวจสอบตามหลักธรรมพระวินัยแล้วก็ต้องเห็นว่าถูกต้อง แต่ด้วยความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวเองใหญ่ 

จนกระทั่งมีผู้ที่เป็นปราชญ์เป็นผู้รู้รื้อฟื้นสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา ของเถรสมาคมแล้วก็มาเอาเรื่องกับเราอีก ทั้งๆที่ วันที่ 6 สิงหาคม 2518 เราประกาศแล้วสำเร็จไปแล้ว วันที่ 7 เราก็เป็นอิสรเสรีมา 

จนกระทั่งมาถึงปี 2532 ผ่านมา 14 ปี เราก็อยู่สุขสบาย ทำกิจการของเรามาได้เรื่อยๆ วันร้ายคืนร้าย เถรสมาคม รวมกันทั้งธรรมยุตและมหานิกาย รวมตัวกันขึ้นมาเอาเรื่องเรา คณะธรรมยุตและมหานิกายเป็นฝ่าย แม้ว่าเป็นนานาสังวาสก็รวมกันทำสังฆกรรมไม่ได้เลยแล้ว ก็ไปผิดหลักธรรมวินัย ผิดหลักคณปูรกะ รวมกันทำสังฆกรรมไม่ได้  เข้าไปรวมกันประกาศนีย
กรรมสมณะโพธิรักษ์ ดูแล้วมันก็ตลกเหมือนเด็กเล่นลิเกละครไม่ถูกต้องตามหลักธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเลย เขาก็ทำไปได้อย่างไม่อายผู้รู้ ก็ทำจริงๆ 

แล้วชาวประชาชนไม่รู้เรื่องพระธรรมวินัย ก็ไม่ถนัดไม่รู้เรื่องดีในเรื่องธรรมวินัย ก็เชื่อตามมหาเถรสมาคม ก็มาเล่นงานเรามาว่าเรา เขาต้องเชื่อมหาเถรสมาคมเป็นหลักก็เข้าใจ เราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเขาก็เข้าใจอย่างนั้นไปห้ามเขาไม่ได้ เราก็ปฏิบัติตามหลักพระธรรมวินัยมาเล่นงานเรา ดีไม่ดีไปฟ้องศาลทางฆราวาสให้มาจับเราสึก ให้มาสั่งการไปทางอำนาจรัฐ 

ฟ้องไปโดยบัญญัติ กฎหมายสงฆ์ 2505 ขึ้นมา ซึ่งไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า บัญญัติว่าให้สมเด็จพระสังฆราชสั่งให้สึกได้ ทั้งๆที่ผู้ที่ผิดหรือไม่ผิด โดยเฉพาะอย่างเรานี่ไม่ผิด มันมีหลักเกณฑ์ในพระธรรมวินัยว่าถ้าผิดใน 11 ข้อ หรือปาราชิก ถ้าหากปาราชิกก็ไม่ต้องสั่งสึกเพราะมันขาดไปแล้ว ถ้าผิดใน 11ข้อก็สั่งให้สึกได้ แต่นี่เราไม่ได้ผิดใน 11 ข้อ ปาราชิกเราก็ไม่ได้เป็น เขาก็พยายามจะใส่ความเราว่าเป็นปาราชิก บอกว่าอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน 

ก็เขาว่า ก็เรามีในตนแต่คุณไม่รู้ว่าเรามีคุณธรรมคุณวิเศษอันนี้ คุณไม่มีปัญญาพอจะรู้เลย แล้วจะไปบังคับให้คุณรู้มันก็ไม่ได้ เราก็ยืนยันว่าเรามีอุตตริมนุสสธรรมนี้ จริงพิสูจน์ยืนยันมาจนถึงทุกวันนี้ 

สรุปแล้ว ทางเถรสมาคม ก็ฟ้องศาล ศาลก็ทำตามหลักเกณฑ์โลกๆ ตามกฎหมายสงฆ์พ.ศ 2505 สังฆราชสามารถสั่งให้สึกได้ ภายใน 7 วันถ้าไม่สึกถือว่าผิดกฎหมาย เราก็ผิดกฎหมายสิ เพราะเป็นกฎหมายที่ออกกันมาเอง ไม่ใช่ออกมาจากพระบัญญัติพระพุทธเจ้า เขาก็ใช้อันนั้นกัน ตกลงสุดท้ายตกลงกันว่า จะอยู่เป็นภิกษุนักพรตนักบวชเป็นพระไม่ได้ หลักกฎหมายเขา มีคุณจรวย หนูคง เป็นนักกฎหมายเปรียญ 9 มาเจรจากับเรา 

ตอนนั้นก็มีสมเด็จมีคณะของเถรสมาคมต่อโทรศัพท์กันอยู่เลย ให้จรวยมาเผชิญหน้ากับอาตมาตกลงกัน จนสุดท้ายก็ตกลงกันได้ว่า เราก็ผิดตามกฎหมายของคุณ ไม่ให้เราเป็นภิกษุ ไม่ให้เราเป็นพระ ไม่ให้เราเป็นนักพรตนักบวช ในคำที่อยู่ในกฎหมายแล้วจะให้เราเป็นอะไร เราปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้าในศาสนาพุทธ ก็ต้องเป็นคนพุทธสิ 

พูดกันไปพูดกันมาก็ตกลงกันว่า สมณพราหมณ์มันไม่มีในกฎหมาย เราก็บอกว่าเราเป็นสมณะพราหมณ์ก็ได้ เราไม่เป็นพระ ไม่เป็นภิกษุไม่เป็นนักพรต นักบวช ตามกฎหมายของฝ่ายคุณ เรามาเป็นสมณะ ก็ตกลงกันได้ตรงนี้ ตั้งแต่บัดนั้นเราก็กลายมาเป็นสมณะ 

 

ฝั่งบุญ...ถามว่า พ่อครูกลางเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว พ่อครู อนุญาตให้มีนานาสังวาสในชาวอโศก หลวงพ่อเดินดินไปถามพ่อครูว่า 30 กว่าปีที่ผ่านมา โครงการของพี่หนึ่งฟ้า โครงการต่างๆนานา อธิบายพ่อครู หลวงพ่อก็เห็นต่างกัน หลวงพ่อเดินดินไปถามพ่อครูว่า ถ้าความเห็นต่างอย่างนี้ให้ทำอย่างไร พ่อครูก็ตอบว่า 

ในเมื่อคนหนึ่งดำคนหนึ่งขาว จะให้ตอบอย่างไร ถ้าอย่างนั้นคุณก็นานาสังวาสกันกับหนึ่งฟ้า พอต่อมา ที่พวกเราก็ได้รับอนุญาตให้ไปจองพื้นที่นาโม พอไปจองแล้วพวกเราก็ทำกิจกรรมกระบวนการกลุ่ม จากที่ฟังพ่อครูตอนเช้า 

พ่อครูว่า...ตกลงอาตมาตอบ คุณจะถือว่าจบด้วยการต้องเป็นนานาสังวาส ก็ได้ คุณก็เป็นนานาสังวาสกลุ่มน้อย ทางนี้ เขาเป็นนานาสังวาสกลุ่มใหญ่ คุณก็อยู่ของคุณ เขาไม่ว่าอะไรเขาก็แบ่งที่ให้คนที่จะเป็นนานาสังวาส คุณก็อยู่แล้วนี่คุณจะต้องการอะไรอีก 

ฝั่งบุญ...อย่างพ่อท่านแยกออกจากมหาเถรสมาคมยังทำได้ อันนี้ก็ไม่ต่างกัน

พ่อครูว่า... ไม่ต่าง เราก็ทำของเรา ฟังเถรสมาคมท่านกระทำของท่านอยู่ ทางเราหมู่ใหญ่ก็ทำอยู่ ตั้งหมู่กลุ่มก็ทำไปสิ ไม่ได้ไปบังคับใครจะเข้ากับหมู่คุณก็ทำสิ 

ฝั่งบุญ...ขอเบิกตังค์ก็ไม่ให้

พ่อครูว่า... ก็นานาสังวาส คุณก็เบิกตังค์ของคณะคุณสิ ทางนี้ก็เบิกตังค์ทางนี้สิ

ฝั่งบุญ...นึกว่า เป็นสาธารณโภคี

พ่อครูว่า... อย่างเราประกาศออกมาแล้วก็เป็นนานาสังวาส คุณจะไปเอาเงินทางเถรสมาคมมาใช้ได้ไหม เขาให้ไหม ก็ไม่ได้

ฝั่งบุญ...ก็อยู่มา 30 ปีตั้งหลักตั้งฐานขอช่วยเหลือเกื้อกูลบ้าง

พ่อครูว่า... ก็ชัดๆ ควรจะเบิกตังค์ ของเถรสมาคมได้ไหม ก็ไม่ได้ เราจะไปขึ้นรถไฟเขาก็ยังเก็บเงินเราเต็มราคาเลย ไม่ให้เรามีสิทธิ์เหมือนทางโน้นเลย แล้วคุณจะมาเรียกร้องเอาทรัพย์ได้อย่างไร คุณถือว่าคุณเป็นนานาสังวาส ถ้าคุณล้มเลิกนานาสังวาสมาอยู่ทางนี้ ก็จบ แต่คุณจะดันอยากเป็นนานาสังวาสคุณก็ต้องรับ 

ถ้าจะอวดดี นานาสังวาสจะแยกไปก็ต้องช่วยตัวเองให้รอด ช่วยไม่รอดคุณก็ตายอย่างเขียดเหยียดขาตาย 

เอาให้ชัด ดี ที่จริง มันก็ไม่น่าจะมีประเด็นอันนี้แถมขึ้นมาก็ดีเหมือนกัน แถมขึ้นมาก็ได้รับเพิ่มเติมชัดเจนขึ้นอีก 

 

อีกหลายสิบปีกว่าคนในโลกจะรู้เรื่องโลกุตระ

_พ่อครูว่า... ทีนี้มาเข้าเรื่อง 

วันนี้เป็นวันที่อาตมา อายุครบ 88 ปี 8 เดือน 8 วัน ปีหน้า 88 ปี 8 เดือน 8 วันเลย โฟร์เอดเลย ปีหน้า จะมี 8888 แล้วมี 66(พ.ศ.2566) คู่ 6 อีก 

ก็ สิ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบให้เราใช้ คำพูดก็ดีภาษาก็ดีตัวเลขก็ดี อะไรต่างๆนานา มนุษยชาตินี้เก่ง ใช้พวกนี้ในการสื่อความหมายสื่อความรู้อยู่กันอย่าง ภาษาในโลกมีเป็นหมื่นเป็นแสนภาษา ใช้กัน แล้วก็อยู่กันได้มาในมนุษยชาติ 

สื่อเข้าไปสู่สาระสัจจะที่แท้ ซึ่ง สาระสัจจะชาวพุทธก็พยายามมุ่งให้ถึงจุดแท้เนื้อแท้ของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู็ ต่างคนต่างมีภูมิธรรมที่เข้าใจแค่ไหนอย่างไรก็ทำเต็มที่ของแต่ละบุคคล ผลออกมา ก็เป็นตามจริงของแต่ละหมู่ที่เข้าใจและปฏิบัติประพฤติจริง แล้วสำเร็จผล 

การสำเร็จผลงเป็นเครื่องชี้บ่งสุดท้าย อย่างชาวอโศกเรา สำเร็จผลถึงขั้นสาธารณโภคี มีสาราณียธรรม 6 สามารถยืนยันได้ว่ามีวรรณะ 9 มีจรณะ 15 วิชชา 8 มีอะไรอื่นๆอีกเยอะแยะเลย หลักธรรมพระพุทธเจ้าเอามายืนยันอธิบายได้ทั้งนั้นว่าเราเป็นจริง ลงตัว เพราะเอาตัวมาลง สำนวนท่านเพาะพุทธ เอาตัวมาลงได้แนบเนียนสนิท เป็นหนึ่งเดียวกันแล้วทั้งนั้นเลย ยืนยันความจริงที่สุดกันเถอะ ยืนยันได้ 

อาตมายังมั่นใจว่าชาวอโศก มีคุณวิเศษ เป็นคุณธรรมขั้นวิเศษของมนุษยชาติ ตามความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าอย่างที่เป็นที่มี 

มนุษย์ในโลกกำลังศึกษา ค้นหาสิ่งที่วิเศษประเสริฐสูงจริงเป็นจริง อาตมายังมั่นใจว่าสักวันหนึ่งคนในโลกที่กำลังแสวงหาเหมือนกัน เขาจะเกิดภูมิความรู้ความฉลาด ขึ้นมารู้จักปัญญา ขึ้นมารู้จักความรู้ความฉลาด และที่เป็นจริง อย่างพวกชาวอโศกเป็น เขาจะค่อยๆรู้ ถ้าเขาไม่รู้เขาก็จะไม่เข้าใจว่ามันมีค่ามีความประเสริฐอย่างไร เราไปบังคับให้เขารู้มันบังคับไม่ได้ จนกว่าเขาจะมีภูมิเจริญงอกงามไพบูลย์ขึ้นมา 

อาตมาเชื่ออยู่ลึกๆว่า ช่วงที่อาตมายังมีชีวิตอยู่นี้ สากลหรือหลักใหญ่ๆ องค์กรใหญ่ๆของโลกที่มีอิทธิพลที่จะชี้บอก ที่จะชี้ประกาศรับรอง คณะนี้คนผู้นี้ เจริญจริง ดีจริงรับรอง หรือภาษาทางโลกบอกว่าให้รางวัล มีสิ่งที่ประกาศรับรองต่อโลกเขา ให้เป็นที่รู้ขึ้นไป เขาก็ต้องมีภูมิรู้ แล้วก็ต้องมั่นใจว่าใช่ ซึ่งผิดพลาดเขาเสียหมดผิดไม่ได้ มั่นใจว่าของแท้ของจริงอย่างนี้นะได้อย่างนี้ดีจริง และไม่เปลี่ยนแปลง มั่นคงตั้งมั่นยืนยัน 

เมื่อมีองค์กรอย่างนี้รับรองประกาศ มันก็จะเป็นชื่อผู้รับรองการเป็นที่ยอมรับ สำหรับองค์กรที่เป็นที่ยอมรับแล้ว อย่างกลุ่มหมู่ในโลกนี้ยกตัวอย่างง่ายๆ ผู้ที่กำหนดให้รางวัล nobel prize คนนี้เป็นจริงเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก ยังเมืองไทยยังไม่มีใครได้รับรางวัล nobel prize จะมีกลุ่มทางยุโรปที่เขาเข้าใจได้ง่าย ภูมิธรรมใกล้กันรู้ได้ง่าย 

ยิ่งมาเป็นภูมิธรรมทางโลกุตระ ช่วงเวลาที่อาตมายังมีชีวิตอยู่เขาจะรู้ได้หรือ อาตมาก็ไม่รู้ว่าอาตมาจะอยู่ไปอีกนานเท่าไหร่ เอาสัก 10 ปี อาตมาอายุ 98 หรือ 100 ปี เขาจะพอรู้หรือ 

เราก็ไปดูถูกไปประมาทเขาไม่ได้หรอก เขาอาจจะรู้ได้ ถ้าเขาไม่แน่ใจเขาไม่รู้จริงเขาไม่เชื่อถือโดยตัวเขาเอง แล้วเขาต้องมีภูมิรับรู้ เขาก็ไม่กล้าที่จะมารับรองเราใช่ไหม เขาก็ต้องมีภูมิรู้ สามารถเข้าใจว่าจริงนะ เขาจึงจะรับรอง จะต้องมั่นใจด้วยนะ ไม่มั่นใจจะรับรองได้อย่างไร หน้าแตกตายเลย อย่างนี้เป็นต้น

ซึ่งจริงๆแล้วเราก็ไม่มีปัญหาอะไร เขารับรองเราก็ดีแหละ เราก็ไม่ได้ไปลบหลู่อะไรเขาหรอก ก็ดี แต่เขาไม่รับรองเราก็มั่นใจของเราอยู่แล้วไม่มีปัญหาอะไร เราก็ดำเนินของเราไป 

สร้างคุณธรรมอันนี้ไปให้มันมากให้มันมีคุณสมบัติหรือคุณภาพ ที่เต็มรูปร่างเต็มมิติเต็มเหลี่ยมมุม จนกระทั่ง ชนตา เตะตา คนตาบอดเห็นได้ เอาสำนวนวาทกรรมโก้ๆ คนตาบอดเห็นได้ เอาปานนั้นเลย 

เราก็ไม่ได้ไปพยายามผลักดันขับดันอะไรหรอก เรามีหน้าที่ทำความจริงขึ้นไปเท่านั้นเอง ไม่ใช่ไปหาวิธี propaganda โฆษณาหว่านล้อม  แต่เรามีหน้าที่ทำความจริง จนกระทั่งผู้ที่มีอะไรใหญ่มีเหลี่ยมมุมที่คนรับได้เห็นได้เขาก็รับรองเอง

เขาจะรับรองหรือไม่รับรองพวกคุณจะเลิกไหม สิ่งจริงแล้วมันไม่เปลี่ยนแปลง มัน นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)  

เอาบาลี ของพระพุทธเจ้ามายืนยัน ไม่ใช่พูดเล่นนะ ก็พิสูจน์ตัวเองไป อาตมา อยากจะรู้เหมือนกันอีก 10 ปีอีก 20 ปี พวกคุณก็ไม่เที่ยงแท้ไม่อยู่แล้ว ไม่ตลอดกาล ไม่มั่นคงเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ให้อาตมาหน้าแตกก็ยอมแตก ถ้ามันเป็นอย่างนั้นมันก็จริง อาตมาจะไปยืนหยัดยืนยันสิ่งที่ไม่จริงอยู่ทำไม 

แต่ถ้ามันจริงมันก็ต้องเป็นจริงไม่เปลี่ยนแปลง ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้มันเป็นความจริงทั้งนั้น ไม่เปลี่ยนแปลงจริงๆนะคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นความจริงที่คงทนที่สุดได้ยืนยาว ใหม่ตลอดกาลไม่มีเก่าเลย ทันสมัยใหม่เสมออยู่ตลอดกาลไม่มีเก่า อันนี้ก็จริงอีก ไม่ใช่เป็นคำพูด โก้ๆเท่ๆ ฟังแล้วไพเราะเฉยๆ

คำไพเราะที่คนมาปลอมแปลงที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใน อาณิสูตร กลองอานกะ คนที่เข้าใจภาษาพื้นๆง่ายๆก็ถูกทำให้เชื่อถือตาม จนออกนอกสัจธรรมของพระพุทธเจ้าหมดสัจจะ กลายเป็นกลองหรือตะโพนปลอม เหลือแต่ชื่อว่าพุทธ หรือชื่อว่าอานกะ อย่างเดิม แต่เนื้อเปลี่ยนแปลงไปหมด 

นี่เป็นความซับซ้อนที่รู้กันไม่ง่าย รู้กันยาก อาตมาก็ได้พูดได้ชี้เรื่องนี้ให้สะดุด ให้มาตรวจสอบกัน ถ้ามีภูมิปัญญาตรวจสอบจะรู้จริงเห็นจริงเลย นี่เป็นสัจจะที่อาตมามั่นใจว่า อาตมาไม่ได้มีความหลอกไม่ได้มีความเหลาะแหละ ไม่ได้มีความไม่จริงอะไร อาตมามีแต่ความจริงความตรงความซื่อสัตย์ 

แล้วก็ยืนยันว่ามนุษย์ควรได้สิ่งนี้ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้นี่แหละเป็นสุดยอดของความเป็นมนุษย์แล้ว เริ่มเป็นตั้งแต่โสดาบัน ยืนยันไปเลย 

 

กายของสาธารณโภคีที่มีผลจริง

_พ่อครูว่า... เข้าสู่เรื่องเลย 

ยืนยันไปตั้งแต่ความเป็น กาย 

กายคือ ภาวะ 2 ซึ่งมีไวพจน์ว่า เทวฺ แปลว่า 2 

กาย นอกจากจะแปลว่ามีความเป็น 2 แล้ว อย่างมีนัยยะมากอธิบายได้ไปอีก เป็นกายนอกกายใน เป็นกายอย่างนั้นอย่างนี้ 

กายแปลว่า องค์รวมของ 2 องค์ประชุมของกิเลส องค์ประชุมของอุตตริมนุสสธรรม องค์ประชุมของอะไรอีกสารพัด ขยายความไปได้อีกมากมาย 

เพราะฉะนั้นความวิจิตรพิสดารของคำว่า กาย จึงเยอะมาก ผู้ที่จะเข้าใจคำว่า กาย ได้สัมมาทิฏฐิ บัญญัติของพระพุทธเจ้าจึงให้รู้ กาย ที่สัมมาทิฏฐิให้ได้เป็นข้อต้นของการจัดศึกษาธรรมะที่เป็นอารยธรรมของพระพุทธเจ้าคือ สักกายทิฏฐิ 

ถ้ารู้ความเป็นกายแล้วอ่านสภาวะจริงในตนคือสักกะ แยกออกได้ว่า สอง นอกในอย่างนี้ ผู้ที่นั่งหลับตามันมีแต่ภายใน มันไม่มีภายนอก 

ถ้าเข้าใจภายนอกหมายถึงตา หู จมูก ลิ้นกายเป็น โผฏฐัพพะ ภายนอก พาไปหลงนั่งหลับตาก็ไม่มีภายนอกมีแต่ภายในจิต ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านก็แยกแบ่งให้เรียกเป็นว่า จิตในจิตเป็นจิตไม่มีที่ตั้ง ไม่มีฐานไม่มีฐีติ ภาษาบาลีว่า ฐีติ มันก็ไม่ใช่วิญญาณที่จะรู้ร่วมกันทั้งโลกคือธาตุรู้ที่เป็นภาษากลางๆ วิญญาณคือธาตุรู้ ศาสนาเทวนิยมก็เรียกว่าวิญญาณ บาลีก็มีคำว่าวิญญาณไทยก็ใช้คำนี้เหมือนกัน เทวนิยมก็เรียกวิญญาณ พระเจ้าก็คือพระวิญญาณคือธาตุรู้ แล้วธาตุรู้ของพระเจ้านั้นมันลึกลับ ไม่มีอธิบายรายละเอียดมีแต่พระเจ้าประกาศเอาไว้ 

ของศาสนาเทวนิยมศาสดา ปกาศก คือผู้นำคำของพระเจ้ามาประกาศ ในโลกนี้จะมีเยอะแยะแยกศาสนาเทวนิยม แต่ทางพุทธนี้ยุคไหนก็ยุคนั้นจะมีหนึ่งเดียวเท่านั้น ต่างไปนั้นมันไม่ใช่ ต่างไปก็หลงว่าใช่เท่านั้นเอง เป็นศาสดาไม่ได้ 

ศาสดาไม่ได้หมายถึงพระเจ้า ไม่ได้หมายถึงหัวหน้าศาสนาหรือหัวหน้าผู้นำแต่ละยุคๆ เป็นไก่ตัวพี่ ในแต่ละยุคๆ เป็นผู้รู้อยู่รู้เองรู้ผู้เดียวรู้โดยที่ไม่มีครูบาอาจารย์ไม่มีใครบอกใครสอน มาจากแต่ก่อนเลยเป็น สยังอภิญญา แล้วก็มาประกาศว่านี่เป็นของตน สยังอภิญญา รู้เอง เองอันนี้ก็ไม่ได้อวดดีว่า ไม่ได้มาจากพระพุทธเจ้าแต่ก็ได้มาจากผู้ที่เป็น สยัมภู ได้มาเป็น อภิภู ได้มาเป็น สยังอภิญญา ก็ค่อยๆ อธิบายขยายความไปตามหลักฐานที่มีในพระไตรปิฎก ก็จะค่อยๆได้รู้ 

โดยเฉพาะพวกคุณแต่ละคนมาปฏิบัติจนเกิดมรรคผล เกิดจิตบรรลุจริง ได้มรรคได้ผลจริง ต่างจากโลกียะมาเป็นโลกุตระ เริ่มต้นรู้ กาย ภาวะ สอง แม้จะรู้ภาษาไม่ค่อยดีแต่สภาวะจริงคุณมีมาได้เรื่อยๆ แล้วจนกระทั่ง เอาตัวเองมาลง จนลงตัว สำนวนท่านเพาะพุทธ 

ก็อยู่อย่างนี้จนรวมเป็นหมู่กลุ่มชุมชน มีพฤติกรรมหนึ่งเดียว เอกีภาวะ รวมกันอยู่อย่างสอดคล้องสามัคคียะ ไม่ขัดแย้งไม่ทะเลาะวิวาทไม่มี วิวาทะ อวิวาทะ แล้วก็อยู่อย่างพิสูจน์ยืนยันว่ามี สังคหะ มีคุรุกรณะ มีสาราณียะ จริง รวมกันอยู่

ระลึกถึงกัน สาราณียะ ปิยกรณะ รักกัน รักกันอย่างญาติธรรม รักกันอย่าง มีความรักมิติที่ 7 -8 -9 ขึ้นไป ไม่ใช่มีมิติต่ำๆ แต่ยังมีเชื้ออยู่บางคนยังติดในระดับ พัวพันกันอยู่กับญาติบ้างอยู่กับสังคมบ้างก็มีอยู่ตามลำดับความรัก 10 มิติ อาตมาก็อธิบายไว้หมด ซึ่งยืนยันพิสูจน์ความจริงเหล่านี้ได้ 

ฉะนั้นพวกเราเข้าถึงยอด ยอดสาธารณโภคี ยอดเสียภาษี100% คนเขาฟังแล้วก็บอกว่ามันพูดไปอวดดิบอวดดีมันจะเป็นจริงเหรอ มันเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ คือทำงานแล้วก็เอาเข้าส่วนกลาง เราก็มีสิทธิ์ที่จะเบิกแบ่งกินแบ่งใช้ ขอเบิกเอาไปใช้ส่วนนั้นส่วนนี้ ถ้ากรรมการเขามพิจารณาแล้วว่าเป็นการสุรุ่ยสุร่ายเกินเขาก็ไม่ให้ เขาให้เราก็ให้ ไม่มีปัญหาเชื่อมั่นในกรรมการ ให้ก็ใช้ไม่ให้ก็ไม่ใช้เท่าที่อยู่ได้ไป ถ้าไม่ให้ แล้วเราก็ไม่พอใจ เราก็ออกไป ถ้ายังบอกว่าไม่ให้ เราก็ยังพอใจจะอยู่อย่างไรก็อยู่ที่นี่แหละดีที่สุดแล้วคุณก็ไม่ไป 

บางทีมันแย่ยิ่งกว่า จนกระทั่งหมู่เขาไม่อยากให้อยู่ อยากให้ไป ไม่ไป ตกลงเขาไล่ ก็ไม่ไป ต้องเอาตำรวจมาเชิญออก แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดนั้นนะ พวกเรายังไม่เคยถึงขั้นต้องให้เชิญตำรวจมาไล่ออก ซึ่งมันเป็นสัจจะจากจิตวิญญาณของแต่ละคนพวกเรานี้ มันมีภูมิธรรมที่มีความจริง มาเป็นสามัคคียะ มารวมกันด้วยสัจจะเป็นหมู่กลุ่มสามัคคีอย่างเป็นสัจจะ 

มันจึงอยู่กันอย่างสงบอบอุ่นเรียบร้อย แล้วความจริงอันนี้อาตมามั่นใจ เป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลักำเริบ) เป็นสัจจะที่จะยั่งยืนถาวร 

เศรษฐกิจอย่างนี้ รัฐกิจอย่างนี้ สังคมกิจอย่างนี้ ก็เรื่องของสังคมอย่างพวกเราเป็น มีวิธีบริหารกันเรียกว่า รัฐกิจ อยู่กันอย่างนี้ อยู่สบาย ไม่ต้องทะเลาะกันแย่งกัน ไม่เหมือนมนุษย์บางกลุ่มอยู่กันในคณะกรรมการ อยู่ในสภาก็ทะเลาะกันตีกันวางแผนล่มสภากัน พวกเราไม่เป็นอย่างนั้น อยู่กันอย่างสงบเรียบร้อย 

ซึ่งรัฐสภาหรือคณะบริหารประเทศควรจะเหล่ตามาดูบ้าง จริง..ไม่ใช่คณะใหญ่หรอก แต่คณะนี้มีเนื้อหลักการหลักเกณฑ์ตามพระพุทธเจ้าสอนมานะ ถ้าเห็นดีเห็นงามช่วยขยายผล ว่าคนกลุ่มนี้ ประกาศกันอย่างไร อธิบายกันอย่างไร เนื้อหาสาระสัจจะมันเป็นอย่างไรแท้ๆ เข้ามาถึงจุดนี้แล้วนำไปเผยแพร่ต่อ คุณเองแต่ละคนไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองระดับนายกรัฐมนตรี เป็นเจ้ากรมเจ้ากองตามหน้าที่ฐานะทั้งหลายแหล่ มาศึกษาสัจจะอันนี้สิ 

เป็นคนไทยเมืองไทยเกิดกลุ่มหมู่ในประเทศไทยมีชุมชนมีวัฒนธรรมมีพฤติการณ์ ที่เป็นจริง ซึ่งยืนยันว่า นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เชื่อไหมคุณเชื่อไหม ...เชื่อ

เพราะฉะนั้นพิสูจน์กันด้วยระยะเวลาได้เลย อย่ารีบตาย ดูซิว่ากลุ่มหมู่นี้ มีคนคิด โพธิรักษ์ตายพวกนี้ก็แตกสลายแข่งดีแข่งเด่นกันหมดแล้ว เขาเชื่อว่าอย่างนั้น 

ที่จริงเราไม่ได้อยู่ด้วยบุคคล เราอยู่ด้วยหลักธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า อยู่ด้วยพฤติการณ์พฤติกรรมจริงที่แต่ละคนปฏิบัติได้ ประพฤติได้ แล้วก็ประพฤติออกมาด้วยความจริงใจไม่ได้เสแสร้ง ไม่ได้ฝืนไม่ได้ลำบากได้โดยไม่ยากได้โดยไม่ลำบากซึ่งฌานทั้ง 4 

 

ฌาน 4 สู่อภิภุยยะ

_พ่อครูว่า... เข้ามาถึง อยู่ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่งฌานทั้ง 4 เข้าสู่จรณะ 15 

ฌาน ทั้ง 4 ของศาสนาพุทธไม่ได้ด้วยการนั่งหลับตา ซึ่งสากลทั่วไปในโลกเข้าใจว่า ฌาน ได้จากการหลับตา แต่ของพระพุทธเจ้านั้นได้จากการลืมตา ปฏิบัติศีลเป็นหลักแล้วก็เข้าหลัก อปัณณกปฏิปทา 3 จึงจะเกิดสำนึกในสัทธรรม 7 เกิดสำนึกศรัทธา ปัญญา อยู่ในนี้ 

เมื่อสำนึกในศรัทธา ในปัญญาพาให้สำนึกได้ ก็แก้ไขปรับปรุง เป็นผู้ได้ดี พหูสูต เป็นผู้เจริญจริงได้ดีจริง สั่งสมความจริงนี้ขึ้นมา 

เมื่อได้เป็นพหูสูต ผู้ที่ได้ดีจริงมีความรู้จริงดีจริง ขึ้นมา ก็ขยายผล ตัวเองก็งอกงามไพบูลย์เจริญต่อ ขยายผลด้วย วิริยะ สติ ปัญญา 

สติเป็นอธิปไตย ปัญญาเป็นอุตตระ พากเพียรที่จะให้มีสภาพ 2 คือสติและปัญญา 

สติปัญญาเราจะเรียกคู่กันเสมอ จริงๆแล้วก็ไม่แยกกันสติกับปัญญาไม่แยกกัน แยกกันไปก็เสื่อมแล้ว เป็นคู่ที่ไม่เสื่อมต้องไปด้วยกันช่วยกัน เป็นพลังงานเหมือนกับ Static และ Dynamic 

คุณจะเข้าใจ Static ว่าเป็นสติ เข้าใจปัญญาว่าเป็น Dynamic หรือเข้าใจสติว่าเป็น Dynamic ปัญญาเป็น Static ก็ได้ไขว้กัน แต่รู้สภาวะจริงของสติคืออย่างไร ปัญญาคืออะไร 

สติคือการตื่นรู้ ตื่นรู้ให้เต็มร้อย ที่จริงสติมีจากรากศัพท์ว่า สตะ แปลว่า ร้อย 

ถ้าหลับอยู่มันก็ไม่ได้ตื่นอยู่แล้วแค่นี้ก็ต้องเข้าใจว่ามันแตกต่างกัน ตื่นนี้คือตามันเปิดกว้างเห็นรู้ทั่วกัน เหมือนกันกับทุกคนเห็นหู จมูก ลิ้น กาย กระทบสัมผัสก็รู้เหมือนกับคนอื่นเขารู้เหมือนกัน แต่คุณหลับตานั้นไม่รู้เลยห้าอย่าง ตา หู จมูก ลิ้นกาย คุณไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นคุณอยู่ในภพแคบในกะลาครอบ มันก็รู้น้อยกว่าแน่นอน 

รู้ 5 อย่างไม่ได้หมายความว่าข้างในจิตไม่รู้มันรู้พร้อมกับภายนอก 5 อย่างด้วย มันไม่ได้แยกกัน แต่คุณต่างหากแยก 5 อย่างออกจากกัน คุณเอาเดี่ยว คุณจำกัดจำเขี่ยตัวเองไปมุดเข้ารูไปเอง อันนี้สิมันเป็นความโง่ของตนเอง 

เพราะฉะนั้นก็ขอตีหัวเข้าบ้านพวกหลับตาอีกที เลิกได้เลยหลับตามันไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า พูดมาไม่รู้กี่ทีก็ยังเป็นพญานาคเป็นโจรปล้นศาสนา ที่ฆ่าด้วยหอกร้อยเล่มเช้ากลางวัน เย็น ก็ยัง บื้อ อยู่อย่างนั้น ข้าจะเป็นโจร ข้าก็ไม่รู้ไม่ชี้ ข้าก็เป็นพญานาคหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น ข้าจะรู้ก็จะเกรงว่าพระพุทธเจ้าเกิด 1 องค์อีกแล้วเหรอรู้แค่นี้แล้วก็หลับไม่รู้อะไรต่อไปอีก พญานาคที่เฝ้าถาดทองของพระพุทธเจ้านี้ 

อาตมาขยายความพวกนี้ละเอียดลออชัดเจนนี้ชัดขึ้นใหม่ พญานาคมีจริงหรือไม่มีจริง ไม่มีจริง 

มีคนตอบว่าจริงก็คือคนที่ง่วงนั่นแหละ 

นี่เป็นสิริมหามายาจะมีจริงหรือไม่มีจริงก็ได้ ชัดเจนเราก็ไม่แย้ง เรารู้แล้ว ก็เข้าใจแล้ว ใครยังมีอยู่ เลยเถิดไปบอกว่าไม่มีจริงๆเป็นอุจเฉททิฏฐิก็ได้ หรือใครบอกว่าไม่มีจริงก็ได้ หรือมี นี่คือ 2 ที่แยกเป็นหนึ่งไม่ได้เลยอาศัย 2 อันนี้ 

เพราะฉะนั้นเลิกกันจริงๆก็คือศูนย์ไปเลย ก็หมดธาตุรู้ไม่มีธาตุรู้ที่จะรู้อะไรอีกแล้วแยกเป็นดินน้ำไฟลมไปหมดเลยจบ แต่ขณะที่ยังเป็นๆอยู่แยกได้ เป็น อนุปคัมมะ เป็นผู้อยู่กลางๆไม่สงสัยว่ามีหรือไม่มี ผู้ที่เขายึดอยู่ก็มี แล้วเราก็รู้ว่า มี คืออย่างนั้น ไม่มี คืออย่างนี้ คุณทะเลาะกัน ก็คือทะเลาะกันแย่งกัน เราไม่ทะเลาะเราไม่แย่ง คุณจะมีมากมีน้อยเราก็รู้รายละเอียดอีก นั่นคือเป็น อภิภู รู้รายละเอียดว่าใครยึดน้อยใครยึดมาก เป็นอภิภู ผู้ที่รู้รายละเอียดมีมิติมีมุมเหลี่ยมมีนัยยะสำคัญต่างๆที่แตกต่างกันอีกหลากหลาย เออ คุณก็ยึดไป เราเข้าใจได้เรื่อยๆเท่าที่เรามีภูมิเราก็อยู่กับคนอื่นๆ เป็นอภิภูสบาย

อาตมากำลังดำเนินจาก สยังอภิญญา ไปสู่ อภิภู พยายามอธิบายอภิภายตนะ ผู้ครอบงำสิ่งต่างๆเรียกว่า อภิภุยะ

(พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สู่แดนธรรม.. วันนี้ผมไม่กล้าบอกพ่อท่านจิบน้ำเลยครับ 

พ่อครูว่า... กาย หมายความว่า 2 คำสำคัญคือภายนอกกับภายใน เป็นรูปกับนาม สิ่งที่ถูกรู้คือรูป โดยผู้รู้คือนาม แยกกันไม่ได้วิญญาณต้องมีรูปนาม มีตัวรู้ รู้ภายนอกหรือภายในก็เป็นอภิภูขึ้นเรื่อยๆ 

อภิภูหรืออภิภายตนะข้อที่ 1 ไม่มีคำว่ากายเลยนะ แต่ความหมายหมายถึง ใจและรู้รูปภายนอก เริ่มต้นตั้งแต่ข้อหนึ่งคือรูป ข้อ 3 ถึงจะเป็นอรูป ข้อต่อไปแยก ปริตตัง อปริตตัง สุพรรณะ ทุพรรณะ 

สุพรรณะ ทุพรรณะ คือนัยยะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผิวภายนอกจนกระทั่งลึกถึงภายใน ที่มีสุขมีทุกข์ มีดีกับไม่ดี เรียกว่าขั้นชั้น อาตมาแปลวรรณะว่า ขั้นชั้น มีมากมายหลากหลายละเอียดลออไปอีก อธิบายกันไม่จบง่ายๆ ตามภูมิ ก็จะรู้ละเอียดขึ้นไปตามจริง 

เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าจึงสุดวิศิษฐ์ สุดวิจิตร สุดวิเศษ จริงๆเลย เราได้ศึกษาตามอาตมาออซึ่งอาตมาก็ยืนยันว่าไม่ได้พูดอวดตัวอวดตนอะไรว่าอาตมาเป็นไก่ตัวพี่ ในยุคนี้ ที่จะแสดงธรรมได้วิจิตรพิสดาร แสดงธรรมได้ครบถ้วนกระบวนความต่างๆ ได้มากกว่าใครๆ พูดไปก็น่าสงสารคนที่เขาไม่เชื่อถือเขาจะอ้วกแตก ก็ต้องขออภัยอาตมาขอพูดความจริงอาตมาพูดความจริงไม่เป็น 

ก็จะบอกว่าคนอะไรขี้คุยจังเลย อาตมาก็ว่าอาตมามีแต่เนื้อไม่มีขี้ ขี้นั้นเป็นของคุณอาตมาไม่มีเนื้อใครขี้ใคร ขี้นั้นมันของคุณไม่ต้องไปถาม แต่เนื้อนั้นของอาตมา นี่ก็พูดความจริงนะพูดความจริงไม่เป็นอีกนั่นแหละ พูดความจริงไม่น่าหมั่นไส้ไม่ใช่เล่นวาทกรรม แต่เป็นความจริง 

 

ปฏิบัติศีล 3 ข้อจนพ้นสัตตาวาส 9

_พ่อครูว่า... มาเข้าสู่หลักต้นเลยคือศีล 

ศีลข้อ 1 อาตมาก็ขยายความตรงนี้ ข้อ 2 ข้อ 3 มันก็เป็นศีล 3 ข้อนี้แหละขยายความไปจนจบเท่าไหร่ก็ได้ เป็น อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิมุติ  

พระพุทธเจ้าให้ศึกษาเป็นลำดับมหัศจรรย์ ให้รู้ละเอียดลออถึงเรื่องคนที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ โดยเฉพาะกับสัตว์คน สัตว์เดรัจฉานมันพูดกันไม่รู้เรื่อง จัดการกับมันก็ยาก ให้มาช่วยคนก่อน แค่คนได้รู้เรื่องให้คนไปจัดการกับตัวเอง แก้ไขปรับปรุงให้เจริญบรรลุธรรมงอกงามไพบูลย์ขึ้นมา จะได้ช่วยสัตว์อื่น ช่วยกันจนกระทั่งถึงพืชพันธุ์ธัญญาหารหมดครบช่วยกระทั่งแม้กระทั่งวัตถุดินน้ำไฟลม อย่างอาตมาในชาตินี้ต้องช่วยแม้แต่ดินน้ำไฟลม ที่ว่าช่วยนี้ก็ไม่ได้ช่วยแต่ไม่ไปแย่งชิงดินน้ำไฟลมใคร ไม่ไปเบียดเบียนดินน้ำไฟลมใคร 

เพราะฉะนั้นเหมือนกับสร้างดินน้ำไฟลมเอง ซึ่งมันเป็นสมบัติของมหาจักรวาลเอกภพ อาตมาก็เอามารวบรวม ซื้อแผ่นดิน บ้านราชฯนี้ซื้อทุกแผ่นเลย ขนาดมีที่สาธารณะอยู่ คนที่เคยอยู่เขายึดมั่นถือมั่น ว่าฉันจะอยู่ ทั้งๆที่เขาไม่ใช่คนถิ่นนี้ สังกัดเขาก็อยู่หมู่บ้านอื่น แต่ฉันจะอยู่ สาธารณะฉันจะอยู่.. เราก็ไม่ว่าอะไรจะอยู่ก็อยู่ไปเราก็พอมีพอใช้อยู่ที่ดิน อย่างนี้เป็นต้นนี้ก็มีตัวอย่าง เดี๋ยวนี้ก็เหลือน้อยแล้วพวกที่ยืนหยัดยืนยันว่า ตัวเอง คือเราเป็นคนเมตตาไม่ได้เป็นคนรุนแรง จะอยู่ก็อยู่ไปไม่ว่ากัน แต่มันก็มีหลักเกณฑ์เท่านั้นเอง 

 

ศีลแล้วก็มีหลัก อปัณณกปฏิปทา 3 ขาดไม่ได้ หากขาดก็ไม่เป็นผล

มีศีลข้อที่ 1 ก็ต้องมาปฏิบัติหลัก 3 นี้ มีศีลข้อที่ 2 ก็ปฏิบัติหลัก 3 มีศีลข้อ 3 รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็ต้องมาปฏิบัติหลัก 3 

เพราะฉะนั้นศีลคือหลักกำหนด กำหนดข้อ 2 คือสัตว์ ข้อที่ 3 คือวัตถุกับพืช ก็แยกมา เพราะวัตถุกับพืชมันต่างกับสัตว์ สัตว์เป็นจิตนิยาม วัตถุกับพืชเป็นพืชนิยามกับอุตุนิยาม ก็ขยายความไปละเอียดลออหมดแล้ว 

ขออภัยที่จะพูดว่าไม่มีใครจะมาขยายรายละเอียดอย่างที่อาตมาอธิบายหรอก แล้วพวกคุณรู้เรื่องไหม ปฏิบัติกับสิ่งที่อาตมาอธิบายนี้ไหม ไม่ใช่สิ่งเปล่าดายเพ้อเจ้อ จะเอาไปทำกับอะไรก็ทำกับวัตถุกับพืชกับสัตว์ทำกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส นี่แหละ นี่คือหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น เพราะฉะนั้นก็ตีหัวกบาลพวกหลับตาได้อีกที 

เมื่อไปนั่งหลับตาแล้วรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มันไม่มี มันไม่มีให้คุณได้ศึกษาเลยคุณก็จมอยู่ในกะลาครอบอยู่อย่างเดิม มันไม่งอกงามอะไรขึ้นมาอีกหรอกพวกหลับตาเอ๋ย เมื่อยจริงๆ กับคนพวกนี้ จะบอกว่าเขาไม่มีปัญญาพอฟังรู้เรื่องมันก็ไม่ใช่แต่มันยึด เอ็งเป็นใครนะ รูปก็ไม่หล่อพ่อก็ไม่รวย ยศศักดิ์ฐานะอะไรก็ไม่มี ปริญญาจัตวาปริญญาตรีโทเอกก็ไม่มี เปรียญ 1 เปรียญ 2 เปรียญ 3 ก็ไม่มี นักธรรมตรี โท เอก ก็ไม่มี มันก็น่าเห็นใจเขาเหมือนกันไม่มีหลักฐานให้ยืนยันเลย 

อาตมามีหลักฐานอธิบายธรรมะพวกนี้ตรงกับที่พระพุทธเจ้าสอน นั่นคือคุณเข้าใจไม่ได้ 2. คนอื่นที่เข้าใจแล้วเอามาปฏิบัติมีผลธรรมปรากฏสำเร็จนี่ไง เขาก็ยังไม่เชื่อว่าสำเร็จก็ไม่ว่า ก็ใช่สิคุณจะเป็นแบบของคุณ บรรลุอรหันต์หลับตา ของเราอรหันต์ลืมตาจะไปเหมือนผกันได้อย่างไร เป็นอรหันต์หลับตา กล้วยๆ หยุดนิ่งเฉย ไม่มีอะไร 

คุณจะหยุดนิ่งเฉยคุณระงับสัญญาเครื่องกำหนดอาการกำหนด หน้าที่กำหนดเองรู้ไหม คุณดับไม่ให้มันทำหน้าที่ไปเลย คุณดับแล้วก็ไม่รู้มีแต่ความรู้สึกเวทนาก็ไม่รู้สึก คุณก็เรียกรวมว่าดับทั้งเวทนาสัญญา อสัญญีสัตว์พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้หมด 

ผู้ที่ไม่รู้ไปดับ คำว่าดับคือไปดับเวทนาดับสัญญา คุณก็เป็นอสัญญีสัตว์

คุณมิจฉาทิฐิอยู่ไปปฏิบัติเพื่อที่จะให้ทิ้งความเป็นสัตว์ 4 ประการ 

สัตตาวาส 1 2 3 4 คุณปฏิบัติไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่ตรงตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า คุณได้ผลเหมือนกัน ได้ผลเป็นสัตว์อยู่นั่นแหละ สัตว์ประเภทที่ 1 คุณก็เห็นต่างกันไปหมด กายต่างกันสัญญาก็ต่างกัน เพราะฉะนั้นพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง พวกนี้พูดกันไปเดี๋ยวก็ทะเลาะกันง่ายๆ เพราะพวกคุณไม่มีความรู้เรื่องกาย เรื่องสัญญาเลย ในสัตตาวาสข้อที่ 1 

 

พูดไปก็แย้งกันไกล ต่างกัน สัญญาต่างกัน มันแทบจะไม่ลงกันเลย เห็นความเป็นมนุษย์เห็นความเป็นเทวดาเห็นความเป็นพรหมต่างกันหมด จนกระทั่งเริ่มมีจุดที่ร่วมกันได้ คือทำความหยุด เรียกว่า ปฐมฌาน ทำความหยุด ในความหยุดก็ต่างกัน

สัตตาวาส ก็คือ เป็นสัตว์ เลิกความเป็นสัตว์ก็เป็นเทวดาเป็นอุบัติเทพวิสุทธิเทพ แต่คุณก็ยังมีทิฏฐิมีความต่าง แม้จะได้ปฐมฌาน ในข้อที่ 2 คุณก็ได้อย่างหลับตา ลืมตาออกมาคุณไม่ได้ กายที่มีความรู้ต่างๆหูจมูกลิ้นกายคุณหยุดอย่างนั้นให้นานๆ ถาวร ลืมตาแล้วไม่มีกิเลสเกิดเลยคุณทำไม่ได้ คุณได้แต่หลับตามันก็ต่าง ทิฏฐิต่างกัน 

เพราะฉะนั้นสัญญาก็ต่างกัน อาจจะได้กายอย่างเดียวกันคือ ไม่รู้เรื่องเป็นหนึ่ง จิตเป็นหนึ่ง ไม่รู้อะไรมากก็หนึ่ง 2 3 4 5 6 7 ไม่รู้คุณก็ได้ตำแหน่งและบอกว่านี่เป็นเอกัคคตารมณ์ หนึ่งยิ่งใหญ่แต่ยิ่งใหญ่แบบที่หลับตาอยู่ในภวังค์ ลืมตามาคุณไม่ได้แล้ว กำหนดไม่ได้ ถูกกระทบกระแทกกระเทือนไปไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จนกระทั่งคุณหลงไปกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส หลงไปในลาภยศสรรเสริญสุข คุณก็ไม่รู้เรื่องว่าคุณเองคนหลงงมงายติดยึดกับสิ่งเหล่านี้ ก็ยังจมกับมันอยู่นั่นแหละ 

สัตตาวาสข้อที่ 1 กับวิญญาณฐีติข้อที่ 1 ภาษาเหมือนกัน แต่ทิฏฐิ ต่างกัน 

ข้อที่สองภาษาก็เหมือนกัน วิญญาณฐีติเป็นสัมมาทิฏฐิ สัตตาวาสเป็นมิจฉาทิฏฐิ 

ข้อที่ 3 ภาษาก็เหมือนกัน แต่มันต่างกันไปด้วยเลยในรายละเอียดลึกซึ้ง 

อย่างข้อที่ 3 รู้กาย เป็นอาภัสรากับรู้กาย เขาก็กำหนดภาษาว่า อาภัสราเหมือนกัน เหมือนอย่างคณะธรรมกาย 

แม้ภาษาถึงข้อที่ 8 ก็เหมือนกัน แต่สัตตาวาส มีอสัญญีสัตว์ มันก็เลยเป็น 9 แต่วิญญาณฐีติไม่มี นอกจาก วิญญาณฐีติไม่มี 9 และไม่มี 8 ด้วย วิญญาณฐีติก็มี 7 

 

มาสรุปกับสิ่งที่เป็นจริง หมู่ชนชาวอโศก เรียนรู้ตาม พยัญชนะ อนุสาสนีของพระพุทธเจ้ามีปาฏิหาริย์หรือมีความมหัศจรรย์ 

มันน่าภาคภูมิ มันไม่มีอาริยทรัพย์อะไร น่าได้น่ามีน่าเป็นเท่านี้เลย ถึงขั้นสุภันเตวอธิมุตโตโหติ ในวิโมกข์ข้อที่ 3 

รายละเอียดพวกนี้ไม่ง่ายที่จะรู้จักสภาวะ มันละเอียดลออที่จะสับสนปนเปกันง่าย จึงไม่มีสภาวะ ถูกคนซักก็จะเวียนหัวเลย ตั้งใจดีๆเรียนรู้ปฏิบัติให้เกิดสภาวะ อย่างพวกเรามีสภาวะกับพยัญชนะลงตัวทั้งหมด มันจึงไม่งงไม่สับสนและลำบาก แต่คนที่เขาไม่รู้ก็น่าเห็นใจลำบาก 

ดำเนินไปพวกเราสามารถประสบผลสำเร็จ อาตมาก็พาทำ ตอนนี้พาทำ เพื่อที่จะขยายผลเรื่องของการสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร เป็นคนดี สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร เชื่ออาตมาไหม .เชื่อ 

พยายามกันสร้างให้อุดมสมบูรณ์ คนสร้างแล้วก็เอามาโชว์ผูกโบว์ให้ด้วย ผักกาดกรอบๆ มันของน่าโชว์ บีทรูท ผูกโบว์ หัวบักใหญ่ บักเวอ มะกรูดยักษ์มะนาวยักษ์ 

สิ่งเหล่านี้จำเป็นทุกคนไม่ว่าศาสนาไหน ไม่ว่าคนประเทศไหน แม้แต่ตะวันออกกลางแม้แต่เอธิโอเปีย นิวกินี ขั้วโลกเหนือ กินได้เลี้ยงชีพได้ขอยืนยัน รอดและอายุยืนด้วย ไม่เหมือนเนื้อสัตว์เพราะว่าคนไม่ใช่สัตว์กินเนื้อสัตว์ ซึ่งคนก็ยากที่จะเชื่อถือ เพราะมันติดมันยึด มันอร่อยติดอยู่ทางโน้นเยอะ 

เพราะฉะนั้น อาตมาก็ยังไม่อยากตายเพราะว่ามันติดต่อเชื่อมโยงต่อเนื่องกันอยู่ยังไม่อยากขาดตอน ถ้าหากอาตมาตายก็ต้องมาเกิดอีก แต่กว่าจะมีอายุโตขึ้นจะมาสอน มีคนเชื่อถือ มันต้องอายุเลย 7 ขวบมา ต้องใช้เวลาอีกนานหลายปี ทิ้งช่วง ตอนนี้ก็เลยรอก่อน ให้พวกเราแข็งแรงมีอะไรจะสืบทอดต่ออาตมาได้พอสมควร แล้วอาตมาจึงจะตาย 

แล้วก็เลยถือเคล็ดตรงนี้ว่า อย่าไปฉลาดเร็วนะ ฉลาดช้าๆเดี๋ยวพ่อท่านจะตาย ยังไม่ถึงตรงนี้อีกละ มันย้อนแย้งพูดอะไรมันย้อนแย้งได้หมด 

ตอนนี้เวลาหมด 

คำกล่าวนำปฏิญาณอุโบสถศีล

    [พากล่าวคำ นโมตัสสะ ภควโต ฯ  3 จบ ก่อน]

ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งจิตปฏิญาณ ในงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 

ข้าพเจ้าทั้งหลาย จะขอบำเพ็ญ ประพฤติตน อยู่ในศีล 8 อันได้แก่

1.ปาณาติปาตา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการฆ่าสัตว์ เว้นขาดความโหดร้ายรุนแรง เว้นขาดการเบียดเบียนใดๆ จะพยายามสร้างเมตตาธรรม

2.อทินนาทานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการขโมย เว้นขาดการเอาของผู้อื่นด้วยเชิงเอาเปรียบ  จะพยายามสร้างสัมมาอาชีพ ขยันสร้างสรร เสียสละ ละเลิกความโลภ ละเลิกความเห็นแก่ตัว

3.อพรหมจริยา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากเรื่องเมถุนธรรม เว้นขาดเรื่องกามคุณ จะเป็นผู้ละเลิกราคะ จะเป็นผู้กำหนดรู้เท่าทันในกาม

4.มุสาวาทา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการพูดปด เว้นขาดการพูดหยาบ 

เว้นขาดการพูดส่อเสียด เว้นขาดการพูดเพ้อเจ้อ จะพยายามพูดเป็นสารัตถะเป็นธรรม

5.สุราเมรย มัชชะ ปมาทัฏฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการเสพติดมัวเมา มีอบายมุขทั้งหลายเป็นต้น มีกามต่อมา มีโลกธรรม 8 อีก และจะเว้นขาดการยึดภวอัตตภาพทั้งปวง

6.วิกาลโภชนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ  เว้นขาดจากอาหารและเครื่องใช้ ที่ควรเว้นควรเลิก จะกินจะใช้ ตามที่กำหนด จะเป็นผู้พยายาม เป็นผู้มักน้อยและสันโดษ 

7.นัจจะคีตะ วาทิตะ วิสูกะทัสนา มาลา คันธะ วิเลปนะ ธารณะ มัณฑนะ วิภูสนฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากท่าทางอันไม่สมควร คำพูดที่มีเสียงสำเนียงอันไม่สมควร เช่น ฟ้อนรำ ดนตรี เป็นต้น เว้นขาดจากดอกไม้และของหอม เครื่องตกแต่งพอกทา เครื่องประดับ ประดิดประดอย เว้นขาดจากฐานะแห่งการแต่งงามประดิษฐ์ประดอย

8.อุจจาสยนะ มหาสยนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติเว้นขาดจากที่นั่งที่นอนใหญ่ เว้นขาดจากการรับของใหญ่ เว้นขาดจากการสะสมของใหญ่ ที่สุด เว้นขาดการหลงผิดติดความใหญ่

ศีลทั้งหลายเหล่านี้ หากข้าพเจ้าทั้งหลายไม่ตั้งใจประพฤติ ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ได้ผล  ถ้าหากข้าพเจ้าทั้งหลายตั้งใจประพฤติ ก็ย่อมได้ตามธรรมสมควรแก่ธรรม

ดังนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายจักตั้งใจศึกษาฝึกฝน พากเพียรบำเพ็ญ ตามที่หมู่คณะ

ได้นำพา ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกันด้วยดี ให้สุดความสามารถ 

 

ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งใจ ปฏิญญาณไว้ ณ โอกาสนี้.


 

ที่มา ที่ไป

650213


เวลาบันทึก 14 กุมภาพันธ์ 2565 ( 14:46:31 )

650214

รายละเอียด

650214 พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า พุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 46 จรณะและวิชชาคือพุทธคุณภาคปฏิบัติ

https://www.boonniyom.net/51181.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1iPPI-anxouMBtGFRnzjVwttJTXBjIosy9fBhdl5y_c4/edit?usp=sharing   

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1kNtcm4QBRO1qPPPR4tLm8h9vxEN5n7_v/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/681045272932554 และ https://youtu.be/P39tRt-Gj08

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน จรณะ 15 คือพุทธคุณภาคปฏิบัติ

_พ่อครูว่า...วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ที่โต๊ะเทศน์มีข้าวชนิดต่างๆหลากหลายชนิดมาเป็นตัวอย่าง ต้นกล้า ผาดาว โอเล่ ซาคาฮารี เรือ วันนี้ทั่วโลกเขาเป็นวันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ 2565 แต่ขึ้น 13 ค่ำเดือน 3 ปีขาล ปี 3 

วันเวลาก็บอกให้ใช้สมมุติกันให้ตรงกันเป็นประโยชน์ ก็มีการเดินทางของดวงดาวดวงอาทิตย์ด้วย มีอุตุมีบรรยากาศมีอากาศหมุนเวียนเย็นหนาวร้อน ไปกันตามประสาของเขา 

งานนี้ให้อาตมาเทศน์จรณะ 15 วิชชา 8 ในพระไตรปิฎกเล่ม 15 

ชาวพุทธทั้งหมดเลย เป็นเรื่องจำเป็นเพราะว่าเราเป็นชาวพุทธเป็นลูกพระพุทธเจ้า มันก็ต้องศึกษาตามคำสอนพระพุทธเจ้าซึ่งท่านก็บัญญัติเอาไว้ดีแล้ว ดีจริงๆ ยอดวิเศษเลย 

ที่นี้คำสอนพระพุทธเจ้าที่บัญญัติไว้เรียกว่า พุทธคุณ คำว่าพุทธคุณเป็นคำที่บ่งบอกถึงหลักปฏิบัติ ซึ่งพุทธคุณของพระพุทธเจ้ามีถึง 9 ข้อ อะระหัง สัมมาสัมพุทโธภะคะวา วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโรปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถาเทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ 

วิชชาจะระณะสัมปันโนเป็น 1 ใน 9 ข้อ 

ข้อที่ 1 อรหัง ก็บอกถึงคุณค่าคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า เพราะว่ายังไม่มีอุบัติขึ้นมาก่อน อรหังคือผู้ไกลจากกิเลสไม่ลึกลับแล้ว ฆ่ากิเลสได้หมดแล้ว โดยพยัญชนะ อรหะ อรโห แปลว่าไม่ลึกลับแล้ว ในจิตวิญญาณ รู้จักตัวกิเลสนี่แหละเป็นตัวสำคัญซึ่งมันลึกซึ้งซับซ้อนลึกลับมันซ่อนอยู่ในจิต ศาสนาอื่นไม่เรียนรู้เรียนรู้ก็ไม่เก่ง เรียนรู้ก็ผิวเผินไม่เหมือนกับพระพุทธเจ้า รู้จักกิเลสอย่างไม่ลึกลับ หมดเกลี้ยงจนถึงขั้นอาสวะ 

จับตัวกิเลสได้ถึงขั้นอาสวะอนุสัย แล้วมีวิธีกำจัดได้หมด กำจัดได้ด้วยความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเรียกว่า สัมมาสัมพุทโธ สัมมาสัมพุทโธหมายความว่า ตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง ไม่ได้เอาของใครมา ไม่มีใครมาบอก ซึ่งไม่เหมือนกับศาสดาของเทวนิยมที่มีพระเจ้าเป็นผู้บอกเป็นเจ้าของธรรมะเป็นธรรมะสามี แล้วให้พระบุตรเป็นผู้ประกาศ มนุษย์นำมาประกาศในโลกเรียกว่า ปกาศก ผู้ประกาศ  ผู้นำคำสอนของพระเจ้าหรือความจริงของพระเจ้ามาประกาศต่อโลก 

แต่ของพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้เอง พูดอย่าง อาสโภ อาจหาญแกล้วกล้า ไม่หลบ ไม่เก้อเขิน ไม่มังกุ ไม่เก้อไม่ยาก พูดอย่างเต็มกำลังเต็มใจ เต็มสภาพ ไม่มีอะไรสะดุด ว่า ตรัสรู้เองรู้เอง พากเพียรค้นความรู้นี้มาเอง ตรัสรู้เอง ความตรัสรู้นั้นเอามาประกาศกับมนุษย์ก็คือ วิชชาจะระณะสัมปันโน 

เป็นผู้ที่สามารถบรรลุ สัมปันโนคือผู้บรรลุ ปฏิบัติด้วยจรณะ 15 วิชชา 8 จบสุดได้ มีอย่างนี้ทางเดียวทางนี้ทางเดียว เอเสวมัคโค นัตถัญโญ ไม่มีทางอื่น ที่บอกว่าทางปฏิบัติไปนิพพานมีไม่รู้กี่ทาง คนนี้นอกทางคำสอนพระพุทธเจ้าพูดผิด 

ทางที่จะไปนิพพานมีทางหนึ่งทางนี้ทางเดียว เอเสวมัคโค ทางนี้ทางเดียว นัตถัญโญ ทางอื่นไม่มี 

เพราะฉะนั้นจึงอย่าเรียนผิดทาง ต้องเรียนให้ถูกทาง เรียกด้วยภสัมมาทิฏฐิ ต้องเรียนรู้ให้ถูกพยัญชนะให้ปฏิบัติถูก มีมรรคมีผลที่ถูก จนกระทั่งจบการบรรลุธรรมสูงสุดเป็นอรหันต์ หรือ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ มีหลักให้ตรวจสอบทั้งนั้น 

ในพุทธคุณ 9 ของพระพุทธเจ้า วิชชาจะระณะ การบรรลุธรรมด้วยนะด้วยความรู้ด้วยการประพฤติ ที่พระพุทธเจ้าท่านตราไว้หมด มีอันนี้บอกก็คือ จรณะ 15 

ตั้งแต่ สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ วิริยะ สติ  ปัญญา ฌาน 1 2 3 4 แล้วมีวิชชา 8 เป็นกษัย 

แกงต้องมีน้ำแกง วิชชาคือ น้ำแกง จรณะคือตัวเนื้อ ตัวองค์ประกอบต่างๆที่จะทำให้เป็น แกง จะเป็นแกงเขียวหวานจะเป็นแกงมัสมั่น แกงเลียง แกงคั่ว แกงส้ม ไม่ใช่ตะแลงแกงนะ 

วิชชาจรณสัมปันโนถึงเป็น 1 ใน 9 ของพุทธคุณทั้งหมด เพราะฉะนั้นพุทธคุณข้อวิชชาจะระณะจึงเป็นข้อแจ้งหลักปฏิบัติ แจ้งความรู้ที่จะปฏิบัติอยู่ที่ข้อนี้ข้อเดียวใน 9 นอกนั้นแสดงถึงอลังการเครื่องประกอบของพระพุทธเจ้า 

อรหํ เป็นพระอรหันต์ สมฺมาสมฺพุทโธ ตรัสรู้เองโดยชอบ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ สุคโต เสด็จไปดีแล้ว ไม่มีหลงทางไม่มีวกวนไปไหนไปถูกต้องหมด ต้องการตายได้ ต้องการเป็นเป็นได้ ต้องการปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตายสุดท้ายแล้วไม่มีแล้วเลิกเลยก็ได้ เรียกว่าดับวิญญาณดับจิตนิยามเลิกถอนไปเลยได้ 

 โลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก รู้จักโลกที่มันคือความวนเวียน โลกคือความวนเวียนทั้งหลายไม่ว่าโลกเล็กโลกใหญ่ โลกมารวมกัน ตั้งแต่จักรวาลน้อยจักรวาลใหญ่ โลกอยู่ในตัวเราอง ความหมุนเวียนอยู่ในตัวเราเอง เดี๋ยวก็วนไปหาร้านเหล้าเดี๋ยววนกลับมาบ้าน เดี๋ยววนไปหาร้านเหล้า เดี๋ยววนไปหาร้านที่เราติดอาหารเขา เดี๋ยวก็ไปร้านนี้แหละอร่อยกินได้กินดีกินไม่เบื่ออะไรอย่างนี้ ก็ไปร้านนั้นร้านนี้ คนติดในรูป ก็ไปร้านทำรูป คนติดในรสก็ไปร้านที่มีรสให้ คนติดในเสียงก็ไปร้านมีเสียงให้ คนติดในกลิ่นก็ไปร้านทำกลิ่นให้

นี่เป็นสุดยอดความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ที่รู้ความจริงของสันดานมนุษย์ พระพุทธเจ้าถึงหาวิธีที่จะเลิกสันดานของมนุษย์ วิธีที่จะเลิกก็คือวิธีทำฌาน ทำปัญญา 

ฌาน 4 จบฌาน 4 มือสุดท้ายของการประหารกิเลส ฌานคือไฟเผาผลาญประหารกิเลส หรือ เพชฌฆาตฟันคอกิเลสขาด 

บุญเท่ากับเพชฌฆาตมือสุดท้ายฟันคอกิเลสมือสุดท้าย 

ฌาน 4 จะฆ่ามารตายอย่างไรก็ตาม ตายไม่เด็ดขาดสะเด็ด มาถึงมือบุญเบอร์สุดท้ายนี้ ชั๊วะต้องทำหน้าที่ ตายมาแล้วต้องฟันอีก ฆ่าเป็นมือสุดท้าย เป็นแน่นอนเลยว่า ถ้าเจอมือบุญแล้ว กิเลสตายเด็ดขาดไม่มีฟื้น นี่คือความหมายที่ลึกซึ้ง คำว่าบุญ เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธเสื่อม คำว่าบุญไปหมายถึงกุศล หมายถึงโลกียะ หมายถึงสมบัติ 

ทั้งๆที่บุญนี้เป็นวิบัติ เป็นตัวทำให้วิบัติ ไม่ใช่ไปสั่งสมเป็นสมบัติ เป็นตัวที่ปฏิบัติให้สลายหายสูญไป ไม่ใช่เป็นตัวปฏิบัติให้เจริญงอกงามไพบูลย์ ไม่ใช่ นี่คือสัจจะที่ไม่ใช่จะรู้ได้ง่ายๆ เดาเอาไม่ได้ ถ้าไม่มีภูมิรู้และปฏิบัติจนถึงผล จนรู้ได้เองแล้วจึงจะชัดเจน ถึงจะมั่นใจถึงจะพูดถูกไม่มีผิดเพี้ยน ไม่มีอะไรแย้งกับพระพุทธเจ้าเลย ตรงกับพระพุทธเจ้าหมด แล้วรู้โลกโลกะวิทู เพราะฉะนั้นจะเป็นโลกเล็กโลกใหญ่หมุนเวียนจนถึงขั้นโลกที่เป็นรูป โลกที่เป็น กามโลกเป็นอบายต่ำสุด หมุนเวียนอยู่ในโลกต่ำ เลิกฆ่ากิเลสที่ไปติดโลกต่ำๆได้ 

เหลือโลกกาม เป็นโลกใจพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนที่มีห้าทวาร ตาหูจมูกลิ้นกายกระทบสัมผัสแล้วยังติดยึดอยู่ ติดยึดกามคุณ 5 นี่คือโลกสามัญที่มนุษย์ที่ไม่ได้ศึกษา แม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันก็ไม่รู้มันก็ติด แต่พูดกันไม่รู้เรื่องมันก็ติดของมัน คนนี่ก็พอสอนได้ เป็นเวไนยสัตว์สอนได้ แล้วให้ฆ่า ทำลายเหตุที่ไปหลงติดยึด ฆ่ากิเลสตายกิเลสหมดสิ้นอนุสัย ตายหมดก็จบ ทั้งๆที่ตอนคนเป็นๆไม่ตายมีชีวิตอยู่ทำได้ ฆ่ากิเลสตายหมดสิ้น ตอนเป็นนี้ได้ จนหมดสิ้นหมดเลยเป็นอรหันต์ 

เสร็จแล้วก็เป็นผู้ที่อยู่เหนือโลกเหนือกิเลส แล้วก็มาสอนผู้อื่น เป็นอนุตฺตโร 

อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ มีความรู้เหนือ และเป็นสารถีฝึกคนที่ฝึกได้ไม่มีใครยิ่งกว่า เพราะฉะนั้นบุรุษที่ไม่ควรจะฝึก ไม่ควรจะสอน ไม่ควรจะเอามาฝึกให้เป็นให้ได้ก็จะไปฝึก ฝึกมันก็สูญแรงเปล่า เสียเวลาเสียแรงงาน มันฝึกยังไงก็ฝึกไม่ได้ปล่อยให้เต่าปลากินไป 

คนที่มีบารมีมีทานเพราะจะฝึกได้อย่างพวกเรา เข้ามาถึงขั้นนี้แล้วไม่ว่าจะเด็กหรือเป็นผู้ใหญ่เป็นกุศลของพวกเราอย่างยิ่ง เป็นคุณค่าคุณงามความดีเป็นบารมีของพวกเราที่ได้สั่งสมมา จึงได้มาเข้ามาอยู่ในแวดวงชาวอโศก ได้มาศึกษาเล่าเรียน ฝึกฝนร่วมสร้างกุศล ร่วมสร้างกรรมวิบากไปด้วยกัน โดยเฉพาะได้เรียนรู้เรื่องบุญ เครื่องมือในการชำระกิเลสให้หมดไปจากสันดาน สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ สันตานังคือสันดาน ปุนาติ คือชำระ ให้สะอาดคือวิโสเทติ เป็นผู้ชำระกิเลสออกจากสันดานได้สะอาดหมดจดเลย นี่คือ หน้าที่ของบุญ 

แต่เดี๋ยวนี้เพี้ยนไปเป็นกุศลก็เลยเลอะไปหมดเลย แล้วก็ไม่รู้หน้าที่ของบุญที่แท้เพราะเข้าใจผิดว่าเป็นกุศล การทำลายกิเลสก็เลยทำไม่ได้ เพราะว่าไม่รู้จักเครื่องมือทำลายกิเลสคือบุญ หรือฌาน

ฌาน ก็เริ่มต้นเป็นพลังงานแท้ๆเป็นคู่หูของบุญ เป็นคู่กัน ตั้งแต่ฌาน 1 ก็เรามีฝีมือรู้จักกิเลสกำจัดกิเลสไปได้ส่วนหนึ่ง ฌาน 2 ก็เพิ่มขึ้นอีก ฌาน 3 ก็เพิ่มขึ้นอีก ฌาน 4 ก็หมดกิเลส จะเรียกเป็นฌาน 5 ตัวจัดการอีก เป็นบุญเป็นตัวตัดอีก ให้ตายแน่นอน ถ้าไม่ตาย ก็เป็นหน้าที่ของบุญทำให้มันไม่รอดเลยนะ ไม่ใช่บุญเก๊ ถ้าเป็นบุญจริงๆแล้วตัด เป็นพลังงานบุญจริงแล้วเด็ดขาดต้องตาย ไม่เชื่อถามโยมหน่อย(ต้องตาย)สิ

สู่แดนธรรม... สังคมการเรียนรู้ธรรมะในประเทศไทย คงจะมีแต่อโศกเราที่ได้มาศึกษาธรรมะแบบนี้ 

พ่อครูว่า... ถูกต้องอย่างที่สู่แดนธรรมพูด อาตมาเกิดมาในยุคนี้เป็นไก่ตัวพี่เป็นผู้ที่นำความถูกต้องมาสถาปนาลงไปในศาสนาพุทธ ในชาวพุทธใหม่ เพราะมันเสื่อมมาตามพระพุทธเจ้าได้พยากรณ์ไว้แล้วใน อาณีสูตร ว่าด้วยเรื่องกลองอานกะ คนมาปลอม เอาของปลอมมาเปลี่ยนไปหมดไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างต่างๆของกลอง หนังหรือไม้ที่เป็นกลอง จะเรียกว่ากลอง อานกะ หรือเรียกพุทธอย่างเก่า แต่เนื้อแท้ข้างในเปลี่ยนไปหมดแล้ว อาตมาก็มาเปลี่ยนเนื้อแท้ให้กลับคืนมาเหมือนเก่า พูดอย่างมั่นใจไม่ได้ลอกแลกไม่ได้ลังเล ไม่ได้มังกุ ไม่ได้ยากอะไรเลยพูดความจริงดีจริงๆ 

คนเขาก็หาว่าอวดดี เอาอะไรมาพูดไม่เหมือนเขา ถ้าพูดเหมือนเขาก็ซวยสิ พูดเหมือนเขาที่เขาเป็นกันอยู่มันผิดหมด อาตมาไปเหมือนเขาก็ซวย ถูกมันไม่ใช่อย่างนั้น มันจึงขัดแย้งกัน อาตมาถึงได้ถูกคณะใหญ่เล่นงานมา แต่เล่นงานมายังไงก็ยากเพราะอาตมายืนหยัดอย่างดี โดยเฉพาะคนเขาก็ยอมรับนับถือพระไตรปิฎกฉบับนี้เหมือนกัน เถรวาท นับถือพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐนี่เหมือนกันก็เลยพูดกันรู้เรื่อง ตกลงกันพอได้ 

อาตมาจึงอยู่รอดปลอดภัยมา ทำมาได้จนป่านนี้ แต่ก็บุกมาอย่างเหน็ดเหนื่อย จนกว่าที่จะมาพูดได้สบายป่านนี้ 50 กว่าปี แต่เขาก็ยังมีการแย้งอยู่หลายเหมือนกัน แต่ที่จำนนแล้วแย้งอาตมาไม่ได้ก็จึงเงียบ หมู่ใหญ่เงียบเพราะจำนน 

จะจำนนด้วยอาตมายืนยันด้วยพระไตรปิฎก หรือจำนนด้วยอาตมาพาคนที่หลงผิดกัน เสื่อมกันนี่ พากันมา สอนให้รู้บอกให้รู้ว่า ถูกอย่างนี้เป็นอย่างนี้ พวกที่ดวงตามีธุลีน้อย อย่างพวกคุณเข้าใจ ว่าใช่ๆ ถึงมาพิสูจน์กันได้จริง รวมตัวกันยืนยันเป็นรูปร่าง สาราณียธรรม 6 เป็นกลุ่มชาวอโศกอยู่กันอย่างมี สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ร่วมกันสร้างผลผลิตรวมกับกองกลางเป็นสาธารณโภคีร่วมกันกินร่วมกันใช้ ลาภธัมมิกา สาธารณโภคีเป็นเศรษฐศาสตร์บทที่ยิ่งใหญ่ของโลก อาตมาพูดอย่างนี้ ชาวโลกนักเศรษฐศาสตร์ก็ยังไม่กระเตื้องที่เรียนเศรษฐศาสตร์แค่โลกียะหรือเทวนิยมแบบนายทุน แบบที่ยังไม่รู้จักอัตตาตัวตนหมดเนื้อหมดตัว หมดตัวหมดตน เขาเรียนอยู่อย่างตะวันตก อย่างอเมริกา อย่างอื่นๆที่ไม่ได้เป็นผู้เรียนรู้พุทธอย่างโลกุตระที่สัมมาทิฏฐิ มันก็ต่างกัน 

เพราะฉะนั้นของพระพุทธเจ้านี้ เมื่ออาตมาอุบัติขึ้นมาในโลก แล้วก็มานำพายืนหยัดยืนยัน ให้เกิดทั้งทฤษฎีที่ถูกต้องทั้งหมด มีรัชกาลที่ 9 ช่วยอาตมาบ้าง ตามบารมีของพระองค์ พระองค์ก็เป็นโพธิสัตว์ บอกเลยอีกทีก็ได้ เคยบอกแล้วแต่ไม่อยากจะย้ำมาก 

ท่านเป็นโพธิสัตว์ระดับ 6 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านก็ช่วยกัน อาตมาระดับ 7 พยายามจะใกล้ขึ้นไประดับ 8 แล้ว ก็ทำ ท่านทำจนหมด อายุไขของท่าน 89 ปีท่านก็ไปก่อน เหลือจากนี้ก็หน้าที่ของอาตมาต่อ ท่านทำเป็นรูปธรรม จนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก เขาขานเขาเรียก ที่ท่านสร้าง เป็นเรื่องที่เป็นสาธารณโภคีทั้งหมดทั้งด้านเศรษฐกิจ รัฐศาสตร์ สังคม เป็นสาธารณโภคีที่ยิ่งใหญ่ 

เพราะฉะนั้นในประชาธิปไตยทางรัฐศาสตร์เรียก ประชาธิปไตย นี่แหละคือ ประชาธิปไตยสาธารณโภคี เขายังจะต้องศึกษากันอีก จนปวดหูปวดหัวเลยแหละ แต่ก็ยังยากที่จะเข้าใจแต่พวกเราทำได้แล้วเป็นตัวอย่างยืนหยัดไป ประชาธิปไตยแบบนี้ คือประชาชนเป็นใหญ่ ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจเป็นเจ้าของพลัง เป็นเจ้าของการสร้างสรร  เป็นเจ้าของของสมบัติทั้งหมด แต่ไม่แย่งกัน อยู่กินเป็นครอบครัวใหญ่ อยู่ร่วมกันกินใช้ร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่ ร่วมกันสร้าง ร่วมกันขยันหมั่นเพียร คนละไม้คนละมือ ไม่เกี่ยงไม่งอน ไม่แอบๆแฝงๆ

ถ้าเป็นคนแฝง เอาแต่พูดเอาแต่ชี้เป็นคนเจ้าชี้เจ้าใช้..ไม่ ..ลงมือสร้างสรร เห็นว่าการกระทำ ยิ่งเป็นจริงกว่าการชี้ใช้ ชี้ใช้ชี้บอก ทำเป็นผู้รู้แต่ทำไม่ได้ แต่ผู้ทำได้นั้นต้องรู้ถึงจะทำได้ 

คนทำได้มีอยู่ 2 ลักษณะ รู้แล้วทำได้ก็มี คนมีแต่รู้แล้วทำไม่ได้ แต่คนที่รู้แล้วทำได้สำเร็จผลออกมา ไม่รู้ไม่มี คนที่ทำได้และรู้จึงมี คนที่ได้แต่รู้ แต่ทำไม่ได้ ได้แต่พูดได้แต่บอก นั่นยังไม่ครบ ยังไม่จริง อาจจะรู้ถูกรู้ได้รู้ดี แต่ทำไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น 

สู่แดนธรรม.. จรณะ 15 มาถึงฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้ อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า 

พ่อครูว่า…อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ มีความรู้เหนือ และเป็นสารถีฝึกคนที่ฝึกได้ไม่มีใครยิ่งกว่า สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ในยุคนี้ ขออภัยที่ต้องพูดความจริง ก็อาตมามีความสามารถทั้งบอกทั้งสอนทั้งพาทำและมาเป็นได้อย่างพวกเรามาเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ มีตัวยืนยันมีบุคคลยืนยันจริงๆได้ มีอาตมานี่แหละ แล้วก็มีในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นผู้ช่วย ถ้าจะว่าแล้วก็เท่าๆกับ เป็นผู้นำทาง เปิดให้อาตมา อาตมาก็จะได้เดินได้อย่างสะดวกเต็มที่ เป็นนายทวาร อาตมา ก็มาได้เต็มที่ คือมาทำ 

พุทฺโธ เป็นผู้ตื่นและเบิกบานแล้ว ภควา ติ เป็นความจบในความเจริญ  เบิกบานร่าเริงเป็นคนจนสุขสำราญเบิกบานใจ เขาบอกว่ามาจนนี้โง่เหรอ ที่ไหนได้มาจนนี้ฉลาด จนอย่างมหัศจรรย์ จนอย่างฉลาดเฉลียว ไม่ได้จนอย่างโง่แต่จนอย่างเต็มใจ จนอย่างรู้บริบูรณ์ชัด 

เป็นคนจนประหลาดมหัศจรรย์ เป็นคนจนพิเศษ คนจนอะไรไปช่วยคนรวยได้ หรือช่วยคนอื่น แต่คนรวยนี้ไม่ช่วยคนอื่นเลยมีแต่กอบโกยไปเป็นของตัวเองมากขึ้นมากขึ้น มีแต่ประกาศว่าตัวเองรวย ก็เอ็งรวยเพราะว่าขี้โลภ เอาไปเป็นของตัวเองมากขึ้นมา มีความสามารถก็จริงแต่แทนที่จะเอาไปเสียสละสร้างสรรช่วยเหลือผู้อื่น แต่เอาไปเห็นแก่ตัวเอาไปเป็นของตัวเสียนี่ ก็จะประหลาดอะไรมันก็รวยสิ แล้วรวยแบบนั้นมันน่านับถือ 

มาจนนี่แหละ แล้วการมาเป็นคนจนไม่ใช่ไม่เก่งแบบคนรวยด้วย เก่งแบบคนรวยแต่ไม่เอา ไม่ไปหาวิธีการงอกเงยดอกเบี้ยปันผลทับทวีเพิ่มขึ้นด้วยวิธีคิดทุนนิยมสามานย์ ไม่เอาวิธีอย่างนั้นหรอกมันเลวทรามต่ำช้า มาเอาวิธีที่ดี ขออภัยอาตมาพูดแรงพูดชัดๆให้รู้ตัวว่า คนรวยทั้งหลายเอ๋ย อย่านึกว่าตัวเองเก่งแล้วเฮง เก่งแล้วเจริญประเสริฐ.. เปล่า รวยๆนั้นไม่ได้ประเสริฐหรอก ต้องมาจนจริงๆนี่ประเสริฐ ฟังดีๆฟังทำให้ชัดให้แตกฉาน ฟังธรรมอยู่บื้อๆทื่อๆตื้อๆ ไม่ไปไหนหรอกต้องฟังชัดๆ 

เพราะฉะนั้นต้องมาเรียนรู้ให้ดีเป็นผู้รู้ตื่นจากที่ไปงมงายอยู่แบบโลก ปลุกให้ตื่น อ๋อ ชาวโลกมันครอบงำแล้วหลงไปตามโลกเขา ไปเป็นชาวประชาชนชาวเทวนิยมมีตัวมีตนกอบโกยโลภมาก 

ถ้าพูดถึงสมรรถนะความรู้ความสามารถแล้ว มาทางโลกุตระนี่ มาทางพุทธนี่ ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา แม้ไม่ด้อยไปกว่าเขา แม้จะด้อยกว่าเขา แต่เอาความเก่งความสามารถนั้นมาสร้างเพื่อผู้อื่น ยิ่งจะไม่ด้อย ก็ยิ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นมากขึ้นไง 

เพราะฉะนั้นแม้เราจะฝีมือไม่มากมายแต่เราได้สร้างแล้ว เราก็พึ่งตัวเองรอด สร้างมากสร้างเกินกว่าที่ตัวเองกินใช้แล้วเอาไปแจกจ่ายเผื่อแผ่คนอื่น สมรรถนะตัวเองมากขึ้น ก็ยิ่งเผื่อแผ่ผู้อื่นได้มากขึ้น คนลักษณะนี้มารวมตัวกัน 

1. ไม่เป็นหนี้ 

2. มีสมรรถนะ ทำให้ตัวเองกินรอดด้วย แล้วทำงานอยู่ในหมู่นี้ คุ้ม ไม่เป็นหนี้ ทำงานกับหมู่นี้คุ้มไม่เป็นหนี้ รอด 

3.ทำให้เหลือให้เกินกว่าที่เรากินเราใช้ 

4.ทำได้เหลือก็แจกจ่ายผู้อื่นอีก 

เป็นกุศลวิบากทับทวีเพิ่มขึ้นๆๆๆอีก เข้าใจกุศลวิบาก ทับทวีเพิ่มขึ้นอีก ขนาดพระพุทธเจ้ายังไม่สันโดษในกุศล กุศลเพิ่มขึ้นได้เป็นทรัพย์สมบัติเป็นสิ่งที่รองรับ เราไม่ได้ยึดถือเป็นเราเป็นของเรา แต่ได้อาศัยเป็นเรา เป็นของเราอย่างไรก็เป็น กัมมะปฏิสรโณ เราทำไปแล้วก็ต้องหมุนเวียนมาให้เราได้พึ่ง ปฏิสรโณ 

เพราะฉะนั้นสูงสุดเป็นผู้ที่เบิกบานด้วยธรรม พุทโธ ท่านแปลสั้นๆว่า เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน เบิกบานด้วยธรรม มาแจกจ่ายให้ผู้คนได้รู้ตามปฏิบัติตาม เกิดมักเกิดผลตามอย่างที่พวกเราเป็น ก็ได้ขึ้นมาเป็นความจริง

เพราะฉะนั้นอาตมาเกิดมาในปางนี้ เอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปลูกฝังขยายความอธิบาย ให้คนได้ฟังได้เข้าใจ นอกจากเข้าใจแล้วทำได้ปฏิบัติได้ก็เป็นจริง เป็นจริงทั้งความรู้และทำได้ สำเร็จผล ก็ทับทวีขึ้นเรื่อยๆ  แล้วก็กลายเป็นกรอบเป็นกองเป็นสมบัติ เป็นรูปสมบัติ ด้วยธรรม โลกุตรธรรม เป็นรูปสมบัติขึ้นมา จนเป็นหมู่กลุ่มเป็นวัฒนธรรมเป็นพฤติกรรมสังคมที่รู้ได้ 

คนเข้าใจเราก็ทำได้ยาก ก็ค่อยๆกระเตื้องทั้งโลก เมืองไทยก็ตามก็ค่อยๆรู้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งทุกวันนี้สามารถจะฟังพอรู้เรื่องแล้ว ไม่กล้าต้านอาตมา แม้แต่จะเป็นกระแสหลัก ที่ยังไม่ยอมยกอาตมาอย่างสมบูรณ์ กระแสหลักหมู่ใหญ่ที่เขายังยึดถือว่า ฉันยังเป็นหนึ่งๆ เป็นผู้ที่มีโลกุตรธรรมแท้ๆ เขายังไม่กล้ายืนยันเหมือนกับที่อาตมาพาทำ และโดยเฉพาะตัวอาตมายืนหยัดยืนยัน เขาก็ไม่กล้าที่จะมาแย้ง แต่จำนนว่า เอ๊! แย้งก็ไม่รู้จะแย้งอย่างไร เราก็ยังเป็นโลกุตรธรรมไม่ได้เหมือนอย่างนี้ มันมีหลักฐาน มีหลักการ วิชาการ พระไตรปิฎก ไปหมดแล้ว เพราะว่าเถรสมาคมไม่ใช่คนโง่ เป็นคนฉลาดพอที่จะรู้ เป็นแต่เพียงมีอัตตามานะอยู่เท่านั้น ถ้าอัตตามานะลดลงเท่านั้นแหละ ประเทศไทยเจริญรุ่งเรือง 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สู่แดนธรรม.. นักปราชญ์ผู้รู้ที่รู้มาก่อนพ่อท่านที่เขาต้านแย้งไม่ได้ เขาจะคอยดู จะไปได้สักกี่น้ำ ประเทศไทยเราจะมีลักษณะ ไม่ยกย่องคนดีคนถูกต้อง ไม่เหมือนทางญี่ปุ่นทางเกาหลี ถ้าคนดีไม่มีพวกก็จมเลย ถ้าคนอยู่กึ่งกลางแล้วพวกมากคนก็จะยกย่อง ต่อไปธรรมะถ้าทำให้ชาวอโศกมีเยอะขึ้น ทรรศนะในประเทศไทยก็จะดีขึ้น 

พ่อครูว่า... อาตมาทำก็ยังไม่เพียงพอ ทำมาได้ขนาดนี้ยังไม่พอ เขายังไม่จำนนแท้ จนกระทั่งยอมยก อาตมาก็ยังนึกอยู่เลยว่า อาตมาทำมาขนาดนี้ คนไทยแท้ๆยังไม่ยอมยก จะให้คนต่างชาติคนทางเทวนิยมเห็นก่อน แล้วมายอมรับรองยอมยก ไทยจะขายขี้หน้าขนาดไหน ขออภัยที่พูดไม่ได้หลงตัวเองแต่เป็นเรื่องจริงว่ายอมยก อาตมา ปล่อยให้ชาวต่างชาติเทวนิยมเข้าใจได้ก่อนไทย 

อาตมาเป็นคนไทย เอาสิ่งที่เป็นสัจธรรมโลกุตระมาเปิดเผย แล้วในก็พาทำจนกระทั่งสำเร็จเป็นรูปเป็นร่าง จนกระทั่งคนทางเทวนิยมก็พยายามแสวงหาสิ่งที่เป็นยอดสิ่งที่ประเสริฐสุดก็คือโลกุตระนี่แหละ จนเขาเห็นได้เขามายอมรับก่อน โอ้โห.. สถาบันหลักของประเทศไทยจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน 

สู่แดนธรรม... ผมอยากให้พ่อท่านขยาย หากมี คนที่จ้องจับผิดพ่อท่านไว้  เหมือน พวกนักจิตวิทยา ว่าคำพูดอย่างนี้อยากให้คนยอมรับนับถือเรียกร้องให้คนเห็นใจ 

พ่อครูว่า... ก็พูดความจริงอย่างเดียว อาตมาพูดความไม่จริงไม่เป็น ถ้าคนเข้าใจความจริงแล้วตรงตามที่อาตมาพูดก็มีอย่างเดียว ความจริง สัจจะมีหนึ่งเดียว แต่เขายังตีความไปอย่างอื่นก็มันไม่ใช่สัจจะ จะไปบังคับเขาได้อย่างไร เขาก็ยังตีความไปอย่างนั้น ซึ่งถ้าคนที่รู้สัจจะเป็นหนึ่งเดียวแล้วไม่แย้งอาตมา เขายังแย้งอยู่ก็คือเขายังเป็น 2 ยังเป็น ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60 สรุปรวมเป็นหนึ่งไม่ได้ไปบังคับเขาได้อย่างไร 

สู่แดนธรรม... จิตพ่อท่านที่อยากให้คนยอมรับไม่มี 

พ่อครูว่า... ไม่มี ที่อยากให้คนยอมรับ อยากให้คนมายกย่อง อยากให้คนมานับถือ ไม่มี ก็ทำไปตามจริงเท่านั้น ใครมานับถือก็เป็นอิสรเสรีภาพของคนนับถือ พวกคุณมาที่นี่อาตมาล่อลวงบังคับมาหรือหว่านล้อมมาหรืออย่างไร ก็ไม่ คุณมาของคุณเองนะ

แต่ละคนมีอิสรภาพของตัวเอง จะมาเอาก็มาเอาเองมันก็ชัดเจน มันก็ชัดเจนต้องมาสิอย่างนี้ต้องมาเอา ไม่เอาก็โง่ตาย จริงๆนะ พูดไว้เมื่อไหร่ก็ยิ่งชัดเจนไม่มาเอาก็โง่ตาย 

รู้แล้วเห็นแล้ว ดีไม่ดีก็เห็นว่า ดีนี่หว่า แต่ไม่มาเอาแล้วมันโง่มั้ย

รู้ว่าดีแล้วไม่มาเอา ยังไปงมอยู่กับชั่ว รู้ว่าประเสริฐ ไม่ได้ปิดทางไม่ได้กั้น แต่มาตามหลักเกณฑ์ 

 

เข้าหาจรณะ 15 วิชชา 8 ตามหัวข้อ หลักเกณฑ์ก็คือศีล 

ศีลก็พูดวนไปขยายความ ศีลข้อ 1 เกี่ยวกับสัตว์ ข้อที่ 2 เกี่ยวกับวัตถุและพืช ข้อที่ 3 มาหาเนื้อตัวเลย ตา หู จมูก ลิ้น กาย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส 

ก็เรียนรู้หลักของศีล 3 ข้อใหญ่ เข้าใจโดยละเอียดลออ ศีล 3 ข้อนี้หรือเข้าไปเป็นขั้นๆ

ตั้งแต่สัตว์ เราอยู่กันอย่างญาติ อยู่กันอย่างเป็นประโยชน์ หวังประโยชน์แก่กันและกันอยู่ สรุปนะ อาตมาจะไม่ขยายความว่า 

ข้อที่ 2 เกี่ยวกับพืชและวัตถุ เราก็อาศัยพืชอาศัยวัตถุกันในชีะวิต แม้จะยังชีพกินเป็นอาหารก็ใช้พืชใช้วัตถุ เกลือเป็นวัตถุ เราก็อาศัยเกลือ ธาตุแป้งหรือ ธาตุเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เราก็อาศัย เป็น กวฬิงการาหาร เข้าไปเลี้ยงชีวิต 

ใน กวฬิงการาหาร อาหารที่จะกินนี่แหละ มนุษย์ทุกคนหรือแม้แต่สัตว์เดรัจฉานต้องกินอาหาร แม้จะเป็นพระพุทธเจ้าบรรลุสูงสุดก็ต้องเสวยอาหาร ต้องฉันอาหาร เพราะฉะนั้นอาหารจึงใช้เป็นสิ่งที่อธิบาย กิเลสตัวร้ายมันอยู่กับอาหารที่จะกินทั้งหมด​ รูป รส กลิ่น เสียงสัมผัส เพราะทุกคนต้องกินอาหาร กวฬิงการาหาร หลักธรรมของพระพุทธเจ้าผูกมัดจำนนไม่มีทางดิ้น

แล้วเรียนรู้กิเลสจากรูป รส กลิ่น เสียงสัมผัสที่กินเข้าไปนี่แหละ ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รับรส เย็นร้อนอ่อนแข็งสัมผัสนี่แหละ แล้วเราติดในมุมไหนเหลี่ยมไหนของรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ติดมันหมดเลย ก็ไม่รู้ตัวติด  

พอรู้แล้วเราติดตรงไหน ติดองค์ประกอบ ติดสิ่งหนึ่งในอีกสิ่งหนึ่ง สิ่งหนึ่งคือสิ่งจริงสิ่งที่เป็นธรรมชาติใครๆก็ต้องรับรู้อันนี้ได้ จะต้องกินแป้ง มีคาร์โบไฮเดรต จะต้องกินวิตามินอันนั้นอันนี้ ธาตุต่างๆมาประกอบก็ต้องรู้ชัดเจน แม้ไม่เป็นนักโภชนาการนั้นก็พอได้โดยปริยาย ตามแฟชั่นตามพ่อแม่ลูกถ่ายทอดกันมาตามธรรมชาติอยู่แล้ว เราก็ดำเนินตาม แล้วเราก็รับ สิ่งที่เป็นสัจจะนั้นมาใส่แก่ชีวิตร่างกาย 

คุณจะรับ  กวฬิงการาหารมาสู่ร่างกาย คุณก็ต้องผัสสะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย นอกจากคุณต้องใส่ท่ออาหารเข้าไป ทำเป็นอาหารเหลวใส่ให้ไหลเข้าไปเลี้ยงร่างกาย เป็นมนุษย์พืช กินเองไม่ได้แล้ว ดีไม่ดีไม่รู้เรื่องด้วย ถ้าเขาไม่เอาให้กินก็ตาย เป็นมนุษย์พืช มันไม่เหมือนพืชที่มันกินเองของมันได้ แต่มนุษย์พืชนี้กินเองไม่ได้ต้องมีอะไรช่วย มีผู้อื่นช่วย ถ้าไม่ช่วยก็นอนตายอยู่อย่างนั้นแหละ มนุษย์พืชก็เหมือนกับเด็กๆ เด็กเกิดมา อุแว้ๆ ถ้าพ่อแม่ไม่ให้อาหารก็นอนตายอยู่นั่นแหละ ใครๆไม่ได้ให้อาหารไม่ได้เอาไปเลี้ยงก็ตาย ไม่รู้เรื่องช่วยตัวเองไม่ได้หรอก ฉันใดก็ฉันนั้น 

เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ถึงขั้นเป็นพืชเป็นคนมีธาตุรู้ตา หู จมูก ลิ้น กาย รู้อะไรว่าควรหรือไม่ควรกินเองเป็น จึงมีผัสสะ เมื่อมีผัสสะแล้วก็จะมีเจตนา 

เจตนานี้แหละ แฝง เจตนาที่เป็นกุศล เจตนาที่เป็นอกุศล เจตนาที่เป็นอวิชชาหรือเจตนาที่เป็นปัญญา เจตนาแปลว่า ธาตุที่มุ่ง ธาตุที่จะไปทำงานข้างหน้า กำหนดข้างหน้า ก็ต้องมีปัญญาควบคุม มีความรู้ที่รู้จริงๆว่าควรหรือไม่ควร หรือมันปลอมปน มีตัวหลอกมีมายา มีผีมีกิเลสมาปน ก็แยกตัวหลอกตัวผีตัวร้ายพวกนี้ให้ออก แล้วกำจัดพวกนี้ด้วยปัญญา รู้ทัน  เฮ้ย! เอ็งเป็นซาตานเองเป็นมารเองเป็นผี ไป มาหรือผีหรือซาตาน กลัวปัญญามาก ธาตุปัญญานี้ยิ่งใหญ่ แสดงตัวเมื่อไหร่ ปั๊บ มาร ผี ซาตาน วิ่งตูดแจ้นหนีไปหมดเลยไม่กล้ารอหน้า ไม่กล้าเข้าใกล้ ที่เป็นสัจจะนะใช้ภาษาอธิบายได้เท่านี้เป็นจริงอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นกำลังปัญญา จึงมีอำนาจฤทธิ์แรงที่สุดประเสริฐ อาตมาเขียนปัญญา 8 นี้ เป็นเล่ม 2 แล้ว รวม 2 เล่มพันกว่าหน้า ไม่รู้ว่าเล่ม 2 เริ่มต้นเขียนจะเป็นอีกพันกว่าหน้าหรือเปล่า รวมแล้วเล่มหนึ่งจะกลายเป็น 2,000 หน้าหรือเปล่าไม่รู้ นี่ก็อยากจะจบเล่มหนึ่งแล้ว 

เป็นอัชฌาสัยที่ทนไม่ได้ต่อความกรุณาก็หลั่งไหลออกมาตามธรรมชาติ 

อาตมาเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ภาคภูมิใจ ไม่มีงานอะไรประเสริฐ งานสุดประเสริฐเลิศยอด มาถึงปางนี้มาถึงวันนี้ อาตมาก็ยืนยันว่าอาตมาเป็นไก่ตัวพี่มาเกิดในยุคนี้ ขอยืนยันพูดความจริงคนไม่เชื่อไม่ศรัทธามันบังคับกันไม่ได้ แต่คนที่เข้าใจดีแล้วเชื่อว่าจริง แล้วก็รู้ว่าตัวเองเป็นกุศล เป็นกุศลอย่างยิ่งที่ได้พบ ได้พบคุณธรรมได้ฟังสัจธรรม เป็นกุศลหรือเป็นบุญของเราแล้วหนอ บุญก็คือจะได้รับรู้ความเป็นบุญความหมายของบุญและเอาไปปฏิบัติจนสำเร็จ บุญของตนเอง ทำบุญให้สำเร็จยิ่ง สำเร็จจริงเลย บุญยิ่งแก้วเลย ทำให้สำเร็จได้จริงๆเลย บุญนี้ ยิ่ง แก้วนี่เป็นคำภาษาไทย เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ถ้าไม่ดีก็เรียกว่าขี้ สิ่งดีเขาเรียกว่าแก้ว นี่เป็นหลักของคนไทยเลย ของดีเรียกว่าแก้ว ของไม่ดีเรียกว่าขี้ แบ่งแยกง่ายๆ 2 ประเภท 2 นัยยะ เป็นเทวฺ สรุปสั้นๆง่ายๆของคนไทยขี้กับแก้วแบ่ง 2 อย่างนี้ เพราะฉะนั้นแก้วนี้สุดยอดแล้ว 

ในคุณธรรมขั้นโลกุตระ บุญจึงเป็นโลกุตระที่ยิ่งจริงๆเรียกว่าแก้ว สุดยอด รู้ให้จริงแล้วทำให้ได้เป็นผลสำเร็จเถอะ นั่นแหละสุดยอดดีแล้ว ยอดแก้วแล้ว 

เมื่อสามารถที่จะรู้จักจรณะ 15 รู้หลักศีล อธิบายศีลข้อที่ 1 และข้อที่ 2 แล้ว ข้อที่ 3 รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส อันนี้ก็เป็นแกนเลย ทั้งแกนรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ตัวคนแต่ละคนไม่รู้จักตรงนี้ ปฏิบัติให้รู้เท่าทัน รูป ที่มันผีหลอกอยู่ในรูป 

เสียงที่ประกอบเราสัมผัสอยู่ มันมีผีหลอกอยู่ในเสียง 

กลิ่นมันมีผีหลอกอยู่ในกลิ่น 

รสมันมีผีหลอกอยู่ใน รส

มีผีหลอกอยู่ในสัมผัสต่างๆ 

ถ้าคุณไม่รู้จักผีพวกนี้ ผีพวกนี้มันก็หลอกคุณอยู่ตลอดกาลนาน จับผีได้ สร้างปัญญาเป็นพลังที่รู้เท่าทันผี ผีนี่ มันจะกลัวปัญญา กลัวธาตุรู้ที่รู้เท่าทันมัน เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดปัญญาจริงพลังงานของคุณสร้างปัญญาขึ้นมาในจิต รู้เท่าทัน เป็นสภาพปัญญาจริงๆขึ้นมาแล้วนะ ผีมันก็จะกลัวเลย ปัญญาเกิดแล้วเว้ย ผีจะไม่รอหน้า ผีจะรีบหนีเลย เห็นหน้าปัญญาแล้วผีไม่อยู่ นี่เป็นคำอธิบายที่ไม่มีความรุนแรงเลย ปัญญากำจัดซาตาน กำจัดผี กำจัดมาร กำจัดธาตุชั่วธาตุเลว ธาตุไม่ดีในจิตวิญญาณ ปัญญาจึงสุดยอดพลังงานทางจิต จิตนิยาม 

สู่แดนธรรม.. ถ้าหากได้ดูอุปมา ผี เป็นอย่างไรปัญญาเป็นอย่างไร ให้ดูหนังไทย ผีมารอยู่ในความมืด ปัญญาจึงเหมือนแสงสว่าง ต้องมีสัมผัสอยู่กับโลกจริงๆเลยจึงจะทำลายอวิชชาได้ แต่ถ้าไปนั่งในภพก็ไม่พบแสงสว่าง วิธีทำลายอวิชชาบอกว่านั่งหลับตาจะทำลายอวิชชาได้ 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน วิชชา 8 มีลำดับอันน่าอัศจรรย์

_พ่อครูว่า... วิชชา 8 

วิชชา คือ ความรู้ ขั้นปัญญา ญาณ วิชชา เป็นภาษาบาลี หมายถึงความรู้แบบโลกุตระทั้งสิ้น ความรู้อย่างนี้จึงจะสามารถลบล้างความยึดติดแบบโลกียเทวนิยมทั้งหลายแบบโลกที่เป็นกันอยู่ในมนุษย์โลกทั้งหมด ไม่มีใครละเว้น เป็นอันนี้ก่อนกว่าจะมาได้พบโลกุตระ มารู้ความรู้ที่รู้ว่าเราติดยึด ติดยึดทางโลก ความรู้ทางโลกติดยึดได้เก่งเท่าไหร่ที่สุดก็ยอดที่สุดได้เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่ง ได้เป็นเจ้าแห่งความรู้แล้วมาประกาศเป็นเจ้าแห่งความรู้ คนก็มานับถือมาขึ้นต่อ ก็ได้หมู่กลุ่มบริวารจนเป็นศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ของเทวนิยม แล้วศาสดาแต่ละศาสนาของเทวนิยม ก็แข่งกัน แข่งกันอยู่ในโลกนี้แหละอย่างที่เป็นอยู่ในโลก ศาสนาเทวนิยมมีเยอะ ศาสนาต่างๆ ก็มีเก่งและเด่นขึ้นมาอยู่ทุกวันนี้ก็มีไม่กี่ศาสนาที่เรารู้ ส่วนนอกนั้นก็เป็นเจ้าลัทธิ ศาสนายิบย่อยเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสน ในมนุษย์ 7 พันล้านนี้ เป็นอยู่อย่างนั้น 

ส่วนพุทฃธนั้น ความรู้อย่างเดียวกันไม่แย่งไม่แข่ง ไม่แย่งกันเป็นศาสนา มีศาสดาองค์เดียวศาสนาพุทธ ยอมรับกัน ผู้ไม่ยอมรับก็ยอมรับพระพุทธเจ้า เรียกว่านิกาย คนละกาย ต่างคนก็ต่างบอกว่ากายของเขาถูก ของเอ็งไม่ นิ แปลว่า ไม่ ต่างคนต่างชื่อ ของเอ็งเป็น นิกาย ของข้านี่แหละธรรมกาย ของข้านี่แหละกายของพระพุทธเจ้า เหมือนพวกชาวธรรมกายที่อยู่รังสิต ที่เขายืนยันว่าเขาเป็นเจ้าของธรรมกาย ของเองนั่นแหละนิกาย ของข้านี่แหละธรรมกาย 

ธรรมกาย พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่านั่นคือชื่อของเรา ธัมมชโยก็ไปยืนยันว่านี่แหละคือธรรมกายของพระพุทธเจ้า เขาพูดว่าไม่ใช่แค่พระพุทธเจ้าเขาเหนือกว่าพระพุทธเจ้าด้วย ธัมมชโยนี่จองหองขนาดนั้น เข้าเหนือกว่าเขาเป็นต้นธาตุต้นธรรม ในความหมายของต้นธาตุต้นธรรมเขาก็ไม่รู้เรื่อง อย่างนี้เป็นต้น 

กลับก็มาที่วิชชา 8 

วิปัสสนาญาณ คือความรู้ที่ต้องมีตัวเห็น ปัสสะ คือความเห็น เห็นอย่างยิ่ง วิ อยู่ปัจจุบันนี้ วิปัสสนะ วิปัสสนา เห็นอยู่ทนโท่เดี๋ยวนี้ วิปัสสนา แต่โดยสภาวะมันเห็นอยู่ตอนนี้ไม่ละวางจากปัจจุบันนี้เลยเรียกว่า ทิฏฐธรรม ปัจจุบันชาติ ยังมีปัจจุบันอยู่ตอนนี้ยังไม่หายไปจากปัจจุบันเลย เห็นๆอยู่ตอนนี้ทนโท่หลัดๆโต้งๆอยู่ตอนนี้ นี่เรียกว่า วิปัสสะ-นา

คนที่ไปหลับตาแล้วตาก็ไม่เห็น หูก็ไม่ได้ยิน จมูกก็ไม่ได้กลิ่น ลิ้นก็ไม่รับรส เป็นสัมภเวสีอยู่กับจิตล่องลอยไปไหนก็ไม่รู้ นั่นคือโมฆะจากศาสนาพุทธ ไม่มีวิญญาณฐีติ 

ไม่มีวิญญาณที่จะมารับรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกาย คนอื่นก็เห็นรู้รวมกันได้ ยืนยันกันได้ยืนยันก็ได้บอกกันได้ว่านี่ไงรูป  นี่ไง รส  นี่ไงกลิ่น  นี่ไงเสียง  นี่ไงสัมผัส   นี่ไง จึงจะชื่อว่าวิปัสสนาญาณ 

ไปหลับตาโมเมขี้ตู่ หลับตาและจะเกิดวิปัสสนาญาณ มาพูดเอาเอง พวกขี้ตู่กลางนาขี้ตาตุ๊กแก 

สู่แดนธรรม .. เขาว่าต้องไปวิปัสสนาในสิ่งที่ตาไม่เห็นสิ ถึงจะแน่ 

พ่อครูว่า... พูดกับคนตาบอดประชุมคนหูหนวกไปดูหนังใบ้ คนโง่ก็เชื่ออย่างนั้นกัน ถ้าคนที่เจริญกว่านั้นเขาก็รู้แล้ว เขารู้ว่าอันไหนเจริญก็มาเอาความเจริญกว่าก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ 

 

อันที่ 2 มโนมยิทธิ  มยัง แปลว่าอันเป็นเราตัวของเรา อิทธิคือฤทธิ์ มโนมยิทธิคือเรามีฤทธิ์ มีฤทธิ์อย่างไร คืออำนาจพลังงานที่ฆ่ากิเลสได้กำจัดกิเลสได้ เป็นพลังงาน สร้างพลังงานทางจิตเช่น ฌาน ทำฌาน มีพลังงานมีฤทธิ์ 

พลังอันนี้มาเกิดขึ้นมาจริงเป็นความจริงแล้ว เจ้าผีมารกิเลส หนีเลย กลัวเลย อย่างที่อธิบายผ่านมาแล้ว เป็นตัวจริงของปัญญา ตัวจริงของวิชชา ตัวจริงของญาณ มโนมยิทธิญาณ มีฤทธิ์เช่นนั้นจริง 

รู้จักคุณวิเศษ รู้จักคุณลักษณะของญาณอันนี้ คนที่สร้างญาณอันนี้ได้เอง คนที่ทำได้เองก็จะเห็นว่า โอ้โห! กิเลสมันจางคลายกิเลสมันหนีเลยกิเลสไม่เข้าใกล้เลยก็รู้ได้ด้วยตนเอง อ๋อ! พลังงานอย่างนี้อย่างนี้แหละเรียกว่าพลังงานปัญญา พลังงานญาณ พลังงานวิปัสสนาญาณ และพลังงานนี่แหละมันทำให้กิเลสหาย มโนมยิทธิ เราทำเองเราเองทำเอง เห็นกิเลสมันไม่รอหน้ามันกลัวมันวิ่งหนีเลย เห็นหน้ามันวิ่งหนีจู๊ดเลยไม่กล้าเข้าใกล้เลย นี่เป็นความจริงที่พูดด้วยพยัญชนะภาษาสู่ฟังได้ คนที่เกิดพลังงานนี้ เกิดปัญญาอย่างนี้ เกิดมโนมยิทธิญาณ อย่างนี้ก็รู้ด้วยตน ก็ทำเพิ่มขึ้น หลากหลายมากขึ้น 

ก็ทำอย่างนี้แหละ มโนมยัง ก็ทำให้มากขึ้นเรียกว่า อิทธิวิธ

วิธะ แปลว่าหลากหลายมากมาย Variety หลากหลายมากมายมากขึ้นเรียกว่า อิทธิวิธญาณ ทำอิทธิอย่างมโนมยิทธินี่แหละก็เป็นญาณ 3 อย่างนี้แหละเป็นสุดยอด 

วิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิ อิทธิวิธี ก็สามารถทำลายกิเลสได้มากขึ้นลึกซึ้งขึ้นเรียกว่า ทิพยโสตญาณ เป็นญาณ ที่รู้ได้อย่างทิพย์อย่างวิเศษละเอียดลออสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น เรียกว่าทิพโสตญาน 

สู่แดนธรรม.. เรียกว่าหูทิพย์ตาทิพย์ 

พ่อครูว่า... หูทิพย์ก็ได้ตาทิพย์ก็ได้ ท่านเทียบหูทิพย์ เหมือนกลองที่อยู่ไกลๆ เคาะเสียงขึ้นมา กลองเคาะปึ๊ง คนหูทิพย์ได้ยินก็แยกออกเลยว่านี่คือเสียงกลอง กลอง ก็เป็นสิ่งชนิดหนึ่ง เขาขึ้นมาก็รู้ว่าอันนี้เป็นเสียงตะโพนไม่ใช่เสียงกลอง พวกนักดนตรีพวกนักตะโพน เคาะอย่างนี้ขึ้นมาเรียกว่าเสียงบัณเฑาะว์ แยกเสียงออกได้เลยว่านี่เสียงบัณเฑาะว์ ก๊องแก๊งๆ 

เคาะเสียงมาอย่างนี้รู้เลยว่าเสียงเปิงมาง ตะลุ่มตุ้มๆ อ๋อ นี่เป็นเสียงตะโพน ไกลๆเบาๆก็ยังฟังออกนี่คือทิพโสตญาน ลึกละเอียดเท่าใดก็สามารถจับได้ชี้ได้ ว่าอันนี้ต่างกันอย่างนี้ อันนี้คืออย่างนี้ เช่นเดียวกันกับ อภิภู 

ผู้สามารถแยกความต่างของสีเขียว นี่เขียวอย่างนี้ๆ มีเฉด มีความต่างกันอย่างละเอียดลออเลยแยกกันออกไปสารพัดอย่าง เขียวที่ต่างๆกัน หรือแดง ที่มีเฉดต่างๆกันแยกออกได้มากมายหลากหลาย 

หรือ เหลืองที่แยกยากกว่าเพราะบางเบากว่าเขียวหรือน้ำเงิน แม่สีน้ำเงินเหลืองแดง จากน้ำเงินแดงมันก็จัดขึ้น แยกได้ง่าย พอเรื่องนี้บางเบา แยกละเอียดไปอีกมากมาย 

ยิ่งไปเป็นขาว แยกเฉดขาวต่างกัน ขาวที่ต่างกัน ยิ่งแยกยากใหญ่เลย มีขาวแก่ขาวอ่อนอีก ขาวอึ้มๆ กับขาวอ่อนๆ ที่แท้ขาวอึ้มๆไม่มีหรอก มีแต่ขาวสว่างๆขาวแก่ๆอ่อนๆ 

สู่แดนธรรม.. ในวิชชา8 มีการเรียงลำดับเหมือนมหาสมุทรหรือไม่ครับ 

พ่อครูว่า... ใช่ มันมีความเจริญขึ้นจาก วิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิ  มีความหลากหลายอิทธิวิธี เล็กละเอียดมากยิ่งขึ้นไป โสตทิพย์ อันนี้ไปรวมกันเป็น เจโตปริยญาณ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ 

 

เจโตปริยญาณ 10 พูดสามารถทำเจโตปริยญาณ 16 ได้สำเร็จผู้นี้เป็นพระอรหันต์

ถ้าไม่มีความรู้ในญาณ 16 สราค สโทส สโมหะ แล้วทำให้ไม่เป็น ราคะโทสะโมหะ คือวีตะ ราคะ วีตะโทสะ วีตะโมหะ 

เมื่อเริ่มศึกษาฝึกฝนเรียนรู้ทำได้ โดยที่คนมี 2 จริต จริตศรัทธากับเจ้าปัญญา 

จริตศรัทธาจะเป็น สังขิตตังจิตตัง เป็นลักษณะของ เจโต เป็นก้อนๆ 

ส่วนวิกขิตตังจิตตัง เป็นสายปัญญากระจายกระจาย รวบไม่ติด ส่วนพวกเจโต เป็นก้อนแยกไม่ออกเหมือนผมเป็นสังกะตัง 

เราเป็นแบบไหนก็แก้ไข กระจายก็รวบให้เป็นหนึ่ง เป็นก้อนก็ต้องแยกเป็น 2 ให้ชัดเจน เรียนรู้ ถ้าแยกไม่ได้ทำไม่เป็น อมหัคคตะ ก็ไม่เจริญขึ้น คุณทำไม่ได้แยกไม่ได้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ติดอยู่อย่างเก่าคุณก็จมอยู่อย่างนั้น ไม่เจริญขึ้นไม่มหัคคตะ 

จะทำให้มากขึ้นดีกว่านั้นก็ไม่ได้ จะทำให้เก่งขึ้น อัคคะ หรือมหัคตะ ก็ไม่ได้ 

ทำได้ก็จึงเป็น มหัคตะ ทำไม่ได้ก็ อมหัคตะ 

อมหัคตะ กับมหัคตะ ก็ต่างกันเป็นอีกคู่หนึ่ง 

คู่ที่ 6 อนุตตรังจิตตัง สอุตรังจิตตัง

อนุตตรังจิตตัง มีความเหนือไปได้มากขึ้นเรื่อยๆมากขึ้นเรื่อยๆเจริญขึ้นเรื่อยๆเรียกว่า สอุตรังจิตตัง จิตที่เป็นอุตตระเป็นความเหนือ เจริญขึ้นเรื่อยๆ แต่จะรู้ตัวเองว่า มันเจริญขึ้นแต่มันยังไม่จบยังไม่มีที่สุด เหนือที่สุด เรียกว่า อนุตตังจิตตัง ก็ทำให้เหนือที่สุดไปให้สุดให้ได้เรียกว่า อนุตตรังจิตตัง 

พยายามทำสะสมขึ้นไปจะรู้ได้ด้วยตนเอง มีญาณตัดสินให้คะแนนของตนเองชัด 

คนอื่นช่วยบอกได้แต่มันก็ไม่จริงเท่าตัวเราทำของตัวเราเอง คนจะบอกได้ก็ต้องเป็นคนที่เหนือชั้นจริงๆ อย่างอาตมา ยังไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้จริงๆเท่าไหร่ คนนี้เป็นโสดาบันเท่านี้แล้วคนนี้เป็นสกิทาคามีเท่านี้แล้วคนนี้เป็นอรหันต์ท่านมีแล้ว อาตมายังไม่เก่ง พอรู้ได้พอบอกได้แต่ยังไม่เก่ง ก็พูดความจริงอาตมาพูดความจริงไม่เป็น ไอ้ที่เป็นได้ก็บอกได้ ไอ้ที่เก่งจนกระทั่งไม่มีใครได้เท่าอัตโนมัติ พูดความจริงทั้งนั้นอาตมาพูดความจริงไม่เป็น แต่คนเขาไม่ศรัทธาก็ไม่เชื่อ คนศรัทธาจะเข้าใจยิ่งว่าอาตมาเป็นคนจริงนะ อาตมาเป็นคนจริงคนตรงพูดอะไรไม่เป็นสองเลย พูดเป็นหนึ่งเปรี้ยงๆ เลย ถ้าคุณเข้าใจได้ ยิ่งกว่าขวานผ่าเลยคนนี้เปรี้ยงๆ แต่พูดแรงด้วยนะ แตกโพล้ะเลย

จาก สอุตระถึงที่สุด มีเครื่องยืนยันว่า 1.เป็น สมาหิโต กับอ สมาหิโต จิตตั้งมั่นกับจิตไม่ตั้งมั่น 

กับ วิมุติกับอวิมุติ อีก 2 คู่ จบหรืออย่างตั้งมั่นหรืออย่าง static รู้รอบ วิมุติ (มุติแปลว่ารู้) รู้ยิ่งรู้จบจนไม่มีที่จะรู้อีกแล้ว ​วิ ก็แปลว่าไม่ได้ รู้จบแล้วจนไม่มีที่จะรู้ต่ออีกแล้ว 

กรอบโสดาบัน ก็รู้จบกรอบโสดาบัน

กรอบสกิทาคามีก็รู้ว่าเป็นกรอบของสกิทาคามี 

กรอบอนาคามี จบกรอบของอนาคามี

จบกรอบ อรหันต์ก็รู้ว่าจบกรอบของอรหันต์ 

พัฒนาไปเป็นอนุโพธิสัตว์ เลยจากอรหันต์ไปตามพระพุทธเจ้าไป อนุ แปลว่า ตามพระพุทธเจ้าตามพระโพธิสัตว์เริ่มจากพระอรหันต์แล้ว เป็นอะไรกันแล้วสามารถตายแล้วแยกธาตุเป็นอุตุไปเลยได้ แต่ยังไม่ตายจะพัฒนาตัวเองให้เป็นผู้รู้เพิ่มของตนทำได้แล้ว ของผู้อื่นองค์นี้คนนี้ ผู้นี้โพธิสัตว์องค์นี้ ท่านทำได้เก่งขึ้น คนๆ นี้เขาทำอย่างไร ก็เรียนไปต่อ อนุ ตาม อนุ ไปเรื่อยๆ เป็นอนิยตะ อนิยตโพธิสัตว์ยังไม่เที่ยง 

ไปเรื่อยๆจะเป็นโพธิสัตว์ที่จะเที่ยงต่อการได้ตรัสรู้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นโพธิสัตว์ระดับที่ 7 เรียกว่า นิยตโพธิสัตว์ ก็จะรู้ตนเองได้ ตอนนี้ไม่มีใครจะบอกเราได้เก่งเท่าเราหรอก นิยตโพธิสัตว์เป็นผู้ที่ถึงขั้นที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้เที่ยงแล้ว สอบมหาวิทยาลัยพระพุทธเจ้าได้แล้ว ตนเองต้องพากเพียร ไม่มีรีไทร์ นอกจากจะตนเองรีไทร์ตนเอง คนอื่นมา รีไทร์ เราไม่ได้ใครมาไล่ออกไม่ได้ เราสมัครใจเลิกเอง หรือจะต่อเอง 

เพราะฉะนั้นโพธิสัตว์ระดับนิยตโพธิสัตว์ รีไทร์กลางทางเยอะ ระดับ 7 ก็หนักหนาสาหัสยิ่งไประดับ 8 ก็ยิ่งหนักหนาสาหัส ไม่เป็นแล้วพระพุทธเจ้า เพื่อนอาตมารีไทร์ไปเยอะแล้ว อาตมายังสู้อยู่ เดินออกมานี้พวกสมณะเราบอกว่าสู้ๆพ่อท่านสู้ๆ 

สู่แดนธรรม.. พระโพธิสัตว์ระดับ 8 รีไทร์ไป จะมีคนมาแทนก็น่าจะยากมาก 

พ่อครูว่า... ระดับ 7 นี้รีไทร์ไปเยอะ ไประดับ 8 จะไม่ค่อยรีไทร์ อย่างไรยังไงก็ต้องสู้นะลงทุนมาเยอะแล้ว เหลืออีกขั้นเดียวจะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เพราะฉะนั้นจะรีไทร์หรือไม่รีไทร์ก็ขั้นที่ 7 นี่แหละหนักหนาสาหัสกันตรงนี้แหละ 

ตอนนี้ อาตมาเห็นแสงอรุณรำไร เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ เรานี่เห็นแสงอรุณขั้น 8 แล้วนะ ก็ว่าไป ส่วนใครจะฟังตามไม่หมั่นไส้ก็ฟังไป ส่วนใครจะหมั่นไส้ก็ขออภัยนะ อาตมาพูดความจริง ให้ผู้ที่สนใจให้ผู้ที่แสวงหา พูดกับลูกกับหลาน ส่วนท่านถือเป็นตัวเป็นคนนอกมาฟังแล้วหมั่นไส้ ก็ต้องขออภัยจริงๆ อาตมาจำเป็นต้องงพูดความจริงสู่ผู้ที่สนใจผู้ที่แสวงหาหรือพูดกับลูกกับหลาน อาตมาก็ขอพูด ส่วนคุณมาได้ยิน ก็ไม่รู้จะทำยังไง ไส้ของคุณเอง คุณหมั่นของคุณเอง

จบ

ที่มา ที่ไป

650214


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2565 ( 19:23:33 )

650215

รายละเอียด

650215  พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า พุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 46 จรณะ 15 พัฒนาปัญญา 8 ประการ 

https://www.boonniyom.net/51179.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1HEVHWsmw7qAx5gCYTZe9_vj1iybIv3uKEsltutLWwCs/edit?usp=sharing   

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1fFRocnh-Vs5Oc7tv1NBpZibgMfOx90op/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/baGst11ZKU/

และ https://youtu.be/v_3RdmD_zco 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน สูตรล้างอุปาทานด้วยจรณะ 15 

_พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก เราเกิดมาเจอเลข2547 มาถึงวันนี้ 2565 วันเวลาก็เคลื่อนไปๆ คนเราแต่ละวันแต่ละวันชีวิตของคนแต่ละคน เราสามารถที่จะได้รับประโยชน์ ได้รับสิ่งที่ควร ในชีวิต กับชีวิตที่ไม่มีสาระไร้สาระแล้วยังมีโทษ คนส่วนใหญ่ชีวิตไร้สาระ มีแต่โทษ ไม่เข้าใจไม่รู้ สะสมแต่อะไรต่ออะไรที่เป็นกิเลสติดยึด ติดเข้าไป ยึดเข้าไป ว่าเป็นว่ามี เรียกว่าอุปาทาน 

ติดยึดว่าไอ้นี่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ว่าคนเราสะสมอุปาทาน สะสมความเป็นความมีว่ามันมี ทั้งๆที่มันไม่มี เช่น มันไม่มีตัวตนคนก็สะสมตัวตน จนกระทั่งตายแล้วก็ยังมีตัวตนอยู่ จนกระทั่งไม่รู้ตัวตน ตายแล้วเป็นอย่างไร ไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร เป็นตัวตนอยู่กับพระเจ้านิรันดรไม่รู้ว่าพระเจ้าอยู่ที่ไหน รู้แต่ว่าไม่รู้เรื่องปิดประตูรู้นิรันดร 

นิรันดร จากนั้นไม่รู้แล้วว่ามันมีอะไรเป็นอะไร เป็นการจำนนยอมรับว่า พอตายเสร็จแล้วก็หมดความที่จะรู้เรื่อง ก็ไปสมมุติกันว่าพระเจ้าไปอยู่ที่ไหน อยู่กับพระเจ้า พระเจ้าที่ไหน ก็บอกว่าพระเจ้าน่ะ  

ทีนี้เขาก็สรุปเพื่อจะไม่เสียเหลี่ยม พระเจ้าคือเจ้าของความสุข ไปอยู่กับสวรรค์ไปอยู่กับพระเจ้า สวรรค์ก็เป็นอุปาทานเป็นสิ่งที่มันไม่มีแต่ไปยึดถือว่ามันมี ก็เลยมีสวรรค์ 

ความไม่รู้นี่คือสภาพ 2 ตัวเรา 1 กับอีกสิ่งหนึ่ง แล้วเราก็ไม่รู้ว่าอีกสิ่งหนึ่งนั้นคืออะไร เช่นไม่รู้ว่าพระเจ้าคืออะไร จนทุกวันนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าพระเจ้าคืออะไร 

ศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระเจ้าก็คือวิญญาณหรือธาตุรู้ เขาก็รู้ว่าพระเจ้าคือพระวิญญาณคือธาตุรู้ แต่แล้วธาตุรู้ทำไมไม่รู้ ก็เพราะมันไม่รู้ น่าจะเรียกว่าธาตุไม่รู้ ไปเรียกธาตุรู้ได้อย่างไรพระเจ้า พระเจ้าก็คือวิญญาณ แต่วิญญาณมันคือตัวรู้ แล้วไม่รู้ว่าพระเจ้าคืออะไร แล้วไปบอกว่าวิญญาณเป็นธาตุรู้ คุณก็รู้จักพระเจ้าที่เป็นธาตุไม่รู้สิ 

คำว่าอุปาทานนี้แหละ คนไม่รู้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้วิธีที่จะมาล้างอุปาทาน มีหลักจรณะ 15 วิชชา 8 ให้มาปฏิบัติ ทำความเข้าใจให้สัมมาทิฏฐิ แล้วตั้ง อันแรกเกี่ยวกับคนเกี่ยวกับสัตว์ แล้วมันก็มีอุปาทาน กับคนกับสัตว์กัน ต้องโกรธกัน ต้องรักกัน คนกับสัตว์ต้องโกรธกันต้องรักกัน 

ศีลข้อ 2 ไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์ เป็นวัตถุกับพืช เรียกว่าเป็นทรัพย์ เป็นทรัพย์สิน ก็แย่งกัน แย่งกันแล้วก็โกงกัน โลภโมโทสัน ขี้โกง ทุจริตกัน พระพุทธเจ้าก็ให้มาศึกษาว่าพวกนี้แหละ รักกันโกรธกันก็เป็นอุปาทาน วัตถุ พืชพันธุ์ธัญญาหารมันเป็นทรัพย์สิน อยากมีทรัพย์สินก็สร้างมันขึ้นมา หาให้เป็นสุจริต ก็จะมีดินมีน้ำมีลมมีไฟ แล้วจะมีพืชผักผลไม้ ก็รู้สิทธิว่าเราเองเราจะได้สิทธินั้นๆอย่างไร ถ้าเราสร้างเอง ก็ได้เป็นเจ้าของเอง มีสิทธิ เป็นทรัพย์สินเป็นวัตถุ ก็มาอุปาทานแย่งกันจะต้องได้วัตถุได้ทรัพย์สินอะไรต่ออะไร 

ศีลข้อ 3 รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ก็ไปยึดกันอย่างหนักว่ามันเป็นรสอร่อย ในศีลข้อ 3 รูปอย่างนี้พอใจ ได้มาเป็นของของเราได้สัมผัสแตะต้องได้เห็นได้ยินได้กลิ่นได้รส ได้สัมผัส ถ้าตรงกับอุปาทานก็ดี เป็นอัสสาทะ ถ้าอย่างนี้แล้วก็ไม่ดี เป็นอุปาทานทั้งนั้น 

คนที่รู้ว่าเราไปหลงอุปาทาน เกิดมาก็เป็นอย่างนี้ในโลกคนเทวนิยมโลกียะเขาไม่รู้เรื่อง เขาก็เป็นสุขเป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น รวมแล้วสรุปลงไปว่าไม่สุขก็ทุกข์ ที่จริง เกิดมามันก็เป็นทุกข์แล้ว แม้ที่สุดคุณจะหมดอุปาทาน คุณก็ทุกข์ เพราะคุณยังมีขันธ์ 5 ทุกขขันธ์ ยังมี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ต้องดูแลรับผิดชอบมัน อาบน้ำอาบท่าให้มัน หาอาหารให้มัน มันป่วยมันเจ็บก็ต้องรักษาดูแลมัน เป็นต้น 

คนที่ได้เกิดมาแล้วมาเป็นชีวะตั้งแต่จิตนิยาม มันไม่รู้แล้วมันจะต้องมีอย่างนี้ไปนิรันดรอยู่กับทุกข์กับสุข 2 ลักษณะนี้โดยไม่รู้เป็นไปอย่างนั้นแหละนิรันดรชั่วนาตาปีหมุนเวียนแล้วก็มีกรรมมีวิบาก อันนี้ทางเทวนิยมเขาไม่รู้จักกรรมวิบาก วิบากเป็นเรื่องจริง กรรมเป็นอันทำ ตั้งแต่คิดก็เป็นแล้ว พูดออกมาทางกิริยากายทั้งหมดครบ สั่งสมลงไปในวิบาก 

อันใดยืนยันกันว่าดีก็สั่งสมลงไป อันใดยืนยันว่าไม่ดี ถ้าทำก็สั่งสมลงไปทั้งนั้นกรรมเป็นอันทำก็มีดีชั่ว ชั่วดี ผู้ที่รู้ต้นเทวนิยมก็มาเรียนรู้ละชั่วประพฤติดี อย่าไปทำชั่วทำแต่ดีทำแต่ดี โลกียะเทวนิยมก็จะรู้จะดีจะชั่ว กรรมดีและชั่ว ก็เรียนแค่นี้ปฏิบัติแค่นี้สั่งสมอยู่แค่นี้ทั้งนั้น 

พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ว่า จิตนิยามมันจะต้องวนเวียนสะสมดี แล้วมันก็ไม่เที่ยง แต่ก็เสื่อมไปได้ลดลงมาได้อย่างหนักแล้วลงนรกด้วย สะสมดีขึ้นใหม่ให้มันแข็งแรงพอหมดความดียึด ยึดดี ใช้แรงอันนี้ซ้อน มันก็เสื่อมอีกลงมาต่ำอีกหมุนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่รู้จักจบ มันจะมีที่จบไหมหนอ พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ที่จริงมันไม่มีอัตตามันเป็นอนัตตา นี่คือจบของพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้วโธ่เอ๋ยล้างได้ กิริยาสลายหายสูญไปได้เลิกเลย ไม่ต้องมีอัตตานี้จบ สลายอัตตาตัวเองสลายจิตนิยามสลายวิญญาณ ไปเป็นดินน้ำไฟลม หมดตัวตนของตน หมด เลิกจบได้เลย นี่คือศาสนาพุทธ

สูตรสำเร็จของท่านก็มีจรณะ 15 วิชชา 8 ล้างความยึดติดอุปาทานตั้งแต่ไปติดยึดไปเป็นสัตว์ มนุษย์นี้เป็นผู้มีใจสูงสามารถล้างความผิดได้ ก็หมุนเวียนในความเป็นสัตว์ติดในโลกในความมืดเวียน เรียกว่าโลกต่ำโลกอบาย

พระพุทธเจ้าสอนให้มันเลิกเป็นขั้นๆ ตั้งแต่โลกอบาย มันจะต้องติดต้องเสพต้องมีต้องได้ต้องสัมผัส สัมผัสทางตาไปก็ตามจมูกลิ้นกาย จะต้องไปสัมผัส ไม่ได้สัมผัสก็จะเป็นจะตาย ดิ้นรนเดือดร้อนทุกข์ทรมาน 

 

สู่แดนธรรม.. 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ล้างสุข ทุกข์ ด้วยการปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 

_พ่อครูว่า... ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าทุกวันนี้เขาทำได้เสื่อมมาก เพราะไม่ได้เริ่มที่ศีล ไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่มีสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ที่จะสัมผัสเครื่องกินเครื่องใช้ สรุปแล้วมีที่อุปโภคบริโภคเครื่องกินเครื่องใช้สัมผัสแล้วกิเลสจะเกิดจากอันนี้ โดยเฉพาะเรื่องกิน ซึ่งจำเป็น เครื่องใช้ไม่ใช้ก็ไม่ตาย แต่ไม่กินนี้ตาย จึงเป็นเรื่องสุดยอดของมนุษย์หรือสัตว์โลก กิเลสอยู่ตรงกินนี่แหละ ต้องเรียนรู้กิเลสจากตรงนี้สำคัญที่สุด 

เพราะฉะนั้นตั้งหลัก กวฬิงการาหาร สิ่งที่กิน พอจะกินคุณก็ต้องสัมผัสแล้ว เริ่มต้นก็เห็นแล้ว ได้ยินเสียงแล้ว ได้ยินเสียงมาแต่ไกล ก๊องแก๊งๆ หม้อไหจานชาม มาแล้วๆ จานชามที่ยังไม่มีอาหารก็รู้ เสียงดังอย่างนี้ จานชามที่มีอาหารใส่มาก็เสียงดังอย่างหนึ่งแยกได้นะ จานชามเปล่าก็ดังอย่างหนึ่ง มีโสตทิพย์ จานชามที่ใส่อาหารมามันกระทบกันมันก็ดังอีกอย่างหนึ่ง รู้แล้วตอนนี้พร้อมแล้ว ตอนแรกได้ยินเสียงจานชาม แบบนี้ยังไม่มีอาหารก็รู้อีก พอได้ยินจานชามเสียงเป็นอย่างนี้ ชัดเจนจานนี้มีอาหารแล้ว เรียกว่า หนูไม่รู้หนูไม่เข้าใจ แต่นกรู้ หนูนี่โง่ ไม่รู้ ถ้านกรู้ เสร็จแล้วก็กิน 

มีผัสสะได้ยิน พอได้ยินแล้วก็มีเจตนา เป็นอาหารที่ 3 มโนสัญเจตนา พอได้ยินแล้วก็มุ่งมาเลย จิตก็มีทิศมุ่งหมาย มุ่งเข้าไปสู่จุดนั้น ก็จะกินนั่นแหละ 

ถ้าคนไปกินมันก็ไม่มีปัญหา มีแต่กิน สัมผัสตาหูจมูกลิ้นกายใจก็กินในสิ่งที่กินตามที่มันมี รูปอย่างนี้ รสอย่างนี้ กลิ่นอย่างนี้ สัมผัสอย่างนี้ วันนี้มันไม่ถูกปากทั้งหมดเป็นอย่างนี้แต่มันโง่ มันจะต้องมีตัวโง่ประกอบไปว่า กินวันนี้มันไม่อร่อย กินวันนี้มันไม่ถูกปาก ใส่เข้าไปเคี้ยวกลืนไปแล้วบอกว่าไม่ถูกปากอีก สำนวนนี้มันโกหก ก็ใส่เข้าไปตัวเองกินแล้วยังบอกว่า ว้า… วันนี้อาหารไม่ถูกปาก จะกินเข้าไปใส่ท้ายทอยหรืออย่างไรมันไม่ถูกปาก ก็ใส่ปากอยู่ดีๆฟันเคี้ยวลงไป แต่ไม่อร่อย บอกว่าไม่ถูกปาก 

ภาคกลางบอกว่าไม่ถูกปากหรือเปล่า อีสานถามว่า หญังกิน คือถามว่า สิ่งที่จะกินมีอะไร? เป็นคำถาม มีอะไรจะให้กิน ก็เลยไปเรียกอาหารสิ่งที่จะกินว่า หญังกิน 

คนมีอุปาทานยึดถือไม่คลายไม่ปล่อยตลอดกาลนาน เมื่อมาล้างมาเข้าใจอุปาทานว่าปัดโธ่ ไปยึดไปติด จนกระทั่งสรุปเลย ยึดติดว่าจิตวิญญาณนี้เป็นของตัวของตน ตนอยู่กับวิญญาณนี้นิรันดรในเทวนิยม ไม่หายไปไหน แล้วมีพระเจ้าเป็นเจ้าของ พระเจ้าก็สมมุติขึ้นมาว่าเป็นเจ้าของ 

พระเจ้าจริงๆนั้นในเทวนิยมก็คือตัวศาสดาเอง พระเจ้าคืออะไร พระเจ้าคือความรู้ความจริง ตัวศาสดาที่มีภูมิธรรมมีความรู้ความจริง นั่นแหละคือพระเจ้า คือความรู้ความจริงของผู้นั้นเอามาประกาศออกมาอธิบาย ความรู้ต่างๆให้แก่มนุษย์ ผู้นั้นก็เข้าใจว่าผู้นี้คือผู้รู้ยิ่ง ผู้รู้ยอดเป็นหนึ่ง นั่นแหละคือได้เป็นศาสดา ศาสนานั้นๆของลัทธินั้นๆ 

แล้วลัทธิต่างๆที่ไม่มีหลักเกณฑ์จรณะ 15 วิชชา 8 ก็วนเวียนอยู่กับดีกับชั่ว ทำดีให้เป็นคนดีอย่าทำชั่วหมุนเวียนอยู่แล้วไม่เที่ยง ตั้งอยู่ในระยะหนึ่งแล้วก็เสื่อม เสื่อมแล้วก็หมุนเวียนอยู่อย่างนั้น แล้วก็สั่งสมลงเป็นวิบาก 

วิบากนี่แหละ เป็นนิยายของโลกนับเรื่องไม่ถ้วน แต่ละคนแต่ละชาติหลายชาติๆ แต่ละชาติมีนิยายกว่าจะจบ เกิดมากว่าจะตายก็มีบทบาทมีกิริยา มีพฤติกรรม สัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวข้องไปมีสุขมีทุกข์ แต่ก็เห็นแต่ดีกับชั่ว ส่วนความสุขกับทุกข์ไม่รู้เรื่อง แต่จะเอาความสุขไม่เอาความทุกข์ ไม่รู้เรื่องสุขทุกข์ 

พระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ว่ามัวแต่คิดแต่ดีชั่วไม่พอ มันต้องมาศึกษาเรื่องสุขเรื่องทุกข์ ประเด็นนี้อาตมาพูดขยายความมาพอสมควรแล้ว ไม่รู้จะรู้เรื่องกันไหม ความต่างระหว่างคู่หูความดีความชั่วกับความสุขความทุกข์ 2 อย่างนี้ ผู้ที่รู้แต่ดีแต่ชั่วแล้วจัดการแก้ไขดีชั่ว เป็นคนดีไม่เป็นคนชั่ว กับผู้รู้สุขทุกข์ แก้ไขสุขทุกข์ จนกระทั่งเข้าใจสูงสุดว่า สุขกับทุกข์นี้ มันไม่มีจริง มันเป็นมายา มันเป็นสิ่งลวง คนไปยึดว่ามี มีสุขมีทุกข์ ก็ยิ่งมารู้จากพระพุทธเจ้ารู้ชัดว่าสุขกับทุกข์ มันคู่หูกันที่แยกไม่ออก คุณเอาสุข ทุกข์ก็ติดมาด้วย หูคุณมี 2 ข้าง คุณเอาข้างหนึ่งมา มันก็มาอีกข้างด้วย 2 ข้างไม่มีหน้าแยก 

แต่ถ้ากระดาษแผ่นหนึ่งมันมี 2 หน้า มันมาด้วยกันเลยนะมันไม่แยกกันเลย หน้ามันบางๆ แต่คนนี้มีหน้า น้าหนา หูสองข้าง หน้าน้าหนา กั้นด้วยตา กั้นด้วยจมูกลิ้น กั้นด้วยหูสองข้างนี้ ก็เลยผสมโรงว่าเป็นเราด้วย ตาจมูกลิ้นกายก็เป็นเราอีก ก็เลยยิ่งยึดติดอุปาทานหนาขึ้น ๆไม่รู้ได้ง่ายๆ 

พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ความสุขความทุกข์ เรียนรู้ความสุขความทุกข์ สุดท้ายก็มีตัวโง่ คืออวิชชาของเราเองนี่แหละ มันไปหลงว่ามี อ้อ..มันมี

พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า โธ่เอ๊ย!จริงๆแล้วมันไม่มี มันมีเพราะเราไปยึด เราไปอุปาทานว่า มันมี เพราะฉะนั้นคำว่า ยึด คำว่า อุปาทาน จึงเป็นคำสุดท้าย คำจบ ซึ่งคนเข้าใจได้ยาก 

อ่าน พระไตรปิฎก เมื่อรู้แล้วย่อมไม่นึกว่าเป็นเราเป็นของเรา รู้แล้วว่ามันเกิดมาแล้ว ได้รู้ตามคำตรัสของพระพุทธเจ้าแล้วว่า อ้อ จริงๆมันไม่มี แต่มันก็ยังมีอยู่เพราะเรายังไม่ตาย ยังไม่ตายหรือปรินิพพานเป็นปริโยสาน เราก็ต้องสัมผัสเราก็รับรู้ ว่า สิ่งนั้นมี แต่เราจบแล้ว เราไม่มี เรารู้ยอดแล้วว่า ไม่มี

เพราะฉะนั้นคนที่จบที่เรียกว่า อนุปคัมมะ เป็นคนที่รู้ว่ามี 2 เทวะ มีสองสภาพในทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่คน นักรู้ขั้นฟิสิกส์ มี บวกกับลบ แม้เป็นวัตถุก็มีพลังงานกับสสาร แล้วในพลังงานก็มีละเอียดลงไปคือบวกกับลบ ก็คือดูดกับผลักกันอย่างนั้น 

จนมาเป็นพีชะ ดูดผลักในระดับพีชะ มันมีตัวตนขึ้น มี ISH มีตัวประธานคือ I และเป็นผู้ที่สั่งการ S เพศหญิง H เพศชาย She and He สามเส้า ISH เรียกว่าตัวตน

 ISH คนเรียกว่า Self คือตัวตนของคน มันโง่ มันไม่รู้ก็เลยเอา ISH สามเส้านี่ เข้ามาเป็นตัวเองเลยแล้วก็รับมาเป็นเราเป็นของเรา ก็เลยเป็น Selfish แปลว่าอะไรเด็กๆ...​แปลว่า เห็นแก่ตัว 

ความเห็นแก่ตัวนี่แหละยึดติดความเห็นแก่ตัว แล้วก็โง่ จะต้องเอาอะไรมาเป็นของตัวให้ได้มากๆมายๆ ใครเขาว่าความสวยตัวน่าได้ ก็จะยึดก็จะหาใส่ตัวเอง เกิดมาไม่สวย เกิดมาขี้เหร่แถมตดเหม็น ก็จะต้องเป็นคนไม่ขี้เหร่ตดไม่เหม็นให้ได้ ภาษาอีสานเขาบอกว่าอย่างนั้นนะ ขี้ฮ้ายตื่มตดเหม็น คือ ขี้เหร่แล้วแถมตดเหม็นอีก โอ้โห! เป็นคนที่เรียกว่าเกิดมาขี้เหร่สุดๆแล้วนะ ทั้งขี้เหร่ทั้งตดเหม็น 

คนที่ไม่รู้ก็ไปจริงจังเลย ยึดถือ ต้องให้สวยไม่ขี้เหร่ ตดเหม็นก็จะต้องให้ตดหอม ยึด ไม่รู้จักวิธีทำ ชาวอโศกนี่ หมดยึดถือ ตกลงไม่ต้องไปยึดขี้เหร่ ขี้เหร่หรือไม่ขี้เหร่ก็ตาม รูป นาม ตามที่เกิดมา เกิดมาเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ตามวิบากกรรม เราก็นึกไม่ออกหรอกว่า มันเป็นอจินไตย เกิดมาจะต้องได้รูปร่างหน้าตาอย่างนั้นทั้งๆที่พ่อแม่ก็ดูสวยดูหล่อแต่ลูกออกมาขี้เหร่ขนาด มันก็ช่วยไม่ได้วิบากใครวิบากเขา แล้วก็ไม่รู้เรื่องกินอะไรไปสารพัดสารเพพตดเหม็น ก็ไม่รู้วิธีจะทำให้ตดดีขึ้น กลิ่นมันไม่เหม็น 

สู่แดนธรรม.. อาจารย์ไม้ร่มบอกว่ามากินซาคาฮารีจะตดไม่เหม็น 

พ่อครูว่า... มากินมังสวิรัตินี่แหละ ตดไม่เหม็น ก็มีพวกที่รู้คือพวกมังสวิรัติ รู้สึกไหมว่าแต่ก่อนนี้กินเนื้อสัตว์ ตดเรานี่เหม็นน่าดู เดี๋ยวนี้มากินมังสวิรัติแล้ว ตดออกมามันก็กลิ่นเหมือนพืชผักเน่า มันต่างกับสัตว์เน่า

แค่ทำตนไม่ให้ขี้เหร่และตดไม่เหม็น ชาวอโศกกินดิบไปเลยในโลก เอ้าจริงไหม ก็ไม่ไปแย่งชิงอะไร ขี้เหร่อะไร แต่เอาน้ำใจ เอาจิตวิญญาณ จิต มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ขยันหมั่นเพียรมีวรรณะ 9 โอ้ สุดยอดคน ศึกษาตามพระพุทธเจ้าท่านให้ศึกษาพาเป็นก็เป็นชีวิตคนที่เจริญ นี่แหละความเจริญความประเสริฐของความเป็นมนุษย์ ชาวอโศกเราเดินตามพระพุทธเจ้ามา เจริญก่อนใครๆ 

แหม อาตมาพูดแล้วคนก็ฟังไม่ขึ้นไม่เข้าใจฟังไม่เป็นเพราะเขาไม่เชื่อ จริงๆแล้วพวกเราคนชาวอโศกเป็นคนที่ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า มาเป็นคนสูงส่งมาเป็นคนประเสริฐ จะรูปร่างหน้าตาอย่างไรก็แล้วแต่ สมรรถนะมันไม่เก่งไม่สามารถเท่าคนอื่นก็ตาม แต่มันสะสมสิ่งที่ประเสริฐ สิ่งที่เป็นสิ่งที่ดีงามที่วิเศษ 

เรื่องดีเรื่องชั่วนั้นเราก็เรียนรู้และเราก็ปฏิบัติได้เป็นเบื้องต้น ไม่ยากไม่เย็นเท่าไหร่ อย่างชาวอโศกตั้งแต่เด็กถึงผู้ใหญ่ เรื่องดีเรื่องชั่วพวกเราสบาย พวกเราทำดีกัน เรื่องชั่วเทียบกับข้างนอกเขาได้ทั้งนั้นเลย ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ เทียบได้เลยเด็กของพวกเรากับเด็กข้างนอก ผู้ใหญ่ของพวกเรากับผู้ใหญ่ข้างนอก มันดีกว่ากัน ด้วยสัจจะเลยนะ อาตมาเห็นแล้วเข้าใจแล้ว เห็นไหม ไม่ใช่ว่าพวกเราหลงตัวเอง เราเรียนแล้วไม่ใช่ละเมอเพ้อพกว่าเราเรียนแล้วได้อะไร ต่อพฤติกรรมจริงชีวิตจิตใจปฏิบัติกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มันพัฒนาขึ้นมา ตามโลกสากลนั้นมันดี กิริยากาย กิริยาวาจา กริยาใจ มันมีพฤติกรรมที่ดี ยอมรับกันทั่วโลกแหละ 

ดีเพราะอะไร เพราะไม่โลภ ไม่โกรธ เหลือน้อย ความโลภก็เหลือน้อย ความโกรธก็เหลือน้อยลง สูงสุดเป็นพระอรหันต์ก็หมดสิ้นเลย ไม่โกรธไม่โลภอะไรเลยกลางๆ ซึ่งเป็นเรื่องจริงอยู่ทุกวันนี้ ชาวอโศกปฏิบัติได้ อาตมาปฏิบัติได้พวกเราปฏิบัติได้มากน้อยก็แล้วแต่ ผู้เป็นอรหันต์แล้วจะรู้ดี พระพุทธเจ้าตรัสไว้นี้ประพฤติได้ เป็นได้จริง แล้วสำคัญความรู้สึกหรือเวทนา 

ความรู้สึกแล้วก็มีปัญญาด้วย มีสัญญากำหนดรู้ มีปัญญาเป็นตัวรู้ครบ ว่ากายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของเรา มีสัมผัสแล้วมันเกิด ยังรู้สึก วัดที่เวทนา รู้สึกสุข รู้สึกทุกข์อยู่หรือไม่ อ่านอาการของสุข อ่านอาการของทุกข์ออก 

สุขเราก็ไม่กระดี๊กระด๊าอะไร มันก็เป็นกลางๆ มันก็ดูดีดูเบาดูว่าง ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา เป็นกรรม หรือการ เรียกว่า วิการ  วิแปลว่าไม่ หรือยิ่งวิเศษ

มุทุ เพราะเราทำได้แล้วรวมสมรรถนะลงอยู่ที่ มุทุภูตธาตุ จิตวิญญาณจะว่าความเก่งความรู้ความเป็นไปได้อยู่ที่มุทุ ทั้งเจโตและปัญญา สองอย่างอยู่ใน มุทุภูตธาตุ 

เมื่อมันเป็นอย่างนั้นแล้วจริงๆแล้ว มุทุภูตธาตุ คือพระเจ้าใหญ่ คือตัวเราเองตัวสุดยอดตัว มุทุธาตุ มี 2 ลักษณะใหญ่คือศรัทธากับเจโต หรือ ศรัทธากับปัญญา ได้ดีที่สุด

เพราะฉะนั้นเมื่อมี มุทุภูตธาตุ ประสิทธิภาพได้เท่าไหร่ของแต่ละคนก็ออกมาเป็น กัมมัญญตา ออกมาเป็นกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เป็นการกระทำที่เหมาะที่ควร เป็นการกระทำที่ดีที่สุด เหมาะที่สุดควรที่สุด ถูกต้องที่สุด ตามจริง ของใครที่มีที่เป็นได้ มันก็ทำจริงตามที่มีจริงนั้น 

ก็พยายาม ดัด ทุกคนพยายาม ดัด ให้มันสุจริต อย่าไปดัดให้มันทุจริต เพราะมันโง่ ต้องพยายามให้เป็นสุจริต เป็นจริตที่ดีตามที่เรารู้จริง การดัดจริตคือการทำถูกต้องแล้ว แต่คนซับซ้อน มันไม่เป็นไปได้ มันเอาแต่เปลือกๆดัดจริต ไม่ได้เข้าถึงจิตจริงไม่ได้มีปัญญาหยั่งรู้ว่าดัดจริตให้เป็น สุ ได้แค่ผิวเผินเปลือกเปลือก ไม่ได้รู้จริงในจิต เจตสิก รูป นิพพาน ดัด ให้ไปถึงนิพพานเลย 

เพราะฉะนั้นเมื่อสามารถ ทำ กัมมัญญา ได้ดีขึ้นเท่าไหร่ มันก็เป็นวิบากเป็นผลซับซ้อนให้ตัวเราเองเจริญขึ้นเป็น ประภัสสร ปภัสรา เรียกว่าเทวดาผุดผ่อง เทวดาผ่องแผ้ว เทวดาสดใส ยิ่งกว่าเพชร เทวดาที่มีราศีรังสียิ่งกว่าเพชร 

จุดสำคัญที่แยกได้ด้วยพยัญชนะ 5 ตัวบริสุทธิ์ ที่จริงมีมากกว่านี้แต่อาตมาเอามาแค่ 5 

ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา สามารถละเอียดกว่านี้ได้อีก แต่อาตมาเอามา 5 ก็พอสมควรแล้ว นอกนั้นยังมีอะไรต่ออะไรละเอียดกว่านี้อีกบริสุทธิ์

ก็สามารถที่จะทำให้เกิดการนี้ได้ เรียกรวมกระบวน 5 ว่าอุเบกขา แจกวิภัชเป็น 5 จุด

ปริสุทธา คือบริสุทธิ์ ปริโยทาตา ก็บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น มันบริสุทธิ์เท่านี้ก็สะอาดเท่านี้ ทำให้สะอาดยิ่งขึ้นกว่านั้นเรียกว่า ปริโยทาตา เจริญขึ้นก็สั่งสมเป็น มุทุตา อยู่ในก้อนจิตเรียกว่าจิตเป็นก้อน ไม่เป็นก้อน ก็เป็นพลังงานละเอียดลออวิจิตรพิสดาร มุทุตา 

เสร็จแล้วก็เป็นตัวจิตที่จะออกไปเป็นพฤติกรรม กัมมัญญา ยิ่งมีความเจริญมากขึ้น ก็ยิ่งปริสุทธา มันก็ยิ่ง ปภัสสรา มันก็ยิ่งขาวผ่องผ่องใส มันก็ยิ่งผ่องแผ้ว ไม่มีภาษาจะเรียกแล้ว ยิ่งสะอาด สว่าง สงบ สมบูรณ์แบบเลย เจริญขึ้น 

นี่เป็นวิธีปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ เพราะฉะนั้นแทนที่จะเอาแต่ดีแต่ชั่ว ก็มาหาเหตุที่ทำให้เกิดความหลงความสุขความทุกข์ จนกระทั่งรู้จริง มีอุปาทานเยอะแยะก็ลดอุปาทานลงได้ ล้างจางคลายอุปาทานได้ รู้จักจริงตามความเป็นจริง อุปาทานลดลงๆๆๆๆ จนหมดอุปาทานเป็นพระอรหันต์ ก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง กระทบอะไรก็รู้สึก เรียกว่าเวทนาจริง 

ก้อนหินนี้ หินหนักกว่าโฟม แข็งก็รู้ตามความเป็นจริง เขาเอาสีมาทาหินก้อนนี้ เลยมีสีหลายอย่างก็รู้ตามนี้ ถ้าคนหลงสมมุติ อุปาทานว่าอย่างนี้สวยดี ก็เรียกไปว่าเป็นศิลปะอะไรไปอีก สวยดี มีเทคนิค สอนภาษาฝรั่ง มีเทคนิคมีวิธีการทำให้เป็นอย่างนี้อย่างนี้แล้วก็สมมุติว่าสวย พวกนี้ก็หลอกกัน นักศิลปะศิลปินก็หลอกว่าอันนี้สวย แล้วก็หลอกกันไปเป็นอุปาทาน ศิลปะในโลกนี้คือสิ่งที่หลอกกันทั้งนั้น หลอกว่าสวย หลอกว่า น่าได้น่ามี น่าเป็นอย่างนี้ 

เอาลิงมาตีนจุ่มสีแล้วเดินบนแผ่นกระดาษ เอารถจักรยานมาทับสีวิ่งบนกระดาษ เสร็จแล้วก็บอกว่านี่คือ ศิลปะ ก็ทั้งนั้นแหละมันก็หลงเลอะ สมมุติกัน ตีราคากันยึดติดว่าสิ่งนี้ยอดๆๆ ใครได้เป็นเจ้าของแล้วเท่ซะไม่มี ประมูลกัน ร้อยล้านพันล้านหมื่นล้าน เอาเงินไปถมกัน 

เมื่อรู้ความจริงแล้ว ศิลปะก็คือยอดแห่งความยึดติดที่หลอกกัน จนโง่ไม่จบ พระพุทธเจ้าท่านพยายามขยายความ ถ้าเข้าใจศิลปะ เอาเถอะคนจะติดยึดอย่างไรก็แล้วแต่ให้เข้าเนื้อหา ให้คนไปสัมผัสแล้วเกิดอาการของจิต ให้มันเบื่อหน่ายคลาย 

เพราะฉะนั้นงานศิลปะถ้าใครไปสัมผัสแล้วมันเกิดความละหน่ายคลาย ไม่ใช่ไปยิ่งติดยึดยิ่งชอบ ยิ่งต้องการมาเป็นของตน นั่นแหละมันตรงกันข้ามกับศิลปะที่เป็นมงคลอันอุดม เป็นมงคลอันเจริญ มันไม่เป็นมงคลอันเจริญ มันยิ่งติดยึด 

ยิ่งสัมผัสแล้วละหน่ายคลายนั่นแหละคือ งานศิลปะแท้เป็นงานศิลปะโลกุตระ ไม่ว่าจะเป็นด้านภาพเขียน เป็นการปั้น สถาปัตยกรรม วรรณกรรม Music ดราม่า ดนตรีการนาฏกรรม อะไรก็แล้วแต่  

มันหนีไม่พ้นลักษณะพวกนี้ของศิลปะ 5 อย่าง คุณจะต้องทำ คุณต้องทำรูป คุณจะต้องทำสภาพอะไรขึ้นมา จะเป็นสีขาวสีดำและจะมีสีอื่นเป็นจิตรกรรม จนเป็นรูปเป็นร่างเป็นประติมากรรม จนเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตเรื่องแท่งก้อนอาศัยใช้สอยเป็นสถาปัตยกรรม มาพูดจาแจกแยกแบ่งสื่อกันให้ละเอียดเรียกว่า วรรณกรรม ให้รู้เรื่องกัน แล้วก็แถมดนตรีกับท่าทีลีลา อันนี้แหละประกอบเข้าไปอีก กลายเป็น เล่นดุ๊กดิ๊ก เรียกว่าเป็นศิลปะวนอยู่ตรงนี้ไม่จบ 

ผู้ที่เข้าใจอย่างอาตมานี้รู้ จริงแล้วทุกอย่าง 5 ประการนี้เป็น Pure Art เดี๋ยวนี้มันบานปลายตั้งชื่อไปสารพัดอย่าง ศิลปะการค้า ศิลปะเหนือความจริงไปใหญ่เลย Abstract เลอะเทอะ บานปลายออกไปไม่ใช่ศิลปะ 5 อย่างนี้ที่เป็น Pure Art  ไม่มีหลีกพ้นหรอกในชีวิตมนุษย์กรรมกิริยาอยู่ในศิลปะ 5 อย่างนี้ 

เสร็จแล้วก็มาเรียนรู้กิเลสที่ประกอบอยู่ในศิลปะ 5 อย่าง ผู้รู้จะรู้ว่ากิเลสมันผสมเข้าไปก็รู้ ผสมเข้าไปกับสีสันของมัน ผสมเข้าไปกับรูป ประติมากรรมรูป สีสันจิตรกรรม จนกระทั่งก่อเป็นรูปเป็นร่างใหญ่โตขึ้นมา สถาปัตยกรรม จนเอาไปใช้สอยได้ เป็นคูหาเป็นถ้ำ เป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตมโหฬาร 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สู่แดนธรรม... พ่อครู เน้นย้ำเรื่องความสุขความทุกข์ให้เป็นกรรมฐาน การปฏิบัติธรรม ความสุขความทุกข์เป็นต้นเหตุแห่งการเห็นแก่ตัว คนเรารักสุขเกลียดทุกข์ ต้องการความสุขจนไปทำชั่วได้เลย หรืออยากได้ความสุขก็ไปทำดีก็ได้ 

พ่อครูว่า... ยึดอยู่ที่ความดีไปได้ความดีก็เป็นความสุข ยึดอยู่ที่ความชั่วไปได้ความชั่วมันก็เป็นความสุขไม่ได้ก็เป็นความทุกข์ 

สู่แดนธรรม... กรรมฐานนี้พ่อท่านเลยสอนให้เริ่มต้นอ่านที่ความรู้สึก สามารถเอาศิลปะเพื่อให้เกิดความละหน่ายคลาย 

พ่อครูว่า... มาละหน่ายคลาย จนกระทั่งเห็นเหลือแต่ความจริงตามความเป็นจริง สีก็คือสี รูปก็คือรูป เราไม่ได้หลงว่าสวยหรือไม่สวย สีก็เห็นว่าเป็นสี รูปก็เป็นรูปไม่ได้เห็นว่าสวยหรือไม่สวย มันก็เป็นอย่างนั้น มีความรู้ลึกเข้าไปอีกว่า ควร 

เช่น นี่แหละ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งควรกิน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรกิน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ควรมี สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรมี สิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งนี้ไม่เป็นประโยชน์ เราก็เอาที่เนื้อหาสาระของมัน คนนี้ก็อุปาทานตรงนี้ ไปเข้าหาแก่นสารเข้าหาสัจจะตรงๆ ไม่ต้องมีอะไรหุ้มพอกที่เกินกว่าแก่นสาร 

แก่นสาร ภาษาบาลีเขาเรียกว่า สาระ ผู้ใดได้สาระ ก็เพราะว่ากิเลสหมดเรียกว่า วิมุติ ผู้ที่มีวิมุติก็เหลือแต่สาระ ผู้ที่ได้สาระสมบูรณ์แบบแล้ว จะไม่มีรสอุปาทาน รสสุขรสทุกข์ เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้จริงๆแล้ว เมื่อสำเร็จเป็นอรหันต์แล้วก็จึงรู้ว่า อ้อ คนในโลก มันจะเป็นอรหันต์ ปุ๊บเดียวไม่ได้ มันต้องมีขั้นตอนจึงอนุโลม ให้ติดให้ยึด เป็นตามลำดับ สอนไปทีละขั้น นี่เป็นความรู้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ทีละขั้นๆ

มีวิธีไล่ลำดับ เรียงลำลำดับ แบ่งเป็น 4 โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ 

ศาสนาอื่นพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าไม่มีลักษณะ 4 นี้ เป็นมนุษย์ 4 เหล่าเป็นมนุษย์ 4 ขั้น ไม่มี มีแต่ของพุทธเท่านั้น 

เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธที่ไปหลงนั่งหลับตา ไม่มีรู้จักรูป  รูป รู้จักสี   รู้จักกลิ่น รู้จักเสียง ทางตาหูจมูกลิ้นกายเอาแต่หลับตาๆแล้วหยุดจิต จนกระทั่งทำให้มันหยุดได้เก่งแบบสมถะแล้วก็หลงว่าบรรลุธรรม เดียรถีย์ ก็ทำแบบโง่ๆ ซื่อๆ สะกดจิตหลับตา มันมีที่สุดอยู่ตรงนั้น 

พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาก็มีแต่พวกหลับตาอยู่เต็มป่า สะกดจิตทั้งนั้น พระพุทธเจ้าถึงได้มาสอนเลิกหลับตา ให้มีปัญญารู้ ยิ่งไปสะกดจิต มันก็ยิ่งโง่ อย่าไปสะกดจิต มาเรียนรู้ตามหลักปฏิบัติมีหลักเกณฑ์ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ ศีล อปัณณกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 แล้วก็ลดกิเลสเป็นขั้นๆ รู้ความจริงตามความเป็นจริงชัดขึ้นเท่าไหร่เท่าไหร่เท่าไหร่ฌาน มีปัญญา มีวิชชา

ฌาน ไม่มีปัญญา ไม่ใช่ฌาน ฌานได้แต่หยุดนิ่งคือไม่ใช่ ฌาน ของพุทธ ฌานของพุทธต้องมีปัญญา ปัญญาไมใช่เฉโก ปัญญาคือ ความรู้ความจริงตามความเป็นจริงได้ชัดเจนขึ้น 

ผู้ใดที่สามารถเรียนรู้ตามพระพุทธเจ้าได้ถูกต้องแล้วก็จะรู้รายละเอียดสารพัด วิจิตรพิสดารจริงๆ แล้วมันเชื่อมโยงกันเป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกันทั้งนั้นเลย 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน เหนือ ดี-ชั่ว สุข-ทุกข์ ด้วย สัทธรรม 7

_พ่อครูว่า... มาเจาะรายละเอียดลงไปที่ อาตมาพูดถึงเรื่องศีลแล้ว อปัณณกปฏิปทา 3 บ้างแล้ว

ตอนนี้เข้าสู่รายละเอียดของ สัทธรรม 7

ผู้ที่รู้รายละเอียดแล้วว่าไม่ต้องไปนั่งหลับตาจะต้องมาปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 ลืมตาตื่นสังวรสำรวมอินทรีย์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกี่ยวกับของกินของใช้นี่แหละ แล้วก็จะเกิดกิเลสแล้วก็ลดกิเลสตรงนี้ ต้องรู้ อปัณณกปฏิปทา 3 ต้องรู้ ต้องเข้าใจ ต้องเชื่อ ต้องเห็นจริงตรงนี้เรียกว่า สัทธา ตัวแรก สัทธรรม 7 

เริ่ม อปัณณกปฏิปทา 3 เป็นตัวแทนเลยที่ต้องเรียนรู้และปฏิบัติไม่ต้องไปนั่งหลับตา แต่ต้องทำให้ตื่น ไม่ใช่ไปทำให้หลับ 

เมื่อตื่นได้ปฏิบัติได้จึงเกิดปัญญาจึงจะเกิดความเฉลียวฉลาดเป็นปัญญา ไม่ใช่เฉโก อยู่อย่างเก่า ขอเริ่มเกิดความเห็นความรู้ความเข้าใจ มีศรัทธามันมีเชื้อของปัญญา มันเป็นธาตุปัญญา เข้าไปร่วมๆๆ ศรัทธาเพิ่มเรื่อยๆ

จนกระทั่งมีความเฉลียวฉลาดแบบปัญญามากขึ้นระดับหนึ่ง สะดุดเลย ไอ้หยา แต่ก่อนเราไปยึดโง่ๆ รู้ตัว หิริเกิด ละอาย เสร็จแล้วก็ไปยืนยันยืนยัน ยืนหยัดยืนยันที่ตัวเองหลงก็ยังไม่พอ ผู้รู้หรือสัตบุรุษหรือพระพุทธเจ้ามาบอกอย่างนี้ ว่าอย่างนั้นมันไม่ใช่ ก็เถียงก็แย้ง ด่าอีก ได้ทำอย่างนั้นมา จึงละอาย หิริ 

แล้วยิ่งมีความสำนึกมากขึ้นก็เป็นโอตตัปปะ เพราะเคยได้เข้าใจผิดจริงๆ รู้ตัวว่าเข้าใจผิด แล้วไม่พอ เอารูปธรรมง่ายๆ 

ผู้รู้ของศาสนาพุทธมาท้วงอาตมา ทั้งๆที่ อาตมาเป็นตัวถูก เป็นตัวที่จะเอาโลกุตระเข้ามาสถาปนาลงในศาสนาพุทธคืน เขาเอาของพระพุทธเจ้าไปปู้ยี่ปู้ยำเสียหมด  ผู้ที่อวิชชาถูกครอบงำด้วยมิจฉาทิฏฐิไปยึดเอาผิดนั่นแหละที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ พอ อาตมาประกาศสัจธรรมมันตรงกันข้ามกับที่พวกเขายึด เขาก็ซัดอาตมาเลย นี่แหละ มีตัวจริงเป็นตัวเป็นตนอยู่ทุกวันนี้ไม่รู้จักสำนึกสำเหนียกหรือยังรู้ตัวเองหรือยัง 

ถ้ารู้ตัวเองก็จะมีหิริ แล้วจะโอตตัปปะ จะละอาย แก้กลับ เปลี่ยนแปลงไปจนเป็นพหูสูตคือผู้รู้ที่รู้ความจริงมากพอ ได้สัจจะที่มากพอ พยัญชนะว่า พาหุสัจจะ เมื่อรู้แล้วทีนี้ก็มีวิริยะสติปัญญาก็พากเพีนรทำสิ่งนี้ต่อ นี่คือ สัทธรรม 7 

ซึ่งเป็นความสำนึก เป็นความรู้จริง เป็นความเปลี่ยนแปลงตนเอง เรียกว่าธัมมะดีเป็นสัทธรรม 7 เจริญศรัทธาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงยังยึดถือยังเชื่อตามที่ตัวเองรู้มาผิดๆนั้นยังไม่ชัด ว่าอย่างที่อาตมานำมานี่คือความถูกต้อง ยังไม่เห็นดีตาม ยังยึดอย่างเก่าอยู่ อาจจะบอกว่า ใช่โพธิรักษ์พูดมีส่วนถูกบ้าง แต่เฉลี่ยแล้ว ผิดมากกว่าถูก ฉันต่างหากถูกมากกว่าผิด เอาแค่นี้เป็นเครื่องตัดสินก่อนก็แล้วกัน แล้วเขาก็จะยืนยันเชื่ออย่างนั้น 

จนกว่าจะเกิดปัญญาจริงๆว่า มันละเอียดตรงที่ว่า โพธิรักษ์แม้ถูกน้อย ก็เป็นโลกุตระ แต่ตัวเองไม่มีโลกุตระเลย ถ้าแยกโลกียะกับโลกุตระออกเมื่อนั้นแหละเข้าข่ายอาริยชน ไม่อย่างนั้นก็เป็นปุถุชนที่กิเลสหนาอยู่นั่นแหละ เจาะไม่เข้า เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เป็นโจรปล้นศาสนาอยู่ พระราชาให้เอาหอกไปแทง 100 เล่มตอนเช้าก็เฉยไม่รู้สึกรู้สา แทงกลางวันอีกร้อยเล่มก็เฉยไม่รู้สึกรู้สา แทงเย็นอีก 100 เล่มก็ไม่รู้สึกรู้สา อยู่มันยังเก่า ถ้าอย่างนี้รับรองว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงไม่มีการเจริญขึ้นได้เลย นิรันดร 

ถ้าเริ่มต้นมีอัญญธาตุ เริ่มต้นมีธาตุอื่นที่ ต่างจากตนเองยึดถือ มันจะมีแบ่งเป็น 2 อย่าง 

1 ที่ตัวเองรู้ถือทั้งหมด กับอันที่มันเริ่มต่างขึ้นมา พยายามพิจารณาตัวต่างนี้ขึ้นมาบ้างมันจะได้รู้ว่าโลกนี้มันมีมากกว่านี้หรือเรียกว่า ปรโต แล้วมีคนมาโฆษะ มีคนมาส่งเสียงพูดออกเสียงบอก ปรโต คือมันมมีอื่น รู้จักที่ตัวเองคิดถึงอยู่ เริ่มเห็นสิ่งที่ตั้งขึ้นมาเริ่มมีปรโตโฆษะ 

ถ้ายิ่งศึกษาเห็นว่าเรานี้ไปยึดถือสิ่งที่ผิดในไว้นานแล้ว ให้เปลี่ยนมาจนกระทั่งมีมวลปริมาณมากพอ โอ้โห! มันก็หาสูตรความถูกต้อง เปลี่ยนมาแล้วก็มาปฏิบัติ 

ทุกวันนี้เรียนรู้แตกปริยัติจนกลายเป็น ปรปรมบุคคล เป็นคนที่เรียนรู้พยัญชนะของศาสนานี่แหละ เรียนรู้พุทธพจน์ก็มาก ท่องจำไว้ก็มาก สาธยายสั่งสอนอยู่ก็มาก แต่ไม่รู้ว่า จิตเจตสิก รูปนิพพาน เป็นอย่างไร เวทนาในเวทนาเป็นอย่างไร กาย จิต แยกกันอย่างไร ที่อาตมาสาธยายไปต่างๆนานา แล้วพามาปฏิบัติ ไม่ใช่สาธยายเปล่า 

สาธยายแล้วพวกคุณนำไปปฏิบัติได้จึงเกิดสังคมที่เป็นอริยบุคคล สังคมพวกชาวอโศกเป็นสังคมอาริยบุคคล มี 1 ในโลกปัจจุบันนี้ พูดอย่างนั้นขอยืนยันอย่างนั้นชาวอโศกเป็น อาริยกะ ไม่ใช่ มิลักขะ คนเถื่อน 

คนเถื่อนที่นึกว่าตัวเองเจริญ เถื่อนแย่งลาภ ยศ เถื่อนเก่งในการฆ่ากัน อยู่อย่างนี้ แต่พวกเรานี้เลิกมาหมด เลิกแย่งทรัพย์สิน เลิกฆ่ากัน มาสร้างสรร อาหารเป็นหนึ่งในโลกก็เป็นผู้ที่มาเจริญคือผู้ผลิตอาหารอย่างแท้จริง ไม่โง่งมง่าย ที่จะไปคิดสร้างอาวุธ ยิ่งจะไปสร้างระเบิดนิวเคลียร์อะไรก็ไม่ทำ 

เป็นคนฉลาดสร้างอาหาร สร้างให้อุดมสมบูรณ์เผื่อแผ่แจกจ่ายไปเลย ไม่ต้องกลัวเลย เป็นจุดสูงสุดในความเป็นมนุษย์ชาติแล้ว เป็นการงานที่จะลงพฤติกรรมกับการกระทำ เช้าตื่นขึ้นมาก็ทำ จนกว่าจะบรรลุอรหันต์จนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน  เลิกอยู่ในวัฏสงสารนี้ อัตภาพเราสลายเป็นดินน้ำไฟลมไป ถ้ายังจะสมัครใจเป็นโพธิสัตว์เหมือนอาตมาก็เอา เพราะเรารู้แล้วว่าเราจะปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ 

จะสืบทอดความรู้พระพุทธเจ้านี้ต่อไป หรือจะเรียนรู้ให้พิสดารช่วยเขาไปเพิ่มเป็นโพธิสัตว์ สูงสุดในความเป็นคนสูงสุดไม่มีใครจะเท่าแล้ว เป็นพระพุทธเจ้าสูงจริงๆ เป็นพระพุทธเจ้าประกาศศาสนาขึ้นมา ก็นึกว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในทำเนียบ ท่านจะได้สัมมาสัมโพธิญาณเหมือนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์แต่ไม่ประกาศ จะเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นปณิธานสูงสุดที่ไม่มีใครรู้จักเลยก็ไม่เป็นไร เป็นสิทธิ อาตมาว่าได้อธิบายถ้วนรอบหมดแล้วนะ ในความเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วจะทำอะไร 

เมื่อเป็นพระอรหันต์  คุณจะยืนยันต่อไปยาวนานเป็นพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรก็ทำ แต่อาตมาไม่ทำเท่าพระอวโลกิเตศวร อาตมายังไม่ถึงขั้นสูงสุด ให้สูงสุดก่อน แล้วก็แน่ใจว่าไม่ต่อ เก่งที่สุดสร้างศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ขึ้นมาในโลกเป็นเจ้าของศาสนา เรียกว่าพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งเท่านั้นพอแล้ว ไม่เอาแล้วสมัย 2 นี่ก็พูดมาหมดแล้วนะพูดวนแล้ว พวกเราก็เข้าใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 

สรุปแล้วเป็นคนเราเกิดมาเป็นจิตวิญญาณ เป็นคนก็มาเรียนรู้นิยามต่างๆ ตั้งแต่ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม มาเป็นกรรมนิยามเป็นธรรมนิยาม

เรียนรู้ทำให้จิตเป็นอุตุ พีชะทำได้แล้วทำได้สมบูรณ์จริงแล้วก็จบจริง ศาสนาพุทธก็มีอยู่แค่นี้ ไม่เห็นจะมีอะไรมากเลย เมื่อรู้แล้วมันก็ง่ายมันรวมง่าย อะไรๆก็เข้าใจก็เอามาพูดได้ต่อไปได้หมด เสร็จแล้วก็มีทั้งที่เกิดที่ตาย เป็นผู้อมตะ 

คนอมตะก็มีฌานได้โดยไม่ยากได้โดยไม่ลำบากซึ่ง ฌาน ทั้ง 4 

ฌาน ก็เป็นพลังงาน พลังงานที่จะทำให้เย็นก็ได้ทำให้ร้อนก็ได้ ฌานทั้ง 4 มีขนาด 1 2 3 4 เป็นผู้ใช้ ฌาน ตลอดเวลาเรียกว่า ฌานวิสัย คือทำอย่างชำนาญทำอย่างไม่ยากไม่ลำบากในฌานทั้ง 4 จะใช้ระดับ 1 2 3 4 ก็ได้ทั้งนั้น เป็น อัตโนมัติเลย เร็วจนไม่สามารถที่จะจับได้ว่าเมื่อไหร่เมื่อใด 1 2 3 4 แต่ทำ เพราะเป็นผู้ได้ ฌาน 

ฌาน นั้น พระพุทธเจ้าว่าเป็นปัญญา ฌาน ไม่มีปัญญาไม่มี แล้วอาตมา ก็ขยายความแล้วว่า ปัญญาไม่ใช่เฉโก ปัญญาเป็นความเฉลียวฉลาดโลกุตระ จึงสามารถอยู่กับพลัง ฌาน 

ตนเองทำให้ตนเองเรียบร้อยก็ใช้ ฌาน นี่แหละมาช่วยคนอื่นให้มีปัญญา มารู้จัก ทำพลังงาน ฌาน ให้แก่ตัวเองให้ได้ เผากิเลสในตนนั่นแหละตั้งแต่หยาบก่อน

   ชั้นที่รู้ง่ายล้างกิเลสนี้ได้แล้วจะรู้ว่ากิเลสมันหมดเป็นอย่างนี้เอง อบายมุขหมด กามหมด หมดลงไปๆ อีก โอ้! มันเป็นอย่างนี้เอง หมดกามแล้วเหลือข้างในมีแต่ รูป อรูป ลดจนหมด จบ ก็เลยกลายเป็นคนอมตะ เป็นคนที่จะตายอยู่ในสังสารวัฏนี้ หรือ จะอยู่ในสังสารวัฏนี้ต่อไปอีก นานเท่านาน ก็เป็นมนุษย์ที่ไม่มีพิษไม่มีภัย ไม่มีสิ่งร้ายจากคนพวกนี้อีกแล้ว มีหลักประกันยืนยันยั่งยืนถาวรเด็ดขาด 

ถ้าจะอยู่เป็นมนุษยชาตินี่แหละสมบูรณ์แบบ ก็เป็นคนที่ทำแต่ดี ไม่มีชั่วเลย และเป็นผู้ที่เป็นคนที่จะเลิกความเป็นคน ทำลายจิต อัตภาพตัวเองให้เป็นดินน้ำไฟลมเลยก็ได้ มันจบแล้ว จบในสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้นี้ จบเรื่องนี้ 

เพราะฉะนั้นคนที่ยังงมงายในเรื่องดีชั่วอยู่ ยังไม่ได้มาศึกษาสุขทุกข์ที่จริง ก็ติดสุข เรียกว่าสุขนิยม เกลียดทุกข์ ไม่รู้จักทุกข์อริยสัจไม่มาเรียนด้วย สร้างแต่สุขให้ตัวเอง ก็เลยสรุปเข้าไปอยู่ที่ดีกับชั่ว ถ้าได้ดีก็สุขถ้าชั่วก็รู้สึกตัวว่าไม่ดี นอกจากไปวิปริตไปหลงว่าชั่วนี้แหละดีไอ้ชั่วน่ะสุข ก็เป็นได้ สำหรับคนวิปริต คนวิปริตวิตถารไม่สอดคล้องกับสากลโลก มันก็วนเวียนอยู่แค่นี้ 

เพราะฉะนั้นคนที่เทวนิยมศึกษาแค่ดีกับชั่ว ไม่มาศึกษาธาตุจิตที่ถึงขั้นสุขกับทุกข์ คนไหนที่เข้าใจสุขทุกข์เป็นสุดยอดมายา หลอกมนุษย์ให้มีอัตภาพหรืออยู่ในโลก อ๋อ! ถ้าผู้สะดุดและรู้ทันนี้ แล้วก็มาเรียนรู้อันนี้ มาล้างความติดสุขติดทุกข์ ลงไปตามลำดับ คนนี้ก็จะจบอัตภาพจบชีวิต รู้รอบเลยว่า จิตนิยามคืออะไรเลิกจบ 

หรือตั้งแต่ยังไม่เลิกจิตนิยามตรัสรู้เป็นอรหันต์แล้ว จะอยู่ก็อยู่แต่ช่วยคนอื่นให้รู้อย่างที่ตัวเองรู้ตนเองได้ เอื้อมเอื้อเกื้อกว้าง  ให้คนอื่นได้รู้จัก เพราะถ้าเรารู้แล้วเราเป็นโพธิสัตว์เราไม่เชื่อมต่อ ศาสนาพุทธถ้าไม่มีโพธิสัตว์ป่านนี้สูญไปแล้ว มีแต่อรหันต์ตายไปแล้ว เมื่อบรรลุอรหันต์ตายแล้วสูญ เป็นอุจเฉทิฏฐิ อย่างที่เถรวาทเข้าใจ ป่านนี้ไม่ถึง 2,500 ปีหรอกหมดไปตั้งนานแล้วเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีโลกุตระ อาตมาต้องสถาปนาโลกุตระลงไปอีก ก็ยังดียังเหลืออยู่ 

อย่างพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลกแล้วก็ตรวจฐานมนุษย์ เอ๊ จะพอรู้โลกุตรธรรมได้หรือไม่หนอ ตรวจแล้ว อ้อ! คนแค่นี้หรือจะรู้ได้ ไม่คุ้มเลย ท่านก็ไม่ประกาศตัว เอายุคใหม่ที่จะมีคนพอได้คุ้มหน่อย หรือว่าท่านจะปรินิพพานเป็นปริโยสานไปเลยก็เรื่องของท่าน ท่านยังไม่ประกาศก็เป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานสักวาระหนึ่งยุคหนึ่งท่านก็ประกาศตนเพื่อที่จะต่อภพภูมิเป็นพระพุทธเจ้า องค์ใดองค์หนึ่งขึ้นในทำเนียบโลก 

สู่แดนธรรม... ทำไมพระโพธิสัตว์จึงสามารถสืบทอดศาสนาพุทธไว้ได้ 

พ่อครูว่า... โพธิสัตว์แปลว่า ผู้ตรัสรู้ เป็นโพธิสัตว์ก็คือมีความรู้ตั้งแต่เริ่มเป็นโสดาบัน ความรู้ที่เข้ากระแสโลกุตระ เริ่มต้นโพธิสัตว์ระดับหนึ่งก็เป็นโสดาบัน ระดับ 2 สกิทาคามีระดับ 3 อนาคามีระดับ 4 อรหันต์อย่างที่อธิบายไปหมดแล้ว 

เถรวาทหรือว่าพวกที่อวิชชากันถาวร เขาไม่รู้กันหรอก เขาไม่รู้ว่าคุณจะต้องมี ธาตุ ที่รู้ที่เป็นโพธิ ธาตุ ที่ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าสอนรู้ ตามพระพุทธเจ้าตรัส เป็นโลกุตรธรรม ก็คือเข้าไปรู้ตัวอาการของจิต แล้วแยกจิตกับกิเลสออกได้ แล้วก็มีวิธีไปสร้างพลังงานเป็นปัญญา 

พอสร้างพลังงานจิตตัวเองที่เป็นปัญญาได้ ว่าเจ้ากิเลสที่อยู่ในจิตเรามาเจอปัญญาแล้วมันถอย มันมีอำนาจมีฤทธิ์อย่างนั้น เรียกภาษาว่า กำจัดหรือฆ่า มันก็เป็นกิริยาหรือคำพูดให้ชัดเจน แค่มันรายละเอียดเป็นรายละเอียดพลังงานกิเลสเจอพลังงานปัญญา สลายตัวเองไปในตัวเลย นี่ใช้ภาษาขยายความพลังงานพวกนี้ด้วยสภาพธรรมพวกนี้ให้ฟังได้แค่นี้ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้าทำได้จริง 

เพราะฉะนั้นปัญญา 8 ที่อาตมาพยายามขยายความ ถึงเป็นยอดหัวใจที่จะต้องทำความเข้าใจ 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ปัญญา 8 ประการแบบสั้นเข้าใจง่าย

_พ่อครูว่า... ปัญญา 8 ประการ 

ปัญญาข้อที่ 1 ต้องได้ยินจากพระพุทธเจ้า รู้จากสัตบุรุษจากผู้รู้ที่สัมมาทิฏฐิ ต้องได้ยิน คุณรู้เองไม่ได้ไม่มีสิทธิ์เลย ไม่มีใครสามารถมีสิทธิ์ที่จะรู้เอง นอกจากมาเริ่มต้นที่จะได้ฟังจากพระพุทธเจ้าได้ฟังจากสัตบุรุษ ได้ฟัง ได้ฟังจากผู้รู้ที่สัมมาทิฏฐิรู้จักครับ 

ปัญญาข้อที่ 2 ก็ฟังแล้วฟังอีกฟังแล้วฟังอีก ไม่ใช่ฟังครั้งเดียวรู้เรื่อง หรือผู้ที่ฟังครั้งเดียวแล้วรู้เรื่องเลยก็เป็นผู้ที่มีบารมี อุคติตัญญุ 

นอกนั้นเนยยะบุคคลต้องฟังแล้วฟังอีก จึงต้องมีปัญญาขั้นที่ 2 อย่านึกว่าตัวเอง วิปัญจิตัญญู หรืออุคติตัญญู อย่านึกว่าตัวเองเป็นผู้มีบารมีเก่ามาพอสัมผัสแล้ว พ้นจากน้ำบานแฉ่งเลย ไม่ใช่ง่ายๆอย่างนั้น ต้องฟังแล้วฟังอีกจึงต้องมีปัญญาข้อที่ 2 

ปัญญาข้อที่ 3 จึงจะแยก ความสงบ 2 อย่างได้ ความสงบ 2 อย่างนี้แหละ เขายังไม่เข้าใจกันง่ายๆหรอก สงบโลกียะก็หยุดเฉยๆ มันไม่ใช่ สงบโลกุตระนั้นคือกิเลสในจิตมันลดบทบาท มันสงบ ความสงบ 2 อย่างนี้จึงต่างกันกับความสงบที่โลกียะเขาเข้าใจโลกียะเข้าใจไม่ใช่ความสงบของพระพุทธเจ้า ความสงบของโลกุตระต้องรู้จิตที่มันกิเลสลดลงดับสนิทเลยสงบสนิท นั่นคือความสงบอยู่ตรงนี้ นี่คือรู้จักความสงบ 2 อย่าง โลกียะ ถ้ายังไม่เข้าใจอย่างนี้ ถ้าโลกุตระจึงจะเข้าใจอย่างที่อาตมาสาธยาย จึงรู้จักความสงบ 2 อย่าง ไม่ง่ายแล้ว 

เริ่มโลกโลกุตระแล้ว พอเริ่มโลกุตรระจุดเริ่มต้นปัญญาตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้คือปัญญาข้อที่มีศีล 

ปัญญาข้อที่ 4 ปฏิบัติศีลไปทีละข้อจะได้ปัญญางอกงามไพบูลย์ไปตามลำดับ 

ปัญญาข้อที่ 5 ก็เจริญเป็นพหูสูต เจริญเป็นพหูสูตไปเรื่อยๆ 

ปัญญาข้อที่ 6 ก็เลยต้องวิริยารัมภะ พากเพียรในสิ่งที่ได้แล้วถูกต้องแล้วจะเจริญไปเรื่อยๆเป็นอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ ก็วิริยารัมภะ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 

ปัญญาข้อที่ 7 ก็จบเลย จบอรหันต์จบโพธิสัตว์ สรุปเลยจบอรหันต์ จบโพธิสัตว์ 

ปัญญาข้อที่ 8 ทุกกระบวนการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปความเสื่อมความเจริญ ความมีความไม่มีจบอยู่ที่ข้อที่ 8 หมดเลย 

นี่คือปัญญา 8 ข้อจบ 0 ๆๆๆๆ เวลาพอดี 

จบ

ที่มา ที่ไป

650215


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2565 ( 19:19:56 )

650216

รายละเอียด

650216 พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า พุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 46 วิญญาณกับวิญญัติ วันมาฆบูชา

https://www.boonniyom.net/51180.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1Z8r1Zjj5-aH978MNVdI4R66GfJpDAyfBC4nkONDMGmA/edit?usp=sharing   

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1MFiBvel2bsQSOidKZVstxhLnu3pmuisb/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/bc28U9WTag/ 

และ https://youtu.be/FgN9N3Pl4SU 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ความเข้าใจเรื่อง วิญญัติกับวิญญาณ สัมมากับมิจฉา

_พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันมาฆบูชา อาตมาจะพยายามเทศน์ให้ละเอียดพอสมควร ในประเด็นที่มันยังมีความเข้าใจไม่ชัดเจนกันอยู่ สำหรับผู้ที่ศึกษาธรรมะกระแสหลัก พระป่านั่งหลับตา ยังเข้าใจความสำคัญ จุดที่ถูกต้อง บัญญัติภาษาว่า “วิญญาณ” กับ “วิญญัติ” เป็นต้น 

ทางกระแสหลัก ส่วนใหญ่พระป่า จะเข้าใจว่าวิญญาณคือ วิญญัติ ซึ่งมันต่างกัน 

วิญญัติ มันเป็นแค่ รูป เป็นอาการของรูปธรรม ไม่ใช่อาการขั้นนามธรรม 

วิญญาณ จึงเป็นอาการ ลิงคะ นิมิต ของนามธรรม 

แต่วิญญัติ มีกายวิญญัติ วจีวิญญัติ แม้จะมีคำว่า มโนวิญญัติ ก็ไม่ค่อยพูดถึงกันแต่จะพูดถึงก็ได้ 

การเคลื่อนไหวของจิตของมโน ไม่ใช่ความรู้สึกของ มโน 

วิญญาณเป็นความรู้เป็นความรู้สึก วิญญาณ เวทนา เป็นความรู้เป็นความรู้สึก อย่างพืช ยังไม่มีวิญญาณไม่มีเวทนา มีแต่กายสังขาร เคลื่อนได้เหมือนกัน พืชมีวิญญัติ มีการเคลื่อนปรุงแต่งตัวมันเองมีสัญญามีสังขาร

นัยละเอียดพวกนี้ เป็นภาษาบาลี อาตมาแปลเป็นภาษาไทย ถ้าเข้าใจไม่ถูกเป็นสภาวะ กำหนดสภาวะ เรียกว่า ทำนิมิต สร้างนิมิต มันไม่ตรงกับสภาวะจริงๆเลย อาการอย่างไรมันต่างกันอย่างไร รายละเอียดพวกนี้ ค่อนข้างยาก ถ้าศึกษาไม่สัมมาทิฏฐิดีๆ มันกำหนดไม่ถูก 

โดยเฉพาะคำว่า สัญญา สัญญากำหนดคู่ คือ กาย กำหนดสภาวะคู่คือ กาย กำหนดไม่ได้ กำหนดไม่ถูก กำหนดไม่ตรงกับความจริง ก็ผิดไป 

เพราะฉะนั้นการกำหนดหรือสัญญากำหนดก็รู้ กาย ทางสายหลับตา ก็ไปกำหนดรู้ กายใน กายในกาย มันไม่มีกายนอก ที่จริงเรียกภาษาว่ากาย แต่ว่าไม่มีภายใน เป็นภาษา สิริมหามายา เอาคำว่ากาย ซึ่งมันไม่มีหรอก กายที่ไม่มีภายนอกด้วย สภาพไม่มีภายนอกไม่เรียกกาย ต้องมีภายนอก-ภายใน คู่ จึงเรียกว่า กาย ไปหลงแต่ภายในเรียกว่า กาย 

พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้หลงกายแต่เพียงภายในเป็นคนพาล คนโง่ 

ในพระไตรปิฎก พาลบัณฑิตสูตร ล.16 ตายไปแล้วก็ยังมีกายอยู่ ตายไปแล้วไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายก็เป็นจิตสัมภเวสี 

สัมภเวสีกับวิญญาณฐิติที่มีกายกับสัญญา วิญญาณฐิติมีกายกับสัญญาเป็นคู่ตรวจสอบสุดท้ายเลยวิญญาณฐิติข้อที่ 7 ตรวจสอบ เขาไม่รู้ก็ไม่มีวันที่จะบรรลุอรหันต์ ก็อาตมาพยายาม ที่พูดนี้ด้วยเมตตาสงสารจริงๆว่า ที่ท่านก็พยายามกันเนาะอุตสาหะวิริยะพากเพียรเอาชีวิตมาทิ้งทางนี้ตั้งแต่ เยอะ บวชตั้งแต่เป็นเณร จนกระทั่งถึงเป็นพระจนกระทั่งถึงอายุมากจนกระทั่งมีตำแหน่งยศศักดิ์ ทางศาสนามากมาย 

เพราะฉะนั้นวิธีปฏิบัติที่มันไม่ถูกต้อง ที่อาตมาพูดย้ำซ้ำซากว่าอย่างนั้นมันเป็นลัทธิ เดียรถีย์ หลับตานั้น ไปอดทนต่อความลำบากยากเข็ญ ซึ่งเป็นความลำบากภายนอกปฏิบัติการ อย่างสายพระป่าสายบุกตะลุย ไปผจญภัยในป่าเขาถ้ำ ต่อสภาวะภายนอก แล้วก็หลงเรียกภาษาคำว่าธุดงค์ไปเรียกพระธุดงค์ หรือพระกรรมฐาน  ธูตะ หรือ องค์ เป็นภาษาไทยคือธุดงค์ เลยเพี้ยนแต่เป็นออกป่าดง ทะลุดงไปเลย ธุดงคือธุตังคะ คือศีลเคร่ง หลักปฏิบัติที่สูงขึ้นเข้มข้นขึ้นเรียกว่า ธุดงค์ อยู่ในวรรณะ 9 ธุตังคะ 

ที่จริงพยัญชนะต่างๆที่พระพุทธเจ้าสอนบันทึกในพระไตรปิฎก ดี ยังไม่ผิดอะไรมากมาย ไม่เหมือนท่านพุทธทาสที่ตีทิ้งไป 60% ท่านรู้ได้แค่นั้นท่านเลยฉีกทิ้งไป 60% อาตมารู้ได้เกือบเต็มร้อย มีที่เขาแปลกันผิดเพี้ยนบ้าง จากบาลีมาเป็นไทย ก็เบี้ยวบาลีกันไปบ้าง อย่างนั้นอย่างนี้อาตมาไม่อ่านหรอกมันยืดยาด

เพราะฉะนั้นผู้ที่เพี้ยนไป ไปกำหนดวิธีหลับตาก็ผิดแล้ว หลับตาผิดไปจากจรณะ 15 แล้ว เพราะจรณะ 15 ระบุไปว่าต้องมีศีลต้องมี อปัณณกปฏิปทา 3 ชัดๆกำหนดไว้ว่าหลับตาไม่ได้ สำรวมอินทรีย์ 6 ก็บอกว่าแล้วว่าต้องมีการรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ 6 ไปอยู่ที่หนึ่งเดียวและปิดอีก 5 ทวารไม่สำรวมสังวรเลยมันก็ผิดไปทันที พูดไปเท่าไหร่ท่านก็ไม่รู้ 

เพราะอาตมาไม่ได้มีสำนักมีครูบาอาจารย์สืบทอดมา โผล่มาบอกว่าตัวเองรู้ดีมาจากชาติก่อนๆ มันก็ไม่มีใครรับรอง มาชาตินี้อาภัพ ไม่มีใครรับรอง แต่อาตมาก็ยืนยันว่าอาตมารู้มาเองเป็น สยังอภิญญา ตามหลักธรรมพระพุทธเจ้ามีอยู่แล้วรู้มาเองข้ามชาติ สยังอภิญญา ก็เข้าใจคำว่า สยังอภิญญา ไม่ได้ พอเราบอกเรารู้เองก็มายัดเยียด ประชดประชันเราว่าเป็นพระพุทธเจ้าหรือยังไงรู้ด้วยตัวเอง ก็บอกว่าไม่ใช่ สยังอภิญญา ไม่ใช่สยัมภู พากเพียรไปเป็นอภิภู ซึ่งเขาจับความแตกต่างรายละเอียดพวกนี้ไม่ได้ 

หลับตาเป็นพวกสะกดจิต มีแต่ข่ม มีแต่สมถะๆๆ มันไม่มีวิปัสสนาไม่มีการรู้การเห็นแล้วก็พิจารณาความแตกต่างระหว่างการรู้การเห็น กระทบสัมผัสตั้งแต่ภายนอก หยาบ กลาง ละเอียด เข้าไปถึงภายใน 

มีแต่สมถะก็กดข่ม หยุด นิ่ง เฉย หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น ไม่มีรายละเอียดของอภิธรรมในจิต มีแต่เก่งหยุดๆๆๆ ปล่อยวาง ไม่เอาถ่าน แล้วก็หลงว่าตัวเองหลุดพ้นหรือว่างแล้ว วางแล้ว 

ซึ่งข้อแตกต่างของพุทธจริงๆนั้น ลืมตา ปฏิบัตินี่เริ่มแตกต่างแล้ว มีจรณะ 15 วิชชา 8 นี่แตกต่างแล้ว แล้วหลักธรรมที่จะบรรลุธรรมของพวกหลับตากับลืมตา พวกหลับตา ผลที่ได้ส่วนมากจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิงจะไม่ค่อยได้ ผู้หญิงจะเป็นคนคอยติดตามศึกษา ตัวเองยังไม่ได้เกิดเป็นผู้ชาย เพราะฉะนั้นไม่พูดเลย ผู้หญิงบรรลุอรหันต์ ผู้หญิงเป็นโสดาบันสกิทาคามี ไม่พูดถึงเลยแต่ต้องพากเพียร มันจะมีความลำเอียงผู้หญิงผู้ชายอยู่เยอะ 

เพราะฉะนั้นความแตกต่างอันนี้ อาตมาจำเป็นที่จะต้องพยายาม อธิบายขยายความ ที่ละเอียดลออเข้าไปแล้วก็พาพวกเราพิสูจน์

จริง ในโลกนี้ผู้ชายน้อยลง ผู้หญิงจะมากขึ้น ผู้หญิงหนังเหนียวตายยากกว่าผู้ชายอีก แปลก ไม่ว่าชนชาติไหน แล้วผู้หญิงก็ทุกข์มาก อยากบรรลุธรรม ยิ่งมาเรียนศาสนาพุทธเรียนรู้อริยสัจ จึงรู้ว่าเป็นทางออกจะพ้นทุกข์ ก็มากัน คนมาศึกษาพุทธจึงเป็นผู้หญิงมากขึ้นๆ ผู้ชายไปตายในสนามรบเสียเยอะ ผู้ชายห่ามๆก็เลยตายไว ผู้หญิงก็ไม่ห่ามเท่าไหร่ ได้แต่เก่งปากไม่เก่งกายกรรมเก่งแต่วจีกรรม ผู้ชายเก่งกายกรรมก็เลยไปตายเยอะกว่า ผู้หญิงเก่งแต่ปากหอกก็เลยไม่ตายเยอะ ที่พูดนี้เป็นสัจจะเป็นธรรมชาติ

ศีลต่างกัน สมาธิต่างกัน ปัญญาต่างกัน มีความรู้ความเห็นความเข้าใจต่างกันไปหมด หลับตาแล้วศีลจะสะอาดบริสุทธิ์เอง ฝ่ายหลับตาว่างั้น ฝ่ายลืมตาบอกว่าไปหลับตาจะมีศีลกันได้อย่างไร ศีลต้องลืมตาเกี่ยวข้องกับสัตว์ เกี่ยวข้องกับของ เกี่ยวกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ในศีล 3 ข้อแรก แต่นี่คุณหนี หลบไปอยู่ภายในสัตว์ก็ไม่เกี่ยวข้าวของคุณก็ไม่เกี่ยว ไม่ว่าจะเป็นข้าวของ พืชพันธุ์ธัญญาหาร คุณก็ไม่เกี่ยว คุณเอาแต่นั่งหลับตาเข้าไปอยู่ภายใน รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสภายนอกกามคุณ 5 คุณก็ไม่เกี่ยว คุณก็ไปทำแต่จิตในจิตของคุณอยู่เท่านั้น เห็นชัดเลยว่ามันไม่ใช่ มันผิดมันไม่มีศีล ไม่มีอปัณณกปฏิปทา 3 

เพราะฉะนั้นในหลักเกณฑ์จรณะ 15 4ข้อแรกนี้ เขาไม่มี ไม่ได้ปฏิบัติรู้สีรู้สา ไม่ได้คำนึง นั่งหลับตาไป มีศรัทธาและเขาก็นึกว่ามีหิริโอตตัปปะก็ไม่ใช่ หิริ อย่างไร อาย โอตตัปปะอย่างไร เกรงกลัวอย่างไร พหูสูตเป็นอย่างไร นั่งหลับตา มีแต่หยุดรู้ รู้ฟุ้งซ่าน เป็นนิรมาณกายเป็นกายเก๊กายหลอก สร้างกายขึ้นมาใหม่  ซึ่งแต่ละคนๆ เป็นกายของตนเองสร้าง สร้างขึ้นมาเองทั้งนั้น ต่างคนต่างของใครของมันอยู่ในภพ หลับตาอยู่ในสัมภเวสีของตนเอง เป็นนรกเป็นสวรรค์ เป็นดีเป็นชั่วเป็นอะไรก็แล้วแต่ ไปเป็นเรื่อง ไปเป็นนิยาย หรือเป็นโลกจินตา คิดเอาเองเต็มโลกเลย ต่างคนต่างหลับตาของใครของมัน   แล้วทำมาพูดกันตรงกัน เรียกว่าสัมโภคกาย เรียกว่าอุปาทานหมู่ มาทำเป็นพูดตรงกันๆ มันไม่ตรงก็พยายามจะให้ตรงกันให้ได้ ใช่ๆๆ ก็มันนามธรรม เสร็จแล้วมันก็ไม่ถูกต้องสักอย่าง มันไม่เห็นจากของใครๆ เป็นอาทิสะ คือไม่เห็น ต่างคนต่างเห็นของแต่ละคนของใครของมัน เท่านั้นเอง แต่เอามาโมเมพูด เป็นอุปาทาน สัมโภคกาย 

เพราะฉะนั้น กายแต่ละกายที่หลับตามีกาย เนรมิตเองทั้งนั้น เป็นนิรมาณกาย แล้วโมเมเป็นสัมโภคกาย ก็เห็นของกันและกัน ซึ่งต่างคนต่างไม่เห็นของกันและกัน หลับตาก็เป็น กายสัมภเวสีก็ได้ เรียกว่ากาย 3 ก็ได้ เป็นพาล ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 59 ยังเป็นพาลชนยังเป็นคนโง่ คนไม่เดียงสา คนยังอ่อนปัญญา คนยังไม่มีปัญญายังเข้าใจไม่ได้ ยังไม่รู้ประสีประสาเหมือนเด็กๆไร้เดียงสา มันก็ต้องพากเพียรศึกษาขึ้นมา ให้มันได้สภาวะจริงๆกันขึ้นมา 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน วิญญัติกับวิญญาณความเข้าใจของสายศรัทธาสายปัญญาและสายวิตักกะ

_พ่อครูว่า... มาเข้าสู่บัญญัติ 2 คำ วิญญาณกับวิญญัติ

วิญญาณคือ ธาตุรู้ทั้งหมด รูปเวทนาสัญญาสังขาร วิญญาณเป็นหัวหน้า ถ้าไปอ่านหนังสือคนคืออะไรทำไมสำคัญนัก ก็จะรู้ดีว่าอาตมาแยกวิญญาณออกเป็นหัวหน้าของเวทนาสัญญาสังขาร แยกเป็นหัวหน้ากรม หัวหน้ากองเป็นอธิบดีไว้
เวทนา สัญญา สังขาร ทำงานเป็นเจตสิก มีหน้าที่คนละหน้าที่ ทำแล้วส่งให้วิญญาณ วิญญาณเป็นตัวนายตัวผู้รู้รู้ร่วม รู้ครบ เวทนาก็ทำหน้าที่หนึ่ง สัญญาก็ทำหน้าที่หนึ่ง สัญญาทำหน้าที่หนึ่ง สังขารทำหน้าที่อีกอย่างหนึ่ง แม้ที่สุด แยกไปเป็นเจตนาก็ไปทำอีกหน้าที่หนึ่ง 

เพราะฉะนั้นคนที่ยังไม่เข้าใจถึงนามธรรมต่างๆ แม้แต่รูปธรรมก็ยังสับสน ถึงยากมาก ที่จะบรรลุธรรม แต่เขาก็พยายามทำความหยุดที่เป็นสงบ สงบเฉพาะการเคลื่อนไหว ไม่ใช่ไม่สงบเพราะจิตเจตสิกหรือคือตัวกิเลส อกุศลเจตสิก ซึ่งใช้พยัญชนะเรียกแยกกัน 

ของพระพุทธเจ้านั้นจับอาการตัวนิมิตของอาการนั้นให้ได้ว่ามันเป็นกิเลส จับมั่นคั้นตายตัวตนของกิเลสได้ แล้วก็พยายามเห็นให้ได้ว่าตัวเองยังโง่ ตัวเองยังอ่อนเยาว์ตัวเองยังไม่ชัดเจนในความจริง เพราะฉะนั้นเอาความจริงที่ตัวเองเริ่มเข้าใจความจริง เอาความจริงนั้นมายืนยันกับตัวโง่ ขยายความให้เห็นถึงภาษาลักษณะสัจธรรมที่จัดการกัน จะใช้ศัพท์ภาษาที่แรงว่ากำจัดฆ่าทำลายก็ได้ แต่ว่ามันก็แรงๆ แต่อย่างสุภาพอย่างจริงๆแล้วไม่ได้ฆ่าแกง ไม่ได้มีทุบมีถองกันหรอก พลังงานวิเศษ พลังงานของปัญญา ซึ่งเป็น ฌาน จนกระทั่งถึงบุญนี่สุดยอดปัญญาเลย แต่ไม่เรียกปัญญา ประเดี๋ยวจะกลายเป็นสภาพสมบัติ ปัญญาเป็นสมบัติแต่ว่าบุญไม่ใช่เป็นสมบัติ 

เพราะฉะนั้น ปุญญะ ถึงเข้าใจยากเพราะมันมีหน้าที่เดียว เป็นหน้าที่เพชฌฆาตมือสุดท้าย ฌานเป็นเพชฌฆาตมือ 1 มือ 2  มือ 3  ส่วนมือ 4 มือสุดท้ายเป็นขั้นบุญก็ได้ หรือว่าบุญจะเป็นมือที่ 5 ก็ได้ เพราะฉะนั้นในพระอภิธรรมบางทีก็แยกเป็น 5 เป็นฌาน 5 ไม่ใช่แค่ฌาน 4 

จัดการตัวนี้อย่างไรอย่างไร กิเลสก็ต้องตายเด็ดขาดตายไม่มีฟื้น ตายเป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) 

ตายเด็ดขาด นี่คือภาษาที่เอามาสื่อสภาวะ ผู้ใดปฏิบัติถูกปฏิบัติตรงปฏิบัติสำเร็จก็ได้สภาวะนั้น มีสภาวะนั้นขึ้นมาในตน เอาตั้งแต่โลก หยาบๆ ที่ใช้ภาษาว่าอบายมุข มุขคือหัวหน้าเลย หรือหยาบๆต่ำของใคร เราก็ต้องรู้ของเราเอง ไปติดในเรื่องอบายมุข 6 อบายมุข 4 ท่านก็มีตัวอย่างแยกแยะไว้ อย่างนั้นเป็นต้น  เราก็รู้ว่าเราไปติดไปเลอะในวงวนวัฏฏะ โลกนั้น ไปวนเวียนเสพกับสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วเกิดสุขเกิดทุกข์ จนกระทั่ง ว่า ปัดโธ่เอ๊ย สิ่งเหล่านี้ไม่ต้องไปสัมผัสก็ได้ ไม่ต้องไปวนเวียนกับมันก็ได้ มันก็มีอยู่สำหรับคนที่ติดยึด ถ้าเกิดปัญญารู้ว่าเราไปเสพรสชาติ สุขๆทุกข์ๆ แยกกันไม่ออก อันนี้ก็ยาก พวกสุขนิยม ไม่เรียนทุกข์เลยนี่พูดกันอย่างไร อย่างไรก็ยาก 

แค่พยัญชนะ สุขทุกข์ก็ตัวหนึ่งก็พอรู้ แต่เข้าไปหาอารมณ์จริง เขาไม่รู้ แวบใด ที่มันไม่ได้ดั่งใจก็ทุกข์ หยาบบ้าง ขนาดหยาบๆเขาก็ยังไม่รู้เลย เสพสุขอย่างหยาบ เขาก็ยังไม่รู้ อาตมาก็ว่า พูดละเอียดหมดแล้วก็วน มาขยายความพวกนี้ไป 

เพราะฉะนั้นคำว่าวิญญาณ นี้แยกออกมาเป็น เวทนา สัญญา สังขาร

ส่วนวิญญัติคือ การเคลื่อนที่ไปมา กายวิญญัติ ไม่มีความรู้สึก ไม่เกี่ยวข้องกับเวทนา สัญญา สังขาร ไม่เป็นวิญญาณ เพราะฉะนั้นคนไม่รู้ก็ไปนั่ง บอกว่าสงบหยุด หยุดอะไร หยุดการเคลื่อน กายสงบก็หยุดการเคลื่อนของร่าง นิ่งเฉยหยุดเข้าไป หยุด กายสังขารังปัสสัมภรัง คือปฏิบัติให้สงบทางกายสังขาร เขาก็หยุดกาย ให้หยุด ยังหยุดไม่ได้ก็ช้าลง ก้าวหนอ ย่างหนอ ก็ไปฝึกฝนอยู่แต่การเคลื่อน ไม่ได้มีการหยั่งรู้เข้าไปถึงตัวอาการของจิตเจตสิกต่างๆ มันยังไม่เข้าถึงปรมัตถ์ ไม่เข้าถึงจิตเจตสิกรูปนิพพาน มันไม่เป็นอภิธรรม 

มันไม่เข้าถึงจิต มันมีแต่การเคลื่อนภายนอก ทางกาย ทางวาจา มันไปเพียรข้างนอก เพราะฉะนั้นเขาก็ให้มันหยุดข้างนอกเฉยๆ สะกดเอาไว้ ระงับเอาไว้อย่าให้มันเคลื่อนเป็นวิญญัติ ปฏิบัติอยู่แค่ส่วนภาควิญญัติ เข้าไปไม่ถึงวิญญาณ 

เพราะฉะนั้นคำสองคำนี้ วิญญาณกับ วิญญัติ ถ้าไปเห็นความต่าง ลิงคะหรือเพศ ของมันให้ได้แล้วรู้ตัวเอง เราอย่าไปหลงแค่การเคลื่อน เราทำไม่เคลื่อนได้ ถือว่าบรรลุธรรม ก็บรรลุธรรมอย่างหนึ่ง บรรลุมี วสวัตตี มีอำนาจทางจิตที่จะทำให้มันไม่เคลื่อน ให้มันระงับให้มันไม่เคลื่อน มันไม่ไปตีหัวคนได้เก่ง ก็ทำการไม่ฆ่าสัตว์ได้ แต่ไม่ฆ่าสัตว์เพราะมันเกิด ญาณหรือปัญญา ไปรู้ว่าไปฆ่าเขามันไม่ดีนะ มันไม่เกิดเมตตา ไม่รู้ด้วยสติปัญญาว่า เขาก็ชีวิต เราก็ชีวิต หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ มีความเอ็นดูมีความกรุณาจริง มันก็ละเอียดเนาะ 

แต่ค่อยๆศึกษาไป โดยเรียนรู้ตามลำดับ เกี่ยวกับสัตว์ อาตมาก็พูดไปหมดแล้ว สัตว์เดรัจฉานไม่ต้องไปพูดถึงมันไม่ต้องไปเสียเวลา แม้แต่คน เวไนยสัตว์พวกหนึ่งสอนไม่ได้ พวกนี้เป็น ปทปรมะ พวกเนยยะเน่าๆ ใต้โคลนตมใต้โคลนมันพูดกันไม่รู้เรื่อง แล้วก็คัดคนที่พอพูดกันรู้เรื่อง ก็คัดจากเนยยบุคคลนี่แหละที่พอได้ 

ยิ่งเป็นวิปจิตัญญู เป็นผู้ที่ได้รับแสงสว่างขึ้นมาสักวันสองวันสามวันก็บาน หรือยิ่งเป็นอุคติตัญญู พรึ่บ บานเอง ไม่ต้องรับแสงก็บานก่อนแสงหรือแสงนิดเดียวก็บานได้เลย มันก็เป็นบารมีหรือว่าเป็นตามกรรมวิบากตามสิ่งที่แต่ละคนได้สะสมมา ตามตระกูลศรัทธาหรือ เจโตกับตระกูลปัญญาหรือ พุทธิจริต

มันมี 2 ตระกูลจริงๆ ก็เห็นใจตระกูลเจโต ส่วนผู้ที่เป็นปัญญาก็จะรู้เร็วรู้รอบ รู้ชัดรู้ครบก่อน ส่วนสายเจโตเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆอสงไขยแสนมหากัปก็บรรลุได้ อย่างที่ท่านแจกไว้ ปัญญาธิกะ 20 อสงไขยกับเศษแสนมหากัปก็เป็นพระพุทธเจ้าได้แล้ว ส่วนสายศรัทธาต้อง 40 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป 

ส่วนคนที่เพียร แล้ววกไปวนมา ไม่แม่นจะเป็นศรัทธาก็ไม่ใช่ปัญญาก็ไม่เอา กลับไปกลับมาก็เป็นวิริยาธิกะ ต้องใช้ความเพียรมาก ล่อเข้าไป 80 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป ท่านก็ทำเป็นอัตราส่วนให้เข้าใจเอาไว้ ในผู้พากเพียรปฏิบัติ ต้องรู้ตัวเอง 

แม้เป็นสายศรัทธาก็ต้องรู้พากเพียรไป 40 ก็ 40 ดีหน่อย 39 ดีหน่อย 38 ดีหน่อย 35 30 กัป พากเพียรเอาได้ เก่งสุด ก็ 20 กัป 

มันไปชี้ไประบุเอา ไปเป็นโดยที่ตัวเองไม่มีรากฐานมันไม่มีมูลมาเลย อย่างสายปัญญานี้มูลมาแต่เดิมเป็นปัญญา ก็เลือกได้อย่างไรเป็นของใครของมันแต่ละตระกูลแต่ละพันธุ์ มันมีพันธุ์ของตนเอง พระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้อธิบายเอาไว้หมดเรียบร้อย 

ประเทศไทย แยกตระกูลไว้เป็นสองตระกูลเหมือนกัน ตอนนี้ก็ตระกูลเจโต ตระกูลศรัทธาเป็นพระสังฆราช ไม่ได้เอาสายพุทธิ สายปัญญา

จริงนะเอาตระกูลศรัทธา ตระกูล เจโต เป็นสังฆราชนั้นถูกแล้วไม่เอาสาย พุทธิ สายปัญญา ถูกแล้ว ซึ่งยังไม่เข้าเกณฑ์ที่ถูกต้องสัมมาทิฏฐิในสายปัญญานั้นก็เลยยังไม่ขึ้น 

สายพุทธิสายปัญญามันเลยเถิดฟุ้งซ่านเกิน อย่างไทยนี่ ยกตัวอย่าง 

พูดตรงๆอธิบายเป็นวิชาการ ไม่ใช่เป็นการลบหลู่ไม่ใช่ไปข่มเบ่ง

อย่างสมเด็จช่วง ธัมมชโย เป็นสายเฟ้อเกิน สายฟุ้งสายปัญญา สายพุทธิ แต่มันเกินมันผิดมันมากมาย เอาสิ่งที่มันไม่ใช่ก็เอามาใช่ เอาขยะมารวมเป็นสัจจะไปหมด 

ทีนี้ เมืองไทยเป็นเมืองพุทธที่มีสมเด็จพระสมภารเจ้าชัดเจน ได้สมเด็จสังฆราชอันนี้มาก็ชัดเจนดีกว่าเอาสายเลอะเทอะมา สมเด็จช่วงอกหักไปเลย นี่ก็เสียไปแล้ว

ที่จริงสมเด็จช่วงเป็นเบอร์หนึ่งเลยนะ เป็นอาวุโสลำดับ 1 เรียกโดยศัพท์ว่า อาวุโสที่จริงเป็นภันเต คือ ถึงผู้ที่อยู่ลำดับ 1 ที่จะขึ้นมาเป็นพระสังฆราช แต่เสร็จแล้ว เอาสมเด็จพระสังฆราชอัมพรนี้มาซะ นี่เป็นสัจจะลงตัวที่ถูกต้องที่สุด ตามฐานะกาละเทศะ ที่ตรงสภาพจริงลงตัว อันนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันเป็นอจินไตยอันหนึ่งที่อาตมารู้ชัด เมืองไทยไม่ผิดเพี้ยน ตรง เป็นไปอย่างถูกต้อง ดี 

นี่อาตมาวิจารณ์สิ่งที่สูง สู่ฟังในวันมาฆบูชาวันนี้ ฟังดีๆ ไม่ได้ไปตั้งใจลบหลู่แต่เป็นวิชาการเป็นความรู้ที่ต้องศึกษาให้เข้าใจชัดๆ มันยืนยันพิสูจน์ถึงว่าประเทศไทยยังเป็นเมืองพุทธที่ยังมีความถูกต้อง ความลงตัว ความไม่ผิดฝาผิดตัว มันไม่ใช่ แต่มันถูกต้องอยู่ มันลงตัวอยู่ 

ยุคนี้ของเมืองไทย เป็นยุคที่ยืนยันความเป็นรูปธรรม ที่ลงตัวที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นทางธรรมหรือทางโลก ยุคนี้ต้องเป็นเช่นนี้ 

อาตมาก็ขยายต่อไม่ออกแล้วว่าเป็นเช่นนี้คือเช่นใด แต่เป็นอย่างที่มีสภาวะจริงมีตัวบุคคลจริง มีสิ่งที่เกิดจริงเป็นจริงอย่างลงตัว ไอ้ที่ยังไม่ใช่ ต้องไม่ใช่ แม้แต่ในทางธรรมะทางศาสนา ใช่ ทางโลกทางนายกฯ ก็ใช่ ลงตัว ที่ภาษาไทยเราบอกว่า จะแข่งอะไรก็แข่งแต่แข่งบุญแข่งวาสนากันไม่ได้หรอก จริง…

สู่แดนธรรม.. เป็นมาตั้งแต่สมัยสังคายนาหรือเปล่าครับ ว่าสายศรัทธา จึงมีคุณสมบัติในการรักษาศาสนาไว้ได้ คือพ่อท่านก็เคยบอกว่าทำไมพระมหากัสสปะได้มาเป็นประธานในการสังคายนาพระไตรปิฎก แม้แต่ในยุคปัจจุบันท่านสมเด็จพระสังฆราช ทำไมถึงต้องเป็นสายศรัทธา สายเจโต อันนี้มีส่วนจริงใช่ไหมครับ

พ่อครูว่า... ใช่ๆ สัจจะนี้ต้องลงตัวกันเลยทั้งรูปธรรมและนามธรรม สัจจะไม่ผิดเพี้ยน รูปธรรมนามธรรมต้องลงตัวอย่างถูกฝาถูกตัว อาตมาเก่งแค่นี้อธิบายได้แค่นี้

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน วิญญาณวิญญัติในวิโมกข์ 8

_พ่อครูว่า... หลักสำคัญคือจรณะ 15 วิชชา 8 วิชชาคือธาตุรู้ คือความรู้ คือความเฉลียวฉลาด ที่จะต้องแทรกเข้าไปรู้ ในรายละเอียดต่างๆ ที่เป็นที่มีที่เกิดได้ เพราะฉะนั้นถ้าผิดเพี้ยนไปตั้งแต่เบื้องต้น ไม่ยืนยันตั้งแต่ศีลเป็นหลัก เกี่ยวข้องกับคน สัตว์ โดยเฉพาะกับคนก็ย้ำแล้ว สัตว์เดรัจฉานก็ปล่อยไปตามยถากรรม แม้แต่เวไนยสัตว์ อเวไนยสัตว์ก็อย่าเพิ่งไปเสียเวลามาก เอาเวไนยสัตว์ ผู้ที่สอนกันได้พูดกันรู้เรื่อง เอาให้เป็นผู้ที่บรรลุธรรมให้ได้ แค่นี้ก็เหลือมือเต็มมือแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว 

ที่นี้ก็ต้องชัดเจนว่าสัตว์อย่างหนึ่งของอย่างหนึ่งไม่ว่าจะเป็นวัตถุจะเป็นพืช ที่ยังเป็นข้าวของยังไม่ใช่สัตว์ จึงเป็นศีลข้อที่ 2 

ส่วนศีลข้อที่ 3 นั้น ยิ่งสัตว์หรือพืชมันไม่รู้เรื่องหรอก พืชหรือวัตถุ มันจะไปรู้เรื่องของรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอะไร แม้แต่เป็นสัตว์มันก็ติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แต่มันไม่รู้เรื่อง เวไนยสัตว์ถึงจะรู้เรื่อง ขนาดคนแล้วเป็นอเวไนยสัตว์ยังพูดกันไม่รู้เรื่องเลยว่า คุณติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสนะ 

อย่างมหาบัวนี่ติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส  ติดหมากพลู คือ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสแท้ๆก็ไม่รู้ตัวว่า ติด แล้วมันจะไปสอนให้คนอื่นหลุดพ้นให้คนอื่นไม่ติด ก็ตัวเองยังไม่รู้ จะไปสอนได้อย่างไร เหตุไม่โทษอะไร โทษหลับตา หลับตาจากรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เมื่อหลับตาก็ไม่ได้สัมผัสศึกษากับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสจริงๆจังๆ แล้วจะรู้ได้อย่างไร ทั้งสายอาจารย์เสาร์อาจารย์มั่น มหาบัว อาจารย์เสาร์เป็นอาจารย์ของอาจารย์มั่น อาจารย์มั่นเป็นอาจารย์ของมหาบัว ไล่ลงมาตอนนี้ก็มีเยอะแยะ สายหลับตา 

อาตมาก็ไม่ได้ตีพวกสายหลับตา แต่พูดให้ฉุกคิดทบทวน แล้วก็เปลี่ยนแปลงแก้ไขเกิดปัญญาเกิดความรู้ที่จริงให้ได้ ว่าเราได้ไปงมโข่งกับสิ่งที่ผิด แล้วจะพัฒนาตัวเองให้เจริญอย่างไรได้ จึงได้แต่ซ้ำซากหนาเพิ่มขึ้น สิ่งที่เราติดเข้าไปเป็นก้อน แท่ง แข็ง ขึ้นไปเรื่อยๆ หนักเข้าหลับตาเป็นพญานาคอย่างที่อธิบายไปแล้ว กลายเป็นพญานาค 

สู่แดนธรรม... วันนี้พ่อท่านเอาคำว่า วิญญัติกับวิญญาณ มาให้ศึกษา 

พ่อครูว่า... วิญญาณเป็นนามธรรม วิญญัติเป็นแค่รูปเป็นแค่การเคลื่อนที่ ถ้าเข้าใจการเคลื่อนที่กับความรู้สึกความรู้ธาตุรู้ การเคลื่อนที่ก็คือการเคลื่อนของกายกับวจี เห็นชัดๆอยู่แล้ว แม้มโนเคลื่อนที่ก็เคลื่อนเหมือนกัน แต่มันไม่ใช่ธาตุรู้ วิญญาณเป็นธาตุรู้ จะรู้สึกรู้จริงรู้รายละเอียดอะไรก็แล้วแต่ รู้เข้าไปในตัวรู้ ไม่ใช่ว่า เคลื่อน 

ถ้าแยกแยะการเคลื่อนกับการรู้มันต่างกัน ถ้าแยกอย่างนี้ไม่ได้ก็ไปงมโข่งอยู่กับ เคลื่อน สงบเพราะหยุดเคลื่อนไม่ใช่รู้กิเลส ทำให้กิเลสหมดไป วิญญาณคือธาตุรู้ยิ่งคล่องแคล่วว่องไว ไม่ใช่ไม่เคลื่อน ยิ่งทำงานได้แคล่วคล่องอย่างเป็น มุทุภูตธาตุ กายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา ปาคุญญตา แปลว่าแคล่วคล่องว่องไว 

อย่างนี้แยกความต่าง สำคัญจริงๆคือความต่าง ถ้าแยกความต่างนี้ มันยิ่งละเอียดเป็นความต่างที่ยากที่จะรู้ ถ้าแยกความต่างนี้ไม่ออก ไม่มีทางที่จะเรียนรู้อะไรได้ 

เช่น เทวะ แปลว่า สอง แยกสองไม่ออก เทวะแปลว่าสภาพสอง เมื่อเป็นวิญญาณเมื่อเกิดมาเป็นคนจะต้องมีธาตุรู้กับสิ่งที่ถูกรู้ เรียกว่ารูปกับนาม แยกรูปแยกนามไม่ออก รูปเป็นสิ่งที่ถูกรู้ นามเป็นตัวที่ไปรู้รูปนั้น รูปีรูปานิ ปัสสติ 

รูปี รูปานิ เป็นสองคือสิ่งที่รู้กับสิ่งที่ถูกรู้ คุณอย่าสลับกัน รูปี เป็นผู้รู้ รูปานิเป็นสิ่งที่ถูกรู้ รูปานิ สิ่งที่รู้ก็ได้หรือ รูปี เป็นสิ่งที่รู้ กับรูปานิ คือสิ่งที่ถูกรู้ก็ได้สลับกันไปสลับกันมาก็ได้  อย่าสับสนสภาวะก็แล้วกัน 

เสร็จแล้วมันเกิดปัสสติการรู้การเห็นที่มีตาหูจมูกลิ้นกายด้วย รู้การเห็น ไม่ใช่รู้แต่เฉพาะอยู่ข้างในอันเดียว นี่ วิโมกข์ 8 ข้อที่ 1 รูปี รูปานิ ปัสสติ

ข้อที่ 2 อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิ ปัสสติ 

อัชฌัตตัง แปลว่าภายใน พหิทา แปลว่าภายนอก 

อรูปสัญญี แปลว่าผู้กำหนดรู้ ถึงขั้นภายในถึงขั้นอรูป โดยที่ไล่ไปจากพหิทา รูปานิปัสสติ รู้รูปแต่ภายนอกไป เรียนรู้ไปตามลำดับ จากหยาบภายนอก จนหมดกิเลสภายนอกเหลือกิเลสภายในเป็นรูป จะมีสาม กาม รูป อรูป อันกลางก็รูป 

ต้องลดกิเลสในรูปก่อน สุดท้ายคืออรูป ท่านก็สั้นๆ ละไว้ในฐานที่เข้าใจรวมเป็นสูตรอยู่ในวิโมกข์ 8 มันก็ยากสำหรับคนที่ไม่มีรายละเอียดยังทำไม่ได้จนกระทั่งหมดกามภายนอกหรือภายในเป็นรูปก็ทำรูปต่อให้หมดไป กิเลสขั้นรูป แล้วเหลือแต่อรูป ก็ทำอรูปให้หมดไปอีกใน อัชฌัตตัง ในภายในหมดจดเป็น 3 เส้า กาม รูป อรูป ก็ครบ

ส่วนวิโมกข์ข้อที่ 3 นั้น สุภันเตว อธิมุตโตโหติ พยัญชนะบาลีมีแค่นี้ สุภันเตวะหรือสุภะ อันเตวะ คือ อันตะ แปลว่าที่สุด ที่สุดของอันนั้น(เอวะ) อะไร อันที่เราจะต้องจัดการ ทำให้ดีที่สุด จะดีสุดได้ คุณต้องมีทิฏฐิสัมมา ยืนยันอันที่ 3 ยืนยันวิโมกข์ข้อที่ 3 ด้วยทิฏฐิที่ต่างกัน 

ถ้าหากทิฏฐิต่างกันก็คนละเรื่องคนละพวกแล้ว ถ้าหากทิฏฐิตรงกันก็จะเป็นอันเดียวกัน 

สิ่งที่น่าได้ น่ามี น่าเป็น เรียกว่า สุภะหรือดีแท้ มันจะทำตรงนี้แหละ เช่น

สุภกิณหา เอาอาภัสราก่อน 

ใน วิญญาณฐีติ ข้อที่ 3 จะอ่านอาภัสรา โดยมีกายอย่างเดียวกัน แต่สัญญาต่างกัน อย่างธรรมกายนี่ กายของเขาใสๆๆๆ ลืมตาเขาก็ใส ๆๆๆหลับตาเขาก็ใสๆๆๆ เอาใสไปกำหนด ใสๆเขาเอาแต่อย่างใสๆๆๆ เขาก็ได้อาภัสราใสอย่างเดียว ไม่มีกิณหา ไม่แยกไม่ออก แยกความมืดความดำไม่ออกเลย ทิ้งความมืดความดำเอาแต่ใสๆๆ กลายเป็นกายอย่างเดียวกันเอาแต่ใส แต่สัญญาณมันคนละอย่าง คนนี้ก็กำหนดของตนเองคนนั้นก็กำหนดของตนเองแต่ก็โมเมเป็นสัมโภคกาย ใส ทั้งข้างนอกข้างใน ใสๆๆ มันก็เป็นความจริง 

สู่แดนธรรม... เคยฟังอาจารย์ของเขาบอกว่าโสดาบันก็ใสขนาดนี้ แต่อาจารย์บอกใสขนาดนี้ แต่ลูกศิษย์ก็ไม่รู้ว่าใสขนาดไหน แต่มีขีดให้รู้ว่า โสดาบันจะใสไม่เท่าสกิทาคามี 

พ่อครูว่า... วิโมกข์ 8 ข้อที่ 3 อาภัสรา

ส่วนมาเป็นอันที่ 4 นี้ยากกว่าอันที่ 3 สุภกิณหา ยินดีในความมืด อันนี้ไม่ใช่พวกใสแล้วเป็นพวกมืด พวกที่ไม่รู้เรื่องความมืดหลับตาไปซึ่งต่างกันกับสายธรรมกายที่ลืมตา เรียกว่าพวกตาบอดตาใส คือ ถ้าคนตาบอด ตามันไม่ใสมันจะขุ่นก็รู้ว่าตาบอด แต่นี่เหมือนคนตาดีเลยนะ ตาใสบ้องก้องเลย แต่มันบอด มันไม่เห็น ก็เลยลวงคนเก่ง หลอกคนเก่ง พวกตาบอดตาใสหลอกคนได้เต็มบ้านเต็มเมืองเลย เห็นไหม…สัจธรรมมันเป็นอย่างนั้น เลยได้พวกมาก เพราะคนยุคนี้คนฉลาดน้อย แต่พวกมากเป็นสัญชัยเวลัฏฐบุตร พระสารีบุตรชวนมาหาพระพุทธเจ้าก็ไม่มา จะอยู่กับพวกมาก อยู่กับสัญชัยเวลัฏฐบุตร 

เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดจริงในยุคนี้เกิดจึงมีจริงมีธัมมชโย ชื่อจริงเขาชื่อ ไชยบูลย์ เดี๋ยวนี้เป็นสมีไปแล้ว แต่เขาก็ไม่ยอมรับหรอก พวกมากก็ว่ากันไป จนกระทั่งพระสังฆราช ท่านลงไปด้วยพระลิขิตถึง 4-5 แผ่นว่าปาราชิก เป็นสมี คนที่มันงมงายก็งมงายกันอยู่อย่างนั้นก็เชื่อว่าเป็นอาจารย์ผู้รู้ผู้ใหญ่ เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร เก่งที่ปิดบังข่าวคราวได้ แต่ยังมีกิจกรรมกิจการอะไรกันอยู่ในที่เขา วัดธรรมกายเขายังมี ก็ปล่อยไป วิบากใครวิบากมัน 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน วิญญัติ วิญญาณ ในปฏิจจสมุปบาท ชาติ 5

_พ่อครูว่า... เข้ามาสู่ วิญญาณกับวิญญัติ

วิญญาณคือธาตุ วิญญัติคือรูป รูปะรูปัง เป็นอาการเคลื่อนของนามธรรม วิญญัติ แม้แต่กายกับวาจา เราก็ยังไม่ถือเป็นมโน เน้นมาสู่กายกับวาจา แต่ที่จริง กายกรรมกับวจีกรรมมันขาดนามธรรมไม่ได้หรอก เคลื่อนไหวทางกายกรรมก็มีนามธรรมมาเกี่ยว เคลื่อนไหวทั้งวจีกรรมก็มีนามธรรมมาเกี่ยว แต่แยกให้ชัดเจนว่า 1 นั้น กายก็ส่วนหนึ่ง วจีก็ส่วนหนึ่ง 

แบ่งเป็น 3 กาย วจี มโน ถ้าแยก กาย วจี มโน ไม่ได้ก็สับสนตายเลยเรียนธรรมะพระเจ้าไม่ได้ ต้องแยก กาย วจี ภายนอก มโน ก็ต้องควบคุม กาย วจี อยู่ตลอด มโน จะต้องเป็นภายในหมดเลย มนายตนะ ธรรมายตนะ

มโนหรือจิตวิญญาณ เกี่ยวพันกันหมดต้องเป็นสอง สภาพ 2 ที่แยกไม่ได้เรียกว่า เทวะ แยกมาเป็นกายก็เป็นรูปเป็นนามเป็นสภาพ 2 

การเรียนรู้การแยก 2 ออกไปแต่ละอย่างก็เป็นหนึ่ง กับหนึ่ง แล้วรู้ว่า 1 กับ 1 มันต่างกันนะ อันหนึ่งเป็นรูป อันหนึ่งเป็นนาม  หนึ่งเป็นภายนอกหนึ่งเป็นภายในเป็นต้น 1 ชีวะ 1 ไม่มีชีวะ นี่เป็นกายแล้วนี่ไม่เป็นกาย โดยเฉพาะกายนี่ คำใหญ่ 

ถ้ายืนยันว่ายังมี กายอยู่ จะต้องมีจิตอยู่ในกายนั้น ถ้าไม่มีจิตไม่มีเจตสิกไม่มีธาตุรู้เข้าไปร่วมด้วยเลย สิ่งนั้นก็ไม่ใช่กายแล้ว ตัวที่ไม่ใช่กายแล้วนี่แหละคือตัวหมดเวทนา หมดวิญญาณ ไม่ใช่กายแล้วไม่มีเวทนาไม่มีความรู้สึกไม่เป็นธาตุรู้องค์รวมแล้ว แต่สามารถมีธาตุรู้ได้ เป็นธาตุรู้ขั้นพืช มีสังขารกับมีสัญญา ตัวกำหนดรู้เรียกว่าสัญญา ปรุงแต่งกันอยู่เรียกว่าสังขาร 

เช่น พืชมันกำหนดรู้ในตัวมันเอง แล้วมันก็ปรุงแต่งตัวมันเองอยู่ เช่น กระเทียมหัวใหญ่งามแท้ ทั้งหอม กระเทียมพืชพันธุ์ธัญญาหารของเรา เราก็ดูตามรูปร่าง นี่ก็ภาษาจีนเขาเรียกหัวไชเท้าหรือภาษาไทยเรียกหัวผักกาด หัวมันกับผักกาดต่างกัน คนแยกออก ก็แยกความต่าง

ลิงคะ การแยกความต่างนี่แหละ เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดเลย แยกรูปแยกนาม แยกกายแยกจิต แยกเทวะ อเทวะ แยกสุขแยกทุกข์ แยกสภาพ 2 ออกได้ แต่เราก็ไม่ได้ไปลบหลู่ดูถูก รังเกียจสภาพ 2 เพราะมันต้องมีสภาพ 2 อยู่ตลอดหมดเลยก็อาศัยสภาพ 2 นี่แหละอยู่ในโลก สุดแห่งที่สุด ของสภาพ 2 ก็คือความมีกับความไม่มี เราก็เป็นได้ทั้งสองเป็นมีก็ได้ไม่มีก็ได้ เมื่อไหร่เราจะมีก็ไปมี เมื่อไหร่เราจะไม่มีก็ไม่มี อาตมายังไม่เก่ง

ตอนนี้พยายามจะมีอร่อย โดยเฉพาะการกินอาหาร เพราะว่าจะต้องให้ธาตุขันธ์มันกินด้วยอร่อยจะกินได้เยอะ จะกินได้เร็วด้วย แต่อันนี้โอ้โห 3 ชั่วโมง เจ้าประคุณ กว่าจะกินเสร็จอย่างกับเข้าสนามรบ พูดเรื่องนี้มานานแล้วฟังแล้วก็ซ้ำซากแต่ไม่ได้แกล้ง รู้อยู่ว่ามันไม่ได้เสแสร้ง พูดไปแล้วเหมือนไม่มีเลย รสชาติรู้ตามเขาได้ทุกอย่างแต่อัสสาทะความอร่อยไม่มี พยายามฟื้นมันขึ้นมาอยู่ ให้มันมาช่วยหน่อย ช่วยเรา เราจะได้เร็วขึ้นจะได้รู้สึกว่าไม่ต้องเข้าสู่สนามรบอะไร อย่างทรมานทรกรรมอะไรนัก 

อธิบายสภาวะหยิบมาอธิบายสู่พวกเราฟัง โดยที่อาตมาไม่ต้องไปแกล้งเสแสร้ง แต่มันเป็นจริง เชื่อว่าสักวันคงเป็นได้ เสร็จแล้วก็ต้องมาล้างมันอีกนะ ที่จริงอาตมาเป็นโพธิสัตว์นะ ถ้าตายโดยไม่มีสิ่งนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร สบาย โดยไม่ติดไม่ยึดไม่เหลือค้างอะไรเลย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ไม่ติดค้างอะไรเลย มันก็สบาย แต่มันจำเป็นจะต้องมามีเพื่อจะสอน เพื่อที่จะยืนยัน เพื่อจะอธิบาย กลับไปกลับมาจากความมีกับความไม่มี 

ตกลงมันไปจบที่ความยึดกับไม่ยึด อุปาทาน 

คำว่าอุปาทานนี่แหละ เป็นตัวหลักมากเลยในปฏิจจสมุปบาท อวิชชา สังขาร วิญญาณบวชนามรูป อายตนะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ 

ตัณหา อุปาทาน ภพ สามเส้า ตัณหาคือความเคลื่อน อุปาทานคือความนิ่งหยุด ถ้าไม่รู้มันก็ปรุงแต่งกันอยู่ ความเคลื่อนกับความยึด ปรุงแต่งกันอยู่ มันก็สมบูรณ์แบบเป็น ภพ อยู่เป็นตัวที่ 3 เป็นภพเป็นชาติ 

ชาติคือตัวเกิด ภพเป็นแดนเกิด ชาติเป็นตัวสภาวะนามธรรมเกิด ภพเป็นสภาวะแดนเกิด พื้นที่สถานะให้มันเกิด 

ถ้ามีอยู่มันก็  โศก ปริเทว ทุกข โทมนัสอุปายาสะ

ถ้าหากดับชาติได้ ผู้นี้รู้จักความเกิดความดับ 

 

ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ  เป็น 5 สภาวะ ความเกิด 5 ประการ 

ชาติคือความเกิดที่เป็นภาษารวม สัญชาติคือมันเกิดขึ้นมาก็จำที่มันเคยเกิดได้ จำได้ก็เป็นของเก่า เป็นไปตามอัตโนมัติด้วยสัญชาตญาณ เกิดมาที่จำได้ก็ทำได้เลย คนหรือสัตว์เกิดมาก็มีสัญชาตญาณ สัตว์เดรัจฉานเลี้ยงลูกด้วยนม เมื่อเกิดออกมาก็หานมแม่ดูดเป็นธรรมชาติ เป็นสัญชาตญาณ

โอกกันติ คือพลังงานที่หยั่งลง เป็นการเกิดหยั่งลง เพิ่มขึ้นมาใหม่ในปัจจุบัน ถ้าไม่มีการเลือกหรือไม่มีตัวแยกได้ว่า อะไรที่สะสมลงมาเกิดมา แยกเอาที่ดี อย่าไปเอาที่ไม่ดี แยกเอาที่เป็นโลกุตระอย่าไปเอาโลกียะ คุณแยกไม่ออก คุณก็รับเละไป ยิ่งไม่มีโลกุตระเลยคุณก็ได้แต่โลกียะ ยิ่งไม่รู้ดีเลยรู้แต่ชั่วคุณก็ได้ หยั่งลงแต่ชั่วๆๆ 

ต้องแยกให้ออกว่ามีดีมีชั่ว อย่าเอาชั่วเอาแต่ดี จนกระทั่งมีภูมิธรรมขั้นโลกุตระ รู้โลกุตระ เลิกโลกียะ มาเอาแต่โลกุตระ นี่ ใช้พยัญชนะดูความต่างระหว่างสิ่งสองสิ่ง 

ผู้ที่แยกโลกียะโลกุตระ เลิกโลกียะได้เอาแต่โลกุตระนั่นคือเริ่มมี นิพพัตติ คือรู้จักกันเกิดโลกุตระแล้วทำให้การเกิดโลกุตระ แต่มันไม่เก่งก็มีโลกียะอยู่ ทำให้เก่ง ทำให้โลกุตระเจริญงอกงามไพบูลย์ขึ้นเรื่อยๆ จนที่สุดเรียกว่า อภินิพพัตติ ตัวที่ 5 เป็นการเกิดที่สูงสุด อภินิพพัตติ

ที่พูดเป็นภาษาไปอาการกิเลสคืออย่างไรนี้ให้รู้อาการจิตเรา เช่นกิเลสมันเกิดหรือกิเลสมันจางคลาย หรือว่ากิเลสมันดับ เราก็ต้องรู้ว่าอาการกิเลสคืออย่างไร ตัวตนของกิเลสคืออย่างไร เช่น กามคุณ 5 มันเป็นอาการอย่างไร กระทบทางตา เอาละ..ดูด กระทบทางหูก็ดูดเอาแต่ที่ชอบๆ กระทบทางจมูกลิ้นกาย ดูดเอาที่ชอบ คุณก็เต็มไปด้วย กาม คุณไม่รู้หรือรู้แต่มันชอบ คุณก็เป็นตัวกาม เก่งที่สุดเขาเรียกว่ากามเทพ เทวฺะเจ้าของกาม มีลูกศรที่ทำด้วยเกสรดอกไม้หรือหยาดน้ำผึ้ง มันเป็นภาษา

คนจะหลงหยาดน้ำผึ้ง เกสรดอกไม้ที่มันหอม คนก็หลงเหล่านี้ก็คือกามนั่นเอง หอมหวาน กามเทพ เพราะฉะนั้นเราอย่าไปหลงติดยึดพวกนี้ มันมีรูปตามความเป็นจริง มันก็เป็นรูปของมัน มันมีกลิ่นตามความเป็นจริง มันก็เป็นกลิ่นของมัน มันจะเป็นเสียงก็ตามมันก็เป็นเสียงของมัน มันเป็นรส แตะทางลิ้นมันก็เป็นตามที่มันเป็น สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งอย่างไรมันก็เป็นตามที่มันเป็น เราก็รู้ความจริงตามความเป็นจริงว่ามันเป็นอย่างนี้พอ 

ถ้าไปเอียง ดูด เอียงผลักไปเอียงผลัก คุณมีดูดมีผลักคุณมีอย่างมากก็ยิ่งเป็น กาม เป็นปฏิฆะ มากเท่าที่คุณมีจิตเป็นจริงคุณก็เป็นจริงๆ คุณเข้าใจแล้วคุณเอาออกเรียกว่า เนกขัมมะทำออก อย่าให้มันดูดอย่าให้มันผลักมาก แต่มันมีอยู่ในโลกนี้แหละ เราก็อาศัยมัน รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็อาศัยมันทั้งนั้น สักแต่ว่าอาศัย เพื่อยังขันธ์ยังชีพไปเท่านั้น

ในนามธรรมในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเราไม่ดูดเราไม่ผลัก ก็ต้องเข้าใจอาการที่ไม่ดูดและไม่ผลัก เป็นกลางๆ เรียกว่าอุเบกขาหรือไม่บำเรอสุข ไม่บำเรอทุกข์ ไม่เป็นสุขไม่เป็นทุกข์ ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ กลางๆ ภาษาเรียกว่ากลางๆ

กลางๆก็คือ ความบริสุทธิ์จากผลักหรือดูด กลางๆก็คือความบริสุทธิ์ไม่มีผลักไม่มีดูดไม่ไปเอียงข้างนั้นข้างนี้ รู้ครบทุกอย่างเรียกว่าผู้เป็นกลาง มัชฌิมาหรือ อนุปคัมมะ 

เป็นผู้ที่มีพลังมีอิทธิพล มีอิทธิพล มีอำนาจควบคุมให้มีหรือไม่มีได้อยู่เหนือมันได้ อนุปคัมมะ เป็นผู้ที่เป็นกลาง รู้สองอย่างมีสองอย่าง ยังไม่ตายยังไม่ดับธาตุรู้ ยังไม่แยกธาตุรู้เป็นดินน้ำไฟลมมันก็รู้ความจริงของสองหรือเทวะนี้ตลอดเวลาแล้วเราก็ไม่ไปเข้าข้างไหน ไม่เกิดข้างไหน 

จะอาศัยมี อาศัยไม่มี ได้ เป็นผู้ที่มีอิทธิพล มีพลังงานอยู่เหนือ วสวัตตีหรืออภิภุยยะ มีพลังเหนือมัน อยู่เหนือมันได้ 

นี่เอา อภิภายนตะ 8 มาขยายความเพิ่มเติมวันมาฆบูชา 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สู่แดนธรรม.. พ่อครูพูดวันนี้ให้รู้จักความเคลื่อน จากสิ่งหนึ่งไปสู่สิ่งหนึ่งก็คือความเคลื่อน สมัยผมไปอยู่กับพระป่า ท่านจะไม่ให้จิตเคลื่อนออกมา ให้หยุดคิด การเข้าฌานคือเพ่งไม่ให้มันเคลื่อนให้มันสงบ ถ้ามันเคลื่อนก็หยุดมัน ในองค์ฌาน 1 ท่านบอกว่า ถ้ามีวิตกวิจารคือหวั่นไหวคือเคลื่อน ผมก็คิดว่าถ้าไปคุยกับตัวเองก็ คือ การเคลื่อน

พ่อครูว่า... จมอยู่กับการเคลื่อนมีแต่ วิญญัติ ไม่เข้าถึงวิญญาณมีแต่งมงายอยู่กับการเคลื่อนทางรูปธรรม ไม่เข้าถึงจิตเจตสิกรูปนิพพานยังไม่เข้าถึงวิญญาณ 

วิตกวิจาร เป็นฌานที่ 1 วิตกคือธาตุดำริ วิจาร คือถ้าพิจารณาแล้ว วิตกคือดำริขึ้นมาแยกแยะเอากิเลสออกมาให้ได้ จากธาตุแท้กับธาตุที่มีกิเลสแยกให้ออก แล้วก็รู้ให้เท่าทัน ไอ้เจ้ากิเลสมันจะไม่รอหน้าปัญญาเลย พลังปัญญานี้เจอกิเลสแล้ว เจอปัญญามันก็รีบไปเลย กิเลสมันกลัวปัญญา ปัญญามีฤทธิ์มีสิ่งวิเศษมีอิทธิฤทธิ์มีพลังวิเศษ อันนี้เป็นสัจจะใช้ภาษาสื่อเท่านี้แล้วมันมีจริงๆ ถ้าหากธาตุปัญญาเกิดจริงแล้ว กิเลสเห็นหน้าปัญญา รีบหายตัวไปทันทีเลย ไม่รอหน้าเลย 

สู่แดนธรรม..วันนี้พ่อครูสอนให้รู้จักความเคลื่อนจากข้างใน แล้วก็มารู้ข้างนอก และรู้ความต่าง ละเอียดกับ หยาบ ดี งาม..นิมนต์พ่อท่านอธิบายต่อ

พ่อครูว่า... มันต้องรู้ความเป็น 2 และเลือกเอาความเป็น 1 ให้ได้สำเร็จ ภาษาก็คงมีได้แค่นี้ ว่า ต้องเป็น 1 อย่างนี้ถึงจะถูกต้อง เป็น 2 มันยังไม่หยุด มันยังเคลื่อน เพราะฉะนั้นอยากหยุดก็ต้องเลือกเอาความเป็น 1  แต่ถ้าให้เป็น 2 คุณก็ปรุงแต่งเป็น2เป็น3เป็น4เป็น5 ก็รู้ความจริงของความเคลื่อนกับความหยุด 

สู่แดนธรรม.. แสดงว่าเราศึกษาเรื่องของความเคลื่อนมากกว่า 

พ่อครูว่า... อันนั้นเป็นเรื่อง Dynamic เป็นเรื่องที่มันอยู่ในโลก มันต้องรู้แล้วก็จัดการให้มันได้ ไม่ให้เคลื่อนได้ เคลื่อนได้ หรือพยัญชนะอีกอย่างคือ ให้มันมีก็ได้ให้มันไม่มีก็ได้ สูงขึ้นไปคนนั้นก็ใช้คำว่ามีและไม่มี 

สู่แดนธรรม.. แม้แต่คำว่า เจริญธรรม เจริญคือเคลื่อน 

พ่อครูว่า... ธรรมะคือทรงไว้แล้วหยุด

สู่แดนธรรม.. แต่ถ้ามันยังไม่ถึงที่สุดก็ต้องเคลื่อนต่อไป 

พ่อครูว่า... ก็ต้องให้มันมีต่อและควบคุมการมีและควบคุมการไม่มีได้เป็นที่สุด ผู้ที่สามารถควบคุมการมีและไม่มีได้เป็นที่สุด ยังมีอำนาจมีพลัง วสสัตตี จะให้มีก็ได้ไม่มีก็ได้ 

สรุปลงไปอีก จะให้ตายก็ได้ ให้ยังไม่ตายก็ได้ เรียกว่า อมตะบุคคล 

ความจบที่ใช้พยัญชนะว่า อมตะบุคคล ฝ่ายเทวนิยมเขาแปลว่าไม่ตายนิรันดรเลย อมตะบุคคลคือ บุคคลที่ไม่ตายนิรันดร แต่ของพุทธนั้นอมตะบุคคลคือ ให้ตายก็ได้ ไม่ให้ตายก็ได้ แต่เทวนิยม ไม่เข้าใจรายละเอียดทั้งหมดครบเขาก็จะเป็นหนึ่งเดียว อมตะคือไม่ตาย เอาพยัญชนะ อ แปลว่าไม่ มตะ แปลว่าตาย อมตะแปลว่าไม่ตาย เขาเข้าใจอันเดียวอย่างนั้น 

แต่ของพระพุทธเจ้า อมตะบุคคลคือผู้ที่รู้ความเป็นความตายทำความเป็นความตายได้ จะทำความตายก็ได้และตายอย่างปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตายอย่างแยกธาตุจิตออกไปเลยแล้วจบกันเลย เรียกว่า จบสูงสุดแล้ว แยกธาตุไปเป็น ดินน้ำไฟลม แยกแล้วแยกเลย เอามารวมตัวกันอีกไม่ได้แล้ว อัตภาพหายไปแล้ว อัตตาหายไป ตายตอนแยกก็ดีแล้วนี่แหละคือความจบแห่งที่สุดของที่สุดของจิตวิญญาณ ถึงพิสูจน์ได้ว่า วิญญาณไม่ใช่ของพระเจ้า ที่มีอยู่ยังไม่รู้จักตาย เป็นธาตุรู้ที่ไม่รู้จักจบ 

แต่ของพระพุทธเจ้า ศาสนาพุทธทำลายธาตุรู้ที่เป็นนิรันดรนี้ได้ หมดสูญเป็นดินน้ำไฟลม เพราะฉะนั้นตายแล้วไม่ต้องไปอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าก็เด๋อเลยว่าพวกนี้ขบถ

พวกขบถ พวกนี้คือ พวกมีอิสรเสรีภาพสมบูรณ์ ไม่เป็นทาสของพระเจ้า 

เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ในอนาคตที่เทวนิยมมีมากในโลก คนที่เป็นเทวนิยมยังไม่รู้แบบพุทธ ยังไม่รู้สมบูรณ์แบบจนกระทั่งทำลายวิญญาณได้ ทำลายพระเจ้าได้ พระเจ้าของเขาไม่มีใครทำลายได้แต่ ศาสนาพุทธทำลายพระเจ้าได้ อันนี้แหละอนาคตจะเป็นเรื่องพอสมควร 

เป็นแต่เพียงว่าตอนนี้ ไม่มีใครจะไปรู้สึกไปรุกรานความเป็นพระเจ้าของเขา ที่จริงเราไม่ได้ไปรุกราน แต่เรารู้ความจริง ถ้าคุณจะไปยึดความมีไปตลอดนิรันดร์ คุณก็ยึดของคุณเท่านั้นยึดเข้าไปและคุณก็มี ผู้ที่มายึดแล้ววางเลยแล้วทำให้สลายเป็นดินน้ำไฟลมได้ เมื่อสลายเป็นดินน้ำไฟลมได้แล้ว วิญญาณพระเจ้าจะมาจัดการกับดินน้ำไฟลมโดยที่ตัวเองหลงว่าตัวเองเป็นผู้สร้างดินน้ำไฟลม ทำไม่ได้หรอก เป็นแต่เพียงโวหารภาษาว่าพระเจ้าสร้างดินน้ำไฟลมพระเจ้าสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง 

เราก็ยืนยันว่าแล้วพระเจ้าสร้างซาตานทำไม เขาว่าไม่ได้สร้าง แล้วทำไมซาตานมันยิ่งใหญ่อย่างไรพระเจ้าทำไมไม่จัดการซาตานให้หมดเลยเสีย ก็บอกว่าจัดการไม่ได้เพราะไม่รู้จักซาตาน แท้จริงแล้วซาตานก็คือตัวเองนั่นแหละ 

สู่แดนธรรม... สรุปจบ

ที่มา ที่ไป

650216


เวลาบันทึก 17 กุมภาพันธ์ 2565 ( 15:24:28 )

650217

รายละเอียด

650217 พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า พุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 46 พญานาคเดียรถีย์ลัทธิหลับตาทำลายศาสนาพุทธ

https://www.boonniyom.net/51177.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1nwDEd2-_ks9NPxgy1UWa6aLkgQ-fPmabURZErEM3r3A/edit?usp=sharing   

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1Ow-rSosALjAxFHPJBYeCHrQE6Jc3S5HH/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/bdi9erTPbp/

และ https://www.youtube.com/watch?v=vQGyLegIDbE

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน สลายอุปาทานปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ด้วยจรณะ 15 วิชชา 8

_พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 

วันนี้เราก็มาโอภาปราศรัยกันต่อเนื่องจรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งก็เป็นพุทธคุณของศาสนา ทุกวันนี้ไม่รู้เรื่องกันแล้วในศาสนาวงการใหญ่วงการพุทธ กระแสหลักไม่แล้ว กลายเป็น เดียรถีย์  100% นั่งหลับนอนหลับ ถ้านั่งหลับได้ตลอดไม่นอนเลยก็ยิ่งนับถือกันเก่ง เนสัชชิ สุดท้ายแม้แต่ตายก็นั่งตายเก่งมาก ซึ่งไม่ใช่เรื่องเป็นธรรมชาติ 

ศาสนาพุทธเป็นเรื่องธรรมชาติแต่เรียนรู้กิเลสที่เกิดจากทุกอิริยาบถ อ่านอาการของกิเลสให้ออกเมื่อเราเกี่ยวข้องกับอะไร ผัสสะ กับอะไรต่างๆนานา ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ กับอะไรก็แล้วแต่ ตั้งแต่รูปธรรมถึงนามธรรม ตั้งแต่รูป อรูป รู้กิเลสมันเกิดเพราะเหตุตัวนี้สัมผัสตัวนี้ เกี่ยวข้องกับตัวนี้ กิเลสเกิด 

แม่ครัว ทำครัวอยู่ก็ทำไป เสร็จแล้วสัมผัสกับตะหลิว โกรธตะหลิว ขว้างตะหลิว ก็ให้มันรู้ไป ไปโกรธตะหลิว ใช้ตะหลิวแล้วไปโกรธมัน ใครเคยบ้าง โอ้! หลายคนโกรธตะหลิว เอ้า!จริงนะ ใช้มีดโกรธมีด จะบ้าเหรอนี่มันรู้เรื่องอะไรแล้วไปโกรธมีด ใช้ชามโกรธชาม ขว้างชาม อะไรอย่างนี้ ตลก คนเราไม่รู้ตัวเองว่าวิปลาสวิปริตอะไร 

ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาที่จับธรรมชาติของชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเป็นคน มีทวารทั้ง 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็บ้าๆบอๆไปกลับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ บ้าๆบอๆไปสารพัด จนกว่าจะมาเรียนรู้แล้วก็รู้ว่า โอ้ ตัวโง่ตัวกิเลสมันพาให้เป็นไปได้บ้าบ้าบอๆ จนจบเป็นอรหันต์ก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง เห็นความจริงตามความเป็นจริงได้ยินเสียงจริงตามความเป็นจริง ได้กลิ่นจริงตามความเป็นจริง ได้กระทบรสทางลิ้นตามความเป็นจริงสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งตามความเป็นจริง 

จิตใจ เป็นตัวกลาง ตัวหลักใหญ่ เป็นไปตามอุปาทาน เป็นไปตามตัณหา อุปาทาน เป็นตัวฝังรากของความยึดมั่นถือมั่นว่าต้องอย่างนี้ๆ เป็นอย่างนี้ แล้วมันก็จำปักหลักอยู่ตรงนั้น เสร็จแล้วก็เป็นตัวตั้ง เฮ้ย! อยากแล้วนะ ตามอุปาทานมันสั่ง อยากอย่างนี้แล้วนะ 

ตัวอยาก ก็เป็นขี้ข้า ไปตามแสวงหามาให้ (ภาษาอีสาน ขี้ข้า คือขี้ข่อย) กว่าจะมาเรียนรู้สัจธรรมพวกนี้ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้และก็รู้จนกระทั่ง ล้างตัวกิเลส ตัวโง่ออกไปหมด 

ถึงจะรู้ว่าโธ่เอ๋ยชีวิตเราเกิดมา ได้อัตภาพมา พัฒนามาจาก พีชนิยาม มาเป็นจิตนิยามแล้ว โง่ตั้งแต่เป็นสัตว์เซลล์เดียวจนเป็นสัตว์ไม่รู้กี่เซลล์จนกระทั่งมาเป็นคน มีเป็นล้านๆเซลล์เป็นคนแล้วก็ยังโง่อยู่นั่นแหละ ก็ต้องพยายามฉลาด

ศาสดาเทวนิยมทั้งหลายแหล่ทั้งนั้นเลย นอกจากพุทธ ที่เป็นโลกุตระ แม้แต่ชาวพุทธที่ไม่เป็นโลกุตระก็ยังเป็นเทวนิยมอยู่นั่นเอง เทวนิยม ต่างกับโลกุตระอย่างไร 

โลกุตระนั้น คือ มีอัญญธาตุ มีธาตุรู้ที่รู้ทางออก จากความเป็นจิตเจตสิกรูปนิพพาน รู้จักจิตเจตสิก รู้และมีทางออกของจิตให้รูปนาม พ้น เป็นนิพพาน 

นิพพานคืออะไร นิพพานคือรู้จักต้นเหตุที่มันถ้าเกิด ถ้าเป็น มีภพ มีชาติๆๆ แล้วมันเดือดร้อนวุ่นวายอยู่กับอวิชชาจนกระทั่งถึงอุปาทาน 

อวิชชา ไม่รู้สังขาร ไม่รู้นามรูป ไม่รู้อายตนะ ไม่รู้ผัสสะ ไม่รู้เวทนา ไม่รู้ตัณหา ไม่รู้อุปาทาน ก็อยู่วนอยู่ตรงนี้ เสร็จแล้วก็ฝังรากเป็นภพเป็นชาติๆๆๆ วนเวียนเกิดเกิดแล้วตายไปตามวิบากสั่งสมวิบากไป รักกัน พยาบาทกัน ไปไม่รู้กี่นิยายต่อนิยาย แต่ละคนแต่ละคนมีนิยายแต่ละชาติ แต่ละชาติ นับไม่ถ้วน เมื่อยจริงๆ มารู้แล้วมันเมื่อย 

เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าเกิดขึ้นมา ก็มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์นั้นที่ดับไป 

ศาสนาเทวนิยมไม่รู้สุขรู้ทุกข์แต่หลงสุขเป็นสุขนิยม ติดสุข แล้วไม่เรียนรู้ทุกข์ ไม่ฉุกคิดไม่ระแวงว่า สุขมันมีคู่หูคือทุกข์ แยกกันไม่ออกหรอก มันเป็นเทวะ เป็นคู่ คู่ที่แยกกันไม่ได้ ถ้าจะดับเทวะ ถ้าจะไม่มีสุขทุกข์ก็ต้องรู้จักเทวะอย่างดี รู้จักอารมณ์หรืออาการของสุข รู้จักอาการของทุกข์อย่างดี จนกระทั่งดับเหตุได้แล้ว ก็หมดสุขหมดทุกข์ ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ 

ทำกิเลสออกจากจิต สะอาดบริสุทธิ์จนจิตเป็นอุเบกขา จิตบริสุทธิ์ไม่มีเหตุคือกิเลสอีกเลย ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา จิตนี้ จึงเป็นจิตที่เป็นปัญญาล้วนๆ ซึ่งเป็น อัญญธาตุ บริบูรณ์ เป็นปัญญาเป็นโลกุตระที่รู้จักสุข รู้จักทุกข์ รู้จักการออกจากสุข จากทุกข์ รู้แจ้งในจิตนิยามหรือว่า อัตตา อาตมัน หรือ ปรมาตมัน มันเป็นอย่างนี้เองมันเป็นเหตุปัจจัยสังขารกันอยู่ 

ถ้าเราไม่ อุปาทาน ไม่ยึดมันไว้ มันก็สลายกันไป ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปได้เลย 

อาตมาว่าอาตมารู้ธรรมะพระพุทธเจ้าสมบูรณ์แบบอย่างนี้ แล้วก็ได้ฝึก ได้เรียน ได้ปฏิบัติมาจนทำได้ แล้วก็เลยมาเป็นโพธิสัตว์ต่อ อรหันต์ทำได้ทุกองค์ 

เพราะอรหันต์จะเป็นอรหันต์ต้องชัดเจนที่ว่า เราสามารถทำอุเบกขา ทำจิตให้บริสุทธิ์จากกิเลสได้จริงๆ แม้จะไม่เข้าใจพยัญชนะอย่างที่อาตมาพูด ไม่เข้าใจถึงธรรมนิยาม 5 ไม่เข้าใจอุตุพีชะ ก็แล้วแต่ ไม่เป็นไร แต่ทำจิตอุเบกขาได้จริงๆเลย ไม่มีกิเลสในจิตได้จริงๆเลย รู้แล้วก็อ่านจิตอ่านเวทนา อ่านการปรุงแต่ง สัญญาเป็นตัวกำหนดรู้การปรุงแต่ง อ่านฃรู้เมื่อสัมผัสมันปรุงแต่งกัน กิเลสเกิดๆ จากหยาบ เราก็เรียนรู้ด้วยปัญญา 

ปัญญานี้ไม่ต้องไปรบราฆ่าฟัน หรือจะใช้ภาษาว่า ฆ่า จะใช้ภาษาว่า เผา ด้วยฌานอะไรก็แล้วแต่ แต่มันเป็นพลังฤทธิ์ของปัญญา ซึ่งเป็นพลังงานไฟต่อจากฌาน หรือเป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย 

ที่อาตมาพูดไปนี้เป็นภาษาของอาตมา ไม่มีบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกหรอก เพชฌฆาตมือสุดท้ายก็ไม่มี แต่อาตมายืนยันว่าอาตมาไม่ได้พูดผิด ขอยืนยันว่าไม่ได้พูดผิด ถูกต้องยืนยันว่าเป็นของจริง ที่พูดนี้เพราะมีสภาวะ ทำได้ จึงเอามาพูด 

คนหมดกิเลสเป็นอย่างไร อาตมาว่าอาตมาเป็นอรหันต์อาตมารู้ จึงเอามาพูดสาธยายอย่างสะดวกและเปิดเผยทุกอย่าง บอกตัวเองเป็นพระอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ ทุกอย่างก็เลยสบาย ทุกวันนี้บรรยายธรรมะ ไม่ต้องไปยึกยัก ไม่ต้องไปมังกุ ไม่ต้องไปเก้อยากเลย สบายคล่อง สะดวกทุกอย่างเลย 

เพราะฉะนั้นการที่ไม่เปิดเผยตัวเองไม่เปิดเผยความจริง มันไม่โล่งโปร่ง มันไม่มีอะไรติดขัด มันไม่เป็น มันจะมีอะไรติดขัดอยู่ แต่นี่มันไม่มีอะไรติดขัดเลย สบม ธมด ปกต หห จจ มชยลล ไม่ต้องงงไม่แปลให้ฟังหรอก รู้คนเดียว 

ศาสนามันเสื่อมมากจริงๆในพุทธ ไม่ใช่แกล้งว่าแกล้งด่า แต่พูดความจริง จริงๆ ว่าท่านทั้งหลายเอ๋ย ชาวพุทธที่ท่านมีหน้าที่รักษาศาสนา มีหน้าที่ประกาศสอนอธิบาย มีหน้าที่จะสืบสานอะไรต่างๆ ฟังอาตมาบ้าง แล้วพยายามติดตามเรียนรู้ ว่าท่านยังผิดทาง ยังไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นพระป่าหรือพระบ้าน 

พระป่าก็กลายเป็นพญานาค พระบ้านก็กลายเป็นพญาครุฑ บินเหินหาวสูงลิ่วเลย ยิ่งสอนอภิธรรมนี้ เจ้าประคุณเอ้ย! แจกพระอภิธรรมไป เจตสิก 52 จิตอีก 121 ดวง อะไรอย่างนี้ อย่างละเอียด ท่องแค่ตัวหนังสือ พยัญชนะ จิต 121 ดวง ก็หัวผุแล้ว มันต้องโอ้โห! อุงๆอังๆยาวๆ แต่ละตัวนะต่อกันยาว โอ้โห! เก่งจริงๆ เรียนพญาครุฑนี่ เรียนอย่างพญาครุฑ เรียนนอกจากจะเรียนแต่พระอภิธรรมยังไม่พอ เรียนพระสูตรพระวินัยอีก ผู้เรียนพร้อมทั้งพระสูตรพระวินัย พระอภิธรรม อีก อย่างท่านมหาประยุทธ์นี้ยอดพญาครุฑเลย มองไม่เห็นส้นเล็บเลย ท่านบินสูงมาก โอ้ ไม่เห็นส้นเล็บพญาครุฑเลย บินสูงมาก

มันก็เลยไม่มีใครจับติด มันมากเกิน มันไม่ลงมาตามลำดับ เอ้า..จะสอนโสดาบันขนาดไหน รู้จักโลกอย่างนี้นะ โลกหมายความว่าอะไร โลกหมายความว่าชีวิตของเราไปเกี่ยวเกาะ ไปเกี่ยวเกาะกับร้านเหล้า ไปเกี่ยวเกาะกับร้านบาร์ ไปเกี่ยวเกาะกับร้านอาหาร ไปเกี่ยวเกาะกับโรงน้ำชา ไปเกี่ยวเกาะกับสถานบันเทิง ไปเกี่ยวกับโรงเล่นพนันเล่นไพ่เล่นโป ไปเกี่ยวเกาะกับอะไรต่างๆ นานา  ถ้าอย่างนั้นมันเสียเวลาไม่ได้เรื่องอะไร ไปเกี่ยวเกาะกับการแต่งหน้าแต่งตาประดิดประดอย โอ้ย! อะไรต่างๆนานา บางทีก็หวีผม สางแล้วสางอีก อะไรกันนักกันหนา 

ก็มาเรียนรู้ความจริงว่า ธรรมชาติที่เราจะอาศัยมันก็มีให้อาศัยพอสมควร ไม่ต้องไปหลงใหลอะไรมันมาก คนที่รู้จักสาระ ไล่ เก็บกวาดสิ่งไร้สาระที่มันพาไปปรุงแต่ง ไปหลงรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หลง นัจจะ คีตะ วาทิตะ เลอะเทอะมากมาย เลิก หยุดได้ เข้าหาสาระแก่นสาร ชีวิตก็มีสาระแก่นสาร 

อย่างพวกเรานี่ ไม่ต้องสะสมอะไรมากมาย สาระแก่นสารเพียงพอชีวิตเบาง่ายๆ พวกนั้นที่เราเรียกว่าหมาหอบแดดยังน้อยไป พวกที่อยู่ในโลกวิ่งตะลอนๆ หมาหอบแดดยังน้อยไป นอกจากหมาหอบแดด มีบ้าหอบฟาง นั่นแหละ คนหนักกว่าหมาหอบแดด บ้าหอบฟาง สะสมไปเถอะ บ้าหอบฟางสะสม

พอเราไม่สะสมแล้วมาอยู่กันอย่างสาธารณโภคีมันสุดยอดจริงๆ เป็นยอดเศรษฐกิจ สาธารณโภคีนั้นยังอีกช้าอีกนานมากที่โลกจะกระเตื้อง มันต้องคน คนต้องมีคุณธรรมทางจิตจริงๆ มีวรรณะ 9 จึงจะสามารถมาเป็น สาราณียธรรม6 ได้มาอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มสาธารณโภคีได้ 

ถ้าไม่มี วรรณะ 9 แล้วจิตเป็นพระพุทธพจน์ 7 ไม่มีทางเป็นไปได้ ถ้าไม่เป็นจริงเป็นไปไม่ได้ พวกเราเป็นไปได้ 40-50 ปีอาตมาพาทำเป็นไปได้เป็นไปโดยสงบอย่างเรียบร้อยสบาย ผู้ที่มีปฏิภาณปัญญาดีๆ โอ้โห! สังคมนี้สุดยอดเลย พอรู้ปั๊บ มันซาบซึ้งใจแล้วไม่ไปไหนเลย เป็นตายร้ายดีฝากผีฝากไข้ฝากชีวิตกันได้ พึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตาย กันได้จริง 

นี่เป็นสุดยอดที่อาตมาว่า ยุคนี้เป็นยุคที่มันเสื่อมหนัก แต่อาตมาก็พามารู้สัจจะ สัจธรรมพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตระนี้ได้ จนกระทั่งสามารถที่จะเอาตัวเข้ามา ประพฤติปฏิบัติ เด็กๆที่ได้มาอยู่มีกุศลมาก เขาเรียกด้วยภาษาโลกว่ามีบุญมากที่ได้มา รู้ตัวให้ดีเลย ว่าเราได้มาอยู่ที่นี่ได้ฝึกฝนเรียนรู้สัจธรรมจากที่นี่ ที่เป็นของพระพุทธเจ้าได้มากหรือน้อยก็แล้วแต่ ถ้าพวกเราหนูๆทั้งหลายนี้ รู้ได้มากแล้วจะไม่ไปไหนหรอก เห็นรุ่นพี่บางคนจบแล้วไม่ไปไหน อยู่ที่นี่เลย สบายมากชีวิต ดีไม่ดีจะต้องแต่งงานก็อยู่ในนี้แหละ มีลูกมีเต้าอย่างเจ้าปุณย์ เขาเอ็นดูกัน รู้กันทั้งหมู่บ้านเลย เป็นเด็กสาธารณะ รู้จักกันดีอะไรอย่างนี้ 

ซึ่งมันเป็นวิญญาณที่สัมพันธ์กันสนิทมากเลย มันหาที่ไหนไม่ได้ แต่คนยังเข้าไม่ถึงมองยังไม่ค่อยออก ซึ่งมันบังคับความรู้กันไม่ได้หรอกภูมิธรรมของคน นี่คือสุดยอดความประเสริฐของมนุษย์อาริยะ ถึงขั้นมีโพธิสัตว์ มีอรหันต์ มีอนาคามี มีสกิทาคามี มีโสดาบันจริงๆได้เหรอ? 

