@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

580212

รายละเอียด

580212_ความรัก10 มิติ (17) จิตวิเคราะห์แบบพุทธ

พ่อครูว่า...วันนี้พฤหัสบดีที่ 12 เดือนกุมภาพันธ์ 2558  แรม 9 ค่ำเดือน 3 ปีมะเมีย วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องความรัก 10 มิติ เรื่องนี้เกิดมาตั้งแต่ปี 2517 อาตมาก็หยิบนามธรรม มาให้เรียนกัน ธรรมะพระพุทธเจ้าต้องรู้ รูป-นาม ชัด เราจะเข้าใจอาการของ “กาม” หรือเข้าใจความรักขั้นสูงกว่าไปอีก รู้อาการจิตที่มีลักษณะต่างไป มันเปลี่ยนจากเดิมที่เป็นความรักในวงแคบ เห็นแก่ตนเองกับอะไรสิ่งหนึ่ง เราเรียกว่า กาม หรือเมถุน(คนคู่) เราจะต้องอ่านอาการแคบๆนี้ออก เช่น เราผูกพันเห็นแก่สิ่งนั้นเท่านั้น อย่างอื่นไม่เห็นแก่เลย

 

อย่างคนที่เขารักหมา รักผูกพัน ไม่เห็นแก่คนอื่นเท่าหมานี้เลยตัวที่เขารัก ผูกพันกันหนัก หมาข้าใครอย่าแตะ รักเช่นนั้นก็เป็นมิติที่ต่ำๆ หรือการติดในรสความเป็นคนคู่กันในโลกนี้มีกันอยู่สองคนเท่านั้น สองสิ่งสองอย่าง มีทั้งเป็นได้กับคน กับสัตว์ หรือวัตถุก็ได้ คือกับสองสิ่งเท่านั้น

 

คนบางคนอยู่ในภพกามนิยม ไม่ปกติสามัยมนุษย์โลกเขา เขามีสิ่งที่เขารักหวงแหนยิ่งกว่าอะไร เราก็จัดคนนี้เป็นพวกคนบ้า ใครมาแตะสิ่งนี้ไม่ได้เลย คนสัมผัสแล้วก็ว่าคนนี้บ้า อย่างเด็กรักตุ๊กตาเขา หวงแหนใครมาแตะไม่ได้เลย จะเกิดถาวรหรือชั่วคราวเราก็จะได้ศึกษา เมื่อโตขึ้นมีอย่างอื่นมาก็คลายไปบ้าง แต่ก็ยังรักอะไรที่เป็นหนึ่งเด่นอยู่อย่างเดียว อันนี้ก็เป็นกามนิยม หรือเมถุนนิยมอยู่ ไปยึดมั่นถือมั่นกันไปคนละชนิดเท่านั้น การไปยึดผูกพันอันใดอันหนึ่งจัดจ้าน อันนี้แหละคือกามนิยม จนเราเผื่อแผ่ให้คนอื่นไม่ยึดมั่นถือมั่นเกินการ ก็คือเราคลายจากความเป็นเมถุน มีคุณสมบัติดีขึ้น อาการนามธรรมเหล่านี้เราต้องเรียนรู้จริงๆ พระพุทธเจ้าสอนให้เราปล่อยวางล้างเลย ไม่ควรผูกยึด แต่ให้เราเกี่ยวข้องตามควร

 

สิ่งที่เราเกี่ยวข้องกับสิ่งภายนอก แม้แต่ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่เราอาศัยเป็นร่างกายเราก็อย่าไปยึดเป็นเราเป็นของเราเช่นกัน นามธรรมนั้นยังไม่พูดถึง เอาแค่รูปขันธ์ก่อน ถ้าเรายึดมั่นถือมั่นหวงแหนไม่เผื่อแผ่ใคร เป็นเอกจัดจ้าน นี่คือกามนิยมหรือเมถุนนิยม ไม่ว่าจะลักษณะไหนในเด็ก เขาผูกพันกับสิ่งที่สัมผัส ตุ๊กตาเขาก็กอดก็หอม ถ้าเขาไปหวงแหนขนมก็เช่นเดียวกัน ได้กินแล้วได้เสพรสหมดแล้วก็ยังติดยึดอยากกินอีก นี่คืออาการติดยึดเห็นแก่ตัวไม่ให้คนอื่นมาแย่งชิงแตะต้องเลย นี่คือความเห็นแก่ตัวเหนียวแน่น ถ้าเราคลายอาการเช่นนี้ไปได้เรื่อยๆคือการคลายอาการกาม คลายเมถุน

 

ถ้ามิติที่ 2 ขึ้นไปก็เป็นสามอย่าง ที่ใกล้ชิด ที่มีเหตุปัจจัยที่เราเห็นว่าต้องเผื่อแผ่เกื้อกูลกัน เรียกว่าพันธุนิยม หรือปิตุปุตตานิยม ก็จะเผื่อแผ่กว้างขึ้นสู่อีกคนหนึ่ง หากเผื่อแผ่ได้กว้างก็เหมือนการแชร์เท่าๆกันเลย จากสิ่งหนึ่งเป็นสองหรือเป็นสามเส้าได้ ถ้าเป็นลูก นั้น มีลักษณะแผ่ออกไปมากขึ้น ลดความคับแคบลง ลดเห็นแก่ตัว เผื่อไปสู่คนอื่นได้ จริงๆความเห็นแก่ตัวคนเดียวเลย อัตตาเต็มบ้องคือพวกฤาษีชีไพร ถือว่าเป็นมิติที่ 0 เลย

 

พุทธศาสนาสอนให้อ่านอาการเหล่านี้ จนกระทั่งคลายไป เผื่อแผ่ออกไปกว้างขึ้นเรื่อย แล้วจากเผื่อลูก ก็กว้างไปสู่ญาติ แล้วเพิ่มสู่สังคมนิยม มีมิตรสหายมากกว่าญาติ

1.   กามนิยม (เมถุนนิยม)

2.   พันธุนิยม (ปิตปุตตาฯ)

3.   ญาตินิยม (โคตรนิยม)

4.   สังคมนิยม (ชุมชนนิยม)

5.   ชาตินิยม (รัฐนิยม)

6.   สากลนิยม (จักรวาลฯ) เห็นแก่ทั่วสากลจักรวาลเลย ก็ลดความเห็นแก่ตัวได้มากเลย

7. เทวนิยม (ปรมาตมันฯ) เน้นไปที่ตัวจิตเลย ในศาสนาอื่นไม่ได้ศึกษาอย่างละเอียดลออ ในการศึกษาจิตอย่างละเอียด เขามีการรู้จิตแต่เขาไม่มี psychoanalysis ไม่มีจิตวิเคราะห์ เขาอ่านอาการที่แบ่งเป็น จิต 89หรือ 121 เจตสิก 52 เขาไม่ได้เรียนรู้ เพราะเขาไม่สามารถจับติด ไม่สามารถมีปัญญาญาณวิชชา ที่จะเข้าไปอ่าน อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ที่เข้าไปอ่านอาการนามธรรม ที่เป็นเจตสิกต่างๆ พุทธเรียนจิตวิเคราะห์จนถึงความว่างจากเหตุ เช่นความโลภ กับเหตุปัจจัยต่างๆ เช่นคู่ของเรา ตุ๊กตาที่เรารักหรือสิ่งต่างๆ จนจิตเราไม่ยึดติด ว่างวางคลาย สัมผัสสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ยึดเป็นเราเป็นของเราเลย นั่นคือจิตวิเคราะห์ที่เราจะอ่านเอง ให้คนอื่นอ่านให้ก็ไม่ได้ แล้วจะไปรู้นอกจิตก็ไม่ใช่ ต้องรู้อาการจิตตนเอง ว่าไปอุปาทาน ไปยึดไว้ จนเป็นอุปาทานหรือเป็นสมาทาน

 

อาทานคือความยึด ยึดอย่างมีปัญญาเรียกสมาทาน หากยึดอย่างอุปาทานคือยึดอย่างอวิชชา พอเริ่มสมาทานก็อ่านจิตบ้างอุปาทานไป จนบรรลุสูงสุด เรียบร้อยเลยไม่ยึดเป็นเราเป็นของเราได้ก็เป็นผู้ที่เป็นสมณะคือผู้สงบจากกิเลส

 

เมื่อสงบแล้วก็จะรู้ว่าเราต้องอาศัย เป็นการยึดอย่างสมาทาน ยึดอย่างสมณะ รู้ทันกิเลสมีโลกุตรธรรมเหนือกิเลสแล้ว จึงเป็นผู้สมาทานแท้ เป็นผู้มีสมะ คือความสงบ นี่คือนามธรรม จิตเจตสิกที่เราต้องเรียนต้องวิเคราะห์วิจัย อาการหยาบ กลางละเอียด ไปจนสมบูรณ์แบบ

 

มิติที่ 7 ยังเป็นแค่เทวนิยม หรือปรมาตมันนิยม เพราะเขาสร้างจิตให้เป็นปรมาตมันได้ เป็นเทวะที่ยิ่งใหญ่ได้ (บรม+อัตตา = ปรมาตมัน) เขายึดได้ เขาทำให้เป็นจิตเกื้อกว้างใช้ลักษณะไม่เห็นแก่ตัว เขาพยายามกั้นหาทางไม่ให้ยึดติด ต้องช่วยเขาไม่เอามาให้เรา ฝึกโดยปฏิภาณ แต่เขาไม่ได้มีจิตวิเคราะห์ เขาไม่ได้เรียนเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย ของรูป กับนาม สัมผัสกันแล้วเกิดวิญญาณ ตั้งแต่มิติที่ 1 มาเลย เรียนรู้จนรู้ว่าอาการยึดเป็นอย่างไร คลายเป็นอย่างไร แล้ววางได้ไม่ยึดได้ จิตเปิดไปเกื้อกูลคนอื่นได้ ไม่ใช่ว่าเพราะเราเข้าใจเท่านั้น ว่าเห็นแก่ตัวมันนิดน้อย เราควรเกื้อกว้างขึ้นๆ แต่ไม่รู้เหตุ แล้วไม่มีปัญญารู้ว่าจิตตัวยึดมั่นถือมั่น แล้วเสพรส (กาม) เสพมาเป็นเรา(อัตตาหรืออาตมัน) เขาไม่มีจิตวิเคราะห์ละเอียดเลย เช่นฤาษีเอาแต่หนีผัสสะ ไม่ได้มีจิตวิเคราะห์เลย

 

ของพระพุทธเจ้าเรียนรู้รูปนาม ที่เรียกว่า กาย เป็นสัตว์หยาบ ตั้งแต่ติดแค่คนคู่ อันอื่นกูไม่เผื่อแผ่ใครนะ เราก็เรียนรู้ของเราที่ไปยึดอะไรจัดนักหนา ก็หัดจับอ่านอาการจิต เมื่อมีรูปนามสัมผัสกัน ก็เกิดความจริงให้เราสัมผัส มีปสาทรูป โคจรูปทำงานร่วมกันก็เป็นภาวรูป ไม่หมดเพื่อนสอง มีสภาพสองเป็นอิตถีภาวะ ไม่เป็นเอกบุรุษ ไม่เป็นอุตตมปุริสสะ เป็นเอกบุรุษหนึ่งเดียวไม่มีเพื่อนสอง อาการจิตเรายังมีเพื่อนสอง มีเศษเหลือของอิตถินทรีย์ต้องอ่านให้สนิทเกลี้ยง ภาวรูป 2 คืออิตตถัตตะ และปุริสสัตตะ แล้วเลิกภาวะอิตถีแล้วเหลือแต่ปุริสัตตะ แต่ก็ไม่ยึดว่าปุริสสัตตะเป็นเราเป็นของเราอีก

 

ในปสาทรูป + โคจรรูป มีส่วนภายนอกสัมผัสกับทวาร 6 เกิดกาย เมื่อมีปฏิกิริยามีนามธรรมไปรับรู้ มีสัญญา เวทนา สังขาร ไปร่วมด้วย ก็เป็นวิญญาณ แต่ถ้าไม่มีนามไปร่วมด้วยก็ไม่เกิดวิญญาณ แต่ถ้าเป็นองค์รวม 3 เมื่อไหร่เกิดเราสัมผัสได้ตรงนั้นคือหทยรูป ภาวะนั้นจริงที่มีทั้งนอกและใน เป็น อัชฌัชตัง อรูปสัญญี เราก็จับอ่านอาการที่ปรุงแต่งเป็นสามเส้านี้ได้ มันเกิดตรงไหนอย่างไร ตรงนั้นแหละ

 

เช่นสัมผัสกับศัตรูคนนี้ มันยียวนถึงปวดใจ แปล๊บใจ มันแปล๊บตรงไหนคือ หทยรูป เกิดตรงนั้นแหละ อาการทุกข์ สุขก็ตามก็จับให้ได้ มันไม่มีที่อยู่แต่อยู่ในคูหาสยัง ในกายยาววาหนาคืบกว้างศอก มีอาการ 32 นี่แหละ

 

อาการ 32 ไม่ใช่นามธรรม แต่อาการที่ 33 คือดาวดึงส์ คือนามธรรม สภาวะที่มีนามธรรมไปร่วมก็เป็นดาวดึงส์ แต่ถ้าเป็นอาการ 32 ก็เป็น ทฺวตฺตึสากาโร แต่อาการ 33 คืออาการนามธรรมเป็นเทวดาเสพรส แต่ถ้าไม่ได้เสพก็เป็น จาตุมหาราชิกาที่จะต้องไปล่ามาเสพ พอได้เสพก็เป็นดาวดึงส์ มีอำนาจเป็นจาตุมหาราช นั่นคือเทวดาผี เป็นเทวบุตรมาร เป็นมารอยู่ในร่างเทวบุตร

 

ในคนนี่ท่านแบ่งเป็นอาการ 32 ที่ปรุงแต่งในร่างกาย แต่ในนามธรรมนั้นยากที่จะเข้าใจได้ศึกษาได้ ข้างนอก ผม ขน เล็บ ฟัน ผิวหนัง ไม่เรียกว่า กาย  อย่างขี้นี่ส่วนใหญ่คนไม่ยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา แต่ถ้าเป็นอาหารอยู่ในร่างกายคนก็ยึดเป็นเราเป็นของเราอีก

 

มิติที่ 7 ไม่มีจิตวิเคราะห์แต่เขาพยายามให้จิตไม่เห็นแก่ตัว แล้วพยายามทำพฤติกรรมไม่เห็นแก่ตัว เพื่อศาสนา เพื่อพระเจ้า เผื่อคนอื่นๆ เขาตายแทนได้เลยเพื่อสิ่งนั้นสิ่งนี้ เขาก็ปฏิบัติข้างนอกเป็นการให้แก่คนอื่น โดยตายแทนได้ แต่เขาก็ไม่มีจิตวิเคราะห์ได้ ไม่เข้าใจ ไม่เกิดวิชานี้ได้เลย แต่เขาก็เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ เราก็อย่าได้ดูถูกดูแคลนเขา

 

8.   อาริยนิยม (อเทวนิยม)

9. นิพพานนิยม (อรหันตฯ)

10.       พุทธภูมินิยม  (หรือ..  โพธิสัตวภูมินิยม)

 

มาขออธิบายเทวดา 6 ชั้น ก็คืออาการจิต พฤติกรรมจิต

เมื่อเราสามารถเข้าใจรูป นาม สามารถกำหนดรู้นามธาตุ ว่าอาการอย่างไรคืออาการเสพ อาการของจาตุมหาราช มันเป็นยักษ์ ถ้าเป็นสมัยนี้เขาคงเขียนเทวดาจาตุฯนี้เป็นยักษ์ถือปืน ถือระเบิดนะ คือเทวดาที่ข้าจะเอาทั้งหมด ล่ามาให้ได้ทั้ง 4 ทิศ ตั้งแต่วัตถุรูป จนเสพสัมผัสเสียดสีมาเป็นเราเป็นของเรา จะเอาให้ได้ เป็นผู้ยึดแย่งเอาของคนอื่น ได้ชื่อว่าเทวบุตรมาร ถ้าได้มาเสพสมใจก็เสพสุข เรียกว่าอาการ 33 เป็นดาวดึงส์ ก็คือนามธรรมเรานี่แหละมันเกิดเป็นเทวดาก็คือจาตุมหาราชที่แย่งได้ ชนะ มีอำนาจ แล้วได้มาสมใจเป็นตัวกู เสพรสราคะมาให้กู เขาก็เป็นดาวดึงส์ เป็นสมมุติเทพ เป็นเทพที่ได้สมใจในลาภ ยศ สรรเสริญ กาม ได้มาบำเรอกาม หรือได้มาบำเรออารมณ์ อัตตา ใจตน ว่าข้าต้องการได้ต้องการเป็นเช่นนี้

 

ยามา คือเวลา ทุกคนก็อยากมีสุขอยู่นานๆ ให้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ นานๆ แต่มันก็สุขแค่ตอนสัมผัส พอจบสัมผัสก็เหลือแต่ความจำไม่ใช่ความจริง เสร็จแล้วคุณก็ได้แต่นึกถึงเอาความจำมา ถ้า แยกได้ จะรู้ว่าคนเรามันหลงความจริงนี่แหละ ถ้าล้างกามภายนอกได้ จนหมด ไม่มีติดยึดในกามคุณหรือโลกธรรม ศักดิ์ศรี อัตตา เอาแต่ใจอย่างไรก็แล้วแต่ สุขได้สมใจบำเรอตน เป็นจาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ เป็นยามาได้เป็นระยะ

 

 

แล้วก็มาพักอยู่ที่ดุสิต เป็นท้าวสันดุสิตะ เป็นผู้อยู่สงบพักยก เป็นอุเบกขาเคหสิตะ ถ้าเขาไม่ได้ปฏิบัติแบบพุทธ แต่ถ้าเขาได้ศึกษาปฏิบัติแบบพุทธ มีไฟฌาน ลดกิเลสได้ก็จะได้อย่างถาวร

 

นิมานรดี เป็นชั้นที่ 5 เป็นผู้ที่นิมิตได้ สร้างได้ด้วยอำนาจ เกิดได้สำเร็จได้ มีประสิทธิภาพ มีความเด็ดขาด สร้างได้ เนรมิตได้ด้วยตนเอง ลงแรงเอง แต่มีประสิทธิภาพเก่ง เป็นจอมมหาราชเก่งจริงๆ แต่ว่า

 

ปรินิมิตวสวตี เป็นอำนาจสูง สูงจนกระทั่ง เป็นอำนาจที่ทำให้ผู้อื่น ข่มผู้อื่นให้ผู้อื่นทำให้แก่ตนได้ หรือเป็นผู้เนรมิตเอง เอามาให้เรา มีผู้อื่นเป็นลิ่วล้อทำให้อย่างประจบประแจง หลงเชิดชูยกย่องตายแทนได้เลย เป็นจอมอำนาจใหญ่เลย

 

นี่คือลักษณะจิตที่เป็นโลกียะที่เขาสร้าง คนไม่ได้ศึกษาพุทธ ทำแบบนี้ทั้งสิ้นในโลก จะเป็นปรินิมิตสวสตี ทั้งสิ้น จะเป็นจอมเทพโลกีย์เช่นนี้ทั้งสิ้น นี่คือพวกไม่ได้เรียนรู้จิต จะเป็นแบบนี้ทั้งสิ้น แล้วรู้ทั้งนั้นว่าไปบังคับคนอื่นไม่ดี แต่ว่ามีพฤติกรรมกลบเกลื่อน ทั้งที่ใจตนเองเป็นเช่นนี้ ทั้งเทวดา 6 ชั้นนี้ไม่ได้มีการหมดอัตตาเลย แม้ดุสิตก็เป็นการพักยก ถึงรอบต้องพักหรือว่าเบื่อไปชั่วคราว ไม่ได้มีจิตวิเคราะห์ที่จะอ่าน เนกขัมสิตะกับเคหสิตะ ในเวทนา 108 ที่เป็นมโนปวิจาร ที่เป็นฐานของจิตที่ผู้ศึกษาปรมัตถธรรมต้องศึกษาเป็นเวทนาในเวทนา ที่ต้องแยกให้ออกจึงจะทำเนกขัมจิตได้

 

แต่ทุกวันนี้เขาว่า เนกขัมมะคือผู้ออกบวช แต่เนื้อแท้คือผู้ที่จะเอากิเลสออก หรือออกจากกิเลส อย่างไม่ได้หนีโลก แต่อยู่กับโลกอย่างเหนือโลก

 

ผู้ไม่ศึกษาจิตไม่มีจิตวิเคราะห์จึงไม่สามารถรู้รายละเอียดจิต แล้วที่ตนได้มานั้นต้องการมาเสพให้ตนเป็นเทพโลกีย์ทั้ง 6 ชั้นนี้ล้วนแล้วแต่เป็นความสามารถของจิต ที่ไม่รู้ก็หลอกทั้งตนเองและผู้อื่น ไม่รู้ว่าตนเองมีสภาพซับซ้อนให้ตนดูเป็นผู้ดี แต่แท้จริงตนเป็นเทวบุตรมาร โดยไม่รู้ว่า มาร หรือซาตาน หรือไซตอน ส่วนทางฮินดู ทางตะวันออกเรียก ผี เรียกมาร นี่คือเทวบุตรมาร ไม่รู้ว่าตนเป็นมาร แต่เข้าใจว่าตนเป็นเทพ แล้วยึดว่าเที่ยงด้วย ส่วนพวกอเทวนิยมรู้ดีว่าเทวะคืออะไร สร้างตนให้เป็นเทวะสูงสุดไม่ติดยึดเทวะ เพื่ออาศัยเป็นประโยชน์คุณค่าสูงสุดได้ มีจิตวิเคราะห์อย่างละเอียดครบรอบ

 

_ทำไมคนขอทานถึงมีในโลกนี้

ตอบ...คนนั้นเขาขี้เกียจทำงาน เป็นตัวใหญ่เลย

 

_ทำไมคนนั้นเอาแต่รวยๆๆ

ตอบ...โง่ไง ภาษาบาลีว่า อวิชชา ไม่รู้ว่า ถ้าเรารวยก็คือเราเอาจากคนอื่นหรือว่าเราสร้างเองได้มากแต่เราไม่ให้ใคร ขายได้เราก็หอบไว้กับตัวเยอะ ก็โง่ เป็นความเห็นแก่ตัว คนที่เห็นแก่ตัวมากไม่ดี แต่ก็รวย

 

_วันวาเลนไทน์คืออะไร?

ตอบ..วาเลนไทน์เป็นวันของนักบุญวาเลนไทน์ ที่เขามีความรักเพื่อผู้อื่น ช่วยเหลือเกื้อกว้างต่อผู้อื่น ช่วยสังคม แต่ทุกวันนี้เขาเข้าใจความรักไม่ได้ นักบุญวาเลนไทน์เขาปฏิบัติจนเขามีความรักมิติที่ 7 คนก็ยกย่องนับถือว่าเขามีความรักประเสริฐแต่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ ไม่มีจิตวิเคราะห์ คนก็นิยมชมชอบ พอเขาตายคนก็ให้วันที่ 14 ก.พ.เป็นวันให้ระลึกถึงนักบุญวาเลนไทน์ แต่คนเราเข้าใจเพี้ยนไป กลายไปความรักทางมิติที่ 1 ทางเพศ ให้ของกันกลายเป็นเครื่องจีบกัน ผูกพันกัน จนกระทั่งมีเครื่องหมายให้ดอกไม้ ดอกกุหลาย แล้วเป็นความรักทางเพศเลย เป็นความรักที่แคบ

 

_ความรักที่แท้จริงคืออะไร?

ตอบ..ให้ศึกษาถึงความรักมิติที่ 8 เป็นต้นไป แต่ถ้าไม่ได้เอาแค่มิติที่ 7 นี่ก็เยี่ยมยอดแล้ว

 

_ทำไมคนไม่ดีจึงมีมากกว่าคนดี

ตอบ....เพราะ คนดีที่เป็นตัวอย่างน้อยลง และคนที่สอนคนให้เป็นคนดีสอนไม่เก่ง ที่สอนไม่เก่งเพราะตนเองก็ไม่ดี ก็เลยสอนไม่เก่ง แต่ถ้าเป็นคนดีก็จะสอนคนให้เป็นคนดีได้

 

_ทำไมผู้ชายทุกวันนี้จึงใส่ตุ้มหู

ตอบ...เพศชายนี่ธรรมชาติมีความสวยงามมากว่าเพศเมียผู้ชายจึงมีสปิริตไม่ไปตกแต่งแข่งกับเพศหญิง ถ้าไปไว้ผมนี่ผมผู้ชายจะดกมากกว่า ก็เลยไม่ไว้ผมยาว ไม่ข่มผู้หญิง ผู้ชายคนใดไว้ผมแข่งกับหญิงก็ไม่มีสปิริต ฉันเดียวกันกับตุ้มหู ที่ผู้หญิงเขาก็ต้องตกแต่งตามประสา

 

_คุณสู่แดนธรรมถามเรื่อง สมการ สูตร E= MC2+ A ถ้า A กลายเป็น ether (ธาตุที่เป็นตัวสลายลดคุณค่า) ก็จะ ลดค่าของ MC2 ลง ผลก็ยิ่งเสียหายใหญ่ เพราะจะกลายเป็น E= MC2- A เราจะไม่ได้ค่าของพลังงานที่ออกมาเต็มที่ เพราะถูกทำลาย และถูกบั่นทอนลดคุณค่าในตัวของมันเอง กินเนื้อ-กินตัวของมันเอง (ค่าของ A จึงเป็นไปได้ทั้งบวกและลบ)
เช่น คนมีพลังทำงานตามแรงที่ลงไปเป็น E ที่มี M คือ มีมวล-มีกำลัง-มีแรงพลังงานที่ออกมาจากตัวเอง ที่มีพลังเร่ง C ของตัวเองเต็มเหยียด แล้วก็ได้ผลออกมาตามที่ตีค่าไว้แล้วเป็น E หรือตีค่าเป็นเงิน เมื่อได้มาแล้วแทนที่จะได้เงินเต็มที่เป็น E= MC2 ก็เอาไปสูบฝิ่นสูญเสียกับเรื่องไร้สาระ เอาไปเสพอารมณ์เป็น “กิเลสตัณหา” อันเสพติดทำลายทุกอย่าง นั่นคือ แทนที่จะใช้ E (พลังงาน) ให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิตที่แท้จริง หรือให้เป็นประโยชน์ แก่โลก กลับเอาไปสูญทำลายไม่เกิดประโยชน์
นี้คือ ค่าของ A ที่ลบ MC2 ชีวิตของคนในโลกจะเป็นอย่างนี้โดยจริง A จะกลายเป็นตัวบั่นทอน ทั้งๆที่ตัวเองสามารถทำ E= MC2 ได้เต็มที่ แต่แล้วตัวเองก็ลดค่า MC2 ของตัวเอง ทิ้งไปเอง ! (ด้วยเรื่องที่โมหะอวิชชา คือ A)

 

รบกวนพ่อครูอธิบาย

 

ตอบ...พ่อครูว่าก็ตามที่ได้อ่านมา  M คือ มวล คือรูป E คือพลังงาน คนที่จะเอาพลังงานที่มีอัตราเร่งสูงๆได้คือคนที่รู้ทฤษฎีนี้ ก็จะเอามวลกับพลังงานเอามาทำงานได้ ทั่วไปพลังงานที่หาได้ทั่วไปได้ง่ายกว่ามวล ไอสไตน์คือใช้ C เป็นตัวเร่ง ที่ต่างจากตัวที่เป็นตัวฐาน สำหรับพ่อครูใช้ A ที่เป็น Abstractเป็นพลังงานนามธรรม ทางจิตวิญญาณ

 

รูปคือ M ส่วน นามคือ C ถ้าเรียนรู้ รูป และนามได้ แล้วจะละเอียดลออยิ่งกว่าไอสไตน์ ย่ิงสูงกว่าทางวัตถุด้วย มันเลยทางพลังงานสสารไปแล้ว ผู้ใดที่สามารถเอานามธรรมมาใช้ได้ จะใช้เป็นประโยชน์ได้มหาศาลย่ิงกว่าวัตถุอีก

 

_พ่อครูอธิบายเรื่องขยะ...เรื่องขยะนี่ แม้แต่พฤติกรรมทางกาย วาจา ใจ ของคนก็เป็นขยะได้ แม้แต่วัตถุ ถ้าเราจัดให้ดีมีประโยชน์คุณค่าก็จะทำให้นิสัยคนดีขึ้นด้วย ถ้าสังคมเราจัดระเบียบขยะอย่างดี สังคมจะไม่มีพิษภัยกับขยะหยาบนี้เลย ถ้าเราได้ฝึกที่วัตถุนี้ จิตวิญญาณเราจะได้ฝึกด้วย นิสัยใจคอ จนถึงพฤติกรรม ลึกถึงกิเลสก็จะได้จัดการ เราจะได้เจริญไปพร้อมกันเลย ยิ่งเรียนรู้การปฏิบัติธรรมของพพจ.ด้วยแล้ว ยิ่งมีทฤษฎีจิตวิเคราะห์ยิ่งวิเศษเลย เราจะทำเป็นกระบวนการเรียนรู้เป็นวิชาการด้วยเลย

 

 

_ในช่วงที่พ่อครูเป็นวัยรุ่น ทราบว่ามีผู้หญิงส่งภาพถ่ายส่งมาให้พ่อครู แล้วพ่อครูเคยส่งให้ผู้หญิงไหม? แล้วสำหรับนร.สัมมาสิกขาทำได้ไหม? เหมาะสมไหม?

ตอบ...ก็มีส่งให้ด้วย เป็นเชิงจีบแต่ว่าก็ไม่เก่ง เป็นเจ้าชู้ไก่แจ้ รูปแฟนก็ส่งให้กันและกัน ผมนี่ถึงอัดรูปเองเลย สมัยนี้มีอะไรส่งกันเยอะแยะ สำหรับผู้มีภูมิคุ้มกันจะไม่เป็นภัย แต่ถ้าคนไม่มีภูมิคุ้มกันก็จะเป็นภัยอันตรายได้

 

_พลังงานทางเศรษฐศาสตร์ ผมเคยอ่าน เศรษฐศาสตร์ของชูเมกเกอร์ ที่เกี่ยวกับ demand and supply ที่จะทำให้คนได้ใช้ผลผลิตทั่วถึงกัน แต่ของพพจ.อธิบายเรื่องนี้อย่างไร?