เขาไม่ค่อยเชื่อหรอกคนข้างนอก เพราะเขาไม่มีภูมิธรรมถึง คนที่มีภูมิธรรมเพราะรู้แล้วก็จะ อ๋อ.. แล้วมันจำกัดเหมือนกันนะ ผ่านมา 50 ปีแล้วเดี๋ยวนี้ก็ประกาศไปทั่ว ออกไปทางสื่อสาร ผ่านๆรู้ๆเหมือนกัน แต่ไม่สะดุดอะไรหรอก ไม่เห็นว่าสำคัญ ว่า พระรูปนี้มาพูดอะไรวะ เปิดๆ ฟังๆ ไม่รู้เรื่องก็ทิ้งเป็นอย่างนั้นเยอะ เขาไม่รู้หรอก เขาก็จะไปเอานี่แหละ โทรทัศน์ช่อง เดรัจฉานวิชชา น่าสงสาร หลอกกันดื้อๆ ซื่อๆ เสร็จแล้วก็เขียน subtitle เอาไว้ โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม แต่ก็ปล่อยให้หลอกกันไป ก็รู้นะว่ามันชอบกลอยู่ แต่ก็ปล่อยให้ออกไปอยู่ฝึกอย่างนั้น มันก็มอมเมากันไป เขาไม่กล้าตัดสิน 

ถ้าอาตมาอยู่ในวงการตัดสิน พวกนี้ไม่ได้ออกหรอก เพราะมันไปมอมเมาคน แต่นี่เขาไม่กล้าตัดสิน เขาไม่มีความรู้พอที่จะบอกว่า ห้ามเขาทำไม ก็เพราะมันมามอมเมาให้คนงมงาย 

 โยมเมฆทิพย์ว่า...ตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น เขาน่าสงสารจริงๆ 

พ่อครูว่า... ตีเข้าหาสาระเลย เรากำลังพูดพวกมอมเมา ที่พูดไม่ได้พูดด้วยปากเปล่า น่าสงสารจริงๆ เขาจะจมอยู่ในสังสารวัฏอีกนานเท่าไหร่ หมายความว่าอย่างนั้นน่าสงสาร น่าสงสารหมายความว่า เขาจะจมอยู่ในสังสารวัฏอีกนานเท่านาน เราก็มองเห็นว่าคนพวกนี้จะจมอยู่ในสังสารวัฏวนเวียนอยู่อีก กว่าเขาจะเกิดมีปฏิภาณปัญญาหรือว่า เฮ้ย! เราโง่อยู่นานเท่าไหร่นี่ โพธิรักษ์มาเทศน์อยู่เท่าไหร่ ไม่รู้จัก พอรู้จักแล้ว ตายๆๆ ละอายอย่างแรงกล้า เกรงกลัวอย่างแรงกล้า เคารพอย่างแรงกล้า รักอย่างแรงกล้า นับถืออย่างแรงกล้าเลย มันเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นเลยตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส นี่ เขายังไม่มีหิริ โอตตัปปะ ดีไม่ดียังลบหลู่โพธิรักษ์เฉยเลย ก็ลบหลู่เฉยอยู่อย่างนั้น ก็เขายังไม่มีภูมิปัญญาพอที่จะรู้ความจริง 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน พญานาคเดียรถีย์ลัทธิหลับตาทำลายศาสนาพุทธ

_พ่อครูว่า... มาสาธยายเรื่องพญานาคกันให้สิ้นสงสัยกันที แค่พญานาคหรือไม่ใช่พญานาค ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นผู้มาพร้อมบวชอยู่ในศาสนาพุทธ จริงๆนะไม่ได้ไปใส่ความ เขาไม่รู้ว่าเขามาปลอมบวชแล้วมาทำลายศาสนาเป็นโจรร้าย 

_(144) “พญานาค”นั้น มีจริง? หรือไม่มีจริง?

ทีนี้มาสาธยายเรื่อง“พญานาค”ให้สิ้นสงสัยกันดูทีรึ!

พญานาค“มีจริง” หรือพญานาค“ไม่มีจริง”ก็จะได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเรื่องของความเป็น“พญานาค” หรือ“นาค”ที่เกี่ยวข้องในศาสนาพุทธกันชัดๆ แจ้งๆกันได้บ้าง

ติดตาม ไตร่ตรองไปให้แตกฉานกันดีๆ 

“นาค”นี้คำบาลีหมายถึง “งู” หรือ“งูใหญ่” หรืออื่นๆอีก

แต่เราหมายเอา“งู”เป็นสำคัญมาใช้เทียบเคียงสาธยาย

“งู”คือ สัตว์ที่อยู่ในท่า“นอน” จึงมีสัญญลักษณ์“การนอน-การหลับ”นี่แหละ นั่นก็คือ พุ่งเข้าไปที่“ลัทธิหลับตา” หรือหมายถึงคนที่มี“มิจฉาทิฏฐิ”เอาแต่“หลับตา”ปฏิบัติกันนั้นแล

บาลีคือ “นาค” ไทยก็คือ “งู” ผู้หลงผิดที่เอาแต่“หลับตาปฏิบัติ”จึงยกให้เป็น“พญางู”ในภาษาไทย ทับศัพท์บาลีก็คือ “พญานาค” ซึ่งหมายถึงเดียรถีย์ หรือเทฺวนิยม ที่เขายังหลงใหลการปฏิบัติ“หลับตา” อันไม่ใช่วิธีปฏิบัติแบบพุทธ

หรือแม้“วิธีปฏิบิติ”ที่แค่“หลับตาปฏิบัติ”นี้ก็เถอะ ก็ยังมี“ความรู้”กันแบบเดียรถีย์หรือเป็น“เทฺวนิยม”กันอยู่ ยังห่างไกล“วิธีปฏิบัติแบบพุทธ”ที่“สัมมาทิฏฐิ”กันอยู่หลาย“ปีแสง” พ่อครูว่า...ฌานของพุทธ เป็นสิ่งที่พูดกันรู้เรื่องตั้งแต่เด็กจนถึงคนแก่ แต่พวกหลับตาปฏิบัติฌาน พูดกันไม่รู้เรื่องหรอก พูดกับเขาไม่รู้เรื่อง พูดมา 50 ปีก็กระเตื้องขึ้นได้มานิดนึง พูดกันแล้วเขาก็หาว่ามาทำลายศาสนาพุทธ ทั้งๆที่เขาเป็นตัวทำลายศาสนาพุทธเป็นโจรร้ายทำลายศาสนา ได้นรกอเวจีอยู่เขาก็ไม่รู้เรื่อง มันสุดสงสารจริงๆ มันสุดสาครสินสมุทรจริงๆ 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สู่แดนธรรม.. อุปมาของงูกับนกเหยี่ยวหรืออินทรีย์ นาคชอบหลบซ่อนในรูไม่สู้ในที่สว่าง ความสามารถของงูมันมองได้แต่ข้างหน้า ไม่สามารถมองข้างหลังได้ แปลว่า ถ้าผู้ปฏิบัติที่ดิ่งเพ่งอะไรสักอย่างจะมองไม่รอบ แต่ถ้าเป็นนกอินทรีย์ จะมองได้รอบถ้วนและมองได้ไกลมาก นกกะปูด จะกินงู มันฉลาดจะเอาปีกบังตาไว้ งูมองไม่เห็นตานก ก็นึกว่านกไม่อยู่ก็เลยเลื้อยหนีไป งูก็เลยตามไปจิกงูได้ นกเปรียบเสมือนแสงสว่าง งูเปรียบเสมือนความมืด 

พ่อครูว่า... ใช่ ปฏิบัติหลับตานั้นก็มีแต่ความมืด ซึ่งมันจะเกิดความมีแสงสว่าง เกิดความรู้ มันจะรู้โลกรู้อัตตา ไม่ได้เลยจริงๆ เพราะฉะนั้นเขาจะมิจฉาทิฏฐิ กว่าจะได้สัมมาทิฏฐิก็คงจะอยู่ไปอีกหลายปีแสง เป็นล้านปีแสงก็ไม่รู้ ใช้เวลานานในการเดินทาง
 

“วิธีแบบพุทธ”นั้น ต้องเป็น“จรณะ 15 วิชชา 8” พุทธคุณข้อ 1 มีวิชชา มีความรู้มีปัญญาเข้าร่วมในการปฏิบัติตั้งแต่มีปัญญาไปกับศีล มีปัญญาไปกับ อปัณณกปฏิปทา 3 มีปัญญาไปกับ สัทธรรม 7 ตัวปัญญาคือฌาน ตัวฌานก็คือปัญญา มีฌานที่ไหนปัญญาที่นั่น ฌานที่ไม่มีปัญญาไม่มี และปัญญาที่ไม่มีฌานก็ไม่มี 

ปัญญาที่ไม่มีฌานนี่แหละ จะเข้าใจยากกว่า ฌานที่ไม่มีปัญญา ปัญญาความรู้อีกชนิดหนึ่ง ที่จะต้องเป็น ฌาน

ฌาน คือการเผากิเลสได้ ฌาน ไม่ใช่การเพ่งเข้าไปให้นิ่งให้ดับให้สนิทให้ไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่ คนละโลกเลยคนละฟากโลกเลย ดาวคนละดวงเลย คนละข้างเลย ข้างหนึ่งอยู่ประเทศไทยอีกข้างหนึ่งอยู่อเมริกาเลยคนละโลกเลย เมืองไทยเจอพระอาทิตย์สว่างจ้า อเมริกามืดตึ๊ดตื๋อเลย ตรงกันข้ามกัน เที่ยงคืนเลย เมืองไทยเที่ยงวัน 

เพราะฉะนั้นเราคนไทยเจอแสงสว่าง อเมริกานี้สุดมืดเลย ไทยสว่างจ้า แต่อเมริกามืดสนิท สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเลย มืด เขาจะยังไม่โผล่ไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ จะยังสร้างอำนาจบาตรใหญ่ จะต้องหรูหรา จะต้องเบ่งทุกอย่างเลย แม้แต่ราคาของธนบัตรเขาจะต้องยิ่งใหญ่ ทั้งๆที่เป็นเศษกระดาษเต็มไปหมด ถ้าเอาดอลลาร์ทั้งหมดในโลกไปคืน แล้วเอาค่าราคาตามที่คุณตีราคาให้ (เมืองไทยก็ 30 บาท)มาคืน ก็ว่าไปตามเขา แล้วให้เอาสมบัติที่อเมริกามี เอามาแลกคืนเอากระดาษขึ้นไป เอาอะไรมาตีราคาเท่าที่ควรจะเป็นคืน นี้ หมดประเทศอเมริกาหมดไม่เหลือ ดอลลาร์ที่เขาพิมพ์กระดาษเปื้อนสีออกมาทั่วโลกขณะนี้ 

อาตมาพูดนี้ไม่ใช่พูดเล่นแต่เป็นเรื่องจริงเป็นจริง แล้วเขาต้องสร้างตรงนี้เป็นอำนาจใหญ่ในโลก เศษกระดาษนี้เป็นฤทธิ์แรง เพราะฉะนั้นเรื่องสมบัติต่างๆนานาก็คือการลวงหลอกด้วยการเอากระดาษมาตีราคาแล้วไปแลกออกมาเป็นสมบัติของตัว ทำได้เขาทำได้ เป็นผู้ที่เก่งชิบหายเลย เอาเปรียบเอารัดคน ใช้อำนาจบาตรใหญ่เอาเปรียบเอารัดคน ชั้นหนึ่งเลย 

ตะวันออกกลางยังเอาน้ำมันมาแลกธนบัตรไป แล้วเงินเขาก็ไม่ต้องอะไรมากเหมือนอเมริกา ที่ปั่นสร้างให้มันมีตัวลวง อัตราราคาลวงๆๆ ขึ้นมา แล้วคนก็จำนน เพราะเขามีอำนาจบาตรใหญ่ในเรื่องการสร้างอาวุธ แล้วก็เก่งในทางสร้างวิศวกรรม แม้แต่เครื่องมือเทคโนโลยี เขาก็ได้คนชนิดนั้นไป ตระกูลของเขาก็ได้คนชนิดที่สร้างเทคโนโลยีเก่ง ก็เลยยิ่งใช้เทคโนโลยีนี้เป็นเครื่องมือในการเอาเปรียบเอารัดมนุษยชาติทั้งโลก 

การเอาเปรียบเอารัดเป็นความเลว การเอาเปรียบเอารัดได้มากๆแล้วก็หลงว่าตัวเองเฉลียวฉลาดยิ่งใหญ่ มันก็งมงายไม่รู้เรื่องว่าตัวเองนี้กลายเป็นคนไร้ราคา เป็นคนไม่มีคุณค่าเป็นคนที่ได้แต่เอาเปรียบคนอื่นอยู่ ข่มคนอื่นเขา ซึ่งเขาจะเข้าใจยากในเรื่องโลกุตรธรรมเหล่านี้ เขาจะหลงโลกีย์ทั้งนั้นว่าเขายอดเลิศจริงๆ ฟังไม่รู้เรื่องหรอกที่อาตมาพูด เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าเขาจะมาแวะมาแว้งอาตมา เพราะเขาไม่รู้เรื่องหรอก มันพูดพาดพิงถึงเรา มันด่าเราหรือเปล่าก็ไม่รู้ เขาไม่รู้หรอกว่าเราด่าเขา จริง จะว่าโง่ก็สุดโง่เลย 

เพราะฉะนั้นลัทธิเลียนแบบ เกาหลีเหนือเลียนแบบ นึกว่าอำนาจนี้คืออาวุธ เกาหลีเหนือก็เลยสร้างอาวุธไว้สำหรับป้องกันตัว เพราะว่าประเทศเขาเป็นประเทศเล็ก เป็นประเทศหัวเดียวกระเทียมลีบ ก็เลยสร้างอาวุธสร้างเขี้ยวเล็บ ที่อื่นๆก็พลอยตามไป เมืองไทยไม่ต้องสร้างอาวุธเลย เจริญมาก 

“คนดีสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ” 

 ตอบตีหัวเข้าบ้านเลย 

จรณะ 15 วิชชา 8 มันไขทุกอย่างเลย ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิได้มรรคได้ผล ล้างอาสวะสิ้น หมดสิ้นอาสวะนั้น เป็นเรื่องของจิตนิยาม เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ เป็นเรื่องของพระเจ้า เป็นเรื่องของการล้มล้างพระเจ้า เลิกเลย สลายเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย 

พระเจ้าคือพระจิตวิญญาณ แล้วของเขาไม่รู้เรื่องพระเจ้า พระเจ้าของเขาก็เลยหลงเป็นอำนาจเหมือนกับลัทธิที่มีอำนาจในโลก ยกให้เลยทั้งๆที่ไม่รู้จักเลยว่าพระเจ้าอยู่ไหน ไหนพระเจ้า ไม่เคยรู้จักอัตภาพของพระเจ้า สมมุติไปอย่างนั้นแหละ ซึ่งมันต้องมาศึกษา พระเจ้าก็ต้องอยู่ในตัวจิตวิญญาณ แล้วในคนมีวิญญาณไหม ก็มี ก็ศึกษาวิญญาณในตัวคนศึกษาให้ทะลุเลยว่า แล้ววิญญาณจริงๆมันเป็นอย่างไร อ๋อ! วิญญาณจริงๆเป็นธาตุสังขาร เป็นธาตุที่มีรูปนาม ศึกษาได้อย่างนี้เองหรือ แยกรูปแยกนาม ศึกษาในอายตนะ ผัสสะ เวทนา รู้ตัวเหตุคือตัณหา อุปทาน โอ้โห! ปัญญามันรู้ไอ้ 2 ตัวนี้มันมานั่งมายึดมาถืออยู่ พระพุทธเจ้าบอกว่าเรารู้หน้าเธอแล้วมาร หักยอดเรือนที่เธอสร้างไว้ในจิตวิญญาณหมดแล้ว หักยอดเรือนเธอได้แล้ว มาร มารรู้ว่าพระพุทธเจ้ารู้จักหน้าตา รู้จักรูปร่าง รู้จักตัวจริงของไอ้เจ้าตัวปลอม มารมันคือตัวปลอม มันตัวหลอก ไอ้ตัวหลอก ก็เลยจำนนหายไปเลย เหลือแต่ความจริง 

พระพุทธเจ้าก็เลยเป็นผู้ที่ยืนหยัดความจริง ความหลอกหมดเลย ความปลอมหายไปหมดเลย เพราะพระพุทธเจ้าเห็นหน้าความหลอกความปลอมหมดเลย ความหลอกความปลอมถูกพระพุทธเจ้ารู้พวกมัน พวกที่หลอกพวกปลอมเหล่านี้ พระพุทธเจ้าเห็นแล้วมันหายไปเลย 

ปัญญาจะมีพลังมีฤทธิ์อำนาจขจัดความหลอกขจัดความเท็จขจัดความไม่จริงหายไปหมดเลย เหลือแต่ความจริง 

เพราะฉะนั้นอาตมาถึงยืนยันพูดว่าอาตมาพูดความไม่จริงไม่เป็น คุณฟังขึ้นไหม ฟังเข้าใจไหม อาตมาพูดไม่เป็นพูดความไม่จริงไม่เป็น พูดออกมามีแต่ความจริง ซึ่งยากเหมือนกันที่คนจะเข้าใจเพราะว่าคนจะเข้าใจว่าคนมันก็ต้องมีหลอกมีเท็จ แต่นี่ พูดเท็จไม่เป็นเลย มันจะมากไปไหมนะ ซึ่งมันก็น่าเห็นใจคนเขาเหมือนกัน 

สู่แดนธรรม.. เป็นคนมีวาจาสิทธิ์พูดอย่างไรก็มีความศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้น แม้จะพูดเล่นๆแต่ที่สุดก็ดึงกลับเข้ามาสู่สาระที่เป็นความศักดิ์สิทธิ์อีก 

พ่อครูว่า... ซึ่ง ที่อาตมากำลังพูดกันกำลังสาธยายมันตรงกันข้ามกับที่เขารู้กัน 180องศาเลย

“วิธีแบบพุทธ”นั้น ต้องเป็น“จรณะ 15 วิชชา 8” ซึ่งมันตรงกันข้ามกัน 180 องศากับ“วิธีปฏิบัติ”ที่เป็น “จรณะ 15 วิชชา 8”เลยทีเดียว 

แม้แต่ผู้ที่มาเรียนรู้ทางด้านพยายามรู้ความรู้ให้กว้าง พวกหลับตานั้นแคบสนิท แต่นี่เขาก็พยายามมารู้ความกว้างเขาก็ ฟ่ามกระจาย พวกสายปริยัติสายพระบ้านสายดร.สายเปรียญรู้พวกนี้ ซึ่ง อาตมาน่าสังเวชใจน่าสงสาร ไปเรียนพุทธศาสนาจากมหาวิทยาลัยของเทวนิยม โอ้ย! มันน่าละอายจริงๆ น่าละอายอย่างไม่รู้จะน่าละอาย เป็นพุทธศาสนิกชน แต่ไปเรียนรู้กับสำนักของเทวนิยม แล้วผู้ที่รู้ เป็นผู้รู้จักเทวนิยม เป็นอเทวะแล้ว 

อเทวะไม่มีนิยมนะเพราะว่านิยมแปลว่าความเที่ยง เทวนิยม อเทวนิยม ไม่มี มีแต่ อเทวะจะแปลว่าไม่มีเทวะแล้ว ไม่เอาเทวะแล้ว หรือไม่หลงเทวะ เราไม่มีแล้ว แล้วก็รู้กลางๆเลยว่าทั้งมีและไม่มี เราก็ไม่หลงเข้าไปติดยึดเป้

อนุปคัมมะ เป็นผู้ที่มีพลังสูงเป็น อภิภุยยะ

รู้จักสภาพที่มี 2 พอสัมผัสกันก็เป็นอายตนะ แล้วก็สูงส่งถึง อภิภายตนะ 8 รู้การแจก อภิภายตนะถึง 8 ประการ 

สู่แดนธรรม.. พ่อท่าน สู้ สู้

พ่อครูว่า... ทุกวันนี้เขาไอที แต่อาตมานี่ไอถี่ เขาแค่ไอที จะไปสู้อาตมาได้อย่างไร อาตมาสู้ไอถี่ เขาไอคนละทีสองที แต่อาตมาไอถี่

สู่แดนธรรม.. เล่าเรื่องจงอางหวงไข่ เขามีวิธีล่อจับงู คืองูไม่กล้าสู้แสงสว่างแจ้ง เครื่องมือจับงูจงอางไม่ยากหรอก เขาทำเครื่องมือเหมือนถุงกาแฟยาวๆ สีดำๆ ยาวสักเมตร ไปเคาะให้งูเห็น งูมันก็วิ่งเข้าไปเลย งูจงอาง 

พ่อครูว่า... พวกสัตว์หลับชอบที่มืด คนเราฉลาดนะ จับงูจงอางเอาถุงกาแฟไปถุงเดียว 

พญานาคคือพวกหลับตา พวกหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น และก็เป็นพวกที่อวิชชา
_ดังนั้น คนผู้เอาวิธี“หลับตา”มาใส่ในศาสนาพุทธจึงเป็น“ของปลอม” คนที่เอา“ของปลอม”มาใช้ในศาสนาพุทธ จึงเป็นคนผิด ถ้ายังขืนยืนยันใช้“ของปลอม”อยู่ก็เป็น“โจร”อยู่

“พญานาค”จึงคือ“โจร” ผู้เข้ามาปล้นศาสนาพุทธที่แท้

ทุกวันนี้ในวงการศาสนาพุทธก็ยังพากันหลงยึดมั่นถือมั่น“หลับตาปฏิบัติ”กันว่า เป็น“วิธีสำคัญ” เป็นวิธีหลักในการปฏิบัติเพื่อบรรลุฌาน บรรลุสมาธิ บรรลุนิพพานกันทีเดียว

ซึ่งมัน“ผิด”อย่างยิ่งใหญ่จริงๆ

แต่ก็ยังหลงยืนยันยืนหยัดการปฏิบัติ“หลับตา”เป็นหลักที่จะทำให้เกิดบรรลุมรรคผลกันจริงๆจังๆกันอยู่ จึงยังเป็น“โจร”กัน เป็น“พญานาค”แท้ๆ

เมื่อยึดมั่นถือมั่นกันอยู่ เป็นกันมีกันเอาจริงเอาจังกันอยู่ ยังไม่เกิด“ปัญญา”เลิกละได้  ฉะนี้แหละคือ “พญานาค” 

พ่อครูว่า...พญานาคมีจริงไหม ก็มีจริง แล้วลัทธินอนลัทธิหลับมีจริงไหม ก็มีจริง ไม่โงไม่เงย จมอยู่อย่างนั้น 

ถามเด็กๆว่า พญานาคมีจริงไหม?

ด.ช.ป่องเอี้ยมว่า...มีจริง

พ่อครูว่า... แล้วพญานาคคืออะไร?

ด.ช.ป่องเอี้ยมว่า...คือนั่งหลับตา

_“พญานาค”จึงชื่อว่า “มีจริง”

แต่“พญานาค”คือ ผู้ปฏิบัติไม่ถูกไม่จริงในศาสนาพุทธ

ใครว่า “พญานาค”นั้น“มีจริง”หรือ“ไม่มีจริง”กันบ้างเอ่ย?

มันก็เหมือน“คำโกหก”และ“คนโกหก”นั่นแหละ

“คำโกหก”นั้น“ไม่จริง”  แต่“คนโกหก”ก็“มีจริง” ชัดมั้ย?

พ่อครูว่า...คนก็ต้องอยู่กับความจริง ส่วนคนจะปฏิเสธไม่รับ มันไม่จริงเราก็ไม่รับ เพราะฉะนั้นผู้ที่จะรู้ความจริงสูงสุดแล้ว ก็จะรู้ความจริงว่า วิญญาณ ตกลงที่สุดแห่งที่สุดของวิญญาณมีจริงหรือไม่มีจริง ... 

สู่แดนธรรม.. ถ้าตอบว่าที่สุดก็ต้องตอบว่าไม่มีครับ 

พ่อครูว่า... ไม่มี เพราะทำให้เป็นดินน้ำไฟลมไปได้ ศาสนาพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วค้นพบว่ามันไม่มีจริง มันเป็นอนัตตา มันไม่ใช่ตัวตนจริง มันเป็นตัวหลอก 

เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้ความจริงก็รู้ แต่เราจำนนตรงที่ว่า เรายังมีตัวนี้แล้ว เรายังไม่ตรัสรู้ทยังไม่รู้ว่าเราจะทำให้มันไม่มีจริงได้อย่างไร วิญญาณหรือ อัตตาของเรา ทำให้มันสลายก็ต้องมาเรียนรู้ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เรียนรู้ตามแล้วก็ทำให้หลุดออกไปจากโลก จากอัตตา 

ตั้งแต่โลกหยาบ โอฬาริกอัตตา หยาบๆ มาถึง มโนมยอัตตา โลกกลางๆ จนกระทั่งถึง อรูปอัตตา ก็ดับหมดโลกกับอัตตา

จบมีแต่ความรู้ที่เรียกว่าธรรมะ เป็นธรรมาธิปไตย รู้จักโลก โลกาธิปไตย รู้จักอัตตา อัตตาธิปไตย  รู้จักอำนาจทางโลกทางประชาธิปไตย รู้จักธรรมะที่เป็นโลกุตรธรรมสมบูรณ์แบบ ก็จัดการโลก จัดการอัตตตาได้หมดเลย เป็นอธิปไตยของธรรมะยิ่งใหญ่ ความรู้ของธรรมะขั้นโลกุตรธรรม ก็ดับโลก ดับอัตตาได้ 

รู้จักโลกสมุทัย ทำโลกนิโรธได้ อัตตาก็ทำอนัตตาได้ 

ผู้ที่ตรัสรู้ ผู้ที่รู้เป็นพระอรหันต์ขึ้นไป โดยเฉพาะอรหันต์ขั้นโพธิสัตว์ก็รู้แตกฉาน โดยเฉพาะอาตมานี้ รู้แตกฉาน ก็พูดชัดๆ ที่อาตมาพูดไปเมื่อกี้นี้อาตมาพูดความจริงนะ  อาตมาพูดความจริง อาตมาบอกว่าตนเองเป็นผู้รู้แตกฉานนี้อาตมาพูดจริง พวกที่หมั่นไส้คงจะอาเจียนเป็นโลหิตร้อนพุ่งออกจากปาก 

สู่แดนธรรม..พ่อท่านมาทำผิดจากที่เขายึดถือกัน

พ่อครู...อาตมาไม่ได้คุยตัว อาตมาบอกความจริง ไม่ได้คุยโม้พูดความจริงของการพูด

พูดความจริงในสิ่งที่เป็นความจริง จริงๆ ไม่ได้คุยโม้คุยอวดอะไรอย่างนั้น อาตมาพูดความไม่จริงไม่เป็น ที่พูดไปนี่ไม่ได้แก้ตัว มีแต่ความจริงทั้งนั้นเลย แก้ตัวไม่เป็นหรอก อาตมาพูดอย่างไรก็มีแต่ความจริง คนไม่รู้ความจริงก็หาว่าอาตมาพูดแก้ตัว 

 

_(145) ตำนานต่างๆของ“พญานาค”เท่าที่อาตมาพอรู้  

มาพูดถึง“ตำนานพญานาค”กันเท่าที่อาตมาพอรู้นะ

1. นาค คือ งู ที่มีภาวะ สื่อแสดงท่านอน-ท่าหลับ เป็นลักษณะสำคัญ ดังนั้น ลัทธิยึดท่า

หลับ”คือ “หลับตา”ปฏิบัติจึง“มีจริง” ซึ่งเป็นลัทธิหลับตา ก็คือ ศาสนาหรือลัทธิเดียรถีย์ ที่เป็นลัทธินอกพุทธนั่นแหละ  ยังมีมาก ครองโลกอยู่ด้วยซ้ำ 

2. นาค มาปลอมบวช ในศาสนาพุทธหมายความว่า ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่มีการ“หลับตา”ปฏิบัติ ผู้นำการ “หลับตา”ปฏิบัติมาใส่ลงไปในศาสนาพุทธ จึงเป็นคนผิด คนปลอม ที่เอา“ของปลอม”เข้ามาในศาสนาพุทธ ก็ได้บาปแน่ 

เพราะพุทธที่“สัมมาทิฏฐิ”นั้นจะมีหลักปฏิบัติแท้ๆคือจรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งมี“อปัณณกปฏิปทา 3”ยืนยันการเป็นศาสนาพุทธที่แท้จริงถูกต้อง มีหลักธรรมชัดเจนอยู่โต้งๆ

ถ้าการปฏิบัติใดไม่มี“อปัณณกปฏิปทา 3”การปฏิบัตินั้นก็“ผิด”ไปจากศาสนาาพุทธ ก็ชัดแจ้งแดงแจ๋อย่างนี้

หรือถ้าผู้ใดยืนยันยึดมั่นถือมั่น ว่า “การหลับตาปฏิบัติ”นี่แหละเป็น“ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด    (อปัณณกปฏิปทา)”ของศาสนาพุทธ ผู้นั้นก็คือ “มิจฉาทิฏฐิ”ตัวแท้ ซึ่งมีความคิดปฏิปักษ์ต่อศาสนาพุทธอยู่โทนโท่ แท้ๆ ชัดๆ

“อปัณณกปฏิปทา 3 (ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดของพุทธ)”ก็คือ การปฏิบัติที่มี“ศีล”เป็นหัวข้อแต่ละข้อ ให้ปฏิบัติ แล้วจะต้อง “สำรวมอินทรีย์ 6-โภชเนมัตตัญญุตา-ชาคริยานุโยคะ” อันเป็น“ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดของพุทธ 3 ข้อ”ที่มียืนยันอยู่อ้างอิงได้ใน“พุทธคุณ 9”ของพระพุทธเจ้า”แท้ๆชัดๆ ใครจะบังอาจปฏิเสธ

พ่อครู...ผู้ที่มาศึกษาก็ไม่กระไร แต่ผู้ที่ศึกษาศาสนาพุทธที่สุด แม้แต่ผู้ที่ศึกษาพุทธ

ศาสนาจากมหาวิทยาลัยเทวนิยม ฟังแล้วน่าอายไหม จบด็อกเตอร์ศาสนาพุทธจากมหาวิทยาลัยทางเทวนิยม ให้ Doctor ฝรั่งเขาสอน แล้วแบกปริญญาเอกมา ปริญญาเอกทางพุทธศาสนานะจ๊ะ ดูแล้วก็น่าสังเวชใจ 

มันหลงกลับ เอาฝามาเป็นก้น เอาก้นมาเป็นฝา เอาฝาหม้อไปปิดก้นหม้อ ฟังแล้วตลกไหม พูดแล้วมันก็สุด 

มันมีภาวะสองเสมอ คนเกิดมาจะต้องอยู่กับสิ่งอื่น มีตัวคุณกับสิ่งอื่น แม้ว่าคุณนอนหลับหลับตาอยู่ในภพชาติ พอลืมตาก็เต็มสภาพ สติเต็มร้อย คุณก็รู้ตาหูจมูกลิ้นกายใจถึงจะเต็มคนเต็มครบ หลับตามันไม่ใช่เต็มคนเต็มครบ มันครึ่งผีครึ่งคน เป็นสัมภเวสี เป็นจิตวิญญาณไม่เต็มเต็ง นอนหลับก็เหมือนกัน นอนหลับก็คือวิญญาณไม่เต็มเต็ง ต้องลืมตาถึงจะมีวิญญาณฐีติวิญญาณเต็มๆ วิญญาณบริบูรณ์ ถ้าไม่เช่นนั้นมันไม่เป็นวิญญาณสมบูรณ์แบบ นอนหลับฝันเป็นสัมภเวสี 

รู้จักสัมภเวสีกับวิญญาณไหม ต่างกัน เด็กๆฟังชัดไหม วิญญาณกับสัมภเวสีนี่มันต่างกัน นอนหลับนี้วิญญาณก็อยู่ในภพ เป็นสัมภเวสีล่องลอยไม่รู้เรื่องเต็ม มันมีแต่สัญญาความจำฟุ้งไป จากความจำเก่าบ้างคิดใหม่บ้างผสมไป พระพุทธเจ้าก็พยายามรวบรวมสิ่งที่เป็นสัญญาในอดีตมีได้ 18 ฟุ้งซ่านคิดอะไรบ้าๆบอๆอีก 44 ซึ่งเป็นรายละเอียดที่อาตมายังไม่บังอาจจะเอามาอธิบายได้เท่าไหร่ มันละเอียดสุดเลย ถ้ารู้จักทิฏฐิ 62 จะค่อยๆกระจายความเข้าใจเป็นฐานให้ก่อน ทีหลังก็จะอธิบายได้ 

เพราะฉะนั้นถ้าไม่ลืมตาไม่ตื่นขึ้นมา ชาคริยา แล้วก็ปฏิบัติให้ตื่นรู้ ไม่ใช่ไปรู้หลับ รู้ในตื่น 

_อปัณณกปฏิปทาข้อ[1] “สำรวมอินทรีย์ 6” ที่มีตา, หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ“สัมผัส”เห็นรูปทางตา,ได้ยินเสียงทางหู,ได้กลิ่นทางจมูก,ได้รสทางลิ้น,ได้กระทบกายภายนอก-ภายใน,ได้สัมผัสกันเองของใจกับในใจขั้นรูป-ขั้นอรูป ซึ่งมี “ภาวะ 2”คือ“มี“ภายนอก”ด้วย มีภายใน”ด้วยอยู่ตลอดการปฏิบัติ

อปัณณกปฏิปทาข้อ[2] “โภชเนมัตตัญญุตา” ผู้ปฏิบัติต้องเรียนรู้ขณะกินขณะใช้นั้นๆ อย่าให้มีกิเลสมันเกิดในจิต ถ้ากิเลสเกิดก็กำจัดกิเลสนั้นๆ 

อปัณณกปฏิปทาข้อ[3] “ชาคริยานุโยคะ” ผู้ปฏิบัติต้องทำความมีสติตื่นรู้อยู่กับการปฏิบัติทั้งภายนอก-ภายในนั้นๆอยู่เสมอ และมี“ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์”ไปตลอด

แต่ผู้หลงผิดก็มืดบอดจริงๆ ไป“หลับตา”ปฏิบัติกัน    การหลับตาปฏิบัติ มันก็ตรงกันข้ามกับ“อปัณณกปฏิปทา 3”

มันผิด“วิธีปฏิบัติของพุทธ” แม้ภาษา“อปัณณกปฏิปทา” ก็ยืนยันอยู่โต้งๆ ชัดๆอีกปานฉะนี้  ก็ยังไม่ยอมรับความผิดนี้

สู่แดนธรรม.. พวกเพื่อนๆสายหลับตาเขาบอกว่า มันเยอะแยะมากมาย เมื่อยรู้มาก สู้ไปนั่งหลับตาปฏิบัติไม่ได้ 

พ่อครูว่า... รู้ให้น้อยลงอย่าไปรับรู้ให้มากนั่นแหละคือโง่ นี่พูดตรงๆ ไม่ได้เบี้ยวบาลีไม่ได้เบี้ยวไทย พูดตรงๆ ภาวะเป็นอย่างนั้น 

สู่แดนธรรม... เขาบอกว่ารู้มากก็ไปไหนไม่ได้เหมือนกัน 

พ่อครูว่า... มันก็ต้องรู้มากจนเราเลือกเอาสาระได้ ไม่ใช่รู้สะเปะสะปะ แต่ก็รู้ความจริงตามความเป็นจริงไม่สะเปะสะปะหรอก

_3. ผู้นำวิธี“หลับตา”มาใช้ในศาสนาพุทธจึงเป็น“นาค” หรือ“งู”ปลอมเข้ามาเผยแผ่ลัทธิวิชาของเดียรถีย์ ในพุทธ 

พ่อครู...มีปฏิภาณรู้เหมือนกันว่าไม่ต้องไม่พยายามนอนหลับ ก็เลยไปนั่ง ไปนั่งหลับ ก็คือเนสัชชิ เป็นการปฏิบัติของสายพระป่า เจ้าของลัทธิเนสัชชิคือ พระมหากัสสปะ

เมื่อ“ปลอมตัว”เข้ามาอยู่ในศาสนาพุทธแล้วก็พยายามที่จะไม่ทำตนเป็น“งู” ก็ยังพยายามไม่ให้แสดงหลับ ไม่ให้แสดงนอน เดี๋ยวจะจับได้ว่า เป็นเดียรถีย์คือ“งู” จนที่สุดนาคที่ปลอมเข้ามาบวชในศาสนาพุทธก็ต้องเผย“ธาตุแท้”ออกมาจนได้ คือ ตอนมาขอบวชนั้นปลอมตัวเป็นคน  แต่เผลอนอน เผลอหลับให้จับได้ นั่นคือ ร่างที่ปลอมเป็นคนมานั้นมันกลับคืนไปเป็นงู ตอนเผลอนอนหลับอยู่ในกุฏิ หางโผล่ออกมานอกประตู มีผู้พบเห็นก็จับได้ว่าเป็น“นาค”ปลอมตัวเข้ามาบวช จึงจับสึก ไล่ออกไป  

แต่นาคก็อ้อนวอนขอให้เห็นใจ คนผู้รักศาสนาพุทธ ศรัทธาศาสนาพุทธ อยากเป็นพุทธ จึงขอให้เรียกผู้ที่จะได้บวชเป็น“ภิกษุ”ในศาสนาพุทธ โดยใช้คำว่า “นาค”เป็นอนุสรณ์

จึงมีคำว่า “นาค”เรียกผู้เตรียมบวชก่อนเป็นภิกษุ

จริงๆแล้วลัทธิ“หลับตา”ปฏิบัติเป็นลัทธิ“เดียรถีย์” ดังนั้น ผู้ปลอมตัวเข้ามาบวช แต่เป็น“เดียรถีย์”ผู้นั้น“จิตยังไม่มี“ความยินดี”ถึง“รากเหง้า”ของจิต ยังไม่มี“ฉันทะเป็นมูลกา”(ข้อที่ 1 ของ“มูลสูตร 10” พระไตรปิฎก เล่ม 24 ข้อ 58)จริงๆ “จิตจริงลึกๆ”ยังติดยึดอยู่กับ“ลัทธิเดียรถีย์เดิม”อยู่แท้ ก็ยากที่จะ“ทำใจในใจ(มนสิการ)”ให้เป็น“โลกุตระ”ได้สำเร็จผล

ผู้ที่ยัง“ไม่มีฉันทะ”ถึงรากถึงเหง้าของจิต(มูลกา)จริง จึงไม่มีหวังที่จะปฏิบัติธรรมของพุทธบรรรลุ“โลกุตระ”

ประเด็นต้องมี“ฉันทะเป็นรากเหง้าของจิต”นี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่ใช่เรื่องสามัญ แต่สำคัญลึกล้ำใหญ่ยิ่งแท้ทีเดียว

ก็ขนาดผู้มี“ฉันทะ”ในพุทธโลกุตระชนิดเต็มใจแท้ๆก็ยังยากเลย ที่จะ“สัมมาทิฏฐิ” จึงจะปฏิบัติบรรลุ“โลกุตรธรรม”

สู่แดนธรรม... สรุปจบ








 

ผนวกเหลือจากเทศน์

 

(146) ความเป็น“กาย”จึงอธิบายความเป็น“พญานาค”

เพราะ“โลกุตรธรรม”นั้นวิเศษ พิเศษเหนือไปจาก“โลกียธรรม”จริงๆ ที่ต้องเริ่มต้นด้วย“ทิฏฐิ”คือ“ความเข้าใจ” ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงนับตั้งแต่ความเข้าใจ“กาย” ซึ่งเรียนรู้ได้จาก ที่มี“ของตน”ที่บาลีว่า “สัก” นั่นคือ ต้อง“พ้นสักกายทิฏฐิ”

หากเข้าใจความเป็น“กาย”จากภาษาว่า“กาย”นี้แล 

ไม่ได้อย่างเป็น“สัมมาทิฏฐิ”ละก็ ต่อให้พากเพียรอุตสาหะหนักหนาอุกฤฏ์ษปฏิบัติปานใด ก็ไม่มีสิทธิ์บรรลุพุทธโลกุตระ

เช่น หลงผิดเอาวิธี“หลับตา”เข้ามาใส่ในศาสนาพุทธ หรือเข้าใจว่า “กาย”คือ “ร่างภายนอก”ที่หมายเอาเฉพาะแต่ “สรีระ”อย่างเดียว ไม่มี“จิต”ร่วมอยู่ด้วยก็คือ “มิจฉาทิฏฐิ”แท้  

ผู้นำวิธี“หลับตา”มาใช้ในศาสนาพุทธจึงเป็น“นาค” หรือ“งู”ปลอมเข้ามาเผยแผ่ลัทธิวิชาของ“เดียรถีย์”ในพุทธ

ชื่อว่า “โจรร้าย”ของศาสนาพุทธ เป็นผู้ทำลายพุทธแท้   

4. เมื่อ“นาค”พยายามซึมแทรกเข้ามาบวชในศาสนาพุทธได้ ก็พยายามจะไม่ให้“ความเป็นนาค”บังเกิดออกมาอย่างยิ่ง อย่างใหญ่อย่างมหายิ่งมหาใหญ่ จนต้องเรียกว่า “พญา”ผู้ยิ่งใหญ่ ที่รักศรัทธาศาสนาพุทธ ก็พากเพียรที่จะ“ไม่ให้ตนเป็นนาค” ก็เท่ากับผู้เฝ้ารักษาความเป็นพุทธอย่างยิ่งใหญ่ จึงมีสัญลักษณ์เป็น“นาคปรก 7 เศียร” นั่นหมายถึงผู้รู้ว่า ตัวเป็น“นาค”ผู้มีรากฐานมาจากงู แต่รักศรัทธาศาสนาพุทธสุดชีวิต จึงคอยปกป้องรักษาศาสนาพุทธจริงจังแน่แท้ แล้วปณิธานของตนก็จะเป็นพุทธสุดยอดให้ได้ ถึงพระพุทธเจ้าโน่นแหละ ก็แสดงถึงความเป็น“นิยตะ” ซึ่ง“ปุคคลาธิษฐาน”ก็คือ “พญานาต 7 ตัว 7 หัว”ปกปักรักษาพระพุทธ 

นั่นคือ มี“ความปรารถนาเจตสิก”เข้าขั้นยินดีในพุทธแล้วแน่นอน ไม่มีเปลี่ยนแปลง ยึดมั่นไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา 

จึงนับเข้าขั้นผู้รู้ดีในความเป็น“นาค”อย่างยิ่ง และจะ

ออกจากความเป็นนาคให้ได้เด็ดขาดจริงแท้ด้วย จึงนับเข้าขั้น

เป็นผู้รู้ทันคนปลอมตัวมาบวชในศาสนาพุทธ ก็กลายเป็น

ทั้งมือปราบคนปลอมตัวมานอน มาหลับ มาซุกตัวเผยแพร่

“ความเป็นงู-ความเป็นนาค”ทั้งตนก็ยังเป็น“นาค”อย่างยิ่งอยู่ 

ที่มาเผยแพร่ลัทธิงูลัทธินาคในพุทธเสียเลย ซึ่งเป็น“ภาวะมายา” คือ “ภาวะ 2”ซ้อนอยู่ใน“ภาวะ 1” โดยตนก็“อวิชชา”อยู่ตลอด

5. ซึ่ง“อนุสัย”ของ“นาค”ก็ยังมี“อัตตา”เก่งยอดบุกรุก จนได้ชื่อว่า เป็นจอมนาคหรือพญานาคเข้ามาเผยแพร่ลัทธิหลับ ลัทธินอนของตนจนได้ เป็นยอดงู จอมนาค จนศิลปินต้องยกฐานะให้เป็น“พญางู”ก็ตกแต่งหน้าตา หูหัว สัดส่วนรูปร่าง“งู”ให้มีรูปร่าง มีหงอน มีแง่ แต่งองค์ทรงเครื่อง มีลายกนกตกแต่งเป็นลวดลายพิเศษให้เป็น“งู”ยิ่งใหญ่ ที่เขื่องโก้ หรูหรา มโหฬาร แตกต่างจาก“งู”สามัญ เป็น“พญางู-พญานาค” 

ดังที่เห็นๆ และเป็นกันอยู่ทั่วไปในสังคมไทยนั่นเอง

6. “ธาตุแท้”ของตนก็คือลัทธิ“หลับ” เมื่อยิ่ง“หลับ”ก็ยิ่งไม่ตื่น-ไม่รู้โลก ทับทวีหนาหนักซับซ้อนนับไม่ถ้วน ก็ยิ่งคือ “ผู้สั่งสมอวิชชา”เป็น“พญานาค”ที่ยิ่งใหญ่ยิ่งโต ยิ่งมโหฬาร ลงบาดาลลึกๆๆๆๆ ก็ยิ่ง“อวิชชามืดดำ”ยิ่งขึ้นๆๆๆๆๆๆไปอีก  

7. สุดท้ายแห่งสุดท้ายก็หมดท่าแห่งความตื่น สิ้นสภาพผู้ที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน จึงกลายเป็น“พญานาค”ที่ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”สาหัสสากรรจ์นานหนัก อาการถึงขั้น“ไม่มีการตื่น”มารู้เห็นอะไรกันเลยตลอดระยะแห่งกาลที่ยังไม่มี “พระพุทธเจ้า”อุบัติขึ้นมาในโลกแต่ละพระองค์ จะรู้สึกตัวขึ้นมาทีหนึ่งก็แค่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลกองค์หนึ่ง รู้แค่นั้นจากนั้นก็นอน“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น“เฝ้าถาดทองคำที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์อุบัติขึ้นมาในโลกอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรสุดลึกนั้นเท่านั้น นอกนั้นไม่รู้อะไรที่เป็นพุทธเลย

(146) “สักกายทิฏฐิ”จึงเป็น“ทิฏฐิ”ข้อที่ 1ใน“สังโยชน์ 10”

แม้แต่ว่า ถาดทองหรือธรรมของพระพุทธเจ้านั้น “ทวนน้ำ”หรือ“ทวกระแสสามัญโลกียะ”นะ!  ก็ไม่รู้ว่า“ทวนกระแส”คือออะไร? ก็ยังพากันหลงจมงมงายไปกับโลกียะอยู่ จึงหยำเหยอะไปด้วย“ลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข”อยู่นั่นแหละ

ไม่รู้จัก“กาย”กันเลย ยิ่ง“สัก”ก็ิ่งมองไม่เห็น!

ด่ำดิ่งอยู่กับ“กาย” มืดบอดอยู่กับ“สัก”กันอยู่นั่นแหละ

คลุกคลีอยู่กับสวรรค์-นรกโลกีย์กันอยู่หน้าระรื่น

รู้จักรู้แจ้งรู้จริง แม้แต่คำว่า“กระแส(โสต)”กันที่ไหน? ตนเอง“ไหลลิ่ว แย่งกันไหลไปกับกระแสโลกีย์กันอีก ด้วยซ้ำ ก็ไม่รู้ตัวกันเลย ไม่ต้องพูดถึง“การทวนกระแส”หรอก

ล้วนยังจมงมงายเป็น“พญานาค”กันอยู่หน้าตาเฉย 

ถ้าไม่มี“ตำนาน”ถาดทองคำของพระพุทธเจ้าทืิิ่แต่ละพระองค์ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป แล้วไปหยุด ณ ที่แห่งเดียวกัน ตรงกันกับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แล้วจมลงไปกระทบกับถาดทองคำของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน มีเสียงดัง“ด้วยเสียงของถาดทองคำ”นั้น ซึ่งหมายถึงเสียงสุดวิเศษแห่ง“โลกุตรธรรม” อันไม่มีธรรมใดของศาสนาใดในเทฺวนิยมมีกันได้เลย กระนั้นก็ยังทำให้“พญานาค”รู้ได้ว่าเป็นเสียงของ“ถาดทองคำของพระพุทธเจ้า”ได้อย่างเดียวเท่านี้ เท่านั้น นอกนั้น“ไม่รู้”อย่างอื่นอะไรเลยสักนิดทั้งสิ้นทั้งนั้น

เริ่มตั้งแต่คำว่า “กาย”ก็“มิจฉาทิฏฐิ”สนิทแล้ว

ความเป็น“สัก”จึงไม่รู้ว่า“มันพิการ”ไปแล้วอย่างไร? หนักหนาสาหัสปานไหน? 

จึงเป็น“พญานาค”เต็มสภาพ ตั้งแต่“ทิฏฐิ”ข้อที่ 1 ก็

“มิจฉาทิฏฐิ”กันบริบูรณ์ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” แม้จะมี“คนผู้สาธยาย“โลกุตรธรรม”ของพระพุทธเจ้าคอแตกปานใด “พญานาค”ก็ยังคง“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”อะไรทั้งนั้น  มืดบอด

สนิทกันอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรลึกสุดนั้นตลอดกาล “ไม่รู้สึกรู้สาอะไรสักนิ๊ด”ขึ้นมาเลย ราวกับก้อนหินก้อนดินก็ไม่ปาน  

ล่วงเลยยุคกึ่งพุทธกาล(2500 ปี)ไปแล้ว โลกจะไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแน่นอน มีก็แต่“พระโพธิสัตว์หรือ “สัตตบุรุษ”เท่านั้นผู้มาทำหน้าที่สืบทอด“พุทธธรรม”ที่เป็น “โลกุตรธรรม”ของพระพุทธเจ้าตามหน้าที่อย่างสำคัญ 

แม้พระโพธิสัตว์หรือสัตตบุรุษ เกิดขึ้นมาในโลกทำหน้าที่สืบสาน“โลกุตระ”ของพระพุทธเจ้า “พญานาค”เขาก็ไม่รู้สึกรู้สาใดๆเลย แม้จะปลุก จะกรทุ้งกระแทกด้วยปากหอก

(มุขสัตตี) จะแทงด้วยหอก 100 เล่ม เช้า-กลางวัน-เย็น จนหอกหักหมดเกลี้ยง “พญานาค”ก็ไม่รู้สึกตัวกันขึ้นมาได้

“พญานาค”ก็คือ “ชาวพุทธกระแสหลัก”ในยุคนี้ ในทุกวันนี้นั่นเอง ที่เป็นจริง ยืนยันความจริงนี้กันอยู่อย่างเห็นๆ 

เพราะ“หู”ของชาวพุทธกระแสหลักได้พิการไปหมดแล้ว วิตถารไปด้วยซ้ำ คือ รับรู้ได้แต่“เสียงของโลกธรรม”ว่าไพเราะสุดซึ้งเสียเหลือเกิน จึงหลงเพลินไปกับ“โลกียธรรม” 

เนื่องจากเสียงของ“โลกียะ” กับเสียงของ“โลกุตระ”มันเป๋็นคลื่นเสียงคนละคลื่นกันจริงๆ จึงรับคลื่นโลกุตระไม่ไได้

เมื่อ“หูหนวกตาบอด’กับเสียง“โลกุตระ”กันแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของ“สัตตบุรูษ”ที่จะต้องรักษา“หู-ตา”ให้แก่ชาวพุทธกระแสหลักให้หายจาก“หูหนวก-ตาบอด”ให้ได้ 

กระนั้นก็สุดยากแสนยากกันจริงๆ เพราะชาวพุทธกระแสหลักเขาได้พากันหลงยึดมั่นถือมั่นใน“มิจฉาทิฏฐิิ”กันหนักหาสาหัสจนได้ชือว่า “พญานาค”กันดังที่เห็นและเป็นอยู่

แม้แต่“กาย”เขาก็ยัง“มิจฉาทิฏฐิ”ไม่“พ้นสักกายทิฏฐิ”กัน

 

(147) ที่จริงอาตมาก็รู้อยู่ว่า ยุคนี้คนผู้“อวิชชา”นั้นมีมาก 

50 กว่าปีแล้ว”ที่อาตมาได้อุตสาหะพยายามใช้เรี่ยวแรงความสามารถปลุก“พญานาค” ก็มีแต่ผู้ที่มี“ดวงตา”หรือมี“ธุลีในดวงตาน้อย”จำนวนหนึ่งเท่านั้นที่พอได้ยิน และได้ตื่นขึ้นมารู้โลกุตรธรรม และได้เรียนอบรมฝึกฝนจนกระทั่งบรรลุ“โลกุตรธรรม”ได้สำเร็จจริงจำนวนเล็กน้อย 

ส่วนใหญ่นอกนั้นก็ยังคงหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น เป็น“พญา นาค” นอนเฝ้า“ถาดทองคำ”ของพระพุทธเจ้ากันอยู่

ที่จริงอาตมาก็รู้อยู่ว่า ยุคนี้คน“อวิชชานั้นมีมาก

แต่ก็ต้องพยายามกันอย่างยิ่ง เพราะ“กรรม”นั้นเจริญด้วย“ความพยายาม”แท้จริง จะท้อถอย“หยุดทำกรรม”ไม่ได้

โดยเฉพาะ“กรรมที่ดีที่วิเศษเป็นโลกุตระ”

ที่ต้องพูดว่า เขายังเป็น“พญานาค”กันอยู่นั้น 

ก็เพราะ“เขา”ได้ยินเสียงวิเศษจริงๆ(เสียงของ“โลกุตระ” แท้ๆนี่เอง) แต่เพราะความ“อวิชชา”สนิท ก็“หูผึ่ง”ขึ้นมาแวบหนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้นก็หลับไม่รู้คู้ไม่เห็นหรืออวิชชาต่อไปตลอดระยะยาวนานที่เป็น“กาล” ว่า อ้อ! พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลก อีกพระองค์หนึ่งแล้วเหรอ? ว่าแล้วก็“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” นั่นคือ อวิชชาต่อไป ทับถมให้“อวิชชา”หนาหนักเพิ่มขึ้นยิ่งขึ้นๆ ด้วยการหลงใหลหลับไหลอยู่กับการ“หลับตา”ปฏิบัติเป็น“พญานาค”นอนเฝ้าถาดทองคำอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร ที่มีถาดทองคำซ้อนกันเป็นล้านๆถาด

ซึ่งพระพุทธเจ้านั้นมีอุบัติขึ้นมาในโลกนับไม่ถ้วนเป็นล้านๆพระองค์แล้ว และก็จะมีพระพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นๆไปกับกาลของโลกนี้แหละ “พญานาค”ก็จะหลับไม่รู้คู้ไม่เห็นตัวจริง ยิ่งใหญ่ นอนเฝ้า“ถาดทองคำของพระพุทธเจ้าอยู่อย่างนั้นต่อไปลึกลงไปอีกๆๆๆ  ยิ่งขึ้นๆๆๆๆๆ ไม่มีสิ้นสุด เพราะในโลกจะมีคน“อวิชชา”จำนวนมากครองโลกเป็นปกติสามัญ 

ที่ไม่รู้จักแม้แต่ความเป็น“กาย” ก็ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ยัง“พ้นสักกายทิฏฐิ”ไม่ได้ง่ายๆ ดังที่เป็นที่เห็นจริงกัน

8. “พญานาค”ก็ยังคงมีแม้ทุกวันนี้ คือ “งู” หรือคนที่มีลัทธิวิธี“หลับตา”หรือ“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”ก็เป็น“โจรปล้นพุทธศาสนา”อยู่นั่นเอง ที่พระราชาให้เจ้าพนักงานไปประหารเสีย

9. ที่พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเปรยไว้ว่า “ผู้ทำลายศาสนา” นั้นคือ “โจร” ที่มีพระราชาผู้เป็นผู้รู้ว่าใครเป็นโจร จึงสั่งให้เจ้าพนักงานไปประหารเสีย ประหารด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้าแต่“โจร”ก็ไม่ตาย ยังทำการปล้นทำลายศาสนาอยู่นั่นเอง พระราชาทรงพบเจ้าพนักงานก็ตรัสถามว่า โจรตายหรือยัง? เจ้าพนักงานก็ทูลตอบว่ายังไม่ตาย ก็สั่งให้ไปประหารอีกในตอนกลางวันด้วยหอกร้อยเล่ม ตกเย็นพระราชาพบเจ้าพนักงานก็จะถามอีกว่าโจรตายแล้วหรือ เจ้าพนักงานก็ทูลตอบอีกว่ามันยังไม่ตายพระเจ้าข้า ก็ทรงให้ไปประหารด้วยหอกร้อยเล่มในตอนเย็น โจรก็ยังไม่ตายอยู่ๆ

(พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 244) ใครเห็น“พญานาค”กันได้บ้างเอ่ย? 

10. ทุกวันนี้ “พญานาค”ก็จึงยังไม่ตาย ยังพากันมาปลอมบวชในศาสนาพุทธ มาพาชาวพุทธผู้ด้อยปัญญา ไป“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” เป็นคนไม่มี“จักษุ-ปัญญา-ญาณ-วิชชา -อาโลก”กันอยู่  เห็นไหมว่า “พญานาค” ก็ยังมีอยู่นั่นเอง 

นี่ปอกเปลือก“พญานาค”ให้ฟัง พญานาคมีจริงหรือพญานาคไม่มีจริงเป็นความรู้ระดับ“สิริมหามายา”กันทีเดียว!

แต่ชาวพุทธที่ยังไม่เห็น“พญานาค” เพราะ “อวิชชา”นั้นมีอยู่มากจริงๆ ทั้งๆที่ตนเป็น“พญานาค”อยู่เองแท้ๆ  




 

ที่มา ที่ไป

650217


เวลาบันทึก 17 กุมภาพันธ์ 2565 ( 15:26:18 )

650218

รายละเอียด

650218 พ่อครูตอบปัญหา พุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 46

https://www.boonniyom.net/51178.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1Uhbj_bYcaq-3EbWMY3K73wQchcWCezyu-P7-NwOyAGU/edit?usp=sharing  

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1rSE7otNelMTEpntKrV--DSPsSOVNY74D/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/OBvyNO2SZhw และ https://fb.watch/beIkYOLYdD/ 

 

พ่อครูว่า…วันนี้ตอบปัญหาพุทธาภิเษก วันนี้วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565 แรม 2 ค่ำ เดือน 3 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายของงานพุทธาภิเษกสรุปงาน วันนี้ยังมีการย่อยธรรมะตอนบ่าย และมีการสอบตอนเย็น 

มีปัญหา(แผ่นปัญหามารออยู่แล้ว) คนมีปัญหาคือคนที่ยังไม่มีปัญญา ส่วนคนมีปัญญาคือคนที่ไม่มีปัญหา เป็นธรรมดาธรรมชาติเช่นนั้นก็ว่ากันไป 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน นักการเมืองเลวทำร้ายสังคมได้ยิ่งกว่านายทุนใหญ่

_เจี๊ยบ ธีระ : คนทั่วไปส่วนใหญ่แล้ว เป็นต้องมีกิเลสติดตัวมาด้วยกันทั้งสิ้น มากน้อยก็แล้วแต่บุญบารมีของแต่ละคนที่ได้สั่งสมกัน คนที่คิดดีมีปัญญาก็หมั่นศึกษาปฏิบัติธรรมเพื่อชะล้างกิเลสให้หมดสิ้นไป ถึงขั้นเป็นอริยบุคคล หรืออรหันต์ไปเลย ส่วนคนที่คิดชั่วก็หมกมุ่นอยู่กับกิจกรรมที่มีแต่พอกพูนกิเลส โดยที่ไม่รู้ตัวว่าเป็นความชั่วร้าย แต่กลับคิดว่าเป็นการสร้างสรรค์ความเจริญที่เหมาะสมให้กับโลกที่มีประชากรอาศัยกันอยู่กว่า 7 พันล้านคนนี้   

โลกจึงมีทั้งกลุ่มคนดี ที่ปฏิบัติตนเสียสละเพื่อประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ จนเป็นพระอรหันต์ เรียกได้ว่าเป็นฝ่ายธรรมะ และกลุ่มคนเลวที่มุ่งกอบโกยทรัพยากรบนโลกนี้ไว้ครอบครองเพียงฝ่ายเดียว เรียกได้ว่าเป็นฝ่ายมาร โลกเป็นแบบนี้มาทุกยุคทุกสมัย

เพียงแต่ว่าในยุคสมัยนี้ มีเทคโนโลยี่ที่คิดค้นประดิษฐ์เครื่องมือสื่อสารขึ้นมา สร้างความสับสนให้กับผู้คนทั้งโลก แยกแยะกันไม่ออกว่า สิ่งใดดีหรือสิ่งใดชั่ว ขบวนการไซออนิสต์จึงใช้วิธีนี้ ด้วยการเข้าซื้อหรือควบคุมกิจการสื่อใหญ่หลักๆของโลก เกือบทั้งหมดก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น บีบีซี สำนักข่าวรอยเตอร์ส หนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ วอลล์สตรีทเจอร์นัล หรือสื่อดิจิตอล ทวิทเตอร์ ฯลฯ ร่วมกันเสนอข่าวที่เป็นประโยขน์แก่ตน ไปในทิศทางเดียวกัน สื่อสารมวลชนแขนงต่างๆ ของประเทศทั่วโลก ก็ล้วนแล้วแต่เสนอข่าวที่ได้รับจากสื่อใหญ่เหล่านี้

พูดง่ายๆ ก็คือ ที่โลกวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้  เป็นฝีมือของจอมมารร้ายกลุ่มนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสงครามก่อการร้าย ความวุ่นวายทางการเมือง แม้กระทั่งเรื่องโรคระบาดที่แพร่ไปทั่วทั้งโลก เป็นเชื้อชั่วที่ถูกถ่ายทอดกันมาจากเหล่านักล่าอาณานิคม เมื่อหลายร้อยปีก่อน ขนาดเอาฝิ่นไปมอมเมาคนจีน พอถูกต่อต้านจากทางการ ก็ก่อสงครามด้วยอาวุธที่ร้ายแรงกว่า แล้วทำไมจะปล่อยเชื้อโรคใส่คน แล้วทำวัคซีนหลอกๆ ออกมาขายทำกำไรมหาศาลไม่ได้ แถมยังเป็นการจำกัดประชากรโลก ไม่ให้ขยายเพิ่มขึ้นมาแย่งชิงทรัพยากรของพวกเขาในอนาคตอีกด้วย

ในอเมริกามักมีคนเอาปืนออกมากราดยิงเด็กนักเรียน ชาวบ้านร้านถิ่นอยู่เป็นประจำ รัฐบาลไม่สามารถออกกฎหมายมาจำกัดการค้าปืนได้ เพราะจอมมารเป็นเจ้าของโรงงานผลิตอาวุธ สามารถล็อบบี้ผู้แทนฯ ในสภาฯ คอยยับยั้งกฎหมายเหล่านี้

ผมถึงเคยกราบเรียนพ่อท่านว่า อุดมการณ์ของพ่อท่าน น่าจะเอามาปราบพวกทุนนิยมสามานย์พวกนี้ ถึงจะคู่ควรกับระดับของพ่อท่าน ไม่ต้องไปสนใจการเมืองจิ๊บจ๊อย ของบ้านเรา เพราะผู้มีอำนาจของเรา เขาไม่ชอบคนดีมาทำแข่ง พ่อท่านก็เลยถูกบั่นทอนทำลายความน่าศรัทธาด้วยคดีอาญาของบ้านเมืองไปอย่างน่าเสียดาย ขอให้พ่อท่านมุ่งมั่นสร้างชุมชนของชาวอโศกให้เป็นถิ่นพุทธ แดนเกษตรตามอุดมการณ์ที่ตั้งไว้ โดยไม่ต้องไปเปลืองกำลังปัญญาข้องเกี่ยวกับเรื่องการเมืองที่ซับซ้อนของทางโลก(ซึ่งก็ไม่พ้นการเมืองเมืองไทยไปด้วย) และก็จะเป็นการช่วยถนอมสุขภาพร่างกายของพ่อท่านไปในตัว เมื่อถึงเวลาทุกสิ่งทุกอย่างก็จะบรรลุสมหวังไปเองทุกประการ

พ่อครูว่า...เรื่องวัคซีน อาตมาก็ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้มันเก่งถึงขนาดสร้างเชื้อโรคแล้วปล่อยเชื้อโรคเข้าไปทั่วโลกได้ มันไม่กลัวจะเข้าหาตัวเองหรือ ตัวเองก็คน ถ้าปล่อยไปหาคนอื่นมันก็มาหาตัวเราเองได้ หรือมันรู้จักวิธีป้องกัน อันนี้คนจะเก่งขนาดนั้นหรือ อาตมายังไม่ค่อยสนิทใจยังไม่ค่อยเชื่อสนิทใจ ว่าเก่งขนาดนั้นหรือ แต่คิดได้ ถ้าเก่งขนาดนี้คนมันเก่งไม่ใช่เล่น มันอยู่ยาก ต้องมาอยู่หมู่บ้านราชธานีอโศกแล้ว เดี๋ยวอีกหน่อยหมู่บ้านราชธานีอโศกก็ปิดถาวรไม่ให้ใครเข้า เราก็ปลูกกินเองไป กินไปจนแก่ตาย เชื่อไหม เด็กๆ พวกอโศกเรานี่ ราชธานีอโศกไม่ต้องเปิดเลย อยู่ในพวกเราเอง ปลูกกินไปจนแก่ตายเลย อีกกี่ปีอีก 100 ปีก็ได้เชื่อไหม ...เชื่อ.. ดินไม่ดีก็ทำปุ๋ยเสริมหมุนเวียนอยู่ที่นี่

จะเห็นได้ว่า อาหารเป็นหนึ่งในโลก จบ ไม่ต้องไปง้องอนใครเลย นอกจากจะไม่ง้องอนใครแล้ว เราสร้างอาหารเป็น อาหาราวุธ อาวุธอาหาร ใช้อาหารเป็นอาวุธ ยิงอาหารใส่เข้าไป ยิงมะเขือเทศไปให้ 500 ตัน ยิงบล็อคโคลี่ไปอีก 20 ตัน ยิงลูกระเบิดใหญ่กะหล่ำปลีไปอีก 20 ตัน ไม่ใช่พิษ แต่วิธีส่งก็ยิงเอา เดี๋ยวนี้ใช้โดรน ใช้พาหนะยิง ยิ่งกว่ารถไฟหัวกระสุน แทนที่จะให้บรรทุกหัวระเบิด เราบรรทุกอาหารนี้ไปให้เขา ไม่ได้ไปทำลาย 

ก็ขอบคุณในความเห็นของคุณเจี๊ยบธีระที่ให้ความเห็นมา อาตมารับฟังปฏิบัติตามสมควร จริงๆแล้วอาตมาทำตามอยู่บ้างที่เจี๊ยบว่า ก็ไม่ได้ไปทำเสียเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นยุ่งกับการเมืองยุ่งกับนายทุน อาตมายุ่งกับทั้งนายทุนและการเมืองเพราะร้ายกาจทั้งคู่ นักการเมืองนี่แหละร้ายกาจกว่าทุนนิยมด้วยว่ากันจริงๆ จุ้นจ้านวุ่นวายกว่านายทุน นายทุนนั้นมุ่งหน้ามุ่งตาสร้างให้คนเขาศรัทธาเลื่อมใส แต่นักการเมืองไม่ค่อยสร้างศรัทธาเลื่อมใส เอาแต่อำนาจบาตรใหญ่ใส่ตัวเพื่อจะเป็นข่ม เพราะฉะนั้นถ้าว่าจริงๆแล้ว นักการเมืองร้ายแรงยิ่งกว่านายทุน 

จริงๆแล้วก็ทั้งความเป็นนักการเมืองและทุนนิยม ที่อเมริกาเป็นเจ้าของวิธี ทั้งสะสมทุนแล้วก็สร้างอำนาจการเงิน ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทบจะทุกคน มีน้อยคนที่เป็นประธานาธิบดีจนๆไม่ใช้ทุนเป็นอำนาจ แล้วก็เป็นประธานาธิบดีที่ดีเช่น อับราฮัมลินคอล์นเป็นต้น นอกนั้นแล้วเจ้าประคุณเอ๋ย ทั้งนั้นเลย โดยเฉพาะเพิ่งจะผ่านไปหยกๆ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้ทั้งทุนเต็มที่ใช้ทั้งอำนาจบาตรใหญ่ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ร้ายแรง เพราะรวมทั้งสองสภาพเลยกำลังทุนและกำลังอำนาจ มารวมกัน 

ซึ่งชาวอโศกเราเข้าใจดีไม่เอาทั้งคู่ มันเป็นบาปมันเป็นอกุศล เป็นเรื่องเลวร้ายที่เราจะไม่สั่งสมกรรมวิบากของเราเป็นอันขาด เรามาสร้างแต่คุณงามความดีและก็เรียนรู้ปรมัตถ์ เรียนรู้ของจิตของเราที่สุขที่ทุกข์ เรียนตัวนี้ให้สำคัญแล้วก็เลิกสุขเลิกทุกข์ให้สมบูรณ์แบบ เป็นอรหันต์ได้ แม้จะเป็นพระอรหันต์แล้วจะอยู่นานต่อไปในโลก อย่างเช่น พระอวโลกิเตศวรก็เชิญ มีปณิธานสอนคน รื้อคนให้เป็นอรหันต์หมดโลกก่อนแล้ว จนกระทั่งคนในโลกบรรลุอรหันต์คนสุดท้าย แล้วท่านจึงจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน นี่คือพระปณิธานของพระอวโลกิเตศวร หรือเจ้าแม่กวนอิมซึ่งเป็นอวตารปางเดียวกัน 

จะต้องสอนคนให้เป็นอรหันต์จนหมดโลกแล้วตัวเองจะปรินิพพานเป็นปริโยสานนี้ก็เป็นนิรันดรนั้นเอง จะอยู่ไปนาน Forever อย่างนี้ไม่ได้นิพพานเป็นปริโยสานหรอก แต่ก็เป็นปณิธานที่ยิ่งใหญ่ในมนุษยชาติ เป็นความมุ่งมั่นที่จะช่วยคน ทำให้คนประเสริฐ รอดพ้น หลุดพ้นสูงสุดสุดท้ายไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สุดยอดอีกเหมือนกัน เก่งขนาดนั้น ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ปณิธานที่ยิ่งใหญ่ฉันเดียวกันดีทำไปเถอะเท่าที่จะมีอายุขัย 

 

_จาก ผู้เข้าร่วมงานพุทธาฯครั้งที่ 46 นี้ : มีคำว่า อนุปคัมมะ คือผู้ที่มีความเป็นกลางในทุกๆเรื่องหรือพระอรหันต์ในข้อนี้ไม่สงสัย แต่โยมขอเรียนถามว่า แล้วคำว่า อุปคัมมะ มีหรือไม่ ถ้ามี กรุณาอธิบายความหมาย?

พ่อครูว่า... อาตมาไม่ได้ไปเจอคำนี้ แต่คิดว่าเป็นได้ภาษามันไม่แปลกอะไร อนะ + อุปคัมมะ ก็เป็น อนุปคัมมะ ถ้า อุปคัมมะก็ตรงกันข้ามกับ อนุปคัมมะ ดังนั้น อุปคัมมะคือ เข้าไปข้างใดข้างหนึ่งเลย แต่อนุปคัมมะคือ ไม่เข้าไปข้างใดข้างหนึ่ง

_แล้วอภิภู หมายถึงบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ระดับ 8 อย่างเดียวหรือรวมระดับ 7 (สยังอภิญญา )ด้วย

พ่อครูว่า... อภิภู หรือ สยังอภิญญา ก็เจริญจาก สยังอภิญญา ไปหาอภิภู แล้วก็จะเลย อภิภู ไปสู่ สยัมภู คือพระพุทธเจ้าระดับ 9 เลย ถ้า อภิภู ก็ถือว่า 8 สยังอภิญญา ก็ถือว่าระดับ 7 ส่วน สยัมภู ระดับ 9 พระพุทธเจ้า 

 

_เดชา อำพร : สิ่งที่ท่านโพธิรักษ์ไม่นิยมพูดถึง..คือ..

1. เรื่องที่พระโมคคัลลานะ และพระพุทธเจ้าเห็นเปรตในที่เดียวกันแล้วส่งยิ้มให้กัน 

2. ทำไมพระอรหันต์ยุคพุทธกาลยังมีการฆ่าตัวตาย? 

3. ทำไมพระโพธิสัตว์ระดับสูงบางบุคคลจึงยังบริโภคเนื้อสัตว์อยู่เป็นประจำ? 

4. พระอนุรุธตามรู้วาระจิตของพระพุทธเจ้าจนเห็นวิญญาณของพระพุทธเจ้าสลายตัวได้จริงหรือ? 

5. ทำไมพระพุทธเจ้าจึงยังเชื่อวังคีสะที่ทำนายวิญญาณที่ไปเกิดใหม่ทั้ง ๆ ที่วังคีสะไม่ใช่คนพุทธ? 

ด้วยความเคารพครับ...

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ตอบปัญหา พระอรหันต์เห็นเปรต ฆ่าตัวตาย กินเนื้อสัตว์อยู่หรือไม่

_เดชา อำพร : สิ่งที่ท่านโพธิรักษ์ไม่นิยมพูดถึง..คือ..

_1. เรื่องที่พระโมคคัลลานะ และพระพุทธเจ้าเห็นเปรตในที่เดียวกันแล้วส่งยิ้มให้กัน 

พ่อครูว่า…ก็จะไปพูดทำไมพระโมคคัลลานะเป็นสาย เจโต  แน่นอนยังมีอุปาทานในรูป คนอย่างนี้มีอุปาทานในโลกยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่พระโมคคัลลานะเป็นสายนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ยังระริกระรี้ เช่น เห็นงูร้ายเลื้อยมาพ่นควัน ท่านก็ท้วงต่อหน้าพระพุทธเจ้า แล้วทูลถาม พระพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้าเห็นหรือไม่ พระพุทธเจ้าท่านก็มีความหยั่งจิตคนได้ก็ตามได้ ท่านก็รู้ว่า เป็นจุดอนุโลมให้พระโมคคัลลานะ สายเจโตจะมีข้อบกพร่องพวกนี้ สายเจโตกับพระโมคคัลลานะก็จะมีสิ่งนี้อยู่ไม่ประหลาดหรอก

_2. ทำไมพระอรหันต์ยุคพุทธกาลยังมีการฆ่าตัวตาย? 

พ่อครูว่า... มันใหม่ๆ เบื่อหน่ายขันธ์ 5 รูปขันธ์ก็เป็น ภาราหเว ปัญจขันธา มันเป็นภาระต้องหาอาหารให้มันเป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ตั้ง 6 ข้อ ผู้บรรลุอรหันต์แล้วพ้นทุกข์ 4 ข้อเหลืออีกตั้ง 6 ข้อ พระอรหันต์ใหม่ๆ ยังไม่ทันการยังไม่รู้จักปล่อยวางอีกทีนึง ก็เลยรีบฆ่า ไปจ้างคนอื่นฆ่าตัวเองตาย เอาบาตร เอาจีวรไปจ้างให้คนมาฆ่าตัวเอง สมัยนั้นยังไม่มีคนมาอะไรมากเขาก็ฆ่า

_3. ทำไมพระโพธิสัตว์ระดับสูงบางบุคคลจึงยังบริโภคเนื้อสัตว์อยู่เป็นประจำ?

พ่อครูว่า... โพธิสัตว์ระดับสูงต้องระดับ 7 ระดับ 8 ส่วนโพธิสัตว์ระดับ 5 ก็เลยพระอรหันต์มาเริ่มเป็นอนุโพธิสัตว์ก็ยังไม่นับว่าสูง อนิยตะระดับ 6 ก็ยังไม่ได้นับว่าสูง ต้องเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ระดับ 8 ถึงจะนับว่าขั้นสูง ที่บอกว่า ยังบริโภคเนื้อสัตว์อยู่ ก็ค่อยๆศึกษาไป คุณไปสงสัยในเรื่องเล็กๆน้อยๆที่เป็นเรื่องอนุโลมปฏิโลมหรือเป็นเรื่องของวิบากของแต่ละท่านพระโพธิสัตว์ก็ดี 

แม้แต่เป็นพระพุทธเจ้าเองในบางที่ท่านเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านก็จะต้องมีเมียต้องอนุโลมอะไรหลายๆอย่างในโลก ในยุคแรกๆยังเป็นเหมือนกับโลกๆ มีเมียมีลูกบริหารประเทศไปก่อน พออายุ 29 แล้วค่อยออกมา ออกมาจนกระทั่งบำเพ็ญก็มารับวิบากอยู่ 6 ปี อายุ 35 ปีท่านค่อยฟื้นคืนตัวเองขึ้นมาได้ว่า เราเป็นพระพุทธเจ้าอย่างนี้เอง แล้วก็เสวยวิมุตติสุข 49 วันแล้วก็ออกเผยแพร่ สร้างศาสนาจนสำเร็จเป็นศาสนายุคนี้แหละของพระสมณโคดม 

มันก็มีวิบากหลายๆอย่างที่อาตมานำมาเทียบเคียง จะเป็นลิงลมอมข้าวพอง ต้องผ่านวิบาก สิ่งเหล่านี้ถ้าจะว่าไปแล้วมันเป็นเรื่องของรายละเอียดที่ละเอียดละออ จะเรียกว่าละเอียดละออแบบ อภิภูท่านมี ต่างๆนานา ในรายละเอียดก็ได้

หรือจะเรียกว่ารายละเอียดของทั้งหมดในกรรมวิบาก เพราะฉะนั้นศึกษาองค์รวมทั้งหมดแล้วเข้าใจกรรมวิบากแล้ว แม้กรรมวิบากที่เป็นชุดๆไม่ใหญ่ไม่โต ก็ไม่ต้องไปคิดมาก ผู้ที่จะเรียนรู้เป็นพระอรหันต์แล้วจะเลิกชีวิตง่ายๆสั้นๆก็ไม่ต้องคิดมาก พระพุทธเจ้าเรียกอันนี้ว่า ใบไม้กำมือเดียว แล้วพระสมณโคดม มายุคปลายภัทรกัป ท่านเป็นโพธิสัตว์มาหนัก จนกระทั่งมาถึงขั้นมนุษยชาติเหลือน้อยที่สุดแล้ว จนพระพุทธเจ้าเกิดไม่ได้อีกแล้ว เสื่อมจนกระทั่งพระพุทธเจ้าไม่มาเกิดในยุคนั้น ถ้าท่านมาเกิดก็เสียศักดิ์ศรีพระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่มาเกิด ก็ปล่อยให้พระโพธิสัตว์อย่างเช่นอาตมา มากรำศึกอยู่นี่ หนักหนาสาหัส ซึ่งอาตมาต้องผ่าน ต้องประสบต้องมีเรื่องปรากฏการณ์จริงต้องได้ประสบจริงต้องประพฤติจริง ต้องใช้สมรรถนะสร้าง สร้างสมรรถนะความสามารถต้องสร้างขึ้นอย่างแท้จริง ไม่งั้นมันก็เป็นเพียงคิดได้แก่ตรรกะเอาคะเนคำนวณเอามันไม่ลงมือจริง มันต้องเผชิญจริงประสบจริงลงมือจริงผ่านจริง มันจึงจะเป็นเลือดโพธิสัตว์แท้ 

_4. พระอนุรุธตามรู้วาระจิตของพระพุทธเจ้าจนเห็นวิญญาณของพระพุทธเจ้าสลายตัวได้จริงหรือ?

พ่อครูว่า... ได้จริงหรือไม่จริงคุณไปยุ่งอะไรกับท่าน  ท่านจะรู้ก็เรื่องของท่านผู้ศึกษาไปเถอะแล้วพากเพียรให้ไปถึงขีดพระอนุรุทธคุณจะรู้ว่าได้ แม้จะไม่มีความสามารถพิเศษเท่าพระอนุรุทธะ ก็เป็นพระอรหันต์ได้ ถ้าคุณมัวแต่คิดเรื่องพวกนี้แล้วคุณจะเสียเวลา แทนที่จะปฏิบัติจิตเจตสิกของคุณเรียนรู้วิญญาณเรียนรู้เวทนา 108 แล้วเลิกกิเลสไปตามลำดับ คุณจะไม่มาเสียเวลาคิด แต่ถ้าคุณเสียเวลาคิดคิดสงสัยนั่งคิดนอนคิด จะเป็นวิตกจริต 80 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คุณอยากได้อยากเป็นอย่างนั้นใช่ไหม ถ้าอยากได้อยากเป็นก็จะขึ้นไปเป็นก็แล้วกัน อาตมาขัดไม่ได้หรอก แต่อาตมาไม่อยากให้เป็นมันนานเกิน 80 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ไม่มีพ่อครูอยู่แล้วชาวอโศกก็ยังพัฒนาไปได้

_ สติพล : ผมมีความคิดเห็นว่า..ยังมีพ่อครูอยู่เป็นผู้ประสานก็เป็นไปได้อย่างราบรื่นเป็นส่วนมาก..แต่เมื่อสิ้นพ่อครูก็คงเป็นไปตามธาตุใครธาตุมันใช่ไหมครับ(เข้ากันด้วยธาตุ)..ด้วยจิตคารวะยิ่งในคุณธรรมของทุกๆชีวิต!.

พ่อครูว่า... เพราะว่าเจ้าสำนักที่ไม่ได้เป็นสัมมาทิฏฐิทางตรง เหมือนอย่างแบบพระพุทธเจ้าพาไป ว่าให้เรียนรู้ทุกคนพึ่งตนเอง อย่าไปอุ้ม อย่าไปเที่ยวได้ใช้แรงช่วย ให้ได้รับความรู้ความเข้าใจแล้วไปฝึกฝนเกิดวิบากของตนเอง แล้วก็พึ่งวิบากของตนเอง เป็นกุศลวิบากเอง อย่างนี้มันรอด แต่ถ้าเผื่อว่ามีแต่หัวหน้าใหญ่ นอกนั้นถ้าหัวหน้าไม่มี หมดแรงก็แน่นอนเป็นอย่างที่คุณว่า แต่ศาสนาพุทธไม่ได้เป็นอย่างที่เป็นเช่นนั้น แน่นอนว่าแบบศาสนาพุทธมันน้อยที่จะรู้ละเอียดและทำได้ น้อย 

อาตมาเข้าใจตรงนี้ดี และพยายามสุดความสามารถที่จะปลูกฝังให้พึ่งตนเองรอดทำให้เหลือแล้วเกิน ช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างที่มีหลักเกณฑ์อยู่แล้ว 

1. อย่าเป็นหนี้

2. พึ่งพาตัวเองให้รอด 

3. สั่งให้หรือให้เกินให้มาก 

4. ช่วยเหลือผู้อื่นจากใจผู้อื่น 

นี่คือหลักการที่เชื่อว่าพวกเราเข้าใจแล้วได้ฝึกฝนอันนี้อยู่ เพราะฉะนั้นอาตมาพูดไปนี้พวกเราเข้าใจแล้วได้ฝึกฝนใส่ตัวเองไปเรื่อยๆจริงๆเท่าไหร่ก็เท่านั้น จริงเท่าไหร่ก็เท่านั้น 

อาตมาจะไปบันดาลให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้ต้อง  ทำได้จริงเป็นจริงตามที่ทำได้ ตามบารมี ตามที่มันเป็น ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ตามธรรมที่สมควรประพฤติแก่ธรรมได้ 

 

_แดงดวงพร : พ่อครูคะ ถ้ามีโรงงานหนึ่งได้จ้างคนให้มาทำงาน คนงานก็พาลูกมาเลี้ยงในที่ทำงานเพราะไม่มีคนช่วยเลี้ยง นายจ้างก็หักค่าแรง อยากถามว่านายจ้างจะบาปไหมที่หักค่าแรงของลูกจ้าง นายจ้างจะบาปไหมที่หักค่าแรงลูกจ้างที่เอาลูกมาเลี้ยงในที่ทำงาน?

พ่อครูว่า... ก็นายทุนเขาเสียผลมันก็ถ่วงๆดึงๆอยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้นก็ละเว้นเสีย แต่มันจำนนต้องเอาลูกไปเลี้ยงไม่มีใครดูแล ปล่อยไว้ไม่ได้ ลำบากก็ต้องยอม ไม่มีปัญหาถ้าเรายอมเสียอย่าง นายจ้างยอมก็ไม่มีปัญหา คนงานเขายอม ก็ไม่มีปัญหา เพราะฉะนั้น ยอม ตัวนี้ตัวจบ เด็กๆฟังไว้นะ ตัวยอม เด็กๆไม่เท่าไหร่ ผู้ใหญ่ก็เถอะ ตัวยอม ตัวสำคัญมาก ยอมได้นี้ลดอัตตา สละอัตตา ทำไมมันรักอัตตานักคนเรา 

อย่างทักษิณ woodsome ไปเป็นโทนี่ woodsome อาตมายังแปล woodsome ไม่ได้แปลไม่ออกว่าเขาหมายถึงอะไร ทำไมเอามาเป็นนามสกุล เอาเถอะไม่คิดให้เสียเวลา 

 

_ติ้งดาวตะวัน : พี่ฝั่งบุญ ยังเป็นชาวอโศกอยู่หรือไม่ จากการที่อ้างชาวอโศก ออกจากเถรสมาคมแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นพระสงฆ์ส่วนใหญ่แล้ว เรียกตัวเองว่าเป็นสมณะ เรื่องนี้ละเอียดอ่อนมาก กลุ่มของพี่ฝั่งบุญจะมีสถานะอย่างไรในอโศกคะ?

พ่อครูว่า... ดีเหมือนกัน ถ้าคิดจะมามีนานาสังวาสระหว่างฆราวาสกับสมณะ มันคนละฐานะกัน มันตลก คุณจะขอเป็นนานาสังวาส แต่คุณจะขอใช้สตางค์ของส่วนกลางทั้งสงฆ์และฆราวาสเขา คุณนานาสังวาสออกไปจากสังวาสนี้ กลุ่มใหญ่นี้แล้ว คุณยังจะมาขอใช้เงินส่วนกลาง มันก็ผิดสิ อาตมาลาออกมาจากสมาคมแล้ว ไม่ได้หน้าด้านไปขอเงินจากเถรสมาคมมาใช้ จบแค่นี้ดีกว่า ชักแรงแล้ว

 

_สายอรุณ สิงห์โต : กราบนมัสการท่านแสนดินเจ้าค่ะ ท่านเป็นถึงหมอใหญ่ มาบวชด้วยตั้งใจเพื่อมรรคผลนิพพานจริงๆเจ้าค่ะ. ดิฉันเคยไปฟังท่านเทศน์โปรดหนุ่ม เมียหนีเจ้าค่ะ ..ท่านก็โปรดดีมากทั้งที่ท่านไม่เคยมีคู่ครอง..สาธุเจ้าค่ะ

 พ่อครูว่า....ไม่จำเป็นจะต้องมี คำสอนพระพุทธเจ้าละเอียดลออครบทุกอย่าง 

 

_พิมพ์เพชรรุ้ง : พวกที่หลงเชื่อข่าวปลอม เป็นพวกพญานาคด้วยไหมคะ เพราะว่าหลับหูหลับตาเชื่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วยึดว่าเป็นจริงอย่างนั้น ?

พ่อครูว่า... เป็นได้ทั้งสองอย่าง เป็นได้ทั้งพญาครุฑและพญานาค ที่จริงพญานาคไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเท่าไหร่ เชื่อไม่เชื่อมันก็เอาแต่ตัวเองมุดเงียบ ไม่ฟังหรอกข่าวคราว จะเป็นพวกพญาครุฑมากกว่าที่มีข่าวมากมาย ฟังข่าวมากมาย ยุ่งกับเขาไปหมด
 

_สู่แดนธรรม... ครุฑหลงไปกับแสง ส่วนนาคอยู่ในความมืดหลบเข้ารู ส่วนคนที่แชร์อย่างบ้าคลั่ง โดยเฉพาะพุทธวจน ไม่รู้ว่าเขาได้อ่านหรือเปล่า 

พ่อครูว่า... พวกนี้อวดดีว่าฉันเป็นผู้รู้แล้วฉันก็อยู่กับพระพุทธเจ้า ฉันรู้เรื่องดี จะปฏิบัติได้หรือไม่ได้ก็แล้วแต่ ก็เป็นธรรมชาติของเขา
 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ฐานปฏิบัติอยู่ที่เวทนา ต้องทำให้อุเบกขาไม่สุขไม่ทุกข์

_ดิฉันตั้งความละอาย ศรัทธาเคารพ ตั้งความ ร. ละอาย บ. ที่สุดค่ะ สูงที่สุดค่ะ พ่อครูเป็นพระศาสดาอยู่ในจิตวิญญาณ คำถามคือวิญญาณ 6 ตาหูจมูกลิ้นกายใจ อ่านเวทนาความรู้สึกจิตอุเบกขาทุกข์สุขออกจากจิต ให้จิตสะอาดใช่ไหมคะ?

พ่อครูว่า... ใช่ สำคัญตรงนี้แหละ ขอแทรกตรงนี้เลยเป็นการตอบ ผู้ที่จะทำจิตให้อุเบกขา แปลว่าความบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา บริสุทธิ์อะไรบริสุทธิ์จากกิเลส เพราะฉะนั้นกิเลสที่เป็นทางตาหูจมูกลิ้นกายใจนี่แหละ ให้ปฏิบัติฐาน กรรมฐานแท้อยู่ที่เวทนาที่ความรู้สึก ตรงนั้นแหละ กรรมฐานมันจะมีทุกข์มีสุข มีกิเลส ไม่มีกิเลส อยู่ที่ตัวเวทนา 

จนสามารถทำกิเลสออกได้ สุขทุกข์ก็ออกไปตาม จนไม่มีสุขไม่มีทุกข์เรียกว่า อทุกขมสุข เป็นซินโนนีม (synonym) หรือไวพจน์ของอุเบกขา มันต่างกันนิดหน่อย

ไม่สุขไม่ทุกข์ก็คือ มันไม่มีแล้วนะสุขหรือทุกข์ มันเป็นกลาง คำว่าเป็นกลางก็มาแปลกันว่าอุเบกขา เป็นจิตเป็นกลาง กลางคืออะไร ก็คือไม่สุขไม่ทุกข์ หรือกลางก็คือ รู้สุขรู้ทุกข์ แต่ไม่ได้ไปเข้าข้างไหน ส่วนตัวเองนั้นปลอดสุขปลอดทุกข์ จิตตัวเอง ไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว 

อาการจิตที่ไม่มีสุขไม่มีทุกข์เป็นอาการของจิตกลางๆ จริงๆนี่ เป็นอจินไตย ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ ต้องรู้ของตนของตน แล้วไม่ต้องไปเชื่อใคร ไปบอกใครก็บอกได้ แต่เขาต้องเป็นของเขาเอง เหมือนพระพุทธเจ้าบอกว่าเราเป็นผู้ที่บอกทางเท่านั้น เราไปทำให้ไม่ได้ ใครจะได้ ต้องทำเอาเอง 

 

_พระศาสดา พ่อครูท่านเมตตา หมดอวิชชาบวกปัญญาเกิด จิตฟังธรรมซ้ำ 

_ถาม หมดปัญหา มีปัญญาใช่ไหมคะ?

พ่อครูว่า... พูดไปแล้ว ใช่ หมดปัญหาคือมีปัญญา 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน หมดกิเลสเรื่องอาหารก็เป็นพระอรหันต์จ้อย

_ “อยาก” เป็น “ตัณหา” ลูกจึงมีเจตนาอย่างแรงกล้าที่จะสำรวมอินทรีย์ตอนตักอาหารให้จงได้ 

พ่อครูว่า... ดี โภชเนมัตตัญญุตาเรื่องอาหารนี่แหละเป็นการปฏิบัติธรรม ถ้าคุณเข้าใจกิเลสในอาหารได้หมด แล้วทำกิเลสในการกินอาหารได้หมดก็บรรลุอรหันต์เลย เพราะมันละเอียดถึง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ทางลิ้น อาหารทางลิ้นนี่ร้ายกาจมากเลย  ไม่รู้ได้ง่ายๆหรอกทางลิ้นนี้ ตาก็ตาม เสียงก็ตาม รูปก็ดี เสียงก็ดี กลิ่นก็ดี สัมผัสเสียดสีก็ดี 

ลิ้น เป็นตัวภายในอยู่ข้างใน เป็นตัวที่รวม รส อัสสาทะอะไรเอาไว้ เพราะฉะนั้น คนไม่รู้นี่ ไม่รู้เอามากๆ เช่นมหาบัว ญาณสัมปันโน ติดหมากพลู คือกิเลส รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทางลิ้นนี่เป็นหลักเลย กินเคี้ยวในปาก อันนี้ อดเปรี้ยวไว้กินหวานไม่มีเมียก็ได้ อาตมาไม่เชื่อว่าหมดกิเลส ไม่เชื่อว่ามหาบัวเกิดมาชาติหน้าจะหมดกิเลสกามจะไม่มีเมีย อาตมาไม่เชื่อว่าจะไม่มีเมีย ระดับกามราคะภายนอกสัมผัสเสียดสีทางเพศ ผู้หญิงผู้ชาย อาตมายังไม่เชื่อ แต่มาบวชแล้ว อย่าง 1.มันต้องระมัดระวัง 2.มีปฏิภาณพอรู้ว่า ถ้าอดเปรี้ยวไว้กินหวานไม่ต้องไปมีเมีย เป็นภิกษุสะอาดบริสุทธิ์ โอ้โห! รับรอง ได้เลย แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ มหาบัว 

นอกนั้นไม่เข้าใจรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ยิ่งทางรูปธรรม อรูปธรรม ที่ละเอียดลึกเข้าไปอีก ยิ่งไม่รู้ใหญ่เลย หลง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นรูปธรรม อรูปธรรม ภายในภพ เต็มไปหมด

เสร็จแล้วก็มีนิรมาณกายพวกนี้ขึ้นมาบำเรอตนเอง ฉันเป็นเจ้าของ นึกถึงขั้นฉันเป็นเจ้าของประเทศนะ ประเทศไทยไม่มีฉันแล้วล่ะก็ ไม่มีดอลล่าร์ ไม่มีทองคำมาเลี้ยงไว้นะ ฝีมือฉันนะ ประเทศไทย ทำเป็นเล่นไป อาตมาไม่อยากพูดละเอียดกว่านี้ มันดูไม่ดี เกี่ยวข้องไปอีกอะไรต่อไปอีกถึงใครๆอีก ลวงเพื่อที่จะหลงตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ซับซ้อนที่อาตมายิ่งเห็นว่า ประเทศไทยเสื่อม 

อาจารย์มั่นก็ยังไม่แสดงบทบาทยังไม่มีลีลา ยังไม่มีกรรมวิบากที่ได้แสดงออกมากมายเหมือนมหาบัว เพราะฉะนั้นอาจารย์มั่นก็ไม่มีวิบากบาปหรืออกุศลติดตัวไปมากเท่ามหาบัว น่าสงสารจริงๆ มหาบัว มีทั้งรู้และไม่รู้อยู่ในตัว รู้แสนรู้แต่ทำ เพราะฉะนั้นคนที่รู้ทั้งรู้ทั้งที่ตัวเองโกหกและจะไม่โกหกในเรื่องอื่นๆ จะไม่ทำร้ายทำเลวอื่นๆไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสอันนี้ คนอย่างนี้น่ากลัวมาก 

ที่อาตมาต้องพูด ก็ต้องขออภัยลูกศิษย์ลูกหามหาบัว หรือแม้แต่มหาบัวเองก็ต้องขออภัยที่เอามาใช้เป็นตัวอย่าง อธิบายธรรมะ ขอบคุณที่ได้ใช้อาศัยพฤติกรรมพฤติการของท่านทั้งหลายนั้น มาเพื่อสาธยายยธรรมะ 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน การปรับจิตให้ได้ดุจเป็นพืช 

_การปรับจิตให้ได้ดุจเป็นพืช เป็นกระบวนการอย่างไรบ้าง ?

พ่อครูว่า... ก็ต้องใช้สูตรพระพุทธเจ้าทั้งนั้นโดยเฉพาะตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เจาะเข้าไปที่โภชเนมัตตัญญุตา จิตที่เป็นพืชเป็นอย่างไร จิตที่เป็นพืชคือจิตที่ไม่สุขไม่ทุกข์แล้วไม่มีวิบากบาปวิบากบุญแล้ว พืช พ้นวิบากบาปวิบากบุญ ก็ปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องสุขไม่ต้องทุกข์ก็ปลอดภัยในตนเองอีก ไม่มีวิบากบาปวิบากบุญก็ปลอดภัยกับองค์รวมทั้งหมดต่อใครๆ 

ไม่สุขไม่ทุกข์ของตนเอง ก็ปลอดภัยของตนเองเลย จบในตัวเลย เพราะฉะนั้น จุดที่เป็นพีชนิยาม มีชีวะแต่ไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณมีแต่สังขารกับสัญญา มีการกำหนดรู้แล้วก็เอามาปรุงแต่งกันให้เป็นตัวเอง อย่างเช่น พืชพันธุ์ธัญญาหารเหล่านี้ 

กะหล่ำปลีก็รู้จักธาตุที่จะเอามาปรุงเป็นตัวเองเขาก็ทำได้ มะเขือเทศก็จะเอาธาตุอะไรเขาก็รู้เขาก็ทำได้ก็เอามา ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ไม่แย่งใคร ดูดเอาธาตุที่ได้ ทั้งนั้นๆแหละ พืชพันธุ์ธัญญาหาร 

เพราะฉะนั้นมาทำพลังงานจิตของตัวเองให้เป็นดั่งพืช ทำได้จึงหมดสุขหมดทุกข์ปลอดภัย ถือว่าเป็นฐานนิพพาน ฐานอรหัตตผล ทำได้มากเรื่อง มากราว มากอย่าง จนครบทุกเรื่องก็เป็นอรหันต์บริบูรณ์เต็มที่เลย 

สู่แดนธรรม… พืชเวลากินอาหาร มันไม่มีความอยาก มันก็จะไม่มีรสชาติในการย่อยอาหาร 

พ่อครูว่า... ก็หมายความว่าไม่มีรสอัสสาทะ รสกิเลส อย่างอาตมาไม่มี ก็เลยต้องฝืดฝืนให้มีรสชาติอัสสาทะขึ้นมาบ้าง มันจะมีแรงกระตุ้นให้ได้กินอาหารได้ดีๆได้ง่ายๆได้เร็วๆมากๆ ช่วย ทุกวันนี้ต้องฝืนกินอาหาร รสชาติมันก็รู้อยู่ครบ จะเค็มจะเปรี้ยวจะหวานจะเผ็ดอะไร รู้หมด รู้ตามความเป็นจริงของคนธรรมดา ลิ้นไม่ได้เสียประสาท แต่เวทนาของเราที่ได้ทำเลยเถิดไป ก็พยายามจะฟื้น ตอนนี้ก็จะมีคนมาช่วยปรุงแต่ง ปลุกให้ฟื้นขึ้นมาบ้าง บางทีก็ไม่ได้กินเพราะว่าปรุงมา บางทีก็จัดจ้านไป ดีไม่ดีก็เอาวัตถุดิบที่ไม่ปลอดภัย ผู้ดูแลก็ไม่ให้กิน คัดออกอะไรอย่างนี้ ก็กินไป ก็ช่วยไป ช่วยกันอย่างนี้แหละ ก็ขอบคุณทุกคน 

สู่แดนธรรม... ถ้าแม้ผู้ฟังที่มีปฏิภาณ จะแปลความหมาย กินอาหารโดยปราศจากความอยาก ก็คือ พระอรหันต์จะมีคุณสมบัติเป็นกลางที่ไม่มีความอยากแล้ว หมดความอยากสิ้นความเสพ บอกคุณลักษณะความเป็นอรหันต์ได้ข้อ 1 

_การแยกกายแยกจิต ถ้าใช้เล็บเป็นกรรมฐาน พอจะเข้าใจ แต่ตอนนำมาใช้ภาวะคับขัน ผัสสะมีน้ำหนัก เช่นปวดจากริดสีดวงอักเสบ มันทรมานถึงใจ จะแยกกายแยกจิตไม่ออก 

สู่แดนธรรม... สิ่งเหล่านี้เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ใช่ไหมครับ ?

พ่อครูว่า... ใช่ เป็นวิบากของคุณคุณก็รับไป พิจารณาให้มาก มันทุกข์หนอ ทุกข์หนอ ไปสร้างวิบากอะไรมาหนอ อาจจะพอรู้ว่า อ๋อ! ไปตัดก้นไก่มากินตั้งแต่มันยังไม่ตายนะ มันเลยเป็นวิบากเจ็บริดสีดวงตัวเอง ก็ว่าไปนะ อาตมาก็พูดไปให้มันดูคล้ายๆเกี่ยวข้องกัน เหมือนกับคนที่ชอบพูดว่า นี่ต้องถูกวัวมันขวิดตายก็เพราะว่าไปทำร้ายวัวมา อย่างพวกที่ศาสนาพุทธจากฮินดูมาพุทธนี่ เขายกย่องวัว เพราะฉะนั้นใครไปทำวัวนี้มีวิบากบาปมากนะ ส่วนมากตายแล้วกลับมาเลยถูกวัวนั่นแหละ มาขวิดตายซะเยอะเลย พระอรหันต์ 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ทุกข์หมายถึงอะไร อย่างไรจึงเป็นสุข

_1. ยังมีคนเกเรผู้อื่น 2. ยังมีคนพูดคำหยาบอยู่ 3. ยังมีคนชอบอู้งานแล้วว่าคนอื่น 4. พูดมาก ทำอย่างไรถึงจะมีสุขครับ ?

พ่อครูว่า... อย่าไปโทษเขา ดูแลของตัวเอง อย่าไปทำอย่างที่เขาทำที่เราไม่ชอบ ไม่ต้องไปทำอย่างนั้น จบ เราจะไปห้ามเขาได้อย่างไรเขาเป็นอยู่ เขาอาจจะรู้ว่ายังไม่ดีแต่เขาห้ามตัวเองยังไม่ได้ หรือเขาไม่รู้ก็เป็นเรื่องของเขาบอกเขาได้ไหมล่ะ ก็อย่าไปทำอย่างนี้ บอกได้ก็บอกกันดีๆค่อยๆบอก ถ้าบอกไม่ได้ก็ต้องปล่อยเขา 

จะมีความสุขก็คือเราอย่าไปยุ่งอะไรเขามาก 

_ความทุกข์หมายถึงอะไรครับ? 

พ่อครูว่า... คำเดียวนี่แหละตอบไปอีก 20 30 50 ปี ก็ทั้งหมดของศาสนานี่แหละทุกข์ ก็บอกแบบนี้แหละ รู้ทุกข์ แล้วก็ดับเหตุแห่งทุกข์ จบ 

ทุกข์ คือ สิ่งที่มันไม่คงที่ จิตของเรามันแปรปรวนแล้วไม่ชอบใจ เพราะฉะนั้นจะชอบหรือไม่ชอบก็เลิก ให้ชอบก็ไม่เอา ไม่ชอบก็ไม่เอา แล้วจิตของเราก็จะหมดทุกข์ มันเป็นอาการอย่างนั้นอย่างนี้ สีแดงมันเกิดแดงอยู่เขียวมันเกิดเขียวอยู่ คนนี้เสียงดังอยู่ คนนี้เสียงเบาอยู่ คนนี้เสียงเขาสมมุติว่าเพราะ คนนี้เสียงฟังแล้วไม่เพราะ เขาก็ว่ากันไป มีสารพัดต่างๆกัน มันก็ต้องมี เราก็ ถ้าจะไม่รับก็ห่างมา ออกห่างมา แต่ถ้าเผื่อว่าชีวิตเราห่างมาอย่างไรมันก็จะต้องมีอยู่ เป็นขีดจำกัดสุดท้าย มันต้องมีอะไรที่จะต้องอยู่ด้วยร่วมกับหมู่กลุ่มที่เรียกโดยภาษาว่าสงบ อบอุ่นที่สุด 

เพราะฉะนั้น กลุ่มหมู่ที่มีพฤติกรรมที่ไม่แรงไม่หยาบอะไร สงบอบอุ่นที่สุด แต่ไม่ได้หมายความว่าเงียบเฉย ไม่ใช่ แต่พฤติกรรมมันร้ายแรงมันไม่มี เป็นสังคมอย่างชาวอโศก 

คนที่มาอยู่ในกลุ่มชาวอโศกแล้ว ซึ่งมันพอดีแล้ว แรงที่สุดประมาณนี้ สวยที่สุดแล้ว ขนาดนี้เรายังทนไม่ได้ เราก็ต้องศึกษาตัวเองแล้วว่า เราไปติดยึดอะไร เขาจะแรงขนาดนั้นอย่างนั้น ซึ่งมันไม่แรงแล้วของชาวอโศก ข้างนอกมันแรงกว่านี้เยอะๆทั้งนั้น แต่ชาวอโศกไม่แรงแล้ว 

ขณะนี้คุณอยู่กับหมู่นี้ ที่พยายามที่สุดแล้วหมู่ที่จะเป็นไปได้ถือว่าดีที่สุดแล้ว คุณจะไปเลือกหาหมู่ที่องค์รวมดีขนาดนี้ ที่อื่นยาก นี่ไม่ได้พูดคุยตัวอะไร แต่พูดความจริง

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน วิชชา วิชา ญาณกับปัญญาต่างกันอย่างไร

_คำว่า “วิชชา” และ “วิชา” มีความหมายเหมือนหรือต่างกันคะ ?

พ่อครูว่า... เหมือนก็ได้ไม่เหมือนก็ได้ อยู่ที่เราจะสำคัญ ถ้าจะไปกำหนดหมายว่า “วิชชา” หมายถึงที่เป็นธรรมะ ความรู้ทางธรรม ส่วน “วิชา” มันเป็นความรู้ทั่วไปของชาวโลกเขา ก็ได้ หรือ คุณจะหมายถึงว่าเป็นอันเดียวกันนั่นแหละแล้วก็เข้าใจว่า ระดับของคนโลกของเขาก็มีของเขาตามที่เขาปรุงแต่งกันอยู่หลงใหลกันอยู่ ยังไม่เข้าขั้นโลกุตระ 

โลกุตระ คือ มาเรียนรู้สุขทุกข์ มาเรียนรู้กิเลส แต่ถ้ายังไม่เข้าโลกุตระก็เป็นความรู้ทั่วไป มีดีมีชั่ว เขาก็มีสุขมีทุกข์ตามที่เขายึดถือ ที่เขาได้เสพทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เสพ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ที่เขาสนใจก็มีสุขมี ทุกข์

พอโลกุตระ ก็มาลดในการเสพสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เลิกมาทั้ง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข รวมหมดโลกธรรม มาติดยึดอยู่กับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เราก็รู้ว่าเราติดยึดรสอย่างนี้เป็นสุข อย่างนี้ไม่เป็นสุข เสียงหรือกลิ่นก็แล้วแต่ อย่างนี้สุข อย่างนี้ไม่สุข คุณก็เรียนรู้แล้วเลิกละอาการจิต เวทนาที่มันมีตัณหาเป็นตัวการ

สู่แดนธรรม... มีคนว่า การรู้ข้างนอกคือวิชา รู้ของตนเองได้ไหมครับ?

พ่อครูว่า... ได้

_ปัญญา ญาณ วิชชา เป็นความรู้ที่มีรายละเอียดลึกซึ้งต่างกันอย่างไร ?

พ่อครูว่า... เข้าใจยังไม่ต่างกันก่อนว่าเป็นความรู้ทางโลกุตระอย่างเดียวก็พอแล้ว เมื่อรู้รายละเอียดสูงขึ้นไปจะแยกได้เองว่า ถ้าเราจะใช้ภาษา 

ปัญญาก็ขนาดหนึ่ง ถ้าญาณ ก็ถือว่าสูงกว่า มีสามเส้า ถ้าปัญญาก็ขั้นต้น ญาณก็ขั้นกลาง วิชชาก็ขั้นปลาย

_ดิฉันได้พิจารณาคำทั้ง 3 โดยปัญญา ญาณ วิชชา ดูจากหลักธรรมต่างๆที่มีคำทั้ง 3 ปรากฏอยู่แล้ว อยากสรุปว่า ปัญญาเป็นความรู้ในระดับต้น ในภาคมรรคใช่ไหมคะ?

(หมายเหตุ : ปัญญามีในสัมมาทิฏฐิอันเป็น อาสวะ 6 ปัญญา 8 อินทรีย์ 5 พละ 5 ญาณ ใน เจโตปริยญาณ 16 โสฬสญาณ และญาณ 3 วิชชา วิชชาในวิชชา 8) 

พ่อครูว่า... ทั้งมรรคทั้งผล คนศึกษาศาสนาพุทธจะเข้าใจว่า วิชชา ความรู้ทางธรรมะ แต่ วิชา ส่วนใหญ่เป็นความรู้ทางโลกีย์ทั่วๆไป เช่น ปลูกผักเก่ง ทำลูกระเบิดเก่ง หกคะเมนตีลังกาเก่ง 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ทำอย่างไรเราจะไม่ติดสุข

_ด.ช.เผ่งอัง ป. 5...ถ้าเราติดสุข เราควรจะทำอย่างไร ให้เราไม่ติดสุข ?

พ่อครูว่า... เป็นปัญหาใหญ่ ปัญหาคำว่าติดสุขนี้เป็นปัญหาใหญ่รอบโลกเลย ใหญ่มาก เทวนิยมนี่คือสุขนิยม คือติดสุขเที่ยงเลย แกะไม่ออก ไม่รู้จักสุขทุกข์ ไม่รู้จักคู่หูคือทุกข์ 

เพราะฉะนั้นตอบง่ายๆว่า เข้าใจให้ได้ว่าสุขนั้นมันตัวเดียวกับทุกข์ แยกไม่ออก เพราะฉะนั้นแยกให้ออกไปว่า ถ้าเราจะมาพยายามให้เราได้สุขอย่างนี้ มันก็ยังทุกข์อยู่นั่นแหละ พยายามหาเหตุปัจจัยให้มันรวมกันแล้วได้สัมผัส ได้เป็นได้มีอย่างนี้ๆ สัมผัสลวงตามที่เราต้องการ ตามที่เรากำหนดไว้ แล้วเราก็พอใจสุขเพราะมันได้ตามต้องการ ไม่พอใจก็ทุกข์ ยิ่งไม่ตรงกับที่เราต้องการ ตรงกันข้ามเลยก็ยิ่งทุกข์มาก นี่ขยายความให้ฟังแล้ว

เพราะฉะนั้น สุขทุกข์มันจะแยกกันไม่ออกเลย มันหลอก มันเอาหน้าความสุขมาอวดมาโชว์ให้คนหลงติด แต่ถ้าแท้ๆ ตัวบงการหนักก็คือตัวทุกข์ เพราะฉะนั้นอย่าไปหลงเชื่อความสุข มันมาหลอกเป็นอันขาด ถ้าจะว่าจริงๆแล้ว สุขมันไม่น่าดูเลย ดูหน้ามันเลย พระพุทธเจ้าถึงไม่สอนเรื่องสุข ท่านสอนเรื่องทุกข์ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป หาเหตุแห่งทุกข์ ดับความทุกข์หมด เจ้าสุขมันก็ดับไปด้วย พูดวนเวียนย้ำอย่างนี้มานานแล้วฟังให้ดีๆ 

จะทำอย่างไร เรียนรู้เหตุจัดการเหตุ จริงๆมันไม่ใช่ตัวสุข มันเป็นตัวทุกข์ ต้องเลิกมันให้ได้ หาเหตุที่มันพาให้ติดตรงนี้ให้ได้แล้วเลิกได้ เลิกได้ สุขก็หายไป ไม่มีทางอื่น

สู่แดนธรรม... ในทางปฏิบัติเด็กๆ ถ้ามีใครให้ขนมก็เอาไปให้แม่ เอามาให้ลุงแป้งก็ได้ ลุงแป้ง ก็จะเอาไปให้เพื่อนต่อ 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน โพชฌงค์ 7 ช่วยรักษาโรคได้อย่างไร 

_โพชฌงค์ 7 ช่วยรักษาโรคได้อย่างไรคะ? (อ่านหนังสือธรรมะสมัยพุทธกาลว่าพระอาพาธจะได้ทิพย์โอสถจากโพชฌงค์ 7) 

พ่อครูว่า... โพชฌงค์ 7 จะช่วยรักษาโรคได้อย่างไร อย่างน้อยที่สุด มันจะช่วยรักษาโรคทางจิตก่อนอื่น มีสติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ เป็นสามเส้าแรกของโพชฌงค์ 7 สติและการวิจัยรู้รอบ ฝึกสติรู้รอบพฤติกรรมกาย วาจา ใจ ข้างนอกข้างในหมด ข้างนอกมีพฤติกรรมกิริยาอย่างไร แล้วก็วิจัยทีละคู่ มีความแตกต่างกัน เราก็เลือกเอาสิ่งที่ดีสิ่งที่ควร อย่างนี้แหละเราจะค่อยๆเก่ง ค่อยๆฝึก วิริยะสัมโพชฌงค์ เพียรฝึกอย่างนี้

1. ฝึกรู้ให้ได้ทั้งหมด แล้ววิจัยมันออกมาทีละคู่ แล้วเลือกเอาทีละ 1 อะไรมันควรอะไรมันดีกว่าก็เลือกเอาที่ควรที่ดีกว่า ที่ไม่ควรไม่ดีให้เลิกไป ให้มันเหลือ 1 พอมี 1 มันก็ไม่มีผัสสะไม่มีปรุงแต่ง ถ้า 2 จะมีผัสสะและปรุงแต่งเป็นสุขเป็นทุกข์ หรือแม้แต่เป็นการเกิด ถ้า 1 ไม่เกิด มันมีอยู่แล้วมันจะมีแต่ความเสื่อม ไม่มีอะไรมันก็หมดอายุขัย สูญไป ดีไม่ดีถ้ามีคู่มันไม่เสื่อมด้วย ร่วมกันสร้างต่อไปเป็น 3 4 5 6 ต่อไป 

สู่แดนธรรม... ผมเคยพิจารณา การใช้โพชฌงค์ 7 มารักษา ในพระบาลีใช้คำว่า อาพาธ คนแปลว่าความป่วยทางร่างกาย ซึ่งไม่น่าจะใช่ อาพาธคือ จิต มีอินทรีย์อ่อน นิวรณ์นั้นครอบงำจิตใจ จิตทุรพล อ่อนกำลังลง มันก็จะถามว่ายังเป็นอยู่ดีได้ไหม ท่านก็ตอบว่าเราเจ็บปวดมาก ฟังแล้วเหมือนเป็นโรคทางกาย ถ้าจะใช้โพชฌงค์ 7 แก้ น่าจะเป็นการแก้นิวรณ์ไม่ใช่โรคทางกาย 

พ่อครูว่า... ถ้าแก้โรคทางใจได้มันจะมีพลัง พลังจะมาช่วยเป็นอินทรีย์ 5 พละ 5 เพราะฉะนั้นโพชฌงค์ 3 หรือ โพชฌงค์ 7 

เมื่อโพชฌงค์ 3 เกิดอินทรีย์ 5 พละ 5 ก็เกิด เมื่อเกิดพลัง 5 นี้ มีอำนาจทางศรัทธาวิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา นี่คือ 5  เพราะอำนาจศรัทธา เชื่อมั่น รู้เข้าใจศรัทธา เชื่อมั่น ศรัทธาไม่มีปัญญาเป็นศรัทธาขี้หมา ไม่ได้เรื่อง แล้วก็จะยิ่งขึ้น ศรัทธาต้องมีปัญญาเสริมด้วย มากหรือน้อยก็แล้วแต่ แล้วก็ต้องเห็นว่าอย่างนี้ได้ดีแล้ว ตื่นให้เต็มอย่าไปให้จิตตก ให้เต็มร้อย สตินี้คือเต็มร้อย ให้รับรู้ทุกอย่างชัดและวิจัยไปในรายละเอียด สติ 

อะไรที่เราวิจัยหาตัวเหตุก็คือกิเลสหยาบ กลาง ละเอียด ปัญญาจะค่อยๆเกิดขึ้นมาเรื่อยๆจากศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ก็คือยาดำที่แทรกเข้ามาเรื่อยๆ พอมาถึงสมาธิก็จะเยอะมากเพียงพอ ปัญญามากเพียงพอจนขจัดกิเลสดับได้ กิเลสไม่รอหน้า กิเลสจะหายไปด้วยพลังปัญญา มันเป็นสัจจะอย่างนั้น ไม่มีคำอธิบายอื่น คุณสร้างให้ได้ เราก็จะเห็นว่าปัญญามีฤทธิ์แรง จนกิเลสหมดไป กิเลสหมด จิตก็จะสะอาด เมื่อจิตสะอาดก็จะตกผลึกเป็นของเรา จิตสะอาดตั้งมั่น คือสมาหิโต เป็นสมาธิของศาสนาพุทธ ไม่ใช่สมาธิทั่วไปที่เขาเข้าใจกัน ตื้นๆ

สมาธิของพระพุทธเจ้าจึงไม่ใช่ง่ายจะเข้าใจ แล้วไปนั่งหลับตาตื้นๆสะกดจิตทำให้จิตเป็นหนึ่ง เป็นคน Concentration เป็นเรื่องเท่านี้ บอกว่าในเป็นสมาธิก็ได้ ตื้นๆเผินๆ 

แต่สมาธิของพระพุทธเจ้ามี 1. สราคจิต  (จิตมีราคะ)  2. วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ)  3. สโทสจิต  (จิตมีโทสะ)  4. วีตโทสจิต  (จิตไม่มีโทสะ)  5. สโมหจิต  (จิตมีโมหะ)  6. วีตโมหจิต  (จิตไม่มีโมหะ)  7. สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) .  8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด) 9. มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น)   10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น)  11. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)  12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) . 13. สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)  14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)  15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) . . .  16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) . (พตปฎ. เล่ม 9   ข้อ 135)  

เป็นปริมณฑลจึงเป็นจิตสะอาดตกผลึก ตั้งมั่นแข็งแรงมากยิ่งขึ้น กว่าจะเป็นสมาธิของพุทธ สมาหิตะหรือสมาหิโต จึงไม่ใช่เรื่องตื้นเขินง่ายๆเลย 

มีสมาธิก็คือ มีธาตุรู้ว่านี่คือสมาธิ ที่อธิบายสมาธิทั้งหมดคือปัญญาของอาตมา ที่รู้รอบถ้วน รู้ครบ มาอธิบายให้ฟัง ถ้าไม่มีปัญญาละเอียดลออครบรอบอย่างนี้ ก็จะอธิบายไม่ได้ แต่อาตมามี มีสมาธิตัวนั้น มีปัญญารู้ก็มาสาธยายให้ฟัง 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน อยู่วัดได้คือตั้งตนบนความลำบากกุศลธรรมเจริญยิ่ง

_จากศิษย์เก่าสัมมาสิกขา : กราบนมัสการหลวงปู่ค่ะ  หลวงปู่ค่ะ ทำไมเวลาเราปฎิบัติธรรมไปเเล้ว พอถึงจุดจุดหนึ่ง มันยากมากเลยละคะ ใจก็อยากที่จะอยู่วัดเพื่อฝึกฝนตนเองต่อ เเต่หลายครั้งก็อยากที่จะออกไปข้างนอก  หนูทำอย่างไรให้ตนเองอยู่ต่อไปได้ละคะ ทั้งที่รู้สึกว่ามันอยู่ยากค่ะ 

พ่อครูว่า... ยากหรือลำบาก ตั้งตนบนความลำบาก พระพุทธเจ้าตรัสว่าเจริญๆๆ ไปหาความสบายนี้ เสื่อมๆๆ ความลำบากนี่แหละทำให้คนเจริญ ตั้งตนอยู่บนความลำบากนี่ อกุศลหรือความเลว ความไม่ดีไม่งาม มันจะเสื่อม แต่ถ้าไปตั้งตนอยู่บนความสบาย เราอยู่ตามสบายไปหาความสบายใส่ตัว อกุศลธรรมเจริญยิ่ง ไม่เชื่อก็ไปทำดูเลย นี่คือพระพุทธเจ้าตรัสนะ ไม่เชื่อพระพุทธเจ้าตรัสก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อาตมาหมดปัญญาที่จะช่วยไว้ ถ้าอยากจะไปลงต่ำตกต่ำอย่างนั้นก็ ก็ไม่เชิญนะ ไม่อยากให้ไปหรอก ประเดี๋ยวจะหาว่าเชิญ ไม่ได้ไม่ดี ไม่อยากให้ไป ทนเอานะ สู้ทน สู้ทน สู้ๆ 

 

_ลูกไม่มีคำถามที่จะถามพ่อครู แต่อยากจะบอกอยากจะยืนยันว่า ทางที่ลูกเลือกมาเดินตามพ่อครูเป็นทางที่ถูกต้องถูกตรง หลังจากที่เดินหลงทางมายาวนานมากแล้ว (จากการนั่งหลับตา) เมื่อก่อนนี้แม้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แต่เมื่อมีผัสสะกลับออกจากทุกข์ไม่ได้ พูดตรงๆก็คือไม่รู้จักแม้แต่กิเลสตัวเอง มีศีลคือรับศีลจากพระที่วัด แต่ไม่ได้รับศีลประพฤติปฏิบัติจริง แม้นำไปปฏิบัติก็ปฏิบัติไม่เข้าถึงจิต ไม่มีหลักการในการเดินทาง ทำไปแบบงมมะงาหรา เป็นความมืดดำจึงวนอยู่กับกิเลสไม่พบความก้าวหน้า ขอยืนยันคำพูดของพ่อครูที่บอกว่า คุณปฏิบัติให้ตายก็ไม่พ้นทุกข์ (พ่อครูว่า... จริง อาตมาขอย้ำอีก)เพราะนั่นเป็นทางที่ผิด มีบุคคลที่พอให้ดูเป็นตัวอย่างในยุคนี้คือทิดทั้งสอง ทิด ที่สึกออกมา 

ตอนที่เขายังอยู่ในสถานะนักบวช ร่ำเรียนปริยัติก็มากทรงจำก็มากสอนคนอื่นทั่วประเทศ แต่ประพฤติปฏิบัติของตน ไม่เป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้เลย ยิ่งพอสึกออกมายิ่งยืนยันว่า สิ่งที่ท่านเรียนมาไม่เข้าถึงจิตเลย แสดงพฤติกรรมถึงความไม่มีศีลเลย มีแต่กิเลสเต็มบ้อง กิเลส โลภะ โทสะ โมหะ  ยิ่งสำทับคำพูดของพ่อครูว่า ถ้าการศึกษาไม่มีสัมมาทิฏฐิไม่มีวันจะหลุดพ้นจากทุกข์ไม่มีทางบรรลุธรรมได้  ถ้าปริยัติอาพาธปฏิบัติก็พระอาเภทปฏิเวธก็อาภัพ 

จึงขอบอกพี่น้องที่เดินทางหลับตา ให้มาเดินตามทางที่พระพุทธเจ้าบอก มาเดินตามด้วยใช้จรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งพ่อครูสมณะโพธิรักษ์เป็นผู้นำพามาขยายความให้เข้าใจแจ่มแจ้งปฏิบัติจริงได้ผลจริง 

พวกเรากล้าพูดกล้ายืนยันว่าพวกเรารู้วิธีออกจากทุกข์แล้ว และออกจากทุกข์ได้มาเป็นลำดับๆ และกำลังออกจากทุกข์ได้เพิ่มมากขึ้นมากขึ้น ขอกราบขอบพระคุณพ่อครูผู้เป็น สยังอภิญญา ด้วยเศียรเกล้าจากลูกผู้เริ่มมีปัญญาออกจากทุกข์ 

พ่อครูว่า... ดี

 

_9 โมงเศษๆ เห็นนางมาตระเตรียมอาหาร เดินไปเดินมา จัดล้าง ปั่นพิถีพิถัน กินกินไป จนถึง 15:00 น ถึง 4 โมงถึงเสร็จ ไม่เคยเห็นเธอช่วยงานกิจน้อยใหญ่ของเพื่อนสพรหมจรรย์ กินนานแบบนี้ (6 ชั่วโมง) คงจะอ้วนแต่เธอไม่อ้วน เพราะเธอคืออ้วน มองแบบนี้เป็นการเพ่งโทษไหม 

พ่อครูว่า... ก็ดูความบกพร่อง จะบอกว่าเพ่งโทษ หรือดูความบกพร่อง มันก็ได้ ก็บอกกันค่อยๆบอกกัน บอกที่ดีไป คิดอยู่นะ มันดีหรือ ไม่ควรเป็นควรทำนะ นั่งกินตั้ง 6 ชั่วโมงมันไม่เข้าทีนะ อะไรก็ว่าไป 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน คนวัดอย่างไรที่สร้างภาระให้หมู่กลุ่ม

_ที่อาคารอาชีวะ พ่อสร้างมาอย่างดี 20 30 ล้าน แต่ทุกวันนี้อย่างกับโรงเก็บขยะ รกสกปรก D10 Big Taylor สายไฮดรอลิคใหม่ๆราคาเป็นแสนกองทิ้งเป็นขยะ พ่อครูพอจะบอกอะไรบ้างดีหนอ? 

พ่อครูว่า... อาตมาก็ได้แต่ปลง วิบากของเราหนอ มาช่วยให้เราชิบหายไปๆ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อาตมาไม่เป็นคนบังคับใครให้คนสำนึกกรรมดีกรรมไม่ดีเอง ใครสำนึกได้ก็ปฏิบัติกรรมดีไปให้มันดี อะไรควรประกอบให้ดีก็ทำ อะไรไม่ดีก็ไม่ควรทำ อาตมาไม่ได้เป็นคนจู้จี้ไปบังคับเขา ซึ่งมันก็มีวิธีการคัดเลือก อาตมาก็เลือกคนได้มาประมาณนี้ แต่คนที่หยาบขนาดนี้มาอยู่ในนี้ก็พอเห็นที่พูดๆมา เราก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็กรรมเป็นอันทำกรรมวิบากของใครก็ของมัน แม้แต่คิด คิดขี้โลภ เอาเปรียบเอารัด คิดเอาแต่ได้ เห็นแก่ได้เห็นแก่ความโลภ ก็แล้วแต่ ควรจะล้างมาอยู่ในที่แล้วควรจะล้างลดล้างอะไรต่ออะไร แต่เขาก็ คงจะมีเหตุผล มีเหตุปัจจัยมีอะไรต่ออะไรของเขา ก็ไปสร้างภาระไปแบกภาระเกินตัวบ้าง ไม่มีภาระก็ไปหาภาระมาเพิ่มให้แก่ตัวเอง แล้วก็อ้างว่ามีภาระ มันก็ไม่รู้จะไปห้ามเขาได้อย่างไรมันไม่ฉลาด พูดชัดๆ ก็มันหาภาระมาให้แก่ตัวเอง ภาระที่มันเป็นวิบากกรรมติดตัวมาล้างยาก ก็แล้วไปเถอะ แต่ไปหาภาระใหม่ ไปสร้างภาระใหม่นี่ มันโง่ 

ภาระเก่าก็มีอยู่แล้วก็ล้างภาระเก่าก็เหลือแหล่ แต่ไปหาภาระใหม่มานี่มันโง่ โง่ๆๆๆ  

จบดีกว่า 

ที่มา ที่ไป

650218


เวลาบันทึก 18 กุมภาพันธ์ 2565 ( 20:52:43 )

650221

รายละเอียด

650221 จะเป็นสาธารณโภคีต้องไม่มีพญานาค รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 28 

https://www.boonniyom.net/51176.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1p1Xho3N4FSe-VwzSMQ9s_2JkxmwAPjh0tUf2eFSHFVI/edit?usp=sharing 

 

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/1dqth9Sm5GMrmzJWNpLW2Ox5QwseKWStv/view?usp=sharing 

     

และดูวิดีโอได้ที่    https://youtu.be/0VGA9mDo4Ec 

และ

https://fb.watch/bjh0YMrF3A/ 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน สาธารณโภคีคือสุดยอดความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่เป็นจริง

_สู่แดนธรรม...วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ชาวอโศกเราเป็นคนจนที่มีปฏิหาริย์ เป็นคนจนมหัศจรรย์ เป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ และทำคุณทำประโยชน์จนกระทั่งเป็นหมู่กลุ่มสังคมที่อยู่กันอย่างเป็นระบบสาธารณโภคี และได้ฝากคำถามแก่พ่อครูว่า สร้างระบบสาธารณโภคีได้อย่างไร แต่คราวนี้พ่อท่านก็ยังจะต้องอธิบายเรื่องพญานาคอยู่ ผมก็พยายามจะจูนสองเรื่องนี้เข้ากันให้ได้ 

โดยธรรมชาติของความเป็นพญานาคนั้น เขาจะอยู่ตัวใครตัวมัน แต่การทำเป็นระบบ ช่วยกันทำมาหากิน ผมไม่เคยเห็น งูที่ไหนที่ช่วยกันทำมาหากิน หรือแม้แต่ศัตรูของพญานาคคือนกอินทรีย์ นกเหยี่ยว นกฟ้า เขาก็ไม่เคยช่วยกันทำมาหากินเป็นหมู่เป็นคณะ มีแต่ทำมาหากินแบบตัวใครตัวมัน 

ถ้าผมจะถามว่า การจะสร้างระบบสาธารณโภคีขึ้นมา มีความจำเป็นที่ต้องทำลายความเห็นแก่ตัว อันนี้คงจะเป็นการตอบที่ถูกต้องใช่ไหมครับ ผมเข้าใจว่าอย่างนั้นนะครับ

และคราวที่แล้ว พ่อครูอธิบายเรื่องพญานาคค้างไว้อยู่ การจะทำให้เกิดระบบสาธารณูปโภคต้องทำลายความเห็นแก่ตัวของตนเองให้ได้ก่อน ความเห็นแก่ตัวก็คือพญานาคที่เอาแต่มุดอยู่ในรูใครรู้มัน 

พ่อครูว่า...เอาอะไรก่อนดี จะเอาสาธารณโภคี หรือเอาพญานาคก่อน 

_สู่แดนธรรม...เอาเรื่อง คนจนที่มหัศจรรย์ จนกระทั่งมาเป็นสาธารณะโภคีได้ เอาผลก่อน แล้วค่อยไปตามหาเหตุครับ 

พ่อครูว่า...คำว่า สาธารณโภคี เป็นสุดยอดความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าแล้วนะ ไม่ว่าจะเป็นสาธารณโภคีในมุมของเศรษฐกิจ มุมของสังคม มุมของการเมือง มันสุดยอดของมนุษยชาติแล้ว 

สาธารณโภคี แปลว่า ไม่มีตัวตน ไม่เป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ของกินของใช้ทุกอย่างเป็นของสาธารณะ เป็นของส่วนกลาง ทุกคนกินได้ใช้ได้ร่วมกันหมดเลย โดยไม่ต้องซื้อต้องขายไม่ต้องแย่งชิง ช่วยกันสร้าง มีเท่าไหร่ก็กิน แล้วก็มีความรู้ มีสิ่งที่ต้องปฏิบัติตน ประกอบกันไป คู่เคียงกันไปด้วย คือ จะต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ เป็นผู้ที่พอ เป็นผู้ที่เอาแต่น้อยๆ เป็นผู้ที่ไม่แย่งชิง ไม่วิวาท ซึ่งมีอีกหลายประเด็น เพราะฉะนั้น คุณธรรมทุกอย่างต้องสมบูรณ์ในคน 

คนที่จะปฏิบัติสาธารณโภคีได้ ก็จะต้องเป็นคนหมู่กลุ่ม สาธารณโภคีคนเดียวทำไม่ได้ และก็ไม่ใช่กลุ่มเล็กๆ ด้วย สาธารณโภคีต้องกลุ่มใหญ่ ต้องเป็นกลุ่มคนที่มากพอสมควร ไม่ใช่กลุ่มน้อยๆ จริงๆแล้วทุกวันนี้สาธารณโภคีของไทยที่เราทำกันอยู่ ชาวอโศกมีสาธารณโภคี มีชุมชนกระจายอยู่ทั่วประเทศ 20-30 นับอย่างตีกินหน่อยถึง 40-50 ชุมชนอะไรนี่ก็ไปสำรวจ บางชุมชนมีคนอยู่ 2-3 คน เป็นต้น ก็ตีกินได้หลายสิบ 

ซึ่งอยู่กันอย่าง เป็นคุณสมบัติ เป็นคุณวิเศษอันเยี่ยมยอดที่จิตได้ฝึกดีแล้ว ฝึกไม่เห็นแก่ตัว จนถึงขั้นไม่มีตัวตน แต่สร้างสรร ขยันเพียร ไม่สะสม เพราะฉะนั้นอยู่กันอย่างมีพฤติกรรมกายวาจาใจ ปาสาธิกะ เป็นอาการที่น่าเลื่อมใสในโลก โลกใดๆก็ปฏิเสธไม่ได้ 

พูดกันโดยสามัญสำนึกก็รู้กันแล้วว่า ผู้ที่มีพฤติกรรมสร้างสรร ขยันหมั่นเพียร แล้วไม่ยึดเป็นของตัวของตน ไม่สะสม แต่แจกจ่ายเจือจานเผื่อแผ่ผู้อื่น ไม่มีที่ไหนเขาปฏิเสธ คนโง่คนฉลาดรู้ หมด นอกจากคนขี้โลภขี้หวง พวกจนไม่เสร็จคือพวกคนรวยนี่แหละ คนรวยคือคนจนไม่เสร็จ พวกคนรวยนี่คือคนจนที่จนไม่เสร็จ ไม่เคยหยุดจน นึกว่าตัวเองจนตลอด ไม่เคยพอไม่เคยหยุดเลย 

พวกคนรวยนี่ คือเป็นคนที่หน้ามืดตามัว เป็นคนโง่ดักดาน ที่ไปแย่งชิงเขามาได้มากเท่าไหร่ ไม่เคยจบ ไม่เคยหยุด ไม่เคยพอ ไม่เคยระลึกนึกเห็นแก่ผู้อื่นเลย จึงเป็นคนที่ชั้นต่ำมากเลยคนรวยนี่ ขออภัยอาตมาพูดชัดๆ ไม่ได้ไปด่าไปว่า ไม่ได้ไปเสียดสีอะไรเลย แต่พูดความจริงตามความเป็นจริงสู่กันฟัง แต่เขาอวิชชากันเอง ไม่รู้ อาตมาก็ไขความจริงที่เป็นสัจจะให้ฟัง 

เพราะฉะนั้น คนที่จะมาเป็นสาธารณโภคีถึงขั้นสูงสุด เป็นรูปธรรม เป็นสาธารณโภคีให้เห็นสำเร็จเลยนะ เป็น phenomena เป็นปรากฏการณ์ยืนยันให้เห็นจริง เป็นจริงเลย อยู่จริงเลยนะ อย่างชาวอโศกนี้เป็นอยู่นี้ ต้องเป็นคนปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจนมีวรรณะ 9 ได้จริงๆ 

วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย  (สุภระ), บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ),  มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)  ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9  ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)  

ใจพอ เป็นคนที่ 0 ก็พอ ไม่มีของตนก็พอ สันโดษ หรือสันตุฏฐิ และคนที่ยังไม่ถึงจุดสมบูรณ์ก็ขัดเกลาตนเอง สัลเลขะ ขัดเกลากิเลสตนเองออก จนกระทั่งเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติ มีธูตะ มีข้อปฏิบัติของพระพุทธเจ้าที่ปฏิบัติได้สูงขึ้น คนที่ทำไม่ได้ก็เหมือนเคร่ง แต่ที่จริงผู้ที่ทำได้แล้วไม่เคร่ง มีข้อปฏิบัติเป็นศีลเคร่ง เขาไม่เคร่งหรอก 

ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น มีศีลข้อที่ไม่ต้องมีเงิน ไม่เห็นจะเคร่งอะไร ผู้ที่เป็นได้แล้ว บรรลุได้แล้ว มันสบาย กินมื้อเดียวอย่างนี้ ไม่เห็นจะยุ่งยากอะไร ไม่เห็นจะยากเย็นอะไรเลย อย่างนี้เป็นต้น 

ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ฟังก็เข้าใจได้ แต่ผู้ที่ยังอวิชชา ผู้ที่มีกิเลสหนา จะไม่ค่อยซาบซึ้ง แต่ผู้ที่กิเลสเบาบางลง หรือเป็นผู้ที่แสวงหา รู้จักบัญญัติภาษาที่มีความหมายดีแล้ว ก็จะซาบซึ้งเข้าใจดี ว่า โอ้โห…โลกนี้มันมีด้วย ปัจจุบันนี้ ธรรมะพระพุทธเจ้าโลกุตรธรรมอย่างนี้มันมีด้วย จะรู้สึกอย่างนั้นเลย 

อาตมาก็ภาคภูมิใจที่ธรรมะพระพุทธเจ้าทำได้ในยุคนี้ เป็นยุคที่คนกิเลสหนาตัณหาจัดแท้ๆ ก็ยังมีคนที่มีธุลีในดวงตาน้อย ขึ้นมาปฏิบัติมาเรียนรู้ได้มรรคได้ผล อย่างที่เห็นเป็นรูปธรรมอย่างที่ยกตัวอย่างยืนยัน 40-50 ปีมาแล้ว เป็นเรื่องของการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของโลก  จบถึงขั้นสาธารณโภคีได้แล้ว มันไม่มีอะไรสูงยอดกว่านี้แล้ว แม้แต่คอมมิวนิสต์ก็ต้องการ สิ่งที่ทุกคนทำงานแล้วเอาเข้ากองกลาง ประชาธิปไตยก็ต้องการคนที่ทำงานได้ผลผลิต มีรายได้แล้วเอาเข้ากองกลางให้มากที่สุด จนกระทั่งให้ได้หมดเลย เสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ว่างั้นเถอะ สาธารณโภคีคือมีคนในทำงานกลุ่มชุมชนนี้ เสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ 

เพราะฉะนั้นในประเทศไทย มีคนเช่นนี้ คือชาวอโศก ทำได้ เป็นการพิสูจน์ยืนยันถึงผู้ที่มีเศรษฐกิจสุดยอดของมนุษยชาติ ของสังคมมนุษยชาติ  ซึ่งผู้ที่ทำได้สุดยอดแล้ว มันก็จะมีขั้นตอน มีขั้นชั้นของคนที่ทำได้ยังไม่สมบูรณ์ 100% ยังทำได้ 90% ได้ 80% ได้ 70% 60% 50% ลดหลั่นกันไปอีก ไม่ได้หมายความว่าสาธารณโภคีคือคนสุดยอดเจ้าเดียว ไม่ใช่ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ มันก็จะมีลดหลั่นไปให้เป็นขั้นๆ ชั้นๆ อยู่ สืบสานอยู่ 

แล้วคนที่เข้าใจแล้วโดยทิฏฐิ หรือทฤษฎี สุดยอดทฤษฎีนี้ เขาทำได้เท่าที่ทำได้ และผู้ที่ทำได้ก็ไม่ข่มไม่เบ่ง ผู้ที่ยังทำไม่ได้ก็จะมีคนเห็นใจ ช่วยเหลือกัน ค่อยๆ อธิบาย นำพากันไป แล้วก็อยู่ด้วยกันเป็นสังคมเป็นสาธารณโภคีนี้ นี่คือการสาธารณโภคี ทางด้านเศรษฐกิจคืออธิบายได้สมบูรณ์ และเป็นสังคมสาธารณโภคีเป็นสุดยอดแห่งสังคม 

ด้านการเมืองการบริหารก็ตาม จะเป็นการบริหารการดูแลปกครองกัน ก็ไม่ต้องไปบังคับอะไรกันเลย ทุกคนอิสระเสรีภาพ 

มี sms อันหนึ่ง

_หายโง่ : มีเพื่อนๆ ถามดิฉันว่า ไหนว่าเป็นอิสระชน ทำไมต้องมาเป็นชาวอโศก ที่ต้องมีกฎระเบียบ เช่น ต้องถือศีล 5 เป็นอย่างน้อย ต้องไม่กินเนื้อสัตว์ ฯลฯ ดิฉันตอบไปว่า ดิฉันได้พบจอมยุทธที่ฝึกให้ดิฉันได้รู้จักวิชชา เป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย ฆ่ากิเลสที่หมักหมมอยู่ในจิต ทำให้เป็นอิสระชนแท้ นี่แหละจอมยุทธดังกล่าวคือพ่อครูค่ะ กราบขอบพระคุณที่พ่อครูได้แจกแจงธรรมะอันลึกซึ้ง ชัดเจน เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาจิตวิญญาณของดิฉัน 

พ่อครูว่า... นี่คือคำตอบของผู้ที่ได้มาเรียนรู้ เป็นอิสระชน เขาถูกตู่ว่ามาอยู่ในคอกของคนมีชนัก ที่นี่บอกแต่ไหนแต่ไรว่า ไม่เคยไปเรียกร้อง ไม่เคยไปอ้อนวอน ไม่เคยเป็นและเล็ม ใครมา 

เคยบอกว่าคุณทุกคนมาที่นี่มาเอง โดยภูมิปัญญาด้วยความสมัครใจของคุณ ไม่เคยไปบังคับ อาจจะเคยพูดเล่น หนูเปล่าหนา เขามาเอง คุณสมัครใจมาถือศีลตามหลักเกณฑ์ที่นี่เขา คุณสมัครใจมาไม่กินเนื้อสัตว์ตามวัฒนธรรมที่นี่เขา มันเป็นอย่างนั้น ไม่ได้หมายความว่า เหมือนอย่างคนที่เข้าใจง่ายๆตื้นๆ เข้าใจสมบูรณ์ไม่ได้ ที่นี่ไม่มีการบังคับ เป็นอิสระชนจริงๆ อย่างที่คุณหายโง่เขาเขียนมา 

 

_กรุณาอธิบายคำว่า เจตสิก โดยสังเขปด้วยค่ะ

 

สู่แดนธรรม.. ขอพักธรรมะขั้นลึกๆ ไว้ก่อนนะครับ ผมฟังพ่อครูพูดมา 10 นาทีนี้ คนในสังคมได้ยินได้ฟังก็คงจะน่าทึ่งว่า เอาอะไรมาพูด พ่อท่านเคยบอกว่า เอาจากของพระพุทธเจ้ามาใช้ แล้วมีที่ไหนให้เห็น ในประเทศไทย 

พ่อครูว่า... เอาสิ่งที่มนุษย์ปฏิบัติได้จริงๆ เอาของพระพุทธเจ้าตรัสรู้

ก็มีให้เห็นอยู่นี่ไงชาวอโศก ปฏิบัติให้เป็นเป็น Phenomena เป็นปรากฏการณ์ชัดเจนอยู่นี่ไง เป็นแต่เพียงว่ามันยาก จึงมีคนได้ประมาณหนึ่ง เป็นยอดพีระมิด ส่วนคนมิจฉาทิฐิเข้าใจไม่ได้ ก็เป็นฐานพีระมิด มันเป็นธรรมดา เป็นคนส่วนใหญ่

สู่แดนธรรม.. อย่างคนที่เคยฟังรายการนี้เป็นครั้งแรก คำเหล่านี้อาจจะคิดว่า เป็นไปไม่ได้ อย่างเช่น สมาชิกของหมู่บ้านชาวอโศก หรืออโศกทั้งประเทศ ทำงานเสียภาษีให้ส่วนกลางร้อยเปอร์เซ็น แล้วมันเพ้อฝันไปหรือเปล่า ทำอย่างนั้นได้หรือเปล่า เขาอาจจะคิดเช่นนั้น 

พ่อครูว่า... ทำได้ จริง ที่มันไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะบางคนอาจจะมีไว้ให้ตัวเองนิดหน่อย มันมี เป็น Error ที่เป็นธรรมชาติธรรมดา มันไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ มันจะ 90-95 เปอร์เซ็นต์ก็สุดยอดแล้วนะ 80% ก็สุดยอดแล้ว 

สู่แดนธรรม.. นักการศึกษา นักพัฒนาการสังคม ถ้าจะเลื่อมใสแบบของพ่อท่าน แมื่อฟังทฤษฎี ฟังความเป็นไปได้ เขาก็อาจจะท้อใจแล้วนะครับ  ว่าทำได้ยาก

พ่อครูว่า... ท้อก็ไม่แท้ ท้อก็คนไม่แท้ ยาก เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เราต้องทำสิ่งที่ทำได้ยาก อดทนต่อสิ่งที่ทนได้ยาก ทำในสิ่งที่บุคคลอื่นทำได้ยาก 

สู่แดนธรรม.. ผมก็เลยคิดว่า ที่คุณคิดว่าทำยากเพราะคุณคิดจะไปเป็นหนึ่ง ไปสร้างเอง ก็พ่อท่านบอกแต่แรกแล้วว่า  คนๆ เดียวสร้างสาธารณะไม่ได้ ต้องสร้างสาธารณะกลุ่มน้อย ประสานกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ขึ้นเป็นหลายๆ กลุ่ม ตั้งขึ้นไปสู่ยอดปิรามิด แม้แต่ชาวอโศกำ อย่างบ้านราชฯ เป็นสังคมใหญ่นะ บางทีก็เป็นสิงโตเหมือนกันที่ต้องพึ่งพาหนู

สู่แดนธรรม.. บางทีบ้านราชฯน้ำท่วม ไม่มีที่ทำมใาหากิน ก็ต้องอาศัยชุมชนที่อื่นที่ปลูกผักปลูกอาหารได้อยู่ เอาอาหารมาให้ นี้มันเป็นปาฏิหาริย์จริงๆ 

พ่อครูว่า...สาธารณโภคีมันเกี่ยวโยงสัมพันธ์กันเป็นญาติกันทั่วประเทศ เพราะฉะนั้นน้ำไม่ได้ท่วมประเทศไทยทั้งหมด ที่อื่นไม่ท่วม เขาทำของเขาได้ เขาก็เอามาเผื่อแผ่เกื้อกูลกัน เพราะว่า ความเป็นสาธารณโภคีนั้น มันเป็นพี่น้องกันเผื่อแผ่เกื้อกูลกัน รู้ความทุกข์ยากเดือดร้อน ผู้ที่ไม่เดือดร้อนอุดมสมบูรณ์ ก็เอามาช่วยผู้ที่ขาดแคลนผู้ที่ถูกภัย ทุภิกขภัย วาโยภัย อุทกภัย น้ำท่วมไปหมดปลูกพืชไม่ได้ เขาก็เอามาช่วยมาให้เลย 

สู่แดนธรรม.. ทางสายนักการศึกษา นักพัฒนาสังคม จะมองเห็นว่า ดีต่อมนุษยชาติทุกด้าน 

พ่อครูว่า... อาจจะเข้าใจยากสำหรับทางการเมืองทางรัฐศาสตร์ว่า มันเกี่ยวอะไรกับสาธารณโภคี การจะมีเศรษฐกิจที่ไม่เป็นตัวตน ไม่เห็นแก่ตัว ช่วยเหลือเกื้อกูลสังคมไปเลย มันได้จริงๆ มันรวมแล้วอันนี้คือการเมือง การเมืองที่ยังเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว เห็นแก่พรรคพวก มันไม่ใช่ประชาธิปไตย มันไม่ใช่เรื่องที่สมบูรณ์แบบ เรานี่สุดยอดประชาธิปไตย พระพุทธเจ้านี่ สุดยอดประชาธิปไตย ที่มีจิตวิญญาณเป็นประธาน 

เพราะฉะนั้นในความหมายของโลก มนุษยชาติต้องมี 2 มีจิตวิญญาณเป็นประธาน แล้วต้องมีสิ่งที่เป็นตัวตนบุคคล จึงเป็นสภาพที่ต้องมีพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินต้องเป็น
อาริยบุคคล โดยเฉพาะอย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 เรานี้ เป็นพระโพธิสัตว์สาธารณโภคีชัดๆ ท่านประกาศเลย มาเป็นคนจน เราเสียสละให้แก่คนอื่นนั้นแหละเราได้ ถ้าคนไม่มีสาระสัจจะอันนี้พูดออกมาไม่ได้หรอก โดยเฉพาะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน พูดออกมาแล้วถ้าทำไม่ได้ แล้วเป็นพระเจ้าแผ่นดินด้วยได้อย่างไร พระพักตร์แตกเลยนะไม่ได้

เพราะฉะนั้นสิ่งนี้เป็นสิ่งสุดยอดของโลก พูดไปแล้วอาตมาก็พูดยืนยันความจริงเน้นว่ามันเป็นสุดยอด คนที่มีปฏิภาณจึงรู้ คนบางคนอาจจะบอกว่าคุยโม้ อาตมาก็พูดไม่รู้กี่ทีแล้ว สิ่งที่ดีๆไม่ให้คุยโม้ ให้ไปคุยในสิ่งไม่ดี มันฉลาดที่ไหน คนที่คุยในสิ่งที่ดีๆ นั่นแหละแม้จะเป็นตัวเขาเองเป็นคนดี ก็ไม่น่าจะไปรังเกียจ​เขา ก็เขาเอาสิ่งที่ดีมาพูดแล้วยืนยันเป็นตัวยืนยัน ที่เขาพูดนี่มันเป็นจริงได้นะ ไม่ใช่เขาเป็นจริงไม่ได้ ที่บอกว่าเราอวดตัว เราไม่อวดหรอก ยิ่งคนที่ทำได้จริงและพูดจริงจะว่าเขาอวด ก็อวดความจริงที่ทำได้จริงแล้วนั้นไง ไม่ใช่อวดสิ่งที่ทำไม่ได้แล้วไปพูด นั่นต่างหากแหละเป็นกิเลสอวดตัว ตัวเองพูดสูงพูดดีแต่ตัวเองทำไม่ได้ นั่นต่างหากอวดตัว ส่วนคนที่ทำได้แล้วพูดความจริงตามความเป็นจริงไม่ใช่เป็นคนอวดตัวหรอก ฟังให้ชัดๆภาษาสื่อสัจธรรม

สู่แดนธรรม.. ถ้าจะทำให้สาธารณโภคีเจริญ อยากให้เจริญแพร่หลายกว้างขวางออกไป คงไม่สามารถไปตั้งหมู่กลุ่มเอาเองได้หรอก ต้องมาศึกษาเอาจากชาวอโศก  แต่ทีนี้มีปัญหา อย่างที่คุณหายโง่เขาถามมา ที่เพื่อนเขาว่า ถ้ามาแล้วก็อาจจะบอกว่ามันไม่อิสระ เช่นเมื่อก่อนเคยกินอาหารอร่อย มากินแบบนี้มันจะได้เรื่องเหรอ

พ่อครูว่า... มาสุดยอดที่จะได้ความเป็นอิสระสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่อิสระที่บำรุงกิเลสที่บำเรอตัวตน อย่างนั้นไม่อิสระ อย่างนั้นเป็นทาสอัตตาตัวเอง ทาสติดรสติดชาติ แค่นี้เข้าใจไม่ได้ไม่มีภูมิปัญญาพอว่าติดอยู่อย่างนั้นไม่อิสระ อิสระต้องไม่ติดอะไรเลย รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสโลกธรรม 

สู่แดนธรรม.. เข้ามาในนี้เหมือนการสอนให้ลูกนกฝึกบิน การบอกให้ฝึกบินจะว่าเป็นกฎระเบียบ ไม่ใช่หรอก มันก็เป็นธรรมชาติของนกที่ต้องฝึกบินฝึกระโดดตามแม่ไป ลูกนกจึงสามารถมีปีกแข็งได้จึงจะบรรลุอิสระ 

พ่อครูว่า... ที่จริงแล้วมนุษยชาติ สุดยอดแห่งความเป็นมนุษย์ชาติ สุดยอดแห่งความเป็นสังคม สุดยอดแห่งความเป็นเศรษฐกิจ สุดยอดแห่งความเป็นการเมือง มันสุดยอดแล้ว ทุกวิชาการที่สัมพันธ์กับความเป็นมนุษยชาติ  

รวมแล้วสามเส้าใหญ่ๆ นี้ สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ก็รู้กันทั่วโลก นักสังคมวิทยา นักประชาธิปไตย นักคอมมิวนิสต์ รู้กันทั้งนั้น มันสุดยอดแล้ว 

เพราะฉะนั้น ปัญหาที่เป็นประเด็นสำคัญก็ตรงที่ว่า  จะทำอย่างไรที่จะทำสิ่งสุดยอดนี้ได้ พระพุทธเจ้ามีสูตรแล้ว คือ จรณะ 15 วิชชา 8 นี่คือสูตรสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เป็นพุทธคุณของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ วิชชาจะระณะสัมปันโน พระพุทธเจ้าทุกพระองค์บรรลุวิชชาจะระณะ เรียกว่าวิชชาจะระณะสมบัติ นี่สุดยอดยิ่งใหญ่ที่สุด 

เพราะฉะนั้นถ้าโลกทั้งโลกเข้าใจว่านี่คือ ทฤษฎียิ่งใหญ่ที่สุด คือ จรณะ 15 วิชชา 8 ทฤษฎีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่นักรัฐศาสตร์ก็ดี นักเศรษฐศาสตร์ก็ดี นักสังคมศาสตร์ก็ดี จะต้องรู้ว่า โอ้โห! ไม่มีทฤษฎีไหนที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีกแล้ว เป็นผู้หมดตัวตน หมดกิเลสเพื่อมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง ซึ่งจะเป็นประชาธิปไตย จะเป็นสังคมนิยม จะเป็นคอมมิวนิสต์ ก็ต้องการทั้งนั้น นอกจากเผด็จการเท่านั้นที่ไม่ต้องการ เผด็จการนั้นมันคนตรงกันข้ามกันที่สุด แล้วก็แสวงหาความเป็นเผด็จการโดยพรางลวงกลบเกลื่อนว่าตัวเองไม่ได้เผด็จการ เช่น ประชาธิปไตยขาเดียว ประชาธิปไตยแบบประธานาธิบดีของแต่ละชาติแต่ละประเทศ ที่เป็นอยู่นั้น นั่นแหละคือประชาธิปไตยลวงโลก ไม่ใช่ประชาธิปไตยจริง 

คอมมิวนิสต์ก็คือเผด็จการที่เป็นหมู่ เผด็จการที่เป็นกลุ่ม คณาธิปไตย ส่วนผู้ที่ไม่เป็นเผด็จการ ทั้งไม่เป็นเผด็จการหมู่ แต่ทุกคนเสมอภาคกัน ทุกคนมีอิสรเสรีภาพ นี่คือประชาธิปไตยแท้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เป็นเจ้าแห่งวิชารัฐศาสตร์ วิชาเศรษฐกิจ วิชาสังคมศาสตร์ สุดยอด 

สู่แดนธรรม.. ผู้รู้บางคนอาจจะเถียงว่า พระพุทธเจ้ายังมีศักดินา จะเท่าเทียมกันได้อย่างไร 

พ่อครูว่า... เราต้องรู้ กาละ เทศะ ฐานะ สังคมในยุคนั้นทั่วโลกเผด็จการหรือสมบูรณาญาสิทธิราชย์ทั้งนั้น ยุคนั้นเป็นสังคมทาส เป็นสังคมที่มนุษย์ไม่เข้าใจสิทธิมนุษยชน นั่นคือสังคมยุคนั้นมีบริบทอย่างนั้น แต่ในยุคนี้มันไม่ใช่สังคมทาสแล้ว ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเต็มที่ ไม่ใช่สังคมสมบูรณาญาสิทธิราชย์แล้ว ถ้าเข้าใจอย่างนี้ไม่ได้ คุณก็จะวนไปวนมาแย้งอยู่นั่นแหละ ถ้าเข้าใจได้แล้วก็จบ 

(นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ) 

สู่แดนธรรม... วันนี้เปิดประเด็นเรื่องสังคมสาธารณโภคี กำลังถามว่า จะสร้างสังคมสาธารณโภคีได้อย่างไร พ่อท่านตอบให้คุ้มมากเลย  พ่อท่านได้ขยายคุณลักษณะที่ควรจะเป็นในสังคมอนาคตที่ควรจะพัฒนาให้เป็นอย่างไร พ่อท่านได้บอกให้รู้ถึงคุณวิเศษของสาธารณโภคี เป็นประโยชน์เพื่อมนุษยชาติในทุกประเด็น ด้านสังคมเศรษฐกิจการเมืองการปกครอง ทุกประเทศก็ต้องการแบบนี้ใครๆก็ต้องการ 

พ่อครูว่า... สุดยอดวิชาความรู้  สุดยอดศาสตร์ สาธารณโภคีศาสตร์นี่สุดยอดแล้ว 

สู่แดนธรรม.. ถ้าหากเศรษฐกิจของโลกเปลี่ยน ทุนนิยมใช้ไม่ได้แล้ว เศรษฐกิจอะไรจะมาแทนในโลก ถ้าหากเราจะอาจเอื้อมเสนอสิ่งนี้ออกไปได้ไหมครับ 

พ่อครูว่า... มันเป็นอิสรเสรีภาพ มนุษย์มีกิเลสเป็นเจ้าเรือน แล้วคุณจะไปบังคับให้คนไม่มีกิเลส มันทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันก็อยู่ที่ความสามารถของผู้ที่สามารถได้แล้ว เป็นอิสระชนได้จริง เป็นผู้ที่บรรลุธรรมสูงสุดได้จริง แล้วลดลงมาเป็นลำดับๆๆอยู่ อันนี้จะเป็นความจริงเป็นมนุษยชาติที่จริง ที่เป็นตัวอย่างอยู่ในโลก เพราะฉะนั้นก็อธิบายไป ยืนยันทฤษฎีไป ยืนยันว่ามันเป็นได้จริงนะ ไม่ใช่ความสุดโต่งเพ้อฝัน เช่น ยูโทเปียซึ่งทำไม่ได้ ตอนนี้เป็นของจริงทำได้จริงมนุษย์ที่เป็นจริง ก็ยืนยันอยู่ เมื่อยืนยันอยู่ คนที่ได้แล้ว สังคมที่เป็นไปได้แล้ว เขาก็เป็นอยู่ของเขาอยู่ในโลก ส่วนคนที่แสวงหา ไม่มีอคติ เป็นคนที่มีภูมิปัญญา มีปฏิภาณว่าอันไหนจริง อันนี้ดี เขาก็จะเปลี่ยนมารับทฤษฎีนี้

แต่คนที่เทวนิยมไม่มีภูมิปัญญาไม่เชื่อว่าเป็นไม่ได้จริงๆ เป็นยอดของศาสดาเทวนิยม ยิ่งใหญ่อยู่นั่นแหละ มันก็เป็นลักษณะของผู้ไม่อิสระ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นทาสของพระเจ้า เป็นทาสผู้ปล่อยไม่ไปด้วย หลงใหลหน้ามืดอวิชชา พระเจ้าครอบงำทุกอย่าง เข้าใจเทวะ สภาพสสองเป็นหนึ่งเดียว 

อันนี้เป็นเรื่องรู้ได้ยากเข้าใจได้ยาก ถ้าไม่มีภูมิปัญญาจริงๆจะเข้าใจเทวนิยม เทวะ แปลว่า 2 เป็น 2 นะ ไม่ใช่ 1 นะ
สู่แดนธรรม... ถ้าเข้าใจว่าเป็น 2 แล้วจะดีกับเขาอย่างไรครับ

พ่อครูว่า…เข้าใจเป็น 2 แล้วก็รู้ว่า เป็น 2 นี้ยิ่งใหญ่ที่จะเรียนรู้ คนติดสุข คุณต้องมี 2 มีทุกข์ นี่แหละยิ่งใหญ่ คุณมีดี เดี๋ยวก็วนไปหาชั่ว กลับไปกลับมา เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีคือคู่ทั้งนั้น สิ่งที่ 0 ไม่มีทั้ง 1 และ 2 

สู่แดนธรรม... ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่มี นอกจาก 2 แล้ว เหลือ 1 ได้ไหมครับ 

พ่อครูว่า...  ได้ นั้นเป็นผู้ที่มี วสวัตตี มีอภิภุยยะ 

สู่แดนธรรม.. ถ้าอย่างนั้น ที่พ่อท่านพร่ำสอนพวกเราอยู่ พ่อครูสอนให้เราลด 2 ให้เหลือ 1 แล้วทำไมใช้ 1 ได้ 


 

พ่อครูว่า... 1 ที่ใช้ได้เก่งก็เพราะว่า ข้อ 1 เป็นอิสระสมบูรณ์เต็มที่ไม่มีใครเป็นเจ้านายหนึ่งนี้ได้อีกแล้ว เพื่อคนทุกๆคน 

นอกจากจะเป็น 1 เดียวอิสรเสรีภาพแล้ว 1 นี้มี 0 ด้วยไม่มีตัวตน แต่โดยสมมติต้องมี 2 คนที่เกิดมามีชีวะ ต้องมีวิญญาณด้วยและร่างกายอาศัยกันอยู่เป็นคู่ ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานไป อยากจิตวิญญาณ แยกธาตุรู้หมดสิ้นเลย 0 เป็นดินน้ำไฟลมไปเลย นี่เป็นตัวที่พิสูจน์ความจริงว่า จิตวิญญาณนั้นไม่ได้อนันตัง จิตวิญญาณไม่ได้อยู่นิรันดร จิตวิญญาณนั้นคือตัวประกอบ 

รู้ความจริง แยกได้สูงสุดจึงมีอรหันต์มีนิพพาน ไม่ต้องไปแล้วไปอยู่กับพระเจ้า สลายจิตตัวเองสลายเป็นอุตุนิยาม หายไปเลยเป็นดินน้ำไฟลมหมดตัวหมดต้นหมดอัตภาพไปเลย 

สู่แดนธรรม... บุคคลที่เป็นหมายเลข 1 ในความหมายของพ่อท่านคือ คนอิสรเสรีภาพคือเป็น 1 เป็น 0 ได้แต่ยังไม่เป็น 0  ดำรงความเป็น 1 เพื่อช่วยความเป็น 2 

พ่อครูว่า... มีอัชฌาสัยทนไม่ได้ต่อความกรุณา ตัวเองได้สุดยอดความเป็นอัตภาพที่เกิดมาแล้วจะเป็น 0 ก็ได้ จะเป็น 1 ก็ได้ จะปรุงแต่งอนุโลมเป็น 2 เป็น 3 เป็น 4 เป็น 5 เป็น 6 ตามฐานะของโพธิสัตว์ ที่จะสามารถ

สู่แดนธรรม... เหมือนต้นไม้ ใช่ไหมครับ ตัวเขาเองไม่มีความเห็นแก่ตัวเอง จะเห็นแก่ตัวบ้างก็ต้องการอาหารเพื่อทำให้ตัวเองอยู่ได้เท่านั้น มีหน้าที่สร้างดอกผลอากาศสารพัดอย่างให้อย่างอื่น สร้างความหลากหลายออกมา แสดงว่าบุคคลหมายเลข 1 จึงเลียนแบบ พีชะ 

พ่อครูว่า... สุดท้ายก็มีแก่น กระพี้ เปลือก สะเก็ด มีใบ ดอก กิ่งก้าน ผล 

สู่แดนธรรม... นกหนูปีกได้อาศัย 

พ่อครูว่า... ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ครบ เพราะฉะนั้นสุดยอดก็คือ แก่นคือวิมุติ กระพี้คือปัญญา สมาธิคือเปลือก ศีลคือสะเก็ด ส่วนลาภยศสรรเสริญคือ ดอก ผล ใบ เขียวชะอุ่มงามเลย

เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธทุกวันนี้เหมือนต้นไม้ที่มีแต่ดอกใบผล กิ่งก้านสาขางดงาม ไม่มีแม้แต่แค่สะเก็ดคือศีล ได้แค่วินัย 227 ฉะนั้นไม่ต้องไปพูดถึงเลยว่า สมาธิที่เป็นเปลือก ไม่เป็นสมาธิ เป็นสมาธิเก๊สมาธิสะกดจิต ซึ่งสมาธินั้นไม่ใช่รู้ได้ง่ายๆสำหรับสมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้า 

ยิ่งปัญญา ไกลลิบเลย เพราะฉะนั้น วิมุติที่เป็นแก่นสาระของแท้ไม่ต้องไปพูดถึงเลย ไม่มีทางที่จะเป็นได้ อย่างที่เห็นๆกันไม่ได้ไปใส่ความ เขาเถระสมาคมก็อยู่กับใบดอกผลกิ่งก้านงามชมชื่นอยู่กับลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ไชโยโห่หิ้วกันอยู่นั่นแหละ 

สู่แดนธรรม.. ท่านเองก็คงจะ ภาษาอีสานเรียก สิ่งตาน่อย 

พ่อครูว่า... มาชำเลืองดูว่า อโศกมันทำได้จริงหรือเปล่า มันพูดตรงๆบรรยายถูกต้องยืนยันตามธรรมะพระพุทธเจ้าตรงๆ

สู่แดนธรรม... เขาอาจจะคิดว่าไปได้สักกี่น้ำ 

พ่อครูว่า... พูดถึงอันนี้แล้วมันภาคภูมิใจ เอาน่า ดี กาลเวลาพิสูจน์คน อาตมาจึงอยากจะอยู่ยืนยาวให้เพื่อพิสูจน์ ถ้าหากตามอายุได้ถึง 120 ปีคุณต้องยอมรับเลย ระยะทางพิสูจน์ 

พวกที่มีอคติกับไม่เชื่อ ระยะทางยาวนานไปจนคนอื่นที่เขาไม่เชื่อนั้นตายไปหมดแล้ว คนที่อยู่เขาก็จะจำนนว่าเราอยู่ได้ถึง100 ปี 120 ปี มันเป็นอย่างนี้เพราะเป็นอย่างนี้ Born To Be เป็นตถตา มันเป็นเช่นนี้ของมัน ในตัวมันเอง 

สู่แดนธรรม... พ่อท่านต้องทำตามสัจจะพระพุทธเจ้าที่ท่านไปโปรดชฎิล 3 พี่น้อง ได้หัวหน้ามา 3 คนแล้วลูกน้องก็ตามมาหมดเลย ทุกวันนี้พ่อท่านเลยพยายามโปรด ความหมายของผมคือชฏิลที่เป็นพญานาคหัวหน้าสำนักทั้งหลาย

พ่อครูว่า... หัวหน้าเขาดื้อด้านหลงตัวหลงตนยิ่งยากมาก แต่ก็ต้องทำ จะได้น้อยได้คนหมู่น้อย คณะน้อยๆมาเรื่อยๆ เป็นคณะก็เอา เก็บเบี้ยใต้ถุนร้านไปเรื่อยๆก็ไม่เป็นไรซึ่งมันไม่เก่งนี่ เก่งสุดความสามารถพยายามได้เท่านี้ก็เท่านี้ 

สู่แดนธรรม... มีคนเอาวิชาการทางโลกบอกว่าทำอย่างนี้สิ ถึงจะได้จำนวนสมาชิกเยอะ 

พ่อครูว่า... ประเด็นดีๆ เขาบอกว่าอนุโลมอย่างนี้สิ อาตมาว่า ขนาดไม่ได้อนุโลมไม่ได้และเล็ม ให้เอามาด้วยภูมิปัญญาอิสรภาพของคุณเองยังยากเลย แล้วอาตมาจะโง่เอาคนที่มีแต่ขี้สนิม​เลอะเทอะอย่างนั้นมาทำไม คนที่เอาตัวสะอาดๆมานี่ยังยาก อาตมาไม่โง่ซ้ำซ้อนหรอก

สู่แดนธรรม... บวช สมณะตอนนี้ยังไม่ถึง 100 รูปใช่ไหมครับทุกวันนี้

พ่อครูว่า... สมณะ ก็ไม่ถึง 100 รูป แต่ไม่มีปัญหาหรอกสมณะ ไม่ถึง 100 รูปก็ไม่เป็นไร พวกที่มีกิเลสเป็นนกรู้ เป็นฆราวาสดีกว่าเพราะปฏิบัติเป็นอรหันต์ได้อยู่ คือเลี่ยง แทนที่จะรู้ว่าอันนี้เป็นทางโปร่ง สะอาดบริสุทธิ์ดุจสังข์ขัด จะพาให้ไปได้เร็ว เขาก็ว่า มันต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ในพระวินัย เขาก็ขออยู่อย่างนี้แหละ ให้อาหารกิเลสมันหน่อย ก็ไม่ผิดไม่อะไร แต่ผิดนะผิดตรงที่คุณอ่อยกิเลส ด้วยสัจจะ ถ้ามาอยู่ในกรอบคุณจะดี แต่ความคิดมันไม่เอาจริง ไม่อาจหาญกล้าเขาก็ไม่มาบวช แต่คนที่แกล้วกล้าอาจหาญ รู้จริง จะมาบวช 

ทุกวันนี้ชาวอโศก ผู้ชาย มันไม่กล้าเหมือนผู้หญิง ผู้หญิงมีการเข้าคิวบวชเป็นสิกขมาตุเยอะเลย แต่ผู้ชายไม่ได้ปิดกั้นอะไรเลย ให้มาได้เลย ก็ไม่มา แล้วก็กติกาของเราต้องมีสมณะเท่านี้รูป เป็นตัวกำหนดว่าจะมี สิกขมาตุได้เท่าไหร่ 

เพราะว่าผู้หญิงมีปฏิภาณปัญญาดี รู้ทุกข์ยิ่งกว่าผู้ชาย ผู้ชายเห็นทุกข์น้อย นี่ก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง บังคับไม่ได้ มันก็เป็นสัจจะ

สู่แดนธรรม.. รายการนี้ รู้สึกว่าพ่อท่านมีอิทธิบาทในการตอบได้หลายเรื่องเลยนะครับ

พ่อครูว่า... อาตมาเคยนึกอยู่ว่า เอ๊ ทำไมเรารู้ไปหมด ใครจะถามมุมไหน เรื่องอะไรต่ออะไร นอกจากเรื่องโลกอาตมาตอบไม่ได้ วิธีที่จะไปทำการโดยแบบนี้ไปทำการโกงแบบนี้ไปทำการเอาเปรียบเอารัดคนแบบนี้ อาตมาไม่เก่ง ไม่รู้เรื่อง ตอบไม่ได้ แต่มาทางธรรมะ อาตมาว่าอาตมาตอบได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะยิ่งเข้าไปหาปรมัตถ์ เข้าไปหาจิตไปหากิเลส 

สู่แดนธรรม... ก็แสดงว่า วิชาโลกุตรธรรม ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่วิชาอะไรที่อยู่เหนือมนุษย์จนกระทั่งต้องยกไว้ใส่พานใส่หิ้งไว้บูชาอย่างเดียว แต่เป็นวิชาที่คนเอามาใช้ในชีวิตได้อย่างนั้นด้วยใช่ไหมครับ แสดงว่าถ้าคนรุ่นใหม่ศึกษาจริงๆ ถ้ากำลังแสวงหาสังคมที่มีอุดมการณ์อย่างไร วัฒนธรรมที่ดีควรเจริญแบบไหน ถ้าเปิดใจได้มาศึกษาโลกุตรธรรมที่พ่อท่านอธิบายสร้างสังคมสาธารณโภคี มีการทำอย่างไร เจริญอย่างไร ในขณะที่พ่อท่านยังมีชีวิตอยู่ โอกาสที่คนรุ่นใหม่จะได้เข้าถึงผมว่าดีมากเลยนะครับ 

สู่แดนธรรม... ถ้าผมจะพาเข้าเรื่องที่ สาธารณโภคีจะเกิดได้ คนต้องลดความเห็นแก่ตัว ไม่หลบไม่คุ้ดคู้อยู่ในรู เหมือนพญานาค 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน โจรปล้นศาสนาที่เป็นพญานาค

_พ่อครูว่า... พญานาค เปรียบเหมือนงู โดยอธิบายไปแล้วว่า นาค นาคา แปลว่างู โยงใยมาเลย ตั้งแต่ข้อ 1 มา

สู่แดนธรรม.. คือ คนรุ่นใหม่ที่ฟังแล้ว ตรวจดูเถิดว่าเรามีความเป็นนาคอยู่ในตัวมั้ย 

พ่อครูว่า... นาคคือ งูใหญ่ขึ้นมาๆ จนกระทั่งศิลปินบอกว่าเป็นพญา ต้องตกแต่งให้อลังการ มีหงอน มีลายกนก ใส่หัว ใส่เขี้ยว ใส่จมูก ใส่ปาก ใส่หู ใส่ตา จนกระทั่งใส่เกล็ดข้างหลัง ครีบหลัง ไปกระทั่งถึงหางเลยกลายเป็นพญานาคทรงเครื่อง แล้วแต่ศิลปินจะมีความรู้ ลายประกอบต่างๆ สำมะปี๋ ที่จะใส่เข้าไป 

นาคคือลักษณะติดหลับตา ติดหลับติดนอน หรือเข้าเป้าคือผู้ปฏิบัติหลับตานี่คือพญานาค พวกเดียรถีย์พวกเป็นโจรปล้นศาสนา เอาชัดๆไม่ใช่อาตมาไปใส่ความ แต่เป็นเรื่องจริงๆ ผู้ที่ทำลายศาสนาพุทธ เป็นโจรที่พระพุทธเจ้ามีอุทาหรณ์ บอกให้เอาไปฆ่าด้วยหอกร้อยเล่ม เช้า กลางวันก็ให้ฆ่าด้วยหอกร้อยเล่ม ก็ไม่ตาย ตอนเย็นก็ไม่ตาย นี่แหละคือพญานาค นาคเป็นอมตะ ไม่รู้จักตื่น คือโง่เป็นอมตะนิรันดร นาคคือตัวโง่ อมตะนิรันดร

จะพอรู้มีความรู้ทางพระพุทธศาสนาก็เพียงแต่ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา 1 องค์จะมีการลอยถาดลงไป ถูกถาดของพระเจ้าองค์ก่อนมีเสียงดัง พญานาคนั้นเฝ้าถาดทองมาตั้งแต่องค์ที่ 1 ใบที่ 1 พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา 1 องค์ ลอยถาดไปกระทบกันจึงจะตื่นขึ้นมา รู้สึกตัวว่าพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาอีก 1 พระองค์แล้วหรือเท่านั้นแล้วก็หลับต่อไปอีก หลับต่อไม่มีรู้สึกตัวขึ้นมาได้อีกเลย ก็เอาแต่หลับตา พูดอย่างไร ใครจะพูดอย่างไร ใครจะมากระตุกอย่างไร ใครจะมาแทงด้วยหอกร้อยเล่ม 300 เล่มอย่างไร กูก็เป็นพญานาคของกูอยู่อย่างนี้ หลับตาปฏิบัติ 

ทุกวันนี้อย่าว่าแต่ 300เล่ม เลย 30 เล่ม คุณก็หลับตาเป็นพญานาคอยู่อย่างนั้น คุณฟังเข้าหูที่ไหน คุณก็มืดบอดเป็นพญานาคอยู่อย่างนั้น นี่มันสุดยอดเป็นอุทาหรณ์ ไม่ได้ไปใส่ความนะแต่เป็นเรื่องจริง 

พวกพญานาคที่โง่ดักดาน หลับตาปฏิบัติอยู่ทั้งหมด คือพญานาค พวกดักดาน ไม่ได้ไปว่าไปด่าแต่เป็นอย่างนั้นจริงๆ ฟังที่อาตมาอ้างอิงพระไตรปิฎก หลักฐาน แล้วปฏิบัติให้เห็นเป็นอยู่ ผู้บรรลุอรหันต์จริงๆเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่หลับตาแล้วหลงเป็นอรหันต์ มันคนละเรื่องกันเลย 

สู่แดนธรรม... นาคนอนอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร มันก็คืออนุสัยที่มันรู้ยาก 

พ่อครูว่า... รู้ยากมาก แต่ไม่รู้จะทำยังไง บังคับไม่ได้

เมื่อทำผิด เมื่อสอนผิด แล้วมันก็ต้องได้นรก ขออภัยไม่ได้ใส่ความ อาจารย์ที่พานั่งหลับตาไปนรกกันทั้งนั้น เขาเป็นโจรปล้นศาสนา โจรปล้นศาสนาพุทธ ที่พระพุทธเจ้าให้แทงด้วยหอก 100 เล่ม เช้า กลางวัน เย็น ถ้าดื้อดึงดันอยู่ เป็นผู้ที่แทงด้วยหอกไม่ตายก็คือเป็นพญานาค ถ้านาคตาย ก็ไม่เป็นงูเอาแต่หลับ ก็ตื่น 

ที่นี้พวกตื่นก็ตรงกันข้ามกันเป็นพวกพญาครุฑ เตลิดไปทางปริยัติตลอดไปทางความรู้ไม่รู้จักจบ ไม่รู้จักหยุด แต่ก็จะต้องหลงใหลอยู่กับความรู้นั่นแหละ เป็น ปทปรมะก็แล้ว ปทปรมะคือใคร คือคนที่เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้ามามากท่องจำได้มาก สั่งสอนคนอยู่ก็มาก แต่ไม่ได้บรรลุธรรม ยังไม่พอนะ ปทปรมะ แล้วไปสะสมของอาจารย์ต่างๆ ไม่ใช่แต่ของธรรมะพระพุทธเจ้าเท่านั้น ไปเอาของอาจาริยวาท ของใครต่อใครเอามาเรียน มาสะสม มาเก็บไว้หมดเลย มากๆๆๆ สะสมทำเล่มกี่เล่มใหญ่ๆ 

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ พุทธธรรมอะไรต่างๆที่สะสม ก็จะไปอย่างนั้นเป็นพญาครุฑ เหินหาว ใครจะพูดอย่างไร ฉันพญาครุฑ ฉันอยู่สูงกว่าคุณนะ ปัดโถ่..พวกชั้นต่ำ ไม่รู้จักอะไร มันเป็นอย่างนั้น อาตมาก็สุดสงสารพญานาคพญาครุฑทั้งหลาย จริงๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ก็ช่วย ก็ทำอย่างที่ทำได้ สุดวิสัยก็ทำได้ขนาดนี้ 

ที่นี้ก็ตีเข้าเป้าหน่อย ถ้าพญานาคก็ดีพญาครุฑก็ดี ยอมรับว่าผู้ที่ไม่ได้เป็นพญาทั้งครุฑทั้งนาค คือโพธิรักษ์ ผู้นี้คือลูกพระพุทธเจ้า เป็นโพธิสัตว์ที่เอาธรรมะพุทธเจ้ามาต่อยอด ถ้าหากพญานาคกับพญาครุฑนี้ เกิดดวงตาอันนี้ นั่นแหละคือผู้ตื่น ตื่นจากความเป็นครุฑ ตื่นจากความเป็นนาคด้วย เพราะว่าเป็นผู้ที่มืดบอดทั้งคู่ทั้งพญาครุฑพญานาค ไม่มีแสงสว่าง 

สู่แดนธรรม... มืดเพราะว่าแสงมันจ้า พญาครุฑ ส่วนพญานาคหลบซ่อนในที่มืด แสดงว่าตรงกลางคือพื้นดินธรรมดา พ่อท่านเป็นเทวดาเดินดิน 

พ่อครูว่า... ใช่ เทวดาเดินดิน 

สู่แดนธรรม... ถ้าหากว่า พ่อท่านสามารถช่วยพญานาคพญาครุฑได้… 

พ่อครูว่า... ก็นี่แหละเป็นเจตนาที่ยิ่งใหญ่ ที่ต้องการช่วยนาค ครุฑ ช่วยถึงขั้น พญานาคกับพญาครุฑ แต่นี่ก็ได้ตัวนาคน้อย  ครุฑน้อย ไปเรื่อยๆ เก็บเบี้ยใต้ถุนร้านไปเรื่อยๆ นาคก็ได้บ้าง ครุฑก็ได้บ้าง ก็เป็นรูปเป็นร่าง เป็นรูปธรรม 

ถามว่า พญานาคมีจริงไหม พญาครุฑมีจริงไหม ...มี แต่ไม่มีจริงๆหรอก ผู้ที่บรรลุหลุดพ้นความเป็นนาคความเป็นครุฑแล้วก็ไม่มี ผู้ที่ยังจมอยู่ในความเป็นนาค ความเป็นครุฑ จนกระทั่งไปเป็นพญานาค พญาครุฑ ก็มีอยู่จริงๆ 

สู่แดนธรรม... ผมถามแทนคนฟุ้งซ่าน อนาคตถ้าเกิดท่านพญาครุฑ ท่านพญานาคมาช่วยพ่อท่านแล้ว มีความจำเป็นไหมว่า เขาไม่ถนัดทำเรื่องสาธารณโภคี 

พ่อครูว่า... ก็ไม่ได้บังคับ ไม่ได้ถึงขนาดเล็งผลเลิศถึงขนาดจะต้องเป็นสาธารณโภคีกันหมด มันมีขั้นตอน เราพูดไปหมดแล้ว ขั้นหยวนๆ หยาบๆ ได้แค่ 5% 10% 20% 30% 50% ก็ได้ไปตามฐาน 

สู่แดนธรรม... ท่านมีความถนัดอะไร ท่านรับผิดชอบอันนั้นไป ถ้ามีสัมมาทิฏฐิแล้ว

พ่อครูว่า... ถ้าเริ่มมีสัมมาทิฏฐิ คุณก็เริ่มปฏิบัติได้ คนที่มีทิฏฐิสัมมาคุณก็จะไปปฏิบัติตัวเองได้มรรคผลไปตามลำดับ เป็นสัจจะอย่างนั้น หากว่าได้แต่รู้ ไม่ปฏิบัติ ก็ไป สีลพตุปาทาน 

สู่แดนธรรม... ท่านทั้งหลายฟังแล้วแม้ไม่เป็นสาธารณโภคีทั้งหมดก็ปฏิบัติได้ ระบบสาธารณโภคีซึ่งต่อไปในอนาคต ไม่ว่านักปราชญ์ทั้งหลายจะตาสว่าง ผมว่านะ ไอเดีย ที่ท่านมีความสามารถทั้งหลายจะไปทำให้แตกต่างไปจากสาธารณโภคีนั้น ผมว่า ถ้าเป็นคนที่เห็นว่ามาร่วมกันสร้าง ช่วยอโศกทำสาธารณโภคี จะดีกว่า  ลูกศิษย์ท่านก็ศรัทธา รับนโยบายสาธารณโภคีไปทำ… ผมลืมบอกไปว่า วันนี้ที่ต้องมานั่งทำรายการในห้องเพราะว่าอากาศข้างนอกเย็นมาก เราจึงต้องเซฟพ่อท่านไว้  

 

พ่อครูว่า... ไปบังคับเขาไม่ได้หรอก คนเราจะเห็นเข้าใจว่า อย่างอาตมาเป็นเนื้อแท้ เป็นความถูกต้องที่แท้จริง เขาไม่เชื่อ เขาไม่เข้าใจ เขารู้ไม่ได้ ไปบังคับความรู้ไม่ได้ เขารู้ไม่ได้จริงๆ ที่ภาษาบาลีท่านว่า อวิชชา เขายังโง่อยู่ บังคับไม่ได้ เป็นสุดยอดแห่งความเป็นเช่นนั้น ตถาตา มันต้องเป็นเช่นนั้น

เพราะฉะนั้นคนที่แสวงหา ที่ไม่มีอคติ เขาก็จะเห็นมีดวงตา คือ มีธุลีในดวงตาน้อยไม่มีอคติ อ้อ… พระโพธิรักษ์ พระโพธิสัตว์ เป็นผู้ที่มาสืบทอดสัจธรรมพระพุทธเจ้าจริงๆนะ คนที่รู้จริงๆอย่างพวกคุณนี้ พวกคุณจะหมดกังขาหมด วิจิกิจฉา คุณได้มรรคได้ผลก็จบของคุณ  ไม่มีใครไปบังคับความเชื่อของคุณหรอก คุณเชื่อของคุณเอง พวกคุณเข้าใจแล้วมาทำจริงๆมันก็จริงได้จริง บรรลุผลจริง เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพวิญญูหิ  อันนี้ไม่จำเป็นต้องบังคับใคร 

อาตมาก็พูดย้อนพูดวน ไม่ได้บังคับและเล็มเลียบเคียง เพราะอาตมาต้องการคัดเลือกด้วย เลือกคนที่ยังไม่มีปัญญาปฏิภาณพอยังไม่ต้องมาเลย ยังเป็นภาระอาตมาสอนไม่ไหว ขนาดพวกคุณมีปฏิภาณปัญญาพอเข้าใจ คุณยังแบกกิเลสมาให้อาตมาขัดเกลากันขนาดนี้เลย แค่นี้ก็เหลือกินเหลือใช้แล้ว ได้มากก็ดี แต่มันสุดวิสัยมันได้แค่นี้ จนอายุ 88 แล้ว จะลากขันธ์ไปได้อีกกี่ปียังไม่รู้เลย 

 

สู่แดนธรรม.. หากลูกๆดื้อๆ มากๆก็บังคับไม่ได้อยู่ดี จนพ่อท่านมีโศลกว่า “ไม่รอ ไม่หวัง แต่เราทำ”

พ่อครูว่า... sms 

SMS วันที่ 17-19 กุมภาพันธ์ 2565

_ตุ๊ก อัศวิน ขอโอกาสเจ้าค่ะ..กราบขออภัยลุงจำลองที่เคารพที่จะขออนุญาต

ยกเป็นกรณีศึกษานะเจ้าคะ../ ได้ฟังคุณลุงจำลองเปิดโอกาสให้ถามปัญหาฯ

คุณลุงได้ปรารภว่า เพลานี้ท่านทานผลไม้ ได้แต่กล้วย เพราะผลไม้อื่นๆมีรส

..ที่ลุงจำลองงดผลไม้อื่น นอกจากกล้วย นี้ ลุงเป็น สาย'เจโตฯ' ใช่ไหมเจ้าคะ

ขอได้โปรด วิสัชณา ด้วยเจ้าค่ะ/น้อมกราบสาาาธุ เจ้าค่ะ

พ่อครูว่า...ใช่เลย วิสัชนาขนาดนี้ก็ชัดแล้ว เป็นสายเจโตที่ตรง ก็อย่างนี้แหละ ก็เป็นคุณจำลอง คุณจำลองนี่นะ หากมีอนุโลมปฏิโลมเท่านั้นเป็นนายกไปนานแล้ว หลายสมัยเหมือนลุงตู่ แต่เขาไม่อนุโลมเลย คนที่ยิ่งปฏิบัติไม่ดีก็ยิ่งเดินทางไม่เข้าใกล้เลย มันก็เลยมีพลเมืองน้อย 

ที่จริงโดยกว้างเป็นสิริมหามายา คนเคารพคุณจำลองเยอะ แต่คนจะเอาคุณจำลองมาบริหารนี้น้อย แต่คนชอบคุณจำลองเยอะ แต่รู้ไหมว่าถ้าเอาคุณจำลองมา ข้อจำกัดเยอะเลยจะถูกจำกัด เราซวยเลย ดีมาก เอาแต่ดีๆแต่ทำไม่ไหวก็เลยได้แค่นี้ ถ้าอนุโลมปฏิโลมลงหน่อยจะได้ดีกว่านี้ แต่นี่คุณจำลองไม่เอา จะเอาแต่เข้มข้น แข็งๆ เอาเต็มที่ จะเอาแต่สุดยอดสุดยอด สุดยอด เอาแต่แก่นๆ ไม่อนุโลมเอาเนื้อกระพี้หรือเปลือก สะเก็ดไม่เอาเลย ไม่ต้องไปพูดเลยดอกไปไหมฝนไม่เอาเลย 

 

_วิเชียร เรืองศรี ปฐมอโศก : กายวิญญัติ วจีวิญญัติ ต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไรกับ คำว่าอาจาระและโคจรครับ 

พ่อครูว่า... วิญญัติ แปลว่าการเคลื่อนไป การเคลื่อนทั้งภายนอกภายใน มีภายในเป็นประธาน แล้วมีการเคลื่อนทางกาย เช่นกายกรรม มี นัจจะ ท่าทาง คีตะ สุ้มเสียงสำเนียง วาทิตะ คำพูดภาษาเอามาประกอบ

วจีวิญญัติ ลดลง มีแต่สุ้มเสียง สำเนียงและภาษา ต่างกับกายที่รวมเอาองค์ประกอบทั้งหมด กายวาจา

อาจาระ ระบุลงไปถึงลักษณะการประพฤติ โคจระคืออารมณ์ต่างๆ ที่ควรเป็น ควรเปลี่ยน ควรดำเนินไป เรียกโคจระ คือเข้าไปหาภายใน 

สู่แดนธรรม... สองเรื่องนี้คล้ายกัน กายวิญญัติ วจีวิญญัติให้รู้รูป ก็จะไปรู้นามด้วย

อาจาระ โคจระ ให้สังวรระวังในการเคลื่อนไหว ของพฤติและอารมณ์ 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ปัญญาคือไม่เข้าไปยึดทั้งความมีและไม่มี กุศลคือสมบัติ บุญคือวิบัติ

_หนึ่งนาใจ : ความมีคือเจโต ความไม่มีคือปัญญา เข้าใจผิดหรือถูกครับ / กุศลคือสมบัติ บุญคือวิบัติ เวลาพระพุทธเจ้าปรินิพพานหรือพระอรหันต์ตั้งจิตไม่เกิดเมื่อตายแล้วกุศลหรือสมบัติไปอยู่ที่ไหนครับ

พ่อครูว่า...จะตอบก็ได้ จะจับคู่แค่ว่า ความมีกับความไม่มี 

ถ้าปัญญาหรือเข้าใจในความไม่มี ไม่เข้าใจความมีมันก็ไม่ใช่ปัญญา ปัญญาต้องเข้าใจทั้งสองอย่าง 

กุศลและสมบัติ อรหันต์ตั้งจิตไม่เกิดอีก คนอื่นจะไปรับก็ไม่ได้ มันก็สลายหายไปตามผู้ที่สูญไปแล้ว เจ้าของกุศลอกุศลที่เป็นสมบัติ ก็ไม่อยู่แล้ว จะบอกว่าไปไหน มันก็คือความรู้ กุศลคือสัจธรรม คือความดี อกุศลคือความชั่ว ส่วนบุญคือเครื่องมือชำระกิเลส บาปคือกิเลส ก็เอาไว้ใช้พยัญชนะเหล่านี้สื่อสภาวะธรรม เป็นสภาวะ 2 ให้ปฏิบัติเท่านั้นเอง 

ตายไปแล้วเหลือแต่ความรู้ ให้ปฏิบัติตาม ความรู้ก็ยังอยู่ นอกจากจากความรู้เพี้ยนผิดไปเยอะ ทุกวันนี้มันเพี้ยนผิดไปเยอะ อาตมาก็นำความถูกกลับมาให้แก้ไขความผิดเสียให้ได้ก็เป็นเช่นนั้น คนที่รู้จริงๆเห็นจริงๆว่าอาตมานำพาความถูก มาแก้ไขความผิดได้ก็มาเอา เขาก็ไม่เชื่อ เขาก็งมงายอย่างนั้น อยู่เป็นพญานาคไป สุดท้ายก็จะได้เป็นพญานาค หรือไม่เชื่อตามที่อาตมาบรรยายสอน ที่บอกเอาเนื้อแท้ของพระพุทธเจ้ามาอธิบายถูกแล้ว เขาก็แสวงหาความรู้อะไรอีกเยอะแยะ เป็นพญาครุฑมากมายไปไม่รู้จักจบจักหยุด ทั้งๆที่เนื้อแท้พระพุทธเจ้าก็สอนให้เรียนรู้หมดแล้ว แต่ก็ยังไปเก็บความรู้มีอีกเยอะที่จะต้องเก็บมา สะสมมา แล้วเมื่อไหร่จะปฏิบัติทำให้ตัวเองบรรลุสักที พญาครุฑเอ๋ย หมายถึงใครบ้างก็คิดเอาเอง 

สู่แดนธรรม... สรุปว่าพระอรหันต์ ที่เป็นเจ้าของกุศล เมื่อท่านปรินิพพาน ไม่กลับมาเกิดอีก 

พ่อครูว่า... ก็เป็นพยัญชนะบัญญัติในโลก ที่ผิดเพี้ยนไปก็ได้อย่างเพี้ยนๆ ที่ถูกก็ได้ถูก ที่ผิดอย่างตรงกันข้ามก็เป็นอย่างนั้นมันเป็นสัจจะ 

 

_จากน.ร.สัมมาสิกขาชายขอบ

วันก่อนหลวงปู่สอนเรื่อง "ทุกข์ 10" อย่าง หนูพอจะเข้าใจได้บ้าง  แต่ยังสงสัยว่าความต่างของทุกข์ที่เลี่ยงได้ 2 อย่าง  ที่หนูยังแยกแยะไม่ได้ชัดเจนว่าคืออะไรระหว่าง 

-ปกิณณกทุกข์(ทุกข์จร) -กับ สันตาปทุกข์(ทุกข์จากราคะโทสะโมหะ) เพื่อนกับหนูลองนั่งไล่ๆกันดูตามข้างล่างนี้ หลวงปู่ว่าถูกต้องมั้ยค่ะ            

ปกิณณกทุกข์ เช่น -เครียดจากการประชุมของพี่ๆน้องๆ

-ทุกข์ที่กลัวว่าจะต้องไปลอกท้องร่อง

-ทุกข์ที่ทำงานตามเพื่อนไม่ทัน

-ทุกข์ที่แก้ตัวง่วงขณะฟังธรรมไม่ได้

-ทุกข์ที่อึดอัดขัดเคืองใจกับเพื่อน

-ทุกข์ที่เหนื่อยไม่มีเวลาพักผ่อนเลย

-ทุกข์ที่ถูกมีดบาด

-ทุกข์ที่พูดคุยกับเพื่อนแล้วเขาไม่เข้าใจเรา

-ทุกข์ที่หิวนอกมื้อ

 

หรือถ้าหนูจะใช้คำที่ได้ยินมา คือคำว่า"สักกายะ(ตัวตนของเรา" ) มาสรุปว่า 

ปกิณณกทุกข์ คือ ทุกข์ที่ไม่ได้เกิดจากสักกายะของเรา เช่นทุกข์เพราะหิวนอกมื้อ 

-ซึ่งตรงกันข้ามกับสันตาปทุกข์ (ทุกข์จากกิเลสที่เรากำลังสู้กับมันอยู่ทุกเมี่อเชื่อวัน) จะได้มั้ยค่ะ     

กราบขอบพระคุณหลวงปู่ค่ะ

พ่อครูว่า… ได้ ไม่เสียแรงอาตมา เด็กๆของเรานี่ยิ่งกว่าเปรียญ 9 เลย

_กราบนมัสการ ช่วยอธิบายจาก..บทพาหุง 8 ข้อที่กล่าวถึง...ท้าวพกาพรหม ผู้มีฤทธิ์ คิดสำคัญตนว่า ตนเป็นผู้รุ่งเรืองด้วยคุณอันบริสุทธิ์ ประดุจผู้ถูกอสรพิษ คือ ทิฏฐิที่ตนถือผิดรึงรัดไว้ ..และที่ว่า ทรงชำระด้วย..วิธีแสดงญาณ คือความรู้ยิ่ง เป็นการโปรด ท้าวพกาพรหม คือ ทำอย่างไร ครับ

พ่อครูว่า... พรหม คือ ผู้หลงตนเป็นพญาครุฑอยู่ชั้นสูงมาก ชื่อว่า พกา ผู้อาศัยอยู่ในพรหมโลก หลงตน 

อาตมากำลังแสดงญาณต่างๆคือความรู้ยิ่ง เป็นการโปรดท้าวพกาพรหม ทำอย่างไร ทำอย่างอาตมาสุดความสามารถ ไม่ออมมือเลยแต่ เขาก็บินไปอย่างมีฤทธิ์ไม่เหลือบแลลงมาอาตมาเลย รู้แต่อวกาศเมฆฟ้าอยู่ข้างบน นี่แหละคือพญาครุฑ 

 

_ใบแพร...เวลาฟังพ่อท่านเทศน์ พ่อท่านจะพูดอย่างลื่นไหลไม่ติดขัดไม่สะดุด เพราะท่านพูดจากสิ่งที่ท่านมีในตน ผู้มีสยังอภิญญา แต่เวลาอ่าน SMS พ่อจะอ่านด้วยความยากเพราะพยายามเพ่งจ้องตัวหนังสือมาก เป็นเพราะตัวหนังสือเล็กมากหรืออย่างไร แต่ที่ฟังแล้วสะดุดหลายครั้งต้องที่สะกดตัวอักษรผิดตกหล่นบ้าง ผู้เขียนSMSตัวหนังสือมาควรจะนึกถึงว่าตัวเองส่งถึงผู้ใหญ่ผู้สูงวัย พ่อท่านใช้สายตามาตั้งแต่ยังหนุ่ม จนตอนนี้สูงวัยแล้ว ที่ไอมากเพราะว่าเทศน์มามากและนาน 

เพราะอัชฌาสัยที่ทนไม่ได้ต่อความกรุณา ขอเสนอให้กูรูแป้ง อ่าน sms แทน

พ่อครูว่า... อาตมาไม่ถนัด อาตมาถนัดอ่านเอง มันเห็นพยัญชนะต่างๆ อ่านไปแล้วก็มีมุทุภูตธาตุเห็นแล้ว อาตมาอ่านเองอาตมารู้ก่อน สู่แดนธรรมอ่านเองสู่แดนธรรมรู้ก่อน อาตมารู้ทีหลัง กว่าจะอธิบายก็เสียเวลา อาตมาเซฟเวลาดีกว่า อาตมาถนัดอ่านเอง เหมือนซดแกง จะให้คนอื่นซดก็ไม่รู้รสเองสิ

ก็ขอบคุณ มีคนแนะมาเยอะ อย่างนี้มานาน อาตมาก็ยังเห็นว่ามันน่าจะเป็นอย่างนี้ อาตมาก็ยังพอทำได้ ถ้าทำไม่ไหวจริงๆ ตอนนั้นก็จะเปลี่ยนอย่างที่คุณว่าแน่นอน

 

พ่อครูว่า... มาต่อที่พญานาค

1. นาค คือ งู ที่มีภาวะ สื่อแสดงท่านอน-ท่าหลับ เป็นลักษณะสำคัญ ดังนั้น ลัทธิยึดท่า“หลับ”คือ “หลับตา”ปฏิบัติจึง“มีจริง” ซึ่งเป็นลัทธิหลับตา ก็คือ ศาสนาหรือลัทธิเดียรถีย์ ที่เป็นลัทธินอกพุทธนั่นแหละ  ยังมีมาก ครองโลกอยู่ด้วยซ้ำ 

2. นาค มาปลอมบวช ในศาสนาพุทธหมายความว่า ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่มีการ“หลับตา”ปฏิบัติ ผู้นำการ “หลับตา”ปฏิบัติมาใส่ลงไปในศาสนาพุทธ จึงเป็นคนผิด คนปลอม ที่เอา“ของปลอม”เข้ามาในศาสนาพุทธ ก็ได้บาปแน่ 

เพราะพุทธที่“สัมมาทิฏฐิ”นั้นจะมีหลักปฏิบัติแท้ๆคือจรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งมี“อปัณณกปฏิปทา 3”ยืนยันการเป็นศาสนาพุทธที่แท้จริงถูกต้อง มีหลักธรรมชัดเจนอยู่โต้งๆ

ถ้าการปฏิบัติใดไม่มี“อปัณณกปฏิปทา 3”การปฏิบัตินั้นก็“ผิด”ไปจากศาสานพุทธ ก็ชัดแจ้งแดงแจ๋อย่างนี้

หรือถ้าผู้ใดยืนยันยึดมั่นถือมั่น ว่า “การหลับตาปฏิบัติ”นี่แหละเป็น“ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด(อปัณณกปฏิปทา)”ของศาสนาพุทธ ผู้นั้นก็คือ “มิจฉาทิฏฐิ”ตัวแท้ ซึ่งมีความคิดปฏิปักษ์ต่อศาสนาพุทธอยู่โทนโท่ แท้ๆ ชัดๆ

พ่อครูว่า... อาตมามายุคนี้ต้องพูดตรงๆหนักแรงๆ เพราะอาตมาเป็นพี่ในยุคนี้เป็นไก่ตัวพี่ ต้องพูดให้น้องที่หลับตาทั้งหลายตื่น

อาตมามีจุดด้อย แต่ใช้จุดด้อยเพื่อทำงานก็ได้ผลอยู่

หมากพลูนั้นไม่ใช่อาหารด้วยซ้ำ ไปแต่ก็ไปติดยึดกัน อย่างมหาบัวแล้วหลงยึดถือกันว่าเป็นอรหันต์ โจรปล้นศาสนาหลอกชาวบ้านกันอยู่ สงสารแต่อย่างไรก็ต้องว่าสิ่งที่ผิด จะไปยกสิ่งที่ผิด มันจะไปถูกอย่างไร มันไม่มีทางเลี่ยง ต้องพูด จำเป็นต้องพูด ต้องทำความเข้าใจอย่างนี้ 

 

“อปัณณกปฏิปทา 3 (ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดของพุทธ)”ก็คือ การปฏิบัติที่มี“ศีล”เป็นหัวข้อแต่ละข้อ ให้ปฏิบัติ แล้วจะต้อง “สำรวมอินทรีย์ 6-โภชเนมัตตัญญุตา-ชาคริยานุโยคะ” อันเป็น“ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดของพุทธ 3 ข้อ”ที่มียืนยันอยู่อ้างอิงได้ใน“พุทธคุณ 9”ของพระพุทธเจ้า”แท้ๆชัดๆ ใครจะบังอาจปฏิเสธ

พ่อครูว่า..ถ้าใครไม่มี 3 อย่างนี้ไม่ใช่พุทธ ไปหลับตา ไม่มี 3 ข้อนี้ก็ไม่ใช่พุทธแล้ว ศาสนาพุทธต้องตื่นขึ้นมา แต่อย่างนั้นหลับตาแล้วจะมีอะไร มันก็นอกรีต100%อยู่แล้ว นี่คือนาคที่เป็นขั้นพญา 

อปัณณกปฏิปทาข้อ[1] “สำรวมอินทรีย์ 6” ที่มีตา, หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ“สัมผัส”เห็นรูปทางตา,ได้ยินเสียงทางหู,ได้กลิ่นทางจมูก,ได้รสทางลิ้น,ได้กระทบกายภายนอก-ภายใน,ได้สัมผัสกันเองของใจกับในใจขั้นรูป-ขั้นอรูป ซึ่งมี “ภาวะ 2”คือ“มี“ภายนอก”ด้วย มีภายใน”ด้วยอยู่ตลอดการปฏิบัติ

อปัณณกปฏิปทาข้อ[2] “โภชเนมัตตัญญุตา” ผู้ปฏิบัติต้องเรียนรู้ขณะกินขณะใช้นั้นๆ อย่าให้มีกิเลสมันเกิดในจิต ถ้ากิเลสเกิดก็กำจัดกิเลสนั้นๆ 

อปัณณกปฏิปทาข้อ[3] “ชาคริยานุโยคะ” ผู้ปฏิบัติต้องทำความมีสติตื่นรู้อยู่กับการปฏิบัติทั้งภายนอก-ภายในนั้นๆอยู่เสมอ และมี“ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์”ไปตลอด

แต่ผู้หลงผิดก็มืดบอดจริงๆ ไป“หลับตา”ปฏิบัติกัน    การหลับตาปฏิบัติ มันก็ตรงกันข้ามกับ“อปัณณกปฏิปทา 3”

มันผิด“วิธีปฏบิติของพุทธ” แม้ภาษา“อปัณณปปฏิปทา” ก็ยืนยันอยู่โต้งๆ ชัดๆอีกปานฉะนี้  ก็ยังไม่ยอมรับความผิดนี้

3. ผู้นำวิธี“หลับตา”มาใช้ในศาสนาพุทธจึงเป็น“นาค” หรือ“งู”ปลอมเข้ามาเผยแผ่ลัทธิวิชาของเดียรถีย์ ในพุทธ 

เมื่อ“ปลอมตัว”เข้ามาอยู่ในศาสนาพุทธแล้วก็พยายามที่จะไม่ทำตนเป็น“งู” ก็ยังพยายามไม่ให้แสดงหลับ ไม่ให้แสดงนอน เดี๋ยวจะจับได้ว่า เป็นเดียรถีย์คือ“งู” จนที่สุดนาคที่ปลอมเข้ามาบวชในศาสนาพุทธก็ต้องเผย“ธาตุแท้”ออกมาจนได้ คือ ตอนมาขอบวชนั้นปลอมตัวเป็นคน  แต่เผลอนอน เผลอหลับให้จับได้ นั่นคือ ร่างที่ปลอมเป็นคนมานั้นมันกลับคืนไปเป็นงู ตอนเผลอนอนหลับอยู่ในกุฏิ หางโผล่ออกมานอกประตู มีผู้พบเห็นก็จับได้ว่าเป็น“นาค”ปลอมตัวเข้ามาบวช จึงจับสึก ไล่ออกไป  

แต่นาคก็อ้อนวอนขอให้เห็นใจ คนผู้รักศาสนาพุทธ ศรัทธาศาสนาพุทธ อยากเป็นพุทธ จึงขอให้เรียกผู้ที่จะได้บวชเป็น“ภิกษุ”ในศาสนาพุทธ โดยใช้คำว่า “นาค”เป็นอนุสรณ์

จึงมีคำว่า “นาค”เรียกผู้เตรียมบวชก่อนเป็นภิกษุ

จริงๆแล้วลัทธิ“หลับตา”ปฏิบัติเป็นลัทธิ“เดียรถีย์” ดังนั้น ผู้ปลอมตัวเข้ามาบวช แต่เป็น“เดียรถีย์”ผู้นั้น“จิตยังไม่มี“ความยินดี”ถึง“รากเหง้า”ของจิต ยังไม่มี“ฉันทะเป็น

มูลกา”(ข้อที่ 1 ของ“มูลสูตร 10” พระไตรปิฎก เล่ม 24 ข้อ 58)จริงๆ “จิตจริงลึกๆ”ยังติดยึดอยู่กับ“ลัทธิเดียรถีย์เดิม”อยู่แท้ ก็ยากที่จะ“ทำใจในใจ(มนสิการ)”ให้เป็น“โลกุตระ”ได้สำเร็จผล

ผู้ที่ยัง“ไม่มีฉันทะ”ถึงรากถึงเหง้าของจิต(มูลกา)จริง จึงไม่มีหวังที่จะปฏิบัติธรรมของพุทธบรรรลุ“โลกุตระ”

ประเด็นต้องมี“ฉันทะเป็นรากเหง้าของจิต”นี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่ใช่เรื่องสามัญ แต่สำคัญลึกล้ำใหญ่ยิ่งแท้ทีเดียว

ก็ขนาดผู้มี“ฉันทะ”ในพุทธโลกุตระชนิดเต็มใจแท้ๆก็ยังยากเลย ที่จะ“สัมมาทิฏฐิ” จึงจะปฏิบัติบรรลุ“โลกุตรธรรม”

สู่แดนธรรม.. สรุปจบ

ที่มา ที่ไป

650221


เวลาบันทึก 22 กุมภาพันธ์ 2565 ( 18:35:47 )

650223

รายละเอียด

650223 พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ความมหัศจรรย์ของศีลที่พ่อครูเอามาสถาปนา

https://www.boonniyom.net/51175.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/16Khf3mMChXqNCSIHiXiiIlh4xnT0l54gUH97oH2-0to/edit?usp=sharing   

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/16W1jWOlosAPHzR5WmJAYBO6t9F3OXtn4/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/blVdVzeqFt/

และ https://youtu.be/dKR6F9fg21k 

 

สมณะฟ้าไท... วันนี้เป็นวันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 7 ค่ำเดือน 3 ปีฉลู ช่วงสัปดาห์นี้อุณหภูมิจะลดลง ควรจะเตรียมเสื้อกันหนาวกันไว้ โควิดตอนนี้ติดกับเพียบ ที่อุบลฯติดกันเยอะ ทั่วประเทศก็ 2-3 หมื่นคน ชาวอโศกควรจะสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรง คนที่ไม่ฉีดวัคซีนก็ควรจะระวังตัวเองหน่อย โลกนี้เขาก็ฉีดกันทั่วไปแล้ว แม้แต่ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี เขาก็ฉีดวัคซีน พ่อครูยังไม่ฉีดวัคซีน พวกเราก็ต้องระวังป้องกันให้มาก 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน พ่อครูผู้หมดภพหมดชาติ เพื่อต่อพุทธภูมิ

_สมณะฟ้าไท... พวกเราก็มีข้อขัดแย้งกัน บางคนก็อยากให้ฉีด หรือบางคนก็ไม่อยากให้ฉีด พ่อครูก็จะยอมให้กับคนยึดมากกว่าคนไม่ยึด เพราะคนไม่ยึดเขาก็ไม่ทุกข์

พ่อครูว่า... มันก็ทำให้เห็นความสำคัญ เมื่อกี้นี้ภาษาที่อาตมาขึ้นมามันบอกว่า เอ้อ เรานี่นะ จะทำอะไรไม่ทำอะไร มันเป็นคำหยาบ อาตมาจะทำอะไรไม่ทำอะไร มาใช้ตาชั่งอาตมา แต่เขาจะเห็นว่าไม่ได้ จะทำอะไรไม่ทำอะไร ต้องช่วยคิดต้องช่วยรักษาต้องช่วยดูแล ต้องช่วยระมัดระวัง เพราะว่าทำเป็นเล่นไปไม่ได้ เดี๋ยวตายง่ายๆเขายังไม่อยากให้ตาย สรุปเข้าเป้าเขายังไม่อยากให้ตาย เรื่องนี้มันเอาตายนะ ทำเป็นเล่นไป เขาก็มีส่วน เขาก็พยายามออกความเห็นก็ต้องขอบคุณทุกคน 

อาตมาก็จะว่าไปแล้ว ภาคภูมิใจอยู่ว่าในชาตินี้ เกิดมาแล้วคนก็ยังเห็นว่าเราเป็นคนมีประโยชน์ เป็นคนมีความสำคัญอะไรอยู่บ้าง ที่ยังมีคนมองว่า อย่าเพิ่งตายนะให้อยู่นะ ต้องทำอะไรต่ออะไรให้ เขายังอยากได้อะไรจากอาตมาอยู่ อาตมาไม่มีเงินเขาไม่ได้อยากได้เงินจากอาตมา อาตมาไม่มีการปูนบำเหน็จรางวัลให้ใคร เขาก็ไม่อยากได้ จะให้ยศศักดิ์ตำแหน่งก็ไม่ได้ เพราะอาตมาไม่มีสิทธิ์จะให้ได้ แม้แต่ จะให้ความสุขความทุกข์แก่ใครก็ให้ไม่ได้ เป็นแต่เพียง บอก บอกการศึกษา บอกให้ศึกษาเรื่องสุขเรื่องทุกข์ 

ศาสนาพุทธนี้ต่างจากศาสนาเทวนิยม ก็คือเรื่องสุขเรื่องทุกข์ ศาสนาเทวนิยมเขาเรียนแต่ดีแต่ชั่ว เรื่องสุขเรื่องทุกข์เขาไม่ประสีประสาเขาไม่ได้เรียน และยิ่งหลงความสุขด้วย ติดสุข อยากได้สุข ยึดสุข แล้วก็สะสมสุข มาเสพ เป็นสุขนิยม จะได้สุข จากอะไรก็แล้วแต่ แม้แต่จากอบายมุขเขาก็เอา เขาก็ไม่รู้ สุขจากอบายมุข สุขจากกาม นั่นแหละทั้งนั้น สุขจากกามสุขจาก ปฏิฆะ ไม่ชอบใจ แล้วอยากให้คนที่เราไม่ชอบใจ ได้รับอะไรตอบอะไรที่มันน่าสมใจเขา เขาก็สุข ไปจนกระทั่งถึง รูปจิต อรูปตจิต กามปฏิฆะข้างนอก รูปจิต อรูปจิตไป

ความรู้ของพระพุทธเจ้าสอนเรื่องจิตเจตสิกต่างๆ ละเอียดลออครบหมด เรียนรู้แล้วปฏิบัติตาม เข้าใจได้ อ๋อ! ชีวิตคือสังขาร ปรุงแต่งกันขึ้นมาแล้วรวมเรียกว่าวิญญาณ แยกไปศึกษาได้คือ นามรูป เป็น 2 สภาพ นี่แหละทำปฏิกิริยากันตลอด เมื่อมากระทบสัมผัสกันเข้าก็เป็นอายตนะเกิดเวทนา สุขทุกข์ก็เกิดอยู่ตรงนั้น จะสุขเพราะมีตัณหาอุปาทานเป็นตัวตั้ง 

จึงได้จมอยู่ในภพชาติ ไม่รู้เรื่อง วนเวียนอยู่ในภพ เป็นชาติเกิดแล้วเกิดอีก แล้วหลงตนว่าตนไม่ต้องเกิด ตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้า จบ ความรู้ถูกตัดขาดตรงนี้ เทวนิยมตายแล้วอยู่กับพระเจ้าพระเจ้าเป็นผู้ตัดสิน จะให้ลงนรกหรือจะอยู่กับพระเจ้า เพราะพระเจ้าเป็นเจ้าของสวรรค์ เป็นสวรรค์ สวรรค์อัตตา นิรันดร 

ศาสนาพระพุทธเจ้านั้นเป็นสังขารปรุงแต่งกันเฉยๆ ถ้าเข้าใจแล้วแยกสังขาร แยกนามรูป แยกวิญญาณไม่ให้ปรุงแต่งกันเป็นเรื่องเป็นราวเป็นภพเป็นชาติ ยิ่งไปมีตัวตัณหาอุปาทานยิ่งชัดเจนเลยว่า ตัวนี้เป็นตัวการทำให้เราแปรปรวนในเวทนา ในความรู้สึก 

เมื่อเข้าใจปฏิจจสมุปบาทดีแล้ว จะชัดเจนว่า แค่ความรู้ว่ามี วิชชา รู้จักสังขาร เท่านั้น นี่คือความจบของพระอรหันต์ รู้เท่าทันสังขาร จบ สังขารก็อยู่กับความปรุงแต่งด้วยอวิชชา เสื่อมไปเป็นธรรมดาแต่คนไม่อยากให้เสื่อม จะเสื่อมด้วยอะไรก็แล้วแต่ จะเสื่อมด้วยโลกธรรมเสื่อมด้วยความยึดถือ ติดยึดจากเป็นนั่นเป็นนี่ แม้ที่สุดเสื่อมไปสู่ความตาย ก็ไม่อยากให้ตาย แต่ก็ต้องตาย แล้วไม่ต้องกลัวหรอก คุณตายแล้วคุณต้องเกิดอีก แต่เขาไม่รู้ว่าเกิดอีก เทวนิยมตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้า จบเลยไม่มีอะไรต่อ ความรู้ก็อั้นตู้ อยู่แค่นั้นแหละ ไม่มีความจบ 

พูดไปแล้วก็น่าสงสารคนที่เขายังไม่รู้ สายเทวนิยมนี้มีจำนวนมากกว่าศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธรู้จักความจบ รู้จักวิญญาณที่แท้จริง ทำให้วิญญาณนี้หมดกิเลส กิเลสสาสวะ พ้นทุกข์พ้นสุขสมบูรณ์เป็นโพธิสัตว์ จนเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า ระดับ 9 เลย จะประกาศศาสนาขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ประกาศศาสนาก็เป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ อย่างเช่น พระอวโลกิเตศวรยังไม่ประกาศศาสนาขึ้นมาในโลกสักที ท่านก็เลยยังไม่ได้เป็นเจ้าของศาสนาสักที แต่ก็เป็นโพธิสัตว์มหาสัตว์ เป็นพี่ตัวเบ้ง เป็นตัวอย่างของโพธิสัตว์อยู่

อาตมาก็อธิบายลักษณะโพธิสัตว์ ลักษณะของอรหันต์ ลักษณะของจิตวิญญาณที่มันเป็นไปต่างๆนานาก็ดี แยกแยะสู่กันฟังจนให้พวกเราเข้าใจแล้วทำได้ตั้งแต่ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย บรรลุเป็นพระอรหันต์ทำได้ในยุคนี้ แต่ผู้ที่เขาไม่ศรัทธายังยึดถือตามทฤษฎีนั่งหลับตา เดี๋ยวก็จะได้พูดต่อ 

 

SMS วันที่ 21-22 กุมภาพันธ์ 2565

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน น้ำตาไหลบอกลักษณะ 2 อย่าง 

_คอยใคร : กราบเคารพพ่อครูครับ ช่วงงานพุทธาภิเษกผมได้ดูรายการ รำลึกถึง..คนดีที่จากไป โดยมีท่านบินบนกับท่านโพธิสิทธิ์ดำเนินรายการ พอดูรายการไปสักพัก น้ำตาผมก็ไหลออกมาเองและไหลไปจนจบรายการ จึงอยากถามพ่อครูว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ครับ ทั้ง ๆ ที่ผมใม่เคยคบคุ้นกับท่านเหล่านั้นแม้แต่น้อย แต่ทำไมถึงน้ำตาไหลออกมาเองทั้ง ๆ ที่ยิ้มและปลื้มใจในงานของท่านๆที่ทำไว้ให้ชาวอโศกครับ กราบขอบพระคุณพ่อครูเป็นอย่างสูงครับ

พ่อครูว่า... เป็นธรรมดาของผู้ที่เกิดปิติยินดี เกิดฉันทะในพฤติกรรมของคนที่เราเข้าใจ ว่ามันเป็นความดีงามที่น่าเอาอย่างน่าซาบซึ้งใจ 

น้ำตาไหลบอกลักษณะอย่างหนึ่ง ถึงความซาบซึ้งใจ ปลื้มใจ 

น้ำตาไหลอีกลักษณะหนึ่ง คือความเสียใจโกรธแค้น มันก็มี 2 ลักษณะเท่านั้นเอง 

เป็นธรรมดาธรรมชาติของมนุษยชาติ 

สู่แดนธรรม.. คือ เป็นเรื่องของ อนุสัยอาสวะ ที่สติของเราไม่สามารถเข้าไประงับมันได้ สติกำลังของการหักห้ามใจ ไม่สามารถระงับ ธรรมชาติอันนี้ได้ คนที่แข็งแรงแล้วทำให้น้ำตาแห้งได้ 

พ่อครูว่า... ถึงแม้จะแข็งแรง พวกเรานี่ ชาวนักบวชแท้ๆพวกเรา สิกขมาตุก็ดี สมณะก็ดี ก็ยังเกิดเลย ยังน้ำตาไหลไหลได้ แข็งแรงไม่ใช่ไม่แข็งแรง แต่ว่ามันเป็นสำนึกอย่างที่อาตมาอธิบายไปก่อน แข็งแรง เราก็เห็นว่า มันเป็นปฏิกิริยาของจิตสำนึก มันยินดี มันปิติ มันฉันทะ มันซาบซึ้ง มันก็แสดงออก บอกแล้วว่าน้ำตามันออกได้ทั้งซาบซึ้ง ปิติ ดีใจกับเสียใจโกรธแค้น 

 

_มุ่ง ตรงธรรม  · ลูกยอมรับอย่างไม่มีข้อกังขาลังเลสงสัยแม้เล็กแม้น้อยเลย เชื่อมั่นปักมั่นเลยว่าพ่อครูคือสัตบุรุษผู้มาประกาศโลกนี้โลกหน้า (โลกียะ โลกุตระ) พ่อครูคือผู้ยังมีชีวิตเป็นๆที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 คือบุคคลผู้นั้นเนื้อแท้พุทธบุตร บุตรพระพุทธเจ้า

 

_Paruhus Sae  พฤหัส แซ่ · วันนี้ผมอ่านประวัติท่านอนาคาริกธรรมปาละ ซึ่งท่านทำงานอย่างหนักในการฟื้นฟูส่งเสริมศาสนาพุทธในศรีลังกาและอินเดีย ท่านปรารถนาจะเกิดมาอีก 25 ชาติ เพื่อส่งเสริมศาสนาพุทธ(คง เพื่อให้ศาสนาอยู่อีก 2,500 ปี) ท่านมรณะภาพเมื่อปี พ.ศ. 2476 ก่อนปีเกิดพ่อท่านหนึ่งปีต้องกราบขออภัยพ่อท่าน แต่ทำให้อดนึกไม่ได้ว่า บางทีปางที่แล้วพ่อท่านอาจเป็นท่านธรรมปาละ ส่วนปางนี้เปลี่ยนมาฟื้นฟูศาสนาพุทธที่ไทยกราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงครับ

พ่อครูว่า... ปณิธานเดียวกันเลยกับอาตมา ก็จริงๆแล้วอาตมา ให้พูดด้วยใจจริงเลย ท่านธรรมปาละกับอาตมามันคนละคน เท่าที่เป็นเซ้นส์ของอาตมา ไม่ใช่หรอก ท่านธรรมปาละกับอาตมาไม่ใช่คนคนเดียวกัน ท่านก็เป็นโพธิสัตว์ทำหน้าที่ของท่านไป อาตมาก็ทำหน้าที่ของอาตมา แต่แน่นอน สัจธรรมมันอันเดียวกันเหมือนกันคล้ายกัน แม้จะเกิดในระยะใกล้กันโพธิสัตว์ก็ทำได้ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าเกิดในระยะใกล้กันไม่ได้ โพธิสัตว์ก็มีเยอะบำเพ็ญไป ดี ก็สังเกต จะได้รู้ๆกันไป 

 

_ตุ๊ก อัศวิน  · น้อมกราบ._/\_. สมณ สขม ด้วยความเคารพยิ่งเจ้าค่ะ จะรู้เท่า และ ทัน 'กิเลส'..ได้ ต้องมีสติตามรู้จิต ดุจ เงาตามติดตัว ครั้น กิเลส เกิดปุ๊บ จิตตามรู้ปั๊บ..ในขณะจิตเดียวนั้นนั่นเทียว เข้าใจตามนี้ ถูกต้องไหม..เจ้าคะ / กราบสาธุ..เจ้าค่ะ

พ่อครูว่า... จริง เพราะกิเลสมันเกิดเร็ว เข้าใจตามนี้ถูกต้อง พวกเราเข้าใจกิเลสนั้นดีแล้ว ถูกต้อง ดีมาก

 

_Sarayut Bunyago ศรายุทธ บุญญโก · คำว่า รู้เท่าทันกิเลส เราไม่มีทางรู้ก่อนกิเลสได้ ใช่ไหมครับ ตามรู้ให้ทันเสมอ

สู่แดนธรรม... รู้ก่อนได้ครับ คือการที่เราสังวร เราไม่ใช่สังวรหลังกิเลสนะ เราสังวรก่อนกิเลสขึ้น ในข้อแรกของสัมมัปปธาน ใครมีคุณภาพดี คุณจะเป็นยามรักษาประตู คุณจะตาไวมาก ถ้าหากกิเลสเข้าในประตูแล้วจะสู้ได้ยาก ต้องสู้ตั้งแต่มันไม่เข้ามา ต้องสังวรไม่ให้กิเลสเกิดมา 

พ่อครูว่า... นั่นเป็นรายละเอียดที่ สู่แดนธรรมขยายสู่ฟัง

 

_เยาวลักษณ์ วัฒนเสรีกุล  · กราบนมัสการพ่อท่านเจ้าค่ะมีพระที่หนูรู้จักได้บวชเป็นพระของวัดธรรมกายบวชแล้วได้อยู่ที่บ้านตัวเอง ไม่ได้อยู่วัดธรรมกาย แต่พระองค์นี้อายุ 83 ปีแล้ว แก่แล้วและป่วยเป็นโรคเบาหวานและเหนื่อยง่าย อยากถามว่าอยู่บ้านตัวเองจะเป็นพระที่ถูกต้องตามพระพุทธเจ้ากำหนดไหมค่ะ

พ่อครูว่า... ไม่ใช่พระ 

  1. บวชเป็นพระแล้วต้องทิ้งบ้านช่องเรือนชานไม่มีบ้านช่องเรือนชานไม่มี ญาติปริ

วัตตังปหายะ 

  1.  ต้องอยู่ตามประสาของตน แม้ที่สุดจะมีกุฏิ คนสร้างกุฏิให้ก็ได้อาศัย กุฏิของ

พระพุทธเจ้าใหญ่โตไม่ใช่เล่นเลยนะก่ออิฐถือปูน ซึ่งเป็นธรรมดาธรรมชาติของคนที่จะอุดหนุนส่งเสริมอุปการะต่างๆ เมื่อเราทำดี ตามประสาคนเขาก็จะสนับสนุนช่วยทุกอย่างนั่นแหละ อย่างอาตมานี่ หน้าหนาว ไม่รู้อะไรต่ออะไรมา ใส่คอ ใส่หัว ใส่เสื้อ ใส่มือ ใส่เท้า ทั้งนั้นแหละ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะฟ้าไท... เขาบอกว่า ให้ประชาสัมพันธ์เข้าค่ายอุโบสถศีลชาวอโศก 

ขอเชิญท่านผู้สนใจ เข้าร่วม ค่ายอุโบสถศีลชาวอโศก ออนไลน์ ครั้งที่ 3 “มาเป็นคนมหัศจรรย์กันเถอะ” วันที่ศุกร์ที่  25  - อาทิตย์ที่  27 กุมภาพันธ์  2565 เรายกวัดมาไว้ที่บ้านของทุกท่านแล้ว มาร่วมกิจกรรมผ่าน Zoom ได้ง่ายๆ โดยการสแกน QR Code จากหน้าจอเพื่อเข้าร่วมกลุ่มไลน์ Open Chat จะมีการส่งรายละเอียดการเข้ากิจกรรมให้ในกลุ่ม หมดเขตรับสมัคร 24 กุมภาพันธ์ 2565 รีบสมัครเลย!