ตอบ...ก็หลักคล้ายกันแต่ละเอียดกว่ากัน พลังงานที่เกิด ของพพจ.ให้คำนวณละเอียดถึงกิริยาอาการ กรรม ที่เกิดจากจิตเป็นประธาน เป็นต้นทาง เมื่อเรียนรู้ จิตเจตสิก รูปนิพพานแล้วจะเข้าใจพลังงาน เศรษฐศาสตร์ของพพจ.นั้นเมื่อหมดพลังงานที่จะเอามาให้แก่ตัวก็จะเป็นพลังงานสะพัด นี่คือสุดยอดแล้ว ไม่สร้างพลังงานอกุศล มีแต่พลังงานอกุศล และรู้คุณรู้โทษ ไม่ใช้พลังงานไปทางอบาย ทุจริตอกุศล เอาพลังงานมาทำแต่กุศล ทำเพื่อผู้อื่น ยิ่งลดกิเลสเห็นแก่ตัวเสพติดน้อยลงก็จะมีพลังงานสร้างสรรได้เยอะ สะพัดได้เยอะ เป็นเศรษฐศาสตร์ชั้นสูง รู้โลกวิทู ที่สะพัดให้เป็นประโยชน์ที่สุดได้อย่างไรจะเข้าใจกรรมกิริยาการงานของโลก จะไม่ส่งเสริมพลังงานทำลาย ทางโลก มีกามมีพยาบาทเป็นกำลัง แต่พุทธมี วิมุติเป็นกำลัง ทำงานสร้างสรรได้มาก แต่เป็นพลังงานเป็นประโยชน์ต่อโลกอย่างแท้จริง...จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:30:48 )

580213

รายละเอียด

580213_พุทธชีวศิลป์(28) อาริยะ คืออะไร ตอน 3

พ่อครูว่า...วันนี้ศุกร์ 13 ก.พ. 2558  แรม 10 ค่ำ เดือน 3 ปีมะเมีย ...วันนี้คงจะว่ากันต่อเรื่องสังคม มนุษยชาติ จะเรียกว่าสรรค่าสร้างคนก็ใช้ จะเรียกว่าพุทธชีวศิลป์ก็ใช้ ไปด้วยกัน ที่พูดนี่ก็เป็นการสรรค่าต่างๆจากคำสอน ทฤษฎี ความหมายความรู้ที่พระพุทธเจ้าประกาศบอก ชี้ยืนยันก็คือหลักธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่จะเอามาใช้ประโยชน์ในชีวิต ซึ่งจะมีประโยชน์และมีศิลปะด้วย

 

ที่ผ่านมามีผู้ส่ง sms มาบางคนหยาบคายจนไม่อาจอ่านออกอากาศ ที่ผ่านมามีคนส่งมาให้อาตมาอ่านออกอากาศแล้วคงคิดว่าอาตมาจะโกรธ เจ็บใจที่เขาว่ามา หรือเขาอาจได้สะใจที่ได้แสดงออกมา ตามรสชาติฐานะที่เขาทำได้ ส่วนถ้าเจตนาจะให้อาตมาโกรธก็เสียแรงเปล่า อาตมาไม่ใช่คนหน้าด้าน เพราะอาตมาเข้าใจแล้วว่ากรรมเป็นของใครก็ของคนนั้น เขาจะโกรธเราก็รู้ว่าเขาโกรธเขาหยาบ ด่ามาหยาบคาย ก็ชัดเจนว่าตัวคุณก็เป็นเช่นนี้ แล้วก็หาสาระไม่ได้ด้วยที่เขาว่ามา เราก็ไม่ได้เป็นอย่างเขาว่าด้วย ก็ไม่สะดุ้งสะเทือน แต่คุณจะมันดี สะสมอาการนั้นก็แล้วแต่คุณ อาตมาก็อยากบอกแค่ว่า อย่าทำเลย มันขาดทุน

 

แต่ก็มีคนที่ส่งเป็นประเด็นคำถามมา

0849240xxx เรียนถามท่านสมณะโพธิรักษ์อภิธรรมปรมัตถธรรมมีความหมายหรือคำนิยามว่าอย่างไร?ช่วยยกตัวอย่างให้เข้าใจด้วย.สาธุจากวิฑูรย์

 

ตอบ...ทั้งอภิธรรมและปรมัตถ์ คือธรรมะ เป็นธรรมะที่เป็นความรู้และเป็นความจริง สูง ถึงขั้น จิต เจตสิก รูป นิพพาน นี่คือนิยามที่ท่านย่อไว้ ว่ามีคุณลักษณะเช่นนั้น ผู้ใดปฏิบัติแล้วมีญาณอ่านจิต เจตสิก รูป แยกรูป 28 ได้ จิต 89 ดวง ที่ท่านเรียบเรียงไว้ เจตสิก 52 เป็นต้น อ่านอาการจิตได้ตรงชื่อที่่ท่านเรียก

 

ของเราเราอ่านจิตของเรา ตอนนี้เป็นนามตอนนี้เป็นรูป มีลักษณะอย่างไร เราจะเป็นผู้มีญาณปัญญาหยั่งรู้ภาวะรูป นาม รูปคือสิ่งที่ถูกรู้โดยนาม จนอ่าน เวทนา ที่ถูกรู้ เวทนาก็กลายเป็นรูป นามก็คือสัญญา เป็นปัญญา นี่คือปรมัตถ์ ผู้ใดเรียนรู้อ่านจิตตนเองออกนี่คือผู้มีญาณอ่านปรมัตถธรรม แล้วก็ปฏิบัติแยกกิเลส กุศล อกุศลจิตออก แยกกิเลสออก มีการปฏิบัติแล้วทำให้กิเลสลดจางคลายได้ นี่คือปรมัตถธรรม ถ้าลดกิเลสได้ก็เข้าข่ายโลกุตรธรรม เช่นโลกุตรธรรม 37 เป็นต้น ตั้งแต่ กายในกาย เวทนาในเวทนา ก็สัมผัสรู้ของจริงเลย นี่คือผู้มีอภิธรรมและปรมัตถธรรม

 

 

0824039xxx  พ่อครูเคยสอนว่าผู้ที่เป็นอาริยะบุคคลรู้ที่จะจัดการกับจิตรู้ว่าจะตัดขาดกิเลสตัณหาอุปาทานอย่างไร? แต่ก็ยังห้ามไม่ขาดยังตัดไม่หมดง่ายๆเพราะใจไม่แข็งแรงพอ!1เนื่องนั้นมาแต่บารมี!อีก1นั้นมาแต่กรรม!กรรมคือการกระทำคิดพูดทำเรื่อยๆมากมายจนเป็นความเคยชิน!แล้วพอกพูนเป็นนิสัย!จากนิสัยมากพอกพูนจนเป็นสันดาน!จนถึงขั้นออกฤทธิ์ออกเดชเป็นวิสัย!ถ้าพอกพูนสิ่งดีคือกุศลกรรมเรียกว่าบารมี!ถ้าเป็นสิ่งเลวคืออกุศลกรรมเรียกว่าสันดาน!ผู้ที่จะเป็นอาริยบุคคลได้ต้องใช้วิริยะใช้ความเพียรล้างอกุศลกรรมไปเรื่อยๆจนถึงขั้นสมุจเฉทปหาน!วิริยะที่ล้างอกุศลถึงขั้นปรมัตถ์ได้เรียกว่าวิริยสัมโพชฌงค์!ตรงนี้เป็นเรื่องเดียวกับที่พ่อครูกำลังพูดเรื่องอาริยะบุคคลในขณะนี้ใช่ไหม?

 

ตอบ...ใช่ทั้งนั้น เป็นแต่เพียงว่า ภาษาอาจจะเป็นบัญญัติที่ไม่ค่อยตรง เช่นที่พูดว่าพอกพูนสิ่งดีคือกุศลกรรม เรียกว่าบารมี ถ้าเป็นอกุศลก็เรียกว่าสันดาน ก็ถูก นี่ก็คือที่กำลังพูดกันเรื่องอาริยบุคคลที่สามารถอ่านจิต เจตสิก แล้วเข้าถึงรูป จนถึงนิพพาน ได้ ไล่ตั้งแต่นิพพานเป็นระดับ จนถึงอรหันต์และถึงพระโพธิสัตว์ จนถึงพระพุทธเจ้า ที่เป็นถึงอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เป็นภาวะหมุนรอบเชิงซ้อนที่หมุนขึ้นไป

 

อาตมากำลังพูดถึง อารยบุคคล อริยบุคคล และอริยบุคคล  สามอย่างนี้

 

อารยะคือคนส่วนมากของโลก เป็นสามัญปุถุชน และถ้าไม่สามารถเข้าใจคุณธรรม และไม่ใฝ่ธรรมก็เป็นอารยบุคคลที่เขาบอกว่าเจริญด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ สุขด้วยกามคุณ 5 หรือสุขด้วยอัตตาก็ดี (อัตตา 3  มีโอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา) อารยบุคคลคือคนที่รวยไม่วันจบ ใหญ่ไม่มีวันเสร็จ อร่อยไม่มีวันรู้แล้ว สะสมไม่มีขอบเขตไปตลอดนิรันดร อาริยบุคคลคือคนร่ำรวย คนมียศชั้นสูงส่งในโลก อารยะคือผู้เจริญก้าวหน้า คนมีสรรเสริญ แม้ที่สุดพากันหลงสรรเสริญที่เป็นความเก่งในอบายมุขแท้ๆเลย ซึ่งมันสูญเสียทำร้ายทำลายสังคมหนักจัดจ้านแรงร้ายกาจ แล้วเขาก็ไม่เข้าใจกัน นอกจากไม่เข้าใจ ก็ยังมีการโฆษณากลบเกลื่อนครอบงำความคิดให้คนยกย่องกันทั้งโลก ยกตัวอย่าง อบายมุขคือโลภจัดขี้โกงจน ทุจริตไม่ให้คนจับได้ มันยอดมหาอบายมุขแล้วเขาทำสำเร็จด้วย จนคนนี้ตายไปแล้วคนก็ยังจับไม่ได้ว่าเขาทุจริตโกง เขาซุกซ่อนใช้ความฉลาดเล่เหลี่ยมไม่ให้คนรู้ทัน แล้วคนนั้นก็ได้รับการยอมรับ ขึ้นแท่นเลย มีตำแหน่งด้วยก็มีอยู่จริง ที่พูดนี้พูดให้ฟัง แล้วก็ไม่ใช่ว่าเป็นทุกคน แต่อย่างนี้ก็มีนะ ให้ศึกษากัน แล้วไปหลงว่าเจริญ อารยะ ซึ่งเข้าใจผิดเช่นนี้สังคมก็พัง คนก็เอาอย่างศึกษาจนเป็นคนใกล้ชิด รู้เล่เหลี่ยมตาม ดีไม่ดีเก่งกว่าคนมาก่อนอีก แล้วบ้านเมืองจะไปไหวหรือ เขาเก่งเลวร้ายซุกซ่อนเช่นนี้

 

ยกตัวอย่างเช่น พฤติกรรมนักการเมืองที่สามารถโกงกันอย่างชาญฉลาดชั่ว เป็นอบายมุข แล้วเขาหลงดีใจอีกว่าเขาทำสำเร็จ แอ่นอกเดินทั่วบ้านเมืองแล้วคนยอมรับว่าทำสำเร็จด้วย พฤติกรรมการเล่นกีฬาเกินขอบเขตที่มีแต่บำเรออารมณ์ ไม่เข้าใจว่าจิตเช่นนี้เจริญกิเลส ให้อ้วนใหญ่แข็ง ด้านขึ้น ก็หลงส่งเสริมกันยกย่องเต็มโลกเลย สมัยพระพุทธเจ้าเขารู้ทันอบาย ไม่ให้มายิ่งใหญ่จัดจ้านเหมือนยุคนี้ แต่ทุกวันนี้โง่ อวิชชา ไม่เข้าใจเลย แล้วช่วยกันระดมส่งเสริมปรุงแต่งกันไปทั่วโลกด้วย บำเรออารมณ์สร้างอุปาทานให้ติดยึดรสสนุกเพลิดเพลินสะใจรุนแรง อ่านได้เลย ทุกวันนี้ เป็นเรื่องจิตติดยึดเป็นรสราคะ อัสสาทะ สะใจอร่อยเฉยๆ ยิ่งกว่าลมๆแล้งๆไร้สาระ มีแต่เติมกิเลสให้หนาใหญ่ขึ้น เปลืองแรงงานทุนรอน สูญเสีย จะว่าให้ชีวิตเจริญเป็นสุข มันก็สุขเท็จ อวิชชา จนไม่รู้ว่าจะเท็จอย่างไร เป็นทุกวันนี้ทั่วโลกเลยไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ได้แต่พูดความจริง พูดมาเขาก็โกรธเกลียดชังอีก

 

รสเสพนี่ชั่วคราวเดี๋ยวเดียวก็ผ่าน แต่มันสะสมในอนุสัยนี่จริงกว่านะ ไม่ได้ผ่านไปเฉยๆ เป็นทุกข์ที่ผนึกแน่น แต่ว่าสุขมันแวบเดียวก็ไปแล้ว

 

ธรรมะของพระพุทธเจ้าสามารถทำถึง … conscious doing เป็นการปฏิบัติกับภาวะจิตจริงๆเลย ปฏิบัติกับความคิด ความรู้สึกรวมกันจับเป็นสภาวะได้เลย มีเหตุผล มีตรรกะ มี conscious analysis ด้วย นี่คือลักษณะอาริยบุคคล

 

ส่วนอริยบุคคล คือคนที่มีจิตวิเคราะห์ได้ แม้แต่อารยะบุคคลเขาก็มี psychoanalysis แต่เขาไม่ได้วิเคราะห์อย่างสัมผัสถึงจิต มีแต่ตรรกะเท่านั้น คนที่พูดถึง ซิกมันด์ ฟรอยด์เขาเก่ง psychoanalysis นะแต่เป็นเรื่องอารยะ ยังไม่สามารถที่จะเป็นผู้สามารถ consciousness doing อย่างอาริยบุคคล เขาทำใจในใจได้ แต่ทำใจในใจ อย่างไม่สามารถที่จะจับจิตแยกวิเคราะห์ analy จนถึง genesis ถึงต้นกำเนิดในจิตเลย ระดับ อริยะทำจิตถึง mental doing แต่อารยะบุคคลยังทำกับจิตไม่ได้แต่ตรรกะประมาณเอาได้ ของพุทธนี่อาริยบุคคลจะถึงขั้น selfishness killing เป็นการจับสภาวะความเป็นแก่ตัวได้แล้วฆ่าตัวเห็นแก่ตัวได้ด้วย

 

อารยะนี่ทางโลกเขาถือว่าเก่งนะ เบ่งใหญ่ได้ บางทีทั่วโลกด้วย แม้จับได้ก็ไม่กล้าทำอะไรเขา เพราะเขามีวิธีเชิงชั้นอำนาจซ้อนไม่ให้เอาผิดเขาได้อีก พวกอารยประเทศ อารยบุคคล อารยธรรม พูดถึงอารยประเทศนี่เจริญทางดีก็ได้ แม้จะเน้นวัตถุวิสัย แต่ก็ให้เจริญอย่างดีสุจริตได้ แต่อาริยบุคคลเจริญได้ทั้งวัตถุวิสัยและจิตวิสัยได้ด้วย แต่อารยบุคคลเน้นวัตถุวิสัย ใช้โลกาธิปไตย ส่วนอริยะใช้อัตตาธิปไตย ใช้อำนาจซับซ้อน ส่วนอาริยบุคคลไม่เบ่งอำนาจ แต่มีอำนาจโดยธรรม authority หรือ sovereignty ไม่ใช่Force

 

พวกที่โกงกินจัดจ้านมาบำเรออารมณ์ตนให้จัดจ้านมากขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งแบบ มาซูคิสต์ และแบบ ซาดิสม์ เขาไม่รู้ตัวเองว่า เขาหลงสร้างอารมณ์ built อารมณ์ให้ตนได้เสพ ทำยิ่งขึ้นโดยไม่รู้ว่าทำลายตนเอง ทำลายเศรษฐกิจของชีวิต ของสังคมไปด้วย ทำร้ายชีวิตเป็นพิษเป็นโทษถึงตายได้ เขาก็ไม่ฉุกใจไหวทันได้ นี่คือวิชชาที่ครอบงำทั่วโลก  ไม่รู้ว่ามันไม่เที่ยงเป็นทุกข์ แค่อารมณ์ผ่านมาผ่านไปไม่ได้มีความจริงที่ไหนเลย มีแต่อารมณ์เสพ พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาประกาศอันนี้กว่า 2600 ปีมาแล้ว พวกนี้ยังหนักหน้าไปเรื่อยๆ ไม่ได้ใส่ความนะ แต่ขยายความจริงที่มีเอามาพูดเปิดเพื่อให้ฉุกใจศึกษา จะได้คลายความยึดติด

 

คนที่ด่าพวกเรามาหยาบๆ คนเราหากหยาบคายก็จะติดในอนุสัย แต่คนที่ล้างแล้วนั้นจะเอาออกมาแสดงยังยากเลย แต่พวกที่สั่งสมความหยาบคายนี้เข้าไปในใจก็ติดยึดแล้วจะได้รับผลร้ายจากอกุศลกรรมนี้ สังคมพวกเราไม่ได้มีความหยาบขนาดนี้ ไม่ว่าจะกาย วจี ที่ออกมาในสังคมพวกเรามันไม่มี ปีแล้วปีเล่า 40 กว่าปี ก็เป็นเช่นนี้ ใครที่ติดอยู่ในอนุสัย แต่ที่นี่ไม่ได้พาทำก็จะจางคลายได้ มันเป็นเรื่องสรรค่าสร้างคนให้มนุษย์เจริญได้จริง

 

ถ้าเขาไม่รู้ก็จะยิ่งติดใจเพิ่มความหนาในอารมณ์เท็จ ที่เป็นของไม่จริง เป็นสุขหลอกสุขเท็จทำไปก็เปล่าดาย ไม่ได้สมบัติผู้ดีได้แต่สมบัติผู้ชั่ว แล้วไม่ได้เป็นสมบัติในรส แต่เป็นกรรมวิบากสั่งสมลงในอนุสัย ความเป็นรส เสพแล้วก็หายไป มันไม่มีเลย เพราะมันเกิดจาเหตุปัจจัยประชุมกันแล้วเป็นรส แวบเดียวแล้วคุณก็จำไว้ ว่าจะต้องได้ตามนี้ ติดไปในใจเป็นอุปาทาน ฟังแล้วก็ดูใจตนว่ายังมีเหลือเท่าไหร่ แล้วก็ล้างจนไม่เหลือก็จบ แต่ที่มีไปแล้วก็เป็นวิบากล้างไม่ได้ ตั้งแต่วินาทีที่เราเป็นอรหันต์ก็หมดการทำอกุศล ได้แต่ทำกุศลเป็นสิ่งกั้นวิบากเลว ที่เหมือนหมาไล่เนื้อ แต่มันก็มาไม่ได้เพราะไม่ได้เติมเชื้อหมาไล่เนื้อ ก็เติมแต่เชื้อกุศลที่ดี ถ้าจะต่อเป็นโพธิสัตว์ก็ต่อได้ แต่ถ้าปรินิพพานวิบากทั้งหมดก็ยกเลิก

 

ของพุทธไม่มีล้างบาป แต่มีวิธีทำ ฟังแล้วจะเข้าใจว่า ทำไมพระพุทธเจ้าถึงว่า บาปแม้น้อยอย่าทำ เพราะทำแล้วจะเป็นอดีตที่ล้างไม่ได้ ของเก่าเราจำได้ก็รู้ ก็มีจริงไม่ได้หายไปไหน แม้ที่จำไม่ได้ก็มีอยู่ไม่หาย แต่ว่าจะออกผลเมื่อไหร่แต่ถ้ามีวิธีการกันมันก็ไม่มาหาง่ายๆ แล้วจะเอาอะไรมากั้นหากไม่รู้วิธี ก็ทำไม่ได้ซื้อหาไม่ได้ ไม่มี ต้องทำเอาเอง

 

คนที่เข้าใจจะรู้ว่า การเสพรสอารมณ์สุขเท็จนั้นมีแต่นอนปัจจุบัน เสพเสร็จแล้วก็หายหากหมดเหตุปัจจัย แต่ที่เหลือคือความจำเป็นสัญญา ฝังไว้เป็นอนุสัย เป็นเหตุให้ทุกข์ต่อไปอีกไม่หายไป เป็นสัญญาได้ อยู่จริงๆด้วย ในความเสพอารมณ์กับในการสั่งสมอุปาทาน เสพ “อารมณ์สุข” เป็น “เท็จ” แต่สั่งสม “อุปาทาน” เป็น “จริง” ล้างยาก” บางคนจำไม่ได้ แต่มันก็ฝังในอนุสัย หากคนนั้นจะผนึกในอนุสัยต่อไปมันก็อยู่ต่อไป

 

 

ผู้ที่ล้างความเสพได้ จะรู้ว่าเป็นเท็จ ยกตัวอย่างคุณได้ล้างอบายมุขตัวใดที่ได้ล้างแล้ว คุณจะเห็นได้ว่ามันเป็นสิ่งไร้สาระกับชีวิต ยกตัวอย่าง ทาลิปสติกนี่ เป็นสิ่งไร้สาระในชีวิต แล้วคนข้างนอกที่เขาไม่ทาลิปสติกออกจากบ้านไม่ได้เขาจะเห็นอย่างนี้ไหม? …. คนที่เขาบอกว่า ถ้าเขาไม่เฟิร์ม นี่เขาไม่มั่นใจ คนไหนมีคนบอกว่า เขา sexyจนเฟิร์มนี่เขาจะหน้าบานนะ มันอยากอวด เป็นสิ่งน่าอายนะ แต่เขาว่าดีเป็นเช่นนั้น

 

สังคมที่ไม่เป็นสาระก็เสียเวลา มอมเมา แล้วสร้างอาชญากรรมด้วย ไร้สาระแต่เขาไม่เข้าใจแล้วส่งเสริมกัน มีนักออกแบบ creative อารมณ์หรือความคิดเช่นนี้(ขออภัยนะ) ดูกระเทยที่จัดจ้านตั้งเป็นคณะด้วยทำเข้าไปได้ มันซ้อนตรงที่ว่า กูก็ไม่ใช่ผู้หญิงจริงนะ แต่มันจะดัดอย่างจริตผู้หญิงออกมา มันก็เลยกล้า หยาบคายมาก ที่พูดนี่ไม่ได้โกรธแค้นนะแต่อยากให้ได้ความรู้วิชาการก็ขออภัยจริงๆ

 

เรื่องไร้สาระพวกนี้เป็นภัยเป็นโทษ เป็นสิ่งไร้สาระในชีวิตสังคมเป็นสิ่งที่ไม่ต้องไปลงทุนรอน แรงงาน แรงกายแรงสมองเลย สังคมจะอยู่ได้อย่างดีด้วยหากไม่ไปเสียเวลากับมัน มันก็มีแล้วมีอีกไม่น้อยอยู่แล้ว จริงๆแล้วเขายึดติดไปสุดท้ายเขาก็จะเบื่อ หาอะไรมาเปลี่ยน พอมันรุนแรงจัดจนถึงขีดเขาก็หยุด แล้วเอาอันใหม่มาทำอีก ก็เป็นสุขโลกีย์ที่ไม่เสถียร มันไม่คงที่มันต้องเบื่อ

 

สังเกต เราเอง สิ่งที่เราเลิกได้แล้ว ระงับ ขาดแล้ว จิตสงบแล้วอันนี้มันทนทานกว่า จะลดลง แต่ก่อนวันๆหนึ่งเสพกันได้บ้างไม่ได้บ้างตามอุปาทาน นานๆไปจะเบื่อ แต่อารมณ์สงบจากกิเลสนี่มันจะเสถียร สิ่งที่ไม่ใช่ความสงบ หลอกตนเองปรุงแต่งไปนี่ มันไม่คงที่

 

แต่ก่อนแฟชั่นผู้หญิง ส้นรองเท้าก็มีแหลม ไปแล้วก็หดเข้าเป็นหนา สั้นแล้วก็ไปยาว หมุนเวียนไป สีมันก็หมุนเวียนไปตามนิยมกันแต่ละยุคกาล ไม่มีหยุดไม่มีคงที่ด้วย เหนื่อยแทนเขานะนี่ ถ้าสงบแล้วก็ไม่ต้องไปเสียเวลาแรงงานทุนรอนไปกับสิ่งไร้สาระ แล้วเราจะได้กลับมาทำประโยชน์ให้แก่สังคม นี่คือความรวยอาริยทรัพย์ แค่ไม่ไปสูญเสียเวลาทุนรอนแรงงานไปกับสิ่งเหล่านี้ก็ได้อาริยทรัพย์แล้ว

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

_ปรมัตถ์ คือ ความจริงถึง จิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่เข้าใจว่า รูป ทำไมใกล้นิพพาน รูปตัวนี้หมายถึงรูป 28 หรือมีนัยอย่างไร?

ตอบ...รูปนี้คือรูป 28 มันต่างจาก รูปขันธ์ ที่หมายถึงรูปจริงๆไม่ใช่นาม (ใน ขันธ์ 5 มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ) ส่วนรูปใน ปรมัตถ์นี้หมายถึง รูปที่เป็นนามธรรม คำว่ากายนี้เกิดเมื่อเหตุปัจจัยครบ แต่รูปนี่ค้างอยู่ได้ ท่านเลยแจกรูปเป็นรูป 28 มีตั้งแต่รูปรูป คือดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ ที่เป็นวัตถุธาตุ แล้วจะเกิดรูปในปรมัตถ์ชั้นสูง เมื่อมีปสาทรูป มาสัมผัสโคจรรูป(ดำเนินไปเกิดบทบาทลีลา) แต่ถ้านิ่งๆแตะกันไม่เกิดบทบาท แต่เมื่อมีการดำเนิน มีบทบาท อาการที่ประชุมกันคือองค์ประชุมกันเป็นกาย เป็น ภาวรูป ที่ให้เราเห็นสัมผัสได้ คือรูปที่จะต้องถูกรู้แล้วศึกษาภาวรูป 2 (อิตถีภาวะกับปุริสภาวะ) ต่อไป ไปสู่รูปอื่นๆอีกในรูป 28

 

_ดาวแพงขวัญ...พอไปอยู่กับชาวโลกเขา ตอนนี้เขาฮิตกับเศรษฐกิจพอเพียง ที่นี่ทำจนเบื่อแล้ว พูดถึงจิตอาริยชน พื้นฐานเศรษฐกิจพอเพียงจะนำพาไปสู่ยุคศรีอาริยเมตตรัย..ได้อย่างไร?

ตอบ...เศรษฐกิจพอเพียงเป็นภาษาที่ในหลวงคัดเฟ้นมาให้ เพื่อปฏิบัติจริง คำว่าพอ นี่คือ เท่านี้ เพียง แค่นี้ นี่แหละแค่พอเพียง คำว่าเพียง มาขยายคำว่าพอ คำว่า พอ คำนี้เป็นภาษาหลักที่มาจากคำว่า สันตุฏฐี หรือสันโดษ คือ ใจมันพอ ทำอย่างไรที่เราจะรู้ว่า จิตเราโลดแล่นอยากได้อยากมีอยากเป็น เมื่อไหร่จะพอเสียที ตีขอบเขตแค่ไหนถึงพอ ถ้าสามารถกำหนดให้กับตนว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ แค่ไหนเราจะพอ มันซ้อนที่ว่า ถ้าเราสามารถสร้างสรรได้ จะเกิด ลาภธัมมิกา เป็นลาภโดยธรรม แต่ก่อนเราจะต้องเร่งให้ได้วันละสองหมื่น สามหมื่น สี่หมื่น แต่ใจเราไม่พอ แต่ว่าตอนนี้เราสร้างได้หลายหมื่นมากขึ้นอีก แต่เราก็พอแค่สองหมื่นเอาไว้แค่นี้ แต่ถ้าเรายิ่งลดได้อีก น้อยกว่าสองหมื่นก็พอ หมื่นเดียวก็พอ คุณก็พอเพียง แต่คุณเองลดลงมานี่ การที่จะให้เขาไปอีกมันก็ไม่ใช่ความเสื่อมนะ แต่คุณจะได้กลับมาอีกเป็นความซับซ้อนกลับมาอย่างเกินคาดเลย มีความซับซ้อนเสริมหนุนให้เจริญมาหาเราอีกมากกว่านี้ ยิ่งให้ไปยิ่งได้มา ฐานของความพอ แล้วเกิดพอได้จริงๆ เริ่มต้นพอได้เท่าไหร่ก็แล้วแต่ การพอในลาภ การพอในยศ ถ้าจิตคุณพอ การอวยยศเพิ่มยศ คือการให้งานเพิ่มขึ้น การได้ยศเพิ่มขึ้นคือการได้งานเพิ่มขึ้นนะ ถ้าคุณพอคุณก็ให้คนอื่นไปเขาแย่งกัน แต่ถ้าจะเพิ่มยศ แล้วคุณทำไหวไหม? ถ้าทำไหว หรือยิ่งเก่ง เป็นนักบริหารมีงานมาเท่านี้จะได้ แจกงานให้คนนั้นคนนี้ที่เราพอรู้ความสามารถ อย่างซื่อสัตย์ใจคุณไม่เอา คุณจะแจกงาน ดีไม่ดีคุณจะแจกเงินให้ด้วย แล้วเชื่อไหม ยิ่งคุณให้เขาไป คุณจะยิ่งได้มากอีกซับซ้อน เท่าทวี

 

_ความเคลื่อนไหวของบ้านราชฯเปลี่ยนแปลงสูง แล้วทางจิตวิญญาณจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรในหมู่กลุ่มนี้

ตอบ...ถ้าเรามีความเข้าใจแล้วมีสัจจานุโลมมิกญาณ โดยเราไม่ตกบ่อนะ จะปฏิบัติธรรมสนุกมาก เป็นการจัดสรร สัปปุริสธรรม 7

 

รสมันไม่เที่ยง ไม่ถาวร ไปๆมาๆ ถ้ารสที่เขาปรุงมานี่ คนอื่นปรุงอาจอร่อยกว่านี้อีกนะ ราคาสูงกว่านี้ ก็จะอร่อยกว่านี้อีกนะ ปรุงมากกว่านี้อีกนะ แล้วคุณจะถูกมันจูงจมูกไปอีกนานเท่าไหร่ แล้วรสที่คุณติดนี่เอามาให้ดูหน่อยสิว่ามีที่ไหนมันหายไปหมดแล้ว วับๆ แล้วคุณก็ไปเติมให้มันอีก พพจ.ว่า ความไม่เที่ยงนี้เป็นทุกข์ หากเห็นด้วยปัญญาอันแท้จริง คุณไปติดยึดมันเองนะ คนอื่นเขาก็ติดกันคนละอย่างกับคุณนะ ก็มีทั้งบ้าเหมือนกันหรือต่างกันไปคล้ายกันบ้าง แต่ มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นภาระ แล้วเราไปติดมัน

 

_ส.หินจริงว่า เทียบขยะชิ้นเล็กๆฝอยๆนี่ กับอาสวะกิเลสจะเป็นอย่างไร?