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ศีลข้อ 1 หลุดพ้นโทสะแล้วสบาย

_พ่อครูว่า...ก่อนเข้าสู่เนื้อหาสาระธรรมะ ก็ขอพูดถึงชีวิตพวกเราก่อน ชีวิตพวกเรา (พ่อครูยกมะปรางมาให้ดู) คนที่ยังชอบกินมะปราง มันมีเปรี้ยวอมหวาน ภาษาอีสานเรียกว่ามะผาง แต่ถ้ามะผู จะไม่มีรสเปรี้ยวเลย ของภาคกลางไม่เคยเห็นมีนะ ก็มีที่สวน

มะเขือ นี่เขาเรียก มะเขือ ภาษาอังกฤษว่า egg plant มีมะเขือยาวสีม่วงมะเขือยาวสีเขียว บนหน้าฉากนี้มีแต่อาหาร นี่กล้วยน้ำว้า กล้วยหอม กล้วยไข่ มะเขือเทศน์แทนอาตมายังได้เลย มะขาม, มันก็เทศน์แทนอาตมาได้ ตอนนี้อาตมาชิงเทศน์แทน

พวกเราเข้าใจจุดสำคัญของมนุษยชาติคืออาหารและเอาชีวิตมาลงสู่ตรงนี้ เอาชีวิตเอาเรี่ยวแรงเอากำลังวังชาเวลา เอามาทำอันนี้กัน แต่ก่อนนี้เราไปทำอะไรสารพัด ไปทำกรรมกิริยาที่ไปช่วยเขาปรุงแต่งอบายมุข ปรุงแต่งเรื่องประดับประดา ประดิษฐ์ประดอยเรื่องกาม ไปประดับประดาประดิษฐ์ประดอยเรื่องเครื่องฆ่าคนอะไรพวกนี้ 

ซึ่งมันเมื่อมารู้มาเห็นจริงแล้วว่า หลุดพ้นออกมาได้เข้าใจเลย แต่ก่อนนี้เรายินดีเหลือเกินที่ได้ช่วยกันสร้างเครื่องมือฆ่าคน สร้างอาวุธ โอ้โห ทำไมเรามันมีจิตใจอย่างนั้น ไปเห็นดีเห็นงามไปสร้างอาวุธสำหรับฆ่าคน ร่วมมือร่วมไม้เข้าทำ อย่างยินดีในผลตอบแทน เป็นลาภยศสรรเสริญ ความเก่ง ความสามารถอีก ยิ่งสร้างอาวุธ ได้มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพร้ายแรงได้เท่าไหร่ คนชมเชยให้ราคาสูงอะไรพวกนี้ หลงไป 

เมื่อมาเข้าใจได้ลึกซึ้งขึ้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆทีเดียวนะ พูดไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่คนจะเข้าใจ เขายังหลงทำอยู่ เขายังถอดถอนตัวเองเลิกทำไม่ได้ ยิ่งไปบอกพวกคิม จอง อึน หรือบอกพวกสหรัฐอเมริกา แม้แต่รัสเซียก็ตาม ส่วนจีนเขาก็ไม่อวดศักดาเท่าไหร่ อินเดียไม่เลย ถ้าขืนอินเดียกับจีนแข่งกันสร้างอาวุธกันอย่างเต็มที่เหมือนอย่างเกาหลีเหนือ เหมือนอย่างสหรัฐ คนเป็นพันล้าน มันสร้างขึ้นมาก็หาเรื่องใช้ หาเรื่องขาย หาเรื่องให้คนทะเลาะกันจะได้ขายอาวุธ คิดดูสิ มันเป็นเหตุให้มนุษย์จะต้องฆ่ากัน อาวุธเมื่อไม่ได้เอามาใช้จะขายออกได้อย่างไร ซึ่งมันเป็นเหตุเป็นผลกันทั้งนั้นเลยมนุษย์ชาติ 

เพราะฉะนั้นสังคมใดที่เข้าใจและเลิกมาได้อย่างสังคมพวกเรา ชัดเจน ไม่ต้องเสียเวลาแรงงานความรู้ความสามารถที่จะต้องไปสร้างอาวุธพวกนี้เลย สร้างแค่มีดมาปลูกผักปลูกพืช ใช้มีดพร้ากระทะขวานสำหรับทำงานเป็นเครื่องใช้กินใช้ เท่านั้นก็หนักหนาสาหัส ยังเอามีดพร้ากระทะขวานไปฆ่ากันตายเลย ทั้งๆที่ไม่ได้ไปสร้างให้เอาไว้ฆ่ากันนะ มันก็เอาไปฆ่ากันแทนไม้หน้าสามบ้าง แทนหลาวแหลน 

เพราะฉะนั้นจุดสำคัญก็คือจิตมนุษย์นี้ หยุดฆ่า ศีลข้อที่ 1 เห็นไหม ยิ่งใหญ่ไหม คนที่หยุดฆ่าได้ในศีลข้อที่ 1 ยิ่งใหญ่ในโลก เป็นคนมหัศจรรย์ คนที่หยุดฆ่ามนุษย์ หยุดฆ่าสัตว์ ไม่ต้องใช้อาวุธ วางศาสตราวางอาวุธ วางทัณฑะ จิตใจมีเมตตากรุณาเอ็นดู หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ สุดยอด คนมหัศจรรย์ เห็นความมหัศจรรย์ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติไหม 

นี่คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คนที่เกิดจิตอย่างที่อาตมาพูดถึงนี้เป็นคนมีศีล คนที่ไม่เข้าใจและไม่เป็นอย่างนี้เลยคือคนยังไม่มีศีล ชาวพุทธเรา ฆ่าแกงกัน ไม่ใช้อาวุธ ก็ใช้หมัดใช้มือใช้อะไรต่ออะไรกันอยู่นั่น สนมันไม่มีศีลเลย ยิ่งละเอียดไปจนกระทั่งจิตเมตตา

ถ้าอยากไปถึง ยังไม่มีเมตตายังไม่มีศีลยังไม่เอ็นดู ยังไปทำร้ายผู้อื่นเลย ยังไม่มีศีล ต้องไม่ทำร้ายผู้อื่นให้ได้ คนอื่นจะมาทำร้ายเราเขาไม่มีศีล ถ้าเราทำร้ายตอบ เราเป็นคนไม่มีศีล 

หินไท โดนผู้หญิงตบหน้าเปรี้ยง กลางศาลาที่วัดมหาธาตุ หินไทก็เฉยๆ ไม่ทำอะไรตอบ นี่คือคนพวกเรา มันเป็นคนมหัศจรรย์ ใครเห็นเหตุการณ์นี้บ้าง เจ้าตัวก็คงจำไม่ลืม 

นี่ คนพวกเรา คนมหัศจรรย์เป็นอย่างนี้ คนในโลกเก่งฆ่ากัน นั่นไม่ใช่คนมหัศจรรย์หรอกมันคนละเรื่องเลย ซึ่งเป็นความเข้าใจของมนุษย์มันคนละมุม คนละด้าน คนละเหลี่ยม 

ตั้งแต่โหดร้ายฆ่าสัตว์ จนกระทั่งถึงการโลภ การเห็นแก่ตัว ไม่ฆ่าสัตว์แต่กินเนื้อสัตว์เอาเนื้อสัตว์ที่เขาฆ่ามากิน ฉันไม่ได้ฆ่า เขาก็ตีความพระพุทธเจ้าว่า เราไม่ได้เห็นกะตา เราไม่ได้รู้ข่าว เราไม่ได้สงสัย แล้วเขาก็ตีความว่า ไม่เห็นกับตาไม่รู้ข่าวไม่สงสัย ว่าเนื้อสัตว์นี้เขาฆ่าจำเพาะระบุชื่อ เช่น ระบุชื่อคุณเข่ง คุณเข่ง เท่านั้นกินไม่ได้ ระบุชื่อผู้ที่ฆ่าให้กิน ผู้นั้นจะกินไม่ได้ ตีความแปลงสารพระพุทธเจ้าไป

ทั้งๆที่มันหมายความว่า สัตว์นี้ถูกฆ่าด้วยจิตเจตนาของคน คนไหนก็ตามแต่ มีจิตใจมุ่งหมายจะฆ่าสัตว์มีให้ตายเท่านั้นแหละระบุ อุทิส แต่เขาไปตีความเสียให้ไกลตัวเองเพื่อให้ตัวเองจะได้กินเนื้อสัตว์ นี่เห็นไหม ความฉลาดขี้โกง เฉโก ของคนแทนที่จะตีความให้ตนเองจะได้ไม่ต้องมีวิบากใดๆในการไปกินเนื้อสัตว์ 

สัตว์แต่ละตัวมันจะรู้ไหมว่าเนื้อนี้ไม่ใช่เนื้อของข้า ทั้งๆที่เนื้อของมัน มันตาย โดยเฉพาะมันถูกฆ่า คนฆ่า แล้วเอาเนื้อมันไปกิน มันรู้ไหม ถ้าวิญญาณอย่างที่คุณเข้าใจ ปัดโธ่ มันฆ่าคุณได้มันฆ่าแล้ว แต่มันตายแล้ววิญญาณออกจากร่าง มันก็ว่า เอ็งกินเนื้อข้าๆ มันก็จองเวรจองกรรม นี่เล่า พูดภาษาให้ฟังชัดๆ 

มันจะรู้หรือ มันก็รู้แต่ว่าเอ็งมาฆ่าข้าแล้วก็กินเนื้อข้าหน้าตาเฉยเลย มันจะยินดีหรือ กินเนื้อฉันอร่อยไหมจ๊ะ สัตว์แต่ละตัวมันจะคิดอย่างนี้เหรอ ก็ไม่ใช่สิ พูดให้มันหนำใจ 

เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจ 5 ข้อใน ชีวกสูตร ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส อาตมาอธิบายอย่างลึกซึ้ง ละเอียดมาก

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)  

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส  ทำให้สัตว์หมดอิสรภาพนั้นบาปแล้ว จะดูวิธีเลี้ยงมันหรือผูกมันไว้ ให้มันหลงก็ตาม เหมือนเลี้ยงปลาเลี้ยงหมู วันร้ายคืนร้ายก็ฆ่าเฉยเลยไม่บอกไม่กล่าวมันหรอก นั่นแหละอันเดียวกัน ทั้งโหดร้ายทั้งโกหก หลอกลวงสัตว์ให้สัตว์หลงลม เสร็จแล้วก็ฆ่า ฆ่า เมื่อไหร่จะมีภูมิปัญญาปฏิภาณรู้ว่า สัตว์เขาก็เป็น ชีวะ 

ก็ท่องนะ สัตว์ทั้งหลายเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เอ็งตายฉันกิน แค่นี้มันก็ชัดเจนว่า ทำไมคนถึงได้ตลบตะแลงตอแหลถึงขนาดนี้ สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นเอ็งตายฉันกิน จงเป็นสุขเป็นสุขเถิดอย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย แล้วใครเบียดเบียนใคร 

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”  

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส  

5. ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก  (ตถาคตํ   วา   ตถาคตสาวกํ  วา  อกปฺปิเยน  อสฺสาเทติ อิมินา   ปญฺจเมน   ฐาเนน  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)     ชีวกสูตร  ล.13   ข.60  

มันก็บาปไม่รู้จะบาปอย่างไรทั้งผู้สั่งทั้งผู้ฆ่าทั้งผู้กิน เสร็จแล้วยังไม่พอ ทำเป็น อาหารอันประณีต เอาไปถวายผู้ที่ท่านไม่เกี่ยวข้องแล้วกับเนื้อสัตว์คือพระพุทธเจ้าก็ดีสาวกพระเจ้าก็ดีท่านไม่เกี่ยวข้องแล้วก็เอาไป ว่า นี่ของดีนะจ๊ะ สาวกผู้โง่งมงาย แต่พระพุทธเจ้าไม่งมงายหรอก สาวกโง่งมงายก็ฉัน

พระพุทธเจ้าไม่ฉันเนื้อสัตว์แน่นอนเพราะท่านไม่โง่งมงาย แต่สาวกก็มีบ้าง ที่โง่งมงายก็ไปหลงคนที่เอาอาหารเนื้อสัตว์ไปถวาย ซึ่งไม่เป็นการสมควร อกัปปิยะ อาตมาอธิบายซ้ำซากมานาน แต่อกัปปิยะคำเดียว มันไม่เป็นการสมควรที่จะเอาอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายภิกษุไปถวายพระพุทธเจ้า 

เพราะฉะนั้นคนที่โง่ไม่เป็นการสมควรแล้วที่จะเอาอาหารเนื้อสัตว์ไปถวาย แค่นี้ก็สุดยอดเข้าใจได้แล้วว่าอย่าเอาอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายพระพุทธเจ้า อย่าเอาไปถวายสงฆ์สาวกพระพุทธเจ้า ในชีวกสูตร5 ข้อนี้ 

เห็นได้ว่า 5 ข้อนี้มันละเอียดสุดแล้ว คนก็เข้าใจไม่ได้ ตีความเข้าข้างตัวเองหมด คนก็ไปตีความ 5 ข้อนี้เข้าข้างตัวเอง เขาตีความได้ยังไง เขาทำได้หรือตีความได้หรือว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามเนื้อสัตว์ จะตีความว่าพระเจ้าไม่ได้ห้ามฉันเนื้อสัตว์ เอาตรงไหนมาเป็นช่องเปิด 

สู่แดนธรรม.. เขาไปเอา 3 ข้อที่พระพุทธเจ้าให้ฉันได้ 

พ่อครูว่า... คือ มันตายเอง กับเดนสัตว์กิน ที่พระพุทธเจ้าให้กินได้ 

สัตว์ที่มันตายเอง กับเป็นเดนสัตว์กิน (คือสัตว์มันฆ่ากันมันทิ้งแล้ว เป็นเนื้อบังสุกุล) ก็กินได้ แต่คนติดเนื้อสัตว์ถึงไปเก็บมากิน สัตว์ตัวเองเขาก็กลัวเป็นโรคอีกไม่เอามากิน 

พูดอธิบายไปหมด ทำไมต้องอธิบาย

1. เพราะมันเป็นวิบาก เรื่องนี้ ประเด็นนี้แหละยิ่งใหญ่เพราะว่ามันเป็นวิบาก 

2. ติด เป็นกิเลสคุณนะ จะไปบำเรอมันทำไมกิเลส มันติดแล้วควรเลิกสิ ติดแล้วไปบำเรอมันอยู่แล้วจะไปเลิกเมื่อไหร่ ฝืนอย่างไรต้องฝืนเพราะมันติด ฝืนสิ เลิกมา มันติด แต่ไม่ให้มันติดหรอก เข้าใจไปตีความว่าไม่ติดแต่เนื้อสัตว์เป็นอาหารที่ควรกิน พระพุทธเจ้าตรัสที่ไหนว่ามัน กัปปิยะ ควรเอาไปถวายพระพุทธเจ้า 

มีหรือที่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า กัปปิยะ ของที่ควรกินของที่เอาถวายสงฆ์ถวายพระพุทธเจ้านะ ใครสอนเอ็ง ที่จริงแล้วมันเป็นของไม่ควรเลย นี่เป็นรายละเอียดต่างๆที่อาตมาที่เจาะลึกให้ฟัง 

 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สมณะฟ้าไท... จะเห็นได้ว่าแต่ก่อนเราทำบาปเป็นนิจในการกินเนื้อสัตว์ทำบาปได้ทุกวันเลย วันหนึ่งไม่รู้บาปกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แค่พูดก็เป็นบาปแล้ว 

สาวกพระพุทธเจ้านั่นแหละที่ไปสอนให้เขาเข้าใจผิดโยมก็ต้องถามว่า อาหารเนื้อสัตว์เอาไปถวายนี้บาปไหม พระก็ว่าไม่บาปโยมก็ทำให้สิ ก็หาทางเลี่ยงไปเรื่อยๆจนคนติดมากมาย แต่ถ้าพระบอก โยมจะเชื่อ พระว่าบาปโยมก็จะได้เลิก 

พ่อครูว่า... แค่เรื่องไม่กินเนื้อสัตว์ อาตมาพยายามทำงานศาสนามาเปิดเรื่องนี้ เปิดเรื่องไม่กินเนื้อสัตว์นี่มายังหนักตั้งแต่ต้น จนเดี๋ยวนี้ก็ยังต้องพูดเรื่องไม่กินเนื้อสัตว์อยู่บ้าง แต่คนก็เข้าใจ อาตมาก็แสนเบื่อต้องพูดซ้ำซาก แต่มันเป็นความสำคัญมันเป็นสิ่งที่ 

อย่างชาวอินเดีย พลเมืองกว่าพันล้าน พูดเรื่องนี้กันทั้งชนชาติเลยเขาไม่มีปัญหา เขาบอกว่าถูก ที่กินอยู่นั้นก็ยอมรับว่ามันเป็นวิบากเป็นบาป ชาวอินเดียไม่มีใครแย้งเลย แต่ในเรื่องความรู้แล้วเขารู้กันหมดทั้งอินเดียเขาไม่แย้งไม่เถียงไม่อะไรเลย คนตั้งพันกว่าล้าน แต่คนไทยนี้เถียงเพื่อจะได้กินเนื้อสัตว์ เถียงว่ามันไม่บาปหรอก กินเนื้อสัตว์ธรรมดามาก 

มันเป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องวิบากเป็นเรื่องที่ติดตัวเองไปเลย อาตมาก็พยายามให้คนไม่มีวิบากใส่ตัวเอง แค่ไม่กินเนื้อสัตว์อย่างเดียวนี้ เท่านี้ก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์ เท่านี้ก็เป็นเรื่องพ้นบาปไปอย่างมหาศาล 

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ในความรู้อันยิ่งใหญ่ ศีลข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ไม่กินเนื้อสัตว์ ดีที่ได้ขั้นหนึ่งไม่ฆ่าสัตว์ก็ดี อย่างฮิตเลอร์ ไม่ฆ่าสัตว์ไม่กินเนื้อสัตว์แต่ฆ่าคน เห็นความโง่ซับซ้อนไหมฮิตเลอร์ ไม่ฆ่าสัตว์แต่สัตว์ขนาดคนฆ่าเป็นเบือเลย นี่คือความโง่สลับซับซ้อนโดยที่ตัวเองยังไม่รู้เรื่อง อำนาจบาตรใหญ่อะไรต่ออะไรมันอยู่ข้างหน้า 

ศีลข้อ 1 เป็นการสร้างสันติภาพที่ยิ่งใหญ่ ถ้าคนเข้าใจแล้วเห็นว่าสัตว์เป็นชีวิตเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งหลายอยู่ ขนาดระดับคน คนไม่ฆ่าคนแล้ว ฆ่าคนไม่ลงแต่เขายังฆ่าสัตว์อยู่ เพราะเขายังติดในเนื้อสัตว์ ยังไม่มีปัญญารู้ว่าสัตว์ทั้งหลายก็เป็นชีวิตเหมือนกัน เขาก็ไม่รู้เรื่องเหมือนคน มันจะสู้คุณได้หรือ สู้ไม่ได้หรอกขนาดช้างยังสู้ไม่ได้เลย เสือยังสู้ไม่ได้เลย 

สู่แดนธรรม... เขาอ้างว่าสัตว์มันมีจำนวนมาก เดี๋ยวสัตว์มันจะล้นโลกต้องช่วยกันฆ่า 

พ่อครูว่า... ให้มันจัดการกันเอง อย่างแมลงวันแมลงหวี่มันก็มีเยอะแยะ ธรรมชาติจัดการของมันเอง 

สมณะฟ้าไท... มนุษย์ไปยุ่งทำให้สัตว์บางพวกเพิ่มโดยอัตโนมัติ แต่โดยธรรมชาติมันจะจัดการกันเอง 

พ่อครูว่า... เพราะฉะนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่าปาฏิหาริย์ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือคำสอนที่เป็นปาฏิหาริย์ เป็นเรื่องมหัศจรรย์ ศีลข้อ 1 ก็เป็นเรื่องปาฏิหาริย์แล้ว พระพุทธเจ้าสอนเรื่องสัตว์ อย่าฆ่ากัน อย่าไปกินกัน แต่ท่านได้ละเว้นไว้ตรงนั้น วางศาตรา วางอาวุธ หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ 

เป็นคำสอนที่ผู้ที่ไม่มีปัญญาจะอธิบายอย่างนี้ไม่ได้ ผู้มีปัญญาจะชัดเจนความลึกซึ้งอย่างที่อาตมาอธิบาย คำสอนอนุสาสนีของพระพุทธเจ้าเป็นปาฏิหาริย์ 

พวกเราชาวอโศกเป็นมนุษย์มหัศจรรย์ เป็นมนุษย์ปาฏิหาริย์ เห็นไหม ชัดเจนด้วยปัญญา เราไม่ได้กินเนื้อสัตว์ ทั้งๆที่หลายคนยังติดยังอยากกิน แต่ปัญญาเข้าใจ เข้าใจแล้วว่ามันไม่ใช่ของควรกิน อกัปปิยะ เลิก สัตว์ไม่ใช่ของควรกิน นอกจากตัวเองกินบาปตัวเองแล้วไม่พอ ยังเอาไปถวายพระภิกษุพระพุทธเจ้าให้ติดยึดอีก ไปขายขี้เท่อ 

เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นพระสงฆ์จริงก็จะบอกว่าเอ็งเอามาทำไมเนื้อสัตว์ มันเป็นสิ่งไม่ควร อกัปปิยะ ไม่ควรกิน 

แหม.. วันนี้ไปบิณฑบาตไม่ได้ปิ้งไก่เลย อะไรอย่างนี้ 

สู่แดนธรรม... เคยมีพระอาจารย์รูปหนึ่งที่เคร่งครัดดี ตอนแรกสมาทานกินมังสวิรัติ แต่พอมาสอนลูกศิษย์เรื่องละความยึดมั่นถือมั่น ก็เลยกลับมากินเนื้อสัตว์เพราะถ้าขืนกินเนื้อสัตว์ลูกศิษย์จะบอกว่าอาจารย์ยึดมั่นถือมั่น 

พ่อครูว่า... สมควรแล้วอาจารย์โง่ๆ อย่างนั้น

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ศีลข้อ 2 ให้หมดความโลภเกี่ยวกับของเกี่ยวกับพืช

_พ่อครูว่า... ศีลข้อที่ 2 อาตมาสอนมา 50 ปี ยังไม่เห็นพ้นศีลเลย ยังเอาศีลมาอธิบาย แล้วก็ยังทำกันได้ไม่เท่าไหร่เลย จำนวนมากก็ยังฟังไม่ขึ้นไม่เข้าใจไม่โน้มน้อมไม่นำไปปฏิบัติตาม ยังเป็นอยู่เฉยอยู่อย่างนั้น 

 

ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับของกับพืช ศีลข้อ 1 เกี่ยวกับสัตว์ ศีลข้อ 2 เกี่ยวกับของกับพืชซึ่งพืชเป็นชีวะ ที่ไม่มีบาปไม่มีบุญ เป็นชีวะที่ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ 

ในพระไตรปิฎกไม่มีอย่างที่อาตมาอธิบายทีเดียวแต่อาตมายืนยันว่าไม่ได้อธิบายผิดอธิบายถูกต้อง พืชนี้ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ มีแต่สัญญาสังขารมีรูปเป็นพืช เวทนาก็ไม่มีไม่มีความรู้สึกสุขทุกข์ ชอบชังไม่มี เพราะฉะนั้นจะไปเป็นวิญญาณเป็นองค์รวมของจิตเจตสิกต่างๆไม่มี 

เพราะฉะนั้นจึงเป็นอาหารคนได้ เป็นสังขาร เป็นของปรุงแต่งกลางๆ ถ้าจะให้คุณกินดินทีเดียว มันก็กินได้บางอย่าง เป็นวัตถุ ดิน วัตถุธาตุดินเช่น เกลือหรือดินบางอย่าง ดินโป่ง ดินแป้ง  คนจีนกินของร้อนเก่ง เอาตะเกียบคีบ 

คนเราเกี่ยวกับการกิน อาหารเป็นหนึ่งในโลก ที่พูดไปนี้อยู่ในหลักการของศาสนา โภชเนมัตตัญญุตา อาหารคือคำข้าว กวฬิงการาหาร ต้องสอนกันซ้ำซาก 

กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณหาร เป็นอาหาร 4 

อาหารอันที่ 1 คือคำข้าวที่กินนี่แหละ เลิกเนื้อสัตว์เลย เหลือแต่พืชกับดินกับธาตุวัตถุ กินเท่านี้แหละ ไม่ตายๆ ไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ สบาย ซึ่งยกตัวอย่างพูดแวดล้อมสิ่งที่เป็นจริงเอามายกอ้างยืนยัน 

คนอยู่ขั้วโลกเหนือ มันไม่มีพืชพันธุ์ธัญญาหารให้กิน มันต้องกินเนื้อสัตว์กินเนื้อปลา ดีไม่ดีต้องกินเนื้อหมี อายุสั้น คนอยู่บนป่าบนภูเขา เขาไม่ไปจับสัตว์มากินหรอก มันมีเนื้อมีสัตว์ต่างๆเขาก็กินพืชอย่างง่ายๆ เพราะว่ากินพืชที่ปลูกหรือไม่ปลูกก็ตามเดินไปเด็ดมากิน มันไม่วิ่งหนีเหมือนเนื้อสัตว์หรอก ง่ายดี มีสารพัดพืชผลหมากรากไม้กินดอกก็ยังได้ กินทั้งดอกมันกินทั้งใบมัน กินทั้งกิ่งก้านมัน กินหัวมัน ใต้ดินบนดินกินหมด ก็เหลือแหล่แล้วที่จะเป็นอาหารเลี้ยงชีพ 

เท่านี้ก็เป็นความเจริญ ไม่เป็นคนเสื่อมคนต่ำคนอำมหิต คนที่ยังกินเนื้อสัตว์ยังไม่พ้นความเถื่อน ไม่พ้นความต่ำความอำมหิต

ไม่ได้พูดยกตัวอย่างตนข่มผู้อื่นนะ ไม่ใช่ คนอินเดียเข้าใจหมดไม่มีแย้งเรื่องนี้ คนอีก 1,000 กว่าล้านชาวจีนก็เข้าใจอันนี้ได้ไม่เลว แต่ชาวจีนนั้นฉลาดแกมโกงเยอะกว่าอินเดีย อินเดียนั้นฉลาดซื่อๆ กว่าเยอะ พลเมืองส่วนมากของโลก พลเมืองเกิน 1 พันล้านก็มี 2 ประเทศนี้แหละ นอกนั้นไม่มีประเทศไหนเกิน 1 พันล้าน มี 2 ประเทศนี้แหละที่ที่มีประชากรเกินพัน ล้านคนละ character คนละรสนิยม คนละพฤติกรรม คนละขั้ว ขั้นหนึ่งเจโต ขั้วหนึ่งปฏิภาณปัญญา แต่ไม่ใช่ปัญญาแท้แต่เป็น เฉโก ที่ฉลาด 

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าความซื่อสัตย์กับความฉลาดเอามารวมกัน จึงเป็นปัญญา ฉลาดไม่โกง ฉลาดซื่อสัตย์ ฉลาดจริงใจ ฉลาดเข้าใจลึกซึ้ง

เป็นความฉลาดที่พระพุทธเจ้าชาวพุทธเป็นผู้รู้ความฉลาดสุดยอด คนเอาความฉลาดของพระพุทธเจ้าไว้ได้ แรกเริ่มมาประกาศคนก็เห็นตามเยอะ ผ่านไป 2,000 กว่าปีก็เสื่อมๆๆ 

จนกระทั่งความฉลาดที่มันถูกต้องตามคำสอนพระพุทธเจ้าหายไป อาตมาอุบัติมาในชาตินี้ โอ้โห! ต้องมางมเอาความฉลาดที่คนโง่ทับถมจมมหาสมุทรเอาขึ้นมา เอามาพูดใหม่ 

แต่ของพระพุทธเจ้าเก่านั่นแหละ เอามาขยายความให้เห็นความจริงใหม่ ซึ่งอาตมาไม่มีเครดิตไม่มีบารมีเท่าพระพุทธเจ้า แล้วมาในปางนี้ นอกจากบารมีไม่เท่าแล้ว ไม่มีผู้พี่ที่เป็นอาจารย์ มาแล้วมาประกาศตัวเองว่าเป็นอาจารย์ตัวเอง ตัวเองรู้มาเองมาแต่ชาติก่อนๆ ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าชาติก่อนๆ อาตมาเป็นใคร บอกเป็นใครเขาก็ไม่เชื่อไปเชื่อง่ายๆได้อย่างไรก็ไม่มีหลักฐาน หลักฐานก็มีบ้างแต่ว่าอ้างอิงอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อ 

สู่แดนธรรม... พ่อท่านก็ไม่ได้ต้องการให้คนมาเป็นบริวารอีกด้วย 

พ่อครูว่า... ใช่ อันนั้นก็ด้วยอาตมาไม่ได้ต้องการให้คนมาเป็นบริวาร 

บริวารหมายความอย่างไร บริวารหมายความว่ามาเป็นลูกไม้ลูกมือ เป็นผู้รับใช้ พวกคุณไม่ได้มาเป็นคนรับใช้อาตมา พวกคุณมาเป็นนักศึกษา พวกคุณไม่ได้เป็นคนรับใช้อาตมาแต่พวกคุณเป็นนักศึกษา อาตมาก็เป็นครูที่ให้ความรู้ พวกคุณก็ช่วยเลี้ยงอาตมาไว้ 

 ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา  พวกคุณก็เลี้ยงอาตมาไว้  อาตมาก็เอาเวลาแรงงานมาสอนมาให้ความรู้ อาตมาเลี้ยงง่ายๆไม่ยากหรอก ไม่ต้องฆ่าสัตว์มาเลี้ยง พืชพันธุ์ธัญญาหารพอสมควรก็อยู่ได้แล้วง่ายๆไม่ยากอะไร เลี้ยงง่าย สุภระ สุโปสะ มักน้อย เลี้ยงง่าย  (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)  มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)  ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9  ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)  ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า 

พูดถึงอันนี้ อาตมาสอนตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้านี่ ทำไมชาวพุทธทั้งหลายแหล่ ไม่สะดุดตรงนี้ อาตมาอ้างอิงตั้งแต่ศีลจนถึงคำสอนต่างๆซึ่งเป็น ถึงขั้นเป็นสูตรรวมวรรณะ  9 สาราณียธรรม 6 หรือสูตรต่างๆนานาที่อาตมาเอามาไล่อธิบายก็ตาม นอกจากจะอธิบายได้แล้ว เรายังปฏิบัติได้ด้วย ยืนยันว่าเป็นความจริงแม้แต่ในยุคนี้ด้วย 

ทำไมคนไม่มีปฏิภาณรู้ว่า ทำไมเข้าใจไม่ได้ เขาก็ไม่ใช่คนโง่เท่าไหร่ แต่เขามีอคติ เป็นตัวสำคัญ อคติ ไปเชื่อผู้รู้ในคณะของตนว่า โพธิรักษ์ผิด ยังไงก็ผิดเอ็งไม่ผิด พ่อเอ็งก็ผิด พ่อเอ็งไม่ผิดปู่เอ็งก็ผิด เป็นหมาป่า 

เขาก็ไปหลงคำครูบาอาจารย์ ทำไมไม่เป็นตัวของตัวเองว่า โพธิรักษ์นั้นสอนอย่างไร ก็เอาพระไตรปิฎกมากางยืนยันอ้างอิงว่าผิดตรงไหน มาทุกวันนี้อาตมากล้าพูดคำนี้อย่างมั่นคงแน่นอนอย่างหนัก อย่างหนักแน่นเลย มายืนยันกับพระไตรปิฎกเลย 

ดีนะ จะมีโชคดีมากที่มีพระไตรปิฎกยังมีอยู่ ในวงการศาสนาพุทธยุคนี้ ถ้าไม่มีพระไตรปิฎกอย่างเดียวเท่านั้นแหละ อาตมาตายอย่างเขียดถูกกระทืบตาย ตายแน่ๆ แต่นี่ยังดีอยู่ที่มีพระไตรปิฎกปฏิบัติมีผล

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน สัมมาทิฏฐิ 10 โดยย่อ

_พ่อครูว่า... แค่อธิบายทิฏฐิ 10 ทาน มีผลหรือไม่มีผลปฏิบัติ ศีลพรตหรือยัญพิธี มีผลหรือไม่มีผล 

สัมมาทิฏฐิ

เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา)  ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา). 

 

  1. ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง) . . . . 

  2. ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง) 

  3. สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง) 

     4. ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่  (อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก) . . 

    5. โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ . .

    6. โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ . 

    7. มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา) . . .

    8. บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา) . .

    9 . สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา) . . .

   10. สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ) . . . . .

      (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 257) 

 

โลกคือความหมุนวน คุณอยู่กับโลก คุณยังมีพฤติกรรมวนเวียนอยู่กับอันนั้น คุณวนเวียนอยู่กับโรงเหล้าเพราะคุณติดเหล้า คุณก็วนไปกินเหล้า คุณติดเรื่องผม คุณก็วนไปร้านตัดผม วนอยู่นั่นแหละ ใครเคยวนมาบ้าง

คุณไปติดเล่นไพ่เล่นโป คุณก็วนอยู่นั่นแหละ ตำรวจจะมาจับคุณก็ยังวนเวียนอยู่นั่นแหละ นี่โลกอบาย ความวน นี่น่ะ ต่างหากโลก

โลกนี้ มันเป็นอย่างนี้ คนโง่อวิชชา

โลกหน้าคือโลกที่หลุดพ้นมาจากโลกนั้น การหลุดพ้นมาจากโลกนั้นก็คือโลกหน้า ไม่ใช่โลกโง่ๆอย่างนั้น เลิกโง่เสียที ไม่วนแล้ว เข้าใจแล้วว่ามันต่ำ ไม่ใช่ดูถูกแต่มันเห็นด้วยปัญญาแล้ว แค่ไปเที่ยวได้หลงเรื่องผมนี่ก็ต่ำแล้ว เลิกที ผมก็สบายๆ จะใช้ดูแลไม่ให้หนาวหัวก็มีไว้พอสมควร ผมยาวเดี๋ยวก็มีขี้รังแคต้องดูแลต้องสะสาง พวกเราจะหาผมยาวเฟื้อย ไม่เอาแล้ว ใช่ไหมล่ะ คนเราก็ช่างหลอกให้ติดยึด

ไม่ทาลิปสติกออกจากบ้านไม่ได้ ไม่มีความมั่นใจ โอ้โหเจ้าประคุณ ไอ้นั่นก็เรื่องผิวเผิน เรื่องแต่งตัว 

เรื่องติดยึด ลาภก็ดี การติดยึดความสวยความงาม นี้ผิวเผินกว่าลาภ จะต้องมีลาภมาได้มากๆ มันก็หยาบกว่า ยศ 

ลาภก็หยาบกว่า ยศ 

ยศก็ยังหยาบกว่า สรรเสรสิญ

สรรเสริญหยาบกว่า สุขอีก 

คําสอนพระพุทธเจ้านี่ สุดยอด เอาละคนไม่ติดลาภ ไม่ติดความสวยความงาม ไม่ติดลาภ แต่ยังมียศ ยังมีสรรเสริญ คุณจะมาปฏิเสธไหม ปฏิเสธไม่ได้หรอก คุณก็ยังจมอยู่กับยศ จมอยู่กับสรรเสริญนั่นแหละ แต่คุณก็ไม่ได้ติด เขาเอามาให้ ให้คือ จะเอามาทำไม หนีออกจากวงการที่จะต้องมีลาภยศ หนีไม่ได้หรือไง แต่พวกเราหนีมาได้ หนีจากยศหนีจากสรรเสริญ มาอยู่กับโพธิรักษ์ มีแต่นินทามีแต่ว่าร้ายก็ยังไม่เห็นเป็นไรเลย ยังสอน จ้อยๆ อยู่เลย จะนินทาว่าร้ายอาตมาก็ว่าไป อาตมาไม่นินทาว่าลับหลัง อาตมาด่าตรงๆเลย ว่าตรงๆเลยไม่นินทา พูดจริงกลัวทำไม ไปนินทาลับหลังทำไมเมื่อย พูดตรงๆให้ได้ยินเลยต่อหน้า 

สมณะฟ้าไท... แต่ก็ต้องประมาณ บารมีใครบารมีมันนะ 

พ่อครูว่า... อันนี้ก็จริง เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง ตายลูกเดียว ตายง่ายๆ ต้องระมัดระวัง 

เพราะฉะนั้นในความเป็นคนที่เกิดมา มาทำงาน ทำหน้าที่ อาตมาก็ทำงานมา จนอายุ 88 อีกไม่กี่เดือน จนถึงเดือนมิถุนายน อีก 3 เดือนก็ครบ 88 เต็ม ขึ้น 89 

อาตมารู้ตัวเองนะว่า มันฝืนชีวิต มันฝืน ลากถูลู่ถูกังไปตลอด มันควรพักควรผ่อน พูดง่ายๆว่าควรตายได้แล้ว มันโอ้โห! พยายาม ไม่ใช่ไม่อยากตายนะ ไม่อยากตายก็ไม่มี อยากตายก็ไม่มีหรอก รู้อยู่ว่าตายหรือไม่ตายก็เป็นธรรมชาติ ไม่ได้มีความสงสัยอะไร 

อาตมาไม่ได้สงสัยเพราะว่าอาตมาไม่ได้มีความกังวล ไม่ได้มีความเดือดร้อนอะไร เพราะอาตมาไม่ได้ตั้งจิตปรินิพพานเป็นปริโยสาน อาตมาตายไปแล้วต้องมาเกิดอีก แล้วเชื่อไหมว่า อาตมาเกิดมาชาติหน้าดีกว่าเก่า...เชื่อ เพราะคุณเข้าใจกรรมวิบาก 

ตลอดชีวิตอาตมาไม่ได้ไปทำชั่วทำวิบากบาป วิบากอกุศลอะไรเลยมากมาย ทำนิดๆหน่อยๆ ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่รู้ตัวเท่าไหร่ เมื่อมารู้ตัวแล้วเลิก สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปกำลังสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) จนกระทั่งลากสังขารมาจนถึงทุกวันนี้ 

ก็พยายามลากสังขารให้ยาวนาน พูดเท่ห์ๆไปหลายที ตัวเลขตั้งแต่ 151 ตอนนี้ลดเหลือ 133 ตอนนี้ก็เหลือ 120 สักวันก็อาจจะต้องลดลงอีก มันจะถึงไหม 120 

ดูท่าทางมันไม่น่าถึง 88 กับ 120 อีกนานเท่าไหร่ อีก 32 ปี เจ้าปุณย์มันเป็นสาวเต็มที่แล้วนะ ป่องเอี้ยมก็เป็นหนุ่มใหญ่ 40 กว่าเลย โอ้โห 

สมณะฟ้าไท... พูดแบบให้กำลังใจ ก็แค่ 32 ปีเอง 

พ่อครูว่า... อีกแค่ 32 ปี ป่องเอี้ยมพูดได้ อย่าให้ covid เอาไปกินก่อนก็แล้วกัน 

อย่างเราไปพูดแล้วมันผิดกาลผิดเทศะฐานะนะ คนละฐานะไม่เหมือนป่องเอี้ยมไม่ได้แล้ว 

อาตมากินอาหารวันต่อวันปริมาณให้เพียงพอเพื่อจะเลี้ยงขันธ์วันต่อวัน เป็นคนอย่างนั้นเป็นคนไม่สะสม ถึงขนาดอวัยวะ 32 มันก็ไม่สะสมตาม 

เรื่องอาหารถึงบอกว่าเป็นสิ่งที่กิน เมื่อคุณไม่ติดไม่ยึด ไม่ได้หลงรสหลงชาติหลงกลิ่น หลงกามคุณ 5 ในอาหารแล้ว โอ้โห อย่างมหาบัวนี่ อย่าพูดถึงอาหารเลยแค่เป็นสิ่งเสพติดมหาบัวยังไม่รู้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเลย ติดอยู่นั่นแหละทั้งวัน แล้ว บอกว่าเป็นอรหันต์ นี่พูดให้ฟังท่านทั้งหลายที่เป็นลูกศิษย์ลูกหามหาบัวฟังให้ดีๆ อาตมาไม่ได้ไปรังเกียจรังงอน อาตมาไม่ได้ไปข่มอะไรหรอก สงสารที่ไม่รู้แล้วไปหลง 

สมณะฟ้าไท... สรุปจบ 

ที่มา ที่ไป

650223


เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2565 ( 18:46:21 )

650228

รายละเอียด

650228 รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 29 อโศกเพื่อมวลมนุษยชาติได้ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร 

https://www.boonniyom.net/51173.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1_nGWr0Cc-K80PPcnJBU_QxK6uZkC9ej5hn_lEPw1Pjw/edit?usp=sharing   

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1OZHL35OIsKHxSh_-ilv7asRZIbtaWDyo/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/watch/live/?ref=watch_permalink&v=468614481637889 

และ https://youtu.be/pGxFMcnaulg

 

_สู่แดนธรรม… วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ชาวอโศก ชาวพุทธ มีหลักประกันของการปฏิบัติธรรม ให้เราอยู่ได้ในทุกสถานการณ์ที่โลกเขามีการเปลี่ยนแปลง 

พ่อครูว่า...วันนี้ ขอยก sms ไว้ก่อน ก่อนอื่น เขากำชับให้โฆษณา หนังสือรวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไรเล่ม 4 คนเราก็รู้กันได้ด้วยสื่อ โดยเฉพาะสื่อสารด้วยภาษาความรู้ ใช้ภาษาถิ่นภาษาพ่อแม่ภาษาของแต่ละชนชาติ พูดสื่อกันออกไปสื่อสภาวธรรมกันให้เข้าใจ ให้เข้าใจกันได้ดี แต่ถ้าใช้ภาษาบาลีใช้ภาษาอื่นที่ไม่ใช่ของเราใช้ภาษาต่างประเทศ ก็พอประกอบบ้างนิดๆหน่อยๆ เผื่อสำหรับคนที่แม้จะเป็นคนไทย ก็ไปเข้าใจในความหมายภาษาอื่นเขาบ้าง บางคนเข้าใจภาษาบาลี ใช้ภาษาบาลีเข้าใจลึกดีนะ หรือใช้ภาษาอังกฤษเข้าใจลึกดีนะใช้ประกอบกันบ้าง แต่จริงๆแล้วส่วนใหญ่ก็คือภาษาพ่อภาษาแม่ หรือภาษาถิ่นที่ตัวเองมี 

คนเราไม่ได้เกิดชาติเดียว เกิดมาอยู่ในชาตินี้ในสัญชาตินี้จะอยู่เป็นคนไทยก็จะเกิดเป็นไทยมาไม่รู้กี่ชาติ ร้อยชาติพันชาติหมื่นชาติแสนชาติ เพราะฉะนั้นมันก็จะฝังภาษาไว้เยอะ แน่นมาก คนชาติไหนก็แล้วแต่จะเกิดในชาตินั้นอยู่นาน ส่วนมากท่านจะใช้ภาษาคำว่า 500 ชาติ อย่างน้อย ซ้ำอยู่นั่นแหละ ที่จริงเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสนชาติทีเดียว แล้วมันก็จะเป็นสัญญา เรียกว่าสัญชาติญาณ ที่จะรู้โดยอัตโนมัติและรู้อย่างเข้าใจลึกซึ้ง ความรู้ที่มันรู้อย่างฝังรากหยั่งลึก ฝังลึก มันอธิบายยากจริงๆ แล้วรู้แล้วเอามาอธิบายได้เท่าที่มีปฏิภาณปัญญามีบารมีที่จะสื่อภาษานี้ออกไปสู่ผู้อื่นให้รู้ได้ นั่นก็เป็นบารมีของแต่ละบุคคล 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน พ่อครูเป็นดีเจคนแรกของประเทศไทย

_พ่อครูว่า... วันนี้ มีมากมายที่ให้อาตมาโฆษณา นอกจากจะโฆษณาหนังสือแล้ว นี่หอมแดงหุ้มทองมาด้วย ชีวิตอาตมาแต่ก่อนเคยไปเป็นคนเลี้ยงลูกให้เขา ซักผ้า ทำหน้าที่เป็นแม่บ้าน ให้คุณล้วน ควันธรรม ตอนนั้นจำเป็นจำนนจึงต้องทำ อาศัยให้เป็นอยู่รอดก็ได้ไปเรียนหนังสือ ก็ยังดีที่คุณล้วนเขายังให้จักรยานใช้ 1 คัน ในชีวิตก็ยังไม่เคยเห็นใครใช้จักรยานแบบนี้ คุณล้วนใช้อาศัยให้ขายหนังสือเขา เราก็อาศัยรถจักรยานอันนี้แหละที่ไปขาย หน้าเฉลิมกรุง แยกเฉลิมบุรี ที่เขามีงาน เอาใส่รถถีบไป เบรคมันจะเป็นแบบฟรีสเตอร์ลิง ถอยหลังปุ๊บมันจะหยุด ได้ใช้ตอนเรียนม.7 ม.8 เขามีกระเป๋าหนังสือใบใหญ่ให้ใช้ แต่ก็ไม่ได้ยึดมาเป็นของเรา ออกมาแล้วก็ไม่ได้เอาอะไรไป กระเป๋า รถจักรยาน เขาให้แหวนเหล็ก หัวมันสี่เหลี่ยมอาตมาชอบใส่นิ้วนางพอดีเลย ดูเท่ แหวนเหล็กสแตนเลส เหล็กหัวสี่เหลี่ยมธรรมดา ก็ให้ใส่ อาตมาออกมาจากบ้านคืนเขาหมด แหวนก็ถอดคืนออกมา ไม่เอาอะไรติดตัวมาเลย ที่เป็นของคุณล้วน เพราะว่า เขาพูดประวัตินิดหน่อย 

อาตมาเป็นดีเจคนแรกในประเทศไทย ตั้งแต่สถานีวิทยุในประเทศมันมีอยู่ 3 สถานี 1. กรมประชาสัมพันธ์  2. สถานี 1 ปณ. 3. สถานีรักษาดินแดน ของทหาร อยู่ที่ท่าพระจันทร์ 

อาตมาสนิทสนม ตั้งแต่เด็กๆอายุ 16-17 ตั้งแต่เรียนอยู่กับคุณล้วน สนิทสนมยังไงไม่รู้ เป็นความพิเศษของอาตมา 1 ปณ อาตมาทำละครวิทยุเอาไปเข้าเลย ทั้งๆอายุแค่ 15 16 17 ลุงเหงี่ยมให้เต็มที่เลย อาตมาก็ทำอยู่ตอนรักษาดินแดนเกิด คุณล้วน ก็ขอออกเป็นช่องรายการเพลง เอาเพลงของเขา แผ่นเสียงเอามาโฆษณา หรือได้เป็นเสียงของคนอื่นก็ตามเป็นเพลงใหม่ออกมา ดีใจ ได้มาก็เอาไปเปิดโชว์ก่อนใครเลย ได้มาแล้วดีใจ เดี๋ยวนี้จ้างนะ เจ้าของเพลง แผ่นเสียงต้องมาจ้าง ต่อมาต้องมาจ้าง เดี๋ยวนี้มันไกลไปลิบลับแล้ว 

อาตมาเป็น DJ คนแรก เปิดเพลงแล้วก็บรรยายไป แรกๆก็บรรยายอย่างเท่ แต่งเป็นกลอนแปด บรรยายเสร็จก็เปิดเพลงไป มีพูดบ้าง เป็นภาษาร้อยแก้วธรรมดาบ้าง กลอนประกอบอย่างเท่เลย เป็นดีเจคนแรกในประเทศไทย ได้สปอนเซอร์ มีสปอนเซอร์ใหญ่ 2 เจ้าของคุณล้วน คือ จักรPfaff  กับ นาฬิกา Rolex อาตมาไม่ได้แอ้มเลย นาฬิกาจะให้สักเรือนก็ไม่มี หรือว่า จักรPfaff ได้เงินได้ทองมาไม่เคยเล็ดลอดมาให้อาตมาเลย ก็ขอพูดความเป็นจริงไม่ได้มีนินทาว่าร้าย พูดถึงความขี้เหนียวของแก 

ขนาดแกชอบกินไอศกรีม อยู่หน้าศาลเจ้าพ่อเสือ ถนนบรรทัดทอง เป็นร้านอร่อย ไอ้เราก็อยากกิน แกก็ให้ไปซื้อใส่กระป๋องมา แกก็นั่งกินต่อหน้าเรา ใช้หมดก็บอก แกไม่แบ่งให้เรากินเลย เราก็ไม่ค่อยมีสตางค์มากไม่ค่อยได้กิน แกก็ซื้อมากินบ่อย ให้เราไปซื้อมาแกก็กินของแกคนเดียว จริงๆมันเป็นบทฝึกหัดของเรา ให้เราอดทนสู้ อย่าไปริษยาเขา ใครจะขี้เหนียวใครจะมีใครจะให้เราก็คุณเราไม่เกื้อกูลเรา เขาก็มีส่วนเกื้อกูลเราเพราะเราได้อาศัยบ้านอาศัยที่กินที่อยู่ที่หลับที่นอน อาศัยเรียนหนังสืออยู่มีชีวิตไป เราก็เห็นอันนี้เป็นหลักเป็นบุญคุณ 

สู่แดนธรรม.. คนทางบ้านถาม ตอนพ่อท่านเป็นดีเจเปิดเพลงแนวไหนครับ 

พ่อครูว่า... เพลงลูกกรุง เพลงคุณล้วนเป็นหลัก ต่อมาก็มีเพลงของเขา เมียเขา สะอาดนิลอร่าม เมียเขาหนี แม่นายแหลม นายหลิม ลูกชายของคุณล้วนเขา เขาหนี อาตมาก็เลยต้องมาทำหน้าที่แม่บ้านแทนเขา เลี้ยงนายแหลม นายหลิม ก็เด็กๆฟังประวัติไป 

สู่แดนธรรม.. ชีวิตตอนบุญบารมีเก่าไม่ปรากฏ ก็เป็นไปตามวิบาก อุปมาว่า การเกิดยังไม่ปรากฏ เหมือนทารกมีเมือกไคลมารดาหุ้ม ดวงตายังไม่เปิด แขนขาไม่แข็งแรงก็ต้องเป็นไปตามโลก ตอนนั้นยังไม่มีความคิดเรื่องธรรมะสักอย่างใช่ไหมครับ 

พ่อครูว่า... วิบากมาตามเล่นงาน ยังไม่คิดเรื่องธรรมะธรรมโมอะไร เป็นคนธรรมดาเป็นแต่เพียงคนไม่ทำชั่วก็อยู่กับโลกนี้แหละ เป็นคนรับใช้เขาไปส่วนใหญ่ 

คุณล้วนไม่ได้ส่งเสริมเพลงการของอาตมาเลยทั้งๆที่เขารู้ว่าอาตมามีฝีมือในการแต่ง ก็เคยเล่าว่ารู้ได้อย่างไร อาตมาเหมือนเลขาเขา เขาเปิดประกวดเพลง โดยมีทำนองเขาขึ้นมา เสร็จแล้วก็ประกาศไป เล่นเปียโนเมโลดี้ต่างๆให้พวกที่นั่งฟัง เสร็จแล้วคนที่สนใจบอกว่าประกาศแต่งเพลงชิงรางวัล ใส่เนื้อมา ทำนองของเขานี่แหละ ประกวดประขันกันและมีรางวัลให้ 

อาตมาเป็นเลขาเก็บใส่แฟ้มเป็นปึก มีทั้งไพบูลย์ บุตรขัน แต่เขาใช้นามปากกาว่า ตรีบูรณ์ , ศักดิ์พิสิษฐ คุรุการ ที่เขาแต่งอยู่กับสุนทราภรณ์เยอะ ภาษาเขาหวือหวามาก แต่เขาใช้นามปากกาว่า ศักดิ์พิสิษฐ์ คุรุการ เขาก็แต่งมา ส่งมาหลายร้อยรายส่งมาประกวด เสร็จแล้วเขาก็ตัดสิน คัดเลือกได้ของศักดิ์พิสิษฐ์นี่แหละ เป็นเบอร์ 1 ใส่เรียบร้อยเขาก็แต่ง เป็นเพลงแต่งชมโฉม วาสิฏฐีจำแลง ชมโฉมนางงามวาสิฏฐี 

อาตมาก็วันสุดท้ายเลยนะ แต่งขึ้นมา แล้วก็ไปแปะอันสุดท้ายหน้าแฟ้มเลยเขาตื่นมาก็เปิดดู เขาก็ดู เพลงกลางไพรสณฑ์ อาตมาก็ชมไพรพนา เขาก็อ่าน โอ้โห เขาบอก เฮ้ย ไอ้นี่มาเมื่อไหร่วะ อาตมาก็ว่าพึ่งมา เขาก็ว่าตัดสินแล้วนะ ว่าให้ของศักดิ์พิสิษฐ์เป็นอันดับ 1 อาตมาแปะไปเป็นวันสุดท้าย เขาก็ดูแล้ว โอ้โห ดีนี่หว่า เฮ้ย แต่มันตัดสินใจให้คนนี้เป็นที่ 1 แล้วนี่หว่า โอ้โห ยังไม่ได้ประกาศผลออกไป เขาก็ว่า รักพี่เสียดายน้อง ให้ที่ 1 ทั้งคู่เลยละกัน

วันดีคืนดีเขาก็ประกาศรางวัลที่ 1 ได้แก่ศักดิ์พิสิษฐ์ พิสิษฐ์คุรุการ อาตมาใช้นามปากกาว่า ยุบลรัตน์ นามแฝงของอาตมา เสร็จแล้วเขาก็ประกาศ ตกลงที่ 1 มี 2 สำนวน รักพี่เสียดายน้อง เขาก็ประกาศที่ 1 มี 2 คน รางวัลเป็นปากกาเชฟเฟอร์ สลักชื่อ อาตมาก็เป็นคนไปซื้อปากกานั่นแหละ แล้วก็สลักชื่อใส่ปากกานั่นแหละ 2 ด้าม ประกาศ ศักดิ์พิสิษฐ์เขาก็มารับรางวัล อีกรางวัลหนึ่งก็อยู่ที่เรา นานแล้วไม่มีคนมารับสักที เขาก็บอกว่าไอ้แป๊ก ไอ้คนนี้ทำไมมารับรางวัลสักที เราก็ไม่ได้บอกว่าอย่างไร ทำเหมือนผ่านๆ ก็เขาไม่มาก็ไม่มาก็ผ่านไป เขาก็ถามหลายที สุดท้ายมันไม่มีทางเลี่ยงก็บอกเขาว่า อันนั้นน่ะ ผมแต่งเองเป็นผมเองครับ 

เขาก็บอกว่า ไอ้***** ให้กูเสียเงิน แทนที่จะชม แหม นี่คือรางวัลของอาตมา 

สู่แดนธรรม... สมัยพ่อท่านยังไม่เกิดพุทธะขึ้นมา ก็ดูเหมือนมีแต่ความต่ำต้อยด้อยค่า ต้องโกโรโกโส เหมือนถูกสกัดดาวรุ่ง 

พ่อครูว่า... ตอนนั้นอายุประมาณ 17 ปียังไม่ถึง 18 ปี ก็แต่งเพลงพวกนี้ เพลงก็ดังอะไรไป แกไม่เคยส่งเสริม เพราะฉะนั้นจะไม่มีเพลงของอาตมาในของคุณล้วน ที่ดังอยู่ในสังคมสักเพลง

เพลงก่อนสิ้นแสงตะวัน ทำนองของพี่ตุ๋ย(สง่า ทองธัช)มันดังก่อน ทีนี้เพลงที่อาตมาแต่งทั้งเนื้อและทำนองของตัวเองเลยคือ เพลงผู้แพ้ มันดัง ตอนนั้นอายุ 20 แล้ว แต่เพลงที่มีมาก่อนก็มีแล้ว

สรุปอย่างนี้ ไอ้เรื่องของเพลงการ มันก็เป็นอันนึง แม้เพลงการที่แต่ง ที่อาตมาแบ่งศิลปะออกเป็น 5 ขั้น ไอ้ที่ไม่ใช่ศิลปะเลยเรียกว่าลามก เพลงก็ตาม ศิลปะขีดเขียนจิตรกรรมก็ตาม วรรณกรรมก็ตาม Music ก็ตาม เพลงมันลามก มันแฝงเรื่องไม่ค่อยดี เรื่องหยาบๆ เรื่องไม่ค่อยดี มันมี เขาเรียกเพลงใต้ดินพวกชอบร้องกัน ..ลามก

ต่อมาศิลปะขั้น 2 คือ ราคะ คือเพลงที่มีกาม เรื่องรักใคร่มีเยอะมาก ราคะนี้เยอะมาก ตั้งแต่ราคะค่อนๆไปถึงลามก จนกระทั่งขึ้นมาถึงบนดิน เป็นจัดจ้านราคะะจัดจ้าน ราคะมากมายเรื่องรักเรื่องใคร่แล้วดังเยอะ ใช้อาศัยเยอะยิ่งกว่าเพลง ลามก

จากราคะเพิ่งจะหมดจากกิเลสพวกนี้ มาเป็นเพลงสาระ 

ลามก ราคะ สาระ เป็นเนื้อหาเป็นแก่นสาระ ก็อาจจะเป็นเพลงไม่ค่อยดี ไม่ค่อยเพราะ เพราะมันจะเป็นสาระที่แข็งๆไปบ้างก็มี ผู้ที่แต่งยังไม่ค่อยเก่ง ก็จะเป็นเพลง ทื่อๆแข็งๆ เป็นเพลงไม่ค่อยจะไพเราะเท่าไหร่ 

จนกระทั่งมาถึงเพลง ธรรมะ ก็จะเป็นธรรมะขั้นโลกีย์ ก็พอสมควรไม่น้อย แต่เพลงราคะนี่แหละเยอะมาก สาระก็เป็นเพลงเช่น เพลงเพื่อชีวิต เพลงชมธรรมชาติ เพลงชมคุณงามความดี ปลุกใจรักชาติพวกนี้ เพลงสาระ 

พอมาถึงธรรมะก็เป็นคุณงามความดีเป็นหลัก เป็นเพลงคุณงามความดีต่างๆสารพัดแบบโลกีย์ จนกว่าจะสูงสุดเป็นเพลงระดับโลกุตระ สูงกว่าเพลงธรรมะสามัญโลกีย์เป็นเพลงโลกุตระ ซึ่งมีน้อยคนมากที่แต่ง น้อยจนอาตมาก็จะยกตัวอย่าง

สู่แดนธรรม... พ่อท่านเป็นศิลปินที่เคยคลุกคลีอยู่กับโคลนตม เป็นบัวที่ผ่านมาตั้งแต่โคลนตมค่อยๆจนถึงธรรมะแสงตะวันคือบัวพ้นน้ำ พ่อท่านเลยรู้รายละเอียดธรรมะขั้นโลกีย์  ส่วนโลกุตระนั้นผู้แต่งก็น้อย ผู้ฟังก็ยิ่งน้อย 

พ่อครูว่า... โลกุตระคืออะไร หมายความว่า เป็นความรู้ในระดับที่รู้จักกิเลส แล้วก็ทำให้กิเลสลดได้ จะเริ่มต้นน้อยๆก็ตามก็เป็นโลกุตระ เป็นขั้นโสดาบันเป็นต้น อย่างนี้คือโลกุตระ ถ้ายังไม่เข้าไปถึงจิตแล้วก็แยกกิเลสได้ ทำให้กิเลสลดได้ ยังไม่เรียกว่าโลกุตระ เข้าใจไหม 

ถ้าผู้ใดไม่มีภูมิปัญญากำหนดรู้จิต เจตสิกของตนเอง แล้วแยกกิเลสออกมาให้ได้ รู้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส 

รู้อาการ ลีลาของการเคลื่อนไหวของจิตเจตสิกว่า อย่างนี้ มันเป็นกิเลส กิเลสราคะหรือโทสะหรือโมหะ แล้วก็มีวิธีทำให้ราคะมันจางคลาย จางคลายนี้ ก็ไม่ใช่หลับตา กดข่มไว้ แต่ใช้ปัญญาทำให้กิเลสมันจางคลาย ปัญญารู้แจ้งสว่าง เปิดตาหูจมูกลิ้นกายไม่ต้องไปหลับไปหรี่อะไรเลย แล้วกิเลสมันลดลงๆๆได้ ตามลำดับ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ นั่นแหละเรียกว่า โลกุตระ 

อาตมาก็รู้สึกว่าอธิบายอย่างนี้มาซ้ำซากก็ยังไม่เก่ง แต่คนนำไปปฏิบัติได้จนเกิดมนุษยชาติชาวอโศกขึ้นมา เป็นกลุ่มหมู่จริงๆเลย อันนี้เป็นความมหัศจรรย์ ที่แต่ละคนมีภูมิธรรมด้านโลกุตระ เป็นปัญญา รู้จักกิเลส อาจจะอธิบายไม่ได้อย่างอาตมาแน่นอน แต่จับสภาวธรรมได้ ตามศรัทธา เป็นน้ำหนักของศรัทธา ทำให้กิเลสลดได้จึงมากันได้ คนที่มีปัญญาก็จะรู้รายละเอียดของกิเลสตนเองแล้วทำให้กิเลสลด แล้วก็จะรู้และพูดบอกคนอื่นได้ จึงมีผู้รู้ทั้งปัญญาและศรัทธา ทั้งปัญญาโลกุตระ มาช่วยอาตมาบรรยาย มาช่วยอาตมาขยายผล จนเกิดมาป่านนี้ ทำงานศาสนามา 50 ปี 

ตั้งแต่มาออกบวชก็คิดว่าจะทิ้งเรื่องเพลงไปหมดแล้ว เสร็จแล้วมาคิดอีกทีว่ามันก็เป็นศิลปะอันเป็นมงคลอันอุดมได้ อย่างที่เคยพูดอธิบายไปหลายทีแล้ว ก็เลยดึงกลับคืนมาเอามาทำดู ก็ดั่งที่มันได้เกิดมา อาตมาก็เลยต้องแต่งขึ้น เป็นเพลงโลกุตระมาตั้งแต่เริ่มต้นตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ เพลงเก่าๆก็เป็นเพลงราคะก็อายที่จะนำออกมาเปิดเผย แต่ราคะไม่ร้ายแรง และก็ไม่ได้ดังมากมาย 

มันก็เป็นสัจธรรม ถ้าหากเพลงโลกๆอาตมาดังมันก็จะติดลม ก็ไม่ดัง ก็มาดังอย่างเพลงสิ้นแสงตะวัน เพลงผู้แพ้ เพลงผกาดั่งนารี ผู้ครองรัก อันนี้ก็เกี่ยวเนื่องกับความรักอยู่แต่รักอย่างบริสุทธิ์แข็งแรง อย่างที่เรียกว่าไม่เหลาะแหละไม่มีความเลวเลยอะไรอย่างนี้ ก็ยังกึ่งๆเพลงรักๆใคร่ๆ ชื่นรัก ก็เป็นเพลงรักๆใคร่ๆอยู่ แต่เพลงฟ้าต่ำแผ่นดินสูงอธิบายเป็นเชิงรักก็ได้ เป็นเชิงโลกียะก็ได้ อธิบายเป็นโลกุตระก็ได้ อย่างนี้เป็นต้น 

 

สู่แดนธรรม… ถ้าเรามีกำลัง 4 จะได้พ้นภัย 5 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน คุณลักษณะอาหารเป็นเลิศของชาวอโศก

_พ่อครูว่า... หัวมัน มันหรือ? พ่อครูยกหัวมันอันใหญ่ เป็นพันธุ์ okinawa หนัก 4.95 กิโล เกือบ5 กิโลกรัม โอ้โห! ปลูกที่ไหน?..นี่ (ข้างอาคารบวร) 

ความเป็นเลิศของอาหารเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ คำว่า เลิศ คำนี้หมายความว่า

1. คุณภาพดี 2. ไม่มีพิษ 3. ทำให้ได้มีปริมาณมาก 4. เกื้อกูลแจกจ่ายเจือจานผู้อื่นไปอย่างบริสุทธิ์ใจให้ได้มากๆ 

อาตมาพาพวกเราทำ พวกเราก็ได้ศึกษาฝึกฝนจิตใจที่ไม่เห็นแก่ตัว ไม่มีตัวไม่มีตน มีแต่ความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลผู้อื่นจริง จึงเต็มใจกันหรือว่าพักพร้อมกัน ไปทำ พยายามทำเพิ่มขึ้น ตอนนี้ขยายจนถึงขั้นสาธารณะ ปลูกไปข้างถนนเลย ทำจริงๆไม่ใช่ทำเล่นๆ ทำกันอย่างดี ให้มันเกิดมรรคผลให้มันเกิดจริง งอกงามสมบูรณ์เลย ได้อาศัยกินใช้กันจริงๆเลย ซึ่งก็เป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารง่ายๆ โดยเฉพาะของชาวอีสาน บักหุ่งเป็นต้นเป็นหลัก แล้วก็กล้วยอะไรอย่างนี้ พริก ข่า ตะไคร้ มะเขือ มะนาว มะเขือเทศบ้าง อะไรอย่างนี้ 

บ้านราช เกิดตั้งแต่ปี 2537 ยังไม่ถึง 30 ปี เราก็อยู่กันสร้างพฤติกรรมต่างๆ มีบทบาทชีวิตอยู่กันไป ชาวบ้านชาวช่องเขาเข้าใจกันหมดแล้ว เราไม่ได้ทำเพื่อจะมาโชว์ให้คนอื่นเขามายกย่องสรรเสริญ เอาอะไรมาแลกเปลี่ยน เขาเข้าใจแล้วว่า เราไม่มีอะไรแอบแฝงพวกนี้ ทำขึ้นมาเพื่อเผื่อแผ่เกื้อกูลช่วยเหลือกัน ด้วยน้ำใจบริสุทธิ์บริบูรณ์ สิ่งนี้เกิดจากความเป็นจริง จิตใจของพวกเราเป็นจริง 

แล้วพวกเราก็ไม่ไปทำอะไรเก่ง ไปทำสร้างเครื่องไม้เครื่องมือเก่งๆทางวิศวะ สร้างคอมพิวเตอร์ แม้แต่สร้างจานชามช้อน สร้างโต๊ะสร้างเตียง เราก็ไม่เก่ง แต่เราจะสร้างอาหาร อาหารก็เน้นพืชพันธุ์ธัญญาหาร ไม่ได้ไปเน้นเรื่องปศุสัตว์ ไม่ได้ไปเน้นเรื่องประมง 

อาหารก็เน้นพืชพันธุ์ธัญญาหารให้เต็มที่ ทำไป อาตมาเชื่อว่าพวกเราจะเข้าใจ ถ้าใครเข้าใจที่อาตมาพูดแล้วก็ลงไปเต็มที่ช่วยอาตมา ไม่ใช่ช่วยอาตมา แต่ช่วยโลกช่วยสิ่งที่ประเสริฐ เอาให้เต็มที่เลย ช่วยกัน นักเรียนก็ช่วยอยู่แล้ว ผู้ใหญ่ก็เยอะไม่ค่อยได้ไปเท่าไหร่ ไปบ้างแต่ก็ไม่เต็มที่ ถ้าเต็มที่มันจะดูดีอบอุ่นเลย แต่ก็ยังน้อย เข้าใจให้ได้ พูดนี้ไม่ได้ไปหมายความว่าเป็นการบังคับ หรือปะเหลาะ ไม่ใช่ แต่ให้เข้าใจด้วยปัญญาแล้วก็ไปเองทำเองอิสรเสรีภาพ จะรู้ว่าจริงเหรอชีวิตเราก็เป็นไปได้มาช่วยกัน ทำให้เกิดมรรคผลเกิดความอุดมสมบูรณ์เป็นกันได้จริงๆเลย แล้วจะเห็นผล มันเป็นขึ้นมาแล้วจะเห็นผลว่ามีผลอย่างไรกับประชาชน กับมนุษยชาติ 

นี่ยังติด covid เท่านั้น เป็นโอกาสให้เราฟักตัว ถ้าไม่งั้นมันจะมะรุมมะตุ้มมามากจะไม่มีโอกาสได้ฟักตัว ไม่มีโอกาสได้เจริญงอกงาม มันจะไม่เหลือเลย ตอนนี้ก็คงจะพอมากพอที่จะให้คนย่านนี้เท่านั้น คนอื่นๆข้างนอกก็ยังไม่กรูเกรียว เราก็ทำเพิ่มขึ้น 

 

สู่แดนธรรม... ตอนก่อนนั้นผมเข้ามาอโศกใหม่ๆ จะมีคำบอกว่าชาวอโศกเพื่อมวลมนุษยชาติ ผมอ่านดูแล้วถ้าคนไม่ชอบใจเขาจะหมั่นไส้มาก แต่ผมอ่านแล้วก็จะมีส่วนจริงอยู่นะ แต่ยังไม่เห็นเป็นรูปธรรม แต่ก็คิดว่าในอนาคต ชาวอโศกเพื่อมวลมนุษยชาติ ก็จะเป็นจริง จนถึงบัดนี้จึงมั่นใจว่าชาวอโศกเพื่อมวลมนุษยชาติจริงๆ 

นักธรรมะจะบอกว่าความไม่มีตัวตนอยู่ที่ไหน ชาวอโศกเราทำได้จริง ความไม่เห็นแก่ตัว เกิดขึ้นจริง พวกนายทุนมหาอำนาจทางอาหาร เขาจะทำเป็นการต่อรองกดขี่ข่มเหงผู้บริโภค แต่ว่าพ่อท่านกลับให้ทำตรงกันข้ามเลย ยิ่งเมื่อกี้นี้บอกว่ามีหลัก 1. คุณภาพดี 2.ไม่มีสารพิษ 3. เอาไปเกื้อกูลคนอื่น นี่เป็นการยืนยันว่าธรรมะที่พ่อท่านสอนให้เราพัฒนาไปสู่ความสิ้นความเห็นแก่ตัว 

หนังสือ รวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไรมีเล่มที่ 5 กำลังทำอยู่ 

 

_โศลกธรรมเก่าๆของเรา ตอนนั้นใช้บุญนิยามเดิมอยู่ เขาถามว่า สะสมบุญจงประณีตสร้างจารีตจงประหยัด ถามว่าคำว่าจารีตในที่นี้คืออะไร ทำไมเราไม่สามารถสร้างจารีตด้วยความฟุ่มเฟือย 

พ่อครูว่า... ไม่เห็นจะน่าถามเลย ประหยัดกับความฟุ่มเฟือย เด็กๆเข้าใจไหม 

ป่องเอี้ยม ... ประหยัดคือใช้น้อยๆ ฟุ่มเฟือยคือใช้มากๆ 

สู่แดนธรรม… บางอย่างบ้านเรามีของมาก เด็กๆอาจจะใช้ทิ้งใช้ขว้าง จานชามก็กินเสร็จทิ้งไว้เลย 

พ่อครูว่า... เป็นการสร้างนิสัยเลวให้แก่ตัวเองนะ 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน อาหารเนื้อสัตว์เป็นบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก 5 ประการ

_พ่อครูว่า... อาตมาว่าชีวิตชาตินี้ อย่างไรอย่างไรก็นึกถึงตัวเองแล้วตลอดชีวิตมา ที่ได้ฟื้นขึ้นมาเห็นรู้ตัวเองว่า เราเป็นใคร เราจะต้องมาทำอะไร ได้เลิกทางโลกีย์จะไปแย่งชิงลาภยศสรรเสริญโลกียสุขเด่นดังอะไรตามโลกเขาทิ้งเลย แล้วก็มาทางนี้มาทางโลกุตระ มาตอนแรกไม่ได้เด่นดังอะไร ดังอย่างถูกด่าชนิดที่เขาจะเอาตายเลยนะ  

จนพยายามทำความจริง มี “ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง” “ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม” อาตมาจึงได้รอดมาจนถึงทุกวันนี้ 50 ปี นี่ก็เป็นรูปเป็นร่าง มีรูปธรรมของมนุษยชาติ ที่เข้าใจทฤษฎีนี้ ทฤษฎีโลกุตระของพระพุทธเจ้าแล้วก็เอามาประพฤติปฏิบัติ จนกระทั่งได้ตั้งแต่เด็ก อายุที่พอรู้เดียงสา 7 ขวบขึ้นไปก็ค่อยๆเข้าใจขึ้น อายุไปเรื่อยๆจนแก่เฒ่า มันก็เป็นความจริงที่ปลูกฝังยืนยันลงไปแล้ว ไม่ได้แกล้ง   แต่ทำจริงๆด้วยความบริสุทธิ์ใจ แกล้งก็ได้ถ้าใครแกล้งทำได้ก็เอาสิ ใครจะแกล้งทำอย่างนี้ได้แล้วเกิดผลอย่างนี้ เอา ไม่มีปัญหาหรอก ทำให้ได้ก็แล้วกัน ทำแล้วให้เกิดเป็นจริง ซึ่งมันยาก ไม่ใช่ง่าย 

แต่ยากนี่แหละมันยังทำได้ อันนี้แหละมันจึงเกิดความมหัศจรรย์ สิ่งที่ยาก ยากจริงๆนะ ไม่ใช่เรื่องเล่น เป็นเรื่องมหัศจรรย์ 

ตั้งแต่ศีลข้อที่ 1 คนไม่ฆ่าสัตว์เนี่ย มันเป็นความหัศจรรย์แล้ว แม้ที่สุดสัตว์มันจะทำร้ายเรา เราก็ไม่ทำร้ายตอบสัตว์ สัตว์มันทำร้ายเราจนกระทั่งบางทีเจ็บ เราก็ไม่ได้โกรธเคืองแค้นสัตว์ เพราะเรารู้ว่าสัตว์มันก็ไม่รู้เรื่องอะไร มันเป็นเดรัจฉาน เราไปโกรธสัตว์เราก็โง่กว่าสัตว์ มันไม่ได้เรื่องอะไร เราไม่แค้นพยาบาทเราเข้าใจเรื่องกรรมวิบากอย่างดี 

เพราะฉะนั้นผู้ที่มีโลกุตรธรรม แม้แต่ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์กับคน แล้วยิ่งมาไม่กินเนื้อสัตว์มันยิ่งสูงส่งมหัศจรรย์ลึกเข้าไปอีก นอกจากไม่กินแล้วก็เข้าใจเรื่องกรรมวิบาก 

เราเลิกกัน วิบากเกี่ยวกับสัตว์ จะลึกซึ้งจนกระทั่งจองเวรจองกรรมกัน เป็นเรื่องของจิตวิญญาณที่สัตว์ชายมันไม่รู้ แต่มันมีสัญญา มันทำงาน มันจองเวรจองกรรมอะไรต่ออะไรต่างๆนานา

สัตว์เดรัจฉานตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวจนเป็นล้านๆๆเซลล์ มันจองเวรจองกรรมทั้งนั้น มันรักมันชัง มันผูกโกรธ ผูกรัก สัตว์ไปล่อให้มันรักมันก็รัก ไปทำให้มันชังมันก็ชัง

ผูกโกรธ ผูกรัก ผู้ศึกษาธรรมพระพุทธเจ้าแล้วไม่ผูกโกรธ ผูกรัก อยู่กันอย่างอภัย อโหสิ ไม่ติดผูกพันกันต่อไป จึงเป็นเรื่องสุดสูงส่ง เป็นเรื่องมหัศจรรย์ 

เพราะฉะนั้นสัตว์ก็คือ เราก็รู้สัตว์ก็มีชีวิตของเขา ไปตามวิบาก วิบากของเขามีหนักมีเบามียากมีลำบากมีง่าย มันก็เป็นของของตน ของเขา กัมมัสโกมหิ ไม่มีใครมาทดแทนทำแทนเสแสร้งไปได้ เป็นของของตน จะลึกซึ้งว่ากรรมวิบากเป็นอจินไตยซึ่งไม่ใช่เข้าใจกันได้ง่ายๆ

เพราะฉะนั้นเรื่องสัตว์แล้วแม้จะไม่กินแล้วจนกระทั่งถึงขั้นชีวกสูตร 1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)  2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส  3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”  4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส  5. ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก  (ตถาคตํ   วา   ตถาคตสาวกํ  วา  อกปฺปิเยน  อสฺสาเทติ อิมินา   ปญฺจเมน   ฐาเนน  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)     ชีวกสูตร  ล.13   ข.60 

แม้กระทั่งมีที่จิตเป็นอกุศลแล้ว เปล่งชื่อสัตว์ เฮ้ย ปลาช่อนตัวนั้น ชี้บอกคนอื่น คนอื่นไปจับมาเลย ถ้าเรามีอิทธิพล เราพูดอย่างนี้ผู้ที่สนองอิทธิพลจะรีบไปจับมาเสนอหน้าเลย จับปลาช่อนตัวนั้นมา 1.แค่กล่าวชื่อเอ่ยชื่อปลาช่อน

2. สัตว์ตัวนั้นถูกจับผูกมามันไม่ชอบมันก็เป็นทุกข์มันก็ผูกโกรธ บาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลยเป็นข้อที่ 2 

3. สั่งฆ่า คิดดูสิ มันจะเป็นลำดับๆๆของมัน ร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ สั่งฆ่าแน่นอนชัดเจนแค่สั่งให้ฆ่าด้วยเจตนากุศล มันบาปได้อย่างไร เพราะว่าคุณมีอกุศลจิตเป็นต้นเค้าแล้ว สัตว์มันมีอยู่จะไปออกชื่อมันทำไม บอกชื่อด้วยอกุศลจิต หากเป็นกุศลจิตออกชื่อมันก็อาจจะอีกอย่างหนึ่ง นี่มันอกุศลจิต แล้วคนก็ไปจับมาสนองอารมณ์ตัวเองเลย สัตว์มันก็ทุกข์ทรมานที่มันถูกจับผูกมัดมา มันก็เป็นวิบากบาปแล้ว สะสมลงไปแล้ว 

พอมาถึงยังไม่พอ ยังสั่งฆ่า แน่นอน คนสั่งฆ่าบาปแน่นอน 

สัตว์ตายด้วยการถูกฆ่า ทรมานทรกรรม บาปแรงกล้าเป็นข้อที่ 4 เลย 

ข้อที่ 5 ยังไม่น่าอีก เอาเนื้อสัตว์ที่ฆ่ามาทำอาหาร อาหารอย่างปราณีตเลยฝีมือปรุงแต่งอย่างเก่ง เพื่อไปถวายภิกษุ สาวกพระพุทธเจ้า หรือถวายพระพุทธเจ้า เพื่อให้ยินดีในอาหารเนื้อสัตว์นี้ ร้ายแรงที่สุดเลยคนที่มีจิตแบบนี้แล้วทำแบบนี้ ฟังดีๆทวนมาไม่รู้กี่ทีแล้ว นี่ชัดยิ่งขึ้นไหม มันเป็นอกัปปิยะ เป็นสิ่งไม่ควรเลยในความเป็นคนที่จะกระทำ เอาเนื้อสัตว์ไปถวายภิกษุ ยิ่งพระพุทธเจ้าอยู่เอาไปถวายพระพุทธเจ้า จะได้บาปหรือได้บุญมาก แม้กระทั่งว่าจะถวายพระพุทธเจ้า 

เด็กๆ ลองตอบซิ เอาแกงเนื้อสัตว์อาหารเนื้อสัตว์อย่างดีไปถวายพระพุทธเจ้า กับไปถวายภิกษุธรรมดา จะให้ภิกษุยินดีในอาหารเนื้อสัตว์นี้ อย่างไหนบาปกว่ากัน ....ถวายพระพุทธเจ้าก็ต้องบาปมากกว่าแน่ บังอาจทำให้พระพุทธเจ้าไปติดยึดในเนื้อสัตว์ 

5 ข้อนี้ ถ้าเข้าใจอย่างที่อาตมาอธิบายแล้ว ใครมันจะกล้าไปกินเนื้อสัตว์ เรื่องของกรรมวิบากเป็นอจินไตยอย่างนี้ปานฉะนี้ แต่มันเป็นอจินไตย คุณไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวเนื่องกันขนาดนี้หรือบาปบุญมันเป็นอย่างนี้หรือก็อธิบายสู่ฟังไม่ได้โมเม ไม่ได้จับแพะชนแกะแต่มันเป็นเหตุปัจจัยของกรรมวิบาก 

เพราะฉะนั้นการไม่กินเนื้อสัตว์นี่แหละ คนไม่กินเนื้อสัตว์นี่แหละเป็นความมหัศจรรย์ไหม แล้วเรามาไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ใช่เพราะว่าเรื่องสุขภาพ กินแล้วสุขภาพจะได้ดี กินแล้วจะได้กุศลได้บุญแบบโลกีย์คิดๆไป ไม่ใช่ แต่ลึกซึ้งเป็นโลกุตระ เพราะเป็นกรรมวิบากที่เป็น  อจินไตยที่ไม่ได้เข้าใจง่าย อย่างที่อธิบายไป คร่าวๆนะ 


 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน อโศกเพื่อมวลมนุษยชาติได้ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร 

_สู่แดนธรรม… จะเป็นชาวอโศกเพื่อมนุษยชาติจะต้องมาเป็นคนมหัศจรรย์ให้ได้ ความมหัศจรรย์แบบโลกๆก็ไม่ประเสริฐเท่ากับการมาละความเห็นแก่ตัว มาเป็นคนจนที่ไม่ทุกข์ไม่ร้อนสุขสำราญเบิกบานใจ พ่อท่านพาทำได้อย่างไร 

พ่อครูว่า... ยิ่งใหญ่เลย อาตมาพาทำได้อย่างไร มันเป็นการสะสมความรู้ สะสมความจริง ไม่ใช่อยู่ดีๆไปซื้อตามร้านขายยาเอาได้ ไปซื้อจากห้างสรรพสินค้าได้ ก็ไม่ใช่ เอามาจากอะไรไม่ได้ ต้องสะสมเท่านั้น สะสมจากกรรมวิบากของตัวเองทำมาเอง ศึกษาฝึกฝนและเป็นกรรมเป็นวิบากของตนเองเป็นบารมีของเราเองทั้งนั้น ทำมา 

เพราะฉะนั้นที่อาตมาพูดยืนยันว่าเป็นอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ ได้สะสมวิบากมาจนเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ไม่ได้พูดเล่น ไม่ได้พูดพล่อยๆ พูดอวดโอ่หลอกลวง มันไม่ใช่ มันเป็นเรื่องต้องบอกความจริงที่มีในมนุษยชาติ ที่เป็นไปได้

พวกคุณจะนึกอย่างไรก็ไม่ทราบได้แต่อาตมาบอกความจริงลงไปอีกที ในการยกตัวเอง เพราะ การจะมาเป็น อาตมาเป็นในปางนี้ชาตินี้ก็ตาม ตลอดเวลาที่อาตมาทำมา 50 กว่าปี มันไม่ใช่เรื่องสามัญธรรมดาที่คนจะมาลอกเลียนทำ จนกระทั่งเกิดคน เกิดเป็นชุมชน หมู่กลุ่มมนุษยชาติ เอาหลักฐานของพุทธเจ้ามาอ้างอิงยืนยัน เป็นชุมชนสาราณียธรรม 6 เป็นคนที่เกิดจิตที่เป็นวรรณะ 9 เกิดพุทธพจน์ 7 ต่างๆนานาพวกนี้ หรือแม้แต่ไล่ไปตามมูลสูตร 10 ก็ดี

ปฏิบัติตามหลักจรณะ 15 แล้วเกิด วิชชา 8 เป็นยาดำผสมช่วยกันให้เกิดเจริญ ให้เกิดเป็น ฌานเป็นวิมุติก็ดี จะเกิดจริงเป็นจริงมีตัวบุคคลเป็นพฤติกรรมจริงวัฒนธรรมจริง คุณก็เอาชีวิตมาทิ้งอยู่กับอันนี้เลย ไม่เอาอื่นแล้วเอาอันนี้เลย ก็เป็นความจริงทั้งนั้นเลย 

ใครจะมาอธิบายขยายความเหตุผล เหตุปัจจัยว่าดีกว่าแนวอื่นอย่างอื่น ก็เทียบได้ เทียบจนกระทั่งคุณบอกว่าไม่ต้องเปรียบเทียบอีกแล้ว ก็อย่าไปดูถูกเขาอีกอย่างนั้น เทียบได้เทียบไป คุณจะได้ความจริงความรู้ที่เป็นคู่ทีละคู่ๆ เทียบกันไป มันจะไม่มีอะไรที่ เผินๆ แต่มันเป็นจริง 

เป็นการเรียกด้วยภาษาโลกๆว่า ไร้เทียมทาน ไม่มีอะไรเทียมได้นั่นแหละ ไม่มีอะไรที่จะเทียบกันได้อีกจริงๆ ไม่ใช่ไปหลงตัวหลงตน มันเป็นความเหนือชั้น เหนือ อุตริ แปลว่าเหนือชั้นที่ห่างจริงๆ เป็นความเจริญที่ระดับโลกุตระ 

เพราะฉะนั้นความจริงอันนี้จะปรากฏ จะมีขึ้นในสังคมเพิ่มขึ้นๆ ไม่ง่าย แต่มันมีจริงเป็นจริง ไม่หยุดหรอก เพราะมันอยู่ในภาวะที่ยังเป็นความเจริญ เหมือนเด็ก ยังจะต้องเจริญเป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นคนแข็งแรงไปอีก จนกระทั่งถึงสุดยอดแล้วมันก็จะลง ยังไม่ถึงสุดยอดก็ยังเจริญวัย เจริญขึ้น ช้า เพราะมันเป็นการเจริญอย่างชันมาก เหมือนรูปที่อาตมาทำเป็นแพทเทินไว้

เป็นรูปสามเหลี่ยมที่อาตมาเคยให้ไว้ อาตมาให้เวลา 500 ปีจะถึงยอด ตอนนี้ผ่านไป 50 ปียังอีก 450 ปีเอง แต่ปฏิภาคทวีมีความเจริญมากขึ้นนะ จากวันนี้ไปจะค่อยๆมากขึ้น ต่อไปมันจะปฏิภาคทวีขึ้น กว่าจะถึง 500 ก็ก้าวหน้าเร็วขึ้นไปเรื่อยๆ พอถึง 500 ปีประมาณนั้น สุด peakสุด เต็มแล้ว มันก็จะลง ก็จะเสื่อมไปเป็นธรรมดา 

ก็จะมีคนไม่อยากให้เสื่อมแต่มันก็ต้องเสื่อม เพราะว่าโลกมันแรง โลกมันแรงกว่าโลกุตระ โลกุตระมันชนะ แต่มันก็ต้องแพ้ ไม่รู้จะพูดภาษาไหนแล้วนี่ภาษาจริง สุดท้ายโลกก็ครอบงำ จนกระทั่งสุดท้ายมันหมด หมดศาสนาพุทธไปอีก ต่อไปจนกระทั่งถึง 50 ปีตามความเป็นจริงของศาสนาพุทธของพระสมณโคดม มันก็จะหมด ไม่มีอะไรที่จะมาห้ามได้เลย ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะพยากรณ์ หรือว่าสาวกที่เป็นพระเถระต่างๆที่จะพยากรณ์เอาไว้ว่า 5,000 ปี สุดศาสนาพระพุทธเจ้า ที่ผ่านมา 2,500 กว่าปีแล้ว ต่อไปอีก 2,500กว่าปี ก็จะสุด ก็จะหมดยุคพระพุทธเจ้า ก็จะว่าง ว่างจากศาสนาพุทธนี้ไปอีกนาน 

ศาสนาพุทธจะไม่บังเกิดในกลียุค มันจะฆ่าฟันล้มล้างกันมนุษย์มะนา มันจะโหดเหี้ยมไม่เหลือหรออะไรเลย ตอนนี้มันก็มีความซับซ้อน คนที่จะมีปัญญารู้โลกุตระจะมีเพิ่มขึ้น แต่คนที่เป็นโลกียะที่บ้าดีเดือดมันก็มีเพิ่มขึ้นเหมือนกัน เพราะจำนวนคนโลกียะ ในโลกเจริญขึ้นเป็นปฏิภาคทวี กับคนที่เป็นโลกุตระเจริญขึ้นเป็นปฏิภาคทวีเหมือนกัน อัตราการก้าวหน้าของคนโลกียะกับคนโลกุตระ อันไหนจะมากกว่ากัน .. ของโลกียะมันมากกว่าแน่นอน 

แม้โลกุตรธรรมจะมีพลังแรง ต้านไว้ได้ๆ ก็วันหนึ่ง ปฏิภาคทวี ของโลกียะมันก็มากท่วม จนกระทั่งโลกุตระไปไม่ออก นี่เป็นสัจธรรมที่จะไปบังคับอะไรไม่ได้เลย เดรัจฉาน ก็จะมีอีกเยอะแยะมากมาย กว่าจะพัฒนาจากเดรัจฉานโตขึ้นมาเป็นมนุษย์ 

มนุษย์อเวไนยสัตว์ สัตว์ที่สอนไม่ได้ จนกระทั่งเจริญมาเป็นสัตว์ที่สอนได้ สอนได้ในโลกียะก่อน จนกระทั่งเก่งเป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งสร้างศาสนาโน่นแหละ ได้ด้วย ยังไม่มีโลกุตรธรรมก็ฆ่ากันตาย วนเวียนตามประสาเขาเหมือนกัน แต่ของโลกุตระนั้น มีความรู้พระพุทธเจ้าสอน อาตมาก็มีความรับรู้มาจากของพระพุทธเจ้าได้ จนกระทั่งเอามาอธิบายสู่ฟัง โลกุตระก็จะมีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไป เหมือนกัน ตามระบบของโลกุตระ โลกียะ เขาก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไป เกิดขึ้นมามากๆก็ฆ่ากันเป็นเบือ โลกียะก็เหมือนกัน 

แต่โลกุตระไม่ได้ฆ่ากันนะ แต่เสื่อมกันไปโดยที่คุณธรรม มันเสื่อมไปเอง 

สู่แดนธรรม… ตามข้อสุดท้ายของรูป 28 ถึงอย่างไรก็ต้องเข้าสู่กฎความไม่เที่ยงแท้

พ่อครูว่า... อนิจจัง เป็นตัวสุดท้ายของลักษณะ 4 ของ อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา เป็น 4 ข้อสุดท้ายของลักษณะ 4 ของรูป 24 อุปาทายรูป หรือรูป 28 ถ้ารวมทั้งดินน้ำไฟลม ไปด้วย อันสุดท้ายจะเป็นอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นสัจจะที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ยังไม่ขาดหกตกหล่นอะไรมากหรอก แม้ จะกระจายไป เช่น ธรรมนิยาม 5 ไม่ได้มีในพระไตรปิฎกชุดนี้เลย ของพระมหากัสสปะ เพราะว่าความรู้ของชุดบริวารของพระมหากัสสปะที่ทำสังคายนานี้ไว้ มันแคบ ก็เก็บได้แค่นี้ 

ซึ่งธรรมะนิยาม 5 ไม่มีในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ ที่ใช้กันอยู่นี้ ไม่มี แต่อาตมาไปเจอในของพุทธโฆษาจารย์ ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ว่า โอ้! อันนี้เป็นของพระพุทธเจ้านี่ ก็มหากัสสปะ เจโต ก็ได้ของท่านแค่นั้น อาตมาไม่เหมือนพระกัสสปะ อาตมารู้ เป็นสายปัญญาตรง ท่านกัสสปะเป็นสายศรัทธาตรง อาตมาก็เอามาใช้อธิบาย 

ถ้าไม่มีธรรมนิยาม 5 ไม่มีทางบรรลุอรหันต์ แต่ทำไมสายพระกัสสปะบรรลุอรหันต์ เจโต ก็จะมีได้แต่ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ทำไปโดยได้รับคำสอนก็ทำไปๆ ก็ได้บรรลุเป็นสาย เจสวยโต ศรัทธา อาตมายังขยายให้ละเอียดลออไม่ได้ ก็ฝากไว้ก่อนโอฬาร

สู่แดนธรรม… พ่อท่าน อธิบายความเจริญความเจริญก้าวหน้าของโลกียะกับโลกุตระ ซึ่งมีอัตราส่วนเป็นปฏิภาคทวี ระยะ 500 ปี อัตราความเจริญของโลกุตระ ก็คงจะต้องขยายความก้าวหน้าไปมากกว่านี้ พวกเราก็อดคิดไม่ได้ว่า แล้วถ้าพ่อท่านจะจำลอง ลักษณะความเป็นไปได้สักอย่างไหมว่า ในระยะ 500 ปี ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่จะเจริญไปข้างหน้า มันจะสามารถมาแทนเศรษฐกิจของโลกได้ไหมครับ 

พ่อครูว่า... มันไม่ใช่แทนหรอก เศรษฐกิจอย่างนี้เศรษฐกิจอย่างโลกุตระก็เป็นเศรษฐกิจที่ทวนกระแสกับเศรษฐกิจโลกียะ โลกียะได้เปรียบเขามามากเท่าไหร่ เขาว่าเจริญ แต่ว่าโลกุตระมันตรงกันข้ามกันเลย มันเสียไปได้มากเท่าไหร่ สละไปมากเท่าไหร่ มันเจริญ มันคนละขั้วกันเลย อันนี้แหละ ในมนุษย์ที่เจริญ 

แม้เขาจะเป็นโลกียะ เขาก็จะรู้ว่า พวกนี้ ไม่ใช่เขาไม่มีสมรรถนะ คนชาวอโศกไม่ใช่ไม่มีสมรรถนะ ไม่รู้เรื่อง ไม่มีฝีมือ ไม่มีความรู้ ไม่สามารถจะสร้างอะไรได้ แต่ทำได้ ดีด้วย โดยเฉพาะเรื่องพืชพรรณธัญญาหาร เน้นอีกๆๆ พันเที่ยวร้อยเที่ยว หมื่นเที่ยวแสนเที่ยว จะมีสมรรถนะในการสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร 

คิดดูสิ มัน okinawa ใหญ่กว่าหัวอาตมาอีก น้ำหนักถึงเกือบ 5 กิโลกรัม อะไรอย่างนี้เป็นต้น กล้วยนี่ดูสิ หวีนึงกี่ลูก มันเหมือนประชด แต่ไม่ได้ประชด มันเจริญตามความเป็นจริง พวกเราจะรู้เหตุปัจจัยต่างๆ ว่าอันนี้เป็นเหตุปัจจัยที่ถูกต้อง เราก็จะสร้างสิ่งที่เรียกว่า ปุ๋ยก็ดี น้ำจุลินทรีย์อะไรก็ตาม ที่เป็นอาหารที่จะให้กับพืช เราก็จะรู้มีความรู้ยิ่งๆขึ้น แล้วก็จะยิ่งทำได้ดีก็จะยิ่งดีขึ้น 

เพราะอย่างนี้แหละคนถึงศรัทธา คนจะอยู่ในที่ไหนๆ จะอยู่แอฟริกา จะอยู่New Guinea จะอยู่ตะวันออกกลางก็ต้องกิน แม้คุณจะกินเนื้อสัตว์ก็ตาม คุณจะหลงกินเนื้อสัตว์มากก็ตามคุณก็ต้องกินพืช คุณจะไม่ค่อยกินพืชก็ไม่เป็นไร แต่ที่สุดคุณจะต้องกินพืชด้วยความรู้และสุดท้ายด้วยความจำนน 

สุดท้ายด้วยความจำนน ก็คือ สุดท้ายเขานึกว่าสัตว์โลกมันจะมีท่วมโลก ก็เหมือนกับมนุษย์นั่นแหละมันฆ่ากันเอง สัตว์โลกเห็นมันฆ่ากันเองไหม มันฆ่ากันเองแล้วมันโหดร้ายกว่าคนด้วย มันจะไปรู้อะไร มันฆ่ากันเอง มันไม่ฆ่ากินด้วยนะมันฆ่าทิ้ง เหมือนคนในโลกที่ฆ่ากันทิ้งเฉยๆด้วยนะไม่กิน สัตว์ที่มันฆ่ากันกินมันก็กิน กินแล้วมันก็ทิ้งๆขว้างๆ มันทิ้งขว้าง มันฟุ่มเฟือย 

เสือ โอ้โห เป็นคณะเลยนะ มันล้ม แน่นอนล้มช้าง เสือ 10 ตัวล้มช้างเลย ช้างตาย มันกินไม่หมดหรอก มันหนีทิ้ง หมาไฮยีน่า มาเก็บกินเดนต่อ อีแร้งมันก็มาเก็บกินตอนสุดท้าย มันจะฆ่ายีราฟมันก็กินไม่หมด มันก็ทิ้งซากไว้ให้สัตว์อื่นกินต่อ จนกระทั่งอีแร้งมาเก็บกินตอนสุดท้าย หรือสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่อยู่ในพื้นดินมากินต่อ หนอนชอนไชไปหมด อย่างนี้เป็นต้น มันก็เป็นธรรมชาติมากมายลึกซึ้งซับซ้อนอยู่ในนี้ 

สรุปแล้ว พืชพรรณธัญญาหาร คุณจะทำให้ชีวิตมันหมดไปอย่างไร มันก็เกิดเมื่อมันมีดิน ในน้ำมันก็มีพืชพันธุ์ธัญญาหาร กินได้ พืชพันธุ์ธัญญาหารกินได้ก็เยอะ ในดินก็เยอะ 

สู่แดนธรรม... นอกจากชาวอโศกแล้ว คนไทยจะสนใจโลกุตระเพิ่มขึ้นไหม ต่างประเทศจะมีทิศทางเพิ่มขึ้นไหม 

พ่อครูว่า... ได้ จะมีทั้งคนไทยจะเพิ่มขึ้น จะมีทั้งคนต่างประเทศที่แสวงหาอยู่ จริงๆ แน่นอน จะมีเพิ่มขึ้น อาตมาบอกเป็นปริมาณ บอกเป็นจำนวนไม่ได้ บอกเป็นอัตราไม่ได้ บอกได้กว้างๆ มีเพิ่มขึ้นแน่นอน ที่มั่นใจเช่นนั้นก็เพราะว่า 

อันนี้มันเป็นความสูงสุดยอดของคุณธรรมมนุษยชาติ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ค้นพบแล้ว มันไม่มีอะไรสูงยิ่งกว่านี้อีกแล้ว ไม่ว่าจะกินอาหาร อาหารการกินก็ตาม ไม่มีอะไรจะสูงไปกว่านี้ มนุษย์สุดท้ายมากินพืชพันธุ์ธัญญาหาร สูงสุด ไม่มีกรรมวิบาก ไม่ไปเบียดเบียนอะไรใคร ไม่มีอะไรจะเป็นภัยเป็นโทษเลย 

เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรจะไปค้านแย้ง ที่จะไปล้มล้างคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ นอกจากเข้าใจผิดเอง มิจฉาทิฏฐิเอง ก็แย้งอาตมาหรือว่าแย้งความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไว้ อาตมาก็เอามายืนยัน ใครยังไม่เชื่อก็พิสูจน์ไปเถอะ อย่ารีบตาย หรือตาย ก็จำให้ได้ว่ามีความรู้เหล่านี้ เกิดมาให้มีสัญญาเก่าระลึกชาติจำความรู้เหล่านี้ได้มาต่อให้ดีๆ แล้วคุณจะรู้ความจริงเลยว่า สุดท้ายคุณจะจำนน ว่าความจริงนี้มีหนึ่งเดียว ไม่มีอะไรแย้งหรอก พระพุทธเจ้าก็ตรัสเอาไว้เอง 

สู่แดนธรรม… นี่คือลักษณะที่จะบอกความจริงที่จะปรากฏในอนาคต จะปรากฏตามธรรมใช่ไหมครับ ผมเคยจำได้ พ่อท่านเคยบอกว่า ที่พูดๆไปนี่ ว่า อโศกเพื่อมวลมนุษยชาติ จะเป็นไปได้ก็เพราะว่าเป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้  ที่เป็นไปได้เพราะว่ามีหัวเชื้อ มีพ่อท่าน มีสมณะ สิกขมาตุ แล้ว

ธรรมนิยาม 4ข้อ

1. ตถตา (ตนเป็นเช่นนั้นๆ ได้อย่างอัตโนมัติแล้ว หรือได้ความว่างเป็นสัจธรรมเช่นนั้นเองในตัวแล้ว) 

2. อวิตถตา (ความจริงที่เที่ยงแท้แล้ว-ไม่กลับกลาย) 

3. อนัญญถตา (เป็นไปอย่างนั้นแน่จริงชนิดไม่มีสิทธิ์เป็นอื่นอีกแล้วอย่างนิรันดร์) 

4. อิทัปปัจจยตา (เพราะเป็นสิ่งนั้นได้จริงแล้ว  จึงสืบต่อเชื้อความจริงในสิ่งนั้นได้.. อย่างมีของแท้จริงเกิดขึ้นสืบทอดให้กันและกันจริง) 

พ่อครูว่า... ด้วย แล้วเรื่องของ สัจธรรมอีกอย่างหนึ่งก็คือ สัจธรรมที่เป็นสัญญาหรือความจำ ความจำมันก็จะฝังในอนุสัยของมนุษย์ ของสัตว์โลก โดยเฉพาะมนุษย์อาริยะ มนุษย์เจริญ มันก็จะดึงเอาความจำมาใช้ได้ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็มีสัญชาตญาณความจำเดิมเอามาใช้ มนุษย์จะเป็น อเวไนยสัตว์ สัตว์ที่ยังสอนไม่ได้ มันก็จะเอาความจำมาใช้ มีสัญชาตญาณเอามาใช้  แต่มันแยกแยะยังไม่เก่ง

จนมาเป็นมนุษย์อริยะ มนุษย์ที่รู้จักแยกดีแยกชั่ว แยกถูกแยกผิด ชัดก็เอาแต่ดีมาใช้ ซึ่งยิ่งมีดีก็อาศัยดี แต่สุขกับทุกข์ตรงกันข้ามกัน สุขกับทุกข์เป็นหนึ่งเดียวกัน มันก็คือทุกข์นั่นแหละ หรือ สุขไม่อาศัย ส่วนดี ต้องอาศัย ฟังให้ดีนะ ดีต้องอาศัย พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า แม้ท่าน ก็ไม่สันโดษในกุศล คำนี้ เคยเอามาพูดแล้ว ทั้งๆที่ท่านก็จะปรินิพพานเป็นปริโยสานแล้ว ท่านจะจบแล้ว แต่ความเป็นสันโดษในกุศลธรรม ความเป็นผู้ไม่ย่อหย่อนในความเพียร 

อุปัญญาตธรรม 2 (ความรู้ทั่วถึงในคุณของธรรม)

1. ความเป็นผู้ไม่สันโดษในกุศลธรรม (อสันตุฏฐิตา) กุศลไม่เที่ยง จึงบูรณาการได้อีก  

2. ความเป็นผู้ไม่ย่อหย่อนในความเพียร (อัปปฏิวาณิตา)  

(พตปฎ. เล่ม 20  ข้อ 251)

ไม่สันโดษคือไม่หยุดไม่พอ ถ้าสันโดษก็คือหยุดพอ ไม่สันโดษคือเจริญก้าวหน้าไปเรื่อยๆ นี่คือสัจจะที่ศึกษาให้ดีๆ 

สู่แดนธรรม.. สรุปจบ

 


เวลาบันทึก 01 มีนาคม 2565 ( 21:43:58 )

650302

รายละเอียด

650302 พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ พ่อครูตอบปัญหาผ่าพญาครุฑ ฉุดพญานาค

https://www.boonniyom.net/51174.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1tlVsTxMIisVmsHUkhC46sYDEAV-Y2zd4L45hMPfny-w/edit?usp=sharing    

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1pvaAEWhwKAnBNCMl-ffKcVYEVTCEwTr8/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/684322819676308 

และ

 

สมณะฟ้าไท... วันนี้เป็นวันพุธที่ 2 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ในหนังอโศกมหาราช การแก้ไขปัญหาคือการห้ำหั่นกันด้วยกำลัง แต่ในยุคสมัยนี้คนใช้คำพูดเป็นหลัก ข่าวที่ออกมา จนไม่รู้ว่าอะไรคือจริงอะไรคือหลอก คนจึงต้องมาฟังธรรมจากพ่อครูเพื่อเปลี่ยนแปลงจากโลกิยะเป็นโลกุตระ ถ้าคนสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นคนโลกุตระได้โลกนี้ก็ดีขึ้นแน่นอน พ่อครูให้คนมาอยู่ที่นี่ 777 คน ซึ่งเกิดขึ้นไม่ง่ายเลย แต่ถ้าประกาศให้คนมาเอาเงิน คนมาหนาแน่นแน่เลย แต่ถ้าจะให้คนมาเอาโลกุตระนั้น เป็นเรื่องที่ยากกว่ามากเลย แต่ถ้าคนมาเอาได้จริงๆแล้วก็จะดีมากเลย 

พ่อครูว่า...บนโต๊ะนี้จะเห็นว่ามีแตงโมอยู่มากเลย วันนี้ก็ได้ฉันลงไปด้วย มาจากอำเภอเขมราฐ จากคุณหวาน นามสกุลเบิกบานใจ มีกะหล่ำปลี มาทั้งกอ จากสวนอาจารย์ข้าดิน ขึ้นเครื่องบินมาเลย 

SMS วันที่ 26-27 กุมภาพันธ์ 2565

 

พญานาคใต้ก้นบาดาลตื่นตอนไหน

_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม  · กราบขอบพระคุณพ่อท่าน และท่านสมณะที่ให้ความกระจ่าง เรื่องพญานาคได้ให้ได้เข้าใจ ถ้าไม่เข่นนั้นก็จะแยกแยะไม่ออก พญานาค พญาครุฑ กราบขอบพระคุณค่ะ

พ่อครูว่า..อาตมาก็ยังไม่เต็มที่ยังไม่เต็มใจตัวเองในการอธิบาย ยังจะแยกแยะและอธิบายไปอีก วันนี้มีของเก่าเขียนมาก็เลยยังไม่อยากอ่าน พญาครุฑยังไม่ได้ขยายความเท่าไหร่ แต่พญานาค พยายามทำความเข้าใจกันก่อน ว่าพญานาคมันเป็นสมมติสัจจะ แต่ว่ามีไหมมันเป็นสัจจะคือสมมุติ มันไม่ใช่เรื่องของภายในจิตวิญญาณ 

คำว่าพญานาคไม่ใช่คำยกย่อง แต่เป็นคำดูถูกดูแคลน โดยเฉพาะพญานาคสำหรับคนที่ไม่เข้าใจเลยก็ติดยึดกันทำให้จมอยู่ในพญานาค จนมีอยู่ข้อหนึ่งบอกไว้ชัดด้วย ว่าเป็นพญานาคชนิดที่นอนหลับไม่รู้คู้ไม่เห็นอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร ที่พระพุทธเจ้าองค์ที่ 1 อุบัติขึ้นมาในโลก ก็มีถาดทองคำที่ลอยทวนกระแส ก็เป็นความหมายบุคลาธิษฐาน ลอยมาซ้อนตั้งแต่ถาดใบที่ 1 จนกระทั่งมีพระพุทธเจ้าองค์ที่ล้านๆ แล้วพญานาคมีหน้าที่เฝ้าถาดทองคำใต้ก้นบึ้งมหาสมุทร แล้วจะรู้สึกเพียงแต่แค่เสียงของถาดทองคำ ที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแต่ละองค์ ลอยมาถึงที่นี่ก็จะตกลงมาที่เดียวกันหมด แล้วก็มากระทบกับถาดทองคำใบที่อยู่บนสุด  องค์ใหม่มาก็ลอยถาดทองคำของพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ก็ลงมากระทบกับองค์ก่อนที่พึ่งจบไป 

ได้กระทบกันเสียงดังจะเรียกว่า กริ๊กไม่ได้ เสียงนี้ต้องเป็นเสียงพิเศษ ที่พญานาคได้ยิน ปกติแล้วพญานาคนอนหลับไม่รู้คู้ไม่เห็นไม่ได้ยินเสียงอื่นเลย ได้ยินแต่เสียงพระพุทธเจ้า เป็นธรรมาธิษฐานว่า โลกนี้มีศาสนาพุทธมีพระพุทธเจ้า นอกนั้นข้าไม่รู้อะไรเลย ตัวข้านี้มืดบอดสนิท หลับตลอดหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น หอกแทง 300 เล่มเช้า 100 กลางวัน 100 เย็น 100 ก็ไม่สะดุ้งสะเทือน ไม่รู้เรื่อง ข้าก็จะหลับของข้าหลับตา หลับตาปฏิบัติเป็นโจรปล้นศาสนา 

ผู้หลับตาปฏิบัติเป็นโจรปล้นศาสนา ความหมายอันนี้ลึกซึ้งมาก การหลับตาปฏิบัติมันเป็นโมฆะ มันทำลายศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธต้องลืมตาปฏิบัติ ตื่น รู้รอบ ตาหูจมูกลิ้นกายใจสำรวมอินทรีย์ ตื่นอยู่ไม่มีหลับ ปฏิบัติลืมตาบรรลุธรรมก็ลืมตา หลับก็เป็นแต่เพียงนอนหลับพักเท่านั้นเอง ธรรมดาก็มีสติเต็มร้อยลืมตา 

อาตมาเขียนข้อต่างๆเกี่ยวกับพญานาคไว้เป็น 10 ข้อแล้ว ก็ฝากไว้ก่อน 

 

_แดง ลานกราบ  · ท่านคะจริงๆแล้วพญานาคมีจริงไหม เคยได้ยินว่าทศชาติของพระพุทธเจ้ามีอยู่หนึ่งชาติที่เป็นพญานาค และพระพุทธเจ้าก็บอกให้พระโมคคลานะปราบพญานาคไม่ใช่หรือคะ

พ่อครูว่า.. เป็นตำนานเล่ากันมาก็ผิดเพี้ยนไปเรื่อยๆ เหมือนตำนานกาเช็ดศพ คนพูดเป็นคนอีสานมาเล่าให้เพื่อนฟัง ก็บอก เห็นปลาเจ็ดศพ หรือกาเจ็ดสบ คือ กาเจ็ดปาก (สบคือปาก)  กลายเป็นของประหลาด

 

_Ka Por ข้าพอ  · ชื่นชมทีมปัจฉา

 

ตอบปัญหาผ่าพญาครุฑ ฉุดพญานาค

_บรรจง ทะเลธรรม . กราบนมัสการพ่อครูโปรดวินิจฉัยข้อเขียนของป้าหมอดังนี้ครับ  ศีล เป็นข้อปฏิบัติของปุถุชนเพื่อความเป็นปกติ หนักไปทางการปฏิบัติภาคกาย แต่ยังไปไม่ถึง การประจักษ์ในจิตญาณที่เป็น จิตเดิมแท้ อัน บริสุทธ์ สว่าง เปี่ยมด้วยปัญญาที่จะพาตนให้หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งแปดในความเป็นปุถุชน เป็นบุคคลที่มี ทวิภาวะ 

  เมื่อศีลสมบูรณ์  และบริสุทธิ์แล้ว บ่มเพาะคุณธรรม ในตวามรักที่ไม่หวังผล ความเมตตาที่ไม่มีขีดจำกัด เป็นมหาเมตตา ต่อสรรพสิ่ง สรรพสัตว์ จะพาให้ ประจักษ์ในตัวตนที่ว่านั้น

   กาลเวลานี้ เป็นกลียุค ภัยจากจิตใจคนที่ตกตำมืด ก่อเกิดพลังที่เป็นไอธาตุอัปมงคลกระจายไปทั่ว  ส่งผลร้ายต่อมวลมนุษย์ที่อยู่ห่างไกลไม่เลือกว่าตนดีหรือไม่

   อะไร จะข่วยยับยั้งให้พลังร้าย พลังทำลายจิตใจคน เข้ามาควบคุมจิตใจคนให้ห่างจากจิตที่ดีงาม

   มีแต่พลังบวก พลังที่เกิดจาก จิตที่ดีงาม ซึ่งเริ่มต้นที่ความคิดดี คิดช่วยเหลือ คิดเป็นประโยชน์มวลชนไม่เลือกเขา เรา จากความคิด ดี ก็นำไปสู่วาจาที่ดี และท้ายที่สุดก็ต้องมีการกระทำที่ดี เกิดเป็นรูปธรรม มิใช่เพียงคิดและพูด

  นี้คือสิ่งที่มนุษย์ต้องเข้าใจและยกระดับการมีศีล ขึ้นให้สูงถึง จิตวิญญาณที่จะต้องสูงขึ้นๆในกาลเวลานี้

 นี้คือความหมายของสิ่งจริงแท้ในตัวตนค่ะ   

เมื่อ กายและใจ เป็นเหตุปัจจัยที่พึ่งพาอาศัยกัน  การปฎิบัติระดับกายพอเพียงที่จะดำรงชีวิตบนโลกในปัจจุบันไหม ถ้าไม่รู้จักส่วนจริงแท้ของความมีขีวิต คือใจ อีกใจหนึ่งที่แท้จริงคือจิตวิญญาน ที่จะช่วยให้ตื่นรู้ด้วยปัญญา พาตนให้พ้นทุกข์ในวงกว้าง มิใช่จำกัดอยู่ในคนหมู่น้อยที่จะเข้าถึงด้วยศีลเป็นสิ่งสำคัญเพียงอย่างเดียว  คนส่วนใหญ่ต้องหลุดพ้นให้ได้ในกาลเวลากัลป์สุดท้ายนี้

ถ้าเรายังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงที่ไม่มีรูปลักษณ์ เพราะเป็นเพียงพลังงาน ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เรียนรู้ด้วย ตา หู ลิ้น กาย ใจ (ใจตัวนี้ก็ยังเป็น สังขตะธรรม) ยังไม่รู้จัก ซึ่งเมื่อไม่รู้จักก็ย่อมเข้าไม่ถึง  "ใจ" ที่ไม่มีเหตุปัจจัยเป็นตัวก่อเกิด ก็คือใจที่เป็น อสังขตธรรม หรือ จิตเดิมแท้ , จิตพุทธะ หรือธรรมแท้ที่มีในทุกคน นั้นเอง  ธรรมแห่งการการหลุดพ้นจากวัฏฏสังสาร

พ่อครูว่า..รู้มากจะยากนานคนนี้ อธิบายเหตุผลเหตุปัจจัยวนกันไปยาวๆ ก็เข้าใจว่าคุณ แต่ถ้าเป็นอย่างคุณบรรจงไม่ได้ข้อสรุป ศีล คือข้อกำหนดให้ปฏิบัติ อย่างนั้นๆ คุณจะต้องสรุปลงให้ได้ แต่นี่คุณไปอธิบายศีลกับจิต อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา มันหมุนวน เป็นความเคลื่อนอิทัปปัจจยาการ เหตุปัจจัยแก่กันและกันไปตลอด ไม่เคยจบ ไม่มีข้อสรุป มันมีแต่ความเข้าใจ ไอ้นี่แหละ เป็นพิษเป็นภัยอย่างยิ่ง ที่มนุษย์ไปเพลินกับเหตุผล เหตุและผลที่เป็นตรรกะที่ยิ่งใหญ่ ที่หลอกคนให้หลงอย่างมากเลย 

แล้วมันจะมากเหตุและผลต่างๆไป จนกระทั่งไปหน้าลืมหลัง แล้วก็วนมาหาหลังไปอีกว่างไปเรื่อยๆ ไม่มีจบ ขออภัยยกตัวอย่างชัดๆ 

นี่แหละคือพญาครุฑตัวอย่างในประเทศไทย คือพระมหาประยุทธ์พระพุทธโฆษาจารย์นี่แหละ ท่านมีลักษณะอย่างนี้จบไม่ลง จนอาตมานี่ ขออภัยที่พูดความรู้สึกจริงว่าน่าสงสารท่าน ตรงนี้ท่านไปยึดอย่างนี้ ก็เลยกลายเป็น ปทปรมบุคคล รู้พระพุทธพจน์ก็มาก สอนคนอื่นก็มักทรงจำได้มากแต่ตนเองไม่ได้บรรลุธรรมในชาตินี้ โอ้โห เห็นแล้วน่าสงสารจริงๆ ไม่รู้จะช่วยยังไงเพราะช่วยไม่ได้เพราะท่านไม่ได้ศรัทธาอาตมา ท่านไม่ได้เชื่ออาตมา มันก็เลยยิ่งไปกันใหญ่ 

เพราะจริงๆขออภัย ต้องพูดอีก เพราะอาตมาเป็นคนที่ถูกต้องจริงๆท่านเข้าใจไม่ได้ เพราะฉะนั้นท่านยังไม่มีความเข้าใจ ไม่มีศรัทธาตัวต้นกับอาตมา มันจึงทำให้ท่านต้องเป็นอยู่เช่นนี้ ท่านจึงได้จมอยู่กับความรู้อย่างนี้ ท่านจึงตายไม่ลงที่จะต้องอยู่กับความรู้และเอามาบันทึกบรรยายให้คนอื่นได้รู้ ท่านจมอยู่ในตรรกศาสตร์ 

อาตมาว่า ขยายความยังไม่ละเอียดพอ ยังไม่เก่งแต่คงพอเข้าใจอย่างนี้เป็นต้น น่าสงสารท่านจริงๆ ท่านรู้มาก จึงยากนานจริงๆ เจาะเข้าไปสู่ปรมัตถ์ 

ศีลแต่ละข้อ ที่จะรู้ว่าผู้ปฏิบัติศีลแล้วจิตจะเกิดอธิจิต แล้วจะมีปัญญาชัดเจน เข้าใจๆทำให้เกิดวิมุติ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิมุติ จนเป็นวิมุตติญาณทัสสนะ แต่ไม่มีคุณลักษณะพวกนี้ไปด้วยกันไม่เป็นลำดับ ไม่มีอย่างนี้ ท่านก็ไปกับความรู้ที่เป็นเหตุผลตรรกศาสตร์ ก็ได้ตรรกศาสตร์กับปรัชญา อย่างนี้เป็นต้น ไป มากมายก่ายกอง 

ท่านเป็นภันเตอาตมา เพราะท่านบวชก่อน แต่ท่านอายุน้อยกว่าอาตมา เท่านั้นเองมันก็สลับกันบ้าง นี่แหละมันถึงว่ายาก มันก็มีมานะอัตตาหลายๆอย่าง เช่นท่านเองท่านได้ศึกษามามีผู้รับรองมีปัญญามีบัณฑิตต่างๆนานา ท่านได้ดุษฎีบัณฑิต ได้รับการยอมรับจากใครต่อใครต่างๆกว่า 10 ใบนะ ดุษฎีบัณฑิตของท่าน อาตมานี่ อย่าว่าแต่ดุษฎีเลย ปริญญาจัตวา ปริญญาตรีก็ไม่ได้แม้แต่ใบเดียว มันหลายอย่าง มันทำให้คนไม่เข้าใจในรายละเอียดพวกนี้เพราะฉะนั้นท่านก็ออกมาไม่ได้หรอก 

ท่านอาจจะไม่ได้เด่นในการที่ท่านจะลาภมากมาย แต่ท่านเองก็สบายท่านต้องการเท่าไหร่ก็ได้ ลาภมีคน Support แล้วท่านก็ไม่ได้ฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่ายอะไร ท่านมีแต่จะเอามาพิมพ์หนังสือ มีแต่เรื่องการศึกษาพวกนี้ทั้งนั้นแหละ ที่ท่านจะใช้จ่ายเอามาช่วยทำเพื่อเผยแพร่ไปให้ผู้อื่น แต่ยศ สรรเสริญ ท่านไม่รู้ตัวหรอก ยศสรรเสริญนี่แหละ อันตรายอันแสบเผ็ด

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ลึกเป็นอันตรายอันแสบเผ็ด แม้แต่พระขีณาสพ ท่านว่าถึงขนาดนี้ ซึ่งอธิบายซับซ้อนเป็นสิริมหามายา ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่รู้จะทำอย่างไร มันเป็นวิบากของท่านจริงๆ ท่านมีวิบากนั้นก็เลยต้องเป็นอย่างนั้น ก็เป็นไป จนกว่าท่านจะหมดวิบากและถอนทิฏฐิและจะฟังอาตมา มี ปรโตโฆษะ ฟังอย่างเข้าใจ มีมนสิการ 

ท่านก็เข้าใจมนสิการแบบของท่านว่าเป็นพิจารณาเท่านั้นเอง แต่อาตมาเน้นไปในทางมนสิการไม่ได้เน้นโยนิโส 

โยนิโสเป็นเรื่องของความรู้ แต่มนสิการเป็นการทำใจเป็นฐานจิต ท่านไม่เข้าหามนสิการท่านทำมนสิการไม่เป็น เพราะฉะนั้นในมูลสูตร มนสิการ เป็นตัวที่ 2 มนสิการ จึงเป็นตัวที่ยิ่งใหญ่มาก 

มูลสูตร มีฉันทะเป็นมูล มีมนสิการเป็นแดนเกิด ผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาเป็นที่ประชุมลง มีสมาธิเป็นประมุข มีสติเป็นอธิปไตย มีปัญญาเป็นอุตตระ มีวิมุติเป็นสาระ มีอมตะเป็นที่หยั่งลง จากอมตะเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน

เป็นรากของความรู้ทั้ง 10 นี้สุดยอดจริงๆ ถ้าอาตมาเขียนเรื่องมูลสูตร 10 ก็ได้อีกหลายพันหน้า 

ท่านลงไม่ถึงมนสิการ ท่านเข้าใจผิวเผินแค่เหตุและผล แทนที่จะไปโยนิโส คือเป็นความรู้ประกอบเหตุและผลนั่นแหละ แต่มันจะต้องไม่ทิ้งมนะ ไม่ทิ้งจิตแล้วต้องทำจิตมันต้องไปด้วยกัน ไม่ เพราะท่านอยู่ที่ท่านอธิบาย ท่านแปล โยนิโส ว่าเป็นการพิจารณาอย่างแยบคาย ก็เลยได้แต่พิจารณาแยบคายๆ แต่ไม่เข้าไปถึงจิต ไม่ได้ทำใจในใจเลย มีแต่พิจารณาแยบคายก็ได้แต่เหตุและผลเหตุ ปัจจัย เห็นไหม ขออภัยนะ อาตมาก็ไม่ได้ไปใส่ความ อาตมาวิจัยวิจารณ์ด้วยความจริงใจบริสุทธิ์ใจ ที่เห็นใจท่านจริงๆสงสาร 

ถ้าท่านเข้าใจตรงนี้ได้ ซึ่งมันก็ยาก เพราะว่าท่านไม่เชื่อที่อาตมาอธิบายบรรยาย มีแต่ท่านอ่านหนังสืออาตมาเพื่อจับผิด ไม่ได้อ่านหนังสือเพื่อให้เกิดปัญญา ให้เกิดความเข้าใจ อ่านเพื่อจับผิดมันก็เลยไม่ได้อะไรหรือฟังอาตมาบ้าง ฟังอย่างผิวเผิน ไม่ได้ฟังอย่างตั้งใจไม่ได้ฟังอย่างมีปัญญาข้อที่ 1 และ 2 

อาตมาไม่ใช่พระพุทธเจ้าแต่อาตมาก็เป็นสัตบุรุษ เพราะฉะนั้นผู้ที่จะฟังธรรมเกิดปัญญาก็จะต้องฟังแล้วฟังอีกตามข้อที่ 2 ไม่ใช่คุณฟังธรรมะพุทธเจ้าแล้ว คุณก็เอาแต่รู้อะไรไม่ต้องฟังอีกแล้ว ทะลุทะลวงไปได้หมดเลย ถ้าคุณมีพื้นฐานเป็นโพธิสัตว์ที่รู้อยู่แล้ว ได้แต่เพียงหัวข้อเป็น อุคฏิตัญญูก็ได้ แต่คุณเป็นอุคฏิตัญญูจริงหรือเปล่า หรือเป็นวิปัญจิตัญญู ได้มานิดหน่อย ต้องฟังซ้ำ ฟังเพียงไม่เท่าไหร่ก็บรรลุแล้ว 

สู่แดนธรรม... พวกสายที่ตักกะ ก็คือ บอกว่าปฏิบัติทำไมเพราะมันจะเกิดอัตตา แค่เข้าใจให้เกิดสมาธิ มันก็เข้าถึงธรรมะแล้ว จะไปปฏิบัติทำไม

ส่วนมากสายปัญญาแบบนั้น จะคิดอย่างนี้ 

พ่อครูว่า... ก็มีแต่ปริยัติไม่มีปฏิบัติ ก็ไม่มีทางมีปฏิเวธ ก็เป็นความรู้ที่ขาดพร่อง 

 

แหม่มสวิส..ชาวสวิสโดยส่วนมากไม่บริโภคนิยม ไม่วัตถุนิยม รักความสงบ รัฐมนตรีระดับสูง ไม่มีบริวารติดตาม ขี่จักรยานไปทำงาน หิ้วกระเป๋าหนังเก่าๆขึ้นรถไฟไปทำงาน

ซึ่งก็พบเห็นได้บ่อยๆถึงปัจจุบัน 

พ่อครูว่า... อาตมากำลังนึกอยู่ว่า ประเทศไทยเปรียบเทียบกับประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ประเทศไทยนั้นเป็นการให้น้ำหนักของ kama and time of continuum 

ไอน์สไตน์เขาสรุปมาแล้วว่าเป็น space and time of continuum มันต่างกับอาตมา อาตมาเข้าถึงจิตเจตสิกรูปนิพพาน แต่ไอสไตน์ยังอยู่กับรูปธรรมเท่านั้น 

เพราะฉะนั้นสูตรของไอน์สไตน์คือ  E=MC2  ส่วนสูตรของอาตมาคือ E=C(mc2 + A) นี่คือสูตรเต็มของอาตมา

ลูกของไอน์สไตน์บอกว่า คนยังเข้าใจไม่ได้หรอก ซึ่งเอาไปเป็นพลังงานสันติยังไม่ได้ สันติคือต้องมาปฏิบัติทางจิต เอาพลังงาน E=MC2  มาปฏิบัติทางจิต ก็ยังเข้าใจไม่ได้หรอกก็เลยสารภาพกับลูกสาวว่าไม่สามารถอธิบายได้มากกว่านี้ แล้วก็ขอให้ดูไป ว่าจะมีคนมาทำได้ จนกระทั่งคนเข้าใจแล้วรู้ว่าอันนี้เป็นเช่นนี้หรือ พลังงานวิเศษที่เป็นพลังงานทางจิตที่ยิ่งใหญ่มันเป็นอย่างนี้หรือ คนก็จะเข้าใจ แล้วก็จะ ฮือฮา เป็นระเบิด Bomb of Love 

ไอน์สไตน์ใช้คำว่า Bomb of Love เป็นระเบิดแห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ช่วยมวลมนุษยชาติ 

ก็มาเกิดในประเทศไทย เมื่อรัชกาลที่ 9 สิ้นพระชนม์ก็เกิด Bomb of Love ก็มีคนท้วงว่าไม่น่าจะใช้คำว่า Bomb น่าจะใช้คำว่า Explosion of Love

เกิดเป็นรูปธรรม อย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 มาเปิดเผยในส่วนของรูปธรรม ส่วนอาตมามาเปิดเผยธรรมะโลกุตรธรรมในส่วนที่เป็นนามธรรม ซึ่งมันลึกละเอียดยิ่งกว่ากันมาก ยากมากกว่ารูปธรรม เพราะรูปธรรมนั้นใครเห็นใครเข้าใจได้ง่าย ยอมรับนับถือบูชาในหลวง ร.9 อย่าว่าแต่ในประเทศไทยเลยในต่างประเทศก็เข้าใจ 

แต่ว่าของอาตมานั้นไม่ต้องพูดถึงต่างประเทศเลยเอาแต่ประเทศไทย ยังได้แค่กะติ๊ดหนึ่งเท่านี้ 50 กว่าปีแล้วทำงานมา ถ้าหากอาตมาทำงานถึง 70 กว่าปีเท่ากับในหลวง จะขยับ ขึ้นไปกว่านี้ไหม ก็คงจะขยับไปบ้าง 

 

SMS วันที่ 28 ก.พ. 65

 

SMS วันที่ 23-24 กุมภาพันธ์ 2565

_สติพล จนพัฒนา  · ข่าวด่วนวันนี้ 24 ก.พ. 2565 ปูตินเริ่มรบกับยูเครนระเบิดสนั่นหลายเมืองแล้ว.

 

_แก้วตะวัน พวงบุบผา  · กราบนมัสการท่านสมณะท่านสิกขมาตุด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ..

ยามหนุ่มสาวอย่าเอาแต่ใจไร้ประโยชน์   อย่ามักโกรธเป็นโทษภัยใหญ่นักหนา

ยามเมื่อเราเฒ่าชะแลแก่ชรา                คนจะพากันละทิ้งยิ่งเศร้าใจ

จงฝึกหัดดัดตนจนเลี้ยงง่าย เร่งขวนขวายเป็นอาจิณสิ้นสงสัย

ยามเฒ่าแก่ยักแย่ยักยันไม่น่าห่วงใย    มีคนให้การเลี้ยงดูน่าบูชา

 

_Kittima Ekmapaisarn กิตติมา เอกมาไพศาล · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูง, กราบนมัสการ สมณะและสิกขมาตุทุกท่านค่ะ ถ้าโยมมีคุณสมบัติแบบสิกขมาตุพูดเลย โยมจะสมัครไปอยู่กับท่านเจ้าค่ะ...

 

_คอยใคร · ชอบพ่อครูเล่าอดีต สนุกดีครับ

 

_สว่างแสง ขวัญดาว  · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ในวันศุกร์ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ลูกไม่เห็นพ่อครูมาเทศน์ ลูกเข้าใจว่าพ่อครูป่วยค่ะ ลูกก็ได้ทำใจ เป็นอนุปคัมมะ และตั้งจิตว่า จะตั้งใจปฏิบัติธรรมตามพ่อครูสอน ชีวิตของลูกคลายทุกข์ได้เพราะมาปฏิบัติธรรมตามพ่อครูค่ะ ลูกฝึกปลูกผัก ฝึกทำปุ๋ย และเอาผักไปแจกเพื่อนบ้าน เมื่อลูกได้ให้คนอื่น จิตใจก็คลายทุกข์ค่ะ ธรรมะที่พ่อครูสอนช่วยลูกให้หายจากอาการเศร้า หายจากโรคประสาท ลูกจะมุ่งมั่นพากเพียรต่อไปค่ะ น้อมกราบพ่อครูด้วยเศียรเกล้าค่ะ

 

_ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการ พ่อท่านด้วยสุดเศียร สุดเกล้า คือผมปฏิบัติศีล 8 อยู่ครับ ผมทานอาหารวันละ 1 มื้อ และเสาร์ อาทิตย์ 2 มื้อ ผมเดินตาม โพชฌงค์ 7 และมรรค 8 อยู่ครับ ผมยังทานอาหาร ปรุงแต่งอยู่ครับ และ สั่งอาหารที่ข้างสันติอโศก เป็นอาหาร(เจ)มาทานอยู่ครับ ผมมี อายุ 68 ปี แล้ว กลางวันมีการเอนกายบ้าง อยากถามพ่อท่านว่าผมเป็นอาริยะหรือยังครับ และบรรลุระดับไหนครับ ขอ อาราธนาให้พ่อท่านจงอยู่เกิน 100 ปี กราบนมัสการครับ

พ่อครูว่า... ตอบไม่ได้ ปัจจัยที่คุณบอกมามันไม่พอที่จะตอบได้เลย อาตมายังไม่เก่งพอที่จะตอบได้ว่าคุณ คุณก็บอกแค่ว่าทานอาหารแค่ 1-2 มื้อปฏิบัติศีล 8 ก็เอาเถอะ อายุ 68 ปี บรรลุระดับไหน รู้ด้วยตนเองดีกว่า ฟังธรรมะให้ดีแล้วรู้ไปจริงๆ อาตมาก็พยายามเจตนา​ อธิบายให้ชัดเจนจะได้รู้ตัว ไม่ใช่รู้จากใครบอก แต่เรารู้ตัวเองโดยเอาตัวเองเป็นที่ตัดสินเองมันสุดยอด น่าจะเป็นเช่นนั้นมากกว่า 

 

ทานอย่างผู้ให้ไหว้ผู้รับ ไม่ต้องหวังต่อ

 _ใบแพร : พ่อสอนว่า การให้ไม่ว่าจะด้วยกาย วจี มโนเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ ประเสริฐสูงสุด การให้ที่เกิดจากจิตวิญญาณไม่มี สาเปกโข เป็นการให้ที่ลึกซึ้งสุดที่จะพรรณนา ยิ่งให้ไปก็ยิ่งได้มายิ่งลึกซึ้งซับซ้อนขึ้นไปอีก เพราะสิ่งที่เราได้กลับมาไม่ใช่วัตถุ แต่เป็นนามธรรม 

สมัยก่อนเราจะขายอาหารเผยแพร่อาหารมังสวิรัติเป็นหลัก พ่อจะสอนเน้นย้ำเสมอว่า เราเป็นแม่ให้ ไม่ใช่แม่ค้า ได้ยินคำสองคำนี้เหมือนหงายของที่คว่ำ รู้สึกเกิดปัญญา คำว่า ให้นี้ลึกซึ้งนัก ทุกครั้งที่ทำอาหารขายของจิตสำนึกจะขึ้นมาเตือนสติเสมอว่า เราเป็นผู้ให้ๆ ที่ไม่ชอบคำว่า แม่ค้า พอได้ยินคนที่พูดจากระทบกระเทียบเปรียบเปรยเป็นคนปากตลาด บอกว่าแม่ค้าปากคลองตลาด 

เมื่อครั้งวันที่ 5 ธันวาคมเราจะตั้งโรงบุญ ทั่วประเทศ เราจะได้รับคำสอนว่า ผู้ให้ไหว้ผู้รับ 

พ่อครูว่า ทุกวันนี้เราก็ทำกันอยู่แต่ไม่ได้พูดเปรยให้ทำกันทั่วประเทศ เป็นเพียงรู้กันว่าให้ทำกันเป็นปกติ อาตมาอธิบายว่าต้องขอบคุณเขา เขามารับของเรา ถ้าไม่มีผู้มารับของเรา เราไม่มีการได้ให้ใครนะ เราได้ให้เพราะมีผู้มารับ เป็นบุญคุณมากที่คุณมาเป็นผู้รับ ไม่งั้นเราไม่ได้เป็นผู้ให้นะ เนื่องจากไม่มีผู้รับ ให้โดยไม่มีสาเปกโข คือ ให้โดยไม่มีจิตหวังจะมีอะไรต่อ ให้แล้วก็ตัดไม่มีภพชาติเลย ไม่หวังที่จะได้อะไรตอบแทน หรือไม่หวังไม่มีภพชาติอะไรต่อไป 

_ล.23 ข.49 ทานสูตร เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง

อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา(ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว

1. ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ

2. มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ

3. มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ

4. ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ 

ถ้าเป็นนามธรรม คุณจะไม่ขาดจากการยึดถือเป็นของข้า ตลอดกาลนานไม่ว่าจะเกิดอีกกี่ภพชาติก็เป็นของข้าๆ เอาของข้าคืนมา หรือ ต้องเอามาใช้หนี้ข้า สุดยอด ปริภุญฺชิสฺสามีติ จะเป็นภพชาติเป็นแดนอะไรอื่นต่อไปหมดเลย 

เทวดา 6 ชั้นก็คือสมมุติ เป็นเมืองหลอก 

 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สมณะฟ้าไท... 

 _ใบแพร : ความมหัศจรรย์ของนักปฏิบัติธรรม การปล่อยวางได้มากเท่าไหร่ ความสุขสงบเบาก็เข้ามาแทน 

เมื่อวันศุกร์ที่ 26 ก.พ. เป็นวันที่ลูกๆรอจะได้มาฟังธรรม แต่ได้ยินเสียงประกาศว่าวันนี้งด พ่อครูไม่ได้แสดงธรรม เป็นอะไรฉุกเฉิน ลูกๆหลายคนอาจสงสัยว่าพ่อเป็นอะไร เมื่อก่อนเราก็ทุกข์มาก แต่ปัจจุบันก็วางได้มากขึ้น 

 

พ่อครูว่า…ฝากไว้ก่อนเรื่องพญานาค แล้วก็พ่วงพญาครุฑไปด้วย เพราะ 2 คำนี้ยิ่งใหญ่ คือ คนติดยึดสองทิศ ดับสุด กับสว่างสุด สว่างจนพร่ากระจาย อุทธัจจะกุกกุจจะ กับ ถีนมิทธะ ยิ่งใหญ่มาก ไว้ค่อยอธิบายกันก็แล้วกัน 

 

ยุคนี้คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ

สำหรับวันนี้ก็เอาปฏิภาณปัจจุบันขณะนี้ โลกทั้งโลก เราก็จะเห็นตัวอย่าง อาตมาก็ดูจากข่าวคราวของโลก ตัวอย่างที่เป็นไปตอนนี้ก็มาออกบทบาทสูงมาก ตัวละครสำคัญขณะนี้ มีอยู่ 3 ตัวคือ 1. ที่ยูเครน 2. รัสเซีย 3. อเมริกา นี่คือตัวปฏิกิริยาที่เกิดอยู่ตอนนี้ ที่เขามะรุมมะตุ้มอะไรกัน ความฉิบหายมันก็ตกอยู่ที่ยูเครน 

ยูเครนเป็นประเทศที่มันเกี่ยวเนื่องกับรัสเซียเขา เคยเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ก็แยกตัวออกไป เสร็จแล้วเกิดกลียุคอะไรกันขึ้นมา  ดาราตลกได้มาเป็นประธานาธิบดี ข้างในประเทศก็เละกันใหญ่ รบกันยิงกันต่างๆนานาสารพัด รัสเซียก็ยื่นมือเข้าไป สหรัฐก็ยื่นมือเข้าไป ต่างบอกว่า ถ้ารัสเซียเข้า สหรัฐจะเข้านะ อะไรอย่างนี้ ซึ่งฟังๆแล้ว ต่างคนต่างจะเบ่งอำนาจกัน ดูแล้ว อาตมาว่าเหมือนเด็กๆเหลือเกิน ก็จะเป็นผู้ใหญ่ก็เป็นผู้ใหญ่  ก็ควรจะว่ากันไปตามลำดับ จะส่งสารส่งข่าว จะมีการติดต่อเชื่อมโยงกัน ก็ปล่อยให้มันฆ่าแกงกันแล้วเขาก็จะได้ขายอาวุธ ซึ่งเป็นความซับซ้อนของมนุษยชาติในโลก รัสเซียก็ขายอาวุธ อเมริกาก็ขายอาวุธ ยูเครนก็สร้างอาวุธเขาได้ พอได้เหมือนกัน แต่ว่าเมื่อฆ่ากันแล้วก็ต้องสั่งมา ผู้ใดมีอำนาจมากก็ยึดอาวุธของประเทศอื่นมาเป็นของตน ฝ่ายรัฐบาลก็ได้เปรียบ มันก็ต้องพึ่งพาอาวุธอีกฝ่าย นี่เป็นรายละเอียดต่างๆนานา 

สรุปรวมแล้วก็คือ มันทะเลาะกัน ทะเลาะกันจนกระทั่งถึงฆ่ากัน ยุคนี้ ไม่ใช่ยุคที่จะทะเลาะกันด้วยกันฆ่ากันแล้ว คนนะ มนุสโส จิตสูงแล้ว เพราะฉะนั้นเป็นเศษของความดิบเถื่อน เศษกิเลสของความดิบเถื่อนยังจะฆ่ากันอยู่ โดยเฉพาะคนฆ่ากัน มันน่าจะหมดไปแล้วจากยุคสมัยนี้ เพราะเจริญกันมากแล้ว แต่มันหมดไปไม่ได้ เพราะมันยังสร้างอาวุธ 

อาตมาออกโศลกมาว่า “คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ” แรงนะ ไม่ใช่เบา อันนี้ แรง 

ซึ่งมันเป็นเรื่องจริงๆเลย ถ้าเผื่อว่าคนเจริญเพียงพอ ไม่ต้องเสียเวลา เสียแรงงาน เสียทุนรอน ไปสร้างอาวุธมาฆ่ากันทำไม มันไม่สร้างอาวุธมาเพื่อล่าสัตว์หรอก อาวุธที่มันสร้างราคาแพงๆ ประสิทธิภาพสูงส่งนี่ มันเอามาฆ่าคน ลงทุนใช้พลังงานสูงสุด ประกอบทุกอย่างให้วิจิตรพิสดาร มีประสิทธิภาพสูงขนาดไหนๆ ที่มันแข่งสร้างกันอยู่นี้ มันสร้างกันมาเพื่อฆ่าคน 

เพราะฉะนั้นจิตของคน นอกจากจะฆ่าคนแล้วจะต้องให้มีประสิทธิภาพที่ฆ่าได้อย่างแรง ฆ่าได้อย่างมาก ลูกเดียว ตูม หมดประเทศเลยมันยิ่งชอบ มันจะต้องให้ได้ ใช่ไหม ซึ่งเห็นความอำมหิต โหด ของคนที่มีน้ำหนักของความอำมหิตโหดนี้ ขนาดไหน ยุคนี้แล้ว มันยังไม่หมดไปจากโลกเลย 

เพราะฉะนั้นเราจะต้องทวนกระแส เอาเรื่องรักกันเมตตากัน เกื้อกูลกัน ไม่ใช่เอาแต่เรื่องเบียดเบียนทำร้ายฆ่าแกงกัน อันนั้นมันหมดยุคแล้ว มันเป็นยุคของสัตว์เดรัจฉาน เป็นยุคของคนมิลักขะ คนเถื่อนคนป่าไม่ใช่ มันไม่ใช่ …มันเป็นยุคของ อาริยกะ 

เพราะฉะนั้นอาตมาก็จำเป็นต้องพูด แล้วพวกเราชาวอโศก ต้องปฏิบัติประพฤติให้มันสอดคล้องกับที่อาตมาพูดหน่อยนะ แต่ไม่มีหรอก ชาวอโศกเราตั้งแต่ตั้งมา 50 กว่าปี ไม่ได้มีความอำมหิตอะไรมากมายเลย ไม่เกิดความอำมหิต แม้แต่เรื่องที่ชาวอโศกจะทะเลาะวิวาทกัน ตามคุณภาพของพุทธพจน์ 7 ของพระพุทธเจ้า 

สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ  

พวกเราชาวอโศกประพฤติได้จริง ในสาราณียธรรม 6 มีพุทธพจน์ 7 เป็นตัวฐานรากของจิต มีพฤติกรรมแกนรากของจิต 7 ประการ

สาราณียะ คือ ระลึกถึงกัน ไม่ใช่ระลึกถึงด้วยกันเพื่อไปแก้แค้น แต่เป็นการระลึกถึงกันอย่างเมตตา เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าพอทรงตื่นขึ้นมาก็ระลึกถึงว่าจะไปโปรดให้ช่วยเหลือใคร เราก็ไม่ต้องถึงขนาดนั้น ก็ระลึกถึงคนนั้นคนนี้ พูดถึง ถามถึงกัน เป็นอย่างไรอยู่สบายดี หรือเกิดลำบากลำบน ควรจะช่วยเหลือกันไหม 

เป็น ปิยกรณะ เป็นความรัก ความรักที่ยิ่งกว่าญาติ ยิ่งกว่ามิตร รักกันด้วยเนื้อลึกๆว่า จะต้องหวังดีต่อกัน ปรารถนาดีต่อกัน ช่วยเหลือกัน หรือ ผู้ที่เราเคารพนับถือ

คุรุกรณะ ก็ระลึกถึงท่าน ท่านเป็นผู้ที่ทำงานหนักหรือเคยเป็นครูของเรา ครุก็คือหนักทำงานหนักหรือเป็นครูเรา ระลึกถึงท่าน เราจะช่วยเหลืออะไรท่านได้ไหมหนอ

สังคหะ ก็คือช่วย ได้ช่วย ได้เกื้อกูลช่วยเหลือ สงเคราะห์กัน อนุเคราะห์กันไป

อวิวาทะ ไม่วิวาทกัน แค่วิวาท ก็คือ วาทะคำพูด วิวาทแรง วิวาทมาก วิวาทหนัก ก็ลงมือทำร้ายกันด้วยกายกรรม วิวาทกันอย่างแรง ก็แค่ปากหอก มุขสตี แค่ว่ากันไปว่ากันมา อย่างอาตมายังทำอยู่ มันไม่ดีหรอกมันเป็นข้อด้อย แต่มันจำเป็น อาตมาว่ายังหยุดไม่ได้ คนจะต้องใช้ขนาดนี้  มันเป็นปากหอก อย่าว่าแต่ปากหอกเลย แทงแล้วแทงอีก เช้ากลางวันเย็นอย่างละ 100 เล่ม เป็นคำเปรียบเทียบเรื่องหอกแทง เพื่อจะให้รู้จักสภาพจริงของสังคมมนุษยชาติที่มันยังมีอย่างนี้อยู่ อย่างผู้ที่ไม่รู้ตัวเลย หลับไม่ตื่น ยังหลับตาปฏิบัติอยู่นั่นแหละ 

พระพุทธเจ้าก็ทรงอธิบายเป็นอุทาหรณ์เป็นนิทานเป็นเรื่องว่า พระราชารู้ว่านี่เป็นโจรปล้นศาสนา คนนอนหลับ เอาลัทธิหลับตามาปฏิบัติอยู่ในสังคมประเทศชาติ อยู่ในศาสนาเรา มันผิด มันเป็นโจรปล้นศาสนา เป็นเดียรถีย์ เป็นคนนอกรีต 

อาตมาพูดชัดนะ มันแรงแน่นอน พวกที่ติดหลับตามันมีอยู่เยอะ เยอะจริงๆ ไม่ง่ายหรอก แต่มันต้องทำ ถ้าจะต้องนำขึ้นไปสู่ที่สุดที่สูงให้ได้ เพราะอาตมาจึงจำเป็น รู้ว่าเป็นข้อด้อยแต่ก็ต้องทำอยู่ หยุดไม่ได้  แต่ก็แค่ปากหอกนะ เรียกว่าปฏิกโกสนา คัดค้านอย่างแรง ท่านพุทธโฆษาจารย์ท่านแปลว่า คัดค้านอย่างจัง 

อาตมานี่ ใช้รูปธรรมเลย พูด ต่อว่า ระบุเลยว่าผิดอย่างนี้ๆ ว่าอย่างแรง ข่มเลย แต่ก็ไม่ถึงกับไปด่า ไม่ถึงอักโกสะ ไม่ใช่ไปด่าทอ แต่ติเตียนว่า ไม่ถึงด่าหรอก 

ปฏิกโกสนา  = การกล่าวคัดค้านจังๆ  ไม่เห็นด้วย  กล่าวด้วยเหตุผลข่มขี่ที่มีน้ำหนักมากกว่า เท่านั้น  แต่ไม่ถึงขั้น อักโกสะ = การด่า, การติเตียนด่าว่า 

ขอบเขตของการกล่าวคัดค้านและเห็นแย้งได้เต็มที่นั้น  จะไม่ก้าวล่วงไปเอาผิดกันทางอธิกรณ์   หรือไม่ข้ามเขตไปลงโทษกัน  จนกลายเป็น อุกโกฏนา  = การที่ไม่เป็นธรรม, ไม่สามารถยุติธรรมได้

อาตมาเกิดมาในยุคนี้ในขณะที่มันเสื่อมมาก ศาสนาโลกุตระของพระพุทธเจ้านั้นเสื่อมหมดไปตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้พยากรณ์เอาไว้ ในอาณิสูตร กลองอานกะหรือตะโพนอานกะ มันได้เสื่อม มันถูกเปลี่ยนแปลง มันถูกปฏิรูปกลายเป็น กลองปลอม กลองเก๊ อาตมาต้องกลับมายืนยันเอาเนื้อเก่าของกลองแท้ เนื้อทุกส่วนของกลองแท้ ของตะโพนแท้ กลับคืนมา อาตมาพูดออกไป เอาตัวเองเต็มตัวออกไปเลยยืนยัน ไม่ได้ยับยั้ง ไม่ได้อมพะนำ ไม่ได้ปิดบังอำพรางอะไรเลย เรียกว่าล่อนจ้อน พูดอย่างเปิดเผยทั้งหมด เป็นใครเนื้อหาอะไรอย่างไร จะหาว่าบังอาจก็ได้ แต่มาพูดยืนยันความจริง แต่ขอยืนยันว่าเป็นความจริงใจ พูดอย่างมีน้ำหนักแรงน้ำหนักเน้นอะไรมากมาย เพราะว่าดื้อด้านดึงดันเหลือเกิน เดี๋ยวเหลือเกิน แทงจนหอกหักหมดเลย เข้ายาก มันก็เลยจำเป็นต้องใช้ลักษณะพวกนี้อยู่ 

ถ้าไม่ใช้ซะได้ก็ดี อาตมาเมื่อยน้อยลง แต่มันจำเป็น ก็เสียพลังงานนะเหนื่อยก็เหนื่อย แต่ก็จำเป็น ถ้าทำได้มันก็สวยสภาพกว่านี้เยอะก็รู้ว่าเป็นข้อด้อย อาตมาได้เรียบเรียงข้อด้อยของอาตมา 10 ข้อ ซึ่งในยุคนี้ต้องทำอย่างนี้ เป็นเรื่องลึกซึ้งซับซ้อน 

ยุคนี้อาตมาเองอายุปูนนี้แล้ว สรีระร่างกายก็ฝืนมา อายุขัยของอาตมาเคยบอกแล้วว่า 72 ตอนนี้ได้มา 1 นักษัตร เป็น 84 ถ้าไปอีก 2 นักษัตร จากนั้นเป็น 96 เป็น 3 นักษัตร ไปอีกถึงเป็นร้อยแปด เขาอยากจะถึงนะ 

เคยตั้งตัวเลขไว้โก้ๆตั้งแต่ตำนานตอนเจอหมออารีย์ แกบอกว่าจะอายุ 120 อาตมาก็บลัฟว่า จะเอา 121  แล้วแกก็ว่างั้นจะเอา 150 ปี อาตมาก็บลัฟต่ออีกเป็น 151 ปี ก็บลัฟกันเท่านั้น

ทุกวันนี้อาตมามี Routine ก็คือ 1. นอน 2. ตื่น 3. กิน 4. ก็ดูงานนั่นนี่ไป เสร็จแล้วก็วนเวียนมานอน มากิน หรือมีอย่างอื่นก็เขียนหรือเทศน์ Routine มีอยู่ประมาณนี้ 

การกินนั้นแต่ก่อนใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ถึงหรอกชั่วโมงกว่า ก็ต้องกินเพื่อให้ได้ปริมาณเพียงพอ มันรีบกินไม่ได้ ไม่ใช่ว่าฝันไม่ดีไม่ใช่ว่ากำลังเคี้ยวไม่ดี ดี ฟันอาตมาต้องขอบคุณหมอกิตติโชติ เป็นหมอดูแลทางฟันให้อาตมา ก็ทำให้หมด 

 

(144) “พญานาค”นั้น มีจริง? หรือไม่มีจริง?

ทีนี้มาสาธยายเรื่อง“พญานาค”ให้สิ้นสงสัยกันดูทีรึ!

พญานาค“มีจริง” หรือพญานาค“ไม่มีจริง”ก็จะได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเรื่องของความเป็น“พญานาค” หรือ“นาค”ที่เกี่ยวข้องในศาสนาพุทธกันชัดๆ แจ้งๆกันได้บ้าง

ติดตาม ไตร่ตรองไปให้แตกฉานกันดีๆ 

“นาค”นี้คำบาลีหมายถึง “งู” หรือ“งูใหญ่” หรืออื่นๆอีก

แต่เราหมายเอา“งู”เป็นสำคัญมาใช้เทียบเคียงสาธยาย

“งู”คือ สัตว์ที่อยู่ในท่า“นอน” จึงมีสัญญลักษณ์“การนอน-การหลับ”

         นี่แหละ นั่นก็คือ พุ่งเข้าไปที่“ลัทธิหลับตา” หรือหมายถึงคนที่มี“มิจฉาทิฏฐิ”เอาแต่“หลับตา”ปฏิบัติกันนั้นแล

บาลีคือ “นาค” ไทยก็คือ “งู” ผู้หลงผิดที่เอาแต่“หลับตาปฏิบัติ”จึงยกให้เป็น“พญางู” ในภาษาไทย ทับศัพท์บาลีก็คือ “พญานาค” ซึ่งหมายถึงเดียรถีย์หรือเทฺวนิยม ที่เขายังหลงใหลการปฏิบัติ“หลับตา” อันเป็นวิธี ที่ไม่ใช่วิธีปฏิบัติแบบพุทธ

หรือแม้“วิธีปฏิบิติ”ที่แค่“หลับตาปฏิบัติ”นี้ก็เถอะ ก็ยังมี“ความรู้”กันแบบเดียรถีย์หรือเป็น“เทฺวนิยม”กันอยู่ ยังห่างไกล“วิธีปฏิบัติแบบพุทธ”ที่“สัมมาทิฏฐิ”กันอยู่หลาย“ปีแสง” “วิธีแบบพุทธ”นั้น ต้องเป็น“จรณะ 15 วิชชา 8”

ซึ่งมันตรงกันข้ามกัน 180 องศากับ“วิธีปฏิบัติ”ที่เป็น “จรณะ 15 วิชชา 8”เลยทีเดียว 

ดังนั้น คนผู้เอาวิธี“หลับตา”มาใส่ในศาสนาพุทธจึงเป็น

“ของปลอม” คนที่เอา“ของปลอม”มาใช้ในศาสนาพุทธ จึงเป็นคนผิด ถ้ายังขืนยืนยันใช้“ของปลอม”อยู่ก็เป็น“โจร”อยู่

“พญานาค”จึงคือ“โจร” ผู้เข้ามาปล้นศาสนาพุทธที่แท้

ทุกวันนี้ในวงการศาสนาพุทธก็ยังพากันหลงยึดมั่นถือมั่น“หลับตาปฏิบัติ”กันว่า เป็น“วิธีสำคัญ” เป็นวิธีหลักในการปฏิบัติเพื่อบรรลุฌาน บรรลุสมาธิ บรรลุนิพพานกันทีเดียว

ซึ่งมัน“ผิด”อย่างยิ่งใหญ่จริงๆ

แต่ก็ยังหลงยืนยันยืนหยัดการปฏิบัติ“หลับตา”เป็นหลักที่จะทำให้เกิดบรรลุมรรคผลกันจริงๆจังๆกันอยู่ จึงยังเป็น“โจร”

กัน เป็น“พญานาค”แท้ๆ

เมื่อยึดมั่นถือมั่นกันอยู่ เป็นกันมีกันเอาจริงเอาจังกันอยู่ ยังไม่เกิด“ปัญญา”เลิกละได้  ฉะนี้คนพวกนี้คือ “พญานาค” 

“พญานาค”จึงชื่อว่า “มีจริง”

แต่“พญานาค”คือ ผู้ปฏิบัติไม่ถูกไม่จริงในศาสนาพุทธ

ใครว่า “พญานาค”นั้น“มีจริง”หรือ“ไม่มีจริง”กันบ้างเอ่ย?

มันก็เหมือน“คำโกหก”และ“คนโกหก”นั่นแหละ

“คำโกหก”นั้น“ไม่จริง”  แต่“คนโกหก”ก็“มีจริง” ชัดมั้ย?

 

พ่อครูว่า... จบที่ข้อ 144 

สมณะฟ้าไท... สรุปจบ






 

(145) ตำนานต่างๆของ“พญานาค”เท่าที่อาตมาพอรู้  

มาพูดถึง“ตำนานพญานาค”กันเท่าที่อาตมาพอรู้นะ 1. นาค คือ งู ที่มีภาวะ สื่อแสดงท่านอน-ท่าหลับ เป็นลักษณะสำคัญ ดังนั้น ลัทธิยึดท่า“หลับ”คือ “หลับตา”ปฏิบัติจึง“มีจริง” ซึ่งเป็นลัทธิหลับตา ก็คือ ศาสนาหรือลัทธิเดียรถีย์ ที่เป็นลัทธินอกพุทธนั่นแหละ  ยังมีมาก ครองโลกอยู๋ด้วยซ้ำ 

2. นาค มาปลอมบวช ในศาสนาพุทธหมายความว่า ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่มีการ“หลับตา”ปฏิบัติ ผู้นำการ “หลับตา”ปฏิบัติมาใส่ลงไปในศาสนาพุทธ จึงเป็นคนผิด คนปลอม ที่เอา“ของปลอม”เข้ามาในศาสนาพุทธ ก็ได้บาปแน่ 

เพราะพุทธที่“สัมมาทิฏฐิ”นั้นจะมีหลักปฏิบัติแท้ๆคือจรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งมี“อปัณณกปฏิปทา 3”ยืนยันการเป็นศาสนาพุทธที่แท้จริงถูกต้อง มีหลักธรรมชัดเจนอยู่โต้งๆ

ถ้าการปฏิบัติใดไม่มี“อปัณณกปฏิปทา 3”การปฏิบัตินั้นก็“ผิด”ไปจากศาสานพุทธ ก็ชัดแจ้งแดงแจ๋อย่างนี้

หรือถ้าผู้ใดยืนยันยึดมั่นถือมั่น ว่า “การหลับตาปฏิบัติ”นี่แหละเป็น“ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด(อปัณณกปฏิปทา)”ของศาสนาพุทธ ผู้นั้นก็คือ “มิจฉาทิฏฐิ”ตัวแท้ ซึ่งมีความคิดปฏิปักษ์ต่อศาสนาพุทธอยู่โทนโท่ แท้ๆ ชัดๆ

“อปัณณกปฏิปทา 3 (ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดของพุทธ)”ก็คือ การปฏิบัติที่มี“ศีล”เป็นหัวข้อแต่ละข้อ ให้ปฏิบัติ แล้วจะต้อง “สำรวมอินทรีย์ 6-โภชเนมัตตัญญุตา-ชาคริยานุโยคะ” อันเป็น“ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดของพุทธ 3 ข้อ”ที่มียืนยันอยู่อ้างอิงได้ใน“พุทธคุณ 9”ของพระพุทธเจ้า”แท้ๆชัดๆ ใครจะบังอาจปฏิเสธ

อปัณณกปฏิปทาข้อ[1] “สำรวมอินทรีย์ 6” ที่มีตา, หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ“สัมผัส”เห็นรูปทางตา,ได้ยินเสียงทางหู,ได้กลิ่นทางจมูก,ได้รสทางลิ้น,ได้กระทบกายภายนอก-ภายใน,ได้สัมผัสกันเองของใจกับในใจขั้นรูป-ขั้นอรูป ซึ่งมี “ภาวะ 2”คือ“มี“ภายนอก”ด้วย มีภายใน”ด้วยอยู่ตลอดการปฏิบัติ

อปัณณกปฏิปทาข้อ[2] “โภชเนมัตตัญญุตา” ผู้ปฏิบัติต้องเรียนรู้ขณะกินขณะใช้นั้นๆ อย่าให้มีกิเลสมันเกิดในจิต ถ้ากิเลสเกิดก็กำจัดกิเลสนั้นๆ 

อปัณณกปฏิปทาข้อ[3] “ชาคริยานุโยคะ” ผู้ปฏิบัติต้องทำความมีสติตื่นรู้อยู่กับการปฏิบัติทั้งภายนอก-ภายในนั้นๆอยู่เสมอ และมี“ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์”ไปตลอด

แต่ผู้หลงผิดก็มืดบอดจริงๆ ไป“หลับตา”ปฏิบัติกัน    การหลับตาปฏิบัติ มันก็ตรงกันข้ามกับ“อปัณณกปฏิปทา 3”

มันผิด“วิธีปฏบิติของพุทธ” แม้ภาษา“อปัณณปปฏิปทา” ก็ยืนยันอยู่โต้งๆ ชัดๆอีกปานฉะนี้  ก็ยังไม่ยอมรับความผิดนี้

3. ผู้นำวิธี“หลับตา”มาใช้ในศาสนาพุทธจึงเป็น“นาค” หรือ“งู”ปลอมเข้ามาเผยแผ่ลัทธิวิชาของเดียรถีย์ ในพุทธ 

เมื่อ“ปลอมตัว”เข้ามาอยู่ในศาสนาพุทธแล้วก็พยายาม

ที่จะไม่ทำตนเป็น“งู” ก็ยังพยายามไม่ให้แสดงหลับ ไม่ให้แสดงนอน เดี๋ยวจะจับได้ว่า เป็นเดียรถีย์คือ“งู” จนที่สุดนาคที่ปลอมเข้ามาบวชในศาสนาพุทธก็ต้องเผย“ธาตุแท้”ออกมาจนได้ คือ ตอนมาขอบวชนั้นปลอมตัวเป็นคน  แต่เผลอนอน เผลอหลับให้จับได้ นั่นคือ ร่างที่ปลอมเป็นคนมานั้นมันกลับคืนไปเป็นงู ตอนเผลอนอนหลับอยู่ในกุฏิ หางโผล่ออกมา

นอกประตู มีผู้พบเห็นก็จับได้ว่าเป็น“นาค”ปลอมตัวเข้ามาบวช จึงจับสึก ไล่ออกไป  

แต่นาคก็อ้อนวอนขอให้เห็นใจ คนผู้รักศาสนาพุทธ ศรัทธาศาสนาพุทธ อยากเป็นพุทธ จึงขอให้เรียกผู้ที่จะได้บวชเป็น“ภิกษุ”ในศาสนาพุทธ โดยใช้คำว่า “นาค”เป็นอนุสรณ์

จึงมีคำว่า “นาค”เรียกผู้เตรียมบวชก่อนเป็นภิกษุ

จริงๆแล้วลัทธิ“หลับตา”ปฏิบัติเป็นลัทธิ“เดียรถีย์” ดังนั้น ผู้ปลอมตัวเข้ามาบวช แต่เป็น“เดียรถีย์”ผู้นั้น“จิตยังไม่มี“ความยินดี”ถึง“รากเหง้า”ของจิต ยังไม่มี“ฉันทะเป็น

มูลกา”(ข้อที่ 1 ของ“มูลสูตร 10” พระไตรปิฎก เล่ม 24 ข้อ 58)จริงๆ “จิตจริงลึกๆ”ยังติดยึดอยู่กับ“ลัทธิเดียรถีย์เดิม”อยู่แท้ ก็ยากที่จะ“ทำใจในใจ(มนสิการ)”ให้เป็น“โลกุตระ”ได้สำเร็จผล

ผู้ที่ยัง“ไม่มีฉันทะ”ถึงรากถึงเหง้าของจิต(มูลกา)จริง จึงไม่มีหวังที่จะปฏิบัติธรรมของพุทธบรรรลุ“โลกุตระ”

ประเด็นต้องมี“ฉันทะเป็นรากเหง้าของจิต”นี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่ใช่เรื่องสามัญ แต่สำคัญลึกล้ำใหญ่ยิ่งแท้ทีเดียว

ก็ขนาดผู้มี“ฉันทะ”ในพุทธโลกุตระชนิดเต็มใจแท้ๆก็ยังยากเลย ที่จะ“สัมมาทิฏฐิ” จึงจะปฏิบัติบรรลุ“โลกุตรธรรม”

 

(145) ความเป็น“กาย”จึงอธิบายความเป็น“พญานาค”

เพราะ“โลกุตรธรรม”นั้นวิเศษ พิเศษเหนือไปจาก“โลกียธรรม”จริงๆ ที่ต้องเริ่มต้นด้วย“ทิฏฐิ”คือ“ความเข้าใจ” ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงนับตั้งแต่ความเข้าใจ“กาย” ซึ่งเรียนรู้ได้จาก ที่มี“ของตน”ที่บาลีว่า “สัก” นั่นคือ ต้อง“พ้นสักกายทิฏฐิ”

หากเข้าใจความเป็น“กาย”จากภาษาว่า“กาย”นี้แล 

ไม่ได้อย่างเป็น“สัมมาทิฏฐิ”ละก็ ต่อให้พากเพียรอุตสาหะหนักหนาอุกฤฏ์ษปฏิบัติปานใด ก็ไม่มีสิทธิ์บรรลุพุทธโลกุตระ

เช่น หลงผิดเอาวิธี“หลับตา”เข้ามาใส่ในศาสนาพุทธ หรือเข้ใจว่า “กาย”คือ “ร่างภายนอก”ที่หมายเอาเฉพาะแต่ “สรีระ”อย่างเดียว ไม่มี“จิต”ร่วมอยู่ด้วยก็คือ “มิจฉาทิฏฐิ”แท้  

ผู้นำวิธี“หลับตา”มาใช้ในศาสนาพุทธจึงเป็น“นาค” หรือ“งู”ปลอมเข้ามาเผยแผ่ลัทธิวิชาของ“เดียรถีย์”ในพุทธ

ชื่อว่า “โจรร้าย”ของศาสนาพุทธ เป็นผู้ทำลายพุทธแท้   

4. เมื่อ“นาค”พยายามซึมแทรกเข้ามาบวชในศาสนาพุทธได้ ก็พยายามจะไม่ให้“ความเป็นนาค”บังเกิดออกมาอย่างยิ่ง อย่างใหญ่อย่างมหายิ่งมหาใหญ่ จนต้องเรียกว่า “พญา”ผู้ยิ่งใหญ่ ที่รักศรัทธาศาสนาพุทธ ก็พากเพียรที่จะ“ไม่ให้ตนเป็นนาค” ก็เท่ากับผู้เฝ้ารักษาความเป็นพุทธอย่างยิ่งใหญ่ จึงมีสัญลักษณ์เป็น“นาคปรก 7 เศียร” นั่นหมายถึงผู้รู้ว่า ตัวเป็น“นาค”ผู้มีรากฐานมาจากงู แต่รักศรัทธาศาสนาพุทธสุดชีวิต จึงคอยปกป้องรักษาศาสนาพุทธจริงจังแน่แท้ แล้วปณิธานของตนก็จะเป็นพุทธสุดยอดให้ได้ ถึงพระพุทธเจ้าโน่นแหละ ก็แสดงถึงความเป็น“นิยตะ” ซึ่ง“ปุคคลาธิษฐาน”ก็คือ “พญานาต 7 ตัว 7 หัว”ปกปักรักษาพระพุทธ 

นั่นคือ มี“ความปรารถนาเจตสิก”เข้าขั้นยินดีในพุทธแล้วแน่นอน ไม่มีเปลี่ยนแปลง ยึดมั่นไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา 

จึงนับเข้าขั้นผู้รู้ดีในความเป็น“นาค”อย่างยิ่ง และจะ

ออกจากความเป็นนาคให้ได้เด็ดขาดจริงแท้ด้วย จึงนับเข้าขั้น

เป็นผู้รู้ทันคนปลอมตัวมาบวชในศาสนาพุทธ ก็กลายเป็น

ทั้งมือปราบคนปลอมตัวมานอน มาหลับ มาซุกตัวเผยแพร่

“ความเป็นงู-ความเป็นนาค”ทั้งตนก็ยังเป็น“นาค”อย่างยิ่งอยู่ 

ที่มาเผยแพร่ลัทธิงูลัทธินาคในพุทธเสียเลย ซึ่งเป็น“ภาวะมายา” คือ “ภาวะ 2”ซ้อนอยู่ใน“ภาวะ 1” โดยตนก็“อวิชชา”อยู่ตลอด

5. ซึ่ง“อนุสัย”ของ“นาค”ก็ยังมี“อัตตา”เก่งยอดบุกรุก จนได้ชื่อว่า เป็นจอมนาคหรือพญานาคเข้ามาเผยแพร่ลัทธิหลับ ลัทธินอนของตนจนได้ เป็นยอดงู จอมนาค จนศิลปินต้องยกฐานะให้เป็น“พญางู”ก็ตกแต่งหน้าตา หูหัว สัดส่วนรูปร่าง“งู”ให้มีรูปร่าง มีหงอน มีแง่ แต่งองค์ทรงเครื่อง มีลายกนกตกแต่งเป็นลวดลายพิเศษให้เป็น“งู”ยิ่งใหญ่ ที่เขื่องโก้ หรูหรา มโหฬาร แตกต่างจาก“งู”สามัญ เป็น“พญางู-พญานาค” 

ดังที่เห็นๆ และเป็นกันอยู่ทั่วไปในสังคมไทยนั่นเอง

6. “ธาตุแท้”ของตนก็คือลัทธิ“หลับ” เมื่อยิ่ง“หลับ”ก็ยิ่งไม่ตื่น-ไม่รู้โลก ทับทวีหนาหนักซับซ้อนนับไม่ถ้วน ก็ยิ่งคือ “ผู้สั่งสมอวิชชา”เป็น“พญานาค”ที่ยิ่งใหญ่ยิ่งโต ยิ่งมโหฬาร ลงบาดาลลึกๆๆๆๆ ก็ยิ่ง“อวิชชามืดดำ”ยิ่งขึ้นๆๆๆๆๆๆไปอีก  

7. สุดท้ายแห่งสุดท้ายก็หมดท่าแห่งความตื่น สิ้นสภาพผู้ที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน จึงกลายเป็น“พญานาค”ที่ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”สาหัสสากรรจ์นานหนัก อาการถึงขั้น“ไม่มีการตื่น”มารู้เห็นอะไรกันเลยตลอดระยะแห่งกาลที่ยังไม่มี “พระพุทธเจ้า”อุบัติขึ้นมาในโลกแต่ละพระองค์ จะรู้สึกตัวขึ้นมาทีหนึ่งก็แค่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลกองค์หนึ่ง รู้แค่นั้นจากนั้นก็นอน“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น“เฝ้าถาดทองคำที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์อุบัติขึ้นมาในโลกอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรสุดลึกนั้นเท่านั้น นอกนั้นไม่รู้อะไรที่เป็นพุทธเลย

 

(146) “สักกายทิฏฐิ”จึงเป็น“ทิฏฐิ”ข้อที่ 1ใน“สังโยชน์ 10”

แม้แต่ว่า ถาดทองหรือธรรมของพระพุทธเจ้านั้น “ทวนน้ำ”หรือ“ทวกระแสสามัญโลกียะ”นะ!  ก็ไม่รู้ว่า“ทวนกระแส”คือออะไร? ก็ยังพากันหลงจมงมงายไปกับโลกียะอยู่ จึงหยำเหยอะไปด้วย“ลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข”อยู่นั่นแหละ

ไม่รู้จัก“กาย”กันเลย ยิ่ง“สัก”ก็ิ่งมองไม่เห็น!

ด่ำดิ่งอยู่กับ“กาย” มืดบอดอยู่กับ“สัก”กันอยู่นั่นแหละ

คลุกคลีอยู่กับสวรรค์-นรกโลกีย์กันอยู่หน้าระรื่น

รู้จักรู้แจ้งรู้จริง แม้แต่คำว่า“กระแส(โสต)”กันที่ไหน? ตนเอง“ไหลลิ่ว แย่งกันไหลไปกับกระแสโลกีย์กันอีก ด้วยซ้ำ ก็ไม่รู้ตัวกันเลย ไม่ต้องพูดถึง“การทวนกระแส”หรอก

ล้วนยังจมงมงายเป็น“พญานาค”กันอยู่หน้าตาเฉย 

ถ้าไม่มี“ตำนาน”ถาดทองคำของพระพุทธเจ้าทืิิ่แต่ละพระองค์ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป แล้วไปหยุด ณ ที่แห่งเดียวกัน ตรงกันกับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แล้วจมลงไปกระทบกับถาดทองคำของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน มีเสียงดัง“ด้วยเสียงของถาดทองคำ”นั้น ซึ่งหมายถึงเสียงสุดวิเศษแห่ง“โลกุตรธรรม” อันไม่มีธรรมใดของศาสนาใดในเทฺวนิยมมีกันได้เลย กระนั้นก็ยังทำให้“พญานาค”รู้ได้ว่าเป็นเสียงของ“ถาดทองคำของพระพุทธเจ้า”ได้อย่างเดียวเท่านี้ เท่านั้น นอกนั้น“ไม่รู้”อย่างอื่นอะไรเลยสักนิดทั้งสิ้นทั้งนั้น

เริ่มตั้งแต่คำว่า “กาย”ก็“มิจฉาทิฏฐิ”สนิทแล้ว

ความเป็น“สัก”จึงไม่รู้ว่า“มันพิการ”ไปแล้วอย่างไร? หนักหนาสาหัสปานไหน? 

จึงเป็น“พญานาค”เต็มสภาพ ตั้งแต่“ทิฏฐิ”ข้อที่ 1 ก็

“มิจฉาทิฏฐิ”กันบริบูรณ์ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” แม้จะมี“คนผู้สาธยาย“โลกุตรธรรม”ของพระพุทธเจ้าคอแตกปานใด “พญานาค”ก็ยังคง“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”อะไรทั้งนั้น  มืดบอด

สนิทกันอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรลึกสุดนั้นตลอดกาล “ไม่รู้สึกรู้สาอะไรสักนิ๊ด”ขึ้นมาเลย ราวกับก้อนหินก้อนดินก็ไม่ปาน  

ล่วงเลยยุคกึ่งพุทธกาล(2500 ปี)ไปแล้ว โลกจะไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแน่นอน มีก็แต่“พระโพธิสัตว์หรือ “สัตตบุรุษ”เท่านั้นผู้มาทำหน้าที่สืบทอด“พุทธธรรม”ที่เป็น “โลกุตรธรรม”ของพระพุทธเจ้าตามหน้าที่อย่างสำคัญ 

แม้พระโพธิสัตว์หรือสัตตบุรุษ เกิดขึ้นมาในโลกทำหน้าที่สืบสาน“โลกุตระ”ของพระพุทธเจ้า “พญานาค”เขาก็ไม่รู้สึกรู้สาใดๆเลย แม้จะปลุก จะกรทุ้งกระแทกด้วยปากหอก

(มุขสัตตี) จะแทงด้วยหอก 100 เล่ม เช้า-กลางวัน-เย็น จนหอกหักหมดเกลี้ยง “พญานาค”ก็ไม่รู้สึกตัวกันขึ้นมาได้

“พญานาค”ก็คือ “ชาวพุทธกระแสหลัก”ในยุคนี้ ในทุกวันนี้นั่นเอง ที่เป็นจริง ยืนยันความจริงนี้กันอยู่อย่างเห็นๆ 

เพราะ“หู”ของชาวพุทธกระแสหลักได้พิการไปหมดแล้ว วิตถารไปด้วยซ้ำ คือ รับรู้ได้แต่“เสียงของโลกธรรม”ว่าไพเราะสุดซึ้งเสียเหลือเกิน จึงหลงเพลินไปกับ“โลกียธรรม” 

เนื่องจากเสียงของ“โลกียะ” กับเสียงของ“โลกุตระ”มันเป๋็นคลื่นเสียงคนละคลื่นกันจริงๆ จึงรับคลื่นโลกุตระไม่ไได้

เมื่อ“หูหนวกตาบอด’กับเสียง“โลกุตระ”กันแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของ“สัตตบุรูษ”ที่จะต้องรักษา“หู-ตา”ให้แก่ชาวพุทธกระแสหลักให้หายจาก“หูหนวก-ตาบอด”ให้ได้ 

กระนั้นก็สุดยากแสนยากกันจริงๆ เพราะชาวพุทธกระแสหลักเขาได้พากันหลงยึดมั่นถือมั่นใน“มิจฉาทิฏฐิิ”กันหนักหาสาหัสจนได้ชือว่า “พญานาค”กันดังที่เห็นและเป็นอยู่

แม้แต่“กาย”เขาก็ยัง“มิจฉาทิฏฐิ”ไม่“พ้นสักกายทิฏฐิ”กัน

 

(147) ที่จริงอาตมาก็รู้อยู่ว่า ยุคนี้คนผู้“อวิชชา”นั้นมีมาก 

50 กว่าปีแล้ว”ที่อาตมาได้อุตสาหะพยายามใช้เรี่ยวแรงความสามารถปลุก“พญานาค” ก็มีแต่ผู้ที่มี“ดวงตา”หรือมี“ธุลีในดวงตาน้อย”จำนวนหนึ่งเท่านั้นที่พอได้ยิน และได้ตื่นขึ้นมารู้โลกุตรธรรม และได้เรียนอบรมฝึกฝนจนกระทั่งบรรลุ“โลกุตรธรรม”ได้สำเร็จจริงจำนวนเล็กน้อย 

ส่วนใหญ่นอกนั้นก็ยังคงหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น เป็น“พญา นาค” นอนเฝ้า“ถาดทองคำ”ของพระพุทธเจ้ากันอยู่

ที่จริงอาตมาก็รู้อยู่ว่า ยุคนี้คน“อวิชชานั้นมีมาก

แต่ก็ต้องพยายามกันอย่างยิ่ง เพราะ“กรรม”นั้นเจริญด้วย“ความพยายาม”แท้จริง จะท้อถอย“หยุดทำกรรม”ไม่ได้

โดยเฉพาะ“กรรมที่ดีที่วิเศษเป็นโลกุตระ”

ที่ต้องพูดว่า เขายังเป็น“พญานาค”กันอยู่นั้น 

ก็เพราะ“เขา”ได้ยินเสียงวิเศษจริงๆ(เสียงของ“โลกุตระ” แท้ๆนี่เอง) แต่เพราะความ“อวิชชา”สนิท ก็“หูผึ่ง”ขึ้นมาแวบหนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้นก็หลับไม่รู้คู้ไม่เห็นหรืออวิชชาต่อไปตลอดระยะยาวนานที่เป็น“กาล” ว่า อ้อ! พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลก อีกพระองค์หนึ่งแล้วเหรอ? ว่าแล้วก็“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” นั่นคือ อวิชชาต่อไป ทับถมให้“อวิชชา”หนาหนักเพิ่มขึ้นยิ่งขึ้นๆ ด้วยการหลงใหลหลับไหลอยู่กับการ“หลับตา”ปฏิบัติเป็น“พญานาค”นอนเฝ้าถาดทองคำอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร ที่มีถาดทองคำซ้อนกันเป็นล้านๆถาด

ซึ่งพระพุทธเจ้านั้นมีอุบัติขึ้นมาในโลกนับไม่ถ้วนเป็นล้านๆพระองค์แล้ว และก็จะมีพระพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นๆไปกับกาลของโลกนี้แหละ “พญานาค”ก็จะหลับไม่รู้คู้ไม่เห็นตัวจริง ยิ่งใหญ่ นอนเฝ้า“ถาดทองคำของพระพุทธเจ้าอยู่อย่างนั้นต่อไปลึกลงไปอีกๆๆๆ  ยิ่งขึ้นๆๆๆๆๆ ไม่มีสิ้นสุด เพราะในโลกจะมีคน“อวิชชา”จำนวนมากครองโลกเป็นปกติสามัญ 

ที่ไม่รู้จักแม้แต่ความเป็น“กาย” ก็ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ยัง“พ้นสักกายทิฏฐิ”ไม่ได้ง่ายๆ ดังที่เป็นที่เห็นจริงกัน

8. “พญานาค”ก็ยังคงมีแม้ทุกวันนี้ คือ “งู” หรือคนที่มีลัทธิวิธี“หลับตา”หรือ“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”ก็เป็น“โจรปล้นพุทธศาสนา”อยู่นั่นเอง ที่พระราชาให้เจ้าพนักงานไปประหารเสีย

9. ที่พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเปรยไว้ว่า “ผู้ทำลายศาสนา” นั้นคือ “โจร” ที่มีพระราชาผู้เป็นผู้รู้ว่าใครเป็นโจร จึงสั่งให้เจ้าพนักงานไปประหารเสีย ประหารด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้าแต่“โจร”ก็ไม่ตาย ยังทำการปล้นทำลายศาสนาอยู่นั่นเอง พระราชาทรงพบเจ้าพนักงานก็ตรัสถามว่า โจรตายหรือยัง? เจ้าพนักงานก็ทูลตอบว่ายังไม่ตาย ก็สั่งให้ไปประหารอีกในตอนกลางวันด้วยหอกร้อยเล่ม ตกเย็นพระราชาพบเจ้าพนักงานก็จะถามอีกว่าโจรตายแล้วหรือ เจ้าพนักงานก็ทูลตอบอีกว่ามันยังไม่ตายพระเจ้าข้า ก็ทรงให้ไปประหารด้วยหอกร้อยเล่มในตอนเย็น โจรก็ยังไม่ตายอยู่ๆ

(พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 244) ใครเห็น“พญานาค”กันได้บ้างเอ่ย? 

10. ทุกวันนี้ “พญานาค”ก็จึงยังไม่ตาย ยังพากันมาปลอมบวชในศาสนาพุทธ มาพาชาวพุทธผู้ด้อยปัญญา ไป“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” เป็นคนไม่มี“จักษุ-ปัญญา-ญาณ-วิชชา -อาโลก”กันอยู่  เห็นไหมว่า “พญานาค” ก็ยังมีอยู่นั่นเอง 

นี่ปอกเปลือก“พญานาค”ให้ฟัง พญานาคมีจริงหรือพญานาคไม่มีจริงเป็นความรู้ระดับ“สิริมหามายา”กันทีเดียว!

แต่ชาวพุทธที่ยังไม่เห็น“พญานาค” เพราะ “อวิชชา”นั้นมีอยู่มากจริงๆ ทั้งๆที่ตนเป็น“พญานาค”อยู่เองแท้ๆ  

 

(148) “ศาสนาพุทธ”ไม่ใช่ศาสนาที่มีอยู่ประจำโลก  

“พญานาค”นี้คือ ลัทธิ“หลับตา”หลับไม่รู้คู้ไม่เห็นของศาสนาเดียรถีย์เขา เขาก็“หลับตา”ปฏิบัติของเขาไปยืนยันความเป็นเดียรถีย์ของเขา ก็เป็นธรรมดาสามัญของเขาที่เดียรถีย์“มี”อยู่ประจำโลก

“พุทธที่เป็นโลกุตระ”ต่างหากที่“ไม่มีอยู่ประจำโลก”

ศาสนาพุทธจึง“มี”ขึ้นในโลกเป็นคราวๆ แล้วก็จะ “ไม่มีศาสนาพุทธ”ไปช่วงหนึ่งเรียกว่า“พุทธันดร(ช่วงที่โลกไม่มีึศาสนาพุทธในกาลช่วงนั้น)” แล้วจึงจะ“มี”พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา“มี”ศาสนาพุทธขึ้นมาใหม่อีก” เรียกว่า “ภัทรกัปป์(คือในช่วงที่มีศาสนาพุทธมีพระพุทเจ้าอุบัติขึ้นมาประกาศศาสนาต่อกันหลายพระองค์ บางภัทรกัปป์ก็มีมากเกิน 5 พระองค์เป็น 10 เป็น 100  กัปป์ที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาน้อยที่สุด เช่น ใน“ภัทรกัปป์ของพระพุทธเจ้าสมณโคดม”นี้แล ก็มีเพียง 5 พระองค์ จากนี้ก็เป็นกลียุค เป็นยุคโหดเหี้ยมเลวร้าย ฆ่ากันตายมากมาย ทั้งเลือดร้อน เลือดเย็น มนุษย์ในโลกก็เหลือน้อยลงๆ ก็จำต้องหยุดพักการฆ่ากัน)” สิ้น“ภัทรกัปป์”ก็เป็น“พุทธันดร”คือช่วงที่ไม่มีศาสนาพุทธ จะเว้นระยะเวลาโลกว่างจากศาสนาพุทธไปช่วงหนึ่ง จะสั้นจะยาว ก็ตามแต่“กาละ-เทศะ-ฐานะ”ที่จะมีเหตุมีปัจจัยเป็นสัดส่วนปรุงแต่งกันให้“เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป”ได้นั้นๆเท่าที่มันจะมีจะเป็น

“การหลับตาปฏิบัติ”นั้นมัน“มี”อยู่ประจำโลก มันเป็น “หลักปฏิบัติของเดียรถีย์”แท้ ไม่มีขาดหายไปหมดโลกหรอก การ“หลับตา”ปฏิบัติเป็น“โลกียธรรม” เป็นของ“เทฺวนิยม” 

เขาก็“มี”ของเขาไป มันก็เป็นปดติธรรมดาของโลกียะ    

พระพุทธเจ้าตรัสว่า อาศัย“ความมี”กับ“ความไม่มี”นี้แหละในโลกที่ใช้“สื่อ”แสดงต่อกันให้รู้  ไม่มีอื่นหรอก “ความมี-ความไม่มี”จึงเป็น“เทฺว”หรือ“ภาวะ 2”คู่ยิ่งใหญ่ อาศัยสิ่งนี้แหละสอนกันพูดกันทำกันได้ครบ ที่ทำให้คนผู้สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงก็จะ“รู้จบ”ทุกสรรพสิ่งได้ (พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 43) 

สรุปแล้ว ในโลกนี้มี“ความมีกับความไม่มี” แม้แต่พญานาค ก็คือ สิ่งที่“มี”หรือสิ่งที่“ไม่มี” เป็น“ภาวะ 2” แต่อาตมาเป็น“อนุปคัมมะ” เป็นผู้มัชฌิมา คือเป็นคนกลางๆ ก็เห็นอยู่ว่า“พญานา”มันก็มีสำหรับคนผู้“มี” และมัน“ไม่มี”สำหรับคนผู้“ไม่มี” เพราะเป็น“ผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบานแล้ว” ชื่อว่า “พุทธ” จึงไม่ต้องใช้วิธี“หลับตา”ปฏิบัติหรอก 

แต่คนในโลกมันมี“ผู้ไม่รู้(อวิชชา)”เทียบ“ฐานปีรามิด” นั้นย่อมมากกว่า “ผู้รู้(วิชชา)”ที่เป็นส่วน“ยอดของปีรามิด” มัน ก็เป็นธรรมดาสามัญแท้ๆตามสัจจะ  ไม่เห็นจะผิดปกติอะไร

ผู้มี“อภิภุยฺย”เป๋็น“อนุปคัมมะ”คือผู้มีอิทธิพลเหนือ “ความมี-ความไม่มี” จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง-ความไม่จริง” จึงเห็นชัดเจนได้ว่า คนผู้“มี” เขาก็ยัง“มี” จนกว่าเขาจะเข้าถึง“ความไม่มี”เป็นที่สุดแห่งที่สุดได้ จึงจะทำ“ความไม่มี(น โหติ)” ที่เป็น“อนัตตา”หรือเป็น“สูญ” แยก“ธาตุจิตของตน(จิตนิยาม)”ให้หมดสิ้นไปเป็น“ดินน้ำไฟลม(อุตุนิยาม)”สำเร็จเป็นที่สุดก็จริงที่สุด  

มันเป็นเรื่อง“อจินไตย” เป็นเรื่องนิรันดร ทั้งความมี-ทั้งความไม่มี โลกียะเขาก็“นิรันดร”ใน“ความมี“ ส่วนพุทธที่เป็น“โลกุตระ ก็“นิรันดร”ใน“ความไม่มี” 

ผู้“มี”ก็คือ“ผู้ยังต้องมี” ส่วนผู้“ไม่มี”ได้แล้วจริง ก็เป็น “ผู้ไม่มี” จึงทำที่สุดแห่งที่สุดที่“ความไม่มีนิรันดร”ได้จริง

ศาสนาพุทธเป็น“อเทฺวนิยม” รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง”ของไตรลักษณ์ มี“อนัตตา” มี“สุญญตา” มี“นิพพาน” และที่สำคัญมี“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน” 

“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”คือ คนผู็เป็นเจ้าของ“จิตวิญญาณ”เองสามารถจัดการกับ“จิตนิยาม”ของตนให้เป็น “อุตุนิยาม” นั่นคือ “จิตวิญญาณ”ของคนผู้นั้นสูญสลายกลายเป็น“ดินน้ำไฟลม”ไป หมดสิ้น“อัตตา”ของตนไปนิรันดรเลย 

จึงไมใ่ช่“ศาสนา”ที่จะมีอยู่ใน“กาลของโลก”ประจำโลกนิรันดร มีบางช่วงที่เป็น“พุทธันดร” หมายความว่า “ระหว่างกาลเวลาช่วงใดที่ไม่มีศาสนาพุทธอยู่เลย  ช่วงนี้แหละคือ “พุทธันดร” เป็น“ข่วงที่โลกกาละนั้น“ไม่มีศาสนาพุทธ”

ในโลกกาละนั้นมีแต่ศาสนาที่ไม่ใช่พุทธ คือ มีแต่ศาสนา“เทฺวนิยม”ที่เป็น“โลกียธรรมทั้งหลาย มากมายหลายศาสนาที่จะมีอยู่ในโลก  ในโลกจึงมี“เทฺวนิยม”ประจำโลก ไม่ขาดหายไปจากโลกในกาละไหนเลย

ศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาเดียวที่มี“โลกุตรธรรม” แต่ก็มีบางช่วง“โลกุตรธรรม”ขาดหายไปจาก“โลก”ในบางกาละ แม้ในวงการ“พุทะศษสนา” หรือที่สุด“โลกในกาละนั้นๆไม่มี“พุทธศาสนา”เลยในโลกก็เป็น“พุทธันดร”แท้ๆ

“พุทธศาสนา”จึงไม่ใช่ศาสนาที่มีประจำโลก

แม้แต่ในวงการ“พุทธศาสนา”เองแท้ๆ ก็ยังมีบางกาละ บางยุคที่ชาวพุทธเสื่อมหนักมี“โลกุตรธรรม”ไม่ได้ เช่น ในยุค พ.ศ. 2500 นั่นเอง ไม่มี“โลกุตรธรรม”ในขาวพุทธ ชาวพุทธเองแท้ๆในโลกช่วงนี้ไม่มี“โลกุตรธรรม”กันอยู่ในช่วงหนึ่ง

อาตมาเกิดมาในยุคพ.ศ. 2500 นี้ จึงต้องนำ“โลกตรธรรม”ฟื้นคืนกลับขึ้นมาให้แก่ชาวพุทธ ตามสัจจะที่ต้องเป็นไป

ขออภัยที่พูด“ความจริงซื่อๆ ตรงๆ เหมือนอวดตัวอวดตน  แต่แท้จริงในจิตใจของอาตมาไม่มี“สาเถยฺยจิต”เลยจริง


 

ที่มา ที่ไป

650302


เวลาบันทึก 02 มีนาคม 2565 ( 21:12:58 )

650307

รายละเอียด

650307 รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 30 ตำนานพญานาค ตอนที่ 1

https://www.boonniyom.net/51171.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1_MYgLlj3cD8mlRfdFovO87VkZNCoM_nKJiCyQ9NIqgU/edit?usp=sharing   

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1GpkI-IxpSJ8AA953-R0fAsDgeHYJ14Xv/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/bBJLxvIh3i/ 

และ https://youtu.be/WOkN7NbcoyU 

 

_สู่แดนธรรม… วันนี้ เป็นวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก  

(พ่อครูไอตัดออกด้วย)และนิมนต์พ่อครูอย่าไออีกเลย 

พ่อครูว่า...ไปห้ามมันได้อย่างไร สรีระต้องเกิดปฏิกิริยา บังคับให้ต้องไอ เป็นกลไกธรรมชาติ ไอทีนึง มันก็แรงเมื่อย วิบากมีก็ต้องรับไป

SMS วันที่  2-3 กุมภาพันธ์ 2565

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน พระศรีอาริยเมตไตรยเป็นชื่อตำแหน่งพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ทุกพระองค์ 

_อู๊ด คาราโว : การปฏิบัติธรรมแนวอโศก ที่นี่ที่เดียว จริง ๆ ครับ ที่จะทำให้เราใช้ชีวิต อย่างมีคุณภาพ สาระ คุ้มค่ากับการได้เกิดมาเป็นคนในชาตินี้ ติดตามให้ได้ สุดยอด ของวิถีชีวิตของมนุษย์ ที่สุดยอดฉลาด ในยุคห้าพันปี ของพุทธศักราช ผ่านมาถึงสองพันห้าร้อยหกสิบห้าปี เลยกึ่งพุทธกาล ติดตามพุทธทำนายให้ได้ครับ กราบนมัสการครับ

พ่อครูว่า...คนนี้เข้าใจดีเข้าใจถูกต้อง เรื่องที่อาตมายืนยันว่าในยุคนี้อาตมาต่อเชื้อศาสนาพระพุทธเจ้าซึ่งมันได้เสื่อมไปแล้วตามที่พระพุทธเจ้าได้ทำนายไว้ เหมือนกลองอานกะ เหลือแต่ของปลอมมาต้องทำคืนหาของเก่าของเดิมใส่เข้าไปให้เป็นของเดิมของแท้ ได้เท่าไหร่ก็พยายามที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มันเป็นเรื่องจริงที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ 

เป็นเรื่องจริง ถ้าใครยืนยันว่าเป็นผู้ที่จะมาเป็นผู้ต่อเชื้อดังกล่าวนี้ตามที่พระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์ไว้ ก็มายืนยันสิ ถ้าตัวเองแน่ใจว่าเป็นผู้นั้น เห็นมีแต่จะไปเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ไม่ได้เป็นพูดต่อหรอกจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ไหนเห็นมีแต่อย่างนั้น เป็นพระศรีอริยเมตไตรย 

ซึ่งจริงๆแล้วคำว่าศรีอริยเมตไตรย เป็นตำแหน่งไม่ใช่ชื่อพระพุทธเจ้า ก็เป็นชื่อพระพุทธเจ้าแต่เป็นตำแหน่งของพระพุทธเจ้าองค์ต่อๆไปตลอดกาล ตรงไหนที่จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปก็คือศรีอาริยเมตไตร หมดตรงนั้นอีกต่อไปก็จะมีศรีอาริยเมตไตรต่อไปอีกตลอดกาล ซึ่งคนไม่เข้าใจก็ติดยึดไปเห็นได้ชัดว่าพวกนี้ไม่มีความรู้ในเรื่องศาสนาพุทธ 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ปลงภาระอย่างไรในชีวิตให้ดี

_มั่นใจพุทธ บุญเสร็จ : น้อมกราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง สุดเศียร สุดเกล้า ลูกอยากทราบว่า "ปลงภาระ" มีความหมายว่าอย่างไร สำคัญต่อการปฏิบัติหรือไม่ และมีวิธีวางภาระอย่างไร เพื่อเกิดสันติสุขกับจิตวิญญาณของผู้เกี่ยวข้อง

พ่อครูว่า...คนที่ไม่รู้ไม่ชี้ก็หนีไป.. มันต้องค่อยๆลดละเป็นภาระในสิ่งที่ต้องรับผิดชอบของตน อย่าไปแส่หาเรื่องไอ้ที่ไม่ใช่เรื่องของตนและเอามารับผิดชอบ ก็เป็นเรื่องสมน้ำหน้าตัวเอง โง่เองไปเที่ยวได้ไปยึดไปดึงอะไร มาเป็นหน้าที่ของตน ทั้งๆที่ไม่ใช่หน้าที่เข้าอีกอย่าง 

แต่สิ่งที่เป็นหน้าที่แน่นอนโดยเฉพาะครอบครัว ก็จะต้องจัดการให้มันเรียบร้อยอย่าให้มันเป็นสิ่งที่ดูน่าเกลียดน่าชัง ดูกลายเป็นเสียหาย เป็นเหมือนเดรัจฉาน เหมือนเต่า ไข่ออกมาก็ทิ้งขว้างไปเลย จะเกิดไม่เกิดก็แล้วแต่ หรือเหมือนจระเข้ไข่แล้วก็ทิ้งไปเลยไม่ดูแลไม่ฟัก ลูกจะเกิดมาตายหรือไม่ตายก็ช่าง ไม่ได้ มันไม่เหมือนกัน มนุษย์ต้องรับผิดชอบต้องดูแลสิ่งที่ตัวเองจำเป็นต้องรับภาระ แล้วก็ต้องหัดปลดปล่อยปลงวาง ให้เรียบร้อยไปตามลำดับ อย่าไปหาเรื่องเป็นภาระมาใส่ตัวเอง 

ธรรมดาธรรมชาติชีวิตก็มีสัมภาระวิบากอยู่แล้วของมนุษยชาติ มันเป็นธรรมชาติของสิ่งที่จะเป็นสัมภาระวิบาก หมายถึงวิบากมันเป็นสัมภาระของมนุษย์ที่จะต้องเป็นภาระสะสมเป็นวิบากไปอยู่แล้ว นี่ก็หนักแล้วสัมภาระวิบาก อย่าไปวิ่งหาภาระมาแบกอีกมากมายโดยเฉพาะตัวเองเป็นเตี้ยอุ้มค่อม ไม่ได้มีสมรรถภาพอะไรมากมายพอที่จะเป็นเหตุดูแลรับผิดชอบ แล้วก็ไร้สาระด้วยมันก็โง่ 

สู่แดนธรรม... ปัญญานี้ที่ถามมา ถามปลงภาระ ไม่ทราบเขาจะหมายถึงปัญหาของธรรมะหรือเปล่าที่จิตใจจะต้องหมดภาระในเรื่องกิเลส เอานิวรณ์ออกให้หมดแล้วจึงจะเป็นภาระว่างเบาแล้ว 

พ่อครูว่า... ก็บอกอยู่แล้วเพื่อสันติสุขแก่คนที่เกี่ยวข้องไม่ได้เกี่ยวกับจิตวิญญาณตน เขาก็วงเล็บไว้อยู่ 

 

_นายกิตติ จุลกิจ  · สาธุ...นะโมโพธิรักษ์สัตยโต...ครับ ..นาคทำไมบูชาองค์สัมมาพุทธเจ้าและมาเฝ้าพระบรมสารีริกธาตุ...เมืองไทยทางปักษ์ใต้พบโครงกระดูกของงูใหญ่มีงอนด้วยสู้กับยักษ์รัดกันและตายพร้อมกันในถ้ำและถูกค้นพบ 

ท่านฯลองอธิบายสิว่ามันจริงหรือปลอม แล้วพญานาคทำไมถึงศรัทธาและบูชาพุทธเจ้า ในพระไตรปิฎกก็กล่าวถึงพญานาค ตกลงมีจริงหรือไม่ การปฏิบัติดีกว่ามนุษย์เสียอีก มีศีลและสัจจะธรรมมากกว่ามนุษย์...

พ่อครูว่า...มันปลอม เรื่องนี้อาตมาก็กำลังเขียน แยกออกเป็น 10 ข้อในเรื่องของพญานาค 

ทำไมพญานาคถึงศรัทธาพระพุทธเจ้านัก อันนี้เป็นธรรมาธิษฐานที่ลึกซึ้ง 

พระพุทธเจ้าเป็นเครื่องหมายของผู้ตื่นผู้เบิกบาน แต่นาคหรืองูเป็นความหมายของผู้ที่หลับหรี่ ซึ่งตรงกันข้ามกัน 

เพราะฉะนั้นใดชีวิตของสัตว์โลกที่ควรเป็นผู้ตื่นไม่ควรเป็นผู้หลับ ปฏิภาณสามัญของคนก็เข้าใจอยู่แล้ว คนเอาแต่หลับ คนเอาแต่ตื่นคนตื่นก็ดีกว่าคนหลับ มีประโยชน์คุณค่ารู้โลกรู้อะไร สังคมเขาอยู่ แต่หลับนี้มันหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น มืดบอด ไม่เข้าท่า อย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้นยิ่งเป็นความสูงส่ง มันก็ยิ่งผู้ที่มีปฏิภาณรู้แล้ว ธรรมดาสามัญเขาก็รู้แล้ว ยิ่งเป็นปัญญาปฏิภาณที่สูงส่งก็ยิ่งต้องเคารพนับถือผู้ตื่น มากกว่าผู้ที่หลับใหล ดังนั้นจอมนาคหรือจอมพญานาค พญานาคใหญ่ก็มีปฏิภาณว่าจึงยิ่งนับถือพระพุทธเจ้ามากเป็นธรรมดา 

 

_ยายทอง ตาเซียน  · ท่านฟ้าไทเทศน์องค์รวมธรรมะความรู้ทั่วไป.ลาดลุ่มลึก ลึกซึ้งมากครับ ละเอียดดีมากๆๆครับ กราบสาธุสาธุสาธุครับ

 

_0015 ขอบเขตของ "ปัจจุบัน" คืออย่างไร และคำว่า "อยู่กับปัจจุบัน" นั้นคืออยู่อย่างไร ระยะเวลาที่กำหนดหมายเช่น "วันนี้ เดือนนี้ ปีนี้"ถือเป็นปัจจุบันด้วยหรือไม่ครับ

พ่อครูว่า... ที่จริงคำอธิบายนี้สำคัญมาก คำว่าปัจจุบันหรืออยู่กับปัจจุบัน อาตมาเคยพูดว่า ความจริงในโลกนี้ มีปัจจุบันเท่านั้นที่จริง อดีตไม่จริงอนาคตไม่จริง จริงอยู่ที่ปัจจุบันจุดเล็กที่สุด น้อยที่สุด เร็วที่สุดด้วย ก็เคยพูดผ่านอธิบายไปหลายทีแล้ว 

สรุปแล้วเรามีอยู่ในปัจจุบันเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง พอเลยเวลาปัจจุบันไปแล้ว มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราแล้ว  มันผ่านแล้ว ยังไม่มาถึง มันก็ยังไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราหรอก ลึกซึ้ง และปัจจุบันก็ไม่เที่ยง ปัจจุบันมีกรอบขอบเขตเท่าไหร่ นับเป็นวินาทีนับเป็นเดือนเป็นปี โอ้โห 

ถ้าจะบอกว่า นับปัจจุบันตามความเป็นนาที วินาที ก็ต้องต่อเนื่องกันไป ขณะนี้อันนี้ ต่อเนื่องกันอยู่ก็เรียกว่าปัจจุบัน ขาดจากนี้ไป มันก็หมดปัจจุบันนั้นเป็นอันใหม่ ก็เท่านั้นเอง 

ก็คงจะไม่ต้องอธิบายกันมาก 

 

....

ผู้ที่ยังติดยึดอาศัย สิ่งนั้นเป็นชีวิตก็ต้องอาศัย ส่วนคนที่รู้จักรู้จริงรู้แจ้งแล้ว เราก็ต้องเข้าใจเห็นใจผู้ที่ยังติดอยู่ ส่วนประเภทที่ไม่อนุโลมปฏิโลมเลยตีทิ้ง ก็เลยไม่มีเพื่อน ไม่มีผู้จะเชื่อมจะต่อเชื้อเพิ่มต่ออะไรกับเราเลย เราก็เลยเป็นหัวเดียวกระเทียมลีบ อยู่ไหนตัวเองก็เป็นสังคมที่แคบ ตัวเองก็แคบไปในอวิชชาของตัวเอง อย่าทำตัวเองเช่นนั้น เราเองเราไม่ติดไม่ยึดเราเข้าใจดีแล้วมีสาระหรือไม่มีสาระมากหรือน้อย เราก็รู้ขั้นตอนลำดับของมันทุกอย่างแล้ว คนอื่นเขาก็ติดยึดไปตามความติดยึดของเขา มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติก็ต้องเข้าใจ เขายังไม่เดียงสา เขายังอ่อนเยาว์ เขายังเป็นคนพาลคนโง่ ก็ต้องช่วยกัน เราเจริญแล้วเราหลุดพ้นแล้วก็ดีแล้ว ก็อย่าไปตัดทิ้งเขาหมดเลย เดี๋ยวจะเหลือตัวเองคนเดียว หัวเดียวกระเทียมลีบไม่มีใครเลย แบบนี้ก็อยู่ในโลกที่ไม่มีใครยอมรับ มันไม่เจริญ พัฒนาอะไรให้เป็นประโยชน์ไม่ได้ เพราะตีเขาทิ้ง จะเอาให้ได้อย่างเรา อย่างเรา คนอื่นอนุโลมไม่ได้ มันก็ไม่ได้เรื่องอะไร

 

พ่อครูพูดถึงพืชผักผลไม้ที่อยู่บนโต๊ะเทศน์ พ่อครูว่า สักวันก็ให้มะเขือเทศแทน มันมาเทศน์แทน ...

 

SMS วันที่  5-6 มีนาคม 2565

 

_ใบฟ้า ธัมทะมาลา  · เป็นมงคลอย่างยิ่งที่ได้เห็น ได้ฟังธรรมจากท่าน อ.2 ผืนฟ้า ในรายการพุทธศาสนาตามภูมิเมื่อวันเสาร์ที่ 5 มีนาคม ที่กรุณามาโปรดญาติโยม กราบขอบพระคุณ กราบนมัสการด้วยเคารพศรัทธาเป็นอย่างสูงค่ะ

 

สู่แดนธรรม…อ่านความเห็นเรื่องสุขภาพของคนหนึ่ง สรุปว่า..พวกเรากินมังสวิรัติแต่ป่วย และเสียชีวิตหลายคน เพราะขาดถั่ว…

 

พ่อครูว่า... ต่างคนก็ต่างความเห็นกันต่างกันไป คนที่รู้มากก็ยากนาน เพราะเขาก็ไปอยู่ในตระกูลคนรู้มาก คนรู้น้อยก็พลอยรำคาญ ก็ให้รู้พอสมควรแล้วทำให้เสร็จไปเป็นลำดับลำดับ เป็นลำดับลำดาไปเรื่อย ต้องชัดเจนอย่างนี้ 

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ตำนานพญานาค โดยพ่อครู ตอนที่ 1

_(165) “พญานาค”นั้น มีจริง? หรือไม่มีจริง?

ทีนี้มาสาธยายเรื่อง“พญานาค”ให้สิ้นสงสัยกันดูทีรึ!

พญานาค“มีจริง” หรือพญานาค“ไม่มีจริง”ก็จะได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเรื่องของความเป็น“พญานาค” หรือ“นาค”ที่เกี่ยวข้องในศาสนาพุทธกันชัดๆ แจ้งๆกันได้บ้าง

ติดตาม ไตร่ตรองไปให้แตกฉานกันดีๆ 

“นาค”นี้คำบาลีหมายถึง “งู” หรือ“งูใหญ่” หรืออื่นๆอีก

แต่เราหมายเอา“งู”เป็นสำคัญมาใช้เทียบเคียงสาธยาย

“งู”คือ สัตว์ที่อยู่ในท่า“นอน” จึงมีสัญญลักษณ์“การนอน-การหลับ”นี่แหละ นั่นก็คือ พุ่งเข้าไปที่“ลัทธิหลับตา” หรือหมายถึงคนที่มี“มิจฉาทิฏฐิ”เอาแต่“หลับตา”ปฏิบัติกันนั้นแล

บาลีคือ “นาค” ไทยก็คือ “งู” ผู้หลงผิดที่เอาแต่“หลับตาปฏิบัติ”จึงยกให้เป็น“พญางู”ในภาษาไทย ทับศัพท์บาลีก็คือ “พญานาค” ซึ่งหมายถึงเดียรถีย์ หรือเทฺวนิยม ที่เขายังหลงใหลการปฏิบัติ“หลับตา” อันไม่ใช่วิธีปฏิบัติแบบพุทธ

พ่อครูว่า...อาตมาย้ำยืนยัน ถ้าชาวพุทธมาปฏิบัติธรรมแบบลืมตา ตื่นขึ้นมาศาสนาพุทธเจริญ แต่นี่เป็นโง่ดักดานยึดถือการหลับตาโพธิรักษ์พูดกันไปเถอะ..คอจะแตก จนกระทั่งเกิดสภาพพยาธิ เป็นกะเปาะงอกจากหลอดลม จนไอไม่หยุด 

หรือแม้“วิธีปฏิบิติ”ที่แค่“หลับตาปฏิบัติ”นี้ก็เถอะ ก็ยังมี“ความรู้”กันแบบเดียรถีย์หรือเป็น“เทฺวนิยม”กันอยู่ ยังห่างไกล“วิธีปฏิบัติแบบพุทธ”ที่“สัมมาทิฏฐิ”กันอยู่หลาย“ปีแสง” “วิธีแบบพุทธ”นั้น ต้องเป็น“จรณะ 15 วิชชา 8”

ซึ่งมันตรงกันข้ามกัน 180 องศากับ“วิธีปฏิบัติ”ที่เป็น “จรณะ 15 วิชชา 8”เลยทีเดียว 

ดังนั้น คนผู้เอาวิธี“หลับตา”มาใส่ในศาสนาพุทธจึงเป็น“ของปลอม” คนที่เอา“ของปลอม”มาใช้ในศาสนาพุทธ จึงเป็นคนผิด ถ้ายังขืนยืนยันใช้“ของปลอม”อยู่ก็เป็น“โจร”อยู่

“พญานาค”จึงคือ“โจร” ผู้เข้ามาปล้นศาสนาพุทธที่แท้

ทุกวันนี้ในวงการศาสนาพุทธก็ยังพากันหลงยึดมั่นถือมั่น“หลับตาปฏิบัติ”กันว่า เป็น“วิธีสำคัญ” เป็นวิธีหลักในการปฏิบัติเพื่อบรรลุฌาน บรรลุสมาธิ บรรลุนิพพานกันทีเดียว

ซึ่งมัน“ผิด”อย่างยิ่งใหญ่จริงๆ

พ่อครูว่า...เหมือนอย่างมหาบัว อธิบายว่านั่งหลับตาไปแล้วจะบรรลุธรรม ปึ๊งเลย ไม่ได้อธิบายให้ลดกิเลสในจิต เจตสิก รูป นิพพาน เลย มีแต่อธิบายน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง มันผิดอย่างยิ่งใหญ่จริงๆ 

แต่ก็ยังหลงยืนยันยืนหยัดการปฏิบัติ“หลับตา”เป็นหลักที่จะทำให้เกิดบรรลุมรรคผลกันจริงๆจังๆกันอยู่ จึงยังเป็น“โจร”กัน เป็น“พญานาค”แท้ๆ

เมื่อยึดมั่นถือมั่นกันอยู่ เป็นกันมีกันเอาจริงเอาจังกันอยู่ ยังไม่เกิด“ปัญญา”เลิกละได้  ฉะนี้แหละคือ “พญานาค” 

“พญานาค”จึงชื่อว่า “มีจริง” คือ “โจรที่หลับตาปฏิบัติเป็นพญานาคในพุทธ” ซึ่งอวิชชาซับซ้อน“หมุนรอบเชิงซ้อน”อยู่มาก

ซึ่ง“พญานาค”คือ โจรผู้ปฏิบัติผิด กบฏอยู่ในศาสนาพุทธ

ใครว่า “พญานาค”นั้น“มีจริง”หรือ“ไม่มีจริง”กันบ้างเอ่ย?

มันก็เหมือน“คำโกหก”และ“คนโกหก”นั่นแหละ

“คำโกหก”นั้น“ไม่จริง”  แต่“คนโกหก”ก็“มีจริง” ชัดมั้ย?

 

(166) ตำนานต่างๆของ“พญานาค”เท่าที่อาตมาพอรู้  

มาพูดถึง“ตำนานพญานาค”กันเท่าที่อาตมาพอรู้นะ

1. นาค คือ งู ที่มีภาวะ สื่อแสดงท่านอน-ท่าหลับ เป็นลักษณะสำคัญ ดังนั้น ลัทธิยึดท่า“หลับ”คือ “หลับตา”ปฏิบัติจึง“มีจริง” ซึ่งเป็นลัทธิหลับตา ก็คือ ศาสนาหรือลัทธิเดียรถีย์ ที่เป็นลัทธินอกพุทธนั่นแหละ  ยังมีมาก ครองโลกอยู่ด้วยซ้ำ 

2. นาค มาปลอมบวช ในศาสนาพุทธหมายความว่า ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่มีการ“หลับตา”ปฏิบัติ ผู้นำการ “หลับตา”ปฏิบัติมาใส่ลงไปในศาสนาพุทธ จึงเป็นคนผิด คนปลอม ที่เอา“ของปลอม”เข้ามาในศาสนาพุทธ ก็ได้บาปแน่ บุญเขาทำไม่ได้แน่ เขาสร้างพลังงาน บุญไม่เป็น 

เพราะพุทธที่“สัมมาทิฏฐิ”นั้นจะมีหลักปฏิบัติแท้ๆคือจรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งมี “อปัณณกปฏิปทา 3” ยืนยันการเป็นศาสนาพุทธที่แท้จริงถูกต้อง มีหลักธรรมชัดเจนอยู่โต้งๆ

ถ้าการปฏิบัติใดไม่มี“อปัณณกปฏิปทา 3”การปฏิบัตินั้นก็“ผิด”ไปจากศาสนาพุทธ ก็ชัดแจ้งแดงแจ๋อย่างนี้

หรือถ้าผู้ใดยืนยันยึดมั่นถือมั่น ว่า “การหลับตาปฏิบัติ”นี่แหละเป็น“ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด   (อปัณณกปฏิปทา)”ของศาสนาพุทธ ผู้นั้นก็คือ “มิจฉาทิฏฐิ”ตัวแท้ ซึ่งมีความคิดปฏิปักษ์ต่อศาสนาพุทธอยู่โทนโท่ แท้ๆ ชัดๆ

“อปัณณกปฏิปทา 3 (ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดของพุทธ)”ก็คือ การปฏิบัติที่มี“ศีล”เป็นหัวข้อแต่ละข้อ ให้ปฏิบัติ แล้วจะต้อง “สำรวมอินทรีย์ 6-โภชเนมัตตัญญุตา-ชาคริยานุโยคะ” อันเป็น“ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดของพุทธ 3 ข้อ”ที่มียืนยันอยู่อ้างอิงได้ใน“พุทธคุณ 9”ของพระพุทธเจ้า”แท้ๆชัดๆ ใครจะบังอาจปฏิเสธ

 

อปัณณกปฏิปทาข้อ[1] “สำรวมอินทรีย์ 6” ที่มีตา, หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ“สัมผัส”เห็นรูปทางตา,ได้ยินเสียงทางหู,ได้กลิ่นทางจมูก,ได้รสทางลิ้น,ได้กระทบกายภายนอก-ภายใน,ได้สัมผัสกันเองของใจกับในใจขั้นรูป-ขั้นอรูป ซึ่งมี “ภาวะ 2”คือ“มี“ภายนอก”ด้วย มีภายใน”ด้วยอยู่ตลอดการปฏิบัติ เช่น ยกตัวอย่าง ศีลข้อที่ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ไม่ทำร้ายสัตว์เมตตาเอ็นดูสัตว์ คุณก็จะต้องเป็นผู้ที่สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 เกี่ยวข้องกับสัตว์ สัมผัสกับสัตว์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เกี่ยวข้องสัมผัสต้องสังวรระวัง อย่าได้ไปเบียดเบียนทำร้ายจนถึงขั้นฆ่ากัน เป็นอันขาด

อปัณณกปฏิปทาข้อ[2] “โภชเนมัตตัญญุตา” ผู้ปฏิบัติต้องเรียนรู้ขณะกินขณะใช้นั้นๆ อย่าให้มีกิเลสมันเกิดในจิต ถ้ากิเลสเกิดก็กำจัดกิเลสนั้นๆ 

เช่น เนื้อสัตว์เป็นของที่ไม่ควรจะรับมากินเลย มันเป็นอกัปปิยะ คือของไม่ควร ต้องมีปฏิภาณปัญญาแท้ๆ 

อปัณณกปฏิปทาข้อ[3] “ชาคริยานุโยคะ” ผู้ปฏิบัติต้องทำความมีสติตื่นรู้อยู่กับการปฏิบัติทั้งภายนอก-ภายในนั้นๆอยู่เสมอ และมี“ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์”ไปตลอด

แต่ผู้หลงผิดก็มืดบอดจริงๆ ไป“หลับตา”ปฏิบัติกัน การหลับตาปฏิบัติ มันก็ตรงกันข้ามกับ“อปัณณกปฏิปทา 3”

มันผิด“วิธีปฏิบัติของพุทธ” แม้ภาษา“อปัณณกปฏิปทา” ก็ยืนยันอยู่โต้งๆ ชัดๆอีกปานฉะนี้  ก็ยังไม่ยอมรับความผิดนี้

สู่แดนธรรม.. ส่วนมาก พูดนั่งหลับตาปฏิบัติเขาจะบอกว่า ศีล ก็ผ่านมาแล้วขั้นตอนต่อไปคือสมาธินั่งสมาธิศีลก็บริสุทธิ์แล้ว 

พ่อครูว่า... คือโมเมนต์ทั้งนั้น อวิชชาตลอด ก็คือโง่สิ โง่หนักโง่หนาโง่ซับโง่ซ้อนตลอดกาล คนที่จะตื่นมีสติรู้ทำกายวาจาใจตื่นรู้โลกรู้แสงอาทิตย์มีจักษุปัญญาญาณวิชชาแสงสว่างรับรู้สัมผัสเกี่ยวข้อง 

เกี่ยวกับสัตว์ก็คือสัตว์ก็รู้ นี่ยังไม่ถึง ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับของเกี่ยวกับพืชนะ 

อาตมาอธิบายศีลละเอียดละออแยกชัดเจนเลยศีล 3 ข้อนี้ในศีล 5 

ศีลข้อ 1 เกี่ยวกับสัตว์ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวของกับพืช นัยยะต่างกัน สัตว์มันก็เป็นจิตนิยามส่วนคล้องกับพืชก็เป็นอุตุนิยาม พีชนิยาม อธิบายละเอียดละออหมดแล้ว 

ฟังดีๆ จะมีคนมาอธิบายอย่างอาตมาอธิบายนี้ นานกว่านานเหมือนกันจะมีคนอย่างอาตมามาอธิบาย ฟังเถอะ จะเรียกเป็นภาษาสำนวนไทยง่ายๆว่า บุญหูแล้วที่ได้ฟังได้ยิน บุญหูจริงๆ 

สู่แดนธรรม... แทรกปัญหา จากลูกตัวเล็กๆ วันนี้มีข่าวพระครูที่อยู่ข้างนอก ถูกลอตเตอรี่ 3 ใบ ส่วนหนึ่งเอาเข้าวัด อีกส่วนหนึ่งน้อยกว่าเอาเข้าวัดแจกประชาชน ก็เลยรายงานมา พระก็ยืนแจกเงิน มือต่อมือ ให้ญาติโยมทั้งชายและหญิง ไม่ทราบว่า พระวินัยและศีลจะเหลืออยู่หรือไม่ ในเถรสมาคม พระก็ซื้อหวยได้อย่างไม่ละอายใจอย่างนี้ผิดวินัยด้วยหรือไม่คะ 

พ่อครูว่า... ผิดหมดทุกอย่างเลย ไปแจกก็ไม่ใช่เรื่องของสงฆ์ของภิกษุที่จะทำ พูดไปแล้วก็ไม่อยากจะพูดมาก พูดมากแล้วด้วย คือ มันเสื่อมจนไม่รู้สิรู้สายิ่งกว่าเด็กไม่เดียงสาเลยศาสนาพุทธทุกวันนี้ ในวงการศาสนาหลัก 

ขออภัยไม่ได้ลบหลู่ดูถูก ไปหาเรื่องหาความมาใส่ มันเพี้ยนมันเสื่อมเสียจนตามที่พระพุทธเจ้าได้พยากรณ์เอาไว้แล้ว แต่มันก็เป็นไป 

เพราะฉะนั้นใครมีปฏิภาณปัญญา มีดวงตารู้ว่า ศาสนาพุทธเป็นโลกุตระ เป็นอาริยธรรม เป็นอย่างที่โพธิรักษ์ นำมาเสนอนี้ รู้ แล้วก็เข้าใจว่าใช่ ก็มาเอา คือได้ยินได้ฟังเหมือนกันแต่ไม่เชื่อ เชื่อกระแสหลัก เชื่อเถรสมาคมมันก็เป็นธรรมดา คนก็ไปเอาทางโน้น 

อาตมาไม่ได้มีปัญหากับคนที่ไม่เชื่อหรือเชื่ออาตมา อาตมาเองมีหน้าที่มาเปิดเผยความจริงเท่านั้น อาตมาขอยืนยันว่า 

ศาสนาพุทธที่พูดนี้ตามหลักธรรม ยังดีที่มีพระไตรปิฎก เป็นหลักฐานยืนยันอ้างอิงได้ตลอดเวลา จรณะ 15 วิชชา 8 ก็อ้างอิงได้อยู่ในตำรา อปัณณกปฏิปทา 3 ก็ยืนยันได้เป็นข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด 3 ข้อ ยืนยันอยู่ในพุทธคุณ 9 ของพระพุทธเจ้า ไม่มีใครจะบังอาจปฏิเสธ 

 

อปัณณกปฏิปทาข้อ[1] “สำรวมอินทรีย์ 6” ที่มีตา, หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ“สัมผัส”เห็นรูปทางตา,ได้ยินเสียงทางหู,ได้กลิ่นทางจมูก,ได้รสทางลิ้น,ได้กระทบกายภายนอก-ภายใน,ได้สัมผัสกันเองของใจกับในใจขั้นรูป-ขั้นอรูป ซึ่งมี “ภาวะ 2”คือ“มี“ภายนอก”ด้วย มีภายใน”ด้วยอยู่ตลอดการปฏิบัติ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สู่แดนธรรม... พ่อท่านจะเน้นเรื่องกาย คือ ความหมายเป็นหมวดหมู่กอง เป็นพหูพจน์ มีส่วนหลักและส่วนแวดล้อมประกอบ สองส่วนเสมอ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) แต่คนไม่รู้ก็เอาแต่จิต ดูที่จิต 

พ่อครูว่า... กายหมายถึงภายนอกหรือภายในอย่างเดียวก็มิจฉาทิฏฐิทั้งคู่ กายต้องสองเสมอ กายเป็นหนึ่งไม่ได้ กายมีภายนอกอย่างเดียวไม่ได้มีภายในอย่างเดียวไม่ได้ต้องมี 2 เสมอ ลึกซึ้งละเอียดในคำว่ากาย อาตมาอธิบายกายไปอีกนาน 

 

อปัณณกปฏิปทาข้อ[2] “โภชเนมัตตัญญุตา” ผู้ปฏิบัติต้องเรียนรู้ขณะกินขณะใช้นั้นๆ อย่าให้มีกิเลสมันเกิดในจิต ถ้ากิเลสเกิดก็กำจัดกิเลสนั้นๆ 

พ่อครูว่า...จะกินจะใช้ก็อย่าให้เกิดกิเลส คุณไปนั่งนึกเอาว่ามันเกิดกิเลสไม่ใช่กิเลสจริงมันเป็นการนึกคิด ปั้นกิเลสขึ้นมาเอง ความจำไม่ใช่ความจริง 

ถ้าสัมผัสแล้วมันเป็นความจริง สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นความจริง กิเลสเกิดทางใจเราจริง ไม่ว่าจะสัมผัสของกินหรือสัมผัสของใช้ ถ้าเกิดกิเลสก็เห็นกิเลสไปจัดการกิเลส ถึงจะเป็นจริง คนไปนั่งหลับตาจะถือเป็นหลักปฏิบัตินั้นไม่เป็นความจริงเลยไปปฏิบัติก็สูญเปล่าไม่ได้มีอะไร เล่นกับแต่ความจำลมลมแล้งๆไป เมื่อไหร่จะเกิดปฏิภานสักที อาตมาไม่เชื่อว่าท่านโง่นะ อย่าให้อาตมาเห็นว่าท่านโง่เลย อาตมายังเห็นว่าท่านไม่โง่ 

สู่แดนธรรม... ท่านคงไม่ได้คิดว่าตัวเองโง่แต่ท่านหลงผิดไปใช่ไหมครับ 

พ่อครูว่า... จะเรียกว่าทั้งนั้นแหละพูดภาษาก็เป็นไวพจน์กัน 

สู่แดนธรรม... นั่งแล้ว ได้สภาวะจิตใส เหมือนกิเลสไม่เกิดเลย มันก็เลยนึกว่าเป็นจริง 

พ่อครูว่า... มันทำได้ทำอารมณ์ให้ว่างจากสิ่งที่เกี่ยวข้องก็ฝึกเอา ทำพลังงานขจัดเอาออก ในสภาวะนั้นทำได้ อาฬารดาบส อุทกดาบส ธรรมะก่อนซึ่งไม่ใช่วิชาของพระพุทธเจ้า 

สู่แดนธรรม... สงบโดยไม่มีอะไรกวนมันง่ายใช่ไหมครับ 

พ่อครูว่า... ง่าย อาตมาทำมาหนักหนาแล้วเคยทำมา ไม่ใช่พูดไปเหมือนหมาเห็นองุ่นเปรี้ยวไม่ได้กินองุ่นกับเขาแล้วเอามาพูด ไม่ใช่ แต่ทำมาหนักหนาแล้วรู้ทั้ง 2 ด้านอย่างนั้นก็รู้อย่างนี้ก็รู้ 

อาตมาจึงเปรียบเทียบได้ว่าอย่างนั้นมันไม่ถูกอย่างนี้มันถูก ถึงพูดความจริงเพราะเรารู้ 2 ด้าน อย่างที่อาตมารู้เขาไม่ได้รู้ไม่ได้ฝึกกัน ก็มาลองฝึกอย่างนี้ดูสิ จะได้รู้ว่าอย่างไรถูก อย่างไรไม่ถูก อย่างไรควร อย่างไรไม่ควร มันจะเข้าใจเห็นจริง 

อปัณณกปฏิปทาข้อ[3] “ชาคริยานุโยคะ” ผู้ปฏิบัติต้องทำความมีสติตื่นรู้อยู่กับการปฏิบัติทั้งภายนอก-ภายในนั้นๆอยู่เสมอ และมี“ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์”ไปตลอด

พ่อครูว่า...ผู้ปฏิบัติสมาธิก็จะรู้ว่าความสงบแบบสมถะกับความสงบแบบปัสสัทธิสัมโพชฌงค์นั้นเป็นอย่างไร ต่างกันอย่างไร 

แต่ผู้หลงผิดก็มืดบอดจริงๆ ไป“หลับตา”ปฏิบัติกัน การหลับตาปฏิบัติ มันก็ตรงกันข้ามกับ“อปัณณกปฏิปทา 3”

มันผิด“วิธีปฏิบัติของพุทธ” แม้ภาษา“อปัณณปปฏิปทา” ก็ยืนยันอยู่โต้งๆ ชัดๆอีกปานฉะนี้  ก็ยังไม่ยอมรับความผิดนี้

 

3. ผู้นำวิธี“หลับตา”มาใช้ในศาสนาพุทธจึงเป็น“นาค” หรือ“งู”ปลอมเข้ามาเผยแผ่ลัทธิวิชาของเดียรถีย์ ในพุทธ 

เมื่อ“ปลอมตัว”เข้ามาอยู่ในศาสนาพุทธแล้วก็พยายาม ที่จะไม่ทำตนเป็น“งู” ก็ยังพยายามไม่ให้แสดงหลับ ไม่ให้แสดงนอน เดี๋ยวจะจับได้ว่า เป็นเดียรถีย์คือ“งู” จนที่สุดนาคที่ปลอมเข้ามาบวชในศาสนาพุทธก็ต้องเผย“ธาตุแท้”ออกมาจนได้ คือ ตอนมาขอบวชนั้นปลอมตัวเป็นคน  แต่เผลอนอน เผลอหลับให้จับได้ นั่นคือ ร่างที่ปลอมเป็นคนมานั้นมันกลับคืนไปเป็นงู ตอนเผลอนอนหลับอยู่ในกุฏิ หางโผล่ออกมานอกประตู มีผู้พบเห็นก็จับได้ว่าเป็น“นาค”ปลอมตัวเข้ามาบวช จึงจับสึก ไล่ออกไป  

แต่นาคก็อ้อนวอนขอให้เห็นใจ คนผู้รักศาสนาพุทธ ศรัทธาศาสนาพุทธ อยากเป็นพุทธ จึงขอให้เรียกผู้ที่จะได้บวชเป็น“ภิกษุ”ในศาสนาพุทธ โดยใช้คำว่า “นาค”เป็นอนุสรณ์

จึงมีคำว่า “นาค”เรียกผู้เตรียมบวชก่อนเป็นภิกษุ

จริงๆแล้วลัทธิ“หลับตา”ปฏิบัติเป็นลัทธิ“เดียรถีย์” ดังนั้น ผู้ปลอมตัวเข้ามาบวช แต่เป็น“เดียรถีย์”ผู้นั้น“จิตยังไม่มี“ความยินดี”ถึง“รากเหง้า”ของจิต ยังไม่มี“ฉันทะเป็นมูลกา”(ข้อที่ 1 ของ“มูลสูตร 10” พระไตรปิฎก เล่ม 24 ข้อ 58)จริงๆ “จิตจริงลึกๆ”ยังติดยึดอยู่กับ “ลัทธิเดียรถีย์เดิม”อยู่แท้ ก็ยากที่จะ“ทำใจในใจ(มนสิการ)”ให้เป็น “โลกุตระ” ได้สำเร็จผล

ผู้ที่ยัง“ไม่มีฉันทะ”ถึงรากถึงเหง้าของจิต(มูลกา)จริง จึงไม่มีหวังที่จะปฏิบัติธรรมของพุทธบรรรลุ“โลกุตระ”

พ่อครูว่า...ชาวเทวนิยมที่จบดร. เป็นนักศึกษาทางศาสนา จะเป็นคริสต์ก็ตาม (อิสลามไม่ค่อยแสวงหาเท่าไหร่ ) จะจบปริญญาเอกทางศาสนาพุทธ (ชาวคริสต์ ) เขาก็ไม่ได้ซาบซึ้งอะไรเพราะจิตเขายังเป็นคริสต์ 

ถ้าจิตรากเหง้าเขาเปลี่ยนมาศึกษาศาสนาพุทธ เขาจะไม่เอาแล้วศาสนาคริสต์เขาจะเปลี่ยนมาเป็นศาสนาพุทธเลย แต่ศึกษาปริญญาเอกแล้วเขาก็เป็นใหญ่เป็นโตในศาสนาคริสต์ของเขาอยู่ มันส่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้มีจิตฉันทะจริงเลยในศาสนาพุทธ 

ประเด็นต้องมี“ฉันทะเป็นรากเหง้าของจิต”นี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่ใช่เรื่องสามัญ แต่สำคัญลึกล้ำใหญ่ยิ่งแท้ทีเดียว

ก็ขนาดผู้มี“ฉันทะ”ในพุทธโลกุตระชนิดเต็มใจแท้ๆก็ยังยากเลย ที่จะ“สัมมาทิฏฐิ” จึงจะปฏิบัติบรรลุ“โลกุตรธรรม”

พ่อครูว่า...ก็ขนาดคนมีฉันทะแล้วยังยากเลย ที่จะบรรลุธรรมแม้แต่เป็นชาวพุทธเอง จะปฏิบัติบรรลุโลกุตรธรรมก็ไม่ได้ง่ายๆ 

 

(167) ความเป็น“กาย”จึงอธิบายความเป็น“พญานาค”

เพราะ“โลกุตรธรรม”นั้นวิเศษ พิเศษเหนือไปจาก“โลกียธรรม”จริงๆ ที่ต้องเริ่มต้นด้วย“ทิฏฐิ”คือ“ความเข้าใจ” ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงนับตั้งแต่ความเข้าใจ“กาย” ซึ่งเรียนรู้ได้จาก ที่มี“ของตน”ที่บาลีว่า “สัก” นั่นคือ ต้อง“พ้นสักกายทิฏฐิ”

หากเข้าใจความเป็น“กาย”จากภาษาว่า“กาย”นี้แล 

ไม่ได้อย่างเป็น“สัมมาทิฏฐิ”ละก็ ต่อให้พากเพียรอุตสาหะหนักหนาอุกฤษฏ์ปฏิบัติปานใด ก็ไม่มีสิทธิ์บรรลุพุทธโลกุตระ

เช่น หลงผิดเอาวิธี“หลับตา”เข้ามาใส่ในศาสนาพุทธ หรือเข้าใจว่า “กาย”คือ “ร่างภายนอก”ที่หมายเอาเฉพาะแต่ “สรีระ”อย่างเดียว ไม่มี“จิต”ร่วมอยู่ด้วยก็คือ “มิจฉาทิฏฐิ”แท้ 

ผู้นำวิธี“หลับตา”มาใช้ในศาสนาพุทธจึงเป็น“นาค” หรือ“งู”ปลอมเข้ามาเผยแผ่ลัทธิวิชาของ“เดียรถีย์”ในพุทธ

ชื่อว่า “โจรร้าย”ของศาสนาพุทธ เป็นผู้ทำลายพุทธแท้   

 

4. เมื่อ“นาค”พยายามซึมแทรกเข้ามาบวชในศาสนาพุทธได้ ก็พยายามจะไม่ให้“ความเป็นนาค”บังเกิดออกมาอย่างยิ่ง อย่างใหญ่อย่างมหายิ่งมหาใหญ่ จนต้องเรียกว่า “พญา”ผู้ยิ่งใหญ่ ที่รักศรัทธาศาสนาพุทธ ก็พากเพียรที่จะ “ไม่ให้ตนเป็นนาค” ก็เท่ากับผู้เฝ้ารักษาความเป็นพุทธอย่างยิ่งใหญ่ จึงมีสัญลักษณ์เป็น“นาคปรก 7 เศียร” นั่นหมายถึงผู้รู้ว่า ตัวเป็น“นาค”ผู้มีรากฐานมาจากงู แต่รักศรัทธาศาสนาพุทธสุดชีวิต จึงคอยปกป้องรักษาศาสนาพุทธจริงจังเต็มที่ แล้วปณิธานของตนก็จะเป็นพุทธสุดยอดให้ได้ ถึงพระพุทธเจ้าโน่นแหละ ก็แสดงถึงความเป็น“นิยตะ” ซึ่ง“ปุคคลาธิษฐาน”ก็คือ “พญานาค 7 ตัว 7 หัว”ปกปักรักษาพระพุทธ 

นั่นคือ มี“ความปรารถนาเจตสิก”เข้าขั้นยินดีในพุทธแล้วแน่นอน ไม่มีเปลี่ยนแปลง ยึดมั่นไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา 

จึงนับเข้าขั้นผู้รู้ดีในความเป็น“นาค”อย่างยิ่ง และจะออกจากความเป็นนาคให้ได้เด็ดขาดจริงแท้ด้วย จึงนับเข้าขั้นเป็นผู้รู้ทันคนปลอมตัวมาบวชในศาสนาพุทธ ก็กลายเป็นทั้งมือปราบคนปลอมตัวมานอน มาหลับ มาซุกตัวเผยแพร่“ความเป็นงู-ความเป็นนาค”ทั้งตนก็ยังเป็น“นาค”อย่างยิ่งอยู่ ที่มาเผยแพร่ลัทธิงูลัทธินาคในพุทธเสียเลย ซึ่งเป็น“ภาวะมายา” คือ
“ภาวะ 2”ซ้อนอยู่ใน“ภาวะ 1” โดยตนก็“อวิชชา”อยู่ตลอด

 

5. ซึ่ง“อนุสัย”ของ“นาค”ก็ยังมี“อัตตา”จอมยึดเก่งยอดจนได้ชื่อว่า เป็นจอมนาคหรือพญานาคเข้ามาเผยแพร่ลัทธิหลับ ลัทธินอนของตนจนได้ เป็นยอดงู ยอดนาค จนศิลปินต้องยกฐานะให้เป็น“พญางู”ก็ตกแต่งหน้าตา หูหัว สัดส่วนรูปร่าง“งู”ให้มีรูปร่าง มีหงอน มีแง่ แต่งองค์ทรงเครื่อง มีลายกนกตกแต่งเป็นลวดลายพิเศษให้เป็น“งู”ยิ่งใหญ่ ที่เขื่องโก้ หรูหรา มโหฬาร แตกต่างจาก“งู”สามัญ เป็น“พญางู-พญานาค” มีรูปโฉมดังที่เห็นกันอยู่ตามจินตนาการศิลปะไทยนั่นเอง

สู่แดนธรรม... ผมเองตอนเป็นเด็กเคยอ่านพระมาลัยท่องนรก 

 

6. “ธาตุแท้”ของตนก็คือลัทธิ“หลับ” เมื่อยิ่ง“ หลับ”ก็ยิ่งไม่ตื่น-ไม่รู้โลก ทับทวีหนาหนักซับซ้อนนับไม่ถ้วน ก็ยิ่งคือ “ผู้สั่งสมอวิชชา”เป็น“พญานาค”ที่ยิ่งใหญ่ยิ่งโต ยิ่งมโหฬาร ลงบาดาลลึกๆๆๆ ก็ยิ่ง“อวิชชามืดดำ”ยิ่งขึ้นๆๆๆๆๆไปอีก  

 

7. สุดท้ายแห่งสุดท้ายก็หมดท่าแห่งความตื่น สิ้นสภาพผู้ที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน จึงกลายเป็น“พญานาค”ที่ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”สาหัสสากรรจ์นานหนัก อาการถึงขั้น“ไม่มีการตื่น”มารู้เห็นอะไรกันเลยตลอดระยะแห่งกาลที่ยังไม่มี “พระพุทธเจ้า”อุบัติขึ้นมาในโลกแต่ละพระองค์ จะรู้สึกตัวขึ้นมาทีหนึ่งก็แค่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลกองค์หนึ่ง รู้แค่นั้นจากนั้นก็นอน“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น“เฝ้าถาดทองคำที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์อุบัติขึ้นมาในโลกอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรสุดลึกนั้นเท่านั้น นอกนั้นไม่รู้อะไรที่เป็นพุทธเลย

 

สู่แดนธรรม... สรุปจบ








 

(146) “สักกายทิฏฐิ”จึงเป็น“ทิฏฐิ”ข้อที่ 1ใน“สังโยชน์ 10”

แม้แต่ว่า ถาดทองหรือธรรมของพระพุทธเจ้านั้น “ทวนน้ำ”หรือ“ทวกระแสสามัญโลกียะ”นะ!  ก็ไม่รู้ว่า“ทวนกระแส”คือออะไร? ก็ยังพากันหลงจมงมงายไปกับโลกียะอยู่ จึงหยำเหยอะไปด้วย“ลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข”อยู่นั่นแหละ

ไม่รู้จัก“กาย”กันเลย ยิ่ง“สัก”ก็มองไม่เห็น!

ดำดิ่งอยู่กับ“กาย” มืดบอดอยู่กับ“สัก”กันอยู่นั่นแหละ

คลุกคลีอยู่กับสวรรค์-นรกโลกีย์กันอยู่หน้าระรื่น

รู้จักรู้แจ้งรู้จริง แม้แต่คำว่า“กระแส(โสต)”กันที่ไหน?ตนเอง“ไหลลิ่ว แย่งกันไหลไปกับกระแสโลกีย์กันอีก ด้วยซ้ำ ก็ไม่รู้ตัวกันเลย ไม่ต้องพูดถึง“การทวนกระแส”หรอก

ล้วนยังจมงมงายเป็น“พญานาค”กันอยู่หน้าตาเฉย 

ถ้าไม่มี“ตำนาน”ถาดทองคำของพระพุทธเจ้าที่แต่ละพระองค์ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป แล้วไปหยุด ณ ที่แห่งเดียวกัน ตรงกันกับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แล้วจมลงไปกระทบกับถาดทองคำของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน มีเสียงดัง“ด้วยเสียงของถาดทองคำ”นั้น ซึ่งหมายถึงเสียงสุดวิเศษแห่ง“โลกุตรธรรม” อันไม่มีธรรมใดของศาสนาใดในเทฺวนิยมมีกันได้เลย กระนั้นก็ยังทำให้“พญานาค”รู้ได้ว่าเป็นเสียงของ“ถาดทองคำของพระพุทธเจ้า”ได้อย่างเดียวเท่านี้ เท่านั้น นอกนั้น“ไม่รู้”อย่างอื่นอะไรเลยสักนิดทั้งสิ้นทั้งนั้น

เริ่มตั้งแต่คำว่า “กาย”ก็“มิจฉาทิฏฐิ”สนิทแล้ว

ความเป็น“สัก”จึงไม่รู้ว่า“มันพิการ”ไปแล้วอย่างไร? หนักหนาสาหัสปานไหน? 

จึงเป็น“พญานาค”เต็มสภาพ ตั้งแต่“ทิฏฐิ”ข้อที่ 1 ก็

“มิจฉาทิฏฐิ”กันบริบูรณ์ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” แม้จะมี“คนผู้สาธยาย“โลกุตรธรรม”ของพระพุทธเจ้าคอแตกปานใด “พญานาค”ก็ยังคง“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”อะไรทั้งนั้น  มืดบอด

สนิทกันอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรลึกสุดนั้นตลอดกาล “ไม่รู้สึกรู้สาอะไรสักนิ๊ด”ขึ้นมาเลย ราวกับก้อนหินก้อนดินก็ไม่ปาน  

ล่วงเลยยุคกึ่งพุทธกาล(2500 ปี)ไปแล้ว โลกจะไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแน่นอน มีก็แต่“พระโพธิสัตว์หรือ “สัตตบุรุษ”เท่านั้นผู้มาทำหน้าที่สืบทอด“พุทธธรรม”ที่เป็น “โลกุตรธรรม”ของพระพุทธเจ้าตามหน้าที่อย่างสำคัญ 

แม้พระโพธิสัตว์หรือสัตตบุรุษ เกิดขึ้นมาในโลกทำหน้าที่สืบสาน“โลกุตระ”ของพระพุทธเจ้า “พญานาค”เขาก็ไม่รู้สึกรู้สาใดๆเลย แม้จะปลุก จะกรทุ้งกระแทกด้วยปากหอก

(มุขสัตตี) จะแทงด้วยหอก 100 เล่ม เช้า-กลางวัน-เย็น จนหอกหักหมดเกลี้ยง “พญานาค”ก็ไม่รู้สึกตัวกันขึ้นมาได้

“พญานาค”ก็คือ “ชาวพุทธกระแสหลัก”ในยุคนี้ ในทุกวันนี้นั่นเอง ที่เป็นจริง ยืนยันความจริงนี้กันอยู่อย่างเห็นๆ 

เพราะ“หู”ของชาวพุทธกระแสหลักได้พิการไปหมดแล้ว วิตถารไปด้วยซ้ำ คือ รับรู้ได้แต่“เสียงของโลกธรรม”ว่าไพเราะสุดซึ้งเสียเหลือเกิน จึงหลงเพลินไปกับ“โลกียธรรม” 

เนื่องจากเสียงของ“โลกียะ” กับเสียงของ“โลกุตระ”มันเป๋็นคลื่นเสียงคนละคลื่นกันจริงๆ จึงรับคลื่นโลกุตระไม่ไได้

เมื่อ“หูหนวกตาบอด’กับเสียง“โลกุตระ”กันแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของ“สัตตบุรูษ”ที่จะต้องรักษา“หู-ตา”ให้แก่ชาวพุทธกระแสหลักให้หายจาก“หูหนวก-ตาบอด”ให้ได้ 

กระนั้นก็สุดยากแสนยากกันจริงๆ เพราะชาวพุทธกระแสหลักเขาได้พากันหลงยึดมั่นถือมั่นใน“มิจฉาทิฏฐิิ”กันหนักหาสาหัสจนได้ชือว่า “พญานาค”กันดังที่เห็นและเป็นอยู่

แม้แต่“กาย”เขาก็ยัง“มิจฉาทิฏฐิ”ไม่“พ้นสักกายทิฏฐิ”กัน

 

(147) ที่จริงอาตมาก็รู้อยู่ว่า ยุคนี้คนผู้“อวิชชา”นั้นมีมาก 

50 กว่าปีแล้ว”ที่อาตมาได้อุตสาหะพยายามใช้เรี่ยวแรงความสามารถปลุก“พญานาค” ก็มีแต่ผู้ที่มี“ดวงตา”หรือมี“ธุลีในดวงตาน้อย”จำนวนหนึ่งเท่านั้นที่พอได้ยิน และได้ตื่นขึ้นมารู้โลกุตรธรรม และได้เรียนอบรมฝึกฝนจนกระทั่งบรรลุ“โลกุตรธรรม”ได้สำเร็จจริงจำนวนเล็กน้อย 

ส่วนใหญ่นอกนั้นก็ยังคงหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น เป็น“พญา นาค” นอนเฝ้า“ถาดทองคำ”ของพระพุทธเจ้ากันอยู่

ที่จริงอาตมาก็รู้อยู่ว่า ยุคนี้คน“อวิชชานั้นมีมาก

แต่ก็ต้องพยายามกันอย่างยิ่ง เพราะ“กรรม”นั้นเจริญด้วย“ความพยายาม”แท้จริง จะท้อถอย“หยุดทำกรรม”ไม่ได้

โดยเฉพาะ“กรรมที่ดีที่วิเศษเป็นโลกุตระ”

ที่ต้องพูดว่า เขายังเป็น“พญานาค”กันอยู่นั้น 

ก็เพราะ“เขา”ได้ยินเสียงวิเศษจริงๆ(เสียงของ“โลกุตระ” แท้ๆนี่เอง) แต่เพราะความ“อวิชชา”สนิท ก็“หูผึ่ง”ขึ้นมาแวบหนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้นก็หลับไม่รู้คู้ไม่เห็นหรืออวิชชาต่อไปตลอดระยะยาวนานที่เป็น“กาล” ว่า อ้อ! พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลก อีกพระองค์หนึ่งแล้วเหรอ? ว่าแล้วก็“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” นั่นคือ อวิชชาต่อไป ทับถมให้“อวิชชา”หนาหนักเพิ่มขึ้นยิ่งขึ้นๆ ด้วยการหลงใหลหลับไหลอยู่กับการ“หลับตา”ปฏิบัติเป็น“พญานาค”นอนเฝ้าถาดทองคำอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร ที่มีถาดทองคำซ้อนกันเป็นล้านๆถาด

ซึ่งพระพุทธเจ้านั้นมีอุบัติขึ้นมาในโลกนับไม่ถ้วนเป็นล้านๆพระองค์แล้ว และก็จะมีพระพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นๆไปกับกาลของโลกนี้แหละ “พญานาค”ก็จะหลับไม่รู้คู้ไม่เห็นตัวจริง ยิ่งใหญ่ นอนเฝ้า“ถาดทองคำของพระพุทธเจ้าอยู่อย่างนั้นต่อไปลึกลงไปอีกๆๆๆ  ยิ่งขึ้นๆๆๆๆๆ ไม่มีสิ้นสุด เพราะในโลกจะมีคน“อวิชชา”จำนวนมากครองโลกเป็นปกติสามัญ 

ที่ไม่รู้จักแม้แต่ความเป็น“กาย” ก็ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ยัง“พ้นสักกายทิฏฐิ”ไม่ได้ง่ายๆ ดังที่เป็นที่เห็นจริงกัน

8. “พญานาค”ก็ยังคงมีแม้ทุกวันนี้ คือ “งู” หรือคนที่มีลัทธิวิธี“หลับตา”หรือ“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”ก็เป็น“โจรปล้นพุทธศาสนา”อยู่นั่นเอง ที่พระราชาให้เจ้าพนักงานไปประหารเสีย

9. ที่พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเปรยไว้ว่า “ผู้ทำลายศาสนา” นั้นคือ “โจร” ที่มีพระราชาผู้เป็นผู้รู้ว่าใครเป็นโจร จึงสั่งให้เจ้าพนักงานไปประหารเสีย ประหารด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้าแต่“โจร”ก็ไม่ตาย ยังทำการปล้นทำลายศาสนาอยู่นั่นเอง พระราชาทรงพบเจ้าพนักงานก็ตรัสถามว่า โจรตายหรือยัง? เจ้าพนักงานก็ทูลตอบว่ายังไม่ตาย ก็สั่งให้ไปประหารอีกในตอนกลางวันด้วยหอกร้อยเล่ม ตกเย็นพระราชาพบเจ้าพนักงานก็จะถามอีกว่าโจรตายแล้วหรือ เจ้าพนักงานก็ทูลตอบอีกว่ามันยังไม่ตายพระเจ้าข้า ก็ทรงให้ไปประหารด้วยหอกร้อยเล่มในตอนเย็น โจรก็ยังไม่ตายอยู่ๆ

(พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 244) ใครเห็น“พญานาค”กันได้บ้างเอ่ย? 

10. ทุกวันนี้ “พญานาค”ก็จึงยังไม่ตาย ยังพากันมาปลอมบวชในศาสนาพุทธ มาพาชาวพุทธผู้ด้อยปัญญา ไป“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” เป็นคนไม่มี“จักษุ-ปัญญา-ญาณ-วิชชา -อาโลก”กันอยู่  เห็นไหมว่า “พญานาค” ก็ยังมีอยู่นั่นเอง 

นี่ปอกเปลือก“พญานาค”ให้ฟัง พญานาคมีจริงหรือพญานาคไม่มีจริงเป็นความรู้ระดับ“สิริมหามายา”กันทีเดียว!

แต่ชาวพุทธที่ยังไม่เห็น“พญานาค” เพราะ “อวิชชา”นั้นมีอยู่มากจริงๆ ทั้งๆที่ตนเป็น“พญานาค”อยู่เองแท้ๆ  

 

(148) “ศาสนาพุทธ”ไม่ใช่ศาสนาที่มีอยู่ประจำโลก  

“พญานาค”นี้คือ ลัทธิ“หลับตา”หลับไม่รู้คู้ไม่เห็นของศาสนาเดียรถีย์เขา เขาก็“หลับตา”ปฏิบัติของเขาไปยืนยันความเป็นเดียรถีย์ของเขา ก็เป็นธรรมดาสามัญของเขาที่เดียรถีย์“มี”อยู่ประจำโลก

“พุทธที่เป็นโลกุตระ”ต่างหากที่“ไม่มีอยู่ประจำโลก”

ศาสนาพุทธจึง“มี”ขึ้นในโลกเป็นคราวๆ แล้วก็จะ “ไม่มีศาสนาพุทธ”ไปช่วงหนึ่งเรียกว่า“พุทธันดร(ช่วงที่โลกไม่มีึศาสนาพุทธในกาลช่วงนั้น)” แล้วจึงจะ“มี”พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา“มี”ศาสนาพุทธขึ้นมาใหม่อีก” เรียกว่า “ภัทรกัปป์(คือในช่วงที่มีศาสนาพุทธมีพระพุทเจ้าอุบัติขึ้นมาประกาศศาสนาต่อกันหลายพระองค์ บางภัทรกัปป์ก็มีมากเกิน 5 พระองค์เป็น 10 เป็น 100  กัปป์ที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาน้อยที่สุด เช่น ใน“ภัทรกัปป์ของพระพุทธเจ้าสมณโคดม”นี้แล ก็มีเพียง 5 พระองค์ จากนี้ก็เป็นกลียุค เป็นยุคโหดเหี้ยมเลวร้าย ฆ่ากันตายมากมาย ทั้งเลือดร้อน เลือดเย็น มนุษย์ในโลกก็เหลือน้อยลงๆ ก็จำต้องหยุดพักการฆ่ากัน)” สิ้น“ภัทรกัปป์”ก็เป็น“พุทธันดร”คือช่วงที่ไม่มีศาสนาพุทธ จะเว้นระยะเวลาโลกว่างจากศาสนาพุทธไปช่วงหนึ่ง จะสั้นจะยาว ก็ตามแต่“กาละ-เทศะ-ฐานะ”ที่จะมีเหตุมีปัจจัยเป็นสัดส่วนปรุงแต่งกันให้“เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป”ได้นั้นๆเท่าที่มันจะมีจะเป็น

“การหลับตาปฏิบัติ”นั้นมัน“มี”อยู่ประจำโลก มันเป็น “หลักปฏิบัติของเดียรถีย์”แท้ ไม่มีขาดหายไปหมดโลกหรอก การ“หลับตา”ปฏิบัติเป็น“โลกียธรรม” เป็นของ“เทฺวนิยม” 

เขาก็“มี”ของเขาไป มันก็เป็นปดติธรรมดาของโลกียะ    

พระพุทธเจ้าตรัสว่า อาศัย“ความมี”กับ“ความไม่มี”นี้แหละในโลกที่ใช้“สื่อ”แสดงต่อกันให้รู้  ไม่มีอื่นหรอก “ความมี-ความไม่มี”จึงเป็น“เทฺว”หรือ“ภาวะ 2”คู่ยิ่งใหญ่ อาศัยสิ่งนี้แหละสอนกันพูดกันทำกันได้ครบ ที่ทำให้คนผู้สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงก็จะ“รู้จบ”ทุกสรรพสิ่งได้ (พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 43) 

สรุปแล้ว ในโลกนี้มี“ความมีกับความไม่มี” แม้แต่พญานาค ก็คือ สิ่งที่“มี”หรือสิ่งที่“ไม่มี” เป็น“ภาวะ 2” แต่อาตมาเป็น“อนุปคัมมะ” เป็นผู้มัชฌิมา คือเป็นคนกลางๆ ก็เห็นอยู่ว่า“พญานา”มันก็มีสำหรับคนผู้“มี” และมัน“ไม่มี”สำหรับคนผู้“ไม่มี” เพราะเป็น“ผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบานแล้ว” ชื่อว่า “พุทธ” จึงไม่ต้องใช้วิธี“หลับตา”ปฏิบัติหรอก 

แต่คนในโลกมันมี“ผู้ไม่รู้(อวิชชา)”เทียบ“ฐานปีรามิด” นั้นย่อมมากกว่า “ผู้รู้(วิชชา)”ที่เป็นส่วน“ยอดของปีรามิด” มัน ก็เป็นธรรมดาสามัญแท้ๆตามสัจจะ  ไม่เห็นจะผิดปกติอะไร

ผู้มี“อภิภุยฺย”เป๋็น“อนุปคัมมะ”คือผู้มีอิทธิพลเหนือ “ความมี-ความไม่มี” จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง-ความไม่จริง” จึงเห็นชัดเจนได้ว่า คนผู้“มี” เขาก็ยัง“มี” จนกว่าเขาจะเข้าถึง“ความไม่มี”เป็นที่สุดแห่งที่สุดได้ จึงจะทำ“ความไม่มี(น โหติ)” ที่เป็น“อนัตตา”หรือเป็น“สูญ” แยก“ธาตุจิตของตน(จิตนิยาม)”ให้หมดสิ้นไปเป็น“ดินน้ำไฟลม(อุตุนิยาม)”สำเร็จเป็นที่สุดก็จริงที่สุด  

มันเป็นเรื่อง“อจินไตย” เป็นเรื่องนิรันดร ทั้งความมี-ทั้งความไม่มี โลกียะเขาก็“นิรันดร”ใน“ความมี“ ส่วนพุทธที่เป็น“โลกุตระ ก็“นิรันดร”ใน“ความไม่มี” 

ผู้“มี”ก็คือ“ผู้ยังต้องมี” ส่วนผู้“ไม่มี”ได้แล้วจริง ก็เป็น “ผู้ไม่มี” จึงทำที่สุดแห่งที่สุดที่“ความไม่มีนิรันดร”ได้จริง

ศาสนาพุทธเป็น“อเทฺวนิยม” รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง”ของไตรลักษณ์ มี“อนัตตา” มี“สุญญตา” มี“นิพพาน” และที่สำคัญมี“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน” 

“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”คือ คนผู็เป็นเจ้าของ“จิตวิญญาณ”เองสามารถจัดการกับ“จิตนิยาม”ของตนให้เป็น “อุตุนิยาม” นั่นคือ “จิตวิญญาณ”ของคนผู้นั้นสูญสลายกลายเป็น“ดินน้ำไฟลม”ไป หมดสิ้น“อัตตา”ของตนไปนิรันดรเลย 

จึงไมใ่ช่“ศาสนา”ที่จะมีอยู่ใน“กาลของโลก”ประจำโลกนิรันดร มีบางช่วงที่เป็น“พุทธันดร” หมายความว่า “ระหว่างกาลเวลาช่วงใดที่ไม่มีศาสนาพุทธอยู่เลย  ช่วงนี้แหละคือ “พุทธันดร” เป็น“ข่วงที่โลกกาละนั้น“ไม่มีศาสนาพุทธ”

ในโลกกาละนั้นมีแต่ศาสนาที่ไม่ใช่พุทธ คือ มีแต่ศาสนา“เทฺวนิยม”ที่เป็น“โลกียธรรมทั้งหลาย มากมายหลายศาสนาที่จะมีอยู่ในโลก  ในโลกจึงมี“เทฺวนิยม”ประจำโลก ไม่ขาดหายไปจากโลกในกาละไหนเลย

ศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาเดียวที่มี“โลกุตรธรรม” แต่ก็มีบางช่วง“โลกุตรธรรม”ขาดหายไปจาก“โลก”ในบางกาละ แม้ในวงการ“พุทะศษสนา” หรือที่สุด“โลกในกาละนั้นๆไม่มี“พุทธศาสนา”เลยในโลกก็เป็น“พุทธันดร”แท้ๆ

“พุทธศาสนา”จึงไม่ใช่ศาสนาที่มีประจำโลก

แม้แต่ในวงการ“พุทธศาสนา”เองแท้ๆ ก็ยังมีบางกาละ บางยุคที่ชาวพุทธเสื่อมหนักมี“โลกุตรธรรม”ไม่ได้ เช่น ในยุค พ.ศ. 2500 นั่นเอง ไม่มี“โลกุตรธรรม”ในขาวพุทธ ชาวพุทธเองแท้ๆในโลกช่วงนี้ไม่มี“โลกุตรธรรม”กันอยู่ในช่วงหนึ่ง

อาตมาเกิดมาในยุคพ.ศ. 2500 นี้ จึงต้องนำ“โลกตรธรรม”ฟื้นคืนกลับขึ้นมาให้แก่ชาวพุทธ ตามสัจจะที่ต้องเป็นไป

ขออภัยที่พูด“ความจริงซื่อๆ ตรงๆ เหมือนอวดตัวอวดตน  แต่แท้จริงในจิตใจของอาตมาไม่มี“สาเถยฺยจิต”เลยจริงๆ 

 

(140) ศาสนาพุทธมี“จรณะ 15 วิชชา 8”ที่ประจักษ์สิทธิ์

“ศาสนาพุทธ”เป็นศาสนาที่มี“จรณะ 15 วิชชา 8 เป็น “พุทธคุณ”แท้ๆที่ประจักษ์สิทธิ์ สำเร็จผลได้เป็นที่ประจักษ์จริง

สำหรับผู้ที่ปฏิบัติตาม“จรณะ 15 วิชชา 8”สัมมาทิฏฐิก็เป็นคนมี“ศีล”เป็นที่ประจักษ์​ มี“การสำรววมอินทรีย์ 6”เป็นที่ประจักษ์ มีการศึกษาปฏิบัติลดละกิเลสในขณะกินอาหารในขณะใช้วัตถุข้าวของ มีการพากเพียรเป็น“ผู้ตื่นอยู่”เสมอมี“วิญญาณฐีติ 7”ในขณะ“ลืมตา”ปฏิบัติกับ“กาย”กับ“สัญญา”

ถ้าขืน“หลับตา”ปฏิบัติ ก็ไม่มี“กาย”ให้ปฏิบัติ    

ผู้“หลับตา”ปฏิบัติจึงเป็นผู้“มิจฉาทิฏฐิ”

เพราะไม่่มี“สำรวมอินทรีบ์ 6” มีแต่นั่ง“หลับตา” นั่นคือ ไม่ได้มีการปฏิบัติระมัดระวังขณะที่“ตากระทบรูป”อยู่นั้น “กาย-วาจา-ใจ”ของเราจะมี“ทุจริตกรรม”ใดเกิดขึ้นบ้าง  

เช่น “กาย”ภายนอกจะผิด“ศีลข้อ 1-2-3”อะไร? ไฉน? ก็จะต้องระมัดระวังอย่าให้เกิดขึ้นเป็นอันขาด

หรือขณะเรามี“กรรมกิริยา”ทุกอิริยาบถ เราก็ต้องสำรวมอินทรย์เรียนรู้เพื่อปฏิบัติกำจัดกิเลสเสมอ 

เพราะ“กรรม”เป็น“ความจริง” ถ้าเราทำลงไปแล้ว เป็น “บาปอกุศล” กรรมนั้นก็สั่งสมเป็น“วิบากติดตัวเราไปเป็นของเรา”จริงๆ ไม่เอาก็ไม่ได้ แบ่งให้ใครก็ไม่ได้ 

“วาจา”ภายนอกจะผิดศีลข้อ 4 อะไร? ไฉน? ก็จะต้องระมัดระวังอย่าให้เกิดขึ้นเป็นอันขาด

ใน“มรรคองค์ 8”ผู้สัมมาทิฏฐิจึงชัดเจนในการปฏิบัติควบคุม“สังกัปปะ 7” ตามหลัก“ศีล”แต่ละข้อ มี“อปัณณกปฏิปทา 3-สัทธรรม 7”ที่พาให้เกิด“ฌาน 4”ด้วย“วิชชา 8” เป็นผู้“ลืมตา”ปฏิบัติ ไม่“วิจิกิจฉา”เลยว่า “ฌาน”ของพุทธคือ “ฌานลืมตา” ผู้“หลับตา”ปฏิบัติจึงเป็นผู้ยัง“มิจฉาทิฏฐิ”อยู่ในพุทธ

พระพุทธเจ้าเปรียบเปรยผู้มิจฉาทิฏฐิออกนอกรีตนั้น เป็นโจรปล้นศาสนา เช่น คนที่“หลับตา”ปฏิบัติเป็นต้น.

พระพุทะเจ้าทรงสมมุติว่า มีพระราชาคือ ผู้เป็นใหญ่ที่รักษาสมบัติอย่าให้โจรมาปล้นเอาสมบัติไปได้ หากมี“โจร”เกิดขึ้นก็ทรงให้ไปประหารด้วยหอก 100 เล่ม แม้ในตอนเช้า ถ้ายังไม่ตายก็ให้ไปประหารอีกในตอนกลางวัน และหากยังไม่ตายอีกก็ให้เอาไปฆ่าอีกตอนเย็น แล้วท่านก็จบไว้แค่นั้น

เพราะลัทธิ“เดียรถีย์เป็นลัทธิประจำโลก จะในอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต และทุกวันนี้ก็ยัง“มี”เดียรถีย์ หรือในโลกคนผู้“อวิชชา”นั่นแหละที่ยังงมงายอยู่กับการ“หลับตา”ปฏิบัติ มันไม่หนีหายไปจากโลกหรอก  มันก็ยังเป็น“โจร”แทรกเข้ามาปล้นศาสนาอยู่จนได้นั่นแหละ 

ผู้“หลับตา”ปฏิบัติ ที่เข้าใจ“กาย”ยังไม่“สัมมาทิฏฐิ”นั้น มันปฏิบัติเป็น“เดียรถีย์”จริงๆ เพราะมันไม่มี“ภายนอก” ไม่มี “วืิญญาณฐีติ”ให้ปฏิบัติ  มันมีแต่“วิญญาณสัมภเวสี”  

“หลับตา”ปฏิบัตินั้นมันเป็น“การปฏิบัติของเดียรถีย์” ซึ่งมันไม่ใช่ลัทธิของศาสนาพุทธ  ไม่ใช่วิธีปฏิบัติของพุทธที่ “สัมมาทิฏฐิ”เลย  

ดังที่คนไทยชาวพุทธในยุคปัจจุบันนี้ยังหลงเชื่อกันว่า การปฏิบัติที่จะเกิด“ฌาน”ก็ดี เกิด“สมาธิ”ก็ดี แม้ที่สุดเกิด“นิพพาน”นั้นต้อง“หลับตา”ทำสมาธิเข้าไปๆ จึงจะได้ 

ซึ่งมันผิด นั่นไม่ใช่แบบของพุทธเลยสักนิด

ดังเรื่องเกี่ยวกับคำว่า“พญานาค”อันคือ “งู”ที่ภาษาบาลีคือ “นาค”ตามที่เล่าให้ฟังนั้นแล   

ชาวพุทธได้พากันหลงผิด“หลับตา”ปฏิบัติเป็นเดียรถีย์กันไป หลงมืดสนิทสนมเชื่อถือ“เดียรถีย์”กัน กระตุกกันยังไง กระแทกกระทุ้งแรงจัดขนาดไหน ก็ไม่ฉุกคิดกัน “ไม่ตื่น”ได้ง่ายๆ

ก็เปรียบได้เช่นเดียวกันกับ“พญานาค”ที่นอนหลับไม่รู้คู้

ไม่เห็นดับมืดมนอนธกาลอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรสุดลึก เฝ้า

“ถาดทองของพระพุทธเจ้า”ทุกพระองค์ที่เคยอุบัติขึ้นมาในโลกแล้วล้านๆพระองค์

   •••••[จบ“ปัญญา 8”ของพุทธศาสนา เล่ม 1]••••• 



 

ที่มา ที่ไป

650307


เวลาบันทึก 08 มีนาคม 2565 ( 09:03:02 )

650309

รายละเอียด

650309 ปัญญา 8 ประการ 3 ข้อแรก โดยพิสดาร พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ 

https://www.boonniyom.net/51172.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1C7cc-vRJPW1TyLjUqzPAIodaeR_6Zzmi84cCa9c01Q0/edit?usp=sharing   

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/16lKLykMCUnisckzIqab1KZxKLTB00cQ0/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/bEkGjotwUR/ 

และ https://youtu.be/cCTnpZTcYaU 

 

สมณะฟ้าไท... วันนี้เป็นวันพุธที่ 9 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 

พ่อครูว่า...ก่อนอื่นก็ขอโอภาปราศัยกับ SMS ก่อน 

SMS วันที่  7 มีนาคม 2565

 

ศาสดาของศาสนาพุทธเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีการแบ่งแยก 

_Danuthum Virulhsirikul (ดนุธรรม วิรุฬห์ศิริกุล) : นมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งครับ..วันศุกร์ที่ 4 ผมรอฟังเทศน์ พ่อท่านเหมือนเดิม..แต่ไม่มีรายการ..ผมคิดว่า"พ่อท่าน" คงไม่สบาย.. แต่มาทราบทีหลังว่า"พ่อท่าน" ไปฉีดวัคซีน.. แต่แปลกครับ..อยู่อยู่ผมก็นึกถึง"พระอานนท์"ที่ได้ทูลถามพระพุทธเจ้า ก่อนที่จะดับขันธ์ปรินิพพานว่า..ถ้าพระองค์ตถาคตไม่อยู่แล้ว.. จะให้ใครเป็น"พระศาสดา" แทน   พระพุทธเจ้าได้ตอบกับพระอานนท์..ว่า.."พระธรรม"คำสั่งสอนของพระองค์...จะเป็นตัวแทน..สืบต่อไป....ทำให้ผมนึกถึง"พ่อท่าน" ว่าใครหนอ.. ที่จะมีสยังอภิญญาแบบพ่อท่าน.... ทุกวันนี้พระวัดอื่นอื่นจะดังแค่ไหนหรือไม่ดัง.. ผมก็เลิกฟังหมดแล้ว.. เมื่อมาฟัง"พ่อท่าน" มันคนละเรื่องกัน... ตอนนี้ก็มีพระทำแต่เรื่อง"เสื่อมเสีย" เป็นรายวัน.. พระที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องก็ไม่ได้แก้ไขอะไรเลย ไม่ทุกข์ไม่ร้อน หลงแต่ลาภยศตำแหน่งกันอย่างเดียว..เกินการแก้ไขแล้วครับ 

พ่อครูว่า...จะให้อาตมากระหน่ำต่อหรือไง ขอว่ากันหน่อย มันเสื่อมตามจริงๆยุคหลัง 2,500 ปีผ่านมาแล้ว ศาสนาพุทธได้เสื่อมตามที่พระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์ไว้ว่าความเสื่อมจะเกิดขึ้น ความเสื่อมนี้ไม่ได้เอาอะไรมาวัดให้ยากเย็นเลย ความเสื่อมของศาสนาพุทธก็คือ โลกุตรธรรมได้เสื่อมไปจากผู้ที่ถือว่าเป็นผู้สืบทอดศาสนาพุทธจากพระพุทธเจ้านั่นแหละ คือพระภิกษุนั่นแหละ ไม่มีโลกุตระ ไม่รู้จักโลกุตรธรรม ไม่ได้สอนโลกุตรธรรม 

ก็ได้แต่สอนโลกียะธรรมทำเหมือนศาสนาอื่นเขา ดีไม่ดีเละเทะกว่าศาสนาอื่นเขาด้วย ศาสนาอื่นเขายังมีความชัดเจนไม่ออกนอกลู่นอกทาง แต่ของพุทธนั้นออกเละเทะไปอะไรก็ไม่รู้เป็นเดรัจฉานวิชา เป็นไสยศาสตร์ เป็นเทวนิยมน้ำเน่า พูดไปแล้วเหมือนไปใส่ความใส่ไคล้หาเรื่องหาราวเขา มันไม่เคยเห็น ไม่เคยมีก็มีในวงการศาสนาพุทธ แล้วก็ปล่อยกันไปให้ปู้ยี้ปู้ยำแล้วก็บอกว่านี่แหละ พุทธๆๆ ดีไม่ดีแต่งตัวเลียนแบบพระพุทธเจ้า เลียนแบบภิกษุ โอ้ มันเสื่อมได้ขนาดจริงๆยุคนี้ 

ทีนี้ อาตมานำเอาโลกุตรธรรมมาพูดขึ้น ประกาศขึ้น อธิบายขยายความ อ้างอิงยืนยันตามพระไตรปิฎก ผู้ที่มีปฏิภาณดี มีธุลีในดวงตาน้อย มีบารมีพอจะรับฟังได้ ว่า ใช่ๆๆ เหมือนอย่างคุณดณุธรรม ซึ่งก็มีผู้ที่มีเซ้นส์ อย่างนี้ คนอื่นไม่ฟังแล้วมันออกนอกทาง มันง่ายชัดเจนที่จะแยกแยะตัดสินว่าอันนี้เป็นธรรมะพระพุทธเจ้า ศาสนาพุทธถ้าไม่มีโลกุตตรธรรมแล้วมันจะไปแตกต่างอะไรกับศาสนาอื่น มันก็จะเป็นศาสนาเทวนิยมที่แข่งกัน ต่างคนต่างใหญ่แข่งกันอยู่ในโลกเท่านั้นเอง ก็เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งแบบเทวนิยมแข่งกัน แต่นี่ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ได้แยกออกมาไม่ได้แข่งกับศาสดาอื่น 

ศาสนาอื่นจะแข่งกันจะเป็นเรื่อง magical เป็นเรื่องลึกลับเพ้อฝันไป แม้แต่พระเจ้าเขาก็ยังลึกลับทุกวันนี้ตามหาพระเจ้าก็ยังสัมผัสไม่ได้ แล้วก็มีคำสอนสืบทอดมา คนนี้ศาสนานี้ศาสดานี้ของเทวนิยม ไม่ต้องไล่ชื่อเขา เขาก็ว่าศาสดาของเขาถูกต้องจริงของเขา ศาสนานี้ศาสดาองค์นี้ก็ว่าของเขาถูกต้องจริง อันนี้ก็ถูกต้องจริง พูดชัดๆเลยก็ได้ ใหญ่ๆอย่างศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาฮินดู ศาสนาซิกข์ ศาสนาบาไฮ ศาสนาโซโรอัสเตอร์ ศาสนายิว ศาสนายูดาย ศาสนาอะไรอีกเยอะแยะเลยแข่งกันอยู่นั่นแหละ 

แต่ของพระพุทธเจ้าไม่แข่งเลยพระพุทธเจ้ามีองค์เดียว องค์ใดๆตรัสรู้ก็สอนเหมือนกันหมด สัจจะมีหนึ่งเดียวไม่มีแย้งกันเลย มีนิพพานอันเดียวกันบรรลุได้แล้วไปในทางทิศเดียวกัน เอเสวมัคโค นัตถัญโญ ตรงกันหมดที่ไม่ตรงก็ไม่ตรง 

เช่น ขณะนี้อาตมานำธรรมะมาประกาศว่าอย่างนี้ ทางอื่นไม่กล้าแย้งไม่กล้ามาเถียงว่าของเขาก็โลกุตระ ยังไม่มีใครกล้าแย้งเป็น 2 เลยทุกวันนี้ เขาก็ว่าของเขาถูกเท่านั้นแต่ไม่กล้าบอกว่าเป็นโลกุตระ นอกจากอาตมาจะยืนยันว่าเป็นธรรมะคำสอนพระพุทธเจ้ามีความหมายอย่างนี้ขยายความให้เข้าใจเนื้อหาอย่างนี้ พวกคุณฟังเข้าใจแล้วก็มาปฏิบัติตามอย่างนี้ ปฏิบัติตามศีล 

ศีลข้อ 1 แล้วก็จะมีเมตตาจนกระทั่งเห็นประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องทำร้ายทำลายเบียดเบียนสัตว์ เข้าใจลึกซึ้งไปถึงขั้นกรรมวิบากที่เป็นอจินไตย การมากินเนื้อสัตว์หรือแม้ที่สุดจะไม่เลี้ยงสัตว์ ไม่ไปเอาสัตว์มาผูก มาประเหลาะให้มันมาหลงเราอีก ไม่ มันก็อยู่ตามประสามัน มันจะเชื่องก็ด้วยตามสัญชาตญาณ ไม่ได้ด้วยเราประเหลาะ อย่างพวกเราสัตว์ต่างๆรอบตัวมันเชื่องด้วยสัญชาตญาณ มันไม่กลัวแต่มันไม่ให้ใกล้ ไปจับมันไม่ได้ เราก็ไม่ไปจับมัน เราไม่ได้เที่ยวไปทำอะไรกับมัน มันก็รู้ว่าพวกนี้ไม่ทำอะไรมันหรอก ก็เหมือนกับในป่า สัตว์ตัวไหนที่รู้ว่าสัตว์ใหญ่สัตว์น้อยอยู่ร่วมกันไม่ทำอะไรมันมันก็อยู่ร่วมกันไป ดีไม่ดีนกต่างๆมันก็ไปขี่หลังขี่หัววัวควายอะไรไปเฉยๆอะไรอย่างนี้ มันก็อาศัยกัน 

เรื่องของจิตวิญญาณเรื่องของวิบาก อันนี้เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่ท่านยืนยันว่าเป็นอจินไตย เรื่องกรรมวิบากนี้ เป็นเรื่องที่สุดยอด 

อจินไตย มี 4 ข้อ 

1.พุทธะวิสัยยกไว้ คนใดที่จะมีความรู้ถึงขั้นเป็นพุทธะเป็นชื่อว่าเจ้าของธรรมะเป็นธรรมะสามี 

2. ฌานวิสัย เป็น อจินไตย ที่พูดกันไม่รู้เรื่อง 

 

_วันชัย สหมโนธรรม : ผมกินอาหาร"มังสวิรัติ"มากว่า 40 ปี ผลไม้กับข้าวถั่วงา ก็ไม่ค่อยป่วย แถมบริจาคโลหิตทุกสามเดือน โลหิตก็ไม่จาง ผมว่าส่วนใหญ่ป่วยน้อยกว่าคนกินเนื้อสัตว์แน่นอนครับ.

 

_ลูกไม่ใกล้พ่อ.. เมื่อเช้าดิฉันกำลังเก็บฟืน มีคนตะโกนชมว่า "มหัศจรรย์จริงๆนะเดี๋ยวนี้" ก็บอกเขาว่า ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะทำได้ เมื่อก่อนดิฉันทำงานอยู่บนหอคอย ใช้สมองไม่เคยไปลงมือทำงานกับใคร

 

_สตาร์แอร์ ทุ่งคอก : ขอให้พ่อท่านหายจากอาการไอ โดยเร็ววันครับ

ที่มา ที่ไป

650309


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2565 ( 12:19:42 )

650311

รายละเอียด

650311 ตอบปัญหาเปิดตาพญานาคลงสู่การเมืองไทย พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ

https://www.boonniyom.net/51169.html  

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1k7-N6yEA7DHp27JMsbSSlX9PKq5r87EBbUoP8lphuoA/edit?usp=sharing    

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1ugX4s4tNo9wD0eZO9XnnMPZk_8k3m_5B/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/bGVKfuKFgC/

และ https://youtu.be/wpdjk1LBzxo


 

สมณะเดินดิน... วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก อีกไม่ถึงเดือนก็จะถึงงานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ มีคนถามว่างานนี้จะเปิดชุมชนได้หรือไม่ แต่ดูแนวโน้มสถานการณ์ Covid ที่พุ่งขึ้นเหมือนหัวจรวด ภาวะความเสี่ยงยังสูงอยู่ ยอดติดเชื้อที่อุบลราชธานีเป็นพันคนเลย ยิ่งใกล้สงกรานต์ความเสี่ยงก็ยิ่งสูง …ก็ไม่ต้องมา แต่ตั้งใจสดับฟังธรรมกันต่อไปก็แล้วกัน

 

พ่อครูผู้มาฟื้นความเสื่อม 2 ทิศทาง ให้กลับมาเจริญของศาสนาพุทธยุคนี้

_พ่อครูว่า...ชีวิตมันยังไม่ตาย ยังดิ้นด๊อกแด๊ก อยู่ในโลกยังไม่หยุดหายใจยังมีชีวิตได้รับรู้อะไรได้อยู่ อัมพาตเราก็ยังไม่ได้เป็น ก็ยังขยับเขยื้อนอะไรต่ออะไรได้ เราก็ทำสิ่งที่พอทำได้ควรทำได้ก็ทำ คำว่า ทำนี่ ภาษาบาลีว่า กรรม หรือ กโรติ 

กรรมเป็นกิริยา การกระทำคือคำนาม คำกิริยาก็ทำ กโรติ ก็ทำ

คืออาตมาสรุปแล้ว ในชีวิตอยู่ในสังคมในโลก โดยเฉพาะเราอยู่ในถิ่นที่ สัปปายะ 4 อาหารสัปปายะ เสนาสนะสัปปายะ บุคคลสัปปายะ ธรรมะสัปปายะ 

โดยเฉพาะเรามีธรรมะของพระพุทธเจ้าที่สัปปายะ ซึ่งก็ยากที่คนโลกียะจะเข้าใจซึ่งมันบังคับเขาไม่ได้หรอก ยาก ก็ต้องรอจนกว่าเขาจะมีภูมิธรรม มีความฉลาด มีความรู้เพียงพอ ที่จะสามารถรับรู้ได้ ก็จึงจะรู้ว่า อันนี้ประเสริฐ วิเศษ เห็นคุณค่าที่สุดยอด เราก็พูดด้วยความเป็นจริง คนอื่นจะหาว่าอวดโอ่ เราก็พูดความจริงด้วยความจริงใจไปสู่ผู้ที่ได้ควรรับรู้ ว่านี่คือความจริงที่ยิ่งยอด ที่เป็นความรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกพระองค์ที่ตรัสรู้แล้ว เป็นธรรมะอย่างเดียวกันหมดไม่ว่าในยุคไหนเป็นโลกุตระอย่างเดียวกัน 

ในยุคไหนก็แล้วแต่ มันเป็นความเที่ยง จะมีรายละเอียดองค์ประกอบเล็กๆน้อยๆต่างกันบ้าง ตามกาละเทศะฐานะ แต่จุดสำคัญแล้วที่เราเอาพระไตรปิฎกมายืนยัน เช่น วรรณะ 9 สาราณียธรรม 6 ก็ตาม มันคงเดิม ของพระพุทธเจ้าคงเดิม แต่ก็มีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงแตกต่างตามกาละเทศะฐานะไปบ้าง 

แต่แกนหลักเดิม เช่นว่า จะต้องมาเป็นคนจน ในยุคของพระพุทธเจ้า 2500 ปีผ่านมาแล้ว ก่อนพระพุทธเจ้าองค์ก่อนก็มาจน ไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ไหนที่จะไม่จน มีพระพุทธเจ้าบางยุคสมัยที่ไม่ได้ออกป่าเลย ตรัสรู้ในวัง ตรัสรู้ในอุทยานของพระองค์เอง ไม่ได้ออกป่า แต่อย่างนั้นมันมีน้อย อย่างเทวนิยม หรืออย่างโลกียะจะมีมาก ถ้าเผื่อว่าอย่างที่สำคัญอย่างนี้จะมีน้อย 

เพราะฉะนั้นคนที่ไม่มีภูมิธรรมจริงจะรับได้ บังคับอย่างไรเขาก็รับไม่ได้ ยัดเยียดยังไงก็ยัดเยียดไม่ได้ มันต้องมีเหตุปัจจัยที่เพียงพอจริงๆถึงจะรับได้ เพราะความเป็นโลกุตระนั้นมันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ เป็นเรื่องที่สุดยอด 

ยุคนี้เป็นยุคที่เสื่อม เสื่อมตามที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์เอาไว้ใน อาณิสูตรเรื่องกลองหรือตะโพนอานกะ ที่ท่านตรัสเปรียบเทียบไว้ แล้วมันก็เสื่อมในยุคนี้จริงๆ เนื้อแท้ที่เสื่อมที่ยืนยันจริงๆก็คือโลกุตระนั้นไม่มี เนื้อความไปอ่านให้ดีๆนะ อาณิสูตร ท่านตรัสไว้ชัดเจน คือ มันจะไม่มีโลกุตระแล้ว เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้โลกุตระอย่างอาตมาเกิดมาในชาตินี้ ก็นำเอาโลกุตระมา สถาปนาลงไป 

ก่อนอาตมา มีท่านพุทธทาสกล่าวถึงโลกุตระ แต่ก็ยังไม่มีเนื้อแท้ของโลกุตระอย่างบริบูรณ์เพียงพอ คือเริ่มจะรู้สึกว่าเป็นโลกุตระ แต่ท่านก็ยังมีเทวนิยมอยู่ไม่น้อย ยังไปหาป่า หาอะไรต่ออะไรอยู่ ไม่อยู่ในเมือง 

อย่างอาตมาต่างกันกับท่านพุทธทาส อาตมายินดีในเสนาสนป่า ความยินดีมี แต่ไม่จำเป็นต้องไปออกป่า เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาคนกรุง ศาสนาสังคม คนเมือง ไม่ใช่ศาสนา มิลักขะ แต่เป็นศาสนาอริยกะ เป็นศาสนาแห่งคนเจริญคนประเสริฐ ซึ่งมีความซับซ้อนที่แยกจากกันทีเดียวไม่ได้ 

อย่างพระพุทธเจ้าพระสมณโคดม ตอนออกบวชก็ออกบวชตามโลกเขา มีประเพณีนิยมที่มันเป็นความเสื่อมแล้ว เป็นจารีตประเพณีนิยมคือออกป่า ท่านก็ออกป่าตามเขา เขาพาทำทุกรกิริยาต่างๆ ซึ่งไม่ใช่พุทธเลย บำเพ็ญความลำบากลำบน ทรมานตัวเองต่างๆ จนกระทั่งจะตายไม่ตายแหล่ อดข้าวอดน้ำจนกระทั่งจับข้างหน้าถึงข้างหลัง หน้าท้องถึงหลังเลย ก็มีตำนานเล่าไว้

เสร็จแล้วก็มาได้ฟื้นถึงความเป็นจริงขึ้นมาได้ว่า แบบนั้นมันไม่ใช่ ก็กลับมา มาเป็นปกติ ของพุทธเจ้าเป็นคนปกติสามัญ มนุษย์ในสังคมธรรมดานี่เอง อยู่กลางๆ ไม่ใช่เป็นพวกร่ำรวยฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย จนก็ไม่จนอย่างขาดแคลน อย่างลำบากลำบนขัดข้อง อุดมสมบูรณ์อย่างนี้ คนจนอะไรทำไมของกินเต็มไปอย่างนี้ ชาวบ้านเขาก็งงทำไมบอกว่าจน นอกจากมีกินมีใช้แล้วคนอื่นเขายังมาอาศัยเลี้ยงชีวิต มาทำงานทำการอยู่ในนี้เหมือนกับซาอุฯน้อยๆ มีคนมาทำงานทำการเลี้ยงชีพอยู่ไป จากเดิมไม่มีอะไรจนกระทั่งมีรถแบ็คโฮ มีเครื่องใช้ไม้สอยในระดับชั้นกลาง ซึ่งมันเป็นเรื่องซับซ้อนที่รู้ได้ยากเดาได้ยาก 

อาตมาอธิบายถึงเรื่องความเสื่อมของศาสนาพุทธ เสื่อมไป 2 ทิศ 

ทิศที่มันไม่รู้ มันโง่ ก็คือทิศไปหาพญานาค ใช่พยัญชนะภาษา เปรียบเทียบเป็นงูใหญ่ งู ต้องใช้ภาษาอะไรใหญ่ๆ ยกให้เป็นพญานาค ระดับพระยาเลย ภาษาโบราณ พญา ภาษาสมัยใหม่ก็ตั้งยศให้เป็นระดับ พระยา อย่างนี้เป็นต้น เจ้าพระยา สมเด็จเจ้าพระยา ไปโน่นเลย

พวกที่หลงในความรู้ เหินหาว บินบนสูงไม่ติดดินเลย ก็คือพญาครุฑ เรามีสมณะ 2 องค์ องค์หนึ่งเดินดิน องค์หนึ่งบินบน เตือนสติตัวเอง ระวังนะ บินบน กับมุดลงดิน ระวังอย่าไปมุดลงดิน ถ้าไม่มีหมู่ก็ลงดินไปแล้ว โดยจริตนิสัยไม่ต้องห่วงหรอก 

อาตมาได้พยายามขยายความพญานาค ส่วนพญาครุฑนั้นยังไม่ขยาย ยังไม่รู้ว่าจะขยายหรือไม่ขยาย แต่ก็บอกให้ทราบว่าคนละขั้วกัน พญาครุฑเป็นพวกเหินหาวเหินฟ้า พวกไม่ลงดินเลย หัวสูง บินสูง เข้าไป รู้มาก อยู่เหนือคน อะไรต่างๆนานา คนอื่นร่วมด้วยไม่ได้เพราะว่าเขาสูงจนคนอื่นเกาะไม่ติด รับซับซาบไม่ได้ พูดไปมันก็ฟ่ามๆหลวมๆ กว้างๆใหญ่ๆมโหฬารๆ  ไม่มีขั้นตอนให้คนไต่ตามได้

 

พ่อครูตอบปัญหาเปิดตาพญานาคลงสู่การเมืองไทย

_พ่อครูว่า... อาตมาได้ไล่พญานาคไปยังไม่จบดีก็อยากให้จบดี

ไล่ไปถึงระดับที่ 7 แล้วก็ทวน 

ตำนานต่างๆของ“พญานาค”เท่าที่อาตมาพอรู้  

มาพูดถึง“ตำนานพญานาค”กันเท่าที่อาตมาพอรู้นะ

1. นาค คือ งู ที่มีภาวะ สื่อแสดงท่านอน-ท่าหลับ เป็นลักษณะสำคัญ ดังนั้น ลัทธิยึดท่า“หลับ”คือ “หลับตา”ปฏิบัติจึง“มีจริง” ซึ่งเป็นลัทธิหลับตา ก็คือ ศาสนาหรือลัทธิเดียรถีย์ ที่เป็นลัทธินอกพุทธนั่นแหละ  ยังมีมาก ครองโลกอยู่ด้วยซ้ำ 

2. นาค มาปลอมบวช ในศาสนาพุทธหมายความว่า ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่มีการ“หลับตา”ปฏิบัติ ผู้นำการ “หลับตา”ปฏิบัติมาใส่ลงไปในศาสนาพุทธ จึงเป็นคนผิด คนปลอม ที่เอา“ของปลอม”เข้ามาในศาสนาพุทธ ก็ได้บาปแน่ 

เพราะพุทธที่“สัมมาทิฏฐิ”นั้นจะมีหลักปฏิบัติแท้ๆคือจรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งมี“อปัณณกปฏิปทา 3”ยืนยันการเป็นศาสนาพุทธที่แท้จริงถูกต้อง มีหลักธรรมชัดเจนอยู่โต้งๆ

ถ้าการปฏิบัติใดไม่มี“อปัณณกปฏิปทา 3”การปฏิบัตินั้นก็“ผิด”ไปจากศาสานพุทธ ก็ชัดแจ้งแดงแจ๋อย่างนี้

หรือถ้าผู้ใดยืนยันยึดมั่นถือมั่น ว่า “การหลับตาปฏิบัติ”นี่แหละเป็น“ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด (อปัณณกปฏิปทา)”ของศาสนาพุทธ ผู้นั้นก็คือ “มิจฉาทิฏฐิ”ตัวแท้ ซึ่งมีความคิดปฏิปักษ์ต่อศาสนาพุทธอยู่โทนโท่ แท้ๆ ชัดๆ

“อปัณณกปฏิปทา 3 (ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดของพุทธ)”ก็คือ การปฏิบัติที่มี“ศีล”เป็นหัวข้อแต่ละข้อ ให้ปฏิบัติ แล้วจะต้อง “สำรวมอินทรีย์ 6-โภชเนมัตตัญญุตา-ชาคริยานุโยคะ” อันเป็น“ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดของพุทธ 3 ข้อ”ที่มียืนยันอยู่อ้างอิงได้ใน“พุทธคุณ 9”ของพระพุทธเจ้า”แท้ๆชัดๆ ใครจะบังอาจปฏิเสธ

อปัณณกปฏิปทาข้อ[1] “สำรวมอินทรีย์ 6” ที่มีตา, หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ“สัมผัส”เห็นรูปทางตา,ได้ยินเสียงทางหู,ได้กลิ่นทางจมูก,ได้รสทางลิ้น,ได้กระทบกายภายนอก-ภายใน,ได้สัมผัสกันเองของใจกับในใจขั้นรูป-ขั้นอรูป ซึ่งมี “ภาวะ 2”คือ“มี“ภายนอก”ด้วย มีภายใน”ด้วยอยู่ตลอดการปฏิบัติ

อปัณณกปฏิปทาข้อ[2] “โภชเนมัตตัญญุตา” ผู้ปฏิบัติต้องเรียนรู้ขณะกินขณะใช้นั้นๆ อย่าให้มีกิเลสมันเกิดในจิต ถ้ากิเลสเกิดก็กำจัดกิเลสนั้นๆ 

อปัณณกปฏิปทาข้อ[3] “ชาคริยานุโยคะ” ผู้ปฏิบัติต้องทำความมีสติตื่นรู้อยู่กับการปฏิบัติทั้งภายนอก-ภายในนั้นๆอยู่เสมอ และมี“ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์”ไปตลอด

แต่ผู้หลงผิดก็มืดบอดจริงๆ ไป“หลับตา”ปฏิบัติกัน    การหลับตาปฏิบัติ มันก็ตรงกันข้ามกับ“อปัณณกปฏิปทา 3”มันผิด“วิธีปฏบิติของพุทธ” แม้ภาษา“อปัณณปปฏิปทา” ก็ยืนยันอยู่โต้งๆ ชัดๆอีกปานฉะนี้  ก็ยังไม่ยอมรับความผิดนี้

 

3. ผู้นำวิธี“หลับตา”มาใช้ในศาสนาพุทธจึงเป็น“นาค” หรือ“งู”ปลอมเข้ามาเผยแผ่ลัทธิวิชาของเดียรถีย์ ในพุทธ 

เมื่อ“ปลอมตัว”เข้ามาอยู่ในศาสนาพุทธแล้วก็พยายามที่จะไม่ทำตนเป็น“งู” ก็ยังพยายามไม่ให้แสดงหลับ ไม่ให้แสดงนอน เดี๋ยวจะจับได้ว่า เป็นเดียรถีย์คือ“งู” จนที่สุดนาคที่ปลอมเข้ามาบวชในศาสนาพุทธก็ต้องเผย“ธาตุแท้”ออกมาจนได้ คือ ตอนมาขอบวชนั้นปลอมตัวเป็นคน  แต่เผลอนอน เผลอหลับให้จับได้ นั่นคือ ร่างที่ปลอมเป็นคนมานั้นมันกลับคืนไปเป็นงู ตอนเผลอนอนหลับอยู่ในกุฏิ หางโผล่ออกมานอกประตู มีผู้พบเห็นก็จับได้ว่าเป็น“นาค”ปลอมตัวเข้ามาบวช จึงจับสึก ไล่ออกไป  

แต่นาคก็อ้อนวอนขอให้เห็นใจ คนผู้รักศาสนาพุทธ ศรัทธาศาสนาพุทธ อยากเป็นพุทธ จึงขอให้เรียกผู้ที่จะได้บวชเป็น“ภิกษุ”ในศาสนาพุทธ โดยใช้คำว่า “นาค”เป็นอนุสรณ์

จึงมีคำว่า “นาค”เรียกผู้เตรียมบวชก่อนเป็นภิกษุ

จริงๆแล้วลัทธิ“หลับตา”ปฏิบัติเป็นลัทธิ“เดียรถีย์” ดังนั้น ผู้ปลอมตัวเข้ามาบวช แต่เป็น“เดียรถีย์”ผู้นั้น“จิตยังไม่มี“ความยินดี”ถึง“รากเหง้า”ของจิต ยังไม่มี“ฉันทะเป็น “มูลกา”(ข้อที่ 1 ของ“มูลสูตร 10” พระไตรปิฎก เล่ม 24 ข้อ 58)จริงๆ “จิตจริงลึกๆ”ยังติดยึดอยู่กับ“ลัทธิเดียรถีย์เดิม”อยู่แท้ ก็ยากที่จะ“ทำใจในใจ(มนสิการ)”ให้เป็น“โลกุตระ”ได้สำเร็จผล

ผู้ที่ยัง“ไม่มีฉันทะ”ถึงรากถึงเหง้าของจิต(มูลกา)จริง จึงไม่มีหวังที่จะปฏิบัติธรรมของพุทธบรรรลุ“โลกุตระ”

ประเด็นต้องมี“ฉันทะเป็นรากเหง้าของจิต”นี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่ใช่เรื่องสามัญ แต่สำคัญลึกล้ำใหญ่ยิ่งแท้ทีเดียว

ก็ขนาดผู้มี“ฉันทะ”ในพุทธโลกุตระชนิดเต็มใจแท้ๆก็ยังยากเลย ที่จะ“สัมมาทิฏฐิ” จึงจะปฏิบัติบรรลุ“โลกุตรธรรม”

พ่อครูว่า...อุปาทานว่ามี เป็น psychosis เป็นได้จริงๆ หนังเหนียวอยู่ยงคงกระพันนะเขามีฤทธิ์เดชเดินลุยไฟได้ เป็นได้จริงๆ ทำได้จริงๆด้วย อาตมาก็เล่นมาทางจิตวิทยา ทางนี้ทางวิทยาศาสตร์ ไสยศาสตร์ก็เล่น วิทยาศาสตร์อาตมาก็ทำสะกดจิต อย่างนี้เป็นต้น ยืนยันพิสูจน์มาแล้ว 

ทางตาสิ่งที่ไม่มีก็ทำให้เห็นได้ กลิ่นมันไม่มีก็ทำให้มีกลิ่นได้ หนังไม่เหนียวก็ทำให้เหนียวได้ ฟันไม่เข้ายิงไม่ออก อุปาทานทั้งนั้น ก็ได้ชั่วคราวที่จิตมันยึดมั่นถือมั่น ประเดี๋ยวก็เสื่อม บางคนเสื่อมง่าย อย่าไปเดินลอดผ้าถุงนะ เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่จิตทั้งนั้นเลย psycho เป็นจิตวิทยา ถ้าไม่เข้าใจมันก็จะยึดมั่นถือมั่นจริงๆ 

พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าพวกนี้มันไม่แน่นอนไม่เที่ยงหรอก ได้ชั่วครั้งชั่วคราว ไม่มีอะไรดี มีแต่หลงใหลกันว่าเก่ง ว่ายอดว่าวิเศษวิเสโสไป จะไปทางอิทธิปาฏิหาริย์หรืออาเทสนาปาฏิหาริย์ เดินน้ำดำดินอยู่ยงคงกระพัน ถ้าหากทางนามธรรมเรียกว่าอาเทสนาปาฏิหาริย์ ระลึกได้ ของหายก็ทายได้ หยั่งรู้ฟ้าดิน เรียกว่า อาเทสนาปาฏิหาริย์ ก็พอเป็นไปได้ 

อาตมาไม่ได้เล่นนานหรอก เล่นไสยศาสตร์ตอนเป็นฆราวาสอยู่ 8 ปี ก็ยืนยัน อาตมากลางวันไปเล่นกับพวกวิทยาศาสตร์สะกดจิต กลางคืนไปทางไสยศาสตร์ 

กลางวันอยู่ที่วัดมะเกลือ หมอเชียร หมอจรูญ หมอประพันธ์ อาตมาก็ไปคลุกคลีกับเขาอันนี้ทางวิทยาศาสตร์ แม้แต่เรื่องการระลึกชาติ เขาก็ตามศึกษา บางคนระลึกไปไกลเลย วิญญาณโน่นนี่ต่างๆนานา อาตมาก็เป็นอาจารย์ จริงๆแล้ว ที่อาตมาเอามาพูดมายืนยันอธิบายต่างๆนี้ 

แม้แต่นั่งหลับตาสะกดจิต เป็นสมถะ อาตมาก็ไม่ได้หมายความว่าอาตมาไม่รู้จัก อาตมาก็ทำมาหนัก รู้จัก อย่างสายหลับตา เขาจะมีอะไรเหล่านี้ อาตมาก็ไม่ได้ด้อยกว่าเขา มีฤทธิ์มีเดชก็มีจริงๆ 

สายวิทยาศาสตร์แถมอีก อาตมาก็ได้ ศึกษาฝึกฝนไปด้วย ไม่ใช่ว่าไม่รู้ พูดอะไรไปแล้วไม่เคยรู้เรื่องรู้ราวเหมือนหมาเห็นองุ่นเปรี้ยว ไม่ใช่อย่างนั้นอาตมาเป็นอาตมาทำได้ 

สู่แดนธรรม... มีคนเคยบอกว่า สมัยที่พ่อท่านทำ มันไม่ใช่ลักษณะที่พระป่าเขาทำ อย่างนั้นไม่ใช่แบบหลุดพ้น 

พ่อครูว่า... พระป่าทำอะไร อาตมาทำเกินกว่าพระป่าด้วยซ้ำไป 

สู่แดนธรรม... เช่นพระป่าจะรู้อะไรที่มีฤทธิ์เหนือธรรมชาติได้ รู้ใจคนเป็นต้น

พ่อครูว่า... อย่างเช่นอยู่ยงคงกระพัน ไม่ใช่เหนือธรรมชาติหรือ อาตมาเสกกระดูกโปนๆนี่ยุบลงไปคาตาเลย อาตมาทำ คนไปมีสามีเป็นพระพรหม อาตมาก็ซัดให้ด้วยอรูปพรหม เลยนะ พระพรหมก็หายไปเลย ซึ่งจริงๆแล้วก็คือพูดให้เขาเข้าใจว่ามันไม่จริงมันจะไปใหญ่อะไร จิตเรามันใหญ่ ไม่ใช่ไปถูกครอบงำทางจิตค่อยๆพูดจา 

 

(167) ความเป็น“กาย”จึงอธิบายความเป็น“พญานาค”

เพราะ“โลกุตรธรรม”นั้นวิเศษ พิเศษเหนือไปจาก“โลกียธรรม”จริงๆ ที่ต้องเริ่มต้นด้วย“ทิฏฐิ”คือ“ความเข้าใจ” ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงนับตั้งแต่ความเข้าใจ“กาย” ซึ่งเรียนรู้ได้จาก ที่มี“ของตน”ที่บาลีว่า “สัก” นั่นคือ ต้อง“พ้นสักกายทิฏฐิ”

หากเข้าใจความเป็น“กาย”จากภาษาว่า“กาย”นี้แล ไม่ได้อย่างเป็น“สัมมาทิฏฐิ”ละก็ ต่อให้พากเพียรอุตสาหะหนักหนาอุกฤษฏ์ปฏิบัติปานใด ก็ไม่มีสิทธิ์บรรลุพุทธโลกุตระ

เช่น หลงผิดเอาวิธี“หลับตา”เข้ามาใส่ในศาสนาพุทธ หรือเข้ใจว่า “กาย”คือ “ร่างภายนอก”ที่หมายเอาเฉพาะแต่ “สรีระ”อย่างเดียว ไม่มี“จิต”ร่วมอยู่ด้วยก็คือ “มิจฉาทิฏฐิ”แท้  

ผู้นำวิธี“หลับตา”มาใช้ในศาสนาพุทธจึงเป็น“นาค” หรือ“งู”ปลอมเข้ามาเผยแผ่ลัทธิวิชาของ“เดียรถีย์”ในพุทธ

ชื่อว่า “โจรร้าย”ของศาสนาพุทธ เป็นผู้ทำลายพุทธแท้   

 

4. เมื่อ“นาค”พยายามซึมแทรกเข้ามาบวชในศาสนาพุทธได้ ก็พยายามจะไม่ให้“ความเป็นนาค”บังเกิดออกมาอย่างยิ่ง อย่างใหญ่อย่างมหายิ่งมหาใหญ่ จนต้องเรียกว่า “พญา”ผู้ยิ่งใหญ่ ที่รักศรัทธาศาสนาพุทธ ก็พากเพียรที่จะ“ไม่ให้ตนเป็นนาค” ก็เท่ากับผู้เฝ้ารักษาความเป็นพุทธอย่างยิ่งใหญ่ จึงมีสัญลักษณ์เป็น“นาคปรก 7 เศียร” นั่นหมายถึงผู้รู้ว่า ตัวเป็น“นาค”ผู้มีรากฐานมาจากงู แต่รักศรัทธาศาสนาพุทธสุดชีวิต จึงคอยปกป้องรักษาศาสนาพุทธจริงจังเต็มที่ แล้วปณิธานของตนก็จะเป็นพุทธสุดยอดให้ได้ ถึงพระพุทธเจ้าโน่นแหละ ก็แสดงถึงความเป็น“นิยตะ” ซึ่ง“ปุคคลาธิษฐาน”ก็คือ “พญานาค 7 ตัว 7 หัว”ปกปักรักษาพระพุทธ 

นั่นคือ มี“ความปรารถนาเจตสิก”เข้าขั้นยินดีในพุทธแล้วแน่นอน ไม่มีเปลี่ยนแปลง ยึดมั่นไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา 

จึงนับเข้าขั้นผู้รู้ดีในความเป็น“นาค”อย่างยิ่ง และจะออกจากความเป็นนาคให้ได้เด็ดขาดจริงแท้ด้วย จึงนับเข้าขั้นเป็นผู้รู้ทันคนปลอมตัวมาบวชในศาสนาพุทธ ก็กลายเป็นทั้งมือปราบคนปลอมตัวมานอน มาหลับ มาซุกตัวเผยแพร่“ความเป็นงู-ความเป็นนาค”ทั้งตนก็ยังเป็น“นาค”อย่างยิ่งอยู่ ที่มาเผยแพร่ลัทธิงูลัทธินาคในพุทธเสียเลย ซึ่งเป็น“ภาวะมายา” คือ “ภาวะ 2”ซ้อนอยู่ใน“ภาวะ 1” โดยตนก็“อวิชชา”อยู่ตลอด

5. ซึ่ง“อนุสัย”ของ“นาค”ก็ยังมี“อัตตา”จอมยึดเก่งยอดจนได้ชื่อว่า เป็นจอมนาคหรือพญานาคเข้ามาเผยแพร่ลัทธิหลับ ลัทธินอนของตนจนได้ เป็นยอดงู ยอดนาค จนศิลปินต้องยกฐานะให้เป็น“พญางู”ก็ตกแต่งหน้าตา หูหัว สัดส่วนรูปร่าง“งู”ให้มีรูปร่าง มีหงอน มีแง่ แต่งองค์ทรงเครื่อง มีลายกนกตกแต่งเป็นลวดลายพิเศษให้เป็น“งู”ยิ่งใหญ่ ที่เขื่องโก้ หรูหรา มโหฬาร แตกต่างจาก“งู”สามัญ เป็น“พญางู-พญานาค”  มีรูปโฉมดังที่เห็นกันอยู่ตามจินตนาการศิลปะไทยนั่นเอง

6. “ธาตุแท้”ของตนก็คือลัทธิ“หลับ” เมื่อยิ่ง“ หลับ”ก็ยิ่งไม่ตื่น-ไม่รู้โลก ทับทวีหนาหนักซับซ้อนนับไม่ถ้วน ก็ยิ่งคือ “ผู้สั่งสมอวิชชา”เป็น“พญานาค”ที่ยิ่งใหญ่ยิ่งโต ยิ่งมโหฬาร ลงบาดาลลึกๆๆๆ ก็ยิ่ง“อวิชชามืดดำ”ยิ่งขึ้นๆๆๆๆๆไปอีก

พ่อครูว่า...หมายถึงพระป่าที่เอาแต่นั่งหลับตานี่แหละ

สู่แดนธรรม... สุดยอดของการนั่งหลับตาก็คือ อสัญญี ผลักจนล้มก็ไม่ตื่น

พ่อครูว่า... เรียกว่าพรหมลูกฟัก เขาบอกว่าเข้านิโรธเต็มที่ ผลักล้มไปก็อยู่ในท่าแข็งนั่งอยู่ กลิ้งไปได้เลย เรียกว่า 

7. สุดท้ายแห่งสุดท้ายก็หมดท่าแห่งความตื่น สิ้นสภาพผู้ที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน จึงกลายเป็น“พญานาค”ที่ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”สาหัสสากรรจ์นานหนัก อาการถึงขั้น“ไม่มีการตื่น”มารู้เห็นอะไรกันเลยตลอดระยะแห่งกาลที่ยังไม่มี “พระพุทธเจ้า”อุบัติขึ้นมาในโลกแต่ละพระองค์ จะรู้สึกตัวขึ้นมาทีหนึ่งก็แค่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลกองค์หนึ่ง รู้แค่นั้นจากนั้นก็หลับต่อ“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น“เฝ้าถาดทองคำที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์อุบัติขึ้นมาในโลกอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรสุดลึกนั้นเท่านั้น นอกนั้นไม่รู้อะไรที่เป็นพุทธเลย

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สมณะเดินดิน... 

พ่อครูว่า...รู้กาย ทั้งภายในภายนอก รู้อัชฌัตตังคือภายใน พหิทาคือภายนอกรู้กิเลส กามคุณ 5 เป็นผู้อยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ อภิภู เป็นผู้ครอบงำ อภิภุยยะ มีอิทธิพลครอบงำ กามใดๆก็ทำอะไรเราไม่ได้ กามเป็นนิวตรอน จึงเจริญมาสู่ รูปจิต มาอ่านกิเลสในรูปจิตที่เหลือ กิเลสหยาบให้หมดไปก่อน จึงจะรู้กิเลสที่เหลือ 

พวกนั่งหลับตา ลัดขั้นตอน อย่างพวกมหาบัว เสพติดรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสกามคุณ 5 อยู่ก็ไม่รู้ เข้าใจผิวเผินแต่เพียงว่า กามนี่คือเรื่องเมถุน เรื่องมีผัวมีเมียเท่านั้น แต่นั่งหลับตาเขาเคร่งครัดเหมือนกันเรื่องผู้หญิงผู้ชายเรื่องผัวเมียนี่ เขาว่ากามมีแค่นั้น ตาหูจมูกลิ้นกายเขาไม่รู้ว่าคือกามคุณ 5 

อย่างเช่นสิ่งเสพติดกินหมากปากเปรอะเขาไม่รู้เรื่องหรอก อาหารการกิน โภชเนมัตตัญญุตาเขาไม่รู้เรื่อง ก็รู้แต่ว่า ไม่มีเมียไม่มีผัว ถ้าผู้ชายก็ไม่มีเมีย นี่ใช้ได้แล้ว อย่าไปละเมิดเชียว พ้นแล้วบาป เห็นไหมมันผิวเผินมากเลย 

เพราะฉะนั้นเมื่อไม่รู้ผิด มันก็ผิดไปใหญ่เลย รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเยอะไปหมดตั้งแต่สิ่งเสพติดก็ไม่รู้ แล้วมันจะไปรู้อะไรในเรื่องรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสของสิ่งที่ไม่ถึงขั้นเสพติด ขั้นอาหารการกิน ขั้นรสชาติของสิ่งนั้นสิ่งนี้จะไปรู้เรื่องอะไร เขาไม่รู้เรื่องหรอก 

ตกเย็นมาก็ น้ำอัฐบาน (โอชะบาน อาตมาตั้งประชดเขา) น้ำอัฐบาน ก็คือน้ำเปรี้ยวน้ำหวาน อาตมาตอนเป็นสามเณรอยู่วัดสุปัฏฯ ตัวดีเลย พอถึงเย็นแล้วตั้งโต๊ะปรุงน้ำอัฐบานแจกพระนั่งซดกันโฮกๆๆ ใส่พริกนิดๆ มะนาวเป็นหลัก น้ำตาล เกลือ มีครบรส มีพริกเหยาะ ซัดกันโฮกๆๆๆ หรือใช้สมอบ้าง มะขามป้อมบ้าง เขาไม่ได้ถือเป็นเรื่องอะไรใหญ่ กินกันสนุกสนาน สบาย นี่ไม่ได้พูดใส่ไคล้หาความ แต่เป็นจริงเป็นอย่างนั้น ไม่รู้ประสีประสาเลยในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เพราะไม่รู้จัก กายภายนอก มีจิตควบคู่ไปด้วย กาย จะต้องมีภายในภายนอกแยกกันไม่ได้ 

กิเลสภายนอกหมด ก็ลืมตาสัมผัสสิ่งที่เป็นภายนอกอยู่นั่นแหละ แต่กิเลสมันไม่มีแล้วเหลือแต่กิเลสภายในก็ล้างกิเลสภายในเหลือขั้นรูป พอล้างขั้นรูป ก็เหลือปลายท้าย ขั้นอรูป ในจิต แล้วก็ยังอยู่กับวัตถุนั่นแหละ แต่อยู่เหนือหมดแล้ว ชั้นในที่เป็นมโนมยอัตตา

ข้างนอกเรียกว่า โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา ข้างในก็อย่างนึง มโนมยอัตตาข้างนอกก็อย่างนึง ก็ล้างกิเลสที่ยังเหลือนอกอยู่ หมดเหลือภายใน ละเอียดอีกก็หมดเป็นรูปจิต เหลืออรูปจิตละเอียดภายในก็ล้างไปอีกจนหมด 

สู่แดนธรรม... อาศัยอัตตาแต่ไม่ได้ติดอัตตา

พ่อครูว่า…รู้เท่าทัน อัตตา โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา อาศัยอยู่เท่านั้นเองแต่ไม่มีกิเลสแล้ว ธรรมชาติธรรมดาโลกเขามี กาม แต่เราไม่มี โลกเขามีรูปแต่เราไม่มี เราร่วมกับเขาแต่ไม่ได้มีรส ไม่ได้ไปเสพติด ไม่ได้ไปแสวงหา ไม่ต้องไปอยากเสพอะไร มีก็อาศัยอยู่กับเขาเท่านั้นเองตัวเองไม่ต้องมี 

สู่แดนธรรม... แล้วถ้าคนวิจารณ์ว่า คุณมีอัตตา เราจะพิจารณาอย่างไร 

พ่อครูว่า... ความหมายของคุณ อัตตา 2 คนหมายถึงอะไร เราอธิบายอัตตา 3 อยู่นี่ 

ฉะนั้นความเป็น อัตตา ถ้าคุณไม่เข้าใจ 

ตั้งแต่สุริยเปยยาล ข้อที่ 4 รู้จัก อัตตา 

จากการเรียนรู้พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ในมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี และพระพุทธเจ้า สอนศีล ข้อ 2 ข้อที่ 3 เรียนรู้เรื่อง ยินดี ฉันทะ ข้อที่ 4 เรียนรู้เรื่อง อัตตา 

อัตตามี 3 คือ โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา 

สู่แดนธรรม... แสดงว่า อัตตานี้ก็อาศัยได้เหมือน งูลอกคราบแล้ว 

พ่อครูว่า... ลอกคราบแล้วไม่เหลือทิ้งอะไรไว้ แล้วก็เป็นธรรมะเป็นจิตที่สะอาดใส มุทุภูตธาตุ ที่ยิ่งใหญ่แข็งแรง มีอำนาจเหนือสิ่งเหล่านี้ เป็น วสวัตตี ผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ หรือ อภิภุยยะ 

ช่วงเริ่มต้นตั้งแต่ สักกายทิฏฐิ ต้องทำความรู้ความเข้าใจความเห็นในทิฐิชัดเจนในความเป็น กาย ที่อยู่ในตนของตนนี่แหละเป็นของตน ไม่ใช่ไปรู้ของคนอื่น ต้องมีปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ รู้ตนของตนว่า กาย เป็นอย่างนี้ แยกได้เป็นอย่างนี้ๆ ชัดเจน แล้วก็จะต้องรู้ ไปจนกระทั่งถึง 

นอกจากกายกับจิตแยกกันได้ แต่มันแยกกันไม่ได้ แต่มันแยกกันโดยสมมุติ เรียกว่าสิริมหามายา เหมือนกระดาษ 1 แผ่นแยก 2 หน้านี้ออกจากกัน แยกอย่างไรไม่ได้หรอก จะผ่าไม่ได้แล้ว ถ้ายิ่งกระดาษบางก็ยิ่งผ่าไม่ได้เลย มันต้องมี 2 หน้า 

เป็นความลึกซึ้งซับซ้อน ผู้ที่รู้ด้วยตัวเองแล้วอย่างชัดเจนเลยไม่ต้องไปเชื่อใคร ไม่ต้องไปถามใคร มันรู้จบ รู้ถ้วน รู้ครบ อ้อ..มันไม่มีอะไรจะรู้อีกแล้ว มันเป็นลักษณะที่สมบูรณ์แบบอย่างนั้น 

ให้เรียนรู้การแยกกาย แยกจิต แม้จะหยาบไปตามลำดับก็ต้องแยกให้ชัด 

พูดไปแล้วเป็นสิริมหามายา แยกกันได้แต่แยกกันไม่ได้ แล้วตกลงมันแยกกันได้หรือไม่ได้กันแน่ นี่จึงเป็นเรื่องที่สุดยอด จึงเรียกว่ามันเป็นเหมือนมายา แต่มันเป็นมายาที่ยิ่งใหญ่เรียกว่ามหา มันยอดเลิศยอดดี เรียกว่า สิริมหามายา ส่วน มายา ตัวจริงเป็นจอมมายานี่คือตัวหลอก 100% เลย หลอกซับซ้อนเหมือนมหาบัว เหมือนธัมมชโย เหมือนทักษิณ หลอกซับซ้อนและคนไม่รู้ทัน เดี๋ยวนี้คนก็ไม่รู้เท่าทัน เป็นลูกกะโล่ให้คนเหล่านี้อยู่ ไม่ตื่นไม่รับรู้น่าสงสาร ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ก็ได้แต่พยายามช่วยออกมา แต่เขาติดยึด มันเป็นธรรมชาติของวิบากของเขา จะเรียกว่าสันดานก็ได้ สันตานะ แต่ถ้าสิ่งที่ดีเรียกว่าบารมี ของเก่าที่ติดมา ถ้าติดมาเป็นของไม่ดีเรียกว่าสันดาน ถ้าของที่ดีเรียกว่าบารมี ของไม่ดีเรียกว่า สันตานัง เป็นภาษาไทย ก็คือสันดาน 

เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้จักกายกันเลย 

(168) “สักกายทิฏฐิ”จึงเป็น“ทิฏฐิ”ข้อที่ 1ใน“สังโยชน์ 10”

แม้แต่ว่า ถาดทองหรือธรรมของพระพุทธเจ้านั้น “ทวนน้ำ”หรือ“ทวนกระแสสามัญโลกียะ” นะ!  ก็ไม่รู้ว่า“ทวนกระแส”คืออะไร? ก็ยังพากันหลงจมงมงายไปกับโลกียะอยู่ จึงหยำเหยอะไปด้วย“ลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข”อยู่นั่นแหละ

ไม่รู้จัก“กาย”กันเลย ยิ่ง“สัก”ก็ยิ่งมองไม่เห็น!

ด่ำดิ่งอยู่กับ“กาย” มืดบอดอยู่กับ“สัก”กันอยู่นั่นแหละ

พ่อครูว่า... แล้วอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่ตัวเรานั่นแหละ ผู้ไม่รู้ถ้าติดใจก็เป็นสวรรค์ ถ้าไม่ชอบใจแต่มันต้องเกี่ยวข้องอยู่ก็เป็นนรก

คลุกคลีอยู่กับสวรรค์-นรกโลกีย์กันอยู่หน้าระรื่น

พอใจชอบใจก็เป็นสวรรค์ ไม่ชอบใจ ไม่พอใจ ไม่ต้องอารมณ์ ก็เป็นนรก แต่ผู้ที่ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรกแล้วก็ไม่มีพอใจไม่มีไม่พอใจไม่ชอบใจ ก็ไม่มีชอบใจก็ไม่มี รักก็ไม่มีชังก็ไม่มี ซึ่งคุณต้องมีของตัวเอง 

อาตมาพูดว่าอาตมาไม่มีรสอร่อยที่สมมติกับโลกเขา แล้วรู้จักรสต่างๆก็รู้ เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เผ็ด ขมขืนยังไงก็รู้หมด แต่อัสสาทะรสอร่อยรสชอบใจ แล้วรสชัง อาตมาไม่มีเลย ที่พูดว่ามหาบัว ธัมมชโย อาตมาไม่ได้ชังเลย แต่น่าสงสาร แม้แต่ท่านมหาประยุทธ์ก็สงสารท่าน เพราะท่านซื่อสัตย์ต่อการศึกษามากเลย ถ้ายอมรับอาตมาหน่อยเท่านั้นแหละท่านประยุทธ์เอ๋ย ท่านจะไปได้ไกล แต่บังคับกันไม่ได้ ท่านก็เป็นตัวของท่าน ก็ว่าไป ถ้าสำนึกเมื่อไร ถ้าท่านรู้เมื่อไหร่ ท่านจะละอายอย่างแรงกล้า 

เคยอธิบายไปแล้วในปัญญาข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ไม่ใช่ง่ายเลย ละอายอย่างแรงกล้าเลย  เกรงกลัวอย่างแรงกล้า รักอย่างแรงกล้า เคารพอย่างแรงกล้าเลย มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เลย นี่ไม่ต้องไปพูดถึงความเคารพหรือรักเลย ละอายท่านยังไม่เกิดได้ เกรงกลัว ยังไม่เกิดได้ยังไม่ต้องพูดถึงความรักและเคารพเลย ใช้ภาษาไทยสื่อให้รู้ธรรมดานี่แหละแล้วจะเข้าใจ 

สู่แดนธรรม... ต้องมีภูมิขั้นที่ 8 มากกว่านี้หน่อยได้ไหมครับ 

พ่อครูว่า... ใช่ ถ้ายังไม่เป็นพระกฤษณะขั้น 8 ยังไม่มีฤทธิ์มากพอ เพราะว่าการปราบพญาครุฑ พญานาค ต้องมีฤทธิ์มากจึงจะปราบได้ ขนาดนี้ ก็ได้อย่างพวกคุณนี่แหละ ก็ได้ตามสมควร 

ไม่รู้จัก“กาย”กันเลย ยิ่ง“สัก”ก็ยิ่งมองไม่เห็น!

ด่ำดิ่งอยู่กับ“กาย” มืดบอดอยู่กับ“สัก”กันอยู่นั่นแหละ คลุกคลีอยู่กับสวรรค์นรก โลกีย์กันอยู่ 

รู้จักรู้แจ้งรู้จริง แม้แต่คำว่า“กระแส(โสต)”กันที่ไหน?

ตนเอง“ไหลลิ่ว แย่งกันไหลไปกับกระแสโลกีย์กันอีก ด้วยซ้ำ ก็ไม่รู้ตัวกันเลย ไม่ต้องพูดถึง“การทวนกระแส”หรอก ล้วนยังจมงมงายเป็น“พญานาค”กันอยู่หน้าตาเฉย 

ถ้าไม่มี“ตำนาน”ถาดทองคำของพระพุทธเจ้า ที่แต่ละพระองค์ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป แล้วไปหยุด ณ ที่แห่งเดียวกัน ตรงกันกับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แล้วจมลงไปกระทบกับถาดทองคำของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน มีเสียงดัง“ด้วยเสียงของถาดทองคำ”นั้น ซึ่งหมายถึงเสียงสุดวิเศษแห่ง“โลกุตรธรรม” อันไม่มีธรรมใดของศาสนาใดในเทฺวนิยมมีกันได้เลย กระนั้นก็ยังทำให้“พญานาค”รู้ได้ว่าเป็นเสียงของ“ถาดทองคำของพระพุทธเจ้า”ได้อย่างเดียวเท่านี้ เท่านั้น นอกนั้น“ไม่รู้”อย่างอื่นอะไรเลยสักนิดทั้งสิ้นทั้งนั้น

พ่อครูว่า...หากเขามี ปรโตโฆษะ เทชาออกจากถ้วยบ้าง ก็จะได้ แต่ถ้าไม่เปิดจิตรับ ไม่มีทางหรอกอย่างไรอย่างไรก็ไม่เข้า ให้อาตมาเก่งแสนเก่งอย่างไรก็รับไม่เข้าเพราะว่าเขาไม่เปิดและเราก็ไม่ได้ไปบังคับ ไม่ได้ไปบุกรุกอะไรเขา มันเป็นอิสระเสรีภาพสุดยอด 

เริ่มตั้งแต่คำว่า “กาย”ก็“มิจฉาทิฏฐิ”สนิทแล้ว

ความเป็น“สัก”จึงไม่รู้ว่า“มันพิการ”ไปแล้วอย่างไร? หนักหนาสาหัสปานไหน? 

จึงเป็น“พญานาค”เต็มสภาพ ตั้งแต่“ทิฏฐิ”ข้อที่ 1 ก็“มิจฉาทิฏฐิ”กันบริบูรณ์ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” แม้จะมี“คนผู้สาธยาย“โลกุตรธรรม”ของพระพุทธเจ้าคอแตกปานใด “พญานาค”ก็ยังคง“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”อะไรทั้งนั้น  มืดบอด สนิทกันอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรลึกสุดนั้นตลอดกาล “ไม่รู้สึกรู้สาอะไรสักนิ๊ด”ขึ้นมาเลย ราวกับก้อนหินก้อนดินก็ไม่ปาน  

ล่วงเลยยุคกึ่งพุทธกาล(2500 ปี)ไปแล้ว โลกจะไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแน่นอน มีก็แต่“พระโพธิสัตว์” หรือ “สัตตบุรุษ”เท่านั้นผู้มาทำหน้าที่สืบทอด“พุทธธรรม”ที่เป็น “โลกุตรธรรม”ของพระพุทธเจ้าตามหน้าที่อย่างสำคัญ 

แม้พระโพธิสัตว์หรือสัตตบุรุษ เกิดขึ้นมาในโลกทำหน้าที่สืบสาน“โลกุตระ”ของพระพุทธเจ้า “พญานาค”เขาก็ไม่รู้สึกรู้สาใดๆเลย แม้จะปลุก จะกระทุ้งกระแทกด้วยปากหอก (มุขสัตตี) จะแทงด้วยหอก 100 เล่ม เช้า-กลางวัน-เย็น จนหอกหักหมดเกลี้ยง “พญานาค”ก็ไม่รู้สึกตัวกันขึ้นมาได้

พ่อครูว่า...หากว่าไม่หมดยุคของพระพุทธเจ้าองค์นั้นแล้วจะไม่มีพระพุทธเจ้าอื่นมาอุบัติเกิด จะมีแต่พระโพธิสัตว์ใหญ่น้อยมาช่วยกันสืบสานศาสนา ในยุคนี้ก็มีอาตมากับในหลวง แล้วก็มี พระโพธิสัตว์องค์เล็กลงน้อยอีก กว่าจะไปถึง 2500 ปี นี่ อาตมาก็ว่า ยังไม่น่าไว้ใจเลย จะตายวันตายพรุ่งแล้ว แล้วมาเกิดใหม่อีกมันจะไปรอดถึง 5000 ปีไหมนี่ คุณว่าจะถึงไหม อาตมาก็ไม่ต้องเกิดมาอีกซิ หากว่ามันจะถึง ตายชาตินี้ก็ไม่ต้องเกิดอีกเพราะว่ามันถึง ไปได้อีก 2500 ปี 

สู่แดนธรรม... พ่อท่านเคยกว่า ต้องมั่นใจถึง 80% จึงจะมั่นใจได้ 

พ่อครูว่า... อาตมายังไม่ไว้ใจว่า ศาสนาพุทธนี้ ของพระพุทธเจ้าสมณโคดม จะไม่ถึง 5,000 ปี มันจะไม่ต่อ ถ้ามันไม่ต่อไปอาตมาผิดนะ อาตมารับปากพระพุทธเจ้ามาเลยว่าจะต้องมาเป็นผู้รับผิดชอบ ที่จะต้องทำหน้าที่ต่อศาสนาพุทธให้ไปถึง 5,000 ปี พูดแล้วคนไม่ศรัทธาเลื่อมใสก็หมั่นไส้ ขออภัยอย่าเพิ่งอาเจียนเป็นโลหิตร้อนออกจากปาก 

เป็นสัจจะความจริงที่อาตมาพูด แต่คนเข้าใจไม่ได้ก็น่าอาเจียน น่าเห็นใจคนที่เขาไม่เชื่อถือ น่าสงสาร แต่อาตมาก็พูดสำหรับคนที่เข้าใจเราชัดเจน ว่ามันมีลักษณะอย่างนี้ในโลก มันไม่ใช่เป็นเรื่องเปล่าดายไม่ใช่เรื่องไม่มีของจริง แต่มันมีของจริง ศาสนาโลกุตระเป็นของจริงอยู่ในประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศหนึ่งในโลก ยังไม่มีประเทศอื่นใดจะมีโลกุตรธรรมเท่าของไทย มีธรรมิกราชมาช่วยกัน สถาปนาลงไป 

ซึ่งเป็นเรื่องของจริงแล้วก็ยืนยัน แล้วมันเป็นจริงไหมล่ะ มาพิสูจน์สิ เอหิปัสสิโก อกาลิโก โอปะนะยิโก แล้วตรวจสอบมีพระไตรปิฎกเป็นหลักฐานอ้างอิง มีวรรณะ 9 จริงมีสาราณียธรรม 6 อยู่กันอย่างสบายมี สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา  

แม้ พระโพธิสัตว์หรือสัตบุรุษเกิดมาในโลกมาทำหน้าที่ สืบสานธรรมะโลกุตระของพระพุทธเจ้า เหมือนอาตมานี่ทำมาประมาณ 50 ปีแล้ว ประกาศยังไม่มี มังกุ ไม่มีก็เก้อเขินไม่มีอะไรแฝง แต่พวกพญานาค พญาครุฑ ไม่มีการรู้สึกรู้สาเลย อาตมาฟังไปแล้วเขาก็เบื่อฟัง เพราะเขายังยึดถืออย่างที่เขายึดถือ เพราะฉะนั้นพวกที่ไม่เอาแล้วก็ต้องปล่อยเขาไปตามที่ชอบที่ชอบ ไปที่ชอบที่ชอบ เพราะเขาไม่เอาอย่างนี้เขาชอบอย่างนั้นก็ต้องปล่อย แต่คนที่ยังรู้สึกว่ามีอะไรน่าศึกษาน่าได้น่ารู้อยู่นะ คนนี้ก็จะได้เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ 

ถามตัวเองสิ คุณรู้ ขออภัย คุณรู้เท่าอาตมารู้ไหมคุณถามตัวเองสิ แล้วอาตมารู้นี่เถียงได้หรือไม่ แย้งได้หรือไม่ ถ้าอยากได้ก็มาแย้งดูกัน อาตมาก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าเขาจะแย้งว่าอย่างไรจะได้รู้ทิฏฐิ ของเขาบ้าง ก็จะได้สาธยายวิเคราะห์วิจัยกัน ว่าทิฏฐิของคุณกับของเรามันอย่างไร ถ้าเมื่อวิจัยกันเสร็จแล้ว ต่างคนต่างพูดกันไม่รู้เรื่อง ลงกันไม่ได้เลย ก็จบด้วยนานาสังวาส ทิฏฐิของเธอนั้นก็เป็นอย่างหนึ่งและ ทิฏฐิของเราก็เป็นอีกอย่างหนึ่งแล้ว ก็จงดำเนินไปตามที่คุณเห็นของคุณ ที่เราเห็นของเรา ไม่ต้องตีกันไม่ต้องทะเลาะกัน แต่จะสามารถว่ากันได้ ปฏิกโกสนา ว่าของคุณยังผิดอย่างนู้นอย่างนี้ ของเราผิดอย่างนั้นอย่างนี้ เต็มที่เลย มุขสตี ปากหอก ปฏิกโกสนา แต่อย่าไปฟ้องร้องอย่าไปทำร้ายกันเบียดเบียนกันเกินกว่านี้ นี่คือขีดของนานาสังวาสชัดเจน 

อาตมาถูกเถรสมาคมฟ้องร้องคือท่านทำผิดหมดทุกอย่างเลย ไม่ได้รู้เรื่องเลย เอาธรรมยุติกนิกายและมหายุทธมารวมกันตีอาตมา ซึ่งรวมกันไม่ได้ในหลักนานาสังวาส ตอนนี้รวมตัวกันมาตีอาตมาเลย แล้วท่านก็ตายกันไปหลายคนแล้ว เป็นโรคตายไปบ้าง ตายโหงก็มี 

สู่แดนธรรม... ที่ทำพ่อท่านไม่สำเร็จเป็นการชี้บ่งว่า ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมหรือไม่ครับ 

พ่อครูว่า... ธัมโม หเว รักขติ ธรรมจาริง อาตมาอยู่รอดเพราะธรรมรักษา จริง นี่ก็พิสูจน์ยืนยันอยู่จริงๆ เพราะฉะนั้นในเรื่องของสัจธรรมนี่อาตมาพูดไปแล้วพูดอีก 

อาตมาพาไปทำทางโลก ไปทำทางการเมือง เอาธรรมะโลกุตรธรรมนี่แหละ ยาวให้เป็นเย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ เอาความสงบสยบความรุนแรง ใครจะฆ่าเราก็ฆ่าไปเราไม่ฆ่าใคร แล้วธรรมฤทธิ์ชนะ พิสูจน์มาชนะ 4 รัฐบาลถึง 5 รัฐบาล รวมรัฐบาลอภิสิทธิ์ด้วย อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันเป็นเรื่องของโลกุตรธรรม เป็นประชาธิปไตยจริงๆเลย ใช้ความสงบสยบความรุนแรง กฎหมายโลกข้อนี้ตรงกันหมดนะ ความสงบสยบความรุนแรง ไม่มีอาวุธ ไม่ใช้อาวุธ มือเปล่า เอาความจริง เอาสัจธรรมเป็นตัวยืนยัน ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ คุณแพ้เพราะคุณจำนนต่อความจริง คุณแพ้เพราะคุณไม่สมควร คุณนั่นแหละเป็นกบฏ คุณนั่นแหละทุจริต คุณนั่นแหละเป็นคนที่ไม่สมควรจะมาบริหารประเทศ ให้คนอื่นเข้ามาบริหารประเทศ 

ก็ทำสำเร็จมาตั้งแต่ทักษิณ สมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ พ. ศ. 2557 เป็นปีสุดท้าย พูดแล้วไม่ได้เอาดีเข้าตัว แต่เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่เอาความสงบเป็นอาวุธไปประหารรัฐบาล 

อันแรกรัฐบาลทักษิณมันไม่เพียว(Pure)ทีเดียว มันก็มีทหารออกมาบ้าง มีพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ออกมา ขนรถถังมาจอด ให้คนเอาดอกไม้ไปเสียบปลายกระบอกปืนกระบอกรถถังให้เด็กไปขี่เล่น ไม่ได้ยิงสักแปะเลย 

จนกระทั่งรัฐบาล เขาก็บอกว่าไม่ใช่ฝีมือของประชาชนที่ประท้วง รัฐบาลสมัครตกกระได ไม่ใช่ แต่รัฐบาลสมัครไปผิดกฎหมาย หากินทางทำอาหารขาย เอารายได้ก็ผิดกฎหมาย ตกกระไดขาเป๋เอง ก็สมัครเองไม่ใช่ตัวประชาชน เขาก็หาเรื่อง ทักษิณก็ว่าฝีมือพลเอกสนธิ สมัครเขาก็หาว่ากฎหมาย 

พอถึงรัฐบาลสมชาย อันนี้ก็ก้ำกึ่ง สมชายไม่ได้เข้าทำเนียบเลย เพราะเราไปยึดทำเนียบ สมชายถึงเป็นนายกที่ไม่เคยเข้าทำเนียบรัฐบาลเลย 

ยิ่งลักษณ์ ไม่ต้องพูดถึงเลย เรายืนหยัดยืนยันเต็มรูปแบบเลย เสร็จแล้วผู้มารับช่วงต่อจากยิ่งลักษณ์ก็เป็นพลเอกประยุทธ์ เราก็เห็นว่าทำดี ยังเชียร์อยู่เลยว่า ทำต่อไปๆ ตอนนี้ยิ่งพิสูจน์ยืนยันต่างๆนานา 

อาตมาเห็นว่า มันเป็นอจินไตยอย่างหนึ่ง คือทางตะวันออกกลางเป็นประเทศที่รวยจริงๆ เป็นเรื่องอจินไตยของเขา เขารวย จะว่าเราไม่สยบต่อความรวยก็ตาม แต่จะไปขัดแย้งเป็นเรื่องเป็นราวไปทำไม ไปเป็นมิตรกันดีกว่า 

เพราะฉะนั้นประยุทธ์ไปประสานมิตรทางนี้ เยี่ยมยอดเลย เราเป็นผู้น้อยนะ เป็นคนจนนะ ตะวันออกกลางซาอุฯเขาใหญ่เขารวยนะ เราต้องรู้ความจริงตามความเป็นจริงนี้เป็น status quo ให้ได้ ไม่อย่างนั้นคุณก็บ้าๆบอๆ ไม่รู้จักความจริงตามความเป็นจริงที่เขาเป็นอยู่มันก็ไม่ถูกเรื่องตามกาละเทศะฐานะ เขาเป็นอย่างนี้ เราก็ต้องยอมรับ 

เช่นว่า สถานะของรัฐมนตรี เราก็ต้องยอมรับฐานะสมมุติของรัฐมนตรีเขา เขาไม่ถูกอย่างไร เราก็วิจัยวิจารณ์ได้ 

ฐานะของนายกฯ ก็เป็นฐานะของนายกฯ ไม่ถูกเราก็วิจารณ์ได้ อาจจะยกไว้ว่า ในหลวง วิจารณ์ไม่ได้ แต่ในหลวงท่านก็บอกว่าได้ ไม่ใช่ The King can do No Wrong ไม่ใช่ ในหลวงท่านก็ยังตรัสเลย ในหลวงผิดไม่ได้ไม่จริง ในหลวงท่านก็ผิดได้ ไม่ใช่ The King can do No Wrong อย่างนี้เป็นต้นนี่แหละสุดยอดเลย 

เพราะฉะนั้นในหลวงของเรานี้ ท่านตรัสอันนี้ เห็นเลยว่าท่านไม่ได้ติดยึดตัวตน ไม่ใช่ The King ทำผิดไม่ได้ แต่ทำผิดได้เหมือนกัน พระอรหันต์ก็ทำผิดได้เหมือนกัน อย่างนี้เป็นต้น ก็สมมุติมันผิดได้ แต่ปรมัตถ์ไม่มีผิดหรอกแต่สมมุติผิดได้ ในโลกก็ยึดถือกันที่สมมุติกันทั้งนั้นที่เถียงกัน ไอ้ที่ไม่ใช่สมมุติเป็นสัจจะนั้นมีหนึ่งเดียว ที่สมมุตินั้นเถียงกันได้ แย้งกันได้ทั้งนั้นแหละ 

ก็ทำต่อไป ขอสรุปแต่เพียงว่า งานนี้อาตมาก็ยังไม่ไว้ใจ จึงได้พยายามกระเสือกกระสนยังไม่ยอมตาย แต่มันก็ต้องสุดใจขาดดิ้นกันสักวันหนึ่ง ตอนไหนก็ตอนนั้น ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ฝืนไป พยายามทน พยายามทำ เพราะยังไงๆ ก็ต้องตาย ตายเป็นตาย 

สมณะเดินดิน... สรุปจบ

ที่มา ที่ไป

650311


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2565 ( 09:18:42 )

650314

รายละเอียด

650314 พ่อครูมาสถาปนาโลกุตระได้นั่นเป็นเรื่องยาก รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 31

https://www.boonniyom.net/51170.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1xHxOdt3bSBT0R3fO5Q9pqkYx2oGN5xdJPhRPGkOQg30/edit?usp=sharing    

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1gp8GKarJXcl5PJfoGBIaMwh5qEhi_R_W/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/bKTpFidX8_/ 

และ https://youtu.be/a-1Emo5h9j0 

 

_สู่แดนธรรม… วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก เป็นรายการที่ทำให้เราได้พบเจอสัตบุรุษ อ.ไม้ร่มได้พูดคุยกับผม ถ่ายทอดสดอยู่ดีๆ ขาผมก็ก้าวไม่ออกเลย พอดีว่า อ.ไม้ร่มกับคุณรุ้งก็ช่วยกันทัน ก็ขอขอบคุณอ.ไม้ร่ม และอ.ไม้ร่มก็ถามมาว่า

_ไม้ร่ม...เมื่อพิจารณาถึงพวกนาคที่เอาแต่อยู่ในภพ เป็นฤาษีไม่ดูแสงสว่างของโลก ที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไป จะปักมั่นยึดมั่นถือมั่นอยู่แต่ในโลกแห่งการงานของตนเอง แล้วเขาก็ระบุมาเลย เช่นสังคมของชาว ซาคาฮารี ในบ้านราชฯ ที่จะต้องสำคัญมั่นหมายในการใช้ใบตอง ไม่ใช้อันอื่น ไปหาตัดใบตองตามสวนต่างๆ

อย่างที่ 2 แม้แต่การสั่งของเพื่อประกอบอาหารก็ได้สิทธิพิเศษไม่ต้องไปส่งที่ด่าน แต่ไปส่งที่ครัวเลย อย่างเช่นนมแพะเนยใส เป็นต้น

เขาถามว่าการปักมั่นยึดมั่นในอัตวิสัยในอัตตา ในสักกายะเช่นนี้ ไม่เปลี่ยนแปลงเลยจะฃถือว่าเป็นพวกงูพวกระดับพญานาคได้ไหมครับ 

สู่แดนธรรม... โดยส่วนตัวผมก็เคารพอาจารย์ไม้ร่ม ไม่ใช่ฐานะของผมที่จะไปปรับทิฏฐิ แต่ผมก็ขอพูดกับคนร่วมงานกับอ.ไม้ร่ม พ่อท่านเคยบอกว่า ถ้าจะทำงานชิ้นนี้ให้เอาตามไอเดียของอาจารย์ไม้ร่ม เหมือนเปิดทางให้อ.ไม้ร่มเป็นเต้ย แต่คนที่ร่วมงานด้วยถ้ายังไม่เข้าใจจุดนี้ ประโยชน์ตนเองที่จะได้ก็จะไม่ได้ คือการทำให้กิเลสตนเองลดลงให้ได้ประโยชน์ตน ส่วนจะทำให้คนอื่นได้ประโยชน์ก็เป็นสิ่งที่พ่วงกันมา  

พ่อครูว่า...พูดมามันเลยยาว อาตมาเลยจับประเด็นไม่ได้เลย

 

อนุปคัมมะ ไม่เข้าไปยึดทั้งความมีและความไม่มี 

สู่แดนธรรม… เขาถามว่าการปักมั่นยึดมั่นในอัตวิสัยในอัตตา ในสักกายะเช่นนี้ ไม่เปลี่ยนแปลงเลยจะถือว่าเป็นพวกงูพวกระดับพญานาคได้ไหมครับ 

พ่อครูว่า... ได้ การยึด พอเริ่มยึดก็เริ่มเป็นงูขึ้นมาแล้ว ยึดมากเข้าก็เป็นพญา พญางู พญานาค 

จริงๆแล้วยึดนี้เป็นเรื่องสุดยอดยิ่งใหญ่ในศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่รู้จักความฃฃงบจริง ความจริงในโลกมีสมมติสัจจะกับปรมัตถสัจจะ 

ความจริงของสมมติมันมีแตกต่างกันไปมากมาย เราจะไปยึดเอาอันใดๆนั้นมันไม่หวาดไม่ไหวมันมาก 

ส่วนความจริงของปรมัตถ์นั้นมันมีขั้นตอน ของพระพุทธเจ้ามีจิตเจตสิกรูปนิพพาน สามารถศึกษาเป็นลำดับไป สุดท้าย รวมเป็นหนึ่งและที่สุดเป็น 0 จบ ได้ ปรมัตถสัจจะที่สูงสุดเป็นอย่างนั้น 

ที่นี้ปรมัตถสัจจะ หมายความว่า เขาไปถึงจิต ทำจิต ทำจิตในจิตทีเดียว เขาก็ทำได้ สายศรัทธา สายเทวนิยม แม้แต่ชาวพุทธที่ยังไม่เข้าขั้นมีปัญญาแท้ สามารถที่จะแยกแยะจิตแยกแยะกายได้อย่างสัมมาทิฏฐิจริง ซึ่งไม่ใช่จะแยกกันได้ง่ายๆ แล้วไม่ใช่จะรู้จักความเป็นกายได้สัมมาทิฏฐิสมบูรณ์แบบได้ง่ายๆ ก็ไม่สามารถจะเข้าถึงสภาพทำให้เป็น 1 หรือเป็น 0 เป็นอนัตตาได้สำเร็จอย่างแท้จริง 

คนผู้ที่ทำได้ขนาดไหนอย่างไร เขาก็ยึดของเขา อย่างนั้นๆ จนกว่าจะเป็นผู้ที่มาเรียนรู้การไม่ยึด ตั้งแต่ตนเองยึดสิ่งที่หยาบใหญ่ตั้งแต่ต้น แล้วก็วางเป็น แล้วก็วางอันที่ 2 อันที่เหลือต่อไป 3 4 5 6 7 8 9 10 วางแล้วจึงเห็นว่า อ๋อ.. ความมีมันมีอยู่ในโลกเป็นสมมติสัจจะ เพราะเราไปยึดมันเอง มันก็เลยกลายเป็นความยึด จนในที่สุดผู้ที่ไม่ยึดได้สูงสุดเป็นพระอรหันต์ ก็เห็นว่า อ้อ.. มันก็มีก็มีไป เราทำความไม่มีหรือความไม่ยึดได้แล้ว ก็เป็นเรื่องของเรา 

เสร็จแล้วเราก็รู้ทั้ง 2 อย่าง เป็นผู้ที่อยู่ลอยตัวเป็น อนุปคัมมะ ไม่เข้าไปยึดทั้ง 2 อย่าง เพราะในโลกมันมีสภาวะ 2 อย่าง เป็นอนุปคัมมะ คือผู้ที่มี มัชเฌนธรรม คือธรรมะที่เป็นกลางอย่างสมบูรณ์แบบ 

ผู้ที่มีความรู้อย่างนี้จึงเป็นผู้ที่มันไม่ ที่จริงแล้วไม่มีภาษาจะพูด แต่พยายามพูดโดยเอาภาษาไทยมาขยายความ สุดท้าย ตายไปด้วย ความมีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่ เพราะถ้ามีหรือไม่มีก็คือธาตุรู้ที่ยึดมี หรือยังยินดีในมี ในไม่มีก็คือยึดนั่นแหละ แต่ผู้ที่ตายผู้นี้ ไม่เป็นทั้งมีที่ไปยึดอยู่ หรือไม่มีไม่ยึดก็ไม่มี เพราะฉะนั้นธาตุรู้หายไปเลย ตายอย่างดินน้ำไฟลม ไม่เหลือธาตุรู้ จึงมีทั้งมี จึงมีทั้งไม่มี และไม่มีทั้งมี และไม่มีทั้งไม่มี 

 

เพราะเป็นคนมีบารมีจึงได้มีชีวิตอยู่ในแดนโลกุตระ

ว่ายังไงเด็กๆฟังแล้วสนุกสนานดีไหม 

อาตมาเองยังรู้สึกว่าเราจะทำอย่างไร ที่จะทำให้แต่ละคนๆนั้นรู้ในสิ่งที่มีและสิ่งไม่มี เป็นสิ่งสูงสุดของศาสนาพุทธแล้ว ใช้ภาษาพูดได้คำว่ามี กับคำว่าไม่มี สุดท้ายแล้วผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ เป็นอรหันต์ขึ้นไปแล้ว ก็อยู่กับมัน อยู่กับความมีกับความไม่มี แต่ก็ไม่ได้ยึดทั้งความมี ไม่ได้ยึดทั้งความไม่มี จึงอยู่กับความทั้งมีและไม่มีอย่างสมมุติอีกทีหนึ่ง ส่วนปรมัตถ์หรือจิตของผู้นั้นที่เป็นอรหันต์ขึ้นไป เป็นโพธิสัตว์กี่ชั้นก็แล้วแต่ คือคนผู้ที่หมดคู่แล้ว หมดเทวะ หมดสภาพ 2 แล้ว จัดการกับสภาพ 2 ได้สมบูรณ์แบบ การจัดการกับสภาพ 2 ได้สมบูรณ์แบบนี้แหละเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 

ความรู้อย่างที่ว่าที่กล่าวไปคร่าวๆนี้ แต่มันลึก สูง สูงสุดด้วย เด็กๆมานั่งฟังแล้วก็คงยากจริงๆ นอกจากจะเป็นเด็กที่เป็นอัจฉริยะจริงๆ เป็นผู้ที่มีบารมีจริงๆ เขาฟังแล้วก็เข้าใจ เด็กที่มีความเดียงสาขึ้นไป เช่น อายุเลย 7 ขวบขึ้นไปแล้ว ก็จะรู้สาระนี้ 

เพราะฉะนั้นในสมัยพระพุทธเจ้า เด็กอายุ 7 ขวบเป็นอรหันต์ก็มีแล้ว รู้เดียงสาแล้วรู้ความจริงนี้ได้ นั่นเป็นเรื่องของ กาละ เทศะ ฐานะ ของพระพุทธเจ้า กาละนี้คงจะยากแล้วอาตมาไม่ใช่พระพุทธเจ้าด้วย ไม่สามารถทำให้เด็กขนาดนั้นบรรลุได้อีกด้วย ขนาดผู้ใหญ่ก็ยังยาก ไม่ใช่รู้ได้ 

กำลังจะพูดว่า เด็กๆที่ได้มาเรียนที่นี่ หรือแม้แต่เด็กๆที่เขาอยู่ที่นี่ ตั้งแต่คลอดอยู่ในนี้ แล้วก็โตมาในนี้ด้วย อย่าง น.ส.โมกข์ นายมะขาม อะไรอย่างนี้ นายขวัญเมืองราช นายชาติเมืองพุทธ(กระทง) พวกนี้ ได้มาอยู่ที่นี่จนกระทั่งชัดเจน แล้วในที่สุดแล้วเขาก็ชัด เขาไม่คิดอยากจะไปที่ไหนหรอก อยู่ที่นี่ เขาจะมีธาตุรู้ที่มีปฏิภาณปัญญาของเขาเองว่า มันเทียบได้

ออกไปข้างนอกกับอยู่ที่นี่ เขาจะยังชีวิตของเขา เขาจะรู้เลยว่ามันยากกว่ากันมากเลย อยู่ในนี้ ยังชีวิตมันง่ายกว่ากันมากจริงๆเลย อยู่ข้างนอก ยังชีวิตไปยาก 

มีเรื่องสั้นของ O. Henry (โอ.เฮนรี่) เรื่องสั้น มีนายคนหนึ่ง เขาทำผิดจนกระทั่งต้องเข้าคุก เข้าคุกก็ทุกข์ทรมานในคุก ออกมาอยู่นอกคุก ก็เลี้ยงตัวเองทำมาหากินยากมาก เขาพยายาม สุดท้ายเขาทำผิดจนได้ ถูกจับเข้าคุกอีก พอหมดเวลาที่ติดคุก ก็ออกมาอีก ออกมาก็มาสู้ชีวิตอีก ยากอย่างเก่า ลำบากอย่างเก่า สุดท้ายดิ้นรนไปมา ทำผิดสังคมโลกอีก ถูกจับเข้าคุกอีก พ้นหมดอายุความที่ต้องอยู่ในคุกก็ออกมาอีก มาสู้ชีวิตข้างนอกอีก จนกระทั่งซาบซึ้งดีแล้วว่า ชีวิตข้างนอกนี้ยากกว่าอยู่ในคุก 

อยู่ในคุก ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องอาจจะไม่เรียบร้อยเหมือนข้างนอกเท่าไหร่ เขาก็ไม่เอาแล้วอยู่ข้างนอก ไปอยู่ในคุกดีกว่า อยู่ข้างนอกมันทรมานทรกรรม ต้องเลี้ยงตนต้องดิ้นรน ลำบากลำบนมากเลย คิดได้แล้วก็พยายามเข้าไปในคุกดีกว่า ก็พยายามจะกระทำความผิด เจตนาทำความผิด เพื่อจะให้ตำรวจจับเข้าคุก 

เช่น ไปแย่งอาหารเขากินเลย เขาก็ไม่ว่าอะไร ตำรวจก็ไม่จับ เพราะว่าเจ้าทุกข์เขาก็ไม่ว่า เขารู้จักหน้าตาดี เอาของไปเขาก็ไม่ว่าอะไร 

หนักเข้าทำแรงกว่านั้น ทุบตู้กระจกเขาและเอาอาหารมากินอีก เขาก็ไม่จับอีก จนกระทั่งทำร้ายร่างกายเขาด้วย เขาก็ไม่เอาเรื่องอีก เหนื่อยมากเลย ก็อยากจะเข้าคุก ทำไมไม่ถูกจับเข้าคุกสักที เหน็ดเหนื่อย 

เข้าไปในสวนก็ไปนอนที่ม้านั่งสาธารณะเพราะมันเมื่อย เสร็จแล้วตำรวจก็มาจับ ถามว่าผิดอะไร ตำรวจบอกว่าผิดในการนอนในที่สาธารณะ เวลานี้เขาห้ามแล้ว ก็มานอนสบายๆไม่ได้ทำร้ายใครเลยถูกจับเข้าคุกไปเลย 

เรื่องนี้ เรื่องของ O.Henry นักเขียนเรื่องสั้น 

สู่แดนธรรม... ก็สุดแท้แต่ว่าจะมองว่าสังคมข้างในเป็นคุก หรือสังคมข้างนอกเป็นคุกกันแน่ ท่านจันทร์เคยแต่งเหมือนเพลง โอ้ชีวิตเหมือนติดคุก 

พ่อครูว่า... ก็มาศึกษาให้ดีๆว่า เกิดมามีชีวิต ชีวิตเหมือนติดคุก เพราะหลงสุข หลงสร้างทางสวรรค์ เพราะหลงรสอร่อย รสเอร็ด รสเผ็ด รสมัน 

พระพุทธเจ้าจึงมาตรัสรู้และสอนให้รู้แล้วเลิกติดสิ่งเหล่านั้น ไม่มีเรื่องจริงเลย มีอะไรเขาสมมุติว่ามีอะไรดีก็ทำดีตามเขาได้ แล้วก็อยู่กับเขาไป จิตที่รู้ความจริงจนกระทั่งเป็นอนัตตา แล้วสามารถปล่อยวางจิตได้จริง จิตวิญญาณไม่ไปยึดจิตวิญญาณ มีอิสรเสรีภาพ สุดยอดเลย เป็นพระอรหันต์ตายแล้วก็สามารถเป็นดินน้ำไฟลมได้เลย ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรได้เลย สามารถอธิบายได้ง่ายๆอย่างนี้ 

ความจริงที่จะรู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน จะไปนิพพานได้ก็เรื่องของแต่ละคน สามารถรู้ รายละเอียดของจิตเจตสิกต่างๆ พระพุทธเจ้าสอนรายละเอียดให้แยกรูปแยกนาม แยกเป็นจิตเจตสิก แยกไปถึงธาตุเวทนา แยกเวทนา 108 โลกโลกีย์เขายึดถือเป็นมโนปวิจาร 18 เป็นอย่างไร 

เป็นแม้คำว่าออกจากโลกีย์เป็นอย่างไร รู้จักเจตสิกธรรม มโนปวิจาร เป็นอุเบกขาคือจิตที่ปราศจากกิเลส รู้จักกิเลสแล้วทำให้กิเลสออกไปจากจิตได้ เป็นเบื้องต้น ท่ามกลางบั้นปลาย เป็นลำดับ ซึ่งยากมาก 

พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าผู้ที่ทำได้ความเป็นลำดับจึงน่าอัศจรรย์ ผู้ที่ไม่รู้ความเป็นลำดับ พูดว่า ลำดับลำดา แต่ไม่รู้ลำดับจึงได้แต่ดับเลอะเทอะ ไม่รู้กายรู้กาม ไม่ได้รู้เรื่องเหมือนมหาบัว ก็ติดยึดถืออย่างนั้น มันก็หลงได้จริงๆ เพราะมันไม่ง่าย เรื่องจิตเจตสิกรูปนิพพานนั้นง่ายๆ ยิ่งต้องไปดูเวทนาในเวทนา 

แยกได้ จิตที่มีกิเลสทำออกจากกิเลสได้ จนเป็น เนกขัมสิตเวทนา ตัวสุดท้ายทำได้จึงเป็นเรื่องที่ยากสุดยาก แต่ก็ไม่พ้นความรู้ของมนุษย์ที่จะเรียนรู้ได้

เด็กๆหรือพวกนักเรียนได้มีโอกาสเข้ามาเรียนรู้ในนี้ ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยแต่ก่อน ที่จะทำให้เราต้องได้เข้ามา เราไม่ได้เข้ามาหรอก อย่าไปว่าถึงอยากเข้ามาเลย ถ้าไม่มีบารมีแล้ว ไม่ได้เข้ามาอยู่ในนี้หรอก ถ้าเข้ามาอยู่ในนี้โดยที่ไม่มีบารมีนั้น ตัวเองจะประพฤติตนเองไม่ได้ดีก็ถูกไล่ออกไป จะอยู่ไม่ได้เรียบร้อยอย่างพวกเรา 

เพราะฉะนั้นเด็กที่อยู่ในนี้ได้ นอกจากเด็กที่ไม่มีบารมีพอ โตไปก็ออกไป แต่เด็กที่มีบารมีพอ โตขึ้นเขาก็เลือกอยู่ที่นี่ อยู่ตามวัฒนธรรมที่นี่ ตามหลักเกณฑ์อย่างน้อย มีศีล 5 ไม่กินเนื้อสัตว์ไม่มีอบายมุขเป็นพื้นฐาน ซึ่งมันไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร 

แต่ข้างนอกเขาไม่ได้นะ เขารักษาศีล 5 ไม่มีอบายมุข ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ได้ เขาทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นแม้แต่พวกเรา จะเด็กก็ตาม ผู้ใหญ่ก็ตาม ออกไปข้างนอกแล้ว จะให้อยู่อย่างที่นี่คือ ถือศีล 5 ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่มีอบายมุขสบายๆไม่ได้ง่ายหรอก เหมือนในนี้ ที่นี่มีพลังงานมีเหตุปัจจัยเป็นองค์รวม สามารถทำให้เราอยู่ได้ ถ้ามีบารมีพออยู่ก็อยู่ได้ แต่ไปข้างนอกนั้นมันไม่ง่าย 

เพราะฉะนั้นคนที่มาอยู่ที่นี่จึงมีจำนวนจำกัด ไม่ได้ปิดกั้นนะ อโศกไม่ได้ปิดเลย ใครจะมาเท่าไหร่ ก็มา อย่างนักเรียนนี้เรียนฟรี อย่าว่าแต่เรียนฟรีเลย แต่เลี้ยงดูทุกอย่างด้วย จนโต อยากอยู่ต่อ ที่นี่ให้อยู่ต่อได้ เรียนจบแล้วจะอยู่ที่นี่ต่ออยู่ได้ อยากไปเมื่อไหร่ก็ไปได้ ไม่มีการบังคับอะไร อิสรเสรีภาพ 

เพราะฉะนั้นคนอยู่ที่นี่ถึงเป็นคนมีบารมีจริงๆ แม้แต่เด็กบางคนไม่อยากอยู่หรอก แต่ถูกพ่อแม่หรือญาติพี่น้องที่มีอิทธิพลบังคับให้มาอยู่ที่นี่ได้ เขาก็มีบารมีขนาดหนึ่งแล้ว ถ้ายิ่งใจตัวเองก็ไม่มีปัญหาอะไร อยู่ที่นี่ได้สบาย ก็อยู่ที่นี่ได้ สุดยอด นี่คือเนื้อแท้โลกุตรธรรม

แต่อย่างว่ามันไม่ง่าย แม้จะอยู่ได้ อย่างพวกเราอยู่ทั้งปีไม่ได้กลับบ้านกลับช่อง ตอนนี้ก็ปล่อยให้กลับบ้านกัน ถ้าบอกว่า อยากจะไป นั่งอยู่ที่นี่เหมือนถูกตีกรอบอะไรอยู่บ้าง ก็รู้สึกว่ามันเก่าแล้ว ไม่มีอะไรใหม่ๆ ระวังเถอะ ผีข้างนอกมันหลอก มากมายผีหลอกข้างนอก ระวังดีๆนะ แต่ละคนๆออกไป ผีหลอกแล้วนี่ เชื้อมันร้ายแรงกว่า Covid อีกนะ เดี๋ยวติดเข้ามาในนี้แล้วโอ้โห มันยิ่งกว่า Covid อีกนะระวังเถอะ ปล่อยปละละเลย ปล่อยตัวไปนะ ยุ่ง

แต่บอกแล้วพูดไปแล้วว่าจริงๆแล้วมันซับซ้อน เพราะว่าเด็กที่จะมาอยู่ที่นี่ได้ จะยไม่ออกไปนั้นมีบารมี แม้จะเป็น เด็กเกิดในนี้เลยแล้วก็อยู่ในนี้เลยจนโต รุ่นโตที่สุดที่เกิดในนี้เลยก็รุ่น โมกข์ มะขาม 

ที่จริง กระทกรกหรือกระทงก็ดี พ่อแม่เขาก็อยู่ในนี้ แต่เขาไปคลอดที่โรงพยาบาล แต่โมกข์กับมะขาม หมอตำแยคือพรตะวันทำคลอด 

แม้แต่จะว่าไปแล้ว ด.ญ.ปุญย์ แม้จะไปคลอดที่โรงพยาบาลก็ตาม เขาก็คลอดธรรมชาติ เขาไม่ยอมผ่า ซึ่งคนแนะนำมากเลย เพราะแม่ เจ้ารุณ ตัวเล็ก แล้วเด็กตัวไม่เล็กเท่าไหร่ 

สู่แดนธรรม.. กระทงกับกระทกรก เป็นรุ่นเดียวกัน ส่วนมะขามเกิดที่บ้านสุขภาพหลังเก่าเขตสิกขมาตุ (รื้อออกไปแล้ว)

พ่อครูว่า... ชื่นชมบารมีเด็กที่อยู่ในนี้มันเป็นสัจจะ ซึ่งคนข้างนอกอาจจะไม่รู้สึกว่ายิ่งใหญ่เท่าไหร่ แต่อาตมาขอยืนยันว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งในยุคนี้ เป็นยุคที่เสื่อมมาก ศาสนาพุทธโลกุตรธรรมไม่เหลือแล้ว แต่ในนี้เป็น แดนศิวิไลซ์แท้ๆ

อาตมาพูดไปคนเขาก็ไม่รู้ เขาอาจบอกว่าหลงตัวเองบ้าบอ อะไรสาธารณโภคี โลุตระ เขาไม่รู้เรื่องหรอก คนข้างนอกเขาฟัง แม้จะศึกษามาบ้าง เป็นผู้ศึกษาทางธรรม ทางพุทธศาสนา ได้ยินคำเหล่านี้ พยัญชนะเหล่านี้ เข้าใจความหมาย แต่ไม่ได้หยั่งรู้เข้าไปถึงข้างในลึกๆ เพราะมันเป็นสิ่งสูงส่ง เป็นสิ่งที่สุดยอด เกิดได้ในยุคนี้เป็นคนที่มีโลกุตรธรรม เกิดได้ในยุคนี้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 

อาตมาพูดไปแล้วเหมือนมันหลงตัวเองใหญ่เหลือเกิน แต่มันเรื่องจริง เป็นอย่างนี้นี่เป็นได้ยาก แต่พวกเราเป็นได้อย่างสงบเรียบร้อย สงบอบอุ่นด้วย จริงไหม ... อยู่ด้วยกันอย่างสงบอบอุ่น ไม่แย่งไม่ชิง ไม่รุนแรง ไม่มีวิวาทะ 

สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ  นี่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้หมดเรียบร้อย มีหมดเลยที่นี่ 

มี สาราณียธรรม อยู่กันอย่างระลึกถึงกัน 

มีความรักกัน รักกันอย่างญาติธรรม ปิยกรณะ

เคารพกันด้วยวัยวุฒิ คุณวุฒิก็ตาม คุรุกรณะ

สังคหะ เอื้อเฟื้อเจือจาน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันไป 

อวิวาทะ ไม่ทะเลาะกัน ทะเลาะกันเป็นเรื่องเป็นราวอะไรกัน บางคนอยู่กันมา 40 กว่าปี จะ 50 ปีแล้ว .... ใครอยู่มา 50 ปีบ้าง ...ไม่มี 40 กว่าปี ...มีบ้าง 

มันเป็นเรื่องจริงนะ อยู่กันอย่างนี้ ไม่ได้อยู่กันอย่างบำเรอ บำรุงกัน ต้องการอะไรก็ได้อย่างใจอยากเสพอยากได้ ก็ไม่ได้มีความต้องการ ไม่ได้อยากได้อะไรมากมายจนต้องแย่งชิง จนต้องทุจริต ขโมยหรือโกงกัน เป็นทุจริตกรรม

40 - 50 ปีพวกเราทำได้มีศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล  

ศีล 10 คือไม่สะสมเป็นของตัวของตน มีกองกลางไว้อาศัย ศีล 10 เป็นระดับสาธารณโภคี แม้แต่สังคมข้างนอก เป็นสังคมพุทธระดับภิกษุ ได้ไหม สาธารณโภคี แต่พวกเราเป็นฆราวาส ได้ นี่ไม่ได้ยกตนข่มท่าน ไม่ได้หลงใหลได้ปลื้มอะไรหรอก แต่เป็นสัจธรรม 

ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ เรียนรู้ปฏิบัติแล้วทำได้ตามคำสอนคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ แม้ในยุคนี้ใกล้กลียุค ศาสนาพุทธเสื่อมหนักขนาดนี้พวกคุณยังปฏิบัติได้ บรรลุธรรมได้ ถ้าไม่ใช่บรรลุธรรมพวกคุณอยู่อย่างนี้ไม่ได้หรอก อดทนไม่ได้หรอก 

สู่แดนธรรม... กดข่มเอาไว้

พ่อครูว่า... กดข่มได้ก็พักหนึ่ง สักพักก็ต้องออกไป แต่ผู้ที่อยู่ได้ ฝากชีวิตไว้กับเฮือนสุดชีวิตเลยเพราะที่นี่มีที่เผาศพ เรียบร้อย 

 

ละกิเลสจริงในปัจจุบันต้องทำอนุปัสสี 4

สู่แดนธรรม... อวิวาทะ พวกเราไม่ได้ทะเลาะวิวาทกัน 

พ่อครูว่า... ไม่มีเรื่องราวถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลต้องมีตำรวจมาจัดการ พูดใช้หอกปากก็ไม่มีมากมายอะไร ไม่มีอวิวาทะจริงๆ หอกปากก็หอกทื่อๆ ไม่แหลมไม่คม ไม่แข็งแรงด้วย แตะๆแทงๆกันเบาๆ อวิวาทะ

อยู่กันอย่างสามัคคียะ อยู่กันอย่างพรั่งพร้อม พร้อมเพรียง ว่าง่าย อยู่กันอย่าง สุภระ 

สุโปสะ ทุกคนก็ตั้งใจศึกษา ศึกษาพัฒนาตนเองให้เจริญงอกงามไพบูลย์ อย่างแท้จริง มีวรรณะ อย่างแท้จริง 

เลี้ยงง่าย  (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)  มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)  ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9  ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)  

ซึ่งหลักธรรมของพระพุทธเจ้าพวกนี้พวกเรานำมาศึกษา แล้วปฏิบัติฝึกฝนอบรมตนได้ทำสำเร็จ จนกระทั่งอยู่ได้โดยไม่ยากเลยไม่ลำบาก เป็นชีวิตที่เป็น ฌาน

เป็นฌานวิสัย คำว่าฌานคำนี้ ที่เป็นสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า เขาเข้าใจไม่ได้เลย เป็นอจินไตย ฌานวิสัย เขาเข้าใจไม่ได้หรอก นี่แหละพวกคนนี้ ฌาน นั้นจะต้องไปนั่งหลับตาเข้าฌาน ไม่ใช่ นี่แหละฌานของฤาษี 

ฌาน คือปัญญา ปัญญาคือฌาน 

ปัญญาคือความรู้ แล้วความรู้นี้เผากิเลสได้ พอเผากิเลสได้ ขั้น ฌาน 1 กิเลสก็เริ่มรู้จัก ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ แล้วลดกิเลสได้ เป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา 

ทำอภิสังขารแยกแยกแยะ ตักกะ วิตักกะ มีปัญญาแยกกิเลสออกจากจิตแล้วทำกิเลสลดได้ 

โดยปัญญามันจะเข้าใจอย่างแรกเลยว่า ทุกอย่างมันไม่เที่ยง ซึ่งปัญญาที่เฉลียวฉลาดแบบโลกุตระ เห็นความไม่เที่ยง 

อนิจจานุปัสสี ปัญญาตามเห็นความไม่เที่ยง สภาวะ 2 ทุกอย่าง ไม่มีอะไรเที่ยง 

ทีนี้มันไม่เที่ยง ที่ไม่มีปัญญา เขาก็รู้ได้เดาได้ มีปฏิภาณก็พอรู้ทั้งนั้นว่ามันไม่เที่ยง แต่ไม่เที่ยง ผู้รู้จะเห็นความไม่เที่ยง ตามรู้ อนิจจานุปัสสี ตามเห็นความไม่เที่ยง ของ เจาะลงไปที่กิเลสเลย

จิตก็ตาม กิเลสก็ตาม ก็คือส่วนหนึ่งของจิต ปลอมตัวเป็นจิต ไม่เที่ยงและไม่แท้ เป็นอาคันตุกะ เป็นพวกจรเข้ามาอยู่ในจิตเรา เขาเรียกว่า แขกจร ไม่เที่ยงไม่แท้ 

ปัญญา ธาตุปัญญา มันมีพลังงานอำนาจรู้จักความไม่เที่ยงนี้แหละ รู้โดยเฉพาะ ยิ่งตัวไม่แท้คือกิเลส เฮ้ย! เอ็งอย่าปลอม เอ็งอย่ามาเสนอหน้า ปัญญามันจะรู้จริง 

อธิบายไปแล้ว เท่านั้นแหละ กิเลสมันหายกิเลสมันลด หรือหากว่ายังไม่มีอำนาจประสิทธิภาพพอ กิเลสมันก็จะค่อยๆ จางคลายลง วิราคานุปัสสี ไม่ใช่ว่าไปนั่งกดข่ม แล้วก็ตามเห็นใน อานาปานสติสูตร 

อนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี ปฏินิสสัคคานุปัสสี 

พวกนี้ มันเป็นลำดับที่แท้จริงเลย มันเป็นลำดับของสัจธรรม คุณจะตามเห็นเรียกว่า อนุปัสสี เห็นโดยปัญญาญาณ แล้ว เข้าไปรู้ตั้งแต่อนิจจัง มันไม่เที่ยง โดยเฉพาะกิเลสนี่แหละไม่เที่ยงเพราะมันไม่แท้ กิเลสมันไม่ใช่ตัวจิต กิเลสมันเป็นอะไรไม่รู้ แอบแฝงเข้ามาอยู่ในจิตเรามานานแล้ว พอปัญญามันเกิดจริง มันเห็น มันก็อยู่ไม่รอหน้า 

ยังไม่มีอำนาจมากก็แค่ วิราคา ลดลงจางคลายลง จนกระทั่งมันดับได้ด้วย นิโรธานุปัสสี ดับได้ด้วยจริงๆ ไม่มีกิเลสตัวนี้ในจิตได้ ก็เข้าใจเลย ที่นี้ก็เลยทำตามอย่างที่ว่าด้วย ปฏินิสสัคคานุปัสสี ทำตามนิโรธานี่แหละ ก็ทำกลับไปกลับมา ทวนไปทวนมา จนสำเร็จเรียบร้อยเป็นอัตโนมัติ อนุปัสสี 4 ในอนุปัสสี 4

ในอานาปานสติ ตัวอนุปัสสี 4 เป็นยอดในการปฏิบัติ คนไปนั่งหลับตาปฏิบัติเขาก็ทำเขาก็เห็นเขาก็รู้แต่มันเป็นสมถะ มันไม่ได้เป็นวิปัสสนามันไม่ตื่นเต็ม อนุปัสสี เห็นตามทาง ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสและเห็นกิเลส มันเกิดจริง หลับตาปฏิบัตินั้นไม่เห็นกิเลสจริง มีแต่ความจำ 

หลับตาปฏิบัตินั้นไม่มีกิเลสจริง มีแต่กิเลสปลอม มีแต่ความจำ 

1. จำได้ว่าเป็นกิเลสก็เอาความจำมานึกถึงเท่านั้น 

2. กิเลสตัวเองในอุปาทานแล้วก็เป็นสัมภเวสีคิดไปเองว่าเป็นกิเลส ปั้นมาใหม่ แล้วกิเลสเป็นกิเลสลมๆแล้งๆ เพราะคุณคิดเอง 

กิเลสจริงๆมันต้องเป็น ทิฏฐธรรม เป็นปัจจุบันชาติ สัมผัสต่างๆเห็นอยู่หลัดๆ สัมผัสทางหู เห็นกิเลสอยู่หลัดๆ ได้ยินเสียงกิเลสเกิด จมูกได้กลิ่นกิเลสเกิด ลิ้นแตะรส เกิดกิเลส นั่นแหละคือกิเลสจริง นอกนั้นเป็นความจำ เป็นการสร้างขึ้นมาเอง เป็นนิรมาณกาย เป็นกาย ที่สร้างขึ้นมาเองมันไม่ใช่ของจริงเลย ความจริงมันจะมีอยู่ในปัจจุบันชาติเท่านั้น อยู่ในทิฏฐิธรรม หรือทิฏฐกาละ ปัจจุบันนี้แหละคือความจริง เป็นปัจจุบันชาติ แตะ สัมผัสภายนอกภายในครบ 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

 

ฌานวิสัยของคนในแดนแผ่นดินพุทธ

สู่แดนธรรม... เด็กที่จะมาเรียนในนี้เป็นเด็กที่มีบารมีระดับหนึ่งแล้ว นึกถึงอจินไตยของชื่อเด็กที่อยู่บ้านราช นายมะขาม เขาชื่อว่า หล้าฟื้น มาสัมพันธ์กับปีนี้พ่อท่านให้ฟื้นแผ่นดินทำกสิกรรม ถ้าทำได้สำเร็จก็ตรงกับชื่อของโมกข์ แก้วกลั่นพร 

พ่อครูว่า... ที่พูดแบบนี้ก็ให้เข้าใจให้ได้ว่า พวกเราที่มาตก ได้มาอยู่ที่นี่ ได้มาเรียนที่นี่ได้มามีชีวิตอยู่ในที่นี่ไป บางคนมีบารมี อยู่ได้แค่ 2 ปี 3 ปี 5 ปี อยู่ไม่ถึง 6 ปี บางคนอยู่ได้ถึง 6 ปี แล้วต้องออกไป บางคนอยากจะอยู่ต่อก็ไม่ได้อยู่ บางคนอยากจะอยู่ต่อและก็อยู่ได้ อะไรพวกนี้ ซึ่งมันเป็นรายละเอียดของจิตวิญญาณ เกี่ยวกับบารมีทั้งสิ้น 

เพราะที่นี่อิสรเสรีภาพ ไม่ได้ไปบังคับอะไรกันเลย ไม่มีการหลอกลวงหลอกล่อให้อยู่ให้ไปอะไรทั้งนั้นเลย ไม่มี ทุกคนอิสระ ใช้ความคิดอิสระ ถึงวาระที่เราจะไปได้แล้วจบ 6 ปีแล้วคุณไปก็ไป พ่อแม่เขาจะว่าอะไรเรา หรือจะเรียนต่อที่นี่เรียนอาชีวะไปได้อีก ถ้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ก็เรียนได้เลย อยู่ในนี้ บางคนก็ไม่ดิ้นรนไปเรียนมหาวิทยาลัย เอาแค่อาชีวะนี่ก็พอแล้ว

สู่แดนธรรม.. ถ้าคนมองเพ่งโทษว่าพ่อท่านไม่อยากได้บริวาร แต่ทำไมให้การศึกษา จะให้ลูกหลานอยู่กับเรา 

พ่อครูว่า... คนที่มองว่าทำไมอยากให้อยู่ที่นี่เหมือนอยากได้บริวาร อาตมามีภูมิธรรมสูง เลยที่จะต้องหาบริวารแล้ว เรื่องหาบริวาร ไม่หา คนจะสมัครใจมาอยู่ร่วมกับสังคมที่อาตมาอยู่นี้ อิสรเสรีภาพยิ่งใหญ่ในตัวเอง ไม่ใช่มาเป็นลิ่วล้อ ลูกแหล่ง ไม่ได้มาเป็นบริวาร ถ้าจะเรียกอย่างโก้ๆ ว่า มาเป็นลูกเป็นหลาน ไม่มีหรอกมาเป็นบริวารเป็นลูกน้อง ไม่มี อยู่อย่างลูกหลาน ไม่ใช่บริวาร 

เพราะฉะนั้น คนที่ไม่มีปัญญารู้ในเรื่องลึกซึ้งของปรมัตถ์พวกนี้ เขาก็มอง อาตมาก็ยืนยันพิสูจน์แล้วว่า ที่นี่ไม่ได้ไปบังคับใครให้อยู่ ไม่ได้ล่อหลอก ไม่ได้อ่อยให้อยู่ ไม่ คุณสมัครใจอยู่เอง ตั้งแต่เด็กยันแก่เฒ่า จนกระทั่งนี่ว่าจะตั้งศพกันแล้ว ตาสมศักดิ์ เพิ่งตายไป ตอน 15:00 น กว่า ก็ตั้งศพแล้วก็เอาไปเผา พึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตาย กันได้จริงๆที่นี่ เป็นญาติธรรม

คำว่า ญาติธรรม ยิ่งใหญ่มาก เป็นพี่เป็นน้องเป็นตระกูลเดียวกันพระพุทธเจ้าเป็นเหมือนพ่อใหญ่ อาตมาเหมือนแม่ ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สารีบุตรกับโมคคัลลานะคือแม่ เราเป็นพ่อ ท่านบอกว่า สารีบุตรเป็นแม่เลี้ยง โมคคัลลานะเป็นแม่นม ซึ่งเป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องลึกซึ้งเป็นเรื่องปรมัตถ์เป็นเรื่องกรรมวิบาก เป็นเรื่องความลึกซึ้งถึงขั้น พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องกรรมวิบากที่บอกว่า อจินไตย 

ใครไม่มีวิบากไม่ได้เข้ามาอยู่สุขสบายอยู่ที่นี่ อย่าว่าแต่ได้มาอยู่เลย มีสิทธิ์เข้ามาใกล้ยังไม่ใกล้เลย คนในโลกนี้ 7พันกว่าล้าน จะรู้จักชาวอโศก ขนาดคนในประเทศไทยไม่รู้จักอโศก ชุมชนอโศก เพราะฉะนั้นป่วยการจะกล่าวไปไยถึงคน 7พันกว่าล้านในโลก ไม่ได้รู้จักง่ายๆหรอกในโลก บอกว่าพวกนี้เป็นพวกโลกุตระ เขาบอกว่าอะไร มะระหรือ ? ไม่รู้หรอก 

พูดไปเหมือนดูถูกดูแคลนเขา แต่เป็นเรื่องจริง เป็นสัจจะที่สุดยอด อาตมาภาคภูมิใจนะที่เกิดมาในยุคนี้ที่เป็นยุคที่เสื่อม ตามที่พระเจ้าตรัสไว้ อาณิสูตร เรื่องกลองอานกะ โลกมันหมดแล้วโลกุตระ ในสังคมพุทธนี่แหละมันเสื่อมจนกระทั่งไม่มีแล้วโลกุตรธรรม

อาตมาต้องเอาโลกุตรธรรมมาสถาปนา มาสถาปนา หมายความว่าต้องทั้งรู้ ทั้งสาธยายทั้งทำให้เกิดการบรรลุธรรม จนกระทั่ง เป็นสังคม เป็นวัฒนธรรม เป็นมวลหมู่มนุษยชาติ มีความเป็นอยู่อย่างที่เราเป็นกัน มี สาราณียธรรม 6 ถึงขั้น สาธารณโภคี 

อาตมายังภูมิใจที่ทำสิ่งนี้ได้สำเร็จ แม้ในยุคที่ใกล้กลียุคนี้ แล้วอาตมาเคยพูดมาหลายทีแล้วว่าอาตมานอนตายตาหลับ เพราะว่าได้พิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วว่า อกาลิโก ในยุคนี้ก็ยังมีคนรับได้ มันจะน้อยก็ตาม ยังมีประมาณนี้ก็ตาม แต่มันเป็นของจริง ซึ่งคนไม่ได้รู้เรื่องความจริงอันวิเศษนี้ ที่เรียกว่า อุตตริมนุสสธรรม ความจริงที่เป็นคุณอันวิเศษอันนี้ เขาไม่ได้รู้กันง่ายๆ เขาจะไปรู้ค่าอะไรเขาก็รู้ว่านั่นแหละไปต่ออะไรเขาตามโลก เรื่องใจอย่างเรามีทำไปเถอะ เขาก็มองไปอย่างนั้นแหละ เราเอาไปให้เขาก็ขว้างทิ้งไป 

อย่างเช่น หนังสือหนังหา พิมพ์ไปเถอะ แจกไป ได้ไปก็เสร็จแล้วไม่ได้เปิดอ่านหรอก  โยนซุกไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ 

บางคนอาจจะมีบารมีบ้าง ได้หนังสือไปก็อ่านแล้วดี แต่อ่านจบแล้วไปซุกไว้อีก ไม่ได้มาทบทวนแล้วเอาไปปฏิบัติจริง น้อยคนที่จะเห็นได้ว่า อย่างนี้น่าสืบสานในชีวิตเรา เพราะได้อ่านหนังสือที่โพธิรักษ์เขียน 

ใครมาเพราะว่าได้อ่านหนังสือที่โพธิรักษ์เขียนบ้าง ยกมือซิ....ไม่มากนักยกมือ

แต่จะได้อ่านหนังสืออาตมาเขียนแล้วมาได้ หรือมาได้โดยวิธีผีผลักส่งเข้ามาก็ตาม มันก็ดีทั้งนั้นแหละใช่ไหม จะมาด้วยอะไรก็แล้วแต่ แแต่ผีผลักส่งมาก็ตาม อยู่ได้ก็ยอดเยี่ยมแล้ว 

ที่อาตมาพูดที่หลวงปู่พูดนี้ เด็กๆฟังแล้ว ไม่ใช่มาพูดเล่น แต่พูดถึงความจริงทั้งนั้น เป็นความจริงทั้งนั้น 

พวกเราได้มาอยู่นี่ก็ได้อดได้ทน แต่ก็ทนได้โดยไม่ยาก ทนได้โดยไม่ลำบาก ในฌานทั้ง 4 นี่เป็นภาษาของพระพุทธเจ้า เด็กๆพวกนี้แหละมีฌาน มีฌานแบบพุทธ เป็นฌานวิสัยที่เป็นแบบพุทธ ฌานที่ได้แล้วนี่นะ มันเป็นปัญญา ที่สามารถรู้โลก สามารถรู้อบายมุข สามารถรู้สิ่งที่ปรุงแต่งในโลก ที่เป็น ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หรือเป็น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส 

ที่นี่ไม่ได้ปิดหูปิดตา โทรทัศน์มันมีทุกอย่าง มันเรียกร้องหาลูกค้า อบายมุขเต็มไปหมดเห็นอยู่ทุกอย่าง แต่เด็กๆเขาก็อยู่ได้ อยู่ได้โดยไม่ยากโดยไม่ลำบาก   นี่แหละคือมีฌานทั้ง 4

ฌานไม่ใช่เรื่องนั่งเพ่งสะกดจิต มันไม่ใช่ แต่ฌานคือปัญญาที่สามารถ ไม่ให้กิเลสมาเล่นงานเราได้ นี่คือฌาน จิตของเรามีปัญญารู้จักกิเลส เราสัมผัสมันอยู่ มันเล่นงานเราไม่ได้ ผู้นั้นมีฌาน มีพลัง เขาเรียกว่าไฟ อุณหธาตุ มันมีฤทธิ์แรงยิ่งกว่ากิเลสที่เป็นอบายมุข ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หรือ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่มีพลังงาน มีฤทธิ์ ดึงให้คนติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส

แต่พวกเรานี่ก็ไม่ยั่น เพราะเป็นฌาน ทำได้โดยไม่ยากทำได้โดยไม่ต้องลำบาก ไม่ใช่ไปนั่งสะกดจิตแล้วได้ฌาน นิ่งๆหลับๆ ฌานอย่างที่เขาทำนั้นมันเป็นสภาพที่ทำกับวิญญัติ ที่พวกเขาเรียนกัน เขาไม่ได้ทำกับวิญญาณ ฌานของเขาเขาทำแค่วิญญัติ ไปทำให้ไม่เคลื่อน ทำให้จิตไม่เคลื่อน ทำให้จิตไม่เคลื่อน เขาไม่ได้ทำกับวิญญาณนะ เขาไม่ได้ทำกับจิตหรือวิญญาณ ให้กิเลสออกแล้วเป็นปาคุญญตา ให้จิตคล่องแคล่ว ไม่ แต่ทำให้จิตมันหนืดๆๆ ทื่อๆ

สู่แดนธรรม... ถ้าทำฌาน ได้ถูกต้องวิญญาณจะยิ่งมีประสิทธิภาพ เพราะปัญญามีการเผา

พ่อครูว่า... เป็น อุณหธาตุ ทั้งร้อนและเย็น เป็นพลังงานวิเศษที่สลายกิเลสได้ มีฤทธิ์ ถ้าเป็นจริงได้มีพลังงานระดับ ฌานได้ พลังกิเลส พลังงาน ราคะ โทสะ โมหะ มันจะจางคลาย มันจะถูกทำให้ดับ มันจะเกิด วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี ปฏินิสสัคคานุปัสสี จริงๆ 

สู่แดนธรรม... ปัญญา 8 ข้อที่ 1 เขาแค่ฟังแค่ศึกษา แค่ได้รู้สิ่งนี้ มีผลให้จิตมี หิริโอตัปปะ ไม่กล้าไปละเมิด ไม่กล้าทำบาป เป็นปัญญา

พ่อครูว่า... ใช่ อย่างพวกคุณฟังอาตมาแล้วรับได้เกิดศรัทธารู้ตัวว่า เราเคยโง่มาเก่า ทำไมถึงได้โง่มานาน ผู้ที่ยิ่งมี ปัญญาปฏิภาณสูงก็ยิ่งถึงขั้นเกรงกลัว ว่าเราไปคลุกคลีกับกิเลส ไปคลุกคลีกับบาป บาปคือกิเลส ไปคลุกคลีแล้วสนิทสนมไปกับมันมันโง่ มันจะเห็นว่า โธ่เอ๋ย ไอ้หน้าโง่ เราเองไอ้น่าโง่ ผู้ยิ่งพูดเอาเอง มันจะรู้สึกตัว จริงๆ ไม่ใช่เรื่องสร้างเอา แต่มันเป็นความรู้แล้วเกิดความรู้สึก มันถึงจะเป็นของแท้ มันรู้ความจริงตามความเป็นจริง 

โอ โอ้โห! ไปเสียเวลาไม่รู้กี่ล้านชาติ แล้วที่มันจะละอายมากก็คือ ถ้าผู้ใดที่เคยมาได้ดูถูกสัตบุรุษดูถูกผู้ที่เป็นครูที่สัมมาทิฏฐิ เหมือนอย่างอาตมา เขาได้ใครมาดูถูกได้ไหม - รู้ดีไม่ดีมาซัดอาตมา ถ้าเขามีปฏิภาณปัญญานี้ขึ้นมาเมื่อไหร่เขาจะละอายจริงๆ เป็นสัจจะ ถ้าเขาไม่เกิดปัญญาก็ไม่มีทาง กำลังจะพูดว่าจ้างเขาก็ไม่กล้า ก็ไม่มีสตางค์ไม่จ้างหรอก เพราะเขาจะไม่มีทางรู้เลย เพราะอวิชชามันสิงสู่อยู่ที่เขาอย่างสนิท เขาก็จะจมอยู่กับไอ้ความอวิชชาความไม่รู้ ไม่งอกไม่เงย 

ยิ่งมีความรู้สึกว่า เอาชัดๆ รู้สึกในยุคนี้แหละ ใครยังรู้สึกว่าอาตมานี้ไม่ใช่โพธิสัตว์ ไม่ใช่อรหันต์ ไม่ใช่ผู้รู้ที่มากอบกู้ศาสนาพุทธเอาโลกุตรธรรมมาสถาปนาลงไปในศาสนาพุทธคืน เขาไม่รู้เขาไม่เชื่อเลยนี่นะ ปิดประตูเลย คนนี้ปิดประตูตาย เขาจะโง่ดักดานอวิชชาดักดานต่อไปอย่างนั้น นี่ไม่ได้ด่าไม่ได้ว่าเขา แต่สัจจะมันจะเป็นอย่างนั้น มันจะเป็นอย่างนั้นตลอด 

ซึ่งอาตมาก็ได้แต่สงสาร ไม่รู้จะทำอย่างไรให้เขาเข้าใจเขารู้ พูดด้วยเมตตา อธิบายด้วยเมตตา แล้วก็ต้องบอกว่าที่คุณเข้าใจผิด มันผิด จะให้ไปยกย่องสิ่งที่ผิดว่าถูกว่าดีแล้วทำไปเถอะ มันไม่ได้ มันต้องข่มมันต้องให้รู้ตัวว่ารีบเลิก ไอ้นั่นมันผิด สัจจะมันต้องทำอย่างนั้นจะให้อาตมาทำอย่างไรมันเลี่ยงไม่ได้ ไปเลี่ยงความจริงไม่ได้ จะบอกว่าไปด่าไปว่าเขาทำไม ก็เราเมตตาเขาน่ะ ถ้าไม่เมตตาก็ปล่อยสิ ก็บอยคอร์ดไป ไม่เอาเรื่อง คุณจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ช่างหัวคุณเถอะ มันเป็นคนใจดำ 

คนที่ยิ่งมีคนนับถือ เป็นคนที่มีประโยชน์ต่อสังคม แล้วเค้าก็หลงผิดมันยิ่งต้องช่วยเขา ให้เขาได้รู้ตัวแล้วก็กลับตัว แล้วมามีสัมมาทิฏฐิ ไม่เช่นนั้นเขาก็จะทำบาป แล้วพาคนทำบาปๆๆ ไปอีก แล้วจะไม่ให้อาตมาสงสารได้อย่างไร นึกออกไหม อาตมาไม่ได้ไปทับถมคนที่เขาผิดนะ แต่เห็นใจคนที่ผิด ทำไมถึงดักดานอยู่กับความโง่ต่อไปหนอ เห็นใจเหลือเกิน สงสารเหลือเกิน พูดแล้วมันก็น่าหมั่นไส้เนาะ 

สู่แดนธรรม... เรื่องแบบนี้คนไทยเขาถือกันว่า ถ้าจะพูด มันต้องมีบุคคลที่ 3 พูด ยกพ่อท่าน เขาก็มองว่าพ่อท่านพูดยกตัวเอง ผมก็รู้ว่า จะไปหาบุคคลที่ 3 จากที่ไหนมายก มันไม่มี พ่อท่านก็เลยยอมพูด แม้เขาจะหมั่นไส้ แต่พ่อท่านก็ต้องพูดความจริง 

พ่อครูว่า... อาตมายืนอยู่ในฐานความจริงเท่านั้น ไม่ได้มีอื่น ไม่ได้เสแสร้ง ไม่ได้หลอกล่อลวง มีแต่ความจริงตรงๆ มันก็ได้ไปอย่างนี้ แล้วมันยากจริงๆ 

ยิ่งคนที่เป็นพญาครุฑ เป็นพญาครุฑคืออะไร เป็นพญาครุฑก็คือผู้ที่เหินฟ้า รู้มาก หลงตัวเองว่า เป็นคนสูงเป็นคนรู้มาก ซึ่งเขาก็รู้มากจริงๆนะ รู้เกินปทปรมบุคคล คือเขาสามารถรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าได้ โอ้โห! รู้หมด รู้มาก จำพระพุทธพจน์ได้ก็มาก ท่องจำได้ขึ้นปากขึ้นใจ สาธยายอยู่ก็มาก จำได้มาก บอกสอนผู้อื่นอยู่ก็มาก แต่ตัวเองไม่ได้บรรลุมรรคผล อย่านึกว่าง่ายนะ บรรลุมรรคผล ไม่บรรลุมรรคผล ไม่เข้าไปถึงจิตเจตสิก 

เริ่มตั้งแต่คำว่า กาย ก็ยังมิจฉาทิฏฐิ อย่างนี้เป็นต้น กาย ต้องเป็น 2 เพราะกาย ต้องมีภายนอกกับภายใน แค่ขั้นกาย ต้องมีภายนอกกับภายใน ต่อจากกายก็คือเป็นเวทนา เวทนา ก็จะมาร่วมประสานกับภายนอกแล้วมารู้เป็นเวทนาภายนอกด้วยกับกาย ในเวทนานี่แหละ เป็นตัวฐานปฏิบัติ เป็นตัวรู้สึก รู้สึกสุขรู้สึกทุกข์เป็นต้น 

เพราะมิจฉาทิฏฐิ ไปหลงมาร ไปหลงผี ไปหลงกิเลส คบกับกิเลส จึงเป็นสุขเป็นทุกข์อยู่ จนรู้จักตัวกิเลสของตัวเองแล้วทำกิเลสของตัวเองออกได้หมด ไปถึงความสุขหมดทุกข์ อธิบายอย่างลัด เร็ว ไว 

ผู้ที่หมดสุขหมดทุกข์ได้ การหมดสุขหมดทุกข์นั้นเป็นอีกพยัญชนะหนึ่งที่เป็นคำไวพจน์เป็นคำที่ใช้แทนกันได้ แต่ที่จริงแล้วไม่ได้หรอกมันลึกกว่ากันคือ อุเบกขา ไม่สุขไม่ทุกข์นั้นพยัญชนะบาลีว่า อทุกขมสุข 

มีอีกตัวหนึ่งคือ อุเบกขา อุเบกขานั้นยิ่งกว่า อทุกขมสุข เพราะเหตุแห่งทุกข์แห่งสุขนั้นมันหมดไปจากจิตสะอาด เพราะฉะนั้น อุเบกขาก็คือจิตที่สะอาด สะอาดจากตัวเหตุแห่งทุกข์ตัวร้าย อย่างละเอียดเลย หมดสิ้น จึงเรียกว่า ปริสุทธา (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สู่แดนธรรม... อทุกขมสุข เป็นความไม่เที่ยง เป็นตัวพักระหว่างสุขบ้าง ทุกข์บ้าง แต่อย่างที่ 3 มีเหตุปัจจัยสัมผัสแล้ว มันก็เฉยๆ แต่มันไม่เฉยๆอย่างถาวร มันเฉยๆเพราะว่าไม่สุขไม่ทุกข์เพราะเราได้อิ่มแล้ว ไม่อยากอีกแล้ว พอหมดอำนาจของความอิ่ม ก็ไปหามาใหม่ เป็น อทุกขมสุข ที่ไม่เที่ยง แต่อุเบกขาที่พ่อท่านอธิบาย มันเป็นอภิภูไปแล้ว ความครอบงำได้แล้ว มีความสะอาดบริสุทธิ์ มีสภาพที่ไม่ต้องกลับไปกลับมาอีกเลย 

 

เป็นอจินไตยที่เด็กๆได้มาเรียนในแดนโลกุตระ

พ่อครูว่า... อยากจะพูดกับเด็กๆ ให้เด็กๆทั้งหลายได้ฟังแล้วเข้าใจจริงๆเลยว่า มันเป็นเรื่องของ อจินไตย เป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้ ว่าทำไมพวกเราถึงเข้ามาอยู่ในนี้ เข้ามาอยู่ในนี้ไม่ใช่เรื่อง จับพลัดจับผลู ผีจับยัดเข้ามา ไม่ใช่ แต่เป็นเรื่องความจริงเป็นสัจจะที่เราได้มาอยู่ในนี้ เป็นแดนสุดยอด เป็นแดนศิวิไลซ์สุดยอด เป็นดินแดนอาริยะจริงๆ 

เพราะฉะนั้นจงรู้ตัวแม้ว่ามันจะทุกข์อย่างไร ก็ต้องศึกษาให้ดีๆ พยายามทนให้ได้ พยายามรู้ให้ได้ว่า โอ้โห! อันนี้ไม่ใช่เรื่องสามัญ คนอยู่ในประเทศไทย 60 ถึง 70 ล้านคน มีพวกเราอยู่หยิบมือ เท่านั้นเอง ที่ได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในนี้ มาได้อบรม ฝึกฝน ศึกษา ซึ่งไม่ใช่เรื่องฟลุ้คๆ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ไม่ใช่เรื่องผีจับยัดเข้ามา ไม่ใช่ แต่เป็นเรื่องบารมีของพวกเราเองจริงๆ 

ถ้าไม่มีบารมีจริงๆ มันไม่ได้มาอยู่หรอก ไม่ได้มาอยู่จริงๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ มันต้องเกิดต้องเป็นอย่างนี้ของพวกเรา วิบากของเรามีอย่างนี้ เราจะต้องเกิดมาเป็นอย่างนี้ เราต้องเป็นอย่างนี้ มันจึงมาเป็นอย่างนี้ได้ 

เพราะฉะนั้นอาตมาจึงไม่ได้เป็นเรื่องยาก ไม่ใช่เป็นเรื่องลำบากอะไรมากมายนักที่จะสอนพวกเรา เพราะพวกเราเป็นคนที่ สัจจะคัดสรรแล้ว ให้เข้ามา อาตมาไม่ต้องไปเที่ยวได้  โอ้โห!ต้องสมัคร ต้องคัดเลือกสอบไล่เข้ามา ไม่ต้องมากมาย พวกเราสอบพอเป็นพิธี มาสอบเข้าที่นี่ 

สมมุติว่าสมัครปีนี้ 100 คน จะตกอย่างเก่งก็ไม่เกิน 5 คน ยากนะไม่ใช่ง่ายนะ ตกอย่างเก่งไม่เกิน 5 คน ถ้าอย่างนั้นก็มาวนเวียนขอเข้ามาอีก ถ้าชอบจริงๆก็ได้มาอยู่จริงๆ ถ้าผู้ที่มีปฏิภาณปัญญารู้ตัวเองว่า อยากจะมาอยู่ที่นี่ อยากจะมาเรียนที่นี่ คนนั้นมีบารมี ยังไงๆก็ได้อยู่ พากเพียรเข้ามาเถอะ จะได้อยู่ 

ถ้าเกิดว่าจิตของเราไม่อยากอยู่ ถูกบังคับอยู่ อยู่ไม่นานหรอกเดี๋ยวก็ไป ถูกพ่อแม่บังคับ หรือถูกอำนาจของผู้ใหญ่ใครก็แล้วแต่มาบังคับให้อยู่ โอ้โห! นับวันนับเดือนนับปี อยากจะออกๆ แต่คนก็ไม่รู้สึกว่าอยากจะออกอะไร ธรรมดา อยู่ได้ มันก็มีบารมีแล้ว คนที่ไม่มีบารมีก็เห็นใจนะ อาตมาก็เห็นใจว่าอย่าอยู่เลย อยู่แล้วมันทนทรมาน ลำบากอยู่ อยู่อย่างยากอยู่อย่างลำบาก ไม่เป็นฌานเลย ไม่มีพลังไฟ พลังอุณหธาตุ ที่จะทำให้กิเลส ไม่มารบกวนกันเกินจนเดือดร้อนเพราะเป็นคนที่มี ฌาน อยู่ในตัว นี่คือฌานของพระพุทธเจ้า 

ฌาน ไม่ใช่ไปนั่งสะกดจิตเอา ไม่ใช่ อาตมาก็อธิบายยาก เพราะมันเป็นอจินไตย ฌานวิสัย ของพระพุทธเจ้ามันเป็นพลังงานของปัญญา เป็นพลังงานระดับปัญญาประเสริฐ 

คนจะรู้จักเรื่อง ฌาน ของพระพุทธเจ้า เป็นฌานวิสัยไม่ง่าย ยิ่งไปหาในพระป่าหรือจะไปหาในสายไหนไม่มีหวังที่จะเจอ ขนาดมีอยู่ในชาวอโศกเขายังบอกเลยว่า ฌานอะไรมัน
ดุ๊กดิ๊ก ดุ๊กดิ๊ก นั่นแหละคนยิ่งมีฌาน ยิ่งแคล่วคล่องทางกาย กายปาคุญญตา ยิ่งแคล่วคล่องทางจิต จิตปาคุญญตา ฌาน มันตรงกันข้ามกับที่เขาเข้าใจ คนละทิศคนละทาง คนละฝั่งเลย 

เพราะฉะนั้น คนที่เป็นยอดของพญาครุฑ จะมี ปทปรมะ เป็นตัวตั้ง คือเป็นผู้ที่รู้จักความรู้ ทรงจำมาก สอนก็มาก แต่ ตนเองไม่ได้บรรลุธรรมอะไรเลยในชาตินั้น อย่าว่าแต่บรรลุเลย สังโยชน์ข้อแรกคือกาย ก็ยังยาก ยิ่งเป็นคำว่าเป็นคำว่าฌาน คำว่าบุญ กับสมาธินั้น ยังไม่ต้องไปพูดถึง เมินเสียเถิด ยากที่เขาจะรู้ได้ 

นี่คือเรื่องของ ปรปรมบุคคลนั้นเยอะแยะเลยจมอยู่ในมหาเถรสมาคม ออกมาจากกองลาภ กองยศ กองสรรเสริญ กองโลกียสุข เขาออกมาไม่ได้หรอก 

ถ้าเขามีปัญญา เขาไม่อยู่หรอกเขาต้องออกมา จะอยู่ได้อย่างไรกับพวกกองอเวจีพวกนี้ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มันเป็นอันตรายแสบเผ็ดของพระขีนาสพนะ อยู่ไม่ได้หรอกเขาจะไม่อยู่เลย แต่เขาต้องอยู่นั้น ไม่ใช่เขาจำนน แต่เขายังโง่ เขายังไม่รู้ตัวเองไม่มีปัญญาพอจะรู้ เขาจึงอยู่กับมันอย่างนั้น ทนได้ ดีไม่ดีอยู่จนตาย ดีไม่ดีก็ได้รับ อวยยศ อวยศักดิ์ สูงส่งเป็นพญาครุฑ ลอยเหินลม นอกจากเป็นปรมบุคคลแล้ว ยังมาดูถูกผู้ที่เขามีโลกุตรธรรมอีกด้วย ก็เป็นอวิชชาซับซ้อน หรือเป็นบาปซับซ้อน ให้แก่ตัวเอง โดยที่เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไร เขาทำสิ่งที่เป็นบาปให้แก่เขาเอง แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าเขาทำบาป 

อาตมาไม่ได้ใส่ความนะ ไม่ได้ไปหาเรื่องหาราวไปว่าเขา ไม่ใช่นะ อาตมาพูดความจริงสู่ฟัง ในโลกที่มันเป็นอย่างนี้ 

เพราะฉะนั้นก็ขอสรุปว่า ชาตินี้อาตมาหนักและเหนื่อย ที่จะนำความเป็นจริงของสัจธรรมพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะโลกุตรธรรม เข้ามาสถาปนาลงไป หนักมากและเหนื่อย มันเป็นวิบากขั้นของอาตมาที่จะต้องเผชิญกับสิ่งนี้ จะสู้ได้ไหม 

สู้ไม่ได้ก็หมายความว่า คุณไม่สามารถจะประกาศโลกุตรธรรมได้เลย แต่อาตมาสบายมาก สามารถประกาศโลกุตรธรรมได้อย่างอิสระเลย ทุกวันนี้ก็พูดได้สบาย อาตมามีพระไตรปิฎกเป็นหลักฐานอ้างอิงยืนยัน เปิดพระไตรปิฎกยันเข้า มาซัดอาตมา อาตมาก็เปิด พระไตรปิฎกใส่เข้าอย่างนั้นแหละ เขาไม่กล้าแย้งหรอกพระไตรปิฎก นอกจากมีคนดูถูกพระไตรปิฎกด้วย ก็มีเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องพูดเลย คนเหล่านั้นไม่มีอะไรเป็นสิ่งยึดถือเลย 

สู่แดนธรรม... สรุปจบ

ที่มา ที่ไป

650314


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2565 ( 06:29:39 )

650316

รายละเอียด

650316 ตอบปัญหาพาปฏิบัติเป็นลำดับอย่างไม่กดข่ม พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ 

https://www.boonniyom.net/51168.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1j7fsmxFxnPa0eJjys2u3IS-ucJ_parDd3lpU-Y7LZp0/edit?usp=sharing    

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/19lVl9PxKh1uW5bsXJ_ET98M2nWEPghDn/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/zaxLkW69Lkw 

และ https://fb.watch/bNBmSucdSb/ 


 

สมณะฟ้าไท... วันนี้เป็นวันพุธที่ 16 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้สถานการณ์โควิดก็ยังไม่ลดละ พวกเราต้องระวัง โดยเฉพาะที่ราชธานีอโศกเป็นชุมชนใหญ่ มันโจมตีแต่เราก็ระงับได้อย่างรวดเร็ว 

พวกเราจะมีงานปลุกเสกกันวันที่ 3-9 เมษายน 2565 จะมีการสอบปริยัติ ใช้ข้อสอบจากเทศน์ของพ่อครู เริ่มตั้งแต่ 14 มีนาคม 2565  เป็นต้นไป และจากหนังสือรวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร เล่ม 4 หน้า 1-100  

พ่อครูว่า... SMS วันที่ 9 - 10 มี.ค. 2565

 

การไม่ขาดสติกับการทำสมาธิไม่เหมือนกัน แล้วลืมตาก็เกิดสมาธิได้ 

_นายกิตติ จุลกิจ : การลืมตาจะเกิดสมาธิได้ไหมครับ ได้ตรงไหน / การทำสมาธิกับการทำอะไรไม่ขาดสติ มีความหมายเหมือนกันไหม..

พ่อครูว่า...การทำสมาธิกับการทำอะไรไม่ขาดสติไม่เหมือนกัน 

การทำอะไรไม่ขาดสตินั้นเป็นการสำรวมสังวรตน ทำอะไรอยู่ไม่ให้ขาดสติ 

ทีนี้ การทำสมาธินั้น ไม่ใช่มีแต่แค่การสำรวมสังวรไม่ให้ขาดสติอย่างเดียว สมาธิแปลว่าจิตตั้งมั่น โดยเฉพาะของศาสนาพุทธคือ สมาหิโต หรือ สมาหิตะ(เอกพจน์) คือจิต จะเป็นหนึ่ง สะอาดบริสุทธิ์หนึ่งเดียว ตกผลึกลงไปๆ จิตที่จะเป็น สมาหิโต หรือ สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นคือ จิตสะอาดจากกิเลสอาสวะ 

จิตบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ถึงขั้นอุเบกขา บรรลุถึงขั้นฌาน 4 เป็นจิตบริสุทธิ์จากกิเลสแล้ว แล้วก็ตกผลึก สะสมๆๆเข้า เป็น อเนญชาภิสังขาร คือ เป็นจิตที่ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวแล้ว ผนึกเข้า มากเข้า แน่นเข้าๆ อัปปปนา พยัปนา เจตโสอภินิโรปนา บาลีอยู่ในกระบวนการสังกัปปะ7 

การปฏิบัติอยู่เพื่อให้สะอาดจากกิเลสก็คือ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ เมื่อจิตสะอาดแล้วก็สั่งสมตกผลึกลงไป อัปปปนา พยัปนา เจตโสอภินิโรปนา อย่างนี้เป็นต้น ส่วนวจีสังขารนั้นคือ จิตที่ปรุงแต่งให้สะอาดสะอ้านก็ตาม ปรุงแต่งให้มีกิเลสมากก็ตาม ปรุงแต่งให้อภิสังขารจัดการให้กิเลสออกไปจนจิตสะอาด ได้ผลแล้วก็เป็น อภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร เป็นต้น หรืออปุญญาภิสังขาร 

อปุญญาภิสังขาร ไม่ได้แปลว่าอภิสังขารนี้เป็นบาป อปุญญะ ไม่ใช่บุญก็เลยแปลว่าเป็นบาป ถ้าเข้าใจอย่างนี้ยังไม่สัมมาทิฏฐิในศาสนาพุทธ ถ้าขืน บุญ นี่ หมดแล้ว อปุญญะแล้ว ก็ยังวนไปเป็นบาปอีก ไม่จบ ไม่มีการสิ้นอาสวะ สิ้นอย่างไม่หมุนเวียนกลับ มันไม่หมุนเวียนกลับแล้ว บุญ อาตมาใช้ภาษาอังกฤษกำกับว่า One Way Traffic มันเดินทางตรงทางเดียวมันไม่มีโค้งไม่มีงอ ไม่มีโค้งกลับเลย มีแต่ตรงหายไปเลย มีหน้าที่เดียว ฆ่ากิเลสอย่างเดียว ฆ่าได้ไม่ได้ก็หายไปเลย เป็นรายละเอียดลึกซึ้งที่ต้องฟังแล้วฟังอีก 

เพราะฉะนั้นการทำสมาธิของพุทธนั้น กับการทำอะไรไม่ขาดสตินั้นจึงต่างกัน การทำอะไรไม่ขาดสติก็เป็นส่วนหนึ่ง ดี ไม่ขาดสติทำให้จิตตื่น แล้วต้องมีองค์ธรรมอื่นอีกที่จะปฏิบัติเพื่อให้กิเลสลด ทำจิตตื่นเรียกว่า ชาคริยา พากเพียรให้จิตตื่น มันก็ไม่ขาดสติ ให้จิตตื่น รู้เท่าทันสภาพทุกอย่างในทวารทั้ง 6 แล้วก็ ปฏิบัติ โภชเนมัตตัญญุตา หรือสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกรับกลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบโผฏฐัพพะ ทำให้สะอาดบริสุทธิ์ที่ใจ อย่างนี้เป็นต้น

การลืมตาทำให้เกิดสมาธิได้ ..ได้ตรงไหน การลืมตานี่แหละเป็นการทำสมาธิของศาสนาพุทธ การหลับตาปฏิบัติสมาธิเป็นของเดียรถีย์ เป็นของนอกศาสนาพุทธ แต่พุทธก็รู้ พุทธก็ทำได้ พุทธก็เอามาใช้เป็นอุปการะมากด้วยเหมือนกัน ไม่มิจฉาทิฏฐิในการหลับตาทำสมาธิ ใช้ศัพท์ว่า ทำสมาธิ ก็หมายความว่า 

หลับตาแล้วก็คือให้จิตมันเป็นจิตตั้งมั่น จิตสะอาด จิตไม่มีกิเลส ก็ใช้จิตที่ไม่มีกิเลสนั่นแหละในขณะที่หลับตา ตรวจสอบ เตวิชโช เป็นต้น หรือ หลับพักผ่อนเป็นต้น หรืออย่างน้อยที่สุดก็หลับตาแล้วก็ทำงานในจิต กิเลสเรายังไม่หมดไม่สะอาดสั่งสมลงเป็นสมาธิ เมื่อไม่มีอะไรกระทบสัมผัสในทวารอื่นข้างนอก ก็เหลือแต่ทวารใจ ก็ตรวจอาการของจิตในความจำไม่ใช่ความจริง 

จิตที่หลับตาแล้วเป็นจิตที่มีความจำไม่ใช่จิตที่มีความจริง ความจริงต้องมีปัจจุบันชาติ ตากระทบรูปในปัจจุบันนี้ หูกระทบเสียงในปัจจุบันนี้ ทวารทั้ง 5 กระทบสัมผัส รับรู้อยู่ในปัจจุบันเป็นวิญญาณฐิติ ถ้าไม่มีการลืมตาสัมผัสรู้ข้างนอกโดยพร้อมไปกับอาโลก มีแสงสว่าง รู้ร่วมกับคนอื่นเขา ไม่เรียกว่าเป็นความจริง แต่เป็นความจำส่วนตัว ของใครของมัน คนอื่นไม่รู้ด้วยเรา แต่ลืมตานี้ รู้ร่วมกันได้สัมผัสร่วมกันได้ มันต่างกันอย่างนี้ 

 

(พ่อครูไอตัดออกด้วย)

สมณะฟ้าไท... พวกเราฝึกลดอบายมุขกันมาก่อน เช่นการแต่งหน้าแต่งตา เป็นต้น ตอนนี้ไม่มีแต่งหน้าแต่งตาก็รับรู้ได้ด้วยกันร่วมกันแต่หากหลับตาก็ไม่ได้รู้ร่วมกัน

 
_Danuthum Virulhsirikul (ดนุธรรม วิรุฬห์ศิริกุล) :  "กราบนมัสการ".พ่อท่าน.. ด้วยความเคารพอย่างสูงครับ...ใครก็ตามถ้าได้มาประพฤติปฏิบัติ"ธรรม"..ในสันติอโศก..ถือได้ว่ามีกุศลเก่าอยู่มาก..แต่บางคนเข้ามาแล้วก็หลุดไปก็มีเพราะ...ยังมีความต้องการ"แบบโลกียะ" ที่เขาเป็นกัน...อยากมีสิ่งนั้นสิ่งนี้สารพัดโดยเฉพาะ"เด็กวัยรุ่น" ในสันติอโศก.. ใครไม่มี "กุศลเก่า" ที่ข้ามภพข้ามชาติมาจริง ก็จะอยู่ไม่ได้.. ต้องหลุดออกไปด้วยกิเลสทางโลก"ตามวัยของเขา" ต้องใช้ความอดทน ทางใจ และหยุดสิ่งที่ยั่วยวนทางใจ..ไม่ให้หลงไหลไปตามเพื่อนเพื่อน ที่อยู่ในทางโลกโลก...เด็กเด็กจงภูมิใจเถิด..ว่าพวกเราโชคดีที่สุด..ที่ได้มาอยู่ในดินแดน"พระโพธิสัตว์" ที่มีแต่ความร่มเย็นช่วยเหลือกันเกื้อกูลกัน..ด้วยความจริงใจต่อกันจนวันตาย..ขออนุโมทนาบุญ.. กับทุกผู้ทุกนาม.. และทุกสาขาของสันติอโศก.. ครับ

พ่อครูว่า... ก็จริงทุกอย่างที่คุณดนุธรรมพูด จะไม่ขยายความต่อ 

 

_วรรณทนา หอมเลิศ : เหตุที่ไม่เข้ามาสันติอโศกเต็มตัวเพราะอุบัติเหตุร่างกาย ไม่พร้อม แต่ใจพร้อม ติดตามตลอด ปฏิบัติได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ไม่อยากทำบาปและเบียดเบียน

พ่อครูว่า...เอ้า ก็พากเพียรไป

 

_ฝนเอื้อฟ้า : ปัญญาพุทธที่เหนือ ศาสดาทั้งหลายข้อนี้ ลึกซึ้ง น่าคิดค่ะพ่อครู 

 เฉโกในตนเอง เป็นความหน้าด้านน่ารังเกียจจริงค่ะ คนที่จะเป็นสัญชาติคนตรง สง่างามเสมอ แม้ใครในโลกจะเคยฆ่าคน ทำร้ายคน ยังไม่เลวร้ายเท่าจิตไม่มีสัญชาติคนตรง ตัวอย่างท่านองคุลิมาลคือ สัญชาตญานจิตแห่งสัญชาติคนตรง = ปัญญาสูง น่าเป็น หายาก กราบสาธุค่ะ

 

_จนให้เป็น แล้วสบาย : กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งครับ คนที่กล่าวตู่ว่าพ่อครูสอนผิด และเป็นพวกนอกรีต พากันร่วมทำปกาสนียกรรมพ่อครู จนทำให้คนเขาเสียโอกาสที่จะได้รับธรรมที่แท้จริงทั้งประเทศ เพราะเชื่อว่าท่านผิดตามที่เขาประกาศจะบาปมากไหมครับ เพราะผมเห็นว่าคนส่วนมากเสียโอกาสเพราะเรื่องนี้เยอะ แทบทั้งประเทศเลยครับ

พ่อครูว่า... ที่จริงอาตมาลาออกมาจากหมู่ใหญ่ เป็นนานาสังวาสกันแล้ว แต่หมู่ใหญ่เขาก็ทำผิดพระวินัยข้อที่เอาต่างนิกายมารวมกันทำสังฆกรรม ใครสงสัยอย่างไรไปอ่านในหนังสือ ประนีประนอมกันด้วยนานาสังวาส ที่อาตมาเขียนไว้ อาตมาไม่ได้ตั้งใจไปถล่มทลายเขา เพราะเข้าใจอยู่ว่า จริงๆแล้วจะให้ มหาเถรสมาคมหยุดล้มเลิกไปทั้งกระบวนการมันทำไม่ได้หรอก เพราะว่า โดยบริบทของสังคมชาวพุทธไทยทุกวันนี้ มันจะต้องอาศัย Status quo อันนี้ จะต้องอาศัยความเป็นจริงที่ตั้งอยู่อันนี้ขณะนี้ปัจจุบันนี้ เป็นความรู้ความเข้าใจประมาณนี้ แล้วอนุโลมปฏิโลมกันไปก่อน จะดึงขึ้นมาหาโลกุตรธรรมอย่างที่อาตมาทำอย่างนี้ได้ดึงอย่างไรก็ทำไม่ได้ มันไปจับยัดเยียดบีบบังคับเป็นไปไม่ได้หรอก จะนวดมะม่วงให้รีบสุกก็เละคามือเท่านั้นเอง ดอกไม้จะบานก็ให้มันบานเอง ไม่ใช่ไปรีบคลี่กลีบให้มันบานออก หลุดหมดพังหมด ไม่เป็นธรรมชาติ 

 

_พลังเพ็ญ คำด้วง : กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพค่ะ ปัญญา8 ประการที่พ่อครูนำมาเทศนาให้ฟังลึกซึ้งยิ่งนัก ขอบพระคุณค่ะที่นำมาขยายให้ลูกๆได้ฟัง เข้าใจมากขึ้น จะพยายามนำมาปฏิบัติค่ะ โดยเฉพาะคำว่า ละอายอย่างแรงกล้า ต่อสิ่งที่พ่อครูเทศน์แล้วเราก็ยังทำผิดอยู่จะพยายามแก้ไขให้ดีขึ้น กราบสาธุด้วยความเคารพค่ะ

พ่อครูว่า... ยังไม่หมดนะ อาตมาเขียนเล่ม 2 อยู่ รอคิวอยู่ มี รวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไรเล่ม 5 ถึงจะเป็นคิวของปัญญา 8 เล่ม 1 ก็เขียนกำกับไว้ว่า ไม่แก้อีกแล้ว 

 

ต้องวนอีกนานหากแยกโลกียะโลกุตระไม่ออก

_เดชา อำพร : ชาวพุทธภายนอกหรือสำนักอื่นๆมองต่างมุมกับอโศก..เรื่องผู้หญิงแต่งหน้าหรือทาลิปสติกนั้น คือชาวพุทธทั่วไปเขาไม่ได้มองว่าแต่งหน้าหรือทาลิปสติกเป็นอบายมุข แป้งตลับหนึ่งก็ใช้ได้ตั้งนาน ลิปสติกหลอดหนึ่งก็ใช้ได้นานโข แต่เขามองว่าการแต่งให้สวยหรือดูดีเป็นฐานกามคุณ หรือฐานโลกธรรม..แต่สำนักทั่วไปเขายังไม่ค่อยจะได้เน้นฐานสกิทาคาหรืออนาคา ที่ต้องละทั้งกามคุณและโลกธรรมหรอก เขาเน้นเรื่องระดับศีล5เป็นหลักเท่านั้น..และเขาไม่ได้มองว่าการแต่งให้ดูสวย,ดูดีเป็นอบายมุขหรือฐานโสดาบัน(มันเป็นคนละทัศนะ) ซึ่งเราว่าของเขาก็ไม่ผิด แม้แต่คำว่าโสดาบันเขายังไม่นิยมพูดถึงเลย..เขาไม่ได้มองเรื่องติดสรรเสริญ,ติดกามด้วย เขามองว่ามันยังอีกไกล พอจะมาให้นั่งสมาธิเขาก็อาจจะตั้งนโม3จบ แล้วก็ให้กล่าวคำขอศีล 5 เป็นหลัก ซึ่งเขาก็ไม่ได้พูดอะไรกันมาก เพราะถือว่าทุกคนก็พอรู้เรื่องศีล 5 อยู่แล้ว..และเขายังมองอีกว่าเมื่อให้มานั่งสงบทำเจโตสมถะหรือทำสมาธิหลับตาแล้ว คุณจะไปทำผิดศีล 5 ได้ที่ไหน ศีลข้อ1เอามือวางบนหน้าตัก,ขาก็ขวาทับซ้าย,มือก็ขวาทับซ้าย แล้วจะไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตได้ที่ไหน?..

พ่อครูว่า... คุณคงวนอีกนาน คุณแยกไม่ออกเลยว่า ควรจะเอาโลกียะหรือโลกุตระ ถ้าเขาไม่เอาโลกุตระ อาตมาก็ไม่มีปัญหาอะไร แล้วอาตมาก็ไม่ได้ไปย่ำยีเขา เขาไม่เอาโลกุตระก็เรื่องของเขาไปสิเขาทำของเขาอยู่แล้ว แต่อาตมาพูดถึงชาวพุทธ ควรจะต้องได้โลกุตระ ควรจะมาเอาโลกุตระ ไม่เช่นนั้นคุณจะวนเวียนอยู่ในโลกียะ แม้อย่างเก่งคุณก็สูงขึ้นได้เป็นแค่ศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งของศาสนาเทวนิยม แล้วไม่มีความเที่ยง เป็นสมบัติผลัดกันชม เสร็จแล้วคุณก็จะต้องเลื่อนลงต่ำ คนอื่นก็แย่งขึ้นไปเป็นศาสดา ในวงกลุ่มของคุณเองในแต่ละนิกาย ศาสนาเทวนิยมแต่ละนิกายแต่ละพวก คุณก็จะวนแย่งกันไปเอง วนตกต่ำขึ้นสูง เหมือนโลกโลกีย์เขาแย่งกัน ไม่มีวันจบ 

เพราะฉะนั้น ศาสนาที่เป็นโลกียะนั้น มันเป็น สมบัติผลัดกันชมที่ตกนรกขึ้นสวรรค์ ขึ้นสวรรค์ตกนรก ตกนรกขึ้นสวรรค์ไม่มีจบ มีแต่วิบากกรรม เทวนิยมไม่รู้เรื่องกรรมวิบาก ไม่ชัดเจนเรื่องกรรมเป็นของตน ตนเป็นทายาทของกรรม กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ 

เขาเข้าใจแต่ God ซึ่ง God ของศาสดาแต่ละองค์ก็สอนเป็นชุดของแต่ละศาสนา ซึ่งจริงๆแล้วศาสดากับ God นั้นอันเดียวกัน แต่ศาสนาเทวนิยมไม่รู้ตัว ว่าความรู้นี้คือของตัวเองเพราะไม่เข้าใจกรรมวิบาก ที่ตนเองได้สั่งสมมา จนได้เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งเขาไม่รู้ นี่คืออวิชชาที่ซับซ้อน มันไม่เที่ยง แต่เขาคิดว่าเที่ยง แต่มันไม่มีเที่ยงโดยสัจจะ แต่เขายึดของเขาเองว่า เขาเที่ยงจริงๆเลย 

จริง พยัญชนะ ที่สอนกันถือกันที่บันทึกกันอยู่ อาจมีอยู่ แต่แม้แต่พยัญชนะ มันก็ไม่ได้คงที่ ก็มีคนอธิบายผิดเพี้ยนเลอะเทอะไปบ้างด้วยได้ มันก็ไม่เที่ยงอยู่ดี ยิ่งยุคนี้ ความหลากหลายมีเยอะ แต่ก่อนนี้เขาไม่ได้บันทึกแบบเทคโนโลยีอะไรอย่างนี้ ดูเหมือนมันจะอยู่เที่ยงกว่า มันจำกันแม่นกว่า แล้วก็มีการสังคายนากัน มาตรวจสอบกันมันก็จะคม แต่เดี๋ยวนี้ต่างคนต่างบันทึกไปหลากหลายมากมาย ใครจะเอาอย่าง Google ก็เอาอย่าง Google ใครจะเอาอย่างวิกิพีเดียก็เอาอย่างวิกิพีเดีย หรือใครจะเอาอย่างหัวเหว่ย Android 

ที่บอกว่าหลับตาแล้วจะไปทำผิดศีลตรงไหนมันก็เป็นสมาธิแล้ว ความสะอาดไม่ได้หมายความตื้นๆอย่างคุณว่า ที่คุณหลบอยู่ในถ้ำแล้วไม่ได้เกี่ยวข้องกับใครเลยและบอกว่าคุณสะอาด อย่างนั้นมันตีขลุมเอาง่ายๆ 

ความสะอาดของพุทธเป็นปรมัตถธรรม จิตของคุณที่สะอาด เรียกว่า ปริสุทธา จะมีสัมผัส ตาหูจมูกลิ้นกายไปสัมผัสกับโลกธรรม แต่จิตของคุณก็สะอาดเรียกว่า บริสุทธิ์ ไม่มีเปลี่ยนแปลง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) จิตจะเป็นอยู่เช่นนั้นตลอดกาล นี่คือความเที่ยงแท้ของคุณสมบัติที่ได้แล้วมีศีลเป็นปกติ แต่คุณอย่าเพิ่งไปตีกินง่ายๆตื้นๆ ไปมัดมือแล้วจะไปตีใครได้ คิดง่ายๆตื่นๆแบบนั้นมันไม่ใช่ 

คุณอิสรเสรีภาพนี่แหละแต่คุณไม่ไปตีใคร อย่าว่าแต่ตีใคร ใครมาตีคุณ คุณก็ไม่ตีตอบ เขาทำร้ายคุณ คุณไม่ทำร้ายตอบเลยด้วยซ้ำ นี่คุณสมบัติมันสูงส่งไปถึงขนาดนั้น 

สู่แดนธรรม... ที่พ่อท่านจะหมายให้บริสุทธิ์ ต้องมีเหตุปัจจัยกระทบใช่ไหมครับ 

พ่อครูว่า... ใช่ ทุกอย่างต้องมีผัสสะเป็นปัจจัยอยู่ตลอด ยิ่งแข็งแรงเหตุปัจจัยที่จะมา กระทบกระทุ้งกระแทกคุณก็จะยิ่งแรง ยิ่งจะทดสอบคุณไปสูงขึ้นๆ นี่เป็นสัจจะ ตามบารมีด้วย สู้ได้คุณก็ชนะ  สู้ไม่ได้คุณก็แพ้ 

ก็ศึกษาให้ดีๆ สำหรับคุณคงจะนานพอสมควร ก็พูดไปแล้ว 

 

SMS วันที่  11-12 มีนาคม 2565

 

_ซึ้งซื่อ วิเชียรครับ : กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรสุดเกล้า ผมได้ ออเดอร์ ผัก สบู่เหลว กับแชมพูมาใช้ครับ เพื่อต้องการมีส่วนร่วมกับญาติธรรมชาวบ้านราชเพื่อสนับสนุนการเป็นอยู่กับกัมมัญญาครับ ผมทำแบบนี้ จะได้(กุศล)มากไหมครับ

พ่อครูว่า...ก็สะสมกุศลเป็นสมบัติไปตามลำดับฐานะ 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สมณะฟ้าไท... ตอนนี้ banraj shop ก็ปิดสั่งผักก่อน เพราะคนเขาเชื่อมั่นในความเป็นผักไร้สารพิษของที่นี่ 

 

อยู่แบบกดข่มกรรมใครกรรมมันไม่ใช่แบบพุทธ

_ไพรดอกหญ้า มั่นคง : กราบนมัสการค่ะพ่อท่าน.ที่เคารพและศรัทธายิ่ง.ลูก ๆ ฝึกอยู่อย่างไรใจจะไร้ทุกข์ อยู่แบบกรรมใครกรรมมัน ไม่เอาใจไปเกาะเกี่ยวกับใครใจเราจะได้ไม่ทุกข์.ถูกมั้ยค่ะพ่อครู

พ่อครูว่า...ไม่ถูกหรอก แบบนั้นก็คือพวกเชน พวกหนีจากโลก - ไปไม่เกี่ยวกับใครเลย เอาตัวเองไปทิ้งเป็นเศษขยะรอวันตายไป ก็กินน้อยนะพวกเชน กินน้อยใช้น้อย อาศัยให้ชีวิตหายใจไป อะไรก็ไม่เอาทั้งนั้น นอนกรนไม้นอนพื้นดินไป เสื้อผ้าหน้าแพรไม่เอา เครื่องไม้เครื่องมือไม่ใช้ ผมก็ถอนเอา แม้แต่มีดโกนก็ไม่ใช้ เลือดโซมเลย เขาก็ทนได้ โอ้โห สุด ทุกรกิริยา ฝึกอดทนจริงๆเลย ผ้าผ่อนไม่นุ่ง นุ่งลมห่มฟ้า

เป็นการกดข่มอดทนที่สุด ไม่ใช่วิธีการของศาสนาพุทธที่ให้เรียนรู้ตัวกิเลส ให้เกิดปัญญาเป็น อุณหธาตุ มีฤทธิ์พิเศษที่ละลายกิเลสได้จริงๆ ฉะนั้นการสร้างปัญญาพลังงานจิตให้เกิดปัญญา จึงเป็นสุดยอดของการสร้างพลังงานในโลก 

เพราะฉะนั้นพลังงานนิวเคลียร์ที่เขาใช้อยู่ทุกวันนี้ มันก็เป็นของหยาบทั้งนั้น แต่พลังงานของพระพุทธเจ้าที่ให้สร้างปัญญาเป็นของละเอียดลึกซึ้ง มีประสิทธิภาพที่ทำให้กิเลสดับได้ ลูกระเบิดปรมาณูระเบิดนิวเคลียร์ ดับกิเลสไม่ได้หรอก คิมจองอึนคิดไปได้ขนาดไหนก็ไม่รู้ ก็ไม่มีทางดับกิเลส 

 

_1945 อยากให้มีสื่อการ์ตูน

พ่อครูว่า...เราไม่มีคนทำ แม้แต่หนังสือเดี๋ยวนี้ก็ลดลงเยอะแล้ว ยิ่งจะทำให้เป็นอนิเมชั่น กระดุกกระดิกได้เราไม่มีแรงงานพอ ไม่มีคนทำพอ เอาคนจริงๆก็มีเหลือแหล่อยู่แล้วตามลำดับ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ไม่ต้องทำเป็นการ์ตูนหรอก พยายามทำตัวเองให้โตขึ้นมาอย่าเป็นเด็กต่อไปอีกนักเลย 

 

_จนให้เป็น แล้วสบาย : กราบนมัสการพ่อด้วยความเคารพยิ่งครับ ผมอยากรู้ว่าความรู้ ความฉลาด ที่มาจากเนื้อสมอง กับความรู้ที่เป็นปัญญาที่เป็นปรมัตถ์ที่ทำให้รู้แจ้งเห็นจริงมาจากเนื้อสมองเหมือนกันไหมครับ

ที่มา ที่ไป

650316


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2565 ( 21:09:23 )

650318

รายละเอียด

650318 ตำนานพญานาค ตอนที่ 2 พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ

 https://www.boonniyom.net/50664.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1wUotnO1z0r188cRu0LiON5OuN4J6JC8w6MGqmHniWxo/edit?usp=sharing   

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1rhf0QXa8dIykx6jdVJUmR44gbqXiPGI4/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/bQejfXu4no/ 

และ https://youtu.be/4Ru-cqMAekI 


 

สมณะเดินดิน...วันนี้ เป็นวันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ข่าวที่ดังในประเทศไทยคือข่าวแตงโมกับข่าวสงคราม แต่ข่าวแตงโมจะมากกว่า 

ทุกวันนี้คนก็จะไปหลงเชื่อข่าว จริงหรือไม่จริงเต็มไปหมดในสังคม จนเกิดเป็นอุปาทานในสังคม เช่นเดียวกับความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมต้องนั่งหลับตา พูดกันมาหลายพันปี ก็เลยทำให้ยึดถือกันมาอย่างนั้นตามกันมา จึงเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าความเชื่อเรื่องโลกกลม โลกแบนอีก จะทำให้คืนกลับมาอย่างถูกต้องจึงเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย

มีอีกเรื่องหนึ่งที่จะมีผลกระทบกับพวกเราคือ ศบค. แถลงการณ์ 1 กรกฎาคม จะมีการปรับให้ไวรัส covid เป็นโรคประจำถิ่น คนก็อาจจะเข้าใจผิดว่า ไม่ต้องสวมแมส ไม่ต้องตั้งการ์ดอะไรแล้ว ซึ่งตอนนี้เป็นช่วงต่อสู้ ทำสงครามกับไวรัส covid อยู่ 

ตัวเกณฑ์การตัดสินว่า ถ้าสามารถทำให้อัตราการตายน้อยลงกว่า 0.1 เปอร์เซ็นต์ คนสูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่มีโรคประจำตัวด้วยต้องฉีดวัคซีนให้เกิน 70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่ได้ตามเป้า เหลืออีกหลายล้านคนยังไม่ได้ฉีด ก็ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของสังคมไทยกัน ก็อยากให้เชื่อทางหมอมากกว่า มีหมอศิริราชให้ข้อมูลมาว่าผู้ที่ป่วยโควิตแล้วต้องอยู่ใน ICU ก็เป็นผู้สูงอายุที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนเป็นส่วนใหญ่ ที่สันติอโศก รวมยอดคนที่ติด covid มีถึง 62 คนแล้วตอนนี้ รวมทั้งที่ไปทำงานจตุจักรรวมทั้งที่อยู่ในวัดด้วย ที่ศีรษะอโศก ติดกันประมาณ 1 โหล ของเราราชธานีอโศกติดเพียง 1 คน มีคนตั้งข้อสังเกตว่า บ้านราชอากาศถ่ายเทดี 

ที่อุบลฯ ยอดติดเชื้อวันละ 2,000 กว่า ยังพุ่งขึ้นสูงเรื่อยๆ นิวไฮทุกวัน พวกเราจึงต้องให้ความระมัดระวังต่อไป ไม่มีอะไรจะดีที่สุดเท่ากับการเข้าหาความจริง ในโลกนี้ ความไม่จริงเยอะ ที่เข้าสู่ความพ้นทุกข์ 

 

พ่อครูว่า... ขอโอภาปราศรัยกับ SMS 

SMS วันที่  16-17 มีนาคม 2565

 

ขวัญ เขตบุญ : น้อมกราบนมัสการ พ่อครู ด้วยความเคารพบูชายิ่งค่ะ กราบนมัสการ ท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุ ทุกรูป ทุกบวร ด้วยความเคารพค่ะ เจริญธรรม อ.แป้ง และญาติธรรมทุกท่านค่ะ ลูกได้ยินเสียงพ่อครูไอคราวใด ลูกจะถามตัวเองทุกครั้งว่า ลูกติดอะไรอยู่ ลูกจะพยายามเข้ามาอยู่ กับเพื่อนพ้องน้องพี่ให้ได้ ค่ะ

พ่อครูว่า...ก็เอาใจช่วย 

_โอ๋ บัวกรุ่นบุญ : ขอชื่นชมทีมจัดโต๊ะพ่อครูเทศน์ค่ะ จัดได้สวยงามแบบโลกุตระมาก มีความคิดสร้างสรรดีจังค่ะ ทำให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหาร แถมได้เผยแพร่สัจธรรม อาหารเป็นหนึ่งในโลก ,คนฉลาดสร้างอาหาร และยังเป็นการย้ำยืนยันความสำเร็จที่พ่อครูพาทำเรื่องกสิกรรมไร้สารพิษ อย่างเห็นเป็นรูปธรรมค่ะ เห็นแล้วรู้สึกมีชีวิตชีวา ประทับใจมากค่ะ

พ่อครูว่า...ย้ำ โชว์เสียเลย พ่อครูนำมะเขือ มีสองสี สีเขียวกับสีคั่ง อีกอันคือกระเทียมปุ๊ก ที่มัดเป็นพวง ส่วนอันนี้ ฟักทองลูกใหญ่ (ส.เดินดินยก) อาตมานึกถึง สมัยทำงานที่โทรทัศน์ มีการจัดประกวดลูกฟักทอง ตอนนั้นลูกมันใหญ่กว่านี้ เท่าถาดนี้เลย แถมเขาเอามาประกวดแล้ว เราก็จะดูทั้งผิวพรรณทั้งเนื้อใน ทั้งน้ำหนัก คนประกวดก็แหม เขาฉีดน้ำเข้าไปในฟักทอง ส่งมาประกวด เราก็ดูแล้วทำไมกระฉอกข้างใน ก็ผ่าดูมีน้ำในนั้น เพื่อเอาน้ำหนักเพิ่ม 

อันนี้ เป็นธรรมชาติของพวกเราแต่ยังไม่ใหญ่เท่าที่ในยุคอาตมาประกวดทางโทรทัศน์ อาตมาประกวดสารพัดประกวดหมู ประกวดหมา ประกวดแมว ประกวดพืชผักรากไม้ รายการสิงสาราสัตว์ 

วิธีทำให้ฟักทองลูกใหญ่คือ ปลูกฟักทองหลายๆต้น เสร็จแล้วเอามารวมกันเอามาเชื่อม เพราะว่ามันสามารถทำได้ เอามาต่อกัน เป็นจุดเดียวกัน เสร็จแล้วมันก็จะเจริญ ออกลูกมาก็ตัดลูกอื่นทิ้งหมดเหลือเพียงลูกเดียวที่ดีที่สุด ให้ทุกๆเถาของฟักทองนำอาหารมาเลี้ยงลูกเดี๋ยวนี้ มีแม่เป็นสิบๆเถา มีลูกๆเดียว ใหญ่ กว่าจะหมดอายุเถาฟักทองก็ได้ลูกเบ้อเร่อเลย 

 

_ตุ๊ก อัศวิน  · น้อมกราบ._/\_.พ่อครู สมณ สขม ทุกรูป ด้วยความเคารพยิ่ง..เจ้าค่ะ

โยมประทับใจหัวข้อธรรม "4ให้ ไม่6" และจะน้อมนำไปปฏิบัติ..เจ้าค่ะ

โดยเฉพาะข้อสุดท้าย "ไม่สรุปกิเลสของผู้อื่น" กราบสาาาธุ..เจ้าค่ะ

 

4 ให้ ไม่ 6 คือหลักสูตรการปฏิบัติ ที่อาจารย์1 สมณะบินบน ถิรจิตโต ใช้สำหรับฝึกฝนให้ญาติธรรมที่มาเข้าคอร์สมหัศจรรย์ เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนรับใช้

** 4 ให้ ไม่ 6  หรือ บางทีก็ใช้เป็น 4 พร้อมล้อม 6  คือ 

1) พร้อมให้เวลา 

2) พร้อมให้ความเข้าใจ 

3) พร้อมให้อภัย ไม่ถือสา 

4) พร้อมให้ความร่วมมือ

** ล้อม6 (หรือไม่6) คือ

1) ไม่แนะนำสั่งสอนใคร (ยกเว้นเขาต้องการและขอเราก่อน)  

2) ไม่พูดข้อบกพร่องของผู้อื่น ยกเว้นของตนเอง 

3) ไม่พูดข้อดีของตนเอง จะพูดข้อดีของผู้อื่น 

4)ไม่ด่วนปฏิเสธ แต่ให้รับไว้พิจารณาก่อน 

5) ไม่ด่วนชี้แจงโต้แย้งหรือโต้เถียง เมื่อมีคนติเตียนให้ขุมทรัพย์ 

6)ไม่ด่วนสรุปกิเลสคนอื่น

 

(พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะเดินดิน... คำแนะนำของอ.1 คือฝึกคนในเบื้องต้น ให้หันมามองตน ให้เป็นหลัก 

 

คนกินมังสวิรัติต้องเลิกคบคนกินเนื้อสัตว์หรือไม่

_คุณ cbim cbim ฝากคำถาม ให้พ่อครู ตอบครับ

1. หมอเขียว บอก คนพาล คือ คนไม่มีศีล 5 ไม่ควรคบ แต่พ่อครู บอกว่า คนส่วนใหญ่ ในโลกโลกีย์ ไม่มีศีลข้อ 1 เพราะกินเนื้อสัตว์  ดังนั้น เราไม่ต้องคบใครในสังคมเลยเหรอครับ ตามมงคล 38 ประการ (พ่อ แม่ พี่น้อง ก็ยังกินเนื้อสัตว์อยู่)

พ่อครูว่า... จะพาซื่อถือเคร่งขนาดไหนก็มีอยู่ที่จริตของใครก็แล้วกัน คุณจะถือเคร่งขนาดไหนก็ตามใจ จะถือเคร่งขนาดที่คุณจะทำอย่างนั้นเลย อาตมาไม่ได้บอกถึงขนาดนั้นก็พูดถึงนัยยะสำคัญไป 

ที่พูดว่าคนไม่กินเนื้อสัตว์ คนนี้มีภูมิปัญญาพอ ถือศีลข้อ 1 ถ้ามีความรู้ทาง อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิมุติพอ เขาไม่กินหรอกเนื้อสัตว์ ไม่กิน โดยเฉพาะความรู้ทางวิทยาศาสตร์ว่าสัตว์ไม่ใช่อาหารของคน ทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ 

รายละเอียดลึกๆ น้ำย่อย ของคนก็เป็นน้ำย่อยที่ย่อยพืชเป็นหลักแต่ก็ย่อยสัตว์ได้ด้วยเท่านั้นเอง นอกนั้นพิสูจน์ได้ ภายนอก คนเป็นสัตว์ที่มีเล็บเป็นกีบ มีฟันกรามก็เป็นฟันบดไม่ใช่ฟันเขี้ยวฉีกเหมือนสัตว์กินเนื้อ ลำไส้ก็ยาว อะไรต่างๆนานา 

การกินน้ำของสัตว์กินเนื้อกับสัตว์กินพืช ก็จะมีลักษณะต่างกัน สัตว์กินเนื้อ เวลากินน้ำจะเลีย ส่วนสัตว์กินพืชเวลากินน้ำจะดูดเอา เห็นไหมแค่นี้ธรรมชาติลึกซึ้งไหม  มันต่างกัน รายละเอียดมีอีกเยอะแยะ 

ก็คุณจะเคร่งขนาดไหนก็แล้วแต่

 

สายเลือดทางธรรมยั่งยืนกว่าสายโลหิต 

2. พ่อครู ทำใจ อย่างไร ตอนพ่อแม่ เสีย และพ่อครู ทำใจตัดญาติทางสายเลือด ได้อย่างไร ถ้าจะมาทางโลกุตระ (ทุกวันนี้ ญาติทางสายเลือด พ่อครู เป็นอย่างไรบ้างครับ)

พ่อครูว่า... แม่อาตมาเสีย อาตมาไม่มีเวลารู้สึกอะไร เพราะอาตมาเรียนอยู่กรุงเทพฯ แม่เสียอยู่ที่อำเภอวารินนี่แหละ แล้วก็เผาเรียบร้อย เขาถึงส่งรูปมาให้ดู แล้วบอกว่าแม่เสียแล้วแก่อาตมา อาตมาก็เลยไม่มีเวลารู้สึกว่าแม่เสียหรืออย่างไร ก็ห่างเวลาไปเป็นเดือน เขาก็คงจะรู้ว่าไม่ควรจะต้องไปบอกอะไรมากมาย 

ส่วนตอนพ่อเสีย ก็โตแล้ว ปฏิบัติธรรมแล้ว ก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก 

เรื่องพ่อเสียแม่เสีย ก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไร รู้ว่าเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ทุกอย่างไม่มีอะไรไม่พรากจากกัน มันก็ต้องพรากจากการหมุนเวียนกันไป ถ้ายังมีวิบากต่อไปต้องมาเจอกันอีก  ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่ว่าจะเป็นวิบากทางปฏิฆะหรือวิบากทางรักทางผูกพัน 

ถ้าจะมาทางโลกุตระจะตัดญาติทางสายเลือดได้อย่างไร 

ญาติทางสายเลือดอาศัยกันเกิด  มันก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับญาติทางสายธรรม สายธรรมนี้ยิ่งใหญ่กว่าสายเลือด สายเลือดเป็นโลกียะธรรมดา ผูกพันทางสายเลือด แต่สายธรรมนี้ ลึกซึ้งยิ่งใหญ่มาก อาตมากับพระพุทธเจ้าเป็นญาติสายธรรมกันเลย เป็นพ่อเป็นลูก เห็นไหม ไม่ได้เกี่ยวทางสายเลือดเลย แต่ลึกซึ้ง ยิ่งใหญ่กว่ากันเยอะ 

อย่างพวกคุณที่มานี้ คุณว่ามาทางสายเลือดหรือสายธรรม ก็มาทางสายธรรม ทางสายเลือดอาตมาเขาก็เข้าใจ ตอนนี้แก่กันแย่แล้วก็เลยไม่ค่อยจะมากัน คนเล็กสุดตอนนี้ ก็ อายุ 70 กว่าแล้ว บัวบูชาก็ 80 กิ่งรักก็ 85 ส่วนนายฟ้า น้องชาย อยู่อเมริกาไม่ได้มีข่าวคราวอะไรเลย เขาก็คงจะไปเรื่องของเขาไป ไม่ส่งข่าวส่งคราวอะไรเลย ก็เหลือแต่ผู้หญิง 3 คน 

มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน อาตมาเป็นคนที่ 1 มีน้องสาวน้องชายอย่างละ 3 ผู้ชาย 3 คนเหลืออยู่คนเดียว กับอาตมาเป็น 2 น้องชายก็คนติดกันกับอาตมา ก็เสียไปแล้วไปเผาที่ปฐมฯอโศก น้องชายคนเล็กก็เสียที่ปฐมอโศกเผาที่ปฐมฯเหมือนกัน นายด้าว นายชาติ ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ที่เมืองกาญ สุดท้ายก็ตายที่โน่น 

ก็ยังเหลือผู้หญิงอยู่ ยังไม่มีปัญหาอะไร เขาก็พยายามมา แต่อย่างไรไม่รู้ก็บังคับกันไม่ได้ อาตมาไม่ได้ไปบังคับนะ เขารู้เองก็มาเอง ตอนนี้รู้ว่าไม่เหมือนก่อน แต่ก่อนนี้มาบ่อยแต่เดี๋ยวนี้แก่แล้วก็ไปมายาก เรื่อง covid ด้วย ก็เลยมีเหตุปัจจัยต่างๆ 

จริงๆแล้วเรื่องของจิตวิญญาณ มันเหนือชั้นกว่าอะไร ศึกษาดีๆเถอะ

 

พลังงานวัตถุกับพลังงานจิตวิญญาณต่างกัน

3. ในทางวิทยาศาสตร์ ผีเป็นพลังงานรูปแบบหนึ่ง ทำไมถึงมีรูปถ่ายวิญญาน + คลิปติดวิญญาน ตามงานศพต่าง ๆ โดยเฉพาะวิญญาณ ที่ไปแบบ ไม่สงบ  เช่น ดาราสาวนั่งเรือตกน้ำ (ทั้ง ๆ ที่พ่อครู บอกว่า วิญญานไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า)

ขอบคุณครับ

(พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะเดินดิน... สังคมที่มีความรู้เยอะ สุดท้ายก็ใช้ความเชื่อของตัวเองเป็นหลัก ไม่ได้อิงวิทยาศาสตร์ ไม่ได้อิงกับความรู้ที่มีอยู่ในโลกนี้

พ่อครูว่า... จริงๆ เป็นเรื่องของพลังงาน พลังงานทรงสภาพ อย่างเช่น กล้องที่ถ่ายคนในที่มืด เขาก็ใช้พลังงาน เรียกว่า กล้องอินฟาเรดหรืออย่างไร ถ่าย พลังงานสะท้อนเข้ามีสภาพจับกลุ่มก็เป็นกลุ่ม มันไม่มีรายละเอียดมากมายหรอก ก็ไม่เคยเห็นว่าถ่ายเป็นภาพสีด้วยนะ ถ่ายได้เป็นภาพขาวดำ 

สรุปเนื้อหาสาระให้ฟัง คุณไปหลงพลังงานนั้นว่าเป็นนามธรรม แยกจิตวิญญาณกับพลังงาน ที่เป็นรูป เป็นอรูปให้ออก พลังงานกับสสาร มันก็เป็นดินน้ำไฟลม วัตถุ แต่นามธรรม มีจิตวิญญาณเข้าไปร่วมด้วย รูปเหล่านั้น มันมีจิตวิญญาณอยู่มันก็เลยเคลื่อนไหว ที่เขาถ่ายได้ เท่านั้นเอง อย่าไปสนใจมันมากเลยเรื่องพลังงานสสารที่เป็นวัตถุ มันเป็นไปอีกรายละเอียดเยอะทางวิทยาศาสตร์เอามาใช้ประโยชน์ก็ทำไป 

แต่เราศึกษาพวกนี้ให้มุ่งมาหานิพพาน ไม่งั้นเสียเวลา มันมีอะไรประหลาดอีกเยอะแยะที่คุณจะติดหลงใหลในสิ่งเหล่านั้น 

 

มีอะไรอีกอันมา 2 หน้ากระดาษเลยนะ หมางับหางตัวเอง ของ FB.ปรัตยา โสมสืบสาย

 

ประเทศเดียวในโลกที่ไม่ต้องสำรองเงินตราต่างประเทศหรือทองคำหรือทรัพย์สินอื่นเพื่อใช้เป็นหลักประกันให้กับค่าเงินของประเทศคือประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นผลงานที่ชาญฉลาดในยุค ปธน. นิกสัน เริ่มจากการประกาศยกเลิกการสำรองทองคำในปี 1971 จากนั้นก็เริ่มเจรจากับกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง โดยใช้เทคโนโลยีทางทหารเป็นเครื่องต่อรองแลกกับการบังคับให้ซื้อขายน้ำมันด้วยเงินดอลลาร์ ประเทศไหนให้ความร่วมมือก็จะสามารถซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐได้ในราคามิตรภาพ การเจรจาเริ่มออกดอกออกผลในปี 1973 ซาอุดิอารเบียเป็นประเทศแรกที่ตกลง จากนั้นรัฐอาหรับอื่นๆ ก็ทะยอยตามมา จนในที่สุดการซื้อขายน้ำมันทั้งหมดในโลกต้องซื้อขายด้วยเงินสกุลดอลลาร์เท่านั้น

 

นั่นคือจุดเริ่มต้นของเปโตรดอลลาร์ และเป็นจุดเริ่มต้นของการผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจอย่างแท้จริงของสหรัฐ เปโตรดอลลาร์ทำให้เงินของสหรัฐเป็นที่ต้องการของตลาดโลก ใครจะซื้อน้ำมันก็ต้องหาแลกเงินสหรัฐ แลกจากไหนกันหละ? ก็จากสหรัฐไงครับ สหรัฐพิมพ์ธนบัตรออกมาได้อย่างอิสระเสรี จะพิมพ์เท่าไหร่ก็ได้ สหรัฐซื้อน้ำมันอาหรับก็พิมพ์แบงค์ไปซื้อ ใครจะมาขอแลกเงินก็พิมพ์มาให้แลกแต่ส่วนต่างเยอะนะ จะให้ดีก็ขายของให้สหรัฐ ขายรถ ขายข้าว ขายแร่ ฯลฯ สหรัฐซื้อหมด อยากได้อะไรก็พิมพ์แบงค์มาซื้อ พิมพ์กันเป็นแบงค์กงเต็กเลยก็ว่าได้ ว่ากันว่าจำนวนเงินดอลลาร์ที่หมุนเวียนในตลาดโลกมากกว่าจำนวนเงินดอลลาร์ที่มีอยู่ประเทศหลายเท่าตัว

 

เปโตรดอลลาร์ทำให้สหรัฐแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้สหรัฐสามารถบริโภคทรัพยากรของโลกได้อย่างไร้ขีดจำกัด ตราบใดที่โลกยังใช้น้ำมัน ตราบนั้นเงินดอลลาร์ก็สามารถใช้จ่ายได้ทั่วโลก พิมพ์มาใช้ได้ไม่อั้นในขณะที่มูลค่าไม่เคยลดลง ทั้งๆ ที่มันเป็นเพียงกระดาษเปล่า เปโตรดอลลาร์กลายเป็นภาวะจำยอมของทุกประเทศ ทั้งๆ ที่รู้แต่ทำอะไรไม่ได้ และเปโตรดอลลาร์ก็เป็นจุดตายของสหรัฐ เป็นเส้นตายที่ห้ามใครก้าวล่วงอย่างเด็ดขาด

 

ปี 2000 อิรักเป็นชาติแรกที่ลองดีสหรัฐโดยการซื้อขายน้ำมันด้วยเงินยูโร และทำการค้าขายน้ำมันด้วยเงินยูโรอย่างเป็นทางการในปี 2002 ผลก็คือสงครามอ่าวในปี 2003 สหรัฐถล่มอิรักเละ ด้วยข้อหามีอาวุธ WMD ที่ทุกวันนี้ก็ยังหาไม่เจอเอาไว้ในครอบครอง หลังสงครามจบลง อิรักก็ถูกบังคับให้ซื้อขายน้ำมันด้วยเปโตรดอลลาร์อีกครั้ง ถัดมาจากอิรัก กัดดาฟีแห่งลิเบียก็อาจหาญขึ้นมาท้าทายสหรัฐด้วยการประกาศชักชวนให้อาหรับซื้อขายน้ำมันด้วยเงินสกุลอื่น ผลก็ออกมาอย่างที่รู้กัน ลิเบียเละ

 

ผ่านจากช่วงถล่มอาหรับ สหรัฐก็เริ่มเปิดศึกกับจีนและรัสเซีย เพราะจีนกับรัสเซียเริ่มจะถอนตัวออกจากการใช้เปโตรดอลลาร์ จีนหันมาใช้เงินหยวนมากขี้นในขณะที่รัสเซียก็เริ่มใช้เงินยูโรกับเงินรูเบิลมากขึ้น นี่เป็นสัญญาณอันตรายสำหรับสหรัฐ แต่สหรัฐจะไปถล่มจีนกับรัสเซียเหมือนกับที่ถล่มอาหรับก็ทำไม่ได้ เลยเป็นที่มาที่ไปของการเปิดสงครามการค้าแบบเต็มรูปแบบกับจีน เล่นทุกทางทั้งขึ้นภาษีทั้งถล่มค่าเงิน งดส่งออกเทคโนโลยี พยายามทำให้จีนอ่อนแอลง ในขณะเดียวกันก็พยายามกดดันรัสเซีย ขยายนาโต้ ปั้นหุ่นกระบอกยูเครน ฝีมือสหรัฐล้วนๆ พวกยุโรปแค่ยืนเป็นตัวประกอบ สงครามยูเครนก็สหรัฐนี่แหละ เพราะฟางเส้นสุดท้ายที่วางลงบนหลังอูฐปูตินคือฐานยิงขีปนาวุธพิสัยกลางของสหรัฐ ของสหรัฐครับไม่ใช่ของนาต้งนาโต้อะไรทั้งนั้น

 

ดังนั้นมันจึงไม่น่าแปลกใจอะไรเลยที่สหรัฐจะออกงิ้วก่อนใคร วาดลวดลายเยอะกว่าใครในสงครามรัสเซีย-ยูเครน โอกาสทองในการถล่มรัสเซียให้จมดิน กะพังเศรษฐกิจรัสเซียให้ยับเยิน แถมลากอียูเข้ามาจมน้ำด้วย กินสองต่อเข้าฮอส นอกจากจะแบนนั่นแบนนี่แล้วล่าสุดยังอนุมัติเงิน 13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในการช่วยเหลือยูเครน ประเทศโคตรพ่อโคตรแม่อะไรรวยขนาดนั้น แจกเงินเป็นว่าเล่น ชิวๆ ครับ แม่งพิมพ์แบงค์กงเต็กได้เอง จะเอากี่หมื่นกี่แสนล้านก็ได้ สหรัฐรู้ครับว่ายูเครนยังไงก็แพ้รัสเซีย สิ่งที่สหรัฐต้องการก็คือลากรัสเซียให้ติดหล่มยูเครนให้นานที่สุด ให้รัสเซียล่มจมให้มากที่สุด ยูเครนชนะก็เป็นของแถม ยูเครนแพ้ก็ไม่เสียหาย สหรัฐได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง ใช้ความตายของคนยูเครนเล่นรัสเซียได้อีกนาน

 

ทั้งหมดนี้ก็เพื่อแบงค์กงเต็กที่เรียกว่าเปโตรดอลลาร์ ถ้าเปโตรดอลลาร์ล่มสลาย มันก็หมายถึงสหรัฐถึงคราวล่มจม ค่าเงินดอลลาร์จะดิ่งนรก เศรษฐกิจของสหรัฐจะพังพินาศ ต่อจากนี้ไปจะต้องหาเงินมาซื้อของไม่ได้พิมพ์แบงค์กงเต็กมาแลกของฟรีๆ ได้เหมือนแต่ก่อน แถมยังเป็นหนี้เค้าไปทั่วโลก เจ้าหนี้จะมารุมทึ้งกันก็คราวนี้

 

สหรัฐกับเปโตรดอลลาร์ มันก็เหมือนกับหมาที่วิ่งไล่กัดหางตัวเอง หยุดวิ่งไล่กัดหางเมื่อไหร่ก็ตายเมื่อนั้น

สวัสดีครับ:)Cr. FB.ปรัตยา โสมสืบสาย

พ่อครูว่า... ขอบคุณ ส่งเนื้อหาสาระมา อาตมาไม่รู้ลึกเท่าไหร่ อาตมาพอรู้ว่าเป็นเช่นนี้ ขอบคุณเลยทำให้อาตมาได้รู้สิ่งที่คุณเอามาแชร์มาขยายให้เห็น 

อาตมาไม่ได้เกลียดไม่ได้ชังใครในโลก สหรัฐก็ไม่ได้เกลียดเขา สงสารเขา แต่ทำไมเขาทำตัวเช่นนั้น เช่นเดียวกันกับทักษิณ อาตมาไม่ได้เกลียดทักษิณเลย แต่ทำไมถึงทำตัวเช่นนั้น ทุกวันนี้ก็ยังทำตัวเช่นนั้น เมื่อไหร่จะสำนึก เมื่อไหร่จะรู้สึกตัว มันยาก ไม่มีทางเจริญกับเขาได้ ไม่เจริญ ขอยืนยันว่าไม่เจริญ มีแต่เสื่อมกับเสื่อม จริง นี่เป็นเรื่องที่เป็นความจริงอาตมาพูดความจริง ไม่ได้ไปถล่มทลายเขา ไม่ได้โกรธไปชัง

เพราะฉะนั้นเราก็เป็นไปตามเรา เขาก็เป็นไปตามเขา ของคนไทยเรามีหม่อมเจ้า สิทธิพร กฤดากร ที่บอกว่าเงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง

เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าสิ่งเหล่านั้น เราเป็นคนจนไม่ต้องไปเดือดร้อนกับเขา เขาวัดคนได้เงินได้ทอง ทั้งเงินทั้งทอง  ไม่ต้องไปตกอกตกใจกับมันเท่าไหร่เลย พวกเรานี้เข้าใจ เคยให้เหรียญให้จี้ทอง พวกเราก็เอาไปคืนหมด เอาไว้เดี๋ยวก็จะหายไปเปล่า เอามาคืนอาตมา อาตมาก็เลยเอามารวมไว้ สักวันก็จะหลอมให้เป็นแท่งขาย เดือนนี้บาทละ 3 หมื่นกว่าแล้ว 

วัตถุประดับตกแต่งของเราส่วนใหญ่ใช้ทองเหลือง เคยใช้ทองคำประดับที่เจดีย์ แปลกว่าขนาดเจดีย์ทองคำก็ยังขึ้นสนิมได้ ปกติทองคำมันขึ้นสนิมไม่ได้นะ แต่ของอโศกสามารถทำทองคำให้ขึ้นสนิมได้นะ แน่ไหม ยอดจริงๆเลย

คนคิดไม่ออกว่าทำไมมันเป็นสนิม มันเป็นสนิมเพราะว่า แกนของเราที่สร้างเป็นเจดีย์สร้างด้วยทองเหลือง เสร็จแล้วเราก็จะฉาบด้วยทองคำ เราก็ไม่ได้ใช้วิธีลงรักปิดทอง เราไปซื้อเครื่องพ่น เรียกว่าพ่นทองโกลด์มาสเตอร์ ก็จะไม่ได้ติดแน่นเหมือนกับลงรักปิดทองเราไม่ได้ทำอย่างนั้น เราทำแกนด้วยทองเหลืองแล้วเอาทองคำฉาบภายนอก ก็ไปซื้อเครื่องมือพ่น มาจากอเมริกาเลยเครื่องละ 2 แสนกว่า เขาเรียกว่าพ่นแบบ Gold Master ก่อนจะพ่นอันนี้ใส่ก็ต้องใช้นิกเกิล เป็นกระษัยเป็นตัวเชื่อมทำทองให้มันติด เป็นตัวประสาน เสร็จแล้วจึงพ่นทองคำฉาบเข้าไปอีกทีให้ติด ตอนทำใหม่ๆเหลืองอร่ามสวยเลย 

เสร็จแล้วพวกเราก็หวังดีอยากให้มันสะอาดแต่มีความรู้ไม่พอ เอาน้ำยาไซยาไนด์มาเช็ดราบหมดเลย มันก็ซึมเข้าไปในร่อง เพราะไม่ได้เป็นแผ่นทองคำมันมีร่องละเอียดเล็ก อาโปธาตุ มันเข้าไปทำปฏิกิริยากับนิกเกิลออกไปเป็นสนิม ออกมากลบทองคำ เจดีย์ของอโศก เจดีย์พระวิหารพันปีจึงดำเป็นสนิมด้วยประการฉะนี้ เป็นทองคำจริงนะ แต่กลางคืนไฟส่องดูเหลือง กลางวันเจอแดดก็ดำเพราะเป็นสีสนิม สีน้ำตาล 

สมณะเดินดิน... ขโมยก็เลยไม่มาขโมย 

พ่อครูว่า... ก็ดีอย่าง

 

ความหลังของหนังสืออโศก 

มาพูดถึงความหลัง เจอหนังสืออโศก เป็นนิตยสาร พยายามจะออกหนังสืออโศกเป็นนิตยสารตอนนั้น ตอนนั้นไม่มีใครช่วยมาก นามปากกาคนเดียว จนกระทั่งบอกว่าใครจะมาช่วยเขียนก็ใช้นามปากกาอันเดียวกันหมดนะ ใช้คำว่า อโศก ตอนนั้นก็ยังไม่มีใครมาก อาตมาก็บรรเลงคนเดียว ทั้งเขียน ทั้งออกแบบ Font เห็นมั้ยว่าอันนี้เป็น Font อโศก อาตมาเป็นคนออกแบบนะ 

 

หน้าปกเล่มที่ 1 เป็นภูกระดึง อันที่ 2 เป็นรวงข้าว เล่น 13 เป็นดอกผักบุ้ง แต่ว่าหาต้นฉบับไม่ได้มีแต่ถ่ายเอกสารมาเป็นรูปขาวดำ 

อ่านเนื้อหาเล่ม 1 นิดนึง

ชื่อหัวเรื่องว่า นี่แลคือธรรมะ

เราได้ “พระอาทิตย์แรกอรุณบนยอดภูกระดึง” มาทำปกหนังสืออโศกฉบับแรก อย่างพอดิบพอดี ถ้าใครเคยขึ้นไปอยู่บนยอดภูกระดึง จึงจะรู้ดีว่า ที่จะได้เห็นพระอาทิตย์แรกอรุณนั้น ไม่ใช่โอกาสง่ายๆ เพราะบนนั้นเต็มไปด้วย “เมฆฝ้าและราคี” ที่บดบังพระอาทิตย์ไว้เสมอ ประหนึ่ง “กิเลสและตัณหา” ที่บดบังแสงแห่งธรรมไว้ ในดวงจิตของคนนั่นเอง จะไม่ยอมให้ เจิดจ้าแจ่มแจ้งโผล่ออกมาแสดงตน จนลบเลือนเกลื่อนความมืดบอดให้หายไปจากจิตของคนได้ง่ายๆ แต่เราก็ได้มาแล้ว ความเจิดจ้าแสงแดดสีสาดทอแผ่ผ่านม่านเมฆและเหลี่ยมหินทั้งหลาย อย่างท้าทายจำรัส เหยียด ยอดผาที่ท้าทายที่ยกตนว่าใหญ่โตโอ่อ่าสง่างามให้เห็นเป็นความทมิฬดำอยู่รำไร เยียดยัดความต่ำให้แก่มุ่นเมฆที่ลวงคนอย่างสนิทว่าตนเป็นเบื้องบน ให้ใครๆเห็นเป็นทะเลเรี่ยเตี้ยต่ำ นั่นก็จงดูเอาเถิด !

สัจธรรมอยู่ตรงนี้เอง พูดแจ่มแสงแจ้งความจริงได้เท่านั้น จึงจะซึมซาบสภาวะธรรมว่า โลกนี้มีบน มีล่าง ก็เพราะยึดถือ มีต่ำ มีสูง ก็เพราะสมมุติ และขีดแบ่งกันไปเอง แท้จริง เมฆ ก็มีโอกาสลงไปเป็นทะเลธารา ทะเลก็มีโอกาสขึ้นมาเป็นเมฆ ตามกาละและเทศะ แห่งบทบาทที่เป็นไปอย่างแท้จริง 

แต่นั่นแหละ “สุข” นั้นไม่ใช่ทั้งการได้ชื่อว่า “เมฆฟ่องฟ้า” และหรือ ”ธาราอันไพศาล” นั้นหรอก แม้จะเป็นเมฆที่ต่ำเตี้ย หรือธาราเพียงหยาดหยดหนึ่ง ก็จะเป็นประโยชน์ให้แก่โลกมากที่สุดนั่นเทอญ 

เมื่อโลกทั้งโลก “สุข” เราจะหลงไปแอบ “ทุกข์” คนเดียวอยู่ ณ ซอกใดของโลกเล่า! 

โอ้โห..สํานวนโพธิรักษ์ พ.ศ. 2524 สุดลิเกทรงเครื่องเลย เดี๋ยวนี้ก็ยังมีคนหลงลีลาที่ไพเราะเพราะพริ้งเหล่านี้อีกเยอะ แม้แต่ท่านเพาะพุทธก็เถอะ ยังติด ไพเราะเพราะพริ้ง ซึ่งเป็นคำสมัยนี้ พูดคำไพเราะ เรียกภาษาสมัยใหม่ว่า วาทกรรม 

คนยุคนี้ใช้ภาษาเป็นวาทกรรม วาทกรรมนี้ไม่ใช่ไพเราะอย่างเดียว คมด้วย ไพเราะด้วย คมด้วย อะไรอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันกลบเกลื่อนสัจจะ มันอาบพอกสัจจะ

อาตมาพูดความจริง โสกโดกมาก ผ่าตรงๆ พยายามอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ให้มันหยาบอาตมาพูดแรงเท่านั้นเองแล้วไปพูดถึงความผิดความชั่วด้วย ภาษาที่เรียกความผิดความชั่วของคน มันหยาบ 

ฟังอีกที ภาษาที่พูดถึงความผิด พูดถึงความชั่ว ความเลวร้ายของคน มันเป็นภาษาที่พูดไปแล้วมันหยาบ มันแรง มันเลี่ยงไม่ได้หรอก อาตมาจำนนที่จะต้องพูด ถึงความชั่วความผิด ขนาดนั้นเขายังไม่รู้ตัวเลย เห็นความโง่ของคน 

บอกถึงความหยาบด้วยภาษาที่หยาบแล้ว อาตมาก็พูดนี้มันแรงมันหยาบ เพราะพูดถึงความผิดความชั่ว บอกแล้วว่ามันตรง มันหยาบ ความผิดความชั่วนี้บอกแล้ว จะเป็นคำไพเราะได้อย่างไร ก็เป็นคำหยาบทั้งนั้น 

ยกตัวอย่างเช่น ขี้ อย่างนี้ จริงๆ ขี้ ไม่ใช่ความเลวเท่าไหร่ แต่เขาว่ามันหยาบแล้ว เห็นไหม พูดถึงอะไรต่างๆหลายอย่าง พูดอะไรก็พูดตรงๆ มันหยาบ ถ้าพูดถึงสิ่งที่เขา บางทีนี่เขาปกปิด คนจะปกปิดความชั่ว เขาจะปกปิด เพราะฉะนั้นเอาความชั่วสิ่งที่เขาปกปิดมาพูด หยาบ  

อาตมาเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพูดความจริง จะผิดจะถูกก็ต้องพูดความจริง มันเลยดูแรงๆหยาบๆ มันเลี่ยงไม่ออกจริงๆ ก็จำนน

 

อาตมาได้อธิบายเรื่องพญานาค เขียนเอาไว้ 10 ข้อ ให้เห็นว่าพญานาคนี้ เป็นโจรร้ายของศาสนาพุทธ เพราะมาหลับตาเป็นพญางู 

ลัทธิหลับตาพญางูเป็นลัทธิโจรภัยของศาสนาพุทธ อาตมาพูดตรง ไม่ได้ใส่ความใส่ไคล้ แรง ฟังแล้วเหมือนมันหยาบว่าเขาเป็นโจร เป็นผู้ร้าย ก็เป็นจริงๆ 

อาตมาอธิบายมาถึง 7 ข้อแล้ว ไม่ทวน อธิบายไว้ตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 

 

ตำนานพญานาค ตอนที่ 2 

4. เมื่อ“นาค”พยายามซึมแทรกเข้ามาบวชในศาสนาพุทธได้ ก็พยายามจะไม่ให้“ความเป็นนาค”บังเกิดออกมาอย่างยิ่ง อย่างใหญ่อย่างมหายิ่งมหาใหญ่ จนต้องเรียกว่า “พญา”ผู้ยิ่งใหญ่ ที่รักศรัทธาศาสนาพุทธ ก็พากเพียรที่จะ“ไม่ให้ตนเป็นนาค” ก็เท่ากับผู้เฝ้ารักษาความเป็นพุทธอย่างยิ่งใหญ่ จึงมีสัญลักษณ์เป็น“นาคปรก 7 เศียร” นั่นหมายถึงผู้รู้ว่า ตัวเป็น“นาค”ผู้มีรากฐานมาจากงู แต่รักศรัทธาศาสนาพุทธสุดชีวิต จึงคอยปกป้องรักษาศาสนาพุทธจริงจังเต็มที่ แล้วปณิธานของตนก็จะเป็นพุทธสุดยอดให้ได้ ถึงพระพุทธเจ้าโน่นแหละ ก็แสดงถึงความเป็น“นิยตะ” ซึ่ง“ปุคคลาธิษฐาน”ก็คือ “พญานาค 7 ตัว 7 หัว”ปกปักรักษาพระพุทธ 

นั่นคือ มี“ความปรารถนาเจตสิก”เข้าขั้นยินดีในพุทธแล้วแน่นอน ไม่มีเปลี่ยนแปลง ยึดมั่นไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา 

จึงนับเข้าขั้นผู้รู้ดีในความเป็น“นาค”อย่างยิ่ง และจะออกจากความเป็นนาคให้ได้เด็ดขาดจริงแท้ด้วย จึงนับเข้าขั้นเป็นผู้รู้ทันคนปลอมตัวมาบวชในศาสนาพุทธ ก็กลายเป็นทั้งมือปราบคนปลอมตัวมานอน มาหลับ มาซุกตัวเผยแพร่“ความเป็นงู-ความเป็นนาค”ทั้งตนก็ยังเป็น“นาค”อย่างยิ่งอยู่ ที่มาเผยแพร่ลัทธิงูลัทธินาคในพุทธเสียเลย ซึ่งเป็น“ภาวะมายา” คือ “ภาวะ 2”ซ้อนอยู่ใน“ภาวะ 1” โดยตนก็“อวิชชา”อยู่ตลอด

 

5. ซึ่ง“อนุสัย”ของ“นาค”ก็ยังมี“อัตตา”จอมยึดเก่งยอดจนได้ชื่อว่า เป็นจอมนาคหรือพญานาคเข้ามาเผยแพร่ลัทธิหลับ ลัทธินอนของตนจนได้ เป็นยอดงู ยอดนาค จนศิลปินต้องยกฐานะให้เป็น“พญางู”ก็ตกแต่งหน้าตา หูหัว สัดส่วนรูปร่าง“งู”ให้มีรูปร่าง มีหงอน มีแง่ แต่งองค์ทรงเครื่อง มีลายกนกตกแต่งเป็นลวดลายพิเศษให้เป็น“งู”ยิ่งใหญ่ ที่เขื่องโก้ หรูหรา มโหฬาร แตกต่างจาก“งู”สามัญ เป็น“พญางู-พญานาค”  มีรูปโฉมดังที่เห็นกันอยู่ตามจินตนาการศิลปะไทยนั่นเอง

 

6. “ธาตุแท้”ของตนก็คือลัทธิ“หลับ” เมื่อยิ่ง“ หลับ”ก็ยิ่งไม่ตื่น-ไม่รู้โลก ทับทวีหนาหนักซับซ้อนนับไม่ถ้วน ก็ยิ่งคือ “ผู้สั่งสม อวิชชา”เป็น“พญานาค”ที่ยิ่งใหญ่ยิ่งโต ยิ่งมโหฬาร ลงบาดาลลึกๆๆๆ ก็ยิ่ง“อวิชชามืดดำ”ยิ่งขึ้นๆๆๆๆๆไปอีก  

 

7. สุดท้ายแห่งสุดท้ายก็หมดท่าแห่งความตื่น สิ้นสภาพผู้ที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน  จึงกลายเป็น “พญานาค”  ที่ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” สาหัสสากรรจ์นานหนัก  อาการถึงขั้น“ไม่มีการตื่น”มารู้เห็นอะไรกันเลยตลอดระยะแห่งกาลที่ยังไม่มี “พระพุทธเจ้า”อุบัติขึ้นมาในโลกแต่ละพระองค์  จะรู้สึกตัวขึ้นมาทีหนึ่งก็แค่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลกองค์หนึ่ง รู้แค่นั้นจากนั้นก็หลับต่อ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” เฝ้าถาดทองคำที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์อุบัติขึ้นมาในโลกอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรสุดลึกนั้นเท่านั้น  นอกนั้นไม่รู้อะไรที่เป็นพุทธเลย 

 

(168) “สักกายทิฏฐิ”จึงเป็น“ทิฏฐิ”ข้อที่ 1ใน“สังโยชน์ 10”

แม้แต่ว่า ถาดทองหรือธรรมของพระพุทธเจ้านั้น “ทวนน้ำ” หรือ “ทวนกระแสสามัญโลกียะ”นะ!  ก็ไม่รู้ว่า “ทวนกระแส” คืออะไร? ก็ยังพากันหลงจมงมงายไปกับโลกียะอยู่ จึง    หยำเหยอะไปด้วย“ลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข”อยู่นั่นแหละ

ไม่รู้จัก“กาย”กันเลย  ยิ่ง“สัก”ก็ยิ่งมองไม่เห็น!

ด่ำดิ่งอยู่กับ“กาย” มืดบอดอยู่กับ“สัก”กันอยู่นั่นแหละ

คลุกคลีอยู่กับสวรรค์-นรกโลกีย์กันอยู่หน้าระรื่น

รู้จักรู้แจ้งรู้จริง  แม้แต่คำว่า“กระแส(โสต)”กันที่ไหน?ตนเอง“ไหลลิ่ว” แย่งกันไหลไปกับกระแสโลกีย์กันอีก ด้วยซ้ำ ก็ไม่รู้ตัวกันเลย ไม่ต้องพูดถึง “การทวนกระแส” หรอก 

ล้วนยังจมงมงายเป็น“พญานาค”กันอยู่หน้าตาเฉย 

 

ถ้าไม่มี“ตำนาน”ถาดทองคำของพระพุทธเจ้าที่แต่ละพระองค์ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป แล้วไปหยุด ณ ที่แห่งเดียวกัน  ตรงกันกับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แล้วจมลงไปกระทบกับถาดทองคำของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน  มีเสียงดัง “ด้วยเสียงของถาดทองคำ” นั้น ซึ่งหมายถึงเสียงสุดวิเศษแห่ง“โลกุตรธรรม” อันไม่มีธรรมใดของศาสนาใดในเทฺวนิยมมีกันได้เลย กระนั้นก็ยังทำให้“พญานาค”รู้ได้ว่าเป็นเสียงของ“ถาดทองคำของพระพุทธเจ้า” ได้อย่างเดียวเท่านี้ เท่านั้น นอกนั้น “ไม่รู้” อย่างอื่นอะไรเลยสักนิดทั้งสิ้นทั้งนั้น

 

เริ่มตั้งแต่คำว่า “กาย”ก็“มิจฉาทิฏฐิ”สนิทแล้ว

ความเป็น“สัก”จึงไม่รู้ว่า“มันพิการ”ไปแล้วอย่างไร? หนักหนาสาหัสปานไหน? 

จึงเป็น“พญานาค”เต็มสภาพ ตั้งแต่“ทิฏฐิ”ข้อที่ 1 ก็“มิจฉาทิฏฐิ”กันบริบูรณ์  “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”  แม้จะมี“คนผู้สาธยาย“โลกุตรธรรม”ของพระพุทธเจ้าคอแตกปานใด “พญานาค”ก็ยังคง“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”อะไรทั้งนั้น  มืดบอด สนิทกันอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรลึกสุดนั้นตลอดกาล “ไม่รู้สึกรู้สาอะไรสักนิ๊ด”ขึ้นมาเลย ราวกับก้อนหินก้อนดินก็ไม่ปาน

ล่วงเลยยุคกึ่งพุทธกาล(2500 ปี)ไปแล้ว  โลกจะไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแน่นอน  มีก็แต่ “พระโพธิสัตว์ หรือ “สัตตบุรุษ”เท่านั้นผู้มาทำหน้าที่สืบทอด“พุทธธรรม” ที่เป็น “โลกุตรธรรม” ของพระพุทธเจ้าตามหน้าที่อย่างสำคัญ 

แม้พระโพธิสัตว์หรือสัตตบุรุษ เกิดขึ้นมาในโลกทำหน้าที่สืบสาน“โลกุตระ”ของพระพุทธเจ้า “พญานาค”เขาก็ไม่รู้สึกรู้สาใดๆเลย แม้จะปลุก จะกระทุ้งกระแทกด้วยปากหอก(มุขสัตตี) จะแทงด้วยหอก 100 เล่ม เช้า-กลางวัน-เย็น  จนหอกหักหมดเกลี้ยง “พญานาค” ก็ไม่รู้สึกตัวกันขึ้นมาได้

“พญานาค”ก็คือ “ชาวพุทธกระแสหลัก”ในยุคนี้ ในทุกวันนี้นั่นเอง ที่เป็นจริง ยืนยันความจริงนี้กันอยู่อย่างเห็นๆ 

เพราะ“หู”ของชาวพุทธกระแสหลักได้พิการไปหมดแล้ว วิตถารไปด้วยซ้ำ คือ รับรู้ได้แต่“เสียงของโลกธรรม”ว่าไพเราะสุดซึ้งเสียเหลือเกิน จึงหลงเพลินไปกับ“โลกียธรรม” 

เนื่องจากเสียงของ“โลกียะ” กับเสียงของ“โลกุตระ”มันเป็นคลื่นเสียงคนละคลื่นกันจริงๆ จึงรับคลื่นโลกุตระไม่ได้

เมื่อ“หูหนวกตาบอด’กับเสียง“โลกุตระ”กันแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของ“สัตตบุรูษ”ที่จะต้องรักษา“หู-ตา”ให้แก่ชาวพุทธกระแสหลักให้หายจาก“หูหนวก-ตาบอด”ให้ได้ 

กระนั้นก็สุดยากแสนยากกันจริงๆ เพราะชาวพุทธกระแสหลักเขาได้พากันหลงยึดมั่นถือมั่นใน“มิจฉาทิฏฐิ”กันหนักหาสาหัสจนได้ชื่อว่า “พญานาค”กัน ดังที่เห็นและเป็นอยู่

แม้แต่“กาย”เขาก็ยัง“มิจฉาทิฏฐิ”ไม่“พ้นสักกายทิฏฐิ”กัน

 

(169) ที่จริงอาตมาก็รู้อยู่ว่า ยุคนี้คนผู้“อวิชชา”นั้นมีมาก 

50 กว่าปีแล้วที่อาตมาได้อุตสาหะพยายามใช้เรี่ยวแรงความสามารถปลุก“พญานาค” ก็มีแต่ผู้ที่มี“ดวงตา”หรือมี“ธุลีในดวงตาน้อย”จำนวนหนึ่งเท่านั้นที่พอได้ยิน และได้ตื่นขึ้นมารู้โลกุตรธรรม และได้เรียนอบรมฝึกฝนจนกระทั่งบรรลุ“โลกุตรธรรม”ได้สำเร็จจริงจำนวนเล็กน้อย 

ส่วนใหญ่นอกนั้นก็ยังคงหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น เป็น“พญา นาค” นอนเฝ้า“ถาดทองคำ”ของพระพุทธเจ้ากันอยู่ ที่จริงอาตมาก็รู้อยู่ว่า ยุคนี้คน“อวิชชานั้นมีมาก แต่ก็ต้องพยายามกันอย่างยิ่ง เพราะ“กรรม”นั้นเจริญด้วย“ความพยายาม”แท้จริง จะท้อถอย“หยุดทำกรรม”ไม่ได้ โดยเฉพาะ“กรรมที่ดีที่วิเศษเป็นโลกุตระ”

ที่ต้องพูดว่า เขายังเป็น“พญานาค”กันอยู่นั้น 

ก็เพราะ“เขา”ได้ยินเสียงวิเศษจริงๆ(เสียงของ“โลกุตระ” แท้ๆนี่เอง) แต่เพราะความ “อวิชชา” สนิท ก็“หูผึ่ง”ขึ้นมาแวบหนึ่งเท่านั้นก็หลับไม่รู้คู้ไม่เห็นหรืออวิชชาต่อไปว่า อ้อ! พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลก อีกพระองค์หนึ่งแล้วเหรอ? ว่าแล้วก็“หลับสนิท”อวิชชาตลอดระยะยาวนานที่เป็น“กาล” นั่นคือ “เป็นงูโง่หรือโง่เป็นงู”ต่อไป ทับถมให้“อวิชชา”หนาหนักเพิ่มขึ้นยิ่งขึ้นๆ ด้วยการหลงใหลหลับไหลอยู่กับการ ปฏิบัติ“หลับตา”เป็น“พญานาค”นอนเฝ้าถาดทองคำอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร ที่มีถาดทองคำซ้อนกันเป็นล้านๆถาด

ซึ่งพระพุทธเจ้านั้นมีอุบัติขึ้นมาในโลกนับไม่ถ้วนเป็นล้านๆพระองค์แล้ว และก็จะมีพระพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นๆไปกับกาลของโลกนี้แหละ “พญานาค”ก็จะหลับไม่รู้คู้ไม่เห็นตัวจริง ยิ่งใหญ่ นอนเฝ้า“ถาดทองคำของพระพุทธเจ้าอยู่อย่างนั้นต่อไปลึกลงไปอีกๆๆๆ  ยิ่งขึ้นๆๆๆๆๆ ไม่มีสิ้นสุด เพราะในโลกจะมีคน“อวิชชา”จำนวนมากครองโลกเป็นปกติสามัญ 

ที่ไม่รู้จักแม้แต่ความเป็น“กาย” ก็รู้แจ้งรู้จริงไม่ได้ ยัง“พ้นสักกายทิฏฐิ”ไม่ได้ง่ายๆ ดังที่เป็นที่เห็นจริงกัน

8. “พญานาค”ก็ยังคงมีแม้ทุกวันนี้ คือ “งู” หรือคนที่มีลัทธิวิธี“หลับตา”หรือ“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”ก็เป็น“โจรปล้นพุทธศาสนา”อยู่นั่นเอง ที่พระราชาให้เจ้าพนักงานไปประหารเสีย

9. ที่พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเปรยไว้ว่า “ผู้ทำลายศาสนา” นั้นคือ “โจร” ที่มีพระราชาผู้เป็นผู้รู้ว่าใครเป็นโจร จึงสั่งให้เจ้าพนักงานไปประหารเสีย ประหารด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้าแต่“โจร”ก็ไม่ตาย ยังทำการปล้นทำลายศาสนาอยู่นั่นเอง พระราชาทรงพบเจ้าพนักงานก็ตรัสถามว่า โจรตายหรือยัง? เจ้าพนักงานก็ทูลตอบว่ายังไม่ตาย ก็สั่งให้ไปประหารอีกในตอนกลางวันด้วยหอกร้อยเล่ม ตกเย็นพระราชาพบเจ้าพนักงานก็จะถามอีกว่าโจรตายแล้วหรือ เจ้าพนักงานก็ทูลตอบอีกว่ามันยังไม่ตายพระเจ้าข้า ก็ทรงให้ไปประหารด้วยหอกร้อยเล่มในตอนเย็น โจรก็ยังไม่ตายอยู่ๆ (พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 244) ใครเห็น“พญานาค”กันได้บ้างเอ่ย? 

10. ทุกวันนี้ “พญานาค”ก็จึงยังไม่ตาย ยังพากันมาปลอมบวชในศาสนาพุทธ มาพาชาวพุทธผู้ด้อยปัญญา ไป“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” เป็นคนไม่มี“จักษุ-ปัญญา-ญาณ-วิชชา -อาโลก”กันอยู่  เห็นไหมว่า “พญานาค” ก็ยังมีอยู่นั่นเอง 

นี่ปอกเปลือก“พญานาค”ให้ฟัง พญานาคมีจริงหรือพญานาคไม่มีจริงเป็นความรู้ระดับ“สิริมหามายา”กันทีเดียว!

แต่ชาวพุทธที่ยังไม่เห็น“พญานาค” เพราะ “อวิชชา” นั้นมีอยู่มากจริงๆ ทั้งๆที่ตนเองเป็น“พญานาค”อยู่เองแท้ๆ

 

พ่อครูว่า... 

สมณะเดินดิน... พวกเราที่เป็นห่วงสุขภาพพ่อครู ถ้าติดตามฟังเทศน์พ่อครูทุกวัน ก็จะรู้ว่าไม่มีอะไร พ่อครูยังเทศน์ได้ เวลาไม่พอด้วยซ้ำ สรุปจบ







 

(170) “ศาสนาพุทธ”ไม่ใช่ศาสนาที่มีอยู่ประจำโลก  

“พญานาค”นี้คือ ลัทธิ“หลับตา”หลับไม่รู้คู้ไม่เห็นของศาสนาเดียรถีย์เขา เขาก็“หลับตา”ปฏิบัติของเขาไปยืนยันความเป็นเดียรถีย์ของเขา ก็เป็นธรรมดาสามัญของเขาที่เดียรถีย์“มี”อยู่ประจำโลก

“พุทธที่เป็นโลกุตระ”ต่างหากที่“ไม่มีอยู่ประจำโลก”

ศาสนาพุทธจึง“มี”ขึ้นในโลกเป็นคราวๆ แล้วก็จะ “ไม่มีศาสนาพุทธ”ไปช่วงหนึ่งเรียกว่า“พุทธันดร(ช่วงที่โลกไม่มีศาสนาพุทธในกาลช่วงนั้น)” แล้วจึงจะ“มี”พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา“สถาปนา”ศาสนาพุทธขึ้นมาใหม่อีก” เรียกว่า “ภัทรกัปป์(คือในช่วงที่มีศาสนาพุทธมีพระพุทเจ้าอุบัติขึ้นมาประกาศศาสนาต่อกันหลายพระองค์ บางภัทรกัปป์ก็มีมากเกิน 5 พระองค์เป็น 10 เป็น 100  กัปป์ที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาน้อยที่สุด เช่น ใน“ภัทรกัปป์ของพระพุทธเจ้าสมณโคดม”นี้แล ก็มีเพียง 5 พระองค์ จากนี้ก็เป็นกลียุค เป็นยุคโหดเหี้ยมเลวร้าย ฆ่ากันตายมากมาย ทั้งเลือดร้อน เลือดเย็น มนุษย์ในโลกก็เหลือน้อยลงๆ ก็จำต้องหยุดพักการฆ่ากัน)” สิ้น“ภัทรกัปป์”ก็เป็น“พุทธันดร”คือช่วงที่ไม่มีศาสนาพุทธ จะเว้นระยะเวลาโลกว่างจากศาสนาพุทธไปช่วงหนึ่ง จะสั้นจะยาว ก็ตามแต่“กาละ-เทศะ-ฐานะ”ที่จะมีเหตุมีปัจจัยเป็นสัดส่วนปรุงแต่งกันให้“เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป”ได้นั้นๆเท่าที่มันจะมีจะเป็น

“การหลับตาปฏิบัติ”นั้นมัน“มี”อยู่ประจำโลก มันเป็น “หลักปฏิบัติของเดียรถีย์”แท้ ไม่มีขาดหายไปหมดโลกหรอก การ“หลับตา”ปฏิบัติเป็น“โลกียธรรม” เป็นของ“เทฺวนิยม” 

เขาก็“มี”ของเขาไป มันก็เป็นปกติธรรมดาของโลกียะ    

พระพุทธเจ้าตรัสว่า อาศัย“ความมี”กับ“ความไม่มี”นี้แหละในโลกที่ใช้“สื่อ”แสดงต่อกันให้รู้  ไม่มีอื่นหรอก “ความมี-ความไม่มี”จึงเป็น“เทฺว”หรือ“ภาวะ 2”คู่ยิ่งใหญ่ อาศัยสิ่งนี้แหละสอนกันพูดกันทำกันได้ครบ ที่ทำให้คนผู้สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงก็จะ“รู้จบ”ทุกสรรพสิ่งได้ (พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 43) 

สรุปแล้ว ในโลกนี้มี“ภาวะ 2”ได้แก่“ความมีกับความ ไม่มี” เช่น ยุคนี้มี“พญานาค”ที่เป็น“ผู้หลับตาปฏิบัติ”นั้น“มี”กันอยู่จำนวนมาก ส่วนผู้ที่เป็น“อาริยบุคคล”คน“ผู้ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิ”ลืมตาปฏิบัติจะว่า “ไม่มี”ก็เกือบจะ“ไม่มี”ปานนั้นจริงๆในยุค“กึ่งุทธกาล”ที่เสื่อมมากหนักนี้ 

ซึ่งมัน“ไม่มีโลกุตระ”นั่นเองสำหรับคนผู้“ไม่มี” เพราะยังไม่เป็น“ผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบานแล้ว” จึงยังไม่ชื่อว่า “พุทธ” เนื่องจากยัง หลงผิดใช้วิธี“หลับตา”ปฏิบัติ

แม้กระนั้น ผู้ที่มี“โลกุตรธรรม”แล้วก็ยังคือ ผู้เป็น “อนุปฺปคัมมะ”หรือ“ผู้เป็นกลาง(ผู้มัชฌิมะ)” เป็นผู้ไม่ได้ชัง“คนผิด” แล้วชอบ“ 

เพียงเป็นผู้“ชี้บอก”เท่านั้น ว่า อันใด“ผิด” อันใด“ถูก” และควรข่ม“คนผิด”ก็ข่ม ยก“คนถูก”ก็ทำไปตาม“สัจธรรม”เป็นปกติธรรมดาของคนที่“ไม่ดูดาย” ไม่ยอมเป็นคนอยู่แบบหนักแผ่นดิน  แต่การ“ข่ม”นั้นย่อมเป็น“คำที่ไม่น่ารัก”ไม่น่ารื่นรมย์แน่

ยุคนี้ยิ่งเป็นยุคคนเสื่อมไปจากศาสนาพุทธตรงตามคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าอยู่แท้ๆ ก็แน่นอนว่า คนผู้บรรลุโลกุตรธรรมนั้นย่อมมีน้อย     

แต่คนในโลกมันมี“ผู้ไม่รู้(อวิชชา)จำนวนเทียบกับ“ฐานปีรามิด”นั้นย่อมมากกว่า “ผู้รู้(วิชชา)”ที่เป็นส่วน“ยอดของปีรามิด” มันก็เป็นธรรมดาสามัญแท้ๆตามสัจจะ  ใครๆก็เห็นได้ เข้าใจได้ ไม่ใช่“ความลึกลับ”ไปจากปกติโลกกันตรงไหน  

เพียงแต่“จิตผู้เป็นกลาง”ของ“ความเป็นกลาง” ไม่ชอบ-ไม่ชังฝ่ายใดนี้เป็น“อจินไตย”ที่จะใช้“ตรรกะ”หรือ“เดา”ไม่ได้

ผู้มี“อภิภุยฺย”เป๋็น“อนุปคัมมะ”คือผู้มีอิทธิพลเหนือ “ความมี-ความไม่มี” จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง-ความไม่จริง” จึงเห็นชัดเจนได้ว่า คนผู้“มี” เขาก็ยัง“มี” จนกว่าเขาจะเข้าถึง“ความไม่มี”เป็นที่สุดแห่งที่สุดได้ จึงจะทำ“ความไม่มี(น โหติ)” ที่เป็น“อนัตตา”หรือเป็น“สูญ” แยก“ธาตุจิตของตน(จิตนิยาม)”ให้หมดสิ้นไปเป็น“ดินน้ำไฟลม(อุตุนิยาม)”สำเร็จเป็นที่สุดก็จริงที่สุด  

มันเป็นเรื่อง“อจินไตย” เป็นเรื่องนิรันดร “ทั้งความมี- ทั้งความไม่มี” โลกียะเขาก็“นิรันดร”ใน“ความมี“ ส่วนพุทธ ที่เป็น“โลกุตระ ก็“นิรันดร”ใน“ความไม่มี”  ก็“นิรันด”ทั้งคู่

ผู้“มี”ก็คือ“ผู้ยังต้องมี” ส่วนผู้“ไม่มี”ได้แล้วจริง ก็เป็น “ผู้ไม่มี” จึงทำที่สุดแห่งที่สุดที่“ความไม่มีนิรันดร”ได้จริง

ศาสนาพุทธเป็น“อเทฺวนิยม” รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง”ของไตรลักษณ์ มี“อนัตตา” มี“สุญญตา” มี“นิพพาน” และที่สำคัญมี“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน” พพพพพพพพพพ

“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”คือ คนผู็เป็นเจ้าของ“จิตวิญญาณ”เองสามารถจัดการกับ“จิตนิยาม”ของตนให้เป็น “อุตุนิยาม” นั่นคือ “จิตวิญญาณ”ของคนผู้นั้นสูญสลายกลายเป็น“ดินน้ำไฟลม”ไป หมดสิ้น“อัตตา”ของตนไปนิรันดรเลย 

จึงไมใ่ช่“ศาสนา”ที่จะมีอยู่ใน“กาลของโลก”ประจำโลกนิรันดร มีบางช่วงที่เป็น“พุทธันดร” หมายความว่า “ระหว่างกาลเวลาช่วงใดที่ไม่มีศาสนาพุทธอยู่เลย  ช่วงนี้แหละคือ “พุทธันดร” เป็น“ช่วงที่โลกกาละนั้น“ไม่มีศาสนาพุทธ”

ในโลกทุกกาละนั้นมีแต่ศาสนา“เทฺวนิยม”ที่ไม่ใช่พุทธ  คือ มีแต่ศาสนาที่เป็น“โลกียธรรม”ทั้งหลายมากมายหลาย ศาสนามีอยู่ในโลก เรียกว่าในโลกตลอดกาลจึงมี“เทฺวนิยม” ประจำโลก ไม่ขาดหายไปจากโลกในกาละไหนเลย มี“ศาสดา เทฺวนิยม”ในทุกยุคทุกสมัยแข่งกันมากมายหลายองค์ ต่างแยกเป็น“ศาสนาเทฺวนิยม”ในยุคเดียวกันคนละศาสนามากหลาย องค์ ซึ่งต่างแยกกันคนละศาสดา ทุกศาสดาล้วนมี“โลกียธรรม” ยังไม่มี“โลกุตรธรรม“ทั้งนั้น ดังที่เห็นๆกันยืนยันอยู่แม้ปัจจุบันนี้ไง!

แต่ศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาเดียวที่มี“โลกุตรธรรม” และในแต่ละยุคกัปป์ จะมีเพียง“ศาสดาพระพุทธเจ้า”องค์เดีย

จะไม่มี“ศาสดาพระพุทธเจ้า”ซ้อนกัน “2 องค์”เป็นอันขาดในยุคกัปป์เดียวกัน หรือในรยะเวลาใกล้ๆกัน

ทว่าก็มีบางช่วง“โลกุตรธรรม”ขาดหายไปจาก“ศาสนา พุทธ”ในบางยุคกัปป์  และที่สุดก็ถึงขั้นโลกในกาละนั้นไม่มี “โลกุตรธรรม”เลย มีแต่ชื่อศาสนาว่า “พุทธ”

โลกยุคนี้ก็คือ ยุค“พุทธันดร”นั่นเอง  

“พุทธศาสนา”จึงไม่ใช่ศาสนาที่มีประจำโลก

แม้แต่ในวงการ“พุทธศาสนา”เองแท้ๆ ก็ยังมีบางกาละ บางยุคที่ชาวพุทธเสื่อมหนักมี“โลกุตรธรรม”ไม่ได้ เช่น ในยุค พ.ศ. 2500 นั่นเอง ไม่มี“โลกุตรธรรม”ในชาวพุทธ ชาวพุทธเองแท้ๆในโลกช่วงนี้ไม่มี“โลกุตรธรรม”กันอยู่ในช่วงหนึ่ง

อาตมาเกิดมาในยุคพ.ศ. 2500 นี้ จึงต้องนำ“โลกตรธรรม”ฟื้นคืนกลับขึ้นมาให้แก่ชาวพุทธ ตามสัจจะที่ต้องเป็นไป

ขออภัยที่พูด“ความจริงซื่อๆ ตรงๆ เหมือนอวดตัวอวดตน  แต่แท้จริงในจิตใจของอาตมาไม่มี“สาเถยฺยจิต”เลยจริงๆ 

 

  

 

  

 

พ่อครูว่า... 



 

ที่มา ที่ไป

650318


เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2565 ( 21:30:01 )

650321

รายละเอียด

650321 ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่มีอยู่ประจำโลก รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 32

https://www.boonniyom.net/51901.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1Y7CuAYQRwC_1IfT-RQVGwzouV_70clYbOlJmVckupfc/edit?usp=sharing  

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1wFjnbfrmDspkr_PO2jKnd53xIu1kIPh5/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/uJrGBFR3_Vc

และ https://fb.watch/bUbSIki_BT/

 

_สู่แดนธรรม… วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 21 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก  มีคนถามว่า สัตบุรุษ หมายความว่าอย่างไร คำว่า สัตว์ คือความข้องเกี่ยวอยู่ แต่สัตบุรุษ คือผู้มีความเป็น 0 แล้วแต่ไม่ยอมสูญ ยังจะมีความข้องเกี่ยวเป็น 1 เหมือนตะขอเบ็ดไว้ ส่วนท่านจะอนุโลมเป็น 2 3 กับใครก็อยู่ที่ท่าน 

พ่อครูว่า…วันนี้ตะลุ่มตุ้มม้ง เด็กๆปิดเทอม ไม่มีเด็กเลยมีแต่ผู้ใหญ่ เด็กๆเขาคงจะไม่   ขวนขวายมาดู แม้ว่ากลับบ้านแล้วก็ไม่ขวนขวายมาดูเท่าไหร่หรอก ก็พูดกับผู้ใหญ่ก็แล้วกัน 

อาตมาวันนี้เตรียมเรื่องที่จะมาพูด คือ เรื่อง 

เข็มทิศโลกุตระชี้ทางรอดเพื่อมนุษยชาติ ของพระโพธิสัตว์

ครบ 2 ปีที่ราชธานีอโศกปิดชุมชน Lock down ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2563 (2020) หลังจากการระบาดเชื้อโควิด-19 เริ่มระบาดเข้าเมืองไทย จนถึงปัจจุบัน

ไม่คิดว่าชีวิตของพวกเราชาวบ้านราชจะปิดชุมชนห่างสังคมได้นานขนาดนี้ มีคำถาม มีปัญหาให้พวกเราช่วยกันคิด ช่วยกันแก้ไขมากมาย ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิต เปลี่ยนรูทีนชีวิต แต่พวกเราก็ผ่านมาได้ ด้วย ความรัก ความเคารพอย่างแรงกล้า ความศรัทธาอย่างแรงกล้าในคำสอนของพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ที่ได้ชี้ทางรอดเพื่อมวลมนุษยชาติมาโดยตลอด จนมาถึงวันนี้คำสอนของพ่อครูก็ชี้ทางออกให้มนุษยชาติเสมอ อยู่ที่ท่านจะเชื่อหรือศรัทธา กล้าที่จะปรับและเปลี่ยนแปลงเพื่อความอยู่รอดของตัวเองและมวลมนุษยชาติหรือไม่

 ...ลองมาทบทวนคำสอนของพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมากันอีกครั้งค่ะ...

20 มีนาคม 2563

พ่อครูประกาศ ปิดชุมชน Lock down หยุดกิจกรรมที่สัมพันธ์นอกชุมชน

 

เมืองไทยเมืองแห่งสาราณียธรรม

พ่อครูว่า…ปี อายุอาตมา 67 ปี ได้มีการฉลองกันที่บ้านราชฯ ตอนนั้นรกเลอะ มีพื้นที่ไม่กี่ไร่ ชิดน้ำมูล มีผู้มาบุกเบิกเรียกว่าพวก 7 ดาว สร้างโรงเรือนอยู่มารวมกันฉลอง ฝนตกเละ มันเท ที่มันไม่เรียบราบ ใครไม่ลื่นไม่มี ทุกคนมาต้องลื่นเลอะเทอะ สนุกจริงๆโดยไม่คาดฝัน มันเปื้อนก็เปื้อน ขี้โคลนก็แฉะเดินไปเดินมาก็ลื่น

จากนั้นก็ขึ้นมาจากฝั่งมูลมาหน่อย ประมาณ 700 เมตร แล้วเรามาบุกเบิกสร้างที่ทางซึ่งถมดินไปเยอะมาก ร้อยล้านนั้นถึงแน่ ขุดไปขุดมาค่าแรงค่าดินด้วย จนอยู่ได้ ทำพืชพันธุ์ธัญญาหารได้ มีสวนหลายสวนมากเลย ยังไม่ถึง 30 ปี 20 กว่าปี 

พ่อครูยกหัวกะหล่ำปลีใหญ่ให้ดู นี่คือผลผลิตที่บ้านราช 

ตอนนี้สุขภาพร่างกายอาตมามันเมื่อย มันตรงกันข้ามกับตอนไปชุมนุมประท้วง เมื่อยก็ไม่เมื่อย เหนื่อยก็ไม่เหนื่อย เราไล่ไปเรื่อยๆเราไม่เมื่อยเราไม่เหนื่อย เดี๋ยวนี้ให้ไปคงไม่ได้แล้ว แต่ถ้ามีเรื่องมันไม่แน่นะ มันอาจจะมี coefficient กระตุ้น (ญาติโยมว่าเดี๋ยวอุ๊งอิ๊งมา)

พูดถึงอุ๊งอิ๊งแล้วก็ขอวิจัยวิจารณ์ร่วมเล็กน้อย ... อาตมาเห็นแล้วก็จะบอกว่าสงสารก็สงสาร จะบอกว่าสมเพชก็สมเพช สมเพชนี่เขาคงหมดมือแล้วทักษิณ หมดตัวเล่น นี่คงเป็นเบี้ยตัวสุดท้ายที่เขาจะเล่น รุ่นลูกรุ่นหลานคงไม่ทัน คงมีตัวอุ๊งอิ๊ง เป็นตัวสุดท้าย 

อาตมาดูโดยองค์รวมตั้งแต่ชีวิตของเขาก็รู้ก็เห็นกันอยู่ในสังคม เพราะว่าเขาเป็นลูกคนดัง ลูกสาวคนสุดท้องคนดัง ตั้งแต่เขาไปกับพ่อ แสดงออก สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุลมาเรื่อยๆ เท่าที่อาตมามีปฏิภาณ ทักษิณหมดตัวเล่นจริงๆ แล้วก็ยังมุ่งมั่น ที่จะเข็นอุ๊งอิ๊งนี่ขึ้นมา เห็นว่าเมืองไทยนี้ เป็นหมูในอวยของเขา เขาจะทำอย่างไรก็ได้ เขาจะบันดลบันดาลอย่างไรก็ได้ อาตมาก็ว่ามันก็จะจริงอย่างที่เขารู้สึกหรือ มันจะจริงอย่างที่เขาเชื่อถือเชื่อมั่นในตัวเขา 

เมืองไทยนี่แสนดี นักโทษถูกตัดสินจำคุก แสดงตัวก็ปล่อยให้แสดงตัววิจัยวิจารณ์บ้านเมืองก็ปล่อยให้วิจัยวิจารณ์ไปอย่างอิสระเสรีภาพ ใจดีมากๆเมืองไทย ถ้าเป็นคิมจองอึนเขาส่งคนไปตามเก็บแล้ว ป่านนี้ไม่เหลือแล้ว

แต่นี่คนไทยไม่ใช่คนโหด แสดงถึงน้ำใจคนไทยที่เมตตาเกื้อกูลไม่อาฆาตมาดร้ายใคร ถือว่าเป็นกรรมวิบากของแต่ละคน ใครทำกรรมใดกรรมนั้นเป็นของตน ชั่วหรือดีก็ตาม เป็นของของตน ทำแล้วก็สั่งสมอกุศล กุศล เป็นของตน เชื่อกรรมเชื่อวิบาก ซึ่งเป็นเรื่องจริง กรรมเป็นอันทำ ทำแล้วไม่รับก็ไม่ได้ จะต้องเป็นของของตน ออกฤทธิ์ออกเดช กัมมโยนิ พาคนเป็นไป กรรมเป็นพระเจ้า God 

ปัญญา 8 อาตมาเขียน เสร็จเล่ม 1 แล้วกำลังเขียนเล่ม 2 อยู่

เมืองไทยมีตัวอย่างที่ชัดเจนทั้งตัวอย่างผู้เจริญและทั้งผู้เสื่อม หรือทั้งคนดีและคนชั่ว เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมีในประเทศไทย ตัวอย่างที่ดี ดีจนกระทั่งเป็นถึงโลกุตรบุคคล เป็นคนระดับโลกโลกุตระ ซึ่งพิเศษกว่าโลกสามัญโลกียชน Mundane ส่วนโลกุตระคือ Supramundane เป็นโลกที่เหนือกว่าโลกียสามัญเขาทั้งหลายในโลก มีโลกุตระ มีมนุษยชาติที่เป็นโลกุตระกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งอยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่ง สมัยพระพุทธเจ้าก็อยู่ในอินเดียเนปาล สมัยนี้ก็เลื่อนมาอยู่ที่ประเทศไทย พุทธศาสนาอยู่ในหลายประเทศ แต่ประเทศที่เป็นโลกุตระนั้นคือไทย

ที่พูดไม่ได้โมเม แต่มีปรากฏการณ์จริง ของความเป็นมนุษย์ที่มีพฤติกรรม ของความเป็นโลกุตระ เช่น มีลักษณะสาราณียธรรม 6 มี สาธารณโภคี 

พุทธพจน์ 7 มี สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ  

สาราณียะ มีความระลึกถึงกัน ระลึกถึงกันด้วยใจปรารถนาดี ไม่ได้มีความปรารถนาร้ายต่อกัน ระลึกถึงอย่างมีความรัก ปิยกรณะ, ระลึกถึง อย่างมีความเคารพ คุรุกรณะ, ระลึกถึง อย่างที่มีการช่วยเหลือกัน สังคหะ ไม่มีเชื้อธุลีแล้วการวิวาท อวิวาทะ.. ไม่มี จะไปทำให้เกิดความแตกแยกไม่มี มีแต่ความแตกต่าง แตกต่างนั้นพูดวิเคราะห์วิจัยเก่งแต่ไม่ปรารถนาจะทำความแตกแยก พร้อมเพรียงกันเท่าที่จะทำได้เสมอสมานกันด้วยศีล ศีล 5 เสมอศีล 5 ศีล 8 เสมอศีล 8 ศีลปาติโมกข์เสมอศีลปาติโมกข์ รวมแล้วมีน้ำหนึ่งใจเดียวกันเอกีภาวะ เป็นลักษณะ 7 เป็นเรื่อง สันทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก 

 

เป็นยุคที่ใกล้กลียุค แต่ก็ยังมีคนมีคุณสมบัติพิเศษโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า ยังไม่ได้ ปฏิบัติได้ ประพฤติได้เป็นชุมชนหมู่ มีวัฒนธรรม มีรูปแบบยืนยันได้  

ถ้าเขารู้จะยกย่องเชิดชู รางวัลมีเท่าไรจะเอามาให้เยอะแยะ แต่เขาไม่รู้ว่าประเสริฐอย่างไร ซึ่งเราก็เห็นใจเขา เข้าใจเขาอยู่ เพราะเราเข้าใจเราจึงไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจหรือเสียใจไม่ได้รู้สึกว่าต่ำต้อยต่ำเตี้ยอะไร เราก็เป็นสุขสบายของเราไปตามประสาของเราๆ 

กล้วยหอมมีกิน กะหล่ำปลีมีกิน แตงโมมีกิน มะเขือเทศมีกิน ทั้งนั้นแหละบนโต๊ะของเรา มีแตพืชธัญญาหาร มันแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ ของพวกเราเอง ผลิตด้วยน้ำมือน้ำใจอุตสาหะวิริยะของเราแท้ๆ แล้วเราก็รู้มั่นใจว่า นี่แหละเป็นหนึ่งในโลก ผลิตให้มากๆๆ ให้คนทั้งโลกแจกจ่ายไปให้ทั่ว ขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้ก็ไปได้ เลี้ยงชีวิตได้จริงๆเพราะเป็นอาหารของคน 

พวกเราอย่าได้แต่ชื่นชมอย่างเดียวให้ขยันหมั่นเพียรด้วย ชีวิตคนแต่ละคนนั้น มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นของของตน เพราะฉะนั้น ตราบที่คุณยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน จะเป็นสำเภาทองให้แก่คุณได้อาศัยไปตลอดจนกว่าจะแยกธาตุตายปรินิพพานเป็นปริโยสาน แยกธาตุจิตนิยามเป็นดินน้ำไฟลม ซึ่งอธิบายไปหมดแล้ว ไม่มารวมติดกันอีกแล้ว แค่พีชก็ไม่เหลือ จิตยิ่งมีความเป็นสัตว์ยิ่งไม่เหลือ

นี่คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่ทำได้จริงๆเป็นสุดยอดแห่งวิทยาศาสตร์ความจริงทางจิตวิญญาณ 

คนทั่วโลกทางวิทยาศาสตร์ก็ตามยังไม่ถึงง่ายๆ ก็ค่อยๆเป็นไป เพราะว่าพิสูจน์ความจริงไป อย่างอาตมาพาทำได้อาตมาเป็นไก่ตัวพี่ มานำพาทำในยุคนี้ คนมาทำได้จนเกิดเป็นวัฒนธรรม ตามคำสอนพระพุทธเจ้า เช่น มีวรรณะ 9 มีสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 เป็นสิ่งที่สุดยอดแล้ว ไม่มีอะไรที่จะยิ่งกว่านี้อีกแล้ว 

 

มีผู้ได้รวบรวมที่เกิดเหตุการณ์ Covid ขึ้นมา 

 

20 มีนาคม 2563

พ่อครูประกาศ ปิดชุมชน Lock down หยุดกิจกรรมที่สัมพันธ์นอกชุมชน

18 เมษายน 2563 

ประเทศไทยต้องหันมาส่งเสริมกสิกรรมให้ยิ่งใหญ่  ข้าวต้องราคาถูก อาหารราคาแพงไม่ได้ คนตายก็คือคนจน

ต้องมีปัญญารู้ว่า เราจะไปรวยทำไม มันเป็นเศษกระดาษ

เรารวยผลผลิตทางพืชพันธุ์ธัญญาหารนี้อุดมสมบูรณ์

“แบบคนจน” เป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์ เรารู้ว่า เราจนธนบัตร แต่เรารวยปัจจัย 4 สิ่งที่สำคัญของชีวิตเรารวย เพราะฉะนั้นจึงมีสัมมาอาชีพ มีอาชีพที่บริสุทธิ์

 

พ่อครูว่า…ในยุคนี้คนที่จะมาย้ำเรื่องคนจน คืออาตมากับ ในหลวงรัชกาลที่ 9 คนที่มาเป็นคนจนได้แล้วเคยแพ้ได้ยังไม่ง่าย อาตมาพาทำหรือยังไม่ง่าย แต่ง่ายหรือยากมันต้องทำไม่มีทางเลือกมากกว่านี้ คนจนนี่เป็นคำสิริมหามายา เป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ใช่คนรวยธนบัตร รวยเพชรนินจินดา รวยทองคำ  รวยน้ำมัน ไม่ใช่ แต่ว่ารวยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ที่เป็นอาหาร ซึ่งทุกคนก็ต้องกิน ธนบัตรกินไม่ได้ ทองคำกินไม่ได้ เพชรนิลจินดากินไม่ได้ ถ้าขืนกินแล้วตายโหงเลย 

 

15 พฤษภาคม 2563 

หลังจากโควิดผ่านไป น้ำมัน เตรียมตัว มันจะจบ และอีกอันหนึ่ง ที่เขาจะรู้สึกมากคือ ธนบัตร แบงก์โน้ต ตั๋วแลกเงิน  ใบแทนค่าต่างๆจะค่าตก

ผู้มีปัญญา มุ่งเข้าไปหาสาระเลยว่า ข้าว พืชผัก ผลไม้ต่างหากของแท้ ธนบัตร กินไม่ได้หรอก ทำให้ชีวิตรอด..ไม่ได้หรอก

พ่อครูว่า... และอีกอันที่เขาจะรู้สึกมากเลยคือ ธนบัตร Bank note  ตั๋วแลกเงินนี่ ค่ามันจะตก คนที่มีปัญญาแล้วจะรู้จักว่า ธนบัตรเงินทองข้าวของ แม้แต่เพชรนิลจินดาทองคำ มันจะมีประโยชน์คุณค่าเท่าพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่ได้ คนจะค่อยๆฉลาดรู้ความจริง ว่าที่ไปบ้าหอบฟางไม่ใช่หมาหอบแดด มันไม่ใช่ มันไม่ได้พาชีวิตรอดจริงๆหรอก มันบ้าหอบฟาง แล้วไม่ใช่วัวควายกินฟาง ฟางก็กินไม่ได้ 

 

24 พฤษภาคม 2563  COVID 19 

โควิดเป็นอันหนึ่งในสังคมโลก มาเป็นเครื่องทดสอบ มาออกข้อสอบ ให้มนุษย์ทำข้อสอบ

ปรากฏว่า มนุษย์ชาติไหนเจริญ ชาตินั้นถูกเล่นงานน้อย ตายจากโควิดน้อย ก็เป็นคำตอบได้ว่า สหรัฐอเมริกาไม่ได้เจริญกว่าไทยเลย เพราะติดโรคมากกว่า ตายก็มากกว่า ไทยติดน้อย ตายน้อย

 

11 กันยายน 2563

อาหารเป็นหนึ่งในโลก เราจะเป็นผู้ที่มีคุณค่าประโยชน์ต่อโลก เพราะเราสร้างอาหารดี มีคุณภาพ ไม่มีพิษ ไม่มีภัย จะเป็นประโยชน์ยิ่งใหญ่แก่มนุษยชาติในโลก

 

5 มกราคม 2564

ประกาศราชธานีอโศก ปิดชุมชน มาตรการป้องกันขั้นสูงสุด (เริ่มมีข่าวการระบาดอีกระลอกเชื้อเดลต้าร้ายแรงขึ้น ติดไวขึ้น)

 

29 เมษายน 2564 มีสติ อย่าประมาท การ์ดอย่าตก 

 

30 สิงหาคม 2564  

กสิกรรมยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก  อาหารเป็นหนึ่งในโลก ยิ่งใหญ่กว่าเพชรนิลจินดา ยิ่งใหญ่กว่าอาวุธ ยิ่งใหญ่กว่าอำนาจ

 

22 กันยายน 2564  

คนสร้างอาวุธฆ่ากัน โง่ที่สุด คนสร้างอาหาร ฉลาดที่สุดในโลก

โลกเขาจะเป็นอย่างไร หากมีวิกฤตยิ่งกว่า covid จะเป็นอย่างไร เห็นทางรอดของมนุษยชาติไหม

 

6 พฤศจิกายน 2564 งานมหาปวารณา

โศลกธรรมชาวอโศก ปี 2564 คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานต์สร้างอาวุธ

 

1 มกราคม 2565    ส.ค.ส. 2565 คนฉลาดสร้างอาหาร

 

7 กุมภาพันธ์ 2565

เราจนที่สุด ในสิ่งที่คนทั้งโลก เขาหลงใหล

เรารวยที่สุด ในสิ่งที่เป็นพืชพันธุ์ ธัญญาหาร

 

16 มีนาคม 2565

พึ่งตนเองให้รอด อย่าลืม..ว่าเรามีจุดเด่น

พืชพันธุ์ธัญญาหารของเราเหนือชั้นกว่าน้ำมัน คนกินน้ำมันไม่ได้หรอก..ตาย

 

16 มีนาคม 2565

พวกเราชาวอโศก บ้านราชฯก็ดี ให้พัฒนาไฟแดด โซล่าเซลล์ พัฒนาให้ดีจริงๆ เอาใจใส่ เพราะมันจะไปอีกยาวนาน 

พลังงานจากคุณพ่อพระอาทิตย์นี้ ให้แก่เราอย่างบริสุทธ์ใจ ได้ฟรี ไม่มีใครบังอาจจะมากั้นได้ เพราะตั้งใจ

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สู่แดนธรรม... คนยุคใหม่ ถ้าถามว่าคนที่จะสอนให้เป็นอรหันต์กับคนที่สอนคนไปรวย เขาจะฟังใคร คิดว่าเขาคงไม่ฟังคนที่จะให้ไปเป็นอรหันต์ หากว่าคนจะสอนคอร์สออนไลน์สอนให้รวยคนจะแห่กันไปฟัง ส่วนพ่อท่านนั้นไม่รอไม่หวังแต่เราทำ

 

พ่อครูว่า... อาตมาจะเอา ที่เขียนอยู่ในปัญญา 8 ข้อ 

 

ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่มีอยู่ประจำโลก

_(170) “ศาสนาพุทธ”ไม่ใช่ศาสนาที่มีอยู่ประจำโลก  

“พญานาค”นี้คือ ลัทธิ“หลับตา”หลับไม่รู้คู้ไม่เห็นของศาสนาเดียรถีย์เขา เขาก็“หลับตา”ปฏิบัติของเขาไปยืนยันความเป็นเดียรถีย์ของเขา ก็เป็นธรรมดาสามัญของเขาที่เดียรถีย์“มี”อยู่ประจำโลก

“พุทธที่เป็นโลกุตระ”ต่างหากที่“ไม่มีอยู่ประจำโลก”

ศาสนาพุทธจึง“มี”ขึ้นในโลกเป็นคราวๆ แล้วก็จะ “ไม่มีศาสนาพุทธ”ไปช่วงหนึ่งเรียกว่า“พุทธันดร(ช่วงที่โลกไม่มีศาสนาพุทธในกาลช่วงนั้น)” แล้วจึงจะ“มี”พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา“สถาปนา”ศาสนาพุทธขึ้นมาใหม่อีก” เรียกว่า “ภัทรกัปป์(คือในช่วงที่มีศาสนาพุทธมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาประกาศศาสนาต่อกันหลายพระองค์ บางภัทรกัปป์ก็มีมากเกิน 5 พระองค์เป็น 10 เป็น 100  กัปป์ที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาน้อยที่สุด เช่น ใน“ภัทรกัปป์ของพระพุทธเจ้าสมณโคดม”นี้แล ก็มีเพียง 5 พระองค์ จากนี้ก็เป็นกลียุค เป็นยุคโหดเหี้ยมเลวร้าย ฆ่ากันตายมากมาย ทั้งเลือดร้อน เลือดเย็น มนุษย์ในโลกก็เหลือน้อยลงๆ ก็จำต้องหยุดพักยกการฆ่ากัน)” สิ้น“ภัทรกัปป์”ก็เป็น“พุทธันดร”คือช่วงที่ไม่มีศาสนาพุทธ จะเว้นระยะเวลาโลกว่างจากศาสนาพุทธไปช่วงหนึ่ง จะสั้นจะยาว ก็ตามแต่“กาละ-เทศะ-ฐานะ”ที่จะมีเหตุมีปัจจัยเป็นสัดส่วนปรุงแต่งกันให้ “เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป” ได้นั้นๆเท่าที่มันจะมีจะเป็น กำหนดตายตัวไม่ได้ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย

“การหลับตาปฏิบัติ”นั้นมัน“มี”อยู่ประจำโลก มันเป็น “หลักปฏิบัติของเดียรถีย์”แท้ ไม่มีขาดหายไปหมดจากโลกหรอก การ“หลับตา”ปฏิบัติเป็น“โลกียธรรม” เป็นของ“เทฺวนิยม” 

เขาก็“มี”ของเขาไป มันก็เป็นปกติธรรมดาของโลกียะ    

พระพุทธเจ้าตรัสว่า อาศัย“ความมี”กับ“ความไม่มี”นี้แหละในโลกที่ใช้“สื่อ”แสดงต่อกันให้รู้  ไม่มีอื่นหรอก สรุปแล้วมี 2 ขั้ว “ความมี-ความไม่มี”จึงเป็น“เทฺว”หรือ“ภาวะ 2”คู่ยิ่งใหญ่ อาศัยสิ่งนี้แหละสอนกันพูดกันทำกันให้ได้ให้ครบ ที่ทำให้คนผู้สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงก็จะ“รู้จบ”ทุกสรรพสิ่งได้ (พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 43) 

อาตมาทำ pattern ของการเดินทางของการสืบสานโลกุตระไว้ 500 ปีจะ peak สูงสุดแล้วก็จะไม่สูงไปกว่านั้นแล้ว อยู่สุดยอด แล้วจากนั้นจะค่อยๆเสื่อมเป็นโมเมนตั้ม ลงไปอีกนาน กว่าจะจบก็ไปอีก 2500 ปี ก็ค่อยๆเสื่อมผิดเพี้ยนเหลือน้อยลง โลุกตระเละเทะไปเรื่อยๆ 

สรุปแล้ว ในโลกนี้มี“ภาวะ 2”ได้แก่“ความมีกับความ ไม่มี” เช่น ยุคนี้มี“พญานาค”ที่เป็น“ผู้หลับตาปฏิบัติ”นั้น“มี”กันอยู่จำนวนมาก ส่วนผู้ที่เป็น“อาริยบุคคล”คน“ผู้ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิ”ลืมตาปฏิบัตินั้น จะว่า “ไม่มี”ก็เกือบจะ“ไม่มี” ปานนั้นจริงๆในยุค“กึ่งุทธกาล”ที่เสื่อมมากหนักนี้ 

ซึ่งมัน“ไม่มีโลกุตระ”นั่นเองสำหรับคนผู้“ไม่มี” เพราะยังไม่เป็น“ผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบานแล้ว” จึงยังไม่ชื่อว่า “พุทธ” เนื่องจากยัง หลงผิดใช้วิธี“หลับตา”ปฏิบัติ

แม้กระนั้น ผู้ที่มี“โลกุตรธรรม”แล้วก็ยังคือ ผู้เป็น “อนุปฺปคัมมะ”หรือ“ผู้เป็นกลาง(ผู้มัชฌิมะ)” เป็นผู้ไม่ได้ชัง“คนผิด” แล้วก็ชอบ“คนถูก”

เพียงเป็นผู้“ชี้บอก”เท่านั้น ว่า อันใด“ผิด” อันใด“ถูก” และควรข่ม“คนผิด”ก็ข่ม ยก“คนถูก” (พ่อครูไอตัดออกด้วย) ก็ทำไปตาม“สัจธรรม”เป็นปกติธรรมดาของคนที่“ไม่ดูดาย” ไม่ยอมเป็นคนอยู่แบบหนักแผ่นดิน  แต่การ“ข่ม”นั้นย่อมเป็น“คำที่ไม่น่ารัก”ไม่น่ารื่นรมย์แน่

ยุคนี้ยิ่งเป็นยุคคนเสื่อมไปจากศาสนาพุทธตรงตามคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าอยู่แท้ๆ ก็แน่นอนว่า คนผู้บรรลุโลกุตรธรรมนั้นย่อมมีน้อย     

แต่คนในโลกมันมี“ผู้ไม่รู้(อวิชชา)จำนวนเทียบกับ“ฐานปีรามิด”นั้นย่อมมากกว่า “ผู้รู้(วิชชา)”ที่เป็นส่วน“ยอดของปีรามิด” มันก็เป็นธรรมดาสามัญแท้ๆตามสัจจะ  ใครๆก็เห็นได้ เข้าใจได้ ไม่ใช่“ความลึกลับ”ไปจากปกติโลกกันตรงไหน  

เพียงแต่“จิตผู้เป็นกลาง”ของ“ความเป็นกลาง” ไม่ชอบ-ไม่ชังฝ่ายใดนี้เป็น“อจินไตย”ที่จะใช้“ตรรกะ”หรือ“เดา”ไม่ได้

ผู้มี“อภิภุยฺย”เป็น“อนุปคัมมะ”คือผู้มีอิทธิพลเหนือ “ความมี-ความไม่มี” จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง-ความไม่จริง” จึงเห็นชัดเจนได้ว่า คนผู้“มี” เขาก็ยัง“มี” จนกว่าเขาจะเข้าถึง“ความไม่มี”เป็นที่สุดแห่งที่สุดได้ จึงจะทำ“ความไม่มี(น โหติ)” ที่เป็น“อนัตตา”หรือเป็น“สูญ” แยก“ธาตุจิตของตน(จิตนิยาม)”ให้หมดสิ้นไปเป็น“ดินน้ำไฟลม(อุตุนิยาม)”สำเร็จเป็นที่สุดก็จริงที่สุด  

มันเป็นเรื่อง“อจินไตย” เป็นเรื่องนิรันดร “ทั้งความมี- ทั้งความไม่มี” โลกียะเขาก็“นิรันดร”ใน“ความมี“ ส่วนพุทธ ที่เป็น“โลกุตระ ก็“นิรันดร”ใน“ความไม่มี”  ก็“นิรันดร”ทั้งคู่

ผู้“มี”ก็คือ“ผู้ยังต้องมี” ส่วนผู้“ไม่มี”ได้แล้วจริง ก็เป็น “ผู้ไม่มี” จึงทำที่สุดแห่งที่สุดที่“ความไม่มี นิรันดร”ได้จริง

ศาสนาพุทธเป็น“อเทฺวนิยม” รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง”ของไตรลักษณ์ มี“อนัตตา” มี“สุญญตา” มี“นิพพาน” และที่สำคัญมี“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน” 

“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”คือ คนผู้เป็นเจ้าของ“จิตวิญญาณ”เองสามารถจัดการกับ“จิตนิยาม”ของตนให้เป็น “อุตุนิยาม” นั่นคือ “จิตวิญญาณ”ของคนผู้นั้นทำให้สูญสลายกลายเป็น“ดินน้ำไฟลม”ไป หมดสิ้น“อัตตา”ของตนไปนิรันดรเลย 

จึงไม่ใช่“ศาสนา”ที่จะมีอยู่ใน“กาลของโลก”ประจำโลกนิรันดร มีบางช่วงที่เป็น            “พุทธันดร” หมายความว่า “ระหว่างกาลเวลาช่วงใดที่ไม่มีศาสนาพุทธอยู่เลย  ช่วงนี้แหละคือ        “พุทธันดร” เป็น“ช่วงที่โลกกาละนั้น“ไม่มีศาสนาพุทธ”

คนมีกรรมเป็นของๆตน จัดการกรรมของตนอยู่กับกาละ ผู้รู้จัก kamma and time of continuum นี่เป็นสูตรของอาตมา แต่สูตร ไอสไตน์ คือ  Space and time of continuum เขารู้จักวัฏฏะ พลังงาน continuum ที่สังเคราะห์สังขารต่อเนื่องทุกปัจจุบัน continuum คือสันตติ ปัจจุบัน ใน continuum ของ Space and Time นี่คือ ทฤษฎีของไอสไตน์ 

อาตมาสรุปว่า Kamma and Time of continuum 

ในโลกทุกกาละนั้นมีแต่ศาสนา“เทฺวนิยม”ที่ไม่ใช่พุทธ คือ มีแต่ศาสนาที่เป็น“โลกียธรรม”ทั้งหลายมากมายหลากหลาย ศาสนามีอยู่ในโลก เรียกว่าในโลกตลอดกาลจึงมี“เทฺวนิยม” ประจำโลก ไม่ขาดหายไปจากโลกในกาละไหนๆเลย มี“ศาสดา เทฺวนิยม”ในทุกยุคทุกสมัย แข่งกันมากมายหลายองค์ ต่างแยกเป็น“ศาสนาเทฺวนิยม”ในยุคเดียวกัน คนละศาสนามากหลายองค์ ซึ่งต่างแยกกันคนละศาสดา ทุกศาสดาล้วนมี “โลกียธรรม” ยังไม่มี                “โลกุตรธรรม“ทั้งนั้น ดังที่เห็นๆกันยืนยันอยู่แม้ปัจจุบันนี้ไง!