ตอบ...อาสวะคืออะไร? อาสวะแปลว่า เครื่องหมักดอง อาสวะ ท่านเทียบเอาความหมายมาเรียก คือสิ่งที่มั่นสั่งสมในก้นบึ้งของจิต เป็นกอง ของ กิเลส มันสั่งสมก้นบึ้งจิต แล้วคนไม่รู้ หยั่งไม่ถึงมัน สัมผัสตัวมันไม่ได้ เหมือนไม่มี อยู่ใต้ก้นบึ้งจิต เหมือนยีสต์ เล็กละเอียด เหมือนมันไม่มี จับไม่ได้แต่มันมีบทบาท แตกตัว สร้างความไม่ดีไม่งามอยู่ ทำปฏิกิริยาอยู่ ถึงเรียกว่า เหมือนพลังงานศักย์ พลังงานแฝง เป็นสิ่งไม่ดีงามที่มีอยู่ เป็นอาสวะ ถ้าใครไม่ล้างมันก็แตกตัวอยู่มันไม่ตาย หรือไวรัส แบคทีเรียตัวเล็ก ทีี่จริงมันใหญ่ แต่ละเอียดจับไม่ง่าย ส่วนพยัญชนะ สว แปลว่าตัวเรา ก็คือมันยังมีตัวเรา ได้โอกาสก็เกิด อา คือเกิดได้ มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ กลับไปกลับมา เป็นตัวไม่เที่ยงมีบทบาท คืออาสวะ โดยพยัญชนะ แต่ความเป็นจริงสภาวะเนื้อแท้ก็ขยายให้ฟังแล้ว อาสวะต่างๆนี่ที่เกิดอยู่ทำงานอยู่ จะทำอย่างไรให้หมดชีวิตินทรีย์ ให้อาสวะตายมันพาทำงานเมื่อไหร่ก็ก่อวิบาก มันพาทำงานตลอดเวลา เมื่อมันยังมีจึงต้องล้างตั้งแต่หยาบ กลาง จนถึงอาสวะ ที่เป็นก้นบึ้ง เราทำเบื้องต้นท่ามกลาง ตัวก้นบึ้งก็ลอยขึ้นมา วิธีการที่จะดำดิ่งไปหาตัวลึกละเอียดนั้นไม่มีทางทำได้ แต่ท่านให้ล้างกิเลสหยาบมาก่อน กิเลสเป็นตัวเดียวกันนั่นแหละ พอหมดตัวต้น(วีติกกมกิเลส) ตัวกลาง(ปริยุฏฐานกิเลส)ก็จะขึ้นมาเป็นตัวต้น ตัวปลาย(อนุสัย)ก็จะขึ้นมาเป็นตัวกลาง คุณก็ปราบตัวกลางที่เหลือให้หมด ตัวอาสวะก็ขึ้นมาเป็นตัวต้น แล้วก็ล้างอาสวะสำหรับผู้บรรลุสูงสุด ปราบตัวนีได้ก็อาสวะสิ้นเกลี้ยง

 

กามภพ รูปภพ อาสวะ ในระดับ ต้น กลาง ปลาย คุณต้องมีองค์ประชุมทุกอย่าง ยืนยันว่า คุณเองปฏิบัติเหนือมีโลกุตรจิต ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่ได้มีองค์ประกอบเช่นนั้น แต่มีองค์ประกอบทุกอย่างเหมือนมนุษย์ปกติ แต่จิตคุณอยู่เหนือมันได้หมดแล้ว ก็เหลือแต่วิบากที่ตามมาเล่นงานได้ แค่ถ้าเราทำกุศลดันไว้ อกุศลก็ยิ่งไกลออกไปทุกที แต่เมื่อคุณล้างอาสวะสิ้น ตั้งแต่วันใดกิเลสก็ไม่มีอีกในคุณ ไม่เกิดอีกไม่มีอีก นี่คือกิเลสส้ินหมดไม่เกิดอีก อาสวะก็ไม่มีอีก

 

 

_ยกตัวอย่างไปดม ไปจูบ ไปหอม นายฟรอยด์นี่ เขาวิจัย เรารักเราสัมผัสเสพแตะต้อง เราดม เราหอม ลูก ทั้งที่บางทีมันเหม็นจะตาย หรือผู้หญิงผู้ชายมันดูดขี้ฟันกันนี่มันยังหอมเลย ทั้งที่มันเหม็นจะตาย เรื่องเพศนี่ง่ายกว่าเรื่องอาหารนะ แต่ถ้าไม่พิจารณาตามขั้นตอนก็จะสลับกันได้เหมือนกัน แต่ถ้าทำตามลำดับเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายนี่ เรื่องเพศอาจยากกว่า

 

_สม.กล้าฯ เห็นความขี้เกียจ ในการอ่านหนังสือ ที่คนเขาให้มา ไม่ค่อยอยากอ่านหนังสือทางโลกๆเลย แถมไม่อยากไปไหนอีก เป็นตัวเฉื่อย หลายอย่างไม่อยากไปทำเลย แต่ก็สู้ได้ไม่ยาก พอไปเจอความจริงแล้วก็ไม่ยากเลย  ความจริงมันไม่ยากเท่าความจำนะ

ตอบ...จริง พอถึงอนาคามี ความจริงมันจะไม่ยากเลย แต่ความจำนี่มันจะยากมันจะเฉื่อย สาระทางโลกมันน้อยกว่าทางธรรมจริง มันก็ดีที่หันมาหาทางธรรมมากกว่าทางโลก แต่ถ้าถึงจุดสูงสุด หมดที่จะต้องชำระแล้ว มันก็จะเห็นเลยว่า ชีวิตมีอยู่ก็ควรมีคุณค่าประโยชน์เพื่อโลก เพ่ื่อสังคม เพราะเราไม่เข้าใจว่า ผู้ที่ยอดที่จะบรรลุสูงสุดคือผู้ให้ พระอรหันต์จบที่ท่าน ให้กำลังใจให้วัตถุ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:31:45 )

580214

รายละเอียด

580214_พ่อครูเทศน์ก่อนฉัน วันวาเลนไทน์ ที่สีมาอโศก

พ่อครูว่า...วันนี้ฤกษ์งามยามดี พอมาถึงคนก็รายงานเลยว่า พ่อท่านมาพร้อมกับความชุ่มชื้น พ่อท่านมาก็พาฝนมากเลย คือตกก่อนที่อาตมาจะมา ทำความชุ่มเย็นก่อนอาตมามาเลย อากาศก็เลยพอดีไม่ร้อนไม่หนาวเกิน คนเราก็ถ้าอยู่ในความพอดี ก็ดีทั้งนั้น วันนี้วันวาเลนไทน์ คนไทยเรา 95% นับถือศาสนาพุทธ แต่วันสำคัญทางศาสนาพุทธไม่ค่อยสนใจ แต่ถ้าเผื่อวันสำคัญของฝรั่งก็เห่อจัง วันตรุษจีนก็ครึกครื้นกัน ดอกกุหลาบตอนนี้ราคาขึ้นไปดอกละ 50 ดอกละ 100 แล้ว

 

ความจริงวาเลนไทน์เป็นชื่อนักบวชชาวคริสต์ที่ปฏิบัติได้ดีเลย ทำให้เกิดความรัก เป็นความรักมิติที่สูง ซึ่งอาตมาได้ทำเป็นทฤษฎีความรัก 10 มิติ แล้วจัดเป็นวิชาเรียนเลย แต่ก่อนให้นร.สัมมาสิกขาเรียน ม.5 เรียนมิติ 7-8 ม.6 เรียนมิติที่ 9-10 เขาก็เรียนกันบ้าง ไม่เรียนบ้าง แต่ต่อมามีว.นบ.ก็เลยนำไปเป็นวิชาการในการศึกษาความรัก 10มิติ

 

ความรักเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ แต่คนเข้าใจเพี้ยนไป เช่น ความรักของนักบุญวาเลนไทน์เป็นความรักมิติที่ 7 เป็นความรักเพื่อมวลมนุษยชาติ เพื่อช่วยเหลือสงเคราะห์ แต่คนเรามีกิเลสก็เลยดึงความรักลงมาต่ำ เหลือเพียงมิติที่ 1 เป็นความรักเรื่องเพศ มีเฉพาะความรักของเราสองคน คู่รักของเรา เป็นความรักที่แคบมาก เป็นมิติกามนิยม หรือเมถุนนิยม อาตมาตั้งชื่อ เป็นความเห็นแก่ตัว แค่พ้นจากตัวแล้วเผื่อไปนิดเดียว ที่จริงมีความรักชนิดที่เห็นแก่ตัวคนเดียวเลย อาตมาไม่ได้จัดเข้ามา ซึ่งจริงๆคือ ความรักมิติที่ 0 ไม่ได้เผื่อแผ่ความรักไปให้ใครเลย เป็นความรักตัวเอง คือความรักในศาสนาหรือลัทธิที่หนีไปคนเดียว ปลีกเดี่ยวอยู่ป่าเขาถ้ำ ตัดหมดไม่ต้องเห็นแก่ใคร เหมือนศาสนาพุทธที่ทุกวันนี้มีความเห็นความเข้าใจเช่นนี้ที่ผิดเพี้ยนไปแล้ว ยุคพระพุทธเจ้าตอนนั้น มีแต่ศาสนาเทวนิยม เอาแต่ตัวเองหนีเข้าป่าเขาถ้ำ อาตมาเรียกว่าเห็นแก่ตัวเต็มบ้อง ไม่มีประโยชน์กับใครเลย ยิ่งกว่าก้อนดิน ก้อนหิน ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน เป็นลัทธิที่เสียหายมาก ให้นิ่งอยู่แต่กับตนเอง ไม่ต้องไปนึกคิดอะไรเป็นความหลงผิดที่มหามหันต์เลย

 

ที่พูดนี้ไม่ได้โกรธเกลียดนะ ที่จริงท่านที่หนีเข้าป่าเขาถ้ำ ไม่ได้เกี่ยวกับพวกเรานะ ท่านก็อยู่ส่วนท่าน แต่มันเป็นความเห็นแก่ตัวเต็มบ้อง ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ล้างความเห็นแก่ตัว ปหานความเห็นแก่ตัว selfishness killing เป็นศาสนาที่มีผลถึงอย่างนั้นเลย ตรงกันข้ามกันกับที่อาตมาอธิบายว่า ศาสนาพุทธมิจฉาทิฏฐิแล้ว ไปนับถือพระที่ปฏิบัติแบบนี้กันถือว่าเป็นพระที่บรรลุอรหันต์ไปโน่นเลย ก็ต้องขออภัยคนที่นับถือบูชากัน แต่ก็พูดเป็นวิชาการ ตามที่อาตมาเห็นด้วยจริงใจว่า เป็นสิ่งผิด ในฐานะพุทธด้วยกัน ถ้าเขาผิดเราก็ต้องวิจารณ์วิจัย พระพุทธเจ้าว่าให้ นิคคัณเห นิคหารหัง ก็ต้องว่ากันได้ แต่ว่ากันได้ถึงปฏิโกสนา โต้ต้านกันแรงได้เลย แต่อย่าได้ตี ทะเลาะกัน ให้เป็นแค่โวหารเหตุผลว่ากันแรงๆได้ แต่อย่าให้เป็นภาษาหยาบ โกหก ไม่ให้เป็นมิจจา 4 ของวาจา ให้ได้เแค่มุขสตี ได้แค่ปากหอก ศาสนาพุทธไม่ใช่เป็นศาสนาที่ติ ที่ว่าใครไม่ได้เลย แต่เป็นศาสนาขัดเกลา ให้รีบบอกกันมีอะไรผิด ให้รีบติงเตือนกัน เพราะความผิดความชั่วอยู่กับใครนิดนึงนานเท่าไร ก็เสียหายเท่านั้น ต้องเอาออกให้เร็ว ส่วนความดีไม่ต้องบอกก็ได้ เขาทำดีอยู่แล้วก็ไม่ต้องเป็นอะไร ทำดีไม่เสียหาย ไม่ต้องไปยกยอยกย่องก็ได้ แต่จะยกย่องก็ได้ ต้องยกย่องบ้าง ก็ไม่ต้องมาก แต่ติเตียนต้องทำให้มากๆ เพราะมันเสียหาย มันอยู่ก็พาเราทำผิด ทำไม่ดี ตามที่ติดเราอยู่ ก็ให้มั่นใจว่า ที่ทำนี่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย แต่คนก็ไม่เข้าใจหาว่าอาตมาไปติ ว่าเขาทำไม และผู้ที่จะติคนอื่นตนเองต้องดีก่อน ถ้าตนเองยังเป็นอยู่ ดีไม่ดีเป็นมากกว่าที่ตนไปติไปว่าเขาอีก มันก็ไม่ควร พระพุทธเจ้าสอนว่า ต้องทำคุณอันสมควรก่อน แล้วพร่ำสอนคนอื่น จึงไม่มัวหมอง แต่ทุกวันนี้ตนเองยังมีกิเลสเต็มบ้องแล้วก็ไปว่าเขา เลอะไปหมด

 

ความรัก 10 มิติ

 

1.    กามนิยม (เมถุนนิยม)

2.    พันธุนิยม (ปิตปุตตานิยม)

3.    ญาตินิยม (โคตรนิยม)

4.    สังคมนิยม (ชุมชนนิยม)

5.    ชาตินิยม (รัฐนิยม)

6.    สากลนิยม (จักรวาลนิยม)

7.    เทวนิยม (ปรมาตมันนิยม

8.    อาริยนิยม (อเทวนิยม)

9.    นิพพานนิยม (อรหันตนิยม)

10. พุทธภูมินิยม  (โพธิสัตวภูมินิยม)

 

มิติที่ 3 ญาตินิยมก็เห็นแก่ญาติทางสายเลือด ก็ช่วยเลี้ยงดูกัน เห็นแก่ตัวแคบๆ เท่านั้น

มิติที่ 4 สังคมนิยมก็เกื้อกว้างกระจายมากขึ้น เป็นสังคมนิยม ชุมชนนิยม ก็กว้างกว่าญาติ มีมิตรสหายเป็น ชุมชน หมู่กลุ่ม

มิติที่ 5 เป็นชาตินิยม รัฐนิยม กว้างขึ้นอีก

มิติที่ 6 เป็นสากลนิยม จักรวาลนิยม

มิติที่ 7 เป็นเทวนิยม หรือปรมาตมันนิยม ศาสนาอื่นเขาก็พากเพียรปฏิบัติ แต่เขาไม่รู้จักจิตเจตสิก รูป นิพพาน แบบพระพุทธเจ้าที่มีความสามารถวิเคราะห์จิตได้ อย่าง psychoanalysis แล้วทำจิตในจิตเป็น moral doing เป็นการกระทำประพฤติที่จิตทำจิตในจิตได้ เป็นถึงขั้นจิตสังสัตถปหานนะ คือ Moral killing ถึงขั้นทำลายอกุศลจิต ฆ่าอกุศลจิตได้เลย ศาสนาพุทธได้ถึงอย่างนั้น แต่ศาสนาอื่นได้ถึงแค่เทวนิยม เป็นปรมาตมัน เขาสร้างอัตตา สร้างจิตที่งดชั่วประพฤติดี เขาก็พยายามฝึกจากจิตที่เขาเข้าใจของเขา แต่ความจริงเขาไม่ได้รู้จิตถึงระดับ conscious doing เข้าไปทำถึง จิตสำนึก จิตใต้สำนึก และจิตไร้สำนึก คือจิตระดับ ต้น กลาง ปลาย เป็น conscious killing รู้จักตัวชัดเป็น genesis killing เข้าไปฆ่าตัวต้นทางเลย genesis คือเชื้อจิตตัว ยีนส์ตัวต้นเชื้อเลย เข้าไปรู้ตัวจริงเลย ทางวิทยาศาสตร์เขาไปจัดการยีนส์ได้ แต่ไม่สามารถทำโยนิโสมนสิการ ซึ่งก็คือ genesis doing เข้าไปทำถึงที่เกิดในจิตเลย โยนิโสมนสิการ มีญาณปัญญาอ่านจิตเจตสิก แล้วรู้ แยกแยะ กำจัดตัวอกุศลเหตุได้ ทำpsychoanalysis ได้ แยกแยะว่าตัวนี้คือยีนส์ gene ไม่สับสนไปฆ่าเลอะเทอะ อย่างการไปนั่งหลับตาสะกดจิต หยุดไม่ให้ทำงานเลย ดับจิต ดับความคิด ใช้พลังงานไปหยุด ฝึกได้ จนดับเรียกว่านิโรธ เป็นลัทธิพุทธที่ทำกันทุกวันนี้ แบบนี้พระพุทธเจ้ารู้มาก่อน เคยผ่านมาหมด ท่านผ่านมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว เป็นลัทธิครองโลกมาตลอด ศาสนาพุทธเดี๋ยวนี้ก็เพี้ยนไปไปเข้าใจผิดแบบเก่าอีก

 

อาตมาดำเนินตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์เราประพฤติ มิใช่เพื่อ... 

หลอกลวงคนให้มาเคารพนับถือ  (น  ชนกุหนัตถัง)

มิใช่เพื่อเรียกคนมาเป็นบริวาร (น  อิติ มังชโน)

มิใช่เพื่ออานิสงส์เป็นลาภสักการะและเพื่อเสียงสรรเสริญ    มิใช่เพื่อจะได้เป็นเจ้าลัทธิ  หรือค้านลัทธิอื่นใดให้ล้มไป  มิใช่เพื่อให้มหาชนเข้าใจว่า.. เราได้เป็นผู้วิเศษอย่างนั้น  ก็หามิได้

       ภิกษุทั้งหลาย ! ที่แท้ พรหมจรรย์นี้เราประพฤติเพื่อสำรวม, เพื่อละ, เพื่อคลายกำหนัด, เพื่อดับทุกข์สนิท ฯ  (พรหมจริยสูตร พระไตรปิฎกเล่ม 21  ข้อ 25)

 

ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้านั้น ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล ไม่โกรกชันเหมือนหุบเหว ตั้งแต่มิติที่ 7 ขึ้นไปเป็นสัมมาทิฏฐิ เราก็ศึกษามาตั้งแต่มิติที่ 1 แล้วเรียนรู้ว่าเหตุปัจจัยอะไรที่ทำให้ไม่เกิดความรักที่กว้างเกื้อ สามารถมีจิตวิเคราะห์ รู้นาม รูป

 

รูปคือ สิ่งที่ถูกรู้ เรามีนามไปรู้รูปได้ แม้นามธรรมก็ถูกรู้ได้ เรียกว่า นามรูปสามารถมีญาณปัญญารู้ได้ เช่น ผู้อวิชชาจะไม่รู้จัก สังขาร วิญญาณ นามรูป ได้

 

สังขาร วิญญาณ ก็เป็นนามขันธ์ เราก็อ่าน สภาวะของสังขาร ของวิญญาณ การอ่านออกได้ก็คือ เรามีญาณ อ่านอาการ ของวิญญาณ ของสังขาร มันเป็นนามธรรม ไม่มีเส้นสีแสงอะไรให้จับต้องได้ หรือเห็นได้แต่เราอ่านได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส เมื่อฟังอาตมาอุเทส ก็ไปอ่านอาการ อย่างนี้เรียกว่าโกรธ อย่างนี้เรียกว่าโลภ มันโกรธแล้วใจมันร้อนเร่า ใครอ่านออก อาการมันก็คือ มีญาณ ก็ทำเครื่องหมายเป็นนิมิตมันได้

 

ที่เขาว่าเขาเห็นเทวดา ก็เห็นเป็นตัวตน ใส่ชฎา ทำมืออ่อนช้อยเลยนะ เทวดาหญิงก็ใส่สังวาลย์ เป็นรูปร่าง พอบอกเห็นผีก็มีเป็นตัวตนรูปร่างหลอกกันไปสร้างหนังมากมาย ก็หลอกให้คนติดยึด เห็นผีมารเทวดาเป็นรูปร่าง นี่ก็ปิดประตูรู้เลย ไปเห็นของหลอก พระพุทธเจ้าว่าจิตวิญญาณไม่มีสรีระ ไม่มีรูปร่าง พระพุทธเจ้าว่า การจะรู้ นาม รูป ได้ต้องรู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ใครอ่านเห็นเป็นรูปร่าง ก็หมดทางไปนิพพาน

 

มิติที่ 7 อเทวนิยม ก็ไม่ได้ไปศึกษาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตก็เลยไม่รู้ของจริง ในภาวจิตที่เรียกว่า consciousness ก็ไม่มีญาณอ่านรู้ได้ ซึ่งจะอ่านรู้ได้ตอนมันเกิดการสัมผัส มีตากระทบรูป เกิดวิญญาณ มีผัสสะ 3 เราก็จะเห็นวิญญาณอ่านวิญญาณได้ แต่เดี๋ยวนี้สับสนไปนั่งหลับตาทำสมาธิเสียอีก ก็เลยไม่ได้เรียนรู้แบบพระพุทธเจ้าสอน เพราะไม่มีตากระทบรูป ก็ไม่เกิดอายตนะ หูไม่กระทบเสียงก็ไม่เกิดอายตนะ ….

 

ในเจตสิก 3 ที่เป็นนาม ท่านแบ่งเป็น เวทนา สัญญา สังขาร ซึ่งเวทนามันจะเกิดจากการปรุงแต่งปุ๊บที่สัมผัสเกิด เราก็มาเรียนวิเคราะห์จิต เป็น psychoanalysis เช่นนี้ จึงเกิด consciousness analysis ถ้าเรียนรู้ consciousness ที่เป็นตัวงานในจิตจริง เป็นสามัญสำนึก มันก็เป็นปกติของคนทุกคน ส่วนที่คุณจะสำนึกว่าอย่างนี้ดีนะ จะได้เปรียบ ถ้าโกงโดยเขาไม่รู้ มันก็จะได้ ก็เป็นสามัญสำนึกของคนที่เป็นสิ่งเลวเช่นนี้ เป็นสามัญสำนึก เราก็ทำไปตามกิเลสมันสั่ง กิเลสมันสั่งให้เอามาให้ได้ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็ด้วยคาถา ก็สามัญสำนึกทั่วไป

 

แต่พอสำนึกสูงขึ้นมา ก็จะรู้ว่าสิ่งนี้ชั่วไม่ทำ สิ่งนี้ดีก็ทำ แต่ถ้าอำนาจกิเลสมันมาก แม้รู้ก็ทำ คนที่จะข่มขืนคนรู้ว่าชั่วแต่กิเลสมากมันก็ทำ พอข่มขืนเสร็จ แล้วก็รู้ว่าเดี๋ยวมันไปบอกใคร ก็ฆ่าเสียอีก ทำบาปซ้ำ แล้วก็ปกปิดโกหกอีก คนจับได้ก็ปฏิเสธอีก ไม่ยอมรับ เขาประหารแล้ว ก็ตายตกตามกัน ชั่วไปไม่รู้กี่ทอด

 

คำว่าสำนึก consciousness จึงต้องศึกษา จึงต้องเรียนรู้ตัวนี้ แล้วอาการสำนึก พระพุทธเจ้านี่สอนให้รู้จักจัดการกับความสำนึกแรก conscious  subconscious และ unconscious ซึ่งตรงกับกิเลส 3 ระดับของพระพุทธเจ้าคือ อย่างหยาบ อย่างต้น คือ วีติกกมกิเลส และระดับกลางเรียกว่าปริยุฏฐานกิเลส และกิเลสระดับปลายคือ อนุสัยกิเลส

 

พระพุทธเจ้าสอนให้จัดการวีติกกมกิเลสก่อน โดยการมีผัสสะนี่แหละ แล้วเกิดกิเลส ก็อ่านรู้ เราจะมีสามัญสำนึกก็เรียนรู้ว่าอันนี้ดี อันนี้ไม่ดี เราก็จับอ่านเหตุ แล้วล้างเหตุ ให้มีปหาน 5 ท่านให้กำจัดให้ถูกตัวตน เราก็จะรู้ว่าทำถูกต้อง เป็นปหานเด็ดขาด สมุทเฉทปหาน ทำได้แล้วก็ทำต่อ ปฏิปัสสัทธิปหาน แล้วทำซ้ำทำทวน เป็นอาเสวนาภาวนา พหุลีกัมมัง ทำอย่างที่ได้ผลนี้ ทำซ้ำทำทวนไปเป็นปัญญาของโสดาบันข้อที่ 2

 

ญาณ 7 พระโสดาบัน

 

ข้อที่ 1 คือรู้จัก วีติกกมกิเลส ทำจนพ้นได้ เหลือ ปริยุฏฐานกิเลส ก็ทำ

    ต่อไป

ข้อที่ 2 อาเสวนาภาวนา พหุลีกัมมัง

ข้อที่ 3 รู้ว่าญาณปัญญา นี้ไม่ใช่มีในลัทธิอื่น ลัทธิอื่นไม่ครบ  ไม่ชัดอย่าง

    พุทธ จะรู้เห็นเลย ใครที่ไปเรียนกับสำนักอื่น ศาสนาอื่น แล้วมา

    เรียนของพุทธอย่างสัมมาทิฏฐิ จะรู้ว่ามีของจริงไม่ใช่แค่ตรรกะ

    แต่ของพุทธเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตเลย

ข้อที่ 4 มีศีล ถ้าอาบัติขึ้นมาจะรู้ว่าเราผิด จะเดือดร้อนใจเลย เหมือนเด็ก

    ไปจับไฟร้อนก็หดมือเข้ามาเลย แก้กลับ ทำผิดจากสิ่งที่ตนทำได้

    ดีแล้ว ก็จะเดือดร้อนใจ เหมือนคนรักเพชรพลอย แล้วมีรอยขีด

    ข่วน

ข้อที่ 5 เป็นผู้มีประโยชน์ทั้งทำจิตตน แล้วทำงานรับใช้สังคม กับเพื่อน

    สหพรหมจรรย์ เป็นประโยชน์สองอย่าง อุภยัตถะ ศาสนาพุทธ

    ต้องเป็นแบบนี้ ไม่ใช่ว่าลดกิเลสได้แล้วไม่เกี่ยวกับใคร ไม่ใช่ แต่

    เป็นคนมีน้ำใจ ขวนขวายทำงานให้สังคม ดูแลงานน้อยใหญ่

    พร้อมปฏิบัติอธิศีล อธิจิต อธิปัญญาของตน เหมือนแม่โคเล็ม

    หญ้าไปก็เลี้ยงลูกไป ไม่ได้แยกจากกันเลย

ข้อที่ 6. มีพลังทำประโยชน์  ทำไว้ในใจ  กำหนดด้วยจิตทั้งปวง เงี่ย

    โสตฟังธรรมวินัยของตถาคต  อันบัณฑิตแสดงอยู่

ข้อที่ 7. ได้ความรู้อัตถะ-รู้ธรรม  ปราโมทย์  รู้จริงครบถ้วนธรรม 

 

จะมีจิตทั้งเจโต และมีปัญญา มีประโยชน์ต่อตนและโลก ไม่ใช่ว่าไปนั่งหลับตา ไม่เกี่ยวกับใคร อย่างไปนั่งในป่าช้า เหมือนหลวงพ่อเกษม อาตมาไปว่าท่าน คนก็หาว่าอาตมาบาป แต่อาตมานี่กลัวบาปนะ เรียนรู้ว่า ไม่ทำอกุศลกรรม มันทำแล้วเป็นจริงของเรา ทำแล้วเอาลิควิดลบไม่ได้ เป็นผลวิบากของเรา สุกตทุกฏานัง กัมมานังผลังวิปาโก ตนทำต้องเป็นของๆตน ไม่เอาไม่ได้ มีมีระเหิดระเหยอยู่กับเราครบ ไปชั่วกาลนาน

 

มิติที่ 7 ,8 ,8 จึงรู้ว่ากิเลส คือตัวมาร คืออาการผีตัวร้าย ที่ต้องจัดการ แล้วมันมีเทวดาปลอม เป็นเทวะเก๊ เพราะไม่รู้อาการสุขเวทนา ที่เป็นเคหสิตเวทนา เป็นอารมณ์ความรู้สึกสุขแบบโลกีย์ คือเทวดาปลอม ซึ่งพุทธให้ศึกษามโนปวิจาร มีเคหสิตเวทนา และเนกขัมสิตเวทนา

 

เคหสิติเวทนาคือ เวทนาของปุถุชน แต่เนกขัมสติเวทนาคือ เวทนาของอาริยชน คุณต้องอ่านมา ตั้งแต่เวทนา 3 สุข ทุกข์ อุเบกขา แล้วมาทางทวาร 6 เป็น เวทนา 6 อีก ใน 6 นี้เกิดสุข ทุกข์ อุเบกขาได้อีก ก็เป็นเวทนา 18 แล้ว 18 นี้แยกเป็นเคหสิตเวทนา และเนกขัมสิตเวทนา ที่ต้องแยกออกให้ได้

 

ของพุทธมีจิตวิเคราะห์ จับอาการอกุศลจิตได้ ลดอกุศลจิตได้ เห็นมันดับก็เกิดปีติ โสมนัส ดีใจ ซึ่งต่างจากดีใจที่ได้เกิดจากสุขแบบได้เสพสมกิเลส เป็นสุขเท็จ สุขอัลลิกะ เป็นสุขปลอมไม่เที่ยง สุขตอนสัมผัส ผัสสะ พอหมดสัมผัสแล้วก็ไม่มี แต่เขาก็จำความรู้สึกดีๆนี้ไว้แล้วจำใส่อนุสัยไว้ ไม่ลืม แล้วก็ผูกพันไปจนเป็นกามนิต-วาสิฏฐี ไม่ได้จากพรากกันเลย เป็นความรักผูกพัน พระพุทธเจ้าว่ารัก1 ทุกข์1 รัก10 ทุกข์10 รัก100 ทุกข์100 ไม่รักเลยไม่ทุกข์เลย

 

เมื่อสามารถรู้เวทนา 108 แยกเป็น 18 เคหสิตเวทนา และเนกขัมสิตเวทนาออก นี่คือ ผู้ที่เข้าสู่ภูมิโลกุตระได้ ต้องรู้จักเวทนาในเวทนาดังกล่าวนี้ หากอ่านไม่ได้ก็ทำใจในใจ moral  doing ก็ทำไม่เป็น ทำในเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย เป็น conscious  subconscious และ unconscious  ตามลำดับ ฆ่ากิเลสได้อย่างถูกตัวตน ดับเชื้่อต้นตอ genesis killing เป็นการทำใจในใจ การมนสิการ อย่างโยนิโส ถ่องแท้ถึงตัวต้นตอยีนส์ของมันเลยเป็น DNA ใหม่ เป็น DNA อรหันต์ ของพระพุทธเจ้าเป็นวิทยาศาสตร์เช่นนี้

 

เวทนาที่แยกเป็น  18 เคหสิตเวทนา และเนกขัมสิตเวทนา ที่มีสุข ทุกข์ อุเบกขา ผ่านทวารทั้ง 6 นี่ก็จะชัดเจน ชัดแจ้ง ชัดจริง อ่านอาการ ลิงค นิมิต อุเทส ทำได้ทั้งหยาบ กลาง ละเอียดได้จริง ทำได้ตั้งมั่นเป็น สัมมาสมาธิ เป็นจิตที่แน่วแน่ แนบแน่น ปักมั่นเลย เป็นสัมมาสมาธิ เป็นความตั้งมั่นของจิตอย่างบริบูรณ์สูงสุด หากเราสามารถแยกแล้วทำได้    แยกเคหสิตเวทนา และเนกขัมสิตเวทนา แล้วทำให้เกิดฐานนิพพานเป็นอุเบกขาแบบเนกขัมมะ ที่ต่างจากอุเบกขาแบบเคหสิตะ ที่เฉยเด๋อ ดับไม่ได้ดับเหตุ ไปนั่งหลับตาดับเป็นเคหสิตอุเบกขาเวทนาทั้งนั้น เราต้องทำให้เกิดเป็นเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา ทำได้อย่างมั่นคงถาวรยั่งยืน ก็ทำเพื่อรักษาผล ที่เป็นภาวนาปธานแล้ว โดยทำซ้ำทำทวน อนุรักขณาปธาน ก็ได้ฐานนิพพานแข็งแรง เป็นคุณสมบัติอุเบกขาที่แข็งแรง ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสสรา สัมผัสสังขารใดๆจัดจ้านอย่างไร ก็ไม่หวั่นไหวแข็งแรง แม้จะสังขารเองปรุงเองก็ได้ เพื่ออนุโลม มีสัปปุริสธรรม จัดสรรได้อย่างเหมาะควร จัดสรร ความคิด คำพูด การกระทำ อาชีพได้อย่างสัมมา ก็ทำได้ทุกปัจจุบัน สั่งสมเป็นอดีต อนาคตก็สูญแน่นอนไม่เปลี่ยน

 

แม้ไม่มีโทมนัสแล้ว มีแต่โสมนัส ก็ไม่ให้ติด ให้เป็นแค่ผรณาปีติ พออาศัย ท่านจะรู้ว่าอาการอาศัย กับอาการยึดติด อาทานที่แปลว่าการยึด หรือการอาศัยต่างกันอย่างไร อาทานคือการยึดมั่นถือมั่น แต่ อาศยะคือใช้อาศัย ปัญญาปฏิภาณของผู้ปฏิบัติ จะรู้ว่ายึดอย่าง อาศัยไม่ได้ยึดอย่าง อาลัยหรือ อาทาน ที่ยึดมั่นถือมั่น เราจะรู้อาการจิตที่ยึดถือมั่นกับอาการที่ยึดไว้อาศัย จะเป็นปัญญาญาณที่รู้เลยว่าเราวางได้ จะปล่อยว่างได้มีญาณรู้อาการปล่อยวาง เกิดมุญจิตุกัมยตาญาณ โดยไม่ต้องไปกดไปข่ม แต่มีญาณปัญญารู้อย่างจริงยิ่ง

 

คนยึดอย่างโง่คือ อุปาทานแต่ถ้ายึดอย่างสมณะ คือยึดอย่างสมาทานนี่คือสัจจะที่เป็นเรื่องของจิตใจ ผู้ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าที่มีฐานอุเบกขา แล้วมีธาตุ 5 ของอุเบกขาคือ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสสรา

 

ที่อาตมาเทศน์ขึ้นต้นเรื่องความรัก นักบุญวาเลนไทน์ท่านก็มีความรักที่ไม่ใช่ตื้นๆนะ อย่างน้อยต้องมิติที่ 4 จนถึงมิติที่ 7 นะ ไม่ใช่ความรักแคบๆ ระหว่างมิตรหายหรือญาติ แต่เป็นความรักสากลจักรวาล ส่วนจิตท่านก็รู้แบบเทวนิยม ลักษณะเทวนิยมก็รู้จิตพอสมควร ก็มี psychoanalysis มีจิตวิเคราะห์ได้พอสมควร แต่ไม่ละเอียดไม่รู้จิตอย่างเป็นปรมัตถ์เข้าใจจิต เจตสิก ไม่เข้าใจสิ่งที่ถูกรู้อย่าง รูป 28 ตั้งแต่ดิน น้ำ ไฟ ลม จึงถึงรูป 28 เขาไม่ชัดเจน อ่านไม่ออก ของพุทธปฏิบัติรูป ไปจนถึงอากาศ จิตมันว่างจนถึง ปริเฉทรูป หรือปฏิบัติอาหาร 4 พระพุทธเจ้าสอนไว้ละเอียดหมด ก็เป็นคำสอนที่ครบครัน แต่ถ้าเรียนไม่ครบก็ปฏิบัติไม่ครบ แต่ถ้าเรียนจิตวิเคราะห์ของพระพุทธเจ้านี้ ก็จะได้

 

มิติที่ 8 ก็เป็นมิติที่เป็นอาริยะ เป็นอเทวนิยม Atheism  ไม่งมงายกับเทวะ แต่ไม่ปฏิเสธเทวะ เคหสิตะเป็นเทวะเก๊ แต่เนกขัมสิตะเป็นเทวดาจริง สมมุติเทพเป็นเทวดาสมมุติ ได้สุขในลาภ ยศ สรรเสริญ ได้บำเรอกามอัตตา ได้สุขชั่วคราว เหมือนพยับแดด ฟองคลื่น วับๆหาย แล้วก็สั่งสมเป็นอุปาทาน เป็นอนุสัย นานนับชาติวนเวียนอยู่อย่างนี้ พระพุทธเจ้าให้มาลดละพวกนี้

 

พอจับกิเลสได้แล้ว ลดได้ ก็เป็นเทวดาอุบัติเทพ ถ้าทำกิเลสลดได้เป็นเทวดาแท้ เป็นเทวดาอาริยะ เป็นการสูง เจริญขึ้นของจิตวิญญาณ แต่ถ้าหลงเสพสุขกับเทวดาเก๊ คือโลกีย์ ก็คือโง่ ไม่รู้จักกิเลสตัวการ แต่ถ้าจับตัวการได้ ทำให้มันลดละจางคลาย ก็เริ่มเกิดเป็นอุบัติเทพ ลดได้อย่างมีไฟฌาน มีไฟปัญญา ลดละกิเลส ไม่ต้องไปนั่งเข้าฌาน แต่อยู่ในชีวิตประจำวันได้ มีไฟฌานที่มีพลังทำลายไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะได้ คำว่า ฌานนี่แปลว่า ไฟ เป็นไฟกองใหญ่ ไฟวิเศษที่สู้ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะได้ พลังงานทางนามธรรมก็คือไฟ มีทั้งอกุศล และกุศล  

 

การทำฌานต้องเริ่มตั้งแต่ ถือศีล แล้วมีการสำรวมอินทรีย์ แล้วปฏิบัติลดละไปตามลำดับ ลดกิเลสได้ก็เป็นเทวดาอุบัติเทพ ลดได้หมดก็เป็นเทวดาวิสุทธิเทพ  แต่สมมุติเทพเป็นเทวดาเก๊ ซึ่งเทวดาเก๊ มี 6 ชั้น

เทวดา มี

1.จตุมหาราชิกา 2.ดาวดึงส์ 3.ยามา 4.ดุสิต 5.นิมานรดี 6.ปรินิมิตวสวตี

คือจิตนี่แหละ มันเป็น ผู้ไม่เข้าใจจะหลง

 

จตุมหาราชิกา คำว่า จตุ คือ สี่ทิศ เหนือใต้ออกตก ครบทุกทิศ เป็นผู้เก่งผู้ได้อำนาจ เป็นธรรมาธิปไตย เป็นอำนาจทางธรรม ไม่ใช่อำนาจทางโลก หรืออำนาจทางอัตตา พวกอัตตาธิปไตยคือ มุ่นแต่ในจิต ไม่เกี่ยวกับใคร ส่วนโลกาธิปไตยคือ ใช้อำนาจลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขมาเป็นอำนาจล่อให้คนหลง แต่อัตตาธิปไตย เอาแต่จิตตนทำฤทธิ์เดช หรือได้สงบนิ่งไม่เอาอะไร ไม่เอาเรื่องเอาราวกับใครเลย นี่คือเห็นแก่ตัวเต็มบ้องเลย

 

ส่วน อาริยะของพุทธจะต่างกับ อารยะกับ อริยะผู้ไม่รู้จะไปจมกับความเป็นจตุมหาราชแบบโลกๆ ทุกวันนี้เขาจะเป็นเจ้าโลกกันด้วยอารยธรรม แต่ละประเทศก็พยายามเป็นเจ้าแห่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ กาม อัตตา ควบคุมได้หมดเลยอยู่ใต้อำนาจฉัน ข้านี่แหละใหญ่ เป็นมหาพรหม เป็นเจ้าโลก เขาจะเอาเช่นนั้น จตุมหาราชิกาโลกีย์เป็นเช่นนั้น แต่ของพุทธเป็นธรรมาธิปไตย เป็นอำนาจทางธรรมของอาริยบุคคล รู้จักโลก รู้จักจิต รู้จัก objectiveคือ วัตถุวิสัย และ subjective คือจิตวิสัย รู้อย่างสภาวะจริงแยกออกด้วย ต้องยอมรับว่าต้องมีทั้งโลก และจิต ต้องมีทั้งวัตถุและจิต แล้วจะเป็นจตุมหาราชิกาด้วย เอาตั้งแต่อบาย ที่เราจะตัดขอบเขตปริเฉทของตน ปฏิบัติแค่นี้ เจียมตัวแค่นี้ ปฏิบัติทั้งโลกและอัตตาก็กำจัดอกุศลตั้งแต่อบาย ให้ได้ ก็เป็นตัวอย่างแก่เรา

 

ดาวดึงส์ คืออาการทางจิตเป็นอาการที่ 33 ที่ทำงานร่วมมาจากอาการ 32 ที่รวมกันเป็นคนนี่แหละ ตั้งแต่ผม ขน ฟัน เล็บ ผิวหนัง ...ไปจนถึงขี้อ่อนขี้แก่ ไส้ ฯลฯ... อาการสุขนี้ทางโลกก็มี แต่ทางธรรมก็มี ทางธรรมเป็นสุขเป็น เนกขัมสิตโสมนัสเวทนา แยกออกว่าต่างกันนะกับ เคหสิตโสมนัสเวทนา เราทำได้รู้เองเป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ รู้แทนกันไม่ได้ด้วย ช้อนนี้อยู่ในชามแจ่ว จะไปสัมผัสแกงอย่างกับช้อนในชามแกงไม่ได้ต้องมามีเหตุปัจจัยสัมผัสครบจึงรู้

 

ยามา คือเวลา ถ้าทำได้นานก็เป็นดาวดึงส์โลกีย์นานๆ รักษาอารมณ์นี้ไว้ ที่จริงไม่มีสัมผัสก็ไม่มีอารมณ์จริง แล้วแต่คุณสั่งสมไว้ จำได้เป็นอนุสัยอีก ของพระพุทธเจ้าให้ล้าง ไม่จำมันเลยได้ก็ดี อารมณ์โง่ๆ ยามาคือ ระยะของเวลา ถ้าทำได้นานก็เป็นเทวดานาน

 

ดุสิตา คือ แดนสงบแดนพัก เป็นแดนพักยก ไม่ได้ดีดดิ้นกับสุขทุกข์ เป็นโดยธรรมชาติ คุณก็อยู่ดุสิตได้ ดุสิตโลกีย์ก็พักโดยไม่รู้ตัว มันเมื่อยก็พัก แต่ดุสิตของโลกุตระคือ หยุดได้พักได้ เพราะดับเหตุได้ เป็นดุสิตที่แท้จริง ถ้าทำซ้ำทำทวนก็เป็น นิมานรดี ถ้าพักได้มากอย่างพุทธก็เป็นบารมี คนอื่นเห็นดีด้วยก็มาช่วยสร้างความสงบ เป็นปรินิมิตวสวตี เป็นหมู่กลุ่มที่สงบสุข มีลูกหลาน ลึกซึ้งจนมีพลังวิเศษคุ้มกัน เพราะได้สร้างอาริยสมบัติมา จนเป็นคุณรังสี มีหมู่พวกเป็นจักรวาลใหญ่ขึ้นๆ ที่มีพลังอำนาจ เรียกว่า ปรินิมิตวสวตี

 

มาดูคำแปลของท่านทั่วไปนะ

1.จาตุมหาราชิกา คำแปลของท่านอื่นๆ เรียก จาตุมหาราชิก ว่าเป็นสวรรค์ชั้นที่ท้าวมหาราช 4 ปกครอง

 

2.ดาวดึงส์ ท่านแปลว่า แดนแห่งเทพ 33 มีท้าวสันดุสิตเป็นใหญ่ ก็เป็นบุคลาธิษฐาน

 

3.ยามา คือแดนแห่งเทพผู้ปราศจากความทุกข์ ปราศจากความทุกข์แบบโลกีย์ก็ได้ แต่ถ้ายิ่งปราศจากทุกข์อย่างโลกุตระก็ได้

 

4.ดุสิต คือแดนแห่งเทพผู้เอิบอิ่มด้วยสิริสมบัติของตน ที่จริง สิตะแปลว่าเย็นนะ มันเป็นการเย็นการพัก ไม่เร่าร้อน

 

 5.นิมานรดี ท่านบอกว่าเป็นแดนแห่งเทพผู้ยินดีในการเนรมิต คือสร้าง ก็กลางๆเป็นชาวโลกก็ได้ มีแบบเลวด้วยก็ได้ แม้สร้างอย่างโกงด้วย ก็น่าหวั่นเกรงกลัวถูกจับได้ แต่ถ้าสร้างได้อย่างสุจริต ก็ยินดีอย่างไม่น่ากลัว

 

6.ปรินิมิตวสวตี แดนแห่งเทพที่ยังสมบัติให้เป็นไปอย่างผู้อื่นเนรมิตให้

 

ความหมายของท่านที่แปลมาก็ไม่ต่างกัน แต่อาตมาขยายให้ได้ทั้งโลกียะและโลกุตระ

 

ลักษณะโลกุตระคือ คุณธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว เอามาประกาศ แต่ทุกวันนี้โลกุตระเพี้ยนไปมากเหมือนกลองอานกะ ที่ไม่เหลือเนื้อกลองเดิมแล้ว อาตมานำธรรมะที่เป็นโลกุตระที่หายไป แล้วมาประกาศก็อยู่ได้เพราะว่า ธรรมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธัมโมหเว รักขติ ธัมมจาริง ไม่ได้มีอย่างอื่นมาช่วยเลย ไม่มีปริญญา ไม่มียศ ไม่มีลาภ ไม่มีตัวช่วยอื่นๆเลย นอกจากธรรมะแท้ๆที่พิสูจน์ยืนยันมา ...ฟังธรรมแล้วเอาไปทำ อย่าฟังธรรมแล้วเอาไปทิ้ง ปฏิบัติธรรมให้ได้ประโยชน์กันเทอญ...


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:33:36 )

580215

รายละเอียด

580215_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ พลวัตรของอธิปไตย 3 ของไทย

สฟ.ว่า...เมื่อวานนี้พ่อครูเทศน์เรื่องความรัก 10 มิติที่ สีมาอโศก วันนี้พ่อครูจะได้มานำเสนอประเด็นว่าเมืองไทยควรไปสู่ทิศทางไหนที่จะได้เป็นประเทศที่มีอธิปไตยของตนเองได้อย่างแท้จริง

 

พ่อครูว่า..วันนี้อาตมาตั้งใจมาอธิบายเรื่องอธิปไตยหรืออำนาจ

 

คำว่า อำนาจ หมายถึง แรง พลัง ทั้งของสสาร และ วิญญาณ มีพลัง มีแรงทั้งนั้น ในสสารต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์ศึกษามาก เพราะศึกษาง่าย จับต้องได้มีตัวตน ดิน น้ำ ไฟ ลมประกอบด้วย ก็เลยมีความรู้เรื่องนี้พอสมควร ส่วนพลังทางนามธรรม ที่เป็นพลังระดับ พีชะนิยาม ก็เป็นพลังงานแล้ว เป็นพลังงานที่ปรับตัวขึ้นมาเป็นชีวะ ส่วนพลังงานที่ไม่มีชีวะก็คือพลังงานอุตุ มากมาย ก็เอามาใช้ได้ แต่ไม่อยู่ในสภาพชีวะ

 

ระดับชีวะนั้นมีความยึดตัวตน เช่นพีชะก็มีความยึดตัวตน ปรุงแต่งให้มีความเป็นตัวเองได้ อย่างเช่นลูกยางหรือสตาร์แอปเปิ้ล มันก็รู้ว่าจะเอาธาตุอะไรมาใส่ตนเอง มีสัญญากำหนดรู้ กำหนดแม่นด้วยไม่ค่อยแปรปรวน ก็จะมีDNA หรือ Chromosome ของมัน ตระกูลมัน มันไม่มีความรู้สึก แต่ระดับ จิตนิยามนี่มีเวทนา ก็จะฉลาดได้ง่าย และโง่ได้ง่ายด้วย แต่ระดับพีชะนี่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงได้มากเหมือนจิตนิยาม พืชมีความเป็นตัวของตัวเอง แต่ยังไม่เรียกอัตตา มันอยู่ที่ไหนก็อยู่ตรงนั้น เคลื่อนไปที่ไหนไม่ค่อยเก่งเหมือนระดับจิตวิญญาณ ระดับจิตจะเคลื่อนได้เก่ง ระดับสัตว์เล็กๆน้อยๆก็เคลื่อนได้ช้า จิตระดับสูงขึ้นมาก็เคลื่อนที่ได้เร็ว แล้วจิตนิยามจะรู้เรื่องกรรม เรื่องธรรมะ ส่วนพีชะไม่ได้มีกรรมครอง

 

ระดับจิตวิญญาณจะต่างจากพีชะ ตรงที่พีชะไม่มีเวทนา ไม่มีสุขทุกข์ ชอบหรือชัง ก็ยังไม่ถึงขั้น

 

จิตนิยามระดับสูงจะรู้เรื่องกรรม แต่สัตว์เดรัจฉานไม่รู้จักกรรม เขาก็รู้ว่านี่ชอบ นี่ไม่ชอบ ผลัก ดูด เท่านี้ ก็รู้ได้เท่านี้ จนมาเป็นมนุษย์ พอเป็นมนุษย์นี่วิจิตรพิสดารหลากหลายกว่าสัตว์มากมาย แล้วมีสองนัย

เป็นมนุษย์แต่ไม่เชื่อกรรมวิบาก ที่เป็นพลังงานติดยึด รักผูกพันได้แรง พยาบาทได้แรงเช่นดัน มีดูดกับผลัก รักก็ดูดชังก็ผลัก สัตว์เดรัจฉานก็มีพยาบาทบ้างแล้ว รักก็มีแล้ว แต่มาเป็นคนจะแรง มันพยาบาท รัก ข้ามชาติ พลังงานเหล่านี้ติดยึดไปข้ามชาติ สัตว์เดรัจฉานมันทำแล้วเป็นกรรม แต่มันไม่รู้กรรม เป็นอเวไนยสัตว์ แม้เป็นคนแล้วก็ยังไม่เชื่อกรรมวิบาก แม้จะฉลาดโลกีย์มากแต่ไม่เชื่อกรรมวิบาก นี่คือฉลาดโลกียะแต่ไม่ฉลาดโลกุตระ

 

ระดับคนฉลาดมากในโลกีย์โลภ ใน ลาภ ยศ สรรเสริญ สะสมเป็นพลังงานยึดติด สั่งสมไว้ ฉลาดแต่โง่ไม่รู้จักรายละเอียดพวกนี้ คนพวกนี้เป็นภัยต่อโลกมาก

 

สายไม่รู้จักเรียนรู้จิตวิญญาณเลยคืออารยะ ทำลายได้มาก เขาไม่รู้ว่าทำเลวร้ายแล้วซ้อนจะกลับมาทำร้ายตนเอง เขาไม่รู้เรื่องหรอก พวกอารยะประเทศ สายโลกาธิปไตย เขาไม่รู้โลก แต่โลภในโลก จึงเป็นโลกาธิปไตยเต็มๆ รู้เรื่องจิตอย่างผิดเผิน ไม่มีจิตวิเคราะห์ psychoanalysis เป็นแต่ตรรกะ แต่หยั่งเข้าถึงเนื้อแท้ของจิต ไม่เข้าถึง genesis analysis เขาสามารถได้แต่ความหมายข้างนอก คือ moral คุณธรรม คือวัฒนธรรม moral doing แต่ไม่ลึกถึงจิตในจิตที่เรียกแยก spirit หรือ soul แต่ถ้าในระดับ mental คือจิตที่เขาสามารถยึดแต่เขาไม่มี analysis วิเคราะห์ไม่ออก นักวิทยาศาสตร์ทางจิตจะไม่เข้าถึง พระพุทธเจ้าศึกษาจิต เจตสิก รูป นิพพาน รู้ถึง genesis ถึง ระดับถึงที่เกิด

 

เรื่อง จิต วิญญาณ มโน เป็นตัว ต้น กลาง ปลาย

 

วิญญาณคือตัวต้น เรียกรวมเลย แล้วต้องเป็นปัจจุบัน มีตากระทบรูป หูกระทบเสียง มีดินน้ำไฟลม มีปสาทรูป โคจรรูป แล้วเรียนรู้สภาวะนั้นอ่านออกเรียนรู้ได้ เป็นนามธรรมแท้ๆ เมื่อปสาทรูปทำงาน โคจรรูปทำงานมีประสาททำงานมีวิญญาณเกิด เราก็เรียนรู้สิ่งที่ตามเข้ามาอยู่ในใจ สัมผัสแรกเรียกว่าวิญญาณ เรียนเข้าไปในจิตก็แตกจิตเป็น หลายอย่าง เจตสิกอีก 52 เป็นต้น ก่อนจะเป็นจิตในจิต ก็เกิดวิญญาณ แล้วมีเวทนา มีผลัก-ดูด ตามสัญชาติญาณก็เผลอว่าเป็นสุข แต่ทุกข์นั้นจริง มันมีเหตุให้ศึกษาได้ลึกเข้าไปในจิต ก็แตกเป็นจิต 89 ,จิต 121 ดวงอีก ก็มีแต่จิต เจตสิกที่วุ่นวายในนี้

 

ถ้าได้เรียนรู้จิตเจตสิก ที่ท่านได้รวบรวมเป็นจิต 89 ,จิต 121 ดวงเป็นดวงหรือไม่เป็นดวงเป็นลักษณะ แล้วแยกเป็นเจตสิก คืออาการของจิตอีกทีหนึ่ง เมื่อเรียนรู้เข้าไปงวดเข้าไปเรียนรู้ฆ่าจิตที่เป็นอกุศล ลึกเข้าไปในจิตจนเหลือท้ายสุดเป็นมโน เป็นตัวลึกสุด ญาณปัญญาเราจะเรียนรู้ได้

 

การทำใจในใจของพุทธ คือต้องล้างเหตุที่เห็นแก่ตัวได้ คือ selfishness doing ความเห็นแก่ตัวเป็นนามธรรม ท่านก็เรียนรู้ เห็นของจริง ทำกับลักษณะที่เห็นแก่ตัวนี้ออกไป เราจะรู้ว่าความเห็นแก่ตัวที่เราจะล้างออกก่อนได้คืออะไร แล้วค่อยล้างตัวหยาบก่อนตัวต้นก่อน เมื่อล้างได้เราก็จะล้างตัวที่เหลืออีก ล้างจนเหลือตัวพิษน้อยๆ จนเหลือแต่พิษน้อยมากเป็นพิษเฉพาะตนเอง ท่านก็ล้างอีก เพราะท่านรู้ว่ามันเป็นพิษภัยอีก ท่านก็ต้องรู้ว่ามันเป็นพิษภัยต่อตนเอง ท่านไม่โง่ที่จะเลี้ยงไว้ แม้จะเป็นความเห็นแก่ตัวที่เป็นพิษภัยต่อตนเอง ก็ล้างหมดก็เป็นอรหันต์

 

มาอ่านคอลัมน์ในไทยโพสต์ วันนี้มาอ่านให้ฟัง

 

คอลัมน์: ฅนปนข่าว: ขึ้นศาลฎีกาฯ อีกคน http://www.ryt9.com/s/tpd/2092313

 

นอกจาก "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อัยการสูงสุด (อสส.) สั่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว เครือญาติตระกูลชินวัตรและเป็นอดีตนายกฯ เหมือนกันอย่าง "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" กำลังจะตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันหลังจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สั่งฟ้องพร้อมกับ "พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ" อดีตรองนายกฯ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.อ.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ต่อศาลฎีกาฯ กรณีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธ มิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 400 ราย

 

อาตมาขอวิจัยหน่อยว่า...พล.อ.ชวลิต นั้น ที่จริงเคยเป็นนายกฯแล้ว ไม่สมควรจะไปเป็นรองนายกฯอีก แต่เพราะติดในลาภ ยศ สรรเสริญ จึงกลับมาเป็น แต่ถ้าจะบอกว่าเพื่อทำงานก็ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่ง ก็เป็นที่ปรึกษาก็ได้ นี่อาตมาหยิบมาขยายความเพิ่ม แล้วก็แพ้ภัยตนโดนฟ้องติดร่างแหไปอีก...

 

ล่าสุด "ธนฤกษ์ นิติเศรณี" ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เจ้าของสำนวน และผู้พิพากษาองค์คณะ รวม 9 คน มีคำสั่งประทับรับฟ้อง และมีคำสั่งนัดพิจารณาครั้งแรกเพื่อสอบคำให้การจำเลยทั้งสี่ ในวันที่ 11 พ.ค.นี้ เวลา 09.30 น.แล้ว

 

คดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ หน้ารัฐสภาเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 ซึ่งเป็นวันที่ "สมชาย" ต้องนำคณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภาก่อนบริหารประเทศ แต่มีเพียง ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลที่เข้ารับฟังเท่านั้น เพราะพรรคประชาธิปัตย์มีมาตรการคว่ำบาตรไม่ร่วมประชุม ปรากฏว่ากลุ่มพันธมิตรฯ ได้เข้าปิดล้อมรัฐสภาไว้จนไม่สามารถเดินทางออกมาได้ ยกเว้นเจ้าหน้าที่และสื่อมวลชน ทำให้นายสมชายพร้อมบุตรสาวต้องนั่งเฮลิ คอปเตอร์ตำรวจหนีออกมา และสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้แก๊ส น้ำตายิงใส่ผู้ชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก

 

ต่อมา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เข้ายื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.เพื่อให้ไต่สวนกรณีดังกล่าว และในเดือน ก.ย. ปี 2552 ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดอาญาแก่นายสมชาย และ พล.อ.ชวลิต ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ และชี้มูลความผิดอาญาและวินัยกับ พล.ต.อ.พัชรวาท และ พล.ต.อ.สุชาติ ก่อนจะส่งให้ อสส.สั่งฟ้อง แต่ อสส.เห็นว่ามีข้อไม่สมบูรณ์ จึงตั้งคณะทำงานร่วมระหว่าง ป.ป.ช.กับ อสส.ขึ้นมาพิจารณา กระทั่งกลางปี 2557 อสส.มีความเห็นไม่สั่งฟ้อง ทำให้ ป.ป.ช.ต้องดำเนินการฟ้องเองเมื่อต้นปี 2558

 

สำหรับ "สมชาย" เป็นอดีตนายกฯ คนที่ 26 ของประเทศไทย แต่ไม่เคยมีโอกาสได้เข้าทำงานในตึกไทยคู่ฟ้าเลยสักครั้ง เพราะถูกกลุ่มพันธมิตรฯ ปิดล็อกทำเนียบฯ เอาไว้ โดยเป็นสามีของ "เจ๊แดง" เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องเขยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ.

 

คอลัมน์ ถูกทุกข้อ ของ อัตถ์ อัตนัย ….มีคุณสิริวรรณ เขียนมาว่า...มหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก นอกจากแค่อำนาจในประเทศนะ แต่นี่ในโลกเลย อยู่ข้างหลังอสูรหน้าด้าน และขี้ข้า ในฐานะของการเป็นหนึ่งในมวลมหาประชาชน ที่ไม่ได้หนีหายไปไหน ทุกคนจ้องให้กำลังใจในการดำเนินการของรัฐบาล เพราะเป็นความหวังของประเทศ อย่างไรก็ดีการเปลี่ยนแปลงใดๆย่อมมีคนเสียประโยชน์และคนที่เสียประโยชน์คือคนที่อยู่ในกลุ่มอสูรหน้าด้าน ซึ่งได้เปิดเผยชัดเจน ซึ่งก็คือต้นตำรับความหน้าด้าน ความละเมิดสิทธิมนุษยชน ฯลฯ งานนี้เราได้เห็นสื่อมวลชนใหญ่ นักวิชาการใหญ่ เปิดหน้าออกมาชัดเจนว่า พวกเขารับใช้ทุนสามานย์ อาจเป็นถึงสายลับ นับว่าเป็นความน่าละอายของแวดวงวิชาการสื่อมวลชน ที่รับอามิสป่วนประเทศ ถึงชักศึกเข้าบ้าง

 

ดิฉันคิดว่าดีที่พญาอินทรีย์ส่งเจ้าหน้าที่การทูตมาดุ วีน ประเทศไทย เป็นหลักฐานว่า อสูรหน้าด้านและขี้ข้า นำประเทศไทยไปเร่ขาย พอเกิดเหตุการณ์ไม่ได้ดังหวัง พญาอินทรีย์จึงต้องแสดงอำนาจ ในเวลา 204 วันของมวลมหาประชาชน พลังอำนาจของพวกเราทำไมบรรลุผลยาก เพราะว่ามีเหตุต่างๆดึงกันอยู่ ก็เพราะพวกเราไม่ได้ต่อสู้กับอสูรหน้าด้านและขี้ข้าเท่านั้น แต่พวกเราเผชิญหน้ากับอสูรหน้าด้านระดับหนึ่งของโลกหลังไอแม้ว ดังนั้นสื่อขี้ข้า จึงให้ร้ายมวลมหาประชาชนมาโดยตลอด การที่เขาโกหก จนเชื่อในสิ่งที่เขาโกหก ทำให้เขาประเมินผิดพลาด พลังของมวลมหาประชาชนมีมหาศาล ทำให้เรารอดพ้นอุ้งมือซาตาน ประเทศอื่นจึงชื่นชมประเทศไทยที่กำลังก้าวออกจากอุ้งมือพญาอินทรีย์ได้อย่างสง่างาม ทำเอาสายลับและนักวิชาการใหญ่ที่เขาจ้างไว้ สื่อมวลชนใหญ่จึงรายงานผิด งานนี้คงโดน??? เพราะหน้าตาเครียดไม่กร่างเหมือนตอนอสูรครองเมือง เกมหมากล้อมของมหาอำนาจโลกคือต้องการเป็นเจ้ามือใหญ่ เขาเปิดศึกหลายด้านทั่วโลก

 

สำหรับประเทศไทย จากการแสดงออกอย่างไร้สามัญสำนึกของนักการเมือง ทูตของมหาอำนาจบอกว่าไทยต้องดำเนินการสร้างสรรประชาธิปไตยให้ได้เหมือนบรรพบุรุษ ให้เป็นแผ่นดินทอง สำหรับพญาอินทรีย์ที่ตอนนี้ปีกหัก ถังแตก แถมยังตาเป็นต้อหิน(ใกล้บอด) อีก คงดำเนินงานแบบมีสูตร แถมยังรู้ว่าสูตรนี้ใช้มา 70 ปีแล้ว ตัวแปรในสมการเปลี่ยน พลวัตรของโลกเปลี่ยนไปขนาด 360 องศา พญาอินทรีย์ปฏิบัติในท่าทีเดิม แต่ทำไมทุกประเทศเกลียดและกลัวแถมยังไปถือหางจีนอีก สงสัยโดยเซลล์แมนโกหกอีก ขอบอกว่า กราฟชีวิตของอสูร คงเป็นระฆังคว่ำ ลายเซ็นเตี้ยมีแหลมสองครั้งแล้วตวัดราบเตี้ย ทายได้ว่า เขากำลังเข้าสู่โหมดเตี้ยต่ำติดดินแล้ว ด้วยอัตราเร่ง หมดเวลาของเขาแล้ว อีกไม่นานก็คงล้มละลาย ถ้าท่านพญาอินทรีย์กลับท่าที คบกันอย่างมิตร เอาไว้คอยช่วยเหลือกัน คนไทยใจดี ยังไงก็ช่วยเหลือกันได้ เพราะยังไงคนไทยก็ยังชอบดูหนังฮอลลีวู้ด

 

คุณอัตถ์ ตอบว่า อเมริกาก็ยังเป็นมาเฟียเสมอ ล่าสุดจะเอากองกำลัง อาวุธไปสู่ตะวันออกกลาง ผมว่าอเมริกาจะเป็นผู้จุดสงครามโลกครั้งที่ 3 เป็นสงครามครูเสธ

 

มาอ่านอีกคอลัมน์  ท่านขุนน้อย ณ ลีลาแห่งบุปผากระบี่ หัวข้อ  ประชาธิปไตยในยุคใกล้สงครามโลก

http://www.thaipost.net/news/130215/102955

ริ่มต้นขึ้นแล้ว...การพบปะเจรจามาราธอนของผู้นำ 4 ฝ่าย ที่เรียกกันว่า Normandy Four อันประกอบไปด้วยคุณพี่ วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย คุณน้า ฟรังซัวส์ โอลลองด์ ผู้นำฝรั่งเศส คุณป้า อังเกลา แมร์เคิล ผู้นำเยอรมนี และคุณน้อง เปโตร โปโรเชนโก ผู้นำยูเครน ณ เมืองมินสก์ ประเทศเบลารุส ช่วงวันพุธที่ผ่านมานี้

                        -----------------------------------------------

    ผลของการเจรจาครั้งนี้จะมีข้อสรุป ข้อยุติ ออกมาในแบบไหน ประการใด จะออกไปในแนว สงคราม หรือ สันติภาพ มาถึงบัดนี้ คงได้แต่นั่งล้างหู เอียงหู รอฟังกันไปเรื่อยๆ แต่โดยสีสัน บรรยากาศ ทั้งก่อนหน้าการเจรจา หรือระหว่างการเจรจา คงปฏิเสธไม่ได้ว่า...ดูๆ จะหนักไปทาง มัน...เอา...เราแน่ หรือถ้าจะมีโอกาสไหลไปในทางสันติภาพขึ้นมามั่ง ก็อาจเป็นสันติภาพในแบบ การพักรบชั่วคราว เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสงครามที่มีขนาดใหญ่ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น...

                        ------------------------------------------------

    เรียกว่า...ตั้งแต่ก่อนหน้าตั้งโต๊ะเจรจากันแค่ไม่กี่ชั่วโมง ฝ่ายรัฐบาลยูเครนผู้นิยมตะวันตกกับฝ่ายกบฏยูเครนผู้นิยมรัสเซีย ต่างควักอาวุธออกมายิงกันสนั่นหวั่นไหว ตายไปรวดเดียวกว่าครึ่งร้อย ดังที่หน้าต่างประเทศ ไทยโพสต์ ได้เอามารายงานไว้เมื่อวันวาน จนทำให้คุณน้อง โปโรเชนโก ออกอาการควันหูออก ถึงกับคิดจะประกาศกฎอัยการศึกเลียนแบบ คุณลุงบิ๊กตู่ ของหมู่เฮา แถมยังประกาศว่าจะหอบเศษชิ้นส่วนจรวด BM-30 ที่ฝ่ายกบฏยิงใส่ใจกลางเมือง Kramatorsk ในแคว้น Donetsk ไปกองให้เห็นๆ กันในโต๊ะประชุม เพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันว่าอาวุธเช่นนี้ฝ่ายกบฏย่อมไม่มีปัญญาที่จะหามาใช้ได้โดยเด็ดขาด ถ้าหากรัฐบาลรัสเซียไม่ให้การสนับสนุน

                  -----------------------------------------------------

    หรือพูดง่ายๆ ว่า...เพื่อให้เกิด ความชอบธรรม ในการรองรับ การติดอาวุธร้ายแรง ของสหรัฐให้กับกองทัพยูเครน ตามแนวทางของรัฐบาล โอมาบ้า และบรรดานักการเมืองอเมริกันไม่ว่าจะเป็นพรรครีพับลิกันหรือดีโมแครต ที่ต่างก็กำลังออกอาการ บ้า ไปด้วยกันทั้งนั้น และนั่นน่าจะทำให้ความพยายามที่จะหาทางออกด้วยการเจรจา ไม่ใช่ด้วยการเพิ่มอาวุธเพื่อเอาไว้สู้กับอาวุธ หรือการหาข้อยุติด้วยกรรมวิธีทางทหาร ที่คุณน้า ฟรังซัวส์ โอลลองด์ และคุณป้า อังเกลา แมร์เคิล เคยนำเสนอเอาไว้ก่อนหน้านี้ อาจต้องออกไปทางแห้วกระป๋อง หรือไม่ก็ต้องหาสากกะเบือมาอมเอาไว้คนละด้าม สองด้าม...

                    --------------------------------------------------------

    คือคงต้องยอมรับว่า...บรรยากาศความเคลื่อนไหวทางทหาร ก่อนหน้าที่บรรดานอร์มังดีโฟร์ทั้งหลายจะร่วมนั่งโต๊ะเจรจาระหว่างกันและกันนั้น เป็นอะไรที่มาแรง แซงโค้ง เอามากๆ นอกเหนือไปจากการเคลื่อนเรือรบต้านขีปนาวุธและปราบเรือดำน้ำ USS Cole ของกองทัพสหรัฐเข้าไปในภูมิภาคทะเลดำเมื่อวันสองวันที่ผ่านมา ล่าสุด...กองทัพสหรัฐยังส่งเครื่องบินขับไล่ต่อต้านรถถังและยานเกราะ A-10 Thunderbolt 2 จำนวน 12 ลำ พร้อมนักบินอีก 300 นาย เข้าประจำการยังน่านฟ้ายุโรปตะวันออก แบบกระเหี้ยนกระหือรือเอามากๆ หรือแบบเป็นไปตามหลักคิดที่อดีตทูตอเมริกาประจำรัสเซีย นาย ไมเคิล แม็กฟอล ได้ออกมาแสดงความเชื่อส่วนตัวเอาไว้นั่นแหละว่า... “ความเคลื่อนไหวทางทหารในยูเครนของฝ่ายกบฏที่มีรัสเซียสนับสนุนนั้น มีแต่จะต้องถูกยกระดับยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ว่าอเมริกาจะส่งหรือไม่ส่งอาวุธร้ายแรงให้กับรัฐบาลยูเครนก็ตาม...”