มีศาสนาใหม่ที่จะขึ้นมาคือศาสนาบาไฮ ของพระบาฮาอุลล่าห์ แต่อาตมาบอกเลยว่าไม่ขึ้น และมีศาสนา static อย่างศาสนาอิสลาม เชื่อแต่พระเจ้าอย่างเดียว จนอีกนานกว่าจะหลุดพ้นจากความแน่นแข็งตรงนั้น จะเห็นได้ว่าที่กำลังเกิดสงครามตอนนี้ก็เป็นสายอิสลามทั้งนั้น สายที่เขารู้จักตัวตนขึ้นมาเรื่อยๆก็จะค่อยๆเลิกมา พวกไม่รู้จักตัวตนจะเป็นอย่างนี้อีกนานแสนนานและบังคับเขาไม่ได้ด้วย พูดอย่างไรเขาก็ไม่รู้เรื่อง ดีไม่ดีก็เป็นพิษเป็นภัยแก่เราด้วยถ้าพูดมากๆเดี๋ยวโดน เพราะฉะนั้นก็ต้องระมัดระวัง 

แต่ศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาเดียวที่มี “โลกุตรธรรม” และในแต่ละยุคกัปป์ จะมีเพียง“ศาสดาพระพุทธเจ้า”องค์เดียว

จะไม่มี“ศาสดาพระพุทธเจ้า”ซ้อนกัน “2 องค์”เป็นอันขาดในยุคกัปป์เดียวกัน หรือในระยะเวลาใกล้ๆกัน

ทว่าก็มีบางช่วง“โลกุตรธรรม”ขาดหายไปจาก“ศาสนา พุทธ”ในบางยุคกัปป์  และที่สุดก็ถึงขั้นโลกในกาละนั้นไม่มี “โลกุตรธรรม”เลย มีแต่ชื่อศาสนาว่า “พุทธ”

โลกยุคนี้ก็คือ ยุค“พุทธันดร”นั่นเอง  

“พุทธศาสนา”จึงไม่ใช่ศาสนาที่มีประจำโลก

 

แม้แต่ในวงการ“พุทธศาสนา”เองแท้ๆ ก็ยังมีบางกาละ บางยุคที่ชาวพุทธเสื่อมหนักมี“โลกุตรธรรม”ไม่ได้ เช่น ในยุค พ.ศ. 2500 นั่นเอง ไม่มี“โลกุตรธรรม”ในชาวพุทธ ชาวพุทธเองแท้ๆในโลกช่วงนี้ไม่มี“โลกุตรธรรม”กันอยู่ในช่วงหนึ่ง

อาตมาเกิดมาในยุคพ.ศ. 2500 นี้ กึ่งพุทธกาล จึงต้องนำ“โลกุตรธรรม”ฟื้นคืนกลับขึ้นมาให้แก่ชาวพุทธ ตามสัจจะที่ต้องเป็นไป

ขออภัยที่พูด“ความจริงซื่อๆ ตรงๆ เหมือนอวดตัวอวดตน  แต่แท้จริงในจิตใจของอาตมาไม่มี“สาเถยฺยจิต”(จิตอยากอวดโอ่)เลยจริงๆ อาตมาพูดความจริง ถ้าอาตมาพูดโกหกแล้วมันก็เป็นบาปอาตมาก็รับบาปไป อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับนี้แล้วจะไปทำบาปให้แก่ตัวเองทำไม รู้ว่าเป็นบาปแล้วจะไปทำบาปให้โง่ทำไม

(171) ศาสนาพุทธมี“จรณะ 15 วิชชา 8”ที่ประจักษ์สิทธิ์ 

พ่อครูว่า...ขอขึ้นหัวข้อไว้แค่นี้ 

สู่แดนธรรม... สรุปจบ 




















 

 

“ศาสนาพุทธ”เป็นศาสนาที่มี“จรณะ 15 วิชชา 8 เป็น “พุทธคุณ”แท้ๆที่ประจักษ์สิทธิ์ สำเร็จผลได้เป็นที่ประจักษ์จริง

สำหรับผู้ที่ปฏิบัติตาม“จรณะ 15 วิชชา 8”สัมมาทิฏฐิก็เป็นคนมี“ศีล”เป็นที่ประจักษ์​ มี“การสำรวมอินทรีย์ 6”เป็นที่ประจักษ์ มีการศึกษาปฏิบัติลดละกิเลสในขณะกินอาหารในขณะใช้วัตถุข้าวของ มีการพากเพียรเป็น“ผู้ตื่นอยู่”เสมอมี“วิญญาณฐีติ 7”ในขณะ“ลืมตา”ปฏิบัติกับ“กาย”กับ“สัญญา”

ถ้าขืน“หลับตา”ปฏิบัติ ก็ไม่มี“กาย”ให้ปฏิบัติ    

ผู้“หลับตา”ปฏิบัติจึงเป็นผู้“มิจฉาทิฏฐิ”

เพราะไม่มี“สำรวมอินทรีบ์ 6” มีแต่นั่ง“หลับตา” นั่นคือ ไม่ได้มีการปฏิบัติระมัดระวังขณะที่“ตากระทบรูป”อยู่นั้น “กาย-วาจา-ใจ”ของเราจะมี“ทุจริตกรรม”ใดเกิดขึ้นบ้าง  

เช่น “กาย”ภายนอกจะผิด“ศีลข้อ 1-2-3”อะไร? ไฉน? ก็จะต้องระมัดระวังอย่าให้เกิดขึ้นเป็นอันขาด

หรือขณะเรามี“กรรมกิริยา”ทุกอิริยาบถ เราก็ต้องสำรวมอินทรย์เรียนรู้เพื่อปฏิบัติกำจัดกิเลสเสมอ 

เพราะ“กรรม”เป็น“ความจริง” ถ้าเราทำลงไปแล้ว เป็น “บาปอกุศล” กรรมนั้นก็สั่งสมเป็น“วิบากติดตัวเราไปเป็นของเรา”จริงๆ ไม่เอาก็ไม่ได้ แบ่งให้ใครก็ไม่ได้ 

“วาจา”ภายนอกจะผิดศีลข้อ 4 อะไร? ไฉน? ก็จะต้องระมัดระวังอย่าให้เกิดขึ้นเป็นอันขาด

ใน“มรรคองค์ 8”ผู้สัมมาทิฏฐิจึงชัดเจนในการปฏิบัติควบคุม“สังกัปปะ 7” ตามหลัก“ศีล”แต่ละข้อ มี“อปัณณกปฏิปทา 3-สัทธรรม 7”ที่พาให้เกิด“ฌาน 4”ด้วย“วิชชา 8” เป็นผู้“ลืมตา”ปฏิบัติ ไม่“วิจิกิจฉา”เลยว่า “ฌาน”ของพุทธคือ “ฌานลืมตา” ผู้“หลับตา”ปฏิบัติจึงเป็นผู้ยัง“มิจฉาทิฏฐิ”อยู่ในพุทธ

พระพุทธเจ้าเปรียบเปรยผู้มิจฉาทิฏฐิออกนอกรีตนั้น เป็นโจรปล้นศาสนา เช่น คนที่“หลับตา”ปฏิบัติเป็นต้น.

พระพุทธเจ้าทรงสมมุติว่า มีพระราชาคือ ผู้เป็นใหญ่ที่รักษาสมบัติอย่าให้โจรมาปล้นเอาสมบัติไปได้ หากมี“โจร”เกิดขึ้นก็ทรงให้ไปประหารด้วยหอก 100 เล่ม แม้ในตอนเช้า ถ้ายังไม่ตายก็ให้ไปประหารอีกในตอนกลางวัน และหากยังไม่ตายอีกก็ให้เอาไปฆ่าอีกตอนเย็น แล้วท่านก็จบไว้แค่นั้น

เพราะลัทธิ“เดียรถีย์เป็นลัทธิประจำโลก จะในอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต และทุกวันนี้ก็ยัง“มี”เดียรถีย์ หรือในโลกคนผู้“อวิชชา”นั่นแหละที่ยังงมงายอยู่กับการ“หลับตา”ปฏิบัติ มันไม่หนีหายไปจากโลกหรอก  มันก็ยังเป็น“โจร”แทรกเข้ามาปล้นศาสนาอยู่จนได้นั่นแหละ 

ผู้“หลับตา”ปฏิบัติ ที่เข้าใจ“กาย”ยังไม่“สัมมาทิฏฐิ”นั้น มันปฏิบัติเป็น“เดียรถีย์”จริงๆ เพราะมันไม่มี“ภายนอก” ไม่มี “วิญญาณฐีติ”ให้ปฏิบัติ  มันมีแต่“วิญญาณสัมภเวสี”  

“หลับตา”ปฏิบัตินั้นมันเป็น“การปฏิบัติของเดียรถีย์” ซึ่งมันไม่ใช่ลัทธิของศาสนาพุทธ  ไม่ใช่วิธีปฏิบัติของพุทธที่ “สัมมาทิฏฐิ”เลย  

ดังที่คนไทยชาวพุทธในยุคปัจจุบันนี้ยังหลงเชื่อกันว่า การปฏิบัติที่จะเกิด“ฌาน”ก็ดี เกิด“สมาธิ”ก็ดี แม้ที่สุดเกิด“นิพพาน”นั้นต้อง“หลับตา”ทำสมาธิเข้าไปๆ จึงจะได้ 

ซึ่งมันผิด นั่นไม่ใช่แบบของพุทธเลยสักนิด

ดังเรื่องเกี่ยวกับคำว่า“พญานาค”อันคือ “งู”ที่ภาษาบาลีคือ “นาค”ตามที่เล่าให้ฟังนั้นแล   

ชาวพุทธได้พากันหลงผิด“หลับตา”ปฏิบัติเป็นเดียรถีย์กันไป หลงมืดสนิทสนมเชื่อถือ“เดียรถีย์”กัน กระตุกกันยังไง กระแทกกระทุ้งแรงจัดขนาดไหน ก็ไม่ฉุกคิดกัน “ไม่ตื่น”ได้ง่ายๆ

ก็เปรียบได้เช่นเดียวกันกับ“พญานาค”ที่นอนหลับไม่รู้คู้ ไม่เห็นดับมืดมนอนธกาลอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรสุดลึก เฝ้า “ถาดทองของพระพุทธเจ้า”ทุกพระองค์ที่เคยอุบัติขึ้นมาในโลกแล้วล้านๆพระองค์

 •••••[จบ“ปัญญา 8”ของพุทธศาสนา เล่ม 1]••••• 




 


เวลาบันทึก 23 มีนาคม 2565 ( 20:20:51 )

650323

รายละเอียด

650323 ปัญญา 8 เล่ม 1 ตอนที่ 1 พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ 

https://www.boonniyom.net/51900.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/180RoL84rm-25KoWvW0RS6bEV75riNyP0Xl_SLRuAH68/edit?usp=sharing    

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1TsdJyd0aBCkf3Kw5AaaxCbUrCtt8a4l2/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/bWPG_tpeAO/ 

และ https://youtu.be/ltE0wo_KPDY 


 

สมณะฟ้าไท... วันนี้เป็นวันพุธที่ 23 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก เรามาศึกษาธรรมะแบบลืมตาจากพ่อครูกันต่อ

พ่อครูว่า... เรื่องลืมตาหลับตาคงพูดกันอีกนาน เพราะว่ามีคนที่เป็นพญานาคจริงๆ คนที่มีลักษณะจิต เป็นจิตพญานาคจริงๆเลย หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น กูมั่นใจของกูแล้ว แล้วก็ปฏิบัตินั่งหลับตาไป อยู่อย่างนั้นแหละ จะพูดอย่างไรอย่างไรไม่ฟังแล้ว เคยฟังแล้วก็ไม่ฟังแล้วก็ยังเชื่อมั่นว่า หลับตานี่แหละ มีไม่ใช่น้อยนะ เพราะอย่างนั้น มันจะต้องเหนื่อย เหนื่อยไปอีกนาน 

 

SMS วันที่  18-20 มีนาคม 2565

 

_สติพล จนพัฒนา : **ผมเห็นด้วยล้านเปอร์เซ็นต์ครับที่จะไม่ใช้ไฟฟ้าใช้โซล่าเซลล์แทน.โดยเฉพาะชาวอโศกต้องนำร่องก่อน(ผู้นำ-ต้องทำก่อน)ครับ.

พ่อครูว่า... อาตมาเอง ก็ไม่เก่งเอง ก็อาศัยคนที่มีความรู้ความสามารถช่วยกันเถอะ นำไปอย่างน้อยที่สุด ราชธานีอโศกมีแผงโซล่าเซลล์ไม่ใช่น้อย และยังเติมได้อีก ที่อาคารบวร มีพื้นที่ ถ้าทำได้ช่วยได้ ขณะนี้ค่าไฟฟ้าเอง ราชธานีอโศก ยังจ่ายเดือนละหลายแสนอยู่เลย อาตมาจำตัวเลขไม่ได้ (ส.ถักบุญว่า...เดือนละ 250,000 น้ำมันเดือนละ 540,000) ทำอะไรกันนัก รถวิ่งกันเองอีก เฉพาะ พลังงานน้ำมันกับไฟฟ้า 790,000 บาท เกือบ 800,000 บาท

มาชื่นใจกับอย่างนี้ดีกว่า มะเขือเทศ ฟักทองจากคุณเปี่ยมคุณ มะละกอจากสวนบ้านราชฯ กะหล่ำปลีจากสวนเพื่อฟ้าดิน มะเขือม่วงจากสวนปู่เถา กล้วยน้ำว้าลูกเบิ้มๆสองเครือ สวนลานเบิ่งฟ้า 

 

_เดชา อำพร : คนแดนไกลก็ได้ท่านผู้นำอโศกนั่นแหละที่อุดหนุนส่งเสริม ถ้าจะโทษก็ต้องโทษตัวท่านด้วยที่ส่งเสริมคนไม่บริสุทธิ์ คนเขาวิจารณ์ว่าท่านเป็นโพธิสัตว์#7 ได้อย่างไร? จึงไม่รู้เท่าทันจิตส่วนลึกของ"คนแดนไกล"จนทำให้เขามาครอบงำระบบการเมืองของไทยจนถึงทุกวันนี้..

พ่อครูว่า...คุณเดชา มีความคิดเห็นขัดแย้งก็ส่งมา คุณอยากเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็ให้ทำได้อย่างอาตมา ทำเอาเองไปซื้อตามร้านขายยาไม่ได้ คุณเองคุณท่าจะรู้อาตมาก็ขอคารวะ 1 จอกที่คุณเป็นผู้รู้ใจคนแดนไกล อาตมาไม่รู้ขนาดนั้น รู้พอสมควรจิตใจของเขา อาตมาเชื่อนะคุณทักษิณ เจตนาตอนที่เขาเองเขามาทำงานการเมืองตอนแรกเขาตั้งใจบริสุทธิ์ ตั้งใจจะทำดีจริงๆ แปลว่าอนุสัยความโลภความเห็นแก่ได้ เห็นช่องทาง กี่รอบเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้มีความคิดยึด พอเจอช่องทางเข้า โอ้โห เขาดูดเอาไปเสียจนในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปี เอาไปถล่มทลาย จนบัดนี้ อาจมากกว่าคงคลังของประเทศไทย เข้ามาทำการครอบงำระบบการเมืองไทยจนถึงทุกวันนี้คุณก็รู้ดี อาตมารู้ไม่เก่งเท่าคุณ คุณน่าจะมาบ้าง เอาแต่พูดทำไม เก่งอย่างนี้ มาเลยๆๆ เก่งๆอย่างคุณเดชา อัมพร มาช่วยประเทศชาติหน่อยสิ ดีขอบคุณท้วงมา

 

คนมีส่วนร่วมตัดสินจำคุกพ่อครู จะรู้ไหมว่าเขาทำผิด

_สว่างแสง ขวัญดาว : ลูกมีความสงสัย จะเรียนถามให้พ่อครูช่วยไขปัญหาที่ลูกค้างคาใจอยู่ คือเมื่อปี 2532 ตอนที่พ่อครูถูกจับเข้าคุก ลูกยังเด็กอยู่ ไม่ค่อยรู้เรื่องราวอะไร ตอนนั้นแม่ของลูกก็มาปฏิบัติธรรมตามพ่อครู แต่พ่อของลูกคัดค้านไม่เห็นด้วยกับแม่ ว่าพ่อครูเป็นเทวทัตมาเกิด และเป็นพระคอมมิวนิสต์ มาถึงวันนี้เห็นว่า เขาจับพ่อครูเข้าคุกเพราะเขาเข้าใจว่า พ่อครูไม่ใช่ศาสนาพุทธแท้ๆ มาถึงวันนี้ เวลาผ่านไปเกือบ 33 ปีแล้ว ชาวอโศกกลับเข้มแข็งขึ้นมาตามลำดับ เกิดระบบสาธารณะโภคี อันเป็นผลที่เกิดจากการปฏิบัติที่ถูกทางตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ อันเป็นที่พึ่งของชาวอโศกและเผื่อแผ่ไปยังสังคมได้กว้างขึ้น ลูกอยากเรียนถามพ่อครูว่า ตอนนั้นใครจับพ่อครูเข้าคุกคะ เขาจะบาปไหมคะ เพราะเขาอาจทำเอง หรือมีใครสั่งเขามา และตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่ไหม และตอนนี้เขารู้หรือไม่ว่าพ่อครูไม่ผิด น้อมกราบพ่อครูสุดเศียรเกล้าค่ะ

พ่อครูว่า...คุณคนนี้เข้าใจว่าผู้สามารถทำระบบสาธารณโภคีให้เกิดมาเป็น phenomenon เป็นปรากฏการณ์จริงขึ้นมาให้สังคม มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา ยิ่งในยุคนี้ ยุคทุนนิยมสามานย์ จัดจ้านหนักหนาขนาดนี้ เรายังสามารถทำ ยิ่งกว่า สาธารณโภคีนี่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าคอมมิวนิสต์ ในประเด็นอย่างไร 

ประเด็นที่ว่าคอมมิวนิสต์เขาต้องการที่จะควบคุมเงินกองกลาง ค่าใช้จ่าย แล้วก็บริหารเงินกองกลางค่าใช้จ่าย เป็นเงินกองกลางจากประชาชน โดยพยายามให้จ่ายภาษี อย่างซื่อสัตย์สมควรที่สุด คนรายได้มากได้เปรียบมาก คนเสียภาษีให้แก่รัฐได้มาก คนรายได้น้อยลงก็เสียภาษีน้อยลงตามสัจจะความจริง คนที่รายได้ไม่ถึงเสียภาษีก็ไม่ต้องเสียภาษี ลักษณะก็คล้ายๆกับประชาธิปไตยแต่เขาเข้มงวดมีกฎเหล็กบังคับจัดจ้านกว่าประชาธิปไตย วิธีการต่างกันเท่านั้นเอง เจตนาเหมือนกัน แล้วเขาก็ทำได้สำเร็จ โดยการบังคับออกเป็นกฎหมาย คนก็ต้องทำตาม เขาก็ต้องเช็คความเป็นจริงว่าคนไหนได้รายได้เท่าไหร่จริงๆ แล้วอย่าให้เลี่ยงภาษี อย่าให้หนีภาษี คนเรามันก็มีเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้เลี่ยงภาษีทั้งนั้น แต่ถ้าเข้มงวดก็เก็บเข้ากองกลางได้มากเท่านั้น 

ซึ่งแตกต่างจากสาธารณโภคีตรงที่ ประชากรหรือสมาชิกประชาชนชาวสาธารณโภคีนั้น สมัครใจมาเสียสละ จ่ายภาษีให้แก่ส่วนกลาง 100% แล้วก็บริหารเงินกองกลางออกไป ชนิดที่เข้าใจอีกชั้นหนึ่งว่า แม้แต่ในของพวกเราใช้จ่ายอย่างนี้ ก็ยังสามารถที่จะสะพัดเงินกองกลางนี้เผื่อแผ่ข้างนอกเขาอีก ไม่ได้หวงแหน  ไม่ได้เข้มงวดกวดขันจนเกินการ สามารถที่จะไปช่วยข้างนอกเขาได้อีก เราไม่สะสม กองกลางไม่สะสมก้อนเงินไว้มาก เชื่อมั่นในความขยันกับสมรรถนะของประชากรสังคม 

ประชากรสังคมสาธารณโภคีนั้น มีสมรรถนะ มีความรู้ความสามารถ มีความขยันพากเพียร ทำงานทุกวัน จึงมีแรงงาน มีผลของแรงงาน มีผลผลิตออกมา พออยู่พอกิน เหลือกินเหลือใช้ได้แจกจ่ายเขาอยู่ ยืนยันความจริงอันนี้ นี่คือประสิทธิภาพของคน ที่มีจิตเป็นปัญญาเป็นความเฉลียวฉลาดชนิด โลกุตระ 

ปัญญาโลกุตระเฉลียวฉลาดอย่างไร เป็นความเฉลียวฉลาดชนิดที่ไม่มีตัวตน ถึงมีก็ลดให้ได้มากๆ สุดท้ายสุดยอดของความเป็นปัญญาคือ เฉลียวฉลาดไม่มีตัวตน มีแต่เกื้อกูลเผื่อแผ่ ปัญญาชนิดนั้นคือ สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ  นี่คือ คุณลักษณะปัญญาของพระพุทธเจ้า เดี๋ยววันนี้ จะได้พูดถึงเรื่องปัญญา 8 

อาตมามาขยายความตามภูมิของอาตมาเอง ขยายไปแล้ว ได้เล่ม 1 เขากำลัง edit พิมพ์กันอยู่ อาตมาเขียนได้ 443 หน้า เล่ม 2 มากกว่านั้น มัน 700 กว่าหน้าแล้ว อาจต้องตัดเป็นเล่ม 3 ตอนนี้ rewrite หน้า 200 กว่า กว่าจะถึงหน้า 700 มันต้องเกิน 800 หน้า ก็พยายามบอกว่าจะไม่ขยายก็อดไม่ได้ เติมนิดหน่อยนี่แหละ น้ำหยดลงหิน ทุกวันหินมันยังกร่อน (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

ที่จับอาตมาเข้าคุกคือ ตำรวจ ส่วนคนสั่งมีหลายคน อำนาจสั่งการหลายคน เป็นพระตายไปแล้วก็มีหลายองค์ เป็นพระเป็นภิกษุ เหลืออยู่ยังไม่ตาย ก็มี ออกความเห็น จับโพธิรักษ์อาตมาก็ถูกจับ ไปว่าความคดีเขาก็ดี เขาจะไปก็ไปสู้ความกัน ไปนอนอยู่โรงเรียนพลตำรวจบางเขนอยู่ 2 คืน มีตำรวจเฝ้าหน้าประตู เราก็นอนอยู่ในนั้นสบายๆ ไม่ต้องเฝ้าหรอกเราไม่ออกไปหรอก แต่เขาต้องทำตามหน้าที่ อยู่ 2 คืนแล้วก็ได้ประกันตัวออกมา ก็มาสู้ความสุดท้ายแพ้อีก  

ก็ไม่ต้องไปออกชื่อหรอกว่าใครบ้าง เขาจะบาปไหม คิดเอาเองก็แล้วกันอาตมาพูดไปจะหาว่าใส่ความ เขาจะบาปไหมคิดเอาเอง 

มีผู้ร่วมคิดกัน เพราะว่ามันไปขัดแย้งกับผู้ที่เป็นหมู่ใหญ่ ที่เห็นด้วยเห็นดีเห็นงามที่จะจัดการอาตมา เขาส่วนนั้น หลายคนก็ตายไปแล้วตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่ไหม ก็เหลือน้อยคนแล้ว 

อาตมาไม่รู้ว่าเขารู้หรือไม่ว่าอาตมาไม่ผิด เป็นคำถามที่ อาตมาก็เคยสะกิดๆในใจเหมือนกันว่าเขาจะรู้บ้างไหมหนอ อาตมายืนยันว่าอาตมาไม่ผิด เขาผิดกัน เขาจะรู้ไหม 

ถ้าเขารู้เขาก็จะต้อง มาร่วมมือกับอาตมาใช่ไหม เพราะเขารู้ว่าเขาผิด ทำเล่นไม่ได้ กรรมเป็นกรรมอันทำกรรมวิบากเป็นเรื่องจริง ไปขัดแย้งไปคัดค้านต่อสู้กับสิ่งที่ถูกต้อง เป็นกบฏต่อสิ่งที่ถูกต้องอยู่นั้น ก็เป็นคะแนนลบ ไม่ใช่คะแนนบวกแน่ ไปทำอยู่ทำไม 

ก็ความคิดของคนความเชื่อของคนแต่ละคนมันก็เป็นธรรมดา อาตมาเองอาตมาเกรงใจอยู่เหมือนกัน ไม่อยากวิเคราะห์วิจัยให้มันหนักเกินไป ขนาดไม่เกรงใจนี้ อาตมาวิเคราะห์ไม่น้อยแล้วนะ ขนาดนี้ก็คิดว่า พอสมควร ที่จะไปถล่มทลายกันเกินไปเดี๋ยวมันจะลำบาก 

เพราะว่าอาตมารู้จักองค์รวมของสถานการณ์ ในแต่ละ กาละ ที่มีบริบทของสังคม ทุกวันนี้บริบทของสังคมเป็นอย่างนี้ในด้านศาสนาก็ตาม ด้านการเมืองก็ตาม ด้านเศรษฐกิจก็ตามมันเป็นอย่างนี้ มันก็ต้องรู้ status quo แล้วทำให้มันสอดคล้อง status quo นั้นเสีย อาตมาก็ทำได้อยู่ 

 

_1614 : วันพฤหัสบดี 17 มีนาคม 65 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 วันพระ สมณะ 25 รูปฟังสวดพระปาฏิโมกข์ ก่อนพิธีท่านอุปัชฌาย์สมณะเดินดินได้เล่าบรรยากาศเรื่องปุ๋ยของเรามีแนวโน้มการผลิตเพิ่มขึ้น เพราะปุ๋ยเคมีข้างนอกขึ้นราคามาก มีบริษัทส่งสินค้าภายในประเทศและ ส่งต่างประเทศติดต่อขอรับซื้อในราคาหน้าโรงงาน..หลวงตาแด่ธรรม

 

_งามใบตอง นิลมณี : รายการมองโลกมองธรรม ตอนแฉเบื้องหลังขบวนการปุ๋ยอินทรีย์ (ตอน 2) ดีมากๆ ค่ะ กราบสาธุค่ะ สวนคุณคำนึงอเมซิ่งมากค่ะ

 

_กราบรบกวนพ่อท่านช่วยประชาสัมพันธ์ในรายการเทศน์ด้วยค่ะ

ขอเชิญท่านผู้สนใจ เข้าร่วม ค่ายอุโบสถศีลชาวอโศก ออนไลน์ ครั้งที่ 4 “สร้างปัญญา สู้ปัญหาชีวิต”  วันศุกร์ที่  25  - อาทิตย์ที่  27 มีนาคม 2565 เรายกวัดมาไว้ที่บ้านของทุกท่านแล้ว มาร่วมกิจกรรมผ่าน Zoom ได้ง่ายๆ โดยการสแกน QR Code จากหน้าจอ เพื่อเข้าร่วมกลุ่มไลน์ Open Chat จะมีการส่งรายละเอียดการเข้ากิจกรรมให้ในกลุ่ม หมดเขตรับสมัคร 24 มีนาคม 2565 นี้ รีบสมัครเลย!

 

SMS วันที่  21-20 มีนาคม 2565

_อารยา ศรีไพโรจน์ : เมื่อวันจันทร์ที่ 21 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา อายุครบ 68 ปีค่ะ และวันเกิดคุณดินดอน เป็นวันปิดชุมชนราชธานีอโศก 20 มีนาคม ตอนนี้ครบ 2 ปีปิดชุมชนนะคะ ตามที่พ่อครูกล่าว

 

_ยายทอง ตาเซียน : สืบเนื่องมาจากรายการต้มุตะลุ่มตุ้มม้งของวันจันทร์ที่ 21 มีนาคม 2565 กระผมขออนุญาติชี้แนะทีมงานจัดโต๊ะดอกไม้ผลไม้ที่หน้าฉากของพ่อครูแสดงธรรมควรเป็นของเล็ก ๆ ของน้อย ๆ น้ำหนักไม่ควรเกินครึ่งกิโลอยู่ในรัศมีที่พ่อครูเอื้อมมือถึง เพราะว่าวันนั้นพ่อครูยกกะหล่ำปลีหัวใหญ่ และครั้งที่สองพ่อครูยกกล้วยหอมหวีใหญ่มาก และนำหนักคงจะมากกว่ากะหล่ำปลี จิตกระผมก็คอยลุ้นพ่อครูว่าอย่าให้หลุดมือก็พอ.แต่ๆ ก็เกือบไป พ่อครูคงเสียพลังงานไปมาก กระผมน้ำตาซึมเลยและเห็นใจเข้าใจพ่อครูอยากจะโชว์ของดี ๆ งาม ๆ สวย ๆ แต่สุขภาพผู้สูงวัยเรี่ยวแรงไม่ไหวกับนำหนักสิ่งของ.ของหนัก ๆ ให้ห่าง ๆ ไว้ก่อนนะครับ. ถ้าผิดขออภัยไม่ถูกใจก็ขอโทษทีมงานผู้จัดนะครับ.สาธุสาธุสาธุครับ

พ่อครูว่า… เอาเลยโชว์ให้เต็มที่ เรามีของดีๆควรโชว์ ที่อื่นของไม่ดีเขายังโชว์

 

การทำกุศลอย่าไปคิดถึงว่าจะได้คืนในชาติหน้า

_เยาวลักษณ์ วัฒนเสรีกุล : น้อมกราบนมัสการพ่อครูอยากถามว่า คนเราจำเป็นที่ต้องทำกุศลไว้ตอนตายและชาติหน้า สำหรับหลักคำสอนตามพระไตรปิฎกของชาวอโศกที่กล่าวมานี้ถูกต้องไหมคะ

พ่อครูว่า...ความซับซ้อนของกรรมกับแนวคิดกับการทำใจในใจ คุณควรทำกุศล แม้พระพุทธเจ้าก็ไม่สันโดษในกุศล ทำให้มากทำเข้าไป กุศลนั้นทำไปเถอะ แต่อย่าไปคิดถึงว่าทำไปแล้วตอนตายชาติหน้าจะได้กินได้อาศัย อย่าไปคิด เพราะในเชิงคิดหรือแนวคิดแบบนั้นเป็นแนวคิดที่ไม่จบภพจบชาติ มันเป็นสาเปกโข ปฏิพัทจิตโต สันนิธิเปกโข( หมายความว่าเก็บเป็นคงคลัง) ปริภุญชิสสามีติ (การทำทานไว้ชาติหน้าจะได้อาศัยพึ่งพา ) คุณก็ไม่จบสิชีวิตของคุณก็ต้องมีชาติหน้าไปเสวยผลชาติหน้าชาติหน้า คุณจะไม่เอาอรหันต์ คุณจะไม่จบเลย ต้องมีภพหน้าชาติหน้าไปตลอด​หรือไม่จบ มันขัดแย้งกัน เข้าใจการทำใจในใจให้ดี ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก กรรมเป็นของๆตน ตนเป็นทายาทของกรรม กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ ทำให้มันรู้จักจบ 

 

_คำถามจากผู้ชมทางเฟซบุ๊ก : ปฏิบัติธรรม คืออะไรคะ

พ่อครูว่า... คำถามคำเดียวนี้ คุณจะบรรลุธรรมได้อย่างไร มีหนังสือ 5 เล่ม ไปอ่านเอา จะปฏิบัติธรรมอย่างไร ให้บรรลุธรรม 

ปฏิบัติธรรมมันมี 2 แบบ แบบหนึ่งคือปฏิบัติธรรมแบบโลกียะ ปฏิบัติแล้วเสวยผลต้องการผลมาเสวยแล้วก็เกิดแล้วเกิดอีก เกิดอีกเกิดแล้วก็เสวยผล เกิดแล้วเกิดอีก ไม่จบ 

ส่วนโลกุตรธรรมนั้นปฏิบัติ มีปัญญาลึกซึ้ง ทำกุศลได้แต่อย่าไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราเป็นของเรา เราจะต้องได้กินในชาติหน้า ยึดสะสมเป็นเรา เป็นของเรา ไม่จบ จิตของคุณก็ไม่รู้จักปล่อยวาง ไม่รู้จักจบ มันก็ไม่มีอรหันต์ อธิบายดูฟังง่ายๆ คิดให้ลึกซึ้ง ฟังให้ดีๆ เข้าใจให้แตกฉาน แล้วทำตามที่เข้าใจให้ได้ ที่อาตมาว่าแล้วก็จะบรรลุอรหันต์ 

ที่อาตมาตอบอย่างนี้ได้เพราะว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ ได้ปฏิบัติสั่งสมแล้วก็รู้จักใจในใจรู้จักจิตเจตสิกรูปนิพพาน รู้รายละเอียดของอิทัปปัจจยตาของจิต จึงเอามาสรุปแล้วก็อธิบายสู่ฟัง ไม่ใช่ว่าพูดพล่อยๆไปอย่างนั้น 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สมณะฟ้าไท... พ่อครูพาเราทำให้สลายตัวตน ทำผลผลิตให้ส่วนกลาง100% แต่ก่อนหนังสือชาวอโศกมีแต่นามปากกาชาวอโศกเขียน ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราเป็นของเรา แต่ละฐานทำงานก็เป็นส่วนกลางหมด เป็นของคนทุกคนช่วยกันทำงานทุกจุด ช่วยกันทำงาน นี่เป็นสังคมมหัศจรรย์ สังคมสาธารณะไม่ยึด ไม่มี ก็สบายๆ 

 

ปัญญา 8 เล่ม 1 ตอนที่ 1

พ่อครูว่า... จะเอาหนังสือปัญญา 8 มาอธิบาย 

 

  ปัญญา 8 เล่ม 1 

 

(1) ปัญญา 8 ในพระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 92 

1. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรักและเคารพไว้ อย่างแรงกล้า   

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุปัจจัยข้อที่ 1 ย่อมเป็นไปเพื่อได้‘ปัญญา(ปัญญายะ)’ ฯลฯ* เพื่อความบริบูรณ์แห่ง‘ปัญญา’ที่ได้แล้ว ฯ [ฯลฯ* ข้างบนนั้น คือ คำความที่กล่าวถึงมาก่อนแล้วได้แก่.. อันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงามไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งปัญญาที่ได้แล้ว 8 ประการนี้เอง]

2. เธออาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่ง ผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก และความเคารพไว้อย่างแรงกล้านั้นแล้ว เธอเข้าไปหาแล้วไต่ถาม สอบถามเป็นครั้งคราวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภาษิตนี้เป็นอย่างไร เนื้อความแห่งภาษิตนี้เป็นอย่างไร ท่านเหล่านั้นย่อมเปิดเผยข้อที่ยังไม่ได้เปิดเผย ทำให้แจ้งข้อที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง และบรรเทาความสงสัยในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยหลายประการแก่เธอ 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 2 ย่อมเป็นไปเพื่อได้‘ปัญญา’ ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่ง‘ปัญญา’ที่ได้แล้ว ฯ

3. เธอฟังธรรมนั้นแล้ว ย่อมยังความสงบ 2 อย่าง คือ ความสงบกาย และความสงบจิต ให้ถึงพร้อม

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัย ข้อที่ 3 ย่อมเป็นไปเพื่อได้‘ปัญญา’ ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่ง ‘ปัญญา’ที่ได้แล้ว ฯ

4. เธอเป็นผู้มี‘ศีล’ สำรวมระวังในพระปาฏิโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษแม้ มีประมาณน้อย  (พ่อครูไอตัดออกด้วย) สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะฟ้าไท... เราทำตามครรลอง ตามกฎระเบียบชุมชน หรือพระวินัย ทำให้อยู่ร่วมกันได้ พระวินัยป้องกันคนหยาบในสังคม

พ่อครูว่า... อาจาระ​ แปลว่า  พฤติกรรมที่อยู่ในตัวเอง โคจร แปลว่าเคลื่อน มีอาการมีบทบาทต่อไป เรียกว่า โคจร 

เป็นผู้ที่เห็นความสำคัญของศีลอย่างมาก แล้วทำความเข้าใจหัวข้อของศีล ความหมายของศีล ปฏิบัติอย่างไรในระดับต้นกลางปลาย ปฏิบัติตามไปแล้วก็เห็นว่าปฏิบัติแล้วเกิดผลอย่างไร ปฏิบัติศีลก็เป็นอย่างนั้น 

สู่แดนธรรม... ในข้อที่ 4 เป็นที่สังเกตว่านักธรรมะสายปัญญาเขาไม่คำนึงถึงศีลเลย ผมเคยฟังพ่อท่านโต้กับคุณไสว แก้วสม เขาว่า ทำไมพ่อท่านพูดแต่เรื่องศีล ไม่เอาเรื่องปัญญามาพูดกัน 

พ่อครูว่า... คุณไปเรียกพวกสายปัญญาไม่ใช่หรอก ที่จริงเรียกว่าสายฟุ้งซ่าน สายเฉโกฟุ้งซ่าน พวกรู้มากยากนาน ไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่ความรู้ที่เข้าหลักเข้าเกณฑ์ 

เพราะฉะนั้น ผู้เข้าใจเรื่องศีล จะชัดเจนเข้าใจในความหมายต่างๆว่า ศีลเป็นอย่างไรแล้วทำไป ได้ผลอย่างไร ทั้งภายนอกภายใน ตั้งแต่กายถึงใจ ถึงขั้นลดกิเลส จะชัดเจนว่าศีลปฏิบัติแล้วทำให้เราเข้าใจเนื้อแท้ของสัจธรรมที่จิต แล้วจิตมันมีกิเลส ศีลมีหน้าที่ปฏิบัติให้ละหน่ายคลายจางจากกิเลส ไม่ใช่ไปปฏิบัติเพื่อสะสมทรัพย์ศฤงคาร ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขไม่ใช่หรอกศีล ศีลของเราเป็นโลกุตระเพื่อขัดเกลากิเลส มีปกติเห็นโทษภัยในโทษ แม้มีประมาณน้อย แม้จะบกพร่องนิดหน่อย ก็ระวัง สมาทานอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 4 ย่อมเป็นไปเพื่อได้‘ปัญญา’ ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่ง ‘ปัญญา’ที่ได้แล้ว ฯ

5. เธอเป็น‘พหูสูต’ ทรงจำสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้ยินได้ฟังมาก ทรงจำไว้ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิ ซึ่งธรรมทั้งหลายอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ ทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง 

ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 5 ย่อมเป็นไปเพื่อได้‘ปัญญา’ ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่ง ‘ปัญญา’ที่ได้แล้ว ฯ

6. เธอย่อม‘ปรารภความเพียร(วิริยารัมภะ)’เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อความพร้อม ถึงพร้อมแห่งกุศลธรรม เป็นผู้มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระไม่ดูดายในกุศลธรรม 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 6 ย่อมเป็นไปเพื่อได้‘ปัญญา’ ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่ง ‘ปัญญา’ที่ได้แล้ว ฯ

7. อนึ่ง เธอเข้าประชุมสงฆ์ไม่พูดเรื่องต่างๆ ไม่พูดเรื่องไม่เป็นประโยชน์ ย่อมแสดงธรรมเองบ้าง ย่อมเชื้อเชิญผู้อื่นให้แสดงบ้าง ย่อมไม่ดูหมิ่นการนิ่งอย่างพระอริยเจ้า

ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 7 ย่อมเป็นไปเพื่อได้‘ปัญญา’ ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่ง‘ปัญญา’ที่ได้แล้ว ฯ

ข้อนี้เป็นเรื่องของสภาที่มีบัณฑิต 

สภาที่อยู่ในสภาอันทรงเกียรติของนักการเมืองนั้น มีความอวดดีพูดกันจนคอจะแตก แสดงภูมิอะไร ไม่บันยะบันยัง ดีไม่ดีก่อเรื่องวิวาทหาเรื่องหาราว ซึ่งมันไม่ใช่สภาอันทรงเกียรติเลย มันเป็นสถานที่วิวาทะเสียมากกว่า หาเรื่องหาราวกัน พูดไปแล้วไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะว่าคนมันได้แค่นั้นเป็นอย่างนั้น 

แต่พวกเราไม่นะ สงฆ์ของพวกเราเวลาประชุมไม่ได้แย่งกันพูด ควรแสดงก็ควรแสดงควรสงบก็ควรสงบ อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นคุณสมบัติที่ดี 

ที่พูดนี้เจตนาวิจารณ์ สภาของไทยซึ่งมันน่าจะนำประเทศอื่นเขา เพราะว่าเราเป็นประเทศเมืองพุทธ ที่มีคุณธรรมตามพุทธศาสนา แต่พูดไปก็ไลฟ์บอย เขาไม่นำพาเรื่องศาสนาเรื่องธรรมะกันเลย เขาก็เป็นไปตามประสาเขาแล้วเขาอวดดีด้วยนะ ว่าตัวเองมีปัญญา บอกว่าโพธิรักษ์นั้นเขาไม่รู้จัก หรือว่ารู้จักเหมือนกันแบบไม่ได้เรื่องอะไร เขาดูดีกว่าโพธิรักษ์ เป็นอย่างนั้นด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นเขาก็จะมาศึกษาใช่ไหมแต่นี้ไม่มี เขาก็รู้ของเขาเก่งของเขา มีอาจารย์ของเขาด้วย เขาก็ไปที่ชอบๆของเขา 

8. อนึ่ง เธอพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมในอุปาทานขันธ์ 5 ว่า รูปเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่ง รูปเป็นดังนี้ เวทนาเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งเวทนาเป็นดังนี้ สัญญาเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งสัญญาเป็นดังนี้ สังขารทั้งหลายเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งสังขารเป็นดังนี้ วิญญาณเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณเป็นดังนี้ 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุ เป็นปัจจัยข้อที่ 8 ย่อมเป็นไปเพื่อได้‘ปัญญา’ ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่ง ‘ปัญญา’ที่ได้แล้ว ฯ 

เพื่อนพรหมจรรย์ย่อมสรรเสริญภิกษุรูปนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุนี้ อาศัยพระศาสดาหรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่ง ผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย   ความเกรงกลัว ความรัก และความเคารพไว้อย่างแรงกล้า ท่านผู้มีอายุนี้ ย่อมรู้สิ่งที่ควรรู้ ย่อมเห็นสิ่งที่ควรเห็น เป็นแน่แท้ แม้ธรรมข้อนี้ก็เป็นไปเพื่อความรัก ความเคารพ ความสรรเสริญ เพื่อการบำเพ็ญสมณธรรม เพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ฯ 

อนึ่ง เพื่อนพรหมจรรย์ย่อมสรรเสริญภิกษุรูปนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุนี้ อาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่ง ผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก และความเคารพไว้อย่างแรงกล้า ท่านได้เข้าไปหาแล้วไต่ถาม สอบถามเป็นครั้งคราวว่า ท่านผู้เจริญ ภาษิตนี้เป็นอย่างไร เนื้อความแห่งภาษิตนี้เป็นอย่างไร ท่านเหล่านั้นย่อมเปิดเผยข้อที่ยังไม่ได้เปิดเผย ย่อมทำให้แจ้งข้อที่ยังไม่ทำให้แจ้ง และย่อมบรรเทาความสงสัยในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยหลายประการ แก่ภิกษุนั้น 

นี่ก็คือผู้รู้ ผู้ที่อยู่ในฐานะครู เป็นพระศาสดาหรือสัตบุรุษที่อยู่ในฐานะครูนั้น ท่านไม่ได้มีวาระแสดงธรรมเหมือนอย่างอาตมา ที่แสดงทำวันเว้นวันทุกวัน แล้วพวกคุณไม่ต้องเข้ามาถามหรอก แต่พระศาสดาไม่ได้แสดงธรรมทุกวันหรือวันเว้นวันอย่างนี้ สัตบุรุษได้หรือผู้อยู่ในฐานะครูไม่ได้มีโปรแกรมอย่างนี้ ก็ต้องเข้าไปถาม แต่ถ้ามีโปรแกรมอย่างอาตมาไม่ต้องเข้ามาถาม หรืออยากจะถามก็ถามได้ ในที่แสดงธรรม ปุจฉาวิสัชนาได้ 

ท่านผู้มีอายุนี้ ย่อมรู้สิ่งที่ควรรู้ ย่อมเห็นสิ่งที่ควรเห็น เป็นแน่แท้ แม้ธรรมข้อนี้ก็เป็นไปเพื่อความรัก ความเคารพไว้อย่างแรงกล้า  เพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ฯ

อนึ่ง เพื่อนพรหมจรรย์ย่อมสรรเสริญภิกษุรูปนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุผู้นี้ได้ฟังธรรมแล้ว ย่อมยังความสงบ 2 อย่าง คือ ความสงบกาย และความสงบจิตให้ถึงพร้อม ท่านผู้มีอายุผู้นี้ย่อมรู้สิ่งที่ควรรู้ ย่อมเห็นสิ่งที่ควรเห็น เป็นแน่แท้ แม้ธรรมข้อนี้ก็เป็นไปเพื่อความรัก ความเคารพไว้อย่างแรงกล้า เพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ฯ

ฟังธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วจะมีความซ้ำแต่มีรายละเอียดเพิ่มขึ้นทีละน้อย พูดให้ฟังแล้วไม่เข้าใจก็จะรำคาญได้ว่าวนเวียนซ้ำซากน่าเบื่อได้ ผู้ที่เขาไม่ละเอียดละออก็จะไม่รู้สึก แต่ผู้ที่ฟังแล้วเกิดความลึกซึ้งละเอียด อานิสงส์แห่งการฟังธรรม 5 ประการเกิด ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟัง นิดๆหน่อยๆ สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ละเอียดยิ่งขึ้น ได้ฟังแล้วเข้าใจสิ่งที่ได้เข้าใจยิ่งขึ้น ความสงสัยทั้งหลายที่เคยสงสัยก็คลายสงสัยไป ทิฐิที่ไม่ตรง ก็ตรงขึ้น จิตใจก็เลื่อมใสเต็มที่ จิตตมัสสปสีทติ อานิสงส์ 5 ประการจะเกิดจริงเลย ใครรู้สึกในตัวเองไหม มันจริงเลย พระพุทธเจ้าตรัสไม่มีอะไรไม่จริง ผู้ที่ปฏิบัติตรงตามพระพุทธเจ้าสอนได้จริง อาตมาแสดง ก็เป็นความจริงตามจริงสอดคล้องกันด้วยมันก็เป็นอย่างนี้ ตถตา มันต้องเป็นเช่นนั้นแหละ 

อนึ่ง เพื่อนพรหมจรรย์ย่อมสรรเสริญภิกษุรูปนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุผู้นี้ เป็นผู้มีศีล... สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ท่านผู้มีอายุผู้นี้ ย่อมรู้สิ่งที่ควรรู้ย่อมเห็นสิ่งที่ควรเห็น เป็นแน่แท้ แม้ธรรมข้อนี้ก็เป็นไปเพื่อความรัก... เพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ฯ

อนึ่ง เพื่อนพรหมจรรย์ย่อมสรรเสริญภิกษุรูปนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุผู้นี้ เป็นพหูสูต... แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ ท่านผู้มีอายุผู้นี้ ย่อมรู้สิ่งที่ควรรู้ ย่อมเห็นสิ่งที่ควรเห็น เป็นแน่แท้ แม้ธรรมข้อนี้ก็เป็นไปเพื่อความรัก... เพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ฯ

อนึ่ง เพื่อนพรหมจรรย์ย่อมสรรเสริญภิกษุรูปนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุผู้นี้ ปรารภความเพียร... ไม่ทอดทิ้งธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย ท่านผู้มีอายุผู้นี้ ย่อมรู้สิ่งที่ควรรู้ ย่อมเห็นสิ่งที่ควรเห็น เป็นแน่แท้ แม้ธรรมข้อนี้ก็เป็นไปเพื่อความรัก... เพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ฯ

อนึ่ง เพื่อนพรหมจรรย์ย่อมสรรเสริญภิกษุรูปนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุผู้นี้ เข้าประชุมสงฆ์... ไม่ดูหมิ่นความนิ่งอย่างพระอริยเจ้า ท่านผู้มีอายุผู้นี้ ย่อมรู้สิ่งที่ควรรู้ ย่อมเห็นสิ่งที่ควรเห็น เป็นแน่แท้ แม้ธรรมข้อนี้ก็เป็นไปเพื่อความรัก... เพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ฯ

อนึ่ง เพื่อนพรหมจรรย์ย่อมสรรเสริญภิกษุรูปนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุผู้นี้ ย่อมพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปในอุปาทานขันธ์ 5 ... ความดับแห่งวิญญาณเป็นดังนี้ ท่านผู้มีอายุผู้นี้ ย่อมรู้สิ่งที่ควรรู้ ย่อมเห็นสิ่งที่ควรเห็น เป็นแน่แท้ แม้ธรรมข้อนี้ก็เป็นไปเพื่อความรัก ความเคารพ ความสรรเสริญเพื่อการบำเพ็ญสมณธรรม เพื่อความเป็นหนึ่งใจเดียวกัน 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุ 8 ประการ ปัจจัย 8 ประการนี้แล ย่อมเป็นไป เพื่อได้                ‘ปัญญา’อันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงาม ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์แห่ง‘ปัญญา’ที่ได้แล้ว ฯ

หมดจบคำตรัสของพระพุทธเจ้าใน“ปัญญาสูตร”


 

(2) “ปัญญา 8”นี้ คือ ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า 

ทั้งหมดนั้นคือ คำตรัสของพระพุทธเจ้า ที่“นิยาม”

ความเป็น“ปัญญา”ก็คือ“ธาตุรู้”แต่เป็น“ความรู้-ความฉลาด” อันมีที่ไปที่มาชัดเจนว่า เป็นของมนุษย์ที่มนุษย์ด้วยกันสามารถ“สัมผัส”จับต้องร่างกายตัวตนกันได้ 

และคำสอนก็เกิดจากพระโอษฐ์ของผู้เป็นมนุษย์จริงๆที่ตรัสออกมาให้ผู้คนทั้งหลายในโลกได้ยินได้ฟังพร้อมกันมากมายหลายคน ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่ได้ยินได้ฟังกันเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นคนในผู้มีชีวิตอยู่ร่วมกันอยู่ในโลก เป็นความโจ่งแจ้ง เปิดเผย ไม่ใช่คำตรัส“ลึกลับ” ที่“พระศาสดาเพียงคนเดียวเท่านั้นได้ยินได้ฟังมาจากพระเจ้า” แล้วพระศาสดาองค์นั้นค่อยนำมาประกาศต่อโลก อีกทีหนึ่งเหมือนชาว“เทฺวนิยม”

ความรู้อื่นๆเป็นความรู้โลกียะ ไม่เป็นโลกุตระ แต่ ปัญญา 8 นี้เป็นของพระพุทธเจ้ามีนัยยะสำคัญที่แตกต่างจากโลกียะมาก มากมิติ มากประเด็น มากนัยสำคัญ ตอนนี้เขายังไม่ค่อยตื่นตัวเพราะเขายังไม่รู้ เขายังเข้าใจความหมายไม่ได้ อาตมาพูดด้วยภาษาไทยง่ายๆ บางทีต้องอาศัยบาลี บางครั้งต้องอาศัยภาษาอังกฤษบ้างนิดหน่อย แต่อธิบายด้วยภาษาไทยเป็นสามัญ 

เขาจะยังไม่เข้าใจได้ง่ายๆที่อาตมาพูดไปว่ามันคืออะไรแท้ๆ ก็อีกนานพอสมควรที่กว่า เขาจะเข้าใจถึงความหมายได้ และเข้าใจได้เพราะภูมิธรรมเขาถึงด้วย ถ้าภูมิธรรมเขาไม่ถึงเข้าใจไม่ได้หรอก ภูมิธรรมเขาไม่ถึงเข้าใจไม่ได้หรอก เข้าใจก็ไม่ซาบซึ้ง ซึ่งมันเป็นสัจจะ 

อาตมาไม่สงสัยหรอกว่าองค์กรใหญ่ๆหลักๆของเทวนิยมในโลกที่มีชื่อเสียงเขาไม่ได้ให้รางวัล แก่อาตมา เพราะเขาไม่เข้าใจว่าอาตมาพูดอะไร มันมีค่าควรที่จะให้รางวัลหรือไม่เขาไม่รู้หรอก อาตมาไม่แปลกใจอะไร ไม่ได้สงสัยแปลกใจอะไร ที่เขาให้รางวัลเขาก็ต้องมีความรู้ อย่างแมนเฮ ก็มาให้รางวัล 

อาตมาได้รางวัล 3 รางวัล 

คนที่ 1 คือ ฯพณฯสัญญา ธรรมศักดิ์ ทำเป็นโล่ ชมเชยให้มา เป็นรางวัลอันแรกที่อาตมาได้รับมาในชีวิตที่ทำงานนี้ 

อันที่ 2 รางวัลแมนเฮ อยู่เกาหลี ให้รางวัลและแถมเงินมาด้วย 100 ล้านวอน แปลงเป็นเงินไทยได้ 2,600,000 กว่าบาท ก็ไม่น้อยนะ 

อันที่ 3 วัดชิลซัลซา ที่เกาหลี แถมรางวัลให้ถ้วยมา สวยสีทอง ไว้ใส่กำยาน 

ในชีวิตที่เคยได้เท่านี้เขาพอมองออกเขาพอเข้าใจ ซึ่งอาตมาไม่ได้แปลกใจอะไร ไม่ได้ไปประหลาด ไม่ได้น้อยใจเสียใจไม่มี ก็รู้อยู่ว่ามันค่อยๆเป็นไป 

ในอนาคตผู้แสวงหาเรื่องนี้เขาจะมี แสวงหามาเขาก็จะเจอ อีก 100 ปี คุณอย่าเพิ่งรีบตายนะ อาตมาอีกสัก 100 ปีก็คงจะมีคนรู้จักโพธิรักษ์ ที่พูดนี้ไม่ได้หมายความว่าหลงตัวหลงตนอะไร เพราะในโลกเขาแสวงหาสิ่งประเสริฐ แล้วมันมีโลกุตระของพระพุทธเจ้าที่สุดประเสริฐ อาตมาก็นำสิ่งนี้มา สถาปนาลงไปในโลกยุคนี้ เพราะฉะนั้นสักวันหนึ่งเขาจะเข้าใจ 

สมณะฟ้าไท... สรุปจบ

แต่“ปัญญา 8”นี้เป็นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง

พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงยืนยันว่า “พระธรรมคำสอนที่พระองค์ทรงนำมาประกาศต่อโลกนั้น“พระพุทธเจ้าเองตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง(สัมมาสัมพุทโธ)” ไม่ใช่“คำสอน”ที่ได้รับมาจาก“พระเจ้า”ผู้“ลึกลับ” หรือจากใครอื่น แต่อย่างใดเลย   

“ปัญญา”นี้จึงเป็น“ความรู้-ความฉลาด”ที่ครบถ้วน กระจะกระจ่าง พร้อมมวลและประสิทธิภาพทั้ง“ความเห็น-ความกระทบสัมผัสประจักษ์-ยืนหยัดอยู่หลัดๆโต้งๆโทนโท่”

ว่า เป็น“ความจริง”บริบูรณ์สัมบูรณ์เปิดเผยไม่มีอะไรแฝงบังหรือลึกลับเลย แม้แต่นิดน้อยเศษละอองธุลีใดๆ 

และผู้เป็น“เจ้าของความรู้-ความฉลาด(ธรรมสามี)”นี้

ก็ทรงยืนยันพระองค์เองอีกว่า พระพุทธเจ้าเองเป็น“ผู้รู้เอง”

(สัมมาสัมพุทโธ) ที่แสดงพระองค์เองต่อโลกมนุษย์ซึ่งสัมผัส“เนื้อตัวร่างกาย(สรีระ)”ของพระองค์ได้จริงๆ ว่า ท่านก็เป็น“คน”ที่มีพร้อมท้ัง“สรีระกับจิตวิญญาณ(ภาวะ 2)”ผู้มีชีวิตอยู่ในโลกนี้แท้ๆ ก็เป็นเช่นเดียวกันกับมนุษย์คนอื่นทั้งหลายทั้งปวง

ซึ่งชี้บ่ง“ความเปิดเผย”กับ“ความลึกลับ”ของ“เทฺว” หรือ“ภาวะ 2”คู่สำคัญในโลกในมหาจักรวาล ว่า  “พระเจ้า” กับ“พระพุทธเจ้า”นั้นภาวะไหนชัดเจนยิ่งจริงแท้กว่ากัน 

 

(3) พระเจ้ากับพระพุทธเจ้านั้นแตกต่างกันอย่างยิ่ง

“พระเจ้า”นั้น“ลึกลับ”แต่“พระพุทธเจ้า”นั้น“เปิดเผย”ยิ่ง

“พระพุทธเจ้า”กับ“พระเจ้า” จึงแตกต่างกันหันทิศ

ไปคนละทาง มีทิศเดินทางไปต่างกันถึง 180 องศา มุ่งไปตรงกันข้ามทีเดียว หรือหมุนได้ต่างกันชนิด 360 องศาชนิดที่เป็น“คนละโลก”จึงมองไม่เห็นกันเลย เพราะทั้งในกว้าง ทั้งในความไกล ทั้งในความมาก ทั้งในความลึกลับ ทั้ง“ความลึก” และ“ความลับ” ทั้งใน“ความมืดดำ”ทั้งใน“ความเวิ้งว้าง”

ส่วน“พระพุทธเจ้า”นั้นสัมผัส“ความจริง”ได้ทุกแง่ทุกเหลี่ยมทุกซอกทุกมุม ทุกนอกทุกใน ทุกหยาบทุกละเอียด ทุกมิติ ทุกนัยะ ทุกประเด็น ทุกโลก ฯลฯ นิรันดร 

“พระเจ้า”นั้น สัมผัส“ความจริง”ไม่ได้ด้วย“ภาวะ 2” หรือในความเป็น“เทฺว” เพราะทั้ง“ลึก”ทั้ง“ลับ” ทั้ง“มืดดำ” ทั้ง “เวิ้งว้าง”ควาญหาไม่เจอ“เนื้อตัว”ส่วนใดของ“พระเจ้า”ได้เลย 

  “พระพุทธเจ้า”เป็น“เนื้อหนังมีชีวะ”ทั้งเห็นได้ทั้งสัมผัสแตะต้องสรีระที่มี“กาย”กับ“จิต”อันเป็น“2 ใน 1”

และ“1 ใน 2”ของ“เทฺว”ได้ในความเป็น“คน”ของโลกในกาละ

ส่วน“พระเจ้า”ยืนยันไม่ได้เลย แม้แค่“กาย”ก็ให้มนุษย์

สัมผัสไม่ได้ ยิ่ง“จิต”ก็ยิ่งรู้ได้อยู่คนเดียวคือ“พระศาสดา”

 หรือ“พระบุตร”เท่านั้น นอกนั้นเป็น“สิทธิ์ของพระจิต” หรือ“พระวิญญาณ”ที่เป็น“พระเจ้า”เท่านั้นมีสิทธิ์เด็ดขาด

แต่ผู้เดียว ถือกันว่า “พระเจ้า”เป็นเจ้าของทุกสรรพสิ่งในเอกภพมหาจักรวาลนั้นแต่ผู้เดียว”

ทั้งๆที่“พระเจ้า”กับ“พระบุตร”ก็คือ “ภาวะ 2”แล้ว

หรือ“พระเจ้า”กับ“โลกเอกภพมหาจักรวาล”ก็เป็น “ภาวะ 2”แล้ว หรือ“วัตถุ”กับ“จิต”ก็‘ภาวะ 2”อยู่แท้ๆ   

อันมีคู่คือ “เทฺว”หรือ“ภาวะ 2” และที่สำคัญยิ่งยวดก็คือ มีทั้ง“คำเรียกขาน”และทั้ง“สภาวะแท้”ให้เปรียบเทียบ “ความแตกต่างกัน”ของทุกสรรพสิ่งตั้งแต่“0 กับ 1”ก็เป็น“ภาวะ 2”แล้ว

หรือแม้แต่“ภาวะ 2”คือ“0 กับ 0”ก็เทียบกันได้แล้ว

ว่า เป็น“ภาวะ 2 ที่เป็น 1 เดียวกันแล้ว”

หรือ“ภาวะ 2”คือ““0”กับ“1”ก็เทียบกันได้แล้วว่าเป็น“ภาวะ 2 ที่ไม่เป็น 1 เดียวกันแล้ว”

ไม่ว่าจะเป็น“0” หรือเป็น“1” หรือเป็น“2” หรือเป็นคู่ ความเป็น“คู่”ย่อมเปรียบเทียบกันได้ทั้งนั้น 

ยิ่งเป็น“ภาวะ 2”อันเป็น“ธาตุรู้(วิญญาณ)”กับ“สสาร”

หรือ“จิต”กับ“วัตถุ”ก็ยิ่งเทียบกันได้ว่า“แตกต่างกัน”ชัดเจน

หรือ“ความมี”กับ“ความไม่มี”ย่อมแตกต่างกันแน่

หรือ“ความลึกลับ”กับ“ความเปิดเผยกระจ่างแจ้ง”นั้นย่อมแตกต่างกัน

“พระเจ้า”กับ“พระพุทธเจ้า”ก็แตกต่างกันที่ยืนยัน “ความจริงได้”อย่างมีนัยสำคัญ ต้องศึกษากันดีๆทีเดียว

“พระเจ้า”นั้นเห็นจริงได้ยากยิ่งกว่า“พระพุทธเจ้า” เพราะ“ภาวะ 2”นี้มี“ความจริง”ที่สัมผัสได้ กับสัมผัสไม่ได้ เป็นต้น หรือในมิติอื่นก็สามารถพิสูจน์ยืนยันได้อีกมากมิติ

ซึ่งเป็น“ภาวะ 2”ที่มีความเป็น“เทฺว”ที่ยิ่งใหญที่สุด 

 

 

(4) ความเป็น“เทฺว” คือ “ภาวะ 2”ที่ครอบจักรวาล

ซึ่งความเป็น“เทฺว”นี้ใครจะแยก“เทฺว”ให้ขาดจากกันอย่างเด็ดขาด ไม่ให้เอี่ยวเกี่ยวกันเลยขั้นเด็ดขาดไม่ได้

แต่ถ้าจะไม่ให้“มีเทฺว”เลย ก็ต้อง“ดับเทฺว”ไป“ทั้ง

2 ทั้ง 1”ที่แยกกันเด็ดขาดไม่ได้นั้นแหละ เป็น“0”ไปเลย

การจะทำเช่นว่านั้นได้ ก็ต้องมี“ปัญญา” หรือมีฤทธิ์มีอำนาจเหนือกว่าแรงกว่าจริงๆ จึงจะทำได้  

และ“การดับเทฺว”นี้ ผู้ยังไม่มี“ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู้

จริงในความเป็น“เทฺว” ยังหลงยึดมั่นถือมั่นว่า “เทฺว”เป็น “อัตตา”เป็นตัวตนของตนเอง ซ้ำมิหนำก็จะหลงผิดว่า “ผู้ดับเทฺว”นั้นไปละลาบละล้วงความเป็น“เทฺว”ที่เขาหลงยึด ทั้งที่ยึดว่า เป็น“พระเจ้า”ผู็ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครไป“ดับท่านได้” ท้ั้งที่หลงยึดมั่นถือมั่นว่า “เทฺว”เป็น“ตัวตนของตน(อัตตา)นิรันดร  ไม่มีสูญหายไปจากกาลเป็นเด็ดขาด

จึงไม่สามารถจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงเรื่อง“กรรม” เรื่อง “วิบาก”อย่างถ่องแท้แยบคายบริบูรณ์ได้เลย

แม้จะได้รับคำสอนจากพระศาสดาว่า อย่า“ผูกพยาบาทอาฆาตแก้แค้นนิรันดร” ซึ่งมันเป็น“คู่หู”คือ เป็น

ภาวะตรงกันข้ามกับ“รักผูกพันนิรันดร” ศาสดาก็ไม่รู้ ว่ามันเป็น“เทฺว”ที่แยกกันไม่ได้ จึงได้แต่สอนกันไป      

แม้จะทำได้ก็เป็นการ“ผูกพยาบาทอาฆาตแก้แค้นหรือรักกันวนเวียนไม่รู้จบ” เพราะมันเป็น“กรรมวิบาก” อันปรารถนาร้าย-ปรารถนาดีสุดๆ ตามล้างตามฆ่าตามแก้แค้นกัน“เป็นรัก-เป็นชัง”ด้วย“อวิชชา” อันไม่มี“จบ”ลงได้ ดังที่เล่าขานเป็นนิยายนับเรื่องไม่ถ้วน เป็นตำนาน“มหากาพย์-มหารามเกียรติ์”กันอยู่ไม่รู้“จบกิจ” ไม่รู้แล้ว เพราะยังไม่สิ้น“อวิชชา”นั่นเอง

มันเป็น“เทวาเทวสงคราม”แห่งอวิชชา สงครามของ“เทฺว” คือ “ภาวะ 2”ของคนที่ไม่มี“ปัญญา”ไม่มี“วิชชา” จึงมีแต่“อวิชชา”ก็ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“กรรมวิบาก” ซึ่งเป็น“อจินไตย”แท้ๆแน่นอน ว่า มันเป็น“ภาวะ 2”ที่ตามแก้แค้นกัน ผูกพัน คือ รัก-ชัง ชาติแล้วชาติเล่า

และการตามรัก การตามแก้แค้นล้างผลาญกันก็มีอยู่จริงในผู้ยัง“อวิชชา” ไม่รู้จบ ไม่รู้แล้ว ไม่มีอภัย ไม่ปล่อยวางจริง ไม่หลุดพ้นไปได้ 

ไม่มี“ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า “ทุกสรรพสิ่งล้วนคือ

อนัตตา(สัพเพธัมมา อนัตตา)” เพราะตนไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“ตน” เป็น“กาย” เป็น“บุญ” แม้แต่เป็น“ฌาน” เป็น“สมาธิ” ฯลฯ เป็น“อัตตา” เป็น“นิพพาน” เป็น“ปรินิพพาน” และเลิก“ความเป็นตน” ทำ“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”ให้แก่ตนสุดท้ายได้สำเร็จแท้ 

ผู้มี“อวิชชา”ทุกคนนั้นยังไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง

“เทฺว”อันคือ “ภาวะ 2”ของตนเองที่“ปรุงแต่ง”กันอยู่ เรียกว่า “สังขาร”ของสัตวโลกที่มีความเป็น“จิตนิยาม”ทั้งหลาย

“ศาสดาเทฺวนิยม”ทั้งหลากทั้งหลาย แค่“รู้จัก”

ตนเองก็ยังไม่รู้จัก ไม่รู้แจ้ง ไม่รู้จริงเลย

ผู้“อวิชชา”คือ ผู้หลงผิดยึดมั่นถือมั่นว่า “ตนเอง”

เป็น“1” ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความเป็น 2”หรือ“ภาวะ 2” แม้แค่“นาม”กับ“รูป”ที่ปรุงแต่งกันอยู่เป็น“วิญญาณ”ตนเอง

“นาม”คือ“ธาตุรู้”ของตนนี้ ผู้มี“จิตนิยาม”ซึ่งเป็นสัตวโลกแล้วจะมี“วิญญาณ”ของตนเอง เป็น“ประธาน” ตนเอง บงการตนเอง แต่ไม่ได้เรียนรู้“นาม-รูป”ของตนเอง จึงไม่รู้จัก“วิญญาณตนเอง” ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และทรงสอนว่าเป็น“สังขาร” ที่มี“วิญญาณเป็นปัจจัย” และมี“นามรูป-อายตนะ-ผัสสะ-เวทนา-ตัณหา-อุปาทาน-ภพ-ชาติ ฯลฯ”ซึ่งเรียกว่า “ปฏิจจสมุปบาท”

สัตวโลกหรือคนผู้ยัง“อวิชชา”จึงไม่มี“ปัญญา”ที่ จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ปฏิจจสมุปบาท”ทั้งสายอย่าง“อนุโลม-ปฏิโลม”

ผู้มี“ปัญญา”อันเจริญเป็น“ญาณ”เป็น“วิชชา”จึงจะสามารถ“รู้จักรู้แจ้งรู้จริง”ความปรุงแต่งกันอยู่(สังขาร)ของ“ภาวะ 2”หรือ“เทฺว”ที่ครอบจักรวาลอยู่



 

(5) มี“ปัญญา 8”จึงรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“เทฺว”ได้สัมบูรณ์

“สังขาร”นี้แหละ คือ “ธาตุที่ปรุงแต่งกันอยู่ของ “วิญญาณ”อันมี“ภาวะ 2”ก็คือ “เทฺว”นั่นแหละซึ่งเป็น “นาม-รูป”ปรุงแต่งกันไป เป็นเหตุเป็นปัจจัยกันและกัน ตามหลัก“ปฏิจจสมุปบาท” ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้

ถ้าไม่มี“ปัญญา”ก็ไม่สามารถจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง

“ปฏิจจสมุปบาท”ดังว่านี้ได้จริง   

เมื่อคนผู้ไม่มี“ปัญญา 8”ก็ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“ภาวะ 2”ที่“ปรุงแต่งกันอยู่”ของ“เทฺว”ทั้งหลาย จึงมีแต่“อวิชชา” หรือแม้จะมี“ความรู้-ความฉลาด” ก็ไม่ใช่ “วิชชา”ที่เป็น“โลกุตระ” จึงยังคงมีแต่“ความรู้-ความฉลาด”ที่จมงมอยู่แค่ในกรอบของ”โลกียธรรม”ตามเดิม ซึ่งมันยังไม่ใช่“โลกุตรธรรม”อันพระพุทธเจ้าทรงค้นพบ      

“ความรู้โลกุตรธรรม”จึงจะมี“ปัญญา”ที่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น“เทฺว”ได้สมบูรณ์ ก็จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความปรุงแต่งทั้งหลาย” ทั้งของ“อุตุนิยาม-พีชนิยาม-จิตนิยาม-กรรมนิยาม-ธรรมนิยาม” ครบ“ธรรมนิยาม 5”อย่าง“สัมมาทิฏฐิ”จริง 

คนผู้นี้ก็สามารถ“จัดการปรับจิตปรุงใจ(อภิสังขาร)ของตน”อันคือ“เทฺว”ของตนให้มีภาวะทรงอยู่(ธรรม)”ด้วยความสามารถของ“กรรมของตน”อาศัยดำเนินไปในขณะที่

ผู้นั้นยังเป็น“จิตนิยาม”อยู่ใน“กาล”แห่งเอกภพมหาจักรวาล จนกว่าตนเองจะทำ“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”ตายเลิกสลาย“จิตนิยาม”ไป

เห็นมั้ยว่า ความเป็น“เทฺว”นั้นเป็นภาวะที่“ยิ่งใหญ่ล้ำลึก” เป็น“1”แท้ๆจริงๆสุด“สูงหล้าฟ้าลึก”ครอบมหาเอกภพจบสิ้นจักรวาลแต่เพียง“1 เดียว”ที่ยากเกินยากกว่ายากใดๆ ที่จะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงกันได้ง่ายๆ

ถ้าไม่มี“ปัญญา 8”หรือ“วิชชา 8”ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงค้นพบ แล้วนำมาตรัสสอนมนุษย์ในโลกให้รู้ตาม ก็จะไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ควมจริง”นี้ได้

 

(6) “ปัญญา 8”จึงสามารถครอบงำ“เทฺว”ได้ทั้งหมด ผู้มี“ปัญญา 8”ตามแบบโลกุตระเท่านั้นจริงๆ ที่จะสามารถแยกแยะรายละเอียดของ“เทฺว”น้อยใหญ่ต่างๆ และทำความเป็น“เทฺวน้อยใหญ่”นั้นๆให้“ทรงอยู่(ธรรม)”ไปกับ“สังคม”ได้ด้วยการศึกษาตามความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า 

ซึ่งความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้น“ครอบจักรวาล” ทั้งหมด และครอบทั้งความเป็น“พระเจ้า”ทั้งหลายด้วย 

โดยเฉพาะ ครอบทั้งความเป็น“เทฺว”ได้ทั้งหมด

ผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“เทฺว”ทั้งหมด ก็คือ ผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ปัญญา 8”ได้ทั้งหมดครบถ้วน ไพบูลย์ นั่นเอง  

อาตมากำลังสาธยาย“วิชาการ”เกี่ยวกับ“ความจริง” หรือ“สัจธรรม”ทั้งหลายในเอกภพมหาจักรวาลเท่าที่มีอยู่ใน“กาล” ให้ครบให้ถ้วนทั่ว ไม่ได้โอ่อวดข่มเบ่งแต่อย่างใด

ไม่มี“จิต”ที่เป็นอุปกิเลสใดๆเลย ไม่ว่ากำลังยกตน

ข่มท่านก็ดี อยากโอ้อวดก็ดี แม้แต่ตีตนเสมอท่านก็ดี ฯลฯ 

แต่กำลังแสดง“ความรู้-ความจริง”เท่าที่ตนเองมี เปิดเผยออกให้มากๆ เพื่อให้ผู้อื่นได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง”ด้วยใจบริสุทธิ์ เท่าที่ตนมีปัญญา“ตามภูมิ”จริงของตน ที่ตนเองมี“ปัญญา”บางแล้วด้วยความบริสุทธิ์ใจ

มิใช่มาอวดดี แต่นำ“ความดีจริงๆของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว”มาสืบทอดต่อไป ศาสนาพุทธจะได้ยืนยาวไปถึง 5000 ปี ให้ตรง ให้ถูกต้องตามที่เป็นของพระพุทธเจ้า เท่าที่อาตมามี“ความจริง” มี“ความรู้”นั้นๆ ที่อาตมาแน่ใจ มั่นใจใน“ความรู้-ความจริง”นั้นๆ อย่างซื่อสัตย์ที่สุด ที่คนผู้มี“อัญญธาตุ” มี“ปัญญา”จะรู้ได้ รับได้

ส่วนผู้ยังไม่มี“อัญญธาตุ”หรือยังไม่มี“ปัญญา”เลย ก็แน่นอนว่า ย่อมรับ“ความรู้-ความจริง”ที่อาตมาสาธยายไม่ได้ หรือ“ไม่รู้ตามได้”  

ก็ย่อมย้อนแย้งกับอาตมาเป็นธรรมดา

ส่วนใครจะผิดจะถูกนั้น ที่สุดแห่งที่สุดก็ตนเองแต่ละคนนั่นแหละ ที่จะสามารถพิพากษาให้แก่ตนเอง 

ตนเป็นที่พึ่งของตนเองแท้ๆ นอกจากตนไม่มีใครจะเป็นที่พึ่งแท้ให้แก่ตนได้หรอก 

 

(7) อาตมาก็กำลังศึกษาเล่าเรียนฝึกฝน“ปัญญา 8”

ซึ่งจริงๆอาตมาก็คือ ผู้กำลังศึกษาเล่าเรียนฝึกฝนอบรมตนเพื่อให้เกิด“ปัญญา 8” เจริญ งอกงาม ไพบูลย์​อยู่

ยังไม่“จบกิจ”ไพบูลย์ครบตามที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระสัมมาสัมโพธิญาณ อาตมากำลังสั่งสม“พุทธภูมิ”ก็

บอกตามจริงมานานแล้วว่า อาตมาเป็น“โพธิสัตว์ ระดับ 7”

ก็กำลังรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ปัญญา 8”ไปตามลำดับ อันใดมั่นใจว่า“สัมมาทิฏฐิ”แล้วจึงเปิดเผยสาธยายออกมาตามที่รู้นั้นทุกประการ เพื่อสืบทอดพระศาสนาของพระพุทธเจ้าด้วย เพื่อยืนยัน“ความรู้-ความจริง”นั้นด้วย เพื่อผู้ศึกษาจะได้ศึกษาตามด้วย และเพื่อท่านผู้รู้อื่นได้ตรวจสอบอาตมาด้วย แล้วท่านจะได้กรุณาทักท้วงแก้ไขให้อาตมาด้วย 

อาตมากลัวจริงๆ กลัวตนเองจะสาธยายธรรมออกมา“ผิด” เพราะถ้าผิดอื่นๆใดๆ มันก็เป็น“บาปสามัญโลกีย์” มันก็ไม่กระไรหรอก  

แต่ถ้า“ทำให้ธรรมของพระพุทธเจ้าผิดเพี้ยนไป” มันบาปหนักหนาสาหัสร้ายแรงยิ่งกว่าทำให้“พระบาทพระพุทธเจ้าห้อเลือด” พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 12 ข้อ 442 ที่พระองค์ทรงบริภาษภิกษุสาติ ว่า เธอ“กล่าวตู่พระพุทธเจ้า(อัพภาจิกขสิ)”ด้วย “ขุดตนเอง(อัตตานัญจ ขนสิ)”ด้วย เพราะทำให้“คำสอนของพระพุทธเจ้า”ผิดเพี้ยนไป  มันก็“บาปหนักเป็นอันมาก”แท้

คำว่า “ตู่พระพุทธเจ้า”ก็คือ “ทักท้วงผิดๆ-เอาสิ่งที่ผิดมายัดเยียดใส่ให้แก่พระพุทธเจ้า” 

คำว่า “ขุดตนเอง”ก็คือ “เจาะลึก-สับแหลกตนเองให้ทำลายให้เสียหายเลวร้ายอย่างโง่ๆ”

คนผู้นี้ก็ไม่ได้อะไรจากพระพุทธเจ้า มีแต่ทำผิดบาป 

แถมทำร้ายตนเองให้ชั่วให้เลวต่ำทรามซ้ำหนาหนักอีกด้วย ตามอวิชชาที่ตนมืดบอดจริงๆ 

ซึ่งคนผู้“อวิชชา”มืดบอดจริงนั้น ถ้าถึงขั้นเป็น“ปทปรม

บุคคล” คือ ผู้รู้พระพุทธพจน์ก็มาก ท่องจำได้ขึ้นใจก็มาก สั่งสอนผู้อื่นอยู่ก็มาก แต่ตนเองไม่ได้บรรลุธรรมเลยในชาตินี้” ก็จะหลงงมงายอยู่กับ“อวิชชา”ที่ตนเองหลงยึดมั่นถือมั่นอยู่นั้นแหละ ไม่ยอมมี“ปรโตโฆสะ” ก็ไม่มี“โยนิโสมนสิการ”เลย

“ไม่ยอมฟังผู้อื่น”หรือฟังบ้างเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่เชื่อว่า “ผู้อื่น”นั้นจะ“ถูกแท้ถูกจริง” ก็ยังหลงยึดมั่นถือมั่นอยู่ตามที่ตนยึดมั่นถือมั่นอยู่ตามที่ตนได้เชื่อแล้วอยู่ตามเดิม

จึงยากมากที่จะสามารถปลุกคนผู้“ปทปรมะ”ก็ดี คนผู้หลงมืดบอดเพราะไป“หลับตา” หรือทำ“ตา”ตนเองให้บอด ทำ“หู”ตนเองให้หนวก ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน

พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 853 ก็ดี ใหั“ตื่นขึ้นมารู้ใหม่”ได้ 

ผู้ปทปรมะนั้น คือ ผู้รู้มากสอนคนอยู่ในบ้านเมืองนี้เอง  ส่วนผู้“หลับตา”ทำให้ตนเป็นคนตาบอดหูหนวกนั้นก็คือคนที่พากัน“หลับตาปฏิบัติ” ออกป่า สู่เขาสู่ถ้ำนั้นแลแท้ๆ 

ก็เป็นเดียรถีย์ทั้งคู่ คือ ยังไม่มีวิชชา มีแต่อวิชชาอยู่ ซึ่งก็คือ ยังไม่มี“ปัญญา” มีแต่“ความอัปปัญญา”นั่นเอง 

  

    

 

(8) คำสอนของพระพุทธเจ้ามีลำดับอย่างน่าอัศจรรย์

ที่เรียนตามๆกันมาก็ว่า “หัวใจของศาสนาพุทธ”คือ “อริยสัจ 4 (อาตมาขอใช้คำว่า“อาริยสัจ”) เพราะใน“อาริยสัจ 4”มีทั้ง“ทุกข์-สมุทัย-นิโรธ-มรรค” ซึ่งผู้ศึกษานั้นก่อนจะรู้จัก

“อาริยสัจ 4” มันก็ต้องมีที่ไปที่มา ที่เป็นเหตุเป็นปัจจัย มาก่อนที่จะสามารถปฏิบัติ“มรรคอันมีองค์ 8”ได้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัดว่า “มรรค 8”นั้น เปรียบเหมือน“ดวงอาทิตย์​” 

การจะเห็นดวงอาทิตย์ได้นั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า มันต้อง“เห็นแสงอรุณหรือแสงเงินแสงทอง(สุริยเปยยาล)”ก่อน จึงจะสามารถ“เห็นดวงอาทิตย์“ได้ นั่นคือ ก่อนจะลงมือปฏิบัติ“มรรค 8”ได้นั้น มันก็ต้อง“เห็นแสงอรุณ”ก่อน 

พระพุทธเจ้าตรัส“แสงอรุณ 7”ไว้(พระไตรปิฎก เล่ม 19 ข้อ 129-136) ว่า ผู้จะสามารถปฏิบัติ“มรรค 8”ได้ผลดีมีผลได้

ครบถ้วนนั้น จะต้องมี 7 เหตุปัจจัยนี้มาก่อน 

ไม่เช่นนั้น ก็ไม่สามารถจะปฏิบัติ“มรรค 8“ มีผลแท้      

คนผู้ใดไม่ได้ผ่านการเห็น“แสงอรุณ 7”มาก่อนแล้ว มาปฏิบัติ“มรรคองค์ 8”กันเลย มันก็ไม่เป็นลำดับ เหตุปัจจัยมันก็ขาดหกตกหล่นไปแน่นอน ย่อมไม่มี“สัมมา

มรรค-สัมมาผล”พาตนเจริญไปอย่างมี“สัปปายะ 4”ได้ด้วย“ปัญญา 8”ถ้วนรอบสัมบูรณ์แน่ยิ่งกว่าแน่

พระพุทธเจ้าตรัสว่า คำสอนหรือธรรมวินัยของ

พระองค์นั้น มีการศึกษาไปตามลำดับ การกระทำไปตาม

ลำดับ ปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่บรรลุอรหันต์โดยลัดตัดลำดับคำสอนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วเอาตามอำเภอใจของตน  

ความเป็นไปตามลำดับอย่างน่าอัศจรรย์นี้ พระพุทธ เจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 109 มีความน่าอัศจรรย์ที่บอกแจ้งไว้ละเอียดชัดเจนครบพร้อมทั้งมรรคทั้งผลอันเป็นพุทธสมบัติ ผู้สนใจควรหาอ่านดูให้ได้อย่างยิ่ง  

ผู้ใดหลงผิดไปตามเดียรถีย์คนออกนอกพุทธศาสนา ที่พากันตัดลัดแล้วหลงว่าจะบรรลุมรรคผลได้เลย มันก็บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ได้ แน่ยิ่งกว่าแน่

ผู้หลงผิดไปตามเดียรถีย์ก็ไปได้“มิจฉาผล”กันโน่นแหละ แล้วก็จมงมงายใน“เทฺว”ที่มี“2” หลงว่ามี“1” 

ไม่เป็น“เทฺวนิยม”ให้ถูกต้องถ่องแท้ครบครัน

นั่นคือ ไม่เป็นผู้มี“ปัญญา 8”ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเป็น“อนุปคัมมะ”หรือเป็น“อภิภู”คือผู้มี“อภิภุยฺย”ใน“อภิภายตนะ 8”อย่างถ่องแท้ลงไปถึงที่เกิด และดับในที่ดับ 

จึงกลายไปเป็น“เทฺวนิยม”ผู้ผิดเพี้ยนจาก“สัจจะที่

เป็นหนึ่งเดียว” อันมีทั้ง“ความมี”และมีทั้ง“ความไม่มี”เป็นผู้“อนุปคัมมะ” แต่ไม่ไปมีแล้วใน“ทั้งความมี-ทั้งความไม่มี”

หรือชื่อว่าเป็นผู้บรรลุ“ความเป็นกลาง”คือ “มัชฌิมา” 

ในทุกวันนี้ ผู้ที่ยังหลงผิดกันทั้งมรรคทั้งผล เละเทะไปหมด ในชาวพุทธนี่แหละมีอยู่มากมายเหลือเกิน    

 

(9) ผู้หลงผิดตั้งแต่เริ่มต้น ไม่รู้ตนเอง ก็น่าสงสารยิ่ง

ผู้ปฏิบัติธรรมที่ไม่มีแม้การเริ่มต้นที่“สัมมาทิฏฐิ”

ก็ไม่มีลำดับต้น มันก็ไม่สามารถจะมี“ปัญญา 8”และไม่มี “วิชชา 8”ได้ครบถ้วนเด็ดขาด ก็น่าสงสารยิ่งนัก  

“วิชชา 8”นั้นเป็นสุดยอดแห่งความมี“ปัญญา”ครบ

สูตรแห่ง“ปัญญา”ของศาสนาพุทธ ที่เริ่มจาก“วิปัสสนา

ญาณ”อันเป็น“สัมมาทิฏฐิ” ซึ่งทุกวันนี้“วิปัสสนาญาณ”ก็ได้

พากันหลงวิตถารพิสดารผิดเพี้ยน“มิจฉาทิฏฐิ”ไปมากมาย   

ซึ่งผู้“อวิชชา”หรือยังเป็น“เทฺวนิยม”อยู่ ไม่สามารถ

แยกความแปลกกัน-ความแตกต่างกันในความเป็น“เทฺว”

คือ“ภาวะ 2”ได้นี่เองเป็นสำคัญ 

เพราะเขาไม่ได้ยินไม่ได้ฟังความเป็น“ปัญญา”จากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้า หรือจากสัตบุรุษ หรือจากคนผู้มี“สัมมาทิฏฐิ”แล้วที่อยู่ในฐานะครู

หรือแม้จะได้ยินได้ฟัง แต่เขาก็ยังหลงติดยึดมั่นถือ

มั่นใน“มิจฉาทิฏฐิ”เดิมๆอยู่ คงงมงายมืดมนอยู่นั่นแล้ว

ยังหลงยึดถือ“เทฺว”หรือ“พระเจ้า”ที่ไม่สามารถแยก

ความเป็น“เทฺว”อันมี“กาย”กับ“กรรม”ตนเองได้ จึงไม่สามารถรู้ตนเองว่า ตนเองเป็นใคร 

ทั้งๆที่ตนเองคือ“พระเจ้า”เอง คือ“ศาสดา”ของชาว

เทฺวนิยมซึ่งแสดง“ความรู้เองของตนเองแท้ๆ”ที่ตนเองได้

สั่งสมมาเอง เป็น“วิบาก”ของตนเอง เป็น“มรดกกรรม”

(กัมมทายาท)ของตนเอง ไมใช่ของ“พระเจ้า”ใดเลย ก็ไม่รู้สัจธรรมนี้ จึงเป็นผู้ที่น่าสงสารยิ่งอยู่แท้ เพราะยังจม“อยู่

ในสงสาร”กับ“อุปาทาน”กับ“อวิชชา” จึงเป็นผู้น่าสสารยิ่ง

 

(10) เหตุคือไม่มีปัญญารู้จักรู้แจ้งรู้จริง“กรรมวิบาก”

เพราะว่า ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“กรรมวิบาก”ที่มี“กรรมเป็นของของตน-ตนเป็นทายาทกรรมของตน-กรรมพาตนเกิดตนเป็นไป-กรรมเป็นเผ่าพันธุ์

ตาย-ตายเกิดอยู่ไม่รู้จบไม่รู้แล้ว อยู่ตลอดกาล หากยังไม่มี“ปัญญา” 

จึงลึกลับ หรือไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในสัจจะอยู่นั่นเองว่า แท้ๆแล้ว“พระเจ้า”ก็คือ“ตนเอง” เป็น“นายของอัตตา” เป็น“ผู้บงการกรรมของตน” 

 

  •  


เวลาบันทึก 23 มีนาคม 2565 ( 20:23:26 )

650328

รายละเอียด

650328 ไม่มีความไม่จริงในสิ่งที่พ่อครูพูดเรื่องโลกุตระ รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 33

https://www.boonniyom.net/51954.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1vaNp_JUuIWgpLejI2dydYgPk1xcKin-rEUdeg0aGeRI/edit?usp=sharing 

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/19Za8M2WKGC68B8GUV0uhXaqdUczQY0FH/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/c1pI_pXnSN/

https://fb.watch/c1pKaQecrv/

และ

https://youtu.be/rX9aDO9yJIk 

 

ปัญญาอ่านอาการ ลิงค นิมิต ของกิเลสคือโลกุตระ

_สู่แดนธรรม… วันนี้วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 

พ่อครูว่า…เรื่องที่จะนำมาอธิบายเป็นเรื่องที่ไม่ใช่สาธารณะบุคคลทั่วไปจะรู้ได้ ต้องไปฟังจากบุคคลที่เป็นสัตบุรุษเป็นพระพุทธเจ้าเป็นผู้อยู่ในฐานะครูที่สัมมาทิฏฐิมาก่อน ถึงจะพอเข้าใจ แม้จะได้ฟังแล้วจะต้องไปซักไซ้ไต่ถาม ทั้งอรรถทั้งธรรมทั้งพยัญชนะทั้งสภาวะอีกเยอะ จนกว่าจะได้มีปัญญารู้เท่าทันขึ้นมาได้ เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้านำมาแสดงเปิดเผยในโลกนั้น มันคือโลกุตรธรรมมันไม่ใช่ธรรมดาสามัญที่คนทั่วโลกทั้งโลก ศาสดาทุกศาสนา อื่นๆที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ยังไม่สามารถรู้ มีพระพุทธเจ้า ชื่อว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์นั้นจึงจะมีโลกุตรธรรมนี้ขึ้นมา พูด พูดแล้วเขาก็จะยังฟังไม่ค่อยขึ้นหรอกคนทั่วไป เขาก็คงฟังได้ว่า 

ความรู้ก็คือความรู้ ความฉลาดก็คือความฉลาดสิ มันก็เหมือนกัน ใครจะฉลาดมากฉลาดน้อย ฉลาดสูง ฉลาดต่ำ เขาก็เข้าใจกันอย่างนั้น แต่นี่มันไม่ใช่ฉลาดมากฉลาดน้อย มันเป็นความรู้ความฉลาดที่ลึกเข้าไปถึง อาการ ลิงค นิมิต  ของจิตเจตสิกรูปนิพพาน พูดโดยอาศัยพยัญชนะแค่นี้ คนสามัญ ผู้ที่เรียนพยัญชนะเหล่านี้มาก็เคยได้ยินได้ฟังพยัญชนะเหล่านี้มาทั้งนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องลึกลับอะไร ใครก็เคยได้ฟังกันมา คำว่าจิตเจตสิกรูปนิพพาน คำที่สื่อสภาวะธรรมที่เป็นของพระพุทธเจ้า เป็นพยัญชนะ ก็ได้ยินได้ฟังกันมาทั้งนั้น 

แต่คนที่จะสามารถเข้าไปถึงเนื้อหาสาระของสภาวะแท้ของ อาการ ลิงค นิมิต อาการของจิตมีอาการที่แตกต่างกันเรียกว่าลิงคะ แล้วสามารถอ่านจับนิมิตของอาการนั้น กำหนดหมายจุดสำคัญ อาการสำคัญ สภาวะที่เราจะเข้าใจเองให้ได้ว่าอย่างนี้นะ คุณหมาย หมายเป็นที่ เข้าใจของคุณเอง คุณต้องเข้าใจให้ได้แล้วอย่าให้ผิดเพี้ยน ต้องแม่นว่าอย่างนี้กำหนดมาอย่างนี้ 

ทีนี้การกำหนดหมายอย่างนั้นอย่างนี้ มันจะต้องตรงกับสภาวะของผู้ที่เป็นสัตบุรุษ หรือผู้ที่เป็นพระพุทธเจ้ากำหนดหมายไม่ตรงกัน​ ถ้าไม่ตรงกันมันก็ต่างกัน กายต่างกันสัญญาต่างกัน ก็พูดกันไปอย่างโมเม ไม่สามารถเป็นหนึ่งเดียวกันได้ แต่ถ้ามันเข้าใจกันแล้ว ​สัญญาตรงกันกายตรงกัน มันก็รู้เรื่องกันได้ มีนิพพาน  สื่อไปถึงสภาวะละเอียดลออจนถึงกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด ก็ไม่มีแล้ว ก็รู้ชัดเจน 

จิตที่ไม่มีกิเลสมันต่างกันอย่างไร ที่อาตมาตอบคำถามเขาที่ถามมาว่า รู้ได้อย่างไรว่าตนเองเป็นอรหันต์ มันก็ต้องรู้สิเพราะว่าเรามีสภาวะอรหันต์ แล้วสภาวะเป็นอย่างไรก็คือว่างจากกิเลส ว่างอย่างไร ก็ต้องรู้ก่อนว่ากิเลสเป็นอย่างไร หยาบ กลาง ละเอียด เป็นอย่างไร

กิเลสเกิดทางตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส จมูกกระทบกลิ่น กายกระทบสัมผัสโผฏฐัพพะแล้วเกิดอาการกิเลส ต้องเรียนรู้จริงๆเมื่อมันเกิด

ผู้ที่ไม่เรียนรู้และที่หลับหลับตา ไม่เปิดตาหูจมูกลิ้นกาย หลับตาจึงเป็นโจรทำลายศาสนาพุทธ เพราะว่าขบถ​ ไปจากศาสนาพระพุทธเจ้าหมดเลยไปเอาแบบ เดียรถีย์ 

ไม่ได้ใส่ความ ไม่ได้ไปว่า ไม่ได้ไปหาเรื่องอะไรเลย  แต่มันเสื่อมไปแล้ว คนเสื่อมจากศาสนาพุทธไปจนกลายเป็นความผิดเพี้ยน

พวกที่เรียนพยัญชนะได้ดีเรารับยศสรรเสริญโลกียสูง แต่ก็ยังเชื่อว่าหลับตาปฏิบัตินั่นเองจึงจะบรรลุนิพพานเหมือนกัน น้อยกว่าน้อยนัก ที่จะพอเข้าใจว่าไม่ต้องไปหลับตาศาสนาพระพุทธเจ้ามีจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่ใช่หลับตา อปัณณกปฏิปทา 3 ก็ระบุ ชี้ชัดบ่งไว้เลยว่า ต้องมี 3 อย่างนี้ถึงจะเป็นพุทธ ไม่มี 3 อย่างนี้ไม่เป็นพุทธ  เอาหลักฐานมาเปิดขนาดไหนก็หูทวนลม ว่าเอ็งเป็นใคร เถรสมาคมจะเอาตายยังไม่รู้ตัว เขายังมีครูบาอาจารย์ แต่นี่ไม่มีครูบาอาจารย์อีก มาจากสำนักไหนศิษย์พี่ศิษย์น้องไม่มีอาจารย์ไม่มีมาอย่างไร มาคนเดียว ปางนี้ชาตินี้มาคนเดียว 

บอกว่าเป็นพระพุทธเจ้าหรือ ก็ไม่ใช่ บอกแต่ว่าเป็นโพธิสัตว์ ไม่เคยพูดว่าตนเองเป็นพระพุทธเจ้าสักที ไม่มีวิปลาสเรื่องนี้ เขาฟังก็ไม่รู้เรื่อง จนกระทั่งเลิกฟัง ก็ถือว่าเป็นผู้ที่ไม่มีบารมีต่อกัน คนที่มีบารมีต่อกันฟังรู้เรื่องได้ก็ดี 

SMS วันที่  23-24 มีนาคม 2565

 

_สติพล จนพัฒนา : แค่เรื่องหลับตาลืมตาผมว่าแสดงธรรมหรือพูดได้ตลอดชีวิตเลยครับ..ตายแล้วเกิดมาใหม่ก็มาพูดได้ต่ออีกครับ..(แน่นอนขอรับรองล้านเปอร์เซ็นต์)

พ่อครูว่า... ใช่ พูดไปอีกเขาก็ยังอายอยู่ไม่เปลี่ยน

 

อาหาร 4 ถึงรูป 24

_ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรสุดเกล้า ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ

เกษตรกรทุกท่านที่สร้างอาหารให้รับประทาน ผมอยู่กรุงเทพฯ สร้างอาหารไม่เป็นและไม่มีที่ดินด้วย ถึงจะมีเงินถ้าไม่มีผู้สร้างอาหารให้รับประทานผมอดตายแน่ไม่ว่าท่านจะเป็นญาติธรรมหรือไม่ก็ขอสรรเสริญทุกท่านด้วยความจริงใจ ท่านที่สร้างอาหาร อาหารที่ได้รับประทานเหลือผมจะแช่ตู้เย็นไว้รับประทานในวันต่อไปจนหมดไม่ทิ้ง ก็ขอขอบคุณทุกท่านที่สร้างอาหารให้ทุกคนได้รับประทานและทำให้ผมมีชีวิตได้ถือศีลปฏิบัติธรรมได้เพราะท่านได้สร้างอาหารให้รับประทาน ก็ขอให้ท่านจงมีพลังชีวิตจงยั่งยืนนานทุกๆ ท่านครับ เจริญธรรม กราบขอบพระคุณพ่อท่านครับ

พ่อครูว่า... คุณคนนี้ก็เข้าใจเรื่อง กวฬิงการาหาร อาหารคือคำข้าวที่ตนกินเข้าไปเลี้ยงกายขันธ์ ต้องกินเข้าไปทุกคน ไม่ว่าจน ไม่ว่าผู้ดี ไม่ว่าใครก็ตามที่เป็นมนุษยชาติ เป็นสัตว์โลก สัตว์โลกก็มี กวฬิงการาหาร ของตนเอง เครื่องอาศัยของร่างกาย พืชพันธุ์ธัญญาหาร (พ่อครูยกมะนาวใหญ่ให้ดู) สวนไวพลัง สวนใสหม่วน กล้วยเครือใหญ่(สม.กล้าข้ามฝันบอกว่า วันนี้สวนใสหม่วนตัดกล้วยมาให้ 9 เครือ) อาตมาคงยกไม่ไหว มันอุดมสมบูรณ์เหลือกินเหลือใช้  ไม่ต้องห่วงหรอก ปลูกเข้าไป ไล่แจกเลย เอามาแจกที่เฮือนปันสุข แจกในเมืองเลย ใครจะไปบ้าง เอาเฮือนปันสุขไปแจกในเมืองเลย คือจริงๆที่พูดไม่ได้ประชดประชัน

คือ เรามีกินมีใช้อยู่อย่างเศรษฐกิจที่ดีที่สุด เพราะสิ่งที่เฟ้อ สำหรับชีวิต เลยปัจจัย 4 ไป ก็จะมีบริขารสำคัญบ้างเล็กๆน้อยๆ นอกจากปัจจัยและบริขารแล้ว นอกนั้นเฟ้อทั้งนั้น สมัยนี้มากกว่าสมัยพระพุทธเจ้าบ้าง 

ชาวอโศกปฏิบัติธรรมะพุทธทาสถูกต้องตามธรรม ปฏิบัติธรรมมามีมรรคมีผล ลดละไปไม่ยึดติด ไม่แสวงหา ปลดปล่อยปลงวาง เพชรนิลจินดา แม้แต่สุดท้ายธนบัตรก็ไม่เห็นสำคัญอะไร อย่างนี้สำคัญกว่า พืชพันธุ์ธัญญาหารเห็นว่าอาหารสำคัญกว่า เพชรนิลจินดายิ่งไกล มีปัญญามีปฏิภาณมองเห็นความจริงอย่างนั้น 

แต่คนในโลกเขาเขากลับมองเห็น ทวนกระแสกับพระพุทธเจ้า เขาเห็นเพชรนิลจินดาสำคัญกว่าอย่างนี้ เขาว่าเขามีธนบัตร เขาไม่กลัวหรอก แต่ไปซื้อกินที่ขั้วโลกเหนือหรือขั้วโลกใต้จะมีกินไหม ทะเลทรายก็ได้ จะมีอุดมสมบูรณ์แบบนี้ไหม แต่ทะเลทรายตะวันออกกลางเขามีน้ำมันมีแก๊ส เขารวยจริงๆ เขาก็ไม่รู้สึกว่าจะเดือดร้อน เขารวยจริงๆมาก เขาใช้เงินซื้อแลกเปลี่ยนเอาตัวนี้ เป็นสิ่งที่เฟ้อเกินของชีวิต

พระพุทธเจ้าตรัสถึงอาหาร 4 กวฬิงการาหาร พูดกันก็พอเข้าใจ 

ผัสสาหาร อันที่ 2 มโนสัญเจตนาหาร อันที่ 3 วิญญาณาหาร อันที่ 4 ชักรู้น้อยลงๆ ไปจนกระทั่งถึงวิญญาณาหาร 

วิญญาณาหารคือ ความรู้โดยตรงเลย มโนสัญเจตนาหารต้องกำหนดหมาย เวทนาสัญญาเจตนา พอไปผัสสะแล้ว ต้องเรียนรู้ ผัสสะ ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ สัมผัสภายนอกสัมผัสภายใน หยาบไปจนถึงละเอียดแต่คลุมหมดเลย วิญญาณาหารนี้คลุมหมดเลย 

วิญญาณาหาร พระพุทธเจ้าตรัสว่าคือ นาม รูป ถ้าไม่เรียนรู้ นามรูปตั้งแต่ รูป 28 นาม 5 เป็นต้น คุณก็ไม่รู้จักวิญญาณได้ดี 

ต้องเรียนรู้อย่างสัมมาทิฏฐิ แล้วก็มีของจริง นามรูปสัมผัสจริง จึงจะค่อยไปรู้เวทนาสัญญา เจตนา แล้วก็มี ผัสสะ มนสิการ นั่นคือ นาม 5 

ถ้าคุณไม่เข้าใจในความหมายของเวทนา จิตเจตสิกต่างๆ สัญญาเป็นเจตสิกอย่างไร เวทนาเจตสิกอย่างไร เจตนาเป็นเจตสิกอย่างไร ผัสสะ มนสิการ เป็นเจตสิกอย่างไร 

แล้วไปเรียนรู้ รูป 28 อีก 

จึงจะเริ่มต้นมีตา หู จมูก ลิ้น กาย มี 5 กับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส โผฏฐัพพะ จับคู่กันเข้าสัมผัสกันเข้าเป็นภาวะ 2 มีรูป อธิบายรูปผ่านมาจากอุปาทายรูป ปสาทรูป โคจรรูปหรือวิสยรูป คุณก็จะไม่เข้าใจเลยว่า อ้อ…จิตนี่ ที่บอกว่ารูปต่างๆนี้เกี่ยวกับจิตด้วย ถ้าไม่มีจิตก็จะไม่ไปพูดว่า ปสาทรูป โคจรรูป ประสาททาง ตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วมันทำงาน มันโคจร มันออกมาทำงาน มีการสัมผัส โค มันออกไปหากิน โคจร ออกไปทำงาน สัมผัสกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ มันก็เกิดรู้ เกิดภาวะให้รู้เป็นภาวะ 2 ภาวะต้องมี 2 เสมอ ท่านเรียกว่า อิตถีภาวะกับปุริสภาวะ ภาวะเพศชาย ภาวะเพศหญิงหรือบวกกับลบ แล้วต้องมาเรียนสักกายะ มาเรียนตัวเรา 

ในตัวเรา คูหาสยังมี หทยรูปอยู่ อยู่ที่ไหน ไม่รู้ อยู่ในนี้แหละ ยากเข้าไปอีก ทางอภิธรรมบอกว่า อยู่ที่หัวใจที่แบ่งเป็น 4 ห้อง อยู่ในห้องใดห้องหนึ่ง ห้องไหนก็ไม่รู้ อาตมาไม่ได้ไปสำคัญมั่นหมายตามที่เขาเรียนเขาสอนกัน จะมีน้ำใสๆสีน้ำเงินอยู่นั่นแหละ วิญญาณจะอยู่ตรงนี้แหละ ก็เดากันไปเละๆเทะๆ 

หัวใจมันไม่เกี่ยวกับวิญญาณ หัวใจมันคือรูป สูบฉีดโลหิต ถ้าที่อาศัยของวิญญาณ มันต้องสมอง ไม่ใช่หัวใจ สูบฉีดโลหิตมันคนละเรื่องกันอย่างนี้เป็นต้น เราฟังแล้วก็น่าสงสารไปเรียนทำไมไปอธิบายกันไปให้ฟัง 

ถ้าเรียนไม่รู้สภาวะจริงนะก็จะเห็นว่าพวกนี้มันเฟ้อ มันจะต่างๆภาษาต่างๆพยัญชนะต่างๆมันเกินมันเฟ้อ พวกนั่งหลับตาก็จะบอกว่าไปวุ่นวายกับสิ่งนั้นทำไม เป็นสมาธิเป็นฌานเป็นวิมุตก็นั่งหลับตาทั้งนั้น พวกนี้เป็นพวกพญานาคเหมาเข่ง เหมารวมหมดเลย 

หมู่นี้ไอแรงไอบ่อย ก็ไม่ค่อยอยากจะพูด เดี๋ยวจะมีอะไรเข้ามาเยอะ

สู่แดนธรรม... มีคนถามพ่อท่านว่า รู้ได้อย่างไรว่าตัวเองเป็นอรหันต์ โลกนี้โลกหน้าก็ไม่ตั้งอยู่ที่อายตนะ เราย่อมไม่กล่าวว่า อายตนะมีทางมาทางไป ไม่กล่าวว่าตั้งอยู่ ไม่กล่าวว่าเป็นการจุติ อุบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งไม่ได้ หาอารมณ์ไม่ได้ นี้แลคือเป็นที่สุดแห่งทุกข์

ผมมีมโนสัญเจตนาหาร อยากให้พ่อท่านเอามาช่วยเขียนอธิบายเพิ่มลงไปในปัญญา 8 

 

คบสัตบุรุษที่จะช่วยดึงขึ้นจากหลุมถ่านเพลิงโลกีย์

_พ่อครูว่า... พระพุทธเจ้าจึงตรัสถึงอุทาหรณ์ นิทานของวิญญาณอาหาร มันเหมือนอย่างกับโจร มีโจรที่ปล้นศาสนา ปล้นธรรมะทำลายธรรมะอยู่ พระราชาจะเอาไปประหารด้วยหอก แทงให้ตายเลย 100เล่มเช้ากลางวันเย็น อย่างละ 300 เล่ม เช้ากลางวันเย็น แล้วก็ทิ้งไว้แค่นั้น มันก็ยังไม่ตาย เดี๋ยวนี้มันก็ยังเป็นอยู่ อาตมาพูดนี้คือหอก เรียกว่า สตี คือ หอก มุขสตีคือปากหอก แทง เช้ากลางวันเย็น รีรันตลอด 24 ชั่วโมง แทงแล้วแทงอีก ไม่ได้ไปแทงเรื่องอะไรมากเลย

แทงเรื่องสำคัญคือ หลับตาปฏิบัติ นั่งหลับตาปฏิบัติคือ โจรปล้นศาสนาพุทธ ขออภัยจริงๆเลยนะพูดแล้วก็เกรงใจว่า ไปว่าเขาทำไม  จะไม่ว่าได้อย่างไร ก็มันผิด มันหลงผิด เพราะว่ามันเพี้ยนมันหลงผิด ก็เหมือนอาตมาเห็นลูกทำผิดอยู่ต่อหน้าต่อตา แล้วจะบอกว่าลูกทำผิดก็ช่างหัวส่งเสริมให้ทำผิดด้วยซ้ำ จะบ้าหรือ 

สรุปง่ายๆ ลูกมันก็ติดยา แล้วมันซื้อยาเสพติดมากินอยู่ที่บ้าน เห็นอยู่ทนโท่ เราก็ต้องบอกว่าไม่ได้ ต้องพูดแล้วพูดอีก กระหน่ำเลยว่าไม่ดี ก็ต้องพูดแบบนั้นเป็นธรรมดาใช่ไหม อาตมาเป็นความรู้สึกเช่นนั้น เห็นลูกหรือว่าเห็นเพื่อนสหธรรมิก ผิดไปจากของพระพุทธเจ้า อาตมาเห็นใจเข้าใจ เขาก็แสวงหาสิ่งประเสริฐจะไปนิพพาน แต่มันหลงทิศหลงทาง เราก็บอกอย่าไป ทางโน้นเป็นเสือ ขบกินตายหมด อย่าไป 

ทักษิณก็บอก พี่เหนาะ คนตาบอดจะไปกลัวเสืออะไร ใครเคยได้ยินบ้าง พูดกับเสนาะ เทียนทอง ตาบอดไม่กลัวเสือหรอก มันก็พูดกันไป 

เหมือนคนนั่งหลับตา เหมือนคนดตาบอดหูหนวก พูดไปเถอะ ไม่ได้ยินไม่รับรู้ ไม่ได้ฟังอะไรเลย 

ก็มีคนแสวงหา มีคนไม่มีอคติ มีคนตั้งใจจริงๆค่อยๆรู้ความจริงขึ้นมา อาตมาต้องขอบคุณพวกคุณ ชาวอโศกทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ยืนยันว่าธรรมะพระพุทธเจ้านั้น อย่างอาตมาพูด พวกคุณเห็นด้วยเห็นดี ก็มาเอามาศึกษามาปฏิบัติจนสามารถปฏิบัติได้ มีมรรคผลจริง จนกระทั่งเกิดวัฒนธรรมเกิดพฤติกรรมของโลกุตรธรรมถึงขั้นสาธารณโภคี มีสาราณียธรรม มีลาภโดยธรรม เอามารวมกันกองกลางและกินใช้ร่วมกัน 

ซึ่งในโลกยุคนี้เป็นทุนนิยมสามานย์ขนาดนี้ คอมมิวนิสต์รุนแรงขนาดนี้ มันไม่น่าที่จะแหวกออกมาเกิดได้ สาธารณโภคี เป็นสุดยอดอภินิหารเลย สุดยอดปาฏิหาริย์ 

คนเขาฟังไม่ค่อยเข้าใจ ไม่รู้เรื่องใดว่าพูดอะไรกันนะ แต่นี่แหละคือสุดยอดเลย ถ้าคนทั้งหลาย เอาแค่ประเทศไทยที่เป็นชาวพุทธมาเข้าใจโลกุตรธรรมนี้ แล้วหันมาใส่ใจศึกษา ได้มรรคผลอย่างพวกคุณบ้าง ถ้าเมืองไทยมีอย่างชาวอโศกสักครึ่งประเทศ รับรองว่าโลกทั้งโลกจะหันมาแลเลย คนทั้งโลกจะหันมาศรัทธา แต่นี้มันน้อยเกินไป ไม่มีน้ำหนักเลย เหมือนผงธุลี อยู่ในฟ้ากว้าง มันก็เลยไม่สะดุด ก็มันเป็นเรื่องจริงเป็นสัจธรรมอย่างนั้น ไม่มีปัญหาหรอกเป็นแต่เพียงพูดความจริง ถึงเวลาก็พูดความจริงสู่กันฟัง 

วิญญาณาหารก็ยังเป็นเช่นนี้อยู่ มีโจรปล้นศาสนา ฆ่าไม่ตาย ทำผิดต่อพระพุทธเจ้าขบถธรรมะพระพุทธเจ้าอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นวิญญาณาหารหรือนามรูป เขาก็ไม่รู้ว่ามันผิดหมด ไม่มีอาหารอย่างนี้ในศาสนาพุทธแล้ว มีอยู่ในชาวอโศกเท่านั้น 

ไปถึงมโนสัญเจตนาหาร ท่านเปรียบเหมือนหลุมเพลิง คนมันจะวิ่งลงหลุมถ่านเพลิง ก็มีคนพยายามดึงสองแขนขึ้นมาจากหลุมเพลิง หรือมีบุรุษ 2 คน ดึงอีกคนหนึ่งที่จะวิ่งออกจากหลุมถ่านเพลิง ลงหลุมถ่านเพลิง สรุปแล้วโง่ทั้งขึ้นทั้งล่อง ก็เลยมีเจตนาที่คนละทิศกลับโลกุตรธรรม 

เจตนาผิดเป็นโลกียะ เสวยสุข อยู่กับ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระสูตร มหาสาโรปมสูตร  ล.12  ข.347 

เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยมในลาภและความสรรเสริญ  เขาย่อมยกตนข่มผู้อื่นว่า เรามีลาภสักการะและความสรรเสริญ  ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ไม่ปรากฏ มีศักดาน้อย.      เขาย่อมมัวเมา ถึงความประมาท เพราะลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น  เมื่อเป็นผู้ประมาทแล้วย่อมอยู่เป็นทุกข์ 

เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้แสวงหาแก่นไม้  เที่ยวเสาะหาแก่นอยู่  เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่  ละเลยแก่น  ละเลยกระพี้  ละเลยเปลือก ละเลยเสก็ดไปเสีย   ตัดเอากิ่งและใบถือไป สำคัญว่าแก่น. 

ศีลเป็นสะเก็ด สมาธิเป็นเปลือก ปัญญาเป็นกระพี้ วิมุติเป็นแก่น ดอกใบผลเป็นลาภสักการะสรรเสริญ 

ศาสนาพุทธทุกวันนี้เหลือเพียงใบดอกผลที่เป็นโลกียธรรม สะเก็ดคือศีลก็ยังไม่มี บอกว่าพระมีศีลเท่าไหร่ ก็บอกว่า 227 นั้นมันเป็นวินัยไม่ใช่ศีล เท่านี้ก็ไม่รู้เรื่องแล้ว 

ยิ่งสมาธิ อาตมาพูดไปเถอะ สมาธิของพระพุทธเจ้าคือ สมาหิโต ก็พูดไปเถอะ เขาก็บอกว่า สมาธิคือจิตตั้งมั่นสะกดจิตให้มันแข็งให้มันนิ่งอยู่เฉยๆ ซึ่งมันไม่ใช่ สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นจิตใจยิ่งคล่องแคล่วว่องไวเป็น จิตปาคุญญตา ภายนอกก็กายปาคุคญญตา ไม่มีกิเลส จิตใจยิ่งคล่องแคล่วว่องไวปราดเปรียว นั่นแหละคือสมาธิของพระพุทธเจ้า 

ไม่ใช่ว่า ทั้งกายกรรม วจีกรรม นัจจะ คีตะ วาทิตะ แสดงคล่องแคล่ว สื่อภาษาท่าทางสุ้มเสียงสำเนียงเขาก็หาว่าพระอรหันต์อะไรยังกับลิง ที่จริงแล้วยิ่งกว่าลิง ไม่ใช่พูดประชดเล่นคารม แต่ความจริงเขาเข้าใจไม่ได้หรอก 

เขาเข้าใจว่าอรหันต์ต้องนิ่งช้าๆเฉยๆ เขาเรียกว่า สุภาพ ซึ่งฟังแล้วก็น่าสงสารเขาเหมือนกัน 

อย่างเรานี้เหมือนเป็นผู้มีกำลังดึงผู้ที่วิ่งลงนรกอเวจีหลุมถ่านเพลิง ดึงพวกนั้นขึ้นมา หรือสองคนจะดึงลงหลุ่มถ่านเพลิง คนที่จะขึ้นก็คือคนที่ปรารถนาดี ต้องเป็นคนดึงจะลงหลุมเพลิง ดึงคนปรารถนาดีมีสัมมาทิฐิจะขึ้นจากอเวจี แต่ก็มีคนดึงลงไป 2 คน ให้คนที่ถูกดึงนี้มีคนเดียว นั่นคือเจตนา มโนสัญเจตนาหาร ส่วนผัสสาหารนั้น ท่านเปรียบเทียบเหมือนวัวไม่มีหนังหุ้มเลย วัวเปลือย ไม่มีหนังหุ้มเลยทั้งตัวแดง น้ำเหลืองเยิ้ม มันจะแสบขนาดไหนมีผัสสะ ในอาหารข้อที่ 2 ท่านเทียบแล้ว เห็นชัดเจนวัวไม่มีหนังหุ้มเป็นผัสสะอยู่ แล้วจะอยู่อย่างไรมันก็ตาย แสบตายเลย สารพัด สัมผัสกับอากาศสัมผัสกับอะไรต่ออะไรก็แย่แล้ว ต้องไปถามคุณรุ่งโรจน์ บริจาคหนังให้เขา ที่ถูกไฟคลอก มันจะแสบแค่ไหนทั้งตัวเลยนะไม่มีหนังหุ้มเลย มีแต่แดงเยิ้มกับน้ำเหลือง แล้วมันจะเป็นอย่างไร ผัสสะ 

สู่แดนธรรม.. ต้องเปิดรับการกระทบให้รู้ทุกข์

พ่อครูว่า... สัมผัสขนาดนั้นยังไม่รู้ทุกข์เลย เหมือนที่พระพุทธเจ้าบอกว่าให้เจ้าพนักงานแทงด้วยหอกร้อยเล่ม หอกเล่มเดียวก็ทุกข์จะตายแล้ว ถูกแทง แต่ว่าแทงเช้า 100 กลางวัน 100 เย็น 100 ก็ไม่เห็นทุกข์ เหมือนกับผัสสะ วัวไม่มีหนังมันทุกข์ มีผัสสะแท้ๆแต่ไม่รู้จักผัสสะ

สู่แดนธรรม... หาก รับทราบปฏิบัติไม่มีอาหารอะไรปฏิบัติเลย เป็นโมฆะจริงๆเลยหลับตาปฏิบัติ เพราะฉะนั้นจึงกินอาหาร กวฬิงการาหาร ไม่รู้เรื่องโภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ไม่รู้เรื่องหรอก อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่รู้เรื่อง ก็อยู่กันไปด้วยความหลงสุข 

ปัจเวกขณ์ ก็พิจารณาไป ท่องก่อนฉันอาหาร แต่เสร็จแล้วไม่ได้รู้เรื่องอะไร มันน่าสงสารจริงๆ เพราะไม่เข้าใจอาหาร 

อวิชชา มีอาหาร ในตัณหาสูตร (พตปฎ. เล่ม 24   ข้อ 62) 

1.การไม่คบสัปบุรุษ เป็นอาหารของ.. การไม่ได้ฟังสัทธรรมที่ถูกต้อง 

2.การไม่ได้ฟังสัทธรรม เป็นอาหารของ.. ความไม่มีศรัทธา (หรือศรัทธาผิดๆ) 

3.ความไม่มีศรัทธา (ศรัทธาไม่บริบูรณ์) เป็นอาหารของ.. การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย (กระทำใจไม่เป็น) 

4.การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (หรือทำใจไม่เป็น) (อโยนิโสมนสิการ) เป็นอาหารของ.. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ 

5. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ (หรือทำสติไม่เป็น) เป็นอาหารของ.. ความไม่สำรวมอินทรีย์ 

6. การไม่สำรวมอินทรีย์ เป็นอาหารของ.. ทุจริต 3 (กาย,วาจา,ใจ ทุจริต) 

7. ทุจริต 3 เป็นอาหารของ.. นิวรณ์ 5 

8. นิวรณ์ 5 เป็นอาหารของ.. อวิชชา 

9. อวิชชา เป็นอาหารของ ภวตัณหา 

 

อาหารสู่วิชชา-วิมุติ 

1.การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ หาฏคบอสัตบุรุษก็มีแต่เจ๊ง 

2.การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์ 

มีอานิงส์ในการฟังธรรม 5 ประการ ได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน เข้าใจในสิ่งที่เคยได้ฟังแล้ว ทิฏฐิถูกตรงมากขึ้น มีความเลื่อมใสศรัทธาเพิ่มขึ้น 

 

ไม่มีความไม่จริงในสิ่งที่พ่อครูพูดเรื่องโลกุตระ

_พ่อครูว่า... ขนาดพบสัตบุรุษแล้วต้องพากเพียร พูดแล้วเหมือนคุยเขาบอกว่ายกตัวเองหลงแต่ตัวเอง เขาก็ใส่ความอาตมาทั้งนั้นที่เขาพูดมา อาตมาไม่ได้หลงตัวเอง ไม่ได้ยกยอตัวเองเพราะว่าอาตมาไม่มี สาเฐยจิต อยากอวดยกย่องตนเอง ไม่มี แต่เขาฟังไม่เป็น อาตมาบอกความจริงว่าอาตมาไม่มี สาเฐยจิต ที่อยากจะมายกย่องตัวเองโอ้อวดตัวเองไม่มี มีแต่พูดความจริงตามความเป็นจริง เพราะความจริงมันไม่มีแล้วในโลก มันไม่มีใครพูดความจริง อาตมาเป็นคนพูดความจริงคนเดียวในโลกยุคนี้ ยืนยันความจริงว่าที่ยืนยันความจริงสำคัญที่สุดก็คือว่า ยืนยันอะไร ยืนยันว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นความจริง คนอื่นโกหกทั้งหมด หรือไม่กล้ายืนยันตัวเองว่าเป็นอรหันต์ พูดเลี่ยงไป บรรลุอรหันต์แล้วบอกใครไม่ได้ ขืนบอกนั่นแหละว่าตัวเองเป็นอรหันต์ก็คือไม่ใช่อรหันต์ ไปนู้นเลยปราชญ์ท่านพูดอย่างนั้น ตีความไปออกนอกเรื่องนอกราวพระพุทธเจ้า พวกนี้ไปเปลี่ยนแปลงคำสอนพระพุทธเจ้า บาปมั้ย แต่ไม่ได้พูดซ้ำเติมเขาไม่รู้ก็เลยน่าสงสาร ก็พูดเตือนสติให้เข้าใจ 

เพราะในโลกไม่มีใครกล้าพูดความจริง เพราะเขาไม่มีความจริงที่จะมาพูด อาตมามีความจริงที่จะมาพูดจึงกล้าพูดความจริง และเห็นว่าต้องพูด เพราะคนพูดความจริงมันไม่มี มันมีแต่คนโกหกหมดเลยหรือ ความจริงเขาไม่พูดหรอก อย่าไปบอกว่าตัวเองเป็นพระอาริยะ

 เป็นพระอรหันต์ บอกแล้วจะไม่ถือว่าเป็นอรหันต์ ต้องเดาเอานะ จึงเป็นโลกแห่งความงมงาย เดาๆ ศาสนาพุทธจึงกลายเป็นศาสนาเดา ศาสนางมๆคำๆ งมงาย เดา เพราะคนจริงมาพูดความจริงมันไม่มีแล้ว 

อาตมาย้ำยืนยันให้ฟัง กลับไม่สนใจ แต่ไปสนใจสิ่งที่ไม่จริง มันโง่ มันไม่ไหวแล้วมันเมื่อยสงสารคนเมื่อย 

สู่แดนธรรม... พ่อท่านให้เขารู้ เขาเลยไม่สนุก เพราะคนในโลกทุกวันนี้ชอบอะไรที่ท้าทายให้คิดให้เราเอง พ่อท่านมาเปิดเผยว่า อาตมามีความจริงเขาก็เลยไม่อยากรู้ มันเป็นอย่างนั้นหรือไม่ครับ 

พ่อครูว่า... จะว่าอย่างนี้ก็ใช่ มันเป็นจิตโง่สนิทเลย อวิชชาว่า ในโลกนี้อย่าไปฝันเลยว่าจะมีคนพูดความจริง อย่าไปฝันเลยจะมีคนจริง มีแต่คนเข้าข้างตัวเอง เห็นแก่ตัว พูดยกตัวอย่างตัวเองทั้งนั้น เขาเข้าใจว่าอย่างนั้นไปเขาไม่เชื่อว่าความบริสุทธิ์สะอาดของจิตบริสุทธิ์สะอาดของคน คนที่จิตบริสุทธิ์สะอาดมันมีจริง เขาไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่า มีด้วยเหรอในโลกนี้ที่คนจะมีจิตบริสุทธิ์สะอาด มีแต่ความจริงใจ พูดอะไรก็มีแต่ความจริงทั้งนั้น ไม่มีความไม่จริงสักนิดเลย มีด้วยเหรอในโลกนี้มีด้วยหรือ เขาไม่เชื่อ 

เมื่อไม่เชื่อก็บอกความจริงให้ฟัง เขาก็หาว่าอวดโอ่ ยกตัวยกตนอีก ไม่ได้ยก อาตมาไม่ต้องยกตัวเองเลย อาตมารู้ตัวเองดีว่าอาตมาสูงหรือต่ำ ใครจะว่าอาตมาต่ำ อาตมาก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ใครจะว่าอาตมาสูงอาตมาก็ไม่ได้ฟองฟูอะไรใจเลย จริงๆ 

อาตมาไม่เคยสะดุ้งสะเทือนเลยในการที่ออกมาทำงานศาสนาแล้ว ถูกเถรสมาคมทั้งหมดเลยรวมกันเลย ทั้ง ธรรมยุตและมหานิกายออกมารวมกันเป็นหมู่เลย  เข้ามาขย้ำอาตมา เขี้ยวหักกันไปเยอะ หมาพิตบูลรุมขย้ำเขี้ยวหักไปเลย ตอนนี้เขาไม่รู้จะมาขย้ำอย่างไร เพราะเขี้ยวเขาไม่มีแล้ว 

สู่แดนธรรม.. เขาว่าสิ้นโพธิรักษ์แล้วทุกอย่างก็หมด จบ

พ่อครูว่า... เขาว่าแต่ละสำนัก พอหัวหน้าสำนักตายไป ทุกอย่างก็สลายหายไป อันนี้ก็เป็นจริงสำหรับโลกียะ เพราะว่าโลกียะมันไม่เที่ยง แต่โลกุตระมันเที่ยง มัน นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) สัจจะของพระพุทธเจ้าได้แล้วได้เลย มันเป็นเรื่องจริง มันเป็นเช่นนั้น

ผู้ที่รับได้มีภูมิธรรมโลกุตระอันประเสริฐก็ได้รับไปอย่างชาวอโศก และผู้ที่สามารถฟังรู้เรื่องขึ้นมาแล้วทุกวันนี้เพราะอาตมาบรรยายแล้ว มันมีปรากฏการณ์จริง มีผลรองรับจากวิธีการอธิบาย จากวิธีการปฏิบัติและคนเอามรรคไปปฏิบัติจนเกิดผล  เกิดขึ้นเรื่อยๆ แม้จะขอดขึ้นเรื่อยๆ หาผู้ที่รู้ เนยยะ มันมีเนยเน่าๆ เนยดีๆ ก็ชักจะหมดแล้ว เหลือแต่เนยเน่าๆ ก็ไม่รู้จะทำอะไรก็พยายาม รักษาเนยเน่าๆ ให้มันสดมันดีขึ้นมาหน่อย จะได้มารู้ขึ้นมาบ้าง ก็พยายามอยู่ 

อาตมาเองพยายามรักษาชีวิต ประคองชีวิตไป ให้ยาวนานหน่อย ทั้งๆที่เมื่อยๆ พูดตรงๆพูดชัดๆ อาตมาน่ะอยากตายแล้ว พูดตรงๆ มันเมื่อยจริงๆ เพราะฉะนั้นก็เอาแต่นอนพัก กินอาหารวันหนึ่งใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง โอ้ย.. มันทรมานทรกรรม กินอาหารกว่าจะได้ปริมาณเพียงพอที่จะใช้ มันช้า เคี้ยวกิน มันไม่เหมือนคนที่กินด้วยความเอร็ดอร่อย กินด้วยความต้องการ มันพูดไปแล้วคนเข้าใจยาก แต่ก็เอาเถอะพูดความจริงสู่ฟังก็แล้วกัน 

ก็พยายาม พยายามที่จะอยู่เพื่อจะสืบทอดต่อยอดของโลกุตระ ที่มันเสื่อมจนกระทั่งตอนนี้ขึ้นมาใหม่ โลกุตรธรรมก็อุบัติขึ้นมาในประเทศไทยชาวพุทธไทย รับได้แล้วก็เอามาสืบสาน สืบสานแล้วมันไม่เหมือนกับที่เขาเข้าใจ เดี๋ยวโพธิรักษ์ตาย พวกนี้ก็แตกรัง แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ตั้งสำนักขึ้นซัดกัน ก็เราจะพูดไปก่อน มันยังไม่ถึงเวลา เขาก็หาว่ามาอวดดี พูดแก้ตัวไป คอยดูเถอะ ตายแล้วเมื่อไหร่จะเป็นอย่างที่เขาว่า เพราะสำนักต่างๆมันเป็นเช่นนั้น แต่เขาไม่รู้เราโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า มันไม่มีที่มันจะเป็นอย่างที่ว่านั้น พระสัทธรรมของพระพุทธเจ้านี้ได้แล้วมีแต่จิตที่เป็น ญาติธรรมกันหมด

คนที่เป็นพระอาริยะจริงๆโดยเฉพาะเป็นอรหันต์ขึ้นไปจิตใจจะมี สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้หมด มันเป็นอย่างนี้

ถ้ามันไม่ถูกต้อง ไม่สัมมาทิฏฐิก็จะเป็นอย่างที่เขาว่า หัวหน้าสำนักตายไม่ช้าไม่นานที่เหลือก็แยกกัน หรือตั้งสำนักแข่งกัน  ซึ่งมันก็จริง แต่ก็ยังดีอยู่นะ ชาวพุทธเราดีกว่าเขาก็ยังเคารพครูบาอาจารย์ แม้เขาจะแยกสำนักไปเป็นอาจารย์ หัวหน้าสำนักต่างๆเยอะแยะเลยยิ่งกว่าหนังกังฟู หนังกำลังภายในหัวหน้าแยกไป พอดังแล้วแยกวง 

 

สู่แดนธรรม... น่าเห็นใจพ่อท่านที่อยู่อย่างไม่ได้ทุกข์อาริยสัจ แต่อยู่กับทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ 

พ่อครูว่า... อยากยังไม่ตาย ถ้าได้ตายมันก็จะว่างกว่า อย่างที่พูดไปแล้วมันอยากจะตาย แต่มันยังตายไม่ได้ ตายไม่ลง เห็นตาดำๆ ก็ฝืนไป มันเป็นการพิสูจน์สัมประสิทธิ์ของพระพุทธเจ้าด้วยว่า จะพยายามใช้อิทธิบาท อยากอยู่ยืดอายุขัยไปอีก ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าอานนท์ เราจะยืดอายุขัยไปอีก ถึงกัปหรือเกินกว่ากัปก็ได้ แต่เราพอแล้ว 

อาตมาเกิดมาในปางนี้โพธิสัตว์ระดับ 7 มันต้องไม่มีคนช่วย อาตมาเกิดมาต้องไม่มีตัวช่วย ผู้ที่จะช่วยได้ถ้าช่วย เช่นเอาง่ายๆ

ในหลวงร.9 เป็นโพธิสัตว์เกิดมาในยุคนี้เป็นธรรมิกราช อาตมาก็เป็นธรรมิกราช ในหลวงรู้อาตมาแต่ช่วยไม่ได้ แสดงออกไม่ได้ แสดงออกพังเลย ศาสนาพุทธพัง ถ้าในหลวงแสดงออกพังเลย มีคนถามเข้ามาอาตมายังไม่อยากพูดแต่ตอนนี้พูดไปแล้วล่ะ 

เขาบอกว่าแน่จริงทำไมในหลวงไม่เสด็จมาหาโพธิรักษ์เลย ท่านไปหาแต่พระที่โพธิรักษ์ด่านั่นแหละ 

แต่เขาไม่รู้อจินไตย ในหลวงแสดงออกไม่ได้ เพราะท่านรู้สมมติสัจจะ รู้จัก status quo ของมนุษยชาติ ยุคนี้กาละนี้ต้องแสดงออกอย่างไร 

เรื่องลึกซึ้งพวกนี้พูดไปต่อก็จะไม่ดี พอแล้ว พูดแค่นี้ก็เหลือกินเหลือใช้ หลายคนก็หาว่าอาตมาอ้างอิงยกตนเทียบท่าน หาว่าตัวเองเป็นธรรมมิกราชอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งอาตมาก็พูดไม่รู้กี่ทีแล้วว่าอาตมาจะไม่พูดเรื่องไม่จริง อาตมาพูดอะไรก็เป็นแต่ความจริงทั้งนั้นไม่มีอะไรที่ไม่จริง แต่คนไม่รู้ความจริงที่อาตมาพูดเท่านั้น ฟังแล้วเขาก็หัวเราะเยาะอยู่ในใจ ว่าทำเป็นคุยโม้ แต่แท้จริงทุกอย่างไม่มีอะไรที่อาตมาพูดแล้วไม่จริง 

อาตมาโดยเฉพาะพูดเรื่องธรรมะเรื่องศาสนาเรื่องโลกุตระธรรมเรื่องการแสดงธรรม ไม่มีอะไรที่พูดไม่จริง ไม่มี มีแต่จริงทั้งนั้น 

 

เรื่องสำคัญที่สุดคือเรื่องของโลกุตระที่เรียกว่าสุขว่าทุกข์ 

ศาสนาโลกียะศาสนาเทวนิยมสอนแต่ดีกับชั่ว ไม่ได้สอนเรื่องสุขเรื่องทุกข์ เขาเข้าใจสุขทุกข์ไม่ได้ เพราะสุขทุกข์เป็น โลกุตระ 

สุข ทุกข์ คือมายา เขาไม่รู้แต่เขาจะอยู่กับมายา มายาตัวไหน เขาจะอยู่กับสุข 

ศาสนาพุทธจึงไม่มีสุขไม่มีทุกข์ อทุกขมสุข จิตไม่มีกิเลส จิตสะอาดจากกิเลสแล้ว ไม่ทุกข์ไม่สุขแล้ว 

คุณจะรู้ว่าจิตตัวเองไม่สุขไม่ทุกข์ อ่านอาการ ลิงค นิมิต อุเทส อุเทสคือคำที่อาตมาบรรยาย แล้วเอาไปอ่านอาการความจริงของจิต ว่า จิตมันไม่สุขไม่ทุกข์เป็นอย่างไร 

จิตไม่สุขไม่ทุกข์ มันมีได้ 2 อย่าง 1 แบบเดียรถีย์ เขาก็ทำให้สุขไม่ทุกข์ได้คือแบบกดข่ม วิกขัมภนะหรือสมถะกดไว้ได้แต่ไม่ถาวร

แต่ไม่สุขไม่ทุกข์ของพระพุทธเจ้าคือจิตมันหมดความโง่  จิตมันสะอาดบริสุทธิ์จากกิเลสหรืออวิชชา จิตมันเป็นอุเบกขา ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา มันบริสุทธิ์เลย ตัดกิเลสเลยไม่มีโง่ 

มันก็เลย รู้ว่าความสุขความทุกข์เป็นมายามันไม่มีจริง จิตก็เลยบริสุทธิ์ว่างจากสุขจากทุกข์ มีแต่ศาสนาพุทธที่มาพูดว่า ว่างจากความสุขว่างจากความทุกข์ ซึ่งศาสนาอื่นไหนเขาก็แสวงหาสุขทั้งนั้น แม้แต่ชาวพุทธที่อวิชชา มิจฉาทิฏฐิ ก็จะต้องเอาสุข ยังเอาสุขคือยังหลงสวรรค์ ยังมีสวรรค์ 6 ชั้น เป็นต้น 

ผู้ที่บรรลุอรหันต์แล้วไม่มีสวรรค์ เมื่อไม่มีสวรรค์นรกก็ไม่มี เพราะนรกไม่มีสวรรค์ก็ไม่มี ความสุขความทุกข์คือนรกกับสวรรค์คือสภาพ เทวะคือภาวะคู่ ถ้าไม่มีก็คือไม่มีหมดไปเลยทั้ง 2 อัน นั่นคือสัจจะที่ยิ่งใหญ่เป็นสุขเป็นทุกข์ 

 

อย่าด่วนสรุปว่าพญาครุฑดีกว่าหรือพญานาคดีกว่า 

_ร่มเย็น : ลูกขาดปัญญาจึงขอถามปัญหาอย่างนี้ค่ะ  ระหว่างพญานาคกับพญาครุฑ หรือโจรปล้นศาสนากับปทปรมะบุคคล เจโตกับปัญญา static กับ dynamic เป็นธรรมะ 2 ที่อยู่ในแกนจิตของแต่ละคน สุดแต่ว่าใครจะสั่งสมโต่งไปข้างใด

     พ่อครูเคยบอกว่า ส่วนใหญ่ชาวอโศกเป็นพญานาคมาก่อนทั้งนั้น แล้วเหตุใดจึงด่วนสรุปว่าเป็นพญาครุฑดีกว่าพญานาค เพียงเพราะพญานาค ได้ชื่อว่าเป็นโจรปล้นศาสนา ทั้งที่การเป็นปทปรมะบุคคลน่าจะเป็นจอมโจรบัณฑิตที่อันตรายกว่าโจรปล้นศาสนาไหมคะ? 

ขอน้อมกราบขอบพระคุณยิ่งค่ะ

พ่อครูว่า... คุณก็เข้าใจถูกแล้วนี่ จอมโจรบัณฑิตนั่นก็คือพญาครุฑนั่นแหละ อันตรายกว่าโจรปล้นศาสนา คุณสรุปได้ถูก คือพวกนั่งหลับตา 

พญาครุฑ หมายถึงปัญญา หมายถึงความรู้ หมายถึงความฟุ้งซ่าน เป็นความรอบรู้ ส่วนพญานาคเป็นการดับความรอบรู้ ไปเอาทางมืดดับดิ่งนิ่งเฉย ไม่เอาอะไรเป็นพญานาค คนละทิศเลย ทีนี้ถ้าเผื่อว่าศาสนามีแต่พญานาค ศาสนานั้นก็หมดท่า ไม่มีความรู้อะไรเหลือ 

ทีนี้ศาสนาที่มีความรู้ของพระพุทธเจ้า ขนาดเป็น ปทปรมบุคคล เป็นบุคคลผู้ที่รู้จักพุทธพจน์ก็มาก ท่องจำไว้ก็มาก สอนผู้อื่นอยู่ก็มาก แต่ไม่ได้บรรลุธรรม นั่นคือ ปทปรมบุคคล

ผู้เป็นปทปรมบุคคล ก็มีปัญญาแล้วก็จัดอยู่ในพวกพญาครุฑ ชาวเปรียญ 9 ชาวด็อกเตอร์ พวกพุทธศาสนบัณฑิต รักษาพยัญชนะ รักษาปรัชญา ของศาสนาพุทธไว้นี้ เหมือนอย่างพระมหาประยุทธ์ หรือเจ้าคุณสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ ท่านก็ไปประมวลมาทั้งๆที่ปทปรมะเต็มไปหมด เอาอาจาริยวาท  มารวมกันอีกก็ไม่จบง่ายๆ ของมหายานของเถรวาทก็เอามารวมหมดให้มาก เพราะท่านชอบความรู้ เป็นยอดมหาอภิมหาครุฑ 

สู่แดนธรรม... ที่พ่อท่านต้องโจมตีพญานาคมากกว่าโจมตีพญาครุฑนั้น เพราะว่าพญานาคทำให้คนได้ศรัทธามากกว่าพญาครุฑ คนที่สายหลับตา น่าห่วงมากกว่า

พ่อครูว่า... ยุคงมงายมากกว่า และพญานาคนั้นไม่รู้ไม่ค่อยรู้ เพราะฉะนั้นพอรู้เข้าก็จะ อ๋อ แต่พญาครุฑนั้นรู้มาก อาตมาพูดไปก็มีความรู้สู้มหาประยุทธ์ไม่ได้ อาตมาไม่ได้ครึ่งค่อนของมหาประยุทธ์หรอก สมเด็จพุทธโฆษาจารย์ อันนี้ไม่ได้พูดประชด พูดเล่น แต่เป็นเรื่องจริง อาตมาด้อยกว่ามากในความรอบรู้ ท่านเป็นปราชญ์ในทางศาสนาจริง 

ความรู้อาตมาเข้าถึงท่านไม่ได้ อาตมาถึงได้พูดเป็นครั้งคราว

สม.กล้าข้ามฝันว่า… พญานาคทุกข์กว่าพญาครุฑ

พ่อครูว่า… ใช่ พญาครุฑ สนุกไปเรื่อย จดบันทึกกับความรู้เพลิดเพลินไปกับความสุข เพราะฉะนั้นก็ไปเตือนสติไม่ค่อยได้ง่ายๆหรอกเพราะว่าไม่ได้เห็นความทุกข์ง่ายๆ ส่วนพวกนั่งหลับตาเห็นความทุกข์ง่ายกว่า มันจะมีเหตุผลของมันอีกเยอะแยะหลายอย่าง 

 

พ่อครูว่า... คู่ต่างๆที่คุณร่มเย็นพูดมา  ก็ค่อยติดตามฟัง อาตมาสรุปแล้ว ทุกอย่างมันมี 2 ที่แตกต่างจากมาเรียงทีละคู่ทุกอย่างมี 2 เทียบเคียงความแตกต่าง เท่าที่คุณจะมีปัญญา

 

SMS วันที่  26-27 มีนาคม 2565

 

ปฏิบัติธรรมมันขึ้นบันไดต้องยึดให้มั่นไปทีละขั้นแล้วปล่อยวางในที่สุด 

_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ท่านสิริเตโช ท่านกล่าวถึง"ความยึด" ได้ชัดเจนมากท่านกล่าวว่า ตั้งแต่เด็กๆเป็นต้นมาท่านทบทวนดูแล้ว ท่านมีความยึดมาตลอด ท่านยึดสิ่งนี้ไปสักพัก พอเลิกยึดสิ่งนี้ก็ไปยึดสิ่งใหม่ เปลี่ยนความยึดไปเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง ทำให้ลูกได้เห็นว่า หากเราไม่เรียนรู้จะเลิกยึด อย่างสัมมาทิฏฐิ เราก็จะอยู่ในวัฏฏแห่งความยึดอย่างไม่รู้จบสิ้น น้อมกราบพ่อครูด้วยเศียรเกล้าค่ะ

พ่อครูว่า...ใช่ เรายึดตรงนี้เหมือนเราขึ้นบันได ก็ยึดไปทีละขั้น หากไม่ยึดทีละขั้น คุณก็หกล้มสิมันต้องอาศัย ท่านจึงใช้คำว่าอย่ายึดมั่นถือมั่น ไม่ใช่ว่าไม่ยึดอะไร ยึด แล้วก็ทำไปตามลำดับเสร็จแล้วหมดทุกอย่างต้องมายึด แม้แต่ความเป็นเราเป็นของเรานั่นเป็นตัวจบ ก็คงจะเคยได้ยิน 

 

_งามใบตอง นิลมณี : น้อมกราบนมัสการพ่อครู ท่านสมณะท่านสิกขมาตุค่ะ สีมาอโศกไข่แตกแล้วค่ะ มีติดเชื้อ 3 ราย ผู้เสี่ยงสูง 6 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อเป็นผู้อายุยาว อาการดีขึ้นแล้วค่ะ วันนี้ได้รับยาจากหมอแตงไทยส่งมาจากบ้านราช ขอบพระคุณอย่างสูงในความห่วงใยกันค่ะ พิสูจน์สาธารณโภคีที่พ่อครูนำพาได้ชัดเจนมาก กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า... พูดถึงสาธารณโภคีแล้วอยากจะขยายความต่อแต่เวลาหมดจบ

สู่แดนธรรม.. สรุปจบ

 

ที่มา ที่ไป

650328


เวลาบันทึก 29 มีนาคม 2565 ( 18:50:24 )

650411

รายละเอียด

650411 ปัญญา สมาธิและสันติภาพแบบพ่อครู รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 34

https://www.boonniyom.net/51952.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1BZSSAX-djLCVn7CXcv5cILJpI03dPcBvjEbXK1NBZYs/edit?usp=sharing 

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1h8CiGem4wMk4ent4nnU3brCnEFDXsiFx/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/cjTPIX1Dos/ และ https://youtu.be/T2qGLcCtNO4 

 

_สู่แดนธรรม… วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เราจะทำรายการโดยไม่ให้พ่อท่านต้องปรุงมาก ต้องเหนื่อยในการที่จะแสดงธรรม เราจะไปกันเรื่อยๆ 

สมณะเดินดิน... จริงๆแล้วร่างกายพ่อครูยังไม่พร้อมเท่าไหร่หรอก พวกเราก็เป็นห่วงจึงขอให้พ่อครูปรากฏตัวหน่อย ญาติโยมจะได้สบายใจขึ้น วันนี้คงจะช่วยกัน ก็เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์อนิจจังแล้วแต่พ่อครูจะมีแรงไหม 

สู่แดนธรรม... เมื่อเช้าได้ฟังพ่อครูพูดคุยช่วงเช้า มีสาระสำคัญคือ ทำอย่างไรพวกเราจะมีความรู้สึก ละอาย เกรงกลัว เคารพรัก อย่างแรงกล้าต่อพ่อครู 

สมณะเดินดิน... ในมุมนี้พ่อครูมองว่า คนข้างนอกหรือแม้แต่พระที่ได้รับความนับถืออยู่ภายนอก เขาจะเกิดความละอายอย่างแรงกล้าไม่ได้หรอก ก็ไม่ได้ปฏิบัติศาสนาอย่างถึงสภาวะ เขาจำเนื้อหาพยัญชนะภาษาของศาสนาได้หมดแล้ว ทำนองเดียวกันในแวดวงชาวอโศก ฟังพ่อครูพูดไปหมดแล้ว ก็จะไม่เกิดความรู้สึกแรงกล้าเช่นกัน แต่หากเราว่าเราไม่ค่อยรู้ เราก็จะเกิดความเคารพ ความรักอย่างแรงกล้า ความศรัทธาอย่างแรงกล้าได้ง่ายกว่า 

สู่แดนธรรม... สมัยก่อนมีคนถามพ่อครูว่า คนเราอยากปรับปรุงตัวเองต้องทำอย่างไร พ่อท่านบอกว่า ถ้าคนคนนั้นถ้ายังเห็นข้อบกพร่องตัวเองอยู่คนนั้นจึงยอมรับการแก้ไข แต่ถ้าเขารู้สึกว่าฉันดีแล้วจะไปแก้ไขทำไม คนแบบนี้ก็ไม่ต้องหวังว่าเขาจะแก้ไขอะไรได้ 

พ่อครูว่า…เจริญธรรม เข้ารายการแล้วไง แล้วมีอะไรต่อ 

 

ปัญญา 8 ประการอย่างบูรณาการ

สู่แดนธรรม... พ่อท่านเคยตอบเอาไว้ว่า ถ้าคนไหนที่คิดว่าเขาไม่มีข้อบกพร่อง หรือเขาไม่ยอมรับข้อบกพร่องของเขา เขาจะไปแก้ไขอะไรขึ้นมาได้ แล้วถ้าสำหรับควรจะปรับปรุงแก้ไขอะไรได้ควรทำอย่างไร 

พ่อครูว่า... ผู้ทีไม่เห็นความบกพร่องของตนเอง แน่นอน เขาก็รู้ตัวเขาเอง เขาไม่มีข้อบกพร่องแล้วเขาจะไปแก้ไขทำไม เพราะเขาไม่เห็นข้อบกพร่องตัวเอง ไม่รู้จักข้อบกพร่องตัวเอง ดีไม่ดี เข้าใจว่าตัวเองนี้ ไม่ใช่บกพร่อง แต่รู้ดีรู้ครบรู้เต็ม รู้ถูกรู้ยิ่งใหญ่กว่าใครๆอีกด้วย เขาจะไปแก้ไขอะไร 

อย่างอาตมานี่ก็ มันเป็นตัวอย่างของโลกจริงๆ เพราะ โลกนับถือค่านิยมของคนอื่นยกให้ ไม่ใช่เข้าไปมีปัญญา หรือมีความรู้ มีปฏิภาณปัญญารู้เองว่า อ๋อ! คนนี้มีความรู้ มีปรมัตถธรรม มีโลกุตระธรรมอย่างแท้จริง ธรรมดาเขาจะไม่รู้อย่างนี้ได้ง่ายๆ ถ้ายิ่งทุกวันนี้ มันเป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์ไว้แล้ว ในอาณิสูตรว่า 

ในอนาคตนั้นศาสนาพุทธเสื่อม เสื่อม จนไม่มีโลกุตระ เหลือ โลกุตรธรรมไม่เหลือ ท่านเปรียบเหมือนกลอง อานกะหรือตะโพนอานกะ ที่ได้กล่าวอยู่บ่อยๆหลายทีแล้ว 

ที่ท่านพยากรณ์นั้นตอนนั้นยังเริ่มศาสนายังไม่ได้เสื่อมอะไร พระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ แล้วท่านก็พยากรณ์เอาไว้ คำพยากรณ์ก็คือวาระนี้ ที่จริงมันเสื่อมไปเรื่อยๆแต่ไม่มีผู้รู้ ไม่มีผู้รู้เรากดตรงนั้นเข้ามาทักท้วง เขาก็ยิ่งหลงๆ ของเขาอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งมีผู้เข้ามาทักท้วงอย่างในยุคนี้ ของศาสนาพุทธ ผ่านไป 2,500 กว่าปีแล้วเสื่อมมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเสื่อมจนไม่เหลือ ไม่เหลือจริงๆ อาตมากล่าวได้ว่าอย่างนั้น 

อาตมาต้องมาสถาปนาลงไปใหม่ ทีนี้ มันก็เป็นสัมภาระวิบากของอาตมาเอง อาตมาก็จะต้องแสดงธรรมเพียวๆ เอาโลกุตรธรรมแท้ๆ เนี่ย มาแสดง มายืนยัน มาอธิบาย มาทำความเข้าใจให้คนรับรู้ได้ 

เพราะฉะนั้นผู้ที่มีธุลีในดวงตาน้อย ถึงจะเห็นได้เข้าใจได้ เมื่อ สามารถเข้าใจได้ก็มาปฏิบัติตาม ตั้งแต่อาตมาเริ่ม ทำงานศาสนามา ก็เริ่มมีผู้ปฏิบัติตาม ผู้ที่พอรู้ได้ มีธุลีในดวงตาน้อยมาเรื่อยๆ ก็เกิด จนกระทั่ง อาตมาทำงานศาสนาก่อนที่จะบวช ก่อน พ.ศ. 2513 อาตมาบวช พ.ศ. 2513 วันที่ 7 พฤศจิกายน 2513 อาตมาก็ออกมาจากโลกีย์ปฏิบัติธรรมด้วยตัวเองอย่างที่ยืนยันแล้วว่าอาตมาเป็นสยังอภิญญา ไม่มีครูบาอาจารย์ ไม่มีลูกศิษย์ลูกหาร่วมสำนัก พอรู้ด้วยตัวเองก็เอามาพูดตรงๆเขาจึงหมั่นไส้ ยิ่งเป็นการซ้ำเติมให้เขาหมั่นไส้หนักเข้าไปอีกว่า หนอย.. บอกว่าเป็นผู้รู้ด้วยตัวเอง  เป็นพระพุทธเจ้าหรืออย่างไร อาตมาก็ไม่เคยประกาศตัวเองว่าอาตมาเป็นพระพุทธเจ้า ก็บอกว่าเป็นพระโพธิสัตว์ ได้เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ด้วย นี่ก็ค่อยกระเตื้องๆ มา 50 ปีแล้ว ก็บอกว่าเริ่มเข้าไปหาระดับ 8 แล้วนะ 

คนเข้าใจยากเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ ถ้าง่ายมันก็ไม่ใช่โลกุตรธรรม มันยากจริงๆ เพราะฉะนั้นผู้จะรู้ได้จะต้องรู้ตามปัญญา 8 ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ 

จะต้องได้ยินจากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง หรือแม้ยุคไหน ไม่มีพระพุทธเจ้าก็ต้องได้ยินจากสัตบุรุษหรือ สยังอภิญญา หรือไม่เช่นนั้น ก็ต้องได้ยินจากผู้อยู่ในฐานะครูที่สัมมาทิฏฐิ ต้องได้ยินว่าอ๋อ!..โลกุตระเป็นอย่างนี้ 

ผู้ได้ยินได้ฟังแล้วมีปฏิภาณจับติดเลยว่า ความรู้นี้สุดยอดนะนี่ โลกุตรธรรมนะ แต่ยังไม่รู้ภาษาว่าโลกุตระคืออะไร ก็แล้วแต่ ก็ไม่เป็นไร แต่รู้ว่าอันนี้มันใหม่อันนี้มันแปลกนะ ใหม่ๆแปลกๆที่น่าทึ่ง ไม่ใช่ว่าแปลกๆใหม่ๆ แปลกๆที่พิเรนทร์ วิตถารไม่เข้าท่า แต่มันมีความแปลกที่มีความลึกซึ้งอะไรที่มีผู้ที่มีปฏิภาณของตัวเองชัดเจน จะรู้ได้เลยว่า อันนี้ไม่ธรรมดา เหนือธรรมดาแน่นอนก็จะปฏิบัติตาม ฟังแล้วฟังอีก ฟังแล้วฟังอีกให้บริบูรณ์ 

พระพุทธเจ้าจึงกำชับว่าต้องคบหาสัตบุรุษให้บริบูรณ์ ฟังสัทธรรมจากสัตบุรุษให้บริบูรณ์ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ท่านเป็นมิตรดีสหายดีของทุกคน ต้องฟังต้องติดตามฟัง เข้าไปซักถาม ในปัญญาข้อที่ 2 ฟังจนกว่าจะเข้าใจว่า โอ้โห! ลึกซึ้งอย่างนี้เอง จึงจะรู้ความสงบ 2 ประการ ว่าโอ้โห! 

ความสงบที่แท้จริง 2 ประการ 1. มันเป็นโลกุตระ 2. มันเป็นโลกียะ มันเป็นเช่นนี้เอง มันไม่ใช่ว่า จะบอกว่าใช่ก็ได้ ความสงบมี 2 ประการคือ สงบอย่างโลกียะเขาสงบ อย่างผู้คนทั้งหลายเขารู้กันเลย สงบ เขาก็ถือว่าเป็นความสงบเหมือนกัน สงบ 2 อย่างเหมือนกัน สงบที่คนทั่วไปรู้ก็คือ 

1.สงบประเภทที่เรียกว่า ไม่ได้มีฌาน กดข่มจิตไว้ 

ส่วนสงบอีกอย่างหนึ่งคือการสะกดจิตไว้ คือโลกียะ ก็ทำกันทั่วโลก เทวนิยมก็ฝึกฝนกันไปก็สงบ คนไม่ได้ฝึกก็ไม่สงบ นั่นโลกีย์เขาก็บอกว่ามีความสงบ 2 อย่าง ก็เลยสะกดจิตหลับตา ฝึกฝน หรือแม้แต่ลืมตาก็ทำความสงบสมถะอย่างลืมตาก็ได้ อย่างนี้เป็นต้น 

แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่ สงบ 2 อย่างคือ 1. โลกุตระ อีกอย่างหนึ่งคือโลกียะ ซึ่งต่างกันแน่นอน สงบอย่างโลกุตระนั้นซับซ้อน เพราะความสงบของอย่างโลกุตระ ไม่ต้องหลับตาเลย ตื่นเต็มเสียด้วยซ้ำ แล้วไม่ได้หยุดนิ่งเฉยด้วย คล่องแคล่วว่องไว ทั้งสภาพภายนอก นัจจะ คีตะ วาทิตะ ท่าทีลีลา สุ้มเสียงสำเนียง แคล่วคล่องปราดเปรียว ได้ชัดเจน สาธยายเต็มที่ แต่สงบ 

เพราะคำว่าสงบนั้นหมายถึง กิเลสมันสงบ กิเลสมันหยุดทำการ กิเลสมันไม่มี สงบเพราะจิตไม่มีตัวกวน จิตไม่มีกิเลสเข้ามากวนเลย เริ่มต้นตั้งแต่มันลดลงๆ ก็สงบลงไปเรื่อยๆ จนมันหมดมันดับ กิเลสตายหมด สงบ ยิ่งสงบยิ่งตื่น ยิ่งสงบยิ่งรู้ทั่ว เป็นโลกวิทู เป็นโลกุตรจิต จิตยิ่งเยี่ยมยอด 

เพราะฉะนั้นการสงบ คำเดียวนี่ ความสงบคำเดียวนี่ ถึงไม่ใช่เรื่องธรรมดาสามัญ ทั่วโลก ผู้สามารถแยกความสงบ ที่เป็นโลกุตระได้ นั่นแหละคือผู้มีปัญญา เป็นปัญญาข้อที่ 3 

เพราะฉะนั้นเมื่อชัดเจน ศรัทธาเลื่อมใส มีความศรัทธาอย่างแรงกล้า เลื่อมใสอย่างแรงกล้า ก็จะเริ่มปฏิบัติตาม เพราะฉะนั้นการปฏิบัติตามของพระพุทธเจ้าก็คือเริ่มจาก ศีล เป็นปัญญาข้อที่ 4 

เริ่มจากศีลเป็นจรณะ 15 วิชชา 8 สรุปก็เรียกว่าไตรสิกขา แต่เดี๋ยวนี้ไปเอาไตรสิกขาไปตีกินหมดแล้ว ขยายความเป็นจรณะ 15 วิชชา 8 ก็ยังค่อยยังชั่ว พอเขามาเจอเข้าก็ละเอียดขึ้นมาหน่อย ถึงจรณะ 15 วิชชา 8 มีศีล แล้วก็มี อปัณณกปฏิปทา 3 เป็นตัวปฏิบัติที่ชัดเจนแล้วเกิดผลเป็นสัทธรรม 7 ไปตามลำดับและมีปัญญาเป็นยาดำ ซ้อนเรียงแทรกให้เป็นตัวรู้เข้าไปตลอดเวลา ไม่ได้แยกจากกันเลย มีปัญญาเข้าไปช่วยรู้ไปเรื่อยๆ 

มีศีล มีการปฏิบัติเป็นมรรคเป็นผลก็เกิด พหูสูต เป็นปัญญาข้อที่ 5 เป็นผู้รู้ยิ่ง เขาไปแปลพหูสูตรว่าเป็นผู้รู้มาก ในพยัญชนะ แล้วรู้มากรู้แต่ตรรกะ รู้แต่บัญญัติ รู้แต่ความรู้ไม่เข้าไปถึงสภาวะ อันนั้นก็ผิด แต่พหูสูตของพระพุทธเจ้านั้น รู้สัจธรรม หรืออีกคำว่า เรียก พาหุสัจจะ เป็นความจริงที่มากหลาย

อธิบายต่างกัน ท่านมหาประยุทธ์หรือท่านพุทธโฆษาจารย์ อาตมาอธิบาย ท่านก็แย้งไปตามความเห็นของท่าน แต่ก่อนก็ไม่ได้อธิบายอย่างวิจิตรพิสดาร ทุกวันนี้อธิบายละเอียดวิจิตรพิสดาร 

ยิ่งผู้ใดสามารถทำให้เกิดพหูสูตจริง ก็ยิ่งมีวิริยารัมภะ เป็นปัญญาข้อที่ 6  ยิ่งพากยิ่งเพียร เห็นความเจริญงอกงามไพบูลย์ ยิ่งมีความเจริญ ความงอกงามความไพบูลย์ของปัญญายิ่งขึ้นๆ ยิ่งเป็นความเห็นที่จริงเป็นความรู้ที่จริงเป็นสัจจะที่จริง ที่เกิดหากทำให้ถูกเหตุปัจจัยแล้วผลก็เกิดดังที่ว่า ผลก็เกิดอย่างนี้จนกระทั่งเต็ม อย่างน้อยเป็นอรหันต์ ก็เป็นปัญญาข้อที่ 7 

อย่างน้อยเป็นอรหันต์ประมาณหนึ่ง เป็นอรหันต์ระดับ 4 ก็สมบูรณ์แบบ เป็นรอบของความบริบูรณ์ ในความเป็นใบไม้กำมือเดียวที่พระพุทธเจ้าสมณโคดมตรัส ว่าท่านสอนใบไม้กำมือเดียวท่านไม่ได้สอนโพธิสัตว์ ในเถรวาท หรือ พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐไม่ได้สอนโพธิสัตว์ สอนแต่เป็นเบื้องต้นของพรหมจรรย์เท่านั้น อรหันต์นี่คือเบื้องต้นของพรหมจรรย์ ก็ตรัสไว้ชัดเจนเช่นนี้แหละ แต่เขาอ่านไม่แตกฉาน

อาตมาผ่านอรหันต์ อรหันต์โสดาบัน อรหันต์สกิทาคามี อรหันต์อนาคามี อรหันต์อรหันต์ ผ่านอรหันต์ระดับ 5 อนุโพธิสัตว์ อรหันต์ระดับ 6 อนิยตโพธิสัตว์ อรหันต์ระดับ 7 นิยตโพธิสัตว์ 

ในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐไม่ได้บันทึกเอาไว้ มหายานเขามี มีจนเกิน อาตมาก็ไม่ได้ไปเอาพระไตรปิฎกมหาญาณมาอ้างอิงยืนยันมากมาย เพื่อที่จะขยายนัก ก็ขยายแค่ธรรมดาไม่ต้องถึงขั้นไปเอาตำราของมหายานอันอื่นๆเข้ามา อาตมาก็ว่าเหลือแหล่แล่ว ทุกวันนี้อธิบายก็ยังไม่จบไม่หมดก็ว่ากันไป 

จนกระทั่งถึงปัญญาข้อที่ 8 รู้ครบถ้วนเลยการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ของทั้ง ขันธ์ 5 รูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วปฏิบัติได้ครบถ้วนที่จริงก็ถือว่าเป็น อุภโตภาควิมุติ 

ผู้ที่เป็นปัญญาวิมุติ ก็ยังเหลือภพเหลือชาติ เป็นสุทธาวาส อีก 5 ภพชาติ เป็นต้น แต่ยังไม่ขยายความใน สุทธาวาส 5 ระดับก็ขอพักไว้ก่อน 

อาตมาเองอาตมา จริงๆแล้วนี่ อาตมาเกิดมาในชาตินี้ตอนแรกก็ไม่รู้ตัวละเอียดลอออะไรมากมายหรอก ก็ค่อยๆรู้ตัวขึ้นมาเรื่อยๆ ก็รู้ตัวว่าเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วก็มาทำงานจนกระทั่งฟื้นสัญญาเก่า ภพเก่า ความรู้เก่า สัมภาระวิบากเก่า เอามาสาธยาย สิ่งที่ศาสนาใดที่พูดไปแล้วมันก็ไม่มีใครมี เพราะยังไม่มีโพธิสัตว์โดยเฉพาะโพธิสัตว์ระดับ 7 ยังไม่มี 

ก็เลยยังไม่มีใครที่จะอธิบายขยายความอย่างนี้ ยังดีที่มีโพธิสัตว์ระดับ 6 อุบัติขึ้นมาในโลกนี้ ท่านก็ทรงงานของท่านไป ทรงงานตามสัมภาระวิบากของท่าน เสร็จแล้วก็มีผลเป็นการสร้างรูปให้แก่อาตมาได้ ได้เข้าไป แต่อาตมาก็เป็นอาภัพพบุคคล เป็นบุคคลอาภัพชาตินี้ เป็นภาษาไทยเข้าใจคำว่าอาภัพ เป็นอาภัพพบุคคล คือเป็นบุคคลที่ ตกต่ำ 

เป็นคนที่คนไม่ค่อยยอมรับนับถือง่ายๆ เป็นคนอาภัพ เป็นหมากลางตลาด ต้องคอยหลบปังตอ ต้องหลบน้ำร้อน หลบแรงถีบของเจ้าของร้านนั้นร้านนี้ ก็เป็นอย่างนั้น 

เกิดมาในชาตินี้อาตมาที่เป็นเช่นนั้น ไม่มีอลังการ ไม่มีความรู้  ไม่มีอะไรยอมรับ ไม่มีสำนักไม่มีครูบาอาจารย์ ไม่มีอะไรนี่ มีแต่ตัวล่อนจ้อน ไม่มีอลังการอะไร นักธรรมตรีก็ไม่ได้สอบได้เปรียญ 2 3 ไม่มีทั้งนั้น แม้แต่ความรู้ทางโลก ปริญญาตรี ก็ไม่ได้กับเขา ได้แค่ปวส. ยังดีไม่ใช่ได้แค่ ปวช. 

สู่แดนธรรม... ผมก็ได้แค่ปวช.ครับพ่อท่าน 

พ่อครูว่า... ไม่มีปัญหา ความรู้ทางธรรมไม่ได้เทียบกับทางโลก 

อาตมาจึงยืนยัน จำเป็นที่จะต้องสาธยาย ให้ผู้ที่มีปฏิภาณปัญญามีบารมีรับฟังรับรู้ แล้วมาเอา มาปฏิบัติตามจนมีมรรคมีผลขึ้นมา แล้วก็สามารถเกิดมนุษยชาติ จับกลุ่มกันเป็นชุมชนสังคมขึ้นมา เป็นสังคมสาราณียธรรม 6 ก็ยืนยัน ก็พิสูจน์กับชาวโลกเขายืนยัน

ตั้งแต่เรียนอยู่เพาะช่าง มีเพื่อนร่วมรุ่น ปวช.ด้วย อาตมาเรียนวิจิตรศิลป์ ไม่ได้เรียน ปม. อาตมาอยู่หลังสุด(ตามภาพ) อาตมาว่าอาตมายิ้มเท่กว่าใครอยู่นะ เป็นสัญลักษณ์ของตัวเอง 

ก็เอาละ อันนั้นก็คือสิ่งที่ผ่านมา แต่ธรรมะนี่สิ มันเป็นของตัวของตนเองแท้ๆ อาตมาก็ขอยืนยันว่ามันเป็นโลกุตรธรรม 

 

สู่แดนธรรม... ผมกำลังได้ยินพ่อท่านพูดถึงว่า ก็คนลดละกิเลสได้มากขึ้นก็จะมาอยู่รวมกันเป็นสังคม ก็เลยว่าพ่อท่านน่าจะพูดถึงสังคมที่คนลดกิเลสได้จะเจริญอย่างไร จะมีผลอย่างไรครับพ่อท่าน 

พ่อครูยังคงลากสังขารอยู่ต่อไปเพื่อให้คนไทยเกิดอัญญธาตุ

พ่อครูว่า... ขอพูดประเด็นนี้ก่อน ก็ท้าวความว่าตลอดเวลา พระพุทธเจ้า ทุกพระองค์แม้อาตมาเป็นโพธิสัตว์มาเรื่อยๆ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เป็นมนุษย์เป็นคนเหมือนกันกับทุกๆคน เสร็จแล้วก็มาเห็นจุดสำคัญของโลกุตรธรรม เริ่มจุดประกายโลกุตรธรรม เป็นอัญญธาตุ ก็สะสม อัญญธาตุ เป็นธาตุอื่นที่แตกต่างจากโลกียะธาตุ เป็นโลกุตรธาตุ จนมี อัญญธาตุ 50 60 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ก็จะมีรังสีออกมาให้เห็นเหมือนกับอัญญาโกณฑัญญะ ซึ่งเป็นตัวอย่างของมนุษย์คนแรกที่รับรู้โลกุตรธรรม แสดงออกความจริง จนพระพุทธเจ้าอุทานว่า โอ้! อัญญาสิ วตโภ โกณฑัญโญ โกณฑัญญะรู้แล้วหนอ รู้แล้วนะ รู้อะไร รู้สิ่งที่เป็น อัญญธาตุ 

อัญญาคือความรู้ที่เป็น อัญญธาตุ เป็นความรู้โลกุตระที่เป็นอื่นจากโลกียะ 

อัญญะ แปลว่า อื่น จากอันที่มันมีอยู่แล้ว ก็คือโลกุตรธรรม

เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วพระพุทธเจ้าหยั่งรู้จิตของโกณฑัญญะได้ โอ้! โกณฑัญญะรู้แล้วหนอ ในบรรดาพราหมณ์ 5 รูป โกณฑัญญะเป็นพราหมณ์หนุ่มกว่าเพื่อน ได้รู้ขึ้นมา โอ้ เสร็จแล้ว เริ่มรู้โลกุตรธรรม ท่านก็เริ่มสอนความรู้โลกุตระธรรมไปตามลำดับ 

ท้าวความถึงว่า พระพุทธเจ้าเป็นคนเหมือนคนอื่นๆ เมื่อท่านเองท่านได้รับกระแสของโลกุตระ หรือ อัญญธาตุ ขึ้นมา ท่านก็ติดตามศึกษา พยายามติดตามศึกษา เรียนรู้ฝึกฝนตาม ซึ่งมันกว่าจะได้พบเกิดสภาพพวกนี้ขึ้นมา นับกาละไม่ได้ ไม่รู้กี่ล้านๆๆๆชาติ ในการเกิดวนเวียนของมนุษยชาติ แต่ละคนแต่ละคนไม่รู้กี่ล้านๆชาติ พระพุทธเจ้าเกิดมาแล้วไม่รู้กี่ล้านๆชาติ จึงได้มาพบสิ่งนี้ แล้วก็ค่อยๆจุติ สั่งสม อัญญธาตุ จนกระทั่งมีมากพอที่จะทำให้พระพุทธเจ้า หยั่งรู้ได้ เหมือนพระพุทธเจ้าสมณโคดม หยั่งรู้อัญญธาตุในจิตของโกณฑัญญะ 

จนกระทั่งสามารถรับรู้ ท่านก็สอนต่อได้เอาโลกุตรธรรมสถาปนาลงไป จนสำเร็จ 45 พรรษา ท่านก็บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ของท่านที่จะสอนโพธิสัตว์ โพธิรักษ์นี่แหละเป็นหน้าที่ บอกตรงๆเลย มีธรรมิกราช 2 พระองค์ คือพระเจ้าแผ่นดิน ร.9 กับโพธิรักษ์ จะนำรูปนามของโลกุตรธรรมเข้ามาสถาปนาลงไปในประเทศไทย 

ซึ่งในหลวง  ร.9 ท่านก็ทรงของท่าน จนกระทั่งเกิด Bomb of love ซึ่งคนที่รู้ภาษาอังกฤษดีบางคนใช้คำว่า Explosion of love หรือคำอื่นอีก ก็คือ เกิดความเป็นหนึ่งเดียวขึ้นมา แล้วก็ระเบิดขึ้นมาให้โลกได้รับรู้ โอ้โห! อันนี้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ 

อย่างอาตมานี้เป็นนามธรรม กว่าคนจะรู้ มันจะไม่ตื่นเต้นอย่างรูปธรรม รูปธรรมนี้ตื่นเต้น แต่นามธรรมมันค่อยๆรู้เป็นลำดับ ธาตุ ญาณปัญญาจะซึมไปทีละระดับ ไม่โขลกเขลก วูบ เหมือนตกเหวเหมือนพลังภายในแล้วขึ้นไปสู่ที่สูง ไม่ใช่ มันจะมีลำดับยิ่งกว่าฝั่งทะเลเป็นอัศจรรย์ 

เพราะฉะนั้นไม่ใช่แบบขึ้นภูเขาทางชันไปทีเดียว มีวิชาตัวเบา วิ่งทีเดียว 10 กิโล 100 กิโลได้ทีเดียว ไม่ใช่ ของนามธรรม ไม่ใช่ตื่นเต้นแบบนั้น 

อาตมาทำงานจะไม่ตื่นเต้นอย่างของในหลวง ร. 9 ไม่ตื่นเต้นเพราะมีปัญญาที่รู้ไปเป็นลำดับ เนียนไปเลย ไม่ได้รู้อย่างนั้น แต่กว่าคนจะรู้และยอมรับ มีมวล มีปริมาณได้กว้างขวางได้มากพอที่จะเอามาประกาศ อาตมาประมาณไม่ได้ กำหนดไม่ได้เลยว่า มันจะเมื่อไหร่ 

แต่อาตมาเท่าที่จะรู้สึกว่า ขันธ์นี้ ร่างนี้ คงตายก่อน ตายก่อนที่ ประชากรทั้งโลก หรือไม่ทั้งโลกหรอก แค่ประเทศไทยนี่ จะสามารถลืมตาอ้าปาก ขึ้นมารู้ อ๋อ.. โพธิรักษ์ แสดง โลกุตรธรรมจริงๆนะ ซึ่งมีจำนวนมากพอที่จะเป็นค่านิยมของสังคม ตื่นตาตื่นใจ โอ้โห! ไม่น่าเชื่อ 

เพราะว่าสัจธรรมมันขี้เหร่จริง ขี้เหร่จริงหนอ ความจริง ขี้เหร่จริงหนอสัจธรรม มันขี้เหร่จริงๆในยุคนี้ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ คนจะไปหลงใหลที่สวยที่งาม ฟรุ้งฟริ้ง ที่เขาจะสาธยายด้วยภาษาโลกียะอย่างวิจิตรพิสดารต่างๆนานาที่เป็นกันอยู่อย่างที่เห็น ภาษาอย่างโพธิรักษ์ ตอกกิเลสเปรี้ยงๆ เขาฟังไม่สนุกหรอก  ฟังแล้วมันโดน ฟังแล้วมัน แหม! คนที่พอใจที่ได้ฟังโลกุตระ ฟังถึงสิ่งที่ตำหนิ สิ่งที่เป็นการชี้บ่งถึงสิ่งที่คุณต้องเลิก ต้องละ ต้องลด 

ชี้แล้วผู้ที่ได้ฟัง เปรี้ยงเลย ยอมรับ มันเจ็บมันปวดนะ เพราะฉะนั้นคนที่จะยอมรับที่จะเจ็บปวดนี้ต้องมีปฏิภาณปัญญาลึกซึ้ง ที่จะเปิดรับได้รู้ได้ มันมีความซับซ้อน จึงไม่ใช่เรื่องสามัญที่จะเป็นเรื่องธรรมดาที่คนจะรู้กันได้ง่ายๆ 

ซึ่งความซับซ้อนพวกนี้อาตมาค่อยๆไขไปเรื่อยๆให้เห็นความซับซ้อนต่างๆ 

นี่ก็พยายามลากสังขาร ลากจริงๆ ลากสังขารจริงๆ ซึ่งก็

1. ที่ลากสังขารนี่ เพราะยังไม่มั่นใจว่า ซึ่งจริงๆก็ยังไม่มั่นใจจริงๆ นั่นแหละ ว่าโลกุตรธรรมที่สาธยายไว้แล้วนี้ เขียนไว้ก็เยอะ สาธยายไว้ก็พอสมควร มันจะมากพอที่คนจะรับได้ จะให้เขาไปเปิดฟังซ้ำซาก  ไปอ่านซ้ำซากเอง มันไม่สดเท่ากับต้องพูดเองสดๆ 

แล้วก็ต้องพยายามมีมวล มวลก็ชอบสดๆมากกว่าแห้งๆ แห้งไป อ่านไป ฟังไป ดูมันไม่เท่าสดๆ นี่ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ เพราะฉะนั้นจึงต้องทนทำ ทนอยู่ ลากสังขารไปให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ 

มันก็เป็นการพิสูจน์การที่จะอยู่เกินกัป อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า อานนท์ ถ้าเราจะอยู่ให้ถึงกัป หรือเกินกัปอีกก็ได้ แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ ตรัสเป็นนัยๆ พระอานนท์ก็ไม่มีไหวพริบอาราธนา ตรัสไว้ถึง 16 ครั้ง พระอานนท์ก็มีมารมาปิดบังปัญญา ไม่สะดุด 16 ครั้งไม่สะดุดว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัส ปลงอายุสังขารคือบอกอายุว่าท่านจะไปแล้วนะ  พระอานนท์ไม่สะดุด 16 ครั้ง 

ในวันสังคายนาพระมหากัสสปะก็เลยปรับอาบัติพระอานนท์เลย ไม่ยอมอาราธนาพระพุทธเจ้าไว้ นี่ท่านบอกนิมิตสัญญาไว้ตั้ง 16 ครั้ง รายละเอียดพวกนี้ลึกซึ้งมาก 

ขยายกว้างอีกนิดหนึ่ง ความรู้โลกุตรธรรมนี้ วนเวียน ในภัทรกัป หมายความว่ากัปนี้ ที่มีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ พระสมณโคดมเป็นองค์ที่ 4 แล้วจะมีพระศรีอริยเมตไตรยมาอุบัติขึ้นเป็นองค์ที่ 5 ซึ่งไม่ใช่อาตมานะ ขอบอกไว้ก่อนอย่ามาเล็งผิด อย่ามาเข้าใจผิด นี่บอกความจริงเดี๋ยวจะมาตู่กันไม่ได้เรื่อง พระศรีอริยเมตไตรยยังไม่ใช่อาตมา เพราะอาตมายังไต่ภูมิระดับ 7 ระดับ 8 ไปอีก ผู้ที่ท่านเข้าคิวอยู่แล้วมีอยู่แล้ว แล้วอย่ามาถามนะว่าองค์ไหน เข้าคิวอยู่แล้วนี่ องค์ไหนเป็นเรื่อง อจินไตย มาถามพูดไปก็ไม่รู้จักหรอก 

มีคนเดา ในเถรวาทเดาว่า เป็นพระอชิตะ บางคนก็บอกว่าพระกัสสปะซึ่งก็ไม่ใช่ทั้งคู่ ไม่ใช่ทั้งพระอชิตะ หรือพระกัสสปะที่เขาเดาไว้ เอาที่อาตมารู้ตามตำนาน ก็ขอไขความว่า มันไม่ใช่ เป็นการเดาทั้งนั้น 

เพราะฉะนั้นความรู้ของพุทธเจ้าที่เรียกว่าโลกุตระนี้ มันมีพยัญชนะเป็นไวพจน์ก็คือปัญญา ญาณ วิชชา และ ปัญญา ญาณ วิชชา ก็คือความรู้โลกุตระทั้งนั้น แต่เขาเอาคำว่า ญาณก็ตาม ปัญญาก็ตาม แม้แต่วิชชา ก็เอาไปเรียกเฉโก เอาไปเรียกโลกียะ คือความขี้ตู่ รู้ว่าเป็นสิ่งสูงสิ่งประเสริฐ ก็เลยลากจูงของสูงมาเป็นของยังไม่สูง มันก็เป็นบาปของตนเอง แต่เขาทำด้วยความไม่รู้ก็เป็นเรื่องบาป บางคนรู้เจตนาจะดึงลงมาก็เป็น 

ปัญญา ญาณ วิชชา มันมีนิยาม ระบุชัดเจนลงไปเลยว่า มันเป็นความรู้ความฉลาดชนิดโลกุตระ หรือความรู้ความฉลาดชนิดที่มีนิพพานเป็นที่สุด แม้ที่สุดก็คือ นิพพาน ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เป็นที่สุดเลย

เรื่อง ปรินิพพานเป็นปริมาณสานนี่ก็อีกแหละ ไม่มีใครสามารถเอามาเปิดเผย เพราะเขาไม่มีภูมิรู้พอ อาตมาเจอในมูลสูตรก็เลยรู้ว่าอันนี้เป็นตัวขยายความ มาเจอไม่นานนัก ก็เอามาเปิดไขความ ว่าอันนี้ยิ่งย้ำยืนยันว่าเป็นสุดยอด อาตมาไขความไปหมดแล้ว 

ปรินิพพานเป็นปริโยสานคือ พระอรหันต์หรือพระโพธิสัตว์หรือพระพุทธเจ้า ตายเป็นครั้งสุดท้าย ตั้งแต่เริ่มเป็นอรหันต์ ทำปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ ซึ่งอยู่ในมูลสูตร 10 ข้อสุดท้าย ข้อที่ 10 ปริโยสานเป็นที่สุด ซึ่งหลังจากความเป็นอมตบุคคล

อมตบุคคล เป็นผู้ที่นิพพานแล้ว แล้วก็ทำปรินิพพานไปรอบแล้วรอบเล่า ยังไม่ได้ทำปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็มีนัยยะสำคัญที่แตกต่างกันอย่างลึกซึ้ง 

นิพพานก็คือ ผู้ที่ทำการเกิดการตายของกิเลสได้แล้ว ปรินิพพานก็ได้รอบถ้วน ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็คือ รอบถ้วนจริงๆเลย ถึงที่สุดแห่งที่สุด แยกธาตุจิตนิยามให้เป็นดินน้ำไฟลมไปเลย 

ซึ่งที่อาตมาขยายความในรายละเอียดต่างๆเหล่านี้ ไม่มีใครมาอธิบาย ไม่มีใครมาขยายได้หรอก ถ้าไม่มีความจริงแห่งความจริง 

ไม่มีความจริงแห่งความจริง ขยายไปก็เละ คนที่พอมีปฏิภาณปัญญาจะรู้เลยว่า พูดเละเทะเลอเทอะ ฟุ้งซ่านอะไรเขาก็จะเข้าใจ แต่อาตมานี้ขอยืนยันว่าอาตมาพูดความไม่จริงไม่เป็น ที่พูดอยู่นี้มีแต่ความจริง พูดความไม่จริงไม่เป็น ฟังแล้วดูน่าหมั่นไส้นะ พูดความไม่จริงไม่เป็น พูดกันแต่ความจริง พูดความไม่จริงไม่เป็น น่าหมั่นไส้ไหม?....โยมว่าไม่น่าหมั่นไส้แต่น่าเคารพบูชา 

เรื่องนี้ก็ให้เบาๆหน่อย อาตมาก็สนุกไปบ้าง แต่ที่จริงเป็นเรื่องหนักเป็นเรื่องของสัจธรรม ในยุคนี้เข้าครอบงำกันด้วย ขิฑฑาปโทสิกะ เต็มไปด้วยเรื่องของความบันเทิงเริงรมย์ เป็นโทษของจิตวิญญาณ หรือไม่ก็ มีแต่จริงจังอยู่กับจิต มโนปโทสิกะ อย่างอวิชชา มันก็เป็นโทษ หลงอยู่กับจิต เพลินอยู่กับจิตอย่างมืดบอดไปนักหนา ก็น่าสงสาร 

เพราะฉะนั้นนรก 2 ขุมใหญ่ มโนปโทสิกะ กับ ขิฑฑาปโทสิกะ อาตมาก็เอามาขยายความให้ฟังว่าเป็นคู่สำคัญของความเป็นโทษของจิต เป็นโทษในระดับ มโนปโทสิกะ ก็สายเจโต ขิฑฑาปโทสิกะ ก็เป็นสายระเริง สายโรแมนติกอิซึ่ม 

เพราะฉะนั้น ในความรู้ที่อาตมาเอามาพูดมาขยายความต่างๆนานาพวกนี้ ติดตามศึกษาดีๆเถอะ อาตมาเขียนหนังสือปัญญา 8 เขียนไปเขียนมาสงสัยจะไปถึง 3 เล่ม เล่มแรกก็ยังไม่ออกใช่ไหม ก็รออ่านกันอยู่ แต่อาตมาก็นำมาอ่านแสดงธรรม ขยายความนำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพิมพ์ออกมา แล้วค่อยได้หนังสือนี้กันไป 

ส่วนเล่ม 2 เล่ม 3 มันอยู่ในสิ่งที่กำลังเขียนอยู่ ตอนนี้ปาเข้าไป 700 กว่าหน้าแล้ว ทวนมาถึงกำลังทบทวนมาถึง 100 200 หน้า จะต้องรีไร้ท์กันไปจนกว่าจะจบจริงๆ อาจจะถึง 800 หน้า เชื่อฝีมือเลย ก็บอกตัวเองว่าอย่าขยายไปอีกเลย พยายามตามตัวเองอยู่นะ แต่มันก็น่าจะให้รู้นะ อดไม่ได้ แถมนิด มันมีนิดเดียว แต่มีหลายนิด 

เพราะฉะนั้น ปัญญา ญาณ วิชชา เป็นความรู้ที่รู้ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป โดยเฉพาะของอัตตาหรือของจิตวิญญาณ แม้ที่สุดของพระเจ้า 

พูดไปสายเทวนิยมก็จะหาว่ายกตนข่มท่าน เพราะพวกเทวนิยมเขามีอัตตาตัวตน ก็ค่อยๆสาธยายกันไป พิสูจน์กันไป มันจำเป็นต้องเปิดเผยความจริง เพราะเทวนิยมเขาไม่รู้จักที่จบมีแต่อัตตาที่เป็นนิรันดร ส่วนของพุทธนั้นรู้จักความเป็นอัตตา ความเป็นอนัตตา ความคงสภาพ 2 รู้ความดีและความไม่มีอยู่แล้ว ไม่ได้เอียงไปข้างไหน ไม่ได้ไปอยู่ข้างไหน ถ้าใจยังมีก็มีไป จะเป็นโพธิสัตว์ เป็นอวโลกิเตศวร ที่มีปณิธานว่าจะบรรลุเป็นคนสุดท้ายของการรื้อขนสัตว์หมดไปจากโลก เพราะฉะนั้นต้องให้มนุษย์คนสุดท้ายได้บรรลุนิพพานแล้ว ท่านจึงจะปรินิพพานสุดท้ายองค์ที่สุดท้าย เป็นปณิธานของพระอวโลกิเตศวรหรือเจ้าแม่กวนอิม 

ซึ่งก็เป็นปณิธานที่สูงส่ง เป็นอุดมคติที่ยิ่งใหญ่ ก็ดี จะมีตัวตนหรือไม่มีตัวตน ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ก็เป็นปณิธานที่ยิ่งกว่าพระเจ้า อันนี้พิสูจน์ได้ สามารถล้มล้างไม่เหลือพระเจ้าได้เลย อันนี้จึงจะไปถึงพวกเทวนิยม ในอนาคต ก็รับลูกให้ดีก็แล้วกัน 

 

สมาธิและสันติภาพที่พ่อครูนำมาสถาปนาในยุคนี้

มาเข้าสู่สภาวะปัจจุบันธรรม อาตมานำธรรมะของพระพุทธเจ้านี้มาแล้วปฏิบัติตามกัน จนกระทั่งเกิดสังคมสาราณียธรรม 6  อันได้แก่ 

สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา  

อยู่กันอย่างมีเมตตากันจริงๆ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อาตมาก็ได้ขยายความไปแล้ว เมตตาคือปรารถนาให้ผู้นั้นได้พ้นความทุกข์ความสุข กรุณาก็คือลงมือทำ ลงมือช่วยให้คนผู้นั้นพ้นทุกข์พ้นสุขจริงๆ เมื่อช่วยให้พ้นความทุกข์ความสุขได้แล้วก็มีมุทิตา ก็หมายความว่ายินดีด้วยที่เขาได้ดีแล้ว แล้วก็อุเบกขาวางปล่อยไม่ยึดถืออะไรเป็นเราเป็นของเราเป็นบุญเป็นคุณอะไร ไม่มี 

อาตมาอธิบายพรหมวิหาร 4 ซึ่งไม่เหมือนกับที่เขาอธิบายกัน เขาอธิบายเมตตา กรุณาก็ต้องการให้เขาพ้นทุกข์ กรุณาต้องการให้เขามีสุข อะไรอย่างนี้ มุทิตาก็ยินดีที่เขาพ้นทุกข์ มีสุข อุเบกขาก็เฉยๆ แบบเดียรถีย์ ซึ่งมันก็ต่างกันกับโลกุตระ ศึกษาดีๆก็จะเข้าใจ 

อาตมาพาทำมา 50 ปีเกิดชุมชนสาราณียธรรม 6 พิสูจน์ลาภที่ได้โดยธรรม แล้วก็เอามารวมกับกองกลาง ใช้กินร่วมกัน เป็นกองกลางกัน ตั้งแต่อาตมาพยายามทำงานศาสนา ก็ไม่คิดว่าจะทำได้ทันที พอเอาศาสนาพระพุทธเจ้าประกาศลงไป ก็เป็นสาธารณโภคีมาตั้งแต่ต้นจน 50 ปี แต่มันยาก ขยายสภาวะ ขยายผลออกไป มากขึ้น ลำบาก มันยาก และอยู่ในยุคใกล้กลียุคเต็มทีแล้ว คนที่จะมีธุลีในดวงตาน้อยจึงจะรู้ คนที่แสวงหา คนที่ไม่มีอคติที่จะมาฟังธรรมะโลกุตระ หรือที่อาตมาสาธยายรับได้รู้เรื่อง มันจึงยาก ยากมาก

แต่อาตมาก็เชื่อว่ามีผู้แสวงหาที่อคติของท่านน้อย ไม่อยากจะบอกว่าไม่มีอคติ คนที่ไม่มีอคติเลยมันไม่ง่าย แต่คนที่มีอคติน้อยก็พอรับได้ แต่ท่านยังติดอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญสุข ดังที่เห็นที่เป็น เพราะฉะนั้นภิกษุหรือผู้บวชเอาชีวิตมาทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นสายพระป่า หรือสายพระบ้าน 

คนไทยเมืองไทยมีพระอยู่ประมาณ 3-4 แสนรูป ที่หมุนเวียนอยู่คงที่ประมาณ 3 แสน พระที่บวชๆสึกๆหมุนเวียนไปอีกแสน ประมาณ 3-4 แสนรูป ที่เป็นพระทางเถรสมาคม บวชเล่น บวชหัว บวชสึก บวชอะไรของเขาต่างๆนานา สาธยายกันเอง 

แต่ถ้าบวชจริงๆเหมือนอย่างชาวอโศก บวชอย่างเกิดปัญญา รู้ว่า อ๋อ! ปัญญา ญาณวิชชา ความรู้ที่เกิดแล้วนี้มันไปถึงนิพพาน สามารถรู้ที่ต้นธาตุ ต้นธรรม แล้วก็รู้ที่ปลายของธรรม

รู้ที่ต้นของการเกิด รู้ที่ปลายของการเกิด โดยเลิกการเกิดของจิตนิยามได้อย่างสลายเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย กลายเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย สิ่งนี้ก็เป็นเรื่องที่ ในเถรวาทไม่มี ไม่ได้อธิบายเอาไว้ 

เพราะมีความรู้ในธรรมนิยาม 5 รู้ในอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม ในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐก็ไม่มี แต่อาตมาเจอในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ของ พระพุทธโฆษาจารย์ บันทึกไว้ อาตมาได้รับ ไปเจอเข้า ก็รู้ว่าอันนี้เป็นของพระพุทธเจ้า 

ธรรมดาธรรมชาติ คนจะรู้จักนิยาม 5 นี้ ไม่ได้เด็ดขาด จะรู้เองไม่ได้เลย  พลังงานในระดับ 5 แยกเป็น 5 อย่างนี้ ตั้งแต่เป็นฟิสิกส์ อุตุนิยาม จนกระทั่งเป็นไบโอโลจี เป็นพีชนิยาม จนเป็นจิตนิยามที่ลึกซึ้งซับซ้อน วิจิตรพิสดาร ผู้ที่มีจิตนิยามจึงศึกษาเป็น เวไนยสัตว์ ศึกษาที่จะไปรู้ กรรมนิยาม ธรรมนิยามได้

เมื่อรู้แล้วก็พิสูจน์ตัวเอง ทำพลังงานแบบนี้ในตัวเองได้ ก็จะรู้โดยมีความเป็นโลก ที่เราจะต้องไปเกี่ยวข้องหมุนวนอยู่ ตั้งแต่ใช้ภาษาว่า อบายภูมิ ภูมิต่ำ ภูมินรก ภูมิไม่สบาย  ภพภูมิต่ำ เราก็ยังไปคลุกคลีเกี่ยวข้องอยู่ ยังไปสุขไปทุกข์ อยู่กับภพภูมิอย่างนั้น หยาบๆ ซึ่งเป็นโลกียะที่หยาบแล้ว เป็นรสเป็นชาติแบบโลกียะ เป็นสุขเป็นทุกข์ แย่งชิง ฆ่าแกงกัน (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะเดินดิน... พ่อครูแทบไม่ได้สะดุดอะไรเลย

สู่แดนธรรม... วันนี้พ่อท่านพูดได้ยาว จนเหลือเวลาแค่ 20 นาที ผมก็ตั้งใจฟัง รู้สึกว่า พลังของพ่อท่านกำลังดีอยู่ ที่ผมถามไว้ว่า ผลของคนที่ลดกิเลสได้ ก็หลายคน จึงต้องมาอยู่ร่วมกันสร้างสังคม เป็นสังคมชาวโลกุตระด้วยซึ่งหาดูได้ยาก เป็นหัวเชื้อ แม้จะมีจำนวนไม่มากแต่มีคุณค่าทางน้ำหนัก เป็นเหมือนปรอท จะเป็นผลดีอย่างไร

พ่อครูว่า... อาตมานำโลกุตรธรรมมาสถาปนาลงไปในโลก ยุคเสื่อม ขออภัยต้องพูดความจริง มันเสื่อมจริงๆ จนสำเร็จ มีมนุษย์ก็ถือว่ามากพอในยุคใกล้กลียุค ยุคนี้แล้ว ได้ขนาดนี้ มีมวลประมาณนับได้จำนวนแสนนี่ก็ อาตมาว่ามีมวลชนที่รับได้อยู่นี้ ยังไม่บังอาจว่าไปบอกว่าเป็นล้านวิว แค่แสนนี้มีอยู่ อาจจะไม่ทันทีทันใด ทันทีทันใดเป็นหมื่น ตอนนี้จะถึงหรือเปล่าไม่รู้  ปัจจุบันมีผู้ฟังถึงหมื่นหรือเปล่า ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร ไม่ใช่เรื่องที่น่าอัศจรรย์ สงสัยอะไร มันเป็นเรื่องธรรมดา ของคนที่จะรับได้ จะรู้ได้นี้มันไม่ใช่ง่าย มันยาก มันต้องคนมีภูมิธรรมเข้าถึง เห็นเป็นคุณค่า เป็นธรรมรส ยินดีในวิมุติรส เป็นรสขั้นธรรมะโลกุตรธรรม มันไม่ใช่ธรรมดา เพราะคนก็ไปยินดีกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข 

เถรสมาคมไม่ว่าจะเป็นพระป่า พระบ้านก็ตาม อยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ลาภไม่เป็นลาภโจ่งแจ้ง ประเภทเป็นวัตถุ เป็นธนบัตร เป็นทองคำเป็นเพชรนิลจินดาอะไรต่ออะไร มันก็มีวัตถุ ซ้อนๆ อยู่ในนั้นทั้งนั้นแหละ เป็นแต่เพียงว่าเป็นความฉลาดสลับซับซ้อน 

ฉันไม่ได้มีเป็นของตัวเองนะ ฉันไม่ได้จับธนบัตรนะ ใช้ตะเกียบคีบ ใช้บัตรภาวนานะ มันเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เป็นของเรานะ แต่ของเราที่แสดงออกมายังมหาบัวแสดงออกมา โอ้โห… ประเทศไทยนี้ อาตมานะ อุ้มชูไว้ ไม่อย่างนั้นพังเลยนะ คิดดูสิแล้วจะผยองในตัวเองสักเท่าไหร่ 

ท่านก็รู้สึกว่าท่านภาคภูมิใจในการเรี่ยไร ซึ่งไม่ใช่เรื่องของศาสนาพุทธเลยในการเรี่ยไร พูดถึงการเรี่ยไรนี้ อาตมาภูมิใจในชีวิตนี้ ไม่มีการเรี่ยไร ทำงานศาสนามาไม่ได้เรี่ยไร มาเลยตลอด นอกจากจะมีบ้าง ตรงที่ไปทำงานกับสังคม ออกไปสู่การเมืองที่จะต้องไปประท้วง ซึ่งต้องใช้สตางค์อยู่บ้าง มีข้าวมีน้ำมีการใช้จ่ายอะไรต่ออะไร ก็บอกบุญเขาไป คนเขาก็มาทำงานก็เขียนให้ดูรายละเอียดว่าวันนี้มีคนมาบริจาคเท่าไหร่ ก็ทำอย่างซื่อสัตย์สุจริต ไม่ได้เอามาเข้าพกเข้าห่อ เอามาใช้ในงานศาสนาชาวอโศกเลย ก็ทำงานเฉพาะกิจ ที่เป็นงานการเมืองนั้นตรงนั้น งานศาสนาก็เป็นงานศาสนาไป 

อาตมาถึงบอกว่าชาตินี้บริสุทธิ์ใจ ดีมากเลยที่อาตมาได้ทำงานศาสนามาถึง 50 กว่าปีนี้ มันรู้สึกว่าสะอาดบริสุทธิ์ ภาคภูมิ อาตมาภาคภูมิในความสะอาดบริสุทธิ์ จึงมีโศลกถึงขั้นว่า 
“ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทุกอย่างในโลก นี้เป็นที่สุด” มันจริงที่สุดเลยแล้วก็กลายเป็น โศลก ที่คนจะต้องยอมรับแล้วก็ใช้ไปอีกตราบนานเท่านาน 

ตอนนี้เขาก็มีการ ชักชวนกันร่วมกัน สานต่อ ศรัทธา 152 ปีชาตกาลของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ขอเชิญร่วมประกวดภาพวาดหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต กับสมาธิและสันติภาพ 

คือท่านหลวงปู่มั่น ได้รับการยอมรับ ได้รับการยอมรับจากสังคมว่าเป็นผู้ที่นำพาสันติภาพแห่งโลก ผู้ที่ให้รางวัลก็เป็นองค์กรทางเทวนิยม ไม่ใช่องค์กรพุทธที่เป็นโลกุตระหรอก เป็นของเทวนิยม ก็ชักชวนกัน 152 ปีของหลวงปู่มั่น ที่อุบัติขึ้นมา แล้วก็ละขันธ์ไป เสียชีวิตไปแล้ว มรณภาพไปแล้ว ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งทุกวันนี้ได้ 152 ปี ก็พยายามที่จะโปรโมทหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต กัน 

โดยหยิบคำว่าสมาธิกับสันติภาพ ของแต่ละคน เรียกภาษาว่า สมาธิกับสันติภาพ เป็นภาพวาดหลวงปู่มั่น UNESCO ยกย่อง UNESCO เขาเป็นองค์กรเทวนิยมไม่ใช่พุทธ เขาก็มีความเข้าใจในเรื่องของโลกียะ เทวนิยม เขาเข้าใจโลกุตระยังไม่ได้หรอก เขาก็ยกย่อง ก็ไม่ได้ประหลาดอะไร อาตมาก็ชัดเจนอยู่ ผู้ที่ได้รับการยกย่องทางเทวนิยม ทางโลกียะนั้น ก็เป็นธรรมดาสามัญ 

ก็ศึกษากันไปไม่ว่าจะเป็นสายเทวนิยมเขาก็ต้องโปรโมท เขาก็ต้องรักษา รักษาธรรมะโลกียะของเขาไว้เช่นกัน ซึ่งก็ไม่ผิด ถูกต้อง มันก็เป็นแล้วก็เอาแต่ดีๆ ประมวลเอาความดีของโลกียะนั้น มารักษาไว้ เพราะในโลกมันต้องมีโลกียะกับโลกุตระ มีโลกุตระนั่นแหละ ในโลกบางช่วงมันไม่มี จึงเรียกว่าพุทธันดร ในระหว่างที่ไม่มีพุทธ เรียกว่าพุทธันดร ช่วงระยะเวลาที่ไม่มีพุทธ ส่วนโลกียะนั้น เขามีตลอดกาลนาน มีอยู่ประจำโลก 

อาตมาก็เห็นว่า ความรู้ของสมาธิก็ดี ความรู้ของสันติภาพก็ดี ที่เขาจับประเด็นนี้ขึ้นมาชูหลวงปู่มั่นนี้ บุคคลสำคัญของโลก สาขาสันติภาพ 

ที่นี้ประเด็นของสมาธิและสันติภาพของอาตมา มันไม่เหมือนกันกับที่เขาหมาย มีนัยยะสำคัญที่ต่างกัน 

สมาธิของอาตมา คือจิตตั้งมั่นเขาแปลซ้ำเป็นภาษาไทย สมาธิว่าคือความตั้งมั่นของจิต หรือจิตสั่งสมลง ตั้งมั่น เขาก็ทำจริง แต่จิตที่ตั้งมั่น ที่เป็นสมาธิ ที่เป็นความสงบ เรียกว่าสันติภาพ 

สันติภาพก็เป็นไวพจน์นัยยะเดียวกัน คือ จิตตั้งมัน แล้วจิตอะไรตั้งมั่น คือจิตที่มีสันติ มีความสงบ 

ที่นี้ความสงบของโลกียะ นี่แหละนัยยะสำคัญมันต่างกัน ความสงบโลกียนั้นไม่ใช่ความสงบที่รู้จักกิเลส รู้ตัวตนของกิเลสตั้งแต่เบื้องต้น ตั้งแต่โลกอบายภูมิ แล้วก็กำจัดกิเลสตัวนั้นดับสนิท ไม่เกิดอีก เลื่อนขึ้นมาสู่กามภูมิ เหลือกิเลสกามภูมิก็มาเรียนรู้กิเลสกามภูมิ กำจัดกิเลสกามภูมิหมดไปอีก หมดไปแล้วเป็นคนสามัญลืมตา โลกอบายมุขก็ยังอยู่ โลกกามภูมิก็ยังอยู่ ไม่ได้หนีไปไหน แต่อยู่เหนือ อยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น ก็เหลือ ละเอียดเข้าไปเป็นรูปภพ อรูปภพ ที่อยู่ในจิตภายใน ก็ไปเรียนรู้อีกในขั้นที่เป็นจิตในจิตเรียกว่าอนาคามีภูมิ ขึ้นไป 

จนหมดอรูปภพ ไม่มีภพเรียกว่า วิภวะ แต่ก็มีตัณหาอยู่ เป็นตัณหาอุดมการณ์ เรียกว่าวิภวตัณหา เป็นตัณหาที่ไม่มีกิเลสอีกแล้ว ไม่มีภพไม่มีชาติแล้ว 

 

ภพชาติโลกียะทั้ง 6 ชั้นที่ควรละทิ้ง

เหลือเวลาอีก 7 นาที ขอขยายคำว่าภพ ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ 

เรื่องภพ คู่กับคำว่าชาติ ชาติคือการเกิด ภพคือแดนที่เกิด สัมภวะ หรือ ปภวะ ภพถือเป็นรูป ชาติถือเป็นนาม เพราะฉะนั้นจิตของผู้ที่มีภพ เช่น มีภพ กามภพ กาม 6 ชั้น

ชั้น จตุมหาราช ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี 

พวกนี้เป็นภพ เป็นอุปาทานของผู้ยังมีภพมีชาติอยู่ ซึ่งหยาบมากก็เป็น จตุมหาราช 

เพราะฉะนั้นผู้รู้สมัยโบราณจึงวาดภาพมหาราช 4 ทิศ จตุคือ 4 มีเขี้ยวงอก ปากแบะ ถือง้าวทวน ลุยแหลกฆ่าแกงกัน แย่งชิง เหมือนอย่างกับโลกทุกวันนี้ แย่งชิงกันเป็นมหาอำนาจของโลก นั่นแหละพวกจตุมหาราช แล้วในนามธรรม ของจตุมหาราชคือได้มาเป็นของตัวของตนเป็นดาวดึงส์ หรือตาวติงสา คือ อาการ 33 

ธรรมดาของมนุษยชาติมีอาการ 32 ประการ แต่อันนี้เป็นอาการที่ 33 เป็นเรื่องของภพชาติที่เพ้อเจ้อ ภพชาติ ที่ต่างคนต่างสร้างขึ้นมาเอง เสพสุข จึงเรียกว่าเป็นแดนดาวดึงส์ เป็นภพที่ 33  ตาวติงสา ภาษาบาลีแปลว่า 33 

เพราะฉะนั้นจึงเป็นแดนหรือเป็นภพ เป็นชาติที่มันไปสร้างขึ้นมา เพิ่มขึ้นมามีนิดนึง ตั้งแต่ตั้งเป็นจุดที่จิต ไม่มีภพไม่มีชาติ คุณจะได้ทำอะไรในโลก จะดีขนาดไหน เสียสละให้ใคร คุณก็ไม่มีภพไม่มีชาติเรียกว่าไม่มี สาเปกโข

ถ้าเริ่มมี สาเปกโข คือ มีความหวัง คือ มันยังมีอาการทางจิตที่มันเคลื่อนไปสู่ มันไม่ได้อยู่จบตรงที่สันตติของจิต สันตะ ติ คือ สงบ  สงบ 3 รอบเลย สันตติ มันยังโผล่ออกไป อุปจยะ ยังมีเกิดออกไป เริ่มเกิดออกไป มีสาเปกโข จะมีความหวังนิดนึงก็ตาม คุณก็เริ่มมีภพแล้ว มีความหวังแล้ว ยิ่งคุณมีปฏิพัทธจิตโต ความหวังนั้นเพิ่มขึ้น กลับไปกลับมา อนุโลมปฏิโลมเป็นพลังงานสูงมากขึ้น ปฏิพัทธจิตโต สูงขึ้นไปกว่านั้นสั่งสมเป็น สันนิธิเปกโข สันนิธิ แปลว่าคลัง แปลว่า save แปลว่าที่เก็บเลย เก็บเจ้าหวัง ต่ออายุเจ้าหวังให้ยาว รูปหล่อเลย เจ้าหวัง ใส่เข้าไป 

จนที่สุด อันที่ 5 ปริภุญชิตสามีติ ไปในภพหน้ามีวิมานมีสวรรค์ ที่จะต้องเป็นของฉันรออยู่ข้างหน้า ภพหน้า ชาติหน้า จะเป็นที่พักที่กินเป็นที่เสพสุข เพื่อข้างหน้าไปอีก ใหญ่ไม่รู้จักจบ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งมาก 

เพราะฉะนั้นสวรรค์ 6 ชั้นนี้ ก็เป็นแดนแห่งความเพ้อพก ไปสร้างภพ ให้แก่ตัวเอง 

ผู้ที่หมดภพจบชาติ ไม่มีสวรรค์ ไม่ว่าจะสวรรค์ชั้น 1 2 3 4 5 6 ไม่มี สูญสวรรค์ นี่คือ สภาพ ของ ความเป็นผู้หมดที่ละเอียดลออ 

สู่แดนธรรม... สรุปจบ

ที่มา ที่ไป

650411


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2565 ( 19:26:24 )

650425

รายละเอียด

650425 จิตวิญญาณแห่งสาธารณโภคีที่มีในชาวอโศก รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 35 

https://www.boonniyom.net/51951.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1oepKxGGbcoqb6MYDQAo5PhiTnW1c1eLX51-SCiJMaYw/edit?usp=sharing  

 

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/19ITn3RNZ0SJ7X-y5KSseYgGq6KOGUNL8/view?usp=sharing 

     

และดูวิดีโอได้ที่    https://fb.watch/cCkc3IdRQW/ 

และ  https://youtu.be/s5Fx3u5-uuE 

 

สู่แดนธรรม...วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 25 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก พ่อท่านไม่ได้เทศน์สดหลายวัน หลายคนคงเป็นห่วงว่าเป็นอะไร พ่อท่านก็ไม่ได้เป็นอะไร เพียงแต่พักผ่อนให้เพียงพอเท่านั้น ชาวอโศกฝึกฝนตนให้เป็นคนที่ลดกิเลส ลดความเห็นแก่ตัว ก็จะมีพลังงานไปช่วยเหลือผู้อื่นได้มากขึ้น และอยู่กันอย่างสาธารณโภคี พ่อท่านเอาไอเดียความคิดเรื่องสาธารณโภคีมาจากไหน 

 

สาธารณโภคีมีสภาวะเช่นใด 

พ่อครูว่า...ถามประเด็นนี้ก็ดีเหมือนกัน พยัญชนะ สาธารณโภคี แล้วจะมาเอาสภาวะ ว่าสภาวะของสาธารณโภคีจะมีอย่างไรบ้าง น่าคิดเหมือนกันนะตรงนี้ 

สู่แดนธรรม... สิ่งแรกที่เห็นก็คือกินใช้ร่วมกัน 

พ่อครูว่า... พยัญชนะคือ สาธารณะ กับโภคี คือการบริโภค รวมก็คือบริโภคเป็นสาธารณะ รวมบริโภคคือกินใช้ร่วมกัน ทั้งกินทั้งใช้ สิ่งของที่กินไม่ได้ก็ใช้ ไม่ถือว่าเป็นของตัวของตน ใครมีก็ใช้ ไม่หวงแหน ร่วมกันใช้เป็นของกองกลาง การกินก็แบ่งกันกิน ต่างคนต่างกินเลี้ยงชีวิตแต่ไม่ได้หวงแหน ช่วยกันสร้างสรร ช่วยกันกอบก่อสร้างสรร อะไรต้องกินต้องใช้ก็สร้างทำขึ้นมาได้ ของกินเราทำได้อย่างมั่นใจ ส่วนของใช้หลายอย่างเราทำไม่เป็น เป็นอุตสาหกรรมหลาย อย่าง ส่วนทางกสิกรรมเราใช้ได้เราทำกินทำใช้ได้ ซึ่งอาตมาก็เห็นอยู่ว่าอันนี้แหละ 

และก็เป็นเรื่องตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าอาหารเป็นหนึ่งในโลก อาหารนี่ ที่จริงมันก็หมายถึงเครื่องกินเครื่องใช้เหมือนกัน แต่มันหมายถึงเครื่องกินเป็นหลัก บริโภค 

เราก็สามารถสร้างอาหารแล้วเอามาร่วมกินร่วมใช้กัน โดยฝึกจิต แต่ละคนๆ ฝึกจิตตามศีลตามธรรม ของพระพุทธเจ้าให้ลดละกิเลสจริงๆ อาตมามองเห็นอยู่อย่างเดียวที่ชัดเจนที่สุดก็คือ พวกเราชาวอโศกลดกิเลสได้จริง นี่ มองเห็นอันนี้จริงๆ 

อาตมามั่นใจว่า อาตมารู้จักอาการของจิตที่เรียกว่าเป็นกิเลส มันเป็น กลิ หรือ กิเลส หรือ กิละ + เอสะ อย่างนั้นอาการเป็นโทษเป็นภัย มันเป็นอาการอย่างนั้น ชัดเจนสภาวะอย่างนั้นอย่างนั้นเกิดจริงๆในชีวิต แล้วเราก็มีความรู้ความสามารถ ที่จะทำให้ไอ้ตัวนี้แหละ ตัวกิเลสนี่แหละ มันจางคลายหายไปดับไปจากจิตได้ นี่เป็นความสามารถอันยิ่งใหญ่ จริงๆเลย 

ไม่ว่าจะเป็นศาสนาไหนอาจารย์ไหนศาสดาองค์ใด รู้จริงๆเห็นจริงๆเข้าใจจริงๆถึงความจริงอันนี้ว่า อาการอย่างนี้ในจิตคน มันเป็นตัวโทษตัวภัย เป็นตัวกลิ แล้วฆ่ามันกำจัดมันได้จริงๆ 

คนมันมีอันนี้จริงๆนะมันเกิดอันนี้จริงๆในคนที่ไม่ได้ศึกษาที่มีอวิชชา มันเกิด ให้คนทุกคนตั้งแต่สัตว์เดรัจฉานมาเลยมันไม่รู้เรื่องหรอก จนกระทั่งมาเป็นเวไนยสัตว์ มนุษย์โลกุตระที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ จึงสามารถรู้จริงเห็นจริงในจิตแล้วสามารถกำจัด มันได้จริงๆ 

เมื่อกำจัดมันได้จริง คนที่แต่ละคน กำจัดได้อย่างนี้จริงๆตรงกัน ตรงกันได้จำนวนหนึ่ง ก็จะมารวมตัวกัน น้ำไหลไปหาน้ำ น้ำมันไหลไปหาน้ำมันอย่างนั้นน่ะ ก็มารวมกันจริงๆ เพราะมันเป็นธาตุเดียวกัน เป็นธาตุที่เรียกว่าสามัญญตา มันมาทิศทางเดียวกันจริงๆเลย จึงมาเกิดรวมกันขึ้นโดยธรรมดาธรรมชาติของธรรมะ มันจึงเกิดอย่างนี้เป็นจริง 

อาตมาไม่ได้เที่ยวไปไล่ต้อน หรือโฆษณาอะไรต่ออะไร แสดงสัจจะออกไปเท่านั้น พวกเราแต่ละคนรู้ว่าใช่ก็มา นี่มารวมกันอย่างนี้ จนเกิดเป็นคนกลุ่มสังคม แล้วมีทิฏฐิสามัญญตา มีศีลสามัญญตา หมายความว่ามีศีลร่วมกัน เสมอสมานกัน ตามหลักของพระพุทธเจ้า ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล 

ซึ่งเอามายืนยัน เอามาเทียบเอามาวัด มันใช่หมดเลย ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ระมัดระวังในกามคุณ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อะไรพวกนี้เป็นต้น ซึ่งเป็นศีลหลัก 3 ข้อของพระพุทธเจ้า 

สู่แดนธรรม... แสดงว่าในสูตรสาราณียธรรม 6 ความสำคัญอยู่ที่ศีล 

พ่อครูว่า... เป็นตัวยืนยัน Phenomenology เกิดจริงๆเป็นตัวยืนยัน ลาภธัมมิกา กินใช้ร่วมกันจริงๆ 

สู่แดนธรรม... คนอื่นเขาพยายามทำแต่ไม่มีเรื่องของศีล 

พ่อครูว่า... ใช่ เขาไม่มีหลักมรรคมีองค์ 8 ไม่มีหลักจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่มีหลักธรรมพวกนี้ เข้าใจคนละอย่าง ศีลก็ปฏิบัติกันคนละอย่างเรียกว่าไม่มีสัมมาทิฏฐิ ไม่เป็นสามัญญตา ยังออกนอกทางไม่เป็นสัมมาทิฏฐิทางถูกต้องที่พระพุทธเจ้าปฏิบัติ มันก็ไม่รวมกัน ไม่มีผลที่ร่วมกัน 

เมื่อสัมมาทิฏฐิรวมกันตรงกัน ผลมันก็เกิดรวมกัน ก็เกิดเป็น สามัคคียะ เอกีภาวะ เกิดมาจริงเป็นพฤติกรรมสอดคล้องมีความสงบสบาย สามัคคียะ เอกีภาวะ 

สู่แดนธรรม... สังคมอื่นก็มีศีล

พ่อครูว่า... เข้าใจเป็น สีลัพพตปรามาส ศีล มีแนวคิดแตกต่างกันไปประพฤติตามเหตุที่เขาเข้าใจแตกต่างกันไป กายต่างกันสัญญาต่างกัน 

สู่แดนธรรม... ที่เขารวมกันไม่ได้ เพราะทิฏฐิเขาไม่เสมอสมานกัน 

พ่อครูว่า... แตกแยกกัน จึงกลายเป็นแข่งดีแข่งเด่นกันด้วย ซึ่งในสังคมมนุษย์โลกมันมีตั้งแต่กลุ่มเล็ก ขยายขึ้นๆ จนถึงเป็นกลุ่มใหญ่ในระดับโลก มันเป็นจริงทั้งนั้นเลย อยู่ไปเถอะอายุยืนยาวอ่านความจริงสังเกตจะเห็นจะเข้าใจอย่างยิ่ง เลย 

อาตมามั่นใจที่สุดในธรรมะพระพุทธเจ้า มันยืนยันต่อการพิสูจน์ว่ามันเป็นเอก มันเป็นหนึ่งในโลก มันยิ่งใหญ่ พูดไปแล้วก็เห็นใจคนที่เขาหาว่าหลงตัวหลงตน ยกย่องตัวเอง หลงตัวเองยิ่งใหญ่อะไรต่างๆนานา ซึ่งเราก็ไม่ต้องย้ำหรอก เขาจะเข้าใจว่า มันไม่ใช่ก็ไม่เป็นไร แต่เราพูดความจริงเท่านั้นเอง พูดความจริงสู่ฟัง ยืนยัน เขาจะเข้าใจไม่ได้หรือไม่ยอมไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร 

เพราะฉะนั้นในโลกมนุษย์นี้นะ นับอายุมันไม่ได้ โลกที่มันเกิดมามีชีวะขึ้นมาในโลก จนกระทั่งกลายเป็นสัตว์มนุษย์ ตั้งแต่ ชาร์ล ดาร์วิน คิดทฤษฎีวิวัฒนาการ ตั้งแต่เป็นสัตว์เดรัจฉานจนมาเป็นสัตว์คน แม้แต่ลัทธิฮินดูก็มีตั้งแต่สัตว์คนแคระ สัตว์เป็นหมู กระทั่งมาถึงเป็นคนค่อยๆพัฒนาขึ้นมา ตามที่เขามีไม่รู้กี่ตั้งตำรา มันก็ใกล้เคียงกันทั้งนั้นแหละใช้ได้ ไม่รู้กี่ล้านๆๆปีมา อายุเวลาพวกนี้ ไม่ต้องไปนับมันหรอก เราสามารถพิสูจน์ได้ตามอายุเวลาที่เราพิสูจน์ได้ จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ อายุขัยของมนุษย์แค่ 100 ปีสูงสุดแล้ว ไม่ค่อยถึงกันเท่าไหร่ 

เพราะฉะนั้นผู้ที่อยู่ได้ถึง 100 ปีขึ้นไป จึงเป็นพิเศษ เป็นคนพิเศษ ที่จะสามารถพิสูจน์อะไรต่ออะไรต่างๆ ยืนยันแก่มนุษยชาติให้เห็นได้ 

จริงๆแล้ว อาตมาพูดซ้ำซากมาหลายทีแล้ว พระพุทธเจ้าก็เป็นคนเหมือนกันกับเรา พัฒนาจาก ตั้งแต่เป็นสัตว์ มาเป็นคนแคระ มาเป็นคนที่มีปัญญา มีความรู้ มีสมอง ธาตุรู้ที่เจริญพัฒนาจนกระทั่งมาเป็นเวไนยสัตว์ มาเป็นอรหันต์ มาเป็นโพธิสัตว์ 

จนกระทั่งถึงโพธิสัตว์เจริญขึ้นไปอีก จนกระทั่งสูงสุดแล้วเรายกให้ ว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สูงสุดในความเป็นคนที่จะพัฒนาได้ ว่ารู้รอบจริงๆเลยในวัฏสงสารในการเกิดเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลก ทั้งความเป็นสัตว์และความเป็นโลกที่ต้องสัมพันธ์กันเกี่ยวข้องกัน แล้วก็มีธาตุรู้ที่เราเรียกด้วยพยัญชนะว่า ปัญญาก็ดี ญาณก็ดี วิชชาก็ดี ซึ่งท่านก็กำกับ 

พระพุทธเจ้ากำกับไว้ว่า ปัญญา ญาณ วิชชา เป็นความรู้ที่จะขาด จักษุ ขาดอาโลก อีก 2 ตัวนี้ไม่ได้ หมายความว่า ขาดธาตุประสาท หรือตัว วิสยรูป ตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่รับภายนอก กับอาโลก ที่มีแสงสว่างของพระอาทิตย์ สาดมากระทบแล้วเข้าตาหรือมาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสได้ รับรู้ได้ ครบถ้วนไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง มันถึงจะครบความเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ไม่ลึกลับไม่บกพร่อง 

แล้วมันก็อยู่ร่วมกัน สังเคราะห์กัน มีทั้งผลักทั้งดูด หรือมีทั้งปฏิปักษ์ต่อกัน หรือว่าดึงดูดต่อกัน เกาะติดกัน ซึ่งเป็นสภาวะ 2 แต่ละคู่ๆ เยอะแยะคู่ เรียนรู้สภาพสอง ไม่รู้ กี่คู่ต่อกี่คู่ แล้วก็พิสูจน์ยืนยันได้ 

อาตมาทำงานศาสนามา 50 ปีพาพิสูจน์ความรู้อันนี้ ซึ่งมีสภาวะธรรมเกิดจริงเป็นจริงได้อย่างไม่น้อยหรอก แต่คนยังไม่สามารถที่จะมีดวงตาหรือมีธาตุปัญญารับรู้ได้ เพราะมันสูงเกินภูมิที่เขาจะรู้ พูดไปแล้วก็น่าหมั่นไส้เหมือนคนหลงตัวเอง เหมือนสูงเกินกว่าที่เขาจะรู้ ที่อาตมาพาทำ มันสูงกว่าที่เขาจะรู้ มันมีจำนวนเหมือนยอดพีระมิด มีจำนวนน้อย นอกนั้นเป็นฐานพีระมิด มองเห็นก็ไม่เข้าใจก็มันเล็กมันละเอียดมันลึกซึ้ง จนเขาวิจัยไม่ออก วิจัยไม่ได้ว่ามันจะมีคุณวิเศษ มีค่าอะไรได้อย่างไร มันเป็นสภาพทวนกระแส 

ถ้ามันใหญ่ มันหยาบคนก็เห็นได้ แต่ที่มันเล็กละเอียดน้อยนั้น คนเห็นไม่ได้ เข้าใจไม่ได้ จนกว่าเขาจะมีธาตุปัญญาที่ลึกซึ้งมากพอ ที่เขาจะสามารถรับรู้ได้ 

อาตมาเองอาตมาไม่แปลกใจที่คนไม่รู้ว่าอาตมาทำอะไรอยู่ พาทำอะไร อาตมาขอยืนยันว่าพาทำในสิ่งที่ดี สิ่งที่วิเศษ แต่เขาไม่รู้ว่าวิเศษอย่างไรวะ ไม่เห็นรู้เรื่อง ไม่เห็นเข้าใจ มันก็เป็นอย่างนั้น อาตมาไม่ได้แปลก ไม่ได้ประหลาดใจ ไม่ได้งง ไม่ได้สงสัยว่าทำไมเขาไม่รู้ ก็จะไปบังคับเขาได้อย่างไรเขายังรู้ไม่ถึง พูดไปแล้วก็เหมือนกับยกตัวเอง ซึ่งมันก็เป็นความจริงอย่างนี้ 

เพราะฉะนั้นแม้จะไม่มีคนรับรองว่าอาตมาทำสิ่งที่ดีสิ่งที่ประเสริฐ มันก็ไม่แปลก คนเขาไม่รู้ว่าอันนี้ดีหรือไม่ดี เขาไม่เข้าใจ แต่พวกคุณเข้าใจ คุณก็มาเอาๆ ไล่ก็ไม่ไป นอกจากคุณจะเลวมาก ไล่ก็ไม่ไป จนต้องเอาตำรวจมาเอาออกไป แบบนั้นมันก็มีไม่มาก คนดื้อด้านดึงดันขนาดนั้นจนเราต้องอาศัยตำรวจมาดึงออกไป มันก็ไม่มีนะ 

มันซ้อน คนดีเท่านั้นที่จะมาอยู่ในนี้ เพราะฉะนั้นคนที่มีสำนึกประมาณหนึ่ง เข้ามาในนี้เขารู้ว่าเขาไม่ดีพอเขาก็จะไปเอง ไม่ต้องถึงขั้นเอาตำรวจมาไล่มาลากออกไป เพราะปฏิภาณปัญญาของเขาจะสูงพอที่จะไม่ทำถึงขนาดนั้น มันน่าอาย ฉะนั้นคนที่จะอยู่ได้ อย่างอดทน ถึงขนาดดึงดันดื้อด้านต้องให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจทางสังคมมาดึงออกไป ไม่ต้องถึงขนาดนั้นในสังคมชาวอโศก ยังไม่มีกรณีถึงขนาดนั้น เป็นสภาวะที่ซับซ้อนลึกซึ้ง ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นสิ่งที่ประเสริฐสิ่งที่สูงส่ง จะมีธรรมะคุ้มครองตน ธัมโมหะเวรักขะติธัมมะจาริง ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ไม่มีภัยจะเข้าถึงตัวเขา ได้ง่ายๆหรอก ไม่มีความไม่ดีหรือความเลวร้ายเข้ามาถึงตัวได้ง่ายๆ 

มันเป็นสัจจะที่ลึกซึ้งซับซ้อนมาก พูดอย่างไรก็ไม่ค่อยถึง แต่พิสูจน์ไปเถอะมันก็จะเจริญขึ้น เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธที่มีคุณธรรม พวกเราชาวอโศกเป็นแก่นแกนของโลกุตรธรรม ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อาณิสูตรว่า ต่อไปพุทธศาสนาจะเสื่อมเหมือนกลองอานกะ 

ซึ่งในยุค 2,500 ปีนี่แหละ เห็นแล้วเราก็ยืนยันได้ว่า มันเสื่อมจริงๆ คนที่เขาไม่รู้ เขาก็หลงตัวเองว่าเขาถูก อย่างเช่น เถรสมาคมหรือผู้รู้ทางยศตำแหน่ง พอเรามาแสดงความจริงเขาถึงจะเอาเราตาย แต่เอาไปเอามา เขาก็ทำได้เท่าานั้น เสร็จแล้วต่อจากนี้ไปมันไม่ได้แล้ว 

โลกยังดีตรงที่ว่ายังมีพระไตรปิฎกแล้วก็รับรองกันเป็นฉบับเดียวกัน ตรงกัน แม้จะเป็นฉบับของ พระมหากัสสปะ อาตมาก็ไม่มีปัญหา อาตมาก็ไม่ได้ใช้พระไตรปิฎก ฉบับอื่น มายืนยัน มากมายนะ เอาแต่พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐของพระมหากัสสปะ ที่เป็นพระเจโตหนักมากเลย ไม่ใช่สายปัญญาด้วย เป็นสายเจโต สายศรัทธาที่หนักมาก เอามาใช้ ยังใช้ได้เลย เห็นไหม 

แล้วอาตมาคงจะไม่ดิ้นรนเอาฉบับอื่นมาศึกษา แม้แต่ของอรรถกถาจารย์หรือฉบับพระไตรปิฎกมหายาน อาตมาก็ไม่ได้เอามาใช้ประกอบอะไร ก็ใช้แต่พระไตรปิฎกเล่มนี้แหละ 

กระแสหลักไม่ใช้พระไตรปิฎกเป็นหลัก แต่เขาใช้คัมภีร์วิสุทธิมรรค ไปใช้ของอรรถกถาจารย์ นี่แหละเถรสมาคมที่เรียนเปรียญกันเขา ใช้คัมภีร์วิสุทธิมรรคเป็นหลัก ไม่ได้เอาพระไตรปิฎกเป็นหลักอย่างที่เราเป็น ซึ่งพระพุทธโฆษาจารย์ยังเป็นเทวนิยมอยู่มาก ยังไม่สัมมาทิฏฐิเท่าไหร่เลย 

แต่มันก็ซ้อนที่จริงแล้ว ธรรมนิยาม 5 อยู่ในหนังสือวิสุทธิมรรคของพุทธโฆษาจารย์ อยู่ในพระไตรปิฎกไม่มี มีกระปิดกระปอยไม่พบธรรมนิยาม 5 เพราะอะไร พระมหากัสสปะพระอรหันต์ ที่เป็นเจโต อย่างพระกัสสปะที่มากัน 500 รูปเรียบเรียงพระไตรปิฎกเล่มนี้ขึ้นมา ภูมิยังไม่ถึง พูดได้อย่างนั้น ขอยืนยันยังเก็บเอามาไม่ได้ แอบไปตกหล่นอยู่ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค อาตมาเห็นก็จึงคว้ามา อันนี้มันลึกซึ้งมาก 

ถ้าคนไม่รู้จักธรรมะนิยาม 5 นี้อย่างดี อย่างสัมมาทิฏฐิ ซึ่งอาตมาก็ยืนยันมีร่องมีรอยอยู่ว่า พระพุทธเจ้าสอนไว้ในธรรมวินัย ของชาวพุทธที่ต่อเชื้อมาในประเทศไทย ให้พระอุปัชฌาย์ต้องอธิบายความแตกต่างของกายกับจิต แยกกาย แยกจิต ตามธรรมะนิยาม 5 นี้โดยใช้ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ที่เป็นมูลกรรมฐาน 5 มาใช้ยืนยันอธิบายตามที่อาตมาอธิบายให้ฟัง 

ซึ่งไม่ง่ายแต่พวกเราก็เข้าใจกันได้ แต่จะให้มาอธิบายเองจริงๆ บางทีก็ยากสับสนอยู่บ้าง ใช่ไหม ลองอธิบายอีกทีก็ได้ ในธรรมะนิยาม 5 มีภาษา 5 คำ 

อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม 

ธาตุอย่างนี้ อุตุนิยาม คือธาตุที่คือสสาร พลังงาน ไม่เป็นชีวะ เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ซึ่งยังไม่เป็นชีวะ พอเริ่มเป็นชีวะ จากอุตุมาเป็นชีวะชั้นแรกเรียกว่าพืช โดยยืนยันเริ่ม จะเป็นตัวมันเอง มีประธาน มีตัวที่รวบรวมตัวมาเป็นกลุ่มก้อนตัวเองขึ้นมาอย่างพืชพันธุ์ธัญญาหารที่มีอยู่เต็มโต๊ะนี้ มันก็เริ่มเป็นชีวะ แต่มันมีแค่สัญญากับสังขาร ปรุงแต่งโดยมีการกำหนดรู้ว่า ธาตุนี้เอาธาตุนั้นไม่เอา เอามาปรุงแต่งสังขารเป็นชีวะของพืช ยังไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ แต่มีรูปสัญญา สังขาร แต่ยังไม่มีเวทนาหรือยังไม่มีวิญญาณ ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข  ไม่จับตัวกันไปเป็นวิบากต่อเนื่องกันไป 

เพราะฉะนั้น พืชพันธุ์ธัญญาหาร จึงเป็นชีวะซึ่งไม่ใช่อุตุ ไม่ใช่ดิน ไม่ใช่น้ำ  ไม่ใช่ลม ไม่ใช่ไฟ ซึ่งคนเขาไม่ต้องไปถึงขั้น ธาตุดินไปกินบ้าง มีอะไรหลายอย่างในธาตุดิน ต้องกินต้อง ใช้บ้าง แต่เรากินธาตุพืชเป็นหลัก ไม่ต้องไปกินธาตุที่เป็นชีวะถึงขั้นสัตว์ เอาชีวะขั้นพืช ปลอดภัย ไม่มีบาปไม่มีเวร ไม่มีวิบากต่อกันและกัน ไม่จองเวรจองกรรม ไม่มีโทษมีภัยต่อกัน แต่มีประโยชน์ต่อกันอย่างเดียว 

นัยยะ ละเอียดลึกซึ้งพวกนี้เป็นความตรัสรู้ลึกซึ้งของพระพุทธเจ้าที่ท่านสอน อาตมารับรู้แล้วเอามาสาธยายให้ฟัง อาตมารู้ได้จำได้  จนกระทั่งทุกวันนี้ เหมือนเอา เป็นของตัวเองแต่ก็จากพระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรียนรู้ตามพระพุทธเจ้ามา ทุกวันนี้ความรู้ทั้งหลายแหล่ของอาตมาเอามาจากพระพุทธเจ้าทั้งนั้น แล้วก็เอามายืนยันพิสูจน์ปลอดภัยที่สุด 

ซึ่งสังคมจะต้องเข้ามาสู่จุดนี้ จุดปลอดภัยนี้ แต่คนยังหยาบ ยังเลว ยังเสื่อมอยู่ ยังไม่เหมือนพวกเรา เขายังเป็นภัยอยู่เลย ยังห้ำหั่น ฆ่าแกงกัน ยังไม่รู้จักวิบาก ต่างชาติยังเละกันอยู่เลย แล้วเขาก็บอกว่าพวกเขาเป็นพวกที่เจริญซึ่งเจริญ อย่างโลกียะ อย่างหยาบ ไม่เจริญอย่างสูงเป็นโลกุตระ 

มันเจริญด้วยการยึดอำนาจ ยึดวัตถุ ทั้งนั้นเลย แต่มาถึงโลกุตระแล้ว ไม่เอาอำนาจ ไม่เอาวัตถุเป็นหลัก มีพออาศัย แต่เอาคุณธรรมความดีงาม ความไม่มีตัวตน ความมีประโยชน์ต่อผู้อื่น เป็นคุณค่า เครื่องชี้วัดว่า เจริญ ซึ่งวิเศษ 

แล้วไม่สงสัยในการเวียนตายเวียนเกิด เมื่อมีความรู้ในจุดหนึ่งเป็นอมตะบุคคล จัดการความตายความเกิดเองเลย จะตายแล้วไม่เกิดอีกได้มีวิมุติแล้วเป็นพระอรหันต์แล้ว จะตายแล้วเกิดก็ได้จะตายแล้วไม่เกิดอีกก็ได้ เรียกว่าทำปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ จะทำหรือไม่ทำก็อยู่ที่ท่านเองนั่นแหละ ไม่มีใครเป็นเจ้าเป็นนาย เหนือกว่าอมตะบุคคล 

อมตะบุคคลเป็นเจ้าของธาตุจิตวิญญาณที่จะต่อภพต่อภูมิ หรือไม่ต่อภพต่อภูมิ ตายแล้วแยกเป็นดินน้ำไฟลมเลย แยกกันอย่างเด็ดขาดนิรันดร เลิกกันอย่างเด็ดขาด นิรันดรได้เลย 

พวกเราเริ่มเข้าใจได้ไปตามลำดับตั้งแต่โลกอบาย โลกต่ำหยาบ ที่เราเคยเป็นแต่ก่อนเราก็ไม่รู้เราเคยหลงอร่อยสนุกสนานแย่งชิงเขาไปมีชีวิตชีวาเป็นคู่แข่งเขาอยู่ พอรู้แล้วไอ้หยา แบบนั้นไม่เอาแล้ว 

เราก็เลิกมาเป็นอย่างที่เราเห็นนี้ ซึ่งเราก็ไม่มีใครเดือดร้อน ไม่เลยไม่ต้องไปแข่งไปแย่งชิงกับเขาหรอก  คนที่เขายังหลงใหลเลยเถิดอยู่ก็ปล่อยเขาไป บังคับเขาไม่ได้หรอก บอกความจริงความดีให้เขามาเอาไม่เอา เขาก็ไปทิ้งไปบังคับกัน ไม่ได้ ศาสนาพุทธไม่มีการบังคับใคร เกิดญาณปัญญาปฏิภาณของตนเองเท่านั้น 

เพราะฉะนั้น เราเลิกมาเป็นขั้นๆ ตั้งแต่กามหยาบ อบายมุข กามคุณ 5 อย่าง หยาบ กลาง ละเอียด เราก็รู้แล้ว พ้นกามมาเป็นขั้นๆ ไม่ต้องไปไล่ภาษาก็ได้มันก็มีอย่าง หยาบ กลาง ละเอียด จนเรียกภาษา รูปภพอรูปภพอีก กระทบสัมผัสแล้วก็วางเฉย เฉยสนิทบ้าง เฉยไม่สนิทบ้าง 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สู่แดนธรรม.. พ่อท่านไม่ได้ทำตัวสูง แต่พ่อท่านสูงไม่ได้ทำตัวให้งามในทุกอิริยาบถ แต่พ่อท่านไม่มีตัวไม่มีตน ทำไปตามเหตุปัจจัย ทำเพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่น 

พระโพธิสัตว์คือผู้ที่ยังยึดอยู่ ทั้งที่ท่านไม่ยึดแล้ว แต่ท่านก็มาแสดงความยึดอยู่

พ่อครูว่า... สำนวนสากลว่า dialectic 

สู่แดนธรรม.. เดี๋ยวพ่อท่านก็ว่ายึด เดี๋ยวก็ว่าไม่ยึด ก็เลยเห็นใจคนที่เข้าใจได้ยาก 

พ่อครูว่า... อาตมาพยายาม (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สู่แดนธรรม.. ทำไมจะต้องย้อนกลับไปด้วย 

พ่อครูว่า... มันก็ต้องย้อนไปย้อนมาต่ำแล้วก็สูง สูงแล้วก็ต่ำ ก็บอกแล้ว ว่าโลกยุคนี้ ความรู้ทางพุทธศาสนาโดยเฉพาะโลกุตระ มันสูญหาย มันต่ำ อาตมาก็ต้องมาเริ่มตั้งแต่ต่ำ ใช่ไหม มันเสื่อมสูญก็ต้องเริ่มต้นต่ำ เหมือนมาเริ่มต้น 1 ใหม่ แล้วก็ 2 3 4 5 ออกไป 

คนที่เขายังไม่สูงคิดไม่สูง ก็ว่าจะต้องเอาลงต่ำทำไมสูงแล้ว ด้วยเขาไม่รู้จักอนุโลมปฏิโลม โดยกาละก็แล้วแต่ ความเป็นจริงก็แล้วแต่ มันไม่เที่ยง มันไม่ได้อยู่คงที่ ที่ว่ามันจริงจะต้องอยู่เป็นอย่างนี้ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดกาลนาน ซึ่งไม่ใช่ มันไม่ตายตัว มันจะเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาเลยในความเปลี่ยนแปลงนี้ 

ซึ่งอธิบายอย่างไรก็ยาก ปัจจุบันที่เล็กที่สุดนั่นแหละ คือความจริงที่เป็นได้อยู่น้อยที่สุด  เลยจากวินาทีแห่งเศษเสี้ยวแห่งวินาทีแล้ว เปลี่ยนไปหมด ต่างกันไปหมด พยายามใช้ภาษา มันไม่มีอัตราที่เขาตั้งมาไว้ ใช้ภาษามาชี้สภาวะอธิบายให้ฟัง 

 

ความเป็นประชาธิปไตยโลกุตระ 

ชาวอโศกรวมตัวกันมีพฤติการ มีพฤติกรรมของความเป็นโลกุตระธรรม ใช้ภาษาหยาบๆและสิ่งยืนยันกันว่า ลาภที่ได้โดยธรรม สิ่งที่ได้มาโดยสุจริตของเราด้วยการใช้เรี่ยวแรงสร้างสรร หรือมีสิทธิ์ในสิ่งนั้น เราก็มีได้มา อาจจะไม่ได้สร้างแต่ว่าคนอื่นเอามาให้ เป็นสิทธิ์ของเราอย่างบริสุทธิ์ เราก็เอามารวม เป็นลาภโดยธรรม มารวมเป็นศูนย์กลาง แล้วแต่ละคนก็ร่วมกันใช้กันกิน 

แล้วแต่ละคนล้วนปฏิบัติตามหลักวรรณะ 9 เป็นคนง่ายๆ เลี้ยงง่าย อยู่ง่าย เป็นไปง่าย ไม่เรื่องมาก พัฒนาให้เจริญได้ง่าย สุโปสะ มักน้อย ศูนย์นั่นแหละน้อยที่สุด แล้วสูญได้เป็นดี ถ้าจะต้องอาศัยก็ .0001 หรือ .00001 ไม่พยายามให้มาก

จะมากก็ต้องสร้างด้วยพลังงานของเรา ด้วยแรงของเราพฤติกรรมของเรา มันเป็นสิทธิ์ของเรา สร้างแล้วเราก็ใช้สิ่งที่เราสร้างนั่นแหละ เหลือจากที่เรากินเราใช้ด้วย แจกจ่ายผู้อื่นมันก็คุ้มตัวเรารอดตัวแล้ว ไม่เป็นหนี้ เพราะเราสร้างเองคุ้มตัวเรา เหลือคนอื่นด้วย ถ้าจะว่าแล้วเป็นเจ้าหนี้ได้เลย แต่เราไม่คิดไม่ยึดว่าเราเป็นเจ้าหนี้ สัจจะมันเป็นสัจจะเองไม่ต้องไปคิด 

คนที่มีความรู้อย่างนี้แล้วก็ปฏิบัติได้อย่างนี้จริง จึงเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ร่ำรวย เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ให้คนอื่นพึ่งได้ นอกนั้นมีแต่นักเศรษฐศาสตร์ ที่เรียนอยู่ในโลกียะ มีแต่เศรษฐศาสตร์ขี้โกง เศรษฐศาสตร์ที่จริงก็ต้องเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ผู้อื่นได้รับ ประโยชน์จากเรา แล้วเราก็ไม่ยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเรา ไม่นับประเมินประมาณมา เป็นของเรา เราเป็นผู้ที่ได้ให้ เป็นผู้มีประโยชน์ต่อผู้อื่นอย่างแท้จริง 

เพราะฉะนั้นอาตมาสรุปประชาธิปไตยลงไปในคำสอนพระพุทธเจ้าคือ อายะ 3

พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ อายะคือรายได้ ประโยชน์หรือกำไร หรือ Gain อายะ 

1. ประโยชน์ หิตะประโยชน์ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชน เป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) 

สุขอย่างไม่ใช่โลกียะด้วย แต่เป็นการอนุโลมตามลำดับ เพราะว่าคนจะให้มาเป็นสุขโลกุตระเป็นปรมังสุขังเลยทันทีไม่ได้ มันต้องอาศัยจนกระทั่ง จางแล้ว ถึงค่อยมาเป็นโลกุตระ มันจึงจะหมดเนื้อหมดตัวจริง 

สัจจะที่เป็นประชาธิปไตยที่ 1.ไม่มีตัวตน 2. เป็นคนซื่อสัตย์ 3. รับใช้มนุษยชาติ 

นี่คือความหมายถึงประชาธิปไตยแท้ๆ ความหมายเป็นอย่างไร แล้วทำจริงได้ไหม ดังว่า ถ้าทำได้ดังว่าจริง ประชาธิปไตยก็มีจริง เมืองไทยนี่แหละเป็นเมืองที่มีอันนี้ ขอยืนยันว่ามากกว่าทุกประเทศด้วย นี่ไม่ใช่พูดเล่นแต่พูดจริง แต่คนไม่เชื่อเพราะเขาไม่รู้เขาไม่เข้าใจ 

จบด็อกเตอร์ประชาธิปไตยทางรัฐศาสตร์มากี่ใบก็แล้วแต่ เขาเรียนรู้แต่เทวนิยม ทั้งนั้น แต่มหาวิทยาลัยโลกุตระที่เป็นพุทธ อยู่ที่นี่ เขาไม่ได้มาเรียนหรอก เขาไม่ถือว่าเป็น มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยต้องอยู่ทางโน้น ก็ต้องเรียนแบบทางเทวนิยม ตำราก็ไป เอาทางเทวนิยม มาเป็นหลัก เป็นดอกเตอร์ทางรัฐศาสตร์ เปรียญ 9 แล้วก็มีความเป็น ประชาธิปไตยแบบเปรียญ 9 ก็ตาม ก็ยังเป็นเทวนิยมเพราะว่าโลกุตระ มันเสื่อม มันมีจริงอยู่ที่นี่ 

ขออภัยที่พูดนี้เป็นความจริง ไม่ได้ยกตัวอย่างตน ไม่ได้หลงใหลได้ปลื้มตัวเอง แต่พูดความจริง แล้วความจริงมันไปข่มผู้อื่น มันไปยืนยันของผู้อื่น ว่าผู้อื่นไม่ได้เป็นอย่างที่เราเป็นนี้ 

ก็ยืนยันอันนี้ไป แต่ละคนพวกคุณนี้มีสัจจะพวกนี้ ก็จะมีความจริงพวกนี้ไปเรื่อยๆ วันแล้ววันเล่า ซึ่งมันไม่ได้รู้กันง่ายๆ เราก็รู้ดีว่ามันไม่ง่ายที่จะรู้ จนกว่าคนตาบอดเห็นได้ ก็ใช้สำนวนมันอย่างนี้แหละ 

คนตาบอดชี้ให้คนตาบอดดูด้วยกัน ว่าท้องฟ้าสวยจัง เห็นไหมท้องฟ้าสวยจังเลย จนกระทั่งคนตาบอดอีกคนเห็นด้วยว่า ใช่ๆๆ นั่นแหละ เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เป็นการใช้โวหาร  ใช้วาทกรรม 

สู่แดนธรรม... พ่อท่านคงหมายถึง คนมีดวงตาปัญญาเปิด 

พ่อครูว่า... ต้องเป็นตาปัญญา ปัญญาก็เอาของพระพุทธเจ้ามาขยายเลยคือปัญญา 8 ตอนนี้ที่เขียนหนังสือเล่มนี้คงจะเป็น 3 เล่ม อาตมาทำเล่ม 2 เล่ม 3 อยู่ ตอนนี้อาตมาว่า คงใหญ่เกินเล่ม 2 ซึ่งปาเข้าไป 700 กว่าหน้าแล้ว ก็น่าจะแบ่งเป็น 3 เล่ม 

สู่แดนธรรม... คนตาบอดเห็นได้ ผมก็แปลของผมว่า เครื่องบดบังปัญญา ทำให้ปัญญาเศร้าหมอง 

พ่อครูว่า...ความเสื่อมของความรู้ที่เป็นโลกุตระของพุทธเจ้ามันเสื่อมตั้งแต่คำแรกคือคำว่า  กาย

กายนี่คือ ก.ไก่ สระ อา แล้วเอาตัวเศษวรรตัวต้น ย ร ล ว ส ห ฬ อ

กายคือสภาพสอง กะ คือ 1 พอ กา ขึ้นมาก็ 2  กา เป็นบวกก็ได้ เป็นคูณก็ได้ 

แล้วจากบวก จากคูณ​ก็มาเป็นหาร คือ ขีดกลาง มีจุด 2 จุด อยู่บนล่าง 

กา ของทางพุทธ มันจะไขว้กัน เป็นบวกก็แปลว่าสมดุล เป็นคูณก็คือ มีความแตกต่างระหว่างองศาเล็กองศาใหญ่ บวกก็รู้ได้ยาก แต่เป็นคูณรู้ได้ง่ายกว่า กระทั่งเป็น 1 สนิท 

ถ้า 1 สนิท เทวนิยม แยกออกมาจะเป็นคู่ แต่ของพุทธแยกออกมาเป็นหาร คือจุดล่างจุดบน ระหว่างขีด 

พอเริ่ม 3 จะมีตัวตนรู้เรียกว่าประธาน 

2 คือ S กับ H คือ บวกกับลบ คือ He กับ She

เสร็จแล้วมันก็มีประธานขึ้นมาอีกตัวนึง เป็นตัวที่รู้ ความต่างของ 2 ตัว และกำหนด 2 ตัวนี้ ควบคุม 2 ตัวนี้ ก็กลายเป็นตัวประธาน มีสามเส้าจัดการกันได้ 

จากสามเส้าจะออกมาเป็น 4 ก็ต้องที่แรงจะออกมานอก วงวน cyclic order ออกนอกวงที่มีแรงมากเหนือจากจุดกลางออกมาได้ ต้องเป็นแรงที่ 4 ที่สำคัญมากที่เขาเอามาใช้เป็นพลังงานออกไปนอกโลกอะไรต่ออะไรพวกนี้ 

สู่แดนธรรม... ทางสันติอโศกส่งข่าว เป็นกาละพิเศษที่ทางสันติอโศก รวมตัวกัน มีงานกินข้าวสวน รวมตัวกันเกี่ยวข้าว มีทั้งศิษย์เก่าศิษย์ปัจจุบันรวมตัวกันเกี่ยวข้าวจำนวนกว่า 50 ชีวิต โดยมีศิษย์เก่ามารวมกันถึง 9 คน ก็มี ออย ละไม เจียม ต้า เบนซ์ จาจ้า มิตร กอล์ฟ โด้ ศิษย์ปัจจุบันที่ไม่ได้กลับบ้าน แม้ปิดเทอมก็ไม่กลับ ประมาณ 10 คนก็มี มีชาวชุมชนด้วย ทุกคนรวมตัวกันเกี่ยวข้าวน่าประทับใจอย่างยิ่ง คนเหล่านี้ได้จ้างเขามาไหม

พ่อครูว่า... ไม่ได้จ้างมา คนเหล่านี้มาทำงานฟรีมีจิตใจเห็นว่าควรมาร่วมกันทำ 

สู่แดนธรรม... แต่ละคนก็มีงานส่วนตัว

พ่อครูว่า... เขาเห็นใจส่วนรวม 

สู่แดนธรรม.. ขอกลับมาสู่สังคม สาธารณโภคี ทำไมต้องมาสุข อยู่กับความจน 

พ่อครูว่า... นี่แหละคือสภาพทวนกระแส ในโลกสามัญ จะต้องเป็นสุขในความรวย แต่ในโลกของโลกุตระจะเป็นสุขในความจน เป็นภัยต่อการไปแย่งกันรวย แต่ถ้าไม่แย่งกันรวย แจกไปเลย มันก็ลดสงคราม ลดคู่ต่อสู้ ลดภัย ลดการเบียดเบียน กลายเป็นการแจกจ่ายเจือจานเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แบ่งแจกกัน 

ซึ่ง มันก็ใช้ภาษาอธิบายสภาวะอย่างนี้ ใครฟังแล้วเข้าใจซาบซึ้งก็ดี ใครเข้าใจแล้วเท่าไหร่ก็เท่านั้น หรือ ไม่เข้าใจไม่ซาบซึ้งเลยก็บังคับกันไม่ได้ แต่ละคน 

สัจจะที่พิสูจน์ทนต่อการพิสูจน์หรือเจริญในการพิสูจน์ มันจะบ่งชี้ตัวมันเอง ไปเรื่อยๆ ทำไปเถอะ สัจจะจริง ใครก็แล้วแต่ จะแกล้งมาทำสิ่งที่ดีก็เอา  คุณแกล้งทำสิ่งที่ดีนี้ให้ได้ เถอะ ทำให้ทนทำจนกระทั่งคนไม่ต้องกลับไปทำไม่ดีอีกแล้ว ทำอย่างนี้จนติดเลยจนได้ เลยมันก็ดีไหมล่ะ มาเถอะมาแกล้งดีก็ไม่ว่ากัน อย่าไปแกล้งชั่วเลย ไม่ต้องแกล้ง แต่ดีเอง เลยดีจริงเลย สำเร็จ มันต้องอย่างนี้ 

แสดงว่า ลึกซึ้งมากในการมาเป็นคนจน การเป็นคนรวยนั้นตื้นมาก ใครก็รู้ใครก็อยากเป็น แต่มาเป็นคนจนนี่แหละมันสุดประเสริฐ ไม่ใช่รู้ง่าย แล้ว ก็มาเป็นไม่ได้ง่ายๆ จะรู้แล้ว เปลี่ยนได้แล้วก็ยิ่งดีๆๆๆ และผู้ที่มาจน มันจะไม่ขาดหมู่ ถ้ามาเป็นคนจนขาดหมู่ ตาย ไม่มีประโยชน์ มีแต่เดินทางไปสู่ความตายอย่าง ไร้ประโยชน์ ไร้คุณค่า เหมือนพวกเชน หมดไม่เอา จนไม่เอาอะไรเลย อยู่ป่าเขาถ้ำแต่ตัวเอง ยังเปลืองลมหายใจอากาศ ยังเปลืองอาหาร เปลืองที่ให้คนยืนคนนั่งไม่มีประโยชน์อะไรเลย 

 

สภาวะสัจจะย้อนสภาพ dialectic กับอายุขัยของพ่อครู

สู่แดนธรรม... เป็นคนจนจะไม่ขาดหมู่ ทำให้เห็นว่า คนจนอาริยะ แต่คนจนที่มีศัตรูมากคือ อริเยอะ คนพวกนั้นไม่มีพวก พึ่งพาหมู่กลุ่มไม่ได้

พ่อครูว่า... แม้พยัญชนะก็ชัดเจนอย่างนี้ เพราะฉะนั้นการพิสูจน์สัจธรรม พิสูจน์เข้าไปเถอะ อย่ารีบตายนะ ใครยังไม่อยากรีบตาย ยกมือซิ ... 