                 -----------------------------------------------------

    ในเมื่อบรรดานักการเมืองในสหรัฐ หรือผู้นำสหรัฐ อยากจะเชื่อ หรือพยายามเกลี้ยกล่อมตัวเองให้เชื่อ ไปตามหลักคิดเช่นนี้ โดยไม่ได้คิดจะพลิกประวัติศาสตร์ความเป็นมาทางวัฒนธรรม เชื้อชาติ ภาษา ไปจนถึงอาณาเขตดินแดนที่มีความเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้งระหว่างยูเครนและรัสเซีย มาใช้เป็นองค์ประกอบเอาเลยแม้แต่น้อย โอกาสที่จะหาข้อสรุป ข้อยุติ เพื่อให้เกิดสันติภาพที่ยั่งยืน ถาวร ในยูเครนนั้น ย่อมยากซ์ซ์ซ์ที่จะเป็นไปได้ง่ายๆ ความเคลื่อนไหวทางการทหารของสหรัฐเพื่อสนับสนุนรัฐบาลยูเครนยิ่งเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ย่อมทำให้ความเคลื่อนไหวทางการทหารของรัสเซียเพื่อปกป้อง คุ้มครอง ฝ่ายกบฏยูเครน ยิ่งต้องเพิ่มขึ้นไปเท่านั้น เรือดำน้ำชั้น First Varshavyanka-class ของรัสเซียจึงถูกส่งเข้าไปในภูมิภาคทะเลดำมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และล่าสุด...การฝึกรบด้วยกระสุนจริงของกองทัพเรือรัสเซียในทะเลดำ ก็ได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันอังคารที่ผ่านมา ณ ภูมิภาค Crimea mountainous ส่งผลให้ทุกสิ่งทุกอย่างยิ่งน่าหวาดเสียว น่าไข่หด ตดหาย หนักขึ้นไปใหญ่...

                   ---------------------------------------------------------

    เอาเป็นว่า...สุดท้ายมันจะออกไปทางยิง-ไม่ยิง บุก-ไม่บุก ไม่บุก-ก็อย่าบุก ฯลฯ หรือไม่ ประการใด ก็แล้วแต่ โอกาสที่สันติภาพในแบบยั่งยืนและถาวร จะปรากฏขึ้นมาในภูมิภาคนี้ มันคงไม่ถึงกับง่ายซักเท่าไหร่นัก หรือพูดง่ายๆ ว่า...ตราบใดที่คุณพ่ออเมริกา ท่านยังไม่เลิกคิดที่จะดำรงตนเป็น ประมุขโลก ต้องการควบคุมโลกทั้งโลกให้ตกอยู่ภายใต้สภาพโลกที่มี มหาอำนาจเพียงขั้วเดียว บรรดาชาวบ้าน ชาวช่อง หรือประเทศต่างๆ ทั้งหลายที่ต้องการให้โลกทั้งโลกสามารถอยู่ร่วมกันโดยสันติ ภายใต้สภาพโลกที่มี หลายขั้วอำนาจ ย่อมไม่มีโอกาสที่จะอยู่กันแบบเบิร์ดๆ สบายๆ ได้โดยเด็ดขาด บรรดาสันติภาพในโลกใบนี้ ย่อมต้องเป็นไปในแบบที่ ท่านพุทธทาสภิกขุ เคยให้คำนิยามเอาไว้นั่นแหละว่า สันติภาพขณะเตรียมการรบใหญ่ หรือ สันติภาพในแบบที่ยิ่งยาวนานออกไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะมีการรบใหญ่ติดตามมาในภายหลังหนักขึ้นเท่านั้น...

                   -------------------------------------------------------

    การเตรียมตัวรับมือกับสันติภาพในลักษณะเช่นนี้ จึงหนีไม่พ้นที่จะต้องหันมายึด แนวทางแห่งธรรม เอาไว้ให้มากๆ เข้าไว้ ยิ่งประเทศเล็กๆ อย่างประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาทั้งหลาย การก้าวเดินไปตามแนวทางแห่ง ทศพิธราชธรรม ที่ถูกแสดงให้เห็นเป็นแบบอย่างโดยองค์พระมหากษัตริย์นั้น ยิ่งถือเป็น ความจำเป็น ที่มิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ คำว่า ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นั้น จึงมีความหมายลึกซึ้ง ยิ่งไปกว่าคำพูด คำจา ที่ถูกนำมาต่อท้ายเอาไว้เป็นสร้อยแต่เพียงเท่านั้น แต่ยังหมายรวมไปถึงประชาธิปไตยที่เป็นธรรม ที่มีคุณธรรม ศีลธรรม เป็นตัวกำกับเอาไว้อีกด้วย...อาตมาขอแถมว่า ต้องมีปรมัตถธรรมด้วยจึงพอ

                -----------------------------------------------------------

    ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้จาก Burke (อีกครั้ง)... “What is liberty without wisdom and without virtue? It is the greatest of all possible evils.- เสรีภาพที่ปราศจากปัญญาและคุณธรรม จะต่างอะไรไปจากความชั่วที่ร้ายกาจที่สุด...”.

พ่อครูว่า...เราก็จะได้รู้ทั้งแวดวงเมืองไทยและต่างชาติ เราก็ได้รู้ทั้งโลกและธรรม นี่เป็นเรื่องโลกธรรม ทั้งโลกทั้งอัตตา ก็เลยยิ่งเละ คนที่โง่ทั้งโลกและอัตตาเป็นเช่นนี้ ต้องมาดูบทความสุดท้ายนี้...คือโง่ทั้งโลกาธิปไตยและอัตตาธิปไตย...

 

เปลว สีเงิน "ธรรมกายกับมหาเถรสมาคม" http://www.thaipost.net/news/130215/102969

 

12 กุมภาพันธ์ 2558....................

    "..........ตอนนี้วัดพระธรรมกายกำลังจะคืนเงินที่ได้รับบริจาคจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน กว่า 700 ล้านบาท หลังจำนนต่อหลักฐาน เนื่องจาก ปปง.ตรวจสอบเส้นทางการเงิน และพบว่ามีการออกเช็คให้บริษัท ยูเนี่ยนอินเตอร์ประกันภัย จำกัด จำนวน 4 ฉบับ รวมเป็นเงินเกือบ 400 ล้านบาท สั่งจ่ายวัดพระธรรมกายจำนวน 15 ฉบับ รวมเป็นเงิน 714 ล้านบาท และ............"

    อืมมมมม...!

    ผมอ่านข่าวที่ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาฯ ปปง. แถลงผลตรวจสอบทรัพย์สิน "นายศุภชัย ศรีศุภอักษร" อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ที่ยักยอกเงินสหกรณ์ไปกว่า 12,402 ล้าน ด้วยความปลื้ม

    ปลื้ม "ธัมมชโย" ด้วย เมื่อถูกจับได้คาคอ เลยต้องขย้อนคายออก บอก ปปง....จะคืน 700 กว่าล้านนั้นให้นะจ๊ะ!

    คำว่า "คืน" แสดงถึงจงใจเอาของเขาไปแล้ว เมื่อถูกจับได้ ก็คืนของกลาง ลักษณะนี้ ทางกฎหมายบ้านเมืองกับกฎหมายสงฆ์คือพระวินัย "เหมือนกัน"

    ความผิดเกิดขึ้นแล้ว ถึงคืน "ทางกฎหมาย" ก็ติดคุก

    ทาง "พระวินัย" อาบัติขั้นปาราชิกแล้ว!

    เกิดจากท้องพ่อ-ท้องแม่ ไม่เคยเห็น "บุญเจ้าเล่ห์" อย่างนายศุภชัย นี่คือการยักยอกโดยสุจริตหรือไฉน ยักยอกได้มาแล้ว แบ่งปันถวายซาตานซุกศาสนาทีละร่วมพันล้าน?

    ต่อให้อมควายทั้งฝูงมาพูดก็ไม่เชื่อว่า....

    นี่ไม่ใช่การ "รู้เห็นเป็นใจ" โกงได้มาเท่าไหร่ ก็ใช้คำว่า "บุญ" ฟอกเงินโจร เป็นเงินพระ-เงินวัด?

    เมื่ออ่านข่าวขบวนการซาตานนี้แล้ว ก็อดนึกย้อนไปเมื่อปี พ.ศ.2549 ไม่ได้...!

     ในสมัยทักษิณ "ศิษย์เอกธรรมกาย" เป็นนายกฯ ตอนนั้น ด้วยคดียักยอกเงินวัดและทรัพย์สินวัดเกือบพันล้าน

    ขาข้างหนึ่งของธัมมชโยเข้าไปอยู่ในตะรางแล้ว เหลือสืบพยานแค่ 2 ปาก ศาลก็จะตัดสิน อีกทั้ง "สมเด็จพระญาณสังวร" มีพระลิขิตเป็นฉบับที่ 3 ชี้โทษทางวินัยธัมมชโยไว้ชัดแจ้งแล้วว่า..............

    “ไม่คิดให้มีโทษ เพราะคิดในแง่ยกประโยชน์ให้ ว่าในขั้นต้นอาจมิใช่มีเจตนาถือเอาสมบัติของวัดเป็นของตนจริงๆ แต่เมื่อถึงอย่างไรก็ไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัด ก็แสดงชัดแจ้งว่า ต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระ ปลอมเป็นพระ ด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสียให้เกิดแก่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา”

    นั่นคือ ทางพระวินัยอันเป็นกฎหมายสงฆ์ ธัมมชโยต้องโทษ "ปาราชิก" สิ้นสภาพความเป็นพระแล้ว ด้วยเอาทรัพย์ผู้อื่นเกิน 5 มาสก เท่ากับ 1 บาทขึ้นไป

    ดังนั้น ไม่ว่าศาลจะตัดสินแบบไหน หรือไม่ตัดสิน ในความเป็นพระสงฆ์ของ "ธัมมชโย" ถือว่าสิ้นสภาพแล้ว!

    ขณะนี้ ธัมมชโย ด้วยสถานภาพจริงทางพระพุทธศาสนา มีสถานะเป็นฆราวาส เป็น "นายไชยบูลย์ สิทธิผล"ไม่ใช่ "ธัมมชโย ภิกษุ" ดังปลอมแปลงเป็น

    สถานะขณะนี้ คือซาตาน ซ่อนตัวในคราบเสื้อคลุมเหลือง-หัวโล้น กัดเซาะ-ชอนไช "รากแก้ว-รากแก่น" พระพุทธศาสนา ด้วยบิดเบือนพระธรรมคำสั่งสอนพระพุทธองค์

    และทั้งรูปแบบ เช่นดัดแปลงผ้ากาสาวพัสตร์เป็นเสื้อแขนกระบอกย้อมเหลือง สงสัยนุ่งชั้นในด้วยซ้ำ มีวัตรปฏิบัติวิปริตผิดสงฆ์ เบื้องหน้า-และเบื้องหลัง "ซ่อนเล่ห์" ลึกลับ ยากหยั่งถึง!

    เอานรก-สวรรค์หลอกขายแลกเงินชาวบ้าน พฤติกรรมเชื่อมขบวนการคาบเกี่ยวกฎหมาย เป็นวิธีการของซาตาน กัดกร่อนหวังเปลี่ยนแก่นธรรมแห่งพุทธะ ไปเป็นลัทธินิกายใหม่เฉพาะตน

    คล้ายเมื่อครั้งพระบรมศาสดาเจ้าปรินิพพานแล้ว ซาตานนอกศาสนา ก็แปลกปลอมเข้ามาอาสัยคราบพระในพุทธศาสนาหากินบ้าง บิดเบือนคำสอนพระพุทธองค์ไปเป็นของตนบ้าง

    กระทั่งโค่นทำลาย ยึดศาสนวัตถุ "วัด-ที่ดิน" แล้วแปลงให้เพี้ยน-พิเรนทร์เป็นลัทธิ-นิกายของตนได้ในที่สุด!

    แต่ ถึง ณ วันนี้...........!

    ที่นายไชยบูลย์ยังอาศัยผ้าเหลืองคลุมร่างว่าเป็นพระสงฆ์ เป็นธัมมชโย "ลวงโลก" อยู่ได้

    นั่นเพราะด้วย "อภินิหารทักษิณ" เพราะสมัยนั้น ความเป็นนายกฯ ของทักษิณ มีอำนาจปานสยบฟ้า-สยบดิน ดังที่ทราบกันอยู่

    ก็ขนาดทำให้อัยการในยุค "นายพชร ยุติธรรมดำรง" ซึ่งเป็นโจทก์ ต้องขอถอนฟ้องคดีธัมมชโยต่อศาลได้นั่นแหละ

     สืบพยานไปแล้ว 7 ปี เหลืออีก 2 ปาก ก็จะตัดสินวันนี้-วันพรุ่ง ถึงวันที่ 21 สิงหา 49 จู่ๆ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5 ก็ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาล

     ".................ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 กับพวกได้มอบทรัพย์สินทั้งหมด ซึ่งมีทั้งที่ดินและเงินจำนวน 959,300,000 บาท คืนให้แก่วัดพระธรรมกาย การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1 กับพวก จึงเป็นการปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ครบถ้วนทุกประการแล้ว

    ............................ฯลฯ.......................

    อัยการสูงสุด (นายพชร ยุติธรรมดำรง) จึงมีคำสั่งให้ถอนคดีนี้ ดังนั้น โจทก์จึงขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้ทุกข้อกล่าวหา ขอศาลโปรดอนุญาต.....ฯลฯ"

    จำเลยที่ 1 คือ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือ พระไชยบูลย์ ธัมมชโย หรือ นายไชยบูลย์ สิทธิผล เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และนายถาวร พรหมถาวร ลูกศิษย์คนสนิท จำเลยที่ 2

    ครับ....รอยเกวียนย่อมทับรอยโค ฉันใด รอยตีนซาตานย่อมทับรอยตีนโจร ฉันนั้น 2 คดียักยอก มันบอกถึงรอยซ้ำรอย

    เอาบุญ-เอาสวรรค์ มาหลอกขาย...โยมจ๊ะ..โยมจ๋า หนึ่งเอ็ม-สองเอ็ม ตามภาษาของเขา เป็นการสะสมทุน ขยายแผนสู่เป้าหมาย ทั้งในและนอกประเทศ

    ฝ่ายซาตานเหลี่ยม มุ่งตีราชอาณาจักร หวังล้มสถาบัน เปลี่ยนระบอบเป็นแดงทั้งแผ่นดิน

    ฝ่ายซาตานเหลือง มุ่งตีพุทธจักร หวังล้มเถรวาทไทย ครอบงำ-ยึดวัดเปลี่ยนเป็นลัทธิแดงธรรมกายทั้งแผ่นดิน!

    ประเด็นที่สังคมตื่นรู้ ควรทำความเข้าใจให้ตรงจุด ในการบริหารทุกวันนี้ ประเทศไทยไม่ได้มี ครม.เดียว หากแต่มี 2 ครม. คือ

    ครม.รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ทำหน้าที่บริหารประเทศ

    และ ครม.มหาเถรสมาคม ทำหน้าที่บริหารคณะสงฆ์

    จะจัดระเบียบวัดธรรมกาย และซาตานที่ซ่อนอยู่ในร่างธัมมชโย ครม.พลเอกประยุทธ์ จัดการไม่ได้เต็มที่และโดยตรง

    ต้อง "ครม.มหาเถรสมาคม" ที่ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำภาษีเจริญ ในฐานะประธานกรรมการมหาเถรสมาคมเท่านั้น จะจัดระเบียบวัดธรรมกายได้

    และสั่งการให้ธัมมชโยมีสภาพเป็นไปตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช "สมเด็จพระญาณสังวร"

    คือ "จับธัมมชโยสึก" นั่นแหละ เปลื้องผ้าเหลืองออกไป ไม่ให้ซ่อนคราบนายไชยบูลย์ อยู่ในคราบพระ ซุกวัด ทำสังฆกรรมให้วิบัติอยู่อย่างนี้

    ก็มาถึงคำถามที่ทุกคนอยากถาม.............!

    "แล้วทำไมมหาเถรสมาคมปล่อยธัมมชโย-ธรรมกายให้เป็นอยู่ในสภาพทุกวันนี้ได้?"

    ผมจะไม่เฉลย อยากให้สภาพทุเรศเป็นตัวสะท้อนความ "เก้อยาก" เพียงอยากบอกว่า....รูปแบบที่ทางโลกทำนุบำรุงคนในศาสนาวันนี้ ทำนุบำรุงให้ "หนา"

    จึงหนักบ่า-หนักใจ กับทุกฝ่ายในสังคมชาติ!

    และในความเป็นมหาเถรสมาคม ผู้บริหารสงฆ์ทั้งประเทศในยุค "ทุนวัตถุ" วันนี้ สังคมชาวบ้าน "รู้เท่าที่เห็น" นั่นน่ะ...ดีแล้ว

    อย่าไปรู้ "ในสิ่งที่เป็น" เลย เชื่อผมเถอะ!

    ประเด็นธรรมกายนี้ ถ้ามหาเถรสมาคมเห็นแก่พระพุทธศาสนา "มากกว่า" เห็นแก่ธรรมกายผู้จะแปลง "มหานิกาย-ธรรมยุต" รวมไปเป็น "แดงธรรมกาย" ทั้งแผ่นดิน

    ขอพระเดชพระคุณเจ้า จงทำหน้าที่ "ครม.สงฆ์" ให้เป็นไปตามพระธรรม-วินัย กำจัดด้วงหนอนที่ชอนไชรากแก้ว-รากแก่นพระพุทธศาสนา ให้สมที่พุทธศาสนิกชนศรัทธา-ปสาทะ ด้วยเถิด

    ผมไม่อยากได้ยินใครพูดว่า "มหาเถรสมาคมเป็นใจ" หรือกระทั่งว่า "ธรรมกาย-ธัมมชโย เด็กสร้างของมหาเถรสมาคม"

    พอๆ กับที่ผมไม่อยากได้ยินคำนี้จากปากทักษิณ แต่ก็เคยได้ยินกะหู.....

    "ผมจะทำให้ธรรมกายเหมือนเมกกะ"!?.

 

พ่อครูว่า บทความนี้รวมทั้ง อัตตาธิปไตยและโลกาธิปไตย ที่คุณเปลว สีเงิน เอามาขยายความชัดเจน

 

คนที่เขานับถือกันว่า เป็นอาริยะก็เลยผนวกเอาความเจริญทางโลก เจริญทางกามคุณ โลกธรรม อัตตา เข้าไปด้วย ส่วนสายอริยะก็ทิ้งโลก ทิ้งกามคุณ พยายามลืม แต่ไม่ได้มีจิตวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง ได้ผิวเผิน แล้วเขาศึกษาจิต แบบดิ่งลึก แต่ไม่เข้าใจอัตตา อัตตาธิปไตยที่จะต้องศึกษาอย่างรู้เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายที่ให้ล้างตั้งแต่ตัวต้น ที่เป็น conscious แล้ว subconscious จะขึ้นมาให้ศึกษา แล้วก็unconscious ก็จะลอยขึ้นมาให้ศึกษา

 

ของพระพุทธเจ้าเป็น consciousness killing ฆ่าตัวเหตุในจิตสำนึก แล้วฆ่าจนถึง genesis ถึง DNA ตัวเหตุร้าย ไม่ใช่ฆ่าหมดนะ แจกออกมา แล้วฆ่ารากฐานที่ไม่ดีนี้ ก็เท่ากับ ฆ่า selfishness หรือความเห็นแก่ตัว

 

ความเห็นแก่ตัวคือจิต คือ gene ศึกษาแล้วเป็น genesis killing นี่คือของพระพุทธเจ้า

 

ส่วนสายอริยบุคคล แต่เดิมมันก็ดีใช้ศัพท์นี้เท่านั้น แต่ตอนนี้เพี้ยนไปเป็นกลองอานกะแล้ว จึงต้องใช้ อาริยะ ที่มีหลักฐานใช้ได้ แต่เดิมใช้อริยะ แต่ว่า ตอนนี้ไม่มีเนื้อแท้แล้ว ต้องมาใช้ ศรีอาริยเมตตรัย ที่เป็นเนื้อแท้ความเจริญในอนาคต พระศรีอาริย์ คือผู้เจริญผู้มีเนื้อแท้ศาสนาของพุทธอยู่ตลอดกาลนานก็คือพระศรีอาริย์ตราบเท่ากาลนาน พระโพธิสัตว์แท้ของพุทธเป็นพระศรีอาริย์หมด โพธิสัตว์โสดาบันก็เป็นพระศรีอาริย์องค์น้อย ...สูงขึ้ินไปเป็นลำดับ จนเป็นพระศรีอาริย์องค์เต็มองค์จริงที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไป

 

โลกทุกวันนี้เขาใช้อำนาจโลกและอัตตา เมื่ออวิชชาก็ทำโง่ๆ ไม่ได้เกลียดโกรธ ธรรมกายนะ แต่มาสายธรรมะด้วยกัน ทางโลกเขาไม่ได้อาศัยธรรมะ มาโลภนะ เขาอวิชชาไม่ได้ศึกษาธรรมะเขาก็ทำไป แต่นี่มาประกาศว่าตนศึกษาธรรมะแล้วเอาอวิชชาตนเองมาละเลงฉิบหายวายป่วง ทำให้ศาสนาเสียหายมันเลวร้ายหนักเกินไป ทำให้ศาสนาเสียประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ ทำลักษณะโลกๆนะเขาทำแล้วได้เปรียบ แต่ถ้าทำอย่างธรรมะจะเสียเปรียบ พวกอริยะปฏิบัติทางจิตนี้เสียเปรียบนะ น่านับถือกว่าไม่กวนโลก แต่นี่อารยะก็เลว แล้วอริยะก็ทำเลวอีก เอาของเขามาใช้ผิดๆ ทำเล่กล psychology ทางจิตวิทยาเลว ไปครอบงำคน ก็เลยได้ทั้งโลกาธิปไตย ได้อัตตาธิปไตยด้วย ผนวกกันแสดงอำนาจฤทธิ์แรง เขาได้เปรียบโลกๆนะแต่เขาได้เปรียบมาก อาตมาว่าสงสัยเทวทัตมาเกิดแล้วมาเพิ่มความเลวให้กับตนเพิ่มขึ้น รู้ทั้งรู้ว่าจิตตนเองเลวแล้วก็ทำผิดอีก ก็คือคนปาราชิก คนสมี คบกันไม่ได้เลย แล้วโกหกตนเองว่าถูกอีก รู้ว่าตนผิดตนชั่วแล้วก็ทำมาหลอกว่าตนดีอีก มันเลวจนไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว

 

พวกอารยะนี่รู้จักตนเองยาก อย่างที่อ่านบทความมาว่า โลกกำลังสร้างมหาอำนาจ สร้างความเป็นใหญ่เป็นพี่เบิ้มของโลก คนฉลาดแกมโกงจะเอาโลกกับอัตตามาผนวกกัน สมัยโบราณมีแต่ทางจิตก็หลอกกันไปได้ไม่มาก หรือแบบโลกก็แสดงอำนาจกันไปข้ามโลกก็ไม่ได้ แต่ปัจจุบันนี้เขาล่ากันข้ามโลกเลย ถ้าคุณได้เป็นนายกฯ ปธน. หรือพระเจ้าแผ่นดิน คุณก็ได้เสพอารมณ์เป็นพรหมว่ตนนี้ใหญ่ เป็นนามธรรมแค่นั้น แต่ได้สร้างวิบากไปทำร้ายคนอื่น บังคับข่มขี่คนอื่นได้วิบากมากเลย เพียงแค่ได้เสพอารมณ์ที่ว่าตนใหญ่แค่นี้แต่ได้วิบากบาปมหาศาลเลย อย่าทำเลย เพราะไม่เชื่อกรรมวิบากจึงเป็นเวรานุเวรกันไปไม่จบสิ้น เพราะไม่รู้จักผลวิบาก จึงไปใช้ทั้งอำนาจโลกและอำนาจสรรเสริญ อำนาจหลอกว่าเป็นสุข แต่สุขเท็จ เอาทั้งอัตตาและจิตมาผนวกกัน พวกอารยะไม่รู้จักจิตลึกมากแต่พวกโลกทางจิต ใช้คราบนักปฏิบัติธรรมลวงโลกแล้วเอาโลกธรรมมาผนวกอีก ได้มหาศาล เขาเป็นนักหลอก อย่างธรรมกายนี่อาตมาก็คานกันอยู่ อย่างออกโศลกว่า “วัฒนธรรมบุญนิยมนั้น ต้องไม่ใช่บุญเป็นวิมานหลอกคน” เป็นวิมานคือสิ่งที่สร้างภพชาติหลอกคนที่ไม่รู้มาเยอะแยะ

 

บุญไม่ใช่วิมานไม่ใช่กุศลแต่บุญคืออาวุธสำหรับปหานกิเลส แต่เขาทำผิดหมดเลย เอาจิตและโลกมาผนวกกันก็เลยมีพลังสูง หนักหน้าใหญ่เลย แล้วส่งลิ่วล้อออกตีข้างนอกตนเองก็ตีอยู่ข้างในเป็นเครือแหโยงใยกันอยู่นี่ สังคมไทยกำลังอยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อดีมากเลย ต้องตัดไฟแต่ต้นลม อย่าอ่อนแอ อย่าไปหลงแต่เรื่องเยื่อใยอะไรแต่ว่ามันต้องทำตามกาละ ที่ฝากไว้คือคำว่า พลวัตร คือการเปลี่ยนแปลง 360 องศาของยุคสมัย

 

คำว่าพลวัตรของยุคสมัย พลวัตรคือค่านิยมของแต่ละยุคต่างกัน คนละกาละ คนละบริบท กาละนี้ค่านิยมมันมีเหตุปัจจัยเยอะมีทั้งวัตถุ ยุคพระพุทธเจ้าไม่มีไอแพด ที่ไม่ต้องไปสร้างจิต เป็นวัตถุที่ใช้กันได้ทั่ว ยุคโน้นไม่มี แล้วจิตที่หลงติดลาภ ยศ ยิ่งใหญ่จัดจ้านยุคโน้นไม่เท่ายุคนี้ แล้ววัตถุที่เขาสร้างมาหลอกก็ไม่เท่ายุคนี้ด้วย แม้แต่ไม่มีมันก็สร้างเป็นตัวเป็นตนหลอกกันหนาแน่นเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ค่านิยมมันคนละอย่าง เราต้องเอาปัจจุบันเป็นตัวตั้ง ต้องรู้ กาย รู้พลังงานสสาร ที่รวมกันอยู่ สัตบุรุษจะทำงานต้องรู้องค์ประกอบ กาละนี้ผีร้ายมันร้ายยิ่งกว่าพญาจักรี เช่นพระยาจักรีต้องประหารชีวิตฉันใด ยุคนี้ต้องใช้อย่างนั้น ยุคนี้เลยไปกว่าพระยาจักรีอีก หนาหนักกว่าพระยาจักรีอีก ไม่ได้โกรธเกลียดนะ แต่ว่าถ้าปล่อยให้เขาทำบาปต่อไปจะมากมายเลย เพราะสัมประสิทธิ์ตัวต้นมันสูงเลย แล้วมีอะไรมาบวกอีกนิดหน่อยก็จะทำให้เกิดผลได้สูงมาก ตอนนี้ศัตรูใช้พลังยกกำลังนะ ไม่ใช่แค่พลังคูณ ค่าสัมประสิทธิ์จะมีมหาศาล ปล่อยไม่ได้ ต้องรู้กาละ และสัปปุริสธรรม 7 อย่าคิดว่าจะเอาเชื้อร้ายนี้ไว้เป็นวัคซีนนะ ไวรัสตัวนี้เลวร้ายมากเลยต้องกำจัดให้หมดเลยนะ

 

สรุปว่า อาริยบุคคลจึงเข้าใจทั้งโลกและอัตตา ไม่ให้อำนาจทางโลกและอัตตามาครอบงำ นี่คือธรรมาธิปไตย

 

ส่วนโลกาธิปไตยใช้ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข และโลกธรรม

ส่วนอริยะเขาก็แยกออกไปสร้างภพอัตตาใหญ่ มีอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ แต่ไม่มีอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์

 

แต่อวิชชาสมัยนี้เอาทั้งอัตตาธิปไตยและโลกาธิปไตยมาผนวกกัน ก็เลยเลวร้ายมาก ธรรมใดวินัยใดเป็นไปเพื่อความมักมาก ธรรมนั้นวินัยนั้นไม่ใช่ของเราตถาคต ธรรมใดวินัยใดเป็นไปเพื่อความมักน้อย ธรรมนั้นวินัยนั้นเป็นของเราตถาคต แล้วอย่างที่เขาทำมันทำใหญ่โตมากเลย แต่ในหลวงให้เราทำอย่างแบบคนจนมักน้อยช่วยเหลือกัน อย่างนี้เราควรทำ

 

ขอบคุณบทความในไทยโพสต์ ที่ได้ใช้เป็นตัวอย่าง....


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:34:38 )

580216

รายละเอียด

580216_พระนิสิต มจร.( มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย) มาเยือนราชธานีอโศก

คณาจารย์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขต จ.อุบลราชธานี คณะพุทธศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาศาสนาและปรัชญา เอกศาสนา นำโดย พระอาจารย์ ดร.ปัญญา เขมวีโร พร้อมพระนิสิต ร่วมกว่า 67 รูป มาเยือน ราชธานีอโศก พร้อมสนทนากับพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ เมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 09.30 น.

 

คุณดินดอนขึ้นต้นแนะนำว่า ราชธานีอโศกเป็นชุมชนที่จนเป็นอันดับ 5 ในจ.อุบลฯ

คำว่าจน คำนี้เป็นความลึกซึ้งซับซ้อนมาก คำว่าจนคำนี้ไม่ได้หมายถึงจนแบบสิ้นไร้ไม้ตอก ขี้เกียจ ไร้สามารถ สุรุ่ยสุร่าย ทำผิดพลาด แล้วเป็นคนจน ถ้าเผื่อว่า คนที่มีความรู้มีความสามารถ ขยันหมั่นเพียร ขยันแล้วไม่เก็บไม่สะสม อปจยะ ตามคำสอนพระพุทธเจ้า มีการเกื้อกูลสงเคราะห์สังคหะ ออกไปช่วยผู้อื่นจริงๆ ตนเองเป็นคนไม่สะสมแล้วมีเพียงพอกินใช้สอย แล้วมั่นใจใน ความรู้ความสามารถของตนกับความขยัน เป็นทรัพย์อย่างยิ่งในตนที่โจรมาปล้นไม่ได้ แล้วทำงานทุกวันก็พึ่งกินใช้ในแรงงานของตนทุกวัน อาจมีสะสมเป็นรองรังเผื่อป่วยเจ็บเล็กๆน้อยๆไม่ติดใจสะสมมาก ยิ่งอย่างชุมชนชาวอโศกทุกแห่งปฏิบัติตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า คือ ลาภธัมมิกา มีลาภโดยธรรมก็เอามารวมเป็นสาธารณโภคี ก็ยืนยันชัดเจนว่า การมีสาธารณโภคี มีของส่วนกลางแบ่งกินแบ่งใช้กับของกองกลาง สาธารณโภคี ก็ไม่ต้องสะสมเงินทองทรัพศฤงคารของตนเองเลย เป็นอนาคาริกชน เป็นคนจนอันดับหนึ่งของโลกเลย หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านคนจนอันดับหนึ่งของโลกเลย

 

คือทุกคนที่มานี่เป็นคนกล้าจน อัปปิจฉะ ผมแปลเช่นนี้ ไม่กลัวตายไม่กลัวอด เรามั่นใจในความรู้ความสามารถและความขยันอันเป็นทรัพย์ของเรา ก็อยู่ได้ อาจบกพร่องป่วยเจ็บบางครั้งก็พึ่งพาสาธารณโภคีพึ่งแก่ เจ็บตายกันได้ เป็นชุมชนที่มีคนจนมาก หรือมีคนจนทั้งสิ้น อาจมีทรัพย์สินส่วนตนพออาศัย ไม่ได้ติดยึด จริงๆแล้วเอาทรัพย์มารวมกับของกลาง แล้วกองกลางก็ไม่สะสม สะพัดไปสู่สังคมอีก มีวรรณะ 9.....

1.    เลี้ยงง่าย  (สุภระ)

2.   บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)

3.   มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) . . 

4.    ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)

5.    ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)

6.    เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)

7.   มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) 

8.   ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 

9.   ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)

 

จึงเป็นสังคมที่ปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธเจ้า ที่มีผลสำเร็จจริง พระพุทธเจ้าตรัสว่าในสาราณียธรรม 6 นี่ มีเมตตา กายกรรมวจีกรรมมโนกรรมแล้วมีลาภโดยธรรมเอามารวมกันเป็นสาธารณโภคี แล้วมีศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา 6 หลักนี้เป็นธรรมะที่ยืนยันได้ในสังคมที่มี มโนบุพพัง คมาธัมมา มีจิตที่มีคุณธรรมตามพุทธพจน์ 7 ….

1.    สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)

2.   ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) .

3.   ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)

4.    สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) . . .

5.    อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) .

6.    สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) .

7.   เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)

ไม่ใช่ว่า ปฏิบัติธรรมนั้นไม่ต้องคิดถึงใคร ไม่เกี่ยวกับใคร ไม่ใช่เลย แต่ว่าธรรมะพระพุทธเจ้ามีต้น กลาง ปลาย มีความลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเลย ไม่ใช่ไปนั่งปฏิบัติหลับตาแบบทฤษฎีโบราณ ไม่ได้มีมรรคผลของพุทธเลย ธรรมะที่ทำแล้วจึงไม่เกิดผลตามที่พระพุทธเจ้าสอน กลายเป็นเรื่องออกนอกรีตนอกทางเหมือนกลองอานกะที่เนื้อแท้นั้นถูกปฏิรูปไปหมดแล้ว มีแต่ชื่อพุทธ แต่เนื้อแท้ไม่ได้เป็นพุทธเลย ให้ตรวจสอบตามคำสอนพระพุทธเจ้าก็ไม่ลงตัว

 

ผมพาทำมานี่ ตรวจสอบก็ตรงตามพระพุทธเจ้าสอน ที่มาทำแบบคนจนนี่ ในหลวงท่านก็ให้หลักไว้ ว่าให้ทำแบบคนจน ในหลวงเรานี่มีพระราชปรีชาญาณระดับพระโพธิสัตว์ มีพลังอำนาจโดยธรรม ไม่เป็นโลกาธิปไตยหรืออัตตาธิปไตย แต่เป็นธรรมาธิปไตย พวกเราก็ทำได้ก็เอามาเผยแพร่ประกาศออกไป ก็ได้มีคนเข้าใจ คนรู้สึกว่า มันใช่ มันถูกต้องก็มีอยู่ก็ได้เท่าที่ได้ คือศาสนาพระพุทธเจ้าไม่ใช้วิธีการโฆษณาหลอกลวงอย่างโลกเขาทำ แต่มีอะไรก็แสดงให้เขารับรู้ ให้เขาใช้ปัญญาตัดสินเอง เป็นอิสรเสรีภาพ

 

นอกจากสิ่งที่ไม่ดีก็ต้องข่ม นิคคัณเห นิคคหารหัง สิ่งดีก็ควรยก ปัคคัณเห ปัคคหารหัง ซึ่งความไม่ดีนี่ต้องรีบบอกรีบเตือนให้สติกัน แต่พูดสิ่งไม่ดีก็กระทบเขา เขาก็โกรธ ที่โกรธเพราะตนเองมีความไม่ถูกต้องในตน ก็เลยยึดตัวตนมีอัตตามานะ โกรธไม่ชอบใจแล้วตนเองก็อวิชชาด้วย คนเขามาว่าเราไม่ดีแล้วเราก็ไม่ดีจริงๆด้วย ก็จะไปโกรธเขาได้อย่างไร ตนเองควรจะขอบคุณเขาด้วยซ้ำ แต่เขาไม่มีความรู้เช่นนี้ก็เป็นธรรมดา

 

ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะขัดเกลาใจ ปฏิโสตัง ไม่ได้บำเรอกิเลส เป็นเช่นนั้น จริง ผู้ที่ตำหนิให้ผู้อื่นดื่มได้จึงเป็นปิยวาจา เพราะเก่งที่สามารถตำหนิให้คนอื่นดื่มได้ ต้องมีศิลปะที่จะตำหนิ ผู้สามารถเช่นนั้นถือว่ามีปิยวาจา ทำคำพูดคำสอนให้คนอื่นฟังแล้วเขาชอบใจ เกิดรักด้วยซ้ำไป ผู้นั้นจึงเป็นผู้ธัมมกถึก เป็นผู้เผยแพร่ธรรม ประกาศธรรมเป็นพระธัมกถึกที่ดี

 

เวลาอันจำกัดก็คิดว่า ผมได้พูดเป้าหลักเนื้อแท้ของศาสนาพุทธ จุดนี้มีก็ได้พูดไป ไม่ได้มีเวลาพูดในภาคปรมัตถ์ ถ้าท่านมีอะไรที่จะซักถามเท่าที่มีเวลาก็เชิญ

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็นหรือคำถาม?

_เคยพบพ่อท่านครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 เคยไปพบครั้งแรกที่คลองกุ่ม ไปกับท่านอ.ธรรมชาติ ท่านเป็นผู้พาอาตมาบวช ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ก็ยังเหมือนเก่า ไม่ดูแก่เลย … อาตมามาอยู่อีสาน ปีนี้ปีที่ 25 บวชมา 30 ปี ที่พ่อท่านกล่าวถึงหลักสาธารณโภคี ถ้าใครนำไปปฏิบัติจะทำให้สังคมอยู่เย็นเป็นสุข อยากทราบว่าพ่อท่านจะมีนโยบายอย่างไรที่จะให้หลักนี้แพร่ขยายให้มีผลสำเร็จที่สุด?

ตอบ...ถามสิ่งที่ผมเองก็ได้ทำตามที่ท่านว่าอยู่ คือพยายามเผยแพร่บอกกล่าวให้ได้มากได้เร็ว มีมโนสัญเจตนาเช่นนี้ ให้ได้ดีถูกต้องตรง ก็ทำสุดที่ไม่ได้ออมมือ ก็ตอบได้ว่าทำอย่างที่ผมพาทำมาตลอดคือความสามารถทำเต็มที่แล้ว ทำตามหลักมหาปเทส 4 สัปปุริสธรรม 7 เท่าที่เราจะไปร่วมกับสังคมได้ ทำตัวของเราทำคุณอันสมควรแก่ตนก่อน จึงไม่มัวหมอง เราก็ประมาณ มัตตัญญุตา ตามที่เราจะทำได้ ผมทำมา 40 ย่างเข้า 50 ปีแล้วก็เห็นผลตามลำดับ ถามว่าทำอย่างไรก็ทำอย่างใช้ สัปปุริสธรรม 7 กับมหาปเทส 4

 

_พ่อท่านได้นำหลักธรรม อปจยะ และวิริยารัมภะ ในการขับเคลื่อนองค์กรให้สำเร็จ สองหลักนี้ พ่อท่านอธิบายต่อ

ตอบ..คำว่า อปจยะ และวิริยรัมภะ คนเราหากมีความขยันหมั่นเพียรก็สร้างสรรไปได้ มีอยู่มีกินเหลือกินได้ คนขอทานมีเด็กเขาถามผมว่าทำไมเขาขอทาน ผมก็ตอบเปรี้ยงให้ว่าที่เขาต้องขอทานเพราะขี้เกียจ แม้คนพิการเหลือเท้านิดเดียวเขาก็ทำอยู่ทำกินสร้างสรรได้ คนเป็นอัมพฤกติ์เขาก็ยังพยายามก็เหลือกินเหลือใช้ แค่คนขี้เกียจอย่างเดียวนี่แหละก็เลยไปขอทาน แม้ร่างกายครบ 32 ก็ไปขอทาน ดีไม่ดีมันไปปล้นจีด้วยเลวกว่าขอทาน หากเรารู้จักเพียรจะรู้สัมมา กัมมันตะ อาชีวะ หรือสัมมาวาจา เราก็เลิกละ มิจฉาอาชีวะ 5 ปฏิบัติเลิก กุหนา ลปนา เนมิตกตา จนสูงขึ้นเรื่อยๆ เราก็ลดละกินน้อยใช้น้อย มักน้อยกล้าจนเพิ่มขึ้น ใช้ให้น้อยทำให้มาก ไม่สะสม เป็นสาธารณโภคี จึงเข้าหลักคนจนมหัศจรรย์ เป็นการพิสูจน์ยืนยันว่า สังคมเราเป็นสังคมคนจน แต่เขาก็มาเห็นว่ามีอะไรใหญ่โตมากมายเกินกว่าเขา ทั้งที่สร้างหมู่บ้านมาไม่นานกว่าเขา เป็นเรื่องยืนยันว่าของส่วนกลางมีมาก แต่ของส่วนตัวเขามีไม่มาก ผมเคยบอกว่าหมู่บ้านเราหมู่บ้านคนจน หมู่บ้านคุณเป็นหมู่บ้านคนรวย เขาก็ไม่เชื่อ ผมก็ว่า เอาอย่างนี้เลย ควักเงินหรือทรัพย์สมบัติออกมาจากตัวเลยแต่ละคน ของเรามีน้อยกว่าพวกคุณแน่ อันนี้คือสัจจะของคนที่ได้ฝึกฝนตามพระพุทธเจ้าสอนจะเป็นคนจนได้จริง ไม่สะสม ทำมากเหลือเผื่อแผ่สังคม

 

_พ่อท่านตั้งหมู่บ้านราชธานีอโศก มีวัตถุประสงค์และเป้าหมายอย่างไร?

ตอบ...คือ ผมรู้เท่าที่รู้ตามภูมิว่า คนมันต้องอยู่กันเป็นโขลง ต้องอยู่ร่วมกัน และก็รู้ว่าศาสนาพุทธไม่ได้มีความรู้อะไรเก่งเท่ากับรู้เรื่องมนุษย์กับสังคม พระพุทธเจ้าท่านศึกษาอื่นๆแต่ท่านเห็นความสำคัญว่าในชีวิตของท่านจะทำงานอย่างเดียวคือสอนมนุษย์กับสร้างสังคม ท่านทิ้งความสามารถอื่นๆท่านมาเอางานสร้างมนุษย์เป็นคนดีแล้วมาเป็นสังคมดีรวมกันอยู่ ท่านเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปลายในภัทรกัปป์จึงแสดงอย่างหมดเนื้อหมดตัวให้เป็นความมักน้อยสันโดษอย่างชัดเจนที่สุด ผมเองก็เข้าใจความหมายของท่านที่ทำ ผมก็จึงทำเหมือนอย่างท่าน ผมเห็นว่ายุคนี้เป็นยุคปัญญาชนแสวงหาได้มาก เป็นยุคที่ไม่มีอะไรปิดกั้น การสื่อสาร คมนาคม สะดวกมาก ต่อไปจะเปิดหมดทั้งโลก การเปิดหมดนี่เป็นปัญญาของมนุษย์โลกยุคนี้ที่เห็นว่าทุกคนต้องเผื่อแผ่เกื้อกูลช่วยเหลือกัน เขาเห็นจริงเลย เขาเข้าใจแล้ว ลึกๆเขายังทำไม่ได้ไม่รู้ละเอียด แต่เขารู้แล้วว่าต้องการเช่นนี้ ผมเองก็ไม่เจตนาทีเดียวว่าสังคมต้องกลายเป็นสาธารณโภคีเช่นนี้ มาสร้างราชธานีอโศกมีคนบริจาคที่ให้ ผมก็ทำ มีคนบริจาคเนื้อที่ให้ก็ทำเป็นหมู่บ้านชุมชนก็ทำ ที่จริงเรามีหมู่บ้านแรกที่ปฐมอโศกที่เป็นชุมชนสาธารณโภคีชุมชนแรกแล้ว เราได้ฝึกฝนมา แล้วทำอีกหลายชุมชน ทุกชุมชนเป็นสาธารณโภคีเอง ตามจิตที่เป็นประธาน ทุกชุมชน

 

มาอยู่ที่ราชธานีอโศกตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นสาธารณโภคี ก็ให้จองที่อยู่ ทุกคนก็ตั้งหลักมาว่าเราจะไม่โลภมากไม่เอาเปรียบเราจะมาทำสัมมาอาชีวะ กัมมันตะ อย่างที่พระพุทธเจ้าพาทำ แล้วแต่ละคนที่มาก็จะทำงาน ทำน้ำดื่ม ทำโรงเห็ด ทำงานของแต่ละคนที่มีแนวคิด อยู่อย่างมีศีลมีธรรม เป็นชุมชนศีล 5 ไม่มีอบายมุข แต่พอทำไปทำมาไม่ได้เลย ต้องมาเป็นสาธารณโภคี ทำอะไรขายก็ไปไม่ค่อยได้ แต่สรุปแล้ว จิตมันเป็นสาธารณโภคีด้วย เหตุปัจจัยไม่เอื้อด้วย สุดท้ายต้องมาเป็นสาธารณโภคี

 

สาธารณโภคีในยุคพระพุทธเจ้าทำได้แต่ในวงการสงฆ์ เพราะเป็นยุคทาส เป็นสมบูรณายาสิทธิราช ทำให้ในวงฆราวาสทำไม่ได้ แต่ในยุคนี้เป็นยุคอิสรเสรีภาพ ทำได้ในวงการฆราวาสได้ด้วย

 

_ท่านพระสิทธิศักดิ์ บอกว่า ระบบการปกครองที่นี่ ทางการเมืองเป็นอย่างไร และการเลือกตั้งสมาชิกสภาที่นี่มีส่วนร่วมไหม?

ตอบ...การปกครอง นี่พระพุทธเจ้าก็เป็นผู้ปกครองบริหาร คำว่าปกครองบริหารคืองานการเมือง ศาสนาพุทธไม่ได้แยกการเมืองออกจากศาสนาเลย แต่ว่าเพราะเล่กลของนักการเมืองที่ได้แยกศาสนาออกจากการเมือง เขาจะได้ทำชั่วได้ง่าย แล้วทางศาสนาธรรมะก็จำนนด้วยว่าจะไม่เข้าไปร่วมการเมือง การเมืองก็เลยทำอกุศลทุจริตได้เต็มที่เลย นี่คือนักการศาสนาถูกนักการเมืองหลอก

 

งานการเมืองก็คืองานทำเพื่อบ้านเพื่อเมืองเพื่อปชช.อะไรที่เหมาะสมจะไปร่วมก็ไป อะไรไม่สมควรก็ไม่ไปร่วม

 

_ตลาดอาริยะ ความหมายและหลักการปฏิบัติ

ตอบ...ของเราใช้คำว่า อาริยะ คำนี้มาจากคำของพระศรีอาริยเมตตรัยที่เป็นตำแหน่งของพระพุทธเจ้าองค์ถัดไป เป็นชื่อตำแหน่ง จะมีอยู่ตลอดกาลนาน จะเป็นชื่อพระพุทธเจ้าองค์ข้างหน้า ผมก็เอาคำว่าอาริยะนี้มาใช้ ถ้าเข้าใจไม่ได้ก็ใช้ไม่เป็น คำว่าอารยะและคำว่าอริยะก็เพี้ยนไปหมดแล้ว ก็เลยต้องมาใช้คำว่าอาริยะ ใช้อำนาจทางธรรมาธิปไตย โดยประสมส่วนระหว่างโลกและอัตตาอย่างเหมาะสม

 

ตลาดอาริยะเป็นการขาย จึงต้องขายอย่างอาริยะ อาริยะคือผู้ที่ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ทำอย่างเสียสละ อย่างในหลวงตรัส เราก็ทำตลาดอาริยะเป็นครั้งคราว แต่ว่าชีวิตประจำเราก็ทำแบบขาดทุนคือกำไรอยู่ตลอด สมมุติค่าแรงเรามี 500 เราก็เสียสละให้สังคมไป 300 เรากินใช้แค่ 200 นั่นคือขาดทุนของเราคือกำไรของเราคือกุศลแท้ เราเสียสละแท้

 

_แต่ละปีรายได้ราชธานีอโศกมีรายได้เท่าไหร่

ตอบ...จริงๆเราอยากให้มาตรวจสอบ เรามีรายได้น้อย และไม่มีความซับซ้อนไม่มาก ไม่มีเหลี่ยมโกง เราจริงใจ สรุปคำถามมาก็ตอบไปว่า ปีละเท่าไหร่นี้ตอนนี้เรายากที่จะตอบเพราะว่า เราอยู่ในขั้นกำลังก่อร่างสร้างตัว เราพึ่งคนอื่นมาก คืออโศกจะไม่เรี่ยรายคนที่ไม่ได้มาเป็นสมาชิก ฆราวาสถ้าจะมาบริจาค ถ้าไม่ได้มาศึกษากับพวกเราครบ 7 ครั้งก็ไม่รับเงินบริจาค เราก็เลยได้รับเงินเกื้อกูลจากพี่ๆน้องๆพวกเรา เราไม่รับจากภายนอก ไม่มีดอกเบี้ย เรามีเงินเกื้อไม่มีดอกเบี้ย เอาชาวอโศกที่มีรายรับรายจ่ายชัดเจน ก็ต้องไปดูที่ปฐมอโศกที่ลงตัวแล้วในรายรับรายจ่าย แต่ที่ราชธานีอโศกนี่ เงินไหลออกมาก เพราะกำลังก่อร่างสร้างตัว แต่เป็นระบบที่น่าศึกษามาก เป็นเศรษฐศาสตร์ที่น่าศึกษามาก จะเป็นหลักของคาร์นมาร์กซ์ก็สู้ของพระพุทธเจ้าไม่ได้ ของพระพุทธเจ้านี่มหาอภิสังคมนิยม จนไม่มีตัวตนทำเพื่อสังคม


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:35:19 )

580217

รายละเอียด

580217_สรรค่าสร้างคน(28) การศึกษาของประเทศไทยกับอธิปไตย 3

พ่อครูว่า...พวกคุณคิดว่าอาตมาจะสอนหมดไหม?นี่ หรือคิดว่าอาตมาจะมีอะไรมาสอนหรือไม่? ...ก็ไม่หมด คือถ้ายิ่งฟังแล้วก็ยิ่งมีอะไรลึก อะไรใหม่อีก ฟังแล้วก็เลยไม่ทำให้รู้สึกว่าหมด จะเอาที่อะไรสอน อาตมาก็รู้สึกว่าดึงออกมายังไม่หมดสักที จากพระไตรปิฎก จากเทวดามาบอก หรือจากคุยกันไป เป็นเรื่องสุดยอด อาตมาเข้าใจคนที่หลับตาทำสมาธิ แล้วเขาก็เกิดความรู้เห็นว่า อันนั้นเป็นปัญญา แล้วก็จะรู้อะไรขึ้นมา อันนั้นเป็นความรู้เดิม ที่เขามีมันขึ้นมา บางคนไม่มีความเดิม แต่บางคนโน้มจิตไปปรุง มันก็ปรุงได้ง่าย เพราะไม่มีอะไรกวน มีสองอย่างคือความเก่าของตนและของใหม่ที่ตนปรุงขึ้นมา เขาก็ว่านี่คือวิปัสสนา คือการเห็นอย่างยิ่งยอด

 

พระพุทธเจ้าว่าคือ การเห็นปรมัตถ์ เห็นกิเลสได้ กำจัดกิเลสได้อย่างสัมมาทิฏฐิ แล้วเห็นกิเลสได้นี่คือ ปัญญารู้ความจริงตามความเป็นจริงที่ทำได้จริงๆ ไม่ใช่ว่าเอาของเดิมขึ้นมารู้ และเป็นตรรกะ เหตุผลปรุงแต่ง แต่เป็นการรู้ความจริงตามความ เป็นจริงปรมัตถ์ รู้กิเลส ลดกิเลสได้ ก็จะรู้อารมณ์เนกขัมมะที่ออกจากกาม พยาบาทได้ แต่อารมณ์เคหสิตะ ก็จะเป็นอีกอย่างของใครของใครก็จะรู้เอง แม้แต่สุขโลกียะกับสุขโลกุตระก็จะแยกออก มีปีติก็ดีใจ แต่มีสองอย่างคือได้บำเรอกิเลสอ้วน กับการดีใจที่ทำให้กิเลสฝ่อตาย มีอาการปีติดีใจโสมนัส แต่เป็นเคหสิตะ กับเนกขัมมะที่ต่างกัน เราจะมีปัญญารู้ความต่างนี้ โดยสภาวะ ไม่ใช่ตรรกะความคิด ความรู้ ที่เรียนกันทุกวันนี้มีมากมาย

 

มีผู้นำบทความนี้มาจากเว็บไซด์พันทิพย์ ฝากถึงพ่อครู

 

เรื่องจริง..ที่ต้องยอมรับ

 

จีนรักไทยจริงใจ...วิจารณ์การศึกษาของไทยแบบตรงๆ. ..อ่านแล้วเศร้าจัง  .........

การศึกษาไทย ในมุมมองของจีน 

ห่วยสุดๆ ตั้งแต่ระดับมัธยม จนถึงระดับ มหาวิทยาลัย

 

1. สถานทูตจีน เขียนรายงาน (เป็นภาษาจีน) ระบุการศึกษาบ้านเรา เน้นแต่ด้าน ศิลปศาสตร์ นิติฯรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การตลาด บริหารธุรกิจ ซึ่งจบมาแล้ว ไม่มีงานทำ ความรู้กระจอก สักแต่ให้มีปริญญา ไม่ได้สร้าง value-added ใดๆ นักวิทยาศาสตร์ การวิจัย แทบจะเป็นศูนย์  Guanmu อดีตเอกอัครราชทูตจีน บอกว่า25ปีที่ผ่านมา ไทยผลิตยาง ยังไงก็ยังทำแบบนั้น ไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม ทำเป็นยางรถยนต์ หรือสิ่งประดิษฐ์ อะไรเองไม่เป็น สร้างคิดอะไรไม่ได้

 

2. มหาวิทยาลัยไทย รวมไปถึง ธรรมศาสตร์จุฬาฯ กิจกรรมเน้นเต้น หลีดโชว์หล่อสวย แต่โง่ ไม่มีการฝึกงานอะไร ที่เป็นประโยชน์ ขอเงินพ่อแม่ เที่ยวกลางคืน ไปวันๆ โชว์วัตถุนิยม ว่ารถกูขับรถไร สังคมมันวัดกันแค่นี้ (เห็นมากับตา) พวกดีๆ ก็มีแต่มันน้อย เอาจริงๆนะ ผมว่ามีแค่10% ในขณะที่เด็กสหรัฐฯ พวก MIT Stanford หรือเด็กจีนชิงหัว ปิดเทอม พยายามหางานทำ ฝึกงาน UN World Bank JP Morganหรือมาค่ายผู้ลี้ภัย ชาวโรฮิงญาในไทย

 

3. จ่ายครบจบแน่ ปริญญาขยะ เต็มบ้าน คือ หางานไรทำไม่ได้ มีแต่อยากจะรวย  "ผมจะทำธุรกิจ" คือมันคิดไรไม่ออก นอกจากขายของ นอกจากนี้ ยังทุจริต ผันงบกระทรวงศึกษา ให้ทุนกู้ยืม มหาวิทยาลัยเอกชน ที่มีนักการเมือง เป็นเจ้าของ สุดท้ายหนี้สูญ เพราะเด็กบ้านนอก ได้มาเข้ากรุง สักว่าจบปริญญา ประดับบ้าน แต่มันหางานทำไม่ได้ ปีหนี่งหมดเงิน ภาษีประเทศชาติ  ไปหลายหมื่นล้าน เรื่องเลวๆนี้ ไม่เคยถูกตรวจสอบ

 

4. ภาษาอังกฤษ ห่วยแตกขั้นเทพ จริงๆ อจ.จุฬาฯส่วนใหญ่ ก็ลอกบทความฝรั่ง มาแปลๆ ไม่มีความคิด อะไรใหม่ หาน้อยคน ที่จบระดับโลก ไปดูCVเอาเอง ได้จบมหาลัยห้องแถว  B-class ทั้งนั้น  งานวิจัยขยะ  copy/paste  เต็มไปหมด ครูมัธยม เอาแค่โรงเรียน ในกรุงเทพฯ ผมเคยถูกเชิญไปพูด ยังออกเสียง สะกดศัพท์ไม่ถูกเลย จะสอนเด็กให้ถูก อย่างไร แล้วโรงเรียน ในอ.ปัว จังหวัดน่าน มันจะห่วยแตก ขนาดไหน

 

5.ความรู้ใหม่ๆ หรือเทคโนโลยี มันหมุนเวียน เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งคนไทยรู้แต่ ภาษาไทยตัวเอง ไม่มีความสามารถ แข่งขันอะไร ในระดับโลก โลกทรรศน์สุดจะแคบ สำนักข่าวไทย รายงานแต่เรื่องเส็งเคร็ง ไม่ได้สร้างคุณค่า ความรู้อะไร คนนั้นท้องกับคนนี้ ตำรวจตั้งด่านไถตังค์ ไปวันๆ ไปทำงานมา หลายประเทศ เช่น ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ บอกได้เลยนักเรียนไทย โคตรจะขี้เกียจ ไม่รู้ปีหนึ่งๆ อ่านหนังสือกัน กี่เล่ม?...

 

รัฐบาลไหนจะคิดแก้ไขบ้างหนอ..??? ฝากความหวังไว้กับท่านปลัดและ รมต.กระทรวงศึกษา และ..คสช เพื่ออนาคตของประเทศไทยด้วยครับ ...ไม่ต้องรอคอยความหวังจากรัฐบาลไหนๆ

อีกแล้ว....

 

พ่อครูว่า...เราก็ฟังข้อคิดเห็นของคนในสังคม ก็มีหลากหลาย อาตมาเองก็เคยบอกว่าการศึกษาไทยมันล้มเหลวจริงๆ แต่ก็ไม่ได้วิจัยวิจารณ์หนักอย่างนี้ การศึกษาที่อาตมาจับประเด็นว่าเสื่อมมากก็คือ เป็นการศึกษาที่หลงฟุ้งเฟ้อ และ เป็นการศึกษาที่หลงได้แต่ความรู้ ความสามารถที่จะไปล่าลาภ ยศ สรรเสริญ เอาไปเป็นเครื่องมือเอาเปรียบทุจริตเสริม เป็นเรื่องจริงที่เป็นอยู่

 

ที่มันบกพร่องมากก็คือ ความรู้ทางคุณธรรมมันพร่องจริงๆ แม้แค่นี้ก็ยังเอาไปเป็นอาวุธ เอาเปรียบเข่นฆ่ากัน เพราะเห็นแก่ตัว อันนั้นเป็นตัวจริงก็ได้เครื่องมืออันนี้ไปข่มขี่คนอื่น สังคมจึงไม่สุขเย็น สังคมเสื่อมมาก อาตมาก็พยายามมาทำการศึกษาเช่นนี้ ทำได้เท่าที่ได้ แม้ไม่ได้เราก็ทำตามประสาเรา ล่าสุดทำ ว.นบ. ก่อนหน้า ว.นบ. ก็มีหลายชื่อย่อจนจำไม่ไหวแล้ว

 

เราพยายามเน้น ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชานี่แหละ มันครบแล้ว ถ้าเข้าใจแล้วไม่มีปัญหา นอกจากจะทวีขึ้นเป็น ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชา หรือว่าศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา

 

ความรู้ทางโลกเราไล่เขาไม่ทันก็ไม่เป็นไร แต่เรามีคุณธรรม และเรามีวิชาความรู้ที่จะทำให้ชีวิตอยู่รอดได้อย่างดี อย่างเช่นพืชผักผลไม้บนโต๊ะนี้ ต้นโต ปลูกที่นี่ ที่บ้านราชฯ กสิกรรมเราทำได้ดี ไร้สารพิษ มีคุณภาพ มีปริมาณที่มากที่ดี อาตมาถึงบอกว่าทำให้เฟ้อเกินไปเลย แล้วก็ไล่แจกไปเลย เรามีระบบที่ไม่เป็นหนี้สินใคร เรามีแต่ทำให้มาก แล้วสะพัดช่วยคนอื่นไป ไม่ว่าจะงานอย่างอื่นก็ด้วย ที่ชีวิตสังคมต้องอาศัย อะไรควรเราก็ทำ อะไรไม่ควรเราไม่ทำ เช่น งานอบายมุข ที่เสียทุนรอนแรงงาน เงินทุน ที่บำเรอกิเลส บำเรออารมณ์เปลืองเปล่าทำให้ติดยึดอีกต่างหาก เขาก็ทำอย่างไม่รู้มีอวิชชา เราก็ทำเท่าที่เราสามารถทำได้

 

อาตมาเข้าใจ ว่า ในหลวงเราตรัสอะไรออกมา ที่อาตมาหยิบมายืนยัน พวกเราคงรู้ว่าไม่ใช่ความรู้สามัญปุถุชนทั่วไป มันเป็นความลึก และท่านก็ทวนกระแสโลกด้วย

 

พวกชาวเราก็จะเป็นคนที่ไม่เสียหุ่น ไม่อ้วนมากมาย แต่เราก็จะไม่ผอม อย่างเขา จะอ้วนมากเราก็ไม่เป็น เป็นเรื่องง่ายๆที่สังเกต ในนัยะลึกอื่นๆพวกเราจะอายุยืน เพราะเป็นเหตุปัจจัยที่จะศึกษาเข้าระบบอาริยะของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง แม้แต่ความรู้ทางเทคนิค ที่จะสร้างจะก่อ ก็ทำได้ เพราะสัตว์เดรัจฉานก็ทำได้บ้าง แต่ไม่เท่าคนหรอก บางอย่างก็ถ่ายทอดมาทาง DNA เช่น ตัวบีเวอร์มันสร้างเขื่อนได้ อย่างรังนกกระจาบ นี่มันสร้างได้อย่างไร เราไปรื้อออกยังยากเลย มันสร้างให้เป็นห้องๆ มีทางระบายด้วยนะ

 

ความรู้ทางเทคนิคก็ไม่ใช่ว่าเราจะทำไม่ได้ จนทำให้เราตกต่ำ แต่เราก็ทำได้เท่าที่เราทำนะ ตายไปแล้วก็รีบมาเกิด อย่าหลงหมู่ฝูงไปไหน คลำทางมาให้ถูก แต่ถ้าวิบากมันดีและจิตมันมุ่ง การตั้งอธิษฐานมีในหลายศาสนา ตั้งไว้ก็จะมีแรง

 

ถ้างานไหนไม่เป็นปัจจัยสำคัญของชีวิตอาตมาก็ไม่ทำ แต่อาตมาก็เข้าใจว่า ทำไมอาตมาต้องมีสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่ พวกเราก็ดูสิว่า สิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์ในโลกที่เป็นสิ่งที่พระโพธิสัตว์สร้างไว้มันมีอยู่ มันมีนัยะทางจิตวิทยาลึกซึ้ง คนเรามีจิตที่ลึกๆนับถือความใหญ่โต เราจึงจำเป็นที่จะต้องมีสิ่งใหญ่ แต่ใหญ่ต้องมีความสมควร เหมาะสมที่จะทำ บางทีรายละเอียดก็บอกไม่ได้เหมือนกัน อย่างผาแหงนนี่ ตอนนี้ยังไม่หยุดงอกเลยนะ แต่บอกนะว่าให้หยุดงอกได้แล้ว มีโครงการใหม่รออยู่ แม้ที่สุดที่จะเกิดสมเด็จปู่ฯนะ ก็ยังงงว่า จะเอา 44 เมตร นี่มันใหญ่ที่สุดในโลกนะ เป็นหินที่เป็น Round lift(เป็นรูปเหมือนเต็มตัว) เพราะส่วนมากพระศาสดาที่เขาทำรูปปั้นก็อย่างมากก็ทำแค่ Basal lift  หรือ Half lift ก็เก่งแล้ว แต่นี่ไม่ใช่ว่าจะเอาปูนเอาอิฐมาก่อนะ แต่นี่เราจะดูฝีมือสิว่าจะทำได้จริงไหม ที่สำคัญคือไม่มีเงิน แล้วจะทำน่ะ แล้วอะไรไม่อะไร ที่อื่นวัดวาเขาก็ไม่มี แต่เขาเรี่ยไร เขามีวิธีการหาเงินมาทำอย่างจิตวิทยา แต่ของเรานี่ มาไม่ครบ 7 ครั้ง ไม่มีสิทธิ์บริจาคนะ บางคนมาหลายทีก็โกรธหาว่าเราหยิ่งด้วย แต่ก็มีน้อย ส่วนมากจะเข้าใจ เราไม่ได้ทำเล่น เราทำจริง เราไม่เรี่ยไร ไม่หาทางปะเหลาะเอาเงินจากคนอื่น คนที่มีสมาชิก มีจิตเห็นดีจริงยินดีจะช่วยกันทำ ก็มาช่วย ก็ได้มาขนาดนี้ก็ภูมิใจ แต่มันก็ไม่เคยคล่องก็ได้เท่านี้ แต่ก็ไม่ถึงขั้นไปสร้างหนี้ มีแต่เงินหนุนกันบ้าง หมุนไปหมุนมาก็รีบใช้ เพื่อจะเกื้อใหม่

 

พวกเราทำอย่างเป็นคนมีวรรณะ 9 ทำแล้วก็ยืนยันคุณลักษณะจริง

 