คนที่ไม่อยากรีบตาย อยากจะช้าๆตาย นานๆไปไม่ต้องตายไว เราก็สอนไว้หมดแล้ว 8 อ.จนถึงนามธรรม อยู่กับหมู่ก็แบ่งเบากันทั้งนั้นเลย

สู่แดนธรรม... พ่อท่านพูดอย่างนี้ทำให้ลบล้างคำพูดที่หลายวันก่อน พ่อท่านพูด ว่าอยากตาย

พ่อครูว่า... มันเป็นภาวะ dialectic คือ มันมาคำนึงถึงขันธ์ตัวเอง เหมือนที่พระพุทธเจ้า บอกกับพระอานนท์ว่าเรา ไม่ไหวแล้ว รูปขันธ์เหมือนเกวียนเก่า คร่ำคร่าคำว่า เก่าของท่านนี้ แน่นอนแสดงว่าเสีย พระพุทธเจ้าหมด มันไม่เต็มที่ ที่จะใช้งานได้ อย่างประสิทธิภาพสูงแล้วถือว่าเก่า แต่ถ้าผู้ที่สิ้นไร้ไม้ตอก เก่ามากๆ จะแย่แล้ว เขาก็ถือว่า ต้องใหม่ แต่ผู้ร่ำรวยมาก เก่าเท่านี้ เขาถือว่าเก่ามากแล้ว ทั้งๆที่มันไม่เก่าเลย  ต้องเหมาะสมกับท่าน ท่านจะต้องสดใหม่อยู่ประมาณนี้ ถ้าไม่สดใหม่ประมาณนี้ถือว่าเก่า 

อย่างอาตมานี่ ถือว่าเก่า ก็พยายามจะให้มันใหม่ พยายามๆไป แต่ละคนก็ เช้าขึ้นมาเจอกันเชียร์ ตอนนี้พ่อท่านหน้าใสดีจัง หน้าชมพูดีจัง แต่วันนี้หน้าซีด ไม่ค่อยกล้าทักเท่าไหร่ เฉยๆไว้ ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ ไม่อยากให้เสียกำลังใจ 

 

ขณะนี้นายกฯประยุทธ์ยืนหนึ่งและจะไม่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3

จริงๆแล้ว อาตมาทำงานโพธิสัตวภูมิในยุคนี้ มันเป็นยุคที่ สิ้นไร้ไม้ตอกจริงๆ อาตมาเป็นหมากลางตลาดที่ ไม่มีคนช่วย ไม่มีตัวช่วย ฟังดีๆตรงนี้

แม้เกิดมามีพระโพธิสัตว์ธรรมิกราช 1 องค์ กับอาตมา ท่านก็ช่วยอะไรอาตมาไม่ได้มาก เท่าไหร่ เกรงใจส่วนรวม เพราะท่านเป็นกษัตริย์ 

ท่านจะไม่รับเถรสมาคม ท่านจะไม่รับรองอันนั้น เป็นฐานอาศัยซึ่งมันจำเป็น status quo ในยุคนี้ต้องอาศัยอันนั้น ไม่อาศัยไม่ได้ มาอาศัยโพธิรักษ์จะไปไม่ออกเลย เพราะยังมวลไม่พอ จริงๆแล้วเถรสมาคมจริงๆเลยพูดที่เขาดูดีมีปัญญามันไม่ขี้เหร่หรอก แต่มันมีจำนวนบริวารที่ขี้เหร่มีเยอะ อันนี้ต่างหากที่มันมาล้มล้างจุดเด่นของเถรสมาคมเอง 

เพราะฉะนั้นอธิบายไปแล้วก็จะเป็นความซับซ้อนอย่างนี้ มันเป็นไปได้อย่างสมสัดสมส่วนของมันอยู่ 

ถ้าเถรสมาคมบอกว่าเลิก ยกให้อโศกบริหาร ไหวไหม ไม่ไหว ไม่ไหวจริงๆ อย่างเขานั้นแหละ สามารถจะบริหารคนในฐานะพอๆกันได้ ของพวกเรานี้มันจะเอาอะไร ไปให้เขาได้ล่ะ เรามันไม่มีอะไร เพราะฉะนั้น มันไม่ได้ มันไปไม่ได้หรอก อย่างเขามีอะไร ที่มีอยู่เขามี จี๊เขาก็อู๋ ของเรา บ่จี๊ ไม่อู๋เลย จี๊น่ะ มันไม่ได้ เห็นไหมล่ะแต่ละสัดส่วน พูดไปก็จะชัดเจน มันไม่เหมาะสม มันเป็นไปไม่ได้ แล้วถ้าเราจะมีมากมายมี จี๊หรือเงินมาก มันก็ไม่ถูกตัวเราอีก ไม่เหมาะสมกับตัวเราเองนั่นแหละ มันขัดแย้งในตัวมันเองด้วย เพราะฉะนั้น มันจะต้องเป็นอย่างนี้แหละ เป็นเช่นนั้นแหละ เป็นเช่นนั้นเองเป็นเช่นนี้เอง เป็นพรรค์นั่นแหละ 

มันก็ได้ขนาดนี้แหละไปเรื่อยๆ ทีนี้ พาดพิงไปถึง ปัจจุบันธรรม แม้แต่มีนายกประยุทธ์ จันทร์โอชา  ก็เหมาะสมที่สุดแล้ว แต่คนเขาแย่งอำนาจ เขามองลบหลู่ มองดูถูก ผู้ที่ตะกละอำนาจ แสวงอำนาจ เขาก็ไม่เห็นความจริง เขาก็จะเอาตัวเขา เอาพรรคพวก ของเขาขึ้นมา ทั้งนั้นแหละมันเป็นธรรมชาติธรรมดา แต่สัจจะของธรรมะ พระสยามเทวาธิราชยังมีอยู่ มันยังเป็นไปได้อยู่ 

ตราบที่ พลเอกประยุทธ์ยังไม่กบฏต่อตัวเอง ยังทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริต  ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ แล้วรักษาสภาพสัจธรรมของตัวเองได้ประมาณนี้ อาตมาว่าไปรอด ก็ดูต่อไป มันไม่ใช่การพยากรณ์ ผู้ที่จะแย่งชิงอำนาจก็ยังมีอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ดำเนินไป ตามหลักเกณฑ์ของสังคมประเทศ มีกฎหมายมีวิธีปฏิบัติ มันก็ไปของมัน ได้ไม่มีปัญหา ก็ดูไป พวกเราไม่ใช่ชาวดูไบ พวกเราเป็นชาวดูไป ก็ดูไปจริงๆ ดูไปเรื่อยๆ 

ซึ่งอาตมาก็เห็นว่า ที่อาตมามองออก เห็นชัดๆเลยก็คือ 

1. พลเอกประยุทธ์นี้ อดทน 

2. ไม่ประชด สำคัญนะตรงนี้ พลเอกประยุทธ์ อดทนและไม่ประชด ดำเนินไปตามเหมาะตามควร ไม่แสดงออกซึ่งการประชด ไม่เอาตัวตนเข้ามารับ ดีมาก 

และอาตมาก็เห็นว่าเขาอายุยังไม่ถึง 70 ยังไปได้ ท่าทางยังแข็งแรง แข็งแรงกว่าอาตมาเยอะ ยังทำได้ เพราะฉะนั้นยังมีเวลา ยังมีกำลัง ยังมีสังขารร่างกาย ใจเท่านั้นแหละ อย่าเพิ่งท้อถอยง่าย อย่างไรๆ ประเทศไทยยังอาศัยพลเอกประยุทธ์อยู่

อาตมามองจริงๆ มองไม่ออกว่า ใครจะมาเป็นคู่แข่ง ตอนนี้ผู้หญิงอุ๊งอิ๊ง เสนอมาตัวเป็นคู่แข่ง นายพิธา ทำอวดดีมาเป็นคู่แข่ง ตอนนี้ เขาเสนอ ดร.สมคิด มาเป็นคู่แข่งจะเป็นนายก อาตมาว่ายังนะ ยังไม่น่าเสี่ยง จะเสี่ยงให้อุ๊งอิ๊งขึ้นมาเป็นนายก เสี่ยงให้สมคิดมาเป็นนายกยังไม่น่าเสี่ยง เพราะว่าประเทศไทยไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว ประเทศเดียวในโลกมันเกี่ยวพันกับประเทศอื่นในโลกด้วย 

สมมุติง่ายๆ สมมุติ เอาอุ๊งอิ๊งขึ้นมา ประเทศอื่นๆเขาจะยอมรับกว่าประยุทธ์ไหม สำหรับอุ๊งอิ๊ง ประเทศอื่นจะยอมรับกว่า นอกจากครอบครัวของอุ๊งอิ๊งเอง หรือบริวารที่ดันก้นอยู่ เท่านั้นเอง ใช่ไหม โดยส่วนรวมคิดกว้างๆ ประเทศอื่นๆเขาจะ ยอมรับอุ๊งอิ๊งมากกว่า พลเอกประยุทธ์หรือ หรือแม้แต่ดร.สมคิดก็เถอะ ปัดฝุ่นขึ้นมา นี่พรรคอะไรกำลังยกสมคิดขึ้นมา

ซึ่งมันก็ดี มันก็เป็นตัวอย่างของการเมืองระดับประเทศ ประเทศไทยก็มีพฤติการณ์การเมืองของประเทศไทย ประเทศอื่นเขาก็มี เกาหลีเหนือก็อย่าง 1 สหรัฐก็อย่างหนึ่ง รัสเซียก็อย่างหนึ่ง 

ซึ่งจะมาเทียบกันแล้วก็จะเห็นความต่าง ของแต่ละคู่ จับไปประเทศไหนมาเทียบก็จะรู้รายละเอียดได้ เราก็ศึกษาจากความจริงเรานี้แหละ ถ้าใครมีปฏิภาณปัญญาไหวพริบที่ละเอียดก็สามารถแยกแยะความต่าง ในมิติต่างๆในนัยยะสำคัญต่างๆของมันได้ 

สิ่งที่กล่าวที่พูดมาแล้วนั้นมันเป็นเรื่องจริงของพฤติกรรมสังคมมนุษยชาติ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น ทำเล่นไม่ได้ เรื่องบ้านเมืองสังคมประเทศตัวเอง ทำเล่นก็ชิบหาย ก็ทำจริงทั้งนั้นเท่าที่ตัวเองเก่งตัวเองสามารถเท่าไหร่ก็เท่านั้น อาตมาว่า ไม่ได้มีการออมมือกันหรอก แต่ละประเทศไม่ออมมือ แต่มันอยู่ได้ 

สังคมโลกทุกวันนี้ ไม่ถึงขั้นสงครามโลก เป็นสงครามเฉพาะ เล็กๆน้อยๆ ไม่งั้นก็ทะเลาะกันด้วยปากหอกเป็นหลัก เดี๋ยวนี้โซเชียลมีเดีย เหมือนปากหอก ว่ากันไปว่ากันมาอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นคนที่กลัว กลัวสงครามโลกครั้งที่ 3 อาตมาพูดตรงๆอาตมาไม่กลัว เพราะอาตมาไม่เชื่อว่า สงครามโลกครั้งที่ 3 จะเกิด ที่พูดอย่างนี้เพราะเหตุว่า คนในโลกปัจจุบันนี้แต่ละประเทศรู้แล้วว่าสงคราม ถ้าเป็นถึงขั้นสงครามโลก มันใหญ่ขนาดไหน และต่างคนต่างตุนระเบิดไว้คนละเท่าไหร่ มันจะเหลือประเทศในโลก แม้แต่ตัวผู้บริหารมันจะเหลือไหม ผู้บริหารพยายามรักษาตัวรอดอยู่นะ แต่นั่นแหละ มันจะแพ้ภัยตัวไหม เขาก็ต้องระวังเหมือนกัน ทำเป็นเล่นไปเถอะ 

เพราะทุกวันนี้มันเก่ง ที่อาตมาเคยสมมุติว่า จอมแม่นปืนสองคน หันหลังชนกัน (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สู่แดนธรรม.. ในบรรดาคนเก่งทั้งหลายในโลก ผมเห็นงูจงอาง 2 ตัวมันมีพิษเท่ากัน เลย แต่เวลาสู้กันมันไม่เคยที่จะเอาพิษของมันไปกัดคู่ต่อสู้ เพราะถ้ามันกัดเขา เขาก็กัดมัน มันก็รู้ว่ามันต้องตาย ผมก็เลยเห็นว่างูจงอาง 2 ตัวสู้อย่างไร มันปล้ำกัน มันเอาคอกดกัน ไปมา ใครหมดแรงก่อนก็แพ้แล้วก็หนีไป ไม่ยอมตายไม่ยอมใช้อาวุธ 

พ่อครูว่า... มันเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นอาตมา ที่จริง พูดไปมันเหมือนประมาท อาตมาว่ามันไม่เกิดหรอกสงครามโลกครั้งที่ 3 (พ่อครูไอตัดออกด้วย) จะเกิดสงครามในประเทศย่อยๆอยู่แค่นี้ แล้วประเทศใหญ่ๆก็คุมเอาไว้อย่าให้มันมาก เหมือนเด็กๆตีกันบ้างก็ดูให้ควบคุมไว้ อย่าให้มันลุกลามไปมากมาย มันฆ่ากันเอง ก็ฉิบหายของมันเอง แล้วมันก็จะรู้ตัวเองว่าไม่น่าไปทะเลาะกันเลยชิบหายก็คือกู กูเองนี่ ชิบหาย ไปทะเลาะกันทำไมก็จะสำนึกกันขึ้นมา ผู้ที่รู้แล้วไม่จำเป็นต้องไปทะเลาะกับใคร ช่วยสร้างสรรค์ดีกว่า 

เพราะฉะนั้นเราไปไกลถึงขั้นว่า ผู้เจริญสร้างอาหาร แต่คนชั่วช้าสามานย์ยังสร้าง อาวุธ  เขาเจริญไปถึงขั้นไหนแล้ว ให้สัญญาณแก่มนุษย์โลกเขาซะ เมื่อใด ประเทศที่เขารู้ จริงๆว่า อย่าเอาแรงงานไปสร้างอาวุธเลย อย่าเอาแรงงานไปสร้างอาหารดีกว่า เอาแรงงานไปสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารดีกว่า บางประเทศสร้างอาหารไม่ได้ง่ายๆหรอก บางที่เอาแรงงานไปสร้างเทคโนโลยีที่ซับซ้อนเช่นกันไป แต่ดีกว่า แทนที่จะไปสร้างอาวุธ ไปฆ่ากัน ซึ่งมันเข้าใจง่ายๆไม่ยากเลย จะไปสร้างอาวุธฆ่ากันทำไม แต่เพราะความกลัว ก็เลยต้องสร้างอาวุธมาฆ่ากัน สู้กันด้วยความหยาบๆ ซึ่งมันยังไม่เจริญ

เพราะฉะนั้น คนเจริญจะเห็นว่าเอาแรงงานไปสร้างมันทำไมอย่างนั้น ไปฆ่าเขา เขาก็ฆ่าเราฆ่ากันอย่างนั้นแล้วมันจะทำร้ายกันเปล่าๆ เอามาสร้างสรรช่วยกันจะดีกว่าไหม ปฏิภาณปัญญาแค่นี้เข้าใจไม่ได้ ก็ยังโง่อยู่อีกนาน มาสร้างสรรช่วยกันให้เจริญดีกว่า ไปช่วยกันประหาร ทำลายกันให้มันย่อยยับกันไปเฉยๆ ทำไม 

จะทำลายกิเลสนั้น ทำลายเถอะทำลายเท่าไหร่ให้ย่อยยับให้หมดไปเรื่อยๆ นะดี จากตัวคนเลยดี นอกจากกิเลสแล้วจะไปทำลายชีวิตทำไมแต่ละชีวิตปรารถนาเจริญทั้งนั้น  แม้แต่สัตว์มันก็พัฒนามีชีวิต ยิ่งมาเป็นชีวะของมนุษย์ มันก็ต้องปรารถนาความเจริญทั้งนั้น ไม่มีใครปรารถนาความเสื่อม 

อย่าไปทำเลยสิ่งที่ค้านแย้งกับสัจธรรมพวกนี้ เอาละ พูดไปจะกว้างเกิน สรุปเข้ามา หาความจริง 

ชาวอโศกเราเป็นมนุษย์เหมือนคนทั้งหลายในโลก แล้วเราสามารถทำสาธารณโภคีได้ ทำคนเป็นคนมีคุณสมบัติวรรณะ 9 มีคุณธรรมตามหลัก พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ ได้  

แล้วมันทำได้จริง มันจึงเป็นจริง อยู่ในสังคมมนุษยชาติ บอกแล้วว่า แม้แต่คุณจะเสแสร้งให้เป็น คนมีคุณสมบัติ สาราณียะ เชิญสิ คุณสมบัติ ปิยกรณะ มีความรักมิติที่สูงขึ้นไปเชิญสิ ครุกรณะ เคารพกันอย่างรู้ขั้นรู้ตอน สังคหะ ช่วยเหลือ เกื้อกูลกัน เชิญสิ ได้ช่วยเหลือกันทำได้ก่อนก็ทำใครยังทำไม่ได้ก็ตามกันไป เป็นเรื่องจริงทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องไม่จริงที่ไหน สัจจะพระพุทธเจ้ามาศึกษาให้ดีๆ แล้วทำไปเถอะ ตรงตาม พระพุทธเจ้าท่านตรัส ไปตามขั้นตอนต่างๆ อย่างที่พวกเราทำแล้วไม่ต้องไปตัดลัดขั้นตอน ทำตามลำดับยิ่งงดงาม ไม่มีฟันหลอ ไม่มีขั้นประดักประเดิดอะไรเลย เรียงลำดับลาดหลุมเหมือนฝั่งทะเลยิ่งกว่ากระจก ราบรื่น เรียบร้อย ง่ายงาม 

เป็นคำสรุปที่อาตมาสรุป ราบรื่น เรียบร้อย ง่ายงาม 

สำหรับอาตมาวันนี้ เวลาไม่ถึง 2 นาทีก็ขอจบเพียงเท่านี้ 

สู่แดนธรรม.. สรุปจบ

ที่มา ที่ไป

650425 จิตวิญญาณแห่งสาธารณโภคีที่มีในชาวอโศก รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 35 


เวลาบันทึก 26 เมษายน 2565 ( 07:49:38 )

650427

รายละเอียด

650427 พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ อภิภูผู้รู้จบสัตตาวาสและวิญญาณฐีติ

https://www.boonniyom.net/51950.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                          

https://docs.google.com/document/d/1TMETaPsTHkw8ihSBDvEWExSsnrVztZnSruD_80FMsCI/edit?usp=sharing 

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1SaqK-gn-HWrSxU_Idng2pmS02Ky-FQKm/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/dbp1knRzb1I  และ https://fb.watch/cEZ2HqeDaX/ 

 

สมณะฟ้าไท.. วันนี้วันพุธที่ 27 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก  อากาศร้อน อย่างไรก็ไม่เท่ากับใจคน แต่ทุกวันนี้เขาทำแบบมุ่งเป้า การสงครามก็ทำแบบมุ่งเป้า การข่าวก็ทำอย่างมุ่งเป้าให้ตรงประเด็น การเมืองก็ทำอย่างให้มุ่งเป้าตรงประเด็น แม้แมีต่ สรีระของพระโพธิสัตว์ก็ต้องรักษาให้ตรงเป้า คนดูแลก็ต้องทำให้เต็มที่ ถ้าทำไม่ดีก็ถูกถล่ม สรีระพ่อครูไม่สนใจอยู่แล้ว พวกเราต้องช่วยกันดูแลเต็มที่ให้ยืนยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้แต่พวกเราเองก็ต้องทำชีวิตตนให้ยืนยาว ให้ช่วยกันพัฒนาสังคม ให้เกิดสิ่งดีงาม ตามที่พ่อครูปลูกฝังโลกุตรธรรม ให้เป็นที่ยอมรับต่อสังคมมาก คนเดือดร้อนมาก ถ้าคนมีโลกุตระก็จะเดือดร้อนน้อยลง อย่างพวกเราได้ปฏิบัติตามเราก็ได้พ้นภัยโลกีย์ ที่เดือดร้อนกันมากมาย

พ่อครูว่า...

 

SMS วันที่ 25 เม.ย. 65

_ตุ๊ก อัศวิน  · ขอขอบพระคุณ คณะปัจฉา และ คณะแพทย์ ที่กรุณารับภาระ..ใส่ใจ..ดูแล..สุขภาพของพ่อครู เป็นอย่างดีเยี่ยม..เจ้าค่ะ

 

_Wanawut Sirisakorn วนาวุฒิ สิริสาคร  · รู้สึกปลื้มปิติมากครับ ที่เห็นพ่อท่าน สุขภาพและกำลังดีขึ้นเป็นลำดับๆ

 

_ชุมพล ยอดสะเทิน  · รู้สึกซาบซึ้ง ที่พ่อท่านพูดถึงพ่อหลวง ร . 9 แสดงว่า พระโพธิ์สัตว์ ใหญ่ท่านรู้กันอยู่ แต่สมมุติโลกและลูก ๆ ส่วนมากยังโง่ มวลที่สัมมามีน้อย ร.9 ท่านจึงต้อง ทำอย่างนั้นกราบนมัสการครับ

 

_ซึ้งซื่อ วิเชียร · กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียร สุดเกล้า

ผมขอกราบ ถวายเป็นโพธิบูชาใน วัย 88 ปี ของพ่อท่าน ในเรื่องการกินการใช้

อย่างเช่นเรื่อง การรับประทาน ผลไม้ ใน 1 มื้อ จะทานแค่ 2 อย่าง ซึ่งธรรมดาจะ

ทานหลายอย่างครับ และเรื่องการใช้น้ำใน 1 วัน จะอาบน้ำ 2 ครั้ง ใน 1 ครั้ง จะ

ขอใช้น้ำแค่เพียง 5 ขัน ครับ1 วัน จะใช้น้ำประมาณ 10 ขัน ซึ่งธรรมดาจะใช้

อาบหลายขัน ไม่ได้นับเลยครับ สำหรับตอนนี้ก็ขอถวายให้เป็นโพธิบูชา 88 ปี

แก่พ่อท่าน ด้วยความเคารพอย่างสูงครับ กราบนมัสการ

พ่อครูว่า...ดีนะ พยายามหามุม หาเหลี่ยม หาแง่ที่จะปฏิบัติตน ให้คนมักน้อย สันโดษ และลดลงไป ก็เป็นแง่เป็นเหลี่ยมให้ลดลงๆดี

 

_pontomzo Piyatanarod พรทอมโซ ปิยะธนารอด....

ก็คุณบัญญัติเองรับแต่เงินชาวอโศกมันก็ไม่ผิดสิเพราะคุณตั้งข้อบัญญัติ...มันก็ไม่ต่างกันหรอกเหลี่ยมจัด...ถ้าข้ามผ่านเรื่องเงินจริงคงไม่มีแลนค์มร์าคของตัวเองหรอกเข้าป่าไปเลยสิ...เป็นปถุชนยังเพ่งโทษสงฆ์อีกมันจะบริสุทธิ์ได้ไง

พ่อครูว่า...ก็คิดไป แล้วก็ตีความหาแง่อะไรไป คุณว่าอาตมาเป็นปุถุชนเพ่งโทษสงฆ์อีก จะบริสุทธิ์ได้ไง ก็คุณพูด อาตมาไม่ได้เป็นปุถุชน ไม่ได้เพ่งโทษสงฆ์ อาตมาพูดด้วยความเห็นมีทัศนะของอาตมาจริงๆพูดไปด้วยความจริง คุณไม่รู้ความจริงก็เดาไป 

 

_B The B  • บี เดอะ บี

ยังไม่มีการพิสูจน์ได้ว่าสุกรมัทวะคือเห็ด และก็ยังไมมีการพิสูจน์ได้ว่าเป็นเห็ดมีพิษ ทำไมท่านไปตีความด้วยตนเองหล่ะครับ หรือท่านบรรลุธรรม มีญานวิเศษย้อนเวลา กลับไปดูมาแล้วครับ

พ่อครูว่า...ถ้าอาตมาบอกคุณว่า อาตมามีคุณจะว่าไง คุณรู้ได้ยังไงว่าอาตมาไม่มี
 

องค์รวมสุขภาพ่อครูตอนนี้ยังดีอยู่กว่าคนทั่วไปในวัยนี้

_Re Rt  • อาร์อี อาร์ที

ดิฉันได้เข้าฟังพ่อท่านครั้งนี้ครั้งสองจริงอย่างพ่อท่านพูดเจ้าค่ะเหนื่อยมากกับชีวิตกับกายสังขารที่เจ็บป่วยบางทีถามตัวเองว่าเราจะเหนื่อยอีกนานมั๊ยหนอ

พ่อครูว่า...สำหรับอาตมาอาตมาเจ็บป่วย มีพยาธิ ถือว่ามีพยาธิเท่านี้ ในร่างกายทั้งหมดนี้ มันก็เสื่อมโทรมไปตามวัย ส่วนที่จะถือว่าเป็นโรคเป็นภัยเป็นพยาธิ เป็นสิ่งที่บกพร่องหรือเกินก็คือ คอ ที่มีกระเปาะแล้วมันก็ขวางทางอันสะดวกของอวัยวะ จะพึงเป็น แล้วมันก็สร้างเสลดมาอุดตัน ก็ต้องไอขจัดออก ว่ากันจริงๆแล้วเป็นวิบากที่เบาๆ ไม่หนักไม่หนา ไม่เจ็บป่วยหนักหนาสาหัสรุนแรงทรมานเจ็บปวดโอดโอย แต่มันไอก็ต้อง แรง หนักสุดมันสร้างเสลดเหนียว ดันออกต้องใช้พลังไอเป็นพลังดัน แล้วมันต้องออกมา ทางปาก ไอ มันก็ไอแรงหน่อย

ถ้าจะว่าไปแล้วโดยองค์รวม มันไม่หนักหนา คนอื่นเป็นมากกว่าอาตมา เป็นโรคนั้น โรคนี้ที่เป็นโรครุนแรงต้องบำบัดด้วยยา หมอต้องคอยดูแลประคบประหงมมาก อาตมา อายุ 80 กว่าแล้ว จริง คนที่แข็งแรงกว่าอาตมาไม่เป็นโรคเป็นภัยก็มีเยอะ ส่วนผู้ที่ไปตามวัย ก็ประมาณนี้ ก็มักจะมีโรคที่คนแก่เขานิยมกัน โรคเบาหวาน โรคความดัน เจ็บปวดตรงนั้น ตรงนี้ อาตมาไม่มีเจ็บปวดตรงนั้นตรงนี้ จะนั่งนานๆจะนอนนานๆ ไม่ปวดไม่เจ็บ 

รวมสรุปองค์รวมแล้ว ดี ภาวะร่างกายอาตมาใช้ได้ มีวิบากขนาดนี้ก็สมควรแล้ว 

 

อานาปานสติ คือ ปฏิบัติธรรมตราบที่ยังมีลมหายใจเข้าออก 

_เกรียงไกร ปัญโญกาศ 

ยังคงคัดค้านท่านที่บอกว่าภาวนาหลับตาไม่ถูกต้องครับ เพราะพระพุทธเจ้าก็สอนในอานาปานสติไวชัดเจนว่าควรทำอย่างไร และไม่ได้ห้ามหลับตาและไม่ได้บอกให้ลืมตา เราก็มองกลางๆ ไว้ไม่ไดีกว่าหรือครับ หลักคือรู้ลมหายใจเข้าออกง่ะครับ

พ่อครูว่า... คุณนั่นแหละอ่านธรรมะพระพุทธเจ้าไม่แตก พระพุทธเจ้าสอนไว้ชัดเจนแต่ที่คุณชัดเจนยังมัวซัวอยู่ 

ไม่ใช่.. ธรรมดาไม่ต้องไปรู้ลมหายใจเข้าออกมันก็มีลมหายใจเข้าออกก็ต้องอัตโนมัติอยู่แล้ว คนมันก็รู้อยู่แล้ว ใครๆก็รู้ว่า คนมีลมหายใจเข้าลมหายใจออก แล้วเราก็รู้ว่าลมมีลมหายใจเข้าลมหายใจออกโดยไม่ต้องไปรู้ อัตโนมัติมันก็รู้อยู่แล้ว ถ้าไม่มี มันก็ตาย เพราะฉะนั้นมันรู้อยู่แล้ว ลมหายใจเข้าลมหายใจออก เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปปฏิบัติอะไรเลยกับการมีลมหายใจเข้าลมหายใจออก แต่ต้องปฏิบัติธรรมทุกขณะที่คุณยังมีลมหายใจเข้า ลมหายใจออก หมายความว่าคุณยังมีทั้งเข้าทั้งออกอยู่ ยังไม่ตาย ถ้าคุณตายแล้วลมหายใจเข้าไม่มีออกก็ตาย ลมหายใจออกไม่มีเข้าก็ตายทั้งนั้น มันยังมีภาวะ 2 ลมหายใจเข้าลมหายใจออกคุณยังไม่ตาย 

อานาอาปานะ แปลว่า ลมหายใจเข้าออก คุณยังไม่ตาย ไม่ต้องไปหาสถานที่ปฏิบัติ

..ไม่ใช่ ปฏิบัติแบบลืมตา ขนาดพระพุทธเจ้าก็ยังปฏิบัติลืมตา แล้วก็ตรัสรู้ลืมตา ภาวะที่ท่าน ตรัสรู้คือ จักษุ ญาณ ​ปัญญา วิชชา อาโลก มีหลักฐานยืนยันในพระไตรปิฎกเล่ม 1 ท่านตรัสรู้มี จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลก มีแสงสว่างของพระอาทิตย์ นี่เป็นสิ่งยืนยันเลยว่าท่านลืมตาไม่ได้หลับตา 

คนไปเข้าใจผิดว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ซึ่งไม่ใช่ ท่านตรัสรู้ตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว ชาตินี้ท่านจะมาประกาศตัวว่าเป็นพระพุทธเจ้า มาเปิดเผยธรรมะของพุทธ สร้างศาสนาพุทธขึ้นมา ในปางที่ท่านเป็นเจ้าชายสิทธัตถะท่านไม่ได้ศึกษาปฏิบัติธรรมอะไรของพุทธเพราะว่าท่านมีมาแล้ว สมบูรณ์มาแล้ว ในชาติที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรมอะไร หากท่านมาปฏิบัติอีกจะมีเวลาเผยแพร่อย่างไร แต่ว่าท่านมีสัมมาสัมโพธิญาณเต็มถ้วนหมดแล้ว 

สู่แดนธรรม... พ่อท่านเป็นคนเดียวที่บอกว่าพุทธเจ้าตรัสรู้เมื่อก่อนแล้ว 

พ่อครูว่า... เขานั้นรู้ผิด อาตมานั้นรู้ถูก พระพุทธเจ้าก็เป็นแต่เพียงว่าเราระลึกว่าเราเป็นพระพุทธเจ้านี่เอง แล้วก็เอามาตรัส คือตรัส สิ่งที่ท่านรู้มาแล้วเอามาตรัส คือตรัสรู้ ตรัสที่ท่าน รู้สู่โลก ให้มนุษย์โลกได้รู้ตาม

เอาอย่างนี้ อย่าหมั่นไส้อาตมาก็แล้วกัน ขอพูดความจริง 

บรรดาศาสนาพุทธที่มีอยู่ใน 2,500 ปีเสื่อมมาแล้ว ตามที่พระเจ้าตรัสไว้ก่อนเพราะไม่มีโลกุตรธรรม เรายืนยันในอาณิสูตร กลองอานกะ ที่ท่านพยากรณ์ไว้ตั้งแต่ตอนมีพระชนม์ชีพ แต่ความจริงก็มาเกิด 2,500 ปี กึ่งพุทธกาล มันเสื่อมจริงๆ ถ้าไม่อย่างนั้นคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่บอกว่าศาสนาพุทธ จะเสื่อมจาก โลกุตระที่ท่านพยากรณ์ไว้ แล้วมันจะไปเสื่อมตอนไหน เขาไม่รู้ตัวกัน 

อาตมาอุบัติขึ้นมาในโลกปางนี้ จึงมาชี้บอกว่านี่ไงมันเสื่อม แล้วอาตมาก็สาธยายมาตั้ง 50 ปี ยืนยันว่าโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ๆๆ พวกคุณมาฟังคุณเข้าใจ มาปฏิบัติตามมีศีลสมาธิปัญญา มีจรณะ 15 วิชชา 8 กันจริงๆ จึงเกิดปรากฏการณ์จริง 

มีลักษณะวรรณะ 9 มีลักษณะสาราณียธรรม 6 มีลาภธัมมิกา เป็นสาธารณโภคี ชัดเจน ก็ไม่เห็นแย้งไม่เห็นเถียงได้ ยืนยันจริงๆอย่างนี้ ก็เถียงไม่ได้ 

ที่เถียงไม่ได้คือ คุณมาเป็นอย่างที่อาตมาพาเป็นไม่ได้ ..2.ที่เป็นไม่ได้เพราะคุณไม่รู้ หรือจะบอกว่าคุณรู้ไหม ที่คุณรู้ยังต่ำกว่าความเป็นจริงที่เป็นโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า นี่ก็พูดความจริงไม่ได้ผิด ไม่ได้ไปดูถูก ไม่ได้ไปลบหลู่ แต่พูดความจริงตาม ความเป็น จริง สู่ฟัง ใครฟังเป็นก็ชัดเจน ใครฟังไม่เป็นก็มาเพ่งโทษอาตมาเท่านั้นเอง อาตมาก็ไม่ได้  แปลกใจไม่ได้ลึกลับอะไร ใครจะฟังแล้วเห็นเป็นอย่างไรมันก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ที่เขามีภูมิของเขาตัดสิน ไม่ใช่เรื่องแปลก 

เป็นเรื่องอิสระเสรีภาพอย่างพวกคุณเข้าใจ รู้แล้วก็มาเอา ไม่มีใครบังคับ อาตมา ไม่ได้ล่อหลอกประเล้าประโลม มีแต่พูดความจริงออกไป พวกคุณมาแล้ว ใครที่ได้ก็ชัดเจน อยู่ก็อยู่ ใครไม่ได้ก็ไม่อยู่ หลายคนก็ยังอยากอยู่แต่มันไม่ได้อยู่ ผู้ที่ไม่มีวิบากมากก็อยู่ ก็มี จำนวนไม่มากหรอกผู้ที่จะรู้โลกุตรธรรมมันมีจำนวนไม่มาก มันเป็นยอดพีระมิด ก็พูดความ จริงไปหมดแล้ว ซึ่งไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไร ในความจริงมันไม่ลึกลับ 

แต่คนไม่รู้ความจริงมันลับมันลึก เขามองไม่ถึง มันลับ มันลึก มองยังไงก็เข้าไม่ถึง (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะฟ้าไท... ถ้าเราปฏิบัติตามที่พ่อครูสอน ไม่มีสำนักไหนพาทำอย่างชาวอโศก อย่างที่พ่อครูพาทำ แม้แต่เรื่องกินมังสวิรัติก็ยังไม่เหมือนกันเลยในแต่ละวัด สมาธิของเรา ก็อีกแบบหนึ่ง สมาธิของเราไปทำงาน เขามีสมาธิเท่าไหร่ก็ไปนั่งนิ่งไม่ทำงาน ของเรามี สมาธิมากเท่าไหร่ยิ่งทำงาน 

พ่อครูว่า... ของเรายิ่งมีสมาธิมากเท่าไหร่ ยิ่งทำงานคล่องแคล่วว่องไว กายปาคุญญตามากเท่านั้นๆ ยืนยันตามคำอ้างพระพุทธเจ้าด้วย เถียงสิๆ

 

อินทริยภาวนาสูตร

อินทริยภาวนาสูตร

พระไตรปิฎก เล่มที่ 14  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 6

มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์

10. อินทริยภาวนาสูตร (152)

             [853] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-

             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ป่าไผ่ ในนิคมชื่อกัชชังคลา ครั้งนั้นแล อุตตรมาณพ ศิษย์พราหมณ์ปาราสิริยะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ แล้วทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการทักทายปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ

             [854] พอนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามดังนี้ว่า ดูกรอุตตระ ปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกหรือเปล่า ฯ

             อุ. แสดง พระโคดมผู้เจริญ ฯ

             พ. ดูกรอุตตระ แสดงอย่างใด ด้วยประการใด ฯ

             อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องนี้ ท่านปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า อย่าเห็นรูปด้วยจักษุ อย่าได้ยินเสียงด้วยโสต ฯ

             พ. ดูกรอุตตระ เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่เจริญอินทรีย์แล้วตามคำของปาราสิริยพราหมณ์ ต้องเป็นคนตาบอด ต้องเป็นคนหูหนวก เพราะคนตาบอดไม่เห็นรูปด้วยจักษุ คนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงด้วยโสต เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้ อุตตรมาณพ ศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์ นั่งนิ่ง เก้อเขิน คอตกก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ ฯ

พ่อครูว่า...คนทุกวันนี้ฟังอาตมาแทนที่จะคอตกซบเซาแต่เถียงอีก โง่ไม่เสร็จ

หลับตาปฏิบัตินั้นไม่ใช่ของศาสนาพุทธเพราะไปปิดทวารทั้ง 5 แทนที่จะรู้ภายนอกภายในให้ครบ ก็ไปจำกัดให้ตัวเองอยู่ในภวังค์อยู่ในภพข้างในจิต แล้วก็เพ้อเจ้อเป็นนิรมาณกายเป็นสวรรค์วิมานเป็นสัมภเวสีไป เกินโลกจินตาที่จะคิด ฝันเพ้อไป แล้วเกิดหมู่ฝูง นิรมาณกาย สัมโภคกาย อาทิสมานกาย ไม่เห็นทั้งหมดเลยตาบอดเป็นมนุษย์ตาบอดสอนคนตาบอด 

เหมือนคนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้ แทนที่จะได้ยินเสียงบ้าง ภาพไม่ได้เห็นเพราะตาบอด แต่ไม่ได้ยินเสียงอีก บอกกันว่า พระเอกหล่อจังเลย ท้องฟ้าสีสวยจังเลย ตาบอดชมท้องฟ้าให้กันฟังมันเป็นอย่างนั้นจริงๆเลย เขาไม่รู้ตัวหรอกนะว่าที่เขาเป็นอย่างที่อาตมาพูด ตาบอดคุยกับคนตาบอด เราฟังแล้วก็โอ้โห คนตาบอดเคยคุยกัน ประเภทที่มาหลอกโลกเพราะตัวเองเป็นอย่างนั้น ตาบอดจะไปเห็นฟ้าอะไรได้ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่น่าสงสารมาก อาตมาก็พูดด้วยความจริงใจนะ สงสาร ที่มันเข้าใจไม่ได้ก็เห็นใจ มันบังคับกันไม่ได้ จะมาเห็นตามรู้ตามมีทิฏฐิตาม

เพราะว่า 1.ไปยึดถือครูบาอาจารย์เก่าแก่ที่ยึดถือกันมา 

2. ดูถูกดูแคลนผู้ที่เป็นสัตบุรุษจริง 

3. เพราะความโง่ โง่เอง ไม่รู้ความจริงว่าสิ่งที่เคยยึดถือเป็นครูบาอาจารย์นั้นจะเป็นคนมิจฉาทิฏฐิ 

คนสัมมาทิฏฐิจริงๆที่มาประกาศก็ไม่รู้ เพราะเป็นคนโง่เป็นคนอวิชาจริงๆเป็นธรรมชาติของเขา 

ก็น่าสงสาร อาตมาก็พยายามที่จะบอกเตือนสติ ให้มีปรโตโฆษะ เปิดจิตฟัง อย่าไปจมยึดติดแต่ครูบาอาจารย์เก่านักฟังธรรมะ 2 อย่างให้ได้ จะได้มีคู่เปรียบเทียบว่าอะไรมันเข้าท่ากว่ากัน 

ตั้งแต่อาตมาสอนมาก็มีผู้รู้แล้วปฏิบัติตามได้ จนถึงบัดนี้ก็มีผู้รู้แล้วปฏิบัติตามได้ มีผู้รู้ตามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอยู่ เขาจะต่อต้านล้มล้างอย่างที่อาตมาอธิบายถ่ายทอด ว่าอย่างนี้สัมมาทิฏฐิ อย่างโน้นมันเป็นมิจฉาทิฏฐิ 

เขาก็ยังล้มล้างว่าอย่างอาตมานั้นมิจฉาของเขาสัมมา อาตมาก็ยืนยันว่าของอาตมาสัมมา ก็เป็นสัจจะอย่างนี้ต่างคนต่างยึดถือ ยึดถือกันอย่างนี้แหละพระพุทธเจ้าก็ให้จบกันที่นานาสังวาส ความเห็นของคุณก็เป็นอย่างนั้นความเห็นของเราก็เป็นอย่างหนึ่ง ต่างคนก็ต่างแสดงกันไป ใครเห็นอันไหนดีก็มาเอา เขาก็ว่าอาตมาอาตมาก็ว่าเขามันก็เป็นธรรมดา 

เพราะว่าความเห็นมันคนละอย่างอาตมาก็ต้องบอกว่าเห็นถูกมันเป็นอย่างนี้ ของเขาบอกว่าเห็นถูกมันเป็นอย่างของเขา มันก็ไม่เห็นตรงกัน มันก็ขัดแย้งกันก็เป็นธรรมดา จะไปห้ามไม่ให้มันเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร มันเป็นตถตา มันเป็นเช่นนั้นแหละ มันต้องเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างนั้นก็ไม่ใช่ มันก็เป็นความจริงอย่างนี้ 

ยกตัวอย่าง อาตมาติงมาตั้งแต่ว่า กาย ฌาน สมาธิ บุญ กาย

ตอนนี้มาเน้นคำว่า กาย ว่ามันเห็นต่างกัน กายนี้ คนจะมาบวชในศาสนาพุทธ อุปัชฌาย์ก็จะสอนเรื่องกายกับจิต ด้วยการแยกมูลกรรมฐาน 5 อย่างให้ชัดเจนว่า เมื่อใดมันเป็นกาย เมื่อใดมันเป็นจิต 

ระหว่างธาตุรู้ของเราเป็นจิตนิยาม สามารถที่จะรู้ถูกต้องว่า อย่างนี้ไม่มีกายแล้ว แต่ยังเป็นพีชะอยู่ กับอย่างนี้ไม่เป็นกาย เป็นอุตุนิยามไปเลย แตกต่างกันนะ อุตุนิยามไม่มีกาย พีชนิยามก็เริ่มไม่มีกาย

กายคือธาตุรู้ กายคือมโน คือจิต คือวิญญาณ พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัด เรากล่าวว่า กายคือจิต คือมโน คือวิญญาณ

คำว่ากาย เน้นธาตุรู้เป็นหลัก ไม่ได้เน้นวัตถุเป็นหลัก แต่กายต้องมีสรีระ แต่สรีระก็จะต้องมีจิตร่วมด้วยเสมอ เป็นสองเสมอ 

กาย ในพจนานุกรมแปลว่าองค์ประชุมหรือกองหรือหมู่ ไม่ใช่เดี๋ยวนะ เป็นองค์ประชุมของเจตสิก มีเวทนาสัญญาหรือสังขารเป็นต้น ในพจนานุกรมก็ยังอยู่ทุกวันนี้ก็เอามาใช้ ก็ยังแปลชัดเจนอยู่ในพจนานุกรม แต่ความเห็นผิดเขาเข้าใจผิดไปแล้วว่า 

กาย คือสรีระเฉยๆ หรือเป็นวัตถุไม่มีจิตร่วมด้วย อันนี้แหละเป็นเบื้องต้นที่ผิด 

พระพุทธเจ้าถึงให้สอน ถ้าจะมาบวชก็สอนเป็นมูลกรรมฐานแท้ๆเลย สอนให้แยกจาก ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มาอธิบายเมื่อไหร่มันเป็นกายแต่เป็นพีชะ เมื่อใดเป็นกาย ที่บริบูรณ์มีกรรม มีธรรมะ 

ถ้าไม่มีความรู้เรื่องกาย เรื่องจิตให้ชัดเจนอย่างนี้แล้วก็ไปแยกกายแยกจิตอย่างผิด คือนั่งหลับตาแล้วถอดร่าง ออกไป ทิ้งกาย เห็นนั่งแข็งอยู่อย่างนั้นส่วนจิตก็ไปอยู่ข้างนอก ก็บอกว่าแยกกายแยกจิตไปโน่นเลย เป็นมโนมัยยาตตาหรือเป็นนิรมาณกาย ฝันเพ้อเอง

เป็นเรื่องสร้างภพชาติสร้างรูปเอง แล้วเขาก็มีกันอยู่จนทุกวันนี้ก็เป็นเรื่องเพ้อเจ้อเป็นเรื่องหลงใหล 

สู่แดนธรรม.. อาจารย์สอนว่าอย่างนั้นเดี๋ยวเข้าร่างไม่ได้ 

พ่อครูว่า... ไม่เข้าใจสภาวธรรม คำว่าสัมภเวสีล่องลอยอย่างไร เข้ามาร่วมอยู่เป็นสภาวะ 2 คืออย่างไรก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นเรื่องกายจึงเป็นเรื่องเริ่มต้น บอกแล้วว่า อุปัชฌาย์สอนสัทธิวิหาริกหรือจะเริ่มศึกษาธรรมะพุทธเจ้า ก็ต้องเรียนรู้ กาย เรียนรู้สักกะ 

สักกะคือ ตัวตน ตัวเรา อยู่ที่ตัวเราเองโดยเฉพาะในตัวเราจริงว่า กาย มันมีรูปกับ นาม จิตคุณต้องรับรู้สัมผัสภายนอกไม่แยกกัน กายขาดนามไม่ได้แล้วจริงๆจะให้ บริบูรณ์ นามก็ต้องมีกาย มีภายนอกด้วย ต้องมีทั้งภายนอกภายใน 

คนไม่มีภายนอกมีแต่ภายในเป็นคนไม่เต็มคน เป็นคนไม่เต็มเต็ง ยิ่งกว่าอีเดียดอีก ออทิสติกก็ยังไม่เหมือนอีเดียดทีเดียว อีเดียดยังพอรู้บ้างแต่นี่ยิ่งกว่าอีเดียด เพราะว่าทั้ง 5 ทวารไม่รับรู้ รู้แต่ทวารในจิตอย่างเดียว ทิ้งไปตั้ง 5 ด้วยสัจจะมันมีตั้ง 5 ตั้งแต่คุณไปเอาอยู่อันเดียวทิ้งไปตั้งห้าอย่างไร ไม่เต็มเต็งใช่ไหม นี่ไม่ได้แปลว่าเขานะ แต่มันเป็นสัจธรรมอย่างนั้นใช่ไหม

นั่งหลับตาไม่ใช่ของศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนอย่างนั้นเลย อาตมาพูดไปตามความจริง ส่วนใครจะยึดถือการนั่งหลับตา ที่บอกว่าเรียนมาตั้งนานจะไปทิ้งได้อย่างไร คุณก็ยึดถือของคุณไปแล้วคุณก็ไม่เปลี่ยนแปลงคุณก็จมอยู่อย่างนั้นอีกนานนับชาติ งมงาย เลอะเทอะอยู่อย่างนั้นอีกนาน แล้วคุณก็จะมาพูดอย่างอาตมาพูด ยืนยันอย่างอาตมายืนยันไม่ได้ 

เช่นยืนยันว่าอาตมานี้จบบรรลุพระอรหันต์ เป็นผู้ที่บรรลุธรรมจริง ไม่ได้พูดเล่นๆนะ ของจริงสัจธรรมพวกนี้พูดเล่นไม่ได้ เป็นอุตริมนุสธรรม พูดเล่นได้ที่ไหน แล้วยิ่งเป็นนักบวชด้วยมาพูดอวดอุตตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตนอย่างนี้ พูดเป็นเล่นไปได้ มาทำอย่างนั้นได้อย่างไร 


 

อภิภูผู้รู้จบสัตตาวาสและวิญญาณฐีติ 

อธิบายลงลึกในคำว่า กาย

พระพุทธเจ้าตรัส แม้แต่พูดไปแล้ว เริ่มต้นก็ต้องรู้ กาย ก่อน ตั้งแต่ อุปัชฌาย์สอนสัทธิวิหาริก หรือเริ่มต้นทั่วไปไม่ต้องไปบวชหรอก คุณต้องรู้ สักกายะ พ้นสักกายทิฏฐิ พ้นความเห็นที่ไม่รู้ว่าเป็นกายของตน หมายความว่าคุณจะต้องรู้ให้จริง รู้ให้ถูกต้อง เรื่องกาย ที่มันอยู่ในตัวเราเป็น สักกายะ ให้ถูกต้องเสียก่อน ถ้าอันนี้ไม่ถูกต้อง คุณจะเรียนอย่างอื่นอีกเท่าไหร่เท่าไหร่มันก็ไม่มีผลอะไร โมฆะไปตลอดกาล ติดกระดุมเม็ดแรกผิดแล้วไปเลย แล้วก็หลงตัวเองว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นอรหันต์เก๊ มาหลอกคนอื่น มันสุดน่าสงสารที่สุดเลย 

เพราะฉะนั้นต้องมาเรียนให้ดีๆ พระพุทธเจ้าสอนต่อมา นอกจากพ้น สักกายทิฏฐิ พ้น วิจิกิจฉา พ้น สีลัพพตปรามาส พ้น 3 ข้อนี้ก็เริ่มต้นเป็นพระโสดาบัน 

ก็ปฏิบัติตามวิญญาณฐีติ 7 ได้ เริ่มต้นได้หรือที่สุดจบก็จบด้วย วิญญาณฐีติ 7 จบด้วยการรู้จักฌาน 4 แล้วก็รู้ อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ จบ ไม่มี เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่มี มีแค่ 7 ทำไมมีแค่ 7 

เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องมาตั้งแต่เริ่มต้น ฌาน 1 2 3 4 

ในสัตตาวาส 9 สัตว์ที่ 1 2 3 4 ภาษาคำ ระบุอันเดียวกัน สัตตาวาส 9 กับ วิญญาณฐีติ แต่สัตตาวาส 9 เป็นมิจฉาทิฏฐิ ในสัตตาวาส 9 สัตว์ที่ 1 2 3 4 ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ 

แต่ในวิญญาณฐิติ 7 ข้อที่ 1 2 3 4 ก็เป็นสัมมาทิฏฐิและเรียนรู้ออกจากความเป็นสัตว์ได้ 

เมื่อถึง สัตว์ตัวที่ 4 วิญญาณฐิติเป็นสัมมาทิฏฐิออกจากความเป็นสัตว์ได้หมด 

อากาสานัญจายตนะ เป็นของจริง อากาศคือรูป วิญญาณคือนาม 

อากิญจัญยายตนะ คือ ไม่มี นิดนึงก็ไม่มีไม่มี อะไรก็ไม่มีกิเลส มีแต่ 1.รูป 2.นามที่บริสุทธิ์พ้นจากกิเลสอย่างบริบูรณ์ถ้วนรอบ ไม่ต้องไปใช่ก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่มี จึงจบด้วย วิญญาณฐิติ 7 คือ อากิญจัญยายตนะ เท่านั้น 

ส่วนผู้ที่ยังมิจฉาทิฏฐิ เป็นสัตตาวาส 9 จึงมี เนวสัญญานาสัญญายตนะ ยังไม่พอ 

ที่สำคัญก็คือ อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญยายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นของเพ้อเจ้อ ผิดไปจริงๆเลย ผ่านอสัญญีสัตว์ ไปดับสัญญาอยู่อันที่ 5 เป็นอสัญญีสัตว์ 

ผิดไปตั้งแต่สัตตาวาส 9 ที่ 1 2 3 4 แล้วผิดไปแล้ว ยังไม่พอไปรับสัญญาเป็นอสัญญีสัตว์ อันที่ 5 อีก อากาสานัญจายตนะ ก็ยิ่งเลอะเทอะหนัก

อากาสานัญจายตนะ ของสัตตาวาส 9 กับของวิญญาณฐีติ 7 คนละโลกเลย 

อากาสานัญจายตนะของวิญญาณฐิติ 7 นั้นคือความถูกต้อง เป็นสัมมาทิฐิ 

วิญญาณ เลอะเทอะ เป็นอะไรไม่รู้ อากาสานัญจายตนะ ก็เป็นอะไรไม่รู้ อากิญจัญยายตนะ ก็เลยยิ่งกลายเป็น เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็ไม่ใช่ไม่รู้ก็ไม่ใช่แล้วเมื่อไหร่ก็จะใช่ มันไม่รู้เรื่องเลยเลอะเทอะไปตลอดกาลนาน 

คือเรื่องคำว่า กาย กายทั้งเบื้องต้นและที่สุด ทั้งหมดเลยในการเกิดมาเป็นมนุษย์ มีความเป็น 2 คือ เทวะ ก็คือ กาย มีรูปกับนาม 

คุณเกิดมา เป็นจิตนิยาม ธาตุรู้คุณเป็นจิต เป็นวิญญาณ คุณก็มีสิ่งที่ถูกรู้กับธาตุรู้ ปฏิเสธไม่ได้ต้องรู้ อย่าไปดับมัน อย่าไปหรี่มัน อย่าไปทำให้มันตกความเป็นธาตุรู้ ให้มันรู้เต็มร้อย ต้องให้มีเต็มสติเต็ม สตะ เต็มร้อย 

สู่แดนธรรม.. เขาบอกว่าถ้ายังมีตัวติดรู้อยู่ จิตก็รู้อยู่ ก็ยังมีตัวเหลืออยู่เขาต้องไปดับความรู้ อย่างหลวงพ่อชา บอกว่า เจอผู้รู้ที่ไหนให้ฆ่าผู้รู้ที่นั่น 

พ่อครูว่า... นั่นแหละ จะหลวงพ่อชาก็ตามหรือว่าท่านพุทธทาสก็ตาม ก็บอกว่าการไปยึดถือความรู้ไม่รู้นั้นไม่ได้ทั้งนั้น ก็ว่าไปตามลำดับ 

ผู้ที่รู้แล้วเป็น อนุปคัมมะ ก็จะเข้าใจว่าผู้นี้พูดถูก แต่ยึดถือผิด พูดผิดแล้วก็ยึดถือผิดด้วย ก็จะรู้ว่าผิดอยู่ ถูกบ้างผิดบ้างก็ยังสับสนมีอยู่ ถูกบ้างบางอย่างอันนี้ไม่ถูก แต่ก็ยังไม่แน่ชัด ถูกจริงๆไม่ผิดเลย ผิดจริงๆไม่ถูกเลย ไม่ได้แม่นมั่นอย่างนั้น ก็ยังสับสนไปสับสนมา 

ซึ่งที่อาตมาพูดอยู่นี้เป็นรายละเอียดของความรู้ ที่พูดแล้วก็สงสารเขา เขาก็จะเห็นว่ามันอวดดี พูดอย่างกับรู้ อ้าว… ถ้าอาตมาไม่รู้จะเอาอะไรมาพูด พูดอย่างกับมันรู้มันรู้จริงๆหรือเหนือเขาหมด แล้วมันเหนือเขาจริงๆไหมล่ะคุณรู้ไหมว่าเหนือ 

ถ้าหากอาตมาไม่รู้ อาตมาจะเอาที่ไหนมาพูด แล้วอาตมาก็บอกว่า อาตมาเกิดมาในชาตินี้ไม่มีสำนักสังกัด ไม่มีครูบาอาจารย์ อาตมาก็เอาของอาตมามาพูด คุณต่างหากไม่ยอมรับอาตมา นี่พวกคุณมารับอาตมายอมรับ ได้อะไรมาบ้างไหมเล่า ...ได้

ได้อะไรไหนลองเอามาดู ได้ความไม่มี 

รวมไปลงที่ความไม่มี พระพุทธเจ้าถึงตรัสไว้ชัดเจน อาศัยความไม่มีกับความมีนี่แหละเป็นสิ่งที่ อาศัยศึกษา ในพระไตรปิฎกเล่มที่เท่าไหร่ เล่ม 16 ข้อ 43 

เมื่อเห็นความมีความไม่มีแล้ว แล้วก็เป็นผู้ที่รู้แล้วว่าอะไรมีอะไรไม่มี ก็ไม่ไปเข้ายึดถือ ไม่ไปยึดถือทั้งความมี ไม่ไปยึดถือทั้งความไม่มีเรียกว่า อนุปคัมมะ ตราบใดที่ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็เป็นผู้ที่มี อนุปคัมมะ รู้จักมัชเฌนธรรม หรือเป็นอภิภู รู้จักสภาพ 2 แล้วเป็นอายตนะอย่างเป็นอภิภายตนะด้วย รู้ไปสูงยิ่งกว่านั้น รู้ว่าสามารถที่จะปรุงแต่งกันให้เป็นอภิภายตนะ 8 ด้วย

คนที่จะเข้าใจอภิภายตนะ 8 ตั้งแต่ อภิภายตนะข้อที่ 1 รู้ทันทีเลยทั้งภายนอกภายใน รู้ทั้ง ปริตตัง รู้ทั้งอัปปมาณา รู้ทั้งสุพรรณะ ทุพรรณะ พร้อมกันไปหมดเลย นี่เป็นอภิภายตนะเข้าที่ 1 

แล้วสภาวะมีอย่างนั้นจริงๆ ที่อาตมาพูดไปนี้อาตมารู้จักสภาวะยังที่ว่าทั้งหมด ทั้งภายนอกทั้งภายในพร้อมกัน แล้วก็มีทั้ง ปริตตัง อัปมาณา สุพรรณะ ทุพรรณะ มีหมด  อาตมาพูดพยัญชนะเหล่านั้น สภาวะอาตมาก็ชัดเจนอยู่ ไม่ได้พูดแต่พยัญชนะเฉยๆ  นี่เป็นอุตริมนุสธรรมจริงๆ 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สมณะฟ้าไท... ประเด็นหนึ่งที่พ่อครูเน้นย้ำบ่อยๆคือ ธาตุรู้ อย่าไปทำให้ธาตุรู้มันไม่รู้ แล้วอย่าไปทำให้ธาตุรู้มันเสียหาย พ่อครูเน้นย้ำ ธาตุรู้ให้มันรู้เต็มที่ 

คนไม่มีภูมิ แยกแยะไม่ได้หรอกในสัตตาวาส 9 วิญญาณฐีติ 7 

พ่อครูเน้นย้ำเรื่องกาย คือเบื้องต้น เข้าใจให้สัมมาก่อน เป็นโสดาบันก่อน

 

อจินไตยฌานวิสัยในจรณะและวิชชา

พ่อครูว่า... คำว่าฌาน เป็นฌานวิสัย เป็นอจินไตย คนจะมี อาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย 

คนผ่าน นิสยะ วิสยะ ผ่านมา จนรู้ สยะเป็น อนุสยะ อนุสัย อาตมาใช้พยัญชนะเหมือนกันแต่อธิบายต่างกันกับคนอื่น คนที่ถึงขั้น อนุสยะ เป็นฌาน

ฌาน คือพลังงานจิตที่ผู้ที่สามารถสร้างพลังงานจิตให้เป็นไฟ เป็นอุณหธาตุ เป็นความร้อน ซึ่งราคะ โทสะ ก็เป็นไฟ โมหะ เป็นไฟ ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ ทีนี้ ไฟฌาน เป็นไฟที่มีปัญญา ฌานคือปัญญา ปัญญาคือฌาน

ปัญญาคือ ธาตุรู้ที่รู้เหนือกว่าราคะโทสะโมหะ เป็นพลังงานที่เหนือชั้นกว่าราคะโทสะโมหะ ถึงจะเป็นความจริง เป็นพลังงานที่สามารถเหนือกว่าพลังงานราคะ จึงสามารถทำลายพลังงานราคะลงได้ เหนือกว่าโทสะ โดยสภาวะจริงมันต้องเป็นอย่างงั้น ถ้ามันไม่เหนือมันก็ไปทำลายไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะไม่ได้ 

ใช้พยัญชนะอธิบายซ้ำมันเข้าใจได้นะ ที่นี่ความจริง คุณทำอย่างที่อาตมาใช้ภาษานี้สื่ออย่างนี้ พลังงานจิตของคุณทำให้เป็น อุณหธาตุ เป็นธาตุร้อนที่มันสลายกัน ทำได้ถึงสภาวะจริงไหมล่ะ คุณจะทำ ทำได้อย่างไร 

วิธีทำฌานของพระพุทธเจ้านั้นคือ 

1.ศีล  2. อปัณณกปฏิปทา 3.สัทธรรม 7 แล้วจะเกิด ฌาน 1 2 3 4 นี่คือพุทธคุณของพระพุทธเจ้าเป็นจรณะ 15 ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ ศีลก็ไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 ก็ไม่มี สัทธรรม 7 ไม่ต้องไปฝัน  ฌานก็เป็นแต่ชานหมาก เคี้ยวหมากหยับๆ แล้วเคี้ยวใหม่ อย่างมหาบัวเป็น ก็เคี้ยวแต่หมาก งมงายกันไปหมด

ขออภัยพูดชัดๆพูดเหมือนลบหลู่ แต่สิ่งที่ผิดก็ควรต้องถูกลบหลู่ไป คุณจะถือตัวก็เป็นของคุณเอง คุณจะถือตัวว่าลบหลู่ถูกไหม 

นิคฺคเณฺห นิคฺคหารหํ ปคฺคเณฺห ปคฺคหารหํ  ควรข่มคนที่ควรข่ม  ยกย่องคนที่ควรยกย่อง 

เอาตรงที่ อปัณณกปฏิปทา 3 มันไม่มี ตั้งแต่ศีล ก็ไม่ได้เป็นข้อเป็นหลักเลย 

เอา ศีลข้อที่ 1 เป็นต้น เกี่ยวข้องกับสัตว์ คุณปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 กับสัตว์นี่ โดยเฉพาะกับคน คุณไม่ต้องไปกินคนหรอก  อย่าไปเบียดเบียนกัน ไม่ต้องไปรักไปชังกัน สรุปๆ เลย

คุณก็คือคน ทำงานร่วมกัน ผู้หญิงผู้ชาย เป็นนักบวชกับฆราวาสก็ทำงานร่วมกันได้ ไม่ต้องไปเกี่ยวพันอะไรให้มันลึกลับลึกซึ้ง ชัดๆนี่ มันให้ตื้น ไม่ต้องลึกอะไร ก็ทำงานร่วมกันผู้ที่ทำงานเป็นประโยชน์แก่กัน คนละฐานะ คุณเป็นผู้หญิงก็ฐานะหนึ่งได้ คุณเป็นผู้ชายก็ฐานะหนึ่ง นักบวชก็ฐานะหนึ่ง ฆราวาสก็ฐานะหนึ่ง ก็รู้ชัด รู้เจน ไม่สับสน ปฏิบัติถูกต้องตามสภาวะจริงของมัน มันก็สะอาดบริสุทธิ์ไป 

เกิดมาก็ทำงานร่วมกันอย่างนี้แล้วก็ทุกคนก็รู้ฐานะแห่งตนๆ อย่างพวกเรา สบายทำงานกันอยู่

จนกระทั่งตอนแรกๆ อาตมาพาปฏิบัติธรรมเป็นบวร มีทั้งสมณะ ภิกษุณีไม่มี ก็มีสิกขมาตุ เขาก็ปรามาสไว้..เดี๋ยวเถอะๆ เดี๋ยวมันก็จะมีลูกเณร แต่มาถึงวันนี้พวกเรารักษาสภาพความเป็นจริงได้ ไม่ได้มีเลอะเทอะอย่างนั้นเลย เพราะฉะนั้นว่าเราไม่ได้เลยในเรื่องพวกนี้ 40-50 ปีมาแล้วไม่ได้เกิดเหตุการณ์อย่างนั้น เลอะเทอะ ยิ่งนักบวชนี้ไม่มีเลย ไม่มีเลย ที่จะไปเรื่อง ให้ไปครหาได้ ฆราวาส อาจจะมี Error บ้างนิดๆหน่อยๆ ถือว่ามันเป็นธรรมดาธรรมชาติ มี Error เล็กๆน้อยๆ แต่ก็ไม่ได้ไปเลอะเทอะ หยำฉ่า เหมือนกับข้างนอกเขา นี่เป็นสถานะจริงที่อาตมายืนยัน 

สู่แดนธรรม.. เขาว่าเราเรื่องตัณหานี้ว่าไม่ได้ แต่ว่าได้เรื่องทิฏฐิ ทำสงครามทิฏฐิกัน

พ่อครูว่า... อันนี้ก็ถูกต้องลงท้ายก็มีทิฏฐิที่ต่างกัน มันจบด้วยทิฐิที่ต่างกัน แต่มันก็จบจริงๆ มันเป็นนานาสังวาส ต่างคนต่างมีทิฐิ ต่างคนก็ปฏิบัติไป ซึ่งเราก็ได้เป็นไปแล้ว เป็นนานาสังวาสกันแล้วต่างคนปฏิบัติไปตามที่ต่างคนเข้าใจ ก็ได้มรรคผลไปตาม เขาก็ว่าเขาได้มรรคผลเราก็ว่าเราได้มรรคผลมา จะเป็นมิจฉาผลหรือสัมมาผลก็เป็นตามความเป็นจริงไม่ได้ประหลาดอะไร 

 

กายต่างกันสัญญาต่างกันในเทวดาทั้ง 6

มาลงละเอียดตรงที่ว่า 

กายต่างกันสัญญาต่างกัน เป็นสัตตาวาส ข้อที่ 1 หรือวิญญาณฐีติ ข้อที่ 1 ภาษาเหมือนกันแต่ สัตตาวาส9นั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ วิญญาณฐิติเป็นสัมมาทิฏฐิ 

กายอย่างหนึ่ง สัญญาอย่างหนึ่ง กาย คุณก็เห็นต่างกันกับเรา  สัญญาคุณก็เห็น ต่างกันกับเรา นี่เป็นสภาวะ 2 กายกับสัญญา

เพราะฉะนั้นคุณจะเห็นความเป็นมนุษย์ก็ต่างกัน เห็นความเป็นมาร ก็ต่างกัน เห็นความเป็นเทวดา ก็ต่างกัน ต่างกันไปเยอะเลยนะ มารก็โอ้โห ไม่รู้กี่ขั้น กี่ชั้น

แม้แต่มารขั้น 1 เป็นจตุมหาราช เขาไม่นึกว่าเป็นมารหรอก เขานึกว่าเป็นเทวดาขั้นที่ 1 เทวดาอะไรมีเขี้ยวถือหอกหรือดาบด้วย เขาก็เขียนภาพนะ จตุมหาราช เขี้ยวงอกตาโปน ถือดาบถือหอก อาตมาไม่ได้หาเรื่อง แต่เขาเป็นจริง เทวดาอะไรมารุกรานคนตั้งแต่เริ่มต้น 

เมื่อรุกรานแล้วก็เป็น ตาวติงสา เป็นอาการที่ 33 ธรรมดาคนมีอาการแค่ 32 เท่านั้น อาการที่ 33 เป็นอาการเก๊ เป็นภพเป็นชาติแล้ว เพ้อๆเอามาเสพ เทวดา ดาวดึงส์ก็คือ ภพที่คุณหลงได้สมใจ แล้วไปเสพเป็นสุขได้สมใจ ฆ่าได้แย่งได้มีภพชาติได้ก็ดีใจ เลอะเทอะ ติดภพติดชาติอยู่อย่างนั้น 

อยากให้ได้นานๆ ดาวดึงส์ก็เป็นยามา คือยาวนาน ยามหนึ่งยังไม่พอขอเป็นยามที่ 2 ขอเป็นยามที่ 3 เขาบอกว่า มันไม่ได้หรอกมันจะต้องมีพักมีหยุด ดุสิตะ แปลว่าพัก แปลว่าเย็น แปลว่าหยุด ก็ไม่เอา ดิ้นรนเข้าไปอีกเป็นนิมมานรดี กูไม่ยอมพัก กูจะเป็นนิมมานรดี ยินดีในสิ่งที่กูเนรมิต 

ยังไม่พอ ให้คนอื่นมาเนรมิตให้กูอีก ปรินิมมิตวสวัตตี นี่คือภพเก๊ทั้งหมดเลย คนที่หลงสวรรค์ 6 ชั้นคือพวกมีภพมีชาติทั้งนั้นเลยคือพวกโง่ทั้งนั้นเลย พวกเราไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก หมดสวรรค์ก็คือหมดนรก ยังมีสวรรค์อยู่ก็คือมีนรก เพราะฉะนั้นพวกติดสวรรค์คือพวกที่มีนรกอยู่

ทั้งนั้น แล้วเขารู้เรื่องที่ไหนว่าจะต้องหมดสวรรค์หมดนรก ก็สอนกันแต่ต้องเอาสวรรค์ ต้องเอาภูมิสุข ความสุขก็เป็นสวรรค์ความทุกข์ก็เป็นนรก 

ศาสนาพุทธไม่ได้เอาความสุขความทุกข์ ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ อาศัยพยัญชนะว่า อทุกขมสุข ไม่สุขไม่ทุกข์ อาศัยพยัญชนะแต่ไม่มีสภาวะ มีแต่ไปนั่งหลับตา ไม่สุขไม่ทุกข์ แต่ไม่เป็นอุเบกขา 

อุเบกขาคือธาตุจิตที่บริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา บริสุทธิ์จากกิเลสหยาบ กลาง ละเอียดทั้งหมด บริสุทธิ์แล้วบริสุทธิ์อีก ปริโยทาตา ยิ่งขึ้น สะสมยิ่งๆขึ้นไปเป็น มุทุภูตธาตุ แล้วก็เป็นกรรม การกระทำที่เหมาะที่ควรทั้งนั้น จิตก็ยิ่ง ประภัสสรใหญ่เลย ยิ่งบริสุทธิ์ใหญ่เลยผ่องแผ้ว 

อาตมามีสภาวะอย่างนี้ อธิบายตามสภาวะอย่างนี้ คนไม่มีสภาวะเหมือนอย่างอาตมา อธิบายอย่างอาตมาไม่ได้หรอก เพราะไม่ใช่เรื่องที่จะด้นเดาเอา ต้องมีจริง แล้วก็ไม่เห็นมีใครอธิบายอย่างอาตมา เขาก็อธิบายอย่างของเขาก็เป็นธรรมดา คุณก็ฟังเอา อันไหนเป็นธรรมวาทีคุณก็เอา อันไหนไม่เป็นธรรมวาที คุณก็ไม่ต้องเอา มันเป็นอิสรเสรีภาพตัดสินเอาเอง สุดท้าย 

อาตมาเองอาตมาสบายใจ ตรงที่ว่าอาตมาไม่ได้ทำให้ศาสนาผิด ตรงนี้ อาตมาสบายใจตัวเองตัวเอง ยิ่งทำงานมาก็ยิ่งตรวจสอบ ยิ่งเช็ค เราทำถูกยิ่งขึ้นๆ ละเอียดลออมากยิ่งขึ้น ถูกยิ่งขึ้น ละเอียดลออมากยิ่งขึ้น 

 

สำนักใดบรรลุจริงไหม ดูได้จากมีสาราณียธรรม 6 วรรณะ 9

อาตมาว่า อาตมาทำได้อย่างนี้ ทุกวันนี้ยังมั่นใจ 

สู่แดนธรรม.. ถ้าเขาจะถามว่า ท่านแน่ใจอย่างไร เอาอะไรมายืนยัน 

พ่อครูว่า... ก็มีหลักฐานตามพระไตรปิฎก อาตมาก็อ้างอิงพระบาลี 

สู่แดนธรรม.. จะพูดว่าท่านแสดงความเป็นจริงได้ไหมครับ มีวรรณะ 9 

พ่อครูว่า... ใช่ นี่เป็นสังคมสาราณียธรรม 6 ถึงขั้นอยู่กันอย่างมี สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา  

ปฏิบัติไป ยืนยันอยู่อย่างนี้เต็มๆ หรือแม้แต่จะแจกเป็นวรรณะ 9 ก็จริง เลี้ยงง่าย  (สุภระ) ให้มาดันสุรังก็ไม่มา เอาแต่ดันทุรังอยู่อย่างนั้นแหละ คุณจะบอกว่าจะมาแปลไปเองไม่เห็นพูดเข้าหลักเกณฑ์ไวยากรณ์บาลีเลย อาตมาก็มีหลักเกณฑ์ของอาตมา อาตมาเข้าใจคุณได้ แต่คุณเข้าใจอาตมาให้ได้ 

สู่แดนธรรม... หากว่าสำนักอื่นจัดสอนลูกศิษย์ให้ได้เป็นคนวรรณะ 9 เขาก็ต้องมีส่วนที่จะบรรลุพุทธะแท้ 

พ่อครูว่า... ถ้าเขาทำได้ เขารู้เขาก็ต้องมาอธิบายอย่างอาตมาทำได้ พาทำได้ อาตมาก็เอามาอธิบายได้ แม้วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย  (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)  มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)  ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9  ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)  

ตกลงมาเป็นคนไม่สะสม เป็นคนยอดขยัน ปรารภความเพียร ไม่สะสมทำอะไรไม่สะสม นอกจากไม่สะสมแล้วเอาไปแจก มาถึงยุคนี้แล้วมี กระท่อมปันสุขดีจังเลย ยังไม่พอแค่กระท่อมไม่พอ ปลูกมันไปเลยจนกระทั่งถึงถนนดำ ข้างหน้าโน่น ให้เก็บกินไปกันได้หมดเลย มีมะเขือ  ข่าตะไคร้  มะละกอ  กล้วย เก็บกินไป ทำให้เป็นสาธารณะ ทำให้ปรากฏ ทำให้เป็นสาธารณะตามที่อาตมาให้ปรากฏให้ได้ ช่วยอาตมาได้ไหม ...ได้ รับปากแล้วนะ ไปช่วยกันทำให้เกิดจริงๆ เพราะในนี้เราก็ทำกินทำใช้เหลือเฟือ เราไม่ต้องเก็บให้คนข้างนอกเขาเก็บไปเองเลย จริง พิสูจน์ความจริงอันนี้ไปได้ก็ดีเพราะมีความอุดมสมบูรณ์ 

เพราะอุดมสมบูรณ์ในปัจจัย 4 ธนบัตรไม่ค่อยมีหรอกในพวกเรา เพชรนิลจินดาไม่ค่อยมีหรอกพวกเรา แต่มีปัจจัย 4 นี้เยอะแยะ แจกจ่ายเกื้อกูลเอื้อเฟื้อไป อีกหน่อยส่งไปให้เอธิโอเปียบ้าง   ส่งไปให้ยูเครน ส่งไปให้สหรัฐบ้าง ที่เขาพิมพ์ดอลลาร์ กระดาษเปื้อนหมึก หลอกเขาไปทั่วบ้านทั่วเมือง พิมพ์ออกมาอย่างไม่มีหลักประกัน ก็พิมพ์ออกมา เบ่ง อำนาจบาตรใหญ่อยู่อย่างนั้น ทั้งๆที่เขาพยายามตั้งเงินยูโร ตั้งเงินต่างๆมาให้เงินดอลลาร์ลงบ้าง แต่ก็ยังไม่ลงเพราะเขามีอาวุธ มัน ขายอาวุธข่มขู่

สู่แดนธรรม.. ที่ผมถามพ่อท่านไปครั้งที่แล้ว อยากจะทราบว่า ถ้าสำนักสงฆ์อื่น จะยืนยันว่า สำนักของท่านสอนได้มรรคได้ผลบรรลุตามพระพุทธเจ้าสอนแท้ๆ เราจะสามารถถามหาเอาความดี สาราณียธรรม 6 อย่างนี้ หรือเอาหลักธรรมอื่น 

พ่อครูว่า... เอา วรรณะ 9 สาราณียธรรม 6 เช็คได้ สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา  ได้ไหม ...ได้

สู่แดนธรรม.. ถ้าเขาบอกว่าจำเป็นด้วยหรือจะต้องมีคนทำตามได้

พ่อครูว่า... ไม่ได้ ก็เป็นการพูดปากเปล่า ปฏิบัติไม่ได้แล้วพูดไปทำไม พูดไปแต่ก็ปฏิบัติกันไม่ได้ 

สู่แดนธรรม.. แสดงว่า อโศกเรามีธรรมะ การบรรลุจริง มีคนเป็นของจริงยืนยัน 

พ่อครูว่า... ยืนยันพูดได้ทำได้ ยถาวาที ตถาการี ยถาการี ตถาวาที

สู่แดนธรรม... ก็ไม่ได้เอาไปข่มเขา

พ่อครูว่า... มันข่มในตัว มันไม่ข่มมันก็ต้องเหนือกันอยู่แล้ว อันหนึ่งทำได้อันหนึ่งทำไม่ได้ ใช้พยัญขนะว่าข่มว่าเหนือก็อันเดียวกัน สัจจะมันก็เป็นความจริงอย่างนั้น 

อาตมาเกิดมามีชีวิตนี้ทำได้ตามคำตรัสพระพุทธเจ้า มีปรากฏการณ์จริง ปรากฏการยืนยันให้เห็น ใครไม่เห็นก็ไม่มีปัญหา คนที่เห็นเขาก็เห็น คนที่มีดวงตามีปัญญามีธาตุรู้ที่รู้ได้ อันนี้ก็จริงนะ เขามีสภาพจริงพูดจริง ยถาวาที ตถาการี ยถาการี ตถาวาที ทำได้จริงตามที่พูด 

ไม่ใช่ได้แต่พูดปากเปล่า เป็นแต่ทำไม่ได้ ยืนยันหาหลักฐานอะไรไม่ได้ มันก็ต่างกัน 

อาตมาจึงบอกว่าเกิดมาในชาตินี้ พอใจแล้ว ไม่สูญเปล่า ไม่โมฆะ ประสบผลสำเร็จ 

อาตมาเคยสรุปแล้วว่า เกิดมาในชาตินี้พอใจแล้วเกิดมาทำงานมา 50 ปีได้ขนาดนี้ มีสิ่งที่ยืนยันปรากฏผลขนาดนี้  อาตมาไม่ตะกละมากกว่านี้หรอก สมตัวแล้ว พอตัวแล้ว

สู่แดนธรรม.. สภาวะที่พ่อท่านทำให้ลูกๆ รักษาประคองความดีนี้ไว้ ทำให้คนอื่นมองว่าพวกเรายึดมั่นถือมั่น ท่านพุทธทาสบอกว่า ถ้ายังทำความดีอย่างนั้นอยู่ก็ไม่พ้นจากความยึดมั่นถือมั่น 

พ่อครูว่า... ท่านพุทธทาส พูดอย่างนั้นก็ไม่ผิด แต่อาตมาทำได้เกินกว่านั้น ที่ท่านพุทธทาสท่านว่า เพราะอาตมาไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น อาตมาเป็น อนุปคัมมะ เป็นผู้ที่ไม่เข้าไปใกล้สิ่งที่มีไม่เข้าไปใกล้ สิ่งที่ไม่มีก็ยืนยันอยู่อย่างนี้นี่มายึดถือแล้ว เข้าใจภาษา อนุปคัมมะ ไหมล่ะ

สู่แดนธรรม.. ท่านไม่ยึดถือ แต่ทำไมท่านมีเยอะแยะมากมาย ทำไมบอกว่าไม่ยึดมั่นถือมั่น 

พ่อครูว่า... ยืนยันความจริงไง ยถาวาที ตถาการี ยถาการี ตถาวาที เราไม่ยึดถือเป็นของตัวเองแต่เป็นของส่วนกลางนี่แหละคือเศรษฐศาสตร์ชั้นหนึ่ง ถ้าใครต่อใครไม่แบ่งออกจากส่วนกลางมารวมกันส่วนกลางทั้งหมด ส่วนกลางทั้งหมดมันก็เป็นกองโต แต่ของคนอื่นนั้นคนนั้นคนนี้ก็เอาไปคนละนิดคนละหน่อย กองกลางก็บางลงเล็กลง ดีไม่ดี ยื้อให้กองโต จนกองโตเป็นกองรกเลย ถือว่าเป็นของ ตัวเองเลยเกินกว่าที่มันมีกองโตนั้น ความจริงมันเป็นอย่างนี้ 

สู่แดนธรรม.. สภาพเป็น dialectic ใช่มั้ยครับ

พ่อครูว่า... เป็นสภาพสิริมหามายาเป็นความย้อนแย้ง วิภาษวิธี

สู่แดนธรรม.. จริงๆแล้ว คนนั้นจะต้องมีดวงตาเห็นพ่อท่านไม่ยึดมั่นถือมั่น จึงจะมองออก 

พ่อครูว่า... มันไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น แต่มันมั่น มันตั้งมั่น มันซ้อนตรงนี้ คุณเข้าใจไหมมันไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น แต่เป็นความตั้งมั่นของผู้ที่ตั้งมั่นแล้วมีความตั้งมั่นแล้ว ฟังภาษาไทยรู้ไหม ไม่ใช่ภาษาบาลีนะ 

สู่แดนธรรม.. พ่อท่านเอาสภาวะอมตะมาสอน ไม่ได้พูดถึงขั้นปริโยสาน

พ่อครูว่า... เรายังไม่ตายยังไม่ปริโยสาน แล้วยืนยันว่าอาตมาจะตายแล้วยังไม่ตาย อย่างปรินิพพานเป็นปริโยสาน อาตมาเป็นโพธิสัตว์ก็จะกลับมาเกิดอีกทำตามมูลสูตร 10 ครบ อาตมาคืออมตะบุคคล ไม่ได้เหนียมอายหลรือมังกุเลย

สู่แดนธรรม... มีอมตะเป็นหลักประกันแล้ว จะทำให้ดูเหมือนยึดมั่นถือมั่น อีกกี่ชาติก็ไม่ว่า 

พ่อครูว่า... ไม่มีปัญหาเพราะมีแต่สิ่งที่ดี สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปกำลังสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) 

สู่แดนธรรม.. กว่าจะได้อมตะมันต้องผ่านวิมุติมาแล้ว ก็ต้องอยู่กับอมตะนี่แหละ 

พ่อครูว่า... ใช่ เป็นการรู้จริงตามความเป็นจริงเขาไม่รู้เขาก็ไม่เชื่อ ถ้าเขารู้จะบอกว่าอันนี้มันเป็นอย่างนี้เองหรือ เราก็น่าจะได้อย่างนี้บ้าง ความเห็นอย่างนี้ก็ชัดเจน 

สู่แดนธรรม.. แสดงว่า ถ้าใครมีดวงตาฟังพ่อท่านวันนี้จะเห็นว่า 

พ่อครูว่า... อาตมาพูดอะไรไม่จริงไม่เป็น อาตมาพูดแต่ละอย่างเป็นความจริงทั้งนั้น พูดไม่จริงไม่เป็น 

สู่แดนธรรม.. ถ้าประเทศไทยรับเอาสัจธรรมพระพุทธเจ้าไปทำ เจริญแน่ 

พ่อครูว่า... ใช่ อาตมาพูดความไม่จริงไม่เป็น   พูดแต่ความจริงทั้งนั้น ฟังแล้วบอกว่าทำไมพูดเก่งจังเลย ก็คนมันพูดเก่ง 

ยังไม่ตายอาตมาก็ทำงานไป พอทำได้ก็ทำไป ทำไม่ได้ หลายคนบอกว่ายังไม่เห็น ควรทำก็พัก นี่ให้ทำได้ก็ทำ ก็ไม่มีปัญหาอะไร ทำเสร็จแล้วมันต้องยอมรับความจริงอยู่ อย่างหนึ่งว่า เมื่อยไว ปฏิเสธไม่ได้ ตอนนี้มาถึงวัยนี้ขนาดนี้แล้ว เมื่อยไว อันนี้อาตมา ไม่สงสัย ไม่งง ไม่มังกุ ไม่เก้อ ไม่เขิน ไม่ยากอะไร บอกความจริงมันเมื่อยไว 

อันนี้เป็นเรื่องของความจริง สรีระสังขารของเรามันเสื่อม มันพยายามปรุงแต่ง ปรุงแต่งได้เท่านี้ ได้ขนาดนี้ พอปรุงแต่งขนาดนี้ แสดงออกขนาดนี้ เดี๋ยวก็ไปพัก  เดี๋ยวก็ไปชาร์จแบตใหม่ เช้าวันใหม่ พรุ่งนี้ก็สะสมแบตเตอรี่ใหม่ พอมีแบตเตอรี่จุด แสงสว่าง จุดกระแสจุดพลังงานเผื่อแผ่ออกไป ไม่อย่างนั้นก็เป็นแบตเตอรี่มีไฟ แต่ไม่ได้ใช้ทำงานอะไร เสียแล้วหม้อแบตเตอรี่ เสียน้ำกลั่น

สู่แดนธรรม.. ถ้าคนไม่รู้จริงๆ ก็จะมาเถียงพ่อท่านว่าอะไร พระอรหันต์เมื่อยได้อย่างไร 

พ่อครูว่า... พระอรหันต์ชีวะนะ พระอรหันต์ไม่เมื่อยได้อย่างไร ชีวะของจิตนิยาม ไม่เหมือนพืชที่ทำงานตลอดเวลาไม่เมื่อย แต่จิตนิยามมันมีเมื่อยนะ อันนี้ต้องรู้ความจริง ตามความเป็นจริงให้ได้ ไม่มีหรอก คนทำงานถึงขีดหนึ่งก็ต้องเมื่อย มันใช้พลังงานออกไป ตั้งเยอะขนาดหนึ่ง ต้องเมื่อยต้องพัก พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า รู้จักพักรู้จักเพียร เอาแต่เพียรไม่พักก็ตาย เอาแต่พักไม่เพียรก็ตาย อ้างอิงพระพุทธเจ้า เหมือนกับคน รู้มากเลยอาตมา อปัฏติฐัง อนายูหัง คือพักพอดี เพียรพอดี หมายความว่าอย่างนั้น อย่างนี้เป็นต้น 

สัจธรรมที่ใช้พยัญชนะบัญญัติต่างๆเอามาสื่อ เราก็พยายามอธิบายสภาวะกับพยัญชนะมาตลอด อาตมาก็พยายามขยายความมาตลอด ทุกวันนี้ก็ขยายความได้เยอะ จนกระทั่งพวกเรารู้ละเอียดลออขึ้นไปมาก 

ขออภัยต้องขอกล่าวความจริงว่า ไม่มีใครมาขยายได้ละเอียดละออมากมาย เท่าอาตมาในยุคนี้ นอกนั้นเขาเอาตำรามาพูด เอาตำราของอรรถกถาจารย์ของคนนั้นคนนี้ อาจาริยวาทมาพูดมารวม อย่างท่านมหาประยุทธ์ ท่านก็รวมเอาของอรรถกถาจารย์มารวมเก่ง อาตมาสู้ไม่ได้หรอก แต่อาตมาเป็นคนไม่รวมไม่รู้จัก ไม่ได้มีการศึกษามาก อาตมามีแต่ความจริงออกมาทั้งหมด เท่าไหร่มีแต่ความจริงออกมา ที่ไม่ต้องไปเอาของคนนั้นคนนี้มาให้เลอะเทอะ ที่จะขัดแย้งกันในตัวบ้างไม่ใช่ เอาของตัวเองสอดคล้องกันไปด้วยกันมาด้วยกัน เป็นเอกีภาวะสำหรับของอาตมา อย่างนี้มันจะแสดงคนละอย่าง 

อย่างท่านพุทธโฆษาจารย์ ท่านมหาประยุทธ์ แสดงกันคนละอย่างกับอาตมา คนละสไตล์ ก็แล้วแต่ที่คนจะมีจริตนิสัยชอบอย่างไร ชอบอย่างอาตมามาเอา ไม่ชอบอย่างอาตมาชอบทางโน้นก็ไป ทางโน้นเยอะนะ แล้วไม่จบง่ายๆหรอก แต่ของอาตมามีจบ มีจบ ไม่มากเท่า ขอยืนยันว่าไม่มากเท่า มีแต่เนื้อๆ อันโน้น มีอะไรเยอะแยะต้องมาคัดออก เยอะกว่าจะเข้าถึงแก่น แต่ดูจะยังไม่ถึงแก่นเท่าไหร่ ได้แต่ผลใบไม้ดอก เปลือกก็ยังไม่ค่อยได้ สะเก็ด คือศีล ก็ยังไม่ค่อยได้ ศีลยังไม่เป็นอนิสงฆ์ 10 ประการ สมาธิคือเปลือก ก็ยังไม่ค่อยได้ หรือจะว่าไม่ได้เลยก็ได้ สะเก็ดก็ไม่เป็นสะเก็ด เป็น สีลพตุปาทาน สมาธิไม่ต้องพูดถึงเลย ปัญญาก็ไม่เข้าแก่นของปัญญา เอาปัญญา 8 อธิบายก็ไม่ถึง แก่น อย่าไปหวังเลยว่าจะมีวิมุติ ได้แต่ใบ ดอกผลงาม คือลาภสักการะ สรรเสริญเต็ม จริงไหม สภาวะที่กระแสหลักของสังคม ศาสนาพุทธเป็นอยู่นี้จริงไหม 

สมณะฟ้าไท... สรุปจบ

ที่มา ที่ไป

650427 พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ อภิภูผู้รู้จบสัตตาวาสและวิญญาณฐีติ


เวลาบันทึก 28 เมษายน 2565 ( 07:31:34 )

650429

รายละเอียด

650429 การปฏิวัติโดยประชาชนของไทย เป็น Soft Power พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ 

https://www.boonniyom.net/51949.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                          

https://docs.google.com/document/d/1RL_JrAi8MVxFaLI_q_vBdkrlSsQ-1xjmfadjNplxaoY/edit?usp=sharing 

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  

    

และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/F_LccLtZFp4  และ

https://fb.watch/cHD5iCY6u2/ 

 

สมณะเดินดิน... วันนี้วันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก เดือนหน้ามีวันสำคัญ เช่น วันพืชมงคล วันวิสาขบูชา ตอนนี้ปุ๋ยอินทรีย์เราขายดี จะมีการลดราคาในช่วงวันสำคัญ เรื่อง สังคมช่วงนี้มีข่าวใหญ่ๆดังๆ เช่น รองหัวหน้าพรรคการเมืองเก่าแก่พรรคใหญ่ มีคดีความถูกฟ้องร้องเรื่องล่วงละเมิดทางเพศผู้หญิง ยังมีคดีพระอีก เป็นพระบวชใหม่รักษาการเจ้าอาวาส เป็นพระนักเทศน์ หลวงพี่กาโตะ ถูกปล่อยคลิปออกมา เจ้าตัวก็บอกว่าเสียงเหมือนแต่ไม่ใช่เจ้าตัวเด็ดขาด แต่สุดท้ายผู้หญิงออกมาบอกว่าตัวเองเป็นไบโพล่า ใส่ร้ายพระ แต่พระออกมาชี้แจงว่าโล่งใจเลย แต่ก็ยังมีคลิปออกมาอีก เป็นเรื่องการต่อรอง และก็มีคลิปออกมาอีกเป็น 10 คลิป ถ้าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาทำไมมีหลักฐานออกมาเยอะแยะ ทางพระผู้ใหญ่ก็จะให้ไปทำงานในกรุงเทพฯจะมีตำแหน่งมีรายได้มากขึ้น บอกคู่กรณี ขอเงินทีเป็นแสน แต่ตัวเองไปรับกิจนิมนต์ได้ครั้งละพันสองพันเอง ตอนนี้มีเงินในบัญชี 2,000 กว่าบาทเอง พูดออกมายิ่งแก้ตัว ยิ่งพัวพันไปเรื่อยๆ 

พ่อครูบอกว่าสังคมหน้าแข็ง เหมือนรองหัวหน้าพรรคบอกว่าตัวเองบริสุทธิ์ แต่ก็ไม่มีเหตุผลในการแก้ตัว พระก็เหมือนมีคลิปออกมาเป็นหลักฐาน สุดท้าย แสดงว่า การรักษาการเป็นเจ้าอาวาสมีผลประโยชน์ ตอนนี้ถูกสอบสวนเรื่องผู้หญิงแล้วยังถูกสอบสวนเรื่องรายได้เรื่องเงินทอง ถ้าไม่มีผลประโยชน์ก็คงไม่อยากอยู่ต่อ แต่เมื่อมีเรื่องผลประโยชน์ แม้ถูกจับได้ก็ยืนยันว่าฉันไม่ผิด…

มาเล่าให้พวกเราฟังถึงอันตรายจากลาภสักการะสรรเสริญ หากเป็นพระธรรมดา ถูกจับได้ก็จับไป แต่นี่มีผลประโยชน์รองรับมากมาย ถ้าอยู่ จะได้รายได้มากขึ้น มีตำแหน่งใหญ่โตขึ้น แสดงว่า การบวช อยู่ในนั้นเป็นการบวชเพื่อได้เงินได้ทอง สิ่งเหล่านี้ทำให้คนสู้ตาย 

บางคนเป็นนักการเมืองระดับนายก ทำผิดใครก็เห็นทั่วบ้านทั่วเมือง ก็ออกมาพูดแก้ตัวว่าฉันถูกอยู่ ยอมตายแม้ใครจะด่าจะว่าก็ทำเฉย เพราะอะไร เพราะรสชาติของ ลาภสักการะและเสียงสรรเสริญเยินยอ เป็นอันตรายอันแสบเผ็ด 

พวกเราที่มาเรียนรู้โลกุตระก็ได้เรียนรู้ ก็ดูละครแต่ละเรื่องที่ผ่านไปอย่างเจ็บปวดทุกข์ทรมาน เราก็ไม่ได้ไปยุ่งกับอันตรายอันแสบเหล่านั้น พ่อครูบอกว่า ลาภยศสรรเสริญเป็นอันตราย แต่พวกมีบางคนที่ติดในยอดไลค์ยอดแชร์ ไม่รู้เท่าทัน ก็ผิดพลาดในเรื่องเหล่านี้ตลอดไป 

โลกุตระ ซึ่งเป็นเครื่องที่ทำให้เราปลอดภัยและไม่ผิดพลาดในสิ่งเหล่านี้ วันนี้สุขภาพพ่อครูยังเอื้ออำนวยให้แสดงธรรม

พ่อครูว่า...ก็เริ่มกันด้วย sms 

SMS วันที่ 27-28 เม.ย. 2565

ตัวมายาหลอกใคร มายานั้นก็หลอกตัวเอง

_พลังเพ็ญ คำด้วง : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพค่ะ การปฏิบัติธรรมแบบลืมตาที่มีผัสสะมากระทบและฝึกเรียนเวทนาเมื่อมีผัสสะ อ่านอาการที่เกิดและแก้อาการของกายกลิ คือสิ่งที่ไม่ดีต่างๆที่เกิดในจิต ทั้งโลภ โกรธ หลง อย่างที่พ่อครูนำมาเทศนาให้ฟัง ลูกก็กำลังพากเพียร ปฏิบัติตามที่พ่อครูเทศน์สอน อยู่ค่ะ กราบสาธุค่ะ

พ่อครูว่า... ใช้ได้ถูกต้องดี แม้แต่ใช้คำศัพท์ว่ากายกลิ ก็เป็นเรื่องถูกต้อง นัยยะของ พยัญชนะที่สื่อส่อสภาวะธรรมต่างๆ ของพระพุทธเจ้ามันซับซ้อนลึกซึ้งและสลับไปสลับมา ระหว่าง 2 เทวะ ภาวะ 2 โอ้โห อันนี้แหละเป็นมุม เป็นประเด็นที่คนจะต้องจบด้วยการรู้สภาวะ 2 แล้วมันจะสลับกลับไปกลับมา กลับไปกลับมา ผู้รู้ไม่ทัน ก็เสร็จมายา เหมือนนักเล่นกล จริงหรือไม่จริงไม่รู้ ถูกหลอกตลอดเวลา 

เพราะฉะนั้นความจบของสิทธัตถะหมายความว่าเนื้อแท้ที่สำเร็จ สิทธัตถะ อัตถะของสิทธะ หมายความว่าเนื้อแท้ที่สำเร็จก็คือจะต้องรู้เท่าทัน การเกิด การลวง หรือสุดท้ายการดับ 

เพราะฉะนั้นการเกิดกับการลวง นี่แหละ มันอยู่ที่คนอวิชชา รู้ไม่เท่าทันมายาตัวร้ายที่เป็นมาร เป็นมารตัวแท้ เป็นผีตัวแท้ เป็นอวิชชาตัวแท้ หรือ ยึดหัวหาด เป็นพระเจ้าตัวแท้เลย 

เพราะว่าไม่เข้าใจ 2 พระเจ้าก็ไม่เข้าใจ 2 พระเจ้ายึดแต่ 1 1 1 ฟังตรงนี้ดีๆ 

พระศาสดายืนยันว่าตัวเองเป็น 1 เพราะรับมาจากพระเจ้า พระเจ้าเป็น 1 ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้นิรันดรอย่างเดียวตลอดกาลนาน ตรัสยืนยันคำไหนคำนั้น ไม่ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ไม่ขึ้นอยู่กับกาละยุคสมัย ไม่ขึ้นกับองค์ประกอบของมนุษยชาติ ไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ไม่เที่ยงของทุกอย่างในวัฏสงสาร ยึดมั่นถือมั่นอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้น คำสอนของศาสนาเทวนิยม หรือ จากศาสดาที่ไม่รู้จักแม้พระเจ้าของตัวเอง และไม่รู้จักแม้แต่ตัวเองว่า ตัวเองนั่นแหละคือพระเจ้า เพราะฉะนั้นเมื่อไม่รู้ว่าตัวเองคือพระเจ้า ตัวเองคือตัวมายา หลอกใคร มายานั้นก็หลอกตัวเอง 

ตัวเองคือผู้อวิชชา สมบูรณ์แบบ นี่คือ สิ่งที่อาตมาขอยืนยัน  หยิบมายืนยัน ขยายความอธิบาย สัจจะความจริงอันนี้ ซึ่งยังเข้าใจไม่ง่ายหรอก อาตมาเก่งเท่าที่อาตมาพยายามจะเก่งพยายามจะขยายความ คุณพลังเพ็ญ และพวกเราที่พยายามศึกษาตามก็ได้สัจธรรม บรรลุความจริงไปตามลำดับๆๆ 


 

_ดีทน อินสะพรหม   · อโศกเปรียบเหมือน เมืองลับแล เพราะไม่สามารถเห็นด้วยตาเนื้อ อวิชชาได้ปิดบังเอาไว้ ไม่ทราบว่าความเห็นของผมถูกต้องไหมครับ

พ่อครูว่า... ถูกต้องทีเดียว 

 

_Kaewduangsee Roongsri รุ่งศรี แก้วดวงศรี: กราบนมัสการท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุค่ะ ได้คำตอบที่กำลังคาใจพอดี นี่เป็นครั้งที่สองจากท่านกล้าข้ามฝันค่ะ ครั้งก่อนก็สงสัยว่าทำไมถึงต้องฟังธรรมมากขนาดนี้ ท่านบอกว่าคนที่ฟังคือนักศึกษา กราบนมัสการค่ะ

พ่อครูว่า... คนนี้ไม่หลงตัวว่าเป็นผู้บรรลุธรรมก็ชัดเจนตัวเองว่า แท้ๆตัวเองเป็นนักศึกษา นี่ก็เลยสว่างตัวเองไม่ใช่ผู้บรรลุธรรมแต่เป็นนักศึกษา มันกลับไปกลับมา ขี้มักจะหลงตัวเองว่าตัวเองบรรลุแล้ว 

_ฟ้าพรห์มไพร นาวาบุญนิยม : เห็นพ่อท่านแข็งแรงขึ้นจนสามารถมาเทศน์ได้รู้สึกดีใจค่ะ..ต่างจากวันที่พ่อท่านให้โอวาท น.ร.ม.6 ที่รับกลด..หนูเห็นพ่อท่านวันนั้นแล้วอดเป็นห่วงไม่ได้ กลัวพ่อท่านจะวางขันธ์ไปง่ายๆ..หนูคิดมากไปมั้ยคะ...ขอให้พ่อท่านแข็งแรงอย่างนี้ตลอดไป..กราบนมัสการด้วยความเคารพค่ะ

พ่อครูว่า...อาตมาก็ดีใจ หลายๆคนก็ดีใจ พยายามอยู่ที่จะไม่วางขันธ์ง่ายๆ ยิ่งไปเห็นหมอเฉก ตอนนี้ก็เกือบจะร้อยละ อายุ 96 97 ใกล้ 100 แล้ว ก็ยังมุ่งมั่นว่าจะอายุ 121 ให้ได้ ว่ายน้ำออกกำลังกายทุกวัน เป็นสายธรรมดา ไม่ได้ใช้ธรรมะอย่างโลกุตระเราทีเดียว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามิจฉาทิฏฐิไปเสียจนไม่รู้เรื่องอะไร หมอเฉก ก็ยังพอฟังพวกเราได้ แต่ก็มุ่งมั่นไปทางสรีระ เพื่อพิสูจน์ก็ดี ลองดู อาตมาดูท่าทาง ป้อแป้ๆ กว่าหมอเฉกมาก ดูสิ เอาจริงๆจังๆแล้วใครจะถึง 120 ก่อนกัน แต่อย่างไรหมอเฉกก็ถึงก่อนอาตมา เพราะแก่กว่าอาตมา หรือว่าถ้าหมอเฉกจะไปก่อนอาตมาแล้วยังไม่ถึง อาตมาก็ถึงก่อน

ตอนนี้ก็ดูๆอยู่ 3-4 คน นอกจากหมอเช็คแล้ว ดูอยู่ว่าใครจะไปก่อนกัน 1. โพธิรักษ์ 2. ส.ศิวรักษ์ แก่กว่าอาตมาเกือบสองปี 3. มหาประยุทธ์ สมเด็จพุทธโฆษาจารย์  4. สุรพล โทณะวณิก อายุ 90 กว่า ซึ่งตัวเขาเองไม่รู้ว่าอายุจริงๆเท่าไหร่ เป็นเด็กจรจัดที่ไม่รู้หัวนอนปลายตีน ก็โมเมว่าอายุมากแล้วเป็นคนพูดไปเรื่อย หรือผนวกเอา เปลว สีเงินเข้าไปด้วย อายุ 70 กว่าเอง 

 

หลับตาปฏิบัติจะเจอแต่อวิชชา ลืมตาปฏิบัติจึงมีวิชชาได้

_Boy Mungchomklang บอย มุ่งจอมกลาง : น้อมกราบนมัสการพ่อครูครับ และต้องขออภัยการปฏิบัติแบบคนตาบอด(ปิดตาปฏิบัติ) แล้วจะเห็นภาพความจริงที่เป็นอยู่ ณ ตอนนั้นได้อย่างไร ...เว้นแต่นั่งนึกเอาเอง คิดเอาเอง...แต่ก็ยังไม่ใช่สัมผัสเห็นการณ์จริงที่ไม่ได้เห็น แล้วจะรู้ความจริงที่ครบทั้งหมดได้อย่างไร...(เป็นอย่างนั้นหรือเปล่าครับ)

พ่อครูว่า...หลับตา ปฏิบัติเป็นพวกสัมภเวสี คิดนึกอยู่คนเดียว เป็นนรกสวรรค์วิมานอะไร แล้วที่สุด สะกดจิตตัวเองให้เป็นจิตว่างก็ของตัวเองทั้งนั้น ไม่มีใครรองรับ มีแต่ความลึกลับ อย่างนี้ก็ไปยืนยันไม่ได้ จะประกาศว่าเป็นความจริง ความจริงต้องมีภายนอกภายใน มีครบ คนอื่นก็ร่วมรู้ด้วย ตัวเองก็รู้ด้วยเพราะเป็นหนึ่งเดียวกันตรงกันนะ สัจจะมีหนึ่งเดียวกันนะ แต่ที่เขาทำมันไม่ใช่ เพราะฉะนั้นหลับตาจึงเป็นโมฆะจากศาสนาพุทธเลย พระพุทธเจ้าก็ตรัสยืนยันในพระสูตร อินทริยภาวนาสูตร ยืนยันชัดเจนว่า 

พระไตรปิฎก เล่มที่ 14  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 6

มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์

10. อินทริยภาวนาสูตร (152)

[853] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ป่าไผ่ ในนิคมชื่อกัชชังคลา ครั้งนั้นแล อุตตรมาณพ ศิษย์พราหมณ์ปาราสิริยะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ แล้วทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการทักทายปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ

 [854] พอนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามดังนี้ว่า ดูกรอุตตระ ปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกหรือเปล่า ฯ

อุ. แสดง พระโคดมผู้เจริญ ฯ

พ. ดูกรอุตตระ แสดงอย่างใด ด้วยประการใด ฯ

อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องนี้ ท่านปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า อย่าเห็นรูปด้วยจักษุ อย่าได้ยินเสียงด้วยโสต ฯ

พ. ดูกรอุตตระ เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่เจริญอินทรีย์แล้วตามคำของปาราสิริยพราหมณ์ ต้องเป็นคนตาบอด ต้องเป็นคนหูหนวก เพราะคนตาบอดไม่เห็นรูปด้วยจักษุ คนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงด้วยโสต เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้ อุตตรมาณพ ศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์ นั่งนิ่ง เก้อเขิน คอตกก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ ฯ

คนมีปฏิภาณยอมรับความจริง คนไม่มีปฏิภาณแล้วยังโง่เง่างมงายไม่ยอมรับความจริงก็ไปนั่งหลับตาปิดหู แล้วก็เพ้อพกไปกับจิตเป็นสัมภเวสีไป เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าตรัสว่า (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สู่แดนธรรม... สมัยผมอยู่กับพระอาจารย์ข้างนอก ที่จะต้องหลับตานั้น เพราะว่าตอนลืมตา กิเลสเข้ารบกวนจิตใจไม่สงบ อย่างนั้นถูกไหมครับ 

พ่อครูว่า... ถูกของเขา แต่ผิดจากของพระพุทธเจ้า อาตมายืนยันว่าผิดจากของพระพุทธเจ้า แต่ถูกของเขา เพราะหลับตาปฏิบัตินั้นมันเป็นเรื่องโลกีย์ มันเป็นภาวะ 2 แค่ภายนอกกับภายใน เป็นภาวะ 2 ภายนอกมันก็ไม่มีแล้วมันก็เป็นขาเดียวภายใน ธรรมะขาเดียวประชาธิปไตยขาเดียวเป็นผู้พิการ คนต้องมี 2 มีรูป นาม มีวิญญาณคือธาตุรู้ เริ่มต้นท่านก็ตรัสไว้ ว่า ต้องอาศัยกันและกันเป็นอาหารอาศัยกัน 

วิญญาณต้องมีนามรูป จบในวิญญาณาหาร ของปุตตมังสสูตร วิญญาณาหาร จบ 

เพราะฉะนั้นคนที่ไม่แตกฉานในคำตรัสของพระพุทธเจ้า ก็เบื้องงว่าอะไร อาตมาก็ขยายความแล้วขยายความอีก คนที่ไม่รู้ในอาหารข้อที่ 4 

พระพุทธเจ้าถึงบอกว่ามันก็ต้องไม่รู้ ไม่รู้อย่างไร ไม่รู้เหมือนโจรที่เป็นนักโทษประหาร ทำไมต้องเป็นนักโทษประหารเพราะว่าอยู่ก็เป็นกบฏ ผู้ทำลายศาสนา อยู่ตลอดเวลา ถ้าเป็นทางโลกก็บอกว่าเป็นกบฏ พระราชาจึงให้เอาไปประหารเสียด้วยหอก 100 เล่มตอนเช้า ก็ยังดื้อด้านดึงดันทนเหลือเกินไม่ยอมตาย พระราชาถามตอนกลางวันว่าตายหรือยังก็ยังไม่ตายให้เอาไปฆ่าอีกด้วยหอก 100 เล่ม ตกเย็นพระราชาก็ถามอีก พนักงาน ก็ตอบอีกว่ามันยังไม่ตายพระเจ้าค่ะ จบแค่นี้ก่อน 

ทุกวันนี้ก็คือโจรที่เป็นผู้ทำลายศาสนาอยู่นี่ ก็คือผู้ฆ่าไม่ตาย  เป็นมิจฉาทิฐิเป็นผู้ทำลายศาสนา ทุกวันนี้ก็ได้แก้ไขก็คือได้แต่พวกหลับตาปฏิบัติ ไม่มีจรณะ 15 ไม่มี สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ มันเป็นสิ่งที่ผิดไปจากศาสนาพุทธ ก็ยืนยันในทุกหมวดทุกหลักเกณฑ์ สอนได้แต่ส่วนน้อย คือพวกชาวอโศก

แต่มวลหลักของศาสนาเขามีมากมาย ทั้งมวลพวกที่บวชตามๆกันไปมากมาย อโศกเทียบไม่ติดหรอกในจำนวน ที่พูดนี้ก็เข้าใจเขาว่าเป็นยุคที่เสื่อมจริงๆ เสื่อมที่อาตมาต้องมา กอบกู้ เมื่อยแสนเมื่อย จนกระทั่งสังขารร่างกายทุกวันนี้เลยอายุขัยมาแล้ว 80 กว่า อายุไขของอาตมา 72 ตอนนี้เป็น 88 ปีแล้ว จะพยายามกระเสือกกระสนไปให้ได้อีกสักมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ มีตัวเลขประหลาดๆ 151 มา เดี๋ยวนี้ก็ยอมแพ้แล้วไม่ถึงแน่นอน 

จนกระทั่งบอกก็ได้ว่าอาตมาพยายามพากเพียรอยู่ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ กระเสือกกระสนดิ้นรนไปจริงๆให้ได้จะได้สักเท่าไหร่อย่างเก่ง ก็คิดว่า 133 นี้ก็สุดยอดแล้ว ลดราคาจาก 151 เหลือ 133 ก็ยังมุ่งมั่น แต่ใจอีกใจหนึ่งก็คิดว่า 120 นี่จะถึงไหมเนี่ย 120 มันจะถึงไหมหนอ 

พยายามอยู่ทุกวันนี้ กินอาหารนอนพักแต่ละคนช่วยดูแลเหลือเกิน จะพักที่ไหนจะนอนนั่งที่ไหนเอาออกซิเจนมา อย่างกับคนอยู่ใน ICU ตลอดเวลาเลย พยายามประคบประหงม ที่จริงไม่น่าเล่าเลยมันเปิดโปงหมด

สู่แดนธรรม.. กลับมาถามอวิชชา หากนักโทษประหารเปรียบเสมือนอวิชชาที่ฆ่าไม่ตาย ใครที่หลับตาก็บอกว่าอวิชชามันเข้าทางในการลืมตา แต่ท่านไปทำอวิชชาด้วยการลืมตา มันฆ่าอวิชชามันฆ่าได้ยากกว่าการลืมตา อย่างไรครับ 

พ่อครูว่า... ตรรกะมันเป็นตรรกะพิการ เหตุผลมันฟังดูตลกไม่เข้าท่า เด๋อๆด๋าๆ โขลกๆเขลกๆ 

สู่แดนธรรม... เหมือนกับนกกระจอกเทศ ศัตรูมาก็เอาหน้ามุดดิน 

พ่อครู… คุณก็เป็นนกกระจอกจะเป็นมนุษย์ที่เป็นอริยชนได้อย่างไร ยังไกลมากเป็นแค่นกกระจอกเทศ 

สู่แดนธรรม... ปิดตาก็ไม่เห็นศัตรู 

พ่อครูว่า... มันง่ายจังปิดตาเหมือนคนตาบอดอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส ปิดตาปิดหูไปกดประสาทหูไม่ให้ได้ยิน คุณก็เหมือนกับคนหูหนวกตาบอด มีหลักฐานยืนยัน แต่เขาก็ศึกษาไม่ครบ ในพระไตรปิฎกมีครบ แม้แต่ในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐของพระมหากัสสปะก็ตาม 

สู่แดนธรรม... การลืมตาทำให้อวิชชาสิ้นได้อย่างไร

พ่อครูว่า... สิ้นได้ เพราะมีจักษุ อาโลก แสงสว่าง ในการเห็นทั้งภายนอกภายในมันรู้โลก รู้อัตตา มาดูทั้งสอง โลกคือภายนอกทั้งหมด อาโลกคือแสงสว่าง มีพระอาทิตย์ มีพระจันทร์ มีนามรูปครบหมดเห็นครบหมด ไม่ใช่ไปหลับตามีแต่อัตตาอยู่ในภพในภวังค์เป็นสัมภเวสีไป นิมมานนรดี เนรมิตไปเองเป็น นิรมาณกาย มันไม่ใช่ อย่างนั้นมันฝันฟุ้ง ฝันเพ้อไปเองอย่างไรก็ได้ 

พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้นะ พรหมชาลสูตรว่า การหลับตาอาศัยขันธ์เดิมไปล่วงรู้อดีตอนาคต ได้แค่ 62 ความรู้เรียกว่า 62 ทิฐิ อดีตได้ 18 อนาคตไปได้ 44 ไปอ่านสัก 100 เที่ยวให้แตกฉาน พระพุทธเจ้าสรุปลงแค่นี้ แล้วคนก็จะอาศัยอื่นไม่ได้ ต้องอาศัยขันธ์ ที่ตัวเองเคยอาศัยมาแล้วแต่ชาติไหนก็แล้วแต่ เพราะว่าคุณจะรู้เท่าที่คุณเคยมีเคยเป็นฝังไว้ในสัญญา นอกสัญญาคุณก็เป็นความเพ้อเจ้อ 

เพราะฉะนั้นอดีตมันมีสัญญา ฝังเป็นความจำเก่า อนาคตมันมีด้วย แล้วมันก็คิดใหม่ คิดเพ้อเจ้อไปได้อีก มันจึงมีได้ถึง 24 

พวกหลับตาจะไม่มีความรู้ เกิน 62 อดีต 18 กับอนาคต 44 ไม่มีความรู้เกินนี้เลย เพราะฉะนั้นจบสุดท้าย ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ 5 มีกาม และ ฌาน 1 2 3 4 

คุณต้องมี ปัจจุบันชาติ ลืมตามารู้ทั้งหมดแล้ว คุณก็จะรู้ กาม แล้วรู้ฌาน 1 2 3 4 แบบลืมตา ฟังไว้พวกหลับตาทั้งหลาย มิจฉาทิฏฐิเป็นโจรปล้นศาสนา ที่พระราชาให้เอาไปฆ่าด้วยหอก 300 เล่ม คุณก็ยังยอมเป็นโจรอยู่อย่างนั้น เมื่อไหร่จะหยุดเป็นโจรปล้นศาสนาสักทีล่ะ 

อาตมาขออภัยที่พูดชัดเจนและเน้นด้วย แรง ไอ้ที่เบาๆมา จนกระทั่งทุกวันนี้อาตมาแรงน้อยลงไปแล้ว ก็ยังจะต้องทำแรงอย่างนี้แหละ เพราะตีเบาๆเหมือนเอาสำลีไปเช็ดหนามทุเรียน สำลีพังหมดเลย 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สมณะเดินดิน... พวกเชน เหมือนตัดขาดทั้งหมด แต่มีบุหรี่ เงินทอง 

พ่อครูว่า... เหมือนสายอ.มั่น อ.มหาบัว ไม่รู้ว่ากินหมาก สูบบุหรี่คือสิ่งเสพติด หลวงปู่แหวน ก็ใช้บุหรี่ขี้โยยาวๆ 

สมณะเดินดิน... ภาพรวม ของพระญี่ปุ่นสายลืมตา เขาก็ยังไม่ได้ติดอะไรมากเท่าไหร่ยังมีความคิดสร้างสรรค์พัฒนา ลืมตา กิเลสน่าจะมากกว่า แต่ดูดีๆ พวกหลับตาแก้ผ้านี้ซับซ้อนมากกว่า พวกลืมตาเอาบุหรี่มา ก็ถูกหลอกให้ติดได้

พ่อครูว่า... ขออภัยที่วิจัยวิจารณ์สายหลับตาทางมหาบัวและอาจารย์มั่น ตำหนิมานาน ก็ยังตามอีกต่อไปเพราะมันผิดจะได้แก้ไข ขอยืนยันว่าอาตมาไม่ได้พูดผิด จะมาพูดความผิดคือความผิด ความถูกคือความถูก อาตมายืนยันว่าพูดอย่างนั้นจริงๆ

 

การปฏิวัติโดยประชาชนของไทย เป็น Soft Power 

_ดาวดิน ชาวหินฟ้า  • 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ...พ่อท่านภาคภูมิใจกับบทบาททางการเมืองที่ผ่านมาของท่าน  ผลจากการมีส่วนร่วมทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมาทำให้เกิดการรัฐประหาร   การรัฐประหารทั้งปี49และ57 ชาวอโศกที่เข้าไปร่วมทั่งพันธมิตรและกปปส.มีผลให้เกิดการยึดอำนาจของทหาร   ผลจากการยึดอำนาจทำให้สถานการณ์ด้านสิทธิและเสรีภาพของคนไทยตกต่ำลงอย่างมาก  เกิดความเหลื่อมล้ำทางรายได้   

พ่อครูว่า... บทบาทการเมืองที่ผ่านมาก็ยังรู้สึกภาคภูมิใจอยู่ 

ดาวดินผิด ก็ประชาชนไปปฏิวัติยึดอำนาจ แล้วก็บอกว่าทำให้เกิดรัฐประหาร โดยทหาร ฟังดีๆ ตรงนี้ก็ยากเหมือนกัน เพราะผู้ที่มากล่าวบอกว่าผมขอยึดอำนาจคือทหาร คือพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา รูปมันชัด แต่นามมันไม่ใช่ 

เป็นความเข้าใจของดาวดินเองว่าสิทธิและเสรีภาพของชาวไทยตกต่ำลงเมื่อพลเอกประยุทธ์มา การที่ดาวดินกล่าวว่ามายึดอำนาจ แต่ที่จริงแล้วประชาชนยึด แล้วพลเอกประยุทธ์เป็นหัวหน้าคสช.ตอนนั้น ก็เข้ามาส่งหน้าที่ต่อจากประชาชน อาตมาอธิบายว่าเป็นการรับไม้ต่อจากประชาชนที่ทำรัฐประหารสำเร็จแล้ว ถึง 4 รัฐบาล 

ตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ ก็มีรัฐบาลทหารออกมาแสดงลิเกนิดหน่อย พลเอกสนธิ ออกมาทำท่ารัฐประหาร ที่จริงแล้วประชาชนรัฐประหารก่อนแล้ว ทักษิณออกไปจากประเทศมีคดีติดตัวแล้ว ทหารก็เอารถถังออกมาให้ประชาชนเอาดอกไม้เสียบๆๆ มันเหมือนลิเกละคร 

เสร็จแล้วทักษิณก็เก่งเอานอมินี่เข้ามาเป็นนายกอีก สมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ ตอนนี้กระเหี้ยนกระหือรือจะเอาอุ๊งอิ๊งขึ้นมาอีก ไม่เข็ด จริงๆแล้วเป็นคนใจดำอำมหิตฆ่าตระกูลตัวเองด้วย แม้แต่ลูกก็จะเอามาฆ่า โอ๊ค เอมปั้นไม่ขึ้น แต่ปั้นอุ๊งอิ๊งขึ้น 

ขณะนี้การศึกษาเรื่องของเศรษฐศาสตร์โดยมีชาวอโศกนำเศรษฐศาสตร์ระบบสาธารณโภคีกระจาย มีผู้ทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโทปริญญาเอก มากแล้วตอนนี้ การศึกษากำลังกระจาย แพร่ไปลึกๆแล้ว ผู้ที่กำลังศึกษากำลังเข้าใจ เศรษฐศาสตร์สาธารณโภคี ซึ่งเป็นเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่สูงสุดยอดที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ยังไม่มีใครจะทำได้ 

เศรษฐศาสตร์ของต่างประเทศเทวนิยมทุกประเทศยังไม่มีทางที่จะเข้าใจเศรษฐศาสตร์สาธารณโภคีได้หรอก ยิ่งใหญ่กว่าคอมมิวนิสต์ ยิ่งใหญ่กว่าประชาธิปไตยที่เป็นกันอยู่ทั่วโลก เศรษฐศาสตร์บทนี้ สาธารณโภคี ซึ่งเป็นเศรษฐศาสตร์ที่อยู่กันอย่างพิสูจน์ยืนยันในสาราณียธรรม 6 สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา อยู่กันด้วยศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา  อย่างที่ชาวอโศกเราเป็น เขายังมองไม่ออกหรอก เขาจะต้องศึกษา พวกเราก็ให้เจริญ มีอรหันต์เข้าไปพอสมควรแล้ว อนาคามีก็ไม่ใช่น้อยไปเรื่อยๆ ในพวกเรานี้ 

อรหันต์ขั้นต้น ขั้นกลาง กัน ขอยืนยันว่าพวกเราเป็นพวกโพธิสัตว์ เป็นอรหันต์สายเจโตมีน้อย เป็นโพธิสัตว์กันแทบทั้งนั้น นัยยะอันนี้ต้องอาศัยระยะเวลาพิสูจน์ความจริง เพราะมันต้องพิสูจน์ทั้งปรากฏการณ์จริงที่มีตัวจริงในพวกเรา จะมีมากขึ้น รูปธรรมชัดเจนมากขึ้นพฤติกรรมของสังคมก็จะเกิดมากขึ้นให้เขาเห็นว่า​ องค์รวมของพฤติกรรม มีมนุษย์จริง เป็นมนุษย์ที่มีวรรณะ 9 มนุษย์ที่มีพุทธพจน์ 7 มี สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ   

ยืนยันสภาวะจริงมีคนปฏิบัติได้ปฏิบัติจริง ยถาวาที ตถาการี ยถาการี ตถาการี 

สายหลับตาที่บรรลุจริงก็มีได้ มีบารมีเก่ามา ที่ทำได้แต่พูดไม่ได้ แต่ส่วนมากทำได้แบบมิจฉาทิฏฐิ ทำได้ถูกต้องนั้นมีบารมีเก่าเสริม ซึ่งจะต้องอธิบายตั้งแต่ สัทธานุสารี ธัมมานุสารี กายสักขี สัทธาวิมุติ ทิฏฐิปัตตะ ปัญญาวิมุติ อุภโตภาควิมุติ 

ที่ดาวดินเขาบอกมา ก็เป็นการประเมินของเขาเอง 

เสรีภาพของคนไทย ทุกวันนี้ดีขึ้นมาก เพราะได้รับการปลดปล่อย เป็นประชาธิปไตยที่ดี ดีขึ้น ดีขึ้นกว่า สายทาง แม้แต่จีน จีนยังเป็นปัญญาและยังเป็น Command หรือคอมมิวนิสต์ จีนเป็นปัญญาที่เป็นคอมมิวนิสต์ 

แต่เพราะมันซ้อนตรงที่ว่า คนมันมาก ทำให้ภายใน ราคาถูก จนกระทั่งแพร่ออกมาตีตลาดโลก ราคาถูกหมดข้าวของ สินค้าของจีนตีตลาดหมด เพราะถูก และคุณภาพก็ไม่ด้อย คุณภาพก็ทำดีขึ้นเรื่อยๆทำมาแข่งกัน ก็ได้ทางด้านเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจ ปริมาณมวลคนมีมากมันก็ได้ทางปริมาณ ไปเลี้ยงประชาชนอยู่ 

ถ้าต่อไป เขาอยู่ดีกินดี เขาไม่ได้ศึกษาโลกุตรธรรม ประชาชนจีนพันกว่าล้านก็จะเสร็จติดรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส และอัตตาหรืออำนาจ ก็จะแย่งชิง แต่ตอนนี้ยังไม่มีใครกล้าแย่งชิงอำนาจของสีจิ้นผิง แต่มวลประชาชนนั้น ไม่ใช่ผู้บรรลุธรรม เป็นแต่เพียงเขาอาศัยรูปของวัตถุรูปของสิ่งที่มันกระจายกันอยู่ได้ เขาก็เลยพออาศัยกันทุกวันนี้ 

เพราะฉะนั้นเศรษฐศาสตร์อันนี้จึงซ้อนซ้อนในรูปธรรม เขาไม่ได้มีนามธรรมเหมือนกับชาวอโศกที่ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า 

ถ้าสีจิ้นผิงประกาศทฤษฎีของพระพุทธเจ้าขึ้นมาเมื่อไหร่ อาตมาจะรับสีจิ้นผิง อย่างไม่ถึงสมบูรณ์แบบก็ยัง แต่ยังไม่ออกจากปากสีจิ้นผิง จนกว่าสีจิ้นผิงจะได้ยินโพธิรักษ์พูดถึงจะเอาไปคิด แล้วเขาจะคิดออกหรือไม่ออกก็ไม่รู้นะ 

เพราะว่าความเป็นพุทธของพระพุทธเจ้ามันสุดยอด จะเรียกว่าประชาธิปไตยหรือเรียกว่าคอมมิวนิสต์ก็สุดยอดทั้งคู่ อย่าง สาธารณโภคีสุดยอดทางประชาธิปไตยสุดยอดทั้งคอมมิวนิสต์ 

ประเด็นที่สุดยอดก็คือทุกคนไม่มีตัวตน ทุกคนทำงานฟรี เสียภาษี 100% ประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์ก็ต้องการให้ประชาชนเสียภาษี100% สูงสุดเหมือนกันหมด แล้วมันสูงสุดตรงที่ทุกคนทำงานให้แก่ส่วนกลางฟรีหมดเลย เอาที่ไหนมาสุดอีกละ มันเป็นที่จบแล้ว 

เพราะฉะนั้นชาวอโศกเป็นนักเศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้า 100% ทำได้อย่างมีรูปธรรม และยากแน่นอนเพราะมันเป็นยอดของพีระมิด สำหรับผู้ที่เข้าถึงทางปัญญาและเจโต มันถึงจะทำสาธารณโภคีได้ โดยไม่ต้องฝืนเป็นปกติ สบายๆ หากว่าคุณกำลังสบายจงปรบมือพลัน ของอุดม แต้พานิช ชัดเจนไหม 

นี่คือ Soft Power นั่น ทันซะอีก ทันสมัยอีก 

สู่แดนธรรม... คืออะไรครับ

พ่อครูว่า... สู่แดนธรรมยังไม่ทันอีก อาตมาพอรู้นิดหน่อย นี่แหละยุค New Normal 

สู่แดนธรรม... ผมมีความเห็นแย้ง ว่า ความเหลื่อมล้ำทางรายได้มาจากการรัฐประหารของทหาร ท่านลองบอกมาสิว่า สมัยไหนประชาชนไม่มีรายได้เหลื่อมล้ำบ้าง สมัยทักษิณ หรือแม้แต่พนักงานในบริษัทคุณธนาธร จะมีรายได้เท่าเทียมกับคุณธนาธรไหม แค่นี้มันก็มาอ้างไม่ได้ว่ารัฐประหารทำให้ประชาชนเกิดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ 

(พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สู่แดนธรรม... ในยุคนี้ประชาชนมีความสามารถค้าขายออนไลน์ ใครมีความรู้ความสามารถเขาเก่งก็ขายได้ ใครเอาแต่เล่นมือถือ เป็นแต่ผู้เสพ ก็ไม่ได้ดี นี่คือความเหลื่อมล้ำโดยธรรมชาติ นี่คือ สำหรับพวกอยากรวยนะ ใครมีหัวคิดหน่อย ศึกษาเขาก็ไม่เท่ากันอยู่แล้ว มันเป็นธรรมชาติที่จะต้องมีการเหลื่อมล้ำ 

พ่อครูว่า... ผู้ที่มีจิตจริง เป็นผู้ที่ไม่มีตัวตนไม่ยึดถือไม่แย่งชิงไม่เอาเปรียบและดีมาก มีมากไม่เอา เอาแต่น้อย มันไม่มีอะไรน้อยกว่าที่ว่า ศูนย์ก็พอ 

ภาษาพูดกับสภาวะจริงเป็นหนึ่งเดียวกันชาวอโศกทำได้ สิ่งที่พูดมานี้ อย่างดาวดิน บอกมาอย่างนั้นอย่างนี้ก็ยังเพ้อเจ้องมงาย ความจริงแล้วนายกประยุทธ์แจกเงินแก่ประชากร เดือนนี้คนแก่ก็ได้รับเพิ่มขึ้น คนขาดแคลนก็ได้รับเพิ่มขึ้น แบ่งให้คนละครึ่งเป็นต้น ทำไปจนกระทั่งไม่มีใครหรอกจะมาทำได้อย่างพลเอกประยุทธ์ เพราะมีคณะรัฐบาลช่วยกันคิดหาวิธีด้วยช่วยกัน พลเอกประยุทธ์เป็นหัวหน้าก็ดีแล้ว แล้วมันก็ออกมา เพื่อประชาชน จึงแสดงให้เห็นซ้อนลงไปว่า แม้แต่ผู้บริหารก็ทำเพื่อประชาชน 

มองความจริงตรงนี้ออกไหมล่ะ จากพฤติกรรมของ รัฐบาล ที่ทำกับประชาชนนั่นแหละ มันเพื่อประชาชนเห็นแก่ประชาชน ไม่ใช่ว่าไปฮั้วกันแล้วจับกลุ่ม เอ็งรวยๆๆ ขึ้นไปหายอดไม่ใช่ แต่กระจายมาถึงประชาชน กระจายเงินของรัฐ ออกมาถึงประชาชน อย่างสุจริต จำได้สัดส่วนตามเวลาที่ควรจะได้ 

เพราะฉะนั้นความเป็นประชาธิปไตยของไทยนี้ จะพิสูจน์ความจริงของความเป็นประชาธิปไตยแบบของพระพุทธเจ้าหรือแบบโลกุตระแข่งกันกับจีน Wait and see 

_ดาวดิน…นี่คือสิ่งที่คนไทยจำนวนมากเห็น  เมื่อพ่อครูไม่มีกิเลสแล้วสรุปว่าความเห็นทางการเมืองของท่านถูกต้อง ข้อสรุปนี้ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองที่เป็นอยู่ จึงเป็นสิ่งที่น่าเสียดายที่ท่านนำวัตรปฏิบัติที่ดีงามมารองรับหรือให้การรับรองกับสภาพที่เป็นปัญหาที่กำลังเป็นอยู่ในวันนี้

พ่อครูว่า... ถ้าคนจำนวนมากเห็นอย่างดาวดินก็เป็นอย่างดาวดิน แต่ถ้าคนส่วนมากเห็นตามพลเอกประยุทธ์ก็มาทำอย่างพลเอกประยุทธ์ ตอนนี้นายกตู่ได้ฉายาลุงตู่ตลาดแตก แล้วไปตลาดแตกที่ปักษ์ใต้ ซึ่งเป็นชาวมุสลิมส่วนใหญ่ ซึ่งชาวมุสลิมส่วนใหญ่ยังเป็นประชาธิปไตยไม่ได้ง่ายๆหรอกขอพูดได้แค่นี้ 

ดาวดินทำไมตาบอด ทำไมไม่บอดไม่ลืมตาดู คุณกำลังเป็นเจ้าปัญหาเองขณะที่คุณเป็นอยู่ทุกวันนี้ คุณไม่รู้ ไขไม่ออก ตื้อของตัวเอง ไปทะลุทะลวงตามความเป็นจริงที่มนุษย์คนไทยเป็นกันได้จริงๆส่วนใหญ่เขา แม้แต่โพลต่างๆ แต่ดาวดินไม่เห็น แล้วก็หลงตัวเอง ตัวเองไม่เห็นก็หาว่าคนอื่นไม่เห็น หาว่า คนอื่นอยู่ในรูกระบอกครอบกะลาครอบ ไม่ออกจากกะลาครอบ ขออภัยที่จริงไม่ได้แปลว่าดาวดินเท่าไหร่ น่าสงสาร แม่ก็โอยๆ อยู่ที่นี่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เป็นลูกชายคนเดียว 

ก็ขอขยายความตามสภาวะสัจธรรมก็แล้วกันว่า 

ที่บอกว่าทหาร รัฐประหารที่ทำบอกว่าทหารมาทำรัฐประหาร ก็ขอย้ำ พูดมาไม่รู้กี่ที ว่าประชาธิปไตยของไทยขณะนี้ ที่ดำเนินไปอยู่ ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่ทหารปฏิวัติ แต่เป็นประชาธิปไตยที่ประชาชนปฏิวัติ ปฏิวัติมาได้ตั้ง 3-4 รัฐบาล เขาก็ยังมองไม่ออก เห็นไหมว่าความมืดของคนมืด นักรัฐศาสตร์เองฟังอาตมาก็ยังมืดอยู่นะ 

เพราะมันยังไม่เคยมีมาในโลก เมืองไทยเป็นเมืองแรกที่ประชาชนทำรัฐประหาร หรือประชาชนปฏิวัติ รัฐบาลมาถึง 4 รัฐบาล เสร็จหมดได้ ทิ้งช่วงจังหวะหน่อย แล้วประชาชนก็ทำทั้งหมด เสร็จหมดแล้วพลเอกประยุทธ์อยู่ในหน้าที่คสช. มันเป็นตำแหน่งที่จะต้องรับผิดชอบ ก็เข้ามารับไม้ต่อจากประชาชน ด้วยความสุภาพเรียบร้อย ผู้ที่ดื้อดึงดัน ก็หลุดหมดจากตำแหน่งทุกทางแล้ว อย่างเป็นรูปธรรมที่มีในสังคม โลกก็ต้องมีพยัญชนะ ต้องมีบัญญัติ ก็มาตามบัญญัติ อย่างนั้นผมก็ขอยึดอำนาจ คนที่ไม่มีอำนาจแล้วก็บอกว่าเอ็งจะยึด ก็ยึดไปสิ เพราะว่าพวกเขาไม่มีอำนาจแล้ว ก็พูดให้เป็นรูปธรรมเท่านั้น

โดยนามธรรมมันสำเร็จไปหมดแล้ว เสร็จแล้วพลเอกประยุทธ์ก็มาบริหาร พลเอกประยุทธ์ก็บอกเลยว่า ผมไม่ใช่ทหาร ผมเป็นนายกที่จะมาบริหารประเทศ ผมไม่ใช่นักการเมือง แต่เป็นนักบริหารประเทศเป็นนายกรัฐมนตรีตามระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแล้วก็ประชาชนเป็นใหญ่ เพราะประชาชนเป็นใหญ่ ประชาชนปฏิวัติประชาชนทำรัฐประหาร ก็มารับไม้ต่อจากประชาชน พอดีเขาอยู่ในตำแหน่งหน้าที่พอดี แล้วประชาชนก็ไม่ได้ค้านแย้งก็เลยปล่อยให้พลเอกประยุทธ์ บริหารงานมาตั้ง 8 ปีแล้ว 

ประชาชนที่เคยปฏิวัติแสดงอำนาจโดยธรรม ปฏิวัติรัฐบาลที่ควรให้ออกไป เช่น ทักษิณ สมัคร  สมชาย ยิ่งลักษณ์ เป็นปรากฏการณ์แท้ อาตมาไม่ได้ไปโมเมอะไร

ความรู้ทางรัฐศาสตร์ของอาตมากับความรู้ของนักรัฐศาสตร์ ที่ส่วนมากก็จบมาจากเทวนิยม ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า แต่ของอาตมาประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ เป็นประชาธิปไตยที่ Absolute เลย Ultimate เลย สุดยอดแล้ว ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้วซึ่งเป็น Axium เลย อันนี้จบไม่มีความเปลี่ยนแปลงได้แล้วอันนี้เป็นความจริงที่เป็น Axium เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้วเป็นแต่ของแท้ 

เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยที่เมืองไทย เกิดพฤติการจริง ทำรัฐประหารรัฐบาลออกไปจริงๆนี้ แล้วก็มีพลเอกประยุทธ์เป็นตัวละครอยู่ในเรื่อง ตอนนี้กำลังดำเนินไปเพราะมันอยู่ในตำแหน่งหัวหน้า คสช.ในขณะนั้น จะต้องเดินเรื่องไปตามความจริง คนไม่รู้ก็เหมือนมีมายาหลอกตัวเองซับซ้อนอยู่ ก็เข้าใจไม่ได้อยู่นั่นแหละ เพราะเขาไม่รู้รายละเอียดที่ด้านไหนที่เป็นหงายมาให้ทำงาน ด้านไหนที่กลบไว้ ด้านไหนที่เปิดมา ซึ่งผู้ที่ไม่ชัดเจนก็มองไม่ออก มันเหมือนความสลับซับซ้อนที่เป็นสิริมหามายา 

เพราะฉะนั้นประชาชนทำรัฐประหารนี้ ไม่ใช่ทหารทำ ขอยืนยัน ไม่ได้ลงไม้ลงมือ โดยเฉพาะพลเอกสนธิ ตอนนั้นรัฐประหารก็เอารถถัง เอาปืนใหญ่อะไรออกมาบ้าง แต่พลเอกประยุทธ์ไม่ได้เอาออกมาเลย ไม่ได้เสียค่าน้ำมันอะไรเลย เพราะมันเป็นงานที่จบไปแล้วประชาชนทำให้เรียบร้อยแล้ว นี่คือรัฐศาสตร์ที่เมืองไทยเป็นเมืองเอก เป็นเมืองแรกเป็นเมืองหนึ่งในโลกของประชาธิปไตยที่เป็นประชาธิปไตยที่ Absolute หรือ Ultimate จริงๆ คนกำลังจะติดตาม เดินตามรัฐศาสตร์ที่ของไทย เป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นประชาธิปไตย 2 ขา ประชาธิปไตยขาเดียวนั้น เดี๋ยวคอยดูต่อไปเถอะ 

ซึ่งมันผิดธรรมชาติของมนุษย์ มนุษย์ต้องมี 2 มีรูปกับนาม มีภาวะ 2 เป็นเทวะ ขาหักไปหนึ่งเป็นของพิการทั้งนั้น ใครเอียงเป็นหนึ่งพิการทั้งนั้น มันต้องเกื้อกูลระหว่าง 2 นี้ตลอดกาลนาน เพราะคนมีจิตวิญาณต้องมีรูปมีนาม นี่ความรู้ของพระพุทธเจ้ามาตรัสไว้

สู่แดนธรรม... คำว่า นาม ของพ่อท่านหมายถึง ตัวที่เป็นผู้ปกครองใช่ไหมครับ

พ่อครูว่า... คือจิตวิอญญาณ มาเป็นผู้ปกครอง แล้วเป็นผู้ปกครองที่มีจิตวิญญาณ มีปัญญาโลกุตระ มันจึงเป็นเรื่องจริงของคนไทย แล้วการแพร่ ประชาธิปไตยนี้ มันมีรูปธรรมมา 70 กว่าปี ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทงงานมา เป็นรูปธรรมที่ดูยาก มันเป็นรูปมันยังไม่ใช่เป็นนาม มันถึงยาก เหมือนกับไอน์สไตน์ 

ไอน์สไตน์ค้นพบ รูป ของ พลังงาน แล้วพลังงานเป็นรูป พลังงานไม่ใช่นาม 

mc2 เป็นพลังงานทางอุตุ ไม่ใช่ถึงพีชะด้วย อโศกเรากำลัง สร้างพลังงาน ทางพีชะ ขึ้นไปให้มันมีประสิทธิภาพถ้าคนรู้จักความสำคัญของพืชพันธุ์ธัญญาหาร ยกสถานะของ พีชธาตุ พีชนิยาม ขึ้นมาสู่โลกว่าสำคัญกว่าอุตุ 

พีชนิยามก็ต้องมีอุตุ จิตนิยาม ก็มีอุตุ ถือว่า พีชนิยาม จิตนิยามเหนือกว่าอุตุ อุตุสู้พีชะไม่ได้ พีชะเอาอุตุไปใช้ พีชะสู้จิตไม่ได้ จิตเอาพีชะ เอาอุตุไปใช้  สัจจะที่เขาต้องยอมเพราะเขาสู้ไม่ได้มันเป็น Axium เป็นความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้วต้องเป็นอย่างนั้น 

นี่คือสัจจะที่เกิดในประเทศไทย ความเป็นประชาธิปไตย ขออภัยต้องใช้คำว่าที่ยิ่งใหญ่สูงสุดเกิดอยู่ที่นี่เป็นตัวกำเนิดในโลกยุคนี้

เคยมีมาก่อนแล้วถ้าจะพูดไปในโลกมันมีไม่รู้กี่วัฏสงสาร แต่ในยุคที่กำลังจะพูดได้เป็น status quo เป็นปัจจุบันที่ยืนยันกันได้ ของไทย ที่เป็นประชาธิปไตยตัวอย่างบทที่ 1 ของโลก 

พูดนี้ใหญ่มากนะ แต่ ขอยืนยันว่าอาตมาไม่ได้พูดสิ่งที่ผิด แต่มันต้องพิสูจน์กันด้วยเวลา และสิ่งที่จะเกิดขึ้น 

คนจำนวนไม่มาก คนไทยอยู่ในหลัก 7 หรือ มี 67 ล้าน อยู่ในหลักของ 7 ยังไม่ได้ประเมินกันจริงๆว่า คนไทยทุกวันนี้จะถึง 70 ล้านหรือยัง อาตมาว่าถึง เลข 7 เป็นอจินไตย เลข 7 เป็นเลขที่มีพลังที่ยิ่งใหญ่ เป็นพลังที่เปิดจาก 6 

6 คือ 3 กับ 3 และ 7 เป็นการก้าวหน้าของ cyclic ที่ 3 แล้ว 7 ก็จะไปเป็น 8 9 มันขึ้นมาเรื่อยๆ ซ้อนๆๆๆอจินไตย บทนี้ อาตมาพูดขึ้นมาเพื่อให้พิสูจน์พวกนักโหราจารย์นักสถิติจะตามไปศึกษาที่อาตมาพูด 

อาตมาไม่ใช่นักโหราศาสตร์หรือนักสถิติแต่อาตมาเป็นนักสัจธรรม ที่ปรุงแต่งเสร็จแล้ว นักโหราศาสตร์ก็ต้องไปคำนวณนักสถิติเขาก็ต้องคำนวณ แต่ของอาตมาคำนวณเสร็จแล้ว เอามาใช้เป็นรูปเต็มๆ 

อาตมาเอาสิ่งที่พิสูจน์ได้แล้วมายืนยัน มีตัวจริงมีคนมีจิตวิญญาณมีรูปธรรมมีรูปมีนาม จริง แล้วมีสังขารปรุงแต่งกันอยู่ พวกเราฟังนะวันนี้ จะได้เข้าใจอะไรที่ลึกซึ้งเข้าไปอีก 

เร่ง พัฒนาสิ่งที่บกพร่องของตัวเอง แล้วจะรับฟังได้ชัดขึ้นๆ ตามภูมิธรรมจริง 

 

Notebook ของพระพุทธเจ้าคือสัญญา

_Ekkanat Superlord  เอกนัฐ • 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา... ท่านเคยบอกว่าตัวเองเป็นอรหันต์  เหตุใดจึงต้องใช้โน๊ตบุ๊คจด แล้วอ่านตาม ? 

พ่อครูว่า...อาตมาพูดมาตั้งแต่พศ. 2558 

สมและเ สู่แดนธรรม... เขาคิดว่าทำไมต้องใช้ Notebook ภูมิปัญญาของพระอรหันต์ควรจะใช้สัญญาของตัวเองทั้งหมดสิ 

พ่อครูว่า... แม้พระพุทธเจ้า เมื่อท่านรู้สึกว่า ท่านเป็นพระพุทธเจ้าในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ท่านก็ยังรู้ไม่หมด ท่านยังไปเสวยวิมุตติสุข 49 วัน คำว่าเสวยวิมุตติสุข 49 วันนั่นแหละคือการที่ท่านทบทวนระลึกต่อๆไปอีก ซึ่งที่ท่านระลึกนั่นแหละคือ Notebook ของพระพุทธเจ้า การใช้ Notebook มันก็ต้องมีรหัสมีการกด ต้องมีการเปิดเป็นธรรมดา แต่อันนี้มันเป็นรูปธรรม ที่คนสมัยใหม่เอารูปธรรมสำเร็จรูปแล้วไว แต่ของนามธรรมนั้นมันต้องดึงขึ้นมานาน พระพุทธเจ้าทรงเสวยวิมุตติ 49 วัน แล้วทำก็ค่อยๆระลึกต่อๆๆไปอีก ระลึกได้เมื่อไหร่ก็บอกว่าภิกษุมา เดี๋ยวตถาคตจะพูดให้ฟัง บ่อยๆเลย ไปอ่านในพระไตรปิฎก แล้ว ท่านก็ขยายไปให้แก่พระสาวกไปเรื่อย ขออภัยอาตมาก็เป็นผู้ที่ตามฟังพระพุทธเจ้ามาจากพระโอษฐ์ ขออภัยที่พูด สิ่งที่จะปรากฎต่อไปนี้ ติดตามดีๆ เถอะ อย่ากระพริบตา จะได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น

อาตมายังไม่เก่งตรงที่ลืมง่าย นี่ก็ฟื้นความลืม เก่งขึ้นมาได้พอสมควรแล้ว ตอนก่อนๆนี้ อาตมาลืมแม้กระทั่ง นี่เราอาบน้ำหรือยัง วันนี้กินข้าวหรือยัง อย่างนี้จริงๆ

สู่แดนธรรม... มันไม่น่าลืม พระอรหันต์น่าจะเก่ง 

พ่อครูว่า... เพราะว่าพระอรหันต์เก่งในการทำความเกิดความดับ ยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ สำนวนหนังกำลังภายใน อาตมาเคยพูด อดีตไม่เร็วหรอก แต่ปัจจุบันความจริงนั้นที่จุดเล็กนิดเดียว นั่นแหละคือความจริง แต่ทุกวันนี้อาตมาฟื้นไม่ใช่วาง จะเห็นได้ว่ามันมีมากขึ้น ได้ฟังสิ่งใหม่ๆเป็นอานิสงส์ในการฟังธรรม 5 ประการไหม มีใหม่เพิ่มขึ้น เสร็จแล้วสิ่งที่ไม่เคยได้ยินก็ได้ยินได้ฟังเพิ่ม ความเข้าใจก็เข้าใจยิ่งขึ้น ทิฏฐิก็ยิ่งสัมมาทิฏฐิมากยิ่งขึ้นๆๆ จิตก็เลื่อมใสยิ่งขึ้นๆ อานิสงส์ 5 ประการในการฟังธรรมของสัตบุรุษ เป็นเช่นนั้นจริงๆ 

 

สมณะเดินดิน... สรุปจบ ประชาชนออกไปปฏิวัติรัฐประหารนั้น ไม่มีใครได้ตำแหน่ง 

พ่อครูว่า... นั่นยิ่งแสดงถึงสัจธรรมที่ ประชาชนออกไปทำงานแล้วไม่ได้เอาผลประโยชน์แก่ตัวเอง ใครมีหน้าที่รับผิดชอบมีตำแหน่งก็ทำไป ส่วนประชาชนมวลทั้งหมดไม่มีใครมาแย่งตำแหน่ง คนที่เหมาะสมจะมาทำด้วยอัตโนมัติ อย่างในยุคนี้พลเอกประยุทธ์อยู่ในฐานะหัวหน้าคสช.ก็มาสวมรอยอันนี้เป็นไปโดยอัตโนมัติ 

สมณะเดินดิน... ถ้าจะถามย้อนกลับว่าถ้าไม่มีประชาชนชุมนุมทหารจะมาทำอย่างนี้ได้ไหม ก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว จะมาปฏิวัติไม่ได้ แต่ที่ทำได้เพราะประชาชนทำมาก่อนทั้งหมดแล้ว จะมองตรงไหน จบ

ที่มา ที่ไป

650429 การปฏิวัติโดยประชาชนของไทย เป็น Soft Power พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ 


เวลาบันทึก 30 เมษายน 2565 ( 07:05:09 )

650502

รายละเอียด

650502 แยกกายแยกจิตอย่างไรให้ถึงอรหันต์ รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 36 

https://www.boonniyom.net/51948.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1dTVoe1csVQ0J2fE7k5I06rx_6E88xQmGkFGId9Patu8/edit?usp=sharing 

 

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/1cWTCJsU5j14P6pPuYi3_k9hkYonb1PY1/view?usp=sharing 

     

และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/cLzq7iXKsV/ 

และ https://youtu.be/k8gEIPg3Xu4 

 

การตลาดแบบโลกุตระคือเช่นไร

สู่แดนธรรม...วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก .....

ชาวโลกุตระต้องมีการตลาดหรือไม่ครับ 

พ่อครูว่า...จำเป็น คำว่าการตลาด หมายความว่า ยุคพระพุทธเจ้ามันไม่มีตลาด ยุคนี้ เราก็ต้องเข้ากับสมัย สมัยนี้มันมีตลาด ประชาชนทั้งหมด ทั้งเราไม่ได้สงวนสิทธิ์ว่า โลกุตระนั้นจะเผยแพร่ให้แต่ชาวโลกุตระจำนวนเดียว จำนวนหนึ่ง เท่านั้น เราต้องให้เผยแพร่ เท่าที่ผู้ที่ควรจะได้ มีความจำเป็นและเหมาะสมที่ควรจะได้ก็ต้องให้กระจายไปด้วยกัน เป็นภาษาคำว่าตลาด การตลาด เพราะฉะนั้นโลกุตรธรรม แม้ว่าจะเป็นโลกุตระ แต่ก็ต้องได้ไปจากชาวโลกที่นั่นแหละ จึงจะเป็นผู้รับสินค้าต่อมาเป็นลำดับๆๆ ชาวโลกุตระก็ได้โลกุตระ แต่ก็จะคนที่เป็นโลกียะนั่นแหละจะเป็นมวลเป็นผู้ที่รับจากผู้ที่มีแล้ว แบ่งไป หรือจำหน่ายให้แจกให้ พยายามยื่นให้แก่ใครที่รับได้เขาก็จะรับ จึงจะเพิ่มมวล ไม่ใช่อยู่แค่จำกัดขอบเขตแล้วก็ไม่เพิ่มอีกไม่ใช่ มันต้องเพิ่มสิมันต้องแพร่ขยายไป นี่คือสัจจะมันต้องเป็นเช่นนั้น ก็เรียกด้วยภาษาสมัยใหม่ แต่สมัยพระพุทธเจ้าไม่มีภาษาว่าการตลาด สมัยใหม่นั้นมี เราก็ต้องทันสมัย 

สู่แดนธรรม.. ครั้งนี้ โลกุตรธรรมแบบพ่อท่านเผยแพร่ คำมันย้อนแย้งกันนะครับ เราทำการตลาดแต่เราก็ทำกันอย่างไม่ต้องการบริวาร พ่อท่านจะมีหลักเกณฑ์ 

พ่อครูว่า... คำว่าบริวารมันเป็นโวหารที่ซับซ้อนลึกซึ้ง โลกียะเขาต้องการมวลเป็นหลัก ปริมาณเป็นหลัก แต่ของเราเอาคุณภาพเอาเนื้อหาสาระเป็นหลักซึ่งมันต่างกัน ซึ่งมันก็เป็น 2 สภาวะเรียกว่า เทวะ เพราะฉะนั้นถ้าเราจัดสรรมันให้เหมาะสมกับ กาละเทศะฐานะ 

กาละ ทุกวันนี้ เป็นกาละที่เปิด ไม่ใช่ยุคพระพุทธเจ้า สถานที่ก็เป็นสถานที่ไม่ใช่สถานที่อยู่ในอินเดียเท่านั้น มันกระจายออกมาจนถึงประเทศไทย เพราะฉะนั้นแต่ละฐานะบุคคล คนจะไปดูถูก หรือจะไปจำกัดบุคคลแต่ละบุคคลเท่านั้นไม่ได้ ทุกคนมีสิทธิ์ เป็นแต่เพียงว่า แต่ละคนผู้ใดล่ะ เขาจะสามารถรับได้ มีภูมิธรรม มีบารมี มีความสามารถรับได้ก็ต้องให้โอกาสเขา จึงเรียกว่า เป็นการตลาด เป็นคำศัพท์สมัยใหม่ 

สู่แดนธรรม.. แล้ว สินค้าของพ่อท่าน รู้สึกว่าไม่ใช่สินค้าแบบ mass นะครับ

พ่อครูว่า... มันก็ต้องไป จำนวนที่เพิ่มขึ้น แต่ถึงอย่างไรไม่ใช่เป็นจำนวนส่วนใหญ่ มันก็เป็นส่วนน้อยอยู่ดี ถึงอย่างไรอย่างไรก็เป็นส่วนใหญ่ไปแทนที่ โลกียะไม่ได้หรอก เพราะโลกุตระเป็นยอดพีระมิด เป็นส่วนไปหายอดพีระมิด ไม่ใช่ส่วนไปหาฐานพีระมิด เป็นสัจจะที่มันต้องจบ ถ้าเข้าใจมันก็จบ ถ้าไม่เข้าใจมันก็ไม่จบ 

สู่แดนธรรม... สินค้าที่เป็น mass ของพ่อท่านไม่ใช่ความต้องการของคนส่วนใหญ่ เช่น สอนให้คนมาเสียสละ มาลดละความโลภ คนจะต้องหันมาจน หันมาพัฒนาประเทศชาติด้วยกันมาจน ใครจะไปอยากได้ครับ 

พ่อครูว่า... ไม่ต้องอยากได้ คนที่อยากได้จะต้องเป็นคนที่มีภูมิปัญญา ผู้มีภูมิปัญญาจึงมีปรารถนาอยากได้ ว่า อันนี้เป็นสิ่งที่ควรจะอยากได้เรียกว่าเป็นสัญญาที่ไม่วิปลาส ผู้ที่มีสัญญาสัมมาทิฏฐิ สัญญาถูกต้องไม่วิปลาส กำหนดถูกว่า อ๋อ! อันนี้เป็นสิ่งควรได้ คนนั้นมีสัญญาได้อย่างนี้ก็เพราะคนคนนั้นอยู่ในฐานะของจิต ที่จะพัฒนาทิฏฐิ พัฒนาความรู้ความเห็นความเข้าใจขึ้นมาเห็นอันนี้ได้ ก็มีการพัฒนาที่ดีขึ้นมานั่นเอง 

เพราะฉะนั้นคนที่ไม่วิปลาสทั้ง 3 ทั้ง สัญญา ทิฏฐิ และจิต ก็ก้าวหน้าพัฒนาได้ ส่วนผู้ที่ยังวิปลาสถาวร จิตก็วิปลาส สัญญาก็วิปลาส ทิฏฐิก็วิปลาส คนเหล่านั้นจึงมีวิปลาส 4 

จะเห็นความทุกข์เป็นความสุข เห็นความไม่เที่ยงเป็นความเที่ยง เห็นความไม่มีตัวตนเป็นมีตัวตน เห็นอสุภะ เป็นสุภะ เห็นความไม่น่าได้น่ามีน่าเป็น เป็นความน่าได้น่ามีน่าเป็น มันก็เป็นความลงตัวตามพระพุทธเจ้าตรัสทุกอย่างแล้วทุกวันนี้ คนก็วิปลาสโดยไม่นึกว่าตัวเองวิปลาส 

สู่แดนธรรม.. มีนักข่าวเคยถามว่าท่านจะอุตสาหะ วิริยะ ทำไม เพราะมวลของท่านมีน้อย จะไปสู้กับมวลของทางโลกได้อย่างไร ตอนนั้นพ่อท่านตอบว่าเราไม่จำเป็นต้องไปหามวลของชาวโลกุตระให้มีน้ำหนักเท่าเทียมกับชาวโลก เรามีน้ำหนักแค่ 1 ใน 10 สามารถงัด เหมือนคานงัด

พ่อครูว่า... เหมือนปรอทกับโฟม ปรอทมีก้อนนิดเดียวแต่มีน้ำหนักมากกว่าโฟม มันเป็นสัจจะของมัน เราอยู่ของเรามีจำนวนมีมวลน้อย แต่อยู่ได้ คานได้ ทางโน้นมาจะบอกว่ามาทำลายมาล้มล้างจำนวนน้อยนี่แหละไม่ได้หรอก มันเป็นสัจจะ ความไม่จริงมันไม่มีน้ำหนัก 

สู่แดนธรรม... เพราะว่าพลังรวมของพวกเขาไม่ได้เป็นแผ่นเดียวกัน ใช่ไหมครับ เมื่อถึงวาระใดวาระหนึ่งความเห็นแก่ตัวเขาทำงานต่างคนต่างแยกย้ายกันไป แต่ชาวโลกุตรธรรมอย่างชาวอโศกมีสภาวะเป็น เอกีภาวะ

พ่อครูว่า... ใช่ แน่นมาก หนักมาก ส่วนของทางโลกนั้นฟ่ามไม่หนัก เบา งัดนิดเดียวก็กระเด็นได้ง่ายๆ 

สู่แดนธรรม.. สินค้าของพ่อท่านยังมีอีกอันหนึ่งที่คนโลกมองว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้ามีเรื่องของการเป็นสาธารณะกุศล แม้แต่เรื่องการเมืองได้ด้วยหรือ 

พ่อครูว่า... ก็พูดถึงอยู่เสมอเรื่องการเมือง ถ้าเข้าใจนะ ถ้ามีปัญญาเข้าใจจริงๆว่า การเมืองเป็นเรื่องของใคร การเมืองก็เป็นเรื่องของคน เมื่อมีคนก็ต้องมีการเมือง และคำว่าเมืองก็ต่างจากป่า การเมืองก็คือการที่เป็นลักษณะอย่างเมือง ไม่ใช่ลักษณะอย่างป่า 

ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นลักษณะของเมือง ไม่ใช่ลักษณะของป่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ลักษณะของคนเถื่อนคนป่า เป็นอาริยกะ ไม่ใช่มิลักขะ

พูดหลายทีแล้ววนเวียนซ้ำซาก แต่คนไม่เข้าใจเขาก็ไม่เข้าใจ เขาเข้าใจไม่ได้ ไม่ใช่เขาไม่อยากเข้าใจ เขาอยากเข้าใจแต่เขายังเข้าใจไม่ได้ ไปบังคับไม่ได้หรอกคนที่ยังไม่มีภูมิขึ้นมา จะไปบังคับให้ดอกไม้มันบาน ไม่ถึงเวลาวาระที่มันจะบาน มันก็บานไม่ได้เป็นธรรมดาธรรมชาติอย่างนี้เป็นต้น เราก็ได้แต่แพร่ สร้างการตลาดให้มันขยายตลาดออกไปเรื่อยๆ ผู้ที่เขาแสวงหา ไม่มีอคติ ตั้งใจแสวงหาจริงๆ หรือมีอคติก็ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สู่แดนธรรม... ผู้ที่แสวงหา ถึงแม้จะมีอคติ ผมมองไปที่จุดเริ่มต้น ผู้แสวงหาได้ยินได้ฟังสิ่งใหม่ แม้ว่าจะมีอคติ แต่เมื่อเวลาผ่านไป คิดว่าทิฏฐินี้จะค่อยๆถูกขัดเกลาถูกซักฟอกให้สะอาดยอมเปลี่ยนแปลงลดความเป็นอคติได้เช่นกัน  

พ่อครูว่า... ใช่ นอกจากคนที่ยึดมั่นถือมั่นอย่างหน้ามืดตามัว หลงติดยึดไม่เปลี่ยนแปลงไม่มี ปรโตโฆษะ เขาก็ไม่มีโยนิโสมนสิการ เป็นจริงตามพระพุทธเจ้าตรัสทุกอย่าง 

เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นจริงๆ ผู้ที่หลงตัวว่าตัวเองเป็นปราชญ์ เป็นปราชญ์ทางพุทธศาสนา ยึดมั่นถือมั่นของตนเอง แล้วก็หมิ่นหยามผู้อื่น ถือว่ารู้มาก  ตนเองรู้ยิ่ง รู้จริง เหมือนตัวเองเป็นพระเจ้า ผู้ที่ยึดมั่นถือมั่นจะเป็นอย่างนั้น บอกว่าไม่มีใครเท่าเทียมหรอก พวกนี้ก็นอนไปแก้ไขเขาไม่ได้หรอกเขายึดมั่นถือมั่นเสียแล้ว เปลี่ยนแปลงเขาไม่ได้ก็น่าสงสารก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ไปเอาอะไรกับเขาไม่ได้ก็ต้องปล่อยเขาไป 

แต่เราก็ต้องเอาเขาเป็นเป้า เป็นเป้าตัวอย่างที่จะตีงูให้กากิน แก้ไขไม่ได้แล้ว ก็ต้องจำเป็น งูจะฉกบ้างก็ต้องหลบเลี่ยงเอา เราต้องฉลาดพอที่จะตีงูไม่ให้มันมาทำร้ายเราให้ได้ นี่ก็เป็นการประมาณของสัตบุรุษ 

 

สู่แดนธรรม... วันนี้พ่อท่านเตรียมอะไรบ้างครับ มีรายงานจากสันติอโศก วันนี้ชาวชุมชนสันติอโศกชาวสวนบุญผักพืชและศิษย์เก่ารวมตัวกันมาฟังธรรมประมาณ 40 คนครับ 

40 คนมาร่วมกันเกี่ยวข้าวต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว 

พ่อครูว่า... ของเราไม่มีการจ้าง มาทำงานอย่างผู้รับใช้ ไม่ใช่ผู้มารับจ้าง แต่ผู้ทำงานอย่างรับใช้ สำคัญมากเลยคำว่ารับจ้างกับรับใช้ ผู้รับใช้คือนักประชาธิปไตย หรือผู้มีคุณค่าและประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ เป็นผู้อนุเคราะห์โลก เป็นผู้รับใช้โลก เป็นผู้ช่วยเหลือโลกอยู่ 

 

ชาวอโศกใช้บุญมาล่อหรือไม่

สู่แดนธรรม...มีคนแย้งว่า พวกคุณไม่ได้เอาทรัพย์สินมาล่อแต่เอาบุญมาล่อ 

พ่อครูว่า... จะใช้คำว่าบุญก็ได้ บุญหมายความว่าเป็นการชำระกิเลส แล้วเราก็ขยายความคำว่าบุญ ให้รู้ชัดเจนเลยว่ามาจัดการกิเลสของตนเองนะ มาไหม ใครจะเอา มาๆๆ มาเอา ที่จริงเอาไม่ได้หรอก มาทำมาสร้างจิตให้เป็นบุญให้เป็นพลังงานขจัดกิเลสให้ได้ แล้วคุณเสียด้วยซ้ำไปคือ กิเลสนั่นแหละถูกเสียไป ที่ในหลวงบอกว่าเราเสียนี่แหละคือเราได้ มันเป็น 2 สภาวะ สิริมหามายาเป็น dialectic พูดอีกอย่างหนึ่งเป็นอีกอย่างหนึ่งโดยเป็นความจริงด้วยไม่ได้เป็นมายากล ประเด็นนี้แหละเป็นประเด็นสัจจะที่ ยอดยาก ยอดจริง ที่จะต้องยอดรู้ให้ได้ 

สู่แดนธรรม... ไม่ได้ปฏิเสธว่าเอาบุญมาล่อ 

พ่อครูว่า... จะว่าล่อก็ได้ แต่คนที่จะมาเอาต้องฉลาด แล้วเราก็ไม่ได้ไปหลอกด้วย จะว่าล่อก็ล่อ จะบอกความจริง บุญ เป็นอย่างนี้นะ สันตานังปุนาติ วิโสเทติ คนที่เข้าใจถึงเนื้อถึงสาระแท้ก็จะมาเอา แต่คนที่ไม่เข้าใจคำว่าบุญ เข้าใจเพียงแต่กุศลก็มาหลงได้ แต่เขาก็พยายามทำความหลงของเขาให้ชัดเจนให้เข้าใจให้ได้ อย่าไปหลงผิด ให้ไปคิดถูกให้ได้ก็เพิ่มอ้วนขึ้นตามลำดับ จะบอกว่าล่อก็ได้ แต่ไม่ได้ลวงไม่ได้หลอกไม่ได้ทำให้หลง ทำให้ถูกต้อง 

สู่แดนธรรม... ไม่ใช่เป็นการล่อ แต่เป็นการเชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ เอหิปัสสิโก ถ้าหากวัดไหนสามารถเชื้อเชิญให้คนมาลดละกิเลสได้ ไม่ว่าจะลดแลกแจกแถมให้คนมาลดกิเลสให้ได้ 

พ่อครูว่า... ที่จริงถ้ามีการล่อหลอก มันจะทำหลายชั้น เสียเวลาเมื่อย ตรงๆแล้วไม่เมื่อย ไปคัดเลือกผู้ที่มีปัญญาจะเอาจริง ขนาดนั้นมันยังยากเลย ผู้ที่ถูกคัดเลือกและมีปัญญาเฉลียวฉลาดจริงรู้ว่าเป็นเป้าหมายที่จะมาเอาจริงยังไม่ง่ายเลย แล้วเราจะขนขยะมาทำไมอีกมากมาย ทางโลกีย์เขาชอบมวลมากๆ แต่ของเรานี้เอาคุณภาพ 

 

SMS วันที่ 29 เม.ย. - 1 พ.ค. 2564 

 

_ยายทอง ตาเซียน  · รู้สึกปลื้มปิติมากครับที่เห็นพ่อครูสุขภาพและกำลังดีขึ้นเป็นลำดับๆครับผม น้อมกราบสาธุ ๆ ๆ ครับ

พ่อครูว่า... อนุโมทนา

 

_Jantana Saeeaw จันทนา แซ่อิว  · อยากให้คนกทม.ได้ฟังอาจารย์ปานเทพพูดถึงคุณรสนาก่อนตัดสินใจเลือกผู้ว่าฯ น่าจะตัดตอนที่อาจารย์ปานเทพพูดแล้วเผยแพร่ในโซเชียลให้มากที่สุด ชาวกทม.จะได้มีชีวิตที่ดีขึ้นเสียที

พ่อครูว่า...เอาสิใครสามารถช่วยทำได้ทำเลย อาตมาเชียร์คุณรสนาจริงๆนะ เพราะว่าอยากให้ผู้หญิงมาเป็นผู้ว่าฯ กทม.คนแรก แล้วเป็นผู้หญิงที่มีความตั้งใจ มีเจตนารมณ์ ถือว่าเป็นคนมีกึ๋น ที่จะทำ ไม่ใช่มาทำงานเลี้ยงชีวิตเฉยๆ แต่มาทำงานเพื่อเนื้อหาสาระ เป็นเรื่องต่างกัน แต่แน่นอนทุกคนเขาก็ปฏิเสธว่าเขาไม่ได้ไม่มีเนื้อหาสาระ แต่มันก็ต่างกันนะ 

 

_ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรสุดเกล้าครับ เนื่องด้วยตอนนี้ก็ใกล้วันเลือกตั้ง ขอให้พ่อท่านพูดถึงคุณรสนา โตสิตระกูล ว่าเธอมีพฤติกรรมเป็นเช่นไรในสายตาของพ่อท่าน ซึ่งตอนนี้เธอได้ลงสมัครเป็นผู้ว่า กทม. เพื่อให้ญาติธรรมหรือที่ไม่ได้เป็นก็ตาม ให้ตัดสินใจที่จะไปเลือกเธอ ในฐานะที่ผมก็เป็นชาวกรุงคนหนึ่งผมก็จะไปเลือกเธอครับ และก็ได้ช่วยเธอโดยการแชร์บทความและภาพที่เธอทำไว้ขึ้นใน face book ด้วย ผมทำไปโดยไม่หวังในลาภยศ สรรเสริญ หรือเงินทองใด ๆ เลยจะทำจนกว่าจะถึงวันเลือกตั้งเลยครับ ถือว่ามันเป็นหน้าที่ของชาวกทม.ที่พึงทำได้ครับในระบบประชาธิปไตย อยากกราบเรียนพ่อท่านได้ให้สัมมาทิฏฐิด้วยครับ กราบนมัสการขอบคุณกับพ่อท่านอย่างสูงครับ

พ่อครูว่า...ก็พูดแล้วพูดอีกเป็นเช่นไร พูดทวนไปจนกระทั่งเบื่อปากตัวเองแล้ว 

คุณก็มีสัมมาทิฏฐิที่ดีขึ้นมาพอสมควรทีเดียว ซึ่งเข้าใจสัจธรรมอันนี้ เข้าใจสัจธรรมที่กำลังเป็นกำลังเกิดขณะนี้ เมื่อต่างคนต่างเห็นสอดคล้องกันก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็ช่วยกันผลักดันให้มันเกิด เกิดก็เกิด ไม่เกิดก็ไม่มีปัญหา แต่เราทำด้วยความจริงใจด้วยความสุจริตใจก็ทำไป มันเป็นเรื่องของสังคม เป็นเรื่องของการตลาดเป็นเรื่องของยุคสมัยต้องเป็นอย่างนี้ เราก็ทำไป 

 

_8784 น้อมกราบ พ่อครู ด้วยความเคารพอย่างสูง.. สังฆังสะระณัง คัจฉามิ.. วันนี้น่าจะหมายถึง ชุมชนสาธารณะโภคี ผมเข้าใจถูกไหมครับ

สู่แดนธรรม... เขาเอาที่อื่นพึ่งพาไม่ได้แล้ว สังคมที่มีผู้ประพฤติดีปฏิบัติดีก็น่าจะเป็นสังคมชาวอโศก 

พ่อครูว่า...งั้น ตอบว่าถูกต้องแล้ว สังฆังสะระณังคัจฉามินี่แหละ คือชุมชนสาธารณโภคี แต่คนเข้าใจถึงสาธารณโภคีไม่ได้ ทั้งๆที่มีชุมชนสาธารณโภคีเกิดขึ้นในโลกเกิดขึ้นมาในประเทศไทยแล้ว เกิดมานานตั้ง 50 ปีแล้วด้วย ขยายผลอยู่ สาธยายชี้แจงอธิบายให้เข้าใจกันอยู่ ยาก ยากทั้งรู้ ยากทั้งเป็นได้ เพราะฉะนั้นก็เลยต้องพากเพียรไป ให้เขารู้นะ จะให้มาเป็นก็ยังยากถ้าเขารู้แล้วเห็นดีเห็นงามก็เข้ามาเอามาเป็นได้  ก็จะเป็นไปตามลำดับค่อยๆเป็นไป 

 

พระอรหันต์ทำไมต้องตำหนิหลวงตามหาบัว

_SMS จากyoutube 1-2 เดือนที่ผ่านมา ตอน พระอรหันต์ทำไมต้องตำหนิหลวงตามหาบัว

พ่อครูว่า...ถ้าไม่ใช่อรหันต์จริงไปตำหนิหลวงตามหาบัวยากนะ หลวงตามหาบัวนี้ฉลาด เฉโก ยอด ถ้าไม่ใช่อรหันต์จริงจับส้นไม่อยู่หรอก สุดดิ้น สุดหลุกหลิก สุดมายากลเลย มหาบัวนี่

เพราะฉะนั้นอรหันต์จึงมีหน้าที่ พระมหาบัวมาปลอมแปลงตัวหลอกโลกว่าเป็นอรหันต์ เพราะฉะนั้นอรหันต์ตัวจริง จึงจำเป็นจะต้องยืนยันชี้บอกว่าเป็นกบฏ เป็นโจรมาหลอกโลกว่าตัวเองเป็นอรหันต์ ถ้าอรหันต์ไม่ทำหน้าที่ อรหันต์มีความผิด เป็นหน้าที่ของอรหันต์โดยตรงที่จะต้องยืนยันว่า เฮ้ย! มีตัวปลอมเข้ามาแทรกอยู่ในอรหันต์จริง หลอกมนุษย์หลอกโลกเขา แล้วได้มวลได้บริวารด้วย ก็ต้องน่าสงสารพวกมวลพวกบริวารสิ ให้หลอกอยู่ได้อย่างไร มันทั้งผิดจากสัจธรรมมันทั้งเป็นบาป มันทั้งทำลายมนุษยชาติ โดยเฉพาะทำร้ายสัจธรรม ทำลายธรรมะของพระพุทธเจ้า สรุปแล้วมันบาปไปหมด 

ตัวเองเป็นบาปใจแล้วมาชวนอื่นลงนรกเป็นบาปไปด้วยกันมันก็ต้องช่วยกัน เพราะเขาชวนกันดึงกันลงนรก อาตมาก็ต้องมีเมตตาก็ต้องช่วย ช่วยมหาบัว การตำหนิมหาบัวให้รู้ตัวรู้ตนว่าผิดนี้เป็นเมตตาเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลมหาบัว เข้าใจไหมที่พูดนี้ ไม่ได้หมายความว่าเป็นการพูดเล่นแต่พูดสัจธรรม 

ทำไมอรหันต์ต้องตำหนิมหาบัว ก็เพราะว่าถ้าไม่ใช่อรหันต์จริงตำหนิมหาบัวไม่ได้ มหาบัวและลูกศิษย์ดีดเอาแน่ ต้องมีภูมิพอมีกึ๋นพอที่จะตำหนิมหาบัว มหาบัวมาอธิบายสาธยายสัจธรรมอย่างที่อาตมาแจกแจงไม่ได้หรอก แยกโลกุตระกับโลกียะไม่ได้ แยกไม่ออก ไม่รู้ประสีประสาด้วย แม้แต่แค่ตัวเองเสพติดอยู่ในสิ่งเสพติด ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเสพติด แล้วมันจะไปรู้อะไรมากไปกว่านั้น ก็ยังเสพติดแล้วหลอกผู้คนว่าไม่ใช่สิ่งเสพติด โดนหลอกไปด้วยภาษาว่านี่คือเรื่องของกายขันธ์ กายกับจิตคืออะไร มหาบัวหมดสิทธิ์ที่จะรู้ว่ากายกับจิตคืออะไร 

กาย คือจิต คือมโน คือวิญญาณ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส มหาบัวเอาหัวตีดินเลยจะไปรู้เรื่องอะไร ลูกศิษย์มหาบัวก็ตาม จะไปรู้เรื่องได้อย่างไร เป็นภาษาโลกุตระที่ยากเย็นขนาดนี้ 

เพราะฉะนั้นถ้าอรหันต์ไม่ขยายความ ไม่จี้ไม่บอกความผิดความถูกแล้วจะให้ใครบอก จะให้ใครมาเป็นคนยืนยันชี้ความผิดความถูก มันก็ต้องพูดที่รู้ผิดรู้ถูกที่แท้จริงจะเป็นผู้ที่ชี้ผิดชี้ถูกได้จริงๆ 

 

_พัชรกมล ทองสิน  • ผู้มีธรรมย่อมไม่เพ่งโทษผู้อื่น

พ่อครูว่า… ถูกต้องที่สุด  ผู้ที่ไม่มีธรรมะที่ยังมีอวิชชา ผู้ที่ยังไม่บริบูรณ์ก็ชี้ผู้อื่นด้วยหรอว่าตัวเองรู้ แต่ตัวเองเพ่งโทษ มองแต่โทษของผู้อื่น โดยที่ผิดๆถูกๆตัวเองก็ไม่รู้

เพราะฉะนั้นผู้ที่มีธรรมะจึงไม่เพ่งโทษผู้อื่น เพราะฉะนั้นผู้ที่เพ่งโทษผู้อื่นอยู่ก็จึงเป็นผู้ที่ไม่มีธรรมะก็ถูกแล้ว

สู่แดนธรรม... เขาบอกว่าพ่อท่านเป็นผู้ที่มีธรรมะแล้วทำไมไปเพ่งโทษอีก 

พ่อครูว่า... คนที่พูดมาว่าอาตมานั่นแหละ เขาไม่มีความรู้ เขาไม่มีปัญญา เขาไม่มีปฏิภาณที่รู้ความจริงตามความเป็นจริง อาตมามีความจริงตามความเป็นจริง 

อย่างจริงที่สุดอันแรก จริงที่หนึ่งคืออาตมาเป็นพระอรหันต์ อาตมาเปิดเผยจนหมดแล้วพูดสบายๆ ยืนยันพูดหน้าตาเฉยว่าตัวเองเป็นอรหันต์สบายๆแล้ว ไม่ใช่เรื่องโกหกไม่ใช่เรื่องมดเท็จไม่ใช่เรื่องหลอกลวงแต่จริงที่สุด แล้วไม่ใช่ ให้อรหันต์ไปพูดความจริงจะให้ใครไปพูดความจริง ตำหนิก็ต้องตำหนิจริง ยอมรับก็ต้องยอมรับอย่างแท้จริง 

การเพ่งโทษเป็นเรื่องของผู้ที่ไม่จริงไม่มีความรู้ ไปเพ่งเอา ถ้าไม่เพ่งมันก็รู้อยู่โดยไม่ต้องเพ่ง แต่ถ้ายังไปเพ่งอยู่ก็แสดงว่ายังไม่รู้ ไม่สมบูรณ์ เป็นพวกสมถะหรือเป็นพวกเพ่งฌาน เกร็งอยู่ พวกยังไม่ปกติ ถ้าคนปกติ รู้แล้วสมบูรณ์แบบไม่ต้องเพ่ง พูดโดยสภาวะนะ 

สู่แดนธรรม... พ่อท่านไปเห็นเองเลยใช่ไหมครับ 

พ่อครูว่า... โทษก็เห็นเป็นโทษ คุณก็รู้ว่าเป็นคุณ เห็นแล้วก็รู้เลยไม่ต้องไปเพ่งหรือไม่ต้องไป concentrate ไม่ต้องรวมจิตเพ่ง เห็นปุ๊บก็รู้เลยเป็นอภิภายตนะ 8 สามารถรู้รายละเอียดเล็กใหญ่ๆข้างนอก สุพรรณะ ทุพรรณะ รู้ทันที สีเขียวอย่างนั้นอย่างนี้ยังโน้นอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อภิภายตนะ รู้จักว่ารายละเอียดของมันต่างกันก็รู้ แยกมวล เขียวคือเขียว แดงคือแดง เหลืองคือเหลือง ขาวคือขาว ยิ่งจะรู้ง่าย ก็รู้แล้วว่ามันต่างกันอย่างไร 

สู่แดนธรรม... คาแรคเตอร์ของพระพุทธศาสนา ยกย่องการตำหนิติเตียนเพ่งโทษไหมครับ 

พ่อครูว่า... ยกย่อง ผู้รู้จะกระหนาบแล้วกระหนาบอีก ไม่มีหยุดด้วยคำตำหนิ แต่สรรเสริญ ไม่เพียงพอให้ลดละหนายคลาย มีแต่การตำหนินี่แหละจะพาเจริญ เพราะการตำหนิเป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญยกย่อง ส่วนการชมเชยสรรเสริญเป็นการน่าตำหนิไม่ใช่ยกย่อง มันกลับกันอย่างนี้สัจธรรม ทุกวันนี้ไปสงสัยจะทำคนละขั้วเอาหัวไปหาเอาหางกลายเป็นหัวไปหมด 

 

_เอกรินทร์ เฉื่อยกลาง  • ผมก็แปลกใจทำไมท่านมาพูดตอนพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงตามหาบัวเสีย ทำไมตอนองค์หลวงตาอยู่ไม่พูด

แล้วท่านรู้ได้ไงว่าองค์หลวงตาพิจารณายังไง ท่านไม่ใช่องค์หลวงตา

พ่อครูว่า...หลวงตาอยู่อาตมาก็พูด ไม่ใช่ไม่พูด 

สู่แดนธรรม... พูดจนหลวงตาตอบโต้ว่า เป็นพวกนิสัยไม่ดี 

พ่อครูว่า... คุณไม่รู้เรื่อง แต่ ประเด็นท่านรู้ได้อย่างไรว่าหลวงตาพิจารณาอย่างไร ก็รู้เพราะแสดงออกทนโท่มีปรากฏการณ์จริง ไปรู้ได้ไงว่าหลวงตาพิจารณาอย่างไร 

อาตมาจะวิเคราะห์ให้ฟังง่ายๆ มหาบัวไม่รู้เรื่องหลงอยู่ในภพนั่งหลับตาแล้วฝันเฟื่องไปเพ้อพกเพ้อเจ้อไป เป็นนิรมาณกาย เลอะเทอะไปหมด แล้วก็เอาเรื่องเหล่านั้นมาพูด คนที่ฟังเป็นลูกศิษย์มหาบัว แต่เป็นคนตาบอดชวนคนตาบอดไปดูหนังใบ้ หลวงตาบัวก็พูดไป คนที่ฟังก็คือคนตาบอดชวนคนตาบอดไปดูหนังใบ้ บอกว่าท้องฟ้าสีสวยจังเลยอย่างนี้เป็นต้น หลอกกันไปจนงมงายไปหมดเลย เพ้อเจ้อเพ้อพกแล้วไม่รู้ตัวว่าเพ้อเจ้อเพ้อพกอะไร 

เพราะฉะนั้นจึงพิจารณาเห็นอยู่จริงๆเลยว่าหลวงตาบัวไม่รู้แม้กระทั่ง โลกของคำว่า กาม คือ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสหยาบๆ เรียกว่ากามคุณ 5 ผู้เสพผู้ติดอยู่ คืออย่างไร หลวงตาบัวก็เสพก็ติด แล้วก็ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเสพติด หลงว่าตัวเองนี้หลุดพ้น ก็การเสพติดรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอยู่หยาบๆ เรียกว่าขั้นอบายมุขติดสิ่งเสพติดหมากพลูบุหรี่ ยานัตถุ์ ยาดม ยาสูบพวกนี้ มันเป็นเรื่องชั้นต่ำ เสพติดขั้นนี้ก็เห็นๆอยู่ จะบอกว่ารู้ได้อย่างไร มาใช่องค์หลวงตาบัว องค์หลวงตาบัวจะไปรู้ได้อย่างไรเพราะว่าองค์หลวงตาบัวนั้นโง่ไม่รู้สัจธรรม นี่พูดกันชัดๆอย่างนี้ไม่ใช่ว่าไปลงโทษ ไปข่มหลวงตาบัว แต่เอาความจริงมาพูดมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ อาตมาพูดอะไรมีแต่ความจริงไม่มีอะไรที่ไม่จริง ถ้าจะมาพูดความจริงไม่เป็น นี่ก็พูดความจริงสู่ฟังจนหมดเปลือกแล้ว ที่พูดไปนี้ยืนยันว่าถูกต้องทั้งนั้นไม่มีความไม่จริง อาตมาพูดความจริงไม่เป็น พูดสิ่งที่ผิดไม่เป็น พูดแต่สิ่งที่ถูก ฟังดูแล้วก็น่าหมั่นไส้ ไม่รู้จะทำอะไรก็เป็นความจริงอัตโนมัติ ก็ยืนยันความจริงเท่านั้นเอง 

แต่คุณไม่รู้ คุณก็แย้ง คุณก็เถียงมันก็เป็นธรรมดาอีกนั่นแหละ ถ้าคนที่รู้ก็ไม่เถียง คนเขาก็เพิ่งรู้เพิ่งเข้าใจได้ประโยชน์จากอาตมา แต่คนไม่ได้ประโยชน์ก็ไม่ได้ประโยชน์ ยิ่งยึดมั่นถือมั่นว่าของตัวเองถูกทั้งที่ของตัวเองผิดอยู่เข้าใจผิดอยู่ ก็เลยไปกันใหญ่เลย 

 

_Z'Zak Hongsawadee แซดแซค หงสาวดี  • คุณพูดผิด การกินหมากมันเรื่องของกาย เหมือนคุณหิว คุณกิน ก็ไม่ใช่เพราะจิตหรอที่อยากกินข้าว อยากหยุดกระหายข้าว  ขันธ์ 5 มันว่าเรื่องของกายและใจ ธรรมชาติของกายและใจเป็นแบบไหนก็เป็นอย่างที่มันเป็นของโลก ถ้าพูดแบบนี้ คุณห้ามกินข้าวนะถ้าคุณหิว เพราะนั่นก็คือกิเลสคือความอยาก เหมือนกัน #กรุณาแยกด้วยนะว่า อาการของจิต กับการหลงไปกับจิต

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

 

ลดกิเลสได้จริงสามารถไปประท้วงรัฐบาลชั่วให้ออกไปได้

สู่แดนธรรม... ผมติดตามศึกษากับพ่อท่านมาหลายสิบปีแล้ว เคยอยู่ในสายโน้นมาก่อน หลับตาทำสมาธิ แต่ของพ่อท่านสอน นั้น ให้พิสูจน์อย่างลืมตา

พ่อครูว่า...พวกหนึ่งสะกดกลั้น ไม่ให้กิเลสเข้า กับอีกพวกหนึ่งสัมผัสทุกทวารเปิดรู้ แต่กิเลสเข้าไม่ได้ 

สู่แดนธรรม... กิเลสเข้าได้อยู่เหมือนกันแต่สู้กับกิเลสได้ มีวิธีสู้กับกิเลสได้เหมือนกัน ต้องเอาแบบอนุบาลก่อน 

พ่อครูว่า... คือ วิธีมันมี 2 วิธีอย่างนี้ที่แยกกันใหญ่ๆ สะกดกั้น ไม่ให้กิเลสเข้า เขาก็ทำกันทั่วไปเป็นวิธีที่ง่าย แต่มันไม่ได้จริง มันไม่ถาวร มันไม่ยั่งยืน มันไม่เสร็จไม่จบ มันไม่แล้วหรอก มันวนเวียน ได้แล้วก็กลับคืนมาเป็นกิเลสอีก กิเลสมันก็ยังเป็นอยู่ เพราะมันยังไม่รู้จักกิเลสไม่ได้ฆ่ากิเลสให้มันวอดวายตายสนิท มันไม่ได้ฆ่าตัวโจรจริงๆให้ตายสนิทเลย ใช้โวหารพูดกันให้ชัด เป็นพฤติกรรมของตัวโจรที่เลวร้าย เพราะฉะนั้นต้องประหารก็เป็นภาษาที่เป็นโวหาร ฟังด้วยภาษาคนแล้วเหมือนฆ่าแกงประหารกัน แต่ก็คือการกำจัด การชำระการทำลายให้มันหมดไป มันก็เป็นเช่นนั้น 

เพราะฉะนั้นของพุทธจึงชัดเจนว่า ไม่ปิดไม่สะกด ไม่ป้องแต่ทำเป็นลำดับ ทำในจำนวนหนึ่ง เอาแต่เหตุในแง่หนึ่งตามหลักของธรรมของศีลของพระพุทธเจ้าแต่ละข้อ จัดการประพฤติ สัมผัสอย่างนี้ก่อนอันอื่นๆเอาไว้ก่อน มันจะสัมผัสอย่างไรก็ไม่รับ เอาตัวนี้กำหนดของมัน เช่น ไม่ฆ่าสัตว์ 

เอาเรื่องไม่ฆ่าสัตว์เสียก่อน ไม่ฆ่าแล้ว ก็ไม่ไปทำร้าย ไม่ไปเบียดเบียนอะไร นอกจากไม่ทำร้ายไม่เบียดเบียน ไม่มีอาวุธ ไม่มี ทัณฑะ ไม่มีอะไรไปทำร้ายแล้วยังมีตาหูจมูกลิ้นกายมีมือมีเท้าอะไรก็ตาม ก็ไม่ไปทำร้ายไปทำร้ายไปเบียดเบียนกัน มีความกรุณามีความเอ็นดูหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ นี่คือสำนวนของศีลข้อที่ 1 มีรายละเอียดดังนี้ ก็เอามาปฏิบัติให้ได้จริงๆ 

คนที่ปฏิบัติสำเร็จ บรรลุผลที่แท้จริงจนเป็นอัตโนมัติ บรรลุผลเป็นอย่างนั้นจริงๆมันเป็นเช่นนั้นเองเป็นปกติของชีวิต เรียกว่าเป็นผู้ที่มีศีล เป็นผู้ที่มีความปรารถนา หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่จริงๆเลย ไม่ทำร้าย แม้ว่าสัตว์อื่นจะทำร้ายเรา เราก็ไม่คิดโกรธเคืองอาฆาตพยาบาทอะไรเลย ถึงปานนั้น เพราะเราห้ามสัตว์อื่นที่ยังโหดร้ายยังทำร้ายผู้อื่นอยู่ เราห้ามไม่ได้ เราต้องฉลาดพอที่จะไม่ให้สัตว์มันทำร้ายเรา เช่น

เอาง่ายๆ ว่า ผู้ที่เขายังผิด มันเป็นการกระทบนะไปว่าผู้ที่เขายังผิด อย่าให้ผู้ที่รับการตำหนินั้น สะท้อนตอบจนมาทำร้ายเราได้ คุณต้องมีความสามารถถึงป่านฉะนี้ แล้วคุณถึงจะทำได้และรอบตัว โดยลักษณะโลกแล้ว ว่าเหมือนอย่างอาตมาว่าแรงเขาก็ตอบไม่ได้เพราะว่าอาตมาเอาสัจจะของพระพุทธเจ้า เอาธรรมะของพระพุทธเจ้า มาตอบรับ  มันก็สู้ธรรมะสัจจะของพระพุทธเจ้าไม่ได้ มันเป็นสัจจะที่ชนะสิ่งที่เหนือชั้นกว่าจริง ถูกต้องกว่าจริง มันก็ชนะจริง 

เช่น อาตมานำเอาความจริงอันนี้มาปฏิบัติประพฤติ ไปประท้วงปฏิวัติรัฐบาลทรราชด้วยหลักอันนี้เลย เอาแต่ความจริง ไข ความจริงออกมาให้มากๆหมด  จนทางโน้นจำนนความจริงว่าเขาชั่วจริงเขาผิดจริงเขาหมดสิทธิ์ที่จะเป็นจริง ประชาชนรับรู้ ประชาชนเข้าใจแล้วว่าผิดจริง รัฐบาลทรราชจริง จึงรวมตัวเป็นมวลชาวประชาธิปไตยเห็นพ้องกันเป็นพลังมวลของประชาชน ยอมรับอันนี้ว่าเป็นความจริงถูกต้องอันนั้นผิดอันนั้นออกไป ทรราชจึงเข้าไม่ได้ ทรราชจึงต้องระเห็จออกไป 

นี่เอาพฤติการณ์จริงของสังคมประเทศชาติที่ได้ทำมาแล้ว ไม่ใช่ปฏิวัติหรือประหารรัฐบาลเดียว แต่ประหารตั้งหลายรัฐบาล นี่เป็นเรื่องของประชาธิปไตยเมืองไทย เอาความสงบสยบความรุนแรง เอาความจริงเข้ามาไล่ความผิด แล้วเขาก็จำนนในความผิดของเขาอย่างเรียบร้อยราบเรียบ ราบรื่นง่ายงาม ไม่เกิดอะไร นอกจากพวกที่ Error มายงมายิงกันก็คือพวกรัฐบาลทรราชนั่นแหละทำ พวกเราไม่ได้ไปทำเลย ไม่ได้ไปสร้างความรุนแรง แต่พวกนั้นไปสร้างแรงกระเพื่อมเอง ในรายละเอียดเป็นเช่นนี้ ซึ่งมันเป็นเรื่องสูงส่ง 

นักรัฐศาสตร์จบดอกเตอร์มาก็ไม่รู้ว่านี่คือสิ่งที่เกิดจริงเป็นจริงปรากฏการณ์ ที่เกิดในไทยแล้ว เป็นรัฐศาสตร์ตัวอย่างของโลก พิสูจน์ตามกฎสากลหรือว่าความสงบสยบความรุนแรง อย่าไปสร้างความรุนแรง ผู้ชนะด้วยความสงบชนะด้วยความไม่มีอาวุธเอาแต่ความจริงมาเป็นตัวชนะ ยังไม่มีใครทำได้นอกจากประเทศไทย ประเทศไทยจึงเป็นประเทศที่เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ เท่าที่มันสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่มีในโลกในปัจจุบันนี้ ใน200 กว่าประเทศ ที่เป็นประเทศประชาธิปไตย  อาตมาพูดอย่างนี้ นักภาษาศาสตร์ฟังแล้วเอาไปตรวจสอบความเป็นจริง ไม่ใช่ดูถูกดูแคลนว่าอาตมาไม่ได้เรียนจบดอกเตอร์ทางรัฐศาสตร์ ไม่ได้มีความรู้ ไม่ได้เคยปกครองบ้านเมืองอะไรต่ออะไรไป อาตมาไม่ต้องปกครองบ้านเมือง ไม่ต้องปกครองมวลเท่านั้น อาตมาปกครองพวกโลกุตระ ถ้าจะว่าจริงๆซับซ้อน ยากกว่าพวกที่จะมาปกครองโลกียะอยู่ พูดแล้วเหมือนน่าหมั่นไส้แต่เป็นเรื่องจริง ก็มีตัวอย่างเป็นมาได้ถึง 50 ปีแล้วแหละ 

ชาวโลกุตระมีภูมิปัญญาแยกความผิดความถูก เพราะฉะนั้นชาวอโศกรู้ความผิดความถูกได้ละเอียดกว่าชาวโลกียะ พวกเราผิดเล็กผิดน้อยเดี๋ยวเจอ ตำรวจในชาวอโศกเป็นตำรวจชั้น 1 ตำรวจตาแหลม ตำรวจมีปัญญา ไม่ใช่ตำรวจแบบพื้นๆ 

 

แยกกายแยกจิตอย่างไรให้ถึงอรหันต์

สู่แดนธรรม... ที่ถามว่า คุณพูดผิด การกินหมากมันเรื่องของกาย เหมือนคุณหิว คุณกิน ก็ไม่ใช่เพราะจิตหรอที่อยากกินข้าว อยากหยุดกระหายข้าว  ขันธ์ 5 มันว่าเรื่องของกายและใจ ธรรมชาติของกายและใจเป็นแบบไหนก็เป็นอย่างที่มันเป็นของโลก ถ้าพูดแบบนี้ คุณห้ามกินข้าวนะถ้าคุณหิว เพราะนั่นก็คือกิเลสคือความอยาก เหมือนกัน #กรุณาแยกด้วยนะว่า อาการของจิต กับการหลงไปกับจิต

พ่อครูว่า... อันนี้คุณไม่มีสามารถมีความหยั่งรู้ได้ว่าอาตมาไม่หิว ไม่มีความอยากกินข้าว คุณไม่มีสิทธิ์รู้หรอกมันเป็นอจินไตย มันเป็นปัจจัตตังของอาตมา อาตมาเป็น อาตมาไม่เคยอยากกินข้าว ช่วงที่อาตมาบรรลุแล้วนะ คุณไม่รู้สัญญา ไม่รู้เวทนาของอาตมา อาตมาไม่ได้อยากกินข้าว ไม่ได้หิวข้าว ซึ่งยากที่จะเข้าใจ แต่คุณเดาเอาตามที่คนเดา คุณเป็นไม่ได้หรอกที่จะไม่อยากหิวข้าว ภูมิของคุณไม่ถึงหรอก

สู่แดนธรรม... ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า พระขีณาสพสิ้นแล้วซึ่งความกระหาย 

พ่อครูว่า... ใช่ ไม่มีความกระหายอยากกิน รู้แต่ว่าไม่กิน มันก็วางลง สังขารมันก็ซูบซีดลงมันก็น้อยลงเป็นธรรมดาธรรมชาติก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง สักวันหนึ่งมันก็ตาย มันก็แห้งหายตายไปหยุด หมดแรง มันก็เป็นธรรมดา ไม่ได้มีปัญหาอะไร 

เพราะฉะนั้นที่บอกว่า ขันธ์ทั้ง 5 มันว่าเรื่องของกายและใจ คำว่ากายและใจคุณพูดมาเป็นคำที่ 2 แล้วนะ เมื่อกี้นี้คุณบอกว่าการกินหมากเป็นเรื่องของกาย แล้วคุณเข้าใจคำว่ากายไหมอาตมาอธิบายว่า กายมันมี 2 อย่างต้องมีใจด้วย กายไม่มีใจเป็นประธานไม่ได้ ใจนี้ใหญ่กว่ากาย แต่ต้องมีกาย แล้วกายนี้จะต้องมีกับใจคู่กันอยู่เสมอแยกกันไม่ได้ ทุกวันนี้จึงได้แยกผิดกันใหญ่แยกกายกับใจออกเป็น 2 อย่าง แยกกันโดยไม่เข้ามาร่วมกันด้วยนะ อันนี้แหละเป็นโมฆะบุรุษ เป็นมิจฉาทิฐิที่หมดสิทธิ์ที่จะบรรลุธรรม 

เพราะฉะนั้นธรรมชาติของกาย เป็นแบบไหนก็เป็นแบบอย่างที่มันเป็นของโลก คุณหมายถึงพูดคำกลางๆว่าโลก โลกหมายถึงโลกีย์ก็ถูกแล้ว ถ้าหากโลกุตระแล้วมันเข้าใจการเป็นกายการเป็นจิต โลกุตรจิตจะเข้าใจ 

ถ้าคุณพูดอย่างนี้ คุณห้ามกินข้าวนะถ้าคุณหิว ตกลง ถ้าหิวอาตมาก็ไม่กิน แต่อาตมาไม่หิว แต่เขาเอามาให้กินควรกินอาตมากินได้นะ เพราะอาตมาไม่ได้กินด้วยความหิวอย่างที่คุณว่า ที่บอกว่าเป็นกิเลสความอยากมันก็ใช่ความหิว เป็นกิเลสของความอยาก ความรู้คู่ควร ควรกินกับไม่ควรกินนั่นไม่ใช่กิเลส 

เพราะนั่นคือ กิเลสคือความอยากเหมือนกันบชก็เพราะว่าคุณยังแยกไม่ออกเลยว่า ไม่หิว ไม่อยาก แต่ควรกิน กับหิว อยาก ที่เป็นกิเลส คุณก็ยังไม่รู้ แล้วคุณไม่มีสิทธิ์รู้ว่าคนไม่อยากไม่หิวมีอยู่หรือ มี อาตมานี่ไง

สู่แดนธรรม... หมากพลูเป็นสิ่งที่ไม่ควรเอาเข้าสู่ร่างกายเหมือนกับข้าวเลย แต่คุณจะใช้หลักเกณฑ์เดียวกันว่าความต้องการข้าวกับความต้องการหมาก มันเป็นเรื่องของกายเท่านั้น จะอ้างเป็นเรื่องของกายหรือเรื่องของจิตหรือเรื่องของขันธ์ 5 กันแน่ 

พ่อครูว่า... เขาทิ้งท้ายด้วยคำว่า กรุณาแยกด้วยนะ อาการของจิต กับการหลงไปกับจิต ดีคุณใช้ภาษานี้ก็ดี 

อาการจิต กับการหลงไปกับจิต นี่ เขาแยกแตกต่าง การตามความกำหนดหมายของเขา อาตมาก็กำหนดหมายตามที่เขาเขียนมา 

อาการของจิต ที่มันเป็นจริงอยู่กับการหลง หลงไปกับอาการของจิต เพราะฉะนั้นถ้าใครสามารถเข้าใจอาการของจิต มันก็เป็นความจริงของอาการของจิต เป็นเช่นใดมันก็เป็นเช่นนั้น คุณเป็นคน คุณยังไม่ตาย คุณยังมีชีวิต มีชีวะ มีภูมิปัญญาพอ จะรู้จักอาการของจิต 

อาการนี้ต่างกันกับอาการอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า ลิงค หรือเพศ นิมิต คือเครื่องหมายของอาการนั้นๆ กำหนดให้รู้ให้ตรงตาม อุเทส ตามภาษาที่อาตมาพูดก็ดี คุณพูดก็ดี ใครพูดก็ดีที่ชี้แจงออกมานั้น มันตรงกันไหมล่ะ ตรงกันไหมล่ะว่าอาการเดียวกันนิมิตเดียวกัน หรืออาการต่างกัน กับนิมิตต่างกัน แยกได้ไหมล่ะ 

ถ้าอยากได้ก็รู้จัก 2 รู้จักการต่างกันมันต้องมี 2 อาการที่ไม่ต่างกันมี 1 มีนิพพานอย่างเดียว 0 ไม่ใช่ 1 ไม่ใช่ 2 แต่ 0 อย่างเดียว คือสูญ หมดจากความไม่รู้ 0 หมดจากความจริงที่จะมาแย้งกัน มันลงตัวคือ 0 มันไม่มี 2 ไม่มี  1 ด้วย 

สภาวะอย่างนี้ คุณมีสภาวะกับพยัญชนะภาษาบอกว่า 0 บอกว่า 1 บอกว่า 2 ไหมล่ะ ถ้าคุณมีความรู้สภาวะ และพยัญชนะมันลงกัน คุณก็จบ 

เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ท่านลงกันตรงที่สัจจะมีหนึ่งเดียวคือนิพพาน ก็จบด้วยกันทั้งคู่พระอรหันต์ด้วยกัน คนไม่ใช่อรหันต์ก็แย้ง คนยังไม่ใช่เป็น 1 ด้วยกันก็แย้ง มันไม่ใช่เรื่องแปลกไม่ใช่เรื่องพิสดารไม่ใช่เรื่องประหลาด แต่มันเป็นเรื่องจริงๆต้องเป็นธรรมดาธรรมชาติอย่างนั้น 

(พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สู่แดนธรรม... ในข้อสุดท้าย เขาขอร้องพ่อท่านว่า กรุณาแยกแยะอาการของจิต ซึ่งเป็นตัวอาการแท้ๆ ไม่ใช่อาการที่มีกิเลสปรุงแต่งสังขารด้วย เท่าที่ผมรู้มา ครูบาอาจารย์ที่เคยพาหลงไปกับอาการของจิตมากเลย ในขั้น เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าอยู่ในอาการนั้นแล้ว ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นสัญญาหรือไม่เป็นสัญญากันแน่ สายวัดป่าทั่วไปจะออกจากตรงนี้ไม่ค่อยได้ 

พ่อครูว่า... ไม่ได้ เพราะสายหลับตาปฏิบัติไม่ได้ปฏิบัติด้วยจรณะ 15 วิชชา 8 ไปตามลำดับขั้นตอนเหมือนของพระพุทธเจ้าตรงกับของพระพุทธเจ้า จะไม่มีทางที่จะลงเอยด้วย วิญญาณฐิติ 7 มีกาย มีสัญญา

กายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียวกัน ถ้าเผื่อว่าเป็นสัตตาวาส อยู่ เป็นสัตตาวาสข้อที่ 4 เหมือนกับวิญญาณฐีติ 7 ข้อที่ 4 เหมือนกัน แต่ของสัตตาวาสนั้นยังมิจฉาทิฏฐิ แม้จะเป็นกายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียวกัน ก็ยังมิจฉาทิฏฐิ ในสัตตาวาส 9 

วิญญาณฐีติ 7 นั้นกายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียวกัน แต่สัมมาทิฏฐิ ไม่มิจฉาทิฐิแล้ว ท่านก็ยกตัวอย่างเหมือน สุภกิณหา เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง 

ผู้ที่สัมมาทิฏฐิก็จะเห็น กิณหา แปลว่ามืด แปลว่าดำ ผู้ที่สัมมาทิฏฐิแล้ว จะเห็นความมืด ความดำ เป็นความมืดความดำ ด้วยปัญญา 

ผู้ที่มิจฉาทิฏฐิอยู่ ในสัตตาวาสข้อนี้ก็จะเห็นความมืดความดำเหมือนกัน กายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียวกันแต่ทิฐิคนละอย่าง ความเห็นความเข้าใจคนละอย่าง เห็นความมืดความดำเป็นลักษณะของจิต ผู้ที่มิจฉาทิฏฐิทำจิตให้มืดให้ดำ ส่วนของวิญญาณฐีตินั้น ทำวิญญาณของตนนี้ แยกมืดแยกดำออก มีสว่างกับมืดกับดำ 

เพราะฉะนั้นความมืดก็รู้ว่ามืด มืดคือไม่มีแสง ดำคือไม่มีแสง ส่วนความสว่างนั้นมีแสง เพราะฉะนั้นคุณหลับตาลงก็มืด ไม่มีแสง ก็สัมมาทิฏฐิ ลืมตาขึ้นมาก็มีแสงก็สว่าง แต่คุณแยกสว่างลืมตาหลับตาไม่ได้ คุณไปทำความสว่างในความหลับความสว่างอยู่ในการหลับตา เป็นอุปาทานทั้งนั้น จริงๆแล้วหลับตาลงก็มีแต่ความมืดอย่างเดียวสำหรับผู้ที่บรรลุธรรมสมบูรณ์แบบหลับตาก็มืด ยิ่งอยู่ในภาวะที่มืด แสงสว่างไม่มีอยู่ในที่มืด หลับตาลงก็มืดจริงๆไม่มีอะไร แต่ถ้ามีแสงสว่างเกิดขึ้นในภพในความมืดในจิต มันจะเป็นอุปาทานทั้งนั้น มากน้อยก็แล้วแต่เป็นแสงเป็นสีอะไรต่ออะไรต่างๆนานาด้วย แล้วนึกว่าตัวเองเห็นแสงเห็นสีโง่ซ้อนอีก แล้วหลงว่ากูเก่ง แต่ขยายแสงขยายสีได้อีก ยิ่งบ้ากันไปใหญ่เลย 

สู่แดนธรรม... ถ้าถึงจุดนั้นต่อมใต้สมองจะหลั่งสารเคมีให้เห็นอย่างนั้นครับ ต้องทำสมาธิให้ถึงขนาดสมองหลั่งสารเคมีออกมาให้เห็นแสงออร่า สุดท้ายนิ่งจริงๆจะเห็นสีขาว เป็นเรื่องของสารเคมีในสมองครับ 

พ่อครูว่า... อธิบายไปอาตมาไม่รู้วิทยาศาสตร์ คุณเก่งกว่าอาตมา อาตมาไม่รู้หรอกที่คุณพูด 

สู่แดนธรรม... ผมไปคบหากับพวกที่เป็นคุณหมอเรียนรู้มามากก็มาตอบให้กับพวกที่นั่งสมาธิครับ 

พ่อครูว่า... อันนี้เป็นความหลงในจิตใช่ พูดไปถึงขั้นอาสวะ ยิ่งยากที่จะพูดกันเข้าใจได้ง่ายๆ ดับอาสวะสิ้น เริ่มต้นตั้งแต่คำว่า “กาย” สังโยชน์ข้อที่ 1 กว่าจะถึงอวิชาสวะ ยากมาก 

ศาสนาพุทธทุกวันนี้เสื่อมถึงขั้นคำว่า“กาย”ก็ไม่สัมมาทิฏฐิกันแล้ว ตอนช่วงหลังนี้อาตมาหยิบคำว่า “กาย”ขึ้นมาขยายความให้รู้ ให้เข้าใจถึงคำว่า “กาย”ในสัจธรรมโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า มันตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงปลายสุด 

เริ่มต้นคือ 1.ต้องพ้นสักกายทิฏฐิ ตามสังโยชน์ข้อที่ 1 

2. ต้องแยกกายแยกจิตโดยต้องรู้จักมูลกรรมฐาน 5 เมื่อใดจิตของเราเป็นกาย เมื่อใดจิตของเราไม่เป็นกาย จิตของเรา ลดฐานะจาก จิตมาเป็นพีชะ พีชะไม่มีกายแล้ว กายต้องมีเวทนาร่วมด้วย มีเวทนามีวิญญาณ แต่เป็นพีชะแล้วไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณก็มีแต่สัญญากับสังขาร 

ผู้ที่รู้อย่างนี้ก็เข้าใจแยกกายแยกจิต ที่พระพุทธเจ้าท่านให้อ่านจาก ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ซึ่งมันมีสภาวะจริงอยู่ในนั้น คุณจะรู้สึกเองได้ 

แยก อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยามได้ด้วยกรรม แล้วจะทรงไว้ด้วยธรรมะอย่างไร แต่ ที่จะศึกษาคือเมื่อใดเป็นอุตุนิยาม เมื่อใดเป็นพีชะ เมื่อใดเป็นจิต

ลองแยกที่เล็บดู ผมแยกยาก ขนก็ยาก ฟันก็ยาก ผิวหนังยิ่งละเอียดยิ่งยาก เอาที่เล็บก็แล้วกัน 

เล็บในตัวคุณ ขณะที่มันมีชีวะ มันก็เป็นเล็บอยู่ที่เรา เล็บส่วนหนึ่งมันจะยาวออกมาพ้นประสาท ประสาทเป็นนามธรรม เมื่อพ้นประสาทแล้วยังมีชีวะ มันจะยาวออกมาได้เรื่อยๆ ส่วนที่ยาวพ้นออกมาจากปลายประสาทแล้วเป็นพีชะ ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ ไม่มีความรู้สึก คุณไปเคาะไปตัดออกมันออกมันก็ไม่มีรู้สึก มันก็ขาดออกมาเฉยๆ มันเป็นชีวะเป็น พีชะ แต่ไม่มีกาย นี่เรียกว่าไม่มี กาย 

ยิ่งผู้หญิงเขาติดยึดว่าเล็บเป็นเล็บของเรา แล้วเขาก็ทำเล็บให้สวยให้งามอย่างโน้นอย่างนี้ เสียเงินค่าทำเล็บอีกตั้งเท่าไหร่ รักษาสุขภาพเล็บ เห็นไหมตัวอย่าง ยึดว่าเป็นกายของเรามีความงามเป็นของเรา เสร็จแล้วก็โชว์แล้วโชว์อีก ไม่มีเล็บจริงก็สร้างเล็บปลอมขึ้นมาสวมไป หลอกชาวบ้านเขาอีก นี่ติดยึดความเป็นเราเป็นของเราติดยึดความสวยความงาม แล้วก็เป็นอย่างนั้นเสียเวลากับพวกนั้นไปบ้าๆบอๆ 

เมื่อใดไม่เป็นกาย เป็นชีวะอยู่เรียกว่าพืช ตัดออกมาเป็นชิ้นส่วน ไม่เป็นกายออกมาจากร่างของเราเป็นชิ้นส่วนที่หลุดออกมาจากร่างของเรา มันก็เป็นดินน้ำไฟลมไปแล้ว หมดชีวะแล้วด้วย เป็นอุตุไปแล้ว 

เมื่อมันเป็นดินน้ำไฟลม มันไม่เป็นชีวะของเราแล้ว เป็นชีวะของใครก็ของมัน ที่นี้เมื่อไปถึงประสาทเป็นจิต ตอนนี้แหละเจ็บ ตอนนี้แหละรู้สึกมีเวทนา มีวิญญาณ นั่นคือมีกาย 

กาย มันลึก ถึงขนาดนั้น แค่พีชะ มันไม่มี กาย เพราะฉะนั้นผู้ที่จะบรรลุอรหันต์ ฟังดีๆประเด็นตรงนี้แหละจะบรรลุอรหันต์หรือไม่ตรงนี้แหละ 

ทำจิตนิยามของตน ให้มีในภาวะหรืออยู่ในสภาวะของพีชะ ของความเป็นชีวะอยู่ แต่ไม่มีความรู้สึกสุขทุกข์ ไม่มีเวทนาความสุขความทุกข์นี่แหละ เป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ถ้าไม่มีความรู้อย่างนี้แล้วคุณทำจิตให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้ คุณเป็นอรหันต์ไม่ได้ เห็นไหมว่าความเป็นอรหันต์ไม่ใช่ง่ายๆ ถ้าแยกกายแยกจิตอย่างนี้ไม่ได้อย่างแท้จริงอย่างที่อาตมาพูด 

แล้วคุณก็เรียนรู้จากเวทนา เวทนาในเวทนานี้แหละจะเป็นความรู้สึกสุขหรือทุกข์ มาทำความรู้สึกนี้ เป็นเวทนา 108 เป็นตัวศึกษา มีกายิกเวทนากับเจตสิกเวทนา เป็นเวทนา 2 

เวทนาสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นเวทนา 3 

และมีดีกรีของความสุขความทุกข์เป็นภายนอกภายในด้วยเรียกว่า เวทนา 5 สุขทุกข์ เป็นภายนอก หยาบ พ้นจากภายนอกแล้วเป็นภายใน ก็เหลือความทุกข์ความสุขที่เป็นโทมนัสโสมนัสในจิต ทำความโสมนัสโทมนัสภายในจิตให้มันหมดไป นี่คือดีกรีของอินทรีย์ 5 ทำให้ถึงอุเบกขินทรีย์ ไม่ทุกข์ไม่สุขไม่โสมนัสไม่โทมนัส นี่คือฐานของนิพพาน ไม่ทุกข์ไม่สุขเป็นไวพจน์ของอุเบกขา 

แต่อุเบกขาจริงๆนั้นไม่ใช่แค่ไม่ทุกข์ไม่สุข แต่มันไม่มีกิเลส ปราศจากกิเลส ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา นั่นเป็นลักษณะธรรมของอุเบกขา 5 บริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา บริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น ปริโยทาตา มุทุ มีความไว มีความแข็งแรงสามารถทำการงานอย่างไรก็ประภัสสรตลอดนิรันดร นี่คือคุณสมบัติและคุณวิเศษของอุเบกขาที่พระอรหันต์มีได้ในพระไตรปิฎกเล่ม 14 ข้อ 690 

อาตมาอธิบายลักษณะพวกนี้ให้ฟังด้วยความจริงความรู้ที่อาตมามีในตน เป็นของจริงของอาตมา อาตมาจึงอธิบายสภาวะพวกนี้ด้วยพยัญชนะที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วได้หมด อยู่ในพระไตรปิฎกตามหลักฐานยืนยัน ไม่ได้อธิบายนอกไปจากของพระพุทธเจ้าอธิบาย อาตมาอธิบายได้เพราะมันเป็นจริง มีความจริง

สู่แดนธรรม.. มีคอมเม้นมา ให้พ่อท่านไว้ตอบวันหลัง จากคุณ เดชา อำพร ...ว่า อาตมาก็อยากถามกลับ ว่า แล้ว สมณะโพธิรักษ์ สอน บริสุทธิ์หรือไม่ ที่พูดอุตตริมนุสสธรรมว่า(ตนเอง)เป็นพระอริยะ 

จบ

ที่มา ที่ไป

650502 แยกกายแยกจิตอย่างไรให้ถึงอรหันต์ รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 36 


เวลาบันทึก 03 พฤษภาคม 2565 ( 07:32:10 )

650504

รายละเอียด

650504 พิสูจน์ธรรมะพ่อครู ต้องดูไปไม่ต้องไปดูไบ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ

https://www.boonniyom.net/51947.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                          

https://docs.google.com/document/d/10KQJWD6fDMrOMUInwaxv7BvzZNCWCYip_FOGbF4t5U8/edit?usp=sharing  

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1mBhEgp0GDP-1UdPzliu0ffp_Ndu3Jh8j/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่  https://fb.watch/cObkhojUJK/

และ https://youtu.be/TvsyWd9qBM4 

 

สมณะฟ้าไท... วันนี้เป็นวันพุธที่ 4 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก พระพุทธเจ้าบอกว่าศาสนาพุทธจะเสื่อมหรือเจริญ ขึ้นอยู่กับภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ตอนนี้เราได้ฟังพฤติกรรมแห่งความเสื่อมของพระอยู่ตลอดเวลา เป็นเรื่องผิดศีลผิดวินัย แต่ข่าวเราชาวอโศก มีขายปุ๋ยราคาถูก ทำกสิกรรมไร้สารพิษ มีผลผลิตมากมายเกิดขึ้น ปลูกข้าว ทำไปเพื่อช่วยเหลือมวลมนุษยชาติ ประชาชน อโศกขายของถูกซื้อของแพง สำหรับโลกุตระ ถ้าเป็นโลกียะขายของแพงซื้อของถูก โลกุตระคือยอมเสียเปรียบยอมเสียสละยอมแพ้ เป็นภราดรภาพ ไม่อาฆาตแค้นกับใคร เป็นพี่เป็นน้องกับคนทุกคนในโลกนี้ มาเป็นคนจนที่เจริญ 

พ่อครูว่า...โอภาปราศรัยกับ SMS ก่อน 

 

ตอบปัญหาคุณเดชา ประเด็น พ่อครูเป็นอรหันต์ อรหันต์ตายแล้วสูญหรือไม่

_เดชา อำพร · อาตมาก็อยากถามกลับว่า แล้วสมณะโพธิรักษ์สอนบริสุทธิ์หรือไม่ ที่พูดอุตตริมนุสสธรรมว่า(ตนเอง)เป็นพระอริยะ และบอกว่าเป็นพระสารีบุตรกลับชาติมาเกิด ซึ่งพระสารีบุตร ท่านเป็นพระอรหันต์ ไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ส.....ลักษ์ ประกาศตนเป็น กัลยาณมิตร กับ สมณะโพธิรักษ์ พร้อมทั้ง สนับสนุน ให้จัดตั้งพรรค ชื่อพรรคกม.ใหม่ โดยที่สมณะโพธิรักษ์อาจว่าได้รับบัญชาจากฟ้า คือ เง็กเซียนฮ่องเต้ ให้มาทำงานการเมืองที่เป็น อริยะ หลังจากตั้ง พรรคพลังธรรม มาแล้วแต่ยังไม่สำเร็จ ยังคุยว่าต่อไป สมณะโพธิรักษ์ จะมาแทน สงฆ์ส่วนหลัก ประเด็นนี้ทำให้ ส.....ลักษ์ หมดความชอบธรรมที่จะมาพูดเรื่อง การปฎิรูปพระพุทธศาสนา ไปเลย..

พ่อครูว่า...อ่านจบแล้วทำให้เห็นภูมิธรรมของคุณเดชา อัมพร ก็ยังสับสน สลับไปสลับมา ไม่เป็นแถวเป็นแนว ไม่สอดคล้อง ไม่ร้อยเรียงกันเลย เอาประเด็นไหนก็ว่ากันตามความเห็นมีขัดแย้งกันในตัวเองบ้าง ทำให้ดูสอดคล้องกับตัวเองบ้าง 

ประเด็นแรกที่ถามกลับว่าสมณะโพธิรักษ์สอนบริสุทธิ์หรือไม่ที่พูดอุตตริมนุสสธรรมว่า(ตนเอง)เป็นพระอริยะ

ตอบ บริสุทธิ์จริงๆ อาตมาเป็นคนที่สอนอย่างบริสุทธิ์จริงๆ พูดอุตริมนุสธรรมจริงๆ และเป็นพระอริยะจริงๆ 

แล้วบอกว่าเป็นพระสารีบุตรกลับชาติมาเกิด ความเห็นของคุณเดชา อัมพร บอกว่าพระอรหันต์ตายแล้วไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ถ้าพระอรหันต์ตายแล้วไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ก็เป็นอุจเฉททิฏฐิของสายเถรวาท อุจเฉททิฏฐิหมายความว่าเห็นว่าขาดสูญ ว่าได้อรหันต์แล้ว แต่ละองค์จบอรหันต์แล้วตายจากความเป็นชาติที่เป็นอรหันต์แล้ว ต้องดับสูญทุกองค์ ต่ออะไรอีกไม่ได้เลย เป็นอุจเฉททิฏฐิที่ร้ายแรงมาก เป็นมิจฉาทิฐิที่ร้ายแรงมาก ที่เป็นการขุดศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้า เป็นการตัดศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าให้สั้นลง ให้เสื่อมเร็วให้หมดเร็ว ความเห็นอย่างนี้จะทำให้ศาสนาพุทธเป็นอย่างนั้น 

เพราะว่าพระอรหันต์สามารถยังไม่จบ และยังมีพระอรหันต์ต่อเป็นโพธิสัตว์ภูมิได้ด้วย นับเป็นอริยะ 4 ขั้นก็เป็นอรหันต์ โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ อรหันต์ก็นับตรงโพธิสัตว์ระดับ 4 จบจากระดับที่ 4 เป็น

5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 

อยู่ที่ว่าโพธิสัตว์องค์นั้นจะรีไทร์ตัวเองก่อนถึงเป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่ ความรู้ทางโพธิสัตว์สำหรับทางเถรวาทสายพระป่า เหมือนอย่างที่คุณเดชา อัมพรเป็นอยู่ จะเข้าใจได้ยาก ถือเป็นขั้นอจินไตยเลย จะเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นพูดไว้แค่นี้ก็แล้วกัน คุณเดชาอัมพร ก็พยายามศึกษาต่อไปเถอะ คุณก็ดูติดตามพวกเรามานานและตอบรับด้วยดี ก็ดีมากเลยสาธุ ขอบคุณอย่างยิ่ง ที่โอภาปราศรัยกันมา ถูกว่ากลับไปมั่ง คุณก็ยังใจดีใจแข็งตอบมาแย้งมา ดีมากเลย การทำอย่างนี้ทำให้เกิดวิจัยวิจารณ์หรือว่าทำให้เกิด วิพากษ์วิภาษณ์ ทำให้เกิดความเข้าใจแตกฉานเยอะดี 

ส่วนที่ว่า คุณ ส.ศิวรักษ์ เป็นกัลยาณมิตรและสนับสนุนให้อาตมาตั้งพรรคการเมือง 

พรรคการเมืองอาตมาไม่ได้ตั้งเลย พรรคพลังธรรมคุณจำลองเป็นคนตั้ง เมื่อตั้งเสร็จมีโลโก้เสร็จก็ค่อยมาบอกอาตมา ตอนนั้นเป็นพวกรวมพลัง ตั้งแต่เป็นผู้ว่า กทม. สมัยแรก แล้วใช้กลุ่มชื่อว่า รวมพลัง หาเสียงใช้ฝาเข่ง ใช้กระดาษกล่องเขียนติดเป็นป้ายอะไรต่ออะไรบ้างแบบกระจอกๆ เสร็จแล้วก็ได้รับเลือกเป็นผู้ว่า กทม. พอได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่า กทม.ก็ดำเนินเป็นผู้ว่า กทม. 1 สมัย เสร็จแล้วเลือกตั้งอีก ก็ได้อีก เป็นผู้ว่าอีกเป็นสมัยที่ 2 

อาตมาก็เคยพูดเลยว่า เป็นผู้ว่านี่แหละ ดีไม่ดีครบ 3 สมัยเลย แล้วจะรู้เอง จะเห็นผลเองว่า ซึ่งอาตมาก็บอกลึกๆว่า อาตมาใช้ภาษากับคุณจำลองว่า Bangkok is Thailand Thailand is Bangkok บอกว่าอย่างนี้แหละคือโครงสร้างของเมืองไทย 

การเมืองของกรุงเทพฯ กฎหมายก็เป็นกฎหมายพิเศษ เป็นจังหวัดที่ได้รับสิทธิพิเศษ บริหารอย่างไม่ได้อยู่ตามกฎหมายทั่วไป ซึ่งคุณจำลองทำไปก็ไม่รู้คิดยังไง  อยากไปทำระดับชาติเลย ก็ไปตั้งพรรคการเมือง เป็นพรรคการเมืองชื่อ พลังธรรม จดทะเบียน มีโลโก้เรียบร้อยเป็นรูปพนมมือ แล้วมาบอกอาตมาว่า ขออนุญาตตั้งพรรค มีโลโก้เรียบร้อยแล้ว อาตมาก็ หมดคำเว่า 

อาตมาไม่ได้คุยไว้ก่อน ไม่ได้ส่งเสริม บอกว่าทำงานไปเถอะ แต่พูดอย่างที่ว่า Bangkok is Thailand Thailand is Bangkok อาตมาก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจ แต่ที่อาตมาเข้าใจคือแล้วจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยเอง นั่นคือเจตคติของอาตมา ที่รู้ที่เข้าใจ แต่คุณจำลองก็ไปทำซะอย่างนั้น ไปเป็นผู้ว่า 1 สมัย  แล้วต่อเป็นผู้ว่าสมัยที่ 2 ไม่เต็มสมัย โดดเข้าสู่การเมืองระดับชาติ ตั้งพรรคพลังธรรมขึ้นมา เสร็จแล้วเลือกตั้งก็ไปได้พอสมควร ก็มีผู้สนับสนุนอะไรต่ออะไรไปได้พอสมควร สรุปไม่ขยายความต่อ ก็ไปได้แค่นั้น สุดท้ายคุณจำลองสูงสุดก็ได้เป็นแค่รองนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ขึ้นถึงเป็นนายกรัฐมนตรี นั่นก็เป็นเรื่องเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้ว 

ที่บอกว่าเง็กเซียนฮ่องเต้ให้มาทำการเมือง คุณเดชา อัมพร ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด อาตมาไม่ใช่เทวนิยม ไม่ได้มีเง็กเซียนฮ่องเต้ ไม่ได้มีพระเจ้า ไม่มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์อะไรมาสั่งอาตมาหรอก อาตมาเปรียบเปรย แต่ไม่ได้พูดอย่าางที่คุณเดชาเข้าใจหรือหมายเอา เป็นคำเปรียบเปรยซึ่งอาตมาก็จำไม่ได้แล้วตอนนั้น ที่ว่า เง็กเซียนฮ่องเต้ส่งให้มา 

(พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สู่แดนธรรม.. ตอนนั้นเหตุการณ์มันเกิดไปแล้วก็เหมือนฟ้าส่งมา ตกกระไดพลอยโจนไปด้วยกัน 

พ่อครูว่า... ที่ สู่แดนธรรมขยายความก็ถูกต้องแล้ว อันนั้นก็เป็นความเข้าใจที่ยังไม่รอบถ้วนของคุณเดชา อัมพร ก็พยายามต่อไป

และที่บอกว่า สมณะโพธิรักษ์จะมาแทนที่สงฆ์ส่วนหลัก ประเด็นนี้คุณเข้าใจอย่างผิดมหันต์เลย อาตมาไม่เคยมีเศษเสี้ยวนิดนึงเลยว่า จะเข้าไปแทนที่สงฆ์ส่วนหลัก จะไปยึดตำแหน่งไปยึดอำนาจสงฆ์ส่วนหลัก ที่บริหารประเทศอยู่นี้ อาตมารู้ดีทุกอย่าง แม้แต่ในฐานะของตัวเอง แม้การยอมรับฐานะของสังคมในประชาชนคนไทย เพราะฉะนั้น อาตมาจะไม่ทำเลยเมื่อเหตุปัจจัยไม่สมบูรณ์ อาตมาจะไม่ไป ไปเป็นก็ขาหักขาเป๋เสียหายตัวเองไปไม่รอด อาตมาจะไม่ทำ เช่น ให้เป็นสังฆราช เป็นต้น ให้ไปบริหารสงฆ์หมู่ใหญ่ของประเทศ  เป็นต้นอาตมาจะไม่ทำ 

เพราะประชาชนคนไทยคิดดูสิ ยังเป็นไสยศาสตร์ เดรัจฉานวิชา แม้แต่คดีเรื่องของสงฆ์ทุกวันนี้ ทิดกาโตะก็ดี ยังออกมาโครมๆ อาตมารู้ดีในสถานะองค์รวมของสังคมมันอยู่ขนาดไหน อาตมาไม่ไปทำหรอก ทำแล้วไปไม่รอด ดีไม่ดีจะตายคาเปล่าๆ เพราะอะไร

มันมีเหตุปัจจัยเยอะ 1.อาตมาไม่หยาบพอ ที่จะไปทำกับสิ่งหยาบๆ พวกนั้น ประเด็นนี้สำคัญมาก อาตมาไม่หยาบพอที่จะไปทำเพราะฉะนั้นอาตมาไปทำไม่ได้เลย พวกหยาบกับหยาบเขาต้องทำด้วยกัน ผู้ดีก็ทำอย่างในมวลระดับผู้ดี ผู้ที่กลางๆ ก็ทำระดับกลางๆ ผู้ที่รุนแรงก็ทำอย่างดุดันรุนแรง ก็เป็นไปอย่างเหมาะสมตามแต่ละฐานะ 

เพราะฉะนั้นอาตมารู้ในขั้นตอนระดับของพวกนี้ดี อาตมาจะไม่ไปละลาบละล้วงในสิ่งที่ไม่สมควรเป็นอันขาด 

ก็ดี ยินดีต้อนรับคุณเดชา อัมพร คุณก็พยายามส่งมาอย่างนี้ดีแล้วเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดความรู้ จะได้อธิบายทุกๆฐานะให้กันฟัง 

สู่แดนธรรม... ผมมีปัญหาว่า คนที่แสดงทัศนะว่าพระอรหันต์ไม่กลับมาเกิด คุณรู้ไหมว่าถามแค่นี้กำลังแสดงการอวดอุตริมนุสธรรมด้วยเช่นกัน คุณมีญาณรู้เชียวหรือว่า พระอรหันต์ไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ถ้าคุณยืนยันได้ คุณก็อวดอุตริมนุสธรรมที่มีจริง 

พ่อครูว่า... ได้ เห็นๆว่าอย่างนั้น คือการที่จะรู้ว่า พระอรหันต์ตายแล้วต้องสูญ กลับมาเกิดอีกไม่ได้ มันก็เป็นอุตริมนุสธรรมชนิดหนึ่ง แต่เป็นอุตตริมนุสสธรรมที่มิจฉาทิฏฐิ เพราะจริงๆแล้ว ก็พูดไปแล้วว่า ถ้าพระอรหันต์ทุกองค์ตายแล้วต้องสูญ  ฟังดีๆ นะ ประเด็นนี้ เพราะชาติที่เป็นพระอรหันต์ตายไปแล้วต้องสูญเลย ก็ไม่มีผู้ที่มีภูมิธรรมอรหันต์เกิดมาต่อยอด อรหันต์ที่สูงขึ้นไปเป็น อนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ ก็ไม่มี แล้วจะไปมีสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร คุณก็เท่ากับตัดศาสนาพระพุทธเจ้าทิ้งด้วนไปเลย ศาสนาพุทธก็ด้วนไปอย่างนั้น 

เป็นการทำลายศาสนาพุทธอย่างย่อยยับเลย บาปมหันต์เลย ซึ่งอย่าไปคิดอย่างนี้นะขออภัย ไปบังคับคุณไม่ได้หรอก คิดใหม่คิดให้ดีๆ ศึกษาดีๆ 

 

SMS วันที่ 2-3 พ.ค. 2565

 

_แดง สารคาม · จะทำยังไงถึงจะเอาชนะใจตัวเอง ที่มันไปหลงชื่นชมยินดีคนที่มีอัธยาศัยดีคะ เช่น โน้มน้าวใจคนเก่ง เอาชนะคนที่มีจิตวิทยาสูงได้คะ หรือว่าต้องเรียนปริยัติศีลห้ามีอะไรบ้าง ปฏิบัติตามหัวข้อของศีลห้านั้น แล้วเราก็จะถึงปฏิเวธคือความพ้นทุกข์ที่ใจมันหลงอยู่นั้นได้คะ
พ่อครูว่า...คุณก็มีไหวพริบถูกต้องแล้ว ก็มาปฏิบัติตามหัวข้อของศีล 5 นั่นแหละ แล้วเราก็จะถึงปฏิเวธไปตามลำดับ เพราะฉะนั้นการที่จะไปพูดโน้มน้าวจิตใจคน มีจิตวิทยาดี ต่างๆนานาพวกนี้ มันเป็นเรื่องของขั้นจิตในจิต ซึ่งมันเป็นเรื่องของขั้นจิตในจิต ซึ่งก็ไม่เป็นลำดับเท่าไหร่ คุณไล่เรียงไปตามลำดับ แนะนำกันเท่านี้ก่อนก็แล้วกัน 

 

การเคารพอย่างสูงยิ่งต่อพ่อครูเป็นเช่นไร

_Kittima Ekmapaisarn กิตติมา เอกมาไพศาล  · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพสูงยิ่ง พ่อครูมีเมตตากรุณาสูงมากในการให้สัมมาทิฎฐิแก่ผู้ที่ยังหลงผิด แม้ถูกกล่าวหาด้วยถ้อยคำที่ไม่เป็นจริงและไม่สุภาพ คำสอนของพ่อครู ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีจนถึงปัจจุบันก็เป็นจริงเสมอ สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเองตามภูมิธรรมของแต่ละคน
พ่อครูว่า...อาตมาว่าจะพูดถึงคำว่าเคารพสูงยิ่ง วันนี้ตั้งใจจะพูดคำนี้ คำว่า เคารพสูงยิ่ง คนข้างนอกเขาฟัง พวกเรา สมณะก็ดี สิกขมาตุก็ดี ฆราวาสก็ดี กล่าวถึงอาตมาว่าเคารพสูงยิ่ง อาตมาไปให้พวกคุณต้องมาพูดอย่างนี้กับอาตมา อาตมาไปกำหนดหรือ เคยกำหนดไหม ซึ่งอาตมาไม่เคยไปกำหนดให้ใครมาบอกว่าเคารพสูงยิ่ง ท่านฟ้าไทก็เคารพอย่างสูงอยู่นี่ อาตมาไม่เคยไปกำหนดไปบอกไปแนะนำ แต่มันเป็นความจริงของจิตใจของแต่ละคน เป็นความจริงที่เห็นเป็นเช่นนั้นจริง ซึ่งใช้ศัพท์ภาษาไทยว่าเคารพอย่างสูงยิ่ง เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านใช้ศัพท์คำว่า ละอายอย่างแรงกล้า รักอย่างแรงกล้า เคารพอย่างแรงกล้า ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสเป็นการตรัสนำ เป็นคำสอน ซึ่งผู้เห็นจริงที่ว่าสัจจะจะเกิดจริงอย่างนั้น มันจะละอายอย่างแรงกล้าจริงๆ มันเป็นความจริง 

ขยายความให้ฟัง คือ ผู้ที่รู้ตัว สำนึกผิด เห็นว่าเราเคยละลาบละล้วง คุณจะไปละลาบละล้วงศีล ละลาบละล้วงคำสอนพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะละลาบละล้วงบุคคล ไปดูถูกดูแคลนข่ม แต่เสร็จแล้วตัวเองผิด ตัวเองไม่ใช่ผู้ถูก ไปละลาบละล้วงผู้ที่สูงกว่า พอเกิดปัญญาเห็นจริงแล้วมันต้องละอายจริงๆเลย ตายๆๆๆเรา ละอาย จนกระทั่งบางทีไม่กล้าที่จะสารภาพเลย ว่าเราได้ผิดแล้ว จนตายไปจากชาตินี้เลย ชาติต่อๆไป ก็หาทางที่จะแก้ไข เพราะว่ามันเป็นสิ่งเกินจริง เป็นสัจธรรมที่เป็นความจริง มันก็จะแก้กลับ แต่ชาตินี้บางทีละอายจนไม่แก้กลับทั้งชาติ จะมาสารภาพผิด ก็เหมือนกับตัวเองมีอาบัติแล้วก็ไม่ปลงอาบัติ มันก็ไม่ได้เป็นความเจริญอะไร พัฒนาไม่ออก ไม่สารภาพต่อความผิดกับหมู่กลุ่มรับรอง ถ้ามาสารภาพหรือปลงอาบัติ ทุกอย่างให้หมู่กลุ่มรู้เรื่อง ผู้ที่ถูกละลาบละล้วงก็รับทราบ หมดที่จะเข้าใจผิดกัน มันก็ละลายสิ่งที่มันจะขัดข้องไปหมดเลย 

แต่นี้ถ้าไม่ทำ คาราคาซังข้ามชาติไปอีกจะยิ่งหนัก สิ่งเหล่านี้ ถ้ามีภูมิธรรมมีปฏิภาณปัญญาจริงๆ จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ แต่เข้าใจไม่ได้ จึงไม่ทำตามอย่างที่อาตมาว่า มันก็ยิ่งชัดเจนว่า ผู้นั้นยังไม่สำนึก ยังไม่รู้สึก ยังไม่จริง ถ้ารู้จริงๆแล้วชาตินี้จะสารภาพ แต่ถ้าชาตินี้รู้แล้วแต่ไม่สารภาพ ก็อย่างที่อาตมาอธิบาย มันจะใช้ภาษาไทยว่า 

มันละอายเกินกว่าความละอายที่จะสารภาพ ที่จะเปิดเผยยอมรับต่อสังคม มันละอายเกินกว่าละอาย มันเปิดเผยไม่ออกเพราะไม่กล้าเปิดเผย หมายความว่ามันมีความละอายแล้วล่ะ แต่มันไม่กล้าเปิดเผยหมายความว่าอย่างไร 

สู่แดนธรรม... มีมานะซ้อนใช่มั้ยครับ
พ่อครูว่า... ใช่ มันมีมานะซ้อน มีอัตตาซ้อน มันก็ทับถมไปอีก เหมือนกับการปกปิดอาบัติ มันจะทับถมเข้าไปอีก แล้วสัจธรรมทับถมไป มันจะแน่นหนาเข้าไปอีก 

ในแวดวงของพวกเรา ที่บอกว่าเคารพอาตมาอย่างสูงยิ่ง คนที่ไม่ใช่ในแวดวงพวกเรา ฟังแล้วจะรู้สึกว่าทำไมโพธิรักษ์ เก่งนะ ทำให้เขาเคารพอย่างสูงอย่างนั้น ซึ่งอาตมาไม่เคยจะไปคิดว่า จะให้มายกย่องเชิดชู ด้วยภาษาอะไรพวกนี้ แต่มันเป็นความจริงของพวกคุณเอง ทั้งสมณะ สิกขมาตุ ทั้งฆราวาสเอง ทุกคนทำด้วยความจริงใจ อาตมาพูดไปแล้วอย่างนี้ ถ้าผู้ใดจะเห็นว่าทีหลังจะไม่เรียกว่าอย่างสูง ก็ไม่มีปัญหานะ ก็ทำได้เลย แต่ผู้ใดจะเห็นว่าก็ฉันจะพูดอย่างนี้เขารับอย่างสูงอย่างนี้ มันก็เป็นสิทธิ์ที่เป็นอิสระเสรีภาพของแต่ละคน 

สู่แดนธรรม... จริงๆแล้ว แม้แต่คลิปที่พ่อครูเดินออกกำลังกาย ใครทำอะไรอยู่ โดยที่ไม่รู้ว่าพ่อท่านเดินมา เมื่อเขารู้ว่าพ่อท่านมาเขาก็จะก้มกราบเคารพที่พื้น เคารพอย่างสูงก็คือเอาหน้าผากติดพื้นเลย หมายความว่า ทำอย่างสูงแต่ทำอย่างต่ำ คนที่ไม่เข้าใจในการดูคลิป ก็คอมเม้นด่าว่า ไปเคารพอย่างนั้นทำไม แต่พ่อท่านไม่ได้สั่งเลย เป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติ ไม่ได้สอนให้เป็นระเบียบอย่างนั้นเลย 

พ่อครูว่า... สอนวิธีกราบเคารพบูชาพระพุทธเจ้าหรือสิ่งสูงสุด เขารู้สึกอย่างนั้นก็เอาความรู้สึกว่ามันสูงส่งจะต้องทำอย่างนั้น กราบเลย เบญจางคประดิษฐ์ ทั้ง 5 จุด ขาสองขาแขนสองแขนและหน้าผากหัวอีก 1 จุด ก็เป็นที่รู้กัน เบญจางคประดิษฐ์ เราก็ทำจบเลย เบญจางคประดิษฐ์ 5 จุด เต็มที่แล้ว แล้วก็ทำกันอย่างเข้าใจ เต็มใจทำ ใช่ไหม 

ก็ไขความอันนี้ไปพอสมควร ที่อาตมาคิดว่าน่าจะพูด ที่ว่า จะมีการบังคับกฎเกณฑ์ออกแบบให้ทำอย่างนี้หรือไม่ ก็ไม่ใช่ เป็นของพระพุทธเจ้า เบญจางคประดิษฐ์ก็ของพระพุทธเจ้า อาตมาไม่ได้ตั้งเอง 

คนที่เขายังเข้าใจไม่ได้ที่ยังหลงผิดกล่าวหาอาตมาก็ไม่ได้มีปัญหากับเขาอาตมาก็ไม่ต่างกับเขา 

 

จะไปสู่ทิฏฐิปัตตะต้องมีพลังงานผ่านสามเส้าแรกก่อน

_โกศล สุขเล็ก · กราบคารวะพ่อท่าน..ผมอยากฟังพ่อท่านอธิบายกระบวนความของพระธรรมมากกว่าจะมาเสียเวลากับผู้ที่ยึดติดกับศรัทธาผิดๆที่ปลูกฝังกันมาจนคิดว่านั้นถูกต้องแล้ว..
พ่อครูว่า...คุณก็อย่าเพิ่งไปตีทิ้งผู้ที่เขาศรัทธาผิดๆ ศรัทธายังไม่ขยายไปสู่ปัญญา ยังเป็นศรัทธาผิดๆ ปัญญายังไม่ร่วมศรัทธาลงไปได้ ก็เลยยังศรัทธาอยู่อย่างเดิม 

เรื่องศรัทธานี้อาตมาก็อยากจะขยายความเหมือนกัน คือความเป็นสัทธานุสารี ธัมมานุสารี สัทธาวิมุติ มี 3 เส้า จะอธิบายละเอียด

ต่อจากสามเส้า ออกมาเป็นตัวที่ 4 คือ ทิฏฐิปัตตะ คนที่จะหลุดออกมาจากสามเส้า cyclic order นี้ จะออกมาจากวงกลมนี้ ต้องมีแรงพิเศษเป็นตัวที่ 4 คือ ทิฏฐิปัตตะ เหมือนคนจะออกนอกโลกต้องมีแรงพ้นจากความเรื่องดูดของโลก จึงจะออกไปได้ ต้องมีพลังงานพิเศษเป็น ทิฏฐิปัตตะ ไม่เช่นนั้นจะวนอยู่ใน 3 ตัวนี้สูงสุดเป็น สัทธาวิมุติ

สัทธาวิมุติ เป็นวิมุติ ที่ไม่ได้บรรลุธรรมของศาสนาพุทธ เป็นการบรรลุแบบ เดียรถีย์ แบบของโลกียะอยู่ตลอดเวลา 

เพราะฉะนั้น สายสัทธานุสารี จะออกจากสัทธาวิมุติได้ยากมาก ส่วนธัมมานุสารี ซึ่งเป็นตระกูลของปัญญาผสมอยู่มากกว่าศรัทธา จึงออกมาสู่โลกอีกโลกหนึ่งเป็นโลกุตระ เป็นทิฏฐิปัตตะ มีทิฏฐิ เริ่มเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นโลกใหม่เป็นโลกโลกุตระได้ 

จากทิฏฐิปัตตะ แล้วจึงเป็นกายสักขี จะเข้าใจเรื่องกาย จะเข้าใจเรื่องรูป จะเข้าใจเรื่องแยกกายแยกจิต จนทำให้บรรลุในความเป็น กาย ซึ่งซับซ้อนลึกซึ้งมาก จะไม่ขอขยายความตอนนี้ ยังจะพูดอีกอย่างอีกเยอะเรื่องกาย

ตั้งแต่ประเด็นแรก พ้น สักกายทิฏฐิ จนกระทั่งสุดท้ายจบด้วยการตรวจสอบในวิญญาณฐีติ 7 ด้วยกายและสัญญา จนครบ วิญญาณฐิติ 7 คำว่า กาย จะต้องบริบูรณ์จนกระทั่งสุดท้าย วิญญาณฐีติ 7 ความเป็นกายและเป็นสัญญา จนไปถึงรูป อรูป อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจา และ อากิญจัญยายตนะ 

อาตมานี่เป็น โพธิสัตว์ สายปฏิสัมภิทาญาณตรงๆ เต็มๆมาแต่ต้น จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ แม้ปางนี้ก็เป็นปางต่อ โพธิสัตว์ระดับ 7 ที่ยังเป็น ไก่ตัวพี่ ขออภัยพูดแล้วเหมือนเป็นการยกย่องตัวเอง อาตมานี่แหละ เป็น ปฏิสัมภิทาญาณ ที่ยังไม่มีใคร อาตมาเป็นไก่ตัวพี่ในปางนี้ในยุคสมัยนี้ที่จะต่อไปอีกจนกระทั่งถึงพุทธศาสนา 5,000 ปีจบ ของพระพุทธเจ้าสมณโคดม 

ปฏิสัมภิทาญาณ​ หมายถึง ผู้ที่มีอรรถะ มีธรรมะ มีนิรุติ มีปฏิภาณ ครบ 4 

อรรถะ คือเนื้อ ธรรมะ คือองค์ธรรมที่เป็นเทวธัมมา เป็นต้น คือเป็นรูปเป็นนาม เป็นสถานะของ เจโตกับปัญญา 

อรรถะก็เป็นเจโต ธรรมะก็เป็นปัญญา 

แล้วเจริญด้วยภาษานิรุตติ โวหารต่างและไหวพริบปฏิภาณเป็น ปฏิภาณ ครบถ้วนทั้งสภาวะธรรมทั้งเนื้อแท้องค์ประกอบ 

อาตมานี่เป็นสาย ปฏิสัมภิทาญาณตั้งแต่ต้นมาจนกระทั่งถึงตอนนี้ จะไม่แวะเวียนมากระทั่ง จะไปจมอยู่ในสุทธาวาส 9 อย่างนี้เป็นต้น อาตมาจะไม่ไปทำ เหมือนพระสมณโคดม อาตมาเป็นสายเดียวกันกับพระสมณโคดม 

ถ้าเชื่อว่าอาตมาเป็นพระสารีบุตร ก็นั่นแหละเป็นสายเดียวกันกับพระสารีบุตรมาโดยตรง แล้วก็พัฒนามาจนกระทั่งขณะนี้ พระสารีบุตรเกิดในยุคพระพุทธเจ้า ตายไปแล้ว ที่อาตมามาเกิดนี้ ถ้าอาตมายังเป็นพระสารีบุตรอยู่ อาตมาก็ไม่ไปถึงไหน อาตมาต้องเจริญกว่าพระสารีบุตร ผ่านมา 2,000 กว่าปี อาตมาก็จมอยู่กับการเป็นพระสารีบุตร อย่างนี้ดูถูกอาตมา แล้วคุณก็ไม่เข้าใจธรรมะเลย ถ้าพระสารีบุตรมาเกิด จนป่านนี้อาตมาไม่ใช่พระสารีบุตรทั้งนั้นต้องเป็นมหาสารีบุตร ในยุคพระพุทธเจ้าไม่มีใครให้ตำแหน่งมหาสารีบุตร มีแต่พระมหากัสสปะ ไม่มีมหานะ คุณจำลองยังได้เป็นมหา เพราะสายเจโต สายปัญญา ต้องไปเป็นมหา แต่มี ปฏิสัมภิทาญาณเหนือกว่าสายมหา

สู่แดนธรรม.. พ่อท่านชาตินี้เป็นบุตรของนางโฮม น่าจะชื่อ บุญโฮมบุตร

พ่อครูว่า... มีพ่อชื่อเฉย เป็นเฉยบุตร โฮมบุตร 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สมณะฟ้าไท... พวกเราคงเคยฟังธรรมพ่อครูมาก่อนมานาน จึงฟังเข้าใจได้ ไม่อย่างนั้นฟังไม่เข้าใจ ปฏิบัติไม่ได้ 

แม้เรากล่าว เคารพอย่างสูงนั้น ก็เพราะจิตใจเราเจริญขึ้นจึงได้พูดเช่นนั้น พ่อครูกล่าวเป็นพระพุทธเจ้าว่าเคารพบูชาสุดเศียรสุดเกล้า สุดกระหม่อม 

 

สัมภาระวิบากของโพธิสัตว์คือเช่นไร

พ่อครูว่า... มีคำคำหนึ่ง คำว่าสัมภาระวิบาก ก็ภาระนั่นแหละ สั่งสมภาระ ภาระ แปลว่าจะต้องเอาภาระ แหม ขยายเป็นภาษาไทยว่าไง ภาระ เอาภาระ เป็นภาระ

สมณะฟ้าไท... รับผิดชอบ

พ่อครูว่า... รับผิดชอบ มันเผินๆ ภาระนี่แหละมีการรับผิดชอบด้วย แต่เนื้อแท้ของภาระคือ แบก เป็นตัวจริงและต้องทำ ต้องมี ต้องเป็น ต้องรับผิดชอบ ให้ได้ให้บรรลุผล แล้วก็สั่งสมภาระ เป็นวิบาก เป็นผล สัมภาระวิบาก สั่งสมผลยิ่งขึ้นๆ 

ทีนี้เขาอธิบายกันอย่างเจโต พระโพธิสัตว์ได้สั่งสมสัมภาระวิบาก มันเป็นรูปธรรมที่ทรมานเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องที่ลำบากลำบน ทำไปจนกระทั่งเป็นรูปธรรม ถ้าใครเคยอ่านสัมภาระวิบากของพระโพธิสัตว์ สายเจโตเขียน เป็นทุกรกิริยา ซึ่งเป็นรูปธรรมที่เข้าใจง่าย ที่จะพากเพียร ไปพบพระพุทธเจ้าให้ได้ โดยเอาตัวนี้ไป เดิน ไปจนกระทั่งขากุดขาด้วนหมด เดินไม่ได้ก็กระเสือกกระสนไป มือกุดมือด้วนหมดก็เอาอกถากไปๆ จนเลือดไหลโทรม เขาอธิบายรูปธรรมแบบนี้ เพื่อจะพบพระพุทธเจ้าให้ได้ สุดยอดอึดไหน ก็เข้าใจได้ดี อย่างนี้เป็นต้น 

ทีนี้นามธรรมก็เป็นอย่างนั้น แต่ภาษานามธรรมนั้นอธิบายได้น้อยกว่ารูปธรรม อย่างอาตมาขณะนี้ สัมภาระวิบากของอาตมามีมาก หนัก แต่มันเป็นนามธรรม ผู้เข้าใจนามธรรม จะเข้าใจได้ จะรู้ว่าใช่ จริง แล้วนามธรรมที่ว่านี้เป็นโลกุตระ และโลกุตระมันเป็นความย้อนแย้ง มันยิ่งดี มันยิ่งรุนแรง มันยิ่งดี มันยิ่งร้าย เป็นความย้อนแย้ง มันเหมือนร้าย ที่จริงมันก็ร้ายแรงนั่นแหละแต่มันเหมือน ที่จริงมันพ้นจากความร้ายแรงนั้นไปเรื่อยๆ แต่มันดูเหมือนยิ่งร้ายแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เห็นไหม ภาษามันจะย้อนแย้ง 

สู่แดนธรรม... มันต้องมีพลังของความเด็ดขาด 

พ่อครูว่า... มันต้องยิ่งเด็ด ยิ่งขาดได้ ยิ่งเด็ดได้เร็ว ขาดได้สนิท มากยิ่งขึ้นๆๆ ชัดเจนขึ้นนะ 

 

จะดื่มธรรมะ Organic ได้ต้องเทชาออกจากถ้วยก่อน

_Wanawut Sirisakorn วนวุฒิ ศิริสาคร · ธรรมะที่พ่อท่านเทศน์นั้น ทันยุคทันสมัย ปราศจากสิ่งเจือปนคือ "ไร้สารพิษ" หรือใช้คำว่า "ธรรมะออแกนิค" ก็ได้ และกลุ่มคนที่จะเข้าถึงได้ดีคือ คนรุ่นใหม่ ที่มองที่ตนเองเป็นหลักไม่สนใจใคร และต่อต้านความเชื่องมงาย ที่สืบทอดมาจากรุ่นพ่อแม่ มองผิวเผินอาจดูกร้าวร้าว แต่หากคนรุ่นใหม่ได้สัมมาทิฏฐิที่ถูกต้อง พวกเค้านี่แหละที่สืบทอดพระศาสนาที่เป็นพุทธแท้ได้ดี ปราศจากความเชื่องมงายผิดๆอย่างคนรุ่นพ่อแม่ลุงป้าน้าอาที่เกิดมาก็ถูกปลูกฝังลัทธิ พญานาค และ พญาครุฑ ที่ผิดๆ มาตั้งแต่เด็กๆ

พ่อครูว่า...จริงที่สุด อาตมาเขียนหนังสือปัญญา 8 ตอนนี้ไปถึง 700 กว่าหน้าแล้ว ที่เป็นเล่ม 2 ซึ่งเล่ม 1 ตัดไปแล้ว ถ้า แบ่งก็ได้อีก 2 เล่มใหญ่ 350 หน้าขึ้นไป ยังเพิ่งจะแก้ไขอยู่อีก ถึงหน้า 300 กว่า แล้วมันอีกตั้ง 400 กว่าหน้า พยายามบอกตัวเองอีกว่า อย่าเพิ่มอีกเลย ก็ยังมีอะไรใหม่ที่จะต่อยอดไว้อีก ซึ่งไม่น่ารังเกียจอะไรที่เราจะทำเช่นนี้ 

สมณะฟ้าไท... ในยุคสมัยนี้ไม่มีกระทำเช่นนี้ได้ด้วย 

พ่อครูว่า... ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ เป็นธรรมะที่รู้รอบ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ยังทำได้ขนาดนี้ คิดดูสิถ้าโพธิสัตว์ระดับ 8 ระดับ 9 เป็นพระพุทธเจ้าจะขนาดไหน คนที่ไม่มีอคติ หมดอคติจริงๆแล้ว เปิดจิตรับเต็มๆ หมายความว่า เปิดชา เทชาออกจากถ้วยเต็ม แล้วรับท่าเดียว อันนี้คุณจะเห็นว่ารับได้อีก รับได้อีก แล้วถ้วยชาคุณจะไม่เต็มง่ายเลย รับได้อีกๆๆ แต่ถ้าผู้ที่ชาเต็มถ้วย ชาล้นถ้วยแล้ว ไม่เอาออก ไม่รินออก ไม่รั่ว ไม่ซึมเข้าไปหาแกนเก็บ ใส่เซฟ คุณก็ชาล้นถ้วยแน่ ฟังเข้าใจนะ ที่ขยายความ

สู่แดนธรรม... เขาไม่ได้ดื่มชาเลย ถ้าดื่ม มันก็จะพร่องลงไปบ้าง แต่พวกเราพวกนักดื่มชา สมมุติครับ

พ่อครูว่า... ไม่มีใครดื่มชาหรอกพวกเรา บอกให้เอาไมยราพยักษ์มาคั่วทำชากันบ้าง ก็ไม่เห็นจะทำ มันจะได้ร่อยหรอลงไปบ้างไมยราพยักษ์ 

อาตมาว่า คุณวนวุฒิเข้าใจถูกแล้ว เพราะคนรุ่นใหม่ จะเป็นคนอย่างที่ว่านี้ ว่า ของเก่าถ้าเผื่อว่ายึดแต่ของเก่า โดยไม่ขยายใหม่ ก็เท่ากับคนที่อยู่ในกะลาครอบเดิม แล้วมันจะไปเจริญออกจากอาตกะลาครอบได้อย่างไร ถ้าเดิมคุณก็อยู่ในกะลาครอบ คุณก็จมอยู่ในที่เก่า ถ้าคุณบรรลุสูงสุดแล้ว คุณก็จะมีโลกกว้างกว่ากะลาครอบ ใช่ไหม แต่นี่คุณไม่ออกจากกะลาครอบ คุณก็กว้างขึ้นกว่านั้นอีกไม่ได้ มันก็เป็นสัจจะ ใช่ไหม 

เพราะฉะนั้นผู้ออกจากกะลาครอบ หรือออกจากสิ่งที่ยึดถือในวงวนของตนเอง ออกมา ซึ่งสิ่งที่ออกมา มันต้องใหม่ มันต้องสูงกว่า มันต้องมีอะไรที่ไม่ใช่อย่างที่มันเป็นอย่างที่เรามีแล้ว มันมีอะไรใหม่ เป็นอื่นที่เรียกว่า อัญญธาตุ ที่ใช้ภาษาวิชาการว่า อัญญะแปลว่าอื่น อัญญธาตุ ซึ่งศัพท์นี้ อัญญะหรืออื่น นี้ มันก็ใช้ด้วยกัน แต่มันมาเป็นภาษาของโลกุตระ 

อัญญะ คำนี้ เป็นรากศัพท์ของคำว่า อัญญา อัญญะ อญญ ซึ่งลงไปถึงพยัญชนะ ถึงตัวอักษรพวกนี้แล้วมันยาก อาตมายังไม่อยากพูดเท่าไหร่ พวกเราก็มีคนสนุกกับอันนี้อยากให้อาตมาต่อ อาตมาก็ไม่อยากต่อ เพราะมันจะเลยเถิดไป จะไปติดพยัญชนะมากไป เอาพวกนี้เสียก่อน อย่าเพิ่งไปอย่างโน้น ถ้าไปแล้วมันจะไกลจะลึก ผู้ที่ชอบมันก็จะไป หลายคนพวกเราชอบ อาตมาก็เลยไม่ต่อ ถ้าต่อแล้วมันจะไปกันใหญ่ เสียเวลา มันเป็นพยัญชนะ 

รากเหง้าของภาษาบาลี 

วรรคที่ 1 ก ข ค ฆ ง

วรรคที่ 2 จ ฉ ช ฌ ญ

วรรคที่ 3 ฏ ฐ ฑ ฒ ณ

วรรคที่ 4 ต ถ ท ธ น

วรรคที่ 5 ป ผ พ ภ ม

เศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ

ภาษาไทยเอามาเติมพยัญชนะเข้าไปอีก  เป็นการอวดดีกว่าภาษาบาลีที่เขาดีอยู่แล้ว อาตมาก็ไม่อยากพูดมาก ที่จริงการเติมนี่ อาตมานี่แหละตัวการ เข้าใจแล้ว รู้แล้วก็ทำเป็นอวดใหญ่ อวดโต อวดดี ไปเสริม

เช่น ภาษาไทย ไปเติม ข.ไข่ ข.ขวด ค.คน ซึ่งเขาใช้ที่ไหนกันล่ะ อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็มีตัวอย่างอื่นเพิ่มเข้าไปอีก เขาครบแล้วล่ะแต่ทำเป็นอวดดี ไม่ต้องต่ออแล้ว เดี๋ยวไปกันใหญ่ 

อจินไตย งู 7 ตัวที่แดนอโศก

_รุ่งบุญ ยิ้มใส  · พ่อครูมาสร้างแดนอโศกใหม่ๆ เกิดเหตุการณ์งู 7 ตัวพันกันขึ้นเป็นชั้นๆ เหมือนปางนาคปรก สัมผัสได้ถึงผู้มากด้วยบุญบารมี

พ่อครูว่า... อาตมาไม่อยากพูดมากมาย เป็นเรื่องจริงที่เราไปที่แดนอโศกแล้วไปเจองู 7 ตัวพันกัน ซึ่งมันเป็นธรรมชาติแต่มันเป็นนิมิตหมาย มันผสมพันธุ์กันแล้วมันแย่งกัน ตัวผู้ตัวเมีย มันไม่ได้เป็นอย่างนาคปรก ซึ่งนาคปรกมันรวมตัว แต่นี่มันแย่งกันแยกกันคนละข้าง ข้างหนึ่ง 4 ข้างหนึ่ง 3 ซึ่งมันก็ไม่แยกกันหรอก มันดิ้นไปดิ้นมา มันก็เป็นธรรมชาติ แต่มันเป็นนิมิตหมาย นิมิตของที่ลงตัวกัน รูปกับนาม มันมีจริง ในสิ่งที่รวมตัวเป็นหนึ่งเดียว 2 เป็น 1 1 เป็น 2 รวมตัวกันลงตัวกัน ซึ่งเป็นเรื่องยากเป็น อจินไตย ที่เข้าใจได้ยาก แต่ผู้เข้าใจแล้วก็หมดความกังขา หมดวิจิกิจฉา จะเข้าใจแล้ว 2 เป็น 1 1 เป็น 2 มารวมตัวกันได้ แล้วเราก็จะแทนอะไรเป็น 1 จนสุดท้าย 0 กับ 1 มันก็เป็น 2 สุดท้าย 1 กับ 0 นี้มันกลายเป็น 0

1 กับ 0 ก็คือ 2 แล้ว 1 กับ 0 ก็เป็น 0 ไปจบที่ 0 ก็จบได้ที่ 0 ก็จบ หมด 0 แล้วก็เป็นจบ ทำได้มีสภาวะรู้พยัญชนะพวกนี้ พยัญชนะบอกว่า 0 บอกว่า 1 บอกว่า 2 สภาวะมันมี 

0 คืออย่างไร คือมันจบ มันไม่มีอะไรแล้วก็คือ 0 มันเป็นสุดท้าย ใช้พยัญชนะวิชาการว่า ปรินิพพานเป็นปริโยสาน สุดแล้ว มูลสูตร 10 จบด้วยตัวนี้ แล้วสภาวะของอาตมาก็ขยายความ

คนทุกคนจบเป็นพระอรหันต์สามารถทำปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ แยกธาตุจิตนิยามของตัวเองได้ แยกธาตุ อัตตาของตัวเองได้ ที่เป็นนามธรรม เป็นจิตนิยาม สลายเป็นดินน้ำไฟลม  กระจัดกระจายเป็นดินน้ำไฟลม  ไม่มารวมตัวกันอีก เหมือนพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าท่านเหมือนพวงมะม่วงถูกตัดขั้วลงมากระทบพื้นแตกกระจายออกไปแล้ว เอามารวมตัวกันเป็นพวงมะม่วงขึ้นมาอีกไม่ได้ฉันใด ทุกคนจะเห็น พระพุทธเจ้าในขณะที่มีพวงมะม่วง เมื่อกายแตกตายสลายเหมือนพวงมะม่วงตกแตกกระจายแล้วไม่รวมตัวกันอีก คุณไม่สามารถจะเห็นพวงมะม่วงนั้นอีกได้เลยฉันใด มันจะไม่รวมตัวกันอีกเลย ก็เท่ากับจิตนิยามแตกกระจายไม่รวมตัวกันอีก เป็นดินน้ำไฟลมหมดเลย ไม่มารวมตัวกันอีก ฉันนั้น อย่างนี้เป็นต้น ก็จบ 

เรารู้จบ คุณรู้จบแล้วเมื่อทำได้ ว่านี่คือตัวจบ ในมูลสูตร10 เป็นหลัก รากของมันจริงๆเลย

ฉันทะเป็นมูล ก็เป็นรากของความรู้ ความเห็น 

มนสิการก็เป็นราก เป็นมูล ของการทำใจในใจ 

แล้วต้องมีผัสสะ ไม่มีผัสสะ ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ครบเป็นไปไม่ได้ คนที่ไปหลับตาไม่มีผัสสะ โมฆะ พูดอย่างไรก็ไม่ค่อยตื่น ไม่เคยรู้เรื่องไม่ลืมตาไม่ออกมา เพราะฉะนั้นไม่มีผัสสะไม่ได้ ตาหูจมูกลิ้นกายของคน ภายนอกต้องมีผัสสะครบ จึงจะรู้โลก ไม่อย่างนั้นคุณจมอยู่ในอัตตาอย่างเดียวคุณไม่มีโลก อาโลก มันไม่มีแสงสว่างที่ต้องอาศัย มันไม่มี ตาหูจมูกลิ้นกายคุณไม่รู้เรื่อง โลกที่มีตากระทบรูปเป็นอย่างนี้ เรื่องเสียงนี่ไม่เท่าไหร่ เขาจะพูดกับคนอื่นไม่รู้เรื่องจะเอาแต่ทางเสียง ไปพูดกับดร.สุกรี คณบดีคณะดุริยางคศาสตร์ของมหาวิทยาลัย แกก็จะเอาแต่เสียงของแก คนที่เขาหลง รูป หลงเสียง หลงกลิ่น หลงรส 

พวกหลงรส พวกที่ติดก็ปรุงแต่รส ไปถามหม่อมหลวงหมึกแดงสิ ลูกหม่อมราชวงศ์ถนัดศรี ก็เอาแต่เรื่องปรุงอาหาร หลายคน ปรุง ดร.อะไรนะ กระเทย ดร.ยิ่งศักดิ์ ไปพูดกับแกสิ ก็เอาแต่เรื่องอาหาร มันก็เป็นรสอาหาร รสทางลิ้น ก็มีอย่างอื่นครบเหมือนกันแต่ก็มีทางลิ้นเป็นหลัก มันก็ไปทางตาหูจมูกลิ้น กายสัมผัสเสียดสี ที่จริงมันหนักหนาสาหัสซึ่งยากกว่าทุกอย่าง 

สัมผัส ต่างกับรูป หูก็ต้องสัมผัสเสียง จมูกก็สัมผัสกลิ่น ลิ้นก็สัมผัสรส ซึ้งลิ้นมันอยู่ข้างในๆ โผฏฐัพพะ รวมหมดทั้ง 4 ซึ่งเป็นภายนอกนะ มีใจร่วมด้วย ก็เป็น 5 ก็เลยอธิบาย อุปาทายรูป 24 อันนี้เหลือ 9 มันไม่เป็น 10 เพราะมันร่วมกันที่ โผฏฐัพพะกับใจ ใจมันรวมกันตรงนี้แหละ ก็เลยหักออกเหลือ 9 คนก็เข้าใจไม่ได้หักออกไปอย่างไร มันก็ต้องหัก เพราะการรู้ มันต้องมีรูปนาม 2  เขาบอกว่าต้องเป็น 10 สิ 

สู่แดนธรรม... เรื่องที่มันมี 10 ข้อ ตาหูจมูกลิ้นกาย ท่านพูดถึงรูปอย่างเดียวไม่พูดถึงนาม

พ่อครูว่า... ท่านตัดให้เหลือ 9 เพราะว่าตาหูจมูกลิ้น มันก็เป็นกายอยู่แล้ว ไม่ต้องนับ โผฏฐัพพะ เป็นกายอีก ก็เลยตัดเหลือ 9

มันต้องมีนามร่วมด้วย ไปตัดได้อย่างไร ถ้าไม่มีใจร่วมด้วยจะไปรู้ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นมันจึงต้องหัก 2 หักรูปกับนาม 

เพราะฉะนั้นถ้าคุณเอาโผฏฐัพพะ ถ้ารวมกับใจอีกหนึ่งก็เป็น 11 คุณต้องหักรูปนามออกคู่นึงมันก็เหลือ 9 อยู่ดี 

ซึ่งเป็นเรื่องยากไม่ใช่เรื่องเล่น ถ้าไม่รู้จริงจะเมา วนอยู่นั่นแหละ 

สมณะฟ้าไท... ในหนังสือ รวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร เล่ม 4 พ่อครู พูดเรื่องนี้อย่างละเอียด หน้าประมาณเกือบ 200

พ่อครูว่า... เรื่องงู 7 ตัวมันเป็นเรื่องนิมิต เลข 7 เป็นเลขที่เป็นฐานของอาตมา  เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องเล่น เป็นเรื่องจริง พระพุทธเจ้าต้องประสูติ วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ต้องตรัสรู้ขึ้น  15 ค่ำเดือน 6 ต้องปรินิพพานขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 มันไม่ใช่เรื่องสมมุติ ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาทำเอาโก้ ซึ่งมันไม่ใช่ มันต้องลงตัว ลงตัวทั้งรูปและนาม มันเป็นหนึ่ง มันต้องลงตัว เรื่องนี้ก็ได้จะพูดขยายภาษาให้ฟัง กว่าจะใช้ได้ กว่าจะรู้ 

อย่างอาตมา ร่วมใช้สิ่งที่จะต้องรวมเป็นหนึ่งได้ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ร่วมใช้ได้ ยิ่งระดับ 8 จะลงตัวเนียนยิ่งกว่านี้ เป็นระดับ 9 แล้วต้องเป็นเช่นนั้น ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นไม่ใช่ ต้องเป็นอย่างนั้นเป๊ะเลย มันไม่เป๊ะ มันไม่ลงตัว มันไม่จบ เป็นเอกัคคตา เป็นหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ 

สู่แดนธรรม... พ่อครูเคยอธิบายไว้ใน คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก ว่า การเกิดและการตายเป็นธรรมชาติเป็นสภาวะที่ๆไม่มีอะไรคั่นเลย การเกิดการตรัสรู้ก็คือ อวิชชาตายไป ผมก็เลยเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าทำไมต้องเกิดและตายในวันเดียวกัน การตรัสรู้ก็เกิดการตายอย่างหนึ่ง คือดับอวิชชา มันก็เกิดวิชชา 

พ่อครูว่า... เพราะฉะนั้นสิ่งอันนี้มันจึงไม่ใช่เรื่องสมมุติ อาตมานำสิ่งเหล่านี้มาอ้างอิงยืนยันอธิบายไป ก็ฟังไปก็แล้วกัน ผู้ที่ยังไม่เห็นว่าจริง ยังไม่เชื่อว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ก็ไม่เป็นไร ไปบังคับกันไม่ได้ แต่ผู้ที่จะเข้าใจเห็นจริงๆแล้ว มันจริงที่สุด 

ขยายความไปถึงว่า เรื่องที่เราพูด เป็นเรื่องของนามธรรม เป็นเรื่องของธรรมะ ถ้ามาเป็นโลก เราไม่ได้ทิ้งโลก เราพวกนักธรรมะโลกุตระ เป็นพวกสร้างโลก เป็นพระเจ้าตัวจริง ทำงานอยู่ในโลกจริงๆ ไม่ใช่ทำงานอยู่ที่ลึกลับ แล้วก็บันดาลอะไร จับผิดก็ไม่ได้ ไปท้วงไปต่อว่าอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ไม่ใช่ มันเรื่องจริงเป็นเรื่องโลกอยู่ตรงนี้ โลกุตระคือเรื่องโลก แล้วเราก็สามารถที่จะปรับโลกให้เห็นเป็นไปตามที่ควรจะเป็น พัฒนาไป ๆๆ 

เพราะฉะนั้นพวกโลกุตระนี้ จึงเป็นคนพัฒนาโลก มันนำเทวนิยมไปอีกหลายสิบหลายร้อยก้าว นี่พูดไปแล้วมันก็..คนหมั่่นไส้ก็จะหาว่าคุยโต โอ้อวดเก่ง 

ก็ขอสรุปลงท้ายเลย ว่า ประเทศไทยจะนำ เอาเถอะ สถิติต่างๆที่เขาพยายามตรวจตามความรู้ของแต่ละสำนัก แต่ละสำนัก แล้วก็พูดออกมา ไทยเราก็ถูกจัดอันดับ ยืนยันของแต่ละสำนัก ว่าอยู่ลำดับต่างๆ ตามความรู้ของเขาที่มีหลักสูตรของเขา เป็นเครื่องตัดสิน 

อาตมาก็มีของอาตมาเป็นโลกุตรธรรม มีหลักสูตรของโลกุตรธรรมของอาตมาเป็นเครื่องตัดสิน ผู้รู้ของชาวไทยที่มีโลกุตระธรรมอยู่ในจิต ก็จะตัดสินออกมาเหมือนกัน แล้วก็จะสมัครสมานกับอาตมาเพราะเป็นโลกุตระอันเดียวกันซึ่งมีน้อย 

เพราะฉะนั้นเมื่อสถิติของเรามีน้อยมันก็สู้สถิติของพวกเขาที่มีมากหลายสำนักโพล ของเราสำนักโพลไม่กี่สำนัก มันก็สู้ไม่ได้ เราก็ไม่ได้ไปสู้หรอก

แต่ ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน แล้วก็ขอยืนยันว่า มีอจินไตยคำหนึ่ง ดูไปไม่ต้องไปดูไบ ภาษาไทยง่ายๆ ดูไปไม่ต้องไปดูไบ เข้าใจมั้ย แล้วเป็นความจริงนะภาษานี้เป็นสัจธรรม ดูไปไม่ต้องไปดูไบ แล้วจะเห็นความจริง

 

_เอื้อมพร : กราบนมัสการค่ะ ขอเรียนถามความแตกต่างระหว่าง บาป - อกุศล - ชั่ว

ตามความเข้าใจก็คือ บาปนั้นมีกิเลสเป็นตัวนำ คนเราจะทำบาปก็เพราะว่ายังมีกิเลส

ส่วน "อกุศล" ก็คือสื่งที่ไม่เป็น กุศล ทำไปเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ คือไม่มีปัญญา ไม่ได้ไตร่ตรอง แต่ผลของการกระทำเป็นลบ เช่น เดินไม่ระวังไปเหยียบลูกอึ่งอ่างตาย อย่างนี้เรียกว่าอกุศล

แต่อุกศลก็ยังมีวิบากอยู่ดี แต่จะน้อยกว่าบาปไหมค่ะ (คงจะน้อยกว่า เพราะไม่มีมโนกรรม)

ดี-ชั่ว เป็นสมมติ แล้วแต่การกำหนดยึดถือ ของแต่ละสังคม วัฒนธรรม จารีตประเพณี

ชั่ว - อกุศล - บาป มีความต่าง หรือเหมือนกันอย่างไรค่ะ?