1.สุภโร เป็นคนเลี้ยงง่าย แต่ไม่มักง่าย เลอะเทอะสกปรก ไม่เป็นคนติด

ยึดมากมาย จะอยู่จะกินจะไปจะมาก็ง่าย

2.สุโปสะ ก็มีปัญญาพัฒนาง่าย

3.อัปปิจฉะ ก็เห็นความมักน้อย มาสู่ความไม่สะสม มุ่งมาจนได้ตามลำดับ มันจริงเพราะมี

4.สันตุฏฐิ มีความสันโดษ ใจพอ

5.สัลเลขะ ขัดเกลา บางคนมีศิลปะก็ได้รับการยอมรับ

6.ธูตะ มีศีลเคร่งได้แล้ว ก็เป็นสิ่งทรงไว้ที่ดีแล้ว ผู้ได้แล้วจะไม่เคร่ง มันเป็นปกติสามัญ

7.ปาสาทิกะ มีอาการน่าเลื่อมใส สังวรอยู่บ้าง เป็นตนเองตามปกติบ้างมันทำได้อย่างสวยงาม

8.อปจยะ ไม่สะสม ก็ทำได้โดยค่าเฉลี่ย แต่ดีกว่านี้ยังมีอีก ก็ช่วยกันรักษาสร้างสรร จนกว่าจะตาย ทำกันต่อไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า อาตมาว่าสัก 300 ปี ก็พอจะเทียบกับอามิช ได้

9.วิริยารัมภะ มีการระดมความเพียร

 

ก็ช่วยกันสืบสาน เพื่อให้เป็นสังคมที่คนมีพฤติกรรมหลักเกณฑ์ จนเอาหลักธรรมของพระพุทธเจ้ามาตรวจดู เช่น พุทธพจน์ 7 ว่าจริงไหม สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ

 

หรือเอา กถาวัตถุ 10 มาจับ ว่า มีศีล อย่างไร ศีลนั้นขัดเกลากาย วาจานั้นแน่ แต่ต้องมีผลถึงใจด้วย เห็นได้ว่าที่เขาเรียนกันมันไม่ครบตามคำสอนพระพุทธเจ้าตามที่เราตรวจสอบตามกิมัตถิยสูตร ที่ต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา ทำแล้วจะเกิดวิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะจริง ยุคนี้ก็เป็นไปได้ ยังไม่ใช่ผู้ที่มีธุลีในดวงตามากจนสอนไม่ได้ แต่เป็นผู้มีธุลีในดวงตาน้อยที่พอสอนได้ ยังกอบกู้เอาของพระพุทธเจ้ามาได้

 

จะขอขยายความอธิปไตย 3 มีโลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย ธรรมาธิปไตย

 

อธิปไตยคือพลังอำนาจ

 

พวกอารยะ หรือโลกาธิปไตย ก็หลงวัตถุวิสัย เป็น objective ส่วนพวก อริยะ หรืออัตตาธิปไตย ก็เป็นพวก จิตวิสัย หนีโลก ไปโดยไม่พ้นอัตตา ไม่พ้นจิตก็หลงจิต สะสมจิต ไม่มีการเรียนรู้จิตวิเคราะห์ เรียนจิตตนก็พอรู้ความว่างแต่เป็นสัญญา ไม่ได้เป็นปัญญา ไม่ได้เป็นรูป 28 อย่างที่พระพุทธเจ้าสอน ไม่มีมีเหตุปัจจัยครบพร้อม สุรภาโว สติมันโต ไม่ยืนยันแบบวิทยาศาสตร์ได้ แต่ของพระพุทธเจ้านั้นครบ รู้จักโลกาธิปไตย และอัตตาธิปไตย แล้วใช้ทั้งสองอย่างได้ จัดสรรได้อย่างดี แล้วเป็นคนที่มีกิเลสน้อยลงได้ตามลำดับ แต่ไม่หนีโลก ไม่ใช่คนแบบอัตวิสัย พวกอริยะ หรือพวกหลงวัตถุหรืออารยะ

 

ปราชญ์ในสังคมไทยแปลคำเหล่านี้ว่าอย่างไร

 

โลกาธิปไตย ท่านแปลว่า ความถือโลกเป็นใหญ่ คือ ถือความนิยม หรือเสียงกล่าวว่าของชาวโลกเป็นสำคัญ หวั่นไหวไปตามเสียงนินทาสรรเสริญ ทำตามที่เขานิยม หรือคอยแต่หวั่นกลัวเสียงกล่าวว่า พึงใช้แต่ในขอบเขตความดีคือ เคารพเสียงหมู่ชน เป็นที่มาของคำว่า ประชาธิปไตย โลกาธิปไตยก็เป็นเชิงประชาธิปไตย  ผู้ใดเก่งในการใช้โลกธรรม หรือกามคุณ ก็จะเป็นจอมอัตตาใหญ่ โลกาธิปไตยนี่จอมอัตตาใหญ่ อัตตาเบ่งใหญ่ ทั้งตนเอง และกับทั้งโลกด้วย

 

อัตตาธิปไตย ท่านแปลว่า ความถือตนเป็นใหญ่ จะทำอะไรก็นึกถึงตน ทำอะไรก็คำนึงถึงฐานะ เกียรติยศศักดิ์ศรี พึงใช้ประโยชน์แต่ในขอบเขตที่เป็นความดี คือ เว้นชั่ว ทำดีด้วยความเคารพตน (อันนี้พ่อครูว่าแปลไว้ก็ดี) ทำเพื่อตนแต่ไม่เข้าใจตน คำนึงเกียรติยศ ศักดิ์ศรีตน แต่ไม่เข้าใจตน พ่อครูว่า.. ทำตามประโยชน์ตน แต่ไม่ไปแย่งใครนะ มีปฏิภาณในการไปล่าโลกธรรม กามคุณ แต่วิธีในการไม่ไปหลง โลกธรรม กาม นั้นไม่ใช่การเรียนรู้อย่างถูกต้องตามพระพุทธเจ้าสอน เท่านั้น

 

ไม่ได้มีจิตวิเคราะห์ ไม่มีลำดับ เบื้องต้น จากตรงไหนก่อน แล้วค่อยเลื่อนลำดับไปตามเหตุปัจจัย ที่จะลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล ของพระพุทธเจ้านี้ จริงตรงนี้ เป็นการปฏิบัติที่ ไม่กลับไปกลับมา เป็นการปฏิบัติที่เร็วที่สุด จริงที่สุด เห็นผลเร็วที่สุดด้วย

 

พวกอริยบุคคล คือ อัตตาธิปไตยคือ เห็นแก่ตัวเต็มบ้อง

 

ส่วนพวกธรรมาธิปไตย ท่านก็แปลกันว่า ทำตามระเบียบกติกา ทำความดี เว้นความชั่ว โดยมุ่งความดีงาม ถูกต้องตรงธรรม ท่านก็พูดเป็นความดีงามแบบโลกีย์ เป็นภาษาที่ไม่เข้าถึงโลกุตระ ทำการด้วยปัญญา เคารพหลักการ กฎระเบียบกติกา มุ่งเพื่อความดีงาม ถูกต้องชอบธรรมเป็นประมาณ ท่านก็แปลมาเช่นนี้ ก็คล้ายกับอัตตาธิปไตยมาก

 

พ่อครูว่า...ธรรมาธิปไตยแท้จริง เป็นผู้รู้ทั้งโลกและอัตตา ไม่หนีโลกด้วย รู้ทั้งโลกและจิต เหนือโลกเหนือจิตด้วย แล้วเป็นจริงตรงมี พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

 

และมี โลกุตระ(เหนือโลกหมดอัตตาได้) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก) เพราะศึกษาทั้งโลกและอัตตาอย่างเหนือทั้งโลกและอัตตาได้จริง

 

คนทุกคนที่เลือกอะไรแล้ว ก็ย่อมต้องมั่นใจว่าอะไรดีกว่า ผู้ที่ไม่เข้าใจก็หาว่าเบ่งข่ม ยกตนข่มท่าน ก็จะให้พูดอย่างไร มันไม่มีภาษาอย่างอื่นนะ ทุกคนก็ต้องพูดเช่นนี้ นี่คือลักษณะง่ายๆ ของพระพุทธเจ้าที่ว่ารู้ตัวตน

 

คำว่าตัวตน ที่ว่า คือตัวตนที่ไปยึดวัตถุ เป็นโลกวิสัย จิตไปยึดแล้วไปอยากเป็นโอฬาริกอัตตา เป็นอัตตาหยาบที่จะยึดตนเองไม่พอยังแถมไปยึดเอาวัตถุ อื่นอะไรอื่นมาเป็นตน เป็นของตน ก็หนัก จึงร้ายกาจที่สุด  พวกโลกาธิปไตย แต่มีปฏิภาณนะ อำพรางปกปิดซ่อนเร้นกลบเกลื่อน ให้คนเห็นว่า ตนมาเสียสละ แต่แท้จริงแล้ว ตนเองจะต้องได้เปรียบอยู่เหนือตลอดเวลา มีวิชาการชั้นสูงในการเอาเปรียบ พรางไม่ให้คนรู้ทัน นี่คือวิชาการสุดยอดของโลก

 

ต่างกับพวกอัตตาธิปไตย เขาหนีไปหมด ให้คนแย่งกันไป เขาไม่เอาวัตถุ โลกธรรม กามคุณ นะ ยกเว้นเขาเอาอัตตา เป็นอัตตาเต็มบ้อง จึงเป็นพวกที่สุดโต่ง แต่ก็ดีที่มักน้อยมาก เอาแต่ตนเอง ดีไม่ดีทรมานตนอีก จนสุขภาพเสีย มันน้อยจนแรงงานที่คุณมีน่าจะเอามาเป็นประโยชน์บ้าง หลายคนเอาแรงงานไปจมหมดเลย ไม่มีประโยชน์คุณค่า เป็นความไม่เจริญ แต่ก็ดีกว่าโลกาธิปไตย

 

ธรรมาธิปไตยของพระพุทธเจ้าไม่หนีโลก ไม่หลงอัตตา แต่ศึกษารู้แจ้งว่าการไปหลงยึดมั่นถือมั่นในกาม ในอัตตา ว่าเป็นอภินิเวสายะอย่างไร เรียนรู้อาการของจิตที่ยึด แล้วจะยึดอย่างไรให้เป็นประโยชน์ สิ่งไหนไม่ควรยึดก็เลิก จึงมีมุญจิตตุกัมมยตาญาณ รู้อาการจิตตนที่ปล่อยเปลื้องวาง แล้วสามารถให้จิตยึดได้ อนุโลมให้ยึดได้อย่างสมาทาน แต่อุปาทานนี่ยึดอย่างไม่มีปัญญา เป็นอุปาทาน

 

ถ้าสมาทานก็รู้แล้วว่า จิตเราปล่อยวางได้ แต่กลับไปยึดอีก เพราะรู้ว่าเป็นสิ่งอาศัยได้ แต่จิตไม่ได้ยึดอย่างอาลัย แต่ทำอย่างอาศัย จะวางเมื่อไหร่ก็วางได้เลย เป็นเพียงอาศัย ไม่อาลัย เป็นคุณลักษณะของจิต เราต้องอ่าน อาการ ลิงค นิมิต ของจิตได้จริง แล้วทำให้ถูกตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า วิเศษสุดแล้ว

 

อาตมาก็เป็นคน พวกคุณทั้งหลายก็เป็นคน คุณก็มีสิทธิ์ที่จะรู้อย่างอาตมา ก็ไม่ได้เรียกร้องครอบงำหว่านล้อมให้มานะ แต่ก็มาด้วยความเข้าใจกันก็ได้เป็นปึกแผ่นไปตามลำดับ

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น...

 

_พึ่งบุญ...ช่วงนี้เราทำงานไม่มีฐานงานเป็นหลัก แต่ก็เป็นผู้ช่วยทำงานกสิกรรม ให้เราวิจัยศึกษาต้นไม้ และกรรมของเรา เราก็มาตรวจสอบกรรมของเรา เราไม่ได้เป็นเจ้าของแปลงต้องอ่อนน้อม พูดอะไรก็ไม่ได้ แต่ก็มีความคิดว่าต้นไม้ต้องการพรวนดิน ต้องการแสง ก็ไปช่วยทำ ก็เป็นองค์ประกอบว่าพืชรับได้กับกรรมที่บริสุทธิ์ พรวนดินให้ธาตุอาหารเข้าสู่พืชได้ ตรงนี้น่าจะเป็นวิชาศิลปะได้ เหมือนนกที่มาแล้วก็บินไปไร้ร่องรอย ตนเองก็จะทำเช่นนั้นทำความดีช่วยเขาทำแปลง แล้วให้เจ้าของเขาได้รับผลไป เราก็เหมือนนกที่บินจากไปไร้ร่องรอย

ตอบ...นี่คือการศึกษา การอยู่คนเดียวนี่ดูเหมือนไม่มีอัตตานะ แต่ว่าพอมีสองคนมาเมื่อไหร่ก็มีอัตตา เพราะดิน น้ำ ไฟ ลม มันไม่มีอัตตาอะไรมาโต้คุณนะ แต่คุณมาใส่คนสิ มันก็จะมีอัตตามาใส่คุณได้ ทำให้เราต้องอ่านใจเรา อย่างที่พึ่งบุญฝึกอ่านใจที่จะไม่ยึดถือ จะเกิดความรู้ การจัดสรร สัปปุริสธรรม ได้

 

_หนึ่งดาว...วันนี้ประทับใจคำว่า มุญจิตตุกัมมยตาญาณ คือญาณที่มีการเปลื้องปล่อย แต่ก่อนตนเองมีความโกรธ ถือสา ระดับ กาวตราช้าง แต่พออยู่ไป ดิฉันก็ไม่ได้ปฏิบัติ อะไรมาก แต่ก็รู้สึกว่ามันเป็นกาวตราช้างที่หมดอายุ มันเหมือนเข้าใจคนอื่น แล้วไม่ถือสามาก จะเข้าใจเอาใจเขามาใส่ใจเรา ความยึดติดมันน้อยลง

ตอบ...ดีแล้วที่มารายงานผล

 

_ฟังฝน...คำว่า สมาทาน กับ การอนุโลม ปฏิโลม เป็นเรื่องเดียวกันไหม
ตอบ..คำว่าสมาทาน แปลว่ายึดถืออย่างมีปัญญา ในระดับมรรค คือยึดถือมาเพื่อปฏิบัติให้ได้ผลสมบูรณ์ให้ได้ คือสมาทานขั้นมรรค แต่พอปฏิบัติสำเร็จผลเป็นสมาทานขั้นผล พอได้ผลแล้วเราถึงจะอนุโลมปฏิโลม แต่หากยังไม่มีผลสำเร็จก็จะอนุโลม ปฏิโลมไม่ได้ แต่เมื่อเรามีผลสำเร็จ แล้วเรามีพลังเหลือเผื่อพอได้ มีประมาณก็จะอนุโลม ช่วยคนอื่นได้โดยตนเองไม่เสียผล

 

_ในขณะเรามีผัสสะ กรรม 3 ของเรา เรารู้อยู่ว่ามีกิเลส เราควบคุมอยู่ แต่ขณะต่อสู้อยู่ กรรมก็ออกมาไม่เหมาะสม ก็ถือว่ามีกิเลสเพิ่มหรือไม่?

ตอบ...ก็เพิ่ม เราต้องพยายาม อ่านจิตเรา ว่าจิตตั้งใจไม่ให้อกุศลออกไปทำงานเพ่นพ่านนะ ต้องควบคุมให้ได้ พระพุทธเจ้าจึงให้ทั้งทำการกดข่มไว้ เพราะกำลังปัญญาเราไม่พอที่จะหยุดมันได้ เราก็ต้องระงับกดข่มมันไว้ แต่ถ้าสุดทน ขณะกระทบสัมผัสแล้ว เอาไม่อยู่ ก็ห่างไปไกลก่อน พรากไม้ที่ชุ่มด้วยยางออกจากน้ำไปก่อน ต้องรู้ตนเอง จนกว่าเราจะมีแรงพอจะสู้ได้ ก็จะมาสัมผัสสัมพันธ์ไปตามลำดับ จนอยู่เหนือมันได้จึงอนุโลมได้ ทำไปตามลำดับ

 

_อยากให้พ่อท่านให้เคล็ดวิชากำจัดความถือสาให้ชาวอโศก

ตอบ...อาตมาไม่มีปัญญาหรอก ที่จะหาเคล็ดวิชาเหมือนอาจารย์ใหญ่ๆหรอก จริงๆแล้ว อาตมาให้เคล็ดวิชาไปทุกวันแหละ แต่ละคนก็ได้ไม่ตรงกันก็เอาไปใช้ก็แล้วกัน

 

_สม.กล้าข้ามฝัน ว่า...วันนี้ได้คุยกับนร..6 เขาก็ว่าส่วนใหญ่จะไปเรียนที่โน่นที่นี่ จะมีอยู่วัดแค่ 2-3 คน ใจเราก็คิดว่า พวกเรามาเจอสิ่งที่ดีที่สุดแล้วก็จะกระโจนออกไป มาอยู่ที่นี่ก็เป็นอย่างโลกได้ จบดร.ก็ได้ ไม่ต้องกระเสือกกระสนก็ได้เรียน แต่เขาก็ยอมกระเสือกกระสนนะ กว่าเราจะเห็นของมีค่าว่าการลดละตัวตนมันมีค่ามากกว่านะ ก็ต้องใช้เวลาใช้ประสพการณ์มากมาย

 

(.ด่วนดี)_ผมก็มีเรื่องเล่า เตี่ยผมเป็นสายโทสะ โมโหแรงมาก ผมตอนเด็กๆ เตี่ยเถียงกับแม่ ทะเลาะกัน ก็พยาบาท เห็นเตี่ยกับแม่ทะเลาะกัน ก็จะพยาบาทเตี่ย พอผมโตขึ้นมา เห็นเตี่ยกับแม่ทะเลาะกัน ผมก็จะหนีไป เพราะกลัวตนเองลงไม้ลงมือ จนวันหนึ่งทนไม่ได้ จิตดำริว่าจะวางแผนฆ่าพ่อตนเองนะ ตอนนั้นรุนแรงมาก แต่พอจิตผมคิดผมก็คิดว่าผมไม่ดีเลย ชั่ว เลวก็เลยทุกข์ แต่พอผมมีลูกผมก็ตีตัวเองหนัก นึกถึงพ่อก็ทุกข์ทรมาน แต่พอมาฟังพ่อครูว่าให้ทำกุศลให้มาก มากั้นพยาบาท พยายามทำงานทำกุศลให้มาก จนบางทีไม่ทัน พ่อครูช่วยให้คำแนะนำหน่อยครับ?

ตอบ...ที่พูดมานี่ก็มีพัฒนาการมาเรื่อยๆแล้ว ก็ค่อยๆอ่านจิตใจ พระพุทธเจ้าสอนให้เรามีสติสัมโพชฌงค์ ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีอิทธิบาท รู้ว่าเราตกหล่นแล้ว กรรมกิริยาของเรานั้น ต้องรู้ให้ทันว่ามันชักไม่ดี กิริยาทางกาย วาจา ออกมามันอกุศลแล้ว ตามฐานะของเรา เราต้องตั้งศีลของเรา อันไหนไม่ได้เราก็ปล่อยไปก่อน ทำเป็นขั้นๆ พอทำได้เราก็จะค่อยเสริมไปตามลำดับ ตามสูตรของพระพุทธเจ้า ก็วิจัยภาวะที่ไม่สมบูรณ์คือ อิตถีภาวะ ธัมวิจัย มันจะมีปฏิภาณเร็วไวขึ้น จะมีพลังอำนาจแก้ไขปรับปรุง ที่เขาเรียนกันคือให้มีสติ แล้วมีละเอียดแฝงอยู่ เขาว่ามีสติแล้วทำใจให้ดี เขาว่าพอสัมผัสปั๊ป ให้มีสติรู้ทันที มีกรรมไม่ดีรู้ทันทีแล้วเขาก็หยุดทันที การหยุดทันทีนี่คือสมถะทั้งนั้นเลย เขาก็ระงับเก่ง มันฝึกเข้าก็เก่ง สายที่มีสติแล้วเห็นผลว่า ถ้ามีสติจะมีกำลัง จะเกิดเลวชั่วขนาดไหนเขาก็หยุดได้ทันทีเขาได้สมถะจิต เขาไม่เกิด psychoanalysis แล้วเห็นลึกเข้าไปว่าจิตตัวนี้เลว มันเกิดแล้ว มันเคยเกิด เราเคยรู้มันด้วยปัญญาไหมว่ามันเกิดแล้วก็ดับไป เคยทำชั่วแล้วก็ดับไป มันไม่เที่ยง แล้วมันเป็นตัวการให้เกิดเลวร้าย มันเกิดแล้วก็ดับ ไม่มีตัวจริง มันมีเหตุปัจจัยมากระตุ้นจึงเกิด เมื่อเกิดขึ้นมาเอ็งอย่ามาหลอกข้าว่าเป็นจริงนะ เอ็งคือตัวปลอม นัยะของปัญญานี้ เราจะเห็นเลยว่ามันไม่เที่ยง เราจะมีญาณปัญญา เห็นพลังงานเราชนะมัน ตัวเหตุแห่งทุกข์ฝ่อไป ตัวนี้เป็นตัววิปัสสนาญาณ ที่เขาฝึกกันไม่ค่อยได้ เขาจะได้ผลนะ คือมีสติ รู้ นิ่งเฉย แพร่หลายมาก บทสติพวกนี้ แต่จะเข้าถึงจิตวิเคราะห์แล้วจะมีไฟฌานปัญญาที่ไปละลายกิเลสนี้ไม่ง่าย ไม่ใช่ว่าเราไปหยุดไปหนี แต่เห็นด้วยปัญญาอันลึกซึ้ง แล้วจะมีอาวุธไปใช้ได้ต่อไป...สาธุ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:36:32 )

580218

รายละเอียด

580218_เทศน์ก่อนฉันศีรษะอโศก เรื่อง วันปราบมารโลก-มารธรรม

วันนี้เมื่อ 18 ก.พ. 2557 จำได้ไหม มาถึงวันนี้ 18 ก.พ. 2558 ก็เวียนมาครบรอบปีพอดี จำได้ไหมปีที่แล้วเราไปทำงานช่วยประเทศชาติอยู่บนถนนราชดำเนิน สะพานผ่านฟ้า ก็มีเหตุการณ์ที่ถือว่ายิ่งใหญ่สำหรับชาวอโศก เป็นภาพจริงที่เกิดในปี 2557 ก็เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น อาตมาก็พยายามใช้ความสงบ สยบความรุนแรงจริงๆเราไม่มีเครื่องมืออื่นเลย นอกจากความสงบอย่างเดียว น่าคิดนะว่า ทำไมระเบิดไปชนเสาเต็นท์แล้วไปโดนตำรวจบาดเจ็บ พวกเราก็ช่วยกันเอาเตียงสนามวิ่งไปรับตำรวจที่บาดเจ็บ เอามาให้รถพยาบาล อาตมาจำได้ว่าไพรเมืองโดดขึ้นมารายงานบนเวที พอดีอาตมาเห็นตูมๆบนเวทีก็เลยบอกไพรเมืองให้ไปเอาเตียงสนามไปรับตำรวจมา ไพรเมืองกระโดดลงจากเวทีไปรับตำรวจเลย เอาไปเอามาสุดท้ายตำรวจล่าถอยออกไป นี่คือความสงบ สยบความรุนแรงได้อย่างเรื่องจริงไม่ใช่ลิเก เป็นเรื่องจริงในวันที่ 18 ก.พ. 2557 ให้เห็นว่า ความสงบ สยบความรุนแรงได้ ใครจะบอกว่ามีเหตุปัจจัยอะไรช่วย เราสงบนอนราบนิ่งเราไม่ได้ทำอะไรตอบโต้เขาเลย แต่จะมีเหตุปัจจัยอะไรมาประกอบ จนทางนั้นที่เขามีอำนาจจะใช้ความรุนแรงเด็ดเด็ดขาดได้ต้องล่าถอย มันเป็นธัมโม หเวรักขติ ธัมมจาริง ทำให้อำนาจความสงบ สยบอำนาจร้ายแรงได้ เราไม่ได้ทำรุนแรงเลย แต่จะมีอำนาจใดมาเสริมหนุนเราไม่รู้ได้จริงๆ นี่คือพิสูจน์ว่า ความดีงามมีอำนาจได้อย่างไม่น่าเชื่อ อาตมาเคย ประกาศเคยยืนยันมาทีหนึ่ง ตั้งแต่พศ. 2553 ครั้งนั้นผู้การแต้มพาตำรวจจะมาสลายกลุ่มกองทัพธรรมที่ข้างทำเนียบ แต่ก็สุดท้ายเขาก็ถอยกลับไป สองครั้งแล้วที่เราเผชิญกับเหตุการณ์ แต่ว่าเราก็ไม่อยากให้เกิดครั้งที่ 3 นะ แต่ถ้าจะต้องไปทำเพื่อชาติอีก ใครจะไม่ไปบ้าง....ไม่มี ยกเว้นดช.หมูป่า ...หลวงปู่บอกว่าคัดออกจากหลวงปู่ ...แต่ที่สุด ดช.หมูป่าก็ไป ตกลงเป็นหลานหลวงปู่ตามเดิม

 

สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องจริงใน เขาว่าปชต.คือพลังมวลชน แต่ไม่ใช่แค่ตื้นๆแค่ใช้ค่ายกล อำนาจ โลกธรรม มาบังคับ สร้างค่ายกลการเมือง ปชต.ที่เลวร้ายมาก เพราะว่าค่ายกลการเมืองที่เขาทำกันนี้ เป็นเรื่องจริงวิชาการเลย ก็คือคุณทักษิณ สร้างค่ายกลการเมืองได้เก่งฉิบหายเลย

 

เขาเอาพลังศาสนาไปรวมกับพลังโลกได้อย่างแข็งแกร่งด้วยก็เลยทนทาน เราก็ได้ออกไปร่วมต่อสู้ ก็เห็นผลว่าปราบได้ ทำได้มีผลอยู่ แต่ก็ยังเหนียวอยู่ไม่เรียบร้อย แต่ก็เห็นว่าถดถอยไปเยอะ เขาเก่งหาเสียงจากคนต่างชาติได้ ได้เงินทุนจากต่างชาติไปเยอะ ได้ทั้งสัมปทาน ล่อให้คนในประเทศใหญ่ๆตกเป็นเหยื่อ เพราะเขามีสัมปทานสมบัติของประเทศไทยไปล่อเขา ประเทศอื่นขี้โลภก็อยากได้ทรัพยากรของไทยก็มาร่วมมือกับเขา ทำได้สำเร็จ เหตุการณ์ยืดเยื้อมาจนบัดนี้ แต่เขาก็พ่ายแพ้ไปตามลำดับ จนปัจจุบันก็ยังอยู่ในภาวะไม่ยอมแพ้ราบคาบ ยังไม่ยกธงยอมแพ้  พล.อ.ประยุทธ พูดออกมาชัดเจนว่า ผมจะไม่คุยไม่ปรองดองกับคนหนีคดี ไม่ยอมติดคุก อันนี้เป็นความปรากฏชัด ก็จงรวมมือกับท่านนายกฯไทยที่ท่านเป็นคนเอาจริงเอาจัง อาตมาเห็นว่าท่านเป็นคนประนีประนอม เป็นคนมีกลปราณี คือใช้กลไกทางสังคม วัตถุและจิต เป็นการประนีประนอมให้ได้สัดส่วนดี ได้ผล แต่ต้องไม่ให้ความถูกต้องดีงามพ่ายแพ้ โดยไม่รุนแรงได้มากที่สุดเท่าที่ได้ ถ้าจะเกิดรุนแรงก็ให้น้อยที่สุด

 

เขาบอกว่าธุดงค์ธัมชัย เขาบอกว่าโพลออกมาคนไทยเห็นด้วย 99% โอโห ทำโพลเก่งฉิบหาย คะแนนขนาดนี้ไม่ธรรมดานะ ที่เขาทำนี่ผิดทั้งทางโลกและทางธรรม ผิดทางโลกคือเบียดเบียนเอาที่สาธารณะไปทำประโยชน์ส่วนตน แม้แต่เป็นเรื่องตกแต่งสร้างภาพโอ่อ่ายิ่งใหญ่ก็ผิดศีล มาลาคันธ วิเลปน ธารณมัณฑนะ วิภูสนฐานาเวรมณีแล้ว ก็คือย้อนแย้งลบล้างคำสอนพระพุทธเจ้าหมด แล้วเขาก็หลงใหลได้ปลื้มมักมาก มหัปปิจฉะ คนที่ไปหลงมหัปปิจฉะ เป็นคนอนารยะ คือคนไม่เจริญไม่มีภูมิปัญญา ส่วนธรรมใดวินัยใดเป็นไปเพื่อความมักน้อยธรรมนั้นวินัยนั้นเป็นของพระพุทธเจ้า แต่เขาตรงกันข้ามเลย นอกรีต แล้วทักษิณกับธรรมกายก็ร่วมมือกันทำอย่างไม่เกรงฟ้าเกรงดินเลย อาตมาขออ่านบทความ ธรรมกายต้องตอบนะจ๊ะ ของ นสพ. ผู้จัดการ เอเอสทีวี

 

“ธรรมกาย” ต้องตอบนะจ๊ะ ทำไม “ศุภชัย” ศิษย์เอกโกงสหกรณ์ฯ คลองจั่น ทำไมรับบริจาคเงินยักยอก 700 ล้าน

 

ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -กรณีวัดพระธรรมกาย ยังคงเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจต่อเนื่อง ภายหลังจากที่จัดกิจกรรม “ธุดงค์ธรรมชัย เส้นทางพระผู้ปราบมาร ธรรมยาตรา เพื่อฟื้นฟูศีลธรรมโลก” ครั้งที่ 4 วันที่ 2 -31 ม.ค. 2558 ที่ผ่านมา

      

       ทั้งการรวมตัวกันของภาคประชาชนและสภาปฏิรูปพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (สปพช.) ในการปกป้องพระพุทธศาสนา กรณีการเผยแผ่ธรรมของธรรมกายที่ผิดเพี้ยนไปจากในพระไตรปิฎก จนนำไปสู่การล่ารายชื่อ 50,000 คนเพื่อยื่นเรื่องดังกล่าวต่อรัฐบาล ให้เกิดการปฏิรูปศาสนา

      

       และที่เป็นประเด็นซึ่งสังคมให้ความสนใจไม่แพ้กันก็คือกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.)ออกมาชี้แจงแถลงไขถึงความคืบหน้าของคดีที่นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด ยักยอกเงินของสหกรณ์ฯ ทำให้ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนเงินกว่า 12,402 ล้านบาท หลังสมาชิกสหกรณ์ฯ กว่า 200 คน ซึ่งได้รับความเสียหายจากเดินขบวนมาสอบถามความคืบหน้าของคดีเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2558 ที่ผ่านมา

      

       ประเด็นที่น่าสนใจก็คือการที่ ป.ป.ง.โดย พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการ ป.ป.ง.ระบุชัดว่า จากการสอบเส้นทางการเงินพบว่า นายศุภชัยได้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินแก่วัดพระธรรมกายจำนวน 15 ฉบับ รวมเป็นเงิน 714 ล้านบาท และทางวัดพระธรรมกายจำนนต่อหลักฐานที่ ป.ป.ง.ตรวจสอบจนยินยอมที่จะคืนเงินบริจาคดังกล่าวคืน

      

       น่าสนใจก็เพราะนายศุภชัยคืออัครสาวกคนสำคัญของวัดพระธรรมกาย

      

       น่าสนใจก็เพราะวัดพระธรรมกายของ “พระเทพญาณมหามุนี(ไชยบูลย์ ธมมชโย) ประกาศนักประกาศหนาว่า สั่งสอนให้คนเป็นคนดี แต่ไฉนศิษย์เอกอย่างนายศุภชัยถึงคิดชั่วและยักยอกเงินจำนวนมหาศาลไปบริจาคให้วัดพระธรรมกาย

      

       คำถามที่สังคมและพุทธศาสนิกชนต้องการคำชี้แจงก็คือ วัดพระธรรมกาย และพระเทพญาณมหามุนี ผู้เป็นเจ้าอาวาสรู้เห็นเป็นใจกับการทำความผิดกับการยักยอกเงินของนายศุภชัยหรือไม่

      

       ถ้าไม่ ก็ไม่เป็นไร

      

       แต่ถ้า ป.ป.ง.ตรวจสอบแล้วพบว่าวัดพระธรรมกายรับรู้ วัดพระธรรมกายก็จะต้องถูกดำเนินคดีทางกฎหมายเช่นเดียวกับนายศุภชัยผู้เป็นศิษย์เอกเช่นนั้น

      