พ่อครูว่า... การไม่มีเจตนา ไม่ถือว่าบาปทีเดียว ไม่เป็นกรรม พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่ากรรมที่ไม่มีเจตนาไม่เป็นบาป แต่ก็เป็นอกุศล ตามที่ยกตัวอย่าง ก็ไปทำเขาตาย แม้แต่กฎหมายอาญาก็ยังยากที่จะตัดสินพวกนี้ เพราะเอาจิตมาตัดสินด้วยไม่ได้ 

เทวนิยมหรือโลกีย์ไม่ได้เรียนรู้สุขทุกข์ ไม่เรียนรู้ว่าสุขทุกข์เป็นมายา แล้วต้องเลิกความสุขความทุกข์ โลกีย์เทวนิยม ไม่เรียนรู้ที่จะให้หมดความสุขความทุกข์ เป็นสุขนิยม

สมณะฟ้าไท... 

พ่อครูว่า... เรื่องอาหาร ให้มาเห็นเลยว่ามันเป็นหนึ่งในโลก ไม่มีอะไรเท่าหรอก เพราะถ้าเข้าใจว่าสัตว์โลกต้องกินอาหาร คนบรรลุแล้วก็ต้องกินอาหาร เป็น พระพุทธเจ้า ก็ต้องกินอาหาร

จบ

 

ที่มา ที่ไป

650504 พิสูจน์ธรรมะพ่อครู ต้องดูไปไม่ต้องไปดูไบ พุทธศาสนาตามภูมิ วันพุธที่ 4 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 พฤษภาคม 2565 ( 05:05:19 )

650506

รายละเอียด

650506 อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของผู้มีอภิภายตนะ 8 พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ

https://www.boonniyom.net/51946.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                          

https://docs.google.com/document/d/1NygD6d2lofShyefG6tGGGxVJJcEQY1izjsfVlXRQBAU/edit?usp=sharing   

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1QbhKehua8W6BjJyTrntMp9qnLhYJw8F9/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่  https://youtu.be/WX5cmhibdwI

และ https://fb.watch/cQQnZKoeTY/


 

สมณะเดินดิน... วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ช่วงนี้มีข่าวพระข้างนอกจะเยอะมากเลย ข่าวตลกอันหนึ่ง ติดป้ายใหญ่เลยห้ามหมอปลาเข้าวัดนี้ ชวนกันต่อต้านหมอปลา เมื่อก่อนหมอปลาปราบผี เดี๋ยวนี้เลื่อนเป็นมือปราบอลัชชี ไปจัดการพระที่ร้ายๆ ที่ว่าตลกก็เพราะว่า เขาตามหาใครเป็นคนติดป้ายที่วัดนี้ เจ้าอาวาสออกมาปฏิเสธไม่รู้เรื่องเลย แต่สุดท้าย ตัวเองสั่งให้ทำป้ายเอง แถมกินเหล้าและมากินหมูกระทะด้วย สุดท้ายก็สารภาพออกมาอย่างนั้น และบอกว่าญาติโยมไม่พอใจจะสึกภายใน 3 วัน มีคนบอกว่าสึกวันนี้ใจได้ไหม มีรองเจ้าอาวาสออกมาให้สัมภาษณ์ว่าพระดีๆอย่างนี้ไม่ควรบีบบังคับให้สึกหรอก 

ทำให้เห็นว่าค่านิยมของสังคม แย่จริงๆเลย ฆราวาสเขาเห็นไส้เห็นพุงหมดแล้วยังมีหน้าออกมาสนับสนุนว่าพระดีๆอย่างนี้ไม่ควรจะไปสึก ทำให้เห็นว่าสังคมนี้สิ่งเลวร้ายเขาไม่รู้สึกรู้สากลายเป็นเรื่องดีๆไปหมด 

มีคนตั้งข้อสังเกตว่าทำไมคุณรสนา หาเสียงที่กทม. ทำไมไม่เป็นที่ตอบรับอะไร ทั้งที่มีผลงานต่อต้านการโกง ปราบทุจริต มาทั้งชีวิต ก็เพราะว่า คนเขาไม่ต้องการคนปราบโกงแต่ต้องการคนทำอะไรให้เขาได้มีเศรษฐกิจดี แต่เมื่อมีคุณรสนามาพูดอย่างนี้ เรื่องคอรัปชั่น ปรากฏว่าผู้สมัครคนอื่นก็เริ่มพูดเรื่องนี้กัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยจะพูดเรื่องนี้กัน 

ญาติธรรมที่อยู่ในกทม.และปริมณฑล ก็น่าจะร่วมมือในการเลือกตั้งผู้ว่ากทม.ครั้งนี้ ทำให้คนดีได้ขึ้นมาดูแลปกครองบ้านเมือง ตามในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสไว้ 

ประชาธิปไตยจะสมบูรณ์ได้ต้องมีโลกุตระ ความไม่มีตัวตน ความเป็นคนรับใช้ มีความซื่อสัตย์เป็นองค์ประกอบสำคัญ แม้เราไม่ใช่นักการเมือง เราก็สามารถทำการเมืองโลกุตระได้ 

พ่อครูว่า...SMS วันที่ 04 - 05 พ.ค. 2565

 

รู้นิยาม 5 พ้นวิปลาส 4

_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งค่ะ

ภูมิของพระโสดาบัน ในเรื่องการละเนื้อสัตว์ ต้องละได้ขนาดไหน เพราะลูกไม่ได้กินเนื้อมาเกือบ 2 ปีแล้วค่ะ หากจะให้ไปกิน ก็จะทุกข์ใจ อาจจะอาเจียนได้ จิตผู้บรรลุพระโสดาบันจะมีอาการแบบนี้ไหมคะ หรือไม่กินเนื้อสัตว์ก็ได้ ให้กินเนื้อสัตว์ก็ได้ ลูกยังไม่เข้าใจค่ะ 

พ่อครูว่า...ไม่กินเนื้อสัตว์ มันเป็นเครื่องชี้บ่งชนิดหนึ่ง ซึ่งจริงๆแล้วมันลึกซึ้งมาก  ลึกซึ้งซับซ้อนเห็นสัตว์เป็นเพื่อนทุกข์ เป็นสัตว์โลกที่มีชีวะ มีชีวิต พูดด้วยภาษาวิทยาศาสตร์ว่า มีเซลลของชีวะ ของชีวิต ในระดับสัตว์ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็แยกไว้ชัดเจนว่า สิ่งที่ปรุงแต่งกันอยู่ในระดับอุตุนิยาม มีทั้งสสารพลังงานมันก็ปรุงแต่งกันอยู่อย่างนั้น ยังไม่เป็นชีวะ เรารู้กรอบขอบเขตของอุตุนิยม ที่มีสสารพลังงานทำงานร่วมทำงานกันอยู่มากมายหลายระดับ ดวงอาทิตย์ หรือระดับ Nebula ยิ่งใหญ่ 

และอีกชั้น 1 พัฒนาจากพลังงานสสารธรรมดา อุตุนิยาม ขึ้นมาเป็นชีวะ เป็นระดับที่ 2 ท่านเรียกว่า ชีวะระดับของพีชนิยาม 

พีชนิยามนี้ มีชีวะที่ยังไม่ถึงขั้นจิตนิยาม ยังแยกละเอียดไปถึงเจตสิก ยังไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ มีแค่สัญญากับสังขาร มีรูปแล้วก็นามธรรม ก็แค่สัญญากับสังขารยังไม่เป็นเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ อย่างนี้เป็นต้น 

ภาษาบาลีที่กำกับสภาวะพวกนี้ ผู้ศึกษากันดีๆจะรู้จักรู้จริงรู้แจ้งได้ ถ้าเผื่อว่าไม่ได้ศึกษากันจริงๆ ศึกษาอย่างมีสภาวะรองรับ แล้วค่อยๆตามรู้ รู้ในของตน เป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ รู้ได้สัมผัสอ่านอาการลิงคนิมิต ตามคำบรรยายของผู้รู้ อุเทส ต่างๆ คำบรรยายของพระพุทธเจ้า ของผู้รู้ ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น รู้จนกระทั่งรู้แจ้งเห็นจริง แล้วมันจะตรงกันกับผู้รู้ ตั้งแต่พระพุทธเจ้า สัตบุรุษผู้อยู่ในฐานะของครูที่สัมมาทิฏฐิแล้วจะตรงกันหมด จึงเรียกว่าสัจจะมีหนึ่งเดียว จะรู้ไปหมด 

เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมะนี้ ขั้นที่พระพุทธเจ้านำมาประกาศแก่โลกนี้เรียกว่าโลกุตรธรรม เป็นธรรมะที่ พวกเราเข้าใจ ถ้าอาตมาจะอธิบายไปต่อไปนี้ แต่คนข้างนอกเทวนิยมต่างๆจะยังไม่เข้าใจ ที่อาตมาจะอธิบายต่อก็คือ 

จะสามารถรู้โลกียะ โลกุตระอันนั้นมันต่างกันจริงๆ ต่างกันคนละโลก ต่างกันคนละดวงดาว ต่างกันชนิดทวนกระแสเลย คนนึงเห็นดำ คนนึงเห็นขาว ต่างกันเป็นดำกับขาวเลย 

ผู้ที่ยังไม่รู้ก็จะปน เห็นดำเป็นขาว เห็นขาวเป็นดำ เป็นวิปลาส สลับกันไปสลับกันมา ไม่แน่ ไม่ชัดเจน สุดท้ายก็หลงผิดจนกระทั่งเห็นดำเป็นขาว เช่น เห็นทุกข์เป็นสุข วิปลาสแน่แท้ เห็นความไม่เที่ยงเป็นความเที่ยง เห็นว่าไม่ใช่ตนเป็นต่อ เห็นความไม่ได้น่ามีน่าเป็น เป็นความน่าได้น่ามีน่าเป็น ครบวิปลาส 4 อย่างนี้เป็นต้น 

ซึ่งที่พูดไปแล้วนั้นเป็นสัจธรรมทั้งสิ้น ผู้ที่ไม่ศึกษาดีๆ แม้แค่วิปลาส 4 ที่อาตมาพูดไปแล้วนั้น อาจจะฟังภาษาเข้าใจ แต่สภาวะยากที่จะมี สัจจะของสภาวะ วิปลาส 4 ที่จะรู้แจ้งเห็นจริงและหลุดพ้นผ่านมาแล้วเป็นคนผู้ที่ไม่วิปลาสแล้ว เพราะเขายังเป็นคนที่มีวิปลาส 3 อยู่แล้วสมบูรณ์แบบ วิปลาส 3 คือมีสัญญาวิปลาส มีทิฏฐิวิปลาส มีจิตวิปลาส 

หรือมี สัญญาวิปลาส มีจิตวิปลาส มีทิฏฐิวิปลาส

หมายความว่า ฐานจิตของเขาวิปลาส เพราะฉะนั้นทิฐิของเขาวิปลาส เมื่อจิตวิปลาส ทิฐิวิปลาสเพราะฉะนั้นสัญญาของเขาก็จึงวิปลาส วิปลาส 3 ก็เป็นอันหวังได้ว่าจะมีวิปลาส 4 แน่นอน ดังที่เป็นกันอยู่ เทวนิยม หลงความทุกข์เป็นความสุข อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็ไม่รู้ว่า ทุกข์ สุขนี้ไม่สามารถเรียนรู้จนสามารถตีแตกหรือแยกแยะได้ 

เพราะจริงๆแล้วมันเป็นสภาพ2 แต่เขาไปหลงยัง 1 วิปลาสว่ามันเป็น 1  หลงว่ามันเป็นสุขอย่างนี้เป็นต้นทั้งที่มันมีสุขมีทุกข์ซึ่งมันแยกกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงชัดเจนในสัจจะว่าสุขทุกข์แยกกันไม่ได้ เมื่อแยกไม่ได้ก็ไม่เอามันทั้งคู่มันทั้งสองเลย เป็นคนไม่สุขไม่ทุกข์ 

แล้วจะรู้ความสุขความทุกข์คืออะไรก็คือเวทนา คือความรู้สึก นี่สิเป็นจุดสำคัญ ก็ลงไปเรียนรู้ที่เวทนา แยกแยะไปทีละ 2ๆๆ จนกระทั่งรู้หมดเลยเป็นลำดับๆ ตั้งแต่ขั้นอบายมุข ขั้นกาม แยกเป็น 2

จนกระทั่งรู้แจ้งว่า อบายมุข เป็นมายา กามเป็นมายา เหลือรูปจิต อรูปจิต ก็ศึกษาอีกว่ามันเป็นมายา แท้จริงมันเป็นมายาทั้งหมดเลย ไม่ต้องเอามันเลยก็เป็นอนัตตา ผู้ที่รู้แจ้งเห็นจริงหรือว่าสิ่งที่ไม่มีหรืออนัตตา ไม่ใช่ตัวใช่ตนไม่มีตัวตนอะไร แต่เรายังมีชีวชีวิตอยู่ ก็รู้ความจริง อนุปคัมมะ อ๋อ! แท้จริงที่หลงว่ามันมี แท้จริงคือมันสิ่งที่ไม่มี 

แต่สภาวะปัจจุบันขณะนี้เรายังมีธาตุรู้ มีปัญญามีตัวรู้แจ้งเห็นจริง เป็นอภิภู เป็นผู้ที่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า ปรุงแต่งกันอยู่ทุกอย่าง โดยอิสระ เรียกว่า อภิภายตนะ 8 

ซึ่งเตรียมจะอธิบายอยู่ 

 

_สินอโศก : ดิฉันเข้าใจพ่อครูอย่างหมดสิ้นข้อสงสัย และหากเป็นไปได้ก็อยากมาเป็นชาวอโศกเจ้าค่ะ แต่อาจจะต้องรอจนกว่าจะถึงเวลาเจ้าค่ะ

ที่มา ที่ไป

650506 อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของผู้มีอภิภายตนะ 8 พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 07 พฤษภาคม 2565 ( 07:13:56 )

650509

รายละเอียด

650509 อภิภายตนสูตร ตอนที่ 1 รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 37 

https://www.boonniyom.net/51945.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1kHLLGLu831Fyelqik3Nwe7YsEcOXE7UlkvWiyXzkui8/edit?usp=sharing  

 

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/10lZjDVdKBhdmn-YagZyYtMaJ3_8XMlSy/view?usp=sharing 

     

และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/cUNso5WoCG/ 

และ https://youtu.be/FiN_QUFFTn0 

 

_สู่แดนธรรม...วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก  พ่อท่านเคยตอบคนที่สงสัยเกี่ยวกับ ความตั้งใจบวช ว่า พ่อท่านบรรลุธรรมตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้ว ผมก็เลยรู้สึกประทับใจตรงจุดนี้ 

พ่อครูว่า...SMS วันที่ 6-8 พ.ค. 2565

 

ทำไมไม่มีการศึกษาโพธิสัตว์ระดับต่างๆในประเทศไทย 

_สติพล จนพัฒนา  · โพธิสัตว์ที่เคยศึกษามาก่อนๆไม่เห็นมีระดับเลยครับหรือว่าท่านไม่ได้แจกแจงไว้?.

พ่อครูว่า...ศาสนาพุทธในไทยเป็นศาสนาพุทธหีนยาน พระไตรปิฎกก็ใช้ฉบับที่พระมหากัสสปะเป็นผู้ทำการสังคายนา เป็นศาสนาหินยาน 100% เป็นศาสนาพุทธที่เอาแต่อรหันต์ ไม่ศึกษาโพธิสัตว์เลย เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเรื่องพระโพธิสัตว์ในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐนี้ กล่าวถึงพระโพธิสัตว์ตามที่จะต้องอ้างอิงเท่านั้น ไม่เคยอธิบายขยายความอะไร แต่อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 เป็นผู้ที่ตั้งใจจะต่อภพต่อภูมิ คือจบอรหันต์แล้วก็ต่อภพต่อภูมิโพธิสัตว์ต่อไปอีก 

เป็นโพธิสัตว์ในระดับอรหันต์ คือโพธิสัตว์ระดับ 4 ระดับ 5 6 7 8 ระดับ 9 ก็เป็นพระพุทธเจ้า เขาไม่รู้กันไม่ได้เรียนกัน เพราะฉะนั้นจึงไม่เห็นมีระดับ อย่าว่าแต่ระดับเลย สักแต่ว่าอธิบาย ความเป็นโพธิสัตว์ก็ไม่มี แล้วพระพุทธเจ้าสมณโคดมก็ตรัสยืนยันด้วยว่า ท่านสอนใบไม้กำมือเดียว ไม่ได้สอนใบไม้ทั้งป่า ก็หมายความว่าสอนแต่เฉพาะอรหันต์ จบแล้วก็เลิก ปรินิพพานไป สอน 45 ปีทำงาน 45 ปีแล้วก็ไปปรินิพพาน ถ้าจะอยู่ถึงร้อยปีหรือเกินกว่าร้อยปีก็ได้ แต่ 80 ปีท่านก็ไปแล้ว 

เพราะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปลายแล้ว เมื่อยแสนเมื่อย สุดท้ายท่านก็ไม่เอาถึงร้อยปี ที่ท่านบอกว่าท่านจะอยู่ไปถึง 1 กัปหรือเกินกว่ากัปก็ได้ ท่านบอกว่าร่างกายเราเหมือนเกวียนเก่าคร่ำคร่าทรุดโทรมเสื่อมแล้ว ก็ค่อยๆศึกษาไปเรื่อยๆ จะรู้เข้าใจไปตามลำดับ 

 

_Danuthum Virulhsirikul  ดนุธรรม วิรุฬห์ศิริกุล· "กราบนมัสการ" พ่อท่าน ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งครับ.. ผมจะใช้คำนี้ตลอดไปครับ..ด้วยความศรัทธาของผมเองอย่างจริงใจ..ไม่ได้เชื่อใครและไม่ได้ตามใคร.. ก็อยู่ที่ภูมิของใครที่จะรู้และคิดได้เอง... พระพุทธเจ้า.. ท่านได้สอนไว้.. ไหว้คนที่ควรไหว้ บูชาคนที่ควรบูชา ผมเองก่อนที่จะมาฟัง"ธรรมะ" ของพ่อท่าน.. ก็ฟังพระดังดังมาหมดแล้ว...แต่เป็นทิศทางเดียวกันหมด..หลวงพ่อที่ดังๆเขาก็บอกเป็น"พระอรหันต์" กันทั้งนั้น.. พอผมถาม จะเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร... พระเขาก็ตอบว่าต้องหลับตา.. (ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง)..ตอนนี้คงมี"พระอรหันต์" เต็มประเทศแล้ว..เพราะ.. ปฏิบัติธรรมที่ไหนไหน.??ก็ให้หลับตากันหมด..ใครๆก็อยากเป็น รวมถึงตัวผมเองก็อยากเป็น"พระอรหันต์" แต่ไม่มีใครอธิบายได้ ..มาฟัง"พ่อท่าน" จึงเข้าใจและปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง.. จากการอธิบาย"จากพ่อท่าน"...ฟังธรรมะ"จากพ่อท่าน"

พ่อครูว่า...ถ้าเป็นผู้ที่น่าเคารพสิ่งใช้ภาษาที่ตรงกับความจริง อาตมาก็ไม่ได้ มังกุ หรือเขินอะไร แต่ไม่ใช่หน้าด้านนะ 

ดีตั้งใจฟังดีๆอย่าเพิ่งปักใจมั่นจนเกินไป  

 

อภิสังขาร ต่างกับสังขารทั่วไปอย่างไร

_สตาร์แอร์ ทุ่งคอก  · แค่อายตนะ6ยังยากหาที่สุด อภิภายตนะ 8 นี่ โลกแห่งธรรมช่างกว้างใหญ่เสียนี่ กระไร

ที่มา ที่ไป

650509 อภิภายตนสูตร ตอนที่ 1 รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 37 

วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 พฤษภาคม 2565 ( 11:18:36 )

650511

รายละเอียด

650511 อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ของ นาม 5 รูป 28 พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ

https://www.boonniyom.net/51944.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                          

https://docs.google.com/document/d/1zwCqUhQxo4olgxLczZmfb3MFI-BWpYIoUTYNUsIGcwk/edit?usp=sharing    

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1R1uUC5SnlGkhOtHceI46sMji1IVOFWZU/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่  https://fb.watch/cXpR5ukmWN/ 

และ https://youtu.be/2KflKLwAjPQ 

 

สมณะฟ้าไท... วันนี้เป็นวันพุธที่ 11 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้เราศึกษาธรรมะกับพ่อครูเป็นธรรมะที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ตอนนี้พ่อครูให้เรียนรู้อภิภายตนะ 8 อันนี้ เราก็ปีนต้นตาลฟังกันได้  

พ่อครูว่า...SMS วันที่ 9 พ.ค. 2565

_Sangaroon Sungkomsilp แสงอรุณ สังคมศิลป์  · รายการตุ้ม ตะลุ่มตุ้มม้ง ของวันจันทร์ที่ 9 พ.ค. 65 นี้หลวงปู่แสดงธรรมขั้นสูง เทปนี้ต้องฟังแล้วฟังอีกหลายๆ รอบเลยค่ะ

พ่อครูว่า... คุณแสงอรุณก็ได้รับทราบ ผู้ที่ติดตามฟังก็ได้ฟังด้วยกันด้วย ส่วนใครรู้สึกว่ายากก็มี  บางคนก็รู้สึกว่าไม่ยากเย็นอะไรก็มี แล้วแต่บารมีของคน 

 

นานาสังวาสาสของชาวอโศกกับเถรสมาคม

_Duangjai Jeab ดวงใจ เจี๊ยบ  · ข้าพเจ้าฟังธรรมะของพ่อครู โดยที่ไม่รู้จักประวัติเบื้องหลังพ่อครูมาก่อนเลย แต่เข้ามาฟังอย่างต่อเนื่องเพราะรู้สึกว่าใช่ รู้สึกว่าเจริญขึ้น และเห็นว่า คนที่ไม่ถูกจริตกับธรรมะพ่อครู คงจะตัดสินจากภูมิหลังพ่อครู ที่ออกมาปฏิบัติแบบนานาสังวาส โดยมิได้พิจารณาเนื้อหาธรรมะ นึกแล้วก็เสียดายแทนค่ะ กราาบนมัสการค่ะ

พ่อครูว่า... มีส่วนถูกต้อง ผู้ไม่รู้จักเบื้องหลังอาจจะมาเลยมาติดตามฟังธรรมเอาสาระธรรม ก็ชัดเจน เพราะมันไม่มีอะไรกวน เพราะถ้ารู้จักเบื้องหลังหรือติดตามประวัติมา อาตมาถูกดิสเครดิต ถูกถล่มทลายจากเถรสมาคมหรือว่าคณะกระแสหลักของประเทศ ที่เขาต้องนับถือ พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงนับถือขนาดนั้น แน่นอนเขาก็จะต้องยกให้คณะนั้นว่าถูกต้องดีแท้ แต่อาตมากลับมาซัดเลยว่านั่นแหละคือความเสื่อม เถรสมาคมนั่นแหละคือความเสื่อม คือผิดออกไปหมดเลย เรียกว่าเล่น นานาสังวาส เลย และ อาตมาก็เอาหลักนานาสังวาสที่เป็นหลักธรรมวินัยมายืนยัน และปฏิบัติตามนานาสังวาสที่อาตมาเข้าใจธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าในหลักนานาสังวาสดี แล้วก็ทำมาถูกต้อง ทางโน้นกลับไม่รู้เรื่อง 

ตอนแรกก็งงๆ ปล่อยให้อาตมาประกาศนานาสังวาสมาตั้งแต่ พ.ศ.2518 มาถึง พ.ศ. 2532 วันร้ายคืนร้ายไปกินยาผิดอย่างไรไม่รู้ กลับมาดึงอาตมาไปเล่นงาน นี่ก็ผิดพระธรรมวินัยแล้ว การประกาศนานาสังวาสก็จะมาทำอธิกรณ์อะไรกันไม่ได้เลย 

ดีไม่ดีก็เอาธรรมยุตและมหานิกายมารวมกันรุมอาตมาเลย มันก็ยิ่งแสดงชัดเจนว่าทำไมไม่ประสีประสากับธรรมวินัยเลย แค่ คณปูรกะ ต่างคณะกันแล้วจะร่วมกันสังฆกรรมไม่ได้ มาร่วมกันโจมตีอาตมา โดยเรียกว่าเป็น คณะการกสงฆ์ ทำสังฆกรรม ซึ่งทำไม่ได้ มันเป็นอาบัติ แต่ท่านไม่รู้หรอกว่า มันเป็นอาบัติ ก็ยิ่งแสดงความเสื่อมชัดเจน คณะทั้งคณะไม่รู้ความผิดของพระธรรมวินัย และละเมิด เป็นอาบัติในธรรมวินัยเองเลยแล้วมันจะยังไง 

ยิ่งทุกวันนี้ บริหารจัดแจงไม่ได้ ปล่อยให้ออกมา มีผู้ประกาศตนเป็นพระบิดา มีพระปาราชิกอะไรออกมา มีคดีผู้หญิงบ้าง เรื่องเงินเรื่องทองบ้าง 2 เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องเงินเรื่องทองกับเรื่องผู้หญิง มันจะเต็มไปหมด 

อาตมาเคยพูดและก็ขอพูดอีกว่า แม้แต่ในคณะใหญ่นั่นแหละรู้กัน ปาราชิกเรื่องผู้หญิงหรือเรื่องเงินก็ตาม แต่ก็กลบปิดกัน เละกันอยู่ในคณะเอง อาตมารับผิดชอบคำพูดนี้ ว่า ไม่ได้ใส่ไคล้ใส่ความ มันก็มีเรื่องมีหลักฐานออกมาตั้งเยอะแยะ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อาตมาก็เห็นใจนะ ที่จริงก็เห็นใจ ให้อาตมาหรือให้คณะอาตมาไปบริหารคณะสงฆ์เป็นคณะสงฆ์ อาตมาก็ไม่รับหรอก พูดตรงๆเลยว่า อาตมาทำไม่ได้เพราะมันเละเกิน อาตมาไม่มีแรง ไม่มีๆความสามารถที่จะไปจัดการสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะอาตมาไม่ครบพร้อมไม่หยาบพอ อะไรก็แล้วแต่มันทําไม่ได้ มันก็ต้องเป็นปรากฏการณ์อย่างนี้แหละ เราก็ทำ ทางโน้นเขาก็ต้องทำ มันเป็นภาวะที่ยังไม่ลงตัว ก็ต้องให้เป็นอย่างนี้ไปก่อน ค่อยเป็นไป 

ก็ยังไม่รู้ได้ว่าอาตมาเกิดมาในชาตินี้ทำอย่างนี้แล้ว จนอาตมาตายไปอีก จะต้องเกิดมาทำอีกไหม ซึ่งก็ยังรู้สึกอยู่เลยว่าถ้ามันจะต้องเกิดอีก เพราะมันดูคงไปไม่รอดจริงๆอีก 2 พันกว่าปี กว่าจะถึง 5,000 ปีของศาสนาพระสมณโคดมครบ ดูท่าทีแล้ว ว่าไหม ดูท่าทีแล้วมันไม่ไหวมั้ง 

ที่นับถือกันเป็นพระอรหันต์ก็เป็นพระอรหันต์เก๊ แล้วหลงเชื่อมั่นกันจริงๆว่าเป็นพระอรหันต์ที่เขานับถือกันอยู่ทุกวันนี้ อาตมาก็ยืนยันว่าไม่ใช่ อรหันต์คืออาตมา  เขาได้ยินก็หัวเราะฟันร่วงเลย ว่าอย่างพระโพธิรักษ์หรือเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ของเขาต้องนิ่งๆหยุดๆ ไม่พูดจา ไม่ว่าใคร เหมือนหลวงปู่เกษม หลวงพ่อเกษม เหมือนใครอีกหลายอย่าง ก็สาธยายหยิบเอามาวิจารณ์  มาแจกแจงด้วยใจบริสุทธิ์ จริงใจไม่ได้ไปข่มไปเบ่งอะไรหรอก สาธยายให้รู้ด้วยหลักวิชาการด้วยหลักความจริงที่ถูกต้อง พูดไป 

เขาก็ยิ่งหาว่า ยกตัว หลงตัวหลงตนไปอีก สำหรับผู้รู้ผู้ที่แสวงหาอย่างไม่มีอคติก็จะได้ ตั้งใจศึกษาติดตามก็จะได้ นับวันดีขึ้น ดีวันดีคืน แต่ดียังช้าอยู่ อัตราการก้าวหน้าของความเข้าใจมันยังน้อยอยู่  ยังไม่มากพอ ก็ไม่เป็นไร ยาวให้เป็นเย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ นี่ว่าไปอย่างนั้น สรุปลงตรงนี้ 

 

อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ของ นาม 5 รูป 28

_แพรกลีบบัว · ช่วงนี้ผัสสะที่จับอาการของจิตได้เร็วคือ ผัสสะจากลูกชายค่ะ  เป็นความเห็นต่างเรื่องการบ้านการเมืองเหมือนเดิม แต่อาการของใจที่เกิด  มันเบากว่าเดิมมาก ไม่ยึดเท่าเดิม แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกับลูกได้โดยไม่ทุกข์เท่าเดิม  เห็นว่ามันยังมีทุกข์บ้างนิดๆ เห็นความแตกต่างความหนักเบาของตัวยึด เข้าใจที่พ่อครูย้ำว่าการปฏิบัติของพุทธให้เรียนรู้ที่ อาการ  ลิงค นิมิต  อุเทศ  ไม่ใช่หลับตา  

พ่อครูว่า... เอ่อ ประเด็นนี้แจ๋ว อธิบายตรงนี้ ย้ำ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ขยายความอันนี้ให้ชัดๆก่อน 

ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 อาการ ลิงค นิมิต อุเทส อาตมาจำได้ว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรื่อง อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 เรื่อง เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย ก็อยู่ในข้อนี้เหมือนกัน  

ถ้าผู้ใดเข้าใจ อาการ ลิงค นิมิต จากอุเทส 

อุเทส คือ คำอธิบาย คำที่อาตมากำลังสาธยายชี้แจงขยายความอยู่นี่แหละนี่คือ อุเทส 

เพราะฉะนั้นผู้ที่ฟังคำอธิบายขยายความนี้แล้วเข้าใจอาการเข้าใจนิมิตเข้าใจความแตกต่างของอาการก็ดี เข้าใจความแตกต่างของนิมิตก็ดี นิมิตอันนี้เป็นเครื่องหมายบอกอย่างนี้นิมิตอันนี้เป็นเครื่องหมายบอกอย่างนี้ เทียบกันแล้วอาการแตกต่าง 

พยัญชนะบอกอาการพยัญชนะบอกว่า นิมิต มันเป็นเครื่องหมายให้เรากำหนด ภาษาคำว่านิมิต มันเป็นคำชี้บ่งเชิง Static ความเป็นอาการเป็นเชิงชี้บ่งของ Dynamic

หมายความว่านิมิตนี้มันเหมือนกับตัวตน เป็นกระแส ส่วนอาการ เหมือนความเคลื่อน แรงเคลื่อน ตัวนี้ตัวหยุด ตัวนี้ตัวเคลื่อน อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็อ่านความต่าง อาการตัวเคลื่อน นิมิตตัวหยุด อาการกับนิมิตมันก็ต่างกันแล้ว แถมอย่างนิมิตกับนิมิต ถ้ามีก็จับที่นิมิต ก็ต้องแตกต่างกันในนิมิตกับนิมิตอีก อาการกับอาการ ก็ต้องอ่านอาการกับอาการมันก็มีแตกต่างกันอีก ในอาการของอาการต่างๆ 

ทุกวินาที ทุกการเดินทางของ กาละ กาละนี้ ปึ๊บๆๆ มันไม่ได้หยุด เพราะฉะนั้นความต่างความไม่เที่ยง ความไม่คงที่ มันมีอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก มันมีอยู่ทุกการเคลื่อนที่ของมหาจักรวาล การเคลื่อนที่ของโลก การเคลื่อนที่ของเวลา เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสรุปได้ว่า ทุกสรรพสิ่งไม่เที่ยง ไม่คงที่ ไม่ว่ารูปและนาม นี่ยิ่งใหญ่มาก อันนี้ยิ่งใหญ่มาก 

เวลา คือ อรูป 

อาการของจิต เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันเป็นอาการของ นาม 

อาการและนิมิต มันก็ใช้พยัญชนะ สื่อสภาวะธรรมแต่ละอย่าง 

สู่แดนธรรม... เหมือนเราปวดท้องก็มีนิมิตแสดงอาการให้เห็น ถ้าจิตป่วยก็น่าจะมีนิมิต

พ่อครูว่า... ใช่ๆเหมือนกัน มันต้องมีลักษณะนั้นชี้บ่งหมาย เราจับนิมิต จับอาการได้

 

_คนบ้านราชฯ..._ผมได้ยินเสียงออกอากาศทางวิทยุ ออกอากาศจากวัดปากน้ำ อ.เมือง จ.อุบลฯ สิ่งที่ได้ฟังคือการสอนสมาธิแก่ญาติโยม สรุปได้ว่า ถ้าสมาธิเข้าหรือเข้าสมาธิ ได้ เป็นสมาธิแน่ๆแล้ว แขนขาจะไม่ตก อยู่ท่าไหนก็จะอยู่ท่านั้นเหมือนเดิม ถ้ายกตัวผู้นั้นขึ้นก็จะอยู่ท่านั้นเดิม เวรกรรมจริงๆ มิน่าพ่อครูถึงต้องอยู่ให้นานขึ้น น่าเวทนาสงสารชาวพุทธผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่มากเลยค่ะ 

มีสมาธิแล้วทำให้คนแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ ศาสนาพุทธจะมีความหมายอย่างไรคะ 

ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัส....

พระราชดำรัสในการเปิดประชุมใหญ่ของสมาคมพุทธศาสนาทั่วราชอาณาจักรที่เชียงใหม่ วันที่ 27 ตุลาคม 2515 ถ้าสังคมพุทธมีแต่ความงมงายอยู่อย่างนี้ เห็นทีพ่อครูคงเหนื่อยไปอีกนานจนกว่าจะตายนะคะ 

พ่อครูว่า... สรุปความคือเป็นวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่หยิบยกมาพูดกันแล้วใช้ปัญญาไตร่ตรองตามที่ตามสัมผัสและรู้กันได้เอามาขยายความกันได้ 

 

กลับมาสู่ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส มีเงื่อนไขว่าไม่ใช่หลับตา มีอาการ เพราะ อาการนั้นเกิดจากผัสสะ เมื่อเกิดผัสสะ มีอาการแล้วก็มีนิมิตอีกที เป็นคำสรุปรวมจากอาการนั้นล่ะ

จาก สัมผัสกันเป็นอายตนะ สรุปความเป็นสภาพรวมได้เลย สภาพที่สรุปรวมลงได้เรียกว่า เวทนา ตามหลักปฏิจจสมุปบาท วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา 

นามรูปคือ 2 สภาพ กระทบผัสสะกันเข้า เกิดอายตนะ เป็นสภาพ 2 นี่แหละรวมเป็นเวทนา 1 ความรู้สึกอายตนะ 2 กระทบกัน แล้วก็เกิดอาการขึ้นมาให้รู้เรียกว่า เวทนา เกิดอาการความรู้สึกของแต่ละคน ก็ให้มาศึกษาที่ตัวเวทนา ในเวทนานี้มีเหตุแห่งทุกข์ที่ชื่อว่า ตัณหาอุปาทาน ผู้ที่ยังแก้ตัณหาอุปาทาน ล้างตัณหาอุปาทานไปได้หมดก็เหลือภพชาติ 

เมื่อมีภพชาติ ก็เหลือ ทุกข โทมนัส อุปายาสะ ก็เป็นอันหวังได้ 

เพราะฉะนั้น จุดสำคัญที่สุดที่จะต้องปฏิบัติคือ เวทนา พระพุทธเจ้าจึงแจกเวทนาออกในกระบวนการเวทนาเป็นเวทนา 108 เพราะฉะนั้นผู้ที่จะศึกษาธรรมะพุทธเจ้าไม่รู้จักเวทนา 108 พูดกันไม่รู้เรื่อง ปิดประตูที่จะบรรลุอรหันต์อีกเหมือนกัน ไม่พูดถึงเวทนา 108 โดยเฉพาะไม่เข้าใจเคหสิตะ กับ เนกขัมสิตเวทนา ที่พระพุทธเจ้าท่านแจกแจงเอาไว้เรียกว่าอาการของมโน 18 พฤติกรรมของมโนปวิจาร พฤติกรรมของอาการของจิต 

อาการของจิตอย่างเป็นโลกียะเรียกว่า เคหสิตะ  รู้จักกิเลส จับกิเลส เอากิเลสออกอย่างมีปัญญาเข้าไปล้างกิเลส กิเลสก็ลดก็ดับ จนหมด จนถึงขั้นเป็นอุเบกขาเป็นผลสุดท้ายของ เนกขัมสิตะ 

เคหสิตะ 16 เขาก็มีอุเบกขาของเขาเหมือนกัน อุเบกขาของเคหสิตะกับอุเบกขาของเนกขัมมะ คนละอย่าง อันนี่แหละคือสัมมาทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิที่แท้จริง 

วิธีทำอุเบกขาของ เคหสิตะ เรานั่งหลับตาสะกดจิตให้หยุดนิ่ง แล้วแปลอุเบกขาว่า
อทุกขมสุข ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข นิ่ง หยุด เขาเรียกอนัตตา สุญญตาเลยด้วย และเรียกว่านิโรธหรือนิพพาน ในสัญญาความกำหนดรู้ กำหนดหมาย ของเขาเป็นอย่างนี้ แล้วเขาก็ได้นามรูป หรือ กาย 

กาย เป็นอย่างนี้คือนิ่ง สัญญาเป็นอย่างนี้ 

คำว่า กาย อย่างนี้ก็ผิดเพราะว่า กายของเขา ไม่มีภายนอก กาย ของเขานั่งหลับตาไม่มีภายนอก 

เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจคำว่า กาย ไม่มีภายนอกก็เป็นมิจฉาทิฏฐิในสังโยชน์ข้อที่ 1 ก็เข้าใจ กาย ยังไม่สัมมาทิฏฐิตั้งแต่ต้น 

ในพุทธศาสนาเมืองไทยก่อนอาตมาจะมาเกิด เข้าใจว่า กาย คือภายนอกเป็นวัตถุเท่านั้น ไม่ได้เข้าใจว่า กาย นี้มีจิตร่วม กายนี้ ไม่มีนามธรรมร่วม ไม่ได้ เป็นมิจฉาทิฏฐิ 

กาย อยู่เอกเทศ เป็นสาระของวัตถุเท่านั้น ผิด ก่อนอาตมามาเกิด เข้าใจว่า กายคือ สาระทางวัตถุเท่านั้น อาตมามาเกิดแล้วก็มาสาธยาย มาเปิด อาตมาไม่ได้เปิดทันทีด้วย มาเปิดเผยรายละเอียดของกายนี้ภายหลัง แรกๆ ก็ไม่ได้อธิบาย 

คำว่า บุญ ก็ดี คำว่า กาย ก็ดี อธิบายสมาธิมาก่อนทั้งนั้น ฌานก็ยังไม่ได้อธิบายชัดนัก แต่ตอนนี้นี่ ได้ขยายความมาหมดแล้ว คิดว่าหมดแล้วด้วย หมดในรอบที่จะเป็นอรหันต์ได้ หมดในสาระที่จะเป็นอรหันต์ได้ หมด 

เพราะฉะนั้นฟังอาตมาแล้วจึงมีอรหันต์เกิด พวกเราจึงเกิดอรหันต์ แล้วมีอรหันต์จริง ซึ่งเขายังเข้าใจยาก เข้าใจไม่ง่าย

ความเป็นอรหันต์คือผู้มีนิพพาน 

พ่อครูบอกให้ค้นหาที่เขียนไว้ในหนังสือปัญญา 8 เล่ม 2 เพื่อจะใช้อธิบาย

สอุปาทิเสสนิพพาน กับ อนุปาทิเสสนิพพาน


 

อุปาทิ คือเชื้อ คือคำว่าวิบากคือผล ปฏิบัติแล้วก็เกิดผล รวมเป็นขันธ์ขึ้นมา เพราะฉะนั้นเมื่อได้ปฏิบัติธรรมแล้วก็ทำให้ขันธ์เรานี้สะอาดขึ้น ขันธ์ของเราคือ รูป เวทนา สัญญาสังขาร วิญญาณ ถ้าเฉพาะนามก็คือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ 

เวลาศึกษาปฏิบัติ พระพุทธเจ้ามีหลักปฏิบัติคือ นาม 5 รูป 28 

เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดไม่สามารถ แยกนาม 5 เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ถ้าหากไม่มี 5 ประการนี้ที่เป็นเจตสิก ปฏิบัติไม่ได้ 

มีนาม 5 แล้วก็มีรูป 28 

รูปนี้ อธิบายขยายความยากกว่านามอีก ที่จริงรูปสำหรับอย่างตื้น อธิบายง่ายกว่า แต่อธิบายละเอียดแล้วอธิบายยากกว่า 

รูป 28 

4 ข้อต้นคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ง่ายเข้าใจแล้วเป็นวัตถุรูปภายนอก แต่เมื่อเข้าไปเกี่ยวข้อง ปฏิสังเคราะห์ สังขารกัน มันก็จะมีตาหูจมูกลิ้นกาย หรือ เมื่อมันเกิดสภาวะ กระทบกันแล้ว มันก็จะมีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส 

เป็นรูปที่ถูกรู้ ที่นาม 5 นั้น ต้องมีผัสสะ จึงจะเกิด รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ต้องมีสัมผัสจึงจะเกิดรูปรสกลิ่นเสียง แล้วก็ทางกาย สัมผัสก็คือทางกาย แต่ต้องมีใจร่วมศึกษารู้อยู่ตลอดเวลา ต้องมีผัสสะ

ถ้าไม่มีผัสสะ ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 อ่านให้แตกฉาน ไม่มีผัสสะ ไม่มีเวทนา ไม่มีที่ตั้งแห่งการปฏิบัติ ไม่มีฐานให้ปฏิบัติ ไม่มีผัสสะ ไม่มีเวทนา เป็นที่ตั้งไม่มีฐานให้ปฏิบัติ นี่คือตัวโมฆะในพระไตรปิฎกเล่ม 9 พรหมชาลสูตร เป็นตัวสำคัญตรงนี้ ว่า จะปฏิบัติได้หรือไม่ได้ ก็คือ มีผัสสะ มีเวทนา เป็นฐานปฏิบัติหรือไม่ ถ้าไม่มี ผัสสะ เวทนาเป็นฐานปฏิบัติเลิกล้มได้ นี่คือตัวสำคัญมากสำหรับการปฏิบัติธรรม พรหมชาลสูตร 

เวทนา สัญญา เจตนา 

สัญญาเป็นตัวกำหนดรู้ทำงานตั้งแต่ต้นจนจบ จบบรรลุแล้วตรวจสอบก็ต้องใช้สัญญาทั้งนั้นตรวจใน วิญญาณฐีติ 7 

เจตนาเป็นกาม เป็นภพหรือวิภวตัณหา

เจตนา 3 หรือตัณหา 3 มี กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

ผู้ที่เรียนรู้กามตัณหาเบื้องต้น แล้วลดละกำจัดกิเลสกามได้ก็จบเบื้องต้น กาม ต้องมี 5 ตา หู จมูก ลิ้น กาย กาม ไม่ใช่ 1 กามมี กามคุณ 5 ไม่ใช่กามคุณ 1 (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

มหาบัวเกิดหรือยังไม่รู้ เกิดแล้วมานั่งฟังบ้างก็จะดี จะได้รู้กามคุณ 5 หรือมาแอบเกิดในบ้านราชฯก็ไม่รู้ 

เมื่อคนรู้จักกามตัณหา ล้างกามตัณหาได้หมด ก็เหลือภายใน เรียกว่า ภวตัณหา หรือ รูป อรูป

ภวตัณหาก็แยกเป็น รูป กับ อรูป ก็ล้างรูปตัณหาก่อน ดับให้ได้

ที่เรียกว่าอยู่ภายในไม่ใช่ว่าตาหูจมูกลิ้นกายไม่กระทบสัมผัส แต่กระทบสัมผัสอยู่นั้น กามมันดับแล้ว เราลดละจับมันได้หมดแล้ว มันก็เลยอยู่แต่ภายใน ไม่แสดงออกทางกายทางภายนอกแล้ว แต่มันยังอยู่ภายใน กดข่มก็ได้นะ ยังไม่หมดกาม แต่กดข่มไว้ นั่นแหละยากที่จะรู้ คนกดข่มไว้ สะกดจิตตัวเองเก่งๆ มันก็แสดงออกทางภายนอกอยู่ อันนี้แหละยาก 

เพราะฉะนั้นต้องเปิด อย่าไปกดมันไว้ มันจะแสดงออกมีอาการ กาม จนรู้จัก อาการ ลิงค นิมิต อุเทส รู้อาการรู้เครื่องหมายของมันว่า กาม มันเป็นอย่างนี้ มันอยาก เป็นภายนอก เป็นอาการ สราคะ สโทสะ ที่จริง กามหรือปฏิฆะ โทสะนี่ อยู่กันคนละมุมเท่านั้น 

โทสะคือไม่ชอบ กามคือชอบ เพราะฉะนั้นถ้าเราล้างกาม ปฏิฆะก็จะลดลงด้วย ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐินะถ้าไม่สัมมาทิฏฐิก็ไปเอาแต่กดข่ม ปฏิฆะก็เกิดได้ หากกดข่มปฏิฆะไม่กดกาม กามมันก็เกิดได้ 

แต่ถ้าถูกต้อง กาม กับปฏิฆะ เป็นคู่กัน มันจะลดทั้งคู่ แต่ถ้าสัมมาทิฏฐิมันเร็วกว่า มันได้ครบครัน 

เมื่อผู้ใดทำมนสิการเป็น เมื่อผัสสะแล้วจิตมันปรุงแต่งเป็นสังขาร แล้วก็ทำใจในใจ มนสิการแปลว่าการจัดการกับใจ ทำใจในใจของเรานี่แหละ ความหมายของใจในใจ เราทำ จัดการกับจิตในจิต 

กาย มี ภายนอกกระทบแล้วมีกิเลส จัดการกิเลส จิตในจิตนี่แหละ สราคะ สโทสะ
สโมหะ ทำให้ลดลงๆ ละจางคลายไปหาความไม่มีเรียกว่า วีตะ 

ทำสำเร็จ ทำได้แต่ละเรื่องแต่ละส่วนๆ ได้จนกระทั่ง หยาบลดลง กามก็ลดลง ราคะ ลดลง เหลืออรูปราคะ ในแต่ละเกณฑ์ หยาบ กลาง ละเอียด มันก็มีรายละเอียดของมัน เราก็รู้มันด้วยปัญญา รู้ชัดเจนๆ ด้วยกัน ปัญญากับสัญญาทำงานคู่กัน สัญญากำหนดรู้ ปัญญาเป็นตัวรู้ตัวจบ รู้จนกระทั่งจบก็ได้ ไปเรื่อยๆ ตรวจสอบไปด้วย ซึ่งเป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติของการตรวจสอบตัวเอง แม้จะมานั่งเตวิชโช ตรวจสอบตัวเองมันก็เป็นกิจจะลักษณะ แต่โดยปกติมันก็ตรวจสอบของมันเองอยู่เหมือนกัน แต่มันละเอียดกว่า แต่มันทำงานเป็นอัตโนมัติของมันเหมือนกัน 

เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ใดสามารถที่จะปฏิบัติถูก มีผัสสะ มี มนสิการอย่างสัมมาทิฏฐิแล้ว นาม 5 ก็มาเรียนรู้ เวทนา สัญญา กับเจตนา ผัสสะ มนสิการ 

มนสิการ ให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ต้องมีผัสสะ ต้องมนสิการ ให้มีสัมมาทิฏฐิก่อน ไม่ถูกผัสสะคุณก็มีมนสิการเหมือนกัน แต่คุณทำใจในใจอย่างไรก็เป็นสัมภเวสี ไม่มีครบพร้อมเป็นสภาพ 2 ภายนอกภายใน เพราะคุณเข้าใจกายผิด ไปหลับตาทิ้งภายนอก 

พวกหลับตา ตีหัวเข้าบ้านครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ ให้หยุดทำ พวกหลับตาเป็นโมฆะบุรุษ พระพุทธเจ้าไม่กล้าพูดแบบโพธิรักษ์ เพราะในยุคของท่านหลับตากันหมด แต่ในยุคของอาตมาไม่ใช่ พระพุทธเจ้ามีหลักฐานของท่านอยู่แล้ว ผู้ที่พอเข้าใจมีอยู่แล้ว เชื้อผู้ที่สามารถมีบ้างแล้วแม้ยังไม่ครบอัญญธาตุ ผู้ใดเข้าใจครบอัญญธาตุ ก็สามารถพูดจากับอาตมารู้เรื่องอธิบายให้รู้เรื่องขยายความ อัญญธาตุ เรารู้เรื่องกันนะ 

อัญญาสิวตโภโกณฑัญโญ อุทานว่าโกณฑัญญะเกิดรู้ธรรมะโลกุตระได้ เป็นคนแรกในยุคพระสมณโคดม เพราะฉะนั้นพวกเรามีใครเป็นโกณฑัญญะบ้าง ผ่านโกณฑัญญะ มีอัญญธาตุ สามารถกระทบสัมผัสรู้

นี่พูดอย่างนี้ พวกที่ยังไม่เข้าขั้นจะรู้เลยก็บอกว่าพูดอะไรของมัน เพราะคำว่า อัญญธาตุ คำนี้คำเดียวไม่ง่ายแล้วนะ อัญญะภาษาบาลีแปลว่าอื่น มันมีธาตุชนิดอื่นที่ไม่ใช่ชนิดโลกีย์ที่คุณรู้มาที่เป็นเทวนิยม ที่เป็นชาวโลกปุถุชนเขารู้ อันนี้มันเป็นของใหม่เป็นโลกุตระ ธาตุรู้อันนี้มันสะสมธาตุรู้จนกระทั่งมี อัญญธาตุ ในอัญญธาตุ เกิดธาตุรู้อันใหม่ที่เลย 50-60 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปจึงแสดงตัว ออกมาภายนอกได้ 

อาตมามาขยายความในปางนี้ ปางเป็นพระโพธิรักษ์ ขยายความละเอียดกว่าสารีบุตรมาก พระสารีบุตรยังไม่ได้ขยายความมากขนาดนี้ ในพระไตรปิฎกไม่มี ยิ่งเป็นพระไตรปิฎกของพระมหากัสสปะด้วย ยิ่งไม่มี ในของมหายานมี แต่อาตมาไม่ได้เคยใช้พระไตรปิฎกมหายานเลย ใช้แต่ฉบับสยามรัฐของพระมหากัสสปะ ที่ใช้กันอยู่แค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว ถ้าขืนไปเอามหายานมาอีก อาตมาก็คงตายก่อนนี่แหละ เพราะมันจะเยอะมาก เอาไปตามลำดับอย่างนี้แหละ เอาของพระกัสสปะให้ละเอียดก่อนเถอะ ขออภัยเถอะ สู้ของอาตมาไม่ได้หรอก เพราะว่าท่านหลับตาจะไปรู้สู้อาตมาไม่ได้หรอก อาตมาลืมตามี 5 ทวารรู้ อาตมารู้ 6 ทวาร ภายในก็ต้องรู้ ข้างนอกอีก 5 รวมเป็น 6 พระกัสสปะจะรู้เท่าอาตมาได้อย่างไร โอ้โห! ขออภัย พูดความจริงมากไปหน่อย คนเขาไม่เข้าใจก็หาว่าอวดข่มคนนั้นคนนี้ ไม่ได้พูดข่ม อาตมาพูดสัจธรรม พูดความจริงตามความเป็นจริง อาตมาไม่ได้ไปอยากข่มใครหรอก 

เพราะฉะนั้นเมื่อสามารถมี นาม 5 ได้แล้ว ผัสสะมี มนสิการเป็น แล้วคุณก็มาศึกษาเวทนา สัญญา เจตนา 

มาเข้าที่รูป 28 

รูป 4 ดินน้ำไฟลม เป็นเหตุปัจจัยที่เป็นวัตถุ ยกไว้ 

ปฏิบัติแบบพุทธต้องลืมตาปฏิบัติให้เกิดฌาน ต้องมีการลืมตา ไปนั่งหลับตาไม่เกิด ฌาน ไปหลับตาไม่มีการรับรู้อะไร แต่ฌานของพุทธ ต้องลืมตาปฏิบัติมีเหตุปัจจัยครบพร้อมจึงมีความสว่างมีความรู้มากเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น ฌานวิสัย จึงเป็น อจินไตย ฌานทั้งรู้และเผาไปในตัว และรู้ด้วยปัญญา ปัญญาคือไฟฌาน ไฟเผากิเลส

 

มาเข้า อุปาทายรูป 24 

ก. ปสาทรูป 5

ข. โคจรรูป, วิสัยรูป 4

 ค. ภาวรูป 2 สภาพที่เกิดจากการกระทบสัมผัสระหว่าง ปสาทรูป กับ โคจรรูป 

เกิดเป็นภาวะ 2 อย่างคือกระแสกับแรงเคลื่อนหรือ static กับ Dynamic ภาวะ 2 นี่แหละครอบโลกเลยยิ่งใหญ่ที่สุดในคำว่า เทวะ คือ ภาวะ สอง 

ใครแยกภาวะ 2 นี้ไม่ออกหรือไม่ยอมให้แยกภาวะ 2 นี้เหมือนชาวเทวนิยม คุณไปกำหนดบังคับเลย จะมาแยกความรู้ที่รวบยอดแล้ว 2 อย่างนี้ให้เป็นหนึ่งเป็นพระเจ้าเป็นยอดความรู้แล้วมีของพระเจ้าเท่านั้น ห้ามแยก ให้ปฏิบัติตามพระเจ้าสั่งเท่านั้น เทวนิยม จึงมีความรู้เท่าพระเจ้าหรือพระศาสดา เจ้าของศาสนาเทวนิยมแต่ละนิกายแต่ละลัทธิ ไม่แจกเป็นอื่นเลย ไม่มีอะไรใหม่ อยู่ในกะลาครอบของศาสดา ศาสดาของเทวนิยม ก็ไม่รู้ว่าตัวเองนั่นแหละมีกรรมวิบากเรียนรู้มา ไม่รู้ว่าได้มาอย่างไร ก็ไม่เรียนรู้ความดับความเกิดแต่ละชาติมีวิบากสั่งสมมาอย่างไร ตัวเองได้สั่งสมกรรมวิบากมาจนกระทั่งรู้มาก ได้เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งของเทวนิยม แล้วก็ต่างกันกับของศาสดาองค์อื่น เดี๋ยวนี้ก็ยังมีศาสดาในศาสนาเทวนิยมมากมายก่ายกอง จนสามารถเป็นศาสนาใหญ่ๆได้ เล็กๆน้อยๆ ที่ไม่พอเรียกศาสนาได้ก็เรียกว่าลัทธิ กะปิดกะปอยอยู่อย่างนี้แหละร้อยพันหมื่นลัทธิ 

จนกระทั่งถึงลัทธิ โจเซฟ ทวี คือ ลัทธิพระบิดาที่กำลังดังอยู่ตอนนี้ ที่นายทวี เขาก็บอกว่าเขาคือโจเซฟเป็นพ่อของศาสดาทุกพระองค์ และพฤติกรรมของลัทธิเขาก็อย่างนั้นที่กำลังมาตีแผ่เปิดเผย สนุก ตัวอย่างในประเทศไทยนี้ เขายิ่งใหญ่นะ ยิ่งใหญ่กว่า ศาสดาทุกองค์ที่เป็นลัทธิศาสนาเทวนิยมทุกองค์นี้เขาใหญ่กว่า เขาเป็นพ่อของทุกองค์ ฟังรู้เรื่องไหมเนี่ย 

แล้วก็มีคณะดำเนินการมาหลายสิบปี เพิ่งจะไปค้นพบกันได้ตีแตกต่างตรงนี้ เมืองไทยเป็นตัวอย่างรวมทั้งหมดเลย โพธิรักษ์ก็อยู่ที่นี่ บิดาของโจเซฟก็อยู่ที่นี่ อยู่ที่ประเทศไทย มันมันมีทั้งบวกทั้งลบอยู่ตรงนี้เลย มีทั้งแบบ Positive Negative 

สู่แดนธรรม..  แล้วเขาก็มีหน้าตาคล้ายอาจารย์ไม้ร่มด้วยครับ ผมโพสต์ติ๊กต๊อกมีคนมาคอมเม้นว่า หน้าตาคล้ายพระบิดา เป็นญาติกับพระบิดาหรือเปล่า

พ่อครูว่า... เอาแค่นี้ เดี๋ยวเสียเวลา

เวทนาคือฐานรู้ สัญญาคือฐานกำหนดรู้ เมื่อกำหนดรู้แล้ว อ่านเจตนาให้ออก เจตนามีตั้งแต่ กาม ภว และวิภวะ

 

ก. ปสาทรูป 5

จักขุ (ตา) 

โสตะ (หู) 

ฆานะ (จมูก) 

ชิวหา (ลิ้น) 

กายา (กาย)

 

ข. โคจรรูป, วิสัยรูป 4

รูปะ (รูป) 

สัททะ (เสียง) 

คันธะ (กลิ่น) 

รสะ (รส)

โผฏฐัพพะ (สัมผัส) 

(กายกับโผฏฐัพพะ ถือว่าเป็นอันเดียวกัน) 

มีโคจรรูปกับปสาทรูปทำงานร่วมกันเกิด ภาวะสอง คือ มีความต่างกัน ภาวรูป 2 

 ค. ภาวรูป 2

10. อิตถัตตภาวะ, อิตถินทรีย์ (ญ) 

11. ปุริสสัตตภาวะ, ปุริสสินทรีย์ (ช) 

พระพุทธเจ้ากำชับลงไปว่าจะต้องเรียนรู้ตัวจริงของเจตสิก คือ หทยรูป

หทยรูป ไม่มีลักษณะ ไม่มีตัวตน อยู่ในคูหาสยัง อยู่ข้างในตัวเราของใครของมันจะไม่อยู่กับคนอื่นภายนอก อยู่ในจิตของเรา หทย เป็นที่ตั้งของจิต อภิธรรมเขาว่า หทยรูป ไปอยู่หัวใจห้องที่ 4 

หทยรูป ไม่มีที่ตั้ง แต่อยู่ในร่างสรีะของเราและอยู่ในกายจิตของเราและมีกายกับจิต มีผัสสะภายนอกและมีธาตุรู้ภายในร่วมกัน 2 อย่างภายนอกภายในร่วมกันเสมอ มันมาที่นิ้วมันก็มี หทยรูป รู้สึกอยู่ตรงนี้ ตากระทบรูปก็อยู่ตรงนี้ มันกระทบก็รู้อยู่ตรงนี้ ไปกระทบที่ลิ้นก็อยู่ที่รส กระทบที่ผัสสะที่ขาที่แขน กระทบที่ไหน มันก็อยู่ที่นั่น หทยรูป กำหนดยาก แต่มีที่ตั้งของมัน หทย

สู่แดนธรรม... แล้วถ้าเกิดว่าช่วงใดช่วงหนึ่งเรามีสติรู้ตัวทั่วพร้อมทั้งร่างกาย เราก็เอาทั้งร่างกายของเราเป็น หทย ได้ไหมครับ

พ่อครูว่า... ได้ แต่ต้องรู้จุดที่มันเกิดปฏิกิริยา ณ เวลานั้นปัจจุบันนั้นเรียกว่า หทย คือ ความจริง ห คือ ความจริง ท ครบถ้วนแข็งแรงเต็มรูป ย คือ สภาวธรรมที่เอา เศษวรรคตัวที่ 1 

ก คือ พยัญชนะตัวใหญ่ ย คือเศษวรรคตัวต้น 

จับตัวนี้ให้ได้ หทย ห คือจริง ท คือเต็มรูปเลย หนุ่มแน่น แข็งแรงที่สุดเลย (ทหาร)     ย คือเริ่มต้น ไม่ใช้ ก แต่ใช้ ย ใช้พยัญชนะ 3 ตัวนี้

หทย รู้อาการแล้ว ก็รู้ความมีชีวิต เราก็แยกมารู้ ชีวิตินทรีย์ อินทรีย์ของชีวิต 

ง. หทยรูป1 = 12.หทัยรูป ที่ตั้งการเกิดอาการของรูป   

จ. ชีวิตรูป1 = 13.ชีวิตินทรีย์ รู้ความมีชีวิตอยู่ของกิเลส พลังงานของอินทรีย์มีความแรงความเบา แยกละเอียดแล้วแต่ขนาดไหนเช่น 1 2 3 4 5 6 7 8 9 มีอินทรีย์ขนาดไหน 

อินทรีย์ของชีวะ ในชีวะนี้แยกตัวที่เรียกว่า กิเลสในชีวิตินทรีย์ให้ได้ 

เมื่อแยก ชีวิตินทรีย์ พลังงานของกิเลสมันมีชีวะ จะต้องทำชีวะของกิเลสให้มันดับให้ได้ ถ้ากิเลสมันได้อาหาร มันมีต่อไหม ต้องศึกษาอาหาร ที่กิเลสมันอาศัยมันใช้ อาหารเครื่องอาศัยอันนี้ อย่าให้อาหารแก่มัน 

กามเป็นอาหาร ราคะหรือกามเป็นอาหาร ผัสสะแล้วเกิดรสชาติทางภายนอกที่สัมผัสเรียกว่า กามคุณ 5 เป็น สวรรค์หอฮ่อ สวรรค์ชื่นใจอย่างหยาบกว่าเพื่อน กระทบทางรูป รสกลิ่นเสียงสัมผัส เป็นรสเป็นชาติ  ที่คุณกระทบแล้วจะต้องรู้รสชาติแล้วคุณก็ชื่นใจ เสวยสุขอร่อยเป็นอัสสาทะทั้งนั้น ตั้งแต่หยาบ และบรรเทาลงมาเหลือกลาง จนกระทั่งเล็กเป็น อรูป จนกระทั่งบางเบาจนไม่มี คุณก็ต้องรู้ถึงอาหารนั้นๆ อาหารรูป

ในอาหารรูป รูปต่อไป

ฉ. อาหารรูป1 = 14.กวฬิงการาหารจนถึงวิญญาณาหาร 

ในอาหารรูปแบ่งเป็นส่วนๆได้ คือปริเฉทรูป 

ช. ปริเฉทรูป1 = 15.อากาสธาตุ=รูปที่กำหนดจะให้ว่าง 

ซ. วิญญัติรูป 2 = 16.กายวิญญัติ  17.วจีวิญญัติ ไหวให้รู้ 

ฌ. วิการรูป 3 = 18.ลหุตา  19.มุทุตา  20.กัมมัญญา 

ลหุ คือ สภาพเบา มุทุ คือ แววไว มุทุภูตธาตุ ใน อุเบกขา 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา 

ใน ลหุตา มุทุตา กัมมัญญา ทำงานแล้วออกมาเป็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ตัวเนื้อของสภาวะก็คือ 3 อันนี้ เมื่อสามารถรู้สภาวะ 3 อย่าง 

ลหุที่สุด เบาที่สุด คุณจะสามารถกำหนดความเบาให้ได้ ให้มันเกิดเบาที่สุด เหมาะสมกับ กาละเทศะฐานะที่คุณกำลังทำงาน

อาตมากำหนดความเบาในการพูด ทุกวันนี้ต้องใช้แรงขนาดนี้ในการพูดก็ยังยาก เพราะคนมันดื้อมันด้าน มันหนา มันแข็ง อาตมาอยากจะใช้ความเบากว่านี้แต่มันไม่เกิดประโยชน์ ใช้เบา มันไม่เกิดประโยชน์ เอามีดโกนยิลเลตต์ไปฟันก้อนหิน ไม่มีทาง ต้องใช้ของหนักๆ แรงๆ จึงจะเจาะหินเข้า มันต้องสมสัดสมส่วน มันเป็นอย่างนั้นจริงๆถ้าไม่ทำอย่างนั้นแล้วมันไม่ได้ 

สรุปแล้วเมื่อผ่าน 18.ลหุตา  19.มุทุตา  20.กัมมัญญา จบวิการรูป เรียบร้อย รวมกายวิญญัติ วจีวิญญัติ เสร็จ ก็จบ เหลือ ลักขณรูป 4 

 

ญ. ลักขณรูป 4 = 21.อุปจยะ ความเกิดอยู่เจริญขึ้นไป  

22.สันตติ ความเชื่อมต่อสืบเนื่อง 

23.ชรตา เคลื่อนไปสู่ความเสื่อม 

24อนิจจตา เคลื่อนไปเสื่อม>เจริญ 

พ่อครูว่า... ใน รูป 28 นี้อาตมาก็ไม่ต้องทองจำมาก จำตัวหนังสือพยัญชนะนิดหน่อย สภาวะมีแล้วก็เอาสลากมาติดง่ายหน่อย คนได้แต่สลาก ไม่มีสภาวะก็สลับไปสลับมา แต่อาตมามีสภาวะก็เอาสลากมาแปะถูกง่าย เรารู้สภาวะนี่ พยัญชนะอันนี้ ต้องหมายถึงอันนี้เอามาให้ถูกต้อง แต่บางทีก็สับสนพยัญชนะบ้าง อาตมาก็ไม่เก่ง 

สรุปเหลือลักขณรูป 4 คือ

อุปจยะคือการเกิด สันตติ คือ หยุด จะให้เกิดหรือไม่เกิดก็ได้ จะให้ต่อหรือไม่ต่อก็ได้ สันตติที่เป็น ชรตา อนิจจตา นี่แหละ อธิบายยาก 

สันตติของพระอรหันต์นั้นก็จบที่ สันตติ ไม่มีชรตา ไม่มีอนิจจตา ไม่มี จบที่สันตติ

เป็นอมตะบุคคลแล้ว สันตติคือ จะต่อหรือไม่ต่อก็ได้ 

อรหันต์สายเจโตแท้ๆ ศรัทธาแท้ๆ เอาแต่อรหันต์เอาแต่สภาวะเดียวไม่เอา 2 ไม่มีความเก่ง ไม่มีความสามารถที่จะเรียนรู้ 2 จะเอาอรหันต์ลูกเดียว สายพระกัสสปะ 100% ก็จะจบที่สันตติ แต่ความจบสันตติของพระอรหันต์สายพระกัสสปะ ตายไปแล้วเป็นอนาคามีภูมิอีกนานมาก นานมากเลย เพราะมันสลายเองไม่ได้ สลายเองตามจริตของแต่ละคนหรือบารมีของแต่ละคน

ในสุทธาวาส 5 หรืออนาคามี 5 ถ้าหากอนาคามีอธิบายอย่างพระพุทธเจ้า ถ้าหากเป็นสุทธาวาส อธิบายอย่างเทวนิยม คือจะเป็นไปตามฐานะ 

 

ผู้ที่จบสันตติ สายเจโต 100% อย่างพระมหากัสสปะ ต้องการชาติเดียว ไม่มีความคิดเรื่องโพธิสัตว์เลย เพราะฉะนั้นในสายศาสนาพุทธของเมืองไทยเป็นสายพระมหากัสสปะ พระไตรปิฎกก็ของพระมหากัสสปะ จริตก็พระป่ามหากัสสปะ แม้ว่าจะเป็นพระบ้าน ก็ยังเชื่อว่าจะต้องหลับตาอย่างพระมหากัสสปะ หรือออกป่านั่นแหละคือปฏิบัติแท้ เพราะมีสัทธินทรีย์ มีเชิงรู้ไปในแบบสัทธานุสารี 

พระมหากัสสปะเป็นสายสัทธานุสารี 100% ธัมมานุสารีนั้น เป็นสายที่ไม่ใช่ศรัทธา 100% เป็นอีกตระกูลหนึ่ง ธัมมานุสารีเป็นอีกตระกูลหนึ่งที่เรียกว่าอีกตระกูลหนึ่ง เพราะว่ายังไม่แบ่งเพศ ถ้าไปตกอยู่ในกลุ่มของศรัทธาด้วยกัน ธัมมานุสารีก็กลายเป็นศรัทธากับเขาด้วย 

เพราะฉะนั้นถ้าหาก ธัมมานุสารี ออกไปนอกสายศรัทธาได้ เป็นตระกูลปัญญา ธัมมานุสารี ก็จะแยกเพศเลย แยกตระกูลเลย 

เพราะฉะนั้น ใน cyclic order ของสัทธานุสารี ธัมมานุสารี กับ สัทธาวิมุต นี่คือสามเส้าของ cyclic order วงวนที่ ไม่มีออกไปไหนเป็นเทวนิยมหรือเป็นโลกียะ วงวนที่ออกจากแรงดึงดูดของวัฏสงสาร เหมือนกับอยู่ในแรงดึงดูดของพลังงานของโลก ออกนอกโลกได้ต้องมีพลังงานพิเศษที่ต่อเป็น 4 ให้ได้ ถ้าไปถึง 4 ไม่ได้ก็ออกไม่ได้ พลังงานทางวัตถุเขาก็ทำได้แล้ว 

แต่ถ้าเผื่อว่าไม่มีความรู้ ก็ออกไม่ได้ มีความรู้แบบโลกียะก็ดันออกได้เหมือนกัน แต่ถ้ามีความรู้แบบปัญญา ออกได้อย่างมีหลักการ 

สรุปแล้ว ผู้ที่จะพ้นจาก วงวน สามเส้า ผู้จะออกได้ต้องมีแรงของปัญญาอย่างแท้จริง ปัญญาที่มีทิฏฐิใหม่ ทิฏฐิใหม่นี้เป็นสัมมาทิฏฐิของสายปัญญา เป็นสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า 

ถ้าคุณจะเอาภาษาสัมมาทิฏฐิไปเรียกพวกสายเทวนิยม คุณก็เป็น เจโต อยู่อย่างเก่าเป็นศรัทธาอยู่อย่างเก่า แต่นี่มันไม่ใช่นะ มันสายพระพุทธเจ้า สายโลกุตระ สายอัญญะ สายอื่น สายโลกลูกอื่น ดาวดวงอื่น คนละเรื่องกัน วงวนคนละวงวน เส้นโคจรคนละเส้นโคจร อยู่ในจักรวาลน้อย จักรวาลใหญ่คนละจักรวาล เทวนิยมเขาก็มีวงวนของเขาอยู่อย่างนั้น จะเป็นจักรวาลน้อยจักรวาลใหญ่ก็อยู่ของเขาอย่างนั้น แต่นี้ออกมาแล้ว เพราะอะไร 

เพราะจักรวาลน้อยจักรวาลใหญ่ของเทวนิยมนั้น ยังอยู่นิรันดร แต่ปัญญาพระพุทธเจ้านั้นออกมา ไม่มีนิรันดร สามารถสูญได้ นี่คือความแตกต่างของสิ่งใหม่ เทวนิยมยังจมอยู่ในวงวน สูงต่ำ ต่ำสูง ดีชั่วอยู่อย่างนั้น ดับสุขดับทุกข์ไม่ได้ อย่างเก่งก็เป็นสุขนิยมอยู่กับพระเจ้าเป็นเจ้าของความสุข ใครจะสุขต้องพระเจ้าเท่านั้นบันดาล บงการ คนจะสุขจะทุกข์นอกพระเจ้าไม่ได้ พระเจ้าเท่านั้นเป็นเจ้าของสุข ของพระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ ของฉันเอง อิสระเสรีภาพ ดับทุกข์ดับทุกข์ได้ดับสูญเลยไม่อยู่นิรันดรกับคุณ นี่คือนัยยะที่แตกต่างที่สำคัญที่สุด 

เทวนิยมตะวันตก ทางยุโรป ทางอะไรพวกนี้ สรุปแล้วไม่ใช่พุทธ แม้พุทธไม่สัมมาทิฏฐิในเมืองไทยเลยไม่ต้องที่ไหนหรอก ก็ยังไม่สามารถที่จะนิพพานได้ หลงว่านิพพาน เก๊ๆ นิพพานดิบๆผิดๆ ไปอย่างนั้นแหละ 

ถ้าไม่มาเรียนรู้ให้สัมมาทิฏฐิจริงๆ อย่างที่อาตมาเปิดศักราชใหม่ ของโลกุตระธรรม ก็มันสูญหายไปแล้ว ตามอาณิสูตร ที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ไม่มีผิดหรอก แล้วใครจะเอาเนื้อไม้ของกลองอานกะ มายืนยัน ก็โพธิรักษ์ 

ที่พูดนี้อาศัยหลักฐานอ้างอิง ยืนยันและมีเนื้อแท้ของพวกคุณ เป็นตัวปฏิบัติ รองรับ ความจริง เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ มีสมณะ 4 เหล่าจริงปฏิบัติตามคำสั่งสอนพระพุทธเจ้าจริง แม้จะเป็นคำสอนที่พระมหากัสสปะ สายเจโตแท้ๆเก็บมาปฏิบัติ  ก็นำแค่ของพระมหากัสสปะมายืนยันได้พอ ไม่จำเป็นจะต้องเอามาจากที่เป็นมหายานอีกที่ได้พบมากกว่านี้ ขยายผลมากกว่านี้มา แค่นี้ก็ขอยืนยันอันนี้ เท่านี้ก็เถอะ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะฟ้าไท... สรุปจบ

ที่มา ที่ไป

650511 อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ของ นาม 5 รูป 28 พุทธศาสนาตามภูมิ วันพุธที่ 11 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 พฤษภาคม 2565 ( 20:27:12 )

650515

รายละเอียด

650515 พ่อครูเทศน์กัณฑ์พิเศษ เนื่องในวันวิสาขบูชา พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้วันเพ็ญเดือน 6

https://www.boonniyom.net/51942.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                       https://docs.google.com/document/d/1xF8Z8CrzQdZr_K4GIOXOUzjVoV7dw9B8Sr7jkqMWVzI/edit?usp=sharing      

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1qBMxk_830Ey3ETC4qnA6zDR_-WFYMsXF/view?usp=sharing และดูวิดีโอได้ที่  https://youtu.be/_CDChZhkeso 

และ https://fb.watch/d0INoQBEQl/ 

 

พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้วันเพ็ญเดือน 6 แต่ตรัสรู้วันเพ็ญเดือน 8

พ่อครูว่า...วันนี้วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ปีขาล ตรงกับวันวิสาขบูชา หรือวิสาขบูชาปุณมี วันนี้วันสำคัญยิ่งใหญ่ ที่โลก ศูนย์รวมของโลก ยกให้เป็นวันยิ่งใหญ่ เป็นวันสำคัญของโลกวันหนึ่ง เป็นวันสำคัญของศาสนาพุทธ และถูกรับรองเป็นวันสำคัญของโลกที่ยิ่งใหญ่ อันนี้เป็นเรื่องรู้กันทั่วไปอยู่แล้ว 

ในวันวิสาขบูชา มีเรื่องที่ทำให้คนเข้าใจยังไม่ชัดเจน คือเรื่อง การเกิด การตรัสรู้ การปรินิพพานของพระพุทธเจ้า 

เมื่อพระพุทธเจ้าหรือเจ้าชายสิทธัตถะอุบัติขึ้น ประสูติออกมา ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 นั้นไม่มีปัญหา คนทุกคนก็เข้าใจ ในที่สุดวันที่สิ้นพระชนม์หมดลมหายใจ เรียกว่าตายนั้นเองในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 เหมือนกัน ใน พ.ศ. 80 คนก็ไม่ได้สับสนอะไร 

มาสับสนตรงคำว่าตรัสรู้ พระพุทธเจ้า คนก็บอกว่าตรัสรู้ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 จริงๆพระพุทธเจ้าก็ทรงรู้พระองค์เอง ว่า อ้อ ตถาคต ก็บรรลุเป็นพระพุทธเจ้านะ มีพระสัพพัญญุตญาณมาแล้ว ตั้งแต่ปางก่อน  

พระพุทธเจ้าองค์สมณโคดมนี้ ท่านเองท่านอุบัติขึ้นมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็มีพราหมณ์ มีผู้รู้ มีคนทำนายว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า มีโกณฑัญญะทำนายคติเดียวว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้า ส่วนอาจารย์อื่นๆ อีกหลายคน ก็ทำนาย 2 คติ ถ้าอยู่เป็นฆราวาสจะได้เป็นจอมจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ของโลก แต่ถ้าออกบวชจะได้เป็นพระพุทธเจ้า แต่โกณฑัญญะทำนายคติเดียว 

เมื่อพระพุทธเจ้าอายุ 19 ปีก็ออกมาจากวัง ทิ้งพระราหุลพระโอรส อุบัติขึ้นมาก็ทิ้งเลย ชวนนายฉันนะเข้าป่า 

ในยุคนั้นยังนิยมกันว่า แบบเดียรถีย์ เพราะว่าศาสนาพุทธยังไม่เกิด พราหมณ์ เป็นมิจฉาทิฐิกันหมดแล้ว ความรู้เพี้ยนเป็นมิจฉาทิฏฐิไปหมดแล้ว พราหมณ์ กับพุทธ ก็คือผู้ที่เรียนรู้จรณะ 15 วิชชา 8 ก็สลับกันไปสลับกันมา กัปนี้เรียกว่า พุทธ อีกกัปเรียกว่า พราหมณ์ ซึ่งกัปที่พระพุทธเจ้าอุบัติ ไม่มีศาสนาพุทธมีแต่ศาสนาพราหมณ์ 

แต่ในพระคัมภีร์ไตรเภท ก็คือไตรสิกขา ก็คือ ความรู้หรือการศึกษา 3 อย่าง ก็คือ จรณะ 15 วิชชา 8 ถ้าอ่าน อัมพัฏฐสูตร ไล่เรียงก็จะเข้าใจ แต่วันนี้ไม่อ่านเพราะเวลาไม่พอ

วันนี้จะพูดถึงการตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ในวันเพ็ญเดือน 6 กับการหลับตาปฏิบัติออกป่า 

การตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์นี้ พระพุทธเจ้าออกบวช แล้วก็นั่งจะหลับตาหรือไม่หลับตาก็ตาม หลับตาก็ได้ทำเตวิชโช บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ 

บุพเพนิวาสานุสติญาณ นึกถึงอดีต ที่เคยอุบัติผ่านมาแล้ว ระลึกได้ว่าเราได้เคยบำเพ็ญบารมี 10 ทัศมาครบแล้ว ตรัสรู้มีพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ตั้งแต่ก่อนจะอุบัติประสูติมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะแล้ว ระลึกได้ ก็คือมีรู้ มีความรู้ สัมมาสัมโพธิญาณคือความรู้ มาแล้ว ตั้งแต่ชาติก่อน ที่บำเพ็ญมาเต็มแล้ว รออยู่ที่ดุสิต ก่อนอุบัติมาเป็นพระพุทธเจ้า จนถึงวาระมงคลก็มาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า มาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ อายุ 29 ก็ออกบวช ไปเสียเวลาอายุ 6 ปี ลิงลมอมข้าวพอง ถูกจารีตประเพณีในยุคนั้นคือออกป่าเป็นเดียรถีย์ครอบงำว่าจะต้องออกป่าปฏิบัติหลับตา ซึ่งเป็นการปฏิบัติแบบผิดๆอย่างที่กระแสทุกวันนี้นิยมกันอยู่ ก็เสียเวลาอยู่ 6 ปี 

จนพระพุทธเจ้ารู้ตัวเองว่ามันไม่ใช่ ต้องมาเป็นจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสะกดจิต ไม่ใช่ ต้องมาปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ซึ่งเดี๋ยวนี้อาตมาพูดก็ยากที่คนจะเข้าใจ เพราะเขาเข้าใจจรณะ 15 วิชชา 8 ที่เป็นโลกุตระยังไม่ได้ง่ายๆ อาตมาจึงต้องตายไม่ลง จะต้องเคลียร์เรื่องนี้ให้กระจ่าง เป็นหน้าที่รับผิดชอบของอาตมาซึ่งมันเป็นโลกุตระ 

ถ้าหลับตาสะกดจิตออกป่าปฏิบัติ แล้วก็บอกว่าบรรลุ มันเป็นของ เดียรถีย์ เป็นมิจฉาทิฏฐิคู่กันกับศาสนาที่ปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 

แยกกันให้ดีนะ หลับตาสะกดจิตเหมือนมหาบัวนั่งหลับตาจนก้นแตกก้นพังที่เล่ากัน เสร็จแล้วก็บรรลุปึ๋ง ไม่มีรายละเอียดของธรรมะ ไม่มีลำดับ ลำดา ไม่มีลำดับที่น่าอัศจรรย์ที่เป็นศีล สมาธิ ปัญญา ฌาน 1 2 3 4 หรือมีศีล อปัณณกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 แล้วก็เกิด ฌาน 1 2 3 4 ด้วย วิชชา 8 เป็นยาดำ เป็นกระสาย เป็นความฉลาดประกอบร่วมอยู่ตลอดเวลา เขาไม่ได้มีเช่นนั้น เขานั่งหลับตา 

แต่พระพุทธเจ้าระลึกได้ว่าท่านมีเรียบร้อยมีจรณะ 15 วิชชา 8 บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ถึงได้ออกมาประกาศ หรือตรัส หรือพูด คือ เอาความรู้นี้มาพูด จึงเกิดคำพูดที่ พูดถึงเรื่องโลกุตรธรรมขึ้นมา คำพูดที่พูดถึงโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า รวบ สรุปเป็นคำสั้นๆว่าตรัสรู้ 

คำว่า ตรัสรู้ หมายถึง ความรู้โลกุตรธรรมของศาสนาพุทธหรือของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ จะตรัสรู้เรื่องโลกุตรธรรมมีทุกพระองค์ เมื่อระลึกรู้ตัวว่าเรามีสัมมาสัมโพธิญาณ จึงเริ่มต้นสอนพระสูตรแรกคือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร กับพราหมณ์ 5 รูป สอน เป็นพระสูตรแรกของโลกในศาสนาพุทธ ตอนเป็นพระสมณโคดม 

สอนเสร็จแล้ว โกณฑัญญะสามารถรู้ได้ เข้าใจได้ พอ โกณฑัญญะรู้ได้ พระพุทธเจ้าก็ทรงหยั่งรู้จิตของโกณฑัญญะว่า โกณฑัญญะมีอัญญธาตุเกิดขึ้น เพียงพอที่จะเรียนรู้โลกุตรธรรม อัญญาสิวตโภ โกณฑัญโญ คำอุทาน

อัญญา แปลว่าความรู้ แบบมี อัญญธาตุ อัญญาสิวตโภ (เจริญ) โกณฑัญโญ ปัญญาความรู้มี อัญญธาตุ เกิดขึ้นในจิตโกณฑัญญะแล้วหนอ โอ! อัญญาสิวตโภ โกณฑัญโญ จึงอุทานเช่นนั้น 

คำว่า อัญญธาตุ จึงเป็นธาตุ ความรู้อื่น อัญญะแปลว่าอื่น ไม่ใช่อันนี้ โลกอื่น โลกหน้า โลกนี้กับโลกอื่น โลกหน้า มันคนละอันกัน ดาวคนละดวง ภาษาคนละภาษา รูปร่างหน้าตาองค์ประกอบในชีวิตคนละเรื่องกัน ต่างกันคนละเรื่อง คนละโลก  คนละดวงดาว

พระพุทธเจ้าก็เริ่มต้นสอนจากธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อนัตตลักขณสูตร อาทิตตปริยายสูตร โกณฑัญญะก็บรรลุโสดาบันในกัณฑ์แรก และบรรลุอรหันต์ในการที่ 2 ต่อจากนั้นพราหมณ์อีก 4 รูปจึงศึกษาเพิ่มเติมมีปัญญาข้อที่ 2 3 4 นี่คือประวัติตำนานลำดับที่ไล่เรียงให้ละเอียด 

กลับไปที่คำว่าตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ ตอนแรกทรงระลึกชาติได้ เราจะเรียกเต็มๆว่า ตอนนั้น ขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ตอนแรกท่านไม่ได้ตรัสอะไรกับใครเลย คำว่า ตรัสรู้ก็ยังไม่เกิด จนกว่าท่านจะตรัส ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อนัตตลักขณสูตร อาทิตตปริยายสูตร ตรัสขึ้นมาแล้วมีผู้รับฟังคำตรัส แล้วได้รู้ตาม โกณฑัญญะเป็นคนแรก ได้รู้ตาม จึงมีคำว่าตรัสรู้ เห็นไหม นัย คำคมแม่น ของคำว่าตรัสรู้ เกิดไปตามลำดับไหม 

ตอนแรกยังไม่รู้ ตอนหลังตรัส จึงเรียกว่าตรัสรู้ ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 พระพุทธเจ้าตรัสรู้ 15 ค่ำเดือน 6 แต่มาตรัสใน ขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 ในวันอาสาฬหบูชา เดินทางมา 2 เดือน จากที่ท่านรู้ จากที่ท่านระลึกรู้สัมมาสัมโพธิญาณกว่าจะได้มาตรัสสอน จึงเดินทางมาพบพราหมณ์ เดินทางไปหาอาฬารดาบส อุทกดาบส ก็พบว่าตายสิแล้ว แล้วตายแบบฤาษี สะกดจิต ไปแบบพวกนั่งหลับตาด้วย ท่านจึงว่าอุทานว่า ฉิบหายแล้วน้อ เพราะจะไปจมอยู่ในภพนรกสวรรค์ จมอยู่เป็นสัมภเวสีไปอีกนานแสนนาน 

สู่แดนธรรม... หลังจากที่ พระพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้แล้ว ในการศึกษามีบอกว่า พระองค์ต้องใช้เวลาอีก 49 วัน เสวยวิมุติ ในระหว่าง 49 วันทำอะไรครับ 

พ่อครูว่า... ท่านก็ระลึกทบทวนที่เรียกว่าเสวยวิมุตติสุข ภาษาว่า เสวยวิมุติ ท่านก็ทบทวน 49 วัน ความรู้ที่ท่านได้ท่านมีท่านเป็นก็ระลึกขึ้นมาได้ สมัยนี้ก็มาเขียนอย่างที่อาตมาเขียนแล้วก็ถึงเอาไปเทศน์ เอาให้คนอ่าน ตอนนั้นการเขียนยังไม่เจริญก็อาศัยแต่พูด

สู่แดนธรรม... พ่อท่านเคยพูดว่า พระองค์ทรงตรวจสอบโลกด้วย พุทธการกธรรม 

พ่อครูว่า... พุทธการกธรรมคือ ธรรมะที่จะทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งมีอะไรบ้าง ก็ยังไม่พูดถึงตอนนี้ ส่วนพุทธุปบาทกาละ คือ ตรวจดูว่าบุคคลในตอนนี้ มันควรพอที่จะประกาศศาสนาได้ไหม ประกาศไปแล้วมันจะคุ้มไหม ประกาศไปแล้วเสียของเปล่าๆหรือไม่ มีคนจะรับได้เป็นจำนวนพอสมควรหรือไม่ คนน้อยไปก็ไม่ควรประกาศ​ หรือประกาศแล้วคนรับได้ไม่เพียงพอก็ไม่ควรประกาศ 

กลับมาที่ การตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ จึงเป็นคำที่รวบ รู้ตอนใต้ต้นโพธิ์ แล้วเสวยวิมุติ 49 วัน กว่าจะเดินทางไปเทศนา ในวันเพ็ญเดือน 8 แล้วจึงมีผู้ได้รับธรรมะ การตรัสรู้จึงเกิดในวันอาสาฬหบูชา เพราะท่านตรัสธรรมะที่เป็นโลกุตตรธรรม มีคนฟังแล้วรับรู้ได้ ในวันอาสาฬหบูชามีผู้รู้ได้คืออัญญาโกณฑัญญะ เป็นพระสงฆ์องค์แรกของศาสนาพระสมณโคดม อย่างนี้เป็นต้น 

วันอาสาฬหบูชาจึง เป็นวันสำคัญที่มี ปฐมเทศนาคือคำสอนที่เป็นโลกุตระ แล้วมีคนรองรับคือพราหมณ์ 5 รูป รองรับ แล้วก็ได้รู้ขึ้นมาด้วย แล้วพระพุทธเจ้าก็ทรงบวชให้ เอหิภิกขุอุปสัมปทา บอกว่าจงเป็นภิกษุมาเถิด ก็เกิดพระภิกษุสงฆ์องค์แรก แล้วก็มีพระพุทธเจ้ามาแสดงตัว ก็เกิดพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ครบ 3 ในวันอาสาฬหบูชา วันที่ พระจันทร์อาสาฬห พระจันทร์เดือน 8 ส่วนวิสาขะเป็นพระจันทร์วันเพ็ญเดือน 6 

ตกลง การเหลื่อมๆกันอยู่หน่อยว่า คำว่า ตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ จริงๆแล้วยังไม่ได้เป็นการตรัสรู้ มาตรัสเมื่อเดือน 8 เพราะฉะนั้นการตรัสรู้จริงๆจึงเกิดที่เดือน 8 

สู่แดนธรรม...ชาวพุทธส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นของใหม่ที่พระองค์ไม่เคยมีมาเลย แต่ฟังพ่อครูว่า เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้ารู้มาแล้ว

พ่อครูว่า... จริง ของใหม่สำหรับคนที่ยังไม่มี แต่ ของพระพุทธเจ้าสั่งสมบารมีเป็นโพธิสัตว์จนกระทั่ง เป็นมหาโพธิสัตว์จนมาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความรู้เต็มพระสัมมาสัมโพธิญาณครบ เมื่อมีแล้ว ยังไม่ได้อุบัติยังไม่ได้ประสูติยังไม่ได้มาตรัส  ก็มีอยู่ในพระองค์เดียว จนกว่าจะได้มีอายุ 35 ปี จึงได้มาเริ่มต้นดำเนินการประกาศศาสนา รู้เดือน 6 แล้วมาตรัส เดือน 8 

เคยอธิบายไว้ในหนังสือคนคืออะไร อันนั้นเป็นเรื่องของจิตในจิต อันนี้เป็นเรื่องของประกอบด้วยบุคคล สถานที่ กาละ เทศะ ฐานะ อันนี้ อธิบายครบทั้ง กาละ เทศะ ฐานะ แต่อันนั้นอธิบาย กิเลสตายเกลี้ยงตอนนั้นทันที อุบัติเป็นพระพุทธเจ้าทันที และทรงถือว่าตรัสรู้ทันที 

สู่แดนธรรม... พ่อท่านเคยพูดไว้ว่า ในคืนที่ตรัสรู้ พระองค์รู้ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆมาแล้ว 

พ่อครูว่า... ก็ได้ อย่างนั้น ความรู้สัมมาสัมโพธิญาณของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เป็นความรู้เดียวกันหมด 

สู่แดนธรรม... คนก็มักจะคิดว่าพระองค์ไม่เคยรู้มาก่อน พอถึงวันดีคืนดีวันนี้ก็ทะลุพรวดรู้ไปหมด 

พ่อครู.. ไม่ใช่ ต้องมีแต่เหตุ สั่งสมสัมภาระวิบาก มีปณิธานจะเป็นพระพุทธเจ้า บำเพ็ญเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ จนเป็นอรหันต์ขั้นที่ 5 6 7 8 จนถึงขั้นที่ 9 จึงเป็นพระพุทธเจ้า อย่างอาตมาดำเนินรอย เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 คนก็พยายามเข้าใจว่า อาตมากำลังขึ้นถึงระดับ 8 อาตมาก็ไม่ยอมเสื่อมจากระดับ 7 เราต้องพัฒนาขึ้นไป 

สรุปเลย

ประเด็นแรกว่า การตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์นั้น มีนัยยะ รายละเอียดอย่างที่ได้สาธยายไปแล้ว ว่าท่านระลึก เตวิชโช นั่งใต้ต้นโพธิ์แล้วระลึกเอา บุพเพนิวาสานุสติญาณ อ่านความเกิด ความดับ เรียก จุตูปปาตญาณ 

บุพเพนิวาสานุสติญาณ คือของเก่าที่เคยผ่านมาแล้ว คนที่ไม่เคยผ่านมาแล้วจะเอาจินตนาการเอาไม่ได้จริงหรอก ต้องบรรลุเองเป็นเองได้ผ่านมาแล้วจึงจะระลึกได้ 

เมื่อระลึกความเกิดความดับได้ ว่า เราสามารถทำกิเลสสิ้น สิ้นอาสวะมา ตั้งแต่เป็นพระอรหันต์จนเป็นพระโพธิสัตว์ จนจบ โพธิสัตว์ บรรลุพุทธสัมมาสัมโพธิญาณ 

สมณะดินไท...ใช้คำว่าระลึกรู้ได้ไหม ?

พ่อครูว่า... ในวันเพ็ญเดือน 6 ยังไม่ได้ตรัส ยังอยู่ที่พระองค์พระองค์เดียว รู้ๆๆ แล้ว จนกระทั่งมาถึงเดือน 8 จึงมาตรัส จึงมีอัญญาโกณฑัญญะรู้เป็นองค์แรก ตอนนั้นจึงเกิดความตรัสรู้ จากนั้นก็จึงพัฒนาการขยายผลออกไป 

ขอจบอธิบายการตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์สำหรับวันนี้ 

สมณะเดินดิน...ถ้าอย่างนั้นน่าจะกล่าวว่า วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ก็เป็นวันที่ทรงรู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้า 

พ่อครูว่า... แล้วไม่ใช่วันตรัส ไปตรัส วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 วันอาสาฬหบูชา ถ้าจะเรียกวันตรัสรู้ ต้องเอาวันอาสาฬหบูชา นี่ เป็นรายละเอียด วันนี้อธิบายไปก็จะมีความขัดแย้งกับความเชื่อถือเดิม ก็คงจะมีคนวิจัยวิจารณ์กันต่อไป ก็ขอจบคำว่าตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ ไม่ขยายความรู้ว่าต้นโพธิ์ตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คือต้นอัสสัตถพฤกษ์ 

โพธิ แปลว่าความตรัสรู้ พระพุทธเจ้าไปใช้ต้นอัสสัตถพฤกษ์ ถ้าพระพุทธเจ้าไปใช้ต้นไม้ต้นใด ระลึกรู้สัมมาสัมโพธิญาณได้ ต้นไม้ต้นนั้นก็เรียกว่าต้นตรัสรู้ ต้นโพธิ์ ของพระพุทธเจ้าองค์นี้ใช้ต้นอัสสัตถพฤกษ์ ที่เรียกขณะนี้ทั่วโลกว่าต้นโพธิ์ ต้นนี้เดิมมันชื่อต้นอัสสัตถพฤกษ์ ตามภาษาเก่า 

ที่นี้มาถึงจุดสำคัญคือเรื่องหลับตาปฏิบัติออกป่า นี่ก็ยังยากมากเลยเรื่องนี้ 

เมื่อไปเข้าใจผิด หลงผิดกัน ว่าจรณะ 15 วิชชา 8 นั้น คือการรู้ ตรัสรู้ แบบที่เดียรถีย์หรือแบบพระป่าในสมัยนี้ เข้าใจว่าต้องออกป่า แล้วก็ต้องไปนั่งหลับตาสะกดจิต นั่นแหละเขาว่า ออกป่านะ 

เพราะฉะนั้นคำว่าจรณะ 15 วิชชา 8 ในวิชชาจะระณะสัมปันโน เป็นพุทธคุณของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ อยู่ในพุทธคุณ 9 ข้อนี้เป็นเนื้อหาสาระ นอกนั้นเป็นคำชมเชย เป็นฉายาของพระพุทธเจ้า 

อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโตโลกะวิทู อะนุตตะโรปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถาเทวะมะนุสสานัง พุทโธภะคะวาติ 

อันที่ 5 นี้คือวิชชาจรณะสัมปันโน 

คำว่า วิชชาจะระณะ สัมปันโน ก็คือวิชชาจรณะ 15 และวิชชา 8 เรียกว่าวิชชาจะระณะสมบัติ ผู้ที่จะมีสมบัติหรือคุณสมบัติของวิชชาจรณะ มีพยัญชนะ ภาษา ความรู้ มีการเรียนรู้พยัญชนะบัญญัติเท่านั้นก็เรียนรู้ได้ แล้วต้องเรียนรู้ก่อนด้วยเรียกว่าปริยัติ

มันจะบริบูรณ์มากถ้าอาตมาจะอ่าน อัมพัฏฐสูตร 

พระไตรปิฎกอัมพัฏฐสูตร ล.9 ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ 4

3. อัมพัฏฐสูตร ล.9  ข้อ [141] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป(คำว่าห้าร้อยรูปเป็นการประมาณ) บรรลุถึงพราหมณคาม แห่งชาวโกศล ชื่ออิจฉานังคลคาม. ได้ยินว่า สมัยนั้นพระองค์ประทับอยู่ ณ ราวป่าอิจฉานังคลวัน เขตอิจฉา นังคลคาม.

[142] ก็สมัยนั้น พราหมณ์โปกขรสาติอยู่ครองนครอุกกัฏฐะ ซึ่งคับคั่งด้วยประชาชนและหมู่สัตว์ อุดมด้วยหญ้า ด้วยไม้ ด้วยน้ำ สมบูรณ์ด้วยธัญญาหาร  ซึ่งเป็นราชสมบัติอันพระเจ้าปเสนทิโกศล พระราชทานปูนบำเหน็จให้เป็นส่วนพรหมไทย.

พราหมณ์โปกขรสาติได้สดับข่าวว่า พระสมณโคดมศากยบุตรทรงผนวชจากศากยสกุลแล้ว เสด็จจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ  500 รูป ถึงอิจฉานังคลคามโดยลำดับ ประทับอยู่ ณ ราวป่าอิจฉานังคลวัน เขตอิจฉานังคลคาม ก็เกียรติศัพท์อันงามของท่านพระโคดมพระองค์นั้นแล ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า

แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้วทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม

พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามพระองค์ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์ทั้งหลาย เห็นปานนั้น ย่อมเป็นการดีแล.

เรื่องอัมพัฏฐมาณพ

 [143] สมัยนั้นแล อัมพัฏฐมาณพ ศิษย์ของพราหมณ์โปกขรสาติ เป็นผู้เล่าเรียนทรงจำมนต์ รู้จบไตรเพท พร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุ 1- คัมภีร์เกตุภะ 2- พร้อมทั้งประเภทอักษร มีคัมภีร์อิติหาสเป็นที่ 5 3- เป็นผู้เข้าใจตัวบท เป็นผู้เข้าใจไวยากรณ์ ชำนาญในคัมภีร์โลกายตะ 4- และมหาปุริสลักษณะ อันอาจารย์ยกย่องและรับรองในลัทธิปาพจน์ คือ ไตรวิทยา อันเป็นของอาจารย์ของตนว่า ฉันรู้สิ่งใด เธอรู้สิ่งนั้น เธอรู้สิ่งใด ฉันรู้สิ่งนั้น.

 ครั้งนั้นแล พราหมณ์โปกขรสาติ เรียกอัมพัฏฐมาณพมาเล่าว่า พ่ออัมพัฏฐะ พระสมณโคดมศากยบุตร พระองค์นี้ทรงผนวชจากศากยสกุล แล้วเสด็จจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป ถึงอิจฉานังคลคาม โดยลำดับ ประทับอยู่ ณ ราวป่าอิจฉานังคลวันใกล้อิจฉานังคลคาม ก็เกียรติศัพท์อันงามของท่านพระโคดมพระองค์นั้นแล ขจรไปอย่างนี้ว่า

แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว(สุคโต) ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรมพระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง 

พ่อครูว่า... เราต้องอ่านอาการทางจิตของเราว่า ตอนนี้จิตเราเป็นเทวะ เป็นมาร เทวะพระพุทธเจ้าแยกเป็น 3 อย่าง สมมุติเทพ อุบัติเทพ วิสุทธิเทพ 

สมมุติเทพเป็นการสมมติไปได้หลากหลายต่างๆนานา กายต่างกันสัญญาต่างกัน แต่ถ้ามาเป็นของพุทธองค์อุบัติต้องเกิดอย่างสัมมาทิฏฐิ ผิดไปจากสมมุติเทพ ต้องเป็นผู้สัมมาทิฏฐิ 

เริ่มตั้งแต่พระ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี นั่นแหละเริ่มเป็นอุบัติเทพ พอเป็นอรหันต์ ก็เรียกว่าเป็นวิสุทธิเทพขั้นที่ 1 อย่างนี้เป็นต้น

เมื่อ เป็นผู้ที่รู้ 3 โลกคือเทวดา มาร พรหม ความเป็นโลกนั้นมีทั้งตัวตนบุคคลร่างกายมีทั้งจิตด้วย เฉพาะจิตมีแยก 3 อย่าง คือ เทวดา มาร พรหม  

แล้วทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม พระองค์ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์ทั้งหลาย เห็นปานนั้น ย่อมเป็นการดีแล.

 พ่ออัมพัฏฐะ พ่อจงเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมถึงที่ประทับ แล้วจงรู้ว่าเกียรติศัพท์ของท่านพระโคดมพระองค์นั้นที่ขจรไป จริงตามนั้นหรือไม่ ท่านพระโคดมพระองค์นั้น ทรงคุณเช่นนั้นจริงหรือไม่ เราทั้งหลายจะได้รู้จักท่านพระโคดมพระองค์นั้นไว้ โดยประการนั้น.

อัมพัฏฐมาณพถามว่า ท่าน ก็ไฉนเล่า ข้าพเจ้าจึงได้รู้ว่าเกียรติศัพท์ของท่านพระโคดมพระองค์นั้นที่ขจรไป จริงอย่างนั้นหรือไม่ ท่านพระโคดมพระองค์นั้นทรงคุณเช่นนั้นจริงหรือไม่?

พราหมณ์โปกขรสาติตอบว่า พ่ออัมพัฏฐะ มหาปุริสลักษณะ 32 ประการมาแล้วในมนต์ของเรา ซึ่งพระมหาบุรุษประกอบแล้วย่อมมีคติเป็นสองเท่านั้นไม่เป็นอย่างอื่น ถ้าครองเรือนจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร 4 เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้ว มีราชอาณาจักรมั่นคง สมบูรณ์ด้วยแก้ว 7 ประการ คือ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว คฤหบดีแก้ว ปริณายกแก้ว เป็นที่ 7 พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์ สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้ พระองค์ทรงชำนะโดยธรรม มิต้องใช้อาชญา มิต้องใช้ศาตรา ครอบครองแผ่นดินมีสาครเป็นขอบเขต ถ้าเสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิต จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคาคือกิเลสอันเปิดแล้วในโลก

พ่ออัมพัฏฐะ เราเป็นผู้สอนมนต์ พ่อเป็นผู้เรียนมนต์.

อัมพัฏฐมาณพรับคำพราหมณ์โปกขรสาติแล้ว ลุกจากที่นั่ง ไหว้พราหมณ์โปกขรสาติ กระทำประทักษิณ แล้วขึ้นรถม้าพร้อมด้วยมาณพหลายคน ขับตรงไปยังราวป่าอิจฉานังคลวันตลอดภูมิประเทศเท่าที่รถจะไปได้ ลงจากรถเดินตรงไปยังพระอาราม.

 [144] สมัยนั้นแล ภิกษุหลายรูปกำลังจงกรมอยู่กลางแจ้ง.

ลำดับนั้น อัมพัฏฐมาณพเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นถึงที่จงกรม ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้กะภิกษุเหล่านั้นว่า ท่านผู้เจริญ เวลานี้ท่านพระโคดมพระองค์นั้นประทับอยู่ที่ไหน พวกข้าพเจ้าพากันเข้ามาที่นี่ เพื่อจะเฝ้าพระองค์ท่าน.

ครั้งนั้นแล ภิกษุเหล่านั้นคิดเห็นร่วมกันเช่นนี้ว่า อัมพัฏฐมาณพผู้นี้เป็นคนเกิดในสกุลที่มีชื่อเสียง ทั้งเป็นศิษย์ของพราหมณ์โปกขรสาติผู้มีชื่อเสียงอันการสนทนาปราศรัยกับพวกกุลบุตร เห็นปานนี้ ย่อมไม่เป็นการหนักพระทัยแก่พระผู้มีพระภาคเลย ดังนี้แล้วจึงตอบ อัมพัฏฐมาณพว่า อัมพัฏฐะ นั่นพระวิหารมีประตูปิดอยู่ ท่านจงสงบเสียงเข้าไปทางพระวิหารนั้นค่อยๆ เข้าไปที่เฉลียง กระแอมไอแล้ว เคาะบานประตูเถิด พระผู้มีพระภาคจักทรงเปิดประตูรับท่าน.

ลำดับนั้น อัมพัฏฐมาณพสงบเสียง เข้าไปทางพระวิหารซึ่งมีประตูปิดอยู่นั้น ค่อยๆเข้าไปยังเฉลียง กระแอมไอแล้ว เคาะบานประตู พระผู้มีพระภาคทรงเปิดประตู อัมพัฏฐมาณพเข้าไปแล้ว แม้พวกมาณพก็พากันเข้าไปปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

 [145] ฝ่ายอัมพัฏฐมาณพ เดินปราศรัยบ้าง ยืนปราศรัยบ้าง กับพระผู้มีพระภาคผู้ประทับนั่งอยู่ พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า อัมพัฏฐะ เธอเคยสนทนาปราศรัยกับพวกพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์เหมือนดังเธอ เดินบ้างยืนบ้าง สนทนาปราศรัยกับเราผู้นั่งอยู่เช่นนี้หรือ?

อ. ข้อนี้หามิได้ พระโคดมผู้เจริญ เพราะว่าพราหมณ์ผู้เดินก็ควรเจรจากับพราหมณ์ผู้เดิน พราหมณ์ผู้ยืนก็ควรเจรจากับพราหมณ์ผู้ยืน พราหมณ์ผู้นั่งก็ควรเจรจากับพราหมณ์ผู้นั่งพราหมณ์ผู้นอนก็ควรเจรจากับพราหมณ์ผู้นอน.

 ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ แต่ผู้ใดเป็นสมณะโล้น เป็นคฤหบดีเชื้อสายกัณหโคตร เกิดจากพระบาทของท้าวมหาพรหม ข้าพเจ้าย่อมสนทนาปราศรัยกับผู้นั้น เหมือนกับที่สนทนาปราศรัยกับพระโคดมผู้เจริญนี้.

อัมพัฏฐะ ก็เธอมีธุระจึงได้มาที่นี้ ก็พวกเธอมาเพื่อประโยชน์อันใดแล พึงใส่ใจถึงประโยชน์นั้นแหละไว้ให้ดี ก็อัมพัฏฐมาณพ ยังไม่ได้รับการศึกษาเลย สำคัญตัวว่าได้รับการศึกษาดีแล้ว จะมีอะไรอีกเล่า นอกจากไม่ได้รับการศึกษา.

ลำดับนั้น อัมพัฏฐมาณพถูกพระผู้มีพระภาคตรัสตำหนิด้วยพระวาจาว่า เป็นคนไม่ได้รับการศึกษา โกรธ ขัดใจ เมื่อจะด่าข่มว่ากล่าวพระผู้มีพระภาค คิดว่าเราจักต้องให้พระสมณโคดมได้รับความเสียหาย ได้กล่าวคำนี้กับพระผู้มีพระภาคว่า

ท่านโคดม พวกชาติศากยะดุร้าย หยาบช้า มีใจเบา พูดพล่าม เป็นแต่พวกคฤหบดีแท้ๆ ยังไม่สักการะพวกพราหมณ์ ไม่เคารพพวกพราหมณ์ ไม่นับถือพวกพราหมณ์ ไม่บูชาพวกพราหมณ์ ไม่อ่อนน้อมพวกพราหมณ์ ท่านโคดม การที่พวกศากยะเป็นแต่พวกคฤหบดีแท้ๆ แต่ไม่สักการะพวกพราหมณ์ไม่เคารพพวกพราหมณ์ ไม่นับถือพวกพราหมณ์ ไม่บูชาพวกพราหมณ์ ไม่อ่อนน้อมพวกพราหมณ์นี้ไม่เหมาะไม่สมควรเลย.

อัมพัฏฐมาณพกดพวกศากยะว่า เป็นแต่พวกคฤหบดีแท้ๆ นี้เป็นครั้งแรกด้วยประการฉะนี้.

[146] อัมพัฏฐะ ก็พวกศากยะได้ทำผิดต่อเธออย่างไร?.

ท่านโคดม ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ไปยังนครกบิลพัสดุ์ ด้วยกรณียกิจบางอย่างของพราหมณ์โปกขรสาติผู้อาจารย์ ได้เดินเข้าไปยังสัณฐาคารของพวกศากยะ เวลานั้นพวกศากยะและศากยกุมารมากด้วยกัน นั่งเหนืออาสนะสูงๆ ในสัณฐาคารเอานิ้วมือสะกิดกันและกันเฮฮาอยู่เห็นทีจะหัวเราะเยาะข้าพเจ้าเป็นแน่ ไม่มีใครเชื้อเชิญให้ข้าพเจ้านั่งเลย.

ท่านโคดม ข้อที่พวกศากยะเป็นแต่พวกคฤหบดีแท้ๆ แต่ไม่สักการะพวกพราหมณ์ไม่เคารพพวกพราหมณ์ ไม่นับถือพวกพราหมณ์ ไม่บูชาพวกพราหมณ์ ไม่อ่อนน้อมพวกพราหมณ์นี้ไม่เหมาะไม่สมควรเลย.

อัมพัฏฐมาณพกดพวกศากยะว่า เป็นแต่พวกคฤหบดีแท้ๆ นี้เป็นครั้งที่สอง ด้วยประการฉะนี้.

 [147] อัมพัฏฐะ แม้นางนกไส้ก็ยังเป็นสัตว์พูดได้ตามความปรารถนาในรังของตนก็พระนครกบิลพัสดุ์เป็นถิ่นของพวกศากยะ อัมพัฏฐะไม่ควรจะข้องใจ เพราะการหัวเราะเยาะเพียงเล็กน้อยนี้เลย.

ท่านโคดม วรรณะ 4 เหล่านี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ เวสส์ ศูทร บรรดาวรรณะ 4 เหล่านี้ 3 วรรณะ คือ กษัตริย์ เวสส์ ศูทร เป็นคนบำเรอของพราหมณ์พวกเดียวโดยแท้.

 ท่านโคดม ข้อที่พวกศากยะเป็นแต่พวกคฤหบดีแท้ๆ แต่ไม่สักการะพวกพราหมณ์ไม่เคารพพวกพราหมณ์ ไม่นับถือพวกพราหมณ์ ไม่บูชาพวกพราหมณ์ ไม่อ่อนน้อมพวกพราหมณ์นี้ไม่เหมาะไม่สมควรเลย.

 อัมพัฏฐมาณพกดพวกศากยะว่า เป็นแต่พวกคฤหบดีแท้ๆ นี้เป็นครั้งที่สาม ด้วยประการฉะนี้.

[148] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงพระดำริเช่นนี้ว่า อัมพัฏฐมาณพผู้นี้ กล่าวเหยียบย่ำพวกศากยะอย่างหนัก โดยเรียกว่า เป็นแต่พวกคฤหบดีแท้ๆ ถ้ากระไร เราจะพึงถามถึงโคตรเธอดูบ้าง

แล้วพระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้กับอัมพัฏฐมาณพว่า

อัมพัฏฐะ เธอมีโคตรว่าอย่างไร?

กัณหายนโคตร ท่านโคดม.

 อัมพัฏฐะ ก็เธอระลึกถึงโคตรเก่าแก่อันเป็นของมารดาบิดาดูเถิด พวกศากยะเป็นลูกเจ้าเธอเป็นลูกนางทาสีของพวกศากยะ ก็พวกศากยะเขาพากันอ้างถึงพระเจ้าอุกกากราชว่าเป็นบรรพบุรุษ.

ว่าด้วยศากยวงศ์

[149] อัมพัฏฐะ เรื่องเคยมีมาแล้ว พระเจ้าอุกกากราชทรงพระประสงค์จะพระราชทาน

สมบัติให้แก่พระโอรสของพระมเหสีผู้ที่ทรงรักใคร่โปรดปราน จึงทรงรับสั่งให้พระเชฏฐกุมาร คือพระอุกกามุขราชกุมาร พระกรกัณฑุราชกุมาร พระหัตถินีกราชกุมาร และพระสีนิปุระราชกุมาร ออกจากพระราชอาณาเขต พระกุมารเหล่านั้น เสด็จออกจากพระราชอาณาเขต แล้วจึงไปตั้งสำนัก

อาศัยอยู่ ณ ราวป่าไม้สากะใหญ่ริมฝั่งสระโปกขรณีข้างภูเขาหิมพานต์ พระราชกุมารเหล่านั้นทรงสำเร็จการอยู่ร่วมกับพวกพระภคินีของพระองค์เอง เพราะกลัวพระชาติจะระคนปนกัน.

อัมพัฏฐะ ต่อมาพระเจ้าอุกกากราชตรัสถามหมู่อำมาตย์ราชบริษัทว่า บัดนี้พวกกุมารอยู่กัน ณ ที่ไหน?.

พวกอำมาตย์กราบทูลว่า ขอเดชะ มีราวป่าไม้สากะใหญ่อยู่ริมฝั่งสระโบกขรณีข้างภูเขาหิมพานต์ บัดนี้ พระราชกุมารทั้งหลายอยู่ ณ ที่นั้น พระราชกุมารเหล่านั้นทรงสำเร็จการอยู่ร่วมกับพวกพระภคินีของพระองค์เอง เพราะกลัวพระชาติจะระคนปนกัน.

อัมพัฏฐะ ทีนั้นพระเจ้าอุกกากราชทรงเปล่งพระอุทานว่า ท่านทั้งหลาย พวกกุมารสามารถหนอ พวกกุมารสามารถยอดเยี่ยมหนอ.

อัมพัฏฐะ ก็พวกที่ชื่อว่าศากยะปรากฏตั้งแต่กาลครั้งนั้นเป็นต้นมา และพระเจ้าอุกกากราชพระองค์นั้น เป็นบรรพบุรุษของพวกศากยะ

และพระเจ้าอุกกากราชมีนางทาสีคนหนึ่งชื่อทิสา นางคลอดบุตรคนหนึ่ง ชื่อกัณหะ กัณหะพอเกิดมาก็พูดได้ว่า แม่จงชำระฉัน จงให้ฉันอาบน้ำ แม่จ๋า ขอแม่จงปลดเปลื้องฉันจากสิ่งโสโครกนี้ ฉันเกิดมาเพื่อประโยชน์แก่แม่.

อัมพัฏฐะ มนุษย์สมัยนี้เรียกปีศาจว่า ปีศาจ ฉันใด มนุษย์สมัยนั้นก็ฉันนั้น เรียกปีศาจว่า คนดำ มนุษย์เหล่านั้นจึงกล่าวกันเช่นนี้ว่า ทารกนี้พอเกิดมาก็พูดได้ คนดำเกิดแล้วปีศาจเกิดแล้ว. อัมพัฏฐะ ก็พวกที่ชื่อว่ากัณหายนะ ปรากฏตั้งแต่กาลครั้งนั้นเป็นต้นมา และกัณหะนั้นเป็นบรรพบุรุษของพวกกัณหายนะ.

อัมพัฏฐะ เธอระลึกถึงโคตรเก่าแก่อันเป็นของมารดาบิดาดูเถิด พวกศากยะเป็นลูกเจ้าเธอเป็นลูกทาสีของพวกศากยะ ด้วยประการฉะนี้แล.

ว่าด้วยวงศ์ของอัมพัฏฐมาณพ

[150] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว มาณพเหล่านั้นได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่าพระโคดมผู้เจริญ ขอพระองค์อย่าทรงเหยียดหยามอัมพัฏฐมาณพด้วยพระวาทะว่าเป็นลูกทาสีให้หนักนักเลย

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อัมพัฏฐมาณพมีชาติดี เป็นบุตรผู้มีสกุล เป็นพหูสูต เจรจาไพเราะ เป็นบัณฑิต และเธอสามารถจะโต้ตอบในคำนี้กับพระโคดมผู้เจริญได้.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะมาณพเหล่านั้นว่า ถ้าพวกเธอคิดเช่นนี้ว่า อัมพัฏฐมาณพมีชาติทราม มิใช่บุตรผู้มีสกุล มีสุตะน้อย เจรจาไม่ไพเราะ มีปัญญาทราม และไม่สามารถจะโต้ตอบในคำนี้กับพระสมณโคดมได้ อัมพัฏฐมาณพจงหยุดเสียเถิด พวกเธอจงโต้ตอบกับเราในคำนี้

ก็ถ้าพวกเธอคิดเช่นนี้ว่า อัมพัฏฐมาณพมีชาติดี เป็นบุตรผู้มีสกุล เป็นพหูสูตร เจรจาไพเราะ เป็นบัณฑิต และสามารถจะโต้ตอบในคำนี้กับพระสมณโคดมได้ พวกเธอจงหยุดเสียเถิดอัมพัฏฐมาณพจงโต้ตอบกับเราในคำนี้.

มาณพเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อัมพัฏฐมาณพมีชาติดี เป็นบุตรผู้มีสกุลเป็นพหูสูตร เจรจาไพเราะ เป็นบัณฑิต และสามารถจะโต้ตอบในคำนี้กับพระโคดมได้ พวกข้าพเจ้าจักนิ่งละ อัมพัฏฐมาณพจงโต้ตอบกับพระโคดมในคำนี้เถิด.

สมณะเดินดิน... สรุปจบ





















 

[151] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสกะอัมพัฏฐมาณพว่า อัมพัฏฐะ ปัญหา ประกอบด้วยเหตุนี้แล มาถึงเธอเข้าแล้ว ถึงแม้จะไม่ปรารถนา เธอก็ต้องแก้ ถ้าเธอจักไม่แก้ก็ดีจักกลบเกลื่อนด้วยคำอื่นเสียก็ดี จักนิ่งเสียก็ดี หรือจักหลีกไปเสียก็ดี ศีรษะของเธอจักแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง ณ ที่นี้แหละ

อัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอได้ยินพวกพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์เล่ากันมาว่าอย่างไร พวกกัณหายนะเกิดมาจากใครก่อน และใครเป็นบรรพบุรุษของพวกกันหายนะ.

 เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสเช่นนี้แล้ว อัมพัฏฐมาณพได้นิ่งเสีย. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามอัมพัฏฐมาณพแม้เป็นครั้งที่สองว่า 

อัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอได้ยินพวกพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ผู้เป็นอาจารย์และเป็นปาจารย์เล่ากันมาว่าอย่างไร พวกกัณหายนะเกิดมาจากใครก่อน และใครเป็นบรรพบุรุษของพวกกัณหายนะ.

แม้ครั้งที่สอง อัมพัฏฐมาณพก็ได้นิ่งเสีย.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสกะอัมพัฏฐมาณพว่า อัมพัฏฐะ เธอจงแก้เดี๋ยวนี้ บัดนี้ไม่ใช่เวลาของเธอจะนิ่ง อัมพัฏฐะ เพราะผู้ใดถูกตถาคตถามปัญหาอันประกอบด้วยเหตุถึงสามครั้งแล้วไม่แก้ ศีรษะของผู้นั้นจะแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง ณ ที่นี่แหละ.

[152] สมัยนั้น ยักษ์วชิรปาณีถือค้อนเหล็กใหญ่ลุกโพลงโชติช่วงยืนอยู่ในอากาศเบื้องบนอัมพัฏฐมาณพ คิดว่า ถ้าอัมพัฏฐมาณพนี้ถูกพระผู้มีพระภาคตรัสถามปัญหาที่ประกอบด้วยเหตุถึงสามครั้งแล้ว แต่ไม่แก้ เราจักต่อยศีรษะของเขาให้แตกเป็นเจ็ดเสี่ยง ณ ที่นี้แหละ.

พระผู้มีพระภาคและอัมพัฏฐมาณพเท่านั้นเห็นยักษ์วชิรปาณีนั้น.

ครั้งนั้นอัมพัฏฐมาณพตกใจกลัวขนพองสยองเกล้า ทูลขอให้พระผู้มีพระภาคนั่นเองเป็นที่ต้านทาน ทูลขอให้พระผู้มีพระภาคนั่นเองเป็นที่เร้น ทูลขอให้พระผู้มีพระภาคนั่นเองเป็นที่พึ่งกระเถิบเข้าไปนั่งใกล้ๆ แล้วกราบทูลว่า

พระโคดมผู้เจริญ ได้ตรัสคำอะไรนั่น ขอพระโคดมผู้เจริญ โปรดตรัสอีกครั้งเถิด.

อัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอได้ยินพวกพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์เล่ากันมาว่าอย่างไร พวกกัณหายนะเกิดมาจากใครก่อน และใครเป็นบรรพบุรุษของพวกกัณหายนะ?.

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าได้ยินมาเหมือนอย่างที่พระโคดมผู้เจริญตรัสนั่นแหละพวกกัณหายนะเกิดมาจากกัณหะนั้นก่อน และก็กัณหะนั้นเป็นบรรพบุรุษของพวกกัณหายนะ.

[153] เมื่ออัมพัฏฐมาณพกล่าวเช่นนี้แล้ว มาณพเหล่านั้นส่งเสียงอื้ออึงเกรียวกราวว่าท่านผู้เจริญ ได้ยินว่าอัมพัฏฐมาณพมีชาติทราม มิใช่บุตรผู้มีสกุล เป็นลูกทาสีของพวกศากยะ

ท่านผู้เจริญ ได้ยินว่าพวกศากยะเป็นโอรสของเจ้านายอัมพัฏฐมาณพ พวกเราไพล่ไปสำคัญเสียว่าพระสมณโคดม ผู้ธรรมวาทีพระองค์เดียว ควรจะถูกรุกรานเสียได้.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงดำริเช่นนี้ว่า มาณพเหล่านี้พากันเหยียดหยามอัมพัฏฐมาณพด้วยวาทะว่า เป็นลูกทาสีหนักนัก ถ้ากระไรเราพึงช่วยปลดเปลื้องให้.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้กะมาณพเหล่านั้นว่า ดูกรมาณพพวกเธออย่าเหยียดหยามอัมพัฏฐมาณพด้วยวาทะว่า เป็นลูกทาสีให้หนักนัก เพราะกัณหะนั้นได้เป็นฤาษีคนสำคัญ เธอไปยังทักษิณาชนบทเรียนมนต์อันประเสริฐ แล้วเข้าไปเฝ้าพระอุกกากราชทูลขอพระราชธิดาพระนามว่ามัททรูปี พระเจ้าอุกกากราชทรงพระพิโรธขัดพระทัยแก่พระฤาษีนั้นว่า

บังอาจอย่างนี้เจียวหนอ ฤาษีเป็นลูกทาสีของเราแท้ๆ ยังมาขอธิดาชื่อว่ามัททรูปี แล้วทรงขึ้นพระแสงศร ท้าวเธอไม่อาจจะทรงแผลง และไม่อาจจะทรงลดลง.

[154] ดูกรมาณพ ครั้งนั้น หมู่อำมาตย์ราชบริษัทพากันเข้าไปหากัณหฤาษีแล้วได้กล่าว

คำนี้กะกัณหฤาษีว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอความสุขสวัสดีจงมีแต่พระราชา ขอความสวัสดีจงมีแด่พระราชา ฤาษีตอบว่า ความสวัสดีจักมีแด่พระราชา แต่ว่าท้าวเธอจักทรงแผลงพระแสงศรลงไปเบื้องต่ำ แผ่นดินจักทรุดตลอดพระราชอาณาเขต อำมาตย์กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ

ขอความสวัสดีจงมีแด่พระราชา ขอความสวัสดีจงมีแก่ชนบท ฤาษีตอบว่า ความสวัสดีจักมีแด่พระราชา ความสวัสดีจักมีแก่ชนบท แต่ถ้าท้าวเธอจักทรงแผลงพระแสงศรขึ้นไปเบื้องบน

ฝนจักไม่ตกทั่วพระราชอาณาเขตถึงเจ็ดปี อำมาตย์กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอความสวัสดีจงมีแด่พระราชา ขอความสวัสดีจงมีแก่ชนบท ขอฝนจงตกเถิด ฤาษีตอบว่า ความสวัสดี

จักมีแด่พระราชา ความสวัสดีจักมีแก่ชนบท ฝนจักตก แต่พระราชาต้องทรงวางพระแสงศรไว้ที่พระราชกุมารพระองค์ใหญ่ ด้วยทรงพระดำริว่า พระราชกุมารจักเป็นผู้มีความสวัสดี หายสยดสยองดังนี้.

 ดูกรมาณพ ลำดับนั้นพระเจ้าอุกกากราช ได้ทรงวางพระแสงศรไว้ที่พระราชกุมารพระองค์ใหญ่ ด้วยทรงพระดำริว่า พระราชกุมารจักเป็นผู้มีความสวัสดี หายสยดสยอง ดังนี้

ครั้นท้าวเธอทรงวางพระแสงศรไว้ที่พระราชกุมารพระองค์ใหญ่แล้ว พระราชกุมารก็เป็นผู้มีความสวัสดี หายสยดสยอง พระเจ้าอุกกากราชทรงกลัวถูกขู่ด้วยพรหมทัณฑ์ จึงได้พระราชทานพระนางมัททรูปีราชธิดาแก่ฤาษีนั้น.

ดูกรมาณพ พวกเธออย่าเหยียดหยามอัมพัฏฐมาณพด้วยวาทะว่า เป็นลูกทาสีให้หนัก

นักเลย กัณหะนั้นได้เป็นฤาษีสำคัญแล้ว.

[155] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะอัมพัฏฐมาณพว่า ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ขัตติยกุมารในโลกนี้พึงสำเร็จการอยู่ร่วมกับนางพราหมณกัญญา เพราะอาศัยการอยู่ร่วมกันของคนทั้งสองนั้น พึงเกิดบุตรขึ้น บุตรผู้เกิดแต่นางพราหมณกัญญากับขัตติยกุมารนั้น จะควรได้ที่นั่งหรือน้ำในหมู่พราหมณ์บ้างหรือไม่?

ควรได้ พระโคดมผู้เจริญ.

พวกพราหมณ์จะควรเชิญเขาให้บริโภคในการเลี้ยงเพื่อผู้ตาย ในการเลี้ยงเพื่อการมงคลในการเลี้ยงเพื่อยัญพิธี หรือในการเลี้ยงเพื่อแขกบ้างหรือไม่?

ควรเชิญเขาให้บริโภคได้ พระโคดมผู้เจริญ.

พวกพราหมณ์จะควรบอกมนต์ให้เขาหรือไม่?

ควรบอกให้ พระโคดมผู้เจริญ.

เขาควรจะถูกห้ามในหญิงทั้งหลายหรือไม่?

เขาไม่ควรถูกห้ามเลย พระโคดมผู้เจริญ.

เขาควรจะได้รับอภิเษกเป็นกษัตริย์ได้บ้างหรือไม่?

 ข้อนี้ไม่ควรเลย พระโคดมผู้เจริญ.

เพราะเหตุอะไร?

เพราะเขาไม่บริสุทธิ์ข้างฝ่ายมารดา.

 [156] ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พราหมณกุมารในโลกนี้พึงสำเร็จการอยู่ร่วมกับนางขัตติยกัญญา เพราะอาศัยการอยู่ร่วมของคนทั้งสองนั้น พึงเกิดบุตรขึ้นบุตรผู้เกิดแต่ขัตติยกัญญากับพราหมณกุมาร จะควรได้ที่นั่งหรือน้ำในหมู่พราหมณ์บ้างหรือไม่?

ควรได้ พระโคดมผู้เจริญ.

พวกพราหมณ์จะควรเชิญเขาให้บริโภคในการเลี้ยงเพื่อผู้ตาย ในการเลี้ยงเพื่อการมงคลในการเลี้ยงเพื่อยัญพิธี หรือในการเลี้ยงเพื่อแขกได้บ้างหรือไม่?

ควรเชิญเขาให้บริโภคได้ พระโคดมผู้เจริญ.

พวกพราหมณ์ควรบอกมนต์ให้เขาหรือไม่?

ควรบอกให้ พระโคดมผู้เจริญ.

เขาควรถูกห้ามในหญิงทั้งหลายหรือไม่?

เขาไม่ควรถูกห้ามเลย พระโคดมผู้เจริญ.

เขาควรจะได้รับอภิเษกเป็นกษัตริย์ได้บ้างหรือไม่?

ข้อนี้ไม่ควรเลย พระโคดมผู้เจริญ.

เพราะเหตุอะไร?

เพราะเขาไม่บริสุทธิ์ฝ่ายบิดา.

 [157] ดูกรอัมพัฏฐะ เมื่อเทียบหญิงกับหญิงก็ดี เมื่อเทียบชายกับชายก็ดี กษัตริย์พวกเดียวประเสริฐ พวกพราหมณ์เลว ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉนพราหมณ์ทั้งหลาย ในโลกนี้ พึงโกนศีรษะพราหมณ์คนหนึ่ง มอมด้วยเถ้า เนรเทศเสียจากแว่นแคว้นหรือจากเมืองเพราะโทษบางอย่าง เขาจะควรได้ที่นั่งหรือน้ำในหมู่พราหมณ์บ้างหรือไม่?

ไม่ควรได้เลย พระโคดมผู้เจริญ.

พวกพราหมณ์ควรเชิญเขาให้บริโภคในการเลี้ยงเพื่อผู้ตาย ในการเลี้ยงเพื่อการมงคลในการเลี้ยงเพื่อยัญพิธี หรือในการเลี้ยงเพื่อแขกได้บ้างหรือไม่?

ไม่ควรเชิญเขาให้บริโภคเลย พระโคดมผู้เจริญ.

พวกพราหมณ์ควรบอกมนต์ให้เขาหรือไม่?

ไม่ควรบอกให้เลย พระโคดมผู้เจริญ.

 เขาควรถูกห้ามในหญิงทั้งหลายหรือไม่?

เขาควรถูกห้ามทีเดียว พระโคดมผู้เจริญ.

[158] อัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน กษัตริย์ทั้งหลาย ในโลกนี้พึงปลงเกศากษัตริย์องค์หนึ่ง มอมด้วยเถ้า แล้วเนรเทศเสียจากแว่นแคว้นหรือจากเมืองเพราะโทษบางอย่าง เขาจะควรได้ที่นั่งหรือน้ำในหมู่พราหมณ์บ้างหรือไม่?

ควรได้ พระโคดมผู้เจริญ.

พวกพราหมณ์ควรเชิญเขาให้บริโภคในการเลี้ยงเพื่อผู้ตาย ในการเลี้ยงเพื่อการมงคลในการเลี้ยงเพื่อยัญพิธี หรือในการเลี้ยงเพื่อแขกได้บ้างหรือไม่?

ควรเชิญให้เขาบริโภคได้ พระโคดมผู้เจริญ.

พวกพราหมณ์ควรบอกมนต์ให้เขาหรือไม่?

ควรบอกให้ พระโคดมผู้เจริญ.

เขาควรถูกห้ามในหญิงทั้งหลายหรือไม่?

เขาไม่ควรถูกห้ามเลย พระโคดมผู้เจริญ.

ดูกรอัมพัฏฐะ กษัตริย์ย่อมถึงความเป็นผู้เลวอย่างยิ่ง เพราะเหตุที่ถูกกษัตริย์ด้วยกันปลงพระเกศา มอมด้วยเถ้า แล้วเนรเทศเสียจากแว่นแคว้นหรือจากเมือง ดูกรอัมพัฏฐะแม้ในเมื่อกษัตริย์ถึงความเป็นคนเลวอย่างยิ่งเช่นนี้ พวกกษัตริย์ก็ยังประเสริฐ พวกพราหมณ์เลวด้วยประการฉะนี้.

สมจริงดังคาถาที่สนังกุมารพรหมได้ภาษิตไว้ ดังนี้

คาถาสนังกุมารพรหม

 [159] กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุด

          ในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร

          ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะเป็นผู้ประเสริฐที่สุด

          ในหมู่เทวดาและมนุษย์.

  [160] ดูกรอัมพัฏฐะ ก็คาถานี้นั้น สนังกุมารพรหมขับถูกไม่ผิด ภาษิตไว้ถูก ไม่ผิดประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ใช่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ เราเห็นด้วย ดูกรอัมพัฏฐะ ถึงเราก็กล่าวเช่นนี้ว่า

 [161] กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร

          ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะเป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่เทวดาและมนุษย์.

จบ ภาณวารที่หนึ่ง

 

วิชชาจรณสัมปทา

[162] อัมพัฏฐมาณพทูลถามว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็จรณะนั้นเป็นไฉน วิชชานั้นเป็นไฉน.

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอัมพัฏฐะ ในวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม เขาไม่พูดอ้างชาติอ้างโคตรหรืออ้างมานะว่า ท่านควรแก่เรา หรือท่านไม่ควรแก่เราอาวาหมงคล วิวาหมงคล หรืออาวาหวิวาหมงคล มีในที่ใด ในที่นั้นเขาจึงจะพูดอ้างชาติบ้างอ้างโคตรบ้าง หรืออ้างมานะบ้างว่า ท่านควรแก่เรา หรือท่านไม่ควรแก่เรา ชนเหล่าใดยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างชาติ ยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างโคตร ยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างมานะ หรือยังเกี่ยวข้องด้วยอาวาหวิวาหมงคล ชนเหล่านั้น ชื่อว่ายังห่างไกลจากวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม การทำให้แจ้งซึ่งวิชชาสมบัติและจรณสมบัติ อันเป็นคุณยอดเยี่ยมย่อมมีได้เพราะละการเกี่ยวข้องด้วยการอ้างชาติ ความเกี่ยวข้องด้วยการอ้างโคตร ความเกี่ยวข้องด้วยการอ้างมานะ และความเกี่ยวข้องด้วยอาวาหวิวาหมงคล.

 

  [163] ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ จรณะนั้นเป็นไฉน วิชชานั้นเป็นไฉนเล่า.

ดูกรอัมพัฏฐะ พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม

พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้น ครั้นฟังแล้วได้ศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธาแล้ว ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ให้บริสุทธิ์ โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมาเขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้วสำรวมระวังในพระปาติโมกข์อยู่ ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อยสมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรมวจีกรรมที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ถึงพร้อมด้วยศีลคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ.

 

จุลศีล

ดูกรอัมพัฏฐะ อย่างไร ภิกษุจึงชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล?

1. ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะวางศาตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ข้อนี้เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

2. เธอละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้ ต้องการแต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เป็นผู้สะอาดอยู่ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

3. เธอละกรรมเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกลเว้นขาดจากเมถุนอันเป็นกิจของชาวบ้าน แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

4. เธอละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง ดำรงคำสัตย์มีถ้อยคำเป็นหลักฐานควรเชื่อได้ ไม่พูดลวงโลก แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

5. เธอละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ฟังจากข้างนี้แล้วไม่ไปบอกข้างโน้นเพื่อให้คนหมู่นี้แตกร้าวกัน หรือฟังจากข้างโน้นแล้วไม่มาบอกข้างนี้ เพื่อให้คนหมู่โน้นแตกร้าวกัน สมานคนที่แตกร้าวกันแล้วบ้าง ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันแล้วบ้าง ชอบคนผู้พร้อมเพรียงกัน ยินดีในคนผู้พร้อมเพรียงกัน เพลิดเพลินในคนผู้พร้อมเพรียงกัน กล่าวแต่คำที่ทำให้คนพร้อมเพรียงกัน แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

6. เธอละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบกล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษ เพราะหู ชวนให้รักจับใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่ พอใจ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

7. เธอละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำที่เป็นจริงพูดอิงอรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดแต่คำมีหลักฐาน มีที่อ้าง มีที่กำหนด ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลอันควร แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

8. เธอเว้นขาดจากการพรากพืชคามและภูตคาม.

9. เธอฉันหนเดียว เว้นการฉันในราตรี งดจากการฉันในเวลาวิกาล.

10. เธอเว้นขาดจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี และดูการเล่น อันเป็นข้าศึกแก่กุศล.

11. เธอเว้นขาดจากการทัดทรงประดับ และตบแต่งร่างกาย ด้วยดอกไม้ของหอมและเครื่องประเทืองผิว อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว.

12. เธอเว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่.

13. เธอเว้นขาดจากการรับทองและเงิน.

14. เธอเว้นขาดจากการรับธัญญาหารดิบ.

15. เธอเว้นขาดจากการรับเนื้อดิบ.

16. เธอเว้นขาดจากการรับสตรีและกุมารี.

17. เธอเว้นขาดจากการรับทาสีและทาส.

18. เธอเว้นขาดจากการรับแพะและแกะ.

19. เธอเว้นขาดจากการรับไก่และสุกร.

20. เธอเว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา.

21. เธอเว้นขาดจากการรับไร่นาและที่ดิน.

22. เธอเว้นขาดจากการประกอบทูตกรรมและการรับใช้.

23. เธอเว้นขาดจากการซื้อการขาย.

24. เธอเว้นขาดจากการโกงด้วยตราชั่ง การโกงด้วยของปลอม และการโกงด้วยเครื่องตวงวัด.

25. เธอเว้นขาดจากการรับสินบน การล่อลวง และการตลบตะแลง.

26. เธอเว้นขาดจากการตัด การฆ่า การจองจำ การตีชิงการปล้น และกรรโชกแม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

จบจุลศีล.

 

มัชฌิมศีล

1. ภิกษุเว้นขาดจากการพรากพืชคามและภูตคาม เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบการพรากพืชคามและภูตคาม เห็นปานนี้คือพืชเกิดแต่เหง้า พืชเกิดแต่ลำต้น พืชเกิดแต่ผล พืชเกิดแต่ยอด พืชเกิดแต่เมล็ด เป็นที่ครบห้าแม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

2. ภิกษุเว้นขาดจากการบริโภคของที่ทำการสะสมไว้ เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบการบริโภคของที่ทำการสะสมไว้ปานนี้คือ สะสมข้าว สะสมน้ำ สะสมผ้า สะสมยาน สะสมที่นอน สะสมเครื่องประเทืองผิวสะสมของหอม สะสมอามิส แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

3. ภิกษุเว้นขาดจากการดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล เห็นปานนี้ คือ การฟ้อน การขับร้อง การประโคมมหรสพ มีการรำเป็นต้น การเล่านิยาย การเล่นปรบมือ การเล่นปลุกผี การเล่นตีกลอง ฉากภาพบ้านเมืองที่สวยงาม การเล่นของคนจัณฑาลการเล่นไม้สูง การเล่นหน้าศพ ชนช้าง ชนม้า ชนกระบือ ชนโค ชนแพะ ชนแกะ ชนไก่รบนกกระทา รำกระบี่กระบอง มวยชก มวยปล้ำ การรบ การตรวจพล การจัดกระบวนทัพกองทัพ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

4. ภิกษุเว้นขาดจากการขวนขวายเล่นการพนันอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายเล่นการพนันอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เห็นปานนี้ คือ เล่นหมากรุกแถวละแปดตาแถวละสิบตาเล่นหมากเก็บ เล่นดวด เล่นหมากไหว เล่นโยนบ่วง เล่นไม้หึ่ง เล่นกำทาย เล่นสะกาเล่นเป่าใบไม้ เล่นไถน้อยๆ เล่นหกคะเมน เล่นกังหัน เล่นตวงทราย เล่นรถน้อยๆ เล่นธนูน้อยๆ เล่นเขียนทายกัน เล่นทายใจ เล่นเรียนคนพิการ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

5. ภิกษุเว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่ เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่ เห็นปานนี้ คือ เตียงมีเท้าเกินประมาณ เตียงมีเท้าทำเป็นรูปสัตว์ร้าย ผ้าโกเชาว์ขนยาว เครื่องลาดที่ทำด้วยขนแกะวิจิตรด้วยลวดลาย เครื่องลาดที่ทำด้วยขนแกะสีขาว เครื่องลาดที่มีสัณฐานเป็นช่อดอกไม้ เครื่องลาดที่ยัดนุ่น เครื่องลาดขนแกะวิจิตรด้วยรูปสัตว์ร้ายมีสีหะและเสือเป็นต้นเครื่องลาดขนแกะมีขนตั้ง เครื่องลาดขนแกะมีขนข้างเดียว เครื่องลาดทองและเงินแกมไหมเครื่องลาดไหมขลิบทองและเงิน เครื่องลาดขนแกะจุนางฟ้อน 16 คน เครื่องลาดหลังช้างเครื่องลาดหลังม้า เครื่องลาดในรถ เครื่องลาดที่ทำด้วยหนังสัตว์ชื่ออชินะอันมีขนอ่อนนุ่มเครื่องลาดอย่างดีทำด้วยหนังชะมด เครื่องลาดมีเพดาน เครื่องลาดมีหมอนข้าง แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

6. ภิกษุเว้นขาดจากการประกอบการประดับตบแต่งร่างกาย อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัวเช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายประกอบการประดับตบแต่งร่างกาย อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัวเห็นปานนี้ คือ อบตัว ไคลอวัยวะอาบน้ำหอม นวด ส่องกระจก แต้มตา ทัดดอกไม้ ประเทืองผิว ผัดหน้า ทาปากประดับข้อมือ สวมเกี้ยว ใช้ไม้เท้า ใช้กลักยา ใช้ดาบ ใช้ขรรค์ ใช้ร่ม สวมรองเท้าประดับวิจิตร ติดกรอบหน้า ปักปิ่น ใช้พัดวาลวิชนี นุ่งห่มผ้าขาว นุ่งห่มผ้ามีชาย แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

 7. ภิกษุเว้นขาดจากติรัจฉานกถา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะ

ที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบติรัจฉานกถา เห็นปานนี้ คือ พูดเรื่องพระราชา เรื่องมหา-

*อำมาตย์ เรื่องกองทัพ เรื่องภัย เรื่องรบ เรื่องข้าว เรื่องน้ำ เรื่องผ้า เรื่องที่นอน เรื่องดอกไม้

เรื่องของหอม เรื่องญาติ เรื่องยาน เรื่องนิคม เรื่องนคร เรื่องชนบท เรื่องสตรี เรื่องบุรุษ

เรื่องคนกล้าหาญ เรื่องตรอก เรื่องท่าน้ำ เรื่องคนที่ล่วงลับไปแล้ว เรื่องเบ็ดเตล็ด เรื่องโลก เรื่อง

ทะเล เรื่องความเจริญและความเสื่อมด้วยประการนั้นๆ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

             8. ภิกษุเว้นขาดจากการกล่าวถ้อยคำแก่งแย่งกัน เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบาง

จำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังกล่าวถ้อยคำแก่งแย่งกัน เห็นปานนี้ เช่นว่า ท่าน

ไม่รู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึง ท่านจักรู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ได้อย่างไร ท่านปฏิบัติผิด

ข้าพเจ้าปฏิบัติถูก ถ้อยคำของข้าพเจ้าเป็นประโยชน์ ของท่านไม่เป็นประโยชน์ คำที่ควรจะกล่าว

ก่อน ท่านกลับกล่าวภายหลัง คำที่ควรจะกล่าวภายหลัง ท่านกลับกล่าวก่อน ข้อที่ท่านเคยช่ำชอง

มาผันแปรไปแล้ว ข้าพเจ้าจับผิดวาทะของท่านได้แล้ว ข้าพเจ้าข่มท่านได้แล้ว ท่านจงถอนวาทะ

เสีย มิฉะนั้นจงแก้ไขเสีย ถ้าสามารถ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

             9. ภิกษุเว้นขาดจากการประกอบทูตกรรมและการรับใช้ เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญ

บางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายประกอบทูตกรรมและการรับใช้

เห็นปานนี้ คือ รับเป็นทูตของพระราชา ราชมหาอำมาตย์ กษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี และกุมารว่า

ท่านจงไปในที่นี้ ท่านจงไปในที่โน้น ท่านจงนำเอาสิ่งนี้ไป ท่านจงนำเอาสิ่งนี้ในที่โน้นมา ดังนี้

แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

             10. ภิกษุเว้นขาดจากการพูดหลอกลวงและการพูดเลียบเคียง เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์

ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังพูดหลอกลวง พูดเลียบเคียง พูดหว่าน

ล้อม พูดและเล็ม แสวงหาลาภด้วยลาภ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

จบมัชฌิมศีล.

มหาศีล

1. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ ทำนายหนูกัดผ้าทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้านดูลักษณะที่นา เป็นหมอปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองูเป็นหมอยาพิษ เป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทายเสียงกา เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

 2. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทายลักษณะแก้วมณี ทายลักษณะไม้พลอง ทายลักษณะศาตรา ทายลักษณะดาบทายลักษณะศร ทายลักษณะธนู ทายลักษณะอาวุธ ทายลักษณะสตรี ทายลักษณะบุรุษ ทายลักษณะกุมาร ทายลักษณะกุมารี ทายลักษณะทาส ทายลักษณะทาสี ทายลักษณะช้าง ทายลักษณะม้าทายลักษณะกระบือ ทายลักษณะโคอุสภะ ทายลักษณะโค ทายลักษณะแพะ ทายลักษณะแกะทายลักษณะไก่ ทายลักษณะนกกระทา ทายลักษณะเหี้ย ทายลักษณะตุ่น ทายลักษณะเต่าทายลักษณะมฤค แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

3. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ดูฤกษ์ยาตราทัพว่า พระราชาจักยกออก พระราชาจักไม่ยกออก พระราชาภายในจักยกเข้าประชิด พระราชาภายนอกจักถอย พระราชาภายนอกจักยกเข้าประชิด พระราชาภายในจักถอย พระราชาภายในจักมีชัย พระราชาภายนอกจักปราชัย พระราชาภายนอกจักมีชัย พระราชาภายในจักปราชัย พระราชาองค์นี้จักมีชัย พระราชาองค์นี้จักปราชัย เพราะเหตุนี้ๆ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

4. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ พยากรณ์ว่าจักมีจันทรคราส จักมีสุริยคราส จักมีนักษัตรคราส ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินถูกทาง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินผิดทาง ดาวนักษัตรจักเดินถูกทาง ดาวนักษัตรจักเดินผิดทาง จักมีอุกกาบาต จักมีดาวหาง จักมีแผ่นดินไหว จักมีฟ้าร้อง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักขึ้น ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักตก ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักมัวหมอง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักกระจ่าง จันทรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ สุริยคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ นักษัตรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เดินผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดาวนักษัตรเดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดาวนักษัตรเดินผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ มีอุกกาบาตจักมีผลเป็นอย่างนี้ มีดาวหางจักมีผลเป็นอย่างนี้ แผ่นดินไหวจักมีผลเป็นอย่างนี้ ฟ้าร้องจักมีผลเป็นอย่างนี้ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรขึ้นจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรตกจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรมัวหมองจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรกระจ่างจักมีผลเป็นอย่างนี้ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

5. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา

เห็นปานนี้ คือพยากรณ์ว่า จักมีฝนดี จักมีฝนแล้ง จักมีภิกษาหาได้ง่าย จักมีภิกษาหาได้ยาก

จักมีความเกษม จักมีภัย จักเกิดโรค จักมีความสำราญหาโรคมิได้ หรือนับคะแนน คำนวณ

นับประมวลแต่งกาพย์โลกายตศาสตร์ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

6. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือให้ฤกษ์อาวาหมงคล ฤกษ์วิวาหมงคล ดูฤกษ์เรียงหมอน ดูฤกษ์หย่าร้าง ดูฤกษ์จ่ายทรัพย์ ดูโชคดี ดูเคราะห์ร้าย ให้ยาผดุงครรภ์ ร่ายมนต์ให้ลิ้นกระด้าง ร่ายมนต์ให้คางแข็งร่ายมนต์ให้มือสั่น ร่ายมนต์ไม่ให้หูได้ยินเสียง เป็นหมอทรงกระจก เป็นหมอทรงหญิงสาวเป็นหมอทรงเจ้าบวงสรวงพระอาทิตย์ บวงสรวงท้าวมหาพรหม ร่ายมนต์พ่นไฟ ทำพิธีเชิญขวัญแม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

7. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัตถุ์ ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตาทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

ดูกรอัมพัฏฐะ ภิกษุสมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้ ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะศีลสังวรนั้น เปรียบเหมือนกษัตริย์ผู้ได้มุรธาภิเษกกำจัดราชศัตรูได้แล้วย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะราชศัตรูนั้น ดูกรอัมพัฏฐะ ภิกษุก็ฉันนั้นสมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้แล้ว ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆเพราะศีลสังวรนั้น ภิกษุสมบูรณ์ด้วยอริยศีลขันธ์นี้ ย่อมได้เสวยสุขอันปราศจากโทษในภายในดูกรอัมพัฏฐะ ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล

จบมหาศีล.

-----------------------------------------------------

อินทรียสังวร

ดูกรอัมพัฏฐะ อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย? ดูกรอัมพัฏฐะภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามกคืออภิชฌา และโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษาจักขุนทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์ ภิกษุฟังเสียงด้วยโสต ... ดมกลิ่นด้วยฆานะ ... ลิ้นรสด้วยชิวหา ... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ... รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมมนินทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้วจะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษามนินทรีย์ชื่อว่าถึงความสำรวมในมนินทรีย์ ภิกษุประกอบด้วยอินทรียสังวรอันเป็นอริยะเช่นนี้ ย่อมได้เสวยสุขอันไม่ระคนด้วยกิเลสในภายใน ดูกรอัมพัฏฐะ ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย.

 ดูกรอัมพัฏฐะ อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ? ดูกรอัมพัฏฐะภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการก้าว ในการถอย ในการแล ในการเหลียวในการคู้เข้า ในการเหยียดออก ในการทรงสังฆาฏิบาตรและจีวร ในการฉัน การดื่ม การเคี้ยวการลิ้ม ในการถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการเดิน การยืน การนั่ง การหลับการตื่น การพูด การนิ่ง ดูกรอัมพัฏฐะ ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ.

ดูกรอัมพัฏฐะ อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ? ดูกรอัมพัฏฐะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง เธอจะไปทางทิศาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง ดูกรอัมพัฏฐะ นกมีปีกจะบินไปทางทิศาภาคใดๆ ก็มีแต่ปีกของตัวเป็นภาระบินไป ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง เธอจะไปทางทิศาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง ดูกรอัมพัฏฐะด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ.

ภิกษุนั้นประกอบด้วยศีลขันธ์ อินทรียสังวร สติสัมปชัญญะและสันโดษ อันเป็นอริยะเช่นนี้แล้ว ย่อมเสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏที่แจ้ง ลอมฟาง ในกาลภายหลังภัต เธอกลับจากบิณฑบาตแล้ว นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรงดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอละความเพ่งเล็งในโลก มีใจปราศจากความเพ่งเล็งอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความเพ่งเล็งได้ ละความประทุษร้าย คือพยาบาท ไม่คิดพยาบาท มีความกรุณาหวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความประทุษร้าย คือ พยาบาทได้ละถีนมิทธะแล้ว เป็นผู้ปราศจากถีนมิทธะ มีความกำหนดหมายอยู่ที่แสงสว่าง มีสติสัมปชัญญะอยู่ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากถีนมิทธะได้ ละอุทธัจจกุกกุจจะแล้ว เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบ ณภายในอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจกุกกุจจะได้ ละวิจิกิจฉาแล้ว เป็นผู้ข้ามวิจิกิจฉาไม่มีความคลางแคลงในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากวิจิกิจฉาได้.

ว่าด้วยอุปมานิวรณ์ 5

ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงกู้หนี้ไปประกอบการงาน การงานของเขาจะพึง

สำเร็จผล เขาจะพึงใช้หนี้ที่เป็นต้นทุนเดิมให้หมดสิ้น และทรัพย์ที่เป็นกำไรของเขา จะพึงมีเหลืออยู่สำหรับเลี้ยงภริยา เขาพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเรากู้หนี้ไปประกอบการงานบัดนี้ การงานของเราสำเร็จผลแล้ว เราได้ใช้หนี้ที่เป็นต้นทุนเดิมให้หมดสิ้นแล้ว และทรัพย์ที่เป็นกำไรของเรายังมีเหลืออยู่สำหรับเลี้ยงภริยา ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีความไม่มีหนี้นั้นเป็นเหตุ ฉันใด.

ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงเป็นผู้มีอาพาธ ถึงความลำบาก เจ็บหนักบริโภคอาหารไม่ได้และไม่มีกำลังกาย สมัยต่อมา เขาพึงหายจากอาพาธนั้น บริโภคอาหารได้ และมีกำลังกาย เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็นผู้มีอาพาธ ถึงความลำบาก เจ็บหนักบริโภคอาหารไม่ได้และไม่มีกำลังกาย บัดนี้เราหายจากอาพาธนั้นแล้ว บริโภคอาหารได้ และมีกำลังกายเป็นปรกติ ดังนี้เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีความไม่มีโรคนั้นเป็นเหตุฉันใด.

ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงถูกจำอยู่ในเรือนจำ สมัยต่อมา เขาพึงพ้นจากเรือนจำนั้นโดยสวัสดีไม่มีภัย ไม่ต้องเสียทรัพย์อะไรๆ เลย เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราถูกจองจำอยู่ในเรือนจำ บัดนี้ เราพ้นจากเรือนจำนั้นโดยสวัสดีไม่มีภัยแล้ว และเราไม่ต้องเสียทรัพย์อะไรๆ เลย ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีการพ้นจากเรือนจำนั้นเป็นเหตุ ฉันใด.

ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงเป็นทาส ไม่ได้พึ่งตัวเอง พึ่งผู้อื่น ไปไหนตามความพอใจไม่ได้ สมัยต่อมา เขาพึงพ้นจากความเป็นทาสนั้น พึ่งตัวเอง ไม่ต้องพึ่งผู้อื่นเป็นไทยแก่ตัว ไปไหนได้ตามความพอใจ เขาจะพึงมีความพอใจ เขาจะพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่าเมื่อก่อนเราเป็นทาส พึ่งตัวเองไม่ได้ ต้องพึ่งผู้อื่น ไปไหนตามความพอใจไม่ได้ บัดนี้ เราพ้นจากความเป็นทาสนั้นแล้ว พึ่งตัวเอง ไม่ต้องพึ่งผู้อื่น เป็นไทยแก่ตัว ไปไหนได้ตามความพอใจดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีความเป็นไทยแก่ตัวนั้นเป็นเหตุ ฉันใด.

ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือนบุรุษ มีทรัพย์ มีโภคสมบัติ พึงเดินทางไกลกันดารหาอาหารได้ยาก มีภัยเฉพาะหน้า สมัยต่อมา เขาพึงข้ามพ้นทางกันดารนั้นได้ บรรลุถึงหมู่บ้านอันเกษมปลอดภัยโดยสวัสดี เขาจะพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเรามีทรัพย์ มีโภคสมบัติเดินทางไกลกันดาร หาอาหารได้ยาก มีภัยเฉพาะหน้า บัดนี้ เราข้ามพ้นทางกันดารนั้น บรรลุถึงหมู่บ้านอันเกษมปลอดภัยโดยสวัสดีแล้ว ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัสมีภูมิสถานอันเกษมนั้นเป็นเหตุ ฉันใด.

รูปฌาน 4

ดูกรอัมพัฏฐะ ภิกษุพิจารณาเห็นนิวรณ์ 5 ประการเหล่านี้ที่ยังละไม่ได้ในตน เหมือนหนี้เหมือนโรค เหมือนเรือนจำ เหมือนความเป็นทาส เหมือนทางไกลกันดาร และเธอพิจารณาเห็นนิวรณ์ 5 ประการที่ละได้แล้วในตน เหมือนความไม่มีหนี้ เหมือนความไม่มีโรค เหมือนการพ้นจากเรือนจำ เหมือนความเป็นไทยแก่ตน เหมือนภูมิสถานอันเกษม ฉันนั้นแล.

เมื่อเธอพิจารณาเห็นนิวรณ์ 5 เหล่านี้ ที่ละได้แล้วในตนย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อปราโมทย์แล้วย่อมเกิดปิติ เมื่อมีปิติในใจ กายย่อมสงบ เธอมีกายสงบแล้วย่อมได้เสวยสุข เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น เธอสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปิติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ แม้ข้อนี้ก็เป็นจรณะของเธอประการหนึ่ง.

ดูกรอัมพัฏฐะ อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายในเป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปิติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่แม้ข้อนี้ก็เป็นจรณะของเธอประการหนึ่ง.

ดูกรอัมพัฏฐะ อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกายเพราะปิติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขามีสติอยู่เป็นสุข แม้ข้อนี้ก็เป็นจรณะของเธอประการหนึ่ง

ดูกรอัมพัฏฐะ อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ แม้ข้อนี้ก็เป็นจรณะของเธอประการหนึ่ง ดูกรอัมพัฏฐะ แม้นี้แลคือจรณะนั้น.

 

วิชชา 8

วิปัสสนาญาณ

ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อญาณทัสนะ เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า กายของเรานี้แลมีรูป ประกอบด้วยมหาภูต 4 เกิดแต่มารดาบิดา เติบโตขึ้นด้วยข้าวสุกและขนมสด ไม่เที่ยงต้องอบ ต้องนวดฟั้น มีอันทำลายและกระจัดกระจายเป็นธรรมดา และวิญญาณของเรานี้ก็อาศัยอยู่ในกายนี้ เนื่องอยู่ในกายนี้ ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือนแก้วไพฑูรย์อันงาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์แปดเหลี่ยม นายช่างเจียระไนดีแล้ว สุกใส แวววาว สมส่วนทุกอย่าง มีด้ายเขียวเหลือง แดง ขาว หรือนวลร้อยอยู่ในนั้น บุรุษมีจักษุจะพึงหยิบแก้วไพฑูรย์นั้น วางไว้ในมือแล้วพิจารณาเห็นว่าแก้วไพฑูรย์นี้งาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์ แปดเหลี่ยม นายช่างเจียระไนดีแล้วสุกใส แวววาว สมส่วนทุกอย่าง มีด้ายเขียวเหลือง แดง ขาวหรือ นวลร้อยอยู่ในแก้วไพฑูรย์นั้นฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมน้อมโน้มจิตไปเพื่อญาณทัสนะ เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า กายของเรานี้แล มีรูป ประกอบด้วยมหาภูต 4 เกิด แต่มารดาบิดา เติบโตขึ้นด้วยข้าวสุกและขนมสดไม่เที่ยง ต้องอบ ต้องนวดฟั้น มีอันทำลายและกระจัดกระจายเป็นธรรมดา และวิญญาณของเรานี้ก็อาศัยอยู่ในกายนี้ เนื่องอยู่ในกายนี้ แม้ข้อนี้ก็เป็นวิชชาของเธอประการหนึ่ง.

มโนมยิทธิญาณ

ภิกษุนั้น ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ คือ นิรมิตกายอื่นจากกายนี้มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้หญ้าปล้อง นี้ไส้หญ้าปล้องอย่างหนึ่ง ไส้อย่างหนึ่ง ก็แต่ไส้ชักออกจากหญ้าปล้องนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักดาบออกจากฝัก เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้ดาบ นี้ฝัก ดาบอย่างหนึ่ง ฝักอย่างหนึ่งก็แต่ดาบชักออกจากฝักนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักงูออกจากคราบ เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้งู นี้คราบ งูอย่างหนึ่ง คราบอย่างหนึ่ง ก็แต่งูชักออกจากคราบนั่นเองฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ คือนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง แม้ข้อนี้ก็เป็นวิชชาของเธอประการหนึ่ง.

อิทธิวิธญาณ

 ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออิทธิวิธี เธอบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงแม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้

ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือนช่างหม้อหรือลูกมือของช่างหม้อผู้ฉลาด เมื่อนวดดินดีแล้วต้องการภาชนะชนิดใดๆ พึงทำภาชนะชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้ อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนช่างงาหรือลูกมือของช่างงาผู้ฉลาด เมื่อแต่งงาดีแล้ว ต้องการเครื่องงาชนิดใดๆ พึงทำเครื่องงาชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้ อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนช่างทองหรือลูกมือของช่างทองผู้ฉลาด เมื่อหลอมทองดีแล้ว ต้องการทองรูปพรรณชนิดใดๆ พึงทำทองรูปพรรณชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออิทธิวิธี เธอบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือคนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้แม้ข้อนี้ก็เป็นวิชชาของเธอประการหนึ่ง.

ทิพยโสตญาณ

ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อทิพยโสตธาตุ เธอย่อมได้ยินเสียง 2 ชนิด คือ เสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งที่อยู่ไกลและใกล้ด้วยทิพยโสตอันบริสุทธิ์ ล่วงโสตของมนุษย์ ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือนบุรุษเดินทางไกล เขาจะพึงได้ยินเสียงกลองบ้าง เสียงตะโพนบ้างเสียงสังข์บ้าง เสียงบัณเฑาะว์บ้าง เสียงเปิงมางบ้าง เขาพึงเข้าใจว่าเสียงกลองดังนี้บ้างเสียงตะโพนดังนี้บ้าง เสียงสังข์ดังนี้บ้าง เสียงบัณเฑาะว์ดังนี้บ้าง เสียงเปิงมางดังนี้บ้าง ฉันใดภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อทิพยโสตธาตุ เธอย่อมได้ยินเสียง 2 ชนิด คือเสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งที่อยู่ไกลและใกล้ด้วยทิพยโสตอันบริสุทธิ์ ล่วงโสตของมนุษย์แม้ข้อนี้ก็เป็นวิชชาของเธอประการหนึ่ง.

เจโตปริยญาณ

ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อเจโตปริยญาณ เธอย่อมกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่นของบุคคลอื่นด้วยใจ คือ จิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ จิตมีโทสะก็รู้ว่าจิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ จิตมีโมหะก็รู้ว่าจิตมีโมหะหรือจิตปราศจากโมหะก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ จิตหดหู่ก็รู้ว่าจิตหดหู่ หรือจิตฟุ้งซ่านก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน จิตเป็นมหรรคตก็รู้ว่าจิตเป็นมหรรคต หรือจิตไม่เป็นมหรรคตก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหรรคตจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่าก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่าจิตเป็นสมาธิก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ หรือจิตไม่เป็นสมาธิก็รู้ว่าจิตไม่เป็นสมาธิ จิตหลุดพ้นก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น หรือจิตไม่หลุดพ้นก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือนหญิงสาวชายหนุ่มที่ชอบการแต่งตัว เมื่อส่องดูเงาหน้าของตนในกระจกอันบริสุทธิ์สะอาด หรือในภาชนะน้ำอันใสหน้ามีไฝก็จะพึงรู้ว่าหน้ามีไฝ หรือหน้าไม่มีไฝก็จะพึงรู้ว่าหน้าไม่มีไฝ ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแลย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อเจโตปริยญาณ เธอย่อมกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่นของบุคคลอื่นด้วยใจคือ จิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ จิตมีโทสะก็รู้ว่าจิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ จิตมีโมหะก็รู้ว่าจิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ จิตหดหู่ก็รู้ว่าจิตหดหู่ หรือจิตฟุ้งซ่านก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่านจิตเป็นมหรรคตก็รู้ว่าจิตเป็นมหรรคต หรือจิตไม่เป็นมหรรคตก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหรรคต จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่าก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่าก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า จิตเป็นสมาธิก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ หรือจิตไม่เป็นสมาธิก็รู้ว่าจิตไม่เป็นสมาธิ จิตหลุดพ้นก็รู้ว่าจิตหลุดพ้นหรือจิตไม่หลุดพ้นก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น แม้ข้อนี้ก็เป็นวิชชาของเธอประการหนึ่ง.

ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ

ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสสติญาณ เธอย่อมระลึกชาติก่อนได้

เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้างสิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้างพันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้างตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้างว่า ในภพโน้นเรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้นมีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้นครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้มาเกิดในภพนี้ เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการพร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงจากบ้านตนไปบ้านอื่นแล้วจากบ้านแม้นั้นไปยังบ้านอื่นอีก จากบ้านนั้นกลับมาสู่บ้านของตนตามเดิม เขาจะพึงระลึกได้อย่างนี้ว่า เราได้จากบ้านของเราไปบ้านโน้น ในบ้านนั้นเราได้ยืนอย่างนั้น ได้นั่งอย่างนั้นได้พูดอย่างนั้น ได้นิ่งอย่างนั้น เราได้จากบ้านแม้นั้นไปยังบ้านโน้น แม้ในบ้านนั้น เราก็ได้ยืนอย่างนั้น ได้นั่งอย่างนั้น ได้พูดอย่างนั้น ได้นิ่งอย่างนั้น แล้วเรากลับจากบ้านนั้นมาสู่บ้านของตนตามเดิม ดังนี้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสสติญาณเธอย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้างสี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้างว่า ในภพโน้นเรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็มีชื่ออย่างนั้นมีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ แม้ข้อนี้ก็เป็นวิชชาของเธอประการหนึ่ง.

จุตูปปาตญาณ

ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย เธอเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตาย เพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรกส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้ เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีตมีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ เปรียบเหมือนปราสาทตั้งอยู่ ณ ทาง3 แพร่งท่ามกลางพระนคร บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บนปราสาทนั้น จะพึงเห็นหมู่ชนกำลังเข้าไปสู่เรือนบ้าง กำลังออกจากเรือนบ้าง กำลังสัญจรเป็นแถวอยู่ในถนนบ้าง นั่งอยู่ที่ทาง 3 แพร่งท่ามกลางพระนครบ้าง เขาจะพึงรู้ว่า คนเหล่านี้เข้าไปสู่เรือน เหล่านี้ออกจากเรือน เหล่านี้สัญจรเป็นแถวในถนน เหล่านี้นั่งอยู่ที่ทาง 3 แพร่งท่ามกลางพระนคร ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย เธอเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลวประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุ อันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ว่าสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริตมโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทรามได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุ อันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมด้วยประการฉะนี้ แม้ข้อนี้ก็เป็นวิชชาของเธอประการหนึ่ง.

อาสวักขยญาณ

ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธนี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้น แม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะแม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือนสระน้ำบนยอดเขาใสสะอาดไม่ขุ่นมัว บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บนขอบสระนั้น จะพึงเห็นหอยโข่งและหอยกาบต่างๆ บ้าง ก้อนกรวดและก้อนหินบ้าง ฝูงปลาบ้าง กำลังว่ายอยู่บ้างหยุดอยู่บ้างในสระน้ำนั้น เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า สระน้ำนี้ใสสะอาดไม่ขุ่นมัว หอยโข่งและหอยกาบต่างๆ บ้าง ก้อนกรวดและก้อนหินบ้าง ฝูงปลาบ้าง เหล่านี้กำลังว่ายอยู่บ้าง กำลังหยุดอยู่บ้าง ในสระนั้น ดังนี้ ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาเหล่านี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้จิตย่อมหลุดพ้น แม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วก็มีญาณว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้วกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี แม้ข้อนี้ก็เป็นวิชชาของเธอประการหนึ่ง ดูกรอัมพัฏฐะ นี้แลคือวิชชานั้น.

ดูกรอัมพัฏฐะ ภิกษุผู้ปฏิบัติเช่นนี้เรียกว่าผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาบ้าง ผู้ถึงพร้อมด้วยจรณะบ้าง ผู้ถึงพร้อมด้วยทั้งวิชชาและจรณะบ้าง อันวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอย่างอื่น ซึ่งดียิ่งกว่าหรือประณีตกว่านี้ไม่มี.

ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ 4

ดูกรอัมพัฏฐะ วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แล มีทางเสื่อมอยู่

4 ประการ 4 ประการเป็นไฉน?

1. ดูกรอัมพัฏฐะ สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ หาบบริขารดาบสเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ที่หล่น สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่หนึ่ง.

[164] 2. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคเหง้าไม้รากไม้และผลไม้ สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สอง.

[165] 3. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถที่จะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ และไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ จึงสร้างเรือนไฟไว้ใกล้บ้าน หรือนิคมแล้วบำเรอไฟอยู่ สมณพราหมณ์นั้น ต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สาม.

[166] 4. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถจะบำเรอไฟได้ จึงสร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้วสำนักอยู่ด้วยตั้งใจว่าผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง 4 นี้ จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็ตาม เราจักบูชาท่านผู้นั้นตามสติกำลัง สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สี่.

ดูกรอัมพัฏฐะ ทางเสื่อมแห่งวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้มีอยู่4 ประการดังนี้.

 [167] ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์ย่อมปรากฏในวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้บ้างหรือไม่?

ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้ากับอาจารย์เป็นอะไร วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมเป็นอะไร ข้าพเจ้ากับอาจารย์ ยังห่างไกลจากวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้.

ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แหละ หาบบริขารดาบสเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ที่หล่น บ้างหรือไม่?

ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ.

ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ และไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ จึงถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่ราวป่า ด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บ้างหรือไม่?

ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ.

ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ และไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ จึงสร้างเรือนไฟไว้ใกล้ๆ บ้านหรือนิคม แล้วบำเรอไฟอยู่ บ้างหรือไม่?

ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ.

ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถจะบำเรอไฟได้ จึงสร้างเรือนไฟที่มีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้วสำนักอยู่ด้วยตั้งใจว่า ผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง 4 นี้ จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็ตาม เราจักบูชาท่านผู้นั้นตามสติกำลัง บ้างหรือไม่?

ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ.

ดูกรอัมพัฏฐะ เธอกับอาจารย์เสื่อมจากวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ด้วย และคลาดจากทางเสื่อมของวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม 4 ประการนี้ด้วย.

[168] ดูกรอัมพัฏฐะ ก็พราหมณ์โปกขรสาติอาจารย์ของเธอได้พูดว่า สมณะโล้นบางเหล่าเป็นเชื้อสายคฤหบดี กัณหโคตร เกิดแต่บาทของพรหม ประโยชน์อะไรที่พวกพราหมณ์ผู้ทรงไตรวิชาจะสนทนาด้วย ดังนี้ แม้แต่ทางเสื่อม ตนก็ยังไม่ได้บำเพ็ญ ดูกรอัมพัฏฐะความผิดของพราหมณ์โปกขรสาติอาจารย์ของเธอนี้เพียงใด ถึงพราหมณ์โปกขรสาติกินเมืองที่พระเจ้าปเสนทิโกศลพระราชทาน พระองค์ยังไม่ทรงพระราชทานพระวโรกาสให้เข้าเฝ้าหน้าพระที่นั่ง เวลาจะทรงปรึกษาด้วย ก็ทรงปรึกษานอกพระวิสูตร ดูกรอัมพัฏฐะ ไฉนเล่าจึงไม่พระราชทานการเข้าเฝ้าต่อหน้าพระที่นั่งแก่เขาผู้รับภิกษาที่ชอบธรรม ซึ่งพระราชทานให้ ดูเถิดอัมพัฏฐะ ความคิดของพราหมณ์โปกขรสาติอาจารย์ของเธอนี้เพียงใด.

 [169] ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงช้างพระที่นั่งหรือรถพระที่นั่ง จะทรงปรึกษาราชกิจบางเรื่องกับมหาอำมาตย์ หรือพระราชวงศานุวงศ์แล้วเสด็จไปประทับอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งจากที่นั้น ภายหลังคนชั้นศูทรหรือทาสของศูทรพึงมา ณที่นั้นแล้วพูดอ้างว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล ตรัสอย่างนี้ๆ เพียงเขาพูดได้เหมือนพระราชาตรัสหรือปรึกษาได้เหมือนพระราชาทรงปรึกษา จะจัดว่าเป็นพระราชาหรือราชมหาอำมาตย์ได้หรือไม่?

ข้อนี้เป็นไม่ได้ พระโคดมผู้เจริญ.

บุรพฤาษี 9 ตน

ดูกรอัมพัฏฐะ เธอก็เช่นนั้นเหมือนกัน บรรดาฤาษีผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์คือฤาษีอัฏฐกะ ฤาษีวามกะ ฤาษีวามเทวะ ฤาษีเวสสามิตร ฤาษียมตัคคี ฤาษีอังคีรสฤาษีภารทวาชะ ฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ ฤาษีภคุ ซึ่งเป็นผู้ผูกมนต์ บอกมนต์ ในปัจจุบันนี้พวกพราหมณ์ขับตาม กล่าวตาม ซึ่งบทมนต์ของเก่านี้ที่ท่านขับแล้ว บอกแล้ว รวบรวมไว้แล้วกล่าวได้ถูกต้อง บอกได้ถูกต้อง ตามที่ท่านกล่าวไว้ บอกไว้ เพียงคิดว่าเรากับอาจารย์เรียนมนต์ของท่านเหล่านั้น เธอจักเป็นฤาษีหรือปฏิบัติเพื่อเป็นฤาษีได้ ดังนี้ นั้นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.

ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอได้ฟังพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้เป็นอาจารย์และเป็นปาจารย์เล่ากันมาว่าอย่างไร บรรดาฤาษีผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์คือฤาษีอัฏฐะ ฤาษีวามกะ ฤาษีวามเทวะ ฤาษีเวสสามิตร ฤาษียมตัคคี ฤาษีอังคีรส ฤาษีภารทวาชะฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ ฤาษีภคุ ซึ่งเป็นผู้ผูกมนต์ บอกมนต์ ในปัจจุบันนี้ พวกพราหมณ์ขับตาม กล่าวตาม ซึ่งบทมนต์ของเก่านี้ที่ท่านขับแล้ว บอกแล้ว รวบรวมไว้แล้ว กล่าวได้ถูกต้อง บอกได้ถูกต้อง ตามที่ท่านกล่าวไว้ บอกไว้ ฤาษีเหล่านั้นอาบน้ำ ทาตัวเรียบร้อยแต่งผม แต่งหนวด สวมพวงดอกไม้และเครื่องอาภรณ์ นุ่งผ้าขาว อิ่มเอิบ พรั่งพร้อมบำเรออยู่ด้วยกามคุณห้า เหมือนเธอกับอาจารย์ในบัดนี้หรือไม่?

ไม่เหมือน พระโคดมผู้เจริญ ...

ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ฤาษีเหล่านั้นบริโภค ข้าวสาลีที่เก็บกากแล้ว มีแกงและกับหลายอย่าง เหมือนเธอกับอาจารย์ในบัดนี้หรือไม่?

ไม่เหมือน พระโคดมผู้เจริญ ...

ดูกรอัมพัฏฐะ ... ฤาษีเหล่านั้นบำเรออยู่ด้วยเหล่านารีผู้มีร่างกระชดกระช้อย เหมือนเธอกับอาจารย์ในบัดนี้หรือไม่?

ไม่เหมือน พระโคดมผู้เจริญ ...

ดูกรอัมพัฏฐะ ... ฤาษีเหล่านั้นใช้รถเทียมม้าหางตัด แทงด้วยปฏักด้ามยาวเหมือนเธอกับอาจารย์ในบัดนี้หรือไม่?

ไม่เหมือน พระโคดมผู้เจริญ ...

ฤาษีเหล่านั้นใช้บุรุษขัดกระบี่ให้รักษาเชิงเทินแห่งนคร ที่มีคูล้อมรอบลงลิ่ม เหมือนเธอกับอาจารย์ในบัดนี้หรือไม่?

ไม่เหมือน พระโคดมผู้เจริญ ...

ดูกรอัมพัฏฐะ เธอกับอาจารย์มิได้เป็นฤาษีเลย ทั้งมิได้ปฏิบัติเพื่อเป็นฤาษีด้วยประการฉะนี้แล ดูกรอัมพัฏฐะ ผู้ใดมีความเคลือบแคลงสงสัยในเรา ผู้นั้นจงถามเราด้วยปัญหา เราจักชำระให้ด้วยการพยากรณ์.

[170] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากพระวิหารจงกรมแล้ว. แม้อัมพัฏฐมาณพก็ออกจากพระวิหารเดินจงกรมแล้ว. ขณะที่อัมพัฏฐมาณพเดินจงกรมตามพระผู้มีพระภาคอยู่นั้นได้พิจารณาดูมหาปุริสลักษณะ 32 ประการในพระกายของพระผู้มีพระภาคก็ได้เห็นมหาปุริสลักษณะ32 ประการโดยมาก เว้นอยู่ 2 ประการ คือพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก 1 พระชิวหาใหญ่ 1 จึงยังเคลือบแคลงสงสัย ไม่เชื่อ ไม่เลื่อมใสอยู่ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงดำริว่า อัมพัฏฐมาณพนี้เห็นมหาปุริสลักษณะ 32 ประการของเราโดยมาก เว้นอยู่ 2 ประการ คือ คุยหะเร้นอยู่ในฝัก 1ชิวหาใหญ่ 1 จึงยังเคลือบแคลงสงสัย ไม่เชื่อไม่เลื่อมใสอยู่ ทันใดนั้น จึงทรงบันดาลอิทธาภิสังขาร ให้อัมพัฏฐมาณพได้เห็นพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก และทรงแลบพระชิวหาสอดเข้าช่องพระกรรณทั้ง 2 กลับไปมา สอดเข้าช่องพระนาสิกทั้ง 2 กลับไปมา แผ่ปิดจนมิดมณฑลพระนลาต.

 [171] ครั้งนั้น อัมพัฏฐมาณพคิดว่า พระสมณโคดมประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ32 ประการบริบูรณ์ไม่บกพร่อง ดังนี้แล้วจึงได้ทูลลาพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญข้าพเจ้าขอทูลลาไป ณ บัดนี้ ข้าพเจ้ามีกิจมาก มีธุระมาก.

ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจงสำคัญกาลอันควรบัดนี้ แล้วอัมพัฏฐมาณพก็ขึ้นรถม้ากลับไป.โปกขรสาติพราหมณ์

[172] สมัยนั้น พราหมณ์โปกขรสาติลุกออกมานั่งคอยรับอัมพัฏฐมาณพอยู่ ณ อารามของตน พร้อมด้วยพราหมณ์หมู่ใหญ่ ฝ่ายอัมพัฏฐมาณพขับรถไปอารามของตนจนสุดทางที่รถไปได้ แล้วลงเดินเข้าไปหาพราหมณ์โปกขรสาติ ไหว้แล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.พราหมณ์โปกขรสาติถามว่า พ่ออัมพัฏฐะ พ่อได้เห็นพระโคดมผู้เจริญพระองค์นั้นแล้วหรือ?

ได้เห็นแล้ว ท่าน.

 ก็กิตติศัพท์ของท่านพระโคดมพระองค์นั้นที่ขจรไป จริงตามนั้น ไม่เป็นอย่างอื่นหรือท่านพระโคดมพระองค์นั้นทรงคุณเช่นนั้นจริง ไม่เป็นอย่างอื่นหรือ.

กิตติศัพท์ของท่านพระโคดมพระองค์นั้นที่ขจรไป จริงตามนั้น ไม่เป็นอย่างอื่นเลยท่านพระโคดมพระองค์นั้นทรงคุณเช่นนั้นจริง ไม่เป็นอย่างอื่นเลย และประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ บริบูรณ์ไม่บกพร่อง.

พ่อได้สนทนาปราศรัยอะไร ด้วยหรือไม่?

ได้สนทนาปราศรัยด้วยทีเดียว.

พ่อได้สนทนาปราศรัยอย่างไรบ้าง?

ทันใดนั้นอัมพัฏฐมาณพได้เล่าเรื่องเท่าที่ตนได้สนทนาปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ให้พราหมณ์โปกขรสาติทราบทุกประการ.

[173] เมื่ออัมพัฏฐมาณพกล่าวอย่างนี้ พราหมณ์โปกขรสาติได้กล่าวว่า พุทโธ่เอ๋ยพ่อบัณฑิตของเรา พุทโธ่เอ๋ย พ่อพหูสูตของเรา พุทโธ่เอ๋ย พ่อทรงไตรวิชาของเรา ได้ยินว่าคนเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จะพึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรกเสีย เพราะท่านผู้ประพฤติประโยชน์เช่นนี้ เจ้าได้พูดกระทบกระเทียบพระโคดมอย่างนี้ๆ แต่พระโคดมกลับยกเอาพวกเราขึ้นเป็นตัวเปรียบเทียบอย่างนี้ๆ พุทโธ่เอ๋ย พ่อบัณฑิตของเรา พุทโธ่เอ๋ยพ่อพหูสูตของเรา พุทโธ่เอ๋ย พ่อทรงไตรวิชาของเรา ได้ยินว่า คนเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จะพึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรกเสีย เพราะท่านผู้ประพฤติประโยชน์เช่นนี้.

พราหมณ์โปกขรสาติโกรธ ขัดใจ เอาเท้าปัดอัมพัฏฐมาณพให้ล้มลงแล้ว ใคร่จะไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเสียในขณะนั้นทีเดียว. พวกพราหมณ์เหล่านั้นได้พูดห้ามว่า ท่าน วันนี้เกินเวลาที่จะไปเฝ้าพระสมณโคดมเสียแล้ว พรุ่งนี้ค่อยไปเถิด.

[174] ครั้งนั้น พราหมณ์โปกขรสาติให้จัดแจงของเคี้ยวของบริโภคอย่างประณีตในนิเวศน์ของตนแล้วเอาใส่รถ เมื่อคบเพลิงยังตามอยู่ ได้ออกจากอุกกัฏฐนคร ขับรถตรงไปยังราวป่าอิจฉานังคลวัน ครั้นไปสุดทางรถ ลงเดินเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วได้ทูลถามว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อัมพัฏฐมาณพศิษย์ของข้าพเจ้าได้มาที่นี้หรือ?

ได้มา พราหมณ์.

พระองค์ได้สนทนาปราศรัยอะไรๆ กับเขาหรือไม่?

ได้สนทนา พราหมณ์

พระองค์ได้สนทนาปราศรัยกับเขา อย่างไร?

ทันใดนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเล่าเรื่องเท่าที่พระองค์ได้สนทนาปราศรัยกับอัมพัฏฐมาณพ ให้พราหมณ์โปกขรสาติทราบทุกประการ.

[175] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสเช่นนี้แล้ว พราหมณ์โปกขรสาติได้ทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อัมพัฏฐมาณพเป็นคนโง่ ได้โปรดอดโทษให้เขาเถิด.

ภ. อัมพัฏฐมาณพจงมีความสุขเถิด พราหมณ์.

ครั้งนั้น พราหมณ์โปกขรสาติได้พิจารณาดูมหาปุริสลักษณะ 32 ประการในพระกายของพระผู้มีพระภาคก็ได้เห็นมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ โดยมากเว้นอยู่ 2 ประการ คือ พระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก 1 พระชิวหาใหญ่ 1 จึงยังเคลือบแคลงสงสัยอยู่ ไม่เชื่อ ไม่เลื่อมใสอยู่

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงดำริว่า พราหมณ์โปกขรสาตินี้เห็นมหาปุริสลักษณะ 32 ประการของเราโดยมาก เว้นอยู่ 2 ประการ คือ คุยหะเร้นอยู่ในฝัก 1 ชิวหาใหญ่ 1 จึงยังเคลือบแคลงสงสัย ไม่เชื่อ ไม่เลื่อมใสอยู่ ทันใดนั้น จึงทรงบันดาลอิทธาภิสังขารให้พราหมณ์โปกขรสาติได้เห็นพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก และทรงแลบพระชิวหาสอดเข้าช่องพระกรรณทั้ง 2 กลับไปมาสอดเข้าช่องพระนาสิกทั้ง 2 กลับไปมา แผ่ปิดจนมิดมณฑลพระนลาต พราหมณ์โปกขรสาติคิดว่า พระสมณโคดมประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 ประการบริบูรณ์ ไม่บกพร่อง ดังนี้แล้วทูลพระผู้มีพระภาคว่า ขอพระโคดมผู้เจริญพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์จงรับภัตตาหารในวันนี้พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์ด้วยอาการนิ่งอยู่ พราหมณ์โปกขรสาติทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์แล้ว จึงทูลภัตตกาลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญได้เวลาแล้ว ภัตตาหารเสร็จแล้ว.

[176] ครั้งนั้น เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรจีวร เสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของพราหมณ์โปกขรสาติพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ ประทับนั่งบนอาสนะที่จัดถวาย.พราหมณ์โปกขรสาติได้อังคาสพระผู้มีพระภาค ให้ทรงอิ่มหนำเพียงพอด้วยของเคี้ยวของฉันอันประณีต ด้วยมือของตน และพวกมาณพก็ได้อังคาสพระภิกษุสงฆ์. ครั้นพระผู้มีพระภาคเสวยเสร็จวางพระหัตถ์จากบาตรแล้ว พราหมณ์โปกขรสาติถืออาสนะต่ำนั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.พระผู้มีพระภาคได้ตรัสอนุบุพพิกถาแก่พราหมณ์โปกขรสาติ คือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถาสัคคกถา โทษของกามที่ต่ำช้า เศร้าหมอง และอานิสงส์ในการออกจากกาม เมื่อทรงทราบว่าพราหมณ์โปกขรสาติ มีจิตคล่อง มีจิตอ่อน มีจิตปราศจากนิวรณ์ มีจิตสูง มีจิตผ่องใสแล้วจึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์สมุทัย นิโรธ มรรค โปรดพราหมณ์โปกขรสาติ ดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทินได้เกิดขึ้นแล้วแก่พราหมณ์โปกขรสาติว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับไปเป็นธรรมดา ณ ที่นั่งนั้นแล เหมือนผ้าที่สะอาด ปราศจากมลทินควรรับน้ำย้อมด้วยดี ฉะนั้น.

พราหมณ์โปกขรสาติแสดงตนเป็นอุบาสก

[177] ลำดับนั้น พราหมณ์โปกขรสาติ เห็นธรรม ถึงธรรม รู้แจ้งธรรม หยั่งทราบธรรม ข้ามความสงสัย ปราศจากความเคลือบแคลง ถึงความแกล้วกล้าแล้ว ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในสัตถุศาสนา ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนักข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยายเปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยคิดว่า ผู้มีจักษุเห็นรูป ดังนี้ ฉันใด พระโคดมผู้เจริญ ทรงประกาศ พระธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้พร้อมทั้งบุตรภริยา บริษัทและอำมาตย์ ขอถึงพระองค์ และพระธรรม และพระภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ ขอพระสมณโคดมผู้เจริญจงทรงจำข้าพระองค์ ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และขอพระองค์จงเสด็จเข้าไปสู่สกุลโปกขรสาติ เหมือนเข้าไปสู่สกุลแห่งอุบาสกอื่นๆ ในนครอุกกัฏฐะ เหล่ามาณพมาณวิกาในสกุลโปกขรสาตินั้น จักไหว้ จักลุกรับ จักถวายอาสนะ หรือน้ำ จักเลื่อมใสในพระองค์ ข้อนั้น จักเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่มาณพมาณวิกาเหล่านั้นสิ้นกาลนาน

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรพราหมณ์ ท่านกล่าวชอบ ดังนี้แล.

จบอัมพัฏฐสูตร ที่ 3.

 

ที่มา ที่ไป

650515 พ่อครูเทศน์กัณฑ์พิเศษ เนื่องในวันวิสาขบูชา พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้วันเพ็ญเดือน 6


เวลาบันทึก 16 พฤษภาคม 2565 ( 08:05:08 )

650518

รายละเอียด

650518 วิชชาจรณสมบัติ และพรหม 20 ชั้น พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ

https://www.boonniyom.net/51940.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                          

https://docs.google.com/document/d/1u_q_MKW3fTyOeD-XmWfbma0sEb4O3UYxLF3GzhQz0QY/edit?usp=sharing      

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1RPe96iT89yRXZ_ei2AU7fyDVoWCkFURP/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่  https://youtu.be/0oQ3_FuXmz4 

และ https://fb.watch/d4FyenkLWC/ 

 

สมณะเดินดิน... วันนี้เป็นวันพุธที่ 18 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก พ่อครูได้นำพาพวกเราสัมผัสบรรยากาศพุทธกาลด้วยการเรียนรู้ อัมพัฏฐสูตร 

 

ชาวอโศกมีสาธารณโภคีที่เกิดจากจรณวิชชาสมบัติจริง

พ่อครูว่า... จรณะ 15 วิชชา 8 เรียกเป็นชุดว่า จรณวิชชาสมบัติ นี้ เป็นพุทธคุณ หมายความว่าเป็นคุณวิเศษของศาสนาพุทธโดยตรง เพราะฉะนั้นผู้ใดที่ไม่มีคุณลักษณะ ของจรณะ 15 วิชชา 8 อยู่ในภาคปฏิบัติ การไปนั่งหลับตามันออกนอกจรณะ 15 วิชชา 8 

ใน จรณะ 15 วิชชา 8 ไม่มีหลับตา ลัทธิหลับตาปฏิบัติ แล้วจะได้มรรคผล เป็นลัทธิของ เดียรถีย์ เป็นลัทธิของคนนอกศาสนาพุทธ ความเสื่อมของศาสนาพุทธทุกวันนี้มันเสื่อมไปถึงขนาดนี้ ถึงขนาดที่เรียกว่าไม่เชื่อ อาตมาพูดอย่างไรก็เชื่อกันยาก เขาจะไม่เชื่อง่ายๆ เขาเชื่อมิจฉาทิฏฐิและหลงผิดตามกันมาอย่างทุกวันนี้ มันผิดตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่มาถึง 2,500 กว่าปี ในยุคที่อาตมาเกิดมา เขายึดผิดหมดแล้ว 

อาตมามาเห็นผิด ก็ต้องมาทำหน้าที่นี้ เพื่อจะนำเข้าสู่ความถูกต้อง พูดแล้วดูเหมือนอาตมาใหญ่จริงๆ เขามีอาจารย์ต่างๆ ที่สืบทอดกันมา นั่งหลับตากันมา ก่อนอาจารย์เสาร์อาจารย์มั่น มหาบัว ใครต่อใครอีก ก่อนนั้นอีกเยอะ ก็พานั่งกันมา หลงผิดกันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่พอตามตำนานก็สืบเรื่องราว อาจารย์เสาร์ อาจารย์มั่น เป็นผู้นำหลักของสายหลับตา มหาบัว ก็ถือว่าเป็นหลักสำคัญ เพราะมหาบัวพูดมาก ปากมาก ยืนยันว่าตัวเองบรรลุในการนั่งหลับตาขึ้นมา ต่างๆนานา ซึ่งมันเป็นเรื่องที่หลงผิดกันมา อย่างจริง ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใน อาณิสูตร ศาสนาพุทธจะเสื่อมไป ไม่เป็นโลกุตระ เป็นศาสนาโลกียะเท่านั้น

ศีลก็ไม่มี มีแต่วินัย คำว่าวินัยกับศีลก็ต่างกัน วินัย มีอาบัติ มีการลงโทษ ส่วนผิดศีลนั้นจะไม่เจริญ ไม่พัฒนาตัวเอง ไม่มีใครปรับอาบัติในการถือศีล แต่ตนเองไม่เจริญเองโดยปรมัตถ์ ส่วนวินัยนั้นมีบทลงโทษ ส่วนผู้ถือศีลมีอิสระเสรีภาพ ผู้ถือศีลไม่มีใครมาปรับอาบัติ ตัวเองจัดการเอง ได้เอง เป็นเอง ถูกต้อง ถ่องแท้ ตามสัจจะ ทำเอง ผิดก็ผิดเอง 

เพราะฉะนั้นรายละเอียดต่างๆเหล่านี้ อาตมาก็นำมาขยายความเพื่อจะชี้บ่งให้รู้ ให้เข้าใจ ยืนยันให้รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก 

อ่าน อัมพัฏฐสูตร จนถึงข้อ 161 ขึ้น 162 จบโดยที่ อัมพัฏฐะจำนนและสารภาพว่าไม่รู้หรอก วิชชาคืออะไร ทั้งๆที่มีลูกศิษย์ลูกหาคนนับถือว่าเป็นคนจบบทมนต์ เข้าใจว่า บทมนต์ที่มีจรณะ วิชชา เขาก็เข้าใจว่า อัมพัฏฐะมีจรณะ วิชชา แต่ถ้าจริงมีแค่บรรยายภาษา ท่องได้ เป็นนกแก้วนกขุนทอง แต่ตัวเองไม่ได้มีจรณะ ไม่ได้มีวิชชา 

จรณะมีศีลเป็นขั้นต้นก็ไม่มีศีล เอาศีล มาปฏิบัติให้แก่ตัวเอง โดยการปฏิบัติคือ อปัณณกปฏิปทา 3 ก็ไม่มี ได้ปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 โดยมีศีล 

ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับโทสะ เราปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 ข้อกำหนดในการสัมผัสสัมพันธ์กับสัตว์เมื่อไหร่ สำรวมอินทรีย์ เกิดราคะ โทสะ โมหะ ศีลก็ไม่มีมรรคผล ก็ต้องรู้ เวทนา สัญญา วิญญาณ ของตัวเองไม่รู้เจตสิกของตัวเอง 

ปฏิบัติศีลแล้ว เมื่อมีสัมผัสแล้ว ต้องรู้ไปถึงนามธรรมของตัวเอง แล้วก็ ควบคุมดูแลด้วยชาคริยานุโยคะ ด้วยการพากเพียรเป็นผู้ตื่นรู้ มีสติรู้สัมผัสสัมพันธ์อะไรต่างๆ แล้วก็เกิด โพชฌงค์ 7 มีสติ มีธัมมวิจัย มีวิริยะ เรียนรู้พิจารณาวิจัยธรรม กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิตของตัวเอง 

อ่านออกแยกได้ สัมผัสแล้วกิเลสมันเกิด มีกิเลสตัณหาอุปาทาน มีสังขารปนในจิตหรือเปล่า แยกให้ออกแล้วพิจารณาให้กิเลสมันลดละจางคลายหายไป ด้วยปัญญาอันยิ่ง หรือให้เกิดฌาน เป็นพลังงานที่จะเผาผลาญ ทำให้เกิดปัญญานั้นแหละ หรือ จะทำให้เกิดบุญ ก็คือ ว่าฌานนั้นจะมีอำนาจมีฤทธิ์เผา ฌานนี่แปลว่าเผาหรือแปลว่าไฟ เผากิเลสให้ได้จริงๆ 

อาตมาอธิบายเป็นสภาวะธรรมแท้ๆ ที่ท่านสายหลับตาอธิบายอย่างอาตมาไม่ได้หรอก ต่อให้ร้อยมหาบัวก็อธิบายไม่ได้ ไม่ได้ดูถูกดูแคลนนะ เพราะเขาไม่ได้ศึกษาอย่างนี้ เขาศึกษาแต่การสะกดจิต แล้วไม่ได้เรียนรายละเอียดของจิตเจตสิกต่างๆ เพราะฉะนั้นจึงอธิบายอย่างอาตมาไม่ได้ ตั้งใจฟังให้ดีๆ อาตมาไม่ได้ลบหลู่ ไม่ได้ยกตนข่มท่าน แต่ว่าอธิบายสัจธรรม สภาวธรรม อธิบายวิชาการให้ฟัง เพราะฉะนั้นตั้งใจดีๆ 

อาตมาเอาชีวิตมาทิ้งทางนี้ตั้ง 50 ปีแล้ว ตั้งแต่อยู่ทางโลกอาตมาก็ไม่มีปัญหาทางโลกอาตมาก็เจริญอยู่ ถ้าอยู่ทางโลกป่านนี้ก็ร่ำรวยเป็นเศรษฐีร้อยล้านพันล้านไป ตามประสาทำมาหากิน ทางธุรกิจบันเทิง แต่อาตมาไม่เอา เลิกมา มาทำงานทางศาสนาทิ้งโลกธรรมต่างๆ มาทำงานเป็นโลกุตระ แสดงตน พากเพียรพยายามพาคนที่สนใจมาปฏิบัติธรรมตาม เกิดโลกุตรธรรม 

อาตมาขอยืนยันว่าชาวอโศกเป็นพวกโลกุตรธรรม สามารถที่จะเรียนรู้จักกิเลส อ่านจิตเป็น ลดละกิเลสได้จริง เป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ได้จริง รวมกันเป็นหมวดหมู่สังคมจนกระทั่งเกิด สาราณียธรรม 6 เป็นชุมชนเป็นหมู่กลุ่ม ชาวอโศกกระจายอยู่ทั่วประเทศ มี สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม มีสาธารณโภคี มีลาภธัมมิกา (ได้ลาภมาโดยธรรม) ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา  

กินใช้เป็นส่วนกลางไม่ยึดเป็นของตัวของตน ซึ่งเป็นเศรษฐกิจชั้นหนึ่งของมนุษยชาติ โลกเขาเป็นกันไม่ได้ง่ายๆ แต่ชาวอโศกเป็นได้ นำหน้าคนทั้งโลก 

พูดนี้ดูเหมือนใหญ่แต่มันใหญ่จริงๆ ชาวอโศกปฏิบัติสัทธรรมปฏิบัติธรรม อธิบายเป็นแบบเศรษฐกิจ ก็เป็นเศรษฐกิจชั้น 1 เป็นเศรษฐศาสตร์ชั้น 1 เป็นเศรษฐศาสตร์ที่คนทุกคนเสียภาษีอย่างเต็มใจ เสียภาษีคือมีรายได้เท่าไหร่ก็มาหักภาษี ชาวอโศกมีรายได้เท่าไหร่ไม่ต้องหักภาษี เอาเข้ากองกลาง 100% ไม่มีโลกไหนเขาทำได้ มีโลกชาวอโศกนี่แหละทำได้ เรียกเป็นโลกเลยนะ ไม่ใช่แค่เรียกประเทศหรือรัฐ เรียกเป็น โลกชาวอโศกเลย ทำได้ 

ไม่ได้คุยโม้ ไม่ได้พูดหลงใหลตัวเอง เป็นเรื่องจริงเป็นสัจธรรมที่ตรวจสอบได้ ให้มาเรียนรู้ มันเป็นเรื่องยากเรื่องใหญ่เรื่องสูง ที่เขาไม่เชื่อกันง่ายๆ ยังไม่รู้ว่าอะไรคืออะไรแท้จริง สภาวธรรมของโลกุตระขั้นสาธารณโภคี 

2 แม้ว่าเขาพอเข้าใจเขาก็จะเชื่อ แต่เขาไม่เชื่อว่าคนจะเป็นไปได้ มีชาวอโศกทำได้ ทำได้ในยุคนี้ ในยุคที่ศาสนาเสื่อม 2500 กว่าปี เรื่องนี้ถึงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากเลย ซึ่งเราทำแล้วคนก็ฟังไม่ค่อยออก ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง หรือรู้เรื่องก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นจริง เขาก็รอแต่ว่า ดูเหมือนมันจะเป็นไปได้ เขาว่าอย่างนั้น เป็นสาธารณโภคี เป็นสังคมที่มีศีลกันจริงๆ มีอธิจิต มีสัมมาทิฏฐิจริงๆ มีปัญญา 8 มีวิมุติจริงๆ มันก็ดูเหมือนเข้าทีนะ แต่มันดูเหมือนแกล้งเป็น พยายามเสแสร้งให้มันถูกตรงตามพยัญชนะ ดูซิว่ามันจะอดกลั้น พยายามเสแสร้งให้ได้นานขนาดไหน พยายามจะดูๆๆ นี่ก็ 50 กว่าปีแล้ว มีแต่ความแน่น แข็งแรงมากยิ่งขึ้น 

เพราะถ้าเป็นจริงแล้ว มันจะไม่มีเสื่อม มีแต่แข็งแรงยิ่งขึ้นๆ เป็น ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา มากยิ่งขึ้น อาตมาสบายใจ ภาคภูมิใจที่เอาภาษาบาลีอย่างนี้มาอ้างอิงยืนยันอย่างกับเก่งบาลี แท้จริงเราไม่ได้เก่งบาลี แต่เรามีสภาวะอย่างนี้ เอาภาษาบาลีมาจับก็ตรง เอาป้ายยามาติดเนื้อยาที่อาตมามี พอป้ายนี้ก็จำได้ง่ายเพราะมีสภาวะ เอามาพูดเอามาใช้อยู่ทุกวัน

 

วิชชาจรณสมบ้ติและบุญ

เพราะฉะนั้นจรณะ 15 อาตมาขอขึ้นข้อ 162 

วิชชาจรณสัมปทา

[162] อัมพัฏฐมาณพทูลถามว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็จรณะนั้นเป็นไฉน วิชชานั้นเป็นไฉน.

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอัมพัฏฐะ ในวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม เขาไม่พูดอ้างชาติอ้างโคตรหรืออ้างมานะว่า

พ่อครูว่า...คือ เรื่องของวิชชา จรณะ คนทุกคนมีสิทธิ์หมดไม่ว่าคลอดในสกุลไหน อิสรเสรีภาพที่จะมีวิชชาและจรณะได้ ไม่ได้เป็นอย่างที่อัมพัฏฐะเข้าใจว่า พราหมณ์ เท่านั้นที่จะมีจรณะวิชชา โดยเฉพาะไปเข้าใจว่าคฤหัสถ์ไม่สามารถมีได้ แม้แต่เป็นกษัตริย์ก็มีไม่ได้อย่างที่เขาเข้าใจนั้นผิดหมดเลย อย่างนี้เป็นต้น อย่างอัมพัฏฐะมีจิตถือดี มีมานะว่าตนเท่านั้น เป็นพราหมณ์ ถึงสามารถมีวิชชาจรณะได้ 

 ท่านควรแก่เรา หรือท่านไม่ควรแก่เราอาวาหมงคล วิวาหมงคล หรืออาวาหวิวาหมงคล มีในที่ใด ในที่นั้นเขาจึงจะพูดอ้างชาติบ้างอ้างโคตรบ้าง หรืออ้างมานะบ้างว่า ท่านควรแก่เรา หรือท่านไม่ควรแก่เรา ชนเหล่าใดยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างชาติ ยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างโคตร ยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างมานะ หรือยังเกี่ยวข้องด้วยอาวาหวิวาหมงคล ชนเหล่านั้น ชื่อว่ายังห่างไกลจากวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม การทำให้แจ้งซึ่งวิชชาสมบัติและจรณสมบัติ อันเป็นคุณยอดเยี่ยมย่อมมีได้เพราะละการเกี่ยวข้องด้วยการอ้างชาติ ความเกี่ยวข้องด้วยการอ้างโคตร ความเกี่ยวข้องด้วยการอ้างมานะ และความเกี่ยวข้องด้วยอาวาหวิวาหมงคล.

พ่อครูว่า...เข้าใจศีล ปฏิบัติอปัณณกปฏิปทา 3 แล้วเกิด สัทธรรม 7 คำว่าฌาน 1 2 3 4 ของศาสนาพุทธจึงเกิดจากศีล จากอปัณณกปฏิปทา 3 แล้วจิตพัฒนาเป็น สัทธรรม 7 ตามขั้นตอน เริ่มต้นได้เป็นฌาน 1 วิตกวิจาร รู้จิตในรูปนาม อ่านแล้วจัดการให้ได้ จนสามารถรู้กิเลส ทำกิเลสลดได้ วิตกรู้ดำริ แล้วมาจับพฤติต่างๆ ในมโนปวิจาร แยกกิเลสให้ออก แล้ว พิจารณาเห็นว่ากิเลสมันไม่เที่ยง มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ มันไม่ใช่ตัวตนอะไรเลย นี่คือการพิจารณาให้เห็น ไอ้การที่จะเห็น ปัญญาจะเห็นได้ว่ามันไม่เที่ยง อะไรเกิดมันก็ไม่เที่ยงหรอก แล้วมันเป็นเหตุแห่งทุกข์ด้วย แท้จริงมันไม่ได้จับตัวกันเป็นตัวตนเลย มันชั่วคราวแล้วมันก็แยกกันไปเดี๋ยวมันก็จางคลาย เดี๋ยวมันก็ไปอยู่อย่างเก่า มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ 

เพราะฉะนั้นจะไปยึดมั่นถือมั่นเอาไม่ได้ อาตมาไม่ยึดมั่นถือมั่นเพราะเห็นของจริงอย่างนี้ที่พูดให้ฟัง อาตมาบรรลุอรหันต์ บรรลุโพธิสัตว์มาตั้งแต่ระดับ 7 อาตมาพูดอย่างสบายใจเปิดเผยหมดแล้ว เพราะทุกวันนี้คนจะไม่ค่อยรู้แล้ว อาตมาพูดไปแล้วก็ต้องอธิบายกรรมกับพระโพธิสัตว์รู้อย่างนี้ อรหันต์รู้อย่างนี้อธิบายได้อย่างนี้ ด้วยภาษาไทยภาษาที่คนเข้าใจกันได้ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะเดินดิน... พ่อครูไล่เรียงการเกิดฌาน ไม่ได้เกิดจากการหลับตาแต่ประการใด 

พ่อครูว่า... การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติแล้วบรรลุธรรม แล้วจะรู้โลกเรียกว่า โลกวิทู บรรลุแล้วจะรู้อัตตา ภาษาว่าอัตตาคือ รู้ จิต เจตสิก รูป นิพพาน รู้เป็นรูปเป็นนาม แล้วก็ศึกษารูปนามเหล่านี้ เรียนรู้ตามลำดับ หลักธรรมพระพุทธเจ้า ปฏิจจสมุปบาทหรือโพธิปักขิยธรรม 37 

เรียนรู้จนละกิเลสได้ จิตสะอาดจากกิเลส อย่างรู้แจ้งเห็นจริง รู้เลยว่า อาการของกิเลสมันเกิดแล้วก็สร้างให้เกิดพลังงานฌาน พลังงานบุญ

ฌานก็ปัญญา บุญก็ปัญญา แต่เขาไม่เอาบุญมาเรียกปัญญา เพราะบุญเป็นเอกังสะ บุญเป็นสภาพธาตุเลว ธาตุประหาร ทำหน้าที่ประหาร ซึ่ง อาตมาว่า ถ้าอาตมาไม่เกิดมาชาตินี้ คนจะไม่เข้าใจแล้วว่าบุญคืออะไร จะไปเข้าใจว่าบุญคือกุศลเป็นสมบัติ แต่ที่จริงบุญคือวิบัติ เป็นตัวทำวิบัติ เอกังสะ อย่างเดียว 

มีปฏิ เป็น วิ ไม่ใช่ ปฏิเป็นสมะ 

ปฏิ หรือปันนะ ปัตตะ แปลว่าบรรลุ หรือว่าเข้าถึง หรือว่าเป็นความจริง ทำได้อย่างนั้น โดยการฆ่าอย่างเดียว ไม่ได้สะสมอะไรเลยด้วย ฆ่าแล้วหาย ฆ่าแล้วสูญ จึงเป็นนิพพาน จึงเป็นสุญญตา หากฆ่าแล้วมีอะไรเหลือก็เมื่อไหร่จะหมดสักที บุญ ซึ่งเป็นการทำให้สิ้นเพียงกิเลส อนุปาทิเสสนิพพานเลย บุญนี่ เป็นตัวสุดท้ายแล้วเมื่อเสร็จหน้าที่ของบุญก็หายไปด้วยบุญไม่มีอยู่ในสถานที่ ไม่ได้อยู่ใน กาละ อะไรเลย อยู่ในปัจจุบันเท่านั้น กาละมีแต่ปัจจุบันเท่านั้นทำงานปัจจุบันแล้วหายไป ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ไม่มีตกค้างไว้ในที่ไหนเลย ตกค้างอยู่ในจิตเป็นอนาคตก็ไม่มี เป็นตัวเดียวๆ ไม่เกี่ยวกับใคร ไม่เกี่ยวกับจิตเจตสิกอย่างอื่นเลยมีหน้าที่ ฆ่า  เป็นพลังงานชนิดหนึ่งที่จิตขึ้นมาสร้างในปัจจุบันนั้นเป็น ทิฏฐธรรม ทิฏฐกาละ เป็นสิ่งที่เกิดดับในตัวปัจจุบัน 

มันเกิดดับในปัจจุบัน เกิดในขณะนั้นถ้าใครมีสติสัมปชัญญะ มีความรู้ความสามารถมนสิการทำจิตในจิตของตนเองให้เป็นพฤติการณ์ของการฆ่า คือการเกิดปฏิกิริยานั้น ฆ่ากิเลสตาย ฆ่าไม่ผิดด้วยบุญเนี่ย เพราะฌาน เป็นปัญญานำมาก่อน แล้วก็นำการฆ่ามาด้วย บุญก็ร่วมฆ่า เป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย ยืนยันว่าต้องตายเด็ดขาด เจอดาบของบุญแล้วกิเลสต้องตาย

ดาบที่ 1 2 3 ยังไม่ตายเจอดาบที่ 4หรือดาบที่ 5 บางทีอภิธรรมเขาก็ถือว่ามี 5 ฌาน มี 5 ตายเด็ดขาดเลย  อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเรื่องรายละเอียดพวกนี้มันเป็นเรื่องที่คิดเอาเองไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่ต้องมีความรู้จริง มีสภาวะธรรมจริง อาตมาเป็นคนจริง เป็นคนบรรลุธรรมมาจริง พูดแต่ความจริง ไม่ได้พูด เหลาะแหละ หรือ ผิดไปจากความจริงเลย พูดแล้วก็น่าหมั่นไส้แต่พูดความจริงบอกความจริงอีก ถ้าคุณไม่มีจิตอคติไม่เพ่งโทษ ฟังอาตมาให้ดีๆ จะรู้ว่า คนอย่างอาตมานี้ คนลอกเลียนการพูดอย่างอาตมา ลอกเลียนไม่ได้ 

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า ท่านอุบัติขึ้นมาในโลก เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ นี่ ในพุทธคุณข้อที่ 3 

อันที่ 1 เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว ตถาคต อุบัติขึ้นมาในโลก เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นสัมมาสัมพุทโธ รู้เองที่เรียกว่าตรัสรู้เอง พอเริ่มเป็นอรหันต์ 

หมายความว่า รู้จักกิเลสล้างกิเลสอาสวะได้ เริ่มต้นเป็นอรหันต์ทำได้หน่วยกิตแรก แล้วก็ทำอีกๆ เป็นโพธิสัตว์เพิ่มขึ้น เป็นผู้ที่มีธาตุรู้เป็นโพธิ ความรู้ที่เรียกเต็มๆว่าตรัสรู้ได้ ก็ทำเพิ่มขึ้นอีก 

เป็นโพธิสัตว์หรือเป็นอรหันต์ที่สูงขึ้น เป็นโพธิสัตว์ระดับ 5 อนุโพธิสัตว์ จากนั้นเป็น อนิยตโพธิสัตว์ เป็นโพธิสัตว์ที่เจริญขึ้นไปอีกที่จะไปเป็นพระพุทธเจ้าให้ได้ให้เที่ยงแท้ พัฒนาไป อนิยตโพธิสัตว์ยาว จนเข้าเขตโพธิสัตว์ระดับ 7 จาก 6 ไป ก็เป็นนิยตะ เป็นผู้ที่เที่ยงแท้ต่อการเป็นพระพุทธเจ้า เพิ่มบารมีจากระดับ 6 ไปถึงระดับ 7 ถึงเที่ยงต่อการตรัสรู้ก็พัฒนาตัวเองขึ้นไปจนเป็นมหาโพธิสัตว์ คือระดับที่ 8 เข้าลำดับที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นลำดับที่ 9 ก็เป็นพระพุทธเจ้า 

เมื่อใดเป็นพระพุทธเจ้าคือระดับ 9 แล้ว ก็ถือว่าเป็นธรรมสามี เป็นเจ้าของศาสนาเป็นเจ้าของธรรมะ แม้จะเป็นพระพุทธเจ้าที่ขึ้นไปเริ่มแรกก็เริ่มมีหน่วยกิต 

เมื่อบําเพ็ญ ก็ได้สั่งสมสภาพที่เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นไป สภาพ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นพระพุทธเจ้าที่ยิ่งมีบารมีสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ตามลำดับ ที่จะมารอคิวอยู่ในดุสิต ที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ทางมหายาน อธิบายว่ารอคิวอยู่ที่พุทธเกษตร แล้ว พระพุทธเจ้าต่างๆเหล่านั้นก็ถึงคิว เข้ามาประกาศศาสนาเป็นของตน ในทำเนียบของโลก ว่า อันนี้ พระพุทธเจ้ากัสสปะ พระพุทธเจ้าโกนาคะมะนะ จนถึงพระพุทธเจ้าสมณโคดม อย่างนี้เป็นต้น ให้โลกรับรู้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เดาไม่ได้ อจินไตย แต่อาตมา โพธิสัตว์ระดับ 7 มีตำราเหล่านี้แล้ว แม้อาตมาไม่ใช่ที่จะไปรอคิวเป็นพระพุทธเจ้าที่ดุสิตก็ตาม อาตมาก็รู้มาหมดแล้ว เอาตำรามาพูด อาตมาไม่ได้บอกว่าอาตมาเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ยังนะ ไม่ได้สับสน ไม่ได้วิปลาส อะไร กำหนดถูกต้องอยู่ แต่อาตมาอธิบายล่วงหน้าไป คนก็เอาล่วงหน้ามาตู่ว่า พูดเหมือนเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ ตัวเองเหมือนอ่านแผนที่ยืนยันให้ฟัง ขณะนี้อาตมาเป็นระดับ 7 กำลังเหลื่อมไปหาระดับ 8 จะเป็น 8 ไปกี่เปอร์เซ็นต์ก็ไม่รู้ 

เพราะฉะนั้น ธรรมะต่างๆที่อาตมาพูด ไม่ใช่เรื่องไม่เป็นอุตริมนุษยธรรม เป็นอุตตริมนุสสธรรม ไม่ได้อวดอ้าง แต่เอามาแสดง แสดง อุตตริมนุสสธรรมให้ฟังให้รู้ อันที่อาตมายังไม่ใช่ก็บอกว่าไม่ใช่ อันไหนที่เป็นแล้วก็บอกว่าเป็น ไม่ได้ผิดกาละ รู้อดีต ปัจจุบัน อนาคต กำหนดสภาพสภาวะต่างๆถูกตรงสภาวะอยู่ 

สิ่งที่จะเกิดได้โดยชอบอย่างนี้ ก็คือ ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้ายืนยันว่า วิชชาและจรณะ เรานี่แหละคือธรรมสามี เรานี่แหละเป็นเจ้าของ พูดกับอัมพัฏฐะ แต่อัมพัฏฐะ ยืนยันว่าตัวเองมีจรณะ มีวิชชา ท่องพยัญชนะเก่ง จนคนอื่นคิดว่าเขามีวิชชาและจรณะ แต่สุดท้ายไล่จริงๆก็สารภาพตามที่เราอ่าน ว่า วิชชาเป็นไฉน จรณะเป็นไฉน หนูก็คือหนูไม่รู้ ท่านเป็นนกท่านรู้ ก็บอกหน่อย

นกนี่นกรู้นะ แต่หนูนี่หนูไม่รู้ ขออภัยพูดเหมือนพูดเล่นผสมเรื่องสัจจะ

 

พุทธคุณของพระพุทธเจ้าเป็นเช่นไร

ถึงพร้อมด้วยวิชาจรณะ เป็นธรรมสามี ได้ดีแล้ว เป็นตถาคต เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว หมายความว่า ท่านมีของตัวเองถึงแล้ว ท่านไปไหนก็ไปดีหมด สุคะโต ดำเนินไปอยู่ที่ไหนก็เป็นกรรมกิริยา เป็นตัวเองเป็นอัตโนมัติ เป็นอย่างนี้เป็นอื่นไปไม่ได้ด้วย ขออภัยเหมือนกับอาตมาเป็น แค่อาตมายังไม่ถึงขั้นพระพุทธเจ้า แต่เข้าขีด มีบทบาท มีอะไรต่ออะไรอย่างที่พระพุทธเจ้าเป็น ระดับ 7 ระดับ 8 จะเป็นอัตโนมัติ เป็นเจ้าของมากยิ่งขึ้น เป็นระดับ 9 ก็เป็นเจ้าของเต็มๆ เพราะฉะนั้นเสด็จไปดีแล้ว ไปกับตัวเอง อยู่กับตัวเอง ไปดี นี่เรียกว่า เป็นพุทธคุณ 9 

อรหํ เป็นพระอรหันต์ สมฺมาสมฺพุทโธ ตรัสรู้เองโดยชอบ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ สุคโต เสด็จไปดีแล้ว โลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ มีความรู้เหนือ และเป็นสารถีฝึกคนที่ฝึกได้ไม่มีใครยิ่งกว่า สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พุทฺโธ เป็นผู้ตื่นและเบิกบานแล้ว ภควา ติ เป็นความจบในความเจริญ  

เคยได้ยินกันแล้ว แต่ที่จริงมีรายละเอียดเยอะนะ ของเก่าคุณก็เคยได้ยินได้ฟัง หูแฉะ จำได้เก่งกว่าอาตมาอีก

เป็นอรหันต์ อรหันต์เป็นเช่นใด
เริ่มต้นคุณปฏิบัติธรรม ปฏิบัติไปเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ 

อรหันต์คือ รู้จักกิเลสอาสวะ แล้วมีปัญญารู้ว่า กิเลสอาสวะ จนเกิด ฌาน เกิดกำลังของจิตเป็นพลังงานที่เก่ง ฌานที่เก่ง เป็นพลังงานที่เหนือกว่า สราค สาโทสะ สโมหะ พลังงานฌาน จนเผาผลาญตามบารมี ถ้าฌาน แก่กล้าก็เผาราคะ โทสะ โมหะ ได้เร็ว แรง เกลี้ยง ก็ต้องบำเพ็ญสั่งสมพลังงานนั้นด้วยการปฏิบัติเรียนรู้ไป 

ไปซื้อตามร้านขายยา ห้างสรรพสินค้าไม่มีขาย ต้องเรียนรู้ฝึกฝนอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งให้ได้เอง แล้วมาสร้างพลังงาน ฌาน เผาเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ พอได้เป็นอรหันต์ก็บำเพ็ญโพธิสัตว์

โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 

ระดับ 9 จึงเป็นสัมมาสัมพุทโธ เป็นพระพุทธเจ้า ตรัสรู้เองโดยชอบ อรหันต์จะเริ่มมีคุณสมบัติที่รู้อัตตา ดับอัตตาได้ มีคุณธรรมของตนเองดับตนเองได้ เป็นอันดับที่ 1

อรหันต์ลำดับต่อไปเป็น โพธิสัตว์ระดับ 5 ก็เรียนรู้จากของคนอื่นๆ ดีไม่ดีต้องไปเกิดอย่างคนอื่นเป็น แม้ที่สุด ไปเป็นเดรัจฉานบางตัว เพื่อจะรู้ว่าความเป็นจริงเป็นอย่างไร โพธิสัตว์จึงมีสัมภาระวิบาก เกิดเป็นใครต่อใคร ตามที่ตัวเองยังข้องใจ ไม่ได้หมายความว่ารู้เฉพาะอ่านตำราแล้วนึกคิดเอาเอง แต่ต้องเป็นต้องมีเอง

เพราะฉะนั้นสัมภาระวิบากของพระโพธิสัตว์จึงไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ต้องไปเกิดอีกนับชาติไม่ถ้วน จนกระทั่งเป็นเจ้าของคือธรรมสามี ถือว่าเป็นสัมมาสัมพุทโธเป็นเจ้าของธรรมะ เพราะธรรมะทุกอย่างที่ประดามนุษยชาติมี เป็นโลกุตระธรรม เป็นอนัตตาด้วย 

อนัตตาตามชนิด ไม่ว่าจะเป็นศรัทธาจริต หรือพุทธิจริต ทั้งสายศรัทธาเจโตปัญญา ต้องเป็นมาหมด เพราะฉะนั้นจึงมีปฏิสัมภิทาญาณ 

ผู้ที่เป็นปฏิสัมภิทาญาณ เป็นมาทั้ง เจโตทั้งปัญญา แม้ตัวเองจะมีจะติดอย่างไรถ้าจะเป็นโพธิสัตว์ต้องเป็นมาทุกอย่างไม่ใช่มานั่งคิดเอาเองแต่บัญญัติเท่านั้น ต้องตัวเองเป็นได้ มาเป็น เพราะฉะนั้นจึงพูดถูก เพราะตัวเองเคยเป็นมาแล้ว 

ผู้นี้แหละเป็นธรรมสามี เป็นเจ้าของวิชชาจรณะ พร้อมด้วยวิชชาจรณะจึงจบ 

ทีนี้ ต่อจากนั้นไป ท่านจะ ปรินิพพานเป็นปริโยสานหรือไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ท่านก็ยังมีเชื้อ อุปาธิ จึงเรียกว่า ตถาคโต คือผู้จะเสด็จไปดีแล้วจะเป็นไปไหนอย่างไรก็มีอันนี้แล้วสมบูรณ์แบบ 

ถ้าสุคโตก็เป็นเพียงว่าไปดี ไปเจริญมากขึ้นๆ ส่วนตถาคโต ก็จบเลย ไม่มีอะไรเจริญกว่านี้อีกแล้ว ไปไหนก็มีแต่ตัวเจริญเต็มที่ ไม่มีมนุษย์ ที่จะเจริญกว่านี้อีกแล้ว ตถาคโต 

ไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะไปดี ไปได้ดี ไปเอาดี ได้เท่านี้อีกแล้ว ตถาคโต ดีเต็มที่ดีที่สุดแล้ว ถือว่าท่านไม่มีดีกว่านี้อีก แต่ท่านจะดีกว่าอีกก็เป็นเรื่องของท่านเพราะไม่มีใครจะไปไล่ทันท่าน ไม่มีใครจะมีภูมิจะไปวัดท่าน เพราะว่าคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะไปทำอย่างนั้นเพราะเป็นพุทธพิสัยที่สุดเอื้อม ที่คุณจะไปตัดสินไปทำไปล่วงรู้ พุทธพิสัยสุดยอดอันนี้ ไม่มีทางไปเดาเอาเอง 

เพราะฉะนั้นผู้ที่เสด็จไปดีแล้ว ตถาคโต จึงทรงรู้แจ้งโลก โลกทั้งหมด ในคำว่าโลก โลกกาม รูปโลก อรูปโลก หรือโลกแห่งความรู้ที่ซับซ้อน ก็เป็นโพธิสัตว์จนกระทั่งเป็นสัมมาสัมพุทธะ รู้แจ้งหมดเลยทุกโลก โลกข้างนอกโลกข้างใน โลกสมมุติหยาบใหญ่ขนาดไหนโลกที่ละเอียดเข้าไปในจิตลึก จนกระทั่งสุด แห่งที่สุดของโลก 

เพราะฉะนั้น อย่างโรหิตัส ไปตามหาที่สุดของโลก ไปเที่ยวได้ถามว่าใครรู้ที่สุดของโลกว่าอยู่ที่ไหน ไปเจอ พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ก็อยู่ที่คุณนั่นแหละ คุณจะไปตามที่ไหน คุณจะไปตามที่สุดของโลก โลก มันไม่ใช่ที่อื่น มันอยู่ที่ตัวเอง คุณทำที่สุดแห่งโลกได้อยู่ที่ตัวคุณนั่นแหละ 

มันซับซ้อนอย่างนี้ ความเป็นโลกคือความที่ประกอบกันในสภาพภายนอก ภายใน สภาพรูปนาม สภาพข้างนอกข้างใน สังขารกันอยู่ เป็นสังขารโลก 

สังขารโลกคือนามกับรูป รวมกันสนิทแล้วก็เป็นวิญญาณ ที่วิญญาณเป็นธาตุรู้ ถ้าคุณเป็นสัมภเวสีหลับตา คุณไปอยู่กับโลกที่เป็นภวภพ เป็นภพที่ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย มีแต่จิตกับจิต แล้วก็ขาดสภาพภายนอก ไม่มีสรีระ มีแต่จิตในจิต 

เพราะฉะนั้นทรงรู้แจ้งโลก รู้โลกสารพัดต่างๆ ซึ่งเอามาพูด คนก็ไม่รู้เรื่องด้วย ก็เอามาพูดเฉพาะที่คนสามารถรู้เรื่องร่วมกันได้ตั้งแต่ต้นๆหยาบๆ ประกอบด้วยตาหูจมูกลิ้นกาย หรือรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส 

ทุกคนมีตาหูจมูกลิ้นกาย ยกเว้นคนตาบอดไม่มีตา ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะรู้ เพราะตา เป็นองค์ประกอบใหญ่ เป็นสิ่งที่ครบพร้อมทั้ง อาโลก มีแสงสว่างมีพระอาทิตย์ เห็นท้องฟ้าได้คนตาบอดไม่เห็น ส่วนเรื่อง เสียง กลิ่น รส สัมผัส เป็นเรื่องรอง ตาจึงเป็นเอก

เมื่อรู้แจ้งโลกทั้งหมด โลกวิทู รู้เรื่องโลกทุกอย่าง แล้วก็รู้จักมนุสโส เป็นสารถี ผู้ที่ฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้ ท่านไม่ใช้คำว่ามนุษย์ แต่ใช้คำว่าบุรุษ

บุรุษคือปุริสภาวะ ผู้ที่เป็นอิตถีภาวะยังสอนยาก เป็นอเวไนยสัตว์ 

ผู้ที่เป็นปุริสภาวะสอนง่ายกว่า ไม่สะดิ้งสะดีดแล้ว อิตถีภาวะยังสะดิ้งสะดีดอยู่ จับไม่ค่อยอยู่ แต่ปุริสภาวะ ขนาดไม่สะดิ้งแล้ว ตั้งใจเรียน ก็ยังยาก พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าไม่อวดเก่งอวดดีที่จะไปสอนอิตถี ท่านสอนปุริสภาวะ

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าบางองค์ ไม่รับหญิงมาบวช แต่ พระสมณโคดม เอาละ อนุโลมยอมรับ ผู้หญิงมาบวช ท่านก็บอกว่า ศาสนาจะไปไม่ไกลนะ หากว่าเอาผู้หญิงมาบวช นี่พูดเป็นเรื่องอจินไตย คิดเอาไม่ได้ มีในหลักฐานตำราอยู่นะ พระพุทธเจ้าก็ยอม แทนที่ศาสนาจะอยู่เป็นหมื่นปี เอาแค่ 5,000 ก็ได้เพราะเห็นใจผู้หญิง อย่างนี้เป็นต้น 

นี่คือ ผู้หญิงจงสำนึกให้ดี อย่างพระน้านางที่บอกว่า เป็นสุดยอดที่ท่านจะมีเมตตา ให้ผู้หญิงได้มาบวช เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นผู้หญิงจะต้องปฏิบัติ คุรุธรรม 8 ประการ 

พระอานนท์ถาม ว่าผู้หญิงบรรลุอรหันต์ได้ไหม โดยสัจจะแล้วผู้หญิงก็ไม่ได้กำหนดว่าไม่ให้ปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 บอกแล้วว่าไม่ได้กำหนดใคร ใครสามารถปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 ก็มีสิทธิ์บรรลุจนสิ้นอาสวะได้ทุกคน ท่านบอกไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าไม่ได้จำกัดโคตร ไม่ได้จำกัดใคร ใครเข้าถึงธรรมะก็บรรลุธรรมะได้ทุกคน ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย พระพุทธเจ้าก็ปฏิเสธไม่ได้ พระแม่น้านางมาก็ต้องให้บวช จึงจำนนต่อสัจจะ ให้ผู้หญิงมาบวช แล้วก็มีผู้หญิงที่บรรลุอรหันต์ได้จริงๆ แต่ศาสนาอายุจะลดลง เพราะมันจะเป็นสหศึกษา 

เหมือนอย่างชาวอโศก พวกเรานี้ผู้หญิงผู้ชายอยู่ร่วมกัน คนเขาหวั่นใจมากว่าจะมีลูกเณรออกมา คอยดูๆ แต่เราทุกวันนี้ก็ยังปลอดภัยกันดีอยู่ สะอาดสะอ้าน ใช้ได้ ไม่ดูเปรอะๆเลอะเทอะอะไร อย่างนี้เป็นต้น นี่คือสิ่งที่พูดได้เพราะว่าผ่านมา 50 กว่าปี มีหลักฐาน มีสิ่งที่ผ่านมาอ้างอิงยืนยันได้ว่า เราพูดอย่างมีหลักฐาน ที่ได้พิสูจน์มาแล้วนี่ ไม่ได้หมายความว่าเลอะเทอะ

เพราะฉะนั้นความจริงหรือความถูกต้องตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า อโศกหรืออาตมาพาทำ อาตมายืนยันว่า มันเป็นเนื้อแท้ของศาสนาพระพุทธเจ้า ขอพูดตรงๆอย่างนี้ เถรสมาคมหรือสายโน้นที่ ไม่เคารพศรัทธาอาตมาเลย ฟังแล้วจะหมั่นไส้ ก็ขออภัย 

เป็นผู้ฝึกบุรุษ ซึ่งไม่มีใครยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าจริงๆ อาตมาชาตินี้ก็พยายามฝึกบุรุษที่สมควรฝึก ผู้หญิงที่มาเรียนกับอาตมา มีปุริสสภาวะอยู่ในตัว ถ้าเป็นอิตถีภาวะ ก็จะอยู่ไม่ได้นาน 

เพราะฉะนั้นจึงได้รับการฝึก ได้ง่ายได้ดี เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย 

เป็นอาจารย์ ศาสดา เป็นผู้สอนธรรมะของเทวดาและมนุษย์ เทวะหรือเทวตา  ตาเป็นปัจจัยเสริมให้คำว่าเทวะเป็นคำนาม ไม่ใช่คำกิริยา คำว่าเทวะเดี่ยวๆก็เป็นได้ทั้งคำนามและคำกิริยา แต่ถ้าเอาตามาใส่ก็บอกสภาวะของนามธรรม หรือเป็นสภาวะธรรมแท้ๆ 

ถ้าเป็นเทวะ แปลว่า 2 คำว่า 2 นี่แหละ เป็นคำที่ใหญ่ที่สุดในมหาจักรวาล 

ยิ่งใหญ่อย่างไร ถ้าโลกนี้มีแต่ ดิน น้ำ ไฟ ลม  เหมือนอย่างพระอาทิตย์ มนุษย์ก็ไปเกิดไม่ได้ ชีวะแม้แต่ระดับพีชะก็เกิดไม่ได้ อย่าว่าแต่พีชะเลย ลักษณะเป็นน้ำก็ยังเกิดไม่ได้เลยในพระอาทิตย์ นี่เป็นรายละเอียด

สภาวะที่จะเกิดได้ก็ต้องมีเหตุปัจจัย นี่ท่านแยกธาตุเอาไว้เป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม แล้วก็มาถึงชีวะ เช่นโลกที่โลกมันเย็นลง จากพลังงานระดับที่น้ำยังเป็นไม่ได้ โลกค่อยๆเย็นลง จึงจะมีน้ำในดาวดวงนั้น เกิดน้ำแล้วจึงจะเกิดชีวะขึ้นมาเป็นพืช มันก็จะเป็นการวิวัฒนาการอย่างนั้นขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาเป็นจิตนิยาม เป็นคน เป็นมนุสโส เทวะ ยังก้ำกึ่ง เป็นสภาพ 2 มีรูปมีนาม แต่มนุสโส คือผู้มีจิตที่สูงกว่าเทวะแล้ว มนุสโส

มนุษย์จริงๆ จึงสูงกว่าเทวะ เทวะนี่ยังเป็นคำกลางๆ พระพุทธเจ้าแยกเทวะไว้ 3 อย่าง 

1.สมมติเทพ 2.อุบัติเหตุ 3.วิสุทธิเทพ 

สมมติเทพเป็น โลกีย์ทั้งหมด เพราะฉะนั้นในเทวนิยมไม่มีอุบัติเทพ วิสุทธิเทพ เทวนิยม100% คือสายที่ไม่รู้โลกุตระเลย 

อุบัติเทพจึงเริ่มเป็นโลกุตระ สมมุติเทพเป็นโลกีย์ล้วนๆ มีสวรรค์ มีนรก มีสุข มีทุกข์ แน่นอนมีดีมีชั่ว เพราะดีชั่วนั้นเป็นโลกียะ แต่ความสุขความทุกข์เป็นโลกุตระ เทวนิยม ไม่ได้เรียนรู้สุขทุกข์ หลงยึดสุข เป็นสุขนิยม ไม่รู้จักทุกข์ ไม่เรียนรู้ทุกข์ 

คนที่เรียนรู้ความทุกข์นั้นเป็นอาริยะ เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า ทุกขอาริยสัจ ก็เรียนรู้ทุกข์ เป็นอาริยะ เป็นสัจจะในระดับปรมัตถ์ 

เพราะฉะนั้นโลกียะเป็นสมมติเทพ ไม่มีอุบัติเทพเลย อุบัติเทพเป็นโลกุตระ เป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อรหันค์คือวิสุทธิเทพ เป็นเทวะ ผู้บริสุทธิ์จากกิเลส สิ้นอาสวะขึ้นไป เรียก วิสุทธิเทพ หรือเรียกอีกภาษาว่า พรหม เป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ก็ไม่ชัดเท่าคำว่า วิสุทธิเทพ เป็นเทพผู้สะอาดบริสุทธิ์จากกิเลส 

พรหม นั้น คือผู้บริสุทธิ์ แต่ผู้ไม่รู้ก็ไปเข้าใจว่าเป็น พรหม คือ เป็นสภาพที่มี 16 ชั้น รูปพรหม อรูปพรหมอีก 4 ชั้น เป็น 20 ชั้น ก็เป็นสมมุติไปหมด ศาสนาพุทธไม่มีหรอก รูปพรหมอรูปพรหมอะไรหรอก ไม่มีภพไม่มีชาติ อรหันต์ไม่มีภพชาติ 

 

พหรม 20 ชั้นที่มิจฉาและสัมมา

คนที่หลงยึดถือ เขาก็ยังมี เป็นอรหันต์แล้วไม่มีภพชาติ เพราะฉะนั้น พรหม16 ชั้น 20 ชั้น ท่านรู้หมดแล้ว รู้แจ้งแล้วก็ไม่มี 

ผู้ยังไม่บรรลุ ยังไม่รู้แจ้งก็ยังมีภพมีชาติ รูปภพ อรูปภพ รูปพรหม อรูปพรหม 16 อธิบายเป็นแสงสีเป็นลำอะไรต่างๆ 

 

พรหม 20 ชั้น 

 

ชั้นที่ 1 พรหมปาริสัชชาภูมิ (เป็นบริวาร)

ชั้นที่ 2 พรหมปุโรหิตาภูมิ (เป็นครู)

ชั้นที่ 3 มหาพรหมาภูมิ (เป็นหัวหน้า)

ต่อมาอีก 3

ชั้นที่ 4 ปริตตาภาภูมิ ( อาภา แปลว่าแสง)

ชั้นที่ 5 อัปปมาณาภาภูมิ

ชั้นที่ 6 อาภัสราภูมิ

หมวด 3 

ขั้นที่ 7 ปริตตาสุภา 

ขั้นที่ 8 อัปปมาณาสุภา 

ขั้นที่ 9 สุภกิณหาภูมิ

ชั้นที่ 10 เวหัปผลาภูมิ (หลงเวหา คือพญาครุฑ)

ชั้นที่ 11 อสัญญีสัตตาภูมิ 

 

ชั้นที่ 12 อวิหาสุทธาวาสภูมิ

ชั้นที่ 13 อตัปปาสุทธาวาสภูมิ

ชั้นที่ 14 สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ

ชั้นที่ 15 สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ

ชั้นที่ 16 อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ

 

ชั้นที่ 17 อากาสานัญจายตนภูมิ

ชั้นที่ 18 วิญญาณัญจายตนภูมิ

ชั้นที่ 19 อากิญจัญญายตนภูมิ

ชั้นที่ 20 เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ

 

พวกที่หลงความสว่าง จากนั้นก็คิดว่าเหนือกว่าสว่างก็คือ มืด แต่พรหมแบบมีปัญญาจะรู้ว่า ความดับที่แท้จริงไม่มืด มีแต่สว่างกับสว่าง เพราะว่าจิตวิญญาณที่เอากิเลสออกหมดแล้วมีแต่สว่างไม่ใช่ดับดำมืด 

ดับดำมืด เป็นสภาวะของสสารไม่ใช่สภาวะของ จิต กิเลสยิ่งหมดไปยิ่งสว่าง ยิ่งสว่างตลอดกาล ไม่มีดับ ไม่มีดำ ไม่มีมืดเลย 

ส่วน สุทธาวาส 5 มันเป็นของแต่ละบุคคล ถ้าไปตกอยู่ในแดนนั้นแล้วตามบารมี 

บารมีของผู้ที่ไปตกอยู่ในภูมิของอนาคามีแล้วไม่ยอมเกิดมาอีก ก็จะตกอยู่ในสุทธาวาส 5 ประการ ตามจริตของตัวเอง 

12) อวิหา (เหล่าท่านผู้ไม่เสื่อมจากสมบัติของตน หรือผู้ไม่ละไปเร็ว, ผู้คงอยู่นาน — realm of Brahmas who do not fall from prosperity)

13) อตัปปา (เหล่าท่านผู้ไม่ทำความเดือดร้อนแก่ใคร หรือผู้ไม่เดือดร้อนกับใคร — realm of Brahmas who are serene)

14) สุทัสสา (เหล่าท่านผู้งดงามน่าทัศนา — realm of Brahmas who are beautiful)

15) สุทัสสี (เหล่าท่านผู้มองเห็นชัดเจนดี หรือผู้มีทัศนาแจ่มชัด — realm of Brahmas who are clear-sighted)

16) อกนิฏฐา (เหล่าท่านผู้ไม่มีความด้อยหรือเล็กน้อยกว่าใคร, ผู้สูงสุด — realm of the highest or supreme Brahmas) คือ เมื่อเป็นอนาคามี ตายไปแล้วไม่กลับมาเกิดอีกอยู่ในภพของจิตที่จะสลายไปตามนี้ ซึ่งนานมากเพราะไม่มีอุปกรณ์ที่จะปฏิบัติ

พระพุทธเจ้าสมณโคดมจะไม่ตกอยู่ในสุทธาวาสทั้ง 5 ท่านจะกลับมาเกิด มีดินน้ำไฟลม มีตาหูจมูกลิ้นกาย จึงเป็นโพธิสัตว์ อาตมาคนหนึ่งเป็นโพธิสัตว์ระดับนี้ จะไม่เอาอย่างนั้นเพราะเสียเวลา มันนานมาก มันไม่ได้ล้างเลย เอาปัจจุบันมาทำตาหูจมูกลิ้นกายดับแล้วปรินิพพานเป็นปริโยสานไปเลยไม่ต้องค้างอยู่ในภพในอีก ไม่ต้องอยู่ในสุทธาวาส 5 

ชั้นที่ 17 อากาสานัญจายตนภูมิ

ชั้นที่ 18 วิญญาณัญจายตนภูมิ

ชั้นที่ 19 อากิญจัญญายตนภูมิ

ชั้นที่ 20 เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ

 

อันนี้คืออรูปพรหมชนิดมาเกิดอีกไม่ใช่จมในสุทธาวาส ซึ่ง มีทั้งแบบมิจฉาและสัมมา 

สัตตาวาส 4 ก็มิจฉาแล้ว ไปเป็นสัตว์หลับตาปฏิบัติ เพราะฉะนั้น ฌาน 1 2 3 4 เป็นฌานหลับตาทั้งนั้น ยิ่งมิจฉาหมด ยิ่งฌาน 5 ดับสัญญาไปเลยแล้วก็ไปหลงไม่เป็นนิโรธ 

พอถึงสัตตาวาสตัวที่ 5 อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญยายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็เป็นวิหารปลอม เป็นภพปลอม เป็นนิรมาณกาย สัมโภคกาย และ อาทิสมาณกาย เป็นเรื่องเพ้อพกไปหมดเลย แล้วแต่ใครจะสร้างภพชาติของใครของมัน สร้างภพชาติดาวคนละดวงของใครของมัน ตามเรื่อง 

เพราะฉะนั้น อรูปฌาน 4 ของอสัญญีสัตว์ เป็นเรื่องเละเทะ ทีนี้ สัมมาทิฏฐิ ไม่มีที่จะไปหลับตา ไม่มีอสัญญีเลย ลืมตาโพลงๆ มีกระทบสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกาย จึงจะเป็นอรูปฌาน 4 

อรูปฌาน 4 เป็นอย่างนี้

1.อากาศ  2.วิญญาณ 3.อากิญจัญยายตนะ 4.เนวสัญญานาสัญญายตนะ

ผู้ที่มีมิจฉาทิฏฐิจะมี เนวสัญญานาสัญญายตนะ ส่วนผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิจะไม่มี เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่ต้องไปทวนอีก ประวัติสัมมาทิฏฐิแล้วมาจนถึง อรูป อรูปก็เรียนรู้

1 อากาศ Space 2 วิญญาณ วิญญาณก็คือวิญญาณ จะเลือกภาษาฝรั่งอะไรก็ตามใจ คือธาตุรู้กับ space กับสภาวะของอวกาศของอากาศ ก็ต้องเป็นคู่อยู่ด้วย

เพราะเมื่อเป็นชีวะเป็นจิตนิยามและมันก็ต้องเป็นวิญญาณ ก็จะต้องอยู่กับ จะว่างขนาดไหนก็ตามแต่อากาศ อากาสานัญจายตนะ วิญญาณก็อยู่กับอากาศว่างที่สุด ว่าง ภาษาพูดก็เป็นเรื่องของสสาร พลังงาน แต่ว่างอย่างปรมัตถ์ก็คือว่างจากกิเลส อากาสานัญจายตนะ 

วิญญานัญจายตนะ ก็ว่างจากกิเลสเพราะฉะนั้นอากาศกับวิญญาณแทบจะเป็นอย่างเดียวกัน อากาศคือว่างวิญญาณคือรู้ รู้ว่าง ว่างรู้ ที่จะมีชีวะคือวิญญาณ 

วิญญาณคือธาตุที่จะเป็นชีวะขึ้นมา ก็อยู่อย่างว่าง ว่างจากอะไรก็ต้องมีเหตุปัจจัย คือว่างจากกิเลส กิเลสไม่มีนิดนึง นิดนึงไม่มีเลย อากิญจัญยายตนะ คือ นิดหนึ่งก็ไม่มี ไม่มีอย่างสัมมาทิฏฐิจึงไม่สงสัยอีกเลยไม่ต้องมี เนวสัญญานาสัญญายตนะ ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิที่สมบูรณ์และวิญญาณฐิติก็มี 7 เองไม่ต้องมี เนวสัญญานาสัญญายตนะ สัมมาทิฏฐิมาตั้งแต่ต้นตั้งแต่ 1 2 3 4 5 6 7 ก็จบ 

ไม่ต้องมีใช่ ก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่พวกที่ยังกั๊กไปกั๊กมา อันนี้ชัดเจนถูกต้องกำหนดสัมมาทิฏฐิมาถูกต้องอากาสคือที่ว่าง วิญญาณคือกิริยาไม่มีกิเลสแล้วก็คือ อากิญจัญยายตนะ ก็จบแล้วนี่ วิญญาณฐิติจึงมีอย่างนี้ 

สรุปผู้ที่ไม่รู้จักสัจธรรมอย่างสัมมาทิฏฐิก็อธิบายเป็นแสงเป็นสีเป็นอะไรไปหมดเลยเป็นภพเป็นชาติไป เป็นพรหม ตั้งแต่อรูปพรหมยิ่งหยาบ ยิ่งเป็นภพชาติเละเทะ เป็นดินแดนเพ้อเจ้อ พระอรหันต์เจ้าไม่มีภพหรอก พรหม 16 ไปหลงแสงสีอะไร ผู้ที่เป็นอรหันต์อย่างแท้จริง ผู้ที่มีแสงสีอย่างนั้นอยู่ก็ยังมี เราก็ไม่ปฏิเสธว่าสิ่งที่เขามีเพราะเขาไม่รู้เราก็ต้องเข้าใจ..ไอ้น้องเอ๋ย..ยังมีภพอยู่นะ เราก็เอ็นดูเขา เราไปบังคับให้เขาไม่มีก็ไม่ได้ เขายังมีอยู่ 

เราจึงเป็น อนุปคัมมะ เราไม่มีแล้ว คนที่ยังมีอยู่ก็มี เราก็ไม่ต้องไปถือหางอยู่กับพวกไม่มี มาข่มพวกไม่มีก็ไม่ต้อง ก็มันยังไม่ถึงคราวที่ไม่มี ไม่มีแล้วก็ไม่มีดีแล้วไม่ต้องไปยกตนข่มท่าน ก็จบ เราก็รู้มันจบของเราไม่ต้องไปข่มใคร 

แต่คำว่าไปข่ม อาตมาพูดเชิงเหมือนข่ม ผู้ผิดผู้ที่ไม่ถูก ผู้ที่ทำลายศาสนา ผู้ที่เป็นโจร โดยโวหารก็ข่มไม่ข่มไม่ได้ แต่คนขี้ตู่ว่าอาตมาข่ม อาตมาจะไปข่มทำไมอาตมาอยู่ของอาตมาดีๆแล้ว อาตมาแสดงธรรม เมื่อยก็ต้องแสดงธรรมก็เป็นโพธิสัตว์เป็นสัมภาระวิบาก เหนื่อยเราก็ไม่เหนื่อย เมื่อยเราก็ไม่เมื่อย เราไล่ไปเรื่อยๆเราไม่เมื่อยเราไม่เหนื่อย ที่จริงแล้วเหนื่อยแทบตาย 

ไปหลงผิดติดยึด นั่งหลับตาพากันมา 2,500 กว่าปี ไม่รู้จะพูดอย่างไรว่านั่งหลับตานั้นเลิกเสียได้ออกป่าเขาถ้ำก็ให้เลิกเสีย นี่กำลังอ่าน อัมพัฏฐสูตร มันยังไม่ถึงจุดที่จะต้องยืนยันนะ ยังอ่าน ไปไม่ถึงความเสื่อม พระพุทธเจ้าตรัสกับอัมพัฏฐะมาเรื่อย ว่า พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา สถาปนาศาสนาพุทธเอาไว้ ศาสนาพุทธไม่ออกป่าไม่หลับตาปฏิบัติแต่ลืมตามีจรณะ 15 วิชชา 8 จนกระทั่งความเสื่อมเกิดขึ้นมา 

พอเสื่อมมาก็ออกป่า โดยเข้าใจว่า ผู้ที่มีสมบัติ จรณสมบัติ วิชชาสมบัติคือพระที่อยู่ป่า ซึ่งมันเป็นมิจฉาทิฐิอย่างสนิทเลย วิชชาจรณะ ถ้าจะว่าแล้วอยู่ป่าหรือไม่อยู่ป่าอยู่บ้านไม่อยู่บ้านถ้ามีจรณะ 15 วิชชา 8 แล้ว ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเมือง ไม่ใช่ศาสนาคนป่า เป็นศาสนาสอนคนเมือง ศาสนาอยู่ที่สังคม ไม่ได้เป็นศาสนาที่ไร้สังคม ศาสนาของอาริยะกะ ไม่ใช่ศาสนาของมิลักขะ อาตมาก็พูดมาหมดแล้ว 

ปฏิบัติธรรมศาสนาพุทธต้องมี อปัณณกปฏิปทา 3 เป็นคนตื่นอยู่กับสังคม ตาหูจมูกลิ้นกาย ตื่นๆ 

สรุปว่า ต้องมาลืมตาปฏิบัติ เลิกหลับตาปฏิบัติ 

 

สมณะเดินดิน... สรุปจบ

 

ที่มา ที่ไป

650518 วิชชาจรณสมบัติ และพรหม 20 ชั้น พุทธศาสนาตามภูมิ 

วันพุธที่ 18 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 พฤษภาคม 2565 ( 07:34:25 )

650523

รายละเอียด

650523 พุทธานุสสติ และอัมพัฏฐสูตร รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 39 

https://www.boonniyom.net/52180.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1kINGc5HeEF9IvbX4yq2HII447VO3n8_BNGZyxo0ShMA/edit?usp=sharing   

     

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/1ZQMnYReVfBV8GuJPLqanouNYDygMKak-/view?usp=sharing 

     

และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/xbJppR05reg 

และ https://fb.watch/dbf6STK8Dj/ 

 

_สู่แดนธรรม...วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก สังเกตหลังๆนี้พ่อครูแสดงธรรม ไม่ค่อยได้ตีระฆัง ไม่ค่อยได้นิมนต์จิบน้ำ สื่อให้เห็นว่า พ่อครูมีสุขภาพที่ดีขึ้น 

 

พุทธานุสสติ หมายถึงอะไร

พ่อครูว่า...มีคำถาม..(ไม่บอกชื่ออีกแล้ว)

_ท่านครับขออนุญาตถามประเด็นธรรมนะครับ_พุทธานุสสติ_หมายถึงอะไรครับ

พ่อครูว่า... ตามพยัญชนะก็บอกชัดๆว่า เป็นการระลึกถึงพระพุทธ พระพุทธ เราก็หมายถึงพระพุทธเจ้า ถ้าหมายถึงพระพุทธเจ้าในรูปธรรม ก็เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ถ้าหมายถึงคุณธรรม นี่ล่ะยิ่งใหญ่ ระลึกถึงคุณธรรม เรียกเต็มๆว่าพุทธคุณของ พระพุทธเจ้า 

พุทธคุณแท้ๆที่ท่านสรุปยอดไว้ก็คือวิชชาและจรณะ เป็นผู้ที่เข้าถึงหรือบรรลุวิชชาและจรณะ เป็นผู้ที่เป็นเจ้าของวิชชาจรณะ 

จรณะคือ การประพฤติ วิชชาคือความรู้ ที่เป็นความรู้โลกุตรธรรม โลกุตรธรรมมีพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เป็นผู้ตรัสรู้ หรือเป็นของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ของศาสดาใดๆเลยในโลก ถ้าของพระพุทธเจ้าก็คือ วิชชาจรณะสัมปันโน 

แต่ถ้าเป็นของศาสดาอื่นๆมากมายก่ายกองที่เป็นเจ้าของศาสนาเทวนิยม ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอเทวนิยม อเทวนิยมหมายความว่า รู้จักเทวฺ ความเป็นเทวฺ ถ้วนรอบหมด และได้ทรงพิสูจน์แล้วว่า เทวฺ ซึ่งแปลว่า 2 หรือเทวฺหมายถึงจิตวิญญาณตั้งแต่น้อยจนถึงยิ่งใหญ่ที่สุด 

ยิ่งใหญ่ที่สุดถึงขั้น ทางศาสนาเทวนิยมเขาไม่รู้จัก ว่า เจ้าของความรู้นั้น อยู่ที่ไหน เจ้าของความรู้ลึกลับก็ถือว่าเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในความเป็นเจ้าของความรู้ ที่เรียกกันว่า God หรือ พระเจ้า พระศาสดาแต่ละพระองค์ไม่ได้ศึกษาสัจธรรมมาอย่างรู้ตน รู้ตัว รู้รูปรู้นาม รู้อะไรที่สัมผัสชัดเจนในความเป็นจิตวิญญาณ ในความเป็นมนุษย์ชาติ ในความเป็นความรู้จริงๆไม่ได้รู้ถ้วนรอบ เพราะเขาไม่ได้ศึกษาอย่างรู้ถ้วนรอบอย่างศาสนาพุทธ เขาก็เลยดูลึกลับ 

ทีนี้ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วไม่ลึกลับ พิสูจน์ได้ จนกระทั่งที่สุดทำให้จิตวิญญาณหรือ เทวฺหรือพระเจ้า หรือเรียกไวยพจน์อีกอันว่า คำว่า อัตตา 

สามารถที่จะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ มีทั้งรูปและนามในสิ่งเหล่านี้ เป็นสภาวะ 2 เสมอ เพราะเป็นชีวะ เป็นจิตนิยาม เพราะว่า เป็นของไม่เที่ยง ตั้งอยู่แล้วสุดท้ายก็สลายไป ความว่าสลายไปสูญ พระพุทธเจ้าท่านพิสูจน์ความสลายไป จนรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง ว่าสลายถึงที่สุด เป็นดินน้ำไฟลมแยกธาตุจิตนิยาม หรือธาตุพระเจ้า ธาตุอัตตา แยกจากลักษณะ หรือเรียนจากลักษณะ 2 แยกเทวฺเป็น 2

ในทุกๆ 2 สารพัดประดามีทั้งหมด รู้แจ้งหมดในความเป็นเทวฺหรือความเป็น 2 ทุกสิ่งทุกอย่าง และ 2 นี้ที่ประชุมกันอยู่ ไม่ได้หมายความว่าประชุมกันอยู่นิรันดร แต่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป หมุนเวียน ในสามัญของไตรลักษณ์ก็หมุนเวียนกันไปในศาสนาเทวนิยม ไม่รู้จักความหมุนเวียน ไม่รู้จักไตรลักษณ์ ไม่ได้เรียนเลย 

พระเจ้าเอง เป็นเจ้าของความรู้ และเป็นสิ่งลึกลับ พระศาสดามีความรู้ และไม่รู้ตัวเอง ไม่รู้ว่าความรู้นี้ เป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่ จนได้เป็นพระศาสดา มีคนมายอมรับนับถือในความจริงอันนี้ ก็เพราะไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้รู้ตัวเอง ไม่ได้เรียนรู้ที่ไปที่มาของความรู้เป็นไปมาอย่างไร 

แต่สุดท้ายรู้เหมือนกันว่า ความรู้ที่เรารู้นี้ของพระศาสดาแต่ละองค์ ความรู้ที่เรารู้นี่มันยิ่งใหญ่สุดยอด ไม่มีที่สุดเลย ไม่มีที่ไหนเทียบเท่าแล้ว ก็สงสัยว่า เอ๊ะ! อันตัวเรานี้ จะสามารถรู้ความรู้นี้หรือ มันไม่น่าจะเป็นของเรา มันเป็นความรู้ของใครน้อ! ก็ไม่กล้าที่จะบอกว่า เป็นความรู้ของตน ก็เลยเหมาว่า เป็นความรู้ของผู้ที่ให้เรามา ก็ถือว่าเป็นพระบิดา แล้วเราได้มาก็ถือว่าเป็นผู้ที่เป็นพระบุตร เป็นผู้ถ่ายทอดจากของพระบิดา

ก็เข้าใจกัน เชื่อกันอย่างนั้น แล้วก็เอามาเผยแพร่ เอามาประกาศให้คนอื่นปฏิบัติตาม ก็เป็นศาสนา จริงๆ ศาสนาเทวนิยมก็เป็นศาสนาที่รักดี ชังชั่ว ไม่ประพฤติชั่วประพฤติแต่ดี ดีจริงๆเท่าที่ศาสดาสามารถจะรู้ และพระศาสดาแต่ละองค์จะสามารถรู้ตามแนวทางของแต่ละพระองค์ จึงมีแนวคิดต่างกัน มีศาสดาหลายองค์มากมาย ตั้งแต่เล็กถึงใหญ่ ตั้งศาสนาไม่ได้ แต่เขาประกาศไปว่าใหญ่ อะไรต่างๆนานาสารพัด 

ก็จึงมีเยอะ นึกว่านิยมศาสนาที่มีพระเจ้าเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง ที่ไม่สามารถเรียนรู้ได้ แต่มีฤทธิ์มีอำนาจ มีความรู้ความฉลาดต่างๆนานา 

ทีนี้ส่วนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ตรัสรู้ความดีความชั่วที่เขาเรียนรู้ ท่านก็รู้ ไม่ใช่รู้อย่างตรรกะ คะเนคำนวณเอา แต่รู้อย่างที่มีความรู้ความเป็นอย่างนั้นได้ด้วย ดีอย่างไรเป็นได้อย่างนั้น แล้วรู้ความเป็นได้ด้วยว่า มาจากเหตุอะไรทั้งหมด 

จนสุดท้าย ความรู้ว่าจิตวิญญาณ หรือพระเจ้า ก็คือสังขารธรรม ธรรมะที่ปรุงแต่งขึ้นมาเป็นสภาพ รูปและนาม จับตัวกันเข้า ปรุงแต่งกันเข้า เรียกว่า สังขาร แล้วก็มาเรียกอีกคำว่า วิญญาณ ตั้งเป็นคำว่า วิญญาณ แล้ววิญญาณที่ยิ่งใหญ่ด้วยความเป็นพระวิญญาณยิ่งใหญ่ แต่ละองค์ๆของพระเจ้า ของที่พระศาสดายกไว้ แต่ไขความไม่ได้ 

พระพุทธเจ้ามาไขความได้ โดยรู้จักสังขารที่ปรุงแต่งกันตั้งแต่ 2 สภาพ เทวะ มากกว่า 2 ขึ้นไปอีกเยอะแยะ ปรุงแต่งกัน ปรุงแต่ง 2 ขึ้นไปจนนับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้น 2 สภาพที่ว่านั้นคือ สภาพ 2 ของสิ่งที่ปรุงแต่งกันขึ้นตั้งแต่รูปธรรมวัตถุ จนถึงนามธรรม พระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ตั้งแต่วัตถุจนถึงชีวะ ในระดับที่ยังเป็นนามธรรมไม่เต็ม เรียกว่าพืช พีชนิยาม จนเป็นนามธรรมเต็มคือ จิตนิยาม 

ก็จึงรู้ว่ามี 3 สิ่งเท่านั้นคือ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม  

จิตนิยามนี่แหละ เป็นใหญ่ที่สุด เป็นประธานที่สุดในการที่จะมีสังขาร ปรุงแต่ง แล้วเกิดเป็นวิญญาณ แล้วพระพุทธเจ้าตรัสรู้จนกระทั่งถึงที่สุดว่า อ้อ! แม้เป็นจิตวิญญาณแล้วก็มีกรรม ทรงไว้เป็นธรรมะ ทุกอย่างก็เลยมีตัวจิตนิยามกับกรรม 2 อย่าง จิตนิยามเป็นธาตุแสดง

ทีนี้ กรรม เป็นการแสดงการกระทำของจิตนิยาม แต่ละหน่วยๆแต่ละของบุคคล 

ทีนี้ภาวะที่เป็น กรรมหรือการกระทำของแต่ละคนก็เป็นของแต่ละคนเรียกว่า กัมมัสกตา กรรมเป็นของของตน แล้วกรรมนี่แหละตกทอด ตัวเองก็จะต้องทำกรรมใด ก็มีวิบากแล้วก็เป็นของตน ตนต้องรับวิบากที่ตนทำ ต้องรับกรรมที่ตนทำ แล้วจะเกิดจะตายจะเป็นอยู่ เรียกว่า กัมมโยนิ จึงเกิดกรรมเป็นของตน ตนเองจึงเป็นทายาทของกรรมตนเอง กรรมก่อนตนเองทำแล้วเป็นมรดกตกทอด ตนก็ต้องมารับมรดกตกทอดของตัวเอง  แบ่งใครก็ไม่ได้ด้วย มรดกของตน แบ่งให้ลูกทางสรีระ ก็ไม่ได้ เป็นของตน 

ของลูกก็ของเขา อาศัยร่างเราเกิดเท่านั้น อาศัยธาตุ DNA ธาตุเชื้อ ของเราเกิดเท่านั้นส่วนจิตวิญญาณเป็นของเขา จิตวิญญาณของใคร ก็พาตัวเองเป็นไปเรียกว่า กัมมโยนิ แล้วตกไปเป็นตระกูลของตนเอง ไปเป็นเผ่าพันธุ์ของตัวเองอีก สุดท้ายก็จบด้วย พาตัวเอง เป็นไปแล้วก็ตัวเองอาศัย 

เพราะฉะนั้นในขณะที่อาศัยอยู่ ยังไม่จบ มันเหมือนกับอยู่ในสงคราม อยู่ในสมรภูมิรบเรียกว่า กัมมปฏิสรโณ สรณะ แปลว่า ประกอบไปด้วยสงคราม ก็มีสงครามเป็นที่อยู่ที่อาศัยที่พึ่ง สงครามก็เป็นทุกข์ 

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่ตรัสรู้จริงๆเลย ก็ได้แต่ชั่วแต่บาป ก่อแต่ศัตรู ก่อแต่สิ่งที่ทำร้ายเรา มันก็มีสงคราม ไม่จบสงครามก็มีอยู่ยืดเยื้อตลอดกาลนาน เพราะฉะนั้น กรรมท่านไปจบด้วย กัมมปฏิสรโณ กรรมเป็นที่พึ่งอาศัยและสรณะ คือปกติในสงครามคุณก็ได้พึ่งสงคราม จึงพึ่งความทุกข์ไปตลอดกาลนานตลอดนิรันดร ถ้าเผื่อว่าไม่มาเรียนรู้ความจริงของพระพุทธเจ้า ที่สอน ให้หมดสงครามเป็นอรณะ ไม่ใช่สรณะ และไม่ใช่แค่มรณะ แค่ตายแล้วก็ต้องเกิดอีก เป็น อรณะไม่เกิดอีกเลย ไม่มีสงครามอีก อรณะก็เป็นอมตบุคคล เป็นคนที่จะรู้แล้วว่าจะเกิดหรือตายจะแยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลม ตาย ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้ 

สิ่งที่ขยายความมานี้ คร่าวๆนี้ สั้นๆสังเขป คือ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่ตรัสรู้ความรู้ความจริงอันนี้ 

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ตรัสรู้อันนี้แล้วแม้แต่เบื้องต้นใบไม้กำมือเดียวคือรู้จักอัตตาของตัวเอง รู้ว่ามันมีอะไรพาให้เกิด ก็อุปาทานหรือตัณหาของเราเกิด ดับอุปาทาน ดับตัณหาเสีย ก็ดับได้หมด ไม่พาเกิด 

เมื่อผู้ที่เป็นอรหันต์รู้จักเหตุและดับเหตุได้ ไม่พาเกิดได้ ตายแล้วก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็จบเป็นดินน้ำไฟลมไป แต่มีผู้ที่ไม่ยอมจบเรียกว่า โพธิสัตว์ศึกษาต่อไปอีก อยากจะรู้ว่า เรานะ รู้แล้วล่ะ ไม่เกิดไม่ตายเป็นอมตะเป็นอย่างนี้ แต่คนอื่นๆล่ะ เขาไม่เกิดไม่ตายเหมือนอย่างเราได้ไหม ก็ตามศึกษา ก็จะเห็นความจริง โอ้…ไอ้ที่ไม่เกิดไม่ตายอย่างเราทำได้ยาก นอกนั้นไม่รู้ความไม่เกิดไม่ตาย ทำไม่เป็น 

เพราะฉะนั้นจึงเกิดๆๆๆ ทำตายให้ตนเองไม่ได้ แต่มันต้องตาย ในรูปขันธ์ในสรีระที่บอกว่า คนไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ต้องตายแต่ตายไม่สลายจิตนิยาม ไม่บรรลุอนัตตาธรรม เป็นอัตตาวนเวียน จนกระทั่งสุดท้าย รู้สุดรู้มากมายอย่างที่เป็นศาสดา แล้วไปจบที่ศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งที่มีความรู้เป็นนิรันดร คิดว่า อัตตามันสลายไม่ได้หรอก ต้องเป็นนิรันดร 

เพราะฉะนั้น ศาสดาเทวนิยมจึงตายไปแล้วอยู่กับพระเจ้าเท่านั้นเอง แล้วเขาก็ไม่รู้ว่ามีอะไรต่อ ส่วนพระพุทธเจ้าเรารู้ว่าอย่างนั้นมันอยู่อย่างนั้นก็ได้ อยู่อย่างตายแล้วก็ไม่ต่อ แต่ที่จริงนั้น ต่อ ต้องเกิดอีกตามวิบากกรรม พาเกิดพาเป็นหมุนเวียน ทุกอย่างเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปอย่างนี้ แล้วก็จะได้ดีหรือตกยาก เพราะกรรมของตนที่ทำดีก็ดี ทำชั่วก็ทุกข์ยากลำบาก ทำดีก็สบายบ้าง ก็ได้แต่สบายบ้างเป็นสุขๆทุกข์ๆ 

พระพุทธเจ้ามารู้ถึงเหตุที่ทำให้ตายเกิดเกิดทุกข์ๆสุขๆ เพราะความไม่รู้จักความจริงของจิตนิยาม พระพุทธเจ้าจึงสามารถทำจิตนิยามให้เป็น พีชนิยาม อุตุนิยามได้ จึงสามารถแยกสลายเป็นอุตุนิยามได้จริง สูงสุดเป็นพระพุทธเจ้า รู้จักความเป็นเทว ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศาสดาทุกองค์อย่างที่ทุกองค์เป็น ได้รู้จบรู้จริงแท้ จะเป็นอย่างนั้นก็ได้ แต่พระพุทธเจ้าสุดท้ายท่านรู้และเป็นมาหมดแล้ว เป็นจนรู้แล้วว่าจริงๆอยู่ไปก็เป็นอย่างนี้ วนเวียนอยู่อย่างนี้นิรันดร เพราะฉะนั้นก็ต้องเบื่อหน่าย ท่านก็เรียนรู้ความเบื่อหน่าย จนกระทั่งไปหน่ายในการหลงปรุงแต่ง ที่เป็นโลกไม่ดี จนเป็นโลกที่ดีสุดท้ายก็สูงสุดเป็นพระเจ้า เสร็จแล้วก็ต้องเวียนตายเวียนเกิดแล้วก็ตกต่ำ ตกทุกข์ได้ดีๆ ตกทุกข์ได้ยาก อยู่อย่างนี้ 

เมื่อท่านรู้ว่าท่านทำให้เป็นสูญได้ ที่เขาต้องไปหมุนเวียนสุขทุกข์ ได้รับลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เสียลาภยศสรรเสริญโลกียสุข พระพุทธเจ้าก็ทรงเบื่อหน่าย เป็นมานานนับชาติไม่ถ้วนไม่รู้กี่ล้านชาติเท่านี้ ก็เลยสุดท้ายก็พอแล้ว แล้วท่านก็รู้จักวิธีที่จะแยกธาตุให้เป็นดินน้ำไฟลมได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าทุกองค์มีสมัยเดียว สร้างศาสนาพุทธขึ้นมาในโลก สมัยเดียวไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ไหนอยู่เป็นสมัย 2 

เพราะว่ามันเหมือนกันหมด ทำอยู่ก็ทำอย่างนี้แหละ จะเป็นพระพุทธเจ้าเอง สูงสุดแล้วก็ตกอยู่ในกฎไตรลักษณ์ ถ้าจะอยู่ต่ออีกก็ไม่เที่ยงแล้วจะอยู่ไปทำไม เราตายเสียให้เที่ยง ตายแล้วก็แยกดินน้ำลมไฟ เราก็หายไป พระเจ้าของเราก็หายไป อัตตาของเรา จิตวิญญาณปรมาตมันของเรา ก็สลายเป็นดินน้ำไฟลมหายไปเลย นี่คือที่สุดแห่งที่สุด 

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าตรัสรู้อันนี้ อนุสสติ เรามาระลึกก็ระลึก เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่เราจะถ่ายทอดออกมาได้ แม้แต่ใช้คำว่า พระเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งเหมือนกับพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ ก็คือเราเป็นได้เหมือน จะสูงส่งเป็นพระพุทธเจ้าได้ก็เชิญ ไม่สูงส่งเป็นพระอรหันต์แล้วสลายตัวเองได้หรือเป็นโพธิสัตว์แต่ละระดับ แล้วจะสลายเมื่อไหร่ก็ได้นิพพานเป็นปริโยสาน เป็นพระโพธิสัตว์กี่ชั้น ระดับ 5 6 7 8 จนกระทั่งถึงพระพุทธเจ้า 

สามารถที่จะรีไทร์ตัวเองได้ตลอดทาง แล้วคนก็รีไทร์กลางทางเยอะ จะอดทนไปจนถึงเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งนั้น สุดน่าเบื่อ แต่ก็มีคนพากเพียรจะเป็นอย่างเช่นอาตมา ยังไม่ได้คิดจะวางยังไม่ได้คิดจะเลิก จนพากเพียรมาถึงขั้นที่ 7 ก็เข้าข่ายที่จะเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเที่ยงแท้ นิยตะ จนกว่าจะไปเป็นขั้นที่ 8 อีกยาวนาน สุดท้ายถึงขั้นที่ 9 เป็นพระพุทธเจ้า ก็ยังมุ่งมั่นอยู่ตอนนี้ ยังรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐเป็นสิ่งที่มีค่าเป็นสิ่งที่น่าจะรู้ ได้เกิดมาแล้วก็บำเพ็ญโพธิสัตว์มากกว่า 

รู้โพธิสัตว์ระดับ 5 มา 1 2 3 4 ยังไม่รู้อะไรเท่าไหร่ รู้จบแล้วอรหันต์ ขั้นที่ 4 ก็รู้แล้ว ก็ต่อระดับที่ 5-6 จนกระทั่งถึง 7 แล้วก็จะมี 8 ก็คิดว่าโอ้โห! ไหนๆก็พากเพียรแล้วก็จะพยายามจะให้รู้สิ่งนี้แล้ว ก็ยังไม่คิดที่จะเลิกสลายตัวเอง รีไทร์ตัวเองกลางคันก็ไม่คิด จะมาก็อยู่ไปแล้วก็มีวิบาก อาตมาก็รับมาจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อน 

ผู้ที่เข้าใจและเชื่อที่อาตมาพูดมาและเห็นจริงเห็นดีเห็นงาม ปฏิบัติประพฤติเป็นโพธิสัตว์ตามที่อาตมาพาทำก็มีเยอะ แล้วเป็นสายปัญญา สายที่เป็นปัญญานี้เข้าใจแล้วก็บรรเทาทุกข์ได้ สายเจโตหมดทุกข์ได้ยากซึ่งก็จะอดทน

ก็ขอจบอนุสสติ จากคุณที่ไม่บอกชื่อมา 

 

สู่แดนธรรม... พ่อครูได้รู้พุทธานุสสติเหล่านี้ได้อย่างไรครับ

พ่อครูว่า …จากวิชชาจรณะ เดี๋ยวได้รู้

 

สร้างเนื้อให้เหนือกว่าเปลือกจะไปได้นาน

ก็มาต่อ อัมพัฏฐสูตรที่ว่าถึงจรณะและวิชชา ที่ได้มีอัมพัฏฐมานพได้ถกกับ พระพุทธเจ้า. อัมพัฏฐะได้รับการถ่ายทอดเรียนรู้วิชชาจรณะจากอาจารย์มาจนตัวเองเป็นพราหมณ์ตั้งแต่หนุ่มๆ รู้ความรู้ ของความเป็นวิชชาและจรณะ แต่ไม่ได้ประพฤติไม่ได้เป็น ไม่ได้เป็นผู้ที่ประพฤติจนกระทั่งบรรลุ วิชชา สิ้นอาสวะไม่ได้เป็น ได้แต่ท่องจำได้เหมือนนกแก้วนกขุนทอง สั่งสอนคนก็มาก เป็นปทปรมบุคคล เหมือนอย่างในยุคนี้เป็น ปทปรมบุคคล ทั้งนั้นเลย 

สายหลับตาก็นึกว่าตัวเองบรรลุได้ก่อน แต่ที่ได้จริงดับมืดเป็น อสัญญีสัตว์ นึกว่าตัวเองได้นิโรธ แต่เป็นมิจฉานิโรธ 

ส่วนผู้ที่ใช้ปัญญาหรือเป็นสายปัญญาก็ยังพอรู้ว่า มันไม่ใช่นะ ก็ไม่กล้าจะพูด ก็ศึกษาไปเรื่อยๆกลายเป็นพญาครุฑ ความรู้ก็มีเยอะเลยในสายพวกศึกษา มันมาก ไม่รู้ใครต่อใครสะสมเป็นโลกจินตา เป็นความคิดของคนรอบๆมาผสมผสาน เขาก็ถือว่าเป็นความรู้หมด เลือกเฟ้น เรียกว่า สังเคราะห์เอาสิ่งที่ถูกต้องไม่เป็น ไม่เริ่มต้น ศีลสมาธิปัญญา ไม่เริ่มต้น

ศีล อปัณณกปฏิปทา 3 เกิดสัทธรรม 7 เป็นฌาน 1 2 3 4 จนเป็นวิชชา 8 วิมุต ไม่ได้ทำ 

มาถึงยุค 2,500 ปีของศาสนาพุทธ ก็คือ ศาสนาพุทธของทุกพระองค์แต่นี่ของพระสมณโคดมความเสื่อมมันเกิดจริง เสื่อมมากจนไม่เหลือแล้ว กระทำในศาสนาพุทธตามที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ใน อาณีสูตร ไปหลงกับผู้ที่ใช้วาทะเอาอะไรมาสอนผสมกันเต็มไปหมด 

ส่วนอาตมาเกิดพ.ศ. 2477 ในช่วงอายุที่ยังไม่ถึงพศ.2513 ตั้งแต่ พุทธศาสนา 2,500 ปี อาตมาก็เริ่มเข้าหาศาสนาเข้ามาศึกษาบำเพ็ญอย่างไม่รู้ตัวจนกระทั่งรู้ตัว นี่เป็นไปตามชะตาของคน ตั้งแต่ไม่รู้ตัวจนกระทั่งถึงรู้ตัว รู้ตัวก็ประมาณครึ่งนึงของศาสนาพุทธ 2500 ถึง 2513 ครึ่งหนึ่งก็ประมาณพ.ศ. 2506 - 2509 อาตมาก็รู้สึกตัวว่าต้องบำเพ็ญต่อ 

ก็ค่อยๆเป็น เป็นจนถึงพ.ศ 2512 ก็สำแดงเดชเลย ยังไม่ถึง ปี12 อาตมาก็เริ่มต้นเปิดคอลัมน์ตอบปัญหาธรรมะในคอลัมน์หนังสือธรรมะ หนังสือธรรมะของอาตมาเล่มแรกก็คือการรวมตอบปัญหาธรรมะ ก็ยังมีหลักฐานหรืออยู่ จนกระทั่งตัวเองเขียนหนังสือธรรมะจริงๆพอรู้ตัวได้ดีก็เขียน เล่มแรกก็คือ “คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก” เขียนแล้ว พ.ศ. 2517 ก็เปิดเผยด้วยการลงพิมพ์ในหนังสือสตรีสาร รายสัปดาห์ ก่อนเพื่อน จนจบ แล้วจึงมารวมเล่ม แจก พ.ศ. 2512 แจกแหลกเลย

 จนพ.ศ. 2513 อาตมาก็ลาจากทางโลกมาหมดเลย เริ่มต้นตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม เขียนใบลาออก เจ้านายก็ยับยั้งไว้ จนกระทั่งสุดท้ายก็อยู่ไม่ได้แล้วอย่างไรก็จะต้องไป เขาก็เห็นว่าเราปฏิบัติธรรมเอาจริงเอาจัง ก็ต้องยอม ออกมาได้ก็ลาออก

ลาออกมาตอนแรกอาตมามีมานะอัตตาอย่างหนึ่ง มันมองไม่เห็นความจริงว่าใครจะมีโลกุตรธรรม แล้วก็อยู่กันอย่างสังคมพุทธที่เหลวเละ ก็ไม่คิดจะไปร่วมกับเขาเลย จึงคิดว่า ไปอยู่คนเดียวทำงานคนเดียว ตอนนั้นก็ กับคุณชวนไชย เตชศรีสุธี อาตมาก็ไม่เอาทางโลกแล้ว ก็คิดจะไปหาที่อยู่มีที่สัก 2 ไร่แล้วก็สร้างกระต๊อบอยู่ อยู่แค่นี้ ใครมาหาก็บอกเคยไม่มาก็แล้วไปอยู่อย่างสงบๆ

พยายามตะลอนๆหาที่ 2 ไร่ไม่ได้ มีแม่ครัว คือแม่พวงอยู่ด้วย แม่พวงก็พูดเปรยกับแม่ค้าตอนไปตลาดว่า คุณผู้ชายอยากได้ที่สัก 2 ไร่ เพื่อที่จะบำเพ็ญธรรม ก็มีแม่ค้าคนหนึ่งว่า จะไปซื้อทำไมก็ให้ไปอยู่ที่วัดอโศการามสิ นี่ เป็นเหตุปัจจัยอจินไตยจะต้องชักนำให้อาตมาต้องไปอยู่ที่วัดอโศการาม แม้ค้าคนนั้นก็บอกแม่พวง ว่า เอาไปปลูกกุฏิอยู่ที่วัดอโศการามออกไปทางชายทะเลมีที่เยอะแยะไป ใครเขาก็ไปปลูกกุฏิอยู่ มาบอกอาตมา อาตมาก็เลยไปดูก็ดูเข้าท่า 

ก็เลย ไปสร้างกุฏิหลังที่เห็นนี่แหละ มีแม่พวงว่า อยากออกไปด้วยก็เลยต้องสร้างอีก 1 หลัง คอยดูแลอุปัฏฐากก็ดี ก็ออกมาด้วย ออกมารองเท้าไม่ใส่ นุ่งกางเกงขาสั้นทั้งที่เป็นดารานะ ไม่มีใครไม่รู้จักอาตมา อาตมาออกโทรทัศน์มากกว่าใครเพื่อน เพราะอาตมาทำรายการหลากหลายตั้งแต่รายการเด็ก รายการสารคดี รายการละ 30 นาที อาตมาเหมารายการมากกว่าเพื่อนจึงมีรายได้มาก แม้จะเป็นรายการเล็กๆแต่เก็บเบี้ยใต้ถุนร้านได้เยอะ คนก็ต้องรู้จักเพราะมีโทรทัศน์อยู่ช่องเดียว ต่อมาก็มีเพิ่มอีกหลายช่อง วิวัฒนาการมา 

อาตมามันเป็นคนที่ คนจำเป็นต้องรู้จักอาตมาเพราะอาตมาออกมาก คนจำเป็นต้องรู้ ไม่ได้เป็นดาราเอก แต่ทำมาก มากเข้าว่า คนก็เลยต้องรู้จัก ทุกวันนี้ทำงานมา 50 ปีทางศาสนา ก็ยังถือว่าไม่มาก คนก็ยังไม่รู้จักเท่าไหร่ เพราะว่ายิ่งเป็นโลกุตรธรรมยิ่งยากมากที่คนจะรู้จัก ก็มีคนรู้จักอยู่จำนวนไม่มาก อยากรู้จักเข้าใจจริงปฏิบัติตามและบรรลุผลจริงๆเป็นผู้มีมรรคผล จึงพิสูจน์ยืนยันได้จากธรรมะพระพุทธเจ้าเลยว่า 

มามี วรรณะ 9 จิตเป็นพุทธพจน์ 7 จึงรวมตัวเป็นสาราณียธรรม 6 อยู่กันอย่างเป็นชุมชน สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา  เป็นปรากฏการณ์จริงอยู่ทุกวันนี้ 

คนผู้ที่แย้งอาตมา เขาแย้งในสิ่งที่อาตมาพาทำ เป็นสังคมจริงคนจริงมีวัฒนธรรมจริงเพราะพูดจริงเป็นจริง ตรงกับตำราพระไตรปิฎกของพระพุทธเจ้า เขาก็แย้งไม่ได้ แม้จะมีจำนวนน้อยเขาก็ยังไม่ได้ เขาก็ต้องยอมให้เป็นอย่างนี้อยู่ บางคนก็รู้ว่า ต้องยอมรับยกย่องแต่ก็มาไม่ได้เขาก็อยู่ทางโน้น คนไหนพอมาได้ก็พยายามมา มันไม่ง่าย พยายามมาก็มาได้เท่านี้ก็พากเพียรไป ทำไปต่อไปเรื่อยๆ

สิ่งที่ทำอย่างเปลือกๆ propaganda หาเสียงแบบการเมือง หรือประชาธิปไตยเปลือก กับการเมืองสารัตถะแบบเนื้อ แบบเปลือกนี่ไม่ครบ 2  ประชาธิปไตยขาเดียว แล้ว ขาเดียว เอาแต่หาเสียงกับสร้างภาพมีแต่เปลือก ส่วนพวกเนื้อ ผู้ที่ทำเนื้อได้มันจะมีเปลือก ส่วนผู้ที่ทำแต่เปลือกจะทำเนื้อไม่ได้ มันจะเห็นชัดขึ้นไปทุกทีๆ

ฉะนั้นประชาธิปไตยขาเดียวมีแต่เปลือกจะเห็นชัดเจน ยกตัวอย่างเป็นรูปธรรม เหมือนทางสายตะวันตก ไม่มีสารัตถะของโลกุตระ เป็นประชาธิปไตยเปลือก ที่ชัดเจนอยู่ทุกวันนี้ที่ว่าเป็นใหญ่ก็คืออเมริกามีขาเดียวเปลือกเลือกตั้งอย่างเดียว ไม่มีเนื้อของจิตวิญญาณร่วมด้วยอันนี้ก็ยากที่จะเข้าใจ แม้แต่เมืองไทย เป็นประชาธิปไตยเนื้อ มีเปลือกหุ้ม เป็นเนื้อแท้ๆ ของความเป็นประชาธิปไตย มีแกน ความรู้ของพระพุทธเจ้ามา จนกระทั่งมาถึงวันนี้ ก็เป็นประชาธิปไตยที่มีเนื้อและก็มีเปลือกหุ้ม แต่ยังเป็นประชาธิปไตยที่ยังไม่ใหญ่ ยังเป็นก้อนประชาธิปไตยที่ไม่ใหญ่ คนก็เห็นรูปร่างไม่ได้ เพราะว่ามันยังเล็กละเอียด เกินกว่าตาสามัญของโลกโลกีย์จะรู้ได้เพราะมันเป็นโลกุตระ ก็ค่อยๆสร้างค่อยๆทำเนื้อไป 

ขอพาดพิงถึงปัจจุบันธรรม ยกตัวอย่างเป็นตัวตน อาตมาไม่สงสัยคุณรสนากับคุณชัชชาติ

คุณชัชชาติเป็นประชาธิปไตยสร้างเปลือก โฆษณาหาเสียงวางแผนทำมานาน คุณรสนานี้ทำเนื้อมาโดยไม่ได้สร้างเปลือก จนกระทั่งมาวันนี้ประกาศตัวจะลงสมัครผู้ว่า จึงมีอโศกไปเป็นเปลือกให้เป็นรสนา ไปช่วยเป็นเปลือกให้รสนา อโศกก็ยังไม่ใหญ่ยังไม่มาก ก็เลยไปหุ้มรสนาไปช่วยให้เป็นรูปเป็นร่าง เปลือกก็บางๆ เนื้อก็ยังไม่มากเลย สู้ชัชชาติไม่ได้เพราะว่าเปลือกใหญ่เหมือนอึ่งอ่าง พอง สักวัน ก็เป็นตามนิทานอีสป ในนิทานก็จะต้องท้องแตกระเบิดตายเพราะมันไม่ใช่ความจริง ขออภัยอาตมาพูดสัจจธรรมให้ฟัง ไม่ได้ดูถูกดูแคลนคุณชัชชาติ แต่มันเป็นเรื่องจริงที่เป็นอย่างนั้น 

เขามีวิธีการสร้างภาพ โปรโมทตัวเอง ไว้นานหลายปี เขาวางแผนมานานหลายปี แล้วไม่ต้องกลัว เขาจะต้องไปเป็นนายกฯให้ได้มันต้องผ่านตรงนี้ จึงต้องดูกันไป จึงคอยดูกันไป อาตมาไม่พยากรณ์ว่า ชัชชาติ จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ อาตมาตอบได้เลยว่าอาตมาไม่รู้หรอกว่าเขาจะสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ไหม แต่จุดเป้าหมายเขาถึงแน่ เพราะเขายังอายุไม่ถึง 60 ตอนนี้ เขาเอาแน่ เขาวางทางมา วางแผนมา

แต่วิธีวางทางของเขาเป็นวิธีวางทางแบบ โปรโมท สร้างเปลือกมันเดินทางกันคนละอย่างกับรสนา ขออภัยคุณชัชชาติด้วย คุณรสนาที่มาใช้เป็น specimen อธิบายสัจจธรรมให้ฟัง ขออภัยหากถือสาแต่ไม่ได้ดูถูกดูแคลนทั้งคู่ มันเป็นลักษณะ 2 อย่าง 

แต่ถ้าคุณชัชชาติรู้ตัวแล้วเร่งสร้างเนื้อให้มาก คุณจะเป็นนายกฯที่ดีเลย ตอนนี้คุณสร้างเปลือกได้ชำนาญ หากคุณหันมาสร้างเนื้อได้จะทัน เกิดปี 2509 อายุ 56 ก็ทัน อีก 4 ปีนี้ทันสร้างเนื้อได้เป็นนายกฯที่มีเนื้อมีเปลือก อย่างใช้ได้เลย ข้อสำคัญต้องเรียนรู้โลกุตระให้ได้ให้ดี จะได้เป็นนายกที่มีเนื้อของโลกุตระ ในเมืองไทยเป็นได้ เพราะมีเชื้อโลกุตระมีตัวจริงเป็นได้อย่างเช่น ชาวอโศกมีโลกุตรธรรม

สิ่งที่พูดไปคร่าวๆไม่ใช่เข้าใจได้ง่ายแต่เป็นสิ่งที่ต้องปลูกฝังให้คนไทย เพราะคนไทยเป็นคน คนชาติอื่นก็เป็นคน เราก็ต้องทำสิ่งที่ดีที่สุด พระพุทธเจ้า เป็นมนุษย์ที่ดีที่สุด เรามีเชื้อแล้วเราก็ต่อเชื้อไปพัฒนาต่อยอดไป มีองค์ประกอบสิ่งผสมผสานไปเป็นของจริง 

อาตมาไม่ได้ลำเอียงไม่ว่าเป็นใคร ทักษิณก็ตาม แหม อาตมาก็พยายามจะนึกถึงคนที่แย่กว่าทักษิณ มันนึกไม่ออก หรือจะเป็นคนที่เป็นนายกฯมา 29 คน พลเอกประยุทธ์คนที่ 29 ยิ่งลักษณ์คนที่ 28 ต่อลงไปเป็นสมชาย เป็นคนที่ 27 อภิสิทธิ์เป็นคนที่ 26 สมัครเป็นคนที่ 25 ทักษิณเป็นคนที่ 24 

ทักษิณ สมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ของทักษิโณมิกส์ มันได้เห็นเป็น โลก อจินไตย คนที่สร้างลัทธิวิธีการ แบบของ ดร.อาชญาวิทยา มันฉลาดซับซ้อน ใช้ทั้งอำนาจเงินทองทุนรอน ทุกวันนี้ เพียงใช้แค่ดอกเบี้ยก็ยังใช้ไม่หมด เขาก็จะตายอยู่ในกองทรัพย์สิน เป็นผู้ที่โกงได้มากมาย จนกระทั่งทุกวันนี้ เขาพูดได้แค่ว่า เขาจะไปกลัวอะไร เครื่องบินส่วนตัวก็มี บ้านช่องเรือนชานมากมายอยู่ต่างประเทศ ก็จริงของเขา จะเข้าประเทศไม่ได้ จริงๆเข้าได้ แต่ตัวเขาไม่กล้าเข้ามา เข้ามาก็ถูกดำเนินคดี เขาทนไม่ได้แน่นอน ที่จะต้องถูกจับเข้าคุก เขาก็จะอยู่นอกคุกดีกว่าเหมือนกับคนหนีคดีอยู่นอกประเทศ ไม่ยอมเข้าคุกกันทั้งนั้นก็เป็นสามัญของคนคิดทำอย่างนั้น ถ้าแน่จริงก็เข้ามาเข้าคุก ที่จริงถ้ามาตั้งแต่ก่อนก็เดี๋ยวนี้ออกจากคุกแล้ว ออกมาทำดี แต่ที่จริงเขาคิดอย่างที่จะดีไม่ได้ เพราะว่าเขาไม่ใช่คนที่จะเดินทางไปทางดี เขาก็ต้องเป็นอย่างนั้น 

แต่ทีนี้ เมืองไทยเป็นเมืองใจดี ไม่โหดร้ายรุนแรง อนุโลมปฏิโลม ที่จริงตามมาเข้าคุกก็ได้ให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนก็ได้ แต่คนไทยก็ไม่ทำ ผู้ที่มีอำนาจก็ไม่ทำ คนไทยมีจิตใจเมตตาก็ปล่อยไปตามยถากรรม ที่จะเป็น 

อาตมาพูดสัจธรรมอันนี้ ขออภัยทักษิณ มันเป็นเรื่องจริงของแต่ละชีวิตแต่ละอัตภาพหรือแต่ละอัตตา มันก็เป็นไปตามกรรมตามวิบาก ที่จะต้องส่งผลเป็นไป ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่ากรรมวิบาก มันจะเป็นเช่นนั้น เป็นสิ่งที่ทำแล้วเป็นอันทำ หนีฤทธิ์เดชของกรรมวิบากไม่ได้  กรรมเป็นอันทำ ชั่วนิดเดียวก็อย่าทำเสียเลย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจน 

 

เข้าเรื่องอัมพัฏฐสูตร 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สู่แดนธรรม.. 

 

ลักษณะเจโตมีน้อยกว่าโพธิสัตว์ในสมัยพุทธกาล

พ่อครูว่า... ผู้ที่พบพุทธศาสนาแล้ว เห็นดีเห็นงามแล้วก็ออกมาประพฤติ หรือไม่ต้องออกมาบวชก็เป็นฆราวาสอยู่ที่บ้าน หรือออกบวช ก็เรียกว่า โภคขันธาปหายะ ญาติปริวัตตังปหายะคือตัดญาติ ตัดทรัพย์สินศฤงคารทุกอย่างทิ้งไป มาเป็นคนสูญ เปล่า ไม่มีเงินไม่มีทอง มาปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า โดยเดินตามศีล สมาธิ ปัญญา สั้นๆเรียกสิกขา 3 

ศีล จะเกิดสมาธิก็ต้องมี อปัณณกปฏิปทา 3 แล้วจะค่อยๆเกิด สัทธรรม 7 แล้วตกผลึกเป็น ฌาน 1 2 3 4 เป็นวิมุติ ก็สะสมวิมุติ ก็มีวิมุติเล็กหลายวิมุติรวมรอบเป็นวิมุติที่โตขึ้นไปจนเป็นวิมุติสุดท้าย หมดกิเลสอาสวะก็เป็นพระอรหันต์ 

เป็นอรหันต์แล้วก็บำเพ็ญเป็นโพธิสัตว์ ยุค พระพุทธเจ้ามีพระอรหันต์แล้วก็มีพระโพธิสัตว์เยอะมาก แต่ พระพุทธเจ้าท่านจะบอกว่า โพธิสัตว์ก่อนพระอรหันต์ท่านก็บอกอย่างนั้นไม่ได้ แต่ความเป็นจริงของเนื้อแท้นั้น โพธิสัตว์ เกือบจะทั้งนั้น มีสายเจโตที่จะเอาแต่พระอรหันต์ เช่น พระกัสสปะ เป็นต้น สายศรัทธา จะเอาแต่อรหันต์ซึ่งมีน้อย ส่วนใหญ่เป็นโพธิสัตว์พระพุทธเจ้าเป็นสายปัญญาแท้ๆ ซึ่งคนละขั้วกับพระกัสสปะที่เป็นศรัทธาแท้ๆ ก็เป็นสามัญคู่กัน

พระพุทธเจ้าถึงจะใช้พยัญชนะว่า ท่านช้อนช่วยพระกัสสปะ คือมีคนเห็นว่าพระกัสสปะคนละขั้ว พระพุทธเจ้าก็บอกว่า กัสสปะ มีความเสมอกับเรา จะว่าไปแล้วมันมีความสุดโต่งของสายเจโตคือยอดเจโตคือพระกัสสปะ  กับยอดปัญญา คือแบบพระพุทธเจ้า ไม่มีสูงกว่านี้อีกแล้วในสายปัญญาไปยิ่งกว่านี้อีกแล้ว 

พระสมณโคดม มีอจินไตยคือ ท่านบำเพ็ญมานานกว่าใคร แต่ศาสนาของท่านสั้นกว่าใครๆ ท่านบำเพ็ญมานานกว่าพระพุทธเจ้าองค์ก่อนหลายองค์ ใช้เวลานานกว่า ทำงานมาเป็นโพธิสัตว์ทำงานมา กับโลกกับมนุษยชาติมากกว่าพระพุทธเจ้าหลาย พระองค์ แต่ก็มาเป็นพระพุทธเจ้าสั้นที่สุด ท่านบำเพ็ญ เป็นพระโพธิสัตว์ จนกระทั่งเกินกว่าพระโพธิสัตว์อื่น รองพื้นบำเพ็ญสู้พระพุทธเจ้าสมณโคดม แต่ประกาศศาสนาของท่านสั้นกว่าของเขา ศาสนาพุทธของสมณโคดม 5,000 ปีก็จบแล้ว บางองค์เป็นหมื่นเป็นแสน ศาสนาพุทธบางครั้งยาวเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านปี

 

สังวรศีลอันเป็นอาริยะเป็นเช่นใด

อัมพัฏฐสูตร เมื่ออัมพัฏฐะจำนนไม่มีจรณวิชชาสมบัติ เขาได้แต่ท่องจำได้สอนผู้อื่นได้ทั้งนั้นแต่ตัวเองไม่มีการปฏิบัติจนได้มรรคผล พระพุทธเจ้าก็ขึ้นต้นด้วยว่า 

ในพุทธคุณ 9 เนื้อแท้การปฏิบัติก็คือจรณะและวิชชา นอกนั้นเป็นฉายาของ พระพุทธเจ้า เท่านั้น อีก 8 ประการ 

[163] ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ จรณะนั้นเป็นไฉน วิชชานั้นเป็นไฉนเล่า.

ดูกรอัมพัฏฐะ พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม

พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ

วิชชาเป็นยาดำแทรกในจรณะตลอดสาย มีปัญญาหรือธาตุรู้ มีความรู้เข้ามาส่งเสริมให้เกิด อธิศีล อธิจิต อธิปัญญาตลอด 

จับหลักแท้ของการปฏิบัติ ศีลเป็นหลัก ไม่มีศีลเป็นหลัก ไม่ใช่ศาสนาพุทธ 

พูดถึงศีล ศีลของพระพุทธเจ้าแท้ๆคือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล 

จุลศีล เป็นศีลต้น 26 ข้อ 

ปฏิบัติไปสรุปง่ายๆ 26 ข้อ สรุปมาเป็นสังเขปได้ศีล 5 

ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์กับคน ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับของและพืช ศีลข้อที่ 3 เกี่ยวกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส 

ปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสนะ 

ปฏิบัติศีลทั้ง 26 ข้อ ขยายผลให้ผู้ปฏิบัติ ทำได้มรรคได้ผล รู้จักเนื้อแท้ของโลกุตรธรรมสมบูรณ์แบบ 

จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แตกต่างกันอย่างไร

หมวดจุลศีล ใช้ปฏิบัติ มัชฌิมศีล ใช้ปฏิบัติละเอียดยิ่งขึ้น ส่วนมหาศีลนั้นเป็นหมวดที่อย่าไปปฏิบัติ เลิก เป็น เดรัจฉานกถา เดรัจฉานวิชชาทั้งนั้น

เดี๋ยวนี้เขาไม่รู้จัก จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แล้ว มีแต่วินัย 227 เขาแยกความแตกต่างระหว่างศีลกับวินัยไม่ได้ ใน 227 ข้อมีปาราชิก 4 ข้อ เขาก็ทำการปาราชิกกันไม่รู้เรื่อง เต็มไปหมดในวงการศาสนาพุทธ 

ยิ่ง นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ไม่ต้องพูดถึงเลย เพราะฉะนั้น อาตมาบวชกับเขาจึงอยู่ร่วมไม่ได้จึงขอแยกออกมาเป็นนานาสังวาส เพราะว่ามันยิ่งกว่าสิ่งหมักหมมเน่าเหม็นที่อยู่กัน ขออภัยที่พูดความจริง อาตมาอยู่ร่วมไม่ได้ นี่เป็นสัจจะ จึงต้องขอแยกออกมา ทั้งที่ไม่ได้อยากจะแยกเลย อยากจะให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งเดียวกันแต่ความจริงมันยังไม่เป็น ก็ต้องยอมรับความเป็นจริงมันเป็นอย่างนั้น ไม่อยากให้ฉีกเนื้อความเป็นไทยร่วมกันให้ออกไปเลย แต่เมื่อมันเป็นแผลมีความเน่ามันเสียแล้ว จำเป็นต้องตัดเอาเนื้อเน่าเสียออก ไม่งั้นจะมาลุกลาม เราก็จะเน่าเสียไปด้วย ทำเนื้อแท้ไปไม่ถึงไหน ก็จำเป็นต้องประกาศนานาสังวาสในวันที่ 6 สิงหาคม 2518 บวชมาได้ 5 ปี บวชพ.ศ. 2513 

ส่วนมหาศีล เป็นศีลที่ ห้ามทำเดรัจฉานวิชชา

มหาศีล

1. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ ทำนายหนูกัดผ้าทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้านดูลักษณะที่นา เป็นหมอปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองูเป็นหมอยาพิษ เป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทายเสียงกา เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

 

พ่อครูว่า... มีเต็มไปหมดในวงการศาสนาพุทธกระแสหลัก ขออภัยไม่ได้ลงโทษไม่ได้หาเรื่อง ตรวจสอบตามพระไตรปิฎก ตั้งแต่ พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้ว่าจะเกิดความเสื่อม อาตมาก็พยายามเอาเนื้อแท้ขึ้นมา สร้างขึ้นมา สถาปนาลงไปในศาสนาพุทธแทนความเสื่อมความเน่าเฟะนั้น ไม่ได้มีความอกุศลทางจิต ไม่มี มีแต่กุศลจิตแท้ๆ แต่จำเป็นจะต้องพูดความจริงก็ต้องพูดความจริง อะไรมีความถูกต้องก็ว่าถูก อะไรมีความผิดก็ว่าไปตามผิด 

เดรัจฉานวิชชาคือ วิชาที่ไม่พาไปนิพพานเป็นวิชชาที่ขวางทางนิพพาน เป็นวิชชาที่ทำให้ไม่พ้นจากความเป็นสัตตาวาส  9 

สรุปแล้ว จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เช่น เดรัจฉานวิชชา ของชาวพุทธกระแสหลักเต็มไปหมด ยกตัวอย่างเช่น ไสยศาสตร์ เยอะแยะ เละเทะเต็มไปหมด ทุกอย่างที่เขาปฏิบัติประพฤติกันอยู่ แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเดรัจฉานวิชชาทั้งนั้น ไม่เป็นวิชชาที่พาไปนิพพาน 

แม้ที่สุด ปฏิบัติมา หลับตาแบบเดียรถีย์มันไม่ได้ ก็พาไปทำ แต่ก็ดันทุรังปฏิบัติจนกระทั่งนึกว่าตัวเองบรรลุ สายหลักๆ ตั้งแต่อาจารย์เสาร์อาจารย์มั่นก็ไม่พูดมากเท่าไหร่ พอมาถึงมหาบัวเป็นฆ้องปากแตก โพนทะนามาก ว่าตนบรรลุสูงสุดจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย พูดคำเลี่ยง ไม่กล้าประกาศตัวเองว่าเป็นพระอรหันต์เหมือนอย่างอาตมา แต่สายนั้นไม่รู้จักโพธิสัตว์อยู่แล้ว มีแต่อรหันต์อย่างเดียว แล้วเป็นอรหันต์อย่างมืด อรหันต์เก๊ด้วย อาตมาต้องมาพูดแก้ไข ขออภัยไม่ได้ดูถูกมหาบัวเลย ขออภัยลูกศิษย์ลูกหา แต่อาตมาเลี่ยงที่จะไม่พูดความจริงไม่ได้ 

สรุปว่า สายหลับตานั้นไม่มีทางบรรลุธรรม หลับตาเป็นอุปการะของการปฏิบัติธรรม จะหลับตาหรือไม่หลับตาอยู่ในภวังค์ ก็คิดได้ ไม่อยู่ในภวังค์ คิดโดยทางลืมตา คิดเลยแม้กระทั่งลืมตาก็สามารถเตวิชโชถ้ามีไหวพริบปฏิภาณที่เร็วเพียงพอ ไปได้ ทำได้ แต่ถ้าเผื่อว่าได้หลับตา พิจารณาระลึกถึง บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ ก็ได้เป็นเนื้อเป็นหนังดี

สรุปว่าสัมมาทิฐิของพระพุทธเจ้านั้นต้องเป็นจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ ต้องมีตา หู จมูก ลิ้น กาย รู้ภายนอกภายใน กาย ต้องมีภายนอกภายใน สัมมาทิฏฐิ  ตั้งแต่คำว่ากายก็ไม่มีแล้ว ไปหลับตาก็ทิ้งกายภายนอกแล้ว ไม่มีภายนอกร่วมด้วย 

แล้วจะมาพูดเรื่อง กาย ต้องมีภายนอกภายใน พูดมาตั้งนาน คนก็ไม่รู้เรื่องแต่ก็ต้องพยายามพูดต่อไป คนที่ได้ก็พากเพียร ปฏิบัติ ศึกษา ก็ได้มาตามลำดับพระพุทธเจ้า อธิบายเรื่องของศีลแล้ว ต่อจากศีล ก็เป็นอินทรีย์สังวร จากนั้นก็มีสติสัมปชัญญะ แล้วก็มีความสันโดษ 4 อันนี้

1. ศีล 2. อินทรีย์สังวร 3. สติสัมปชัญญะ 4. สันโดษ 

ในสามัญผล จะรู้ว่าศีลอันเป็นอาริยะ สำรวมอินทรีย์ที่เป็นอาริยะ สติสัมปชัญญะที่เป็นอาริยะและสันโดษอันเป็นอาริยะ อาตมาใช้คำว่าอาริยะ เขาใช้อริยะซึ่งมันได้ผิดเพี้ยนกลายเป็นเดียรถีย์ไปแล้ว ส่วนอารยะนั้นเพี้ยนไปทางทุนนิยม ทางโลกีย์ เหมือนเขายกย่องประเทศอารยะก็คือประเทศที่เจริญทางวัตถุ เป็นต้น 

เพราะฉะนั้น เมื่อผู้ใดทราบความเป็นอาริยะทั้ง 4 นี้แล้ว ปฏิบัติ มันก็เข้าหลักจรณะ 15 วิชชา 8 

คือ จะเจริญด้วยศีล เจริญด้วยการสำรวมอินทรีย์ เจริญด้วยสติ เจริญด้วยความสันโดษ 

สันโดษ แปลว่า ใจพอ แปลว่า มีคู่อัปปิฉะ สันโดษหรือสันตุฏฐิ มีน้อยลง จนเป็นสูญ มีสมบัติเป็นศูนย์ ไม่สะสม อปจยะ แต่เป็นคนขยันหมั่นเพียรสร้างสรรทำงาน มีเท่าไหร่ไม่สะสมเลย แต่แจกจ่ายออกไปจนกระทั่งตัวเองไม่ต้องมีส่วนตัวเลย อยู่กับหมู่มีกินใช้อยู่กับส่วนกลาง ทุกคนก็ช่วยกันบริหารอย่างนี้เป็นต้น 

ชาวอโศกได้ประพฤติปฏิบัติจนเกิดสังคมสาธารณโภคี มีส่วนกลาง เหมือนสังคมที่เขาต้องการ ต้องการเงิน เข้ามาส่วนกลางของรัฐบาล  ทั้งคอมมิวนิสต์ ทั้งประชาธิปไตย ทุกประเทศในโลก หรือจะไม่เรียกลัทธิคอมมิวนิสต์หรือประชาธิปไตยก็ตามหรือเป็นลัทธิอื่นใดเป็นเผด็จการก็ตาม เขาก็ต้องการส่วนกลางให้ได้มากที่สุด แต่ของพุทธนั้นส่วนกลาง กองกลางให้ได้น้อยที่สุดที่จะหมุนเวียนได้ ไม่รันช็อต ไม่ขาดตอน หมุนเวียนได้อย่างสมดุล หมุนเข้าหมุนออกได้อย่างไม่ขาดตอน โดยคงคลัง มีน้อยได้เท่าไหร่ ยิ่งดีที่สุดยิ่งเก่งที่สุด แต่ก็ต้องคงคลังประมาณหนึ่ง มีตามฐานะของบุคคล องค์ประกอบของบุคคลที่จะช่วยบริหาร นี่คือเศรษฐศาสตร์ชั้นสุดยอด 

เศรษฐศาสตร์สุดยอดคือสาธารณโภคี ทุกคน ละลดตัวตน ไม่มีตัวตนไม่มีของของตนทำงานเอาเข้ากองกลางหมด กินใช้ร่วมกับกองกลาง แล้วแต่ใครจะได้รับ อย่างผู้ช่วยจะมาบริหาร อยากได้ไปขอแบ่งเขา ก็ไม่ค่อยจะให้ก็เป็นวิบากของใครของมัน ใครยิ่งเป็นหมาหัวเน่าเขายิ่งไม่ให้ มันก็เป็นสัจธรรมที่ตัวเองปฏิบัติไม่เข้าท่า ถ้าปฏิบัติเข้าท่าเขาก็ให้ เช่น

ผู้ที่ขยันหมั่นเพียรและไม่ค่อยจะใช้ ใครๆเขาก็อยากจะให้ มีขาดเหลืออะไรก็ให้ใช้ แต่คนที่อะไรนิดอะไรหน่อยก็เบิกใช้เอาไป ยักยอกสะสมเป็นของตัวเอง คนนี้เขาก็ไม่มีใครอยากจะให้ เพราะมันผิดประหลาดไปจากหมู่เขา อย่างนี้เป็นต้น 

เรื่องเศรษฐศาสตร์สาธารณโภคียังอีกนานที่โลกจะรู้ เพราะว่าเป็นเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ถ้ากรรมการโนเบิ้ลไพลส (Nobel Prize) มีปฏิภาณปัญญาเกิดรู้จักโลกุตรธรรม โอ้โห!.. เศรษฐศาสตร์บุญนิยม สาธารณโภคีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เขาจะรีบมาให้รางวัลโพธิรักษ์เลย แต่อาตมาว่ายาก เพราะเขาจะเข้าใจไม่ได้ ว่า อาตมาเข้าใจ ความเป็นจริงอันนี้ 

อาตมาจึงไม่เคยคิดว่าน่าจะได้ จะไปได้อย่างไรเพราะว่ากรรมการเขาไม่รู้ว่าเป็นของมีค่า แล้วจะมาตัดสินในสิ่งที่เขาไม่รู้ว่าอันนี้ยิ่งใหญ่ มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันขัดแย้งกันอยู่ในตัวของมันเอง เราจึงไม่รู้สึกประหลาด 

อาตมาได้รับรางวัลจาก แมนเฮ เพราะเขาเข้าใจเศรษฐศาสตร์หรือสันติภาพอย่างที่อาตมาเข้าใจ ถ้าคนเขาจะรู้ว่าอาตมามีเศรษฐศาสตร์หรือสันติภาพ อาตมาทำเศรษฐศาสตร์แบบพูดทำสันติภาพแบบพุทธ ซึ่งไม่ใช่ว่าเขาจะเข้าใจได้ง่ายๆ 

มาสรุป ความรู้ที่จะรู้ในเรื่องของ ศีลก็ดี สำรวมอินทรีย์ก็ดี สติสัมปชัญญะก็ดี และสันโดษก็ดี

เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะสามารถ จะรู้จักคุณธรรม แม้อปัณณกปฏิปทา 3 ยิ่งเป็น สัทธรรม 7 ยากมาก ยากมากที่จะเข้าใจในสัทธรรม 7 จะต้องเกิด ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหุสูตร ถ้าเกิดความรู้ รู้อะไร รู้ว่าจิตที่มีศรัทธาเป็นอย่างนี้ จิตที่มีความละอายต่อบาปอย่างนี้ ละอายอะไรละอายที่เราเคยไปถล่มทลายท่านผู้รู้ เอาขี้หมาไปข่มทองคำ พอพวกนี้สำนึกและรู้แล้ว เราจะรู้ว่าตัวเองมืดบอด มันไม่รู้อิโหน่อิเหน่ คนนี้จิตจะสำนึก ละอาย เกรงกลัวอย่างแรงกล้า พูดมาแล้วก็สนุกที่จะอธิบายต่อ แต่นาฬิกาเค้าท์ดาวน์ จบ

สู่แดนธรรม.. สรุปจบ

ที่มา ที่ไป

650523 พุทธานุสสติ และอัมพัฏฐสูตร รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 39 

วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 พฤษภาคม 2565 ( 06:50:50 )

650527

รายละเอียด

650527 สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ สติ สันโดษอันเป็นอาริยะ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ

https://www.boonniyom.net/52178.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                          

https://docs.google.com/document/d/1YM3P_Zi61YRKCkGWt41Ls_Kr-FMg84Fj0BtkN4XDP48/edit?usp=sharing         

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1knPyfZTpCEl4Rh36v8KjbKLwmI9ByL3X/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่  https://youtu.be/Wg3Rr3VJbUI 

และ https://fb.watch/dgwlR3J1qr/ 


สมณะฟ้าไท...วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ใกล้จะถึงงานอโศกรำลึกไปทุกที เป้าหมายการจัดงานครั้งนี้ต้องการให้เกิดแก่นแท้ที่เป็นพลังวิมุติในชาวอโศก แต่ละองค์กรแต่ละที่ก็ควรมาประชุมกันว่าจะทำอย่างไรให้เกิดแก่น ในบุคลากรของหน่วยงานเรา

พ่อครูว่า...SMS วันที่ 25-26 พ.ค. 2565

_สินอโศก · รับชมรายการพุทธศาสนาตามภูมิสดอยู่เสมอเจ้าค่ะ เพียงแต่ไม่ทราบว่าจะพูดอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างลงตัวมากเจ้าค่ะ หากบางครั้งไม่แน่ใจก็จะพยายามมาเรียนรู้เพื่อให้เข้าใจ หรือในบางครั้ง ก็ถามผู้รู้เอาเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า...ก็ดีตั้งใจดี 

_สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ : เราหนุนลุงตู่เพราะลุงมิใช่ทางหลักทางเลือกเพื่อผลปย.ส่วนตนส่วนใคร'เราหนุนลุงเพราะลุงคือทางรอดเพื่อสันติสุขชาติสงบสุข ปชช. 'เราหนุนลุงคนดีเพราะลุงปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างของคนไทย

หมดอร่อยหมดสุขจึงหมดทุกข์ได้จริง

_ธรรมธารทิพย์ วงษ์รักษ์ มาลิณี  · ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ทำตามพ่อครูสบายๆ หมดสุขหมดทุกข์ได้ สาธุค่ะ

พ่อครูว่า...ทางสามัญทั่วไปเขา ให้หมดทุกข์แต่ยังจะเอาสุขอยู่ เขาไม่เข้าใจความหมดทุกข์หมดสุข เขาไม่เข้าใจปรมัตถ์ 2 ที่เป็น 1 สุขกับทุกข์มันก็เป็นมายาตัวเดียว ถ้าทำสุขกับทุกข์ที่เป็น 2 นี่ให้หมดไปก็เป็น 0  แต่เรายังไม่ตายเราก็ยังเป็น 1  เราทำให้จิตเราไป อทุกขมสุข ไม่ทุกข์ไม่สุขได้ คนที่มีอร่อยก็ไม่มีหรือไม่อร่อย ไม่อร่อยก็ไม่มี ภาวะกลางๆ คุณฟังภาษาเข้าใจ แต่จิตของคนที่จะเป็นจริงต้องเป็นจริง อย่างอาตมานี้มันเป็นจริง ไม่อร่อยหรืออร่อย เรารู้ 

อร่อยคือสมมุติโลก ไม่อร่อยก็คือสมมุติโลก แต่ภาวะจริงของมันก็คือ ถ้าเป็นรสทางลิ้น แตะอันนี้ มันเปรี้ยวมันเค็มมันหวาน มันก็รู้ตามสัจจะที่มันเป็นเท่านั้นเอง มันไม่มีเค็มอันนี้อร่อยเปรี้ยวอันนี้อร่อยหวานอันนี้อร่อย หรือต้องจืดกว่านี้ เปรี้ยวไม่อร่อย หวานไม่อร่อย มันจะมีตัวเก๊ กับตัวจริง รสเก๊กับรสจริง

พวกเรานี้ได้ศึกษา ข้างนอกเขาไม่ได้ศึกษาหรอก อธิบายแล้วเข้าใจแล้วจิตเราจะต้องเป็นอย่างนั้นจริงๆ คนที่ปฏิบัติได้แล้วจิตจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ 

นี่อาตมาไม่อร่อยมานาน ทุกวันนี้ มันลากสังขาร ต้องเอาอาหารไปเลี้ยงขันธ์ให้ได้ สังขารเราก็ยิ่งแย่ลงเราก็ยิ่งไม่อยากกิน ไม่ใช่ไม่อยากแบบมีกิเลส แต่มันถึงวาระที่ เสื่อมจะต้องตาย มันก็ไม่ค่อยต้องการที่จะสังเคราะห์ที่จะสังขารอันนี้แล้ว แต่เรายังไม่ยอมให้มันตาย เราก็ต้องเอาอันนี้ให้มันปรุงแต่งร่างสรีระนี้ไว้ ก็ต้องใช้ความพยายามมาก ก็พยายามเอา ใครทำอาหารอร่อยๆทำมาเอามา ปลุกเร้าให้อาตมาอร่อยขึ้นมาบ้าง พยายาม ตอนนี้ก็รู้สึก มันก็พยายาม ดูเหมือนจะดีขึ้นนิดๆ อธิบายสภาวธรรมให้ฟัง ที่บอกว่า พยัญชนะเข้าใจแล้ว ความหมายตรรกะของมันเข้าใจหมดแล้ว แต่จิตจะเป็นจริงๆมันอีกชั้นหนึ่งซึ่งไม่ง่าย ในการที่จะ ลดละเลิกไปจากโลกียะเขา ไปเป็นโลกุตระ

สู่แดนธรรม... อย่างนี้ใช่ไหมครับที่พระอรหันต์มีแต่ความรู้สึกที่ว่า ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ไม่มีอย่างอื่นเกิดเลย การนำอาหารใส่ร่างกายก็เป็นทุกข์

พ่อครูว่า... มันเป็นสัมภาระที่หนัก อาตมาพยายามใช้ภาษาไทยอธิบาย เอาบาลีมาเรียกแล้วขยายความรู้ไปตามความจริงที่อาตมามี ผิดถูกอาตมาก็รับผิดชอบเอง 

_แก้วตะวัน พวงบุบผา  · น้อมกราบนมัสการพ่อครู ท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุ ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ..

พึงเข้ามาเป็นหมู่มวลทวนกระแส   พบมิตรแท้แผ่นดินธรรมอันล้ำค่า 

ฟังสัทธรรมจากสัตบุรุษหยุดเวรา   พ่อท่านพาให้พ้นทุกข์สุขนิพพาน 

พ่อท่านชวนให้เข้าวัดตัดกิเลส      สละเหตุความมีภัยไร้แก่นสาร 

เตือนตนเองต้องเร่งรัดขจัดมาร      ออกจากบ้านมาเสียทีอย่าพิรี้พิไร

....อนุโมทนาสาธุกับผู้ที่อยู่วัดได้ค่ะ

พ่อครูว่า... แล้วตัวคุณเองล่ะ 

อสัญญีสัตว์ไม่ใช่สัญญาเวทยิตนิโรธ

_คุณฉลวย : ช่วยอธิบายข้อความข้างล่างผมอ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจ สัญญาเวทยิตนิโรธเป็นสัญญาที่ทำงานเสร็จของสัญญา 10 เวทยิตตังคือสำเร็จเสร็จความรู้สึก ความรู้รอบ ความรอบรู้ทั้งหมดจบ เวทยิตตังจึงเป็นนิโรธที่เเคล้าเคลียอารมณ์เวทนาทั้งหมดจบสมบูรณ์แบบ โดยมีสัญญาเป็นตัวกำหนดให้สมบูรณ์แบบในเวทนา 108 และมีนิโรธสมบูรณ์แบบ (ในหนังสืออภิธานศัพท์อโศก หน้า 737 )

พ่อครูว่า... แยกสัญญา ออกเป็นสัญญา 10 แล้วมีคำว่า เวทยิตตัง คือ สำเร็จความรอบรู้ทั้งหมด 

เวทยิตตังคือเป็นนิโรธแล้ว เวทยิตตังนิโรธังโหติ สัญญาเวทยิตนิโรธ โหติ ตัวจบสมบูรณ์แบบ 

ผู้ที่ปฏิบัติจะเรียนรู้เวทนาแล้วเคล้าเคลียความรู้สึกหรืออารมณ์ เคล้าเคลีย คือ เข้าไปใช้สัญญากำหนดรู้ทุกเหลี่ยมทุกมุมให้รอบถ้วน แทงทะลุนอกทะลุในของเวทนาเรียกว่า เคล้าเคลียอารมณ์สมบูรณ์แบบ โดยธาตุรู้ตัวสัญญาเป็นตัวทำงานทั้งหมด เป็นตัวกำหนดรู้สมบูรณ์แบบ 

ทีนี้ กำหนดรู้สมบูรณ์แบบมีวิธีการกระบวนการของการกำหนดรู้ก็คือ เวทนา 108 ที่พระพุทธเจ้าท่านให้ปฏิบัติตัวนี้แหละเป็นตัวสำคัญ เวทนา 108 ผู้ศึกษาปฏิบัติ ถ้าไม่รู้จักเวทนา 108 แล้วก็ไม่ได้ปฏิบัติเวทนา 108 โดยสภาวะเองไม่รู้จักพยัญชนะก็ตาม ถ้ายิ่งรู้พยัญชนะด้วย รู้สภาวะด้วยว่าเวทนา 108 มีเวทนา 2 เวทนา 3 เวทนา 5 เวทนา 6 เวทนา 18 เวทนา 36 แล้ว ก็เป็นอดีต ปัจจุบัน อนาคต ของเวทนา 36 ก็เป็น 108

สู่แดนธรรม... ผมจะขอถามแบบสั้นๆ ที่เขาถาม เพราะชาวพุทธส่วนใหญ่มักจะมองว่า สัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นเรื่องของการดับสัญญาและเวทนา 

พ่อครูว่า... เป็นอสัญญี ถ้าอาตมาอธิบายเหมือนเขา อาตมาก็ยังโง่อยู่เหมือนเขา แต่อาตมาไม่ได้โง่เหมือนเขา อาตมาฉลาด รู้โลกุตรธรรมละเอียดชัดเจน จึงมาขยายความอยู่ ผู้ที่ฟังอาตมาแล้วไม่มีปรโตโฆษะ เขารู้อย่างที่เขารู้เขายึดถืออย่างที่เขายึดถือเขาก็รู้และยึดถืออย่างที่เขาได้ เขาก็ยังโง่อยู่ ยังไม่บรรลุอรหันต์แน่นอน หรือ เชื่อว่าตัวเองบรรลุอรหันต์ก็เป็นอรหันต์เก๊ อาตมาพูดจริงๆ ไม่ได้พูดเล่น ได้ยืนยันว่าพูดไม่ผิดด้วย 

แต่ทีนี้ คนเหล่านั้นมันได้หลง มันไม่เชื่ออาตมา มันเป็นเวรเป็นกรรมของประเทศไทยหรือในยุคนี้ ที่อาตมาอุบัติขึ้นมาแล้วในท่ามกลางความยึดมั่นถือมั่น แบบเถรสมาคมและชาวพุทธส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด ได้ยึดอย่างนั้นแล้ว 

พออาตมาอุบัติขึ้นและอธิบายไม่เหมือนเขา ไม่เหมือนอย่างที่เขายึดไว้ และเถรสมาคมก็เป็นคณะใหญ่แกนหลักที่เขายอมรับนับถือกันทั้งประเทศ หมดทุกสถาบัน อาตมามาพูดหัวเดียวกระเทียมลีบ เขาก็จัดการตั้งแต่ต้นมา ที่จะเอาให้ตายไม่ให้อาตมาอธิบายธรรมะได้  ไม่ให้อาตมาขยายความธรรมะพระพุทธเจ้าได้ เขาถือว่าอาตมาผิด จนอาตมาก็ไม่มีปัญหาก็ให้เขาทำไป อาตมาก็บรรยายอธิบายไป อาตมาทำไปทำมา ด้วยสัจธรรม อาตมาก็หลุดรอดมาเป็นนานาสังวาสตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นสัจจะชนิดหนึ่ง 

อาตมาก็มีสิทธิ์เป็นนานาสังวาสแล้ว สมบูรณ์แบบแล้ว อาตมาก็อธิบายได้อย่างที่อธิบายมาตลอด แม้ยังไม่เป็นนานาสังวาสอาตมาก็อธิบายอย่างเดิมมาแล้ว ยิ่งเป็นนานาสังวาสอาตมาก็ยิ่งอธิบายได้ง่าย เพราะตกลงตัดสินกันแล้ว มีข้อตกลงกันสมบูรณ์แบบแล้ว Approved แล้ว จบแล้ว อนุมัติแล้ว อาตมาก็สบายแล้วได้ทำมาตลอดอย่างนี้ 

ยิ่งอธิบายไปยิ่งเอาหลักฐานพระไตรปิฎกของพระพุทธเจ้าตรัสมาอ้างอิง ยืนยัน แล้วพวกเราก็ปฏิบัติสอดคล้อง มีพฤติการณ์มีพฤติกรรม มีบุคคลเป็นไปได้จริง มีปรากฏการณ์เกิดจริง ยืนยันจนกระทั่งคนทุกวันนี้ก็ยังปฏิบัติสาธารณโภคีได้ มีสาราณียธรรม 6 ได้ เกิดเป็นคนที่แม้หลักวรรณะ 9 เอามายืนยันก็เป็นได้ เลี้ยงง่าย  (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)  มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)  ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9  ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)  

มันยิ่งชัดเจน เขาแยังไม่ได้ตรงที่ว่า พูดอย่างไรมันทำได้อย่างนั้น ทำอย่างไรก็พูดได้อย่างนั้น ยถาวาที ตถาการี ยถาการี ตถาวาที ชัดเจน สัจธรรมที่เอามายืนยันทุกวันนี้ แม้ว่าเขาจะเข้าใจไม่ได้เขาก็ไม่กล้าแย้ง 

ถึงเข้าใจได้บ้างแล้วแต่มันได้ตกมาอยู่ในหมู่นั้นแล้ว เขาจะมาอยู่หมู่นี้แต่อินทรีย์พละเขาก็ไม่เพียงพอ เขาก็ได้แต่อนุโมทนาสาธุไป คนที่สนใจตามศึกษาอยู่ก็มี คนที่เขาไม่ค่อยศึกษา เขารู้ว่าดีแต่ยังไม่ศึกษาก็มี คนที่ตีทิ้งเลยก็ไม่ต้องว่ากันก็ต้องมีและจะมากด้วย ได้เข้าใจผิดแล้วหลงทางไปทางหลับตา ทางเถรสมาคม ไปเป็นเปรียญ 9 เป็นด็อกเตอร์ทางพุทธศาสนาจบมาจาก Harvard อะไรพวกนี้ ทั้งๆที่เป็นเทวนิยม ประสาทปริญญา ดร.ทางพุทธศาสนามา แล้วมันจะรู้อะไรเพราะเป็นเทวนิยม จะรู้จักพุทธศาสนาที่เป็นโลกุตระได้อย่างไร มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อ่านแต่หนังสือก็เข้าใจได้แล้วมันไม่ใช่นะ แค่จะเข้าใจเป็นสัมมาทิฏฐิไม่ง่าย กายคำเดียว สักกายทิฏฐิ สังโยชน์เบื้องต้นขอให้มันชัดเจนก่อนนะ ไม่ใช่ง่ายนะ กายคำเดียวนี้ ที่ อาตมาพยายามขยายความพูด อธิบายแจกแจง พวกคุณก็ยิ่งเข้าใจดีๆๆ รอบถ้วนมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แต่คนบางคนอาจจะบอกว่าอะไรกันนักกันหนาวะ เขาก็จะว่าแต่อย่างนี้ 

สัญญา 10 ประการเป็นไฉน

คุณฉลวย พอฟังแล้วเข้าใจได้ไหม สัญญาเป็นการกำหนดหมาย การกำหนดรู้ เอาตั้งแต่สัญญา 10

1.  อนิจจสัญญา 2. อนัตตสัญญา 

3. อสุภสัญญา     4. อาทีนวสัญญา 

5. ปหานสัญญา  6. วิราคสัญญา 

7. นิโรธสัญญา 8. สัพพโลเกอนภิรตสัญญา 

9. สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา 

10. อานาปานัสสติ   (อาพาธสูตร  ล.24  ข.60) 

พ่อครูว่า... 

อนิจจสัญญาคือการทำงานของสัญญากำหนดรู้ความไม่เที่ยง 

อนัตตสัญญากำหนดรู้ธาตุถึงขั้นอนัตตา คือความไม่มีตัวตนไม่ใช่ตัวตน 

หรือกำหนดรู้อสุภะสัญญา เป็นสิ่งที่ไม่น่าได้ ไม่น่ามี ไม่น่าเป็น ไม่น่าใคร่อยาก สุภะแปลว่า น่าได้ น่ามี น่าเป็น อสุภะ แปลว่าไม่น่าได้ ไม่น่ามี ไม่น่าเป็น 

อาทีนวะ คือเป็นโทษ ไม่ใช่คุณ กามไม่ใช่คุณ ไม่ใช่สิ่งน่าได้ น่ามี น่าเป็น ไม่ใช่คุณไม่ใช่ประโยชน์ มันเป็นอาทีนวะ มันเป็นโทษ กามาทีนวะ ความใคร่อยากทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส อย่างไรก็แล้วแต่ มันไม่น่าได้ ไม่น่ามี มันเป็นโทษ 

ปหานสัญญา มันควรกำจัดทำลายเสียอาการพวกนั้น 

วิราคสัญญา จนสามารถลดละจางคลายได้ ปฏิบัติแล้วก็เกิด วิราคสัญญา 

นิโรธสัญญา ปฏิบัติลดละจนสามารถดับได้แล้ว ดับ ก็เป็นอย่างสัมมาทิฏฐิ มิจฉานิโรธเป็นการสะกดจิต ไม่ให้มีสัญญา มันก็ไม่รู้เรื่องอะไร ก็นึกว่า กิณหา ความดำมืด ดับชั่วคราวเป็นสิ่งที่น่าได้น่ามีน่าเป็น เป็นสุภกิณหา อย่างเป็นมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งอยู่ในวิญญาณฐีติข้อที่ 4 ในสัตตาวาส 9 ข้อที่ 4 แต่ผู้ที่มีนิโรธสัญญากำหนดรู้อย่างสัมมาทิฏฐิ ก็จะรู้ว่าความดำความมืดก็คือความดำความมืด และนิโรธก็คือนิโรธ ไม่ใช่ความดำความมืด แต่เป็นความไม่มีกิเลส ดับกิเลสหมด สว่างไสวด้วย ไม่ดำไม่มืดด้วย อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งสุดยอดเลย 

สัพพโลเก อนภิรตสัญญา กำหนดรู้ความไม่น่ายินดียิ่ง ทั้งหมดในโลก ทุกสิ่งในโลกไม่ใช่สิ่งที่น่ายินดี เพราะฉะนั้นเกิดมาในโลกนี้ แม้คุณจะหมดทุกข์อริยสัจ หมดความทุกข์ที่เลี่ยงได้ 4 อย่าง จบ เป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ยังมีทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้อีก 6 อย่าง เป็นสัมภาระวิบาก เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ทุกองค์ แม้จะเป็นพระอรหันต์แล้ว ทุกข์ 4 อย่างที่เลี่ยงได้เป็นทุกข์อริยสัจ  จบแล้ว ไม่มีแล้ว กระนั้น ก็ยังมีทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้อีก 6 อย่างเป็นสัมภาระวิบากอยู่อย่างนั้น พระอรหันต์ถึงบอกว่าเกิดมามีร่างกายมีชีวิต ทุกข์ที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป ดับความทุกข์อริยสัจแล้ว มันก็ยังมี ทุกขขันธ์

สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา กำหนดรู้ความไม่น่าปรารถนาในสังขารทั้งปวง เพราะฉะนั้นเกิดมามีสังขารมีอวิชชา มีสังขารวิญญาณ โดยเฉพาะมีสังขารที่ปรุงแต่งระหว่างรูปกับนาม หรือกายกับจิต หรือนี่แหละ ชีวิตของสัตว์โลก ถ้าเป็นพืชมันก็ไม่รู้เรื่อง เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่อง แม้จะเป็นมนุษย์ที่ อเวไนยสัตว์ถ้ายังศึกษาไม่ได้ เป็นเทวนิยม เป็นต้น เขาก็ยังหลง จนมาศึกษาโลกุตระของพระพุทธเจ้าจึงจะรู้ว่า สุข ก็ยังเป็นโลก สุขก็ยังเป็นเรื่องสัมภาระวิบาก แม้แต่ความทุกข์อริยสัจก็ต้องมี 

แต่พระพุทธเจ้าดับความทุกข์อริยสัจได้ เป็นพระอรหันต์ ก็หมดทุกข์ที่เลี่ยงได้ 6 อย่าง ส่วนเทวนิยมนั้นเขาก็ไม่รู้หรอกมีความทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ เขาก็ไม่รู้ ยิ่งความทุกข์อริยสัจ 4 อย่าง เขายิ่งไม่มีทางปฏิบัติ เขาไม่รู้ว่ามีทางปฏิบัติให้หมดเป็นพระอรหันต์ได้ด้วยหรือ มันก็เป็นอย่างนั้น 

ส่วนข้อที่ 10 อานาปานสติ อันนี้แหละเป็นเรื่องที่ มันมีการปฏิบัติที่เป็นอานาปานสติแบบเดรัจฉานวิชชาหรือแบบเทวนิยม แบบโลกียะ มีอยู่ประจำโลก พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาก็มาเจอกันนั่งหลับตาอานาปานสติ แบบมิจฉาทิฏฐิ พระพุทธเจ้าต้องมาแก้ อานาปานสติให้เป็นสติปัฏฐาน 4 ให้พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม 

โดย อานาอาปานะ คือตลอดที่มีลมหายใจเข้าออก คุณจะนั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่น แล้วก็จะเห็นลมหายใจเข้าออก กำหนดรู้สั้นรู้ยาว ให้รู้ว่าทุกอย่างที่มีสภาพ 2 มันจะมีความแตกต่างกัน ให้เรียนรู้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส 

อาตมาอธิบายอยู่นี่คือ อุเทส แล้วก็ขยายความนิมิต แล้วให้เปรียบเทียบกัน ว่ามันมีความต่างกัน ลมหายใจเข้ากับลมหายใจออก มันก็เป็นเทวฺ มันเป็น 2 มันมีมุมเหลี่ยมที่ต่างกัน หายใจเข้าสั้น หายใจเข้ายาว หายใจเข้าสั้น หายใจเข้า หายใจออกสั้น หายใจออกยาวหายใจเข้ายาว หรือคุณจะหายใจออกสั้นหายใจเข้า หายใจออกยาวหายใจเข้าสั้นอะไรก็ตามใจ มันก็มีลิงค มีสภาวะแตกต่างกัน

จงเรียนรู้ความแตกต่างกันระหว่างสิ่ง 2 สิ่ง เทวะ หายใจเข้าหายใจออก 2 สิ่ง หายใจสั้น หายใจยาว 2 สิ่ง นี่คือกาย นี่คือสภาวะที่ต้องเรียนรู้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส 

อุเทส ก็ต้องฟังคำอธิบายของผู้รู้ อาตมาเป็นผู้รู้ ก็ทำการอุเทสให้ฟัง แจกแจงอาการนิมิตที่มันมีความแตกต่างกันอย่างไรให้ฟัง เสร็จแล้วคุณก็ค่อยๆเรียนรู้ความแตกต่างกันที่มีหลากหลายอื่นๆอีกมี หยาบ กลาง ละเอียด ภายนอกภายใน เคลื่อนไหว อานาอาปานะ ไม่ใช่คุณจะเรียนรู้ได้แต่ตอนนั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่น ก็ไม่ใช่ คุณเดินอยู่ นั่งอยู่ คุณเคลื่อนไหวทำงานสัมมาอาชีพ สัมมากัมมันตะ คุณก็มีอานาอาปานะ มีลมหายใจเข้าลมหายใจออกมีทั้งสิ้น 

คุณก็เรียนรู้สิ่งที่แตกต่างกันเมื่อกระทบกันทีละคู่ โดยเรียนรู้จากศีลเป็นตัวกำหนด กระทบกับสัตว์ กระทบกับสิ่งของ พืชหรือวัตถุ กระทบกับสัตว์นั้น ก็รู้อย่างหนึ่ง ให้เกิดเมตตา เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ว่าเขาเป็นสัตว์ร่วมเกิดแก่เจ็บตายกันทั้งนั้น ช่วยกัน มีความปรารถนาดีต่อกัน หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่

ส่วนข้อ 2 อย่าทุจริต อย่าขี้โกง ขี้โกงอะไร มันเป็นวัตถุกับพืช วัตถุกับพืชไม่ใช่ตัวสัตว์ วัตถุกับพืชคือสิ่งที่สัตว์เป็น สัตว์มี จะต้องการหรือไม่ต้องการ สัตว์เดรัจฉานก็ต้องการวัตถุ ต้องการพืชในตัวของเขา ตามฐานะของสัตว์เดรัจฉาน คน ก็ต้องการตามฐานะของคน แล้วอย่าทุจริต อย่าโกงกัน เอาแต่ของที่เขาให้ เขาไม่ให้ คุณก็ทำเอาเอง เป็นสิทธิของคุณ มันก็ไม่มีทุจริต ไม่มีการไปละเมิดกันและกัน ส่วนคุณจะให้เขาก็ดี ทำทานก็ดี เป็นการเสียสละก็ดี ยิ่งเสียสละทางกาย เสียสละทางวาจา เสียสละทางจิตเลย เกิดมาเป็นผู้เสียสละ เป็นผู้มีแต่ให้ แล้วไม่ต้องการอะไรตอบแทนเลย ให้ โดยไม่มีสาเปกโข ทาน โดยไม่ต้องมีภพมีชาติ ไม่มีไอ้หวัง ไอ้หวังตายสิ้นหมดแล้ว 

จบเลยนะคนที่ไม่มีไอ้หวัง ไอ้หวังตายสิ้นเสร็จเลย ลอยตัวเลย บินบนเลย หมดความสมหวัง บินบนเลย ลอย เป็นผู้หลุดพ้น  ลอยตัว  บินบนเลย หมดความหวัง ไม่ต้องสมหวังอีกแล้ว นี่ทุกอย่างลงตัวหมดเลยอาตมาพูดนี่หมายถึงตัวบุคคล คือสมหวังกับบินบนด้วย เห็นไหม สภาวธรรมมันลงตัวกันด้วย 

ส่วนคนที่พระอินทร์ตอนนั้นลงมาเดินดินหมดเลย พระอินทร์จร คือ จรินทร์ ลงมาเดินดินหมดเลย ท่านเดินดินชื่อจรินทร์ก็มาลงดิน มันลงตัวหมดเลย มันเป็นสภาวธรรมจริงๆ

อาตมานี้เป็นมงคลอันอุดมลงตัวไหม แล้วมาแผ่ เป็นความรักและใจให้แก่ทุกๆคน กระจายอะไร กระจายโพธิ โพธิรักษ์ แต่รัก อาตมาไม่มี ษ มีนัยยะ 2 อย่าง ทั้งรัก และรักษ์

เพราะฉะนั้นอาตมารักมวลมนุษย์ ก็มาแจกโพธิ เพื่อรักษาโพธิ เพื่อเป็นคนรักษาโพธิ สืบทอดของโพธิพระพุทธเจ้า คือโพธิรักษ์ ตนเองมีมงคลตนเอง เมื่อตนเองมีมงคลอันอุดม ดีมากพอ ก็แผ่เผื่อแก่คนอื่น กระจายแบ่งแจกความรักให้แก่คนอื่น อย่างนี้เป็นต้น 

ที่อาตมาขยายความ เอามนุษย์เอาตัวตนบุคคลมาประกอบในการที่จะอธิบายสัจธรรม 

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าชื่อสิทธัตถะ ก็แน่นอนมันต้องลงตัว เป็นผู้ที่สำเร็จแล้วเรียบร้อย เป็นผู้ที่มีสารัตถะอันสูงสุด สำเร็จบรรลุ อัตถะ สิทธะ แปลว่าผู้สำเร็จหมดแล้ว สำเร็จอะไร  สำเร็จอัตถะ สัจธรรมทุกอย่าง 

ทำไม มารดาพระพุทธเจ้าต้องชื่อสิริมหามายา ก็ความเกิด แม่ผู้ให้ความเกิด ทางโลกก็เป็นแม่ มารดา ที่ก่อเกิดทางรูปธรรมอย่างนั้นแหละ แต่จริงๆแล้วแม่ของสิทธัตถะนั้น มีตัวตนอยู่แค่ 7 วัน เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง พลังงานที่ทำให้ถึงขั้น 7 วันก็เที่ยงแท้แล้ว จบ เอาแค่นั้น ไม่เอามากกว่านั้น เพราะทำงาน แป๊บเดียวก็หายไป เกิดอะไร เกิดสิทธัตถะ 7 วันแล้วสิริมหามายาก็หายไป สัจจะมันลงตัวอย่างนี้หมด 

อาตมาปาง 7 จึงมีความลงตัวบ้าง บินบนบ้าง สมหวัง จรินทร์ พระอินทร์จร เป็นต้น มันลงตัวหลายๆคน ไม่อยากขยายความไป เดี๋ยวจะไปเล่นลิเกพวกนี้อีก เอาพยัญชนะเอาชื่อมาพูดกัน แล้วก็เลอะเทอะไปอีก 

แต่ถ้าเผื่อว่าปฏิบัติธรรมแล้วจะเข้าใจถึงรูปและนาม ถึงชื่อนาม กับตัวบุคคลผู้นั้นๆ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องสมมุติ หรือไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่ผู้ที่อยู่ในกรอบของสัจธรรม จะมี แต่ทั่วไปก็จะสะเปะสะปะไปตามเรื่อง แต่ผู้ที่เข้ากรอบของสัจธรรมมาแล้วจะมีอย่างนี้ ชื่ออย่างนี้ นามมันจะลงตัว นามจะมีสัจธรรมในเนื้อหาของมัน เราไม่ต้องไปวุ่นมัวเมา ปฏิบัติธรรมจะมีสัจจะที่จะรู้แจ้งไปอีก 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ สติ สันโดษอันเป็นอาริยะ

สมณะฟ้าไท... เรามาปฏิบัติธรรม มันจะมีรูปนามสอดคล้องกัน เมื่อสู่โลกุตระ เป็นเรื่องที่พวกเราทำเต็มที่ มันก็เป็นของมันตามนั้น ที่เห็นและเป็นอยู่ เราอยู่กับชาวอโศก อยู่กับพ่อครู เราก็ได้สั่งสมกรรมที่เป็นกุศลทุกวัน พลังงานบุญที่ลดกิเลสเราก็ได้สร้างทุกวัน คนโลกีย์ กว่าจะไปวัดที่ 1 ต้องรอวันเกิดปีหนึ่งที่ 1 รอวันเข้าพรรษาเป็นต้น ของเรามาวัดไม่มีวันหยุด 

พ่อครูว่า... มาวัด มีวันหยุดอะไรเล่า ทั้งนอน ทั้งนั่ง ทั้งกิน ทั้งขี้ทั้งเยี่ยว อยู่ในวัดหมด 

สมณะฟ้าไท... เรียกว่าไม่มีวันหยุด มาฟังธรรมก็ไม่มีวันหยุด ฟังตลอดปีตลอดชาติ ไม่มีวันหยุด จะน้ำท่วม จะเกิดสึนามิ จะไปไหนก็ฟังธรรมหมด เราไปชุมนุม มีระเบิด มีแก๊สน้ำตาก็ได้ฟังธรรม ไปไหนพ่อครูก็เทศน์ 

พ่อครูว่า...  เทศน์กลางสนามรบ ขึ้นรถติดลำโพง เทศน์ท่ามกลางอริราชศัตรูเลย เป็นสัจจะซึ่งยุคนี้มันทันสมัย มันสุดยอดเลยประเทศไทย จะมีไหม สงครามที่เขารบกันระหว่างรัฐบาล ในประเทศก็ตาม รบกันข้างนอกประเทศ แน่นอนเราไม่ได้ไปเทศน์แน่นอน ในประเทศก็มีการเทศน์แบบโลกียะบ้าง เช่นในประเทศมีความขัดแย้งกัน โป๊บท่านก็ทรงไปโปรดสอน ในฐานะที่เป็นคริสต์ด้วยกัน ก็ไปอย่างนี้เป็นต้น  

สมณะฟ้าไท... คิดดูสิ คนทำได้อย่างไร ท่ามกลางแก๊สน้ำตา  ท่ามกลางกระสุนปืน ผู้ที่แสดงธรรมก็แสดงธรรม คนฟังก็นั่งนิ่งฟังธรรมไป ประวัติศาสตร์เหล่านี้มันน่าทึ่ง ปกติคนทำไม่ได้

พ่อครูว่า... ไม่ง่ายหรอก จะไม่มีสติสัมปชัญญะตั้งมั่นพอที่จะแสดงธรรมะที่เป็นโลกุตระธรรม ได้อย่างไรมันไม่ออกหรอก แต่อย่างอาตมาบอกได้ว่าไม่มีความหวั่นไหว ไม่มีความตกอกตกใจ ไม่มีความเกรง ไม่มีความกลัวอะไร มีแต่สัจธรรมสมบูรณ์แบบ ตั้งใจทำไป แสดงธรรมไป แล้วมันก็เป็นอย่างที่เห็น เราผ่านมาได้แล้ว ไม่ได้มีอะไรระคายเคือง กระทบอะไรต่ออะไรเลย อย่างที่เห็นที่เป็นมา พูดไปประเดี๋ยวจะเหมือนไปท้าทาย ไม่ใช่ เป็นผู้แคล้วคลาดแล้ว หลุดพ้นแล้ว มันไม่มีอะไรมาทำได้ พูดไปแล้วฟังแล้วมันดู เกรงใจเขา เหมือนไปหลงตัวเอง ท้าทายไปในตัว แต่มันเป็นสัจธรรม 

อาตมาก็ยังไม่หมดวิบากไปเจอแก๊สน้ำตาได้ นั่นก็เป็นวิบากสุดท้าย ถือว่าหนัก โดนแก๊สน้ำตาถือว่า หนัก มีความเจ็บปวด มันแสบน่าดูเลย อุทานกันแสบน่าดู ซึ่งมันไม่น่าดูเท่าไหร่เลย ก็เป็นเรื่องของสัจธรรมที่จะต้องมีทั้งพฤติกรรม พฤติการณ์ ที่คนต้องเจอ มีทั้งพยัญชนะ ภาษา พูดกำหนดหมายลงไป 

มาเข้าสู่เนื้อหา อาตมาจะขอพูดโดยสังเขป สรุป พูดถึงพระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงพระองค์เอง ว่า มีพุทธคุณ 9 แล้ว แล้วท่านก็บอกว่าผู้ที่ได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้าแล้วก็เลื่อม ใส แล้วก็ออกมาปฏิบัติธรรมตาม ออกบวช ทำตาม ปฏิบัติอยู่ใน อาจารโคจร สำรวมสังวรระวังในปาติโมกข์ พร้อมด้วยมารยาทและโคจร มีปกติเห็นโทษภัยอันมีประมาณน้อย เห็นโทษภัยของการเกิดมาเป็นสังขารร่างกาย แล้วก็สมาทานศึกษา เพื่อละเพื่อลดสิ่งเหล่านั้นอยู่ 

ทั้งทำตนให้มี กายกรรม วจีกรรม ที่เป็นกุศล มีอาชีพที่บริสุทธิ์ ถึงพร้อมด้วยศีล แล้วพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสถึงศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล โดยกำหนดแต่ละข้อๆ ว่า ข้อนี้เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ภิกษุทั้งหลายไม่รู้แล้วว่า จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ก็เป็นศีลของภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่ศีล 227 ข้อ เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธไม่มีศีลแล้ว มีแต่วินัย 227 ยังดีที่มีศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ที่ย่อลงไปให้ปฏิบัติกันอยู่ เป็นจารีตประเพณี 

เพราะฉะนั้น ศีล ของทั้งภิกษุ ทั้งผู้ที่เข้าใจ ฆราวาส ศีล จึงเป็นแค่ สีลัพพตุปาทาน หมายความว่าปฏิบัติศีลตามจารีตประเพณี ไม่ได้ปฏิบัติศีลให้เกิด อปัณณกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 ฌาน เขาบอกว่าไปวัดเขาให้ถือศีล ฆราวาสถือศีล 8 เณรให้ถือศีล 10 จับพวกลิงมาบวชกันเป็นพัน ถือศีลเป็นร้อยเป็นพันคนมันจะถือศีลได้อย่างไร ศาสนาพุทธก็ชิบหายวายป่วง เพราะเอานั่นแหละไปเดินขบวนบิณฑบาต ถือเครื่องใส่ธนบัตรข้างหน้าไป ดูแล้วมันน่าเศร้าสังเวชใจ เอาคนมาบวชเล่นบวชหัว ไม่ว่าเณรไม่ว่าพระ บวชพระร้อยรูปล้านรูปแสนรูป 

เป็นการทำลายศาสนาอย่างมหาศาล เป็นการทำลายศาสนาอย่างมหาศาล คนที่จะมาบวชนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นเรื่องง่าย เสร็จแล้วเละเทะหมดเลย หยำฉ่า จะมาอดลดละ อดทนอะไรได้ เละเทะอยู่อย่างนั้น 

พูดให้ลึกขึ้นไปอีกหน่อย หนุ่มกลัดมันมาบวช ก็สังฆาทิเสสกัน ปกปิดกันเละเทะอยู่ในนั้นแหละ   สังฆาทิเสสข้อไหนไม่พูดแล้วล่ะ ตั้งแต่ข้อ 1 ถึง ข้อ 3 อย่างนี้เป็นต้น เละเทะอยู่อย่างนั้นแล้วไม่ปลงอาบัติกันหรอก แต่ละเมิดข้อ 1 2 3 อยู่อย่างนั้นแหละ มันเป็นความสะอาดที่ไหนล่ะ มันเป็นสังคมสมณะ สังคมสงฆ์ ที่สะอาดที่ไหนล่ะ อย่าว่าอย่างนั้นเลยที่เถรสมาคม มีพระที่ปาราชิกบนเปกันอยู่เละเทะเลย อย่างเช่น ธัมมชโยก็คลุกคลีเกี่ยวข้อง บูชาเคารพกันอยู่อย่างนั้น โอ้โห! มันหมดจริงๆเลย นี่คือความเสื่อมของศาสนาพุทธทุกวันนี้ 

ขอผ่าน จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล 

ไปเข้าอินทรีย์สังวร สำรวมอินทรีย์ อินทรียสังวร

ดูกรอัมพัฏฐะ อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย? ดูกรอัมพัฏฐะภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามกคืออภิชฌา และโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษาจักขุนทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์ ภิกษุฟังเสียงด้วยโสต ... ดมกลิ่นด้วยฆานะ ... ลิ้นรสด้วยชิวหา ... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ... รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมมนินทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้วจะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษามนินทรีย์ชื่อว่าถึงความสำรวมในมนินทรีย์ ภิกษุประกอบด้วยอินทรียสังวรอันเป็นอริยะเช่นนี้ ย่อมได้เสวยสุขอันไม่ระคนด้วยกิเลสในภายใน ดูกรอัมพัฏฐะ ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย

พ่อครูว่า... ยิ่งเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วกิเลสสงบ เพราะรู้จักกิเลสแล้วสร้างพลังงานปัญญา พลังงานฌาน เพื่อกำจัดกิเลสราคะ โทสะ โมหะ ให้ลดลงๆ ก็ถือว่า อนุโลมเรียกว่า สุข วูปสโมสุขหรืออุปสโมสุข เป็นความสุขที่มันกิเลสลดลง ไม่ใช่ความสุขที่เป็นโลกียะ ได้สมกิเลส เป็นโลกียะ สมใจในกิเลสมันก็เป็นความสุข แต่อันนี้มันกิเลสลดลงๆๆ ก็ขอยืมคำว่า สุข มาใช้ ว่าเป็นสุข เรียกภาษาบาลีว่า วูปสโมสุข หรืออุปสโมสุข ไม่ใช่สุขแบบสุขลิกะ สุขขี้หลอกเป็นสุขเก๊ แต่นี่สุขที่มันเกิดโดยการปฏิบัติธรรม สุขที่เกิดจากความสงบลดลงจากกิเลส ในการปฏิบัติแล้วจิตมันลดละหน่ายคลาย ความสุขที่เกิดจากกิเลสลด ไม่ใช่ความสุขอย่างเดียรถีย์ ไม่ใช่ลดอย่างสะกดจิตไว้ ที่จิตก็ยิ่งอัดแน่น จิตก็ยังมีอวิชชา ยิ่งไม่มีความรู้ ก็กิเลสอัดแน่น สักวันมันก็จะระเบิดเหมือนกับหลวงปู่แสง ระเบิดออกมา ปะทุออกมา เพราะว่าสะกดจิต สุดท้ายมันไม่ไหวแล้ว เพราะว่าอายุมากแล้ว ยิ่งบอกว่าเป็นอัลไซเมอร์ กิเลสมันยิ่งทำงานเต็มรูปเลย ออกมาทะลุมาได้หมดเลย มันก็ยิ่งแสดงตัวอย่างทะลุ ออกมาตามความจริงที่ตัวเองมี  

ต่อให้สะกดจิตให้ตายก็ไม่ได้อะไร ต่อให้อายุ 105 ก็ไม่บรรลุ ยิ่งกว่านั้นก็ตามก็ไม่บรรลุ นี่พูดสัจจะธรรม อยากจะให้ฟังและให้พิจารณาให้ดี ลอง ลด ละดูสักปีสองปีก็ได้ มาฟังอาตมาอธิบายแล้วปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 เลิกไปนั่งสะกดจิตหลับตา ทำได้จริงๆจะเห็นผลจริง ขอเวลา 1 ปีมาปฏิบัติทางนี้ดูบ้าง ขอเวลาสักปีได้ไหม  วางตรงโน้นมาศึกษาทางนี้จริงๆ ตั้งใจจริงๆ เปิดจิต ถ้าไม่เปิดจิต ก็ไม่ได้เรื่องเหมือนกัน เปิดจิตมา ถ้าจะมาอาบน้ำทางนี้ก็อย่ากลัวเปียก หากอาบน้ำกลัวเปียกแล้วเมื่อไหร่มันจะได้อาบน้ำ 

ดูกรอัมพัฏฐะ อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ? ดูกรอัมพัฏฐะภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการก้าว ในการถอย ในการแล ในการเหลียวในการคู้เข้า ในการเหยียดออก ในการทรงสังฆาฏิบาตรและจีวร ในการฉัน การดื่ม การเคี้ยวการลิ้ม ในการถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการเดิน การยืน การนั่ง การหลับการตื่น การพูด การนิ่ง ดูกรอัมพัฏฐะ ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ.

พ่อครูว่า... เขาไปปฏิบัติธรรมพาซื่อ เอาแต่มีสติในการทำกิริยาอาการต่างๆนี้ ก้าว ถอย มอง เหลียว คู้ เหยียด การฉัน การดื่ม เคี้ยว ฯลฯ ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมในความรู้สึกเหล่านั้น มีสติ รู้กรรมกิริยาอาการ ที่สัมผัส ต้องรู้ตัวทั่วพร้อม สัมผัสทั้งภายนอกภายใน ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาเหลือแต่ลมหายใจสั้นหายใจยาวหายใจเข้าหายใจออก นอกนั้นไม่รู้เรื่องเลย มันตัดลัดธรรมะพระพุทธเจ้าทิ้งหมดเลย สั้นจุ๊ดจู๋กุดอยู่แค่นั้น 

ดูกรอัมพัฏฐะ อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ? ดูกรอัมพัฏฐะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง เธอจะไปทางทิศาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง ดูกรอัมพัฏฐะ นกมีปีกจะบินไปทางทิศาภาคใดๆ ก็มีแต่ปีกของตัวเป็นภาระบินไป ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง เธอจะไปทางทิศาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง ดูกรอัมพัฏฐะด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ.

พ่อครูว่า... เครื่องอุปโภคคือบริหารกาย เครื่องบริโภคบริหารท้อง หมายความว่าชีวิตนี้มีแค่บาตรกับเครื่องนุ่งห่ม มีแค่นั้นแหละชีวิต นอกนั้นมีบริขาร 8 ก็ว่าไป ไปไหนก็เบา ไม่มีอะไรหอบหามเลย ลอยตัว ไม่ใช่ไปแล้วก็เต็มไปด้วยข้าวของ ดีไม่ดีมีเงินทอง มีธนบัตร มีเพชรนิลจินดาอะไรอยู่อีกตั้งเยอะ ดีไม่ดีมีพระเครื่องราคาแพงๆ มีพระบูชาราคาแพง องค์ละเป็นล้าน 2 ล้าน 5 ล้านอยู่อีก ไปไหนก็ไปไม่ออก ไปไหนก็ไปไม่ได้ บินไม่ขึ้น หนักด้วยสัมภาระที่ไปยึดถือว่าเป็นเรา เป็นของเรา ถ้าไปยึดถือเป็นเรา เป็นของเรามันก็หนัก ต้องปลดปล่อยไม่เป็นเราเป็นของเรา คุณก็ไปได้มีบาตรบริหารท้อง มีจีวรบริหารกาย จะบินไปไหนๆก็ได้ทั่วทุกสารทิศ 

สันโดษเป็นอย่างนี้ มีความเบา มีความน้อย ไม่มียึดติดอะไร เป็นคนลอยตัว เบา ไม่มีอะไรเกี่ยวเกาะ สันโดษ ไม่ใช่เป็นผู้อยู่โดดเดี่ยวอยู่แต่ผู้เดียว ไปอยู่ป่าห่างจากอะไรต่างๆนานา ไม่ใช่ สันโดษเป็นผู้ใจพอ มีน้อยๆก็พอ สิ่งที่เราจะต้องอาศัยอุปโภคบริโภค แค่น้อยๆก็พอ 

ภิกษุนั้นประกอบด้วยศีลขันธ์ อินทรียสังวร สติสัมปชัญญะและสันโดษ อันเป็นอริยะ

พ่อครูว่า... ศีลที่ไม่เป็นอาริยะคือ สีลัพพตปรามาส กับ สีลัพพตุปาทาน 

ศีลที่เป็น สีลัพพตุปาทาน ต่างกับ สีลัพพตปรามาส คือ สีลัพพตุปาทาน ก็ถือศีลอย่างอุปาทานยึดถือว่าถือศีล ดีไม่ดีหลงว่ามีศีลด้วย แต่แท้จริงไม่มี ถือก็แบกเทิ่งๆไว้ แบกไว้เฉยๆ ศีล ไม่ได้มี อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่ได้เอาศีล ข้อ 1 2 3 4 ก็ตาม เอาไปปฏิบัติ 

สำรวมศีล ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ ข้อที่ 2 เกี่ยวกับของเกี่ยวกับพืช อย่าให้มีอกุศล อย่าให้มีทุจริตทั้งคู่ 

ข้อที่ 3 รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ก็อย่าให้เกิดอกุศลจิต คือราคะ โทสะ โมหะ แล้วเขาได้ปฏิบัติกันอย่างนี้ที่ไหน เพราะฉะนั้นจะถือว่าคนนี้มีศีลไม่ได้ ก็ได้แต่ถือศีลตามจารีตประเพณีที่เขาพาทำกันไป ถือได้กำหนดไว้ว่าถือศีล ได้แต่พยัญชนะได้แต่ตรรกะ ไม่ได้เข้าไปถึงจิตไม่ได้แยกแยะถึงราคะ โทสะ โมหะ ไม่ได้เป็นว่าเรารู้ราคะ โทสะ โมหะ สัมผัสกับสัตว์ สัมผัสกับพืชก็เกิดกิเลส เราก็รู้ทันกิเลสแล้วทำให้กิเลสลดลงไปได้ ถือศีลมี อปัณณกปฏิปทา 3 แล้วเกิดสัทธรรม 7 (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะฟ้าไท... พวกเราไม่ได้ถือศีล สีลัพพตุปาทาน หรือ สีลัพพตปรามาส เพราะว่าถือศีลแล้วได้ลดละกิเลส พวกเราไปไหนมาไหนก็ง่ายมากเพราะว่าไม่ได้มีข้าวของมากไม่ได้ยึดติดอะไรมาก จะไปชุมนุมก็ง่ายมาก 

พ่อครูว่า... เราไปชุมนุม เราเป็นผู้ที่ปฏิบัติ ได้ปฏิบัติให้เกิดศีล เกิดสำรวมอินทรีย์ เกิดสติสัมปชัญญะ ไปสัมผัสกับอะไร จิตของเราก็เป็นสันโดษ ใจเราแข็งแรง ใจมันพอ มันมีอะไรมามันก็ไม่ได้ไปยินดียินร้ายกับมัน ไม่ได้อยากได้นั่นอยากได้นี่ใจมันพอมัน 0 ถึงแม้พวกเรายังไม่สูญทุกคน แต่ก็ลดละมาได้มีอริยธรรมมีโลกุตรธรรมแล้ว ได้มากได้น้อย จึงไปสำรวมอินทรีย์สงบระงับ สงบ จนกระทั่งเสียงปืนเสียงระเบิด คนมันถือปืนถือระเบิดก็เฉย พวกนี้มันกินอะไรมานะ กินยาอะไรมาหรือเปล่า นั่นคือความสำเร็จ การมีสังวรศีลสำรวมอินทรีย์ สังวรสำเร็จ มีสติสัมปชัญญะ มีสันโดษสำเร็จ อยู่ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้แต่มีจิตที่แข็งแรง มีจิตใจที่ไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งที่กระทบสัมผัส ต่อสิ่งที่คนอื่นกลัว แต่ของเราเฉยๆไม่กลัว เราก็ระมัดระวังในสิ่งที่จะทำให้คนเขาเกิดอกุศล มีปัญญากำกับ อย่างเป็นผู้เจริญจริงๆไม่เป็นผู้ที่ทำสิ่งรุนแรง ที่เป็นอกุศลที่ไม่ดีก็ไม่ทำ เราทำแต่สิ่งที่ดีแม้เขาจะร้ายกับเรา เราก็ไม่มีอะไรที่เป็นอกุศลต่อไปเลย มีแต่เขาาร้ายมาเราดีตอบ เรามีแต่ให้ เราปรารถนาให้เขาดีตามที่เราเห็น แต่เขาไม่เอาอย่างไม่เอาตาม ให้เขารู้ตัวด้วยว่า อย่างนั้นมันไม่ดี เลิกเถอะมาทำสิ่งที่ดีอย่างนี้ 

ถึงอย่างนั้นเราไปแสดงตัวในสนามรบ สนามรบจริงๆกระทบสัมผัสรุนแรง ฆ่าแกงกัน เอากันถึงตายจริงๆ แล้วมีคนตายกันจริงๆ เพราะคนเราอยู่ในชาติเดียวกัน ยิ่งอย่างยูเครนไม่ต้องพูดถึง ส่งไปฆ่ากัน เพราะฉะนั้นแม้แต่ในของประเทศไทยเมืองพุทธ แล้วก็มีสงครามในประเทศ เราก็เอาความสงบ สยบความรุนแรงจนชนะ 

อาตมายืนยันอันนี้ คนก็นึกไม่ออก เราเอาความสงบ ปฏิวัติชนะความรุนแรง แล้วประชาชนนี่แหละเป็นผู้ที่ปฏิวัติ รัฐประหาร รัฐบาลทักษิณ สมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ จนสำเร็จ แล้วเขาไปบอกว่าพลเอกประยุทธ์มาปฏิวัติ มายึดอำนาจ เอาอำนาจทหารมายึด ขี้หมาสิ ประชาชนเขายึดสำเร็จแล้ว พลเอกประยุทธ์เข้ามารับไม้ต่อ พูดย้ำซ้ำภาษาอยู่อย่างนี้ ทำไมฟังไม่ขึ้นไม่เข้าใจซักที นี่แหละคือประชาธิปไตยที่สูงสุดว่าประชาชนเป็นใหญ่ ประชาชนปฏิวัติแล้วปฏิวัติอย่างถูกกฎหมายโลกด้วย ปฏิวัติด้วยความสงบ เอาความจริงเข้าว่า พวกนั้นที่ต้องออกไปต้องพ่ายแพ้ เพราะเขาไม่ดีไม่ถูก ซึ่งเป็นความจริง เขาเป็นความเลวทรามต่ำช้า มันพ่ายแพ้ความดีงาม ความถูกต้อง มันถูกสัจจะหมดเลย แต่คนยังไม่รู้โลกุตระ เข้าใจยังไม่ได้ 

แม้แต่นักรัฐศาสตร์ที่จบ ดร.ทางเทวนิยมทั้งหลายยังไม่เข้าใจโลกุตระ ทางตะวันตกเขาไม่มีโลกุตระ เขาไม่รู้เรื่องหรอก ต่อให้สถาบันที่ใหญ่ขนาดไหน สหประชาชาติก็ตาม กรรมการ Nobel prize ก็ตาม เขาไม่รู้จักโลกุตระ เขาจะมายกย่องเชิดชูไม่ได้หรอก ก็เขาไม่รู้ว่าสิ่งนี้ดีสิ่งนี้ถูกต้องกว่า เขาก็มีกรอบความรู้บริบทที่เขาเข้าใจความดีความถูกต้องตามแบบเขา เขาไม่ได้เข้าใจมากกว่านั้นหรอก อยู่ในวงกะลาครอบของเขาเท่านั้น 

อันนี้จึงเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์กันไปอีกนาน กว่าจะพอมีคนรู้และเป็นผู้รู้ที่มีอิทธิพล ที่เป็นเทวนิยม ที่พอรู้ได้ว่าอันนี้มันเลิศเลอกว่า ที่เขาว่าเขายิ่งใหญ่ เขาก็ยอมว่าโลกุตระนั้นสูงกว่าโลกียะ มันหมดตัวตนไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่หมู่ ซึ่งเขาก็พอจะรู้บัญญัติ รู้ว่าความไม่เห็นแก่ตัวมันดี เห็นแก่คนอื่นดี ประชาธิปไตยคือเห็นแก่คนอื่นทั้งหมด ตัวเราไม่มี เขาพอเข้าใจ แต่ยังไม่ถึงขั้นกับจิตมันเป็น จิตมันยังไม่เข้าถึง 

แม้แต่ในคนไทยนี้เข้าถึงกันบ้างแล้ว ยังมีรูปธรรมที่ยังไม่ชัดเท่าไหร่ คนอื่นเขายังดูไม่เห็นได้ เพราะมวลน้อย และแม้แต่ความหมายก็ยังไม่เข้าใจว่า อย่างนี้เหรอเหนือกว่า ไม่มีตัวตนนี้เหนือกว่า ความสงบมีฤทธิ์อย่างนี้หรือ ชนะความรุนแรง ทั้งๆที่เราแสดงออกไปตั้ง 4-5 รัฐบาล เขาก็ดูไม่ออก แม้แต่คนไทยเองก็ไม่มีใครเข้าใจว่า ประชาชนปฏิวัติไม่ใช่พลเอกประยุทธ์ปฏิวัติ 

พลเอกประยุทธ์ไม่ใช่เป็นผู้ที่ไปยึดอำนาจเป็นผู้เผด็จการ ไม่ใช่ ประชาชนยึดแล้ว พลเอกประยุทธ์ไปรับไม้ต่อจากประชาชนไปทำงาน แล้วก็ทำงานได้ดี ประชาชนที่เคยประท้วงมาตั้ง 4-5 รัฐบาล ทำไมไม่ประท้วงล่ะ ก็มีแต่พวกหมาเห่าใบตองแห้ง บ๊องๆๆ หมาเห่าเครื่องบิน อยู่เท่านั้น ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไทย เขาไม่ได้เห่าเหมือนหมาเห่าใบตองแห้งกลุ่มน้อยๆอย่างนั้น มันก็เป็นธรรมชาติธรรมดาที่คนเรายังโง่อยู่ ก็ต้องไปทำอย่างหมาเห่าใบตองแห้ง 

แต่คนไทยมีปัญญาแล้ว รู้แล้ว บอกว่าพลเอกประยุทธ์จะอยู่ครบ 8 ปีไหม โธ่เอ๋ย.. ให้อยู่ไปเป็น 12 ปี 15 ปี 18 ปีเลย ยังไม่แก่นะ 70 กว่าไป ขนาด Joe Biden ยัง 80 กว่า มหาเธร์ยัง 90 แล้ว เขาก็เป็นนายก อายุตั้ง 80 90 ยังไม่เห็นเป็นไร ถ้าหากสังขารร่างกายเรายังดียังทำได้ ไม่ใช่อัลไซเมอร์เหมือนหลวงปู่แสง แล้วจะมาทำ ถ้าหากร่างกายยังดีอยู่ก็ทำ พอไปได้ ไม่เป็นไร 

เพราะฉะนั้นในธรรมะของพระพุทธเจ้า อาตมาพูดแล้วคนเขาจะหมั่นไส้ ว่ามันหลงตัวหลงตน ยกตัวเองยิ่งใหญ่เหลือเกิน โธ่! พระพุทธเจ้าท่านยกตัวเอง แล้วพวกเราเป็นชาวพุทธก็เลยไม่ได้หมั่นไส้พระพุทธเจ้า โพธิรักษ์เอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาพูด นัยยะเดียวกันแล้วไม่ได้ยกตัวเองใหญ่เหมือนพระพุทธเจ้านะ บอกว่าตนเองเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ยังไม่ถึงพระพุทธเจ้าหรอก แต่ยังมีนัยยะอาริยธรรมของพุทธเจ้ามา นี่แหละ เอามาแสดง เขาก็ไม่เชื่อว่าจริง ไม่เชื่อว่านี่คือธรรมะพระพุทธเจ้า ธรรมะพระพุทธเจ้าต้องเป็นอย่างเขาสิ แบบกิ่งไม้ใบไม้ มีผล มีดอกไม้ด้วย สะเก็ดยังไม่ได้ ศีลยังไม่เอากันเลย เปลือกกับกระพี้ ยังไม่มีเลย ไม่ต้องพูดถึงแก่น
เอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามายืนยันอ้างอิงอย่างนี้เขาถึงพูดไม่ออก เขาพูดไม่ออกจะว่าไม่จริงมันก็จริงอยู่ เพราะเขาเองยังแบกในลาภยศสรรเสริญสักการะ ยังทำอะไรต่ออะไรอยู่เสพสุขอยู่กับกิ่งใบดอก จะได้สะเก็ดศีล ที่เป็นความสุขสงบ แค่ศีลที่เป็นสะเก็ด ทำให้เกิดสุขสงบ แบบวูปสโมสุข ที่จริงความสุขมันไม่มีหรอก แต่มันมีขั้นตอน เป็นระดับๆ เขาก็มีความสงบเพราะศีล ก็ไม่ ดีไม่ดี ก็เดือดร้อนในวินัยด้วย ดีไม่ดีอาบัติ สังฆาทิเสสเขาก็ไม่ปลง หมกหมักหมมเน่าในไป แม้แต่ปาราชิกก็ยังปิดหมักหมมเน่าในกันไป แล้วจะให้อาตมาอยู่ด้วยกับคณะนั้น อาตมาก็อยู่ไม่ได้ต้องประกาศขอทำสังฆกรรมคนละพวกละกัน นานาสังวาส ท่านก็ทำของท่านไป อาตมาไม่ร่วมสังฆกรรมด้วยเพราะว่ามันเน่าใน ตามที่เป็นมาอาตมาประกาศนานาสังวาส 

พวกนั้นก็เอาใหญ่นึกว่าตัวเองเป็นคณะใหญ่เล่นอาตมาใหญ่เลย นี่คือสัจธรรมที่มันเป็นจริง มันเป็นเช่นนั้น มันต้องเป็นเช่นนั้น อาตมาไม่ได้ประหลาดใจ ก็ยิ้มสู้มา ไม่ได้เคยท้อถอยตกใจไม่ได้เคยหวั่นไหวอะไร ทำมา อยากจะพิสูจน์จนถึง 100 ปี ถ้าไปอีก 48 ปีถึง 100 ปีแน่ 

สู่แดนธรรม... มีผู้สังเกตว่าพ่อท่านได้โอกาส พิสูจน์สัจธรรมไป เขามองว่า หากว่าโลกุตระของพ่อท่านถูกต้องดีจริง ทำไมได้มวลน้อย 

พ่อครูว่า... สัจจะธรรมโลกุตระก็มีหมู่น้อยสิ เป็นยอดพีระมิดไม่ใช่ฐานพีระมิด เพื่อถูกต้องตามสัจจะ เอาปริมาณมาวัดไม่ได้ ซึ่งคุณยังไม่ฉลาดพอ อาตมาไม่ว่าคุณโง่ แต่คุณยังไม่ฉลาดพอที่จะรู้ ก็จริงยอดพีระมิดก็ต้องมีน้อย ฐานพีระมิดก็ต้องใหญ่ คนไม่รู้ก็ต้องมากกว่าคนที่รู้ โลกุตระ มันก็เป็นธรรมชาติ สิ่งที่สูงสิ่งที่ยอดก็ต้องมีน้อย สิ่งที่เป็นฐานก็ต้องมีใหญ่มีเยอะ 

สู่แดนธรรม... น้อยแต่เนื้อแน่น

พ่อครูว่า... เป็นเอกีภาวะแน่นใน พวกเราแน่น ไม่ได้บังคับให้แน่นแต่รวมกันเป็นปึกแผ่น เป็นเอกีภาวะ

สู่แดนธรรม... มวล พวกเราควรจะมากด้วยเนื้อแน่นจริงๆใช่ไหมครับ ไม่ใช่มากเพราะเปลือก 

พ่อครูว่า... ไม่ใช่เอาขยะมากลบใส่ ไม่ใช่ เราถึงมีการคัดเลือก ที่อาตมาทำเป็นการคัดเลือกในตัว เป็นกลวิธีของจอมยุทธ์ อาตมามีวรยุทธทำให้เป็นอย่างนี้ได้ ใช้ภาษากำลังภายในอธิบายเป็นประกอบ เคล็ดวิชาของอาตมา คนที่ยังไม่ควรเข้ามาจะเข้ามาไม่ได้ คนที่เข้ามาต้องมีภูมิพอและสมัครใจเข้ามา แล้วก็จะต้องรู้ว่าอย่างนี้นะ เขายิ่งไม่ว่าเรา เรายิ่งควรจะหน้าบาง ถ้าขืนเราหน้าหนามันหน้าด้าน เขายิ่งไม่ว่าเรา เรายิ่งควรหน้าบาง มันจะซ้อนอย่างนี้ชัดเจนๆดี มันจะสำนึกสำเหนียกจริงๆ มันเป็นสัจจะของตัวธรรมะ 

เพราะฉะนั้นจะเกิดความละอาย จะเกิดศรัทธา เกิดความรู้ ความเข้าใจ ความเห็น ความเชื่อ มันเกิดความละอาย อาการ หิริ ในสัทธรรม 7 จึงยิ่งใหญ่ คนที่ไม่มีความสำเนียก ความสำนึกว่า ตัวเองหน้าด้าน ขายขี้เท่อ หน้าด้านมาตั้งนาน หน้าด้านที่เราไปหลงผิด ที่ไปละลาบละล้วงผู้ที่ท่านเป็นสัตบุรุษ ผู้ที่ท่านรู้จริงถูกต้อง เรานี่ต่างหากที่ไม่ถูกต้อง มันรู้ชัดมันยอม รู้ตัวว่าเราผิด เราไม่ถูกต้อง เพราะเราไปว่าผู้ที่ถูกต้องไปละลาบละล้วง มันจะเกิดหิริโดยสัจธรรม หิริโอตตัปปะ 

สัทธรรม 7 จึงยิ่งใหญ่ มีศรัทธา พอรู้ตัวว่าเราไม่น่าไปขายขี้เท่อ นึกว่าตัวเองเป็นผู้รู้เป็นผู้ที่ถูกต้อง เป็นผู้ที่เป็นปราชญ์ทางศาสนา เป็นผู้นำพาความยิ่งใหญ่ของศาสนา เป็นผู้ที่เป็นโลกุตระเป็นเนื้อแท้ เป็นปรมัตถธรรมที่ยิ่งใหญ่ ที่แท้เป็นของเก๊ เป็นของเลอะเทอะ แล้วจะไปยึดมั่นถือมั่น แล้วยังไปตู่ท้วงผู้ที่ท่านถูกต้อง ดีไม่ดีโผล่ขึ้นมาอย่างอาตมาปางนี้ 2,500 กว่าปีโผล่มาแสดงตัวในยุคนี้ เขาก็จะบอกว่ามาจากไหนไม่เคยได้ยิน เอาอะไรมาพูด 

อาตมาว่าอาตมามีมาเอง เป็น สยังอภิญญา แล้ว สยังอภิญญา ไม่ได้พูดเอาเองแต่อยู่ในสัมมาทิฎฐิข้อที่ 10 นะ อย่างเช่นอธิบายให้รู้โลกนี้โลกหน้าได้ดี คุณเข้าใจไหมที่อาตมาแยกแยะโลกนี้โลกหน้ามาตั้งเท่าไหร่ โลกนี้โลกหน้าก็คือโลกโลกียะกับโลกโลกุตระ คุณชัดเจนขึ้นไหม ถ้าคุณได้รู้โลกุตระคุณก็จะมา คนที่แม้แต่แค่รู้ก็ยังไม่รู้ หรือเข้าใจบ้างหรือยัง หรือพอเข้าใจแล้วบ้าง ปฏิบัติอยู่บ้างแต่ไม่ได้มา ก็เป็นมิตรสหายดี อยู่ทางโน้นก็ไม่เป็นไร ปฏิบัติตั้งใจศึกษาพากเพียรไป ถ้าเห็นดีเห็นงามแล้วมีจุดเริ่มต้น จุดแรกเริ่มต้นจุดแรกที่เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ  จุดที่ 2 3 4 5 6 7 จะตามมา แต่ถ้าจุดแรกที่สัมมาทิฏฐิยังไม่เกิด พระพุทธเจ้าท่านให้เรียนรู้คำว่า กาย หาก กาย ยังไม่สัมมาทิฏฐิ 

กาย ต้องรู้ตัวเอง สักกะ คำว่ากาย ถึงไม่ใช่ของตื้น ไม่ใช่ของง่าย ไม่ใช่ของผิวเผิน เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ คำว่า กาย

สมณะฟ้าไท... สรุปจบ

ที่มา ที่ไป

650527 สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ สติ สันโดษอันเป็นอาริยะ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 28 พฤษภาคม 2565 ( 07:36:39 )

650530

รายละเอียด

650530 ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ 4 ประการ รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 40

https://www.boonniyom.net/52177.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                         

https://docs.google.com/document/d/1J8yx2R3XtpoB40QwfjoY2-zSCeOFo0trfxKR74Eo0pA/edit?usp=sharing   

     

ดาวน์โหลดเสียงที่   https://drive.google.com/file/d/1D4L-SIQ2SmpkmwDO_Oss7SmKkkcrqLBM/view?usp=sharing 

     

ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/8-gLwhK0DGw 

และ https://fb.watch/dkoVNd1Tm8/ 

 

_สู่แดนธรรม...วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ผมไปค้นหาธรรมนิยาม 5 เอามาจากพระไตรปิฎกเล่มไหนซึ่งก็หาไม่เจอ (พ่อครูว่า มาจากคัมภีร์วิสุทธิมรรค ) 

พ่อครูว่า...SMS วันที่ 27-29 พ.ค. 2565

 

_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

ท่านหลวงพ่ออนุตโร เทศน์ได้ชัดเจนมากค่ะ พูดถึงความเด็ดขาดในการเลิกกินขนม ลูกได้ประโยชน์มากเลยค่ะ ลูกยังต่อสู้อยู่ค่ะน้อมกราบนมัสการค่ะ

พ่อครูว่า...มันติดเหลือเกินนะขนม จริงๆนะคนมันติดมันก็ติดจริงๆ อาตมานี่ไม่รู้จักขนมมากี่ปีแล้วนี่ ก็มีคนมาให้กินนิดๆหน่อยๆ ผู้ดูแลส่งมาบ้าง มีแต่พืชพันธุ์ธัญญาหาร อาหารกับข้าว ข้าวสุก ขนมสดไม่มี มีแต่ข้าวสุกกับพืชพันธุ์ธัญญาหารทำเป็นกับเป็นแกง เอ้า.. ต่อสู้ไป 

 

ทำจิตนิยามให้เป็น 0 เป็น 1 ได้อย่างไร 

_พันธุ์ พอเพียง : วันนี้ญาติมาเยี่ยมบ้านที่อยุธยา แล้วแวะเข้าไปดูในสวนท้ายบ้าน ซึ่งปลูกแบบชาวอโศกพาทำ เขาอุทานออกมาว่า โอวววว ปลูกแบบนี้ไม่มีทางอดอยาก รอดแน่ ๆ เขาอุทานแบบนี้เลยครับ

พ่อครูว่า...ทำให้สงสัยว่าปลูกแบบไหนหนอ เหมือนชาวอโศกอย่างไร นัยยะคำว่า ต่างกันหรือเหมือนกันนี่แหละเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุด เทวนิยมแตกต่างจากพุทธ หรือแตกต่างจาก อเทวนิยม อย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นธรรมะ 2 อย่าง จะมีความไม่เหมือนกัน แม้แต่ปรมาณูเล็กนิดที่สุด 2 ปรมาณู 2 หน่วยก็ต่างกัน เพราะฉะนั้นจึงต้องมาเรียนรู้ทุกอย่างในความต่างกัน แล้วทำให้เกิดปัญญา แล้วทำให้รู้ว่าทำอย่างไรมันจะลงเป็นหนึ่งเดียวกัน ความต่างกันมันต่างกันตรงไหน ขจัดความที่ไม่ลงกันไปให้ได้ จนลงกันเป็นหนึ่งเดียว นี่คือความหมายยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ พอเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วก็เป็นนิพพาน จบ 

เช่น สุขทุกข์มันเป็น 2 แต่ประเด็นของความยิ่งใหญ่ก็คือ สุขทุกข์นี้มันต้องต่างกันแน่สวรรค์กับนรก ต่างกันแน่ แต่มันเป็นมายาของจิต จิตนิยาม มันไม่ฉลาดพอ เห็น 2 ยังเป็น 2 อยู่ แต่ก็เลือกชอบ 1 คือชอบสุข ไม่ชอบทุกข์ แล้ว 2 นี้มันแยกไม่ออก แยกอย่างไรก็แยกไม่ออก ในความเกิด 

ความเกิดจะมี 2 ทั้งนั้น มีสรีระกับจิตวิญญาณ มีรูปกับนาม มีนามกับรูป เพราะมันจะมีธาตุรู้กับอีกสิ่งหนึ่งเป็นสังขาร ดินน้ำไฟลมปรุงแต่งกับธาตุรู้ที่เรียกว่ารูปกับนาม มันแยกไม่ออก ถ้าแยกออกก็ตายชั่วคราว ก็ไปหาเอา 2 ใหม่ ถ้ายังไม่ทำให้เป็น 1 ได้เด็ดขาดเป็นอรหันต์ ที่สุด 1 กับ 0 ก็เป็น 2 หน่วย 2 อย่าง ต่างกันนะ 1 กับ 0 ทำ 1 ให้เป็น 0 ได้อีก ตอนนี้เราก็เด็ดขาดเลย จบ เป็นอรหันต์เลย 

เพราะฉะนั้นถ้ายังมีอยู่ก็ยังเป็นหนึ่ง แต่ทำ 0 ให้กับตัวเองในจิตวิญญาณได้ เมื่อทำ 0 ได้แล้วก็สามารถแยกจิตนิยามให้เป็น 0 ได้เลย ถ้าแยกแล้วแยกเลยนะ แยกจิตนิยามให้เป็นดินน้ำไฟลมเป็น 0 โดยการตายปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตายแล้วตายเลย ถ้าผู้นั้นตายไปเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็ทำจิตนิยามให้เป็นดินน้ำไฟลมไปเลย 

กายสเภทา ปรัมมรณา ภายหลังจากการแตกตายไปแล้ว ไม่มีแล้วจิตวิญญาณผู้นี้ ถ้าได้ตั้งจิตตายอย่างนิพพาน 3 อย่าง สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน อนุปาทิเสสนิพพาน

การทำจิตวิญญาณของตนเองให้เป็น 0 ได้เป็นการพิสูจน์ว่า เราเป็นเจ้าของวิญญาณ เราจัดการทำลายจิตวิญญาณให้สูญไปได้ไปเลยเป็นดินน้ำไฟลม

เพราะฉะนั้นถ้าจิตวิญญาณหรือ อัตตา ก็สูญหายไป ศาสนาเทวนิยมบอกว่า อัตตา นี่แหละ ตายไปแล้วจะต้องไปกับพระเจ้า ต้องไปอยู่กับพระเจ้าไปไหนไม่ได้ เพราะพระเจ้าเป็นเจ้าของอัตตา แล้วอัตตา จะมีอยู่นิรันดรไม่มี 0 มันจึงค้านแย้งระหว่างเทวนิยม กับศาสนาพุทธหรืออเทวนิยม ยิ่งใหญ่ตรงนี้ 

ศาสนาเทวนิยมจึงอยู่กับความมีนิรันดร แต่ความเป็นศาสนาพุทธนั้นทำความมีอยู่ก็ได้ทำความไม่มีก็ได้ เลิกทั้งมีและไม่มี เป็นไม่มีเลย​นิรันดรได้ 

 

เพราะสิ่งที่มีอยู่มันไม่เที่ยง คนเราจึงเกิดความบกพร่องขึ้นเสมอ 

_ใจจริง จริงใจ : ธรรมะประทับใจ::>ใครรับคำตำหนิไม่ได้ ไม่มีทางพัฒนา(เจริญ)

พ่อครูว่า... ผู้ที่รับคำตำหนิได้คือผู้ที่ลดตัวตน หมดตัวตน คุณหมดตัวตน จะถูกทำอย่างไรก็ได้ ฟังคำตำหนิ เขาตำหนิผิดก็บอกเขา เขาตำหนิถูกก็บอกเขาได้ ขอบคุณเขา 

สู่แดนธรรม... ผมมีคาถาว่า เมื่อผมถูกตำหนิผู้ที่มองก็คงจะมองเห็นบกพร่องของผมซึ่งผมมองไม่เห็นแต่เขามองเห็น จึงยอมรับ 

อาตมาก็มีข้อบกพร่องแน่นอน เรายกให้พระพุทธเจ้าองค์เดียวที่สมบูรณ์แบบไม่มีข้อบกพร่องเด็ดขาดแล้วในความเป็นสิ่งที่มีอยู่ในโลก จะมีอย่างไรตามกาละ เทศะ ฐานะ ซึ่งไม่เที่ยง กาละอย่างนี้ก็มีอย่างนี้ เทศะอย่างนี้ก็มีอย่างนี้ ฐานะอย่างนี้ก็มีอย่างนี้ มันต้องเป็นอย่างนั้นนะ ไม่เท่าเดิม ไม่คงเดิมหรอก กาละเปลี่ยนไป 

กาละ เปลี่ยนไป 1 วินาที คุณก็แก่ลงไป 1 วินาที กาละ เปลี่ยนไป 1 วินาที คุณก็เปลี่ยนไป 1 วินาที มันไม่คงที่ กาละ มันไม่ได้อยู่กับที่ ฉันเดียวกันเทศะฐานะ มันก็ไม่เท่าเดิมไม่คงเดิม พระพุทธเจ้าท่านสรุปว่าทุกๆอย่างไม่เที่ยง สัพเพธัมมาอนิจจา

 

พลเอกประยุทธ์ไม่ได้บริหารด้วยเผด็จการ 

_สู่แดนธรรม... เหมือนนโยบาย 200 กว่าข้อของผู้ว่าคนใหม่ ชี้แจงว่ามันต้องมีเยอะๆ เพราะว่านโยบายไม่ใช่หลักศิลาจารึก เมืองมันต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เขาเลยทำนโยบายไว้หลายๆข้อ 

พ่อครูว่า... อาตมามองว่ายังมีลักษณะฝ่ายอีกฝ่ายหนึ่งคือฝ่ายทักษิณ ฝ่ายเขาจะมีคุณภาพมีทั้งความจริงใจ มีทั้งสิ่งที่ยังไม่ลงตัว เข้าร่องเข้ารอยของทางโลกุตระอะไรยังมีอีกเยอะ แต่ก็ไม่ต้องไปประมาทเขาก่อน ทำงานไปก็จะเห็นได้ถึงความจริง ก็ต้องใช้เวลาหน่อย 

ลักษณะของคุณชัชชาติเป็นลักษณะของทางตะวันตก เขาชอบทำแบบสร้างภาพใช้อำนาจบาตรใหญ่ มีหมู่มีฝูงเป็นพรรคพวก คำว่ามีหมู่มีฝูงเป็นพรรคพวก มันเหมือนความเป็นประชาธิปไตยนะ แต่คำว่า ประชาธิปไตยนั้น ไม่มีหมู่ไม่มีฝูงไม่มีพรรคพวก มีแต่ประชาชนทั้งหมดเสมอสมานกันเป็นเอกภาพ เป็นเอกีภาวะ แล้วปัญญาของแต่ละคน เข้าใจว่า ในจำนวนประชาชนทั้งหมดใครมีคุณสมบัติหรือคุณวิเศษดีที่หนึ่ง รู้แล้วยกคนนั้น พร้อมใจกันยก เป็นคนมีปัญญา รู้สอดคล้องกัน เห็นด้วยว่าคนนี้แหละ แล้วก็ให้คนนี้ทำงาน 

เช่นเดียวกับประชาธิปไตยเมืองไทย ขอลงตรงนี้อีกนิดนึง

คนยังไม่เข้าใจตรงนี้กันนัก นักรัฐศาสตร์ซึ่งเรียนมาจากตะวันตกจบด็อกเตอร์มาจากตะวันตกทั้งนั้นนักรัฐศาสตร์ จบรัฐศาสตร์เป็นด็อกเตอร์ของเมืองไทยก็ตามก็ยังไม่เข้าถึงโลกุตรธรรมเท่าไหร่ เขาก็จะยืนยันว่า 

อย่างเมืองไทยนี่ ยังเป็นเผด็จการ นายกฯประยุทธ์ พลเอกประยุทธ์ เขาก็ยังถูกยืนยันว่าเป็นเผด็จการ เอาละใน 4 ปีแรก ที่พลเอกประยุทธ์บริหารเป็นนายกฯ เพราะพลเอกประยุทธ์บอกว่าผมขอยึดอำนาจ มีพฤติการณ์อันนี้ แล้วก็มาบริหารไป แต่พอ 4 ปีหลัง เลือกตั้ง แล้วเขาก็เลือกเอา พลเอกประยุทธ์ซึ่งไม่ได้สังกัดพรรคไหนเลย เป็นคนนอก แม้แต่พรรคพลังประชารัฐเขาก็ไม่ได้อยู่ เขาเลือกพลเอกประยุทธ์มาเป็นนายกฯ นี่ก็ 8 ปีก็ไปแล้ว 

เพราะฉะนั้น 4 ปีหลังเป็นประชาธิปไตยแล้วไม่ใช่เผด็จการ ซึ่งนักรัฐศาสตร์ก็ยังไม่เข้าใจตรงนี้ เพราะมันซ้อน พลเอกประยุทธ์คนเดียวกัน ทั้งๆที่พฤติกรรมของการเลือกตั้ง แล้วสภา ก็โหวตให้ประยุทธ์เป็นนายก นี่คือรายละเอียดของความจริง 

เพราะฉะนั้นเมืองไทยไม่ใช่เป็นเมืองเผด็จการเลย เป็นเมืองประชาธิปไตย 100% ประชาธิปไตยเต็มใบ แล้วบริหารประเทศมา 4 ปี มีผลงาน รัฐบาลๆที่ผ่านมา โดยเฉพาะรัฐบาลทักษิณอุจจาระกองโตไว้ ต้องมาล้างความเหม็นและก้อนอุจจาระ โอ้ย ล้างไปได้เท่าไหร่แล้วล่ะ มันยังไม่หมดเลยนะ แต่ก็มีผลงานว่า ล้างออกไปจริงๆ 

ภูมิธรรม ความรู้ของอาตมามองเห็นเช่นนั้น อาตมาก็เลยว่า มันต้องพิสูจน์กันนะ ก็เลยยุ พลเอกประยุทธ์เลยว่า พยายามตั้งอกตั้งใจทำต่อไปอีก 20 ปี ยังหนุ่มอยู่ ยังไม่ 70 อีก 20 ปี ก็ 80 ก็เหมือนอาตมา 88 ปี อาตมาว่าบริหารได้นะ มหาเดย์ยัง 90 กว่า โจไบเดนก็ตั้ง 70 กว่า อายุ 78 ปี เอาน่าทำไปดู ตั้งอกตั้งใจ อย่าไปท้อแท้ มันยังพอมีกำลังวังชาก็คงยังไม่เมื่อยเร็วนัก พระอนาคามีก็ยังไม่หมดความเป็นเพศ 

_คุณสายันต์ ธนานันท์ : (พ่อครูไอตัดออกด้วย) พระอนาคามี ไม่มีเพศแล้วใช่ไหมคะ หมายถึงเพศทางนามธรรมค่ะ ไม่ใช่เพศที่เป็นรูป  คือ ความอิตถีภาวะ ปุริสภาวะน่ะค่ะ ขอบคุณค่ะ

พ่อครูว่า... โลกของกาม โอฬาริกอัตตาภายนอก พอมาเป็น มโนมยอัตตา มีรูปที่สำเร็จด้วยจิต ก็ยังมีภาวะที่ยังมีเพศอยู่ แม้เป็นอนาคามี รูปราคะ อรูปราคะ ก็ยังเป็นเพศอยู่ เพศคือ ความแตกต่างกันที่รวมตัวกันเป็นหนึ่งยังไม่ได้ ที่หมายความว่า ยังมีเพศที่ถามมา คือ ความไม่ลงตัวเป็นหนึ่ง ถ้าไม่รวมตัวเป็นหนึ่งแล้ว ก็เป็น นปุงสกลิงค์ ไม่เป็น ปุงลิงค์ อิตถีลิงค์แล้วแต่เป็น นปุงสกลิงค์ เป็น 1 ได้แล้วไม่มีสุขไม่มีทุกข์ได้แล้ว ก็ทำความเป็น 1  และเป็น 0 ให้ได้ อีกทีหนึ่ง

ที่พูดและอธิบายกันอยู่เป็นรูปธรรมและนามธรรม สัจจะเป็นรูปธรรมนามธรรมที่อาตมาใช้เวลา 50 ปีแล้วแยกแยะอธิบายแจกแจงกันทุกวันทราบเรื่องเก่านี่แหละรูปนาม จนป่านนี้ก็ยัง จนตาย อาตมาก็ยังต้องอธิบายต่อไปอีกไม่ใช่ง่ายๆ 

 

ที่มาที่ไป ทำไมเรียกนักบวชชาวอโศกว่าสมณะ 

_พ่อครูว่า... ที่กำลังอธิบายถึงเป็นจุดสำคัญมากเลย พระพุทธเจ้าท่านอธิบายเท้าความมาด้วยจรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งอัมพัฏฐะเข้าใจว่า จรณะ 15 วิชชา 8 นี้ ผู้ที่จะปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 ได้บรรลุ เป็นวิชชาจรณะสมบัตินี้ เรียกว่าเป็นสมบัติในตัว ได้เป็นคุณธรรมแล้ว จะต้องเป็นพระแบบที่เข้าใจแบบเดียวกันกับคนไทย พุทธศาสนิกชนคนไทยทุกวันนี้เข้าใจกันเป็นส่วนใหญ่ ว่าจะต้องเป็นพระป่า ปฏิบัติอย่างพระป่า ไม่ได้ปฏิบัติอย่างจรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งปฏิบัติง่ายๆวิธีหลับตาสะกดจิตๆ เหมือนสายอาจารย์มั่น มหาบัวไม่รู้อีกกี่สำนักที่นั่งหลับตาสะกดจิตทั้งนั้น 

ถ้าไม่มีอาตมาอุบัติขึ้นมาในยุคนี้ ก็จะเอาแต่นั่งหลับตาสะกดจิต มีอรหันต์เก๊ไปอีกนาน แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะอาตมาต้องขึ้นมาทำงาน มันเป็นสิ่งที่เป็นจริง บอร์นทูบีมันเกิดขึ้นแล้วไม่เกิดก็เป็นไปไม่ได้ อาตมาต้องเกิดมาแล้วถึงมาเจอก็เป็นจริงอีก ยืนยันไปเขาก็จะเอาตาย พอรู้ตัวว่าอาตมาสอนไม่ได้เหมือนเขาเลย มันหักล้างเขาอีก เขาเอาเลย ตั้งแต่บัดโน้น 

เท้าความประวัติอีกนิดนึง เราลาออกตั้งแต่ 2518 เป็นนานาสังวาส ตอนแรกเขาไม่เข้าใจนานาสังวาสลึกซึ้งดีหรอก ก็ปล่อยให้เราปฏิบัติมา ทำมาตั้งแต่ 2518 จนกระทั่งมาถึง  พ.ศ. 2525 พันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ ก็ตีหมด ซึ่งเขาตีหมดตั้งแต่ท่านพุทธทาสมา แกศึกษาธรรมะของแกก็ขึ้นอาละวาดไปทั่ว จนสุดท้าย ก็เข้าคุกไป เราก็ไปญาติดีกับแกนะ เอาข้าวเอาน้ำให้แกกิน จนแกมีหนังสือน้อยมา ว่า ข้าวของท่านมียาง รู้สึกว่าเป็นบุญคุณนะ เราไปส่งข้าวส่งน้ำเขา 

จากอนันต์ เสนาขันธ์ ตีไปแล้ว ก็มีคนเห็นว่ามีกำลัง มีผู้บุกเบิก พอ พ. ศ. 2532 มีหัวหอกคือ ท่านประยุทธ์ ปยุตโต เขียนหนังสือซัดมาอีก 3 เล่ม แล้วยังบอกว่าจะมีเรื่องต่อไปอีกนะ พวกคณะที่เห็นพ้องกันอยู่แล้ว เพราะมันค้านแย้งเขา ไปทำลายความรู้ความเห็นของเขา มันทวนกระแสกัน คณะเถรสมาคมคณะใหญ่ก็รวมตัวกันใหญ่เลย ทั้งธรรมยุตและมหานิกายรวมตัวกันใหญ่เลย รวมตัวกันจัดการอาตมา 

จนกระทั่ง จัดการด้วยธรรมะก็ไม่รู้จะให้ใครตัดสิน ทางเถรสมาคมก็ไปฟ้องร้องทางโลก ไปให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นฆราวาสมาตัดสินอาตมา เขาก็ต้องเอากฎหมายเป็นหลัก แล้วก็มีกฎหมายที่บัญญัติเองขึ้นมาว่า เท่าที่จำได้เป็นมาตรา 18 ของกฎหมาย 2505 มาตรานั้นบอกไว้ว่า สังฆราชสั่งให้สึกภายใน 7 วันต้องสึกตามนั้น สังฆราชตอนนั้นก็เลยออก ปฏิบัติตามกฎหมายสั่งให้อาตมาสึกภายใน 7 วัน ซึ่ง 7 วันอาตมาก็ไม่สึก 7 ปีก็ไม่สึก จะอยู่ไปให้ได้ 70 ปี ตอนนี้อยู่มาได้ 50 ปีแล้วนะ อีก 20 ปีเท่านั้น ไม่ยอมสึก 

เมื่อไม่ยอมสึกก็ผิดกฎหมาย ผู้พิพากษาตัดสิน ท่านก็ตัดสินตามหลักกฎหมาย ไม่ได้เอาตัดสินตามหลักธรรมวินัย เพราะผู้พิพากษาเป็นฆราวาสจะเอาธรรมวินัยมาตัดสินได้อย่างไร เอากฎหมายมันก็ผิด เพราะว่าบัญญัติขึ้นเองว่าสังฆราชสั่งให้สึกได้ เราก็ผิดเราก็ยอมรับตามกฎหมายโลกในยุคนี้กาละเทศะนี้ บริบทนี้เขาเป็นอย่างนั้นก็ต้องยอมเขา ที่เรียกว่าอนุวัติตามโลก พระพุทธเจ้าก็สอนไว้เราก็ไม่ได้ขัดขวางเขา 

แต่ก็ยังมีความปราณีว่า ติดคุกแต่รอลงอาญา 2 ปี เราก็เลยเป็นนักโทษไม่ได้เข้าคุก ก็จบสิ้นลง จบสิ้นลงแล้วทีนี้ทางกฎหมายเขาก็จบแล้วสิ จบลงโดยที่เรียกว่า ทนายทองใบบอก ให้ฎีกาต่อ อาตมาบอกว่าไม่ต้องหรอก จบที่ศาลอุทธรณ์นี่แหละจบ เขาชนะให้เขาชนะไป คำพิพากษาแล้วว่ารอลงอาญา 2 ปีก็จบ เราก็รอลงอาญา 2 ปีตามที่เขาตัดสิน ตามกฎหมายทุกอย่างมันก็หมดแล้วนี่ เราก็รอลงอาญาไม่ได้ทำผิดอะไรเลย ให้คนมาคอยควบคุมพฤติกรรม คนควบคุมก็มาแค่ 2-3 ครั้งก็ไม่มาอีก เพราะเขาเห็นแล้วจะมาควบคุมอะไรมีแต่จะมาศึกษาจากเรา เขาก็มาศึกษาจากเรา ไปกินมังสวิรัติเลยคนควบคุมเราน่ะ อย่างนี้เป็นต้น นี่คือธรรมะจัดสรรทั้งนั้นเลย 

จากวันนั้นถึงวันนี้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2532 มหาประยุทธ์หรือว่าพระพุทธโฆษาจารย์เขียนหนังสือซัดอาตมาอีก ทีนี้ 2 คณะรวมกันเลยทั้งธรรมยุตและมหานิกายรวมกันอีก ซึ่งผิดธรรมวินัย มาทำสังฆกรรม มาปกาศนียกรรมอาตมา ซึ่งมันทำไม่ได้มันผิดวินัยคณปูรกะ เป็นสองนิกายมาทำสังฆกรรมกันทำไม่ได้ แม้นานาสังวาส ก็มาร่วมกันทำสังฆกรรมไม่ได้ 

เพราะฉะนั้นในหลักวินัยต่างๆพวกนี้ท่านก็เรียนกันมา หัวผุหัวพัง จบเปรียญ 9 จบดร.ทางพุทธศาสนามาด้วย ก็ว่ากันไป แม้จะเปรียญ 9 ในนี้ก็ตาม ท่านก็ยังไม่ประสีประสาในเรื่องวินัยที่ชัดเจน ท่านก็ทำผิดกฎหมายมาเรื่อยๆ 

จนมาผ่านพ.ศ. 2532 ฟ้องเราให้เราไปขึ้นศาล อยู่ตั้ง 6 ปี 6 เดือน 6 วัน จึงถูกพิพากษา จบ เราก็เกม ทนายทองใบบอกว่าให้ฟ้องฎีกา อาตมาบอกว่า ไม่ต้องฎีกาหรอก อุทธรณ์นี้ก็จบแล้ว เราจะไปฎีกาให้เมื่อยอีกทำไม ไม่ฟ้องกลับ แพ้แล้วก็แพ้เลยก็อยู่อย่างแพ้นี่แหละ 

สู่แดนธรรม... พ่อท่านตัดสินเพราะว่า สรณะนี้มันจบแล้ว สงครามไม่มีแล้ว 

พ่อครูว่า... เพราะว่าเรายอมรับที่ถูก แต่เขายึดผิดๆ เขาก็คว้าได้ผิดไป แต่เราถูกอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราก็จะไปเพิ่มอีกทำไม เสียเวลาอีกทำไม เมื่อย แล้วเขาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะมันจบในตัวของมันเองแล้ว ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ พ. ศ. 2532 จนกว่าจะหมดเรื่องก็ตั้ง พ.ศ. 2540 จึงได้ชื่อมาใหม่เป็นสมณะ แล้วเราก็อยู่ของเรา ก็ลอยตัวเลยเป็นสมณะ พอเราตกลงได้คำว่าสมณะแล้วมหาระแบบก็เต้นใหญ่ บอกว่าเอาสมณะไปให้ทำไมเพราะสมณะแปลว่าพระอรหันต์นะ อ้าว! ให้แล้วก็ให้เลยสิ ทางโน้นทางท่านเจ้าคุณ ท่านสมเด็จก็สูงกว่ามหาระแบบแบบอีก ที่ได้ตกลงกันกับมหาจรวย หนูคง ที่ตอนนั้นเป็นเจ้าหน้าที่กรมการศาสนามาตกลงกับเรา แล้วก็โทรศัพท์พูดกับสมเด็จตั้ง 2-3 องค์บอกว่าตกลงกันอย่างนี้นะ ว่าเขาจะเรียกตัวเองว่าสมณะไม่เรียกตัวเองตามกฎหมายที่มี เรียกตัวเองผิดกฎหมายไม่ได้ เช่น เรียกเป็นภิกษุ นักพรต นักบวช ไม่ได้

 ก็เหลือคำนี้คือคำว่า สมณพราหมณ์ ซึ่งมันไม่มีในกฎหมายห้ามไว้ เราก็บอกว่าเราตกลงเอาคำนี้ เราก็ได้ชื่อว่าสมณพราหมณ์มาตั้งแต่บัดนั้น มาถึงบัดนี้ก็กร่อนๆ เหลือแต่คำว่า สมณะ ไม่เอาคำว่าพราหมณ์มาต่อท้าย ถ้าใครจะพูดเต็มก็ไม่เป็นไร สมณะพราหมณ์ผู้เจริญ บางจำพวก ซึ่งก็ไม่มากเลยมีจำนวนน้อย เราก็อยู่ของเรามา แล้วก็ปฏิบัติเผยแพร่ธรรมะมา ตั้งแต่ พ.ศ.2532 จนกว่าจะสิ้นสุดเยื่อใย พ.ศ. 2538 จากนั้นก็จบอย่างคิดว่า Absolute แล้วนะ เขาก็ทำอะไรเราไม่ได้ เป็นการยุติกันมาอย่างเรียบร้อย 

ที่ฟื้นไม่ได้ฟื้นฝอยหาตะเข็บและเตือนสติเขาว่ามันไม่ถูกที่คุณทำนั้นให้รู้สึกตัวบ้าง ที่ทำไปแล้วไม่ถูกมาตลอด และสิ่งที่ถูกต้องเป็นอย่างไรก็เตือนสติเขา มันก็มีคนวางแล้ว มีคนที่ยอมรับ ยอมเข้าใจ ยอมวางความยึดมั่นถือมั่น เขาก็ยอมมาได้เรื่อยๆนี้ก็ดีแก้ไขกันไปอย่างนี้ พยายามพัฒนาการ 

อาตมาพยายามที่จะยังชีพให้มีชีวิตอยู่ยืดยาวต่อไป ก็เพื่อจะแก้ไขสิ่งผิด ให้มันถูกต้องไปเรื่อยๆเลย ก็ได้ มีอัตราการก้าวหน้าขึ้นมาเรื่อยๆ 

เพราะฉะนั้นทั้งชีวิตจริง ที่อาตมานำพา มีพฤติกรรม พฤติการณ์ จนเกิดบุคคลมาเป็นอย่างที่อาตมายืนยันว่าปฏิบัติตรงคำสอนพระพุทธเจ้า มาเป็นศีล สมาธิ ปัญญา หรือมี อปัณณกปฏิปทา 3 เป็นสัทธรรม 7 เป็นฌาน เป็นวิมุติ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็ตรงตามนั้นมา 

ยืนยันไปเรื่อยๆเสียงคัดค้านก็น้อยลงก็ลดลง แต่มีผู้ใหม่ ที่เขายังร้อนวิชามาก็ซ้อน อย่างเช่นอาตมาไปแตะหลวงปู่แสงขึ้นมา ทัวร์ลงเท่าไหร่ 8 แสนกว่า 

อาตมาในชีวิตนี้ยังไม่เคยมียอดวิว 8 แสน เป็นครั้งแรกที่มียอดวิว 8 แสน ที่เป็นความถูกต้อง แล้วก็มียอดวิว ดีใจชื่นใจ นับได้ เป็นพัน จะถึงหมื่นหรือเปล่าไม่รู้ แต่ถูกถล่มนี้แป๊บเดียว 8 แสน แตะหลวงปู่แสงแป๊บเดียว 8 แสน

หลวงปู่แสงไม่ได้เป็นอรหันต์อะไรหรอก ยังเป็นพระหลับตา ไม่ได้มีคุณธรรมอะไร ไม่ได้ไปลบหลู่นะ แต่เป็นเรื่องจริง ยังแสดงออกแม้แต่ในความเป็นกาม อย่างที่เห็นมีหลักฐานยืนยัน ยังมาล้วงมาควักมาดึงผู้หญิงเข้าไปกอดอยู่ แล้วยังบอกมาว่าอัลไซเมอร์ ยิ่งเป็นอัลไซเมอร์ ยิ่งคือจิตแท้ๆของตัวเองเลย ที่ยังมีกิเลสเป็นเจ้าเรือน ขนาดเครื่องมืออุปกรณ์สมองเป็นอัลไซเมอร์ มันยังมีฤทธิ์แรงแสดงออกทางกาย ทางวจี ทางกายวิญญัติ วจีวิญญัติ คุณก็ไม่รู้เรื่อง ทุกอย่างมาแต่เหตุ ถ้าไม่มีเหตุจะออกมาได้อย่างไร 

เป็นพระอรหันต์แล้ว เหตุดับหมด เหตุคือกิเลส กาม รูป อรูป ไม่มีแล้วมันจะมีอะไรดันออกมาเล่า แค่นี้เข้าใจไม่ได้จะไปปฏิบัติธรรมรู้เรื่องอะไร มันต้องมีพลังงานจริง พลังงานเหตุของมัน มีกามเป็นเหตุ มันถึงออกมา ถ้าไม่มีกามเป็นเหตุ แล้วยิ่งเครื่องมือ อัลไซเมอร์อีก อุปกรณ์ใช้ไม่ได้อีก ทั้งรูปทั้งนามมันบริสุทธิ์แล้ว มันจะเอาอะไรมาแสดงออกอย่างนั้น 

ที่พูดนี่พูดภาษาไทยนะ ภาษาพื้นๆ ที่พูดไม่ได้ข่มหลวงปู่แสงหรืออยากทำลาย แต่เปิดเผยความจริงบอกความจริงให้เกิดความชัดเจนว่า อย่าไปหลงงมงายกันมากเกินไป 

ผู้ที่ปกป้องช่วยปกป้องอุ้มชู ถ้าปกป้องอุ้มชูคนผิด มันดีหรือไม่ดี ...ไม่ดี ก็ไปคิดเอาง่ายๆ ไปอุ้มชู ปกป้องคนที่ผิดไม่ใช่คนที่ถูก แล้วก็มาลงโทษคนถูก เอ้า มันจะได้อย่างไรสัจจะมันก็เพี้ยนก็ผิด มันก็ไม่เข้าท่า เอาละ จบแค่นี้ก็แล้วกันเรื่องหลวงปู่แสง 

 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สู่แดนธรรม...ทั้งหมดทั้งมวลมันสืบเนื่องมาจาก การศึกษาธรรมะในประเทศไทยมีอิทธิพลจากคัมภีร์วิสุทธิมรรค เพราะอธิบายโดยพระคุณเจ้าที่อยู่ในภูมิเทวะนิยม ธรรมะพระพุทธเจ้าในภูมิของเทวนิยม ยกตัวอย่างเช่น การระลึกชาติ ซึ่งเป็นธรรมะขั้นหนึ่งของเตวิชโช เป็นเรื่องของผู้ที่จะต้องทำการงานของจิต กัมมัญญา ที่ต้องไประลึกชาติว่า มีอะไรเหลือที่ยังไม่ได้ลงบัญชี ที่เป็นรูปนาม ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา แต่ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคจะไปบรรยายว่าเป็นตัวตนบุคคลเราเขาชื่อนั้นชื่อนี้ ซึ่งผิดจากที่พ่อครูอธิบายว่า ก็มีชื่อนั้นชื่อนี้ก็เป็นชื่อของกิเลสเรา เป็นโคตรของโทสะและโมหะ ราคะ 

ตระกูลเป็นตระกูลกัจจายนะคือสายปัญญา หรือตระกูลกัสสปะคือแบบดับดิ่ง หรือเกิดในสัตตาวาสหรือวิญญาณฐีติ เป็น 2 อย่างที่ตรงกันข้ามกันอย่างนี้ นี่คือ จะต้องทำกัมมัญญาที่ต้องทำ เป็นหน้าที่ของจิต หลังจากที่จิตมีความบริสุทธิ์แล้ว ซึ่งมีความอ่อนพร้อมปรับเปลี่ยน จะทำให้ 2 เป็น 1 ได้อย่างไร 1ก็คือลดอาสวะสิ้น มีอะไรเหลือ รูปราคะ อรูปราคะ ซึ่งยังมีเพศคือความต่าง ถ้าหมดไปแล้วก็ไม่มีความต่างของเพศเป็น 1 เป็น 0

พ่อครูว่า... ดี เอาละไม่ต่อ

 

พราหมณ์มหาศาลสมัยพุทธกาล ก็คือพระมหาศาลในยุคนี้ 

_พ่อครูว่า... วันนี้มาเข้าสู่ประเด็นที่เราต่อเนื่องกันอยู่ใน อัมพัฏฐสูตร  พระพุทธเจ้าขึ้นต้นเมื่ออัม พัฏฐะยอมรับแล้วว่าเขามีแต่เปลือกคือภาษาว่า วิชชาจรณะ เขามีแต่ตรรกะบัญญัติ เหมือนกับสมัยนี้ที่ไม่เข้าหาเนื้อแท้ ไม่เข้าหาสภาวะธรรม แล้วก็ให้พระพุทธเจ้าทรงอธิบายขยายความจรณะ 15 วิชชา 8 พระพุทธเจ้าก็เริ่มเลย ว่าธรรมะในโลกนี้มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาเป็นผู้ตรัสรู้ชอบเป็นอะไร ท่านก็ว่าไปตามพุทธคุณ 9 แล้ว 

หลังจากนั้น คนมาได้พบพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมะ ก็ศรัทธาเลื่อมใสออกบวชตาม เมื่อออกบวชตามก็พากเพียรศึกษา เมื่อศึกษาแล้วก็บรรลุธรรมตาม เกิดศาสนาพุทธขึ้นมา เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธก็เจริญงอกงาม เมื่อเจริญงอกงาม ตั้งอยู่ประมาณหนึ่งแล้วก็ต้องเสื่อม 

ความเสื่อมเป็นความเสื่อมจริงๆ คือเดินลง เสื่อมเอามากๆก็ลงไปมากไกลลิบเลยไกลไปจากความจริง ความเสื่อม พระพุทธเจ้าก็อธิบายให้ อัมพัฏฐะฟังว่า ศาสนาพุทธก็มีความเสื่อมเหมือนกัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเหมือนกัน นั่นคือความเสื่อมของจรณะและวิชชา 

เกิดเป็นฆราวาส เกิดเป็นกษัตริย์ เกิดเป็นนักบวช เป็นพราหมณ์ มันก็ไม่เที่ยงอยู่แล้วมันก็เสื่อม แต่มันยึดมั่นถือมั่นเป็นรูปธรรม เหมือนอัมพัฏฐะยึดมั่นถือมั่นว่าตัวเองเป็นนักบวชเป็นพราหมณ์ ทั้งๆที่เป็นพราหมณ์มีเมีย มีข้าวของ มีทรัพย์ศฤงคาร เป็นพราหมณ์มหาศาล นักบวชขี้หมาอะไร มีลูก มีเมีย มีผู้สืบสกุล เหมือนกับศาสนาพุทธทุกวันนี้ในญี่ปุ่น เป็นเจ้าของศาสนาพุทธเลย มีลูก มีเมีย  มีธนาคารของตัวเองเลย มีทรัพย์ศฤงคาร มีสมบัติอะไรต่ออะไรพร้อม พุทธศาสนาอยู่ในญี่ปุ่น เป็นพราหมณ์มหาศาล 

มหาศาล หมายถึงว่า สะสมมากมาย ร่ำรวย สมัยนี้ก็เป็นพระมหาศาล อย่างร่ำรวยเยอะแยะ ขนาดพระป่าอย่างหลวงปู่แสงก็มีเงินตั้ง 100 ล้าน 

พระพุทธเจ้าก็สรุปว่า อัมพัฏฐะ ความเสื่อมนั้นมี 4 ประการ คือ เมื่อไปเชื่อ ไปคิด ไปเห็น ไปเข้าใจว่า จรณะวิชชา สมบัติ จะต้องอยู่กับพระป่า เพราะฉะนั้นใครจะได้จรณะวิชชาสมบัติ จะต้องออกไปหาอาจารย์ในป่า แล้วก็ไปเรียนรู้ถ่ายทอดวิชชาจรณะกับอาจารย์ที่มีวิชชาจรณะในป่า นี่คือความเสื่อม คนไปเข้าใจว่าถ้าจะเอาจรณะวิชชาสมบัติ อาจารย์ผู้ที่มีวิชชาจรณะสมบัติ ต้องเป็นอาจารย์ในป่า 

เสร็จแล้วเธอก็จะเข้าป่า ไปเจอใครเข้าก็ไม่รู้ ตั้งตนเป็นอาจารย์ทางศาสนาพุทธ บอกว่าเป็นผู้ที่มีวิชชาจรณะ แต่แท้จริงแล้วไม่มีหรอก สอนแล้วไม่มีวิชชาจรณะ แต่คุณก็หลงกันว่านี่แหละเข้าใจวิชชาที่เป็นเดียรถีย์ ฌานก็แบบเดียรถีย์ สมาธิก็แบบเดียรถีย์ วิมุติก็แบบเดียรถีย์

แล้วไปเข้าใจว่า เดียรถีย์  นั่นแหละคือพุทธะ แล้วไปบำเรออาจารย์ในป่า เหมือนกับเดี๋ยวนี้หลงใหลพระป่า ว่าถูกต้องถ้าจะบรรลุอรหันต์ต้องปฏิบัติแบบพระป่า แม้แต่เป็นพระบ้าน ทุกวันนี้ก็ยังมีความคิดเชื่อว่า จะต้องปฏิบัติอย่างพระป่า ตัวเองอยู่บ้านก็จะต้องนั่งหลับตาสะกดจิต เดินจงกรม ย่างหนอก้าวหนออยู่เหมือนกัน ไม่ได้ปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 เลย (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สู่แดนธรรม... เป้าหมายของวิชชาจรณะ คือ ทำให้เกิดความสงบ 

พ่อครูว่า... พระป่า เขาก็มีความสงบบ้างเหมือนกัน ยิ่งพระบ้านไม่มีความสงบเลย เมื่อเข้าใจผิดเช่นนั้น เป็นความเสื่อมในประเด็นที่พระพุทธเจ้าท่านย้ำกับอัมพัฏฐะคือ ไปอยู่ป่ากัน ท่านแยกเป็นความเสื่อม 4 ประการ ซึ่งพระพุทธเจ้าพยากรณ์เอาไว้ว่าจะมีความเสื่อมเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งก็เกิดจริงเพราะว่าศาสนาพระพุทธเจ้าผ่านมา 2,500 กว่าปี กึ่งหนึ่งของศาสนาพุทธแล้วมันก็เสื่อมถึงขีด 

อาตมาจึงต้องมาเพราะเป็นผู้สืบทอดมาสถาปนาศาสนาพุทธขึ้น ที่พูดนี้พูดความจริงเพราะอาตมาพูดเท็จไม่เป็น ใครจะฟังแล้วเชื่อ เข้าใจขึ้นก็ดี ใครฟังแล้วไม่เชื่อ เข้าใจไม่ได้จริงๆ มันก็เป็นสิทธิ์ของเขา ไม่รู้จะไปบังคับกันอย่างไรนะ มันต้องเป็นอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นเมื่ออาตมาอุบัติขึ้นมานั้น โลกุตระไม่มี มีภาษาคำว่า โลกุตระ อยู่ในพระไตรปิฎก มีบ้าง ก็ยังดี ยังมี แบ๊บติส  คือท่านพุทธทาส เหมือนแบบที่นำมาก่อน นำมาก่อนแล้วก็จะมีผู้ที่ตามมาอธิบายทีหลัง เปิดฉาก จะมีคนมานะ ผู้ทรงคุณธรรมมาเกิดนะ ของทางศาสนาคริสต์เขาก็มีแบ๊บติส อาตมาอุบัติขึ้นมาก็มีท่านพุทธทาสเป็นแบ๊บติส อุบัติขึ้นมาก่อน ท่านพุทธทาสก็ยังไม่มีตัวจริง นำเอาคำว่าโลกุตระมาแต่ไม่ได้สาธยาย เขาสาธยายไม่ออก แต่รู้แล้วโลกุตระเป็นของพระพุทธเจ้า ก็เอาภาษาคำพูดขึ้นมาว่าเป็นโลกุตระ 

จากนั้นก็มีผู้ที่เห็นว่าคำว่า โลกุตระ มันเหนือโลกโลกีย์ก็เข้าท่า แต่ก็ไม่ได้มีใครขยายได้ นำเนื้อหาสาระของโลกุตระขึ้นมาสถาปนาขึ้นในมนุษย์จริงๆ ในจิตวิญญาณ ในกายในจิตในตัวบุคคลจริง อาตมามาทำ มาอธิบายมาพาทำ จนเกิดจนเป็นได้จริง ยืนยันได้ว่าเป็นโลกุตรธรรม ตามหลักฐานอ้างอิงยืนยัน มากมายหลากหลายสารพัด 

ซึ่งจุดที่เข้าเป้าที่สุดก็คือ บอกว่าโลกุตรธรรมนั้นคือ มีญาณปัญญา มีสติสัมปชัญญะ มีสติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ หรือขยายเป็นโพธิปักขิยธรรม 37 มีกาย เวทนา จิต ธรรม รู้ข้างนอกข้างใน รู้เข้าไปถึงข้างใน ในเข้าไปหากายใน ในเข้าไปหาจิต จิตก็ในเข้าไปหาธรรมะเป็นโลกุตรธรรม 

โลกุตรธรรมก็คือมารู้จักเจโตปริยญาณ 16 รู้จักราคะ โทสะ โมหะ แยกราคะ โทสะ กับไอ้ที่มันไม่เป็น เป็นจิตสะอาดจากราคะ โทสะ โมหะ คือ วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ แยกให้ออกระหว่างลักษณะที่มีกิเลสกับไม่มีกิเลส มันลิงคต่างกันนะ ต่างกันอย่าง หยาบ กลาง ละเอียด ก็ต้องเรียนรู้ความจริง ต้องเอาให้หมด ละเอียดก็ไม่เอา เอาจนกว่าจะหมดเป็น 0 หรือละเอียดเป็นอรูปอยู่ ก็ไม่เอา เอาให้หมด ให้ไม่มีเลย นี่พยัญชนะภาษาง่ายๆ 

จนทำได้เป็นขั้นๆ สังขิตฺตํจิตตํ วิกขิตฺตํจิตตํ เป็นคู่ๆไป จนเป็นมหัคต อมหัคตะ จนเจริญเป็นอนุตระ สอุตระ จนเป็นสมาหิตะ อสมาหิตะ เป็นวิมุติ อวิมุติ

เพราะฉะนั้น โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าคือ รู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพาน อธิบายเจตสิกต่างๆได้ โดยเฉพาะเจตสิกที่เป็นเวทนา เวทนา 108 แล้วก็แบ่งออกเป็น โลกียะคือ เคหสิตะ เวทนา ทำให้กิเลสออกได้เรียกว่า เนกขัมมะสิตะเวทนาอีก 18 จนสำเร็จถึงอุเบกขาทุกทวาร 

สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ 3 อย่างกับอีก 6 ทวารเป็น 18 ตาก็ 3 สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ หูจมูกลิ้นกายก็ 3 ทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ เพราะฉะนั้นกิเลสเกิดใน 6 ทวาร แล้วก็ไปยึดเป็นสุข ไม่เอาทุกข์ไม่ชอบทุกข์ แต่ไม่มีวิธีทำให้ทุกข์หมด ไปเข้าใจว่าทุกข์ เอาความทุกข์ออกแล้วจะเอาความสุขมันผิดมันเป็นมายา นี่คือประเด็นที่เข้าใจผิด ไม่เข้าใจว่าสุขทุกข์นี้แยกไม่ออกมันเป็นมารตัวเดียวกัน มารตัวหลอกว่าสุข แท้จริงแล้วตัวเองเป็นตัวทุกข์ หลอกว่าเป็นสวรรค์แต่แท้จริงตัวเองเป็นนรก ไปหลอกว่า ตัวเองเป็นพระเจ้า แต่ตัวเองเป็นซาตาน มันแยกไม่ออกว่าเป็น 2 คือเทวะ 2 ฉะนั้นแยกไม่ออกก็เลยตีทิ้งมันทั้ง 2 อันเลย นี่คือศาสนาพุทธ 

 

ขอผ่าน เข้าเนื้อหาที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส 

 

ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ 4 ประการ 

_ดูกรอัมพัฏฐะ วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แล มีทางเสื่อมอยู่

4 ประการ 4 ประการเป็นไฉน?

1. ดูกรอัมพัฏฐะ สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอด เยี่ยมนี้ หาบบริขารดาบสเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ที่หล่น สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่หนึ่ง.

[164] 2. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ ถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคเหง้าไม้รากไม้และผลไม้ สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อม ข้อที่สอง.

[165] 3. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถที่จะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ และไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ จึงสร้างเรือนไฟไว้ใกล้บ้าน หรือนิคมแล้วบำเรอไฟอยู่ สมณพราหมณ์นั้น ต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สาม. 

พ่อครูว่า...คนนี้หากินเองไม่เป็นแล้ว แย่กว่าเดรัจฉานอีก สัตว์เดรัจฉานยังหากินเองเป็น อันนี้โง่กว่าเดรัจฉานอีก ต้นไม้ผลไม้มีในป่าก็ไปหากินไม่เป็น แล้วก็อยู่ในป่าอีกไม่ออกมาหรอก แต่ซ้อน สร้างเรือนไฟ  (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สู่แดนธรรม... ตอนผมเริ่มศึกษาธรรมะชาวอโศกใหม่ๆ อาจารย์ได้เอาแผ่นพับ มาให้อ่านแล้วก็ยังนึกเลยว่าใช่ไหม ที่ว่า ชาวพุทธไม่ต้องจุดธูปจุดเทียน ไม่ต้องใช้น้ำใช้ไฟสื่อเลย มันจะใช่หรือ แต่พอค่อยศึกษาปฏิบัติไปเรื่อยๆ พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนั้นจริงๆ แต่ไทยเราเอาศาสนาพราหมณ์มาใช้ ก็เลยเลยเถิดมา พ่อท่านคงห้ามเขาไม่ได้แล้วนะครับ

พ่อครูว่า... ไม่ห้ามหรอกใครเห็นดีอย่างไรก็ทำตามที่เห็น อัคคียัญ กับสิญจนยัญ คือ ใช้ไฟใช้น้ำเป็นสื่อ เป็นเครื่องเชื่อม ใช้ไฟใช้น้ำ เป็นเครื่องเชื่อมต่อไปสู่จิตวิญญาณ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คิดว่าจะให้เกิดความเจริญอะไรของเขา ใช้น้ำใช้ไฟเป็นเครื่องมือสื่อสร้างความเจริญ แทนที่จะใช้อนุสาสนีย์ ใช้คําสอนพระพุทธเจ้าทำให้เจริญ ก็ไปใช้น้ำใช้ไฟแทน เป็นเรื่องของความลึกลับเป็นเรื่อง Magical ซึ่งมันพูดกันไม่รู้เรื่องแล้วเป็นตรรกะเป็นจินตนาการ เป็นโลกจินตา สร้างอุปาทานจิตไปได้สารพัด 

 

[166] 4. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถจะบำเรอไฟได้ จึงสร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้วสำนักอยู่ด้วยตั้งใจว่าผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง 4 นี้ จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็ตาม เราจักบูชาท่านผู้นั้นตามสติกำลัง สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สี่.

ดูกรอัมพัฏฐะ ทางเสื่อมแห่งวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้มีอยู่ 4 ประการดังนี้.

พ่อครูว่า...พวกนี้แม้จะใช้น้ำใช้ไฟเป็นสื่อ แล้วคนก็ยังไม่มานิยมไม่มาเชื่อ จึงได้สร้างเรือนไฟมีประตู 4 ด้านไว้ที่หนทางใหญ่ 4 แพร่ง อย่างเช่น ลัทธิธรรมกายของธัมมชโย เป็นต้น  เปิดประตูรับเลย จะเป็นสมณะก็ตามหรือพราหมณ์ก็ตาม ใครก็ได้ มาจากไหนเอาหมด ทำอาคาร ทำวิหาร ทำโบสถ์วิหาร ทำอาคารที่สร้างเป็นสถาปัตยกรรม สร้างใหญ่โตอยู่ในป่านั่นแหละ จนถึงขั้นนครวัด นครธม ปราสาทหินทั้งหลาย นั่นคือ เรือนประตู 4 ด้าน มุข 4 ด้าน บนทาง 4 แพร่ง ก็จัดการสร้างทางต่อไป แต่ยังหลงป่าอยู่ทั้งนั้น 

สร้างเรือนไฟก็อยู่ในป่า สร้างมุข 4 ด้านในทาง 4 แพร่งก็อยู่ในป่า ทำถนนหนทางขึ้นไปบนเขาเลย แม้จะยากก็ทำกัน เช่น ครูบาศรีวิชัยที่สร้างทางขึ้นดอยสุเทพ เป็นต้น แล้วที่อีสานก็มีหลายแห่ง คนไปท่องเที่ยวกันมีความประหลาดๆ Adventure ด้วย  ได้เสี่ยงภัยดีด้วย มันดี สนุกสนานตื่นเต้น นี่เป็นเรื่องหลอกประกอบทั้งนั้นเลย เป็นเรื่องยั่วให้อยากจะมีประสบการณ์แบบนี้ ให้มันรู้สึกว่าสนุกดี ดีกว่าอยู่ที่บ้านมันเบื่อแล้ว มีอะไรที่แปลกดีใหม่ดี 

ประเด็นหลักคือการไปหลงอยู่ในป่า แม้สร้างเรือนไฟ แม้สร้างมุข 4 ด้านในทาง 4 แพร่งก็อยู่ในป่าทั้งนั้น เหมือนสร้างนครวัต นครธม เหมือนกับธัมมชโย ไปสร้างอยู่ในคลองสาม หรือคลองห้า กว้านซื้อที่ดิน 2,000-3,000 ไร่ แล้วก็สร้างแบบสมัยใหม่เลย มุข 4 ด้าน เขาก็เป็นเจดีย์จานบิน ประกอบกับวิหารลูกโลก ทันสมัยมากเลยนะ เจดีย์รูปจานบิน โอ้โห ก้าวหน้ามาก ส่วนวิหารรูปโลก กลมใหญ่เลย เพื่อเห็นแปลกใหม่มากในทางสถาปัตยกรรมมีหัวนำหน้าสมัยใหม่ ทันสมัยล้ำสมัย คนก็เลยรู้สึกว่า อาจารย์คนนี้มีความคิด ล้ำหน้าไกลมากเลย 

เจดีย์ก็ทันสมัยเป็นจานบิน วิหารที่อยู่ก็เป็นโลกทั้งโลกเลย โอ้โห ยิ่งใหญ่ ธัมมชโย สมีธัมมชโยเอ๋ย นี่คือการหลอกล่อผลาญทำลายศาสนาอย่างหลอกซับหลอกซ้อน คนผู้ที่ตื่นเต้นตื่นตัว ที่ไม่มีหลักยึดในสัจธรรมจริงๆ เปลือกผิวไปตามโลก เรียกว่า กระต่ายตื่นตูม พวกที่ไปหลงโลกใหม่ๆ เหมือนในยุคนี้อะไรก็ใหม่ๆ นี่เขานำหน้าไปไกล ได้คนเยอะ มวลมาก เสร็จแล้วก็หลอกล้วงกระเป๋า ปิดบัญชีๆๆๆ แล้วจะรวย แหม อำมหิตมาก มีเท่าไหร่เอามาให้หมด  แล้วคนก็โง่เชื่ออีก บรรดาคนโง่ ธัมชโยเอาไปกินหมด มีคนเป็นจำนวนมากที่ไปหลงเชื่อมากกว่าสายหลับตาอาจารย์มั่น มหาบัว แล้วคนมีเงินมีทองก็ขนไปให้ เพราะเขาต้องทำมาหากินด้วยความสามารถ เมื่อหมดแล้วเขาก็หาใหม่ เพราะเขามีความสามารถมีสมรรถนะเอาเปรียบทางโลกอย่างพวกเศรษฐีทั้งหลาย ทำมาหากิน จึงมีแต่เศรษฐีใหญ่ๆทำมาหากินเก่งอยู่ทางโลก ออกจากโลกไป แล้วก็บอกให้ปิดบัญชี คนที่พูดให้คนอื่นปิดบัญชีเขาไม่ปิดหรอก ยุให้คนอื่นปิด คนไม่เก่งก็หลงคารมปิด ฆ่าตัวตายไปก็มีพูดไม่ออกก็ไม่มี เพราะเมื่อพูดไปก็จะขายขี้หน้าตัวเองเพราะตัวเองโง่ไปถูกเขาหลอก พูดก็ไม่ออก อมเลือดไว้

สู่แดนธรรม... สรุปจบ

ที่มา ที่ไป

650530 ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ 4 ประการ รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 40


เวลาบันทึก 31 พฤษภาคม 2565 ( 07:28:30 )

650601

รายละเอียด

650601 คุณสมบัติผู้กอบกู้ศาสนาพุทธในยุคกึ่งพุทธกาล พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ

https://www.boonniyom.net/52176.html 

ดาวโหลดเอกสารที่                                                                                                          

https://docs.google.com/document/d/1_xvysbTI5QhHa58lTnOUncA67BhiRPdCBZbC_A7q6Tc/edit?usp=sharing         

 

ดาวน์โหลดเสียงที่  https://drive.google.com/file/d/1PQ-nG2va8o9zjPBaHq_35y_rSKsxscnd/view?usp=sharing 

    

และดูวิดีโอได้ที่  https://fb.watch/dn0JO-tRLO/ 

และ https://youtu.be/7F0WD3AuBf8 


 

สมณะฟ้าไท...วันนี้เป็นวันพุธที่ 1 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ใกล้วันอโศกรำลึก ใกล้วันคล้ายวันเกิดของพ่อครู เราอยากได้ของขวัญอะไรจากพ่อครู ก็คือสุขภาพของพ่อครูแข็งแรงน้ำหนักขึ้น อันนี้คือสิ่งที่พวกเราชาวอโศกอยากได้ พ่อครูแข็งแรงก็มาแสดงธรรมให้พวกเราฟังแน่นอน และให้อายุยืนสัก 100 ปีขึ้นไป ศาสนาจะได้ไปได้ยาวไกลมากยิ่งขึ้น 

พ่อครูเคยสรุปไว้ว่า วันนี้วันสิ้นปีเก่าต้อนรับปีใหม่ไม่ละเว้นเลยนะนี่ว่าเขา การตำหนิมันละเว้นไม่ได้หรอก การตำหนิมันเป็นเรื่องเจริญ ถ้าไม่มีการตำหนิหรือคนไม่มีปัญญาจะตำหนิเขา ที่นั่นที่ใดไม่มีผู้มีปัญญาที่จะตำหนิคนได้ ที่นั่นไม่ใช่ที่เจริญ ที่ที่มีคนตำหนิคนได้และตำหนิได้ถูกต้องตามสิ่งที่ควรตำหนิด้วย ที่นั่นเจริญ รู้ไหมว่าสังคมนั้นเป็นสังคมที่ไหน ...ที่อโศก!(เสียงตอบจากญาติธรรม) โอ้ ทำไมฉลาดจัง รู้ความจริงตามความเป็นจริง 

พ่อครูว่า...

SMS วันที่ 31 พ.ค. - 1 มิ.ย. 2565

 

เรือนไฟในสมัยนี้ที่เป็นความเสื่อมของพุทธคืออะไร

_พันธุ์ พอเพียง : สมัยก่อน สร้างเรือนไฟ เปิดไฟสี่ทิศ เพื่อหาอาจารย์ให้มาสอนวิชชาและจรณะให้ตนเอง ปัจจุบัน สร้างเรือนไฟสี่ทิศ เพื่อล่อให้ลูกศิษย์ มาบริจาค ให้ตนเอง เข้าใจแบบนี้พอจะได้ไหมครับ 

พ่อครูว่า…คำว่าสร้างเรือนไฟเขาก็ไม่เข้าใจว่าเป็นอย่างไร คือสว่างจ้าเหมือนกับเซเว่นอีเลฟเว่น เดี๋ยวนี้ใช้หลอดแอลอีดีแล้ว สะดุดตาคนผ่านไปผ่านมา เขาก็ใช้วิธีพวกนี้ ไม่ใช่เรือนไฟอย่างนั้น เรือนไฟที่ใช้การจุดไฟบูชา เรียกว่า อัคคียัญ ใช้ไฟเป็นสื่อ เป็นสื่อติดต่อกับเทวดา ติดต่อกับวิญญาณ ติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพระเจ้า มีทิฏฐิเป็นเทวนิยม ยังเป็นชาวโลกีย์เทวนิยมอยู่ เขาก็จะใช้ไฟใช้น้ำเป็นสื่อ อยู่ใต้บาดาลก็มีอยู่บนสวรรค์อยู่บนอากาศอยู่นอกโลกจนกระทั่งเป็นอรูป เขาก็ นิรมาณกาย อุปาทานกันไปหลากหลายเม็ด 

สรุปว่าสร้างเรือนไฟ คือใช้ไฟเป็นสื่อ ไฟเป็นเปลวมีแสง กับไฟเป็นควัน โบราณเขาจะใช้กำยาน ในเตาถ่านกองถ่าน กำยานบ้าง ขี้เลื่อยบ้าง ข้าวสารบ้าง มันก็ไหม้เป็นควัน

ส่วนไฟก็ใช้น้ำมันเปรียงน้ำมันเนยบ้าง แช่น้ำมันแล้วจุดให้มีเปลวลุกไหม้

มาถึงสมัยนี้ก็ใช้เทียนขี้ผึ้งเทียนไขควั่นเป็นแท่งเลย จุดเอาเปลว ส่วนควันก็ทำเป็นธูป จุดให้ควันโขมง คนจีนธูปดอกใหญ่เท่าหัวแม่โป้งเท้าเลย ส่วนธูปอินเดียแท่งเล็กๆ จุดกันทั้งวันทั้งคืน ธูปก็จุดให้เกิดควัน พวกน้ำมันพวกเทียนก็จุดให้เป็นเปลว จุดสิ่งเหล่านี้ในสิ่งที่เรียกว่าเรือนไฟ ใช้เครื่องหมายพวกนี้เชื่อมโยงติดต่อกับจิตวิญญาณ ติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ติดต่อกับพระเจ้ากับเทวดา หรือวิญญาณที่เขาไม่รู้เรื่องเพราะเขาเข้าใจวิญญาณยังไม่สัมมาทิฏฐิเขาก็ยังต้องติดต่อ เพราะเขายังไม่มีปัญญาเข้าใจได้ชัดเจนว่า ความเป็นวิญญาณมันคืออะไรอย่างแท้จริง 

ที่จริงแล้วจิตวิญญาณอยู่ในตัวของเราเอง อันอื่นๆก็เป็นแต่มิจฉาทิฏฐิก็เป็นไปตามอุปาทานตามความเห็นที่เป็นมโนมยอัตตาเป็นไปตามเรื่อง ที่มันจะสำเร็จด้วยจิตอุปาทานว่ามีอย่างนั้นอย่างนี้ไป  มันก็ไม่ง่าย ถ้ามันง่ายก็ไม่ใช่ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าตรัสรู้ รู้ความจริงของสิ่งเหล่านี้กระจ่างแจ้งหมดทุกอย่าง อาตมาก็สืบทอดมาเอามาขยายความ จนตอนนี้เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ขยายมาหลายชาติ ชาตินี้ก็ขยายอยู่ พวกเราได้รับซับทราบก็ยิ่งเข้าใจมากยิ่งขึ้น มันก็ยังจะต้องละเอียดต่อไปอีก อาตมาก็ยังมั่นใจว่ามันไม่ใช่เข้าใจได้สมบูรณ์แบบได้ง่ายๆเท่าไหร่หรอก แต่ก็สมบูรณ์ไปเรื่อยๆ หมดความยึดติด หมดความไม่รู้ รู้จักรู้แจ้งรู้จริงมากขึ้นเรื่อยๆ  มีสัมผัสกับของจริงจนกระทั่งเราไม่ไปยึดถือให้มันเป็นมันมีหรืออาศัยหมดแล้ว มันก็ได้ไปตามลำดับๆๆ 

เพราะฉะนั้นสร้างเรือนไฟ สี่ทิศ เดี๋ยวนี้ก็สร้างเรือนไฟ 4 ทิศเพื่อจะล่อให้มีคนมาบริจาค คุณที่ถามมา ก็ได้ก็เป็นอยู่น่ะ

 

เนื้อแท้โลกุตระยุคนี้จะเจริญสูงสุดในอีก 500 ปี

_กิตติมา เอกมาไพศาล : มาสมัย ณ ปัจจุบันพ่อครู สมณะ สิกขมาตุ และชาวอโศก กำลังขับเคลื่อนอย่างหนักในการรื้อฟื้นจรณะวิชชาสมบัติ ที่ไม่ต้องเข้าป่าไปหาอาจารย์ในป่า มาที่อโศกก็ได้สมบัตินี้แล้ว

พ่อครูว่า..อันนี้ก็จริง อธิบายขยายความไปเรื่อยๆ ฟังตามไปเรื่อยๆ จรณะวิชชานี้แหละ เป็นพุทธคุณแท้ของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ ในพุทธคุณ 9 ก็มีข้อนี้แหละเป็นข้อที่มีเนื้อๆ นอกนั้นเป็นฉายาของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น เป็นพุทธคุณ 9  อรหํ เป็นพระอรหันต์ สมฺมาสมฺพุทโธ ตรัสรู้เองโดยชอบ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ สุคโต เสด็จไปดีแล้ว โลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ มีความรู้เหนือ และเป็นสารถีฝึกคนที่ฝึกได้ไม่มีใครยิ่งกว่า สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พุทฺโธ เป็นผู้ตื่นและเบิกบานแล้ว ภควา ติ เป็นความจบในความเจริญ  

ก็มีคำว่าวิชชาจรณะสัมปันโน เป็นเนื้อแท้ของสมบัติเป็นพุทธสมบัติ ค่อยๆฟังไปเรื่อยๆ อาตมาพูดไม่หนี้ไปจากวิชชาจรณะ หนีไม่พ้นจากอันนี้ฟังไปเรื่อยๆแล้วก็จะได้ ฟังแล้วเอาไปปฏิบัติไปตามลำดับ การปฏิบัติคือพิจารณา เกิดบรรลุวิมุติขึ้นมาและมีวิชชา ตามรู้ทั้งในการปฏิบัติตามรู้ทั้งในการปฏิบัติ ไปตามลำดับๆ จนกระทั่งบรรลุหมด จบ ถอนอาสวะก็มีวิมุตติญาณทัสสนะต่อไปอีกด้วย เป็นต้น

_แก้วตะวัน พวงบุบผา : น้อมกราบนมัสการพ่อครู ท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ..

    เป็นเรื่องยากที่จะแยกความแตกต่าง   คือระหว่างพระอริยะอรหันต์

ที่รู้แจ้งเห็นจริงสิ่งสำคัญ                      คำสอนนั้นตรงทางอย่างสัมมา 

กับผู้เสื่อมจากพุทธพงศ์หลงอามิส          มีหลักคิดปิดตาหูอยู่นั้นหนา 

ปั้นคำสอนชวนหลงใหลใช้อัตตา            ให้คนมาหลงเชื่อว่ามีฌาน 

พ่อครูจึงทำงานหนักสร้างมรรคผล          รวบรวมคนชาวอโศกโลกกล่าวขาน 

แม้คนน้อยแต่แน่นหนาปัญญาญาณ        สร้างสืบสานศาสนาห้าร้อยปี

พ่อครูว่า..500 ปีก็มีความหมาย อาตมาทำแพทเทิร์นเอาไว้ เป็นรูปสามเหลี่ยม อาตมาจะต้องรับผิดชอบภายใน 500 ปี จะต้องให้ศาสนาพุทธเจริญไปถึงขั้นยอดให้ได้ จะต้องเป็นผู้ที่มาต่อยอด จนกระทั่งมั่นใจว่าสุดยอด จะใช้เวลาภายใน 500 ปี นี่ก็ต่อยอดมาได้พอสมควรแล้ว ตามที่เขียนไว้ มีระยะ 36 ปี 72 ปี แล้วก็ 96 ปี ไปทีละ 1 นักษัตรทีละ 12 ปี มาเรื่อยๆ 500 ปีก็จะขึ้นยอดสามเหลี่ยม ความเจริญก้าวหน้าสูงสุด พยายามจะใช้เวลา 500 ปีต่อยอดต่อไป ให้ความรู้นี้สู่จุดสูงสุด ถึงขั้นนี้แล้วแน่นอนมันต้องเสื่อม อาตมาต้องดูแลรับผิดชอบต่อไปศาสนาก็จะต้องเสื่อม จนกว่าจะหมด ตอนนี้มันเสื่อมมาจนถึง 2,500 กว่าปี เป็นหน้าที่ที่อาตมาต้องมาต่อยอดเนื้อแท้ เมื่อถึงยอดเสร็จแล้วมันก็จะไปตามพลังของพุทธศาสนาในมนุษยชาติ ที่จะอยู่ประคับประคองช่วยเหลือกันไป พัฒนาการอยู่ในตัวเอง แล้วไม่มีอะไรที่จะไม่มีความเสี่ยง อุตส่าห์บอกไว้ว่าความเสื่อมเป็นธรรมดา เป็นปัจฉิมโอวาทของพระพุทธเจ้า 

 

เรียนรู้เวทนาทำจิตให้เป็นพืชเป็นอุตุได้ก็ถึงอรหันต์

_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ลูกกราบเรียนถามพ่อครูว่า เวทนาที่เกิดจากผัสสะ นำมาประหารเวทนาเทียมได้ พ้นทุกข์ได้ แต่ทุกข์ที่เกิดจากคิดเรื่องเก่า สัญญาเก่า หรือบางครั้งก็ไม่ได้คิด ความทุกข์เศร้ามันเกิดขึ้นมาเอง อย่างนี้เป็นสัมภเวสีไหมคะ และจะแก้ความทุกข์เศร้านี้อย่างไร น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้าค่ะ

พ่อครูว่า... ในขณะที่คุณไม่มีผัสสะ จิตของคุณเป็นสัมภเวสี อยู่ในภวังค์ ในขณะหลับตาไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย ก็จะเป็นความคิดอยู่ในภพของเราเองคนเดียว ความคิดเช่นนี้แม้ตอนเป็นๆ ก็เรียกว่า สัมภเวสี เป็นความคิดไม่มีที่ตั้ง ถ้ามีที่ตั้งหมายความว่า ตั้งอยู่ขณะนี้ทางตาออกมารับรู้สัมผัสกับภายนอก เช่นกับคนข้างนอกเขาทั้งหมดเรียกว่า มีที่ตั้ง มีฐานมีฐานะ มีฐานที่ตั้ง ฐีติ วิญญาณฐีตินี่แหละ 

เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่มีวิญญาณฐีติ ไม่มีข้างนอกรับรู้ ไม่เรียกว่า เวทนาที่เป็นปัจจุบันธรรม เป็นเวทนาที่ไม่ใช่ความจริง เป็นเวทนาที่เป็นแค่ความจำ หลับตาเข้าไปก็เป็นสัญญาความจำ ยิ่งไปหลับปี๋ เป็นสัญญาฟุ้งซ่านเป็นฝันไป หรือคิดไปในขณะหลับตาคุณก็คิด ก็เป็นสัมภเวสีทั้งนั้น 

ตายร่างกายแตก จิตวิญญาณก็ไม่มีที่ตั้งทางตาหูจมูกลิ้นกายแล้ว แต่มันยังเป็นอัตภาพอยู่ มันยังไม่สูญหาย มันก็เป็นสัมภเวสีที่แท้จริง มันก็จะไปหาที่เกิดตามวิบาก คนที่จะไปเข้าสู่ครรภ์ก็ลงไป คนที่ยังไม่เข้าสู่ครรภ์ก็ล่องลอยลงนรกขึ้นสวรรค์ คุณจะไม่อยากได้นรกแต่คุณจะเป็นจริงตามที่มันเป็น เสร็จแล้วก็เปลี่ยนหมุนเวียนไป เกิดดับเกิดดับไปหมุนเวียนด้วยความไม่เที่ยง ดีบ้างเลวบ้างนับชาติไม่ถ้วน นับล้านชาติ สุดน่าเบื่อแล้วตัวเองก็จำไม่ได้หรอก จำได้บ้างเป็นสัญชาตญาณ ผู้ที่เก่งหน่อยก็ระลึกย้อนได้ สัญญาระลึกบุพเพนิวาสานุสติญาณ  ถ้าหากระลึกรู้ได้ลึกเกินกว่าสัญชาตญาณ ก็ได้เพราะมีความรู้ดีขึ้น ยิ่งถ้าหากระลึกได้มาก ก็ยิ่งเป็นผู้ที่มีบุพเพนิวาสานุสติญาณสูงขึ้น อย่างนี้เป็นต้น 

สิ่งเหล่านี้พิสูจน์ได้ ศาสนาพุทธพิสูจน์หมดพระพุทธเจ้าพิสูจน์มาหมดก่อน อาตมามาพิสูจน์ แล้วเอามาเปิดเผยขยายความ เอามาอธิบายยืนยันพิสูจน์ ให้พวกเรารู้ตามและพวกเราก็ได้ทรัพย์จากนั้นมา ก็เกิดการพ้นทุกข์ พ้นจากการเกี่ยวกับติดอยู่กับโลก 

โลกอบาย โลกกามคุณ โลกโลกธรรม 8 จนกระทั่งหมดโลกภายนอก เหลือแต่โลกภายใน ก็เหลือนิดหน่อยบางคน โลกภายในละเอียดก็ลดมันอีก ขั้นรูปราคะ ลดได้เหรืออรูปราคะ ลดได้หมดอีก ก็เป็นพระอรหันต์ 

จะพิสูจน์ได้เราต้องมีญาณอ่านจิตของเรา เรียกว่า กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต อ่านในจิตของเราก็คือในกาย กายคือมีภายนอกอยู่ด้วยร่วมกับจิตของเรา ภายนอกก็ดูไม่ยากตาหูจมูกลิ้นกาย แต่ภายในต้องมีญาณหยั่งรู้ เรียกว่า กายในกาย กายในกายหยาบไปเรื่อยๆ ก็มีความรู้สึกและเวทนา แต่ไม่ขาดจากกายรับรู้ภายนอกนะ เรียกว่ากายกับจิต 

ดูเวทนาก็รู้ถึงความรู้สึก ในความรู้สึกก็เป็นจิตนี่แหละ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) จิตที่โง่ก็มีกิเลส จิตอวิชชา (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 

สมณะฟ้าไท... พ่อครูเน้นเรื่องการอ่านจิตขณะผัสสะปัจจุบัน ซึ่งสารอโศกเล่มนี้เขียนไว้ ท่านบอกว่า ถ้าคนธรรมดาสามัญไม่ดื้อดึงขนาดไม่รู้จักชั่วดี ก็จะไม่ทำชั่ว นั่นคือโลกีย์ ส่วนโลกุตระคือรู้จักสุขทุกข์และไม่ติดในสุขและทุกข์ก็เป็นความสูงสุด ได้มีความติดยึดที่เรียกด้วยภาษาวิชาการว่า อุปาทาน จำจนติดตัวเป็นอัตโนมัติ เราก็ต้องรู้ให้เท่าทันว่าอาการของใจเราเป็นอย่างนี้เป็นอาการชั่วนะ ผู้ที่อ่านอาการของตัวเองได้เรียกว่าผู้ที่รู้ สักกะ แยกได้ว่า อันนี้เป็นอาการชั่ว ไม่ใช่อาการดี เรียกว่า รู้กาย รู้สักกายะ พระพุทธเจ้าสอนให้รู้สังโยชน์ข้อที่ 1 คือ ให้พ้นสักกายะทิฏฐิ 

พ่อครูว่า... ขยายไปฟังไป เหมือนคุณสว่างแสงถามมา สัญญาเก่า คิดเรื่องเก่า 

สัญญาคิดเรื่องเก่านี้ พระพุทธเจ้า บอกพระอานนท์เหมือนกันว่า เรื่องที่จะวางได้ยาก บรรลุพระอรหันต์แล้วบางทีสัญญาก็ยังพิรี้พิไรอยู่ บางทีก็มีเศษ อย่างที่เขาถามมาบางครั้งคิดได้ความทุกข์เศร้า มันเกิดขึ้นมาเอง อย่างนี้มันเป็นสัมภเวสีหรือไม่ ต้องพยายามกำหนดให้แม่น 

มันไม่ง่ายหรอกแต่เรามาทางนี้ชัดเจนแล้วว่าทางนี้เป็นทางหลุดพ้น ไปโลกีย์อยู่เราก็ชัดเจนนะ มันก็หมุนเวียนสุขๆทุกข์ๆดีๆชั่วๆดีๆนรกสวรรค์สวรรค์นรก ถ้าไปโง่เทวนิยมยิ่งไม่รู้เรื่องเลย ถูกพระเจ้าสอนผิด ตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้า ไม่ต้องคิดอะไรหรอก ไม่รู้อะไรต่อ เกิดอีกจะมีเหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย เป็นนิยายล้านเรื่อง ไม่รู้เรื่องเลย ปิดประตูไปอยู่กับพระเจ้า ยืนหยัดแค่ยืนยันอยู่ว่า ถ้าได้อยู่กับพระเจ้าและเป็นสุข จึงพยายามไปอยู่กับพระเจ้าให้ได้อ้อนวอนประจบประแจงพระเจ้าไป แล้วก็เชื่อคำสอนของพระเจ้า ท่านให้หยุดทำชั่วประพฤติดี ก็ยังดี พยายามประพฤติแต่ดีก็ได้อาศัยความดี แต่มันก็ไม่เที่ยงหรอก ก็ไม่เข้าใจ ก็หมุนไป

จนกว่าจะรู้จักดีชั่วที่เป็นเรื่องโลกียะ แล้วเราก็ทำดีให้มั่นคงแข็งแรง ไม่ทำชั่ว สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) ทำกรรมอะไรก็มีแต่ดีไม่มีชั่วเลย คือกุสลสูปกำลังสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) นั่นคือความจริงที่เราจะต้องถึงขั้นนั้นอย่างรับรองตัวเองได้ อยู่กับตัวเอง ตัวเองรับรอง อยู่กับผู้อื่นคนอื่นรับรองได้ด้วย​ กรรมใดที่เกิดจากเราทำนั้นมีแต่ดี ส่วนลึกเข้าไปถึงเวทนาความรู้สึกสุขทุกข์เป็นโลกุตระ อันนี้เทวนิยมไม่รู้เรื่องบอกว่าเป็นสุขนิยม เป็นพวกติดยึดความสุขอยู่กับพระเจ้าไม่เคยคิดจะดับความสุข แต่ว่าสุขกับทุกข์เป็นมายาที่เขาไม่รู้ว่าเป็นคู่ฉีกออกกันไม่ได้ เป็นเทวะที่ยึดเป็นหนึ่ง 

แยกเทวไม่ได้ แล้วเทวะนั้นอยู่แบบหน้าเดียวคือหน้าความสุข ก็เลยมืดอยู่กับสุขนั่นแหละ มืดตึ๊ดตื๋ออยู่กับสุข แล้วหลงหมกมุ่นอยู่กับสุข ไม่มีแสงสว่างที่จะรู้เรื่องความทุกข์ การเกิดการตายการหมุนเวียนมีกรรมกิริยามีเหตุปัจจัยสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกาย ปรุงแต่งสังขารใดๆ ไม่รู้เรื่อง อวิชชาที่ไม่รู้จักสังขาร ก็ไม่รู้จักวิญญาณ ก็แยกวิญญาณนามรูปไม่ออก ก็มาปฏิบัติแบบนี้มีอายตนะมีผัสสะ แล้วก็เกิดเวทนาในปัจจุบันธรรม เวทนาเกิดในปัจจุบันธรรมที่มีตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสอยู่ ไม่มีภายนอก ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัส ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีเวทนา 

เวทนาไม่มี ต่อเมื่อคุณรู้จักธรรมนิยาม 5 

เวทนาที่ไม่มี นั่นคืออวิชชา แต่เวทนาที่สามารถศึกษาฝึกฝนทำจิตให้กลายเป็นพืชได้ มันไม่ง่ายแต่มันต้องทำถ้าไม่ทำก็บรรลุอรหันต์ไม่ได้ ต้องวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารอีกเท่าไหร่ ถ้าจะมาเอาทางนี้ ก็ควรรู้ 

ธรรมนิยาม 5 คุณต้องรู้อาการของจิตว่า ตอนนี้เป็นอุตุ เป็นดินน้ำไฟลม ไม่มีความรู้สึกนะ ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีบาปไม่มีบุญ เด็ดขาด พอมามีชีวะ ชีวะระดับพืชหรือที่คนเราก็รู้อยู่ว่า ผู้ที่เป็นมนุษย์พืช ภายนอกตาหูจมูกลิ้นกายผิวหนังถูกใครสัมผัสแตะต้องก็ไม่รับรู้ อยู่แต่ในจิตตนเอง อันนี้เขาเรียกมนุษย์พืช แต่พระพุทธเจ้า สอนให้เป็นมนุษย์พืชอย่างตื่นๆ กระทบทางจมูกลิ้นกายไม่รู้สึก แต่รู้ รู้ความจริงตามความเป็นจริง ตาเห็นรูปก็รู้อันนี้กลม มะนาวนะ ก็รู้รูป รู้ภาพ รู้สีสันตามคุณลักษณะของตา ที่จะบอกได้ หูได้ยินเสียงเป็นเสียงอย่างนั้นอย่างนี้เสียงต่างๆสารพัดก็รู้ได้ จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รับรส สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งอย่างไรก็รู้ อย่างนี้เป็นต้น 

กระทั่งไปถึงจิต แล้วกิเลสมันก็มาร่วมปรุง มีราคะ โทสะ โมหะ เราก็แยกราคะ โทสะออกได้ ว่า ตระกูลนี้อาการโทสะ ตระกูลนี้ราคะ ตระกลูนี้โมหะ แยกราคะ โทสะ โมหะได้ ก็ลดมันไป ปฏิบัติจนอาการราคะโทสะลด ก็มี เจโตปริยญาณ 16 แล้วก็สามารถที่จะรู้สภาวะจิตของเรา สภาวะกิเลสมัน มีขึ้นมา พวกเราทำให้มันไม่เที่ยง ทำให้มันลดลงไปได้ 

ไม่เที่ยงมี 2 ประการ 1. ไม่เที่ยงเพราะว่ากิเลสเพิ่มขึ้นๆๆ กับมันก็ไม่เที่ยง มันไม่อยู่กับที่หรอกมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเราก็รู้ได้ จะลองทำให้มันลดได้มันก็ไม่เที่ยง ไม่เที่ยงเพราะมันจางคลาย จนกระทั่งถึงดับ จนถึงนิโรธดับ 

เพราะฉะนั้นถ้าปฏิบัติอย่างรู้ๆ เรารู้เลยว่าเราทำได้ด้วยปัญญา พลังปัญญาหรือพลังงานฌาน ทำให้พลังงานราคะ โทสะ โมหะ ลดลง ส่วนผู้ที่ไม่มีวิชชาของพระพุทธเจ้าก็ไปกดข่มทำลืม มันมาเราก็ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา รู้ นิ่ง เฉย ๆๆ รีบทิ้ง มันก็มีความชำนาญเหมือนกันนะ ฝึกเอา ตอนที่อยู่ตักกศิลา วัดมหาธาตุทางโน้น พอวันอาทิตย์ก็มีนักธรรมะมา มีคนชื่อหลวงอัตถ์ มีสูตรฝึกว่ารู้นิ่งเฉย มันก็เป็นสมถะแบบลืมตา ไปทางสายทางท่านพุทธทาสใช้ปฏิภาณไหวพริบ แต่ว่ามัน เฉโก ไม่ได้เป็นโลกุตระ ไม่ได้เป็นปัญญา มันก็ทำได้ ชำนาญได้เหมือนกัน เรียกว่าสมถะลืมตา ส่วนสมถะหลับตา เข้าป่าเขาถ้ำ ไม่เข้าก็ไปนั่งหลับตาสะกดจิตไปจนชำนาญเป็น อาฬารดาบส อุทกดาบส สังเขปคร่าวๆ สิ่งเหล่านี้ในภาคปฏิบัติ 

เพราะฉะนั้นผู้ที่สัมมาทิฏฐิและปฏิบัติอย่างที่อาตมาพามาทำ มันก็จะพิสูจน์ แล้วก็จะเข้าใจที่เขาว่า แม้เราไม่ได้ผ่าน ไม่เข้าใจเขา ก็ไม่ประหลาดใจอะไร เห็นได้ว่าเขาเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ไม่เป็นไร เราไม่เป็นก็ใช้ได้แล้ว ก็เรามาเป็นอย่างนี้ให้จบสมบูรณ์เลย จบสมบูรณ์แล้วคุณเป็นพระอรหันต์แล้ว กิเลสของคุณหมด กระทบสัมผัสอะไรตาหูจมูกลิ้นกายแม้เหลือในใจคุณก็ไม่มีกิเลสออก เพราะว่าเป็นอรหันต์แล้ว จบ เป็นอรหันต์แล้วสามารถจะปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ ตายแล้วก็แยกธาตุจิตเป็นดินน้ำไฟลมไปได้เลย ไม่เหลืออัตตา เพราะเรารู้ว่าธรรมนิยาม 5 เป็นอย่างไร เราก็แยกเป็นดินน้ำไฟลม เป็นอุตุไปได้เลย แม้แต่เป็นพืชอยู่ก็ไม่ต้องทำ 

เพราะฉะนั้นคนที่มาเรียนรายละเอียดของความรู้พระพุทธเจ้า ที่ขยายความไปอย่างนี้ ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ถึงจิตวิญญาณ อัตตาต่างๆเราทำให้แตกสลายแยกได้ด้วยตนเอง ด้วยปัญญาอันยิ่งของตนเอง ไม่มี เป็นอนัตตา จึงพิสูจน์ว่า อัตภาพหรือวิญญาณ เราเป็นเจ้าของไม่ใช่พระเจ้าเป็นเจ้าของ อันนี้แหละ มันจะเป็นเรื่องใหญ่ ฝั่งตะวันตก ตะวันออกกลาง อินเดียที่เป็นเทวนิยมทั้งหลายแหล่ โลกก็ยังมีอีกเยอะ ความรู้ในยุคพระพุทธเจ้าที่มีพลเมืองประมาณนั้นในโลก ในยุคโน้นท่านก็ได้เยอะ จัดเปอร์เซ็นต์แล้วท่านได้เยอะ ของศาสนาพุทธ แต่มาในยุคนี้มันเสื่อมหมด แม้ว่าคำว่าพุทธก็เหลืออยู่ แต่มันเหลือแต่ชื่อ ว่าศาสนาพุทธ แปลศัพท์จากความรู้ความจริง มันเสื่อมจนกระทั่งไม่มีโลกุตระ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านทรงพยากรณ์เอาไว้แล้วตั้งแต่ท่านมีชีวิตใน อาณิสูตร กลองอานกะ ว่ามันจะหมดโลกุตระ อาตมาก็ต้องมาฟื้นใหม่ 

 

ตัดเขตอรหันต์ที่ปัญญาวิมุติหมดสิ้นอาสวะ

_พ่อครูว่า... จุดศูนย์กลางของโลกที่มีพุทธศาสนา เรียกว่าชมพูทวีปคือประเทศไทย อาตมาก็มาอุขึ้นในประเทศไทย ก็นำโลกุตระนี่แหละมาสถาปนาลงไป ให้เป็นจริง แล้วมันก็เป็นจริงขึ้นมาได้จนมีมวลหมู่ เกิดสังคม เกิดมนุษยชาติเรียกชื่อฉายาว่า ชาวอโศก แล้วก็มาอยู่รวมกันเป็นสาราณียธรรม 6 รวมตัวเป็นสังคม เป็นหมู่บ้าน ที่อื่นเรียกว่าชุมชนไม่ได้จดทะเบียนเป็นหมู่บ้าน ก็เรียกว่าเป็นชุมชน ชุมชนชาวอโศกกับหมู่บ้านชาวอโศก กระจายตัวเป็นชุมชนจริงๆมีวัฒนธรรม มีสาธารณโภคีทุกชุมชนด้วย ชุมชนเล็กชุมชนใหญ่ ขนาดที่มันเป็นนั่นแหละ 

ถือว่าขณะนี้ บ้านราช ราชธานีอโศกเป็นชุมชนชาวอโศกใหญ่ที่สุด ที่มีสมาชิกชุมชน บุคคลประมาณ 500 ขึ้น เข้าๆออกๆบ้าง อยู่ประจำบ้าง จะให้ขึ้นไปเป็น 700 เป็น 1,000 ก็ยังหืดขึ้นคออยู่นี่ แต่กระจายอยู่ทั่วไปก็อยู่ แต่อยู่ในชุมชนชาวอโศกอยู่ในประเทศไทย หลายสิบชุมชน จะเรียกว่าถึง 100 ชุมชนหรือเปล่าก็ไม่รู้ จะถึงไหม มันมีสถานที่ มีที่ดิน แล้วพวกเราก็ไปอยู่ 

หลายๆชุมชนมีที่ดินเป็นร้อยไร่ แต่มีคนอยู่ไม่ถึง 20 คนก็มี น้อยกว่า 10 คนก็มี เป็น100 คนก็มี แต่ก็ไม่มากเท่าไหร่ เป็น 1,000 นั้นไม่ต้องพูดเลย ยังไม่มี ถือว่าราชธานีอโศกยังไม่ถึง 1,000 พยายามจะให้ถึง 1,000 นายโอ๋ร้องเพลงเท่าไหร่ก็ไม่ถึง

แต่ไม่เป็นไร มันเป็นรูปของสังคม เป็นชุมชนที่มีวัฒนธรรม ชุมชนที่แข็งแรง เป็นเอกภาพที่แข็งแรง ไม่แตกง่ายๆ อยู่กันอย่างมีวัฒนธรรม พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้ มีสาราณียธรรม สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา  มีผลผลิตก็แจกจ่ายกันกินทั่วประเทศ อุดมสมบูรณ์ไม่ขาดแคลนเลยพวกชาวอโศกทั่วประเทศ 

นี่เป็นสิ่งที่พิสูจน์ แม้เศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์ชาวอโศก หมดปัญหา จนกระทั่งเรื่องเงินนี่ถือว่า 0 ได้ ไม่ต้องมีเลยก็ได้ มีก็แค่อย่างนั้นแหละ ไม่จำเป็นต้องใช้อะไรมากเลย บางคนจะบำเรอกิเลสก็ติดยึดของตัวเองไป คนไหนรู้จักว่าตัวเองมีกิเลสก็ลดล้างไป จนกระทั่งเป็นอรหันต์ ก็เป็นพระอรหันต์กันหลายคน บางคนก็ไม่รู้ตัว ถ้าตรวจสอบกันจริงๆ ถึงขีดเขตที่เป็นพระอรหันต์ขั้นพื้นฐานก็มีได้ 

อรหันต์ขั้นพื้นฐาน เริ่มนับเป็นพระอรหันต์ ท่านนับที่ปัญญาวิมุติ มีกายสักขีแล้ว มีสภาพรูปและนามเป็นกายสักขีคือเป็นพยานหลักฐาน อย่างพวกคุณมีพยานยืนยัน เป็นกายสักขี ถ้าตัดเขตได้ก็เป็นปัญญาวิมุติแล้ว 

สัทธานุสารี ธัมมานุสารี สัทธาวิมุติ ทิฏบิปัตตะ  กายสักขี ปัญญาวิมุติ อุภโตภาควิมุติ 

ถ้าเข้าใจโลกุตรธรรมแล้วเราปฏิบัติได้ถึงขีดถึงเขตที่ชัดเจนแล้ว คุณก็ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) คุณก็อยู่อย่างนี้เที่ยงแท้แน่นอนไม่ไปหรอกยืนอยู่อย่างนี้แหละตลอดกาล ไม่มีแปรเปลี่ยน ไม่มีอะไรมาหักล้าง ความยึด ไม่ใช่ยึดหรอก ถ้ามันรู้ว่าต้องอยู่อย่างนี้แหละไม่มีกลับกำเริบ ไม่มีหมุนเวียนไปเป็นอื่นอีกเลย นี่เป็น ความหมายภาษาที่บอกสภาวะจริงที่แต่ละคนมี แต่ละคนได้ เราก็มาอยู่อย่างนี้ 

ไม่สุขไม่ทุกข์ จะบอกว่าสุขก็ไป วูปสโมสุข ขอยืมภาษามาใช้เป็นความสุขอย่างสงบ สุข อย่างไม่ต้องบำบัดบำเรอกิเลส ยืม พยัญชนะ วูปสโมสุขหรืออุปสมโมสุข หรือ ปรมังสุขังก็ได้ อาตมาแปลว่า ยิ่งกว่าสุข ไม่ใช่แปลอย่างที่เขาแปลว่า สุขอย่างยิ่ง อันนั้นมันความสุขก็ยิ่งหนาแน่นสิ แต่นี่ยิ่งกว่าสุขนะ คือ อุเบกขาแล้ว มันไม่มีพยัญชนะจะบอกตายตัว 

อุเบกขาคือจิตบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา 

จิตที่บริสุทธิ์จากอาสวะ อย่างครบครัน อย่างมีปัญญาประกอบ อุเบกขาที่มีองค์ธรรม 5 ประการ พวกเราก็ท่องพยัญชนะบาลีจำได้ มีสภาวะก็เข้าใจก็มีไปเรื่อย บางคนเขามีหลายตัวที่อันนี้ บริสุทธิ์เที่ยงแท้แล้ว ที่โลกเขาติด เราไม่ติดกับเขาหรอก พวกอบายมุข ติดสิ่งเสพติดหยาบๆ ติดหมากพลู บุหรี่ แม้แต่ลิปสติก เราก็ไม่ติดแล้วจริง ๆ

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ 

สมณะฟ้าไท... ชุมชนชาวอโศกมีอยู่ทั่วประเทศ ที่ธรรมชาติอโศกมีผลไม้เยอะ ทุเรียนก็มีเยอะ ที่วังจันท์พฤกษาก็มีผลไม้ มีคนดูแลประจำอยู่ 2 คน เวลาผลไม้ออกก็ส่งมาให้กิน 

 

_ดำรงค์ เฮงเฮงเฮง แซ่อุ่ย  · กราบพ่อครู ผมดูบุญนิยมทีวีประจำชอบฟัง แต่บางอย่างผมทำไม่ได้ แต่ก็ชอบส่วนมากพ่อครูเทศน่าฟังครับ ส่วนมากที่อโศกทำ ผมชอบ โมทนาสาธุครับ

 

_สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ  · หนทางพิสูจน์ม้าฯกาลเวลาพิสูจน์คนฯ บวรอโศกไร้หนี้อบายพิสูจน์จิตบริสุทธ์พ่อครูฯ ประจักษ์บ้านพึ่งตนฯ วัดแบ่งปันฯ โรงเรียนพอเพียงชัดแจ้งสงบสันติสุขบวรสาธารณโภคีวิถีใหม่จริง

 

_ชีวิต อยู่ที่การตั้งค่า  · ชีวิตนี้จะมีโอกาสเห็นพ่อครู..องค์เป็น ๆ มั้ยน้อ

พ่อครูว่า... คนนี้น่าจะบรรลุธรรมช้าอยู่เพราะตั้งค่าชีวิตเอาตามที่ชอบใจ 

 

_ช่อทิพ หนูทอง  · รอ..ร่วมงานอโศกรำลึกออนไลน์ อยู่ค่ะ

 

คุณสมบัติผู้กอบกู้ศาสนาพุทธในยุคกึ่งพุทธกาล 

_สู่แดนธรรม....กราบนมัสการพ่อท่านครับ ผมขอส่งคำถามที่ถามทิ้งท้ายไว้จากรายการ ตุ้มตะลุ่มฯ #40 ว่า “ผู้ที่จะมาบำเพ็ญกอบกู้พระพุทธศาสนาที่มีโลกุตรธรรมและโลกียธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่มวลมนุษยชาตินั้น จะต้องมีคุณสมบัติเป็นอย่างไรบ้างครับ

พ่อครูว่า... อาตมายืนยันว่าอาตมาจะมากอบกู้ คุณก็ถามอาตมาตรงๆนี่แหละ จะมีคุณสมบัติอย่างไร ตอบ มีคุณสมบัติอย่างโพธิรักษ์ ตอบอย่างกำปั้นทุบดินถูกแล้ว 

ก็ต้องขยายความกันต่อ แล้วโพธิรักษ์มีอะไรอย่างไรดูไม่ค่อยออก ก็ต้องบอกกันบ้าง 

ขยายความอีก โพธิรักษ์มีโลกุตรธรรม โลกุตรธรรมที่ไม่ใช่โลกียธรรมแล้ว โลกุตรธรรมซ้อนอยู่ในโลกียะ ซ้อนอยู่ในลาภยศสรรเสริญ โลกียสุข ซ้อนอยู่ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ไม่ได้หนีจากรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ตากระทบรูปก็เห็น หูเปิดก็ได้ยินเสียง จมูกก็ได้รับกลิ่น ลิ้นกระทบรสก็รับรู้ เหมือนคนเป็นๆตอนตื่นๆ ไม่ได้หลับตาไม่ได้หนีโลก แต่มีคุณสมบัติไม่มีกิเลสแล้ว ในจิตใจไม่มีกิเลสมาร่วมปรุงแต่งกับสิ่งที่กระทบ ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ หรือลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ไม่มีในจิต คนนี้เป็นพระอรหันต์แน่นอน เป็นพระโพธิสัตว์ 

ที่รู้กรอบรอบของความปรุงแต่งของตน และความปรุงแต่งของคนอื่นๆในโลก อย่างแท้จริง คือรู้ใบไม้กำมือเดียว เหมือนพระสมณโคดมท่านสอนแต่ เรื่องใบไม้กำมือเดียว คือ ความเป็นพระอรหันต์เท่านั้นแล้วท่านก็อายุ 80 ปี ท่านปรินิพพานเป็นปริโยสานให้ผู้สืบสานติดต่อมา อาตมาก็ต้องรับเต็มๆ เพราะอยู่ในยุคพระพุทธเจ้าก็อยู่ด้วย แล้วท่านก็เชิญมอบหมายให้ด้วย ว่าเธอไปเกิดเป็น สยังอภิญญา แล้วมากอบกู้มารับผิดชอบนะ พูดมาหลายทีก็ย้ำ คนเขาฟังที่ไม่เชื่อถือก็บอกว่าอวดดี ตัวเขาไม่รับรู้ ไม่มีปฏิภาณรับรู้ ไม่มีสัญชาตญาณไม่มีเจโตปริยญาณจะรับรู้ได้เลย เขาก็ไม่รู้ 

แต่คนที่รู้อย่างพวกเรารู้ แม้จะระลึก เป็นรูปธรรม เป็นบุคคล เป็นตัวตนไม่ได้ แต่ไม่มีปัญหาเพราะเข้าใจถึงสภาวะธรรม ตั้งแต่ อรูปธรรม จนเป็นรูปธรรม จนเป็น มโนมยอัตตา โอฬาริกอัตตาใหญ่โต เป็นลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ก็ปรุงแต่งอยู่ แต่ว่าการอยู่เหนือการหลุดพ้นเป็นจริง 

อาตมาทำงานมา 50 ปี พวกคุณก็พิสูจน์มาว่า จริงหรือเปล่า หลุดพ้นจริงหรือเปล่า หลุดพ้นจริงคืออะไร อย่ามีเล่ห์เหลี่ยม อย่ามีการแอบเสพ (นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ) 

สมณะฟ้าไท... พวกเราก็พิสูจน์ตั้งแต่หัวจรดเท้า ตั้งแต่หัว หัววิมุติไหม หน้าวิมุติไหม 

พ่อครูว่า... ไม่ต้องแต่งคิ้วแต่งปากแต่งผิวหนัง หมด หัวหลุดพ้น หน้าพลุดพ้น ปากคอคิ้วคางหลุดพ้น พวกเราพูดกันรู้เรื่องเข้าใจ ว่า มันหลุดพ้น มันอ่านไปถึงจิตของเราหลุดพ้น จิตเราไม่ได้ติดยึดว่าจะต้องติดยึดในรูปโฉม รูปร่าง ติดยึดในสารพัดรส มันจะเป็นโลกียรสอย่างไรมันก็เข้าใจชัดเจน 

ที่ สู่แดนธรรม... ถามว่า จะเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติอย่างไร 

จะเป็นผู้ที่ยืนยันว่าเป็นผู้ที่หลุดพ้นจริงๆ แล้วก็มีสมรรถนะมีความสามารถ ที่จะทั้งอธิบาย จำแนกธรรม แยกแยะ ให้ผู้ที่ไม่รู้ได้เรียกว่า ปรับวาทะ คือ ประ(อื่น) กับวาทะ คนอื่นที่เขาไม่รู้เรื่องก็ใช้วาทะมาย้อนแย้ง คนที่ยังไม่มีอัญญะ ยังไม่มีความรู้ที่เป็นอื่น ธาตุรู้ที่มีความเป็นอื่นเรียกว่า อัญญธาตุ หรือปรธาตุ มันรู้แต่ของที่ตนเองรู้ในกรอบกะลาครอบ ที่ตัวเองเป็นโลกียะมา โลกุตระเขาไม่รู้ จนกระทั่งสามารถรู้ได้เรียกว่า ปรับวาทะสำเร็จ 

ค่อยๆเข้าใจมาเรื่อยๆก็สำเร็จมาเรื่อยๆ จนเป็นผู้มารวมกัน มีวัฒนธรรม มีความเป็นอยู่ มีเศรษฐกิจสังคม สุดยอด มีการเมืองมีรัฐศาสตร์สุดยอด พวกเราบริหารโดยไม่ต้องบริหารยากเลย ดูแลกัน ยังชีวิต มีอาชีพ ไม่ต้องไปสั่งการจนเกินการ คนนี้ต้องบังคับให้ทำงานนี้ คนนี้ต้องบังคับให้ งานนี้ไม่ต้อง รู้ควร แล้วแบ่งเบากันรู้ มีปฏิภาณไหวพริบไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ส่วนรวม เห็นแก่หมู่กลุ่ม มันมีคุณสมบัติที่เป็นคุณธรรม เลิศยอด มันเป็นจริง 

คนแต่ละคนในชาวอโศกจะมีปฏิภาณลึกซึ้ง มีไหวพริบลึกซึ้ง รู้อย่างนี้โลกุตรธรรม ไม่ใช่โลกียะแล้ว อย่างนี้โลกุตรธรรม แต่จิตยังไม่เต็มที่ จะเข้าไปร่วมกับโลกุตรธรรมก็จะรู้ตัวเอง ก็จะไม่เอาไม่เป็นอย่างโลกียะ ไม่เชื่อ เราจะต้องลดเลิก ไม่ทำจะตายหรืออย่างไร แต่อันนี้มีความจำเป็นความควรที่จะต้องทำก็ต้องทำ จะไม่เอาแต่หลับจะนอนจะไม่เอาแต่อยู่ว่างๆเฉยๆเอาแต่ขี้เกียจ ไม่เอา ก็รู้ทั้งนั้นแหละอกุศลคืออะไร เลิกแล้วไม่เอาอกุศล 

แม้แต่ติดสุข จะสุขโลกีย์อย่างไรก็แล้วแต่ไม่เอา ลดเลิกมา จนเกิดคนที่เป็นโลกุตรธรรม เป็นอาริยธรรมขึ้นมา แล้วอาตมาก็เกิดมามีสมบัติมีคุณสมบัติพวกนี้ เรียกตามศัพท์เต็มๆว่ามีจรณะ 15 วิชชา 8 มีสิ่งเหล่านี้ก็เอาสิ่งเหล่านี้มาแจกแจงมาขยาย 

ตั้งแต่ไม่ลงพยัญชนะ ในคำว่าจรณะ 15 วิชชา 8 มาก่อน จนกระทั่งมาถึงวันนี้ 

เริ่มต้นขยายความจรณะ 15 วิชชา 8 เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ก็เมื่อไม่นานมานี้ จะถึง 10 ปีหรือเปล่าก็ไม่รู้พูดผ่านๆก็มีอยู่ จนกระทั่งมาขยายความไม่นานมานี้ จรณะ 15 วิชชา 8 มาจากศีล อปัณณกปฏิปทา 3 เกิดสัทธรรม 7 เกิดฌานนะ ตอนหลังก็ค่อยมาอธิบาย

แต่ว่าปักหลักศีลก่อน ฌานต้องมีศีล มี อปัณณกปฏิปทา 3 แล้วสัมธรรม 7 ตกผลึกเป็นฌาน แล้วเป็นบุญ 

ที่จริง เปิดยุคบุญนิยม มาถึง 3 เล่มแล้ว ก็หลายสิบปีมาก่อนแล้ว กว่า 20 ปี จะถึง 30 ปีหรือเปล่าคอลัมน์เปิดยุคบุญนิยมก็ทำมา เขียนอยู่ในหนังสือเราคิดอะไร เปิดคอลัมน์นี้มานานจนกระทั่งมารวมกันเป็นเล่ม ก็เรียกว่าเปิดเผยคำว่าบุญมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงทุกวันนี้ก็ละเอียดลึกซึ้งก็ยังจะต้องเปิดเผยต่อ เพราะว่าลึกซึ้งมากเลยคำว่าบุญ 

เข้าใจคำว่า บุญ ผิด เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เธอแสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ ประโยคนี้ แสวงบุญ หมายความว่าจะต้องทำบุญให้ได้ ทำบุญให้เป็น ทำบุญให้สำเร็จแสวงหาบุญให้ตน แต่นอกขอบเขตพุทธ มันคนละโลก คนละเรื่องมันเป็นโลกียะ ไม่เข้าสู่โลกุตระ เพราะทำไม่ถูก คุณลักษณะที่เรียกว่าบุญ

บุญเป็นวิบัติ ไม่ใช่สมบัติจะต้องให้สะสมอะไรเลย บุญมีแต่วิบัติ มันไม่มีสมบัติ ทำสำเร็จมันยิ่งวิบัติสมบูรณ์เลย ไม่ได้มีสมบัติอะไรให้สะสมเลย นี่ ก็ชัดเจนขึ้น เพราะฉะนั้นคนที่ศึกษาบุญคือสมบัติที่ต้องสะสม ต้องได้บุญมากๆ บุญเยอะๆ อย่างธัมมชโย เจ้าประคุณเอ๋ยนอกนั้นก็เท่านั้นแหละมิจฉาทิฏฐิกันอยู่ 

คำว่าบุญคำเดียวนี้ แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธกัน ถ้าหากอาตมาไม่มาเปิดเผย ไม่มายืนยัน หมด ไปไม่เหลียวหลังเลย ไปเลยไม่กลับมา มิจฉาทิฏฐิหายวับไปเลย 

อาตมาขึ้นมาทำสิ่งเหล่านี้ สรุปที่ สู่แดนธรรม... ถามมาก็คือต้องมีคุณสมบัติต่างๆเหล่านี้ เอามายืนยัน มี จรณะ 15 วิชชา 8 อย่างนี้เป็นต้น 

แล้วก็มี การจำแนกธรรม การสาธยายธรรมให้คนเข้าใจได้ เป็นสารถีฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้ คนที่ฟังแล้วเข้าใจรับได้ ก็มาเรียนรู้ตาม จนกระทั่งเกิดมรรคผล แล้วก็เอาตัวเองเข้ามารวมตัวกันเป็นชุมชน เป็นหมู่บ้าน เป็นสังคม สังคมชาวอโศก ยืนยันปรากฏผล ให้คนมาดูได้ เอหิปัสสิโก เชิญให้มาพิสูจน์ได้ มีความจริง ความจริงของมนุษยชาติที่มีตัวตนบุคคล ทั้งรูปภายนอก ทั้งพฤติกรรม ทั้งจิตวิญญาณ

ที่เป็นจิตวิญญาณลดละ หน่ายคลาย จากโลกที่เป็นโลกุตตรธรรม เป็นของจริงที่พิสูจน์ได้ ยืนยันได้ และมันกำลังเจริญมากขึ้นเรื่อยๆอยู่ ยังไม่มีอัตราการก้าวหน้าที่มากนัก พยายามจะให้มันมากอยู่ แต่มันก็จะมีปฏิภาคทวีขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะอาตมากล้าพูดได้ว่าคนทั้งโลกจะต้องมาเรียนรู้โลกุตรธรรม แต่เขาไม่เห็นค่าก็เลยไม่มาเอา คนที่แสวงหามาเรื่อยๆไม่ว่าจะเป็นเทวนิยม โดยเฉพาะพวกชาวพุทธที่ไม่ใช่เทวนิยมทีเดียว แต่ก็มาเป็นเทวนิยมอยู่ในนี้ เป็น เดียรถีย์ มาแสวงบุญนอกเขตพุทธอยู่ในนี้ 

จนกระทั่งเกิดปฏิภาณใหม่รับรู้ว่า อย่างโพธิรักษ์คือความถูกต้อง เป็นอาริยธรรมของพระพุทธเจ้า เขาจะค่อยๆเริ่มรู้ แม้แต่ชาวพุทธที่มิจฉาทิฏฐิไปแล้ว เขาอาจจะค่อยๆเริ่มรู้ ข้างนอกจะค่อยๆมารู้ก็ค่อยๆรวมตัวกันเพิ่มมากขึ้น เพราะจุดสุดยอดของยอดพีระมิดนั้นคือพระพุทธเจ้า คือธรรมะพุทธศาสนา นี่เราพูดในพวกเรา ที่อื่น ก็เป็นศาสนาของเขา แต่ของพุทธเรา อันนี้เป็นโลกุตระธรรม 

จนกว่าคนจะมีดวงตา มีภูมิปัญญา มีไหวพริบ ว่าอันนี้เหนือกว่าอย่างไร พิสูจน์ว่าอันนี้ล้มล้างพระเจ้าเลยนะ โอ้โห! คนจะยอมล้มล้างพระเจ้านี้มันง่ายที่ไหน แต่จนกระทั่งเขาเข้าใจ อ๋อ! พระเจ้าก็ไม่เที่ยง เราไปยึดถือว่าพระเจ้าเที่ยง พระเจ้าก็รู้ในเรื่องความดี ไม่ได้ปฏิเสธ แต่แม้ดีก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา สูงกว่านั้นมีสภาวะ พ้นจากความสุขความทุกข์ด้วย เข้าใจความสุขความทุกข์เพิ่มขึ้น อ๋อ! ไอ้สุขนี่ มันเป็นจอมมายาเหรอ โอ้! เราเสพสุขอยู่อย่างหยาบๆ เช่น ปูติน โจไบเดน อะไรที่เขายึดถือว่าสุข เขาจะต้องเป็นเจ้าโลก จะต้องเป็นใหญ่เป็นโต

แม้แต่สีจิ้นผิง เขาก็ยังมีสุขอยู่ แต่ความสุขของเขาค่อนข้างไปทางความสงบ เพราะว่าพลเมืองอยู่กันอย่างเรียบร้อยสงบ สงบอย่างคอมมิวนิสต์บังคับด้วยกฎหมาย เหมือนอย่างเกาหลีเหนือ ถ้าหากค้านแย้งก็จัดการฆ่าเลย มีอำนาจบาตรใหญ่ขนาดนั้น ยิ่งกว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์อีก เพราะมันบวกเอาทั้งสมบูรณาญาสิทธิราชย์กับประชาธิปไตยเก๊ ต้องใช้คำเช่นนั้นไปร่วมอยู่ในนั้น สมบูรณาญาสิทธิราชย์กับประชาธิปไตยเก๊ อยู่ที่เกาหลีเหนือ 

มีสิทธิ์ขาด เด็ดขาดยิ่งกว่าพระเจ้า สั่งประหารชีวิตได้หมด แล้วก็มอมเมาว่า พวกคุณน่ะ มีสิทธิ์ แต่ว่าต้องช่วยประเทศชาติ โดยเอาชีวิตเข้าแลก มันซับซ้อนหลายชั้น ก็เป็นตัวอย่างของโลก ยกตัวอย่างเกาหลีเหนือ นอกนั้นก็ยังไม่เข้าใจอะไร เป็นเรื่องของ magical อย่างมีพลเมืองมาก เช่น ในตะวันออกกลาง หรือในแอฟริกาก็ยังไม่รู้อีโหน่อีเหน่ 

อย่างแอฟริกา พระเจ้า ยังไม่เป็นตัวตน แต่เป็นอะไรอย่างอื่นไปแล้วแต่อุปาทาน เป็น ผีสาง เป็นสิ่งลึกลับมีอำนาจพิเศษสั่งการ แล้วก็ไม่ได้ยึดถือแรงเหมือนตะวันออกกลางที่ยึดถือพระเจ้าองค์เดียว แล้วต้องตามคำสอนนี้อย่าออกนอกคำสอน แล้วต้องหาบริวาร แผ่มา พยายามหาบริวารต่างๆนานา 

เพราะฉะนั้นผู้ที่จะอิสระเสรีภาพและรู้จักว่าไม่ต้องยึดอำนาจบาตรใหญ่ มีแต่เมตตา มีแต่ช่วยเหลือผู้อื่น รู้จักการเกิดการตาย การเกิดการตายนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย คนเราอายุ 100 ปีอย่างมากไม่ถึง 100 ปีดีนักก็ตาย ในยุคนี้แล้ว เพราะฉะนั้นไม่มีปัญหา ตายแล้วคุณก็ต้องมาเกิดอีกตามวิบาก วิบากดีคุณก็มาต่อวิบากดี วิบากชั่วคุณก็มาต่อวิบากชั่ว 

กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กัมมังสัตเตวิภัชติ กัมมุนาวัตตติโลโก  

อ่านสภาวะให้จริง ให้รู้จักสภาวะ 2 เทียบกันทีละคู่ คุณจะรู้รายละเอียดของเทวะนี้มากเลยทีละคู่ อะไรควรหรือไม่ควร แล้วมันไม่เที่ยงด้วย ความควรหรือไม่ควรมันไม่เที่ยงด้วย ตามมหาปเทส 4 ไม่เที่ยง มันขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ กาละ เทศะ ฐานะ ใช้พยัญชนะเหล่านี้ย้ำยืนยันอธิบายแล้วก็จะรู้ว่า ความไม่เที่ยงนี้ยิ่งใหญ่อย่างนี้นะ แม้แต่ความเป็นเทวะ

แล้วความเที่ยงคืออะไร คือ 0  สูญ อย่างผู้รู้เป็น อนุปคัมมะ เป็นผู้รู้แล้วรู้ความเป็น 0 รวมความไม่มี แล้ว เราก็ยังไม่ดับสูญเรายังมีชีวะ เราก็รู้ก็เห็นแต่เราเหนือมัน แล้วก็เข้าใจเห็นใจพวกที่มีด้วย เขายังมีอย่างอยากใหญ่ก็เห็นใจ เข้าใจเขา ช่วยได้ก็ช่วย ผู้ที่ยังช่วยไม่ได้ก็ให้ไปตามวิบากก่อนนะ เพราะพูดอย่างไรคุณก็ไม่รู้เรื่องโลกุตระ มันเป็นสัจจะของคนที่ยังไม่มีภูมิถึง ก็ต้องปล่อยเขาไป ดีไม่ดีอย่าไปยุ่งกับเขา เขาจะเอาเราตาย อาตมาระมัดระวัง อย่าไปแตะเข้าเดี๋ยวตาย ตายก็ไม่ได้ทำหน้าที่เท่านั้นเอง เราก็ไม่ได้ไปพยาบาทเขาหรอก เพราะเขาไม่รู้ เขานึกว่าไปแตะต้องสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่เขายึดถือ ไม่ได้หรอกเขาเอาตายเลย ไปเอาหัวใจเขามาไม่ได้ ไปแตะให้หัวใจบอบช้ำ ให้หัวใจเขากระเทือน เขาก็ไม่ยอมอย่างนี้เป็นต้น เราก็ต้องรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหางบ้าง แล้วก็ทำอย่างพอสมควรที่พอเหมาะ 

เพราะฉะนั้นผู้ที่จะมากอบกู้ ต่อยอดศาสนาพุทธได้ จึงต้องรอบรู้ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 มีสิ่งเหล่านั้นพอ มีสิ่งที่จะกอบกู้พอ อาตมาขยายความไว้ไม่หมด ทั้งเวลาและความรู้ก็ไม่พอ ก็ขยายความไว้ประมาณนี้ก็แล้วกัน 

อาตมาไม่ได้ถ่อมตน ไม่ได้ยักไม่ได้กักไว้เลย ทำเต็มที่ เท่าที่กาละ เทศะ ฐานะ อันควรจะทำมาเรื่อยๆ จนมาเกิดผล เกิดมรรคผลมาได้ขนาดนี้ก็ขอยืนยันว่าสิ่งที่ได้ ที่มี ที่เป็น จากคนมาประพฤติบรรลุมรรคผล จนเกิดชุมชน เกิดสังคมสารานียธรรม 6 เพราะมีคุณธรรมของวรรณะ 9 หรือพุทธพจน์ 7 อย่างแท้จริง 

มีคุณธรรมคุณวิเศษเหล่านั้นจริงๆ คุณมาเป็นคนเลี้ยงง่ายก็เป็นคุณวิเศษ มาเป็นคนบำรุงง่ายก็เป็นคนวิเศษ มาเป็นคนมักน้อยเป็นคนกล้าจนหรือคนมีสมบัติ 0 เลย  ก็เป็นคุณวิเศษ ใจมันพอ มันสันโดษ แล้วเป็นคนที่ขัดเกลาตนเอง สัลเลขะ ก็เป็นคนมีคุณวิเศษ คนไม่มีคุณวิเศษจะไม่ขัดเกลาตนเองหรอก มีแต่อยากใหญ่ อยากเบ่ง เหมือนทักษิณ ไม่ได้คิดจะขัดเกลาตัวเองเลย มีแต่ตะแบง ที่เข้าใจหาทางเลี่ยงได้ก็เอาแล้ว พ่นออกมา แล้วอันใดยังไม่มีคารมโวหารแย้งได้ก็เอาไว้ก่อน อันใดแย้งได้ก็เปิด club house กว่าแกจะรู้ตัวก็ยาก 

สู่แดนธรรม... มีอยู่คำนึงที่ผมรู้สึกว่า พ่อท่านว่าแม้เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 หรือ 8 ก็ยังต้องสั่งสอนความเป็นสารถีฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้ อันนี้คนภายนอก อย่าไปคิดว่าพ่อท่านไปยกตนเท่าพระพุทธเจ้านะ แต่คือพ่อท่านเหมือนครูน้อย

พ่อครูว่า... เราก็เป็นครูน้อยสุดฝึกได้เท่าที่เราเป็น ระดับ 8 จะขึ้นหรือยังก็ยังดูไปว่าไป เพราะฉะนั้นก็อยู่ที่สัจจะความจริงว่าเราเป็นได้ เป็นได้อย่างเป็นสัจธรรมอันนั้น เราขึ้นถึง เรามีคุณสมบัติ มีคุณธรรมอันนั้นอย่างแท้จริงหรือไม่ ถ้ามีจริงก็จริง ยังไม่จริงเราหลงก็หลง เราไม่หลงแล้วเราเป็นจริง แม้แต่ที่เราได้เป็นจริงแล้วเราไม่หลง เราได้แล้วเรามีความสูงแต่เราหลงว่ายังเตี้ยก็ดีกว่า แต่ที่เรายังเตี้ยเราก็หลงว่าเราสูงนั้นก็จะบ้าเอา 

เพราะฉะนั้นความจริงที่พิสูจน์อันนี้ก็เป็นสัจธรรมที่มนุษย์ ผู้แสวงหาในโลกจะต้องแสวงหานิพพาน ได้นิพพานแล้วคุณจะต่อยอดเป็นโพธิสัตว์ช่วยมนุษย์โลกอีก กตัญญูกตเวทีต่อธรรมะ ต่อศาสนาไป ก็ทำ ไม่ทำคุณก็ไม่เป็นไรหรอก ปรินิพพานได้คุณก็เอาตัวรอดไปคนเดียว แยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมได้คุณก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไป ก็ไม่มีใครว่าอะไรใคร 

อาตมามันหนักก็ตรงที่ว่าพระพุทธเจ้าท่านทิ้งอาตมาไว้ เพราะท่านสอนแต่ใบไม้กำมือเดียว อาตมาก็เลยจะต้องมาขยายใบไม้ทั้งป่า ไปตามลำดับ 

สู่แดนธรรม... ตอนแรกผมเข้าใจผิดว่า พ่อท่านจะต้องรับนโยบายของพระพุทธเจ้าว่าสอนใบไม้กำมือเดียว เป็นโพธิสัตว์ก็สอนใบไม้กำมือเดียวเหมือนกัน 

พ่อครูว่า... ไม่ใช่ ต้องสอนให้คนที่ช่วยตัวเองได้แล้วสอนคนอื่นต่อ ท่านเพาะพุทธชอบจะเอาประโยคนี้ไปพูดต่อ หากเอาตัวรอดคนเดียวก็ปรินิพพานแล้วก็ 0 ไปเลย สอนเท่าที่ตัวเองสามารถ อย่าไปทำเป็นเตี้ยอุ้มค่อม อย่าประมาท เพราะฉะนั้นเผื่อพอเอาไว้ เราจะช่วยก็ต้องเผื่อไว้นะ เรามีแรง มีความสามารถน้อย เราต้องพยายามที่จะทำ ประมาณ 70 80 เผื่อไว้ว่า อีก 20 นั้น มันยังไม่เต็มที่ยังไม่ดีพอ เอาเต็มที่แค่ 80 เราต้องประมาณเผื่อพอเอาไว้อย่างนั้น ต้องถ่อมตนไว้ 

สู่แดนธรรม... ทำให้เหลือคงคลังไว้ใช่ไหมครับ 

พ่อครูว่า... ประมาทไม่ได้ ถ้ามี 100 ก็จ่ายหมด 100 มันก็ไม่เหลืออะไร สัจธรรมมันก็ว่ากันไปได้เรื่อยๆ ก็ขยายไปเรื่อยๆ 

สมณะฟ้าไท... สรุปจบ

ที่มา ที่ไป

650601 พ่อครูแสดงธรรมคุณสมบัติผู้กอบกู้ศาสนาพุทธในยุคกึ่งพุทธกาล พุทธศาสนาตามภูมิ วันพุธที่ 1 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 มิถุนายน 2565 ( 07:19:33 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์