       ทั้งนี้ กรณีเงินบริจาคดังกล่าวนั้น เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม 2557 นายเผด็จ มุ่งธัญญา ประธานคณะกรรมการดำเนินการ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น นำคณะกรรมการและที่ปรึกษาสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นเดินทางไปจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อกราบนมัสการพระภาวนาวิริยคุณ หรือหลวงพ่อทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย โดยนายเผด็จได้หารือ 2 ประเด็น คือ 1. การคืนเงินของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นที่นายศุภชัยนำมาบริจาคให้กับวัดพระธรรมกายและพระ 2 รูป และ 2. กรณีวัดพระธรรมกายติดต่อขอซื้อที่ดินของนายศุภชัยที่ถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีคำสั่งอายัดไว้

      

       สำหรับประเด็นแรก ขณะนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ทางวัดพระธรรมกายจะต้องคืนเงินจำนวน 714 ล้านบาทเพราะจำนนต่อหลักฐานดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ส่วนเรื่องการซื้อที่ดินก็มีความชัดเจนในระดับหนึ่งแล้วว่า นายศุภชัยนำไปบริจาคให้วัดพระธรรมกายก่อสร้างพระมหาเจดีย์ทัตตชีโว แต่ยังไม่ทันได้บริจาค ปรากฏว่าดีเอสไอมีคำสั่งอายัดเสียก่อน ขณะที่วัดพระธรรมกายได้ดำเนินการก่อสร้างไปแล้ว แต่มาติดปัญหาที่ดินถูกอายัด ไม่สามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ จึงต้องมาเจรจาขอซื้อที่ดินกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น โดยทางวัดจะขอเรี่ยไรเงินจากผู้มีจิตศรัทธามาซื้อที่ดินแปลงนี้ทั้งหมด

      

       กระนั้นก็ดี กล่าวสำหรับกรณีธรรมกายนั้น ต้องบอกว่า ขณะนี้ประชาชนได้ตื่นตัวกันมากขึ้น อดังจะเห็นได้จากล่ารายชื่อ 50,000 คนเพื่อยื่นเรื่องต่อรัฐบาลให้มีการตรวจสอบ และมีการปฏิรูปศาสนา รวมถึงมีการเสวนาเพื่อระดมความคิดเห็นถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งมีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก

      

       แทนคุณ จิตต์อิสระ ผู้อำนวยการสถาบันธรรมาดากล่าวในการสัมมนาเรื่อง “กึ่งพุทธกาลกับมารศาสนา ลัทธิสัทธรรมปฏิรูปตรรกะวิบัติของธรรมกาย กรณี ธุดงค์ธรรมชัยวิบัติ” ว่า จริงๆ แล้ว คำว่าธรรมกายเดิมทีชื่อนี้มีความหมายที่ดี เป็นชื่อหนึ่งของพระพุทธเจ้า มาจากกาย แปลว่า กอง ที่รวม ที่ประชุมแห่งธรรม แต่ภายหลังถูกบิดเบือนไปใช้เรื่องของความหมายที่รับรู้กันว่า กลุ่มบุคคล กลุ่มสงฆ์ผู้แสวงหาที่ใช้วิธีการแสวงหาผลประโยชน์ ในนามพระพุทธศาสนา ในนามของต้นธาตุต้นธรรม ที่ก่อให้เกิดการบิดเบือนและก็ความเข้าใจผิด

      

       “ธรรมกายจัดกิจกรรม ธุดงค์ธรรมชัย ได้ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมในสังคมทั้งบวกและลบ แต่ว่าเขาก็หวังผลว่ามันจะเกิดผลทางบวก ถึงแม้ว่าลบมันก็จะทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ที่สุดวันหนึ่งเขาก็จะอ้างว่า ก็ยังดีกว่าไม่มีใครทำ ทำดีก็โดนว่า

      

       “และกลุ่มที่อยู่เบื้องหลัง ในแง่ความบริสุทธิ์ใจที่เรามองเขา เขามีความหลงโดยบริสุทธิ์ใจ หรือเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจ อย่างกลุ่มทุน อสังหาริมทรัพย์เจ้าใหญ่ กลุ่มเทคโนโลยีศึกษา รวมถึงกลุ่มบริษัทก่อสร้างจะอยู่ธรรมกายกันเยอะ ฉะนั้นต้องมีการตรวจสอบโดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เพราะอย่าลืมว่าพระก็อยู่ภายใต้กฎหมายควบคุม โดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และเมื่อวัดเข้าไปจดในพระราชบัญญัติสงฆ์ เกี่ยวกับการจัดสร้างวัด ก็ต้องมีการตรวจสอบเส้นทางการเงิน เพราะมีบางส่วนที่ได้รับการสนับสนุนจากทางราชการ”นายแทนคุณแสดงความคิดเห็นและกล่าวด้วยว่า ถ้าปล่อยให้เกิดเหตุการณ์นี้ไปเรื่อยๆ ปรากฏการณ์ธรรมกาย ก็จะครอบงำและกลืนกินสังคมพุทธไปโดยไม่รู้ตัว

      

       ขณะที่ พระมหาพงศ์นรินทร์ ฐิตวํโส เลขานุการเครือข่ายพุทธชยันตี-สังฆะเพื่อสังคม กล่าวว่าการเผยแผ่ธรรมของธรรมกายได้ก่อให้เกิดความสับสน ผิดเพี้ยนไปจากในพระไตรปิฎก โดยเฉพาะการนั่งสมาธิและวิชาธรรมกาย ทำให้เกิดกิเลส การเอาดวงแก้วไว้ที่ศูนย์กลางของตัวเอง ต้องมีการขยายเต็มตัว เต็มห้อง เต็มแผ่นดิน เต็มโลก เต็มจักรวาล นั่นแปลว่ามีตัวตนเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง ดังนั้นเมื่อกระบวนการเรียนรู้ผิดตั้งแต่ต้น เป็นนิพพานมีอัตตาคือ การเห็นจากตรงกลางของตัวเองตลอดเวลา จะทำให้ผู้ปฏิบัติได้คล้อยตามว่าธรรมกายอยู่เหนือพระพุทธเจ้าอีกทีหนึ่ง ซึ่งก็คือยังมีตัวตน เป็นลัทธิถืออัตตาไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า

      

       “โดยลึกๆมันจะมีกิเลส มีโลภะอย่างละเอียดเข้าไปเจือในสมาธิ ซึ่งเราเรียกว่า เป็นมิจฉาสมาธิ และปัญหาที่น่าห่วงมากเลยก็คือ มีการบอกเล่ามาว่า ถ้าเป็นคนกลุ่มที่มีเงินเยอะๆ จะมีการไปเข้าคอร์สพิเศษ ซึ่งธรรมกายจะส่งภาพให้เห็นนิมิตได้มากกว่าคนปกติทั่วไป ซึ่งนั่นเป็นความลับที่เป็นการเปิดจุดอ่อนให้เข้ามาสะกดจิต โดยวิธีที่เรียกกันว่าการอัดธรรมกาย ที่อ้างว่าจะทำให้เห็นภาพได้เร็วกว่าคนปกติทั่วไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันตรวจสอบให้มากๆ”

      

       ทั้งนี้ จากเอกสารวิชาการว่าด้วย “กรณีธรรมกาย” ที่สภาปฏิรูปพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (สปพช.) ได้จัดทำขึ้นมีรายละเอียดของพระไตรปิฎก ว่าด้วยเรื่องนิพพานเป็นอนัตตา ที่ธรรมกายได้มีการพยายามทำให้เรื่องของนิพพานเป็นอจินไตย ซึ่งแปลว่าสิ่งที่ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชน ที่มีอยู่ 4 อย่าง คือ พุทธวิสัย ฌานวิสัย กรรมวิบาก และโลกจินตา

      

       ความจริงคือ นิพพานไม่จัดอยู่ในอจินไตย 4 และเรื่องที่เป็นอภิปรัชญา เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงตอบ แต่จะทรงตอบในเรื่องที่ทำให้ดับทุกข์ได้เท่านั้น อันเป็นเรื่องที่ควรคิด ควรเข้าถึง ซึ่งนิพพานที่อยู่ในกระบวนการดับทุกข์ คือเป็นนิโรธอริยสัจ นิพพานจึงไม่ใช่เรื่องเชิงปรัชญา หรืออจินไตยที่ธรรมกายใช้เผยแผ่กัน

      

       สำหรับหัวใจสำคัญของเอกสารวิชาการดังกล่าวได้อธิบายว่า ลัทธิที่ถืออัตตาไม่ใช่คำสอนพระพุทธเจ้า ดังระบุข้อความในอภิ.ปุ.36/103/179 โดยพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ศาสดาที่บัญญัติอัตตาว่าเป็นของจริงแท้ทั้งในโลกนี้ และโลกหน้านั้นเป็นศาสดาประเภทสัสสตวาท คือ เชื่อว่ามีอัตตาที่เที่ยงแท้แน่นอน ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงบัญญัติอัตตาว่าเป็นของแท้ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า นั่นก็คือ อัตตาไม่มีอยู่โดยปรมัตถ์ มีแต่ในภาษาสมมุตนั่นเอง

      

       โดยอัตตาเป็นเพียงการยึดถือสภาวธรรมในหมู่ปุถุชน เพราะแท้ที่จริงแล้ว ตัวตนเป็นเพียงภาพความคิดที่เกิดขึ้นในใจ เป็นโลกความคิดซึ่งซ้อนบังภาพในโลกแห่งความเป็นจริงที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากสภาวธรรม เมื่อยึดถือหรือคิดเข้าใจอย่างนั้นก็เป็นอัตตทิฏฐิ (ความเข้าใจว่ามีอัตตาอยู่จริง) ซึ่งเมื่อละอัตตทิฏฐิได้ ก็จะเห็นสภาวะธรรม และเห็นนิพพานได้ในที่สุด อัตตาจึงเป็นแค่เพียงความยึดถือเข้าใจไปเองของคนเท่านั้น ไม่ได้มีอยู่แต่แรกแล้ว

      

       นี่คือความจริงของวัดพระธรรมกาย ซึ่งถึงเวลาที่พุทธศาสนิกชนจะต้องลุกขึ้นมาทำอะไรกันอย่างจริงจังเสียที

….จบบทความ

 

พ่อครูว่า...ให้ตั้งสติดีๆ คุณกำลังตกเป็นเหยื่อ ยิ่งกว่าสมัยรัสปูติน นี่คือรัสปูตินสมัยใหม่ สะกดจิตเก่งหลอกไปได้ทั่วบ้านทั่วเมืองเลย ขอยืนยันว่าคือวิชาสะกดจิต อาตมาเคยทำมาเป็นแต่ไม่เอาวิชาพวกนี้มาทำชั่วเพื่อสร้างบริวาร

 

เรื่องที่อาตมาเห็นแย้งคือ นิพพานไม่จัดอยู่ในเรื่องอจินไตย และ โลกวิสัยนั้นคนจะเข้าถึงโลกวิสัย ฌานวิสัย กรรมวิสัยก็คือคนที่อยู่เหนือโลกได้ มีฌานได้ ก็จะไม่ใช่เรื่องอจินไตยสำหรับคนนั้น แล้วเรื่องนิพพานนี่ไม่ใช่อจินไตย แล้วพุทธวิสัยก็มีแต่พระพุทธเจ้าที่รู้ แล้วอธิบายได้  อจินไตยคือเรื่องที่คนจะคิดเดาเอาไม่ได้ คิดนึกเอาไม่ได้ แต่ปฏิบัติเข้าถึงได้ แล้วนิพพานคือตัวดับทุกข์ เป็นสุดยอดอจินไตยเลย

 

 

อัตตาโดยเนื้อแท้แล้วสำหรับผู้ปฏิบัติได้แล้วก็ไม่มี แต่โดยสมมุติแล้ว อัตตาเป็นเรื่องที่มีอยู่ แต่โดยตัวของมันเองมันไม่มี แต่คนอวิชชา หลง อ่านความยึดติดอัตตาตนเองไม่ได้ก็เลยคิดว่าอัตตาไม่มีหรือไม่รู้ว่าอัตตามี คนที่ล้างอัตตาได้ จะรู้ว่าอัตตาไม่มี แต่จะรู้สมมุติว่า ต้องอยู่กับอัตตา อาศัยอัตตาอย่างสมาทาน มีการยึดไว้อย่างมีปัญญา มีเจโต จะวางปล่อยเมื่อไหร่ก็ทำได้ คนที่เข้าถึงจะทำได้ แต่โดยแท้จริงสูงสุดในปรมัตถ์อัตตาไม่มี แต่มีอยู่ในภาษาสมมุติและคนที่เขายึดติดอัตตาอยู่จริงก็มีสำหรับเขา เพราะเขาไม่มีความสามารถปล่อยอัตตาที่เขามีได้

 

ยกตัวอย่างในโลกมีคำโกหก มีคนโกหกอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง แต่คำโกหกไม่ใช่ของจริง อัตตามันก็มีอยู่ คนก็ยึดอยู่ อาศัยอยู่ แต่คนที่หมดความยึดอัตตาก็อาศัยได้ ผู้บรรลุธรรมแล้วตนเองอาศัยนิดหน่อยเท่านั้น แต่มีสมรรถภาพ ทำงานได้มากกว่าตนกินตนใช้เป็นคนมีประโยชน์ต่อโลก

 

คนที่ละอัตตาได้แล้วจะไม่พูดว่า “ อัตตาจึงเป็นแค่เพียงความยึดถือเข้าใจไปเองของคนเท่านั้น ไม่ได้มีอยู่แต่แรกแล้ว” วิชชาของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ว่าจะล้างได้พรวดเดียวหมด ต้องมีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย จัดกรอบตัดกรอบของตนเอง ทำได้แล้วจะรู้โครงสร้างเป็นโมเดล แล้วค่อยขยายโมเดลไป ธรรมะพระพุทธเจ้าราบเรียบไม่มีอะไรขรุขระเหมือนชายฝั่ง ผู้ใดปฏิบัติไม่เป็นลำดับไม่มีทางหมดเกลี้ยง

 

แค่คำว่า ถวายเข้าพระพุทธเจ้าได้ก็เป็นเรื่องอัตตาแล้ว แล้วที่เขาทำอย่างอื่นอีกอุตริมาก ไม่ใช่อุตริมนุสธรรมนะ อาตมาพูดนี่ไม่ได้ตั้งตนเป็นศัตรูกับธรรมกายนะ

 

คำสามคำนี้ ใกล้เคียงกัน แต่สภาวะนั้นต่างกันมากเลย คือ อารยะ อริยะ และอาริยะ

 

อริยะจะแบ่งเป็น 2 ประเภท

1.ประเภทป่าชัดๆ

2.ประเภทเมือง คนโลกๆชัดๆ

3.ประยุกต์ป่าและบ้าน อย่างธุดงค์ธัมชัยนี่ประยุกต์ใช้ เลวร้าย พวกป่าก็หลอกได้แต่คนชอบป่า พวกเมืองก็หลอกได้แต่คนชอบเมือง แต่นี่หลอกได้ทั้งสองแบบนะ

 

อารยะคือโลกาธิปไตย อำนาจที่รวบรวมความเป็นโลก โลกมี ลาภ ยศ สรรเสริญ กามสุข อัตตทัตถสุข

 

อัตตทัตถสุข ก็แยกเป็นพวกจิตนิยมหรืออัตนิยม subjective

 

อีกพวกคือโลกวิสัย เป็น objective พวกนี้จะถูกข่ม โดยพวก subjective โลกปุถุชนจะมีอำนาจทางโลก วัตถุ ทรัพย์สิน บงการ ใช้ซื้อเลย เขาก็ซื้อกันอยู่ ทุกวันนี้พยายามสร้างอำนาจให้แก่ตน เขาก็พยายามพิมพ์เศษกระดาษมาเป็นเงินให้คนรับรองเขา แล้วเอามาซื้อสิ่งของให้ประเทศตน จนแม้ประเทศตนไม่มีทองคำเป็นสิ่งประกัน เขาก็ปั๊มเศษกระดาษออกมาทั่วโลก สักวันมันจะแตกออก ตอนนี้ก็แข่งกัน ระหว่าง หยวน กับดอลล่า ใครจะใหญ่

 

อารยะแปลว่าผู้เจริญผู้ประเสริฐ แต่ไม่รู้จักจิตวิสัย เรียนรู้ได้แต่ consciousness เข้าสู่ subconsciousness หรือ unconsciousness ไม่ได้ คนที่จะเข้าถึง  unconsciousnessต้องเป็นระดับอาริยะ สามารถอยู่เหนือได้ไม่เป็นทาสกิเลสพวกนี้ ชาวอโศกเป็นได้ เรากล้ารับรองว่าเราอยู่เหนือโลกธรรมได้ ไม่หลงใหล ถ้าจะได้ลาภ ยศ ได้มาก เช่นหาเงินได้เดือนละ 1 ล้าน เราก็มีได้แต่ไม่ติดยึด เราสะพัดให้คนอื่นแล้วเราไม่จำเป็นต้องมีเงินล้านก็ได้ แต่ถ้าคนติดเงินล้าน เป็นทาสคือจะไม่ยอมเสียเงินล้าน ถ้าคนไม่เป็นทาสก็ไม่หลง สามารถสร้างทำได้แต่ไม่หลงยึดติดเงินล้านนี้ จะมีกี่ล้านก็ตามก็เป็นจริงได้ ไม่ติดยึดได้จริง คือคนพ้นทาส โลกธรรมในด้านลาภ

 

ยศ คือขอบเขตอำนาจในการปกครองบริหาร ผู้ใดได้ยศมาเท่าที่ตนได้รับมองแต่งตั้งมา  แต่ทำงานได้ตามกรอบ คือทำงานไม่ได้หลงเอายศมาล่าลาภ เบ่งทับคนอื่น ผู้รู้จักยศก็คือการได้อำนาจทำงานกรอบนี้เป็นผู้รับใช้ไม่ใช่ให้เอาไปเบ่งข่ม มีแต่ทำให้ดี ผู้นี้อยู่เหนือยศ แม้จะไม่ได้รับแต่งตั้ง แต่คนนี้ทำงานได้ก็คือมียศโดยธรรม เป็นคนดูแลคนเป็นร้อยคน ก็คุมคนเป็นกองร้อย เป็นนายร้อย แล้วทำงานโดยตนไม่เอาจากคนอื่น จัดสรรทรัพยาการอย่างเหมาะสม คนไหนต้องใช้มากจำเป็น หรือคนไหนต้องใช้น้อย ก็ให้ตามสัดส่วนจำเป็น เด็ก คนป่วย คนชรา ก็จะเข้าใจ หรือคนนี้สมรรถภาพต่ำกว่าเราก็ต้องให้คนด้อยกว่า

 

แม้มีสรรเสริญก็ไม่ติดสรรเสริญ ผู้รู้จักกามคุณ 5 อยู่เหนือกามคุณ 5 ได้ มันเป็นนามธรรม รสติดยึดรสอร่อยทางทวาร ไม่มีจริง รสชื่นใจในรูป ในกลิ่น ในเสียง ในรส ในสัมผัส มันไม่มีจริง คุณยึดทั้งนั้น สามารถสัมผัสได้ถึงจุดก็ไคลแมกซ์ก็รู้แล้วไม่ต้องเอาอย่างนั้นได้แล้ว จิตก็หมดความยึดติดในสุขได้ แม้อัตตาก็ล้างมาตามลำดับ อย่างอนาคามี หมดกามแล้ว มีแต่อัตตา อนาคามีรู้อัตตาจริง รู้จักจิตแท้ อาศัยจิต ยึดจิต เหลือเชื้อ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ที่เหลือเชื้อ จึงเป็นผู้รู้จักอัตตาจริง รู้สิ่งที่อุบัติอยู่ รู้จักอุปปาติกะ ก็เรียนรู้ล้างไปจนหมดเป็นอรหันต์จะไม่มีอุปปาติกะ แต่จะรู้จักใช้อุปปาติกะ อนาคามีจะมีอุปปาติกะ อยู่ จึงเรียกอนาคามีว่าเป็นผู้อุปปาติกะ

 

ในอารยะ คนเจริญที่ว่านี้เข้าใจจิตเจตสิกไม่ได้ เข้าใจแค่จิตสำนึก ระดับจิตใต้สำนึกหรือไร้สำนึกเข้าใจไม่ได้ เข้าถึงไม่ได้ ซึ่งอัตตานั้นมีหลายระดับ โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา คนที่ล้างอรูปอัตตาได้ก็จะกลับมาอยู่กับมโนมยอัตตา กลับมาอยู่ที่การทำจิตสำเร็จได้โดยตน มโนมย คือทำจิตสำเร็จ ถ้าอรหันต์จะยังอยู่ ก็มีตน อัตตทิฏฐิ (ความเห็นของคนที่เข้าใจ รู้อัตตา) ผู้ใดปฏิบัติแล้วอ่านสภาวธรรมของอัตตาว่ามันทำงานอยู่ แล้ว ผู้นี้เรียกว่าอัตตานุทิฏฐิ คือผู้รู้เห็นตามเห็นทิฏฐิของตนได้ จึงเป็นคนที่จะลดอัตตา ลดกิเลสได้

 

ส่วนอารยะนั้นอัตตาระดับจิตสำนึกเขาก็รู้ไม่ชัด อัตตาระดับกลาง จิตใต้สำนึกก็รู้ยาก ส่วนอัตตาระดับจิตไร้สำนึกเขาไม่มีสิทธิ์รู้จัก แต่อัตตาทุกอันเป็น potential energy คุณยึดอย่างอกุศลจิตมันก็มีผลบังคับคุณตลอดเวลา คุณสู้มันไม่ได้หรอก อารยชนจึงอยู่ในระนาบกว้างไม่ลึกถึงจิต แต่ปรุงแต่งเก่ง โลกธรรมก็ใช่เก่ง สร้างโลกมาทับถมโลก พวกอบายมุขนี้อารยมนุษย์จะไม่รู้ ทุกวันนี้ นายเต้นแร้งเต้นกานี่รวยชะมัด เขาก็หลงส่งเสริมอบายมุขกัน เขาก็หลงซาดิสม์และมาซูคิสม์ อีกพวกหนึ่งก็หลงใหล romanticism ปรุงแต่งหวานจ๋อย มีทั้งสองทิศเลย จัดจ้านแน่นแรง โลกอารยะไม่รู้ แล้วใช้สิ่งเหล่านี้มาเป็นเครื่องมือหากินด้วย ใครมีนักกีฬาเก่งๆก็ขายได้แพงๆ ทั้งที่ไร้สาระทำลายรุนแรงเขาก็กลับส่งเสริม นี่คือโลกอารยะ หรือนักธุรกิจหาเงินได้เก่งมีวิธีการเรียกค่าลิขสิทธิ์แพงๆ นี่คือโลกอารยะทุกวันนี้จึงได้เปรียบกันมหาศาล แล้วเขาก็ตั้งเป็นกฎเกณฑ์โลกเลย เราจะไม่ตกเป็นเหยื่ออารยะคือเราต้องเลิกละ อบายมุข ธุรกิจการค้าคือความรวย และธุรกิจการเมืองคืออำนาจ อย่าไปตกในวงจรเขา เราก็หลุดพ้นออกมา คนเขาโกงเก่ง จะมีเหลี่ยมมุมอย่างไรก็เอามาโกง จนคนเขาเรียกว่า ไอ้หน้าเหลี่ยม แล้วเอาอำนาจการเงินการบริหารยังไม่พอก็เอาอำนาจทางศาสนาอีก อารยธรรมทุกวันนี้ใช้ทั้งโลกและศาสนามาหลอกคนเลย ผู้เรียนรู้ทันก็จงออกมาจากวงจรอารยธรรม

 

ผู้ที่เข้าใจว่าตนไม่ควรตกในอำนาจอารยธรรม ก็ดีแต่ว่าไม่มีวิธีออก ก็หนีเลย คือพวกอริยะ หนีลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เรื่องกามก็กดข่มไว้ ไม่รู้จักอัตตา หนีลาภ ยศ สรรเสริญและกามมีวิธีสะกดจิต หรือลืมตาสะกดจิต พยายามไม่ยุ่งเกี่ยว ก็ทำได้มีผลสำเร็จ แต่ไม่มีการเรียนรู้ทางจิตวิเคราะห์ จิตเจตสิก รูป นิพพาน เขาไม่รู้รายละเอียด ไม่รู้จักเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย

 

ไม่รู้จักวิญญาณจริงที่เกิดจากการกระทบสัมผัสทาง ทวารทั้ง6 เลย ไม่รู้จักผัสสะ 3 ไม่รู้ ปสาทรูป โคจรรูป แล้วมีผัสสะเกิดวิญญาณ เป็นภาวรูป ก็ไม่รู้ เมื่อเขาไม่เรียนรู้ก็ใช้วิธีสะกดจิต หลับตา ดับหลับเขาไป สายหลับตาสำเร็จ ได้การสะกดจิตแต่ไม่มีความรู้โลกีย์เลย อยู่กับอัตตาตนเองเต็มบ้อง นี่คือสายหนึ่ง สายอริยะ ป่า อริยฤาษี

 

อีกสาย อรยะลืมตา สายอริยะบ้าน สายนี้ก็พยายามสะกดจิตตนเองก็ไม่เอาลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขเหมือนกัน แต่ไม่จิตวิเคราะห์ psychoanalysis ไม่มีการเรียนรู้อย่างชาวพุทธสัมมาทิฏฐิ ผู้ที่เป็นพระบ้านก็ใช้วิธี รู้ นิ่ง เฉย สะกดจิตตน ไม่รู้อัตตาซ้อน เสพไปตามบารมี พอเป็นไปได้ ถ้ามีปฏิภาณดีๆก็ว่าสะสม กามคุณ มากๆเขาไม่ยินดีกันนะก็ซุกซ่อนซับซ้อน ได้ระดับหนึ่งก็ของตนเองทนได้ แต่ก็จะทนไม่ได้ต่อไปเมื่อมันมากๆขึ้น จึงใช้ฉลาดแกมโกงหลอกชาวบ้าน คือพวกพระบ้านประยุกต์ เอา subjective และ objective มาผนวกกัน ทั้งอัตวิสัยและโลกวิสัยมารวมกัน โดยการสะกดจิต พอคนถูกสะกดจิต เขาก็ไม่รู้ว่า คนสะกดเป็นเจ้านาย แล้วถูกใช้ให้ไปทำงานเอาเงินมาถวายวัดธรรมกาย นี่ก็คราวก่อนก็ปาราชิกไปแล้ว 900 ล้าน คนร่วมกันทำก็ปาราชิกกันทั้งพวง นี่ก็มาอีกคดี 700 ล้าน ให้มีนายหน้าทำ แต่จำนนด้วยหลักฐาน ปาราชิกไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ทำไมเขาไม่กลัวบาปกรรมเลย ไม่กลัววิบากเลย แล้วดันมารู้ด้วยว่า ใครตายแล้วเป็นอะไร เก่งฉิบหาย คนอะไรรู้กรรมวิบากแต่ไม่กลัวกรรม สรุปว่าเขาไม่รู้เรื่องกรรมวิบาก ไม่รู้กรรมชั่วกรรมดี ก็เลยพูดออกมาอย่างย้อนแย้ง คือมันทำลายศาสนาพุทธนะ อย่ามาหลงเทวทัตเลย เทวทัตเขายังไม่ใช้เทคโนโลยี่อย่างนี้ ใช้ psychology ก็เก่งนะ อาตมาสู้ไม่ได้เลยไม่เก่งใช้เล่เหลี่ยมอย่างนี้ ใช้ทั้งเทคโนโลยี่และ psychology ต้องใช้ศัพท์ว่า เก่งฉิบหายนะ ที่พูดนี่เจตนาดีว่าหยุดเถอะ คุณหาเวรภัยต่อตนทั้งนั้น อาตมาพูดอย่างจริงใจ ว่าให้หยุดเถอะ อาตมาไม่ได้ไปทำด้วยกับคุณนะ สงสารจึงต้องติงเตือนนะ คุณจมลงไปในสังสารวัฏนะ ให้ตั้งสติกันดีๆอย่าหลงเป็นทาสที่ปล่อยไม่ไป

 

ใครร่วมมือกับเขาก็คือมอบตนในทางผิด พระพุทธเจ้าให้หลีกออกจากคนพาล มาอยู่กับบัณฑิตให้ได้ อย่าไปร่วมพูด ร่วมคิด ร่วมทำ เริ่มต้นไม่ร่วมทำได้เบื้องต้นแล้วต่อไปก็ไม่พูดส่งเสริมให้คะแนนทางโน้น จนกระทั่งสามารถพูดต้าน พูดลบ พูดปฏิกโกสนาคือคัดค้านอย่างแรง อาตมาถือว่าเป็นนานาสังวาสนะ แต่ถ้าอาตมาถือว่าพรหมทัณฑ์ก็จะไม่พูดด้วยไม่บอก ถ้าระดับนานาสังวาสอาตมาทำขนาด ปฏิโกสนา แต่ไม่ทำถึง อุโกฏนา คือไปฟ้องร้องเอาเรื่องเอาราวไม่ได้ อาตมาใช้แค่มุขสตี ปากพูดตำหนิเท่านั้นไม่ได้ไปทำถึงถูกเนื้อถูกตัวไปตบตี ตบเบาๆก็ไม่ทำ เพราะเหมือนกระเทย ทำแค่ปากหอก ไม่ได้ละเมิดคำสอนพระพุทธเจ้าเลย เพื่อสาธยายชี้แจงให้เข้าใจสัจจะ

 

 

วันนี้เป็นวันสำคัญระลึกถึงรอบที่เราได้ทำสงครามทางโลกมาแล้ว ก็มารบกันทางศาสนา ทางธรรม ซึ่งไม่แบกอาวุธ ระเบิดปืนมา แต่เขาใช้แค่ มุขสตี เท่านั้น

 

อาตมาจริงใจในเรื่องธรรมะของพระพุทธเจ้า ทางเถรวาทไม่เข้าใจโพธิสัตว์ ซึ่งเถรวาทเข้าใจว่าโพธิสัตว์คือปุถุชน แต่ที่จริงแล้ว โพธิสัตว์คือผู้ที่มีภูมิตรัสรู้ คือรู้ตามคำสอนที่พระพุทธเจ้าตรัส ปฏิบัติมีสภาวะ เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ นี่คือความรู้ที่ตรงกับพระพุทธเจ้าสอนมา ตรวจสอบแล้วตรงกัน นี่คือผู้มีความตรัสรู้ ทีภาษาบาลีว่า โพธิ ไม่ใช่ว่าโพธิสัตว์คือสัตว์นอนกินใต้ต้นโพธิ์ หรือเป็นปุถุชน ไม่มีการบรรลุธรรมพระพุทธเจ้า

 

โพธิสัตว์นับตั้งแต่โสดาบัน ที่ทำกิเลสลดได้ แม้แต่ตัวใดตัวหนึ่ง คือสักกายะของตน เป็นรูปนามที่ปรุงแต่งกัน ผู้ที่รู้แจ้งการสังขารไม่ให้รูปนามปรุงแต่งกันเป็นสุขเป็นทุกข์แม้กิเลสตัวใดตัวหนึ่งก็เป็นโพธิสัตว์ระดับที่ 1 เป็นโสดาบันโพธิสัตว์แล้ว สูงขึ้นไปก็เป็นสกิทาคามี แล้วเป็นโพธิสัตว์ระดับสอง สกิทาคามีโพธิสัตว์ จนล้างกิเลสกามภพหมด ดับเหตุมันได้เหลือแต่เศษภายในเป็นรูปราคะ อรูปราคะ ราคะคือเชื้อของการเสพรส ส่วนกามคือการเสพรสในวัตถุแท่งก้อน เมื่อล้างกามภพก็เป็นอนาคามีโพธิสัตว์ระดับที่ 3 จากนั้นสูงขึ้นอีกเป็น อรหันตโพธิสัตว์(ระดับ 4) แล้วไม่ได้ปรินิพพานก็จะเป็นอนุโพธิสัตว์(ระดับ 5) ซึ่งโพธิสัตว์ระดับต้นจริงๆคือ โสดาฯ ถึงอรหันต์ พอเป็นอรหันต์ได้ก็มีสิทธิ์ปรินิพพาน

 

จากนั้นสูงขึ้นเป็น อนิยตโพธิสัตว์(ระดับ 6) ชาติแล้วชาติเล่า สอบเข้าโรงเรียนเป็นพระพุทธเจ้ายังไม่ได้ จนกว่าจะเป็นนิยตโพธิสัตว์ (ระดับ 7) ก็เรียกว่าสอบได้แล้ว แต่ว่าไม่ใช่ว่ารีไทร์ไม่ได้นะ คือเลิกเองก็ได้ หรือทำผิดระดับหนึ่งก็ต้องออกไป  ขึ้นสู่มหาโพธิสัตว์(ระดับ 8) ไม่ได้ ซึ่งสอบซ่อมไม่ได้

 

ซึ่งระดับมหาโพธิสัตว์นั้นจะออกได้ก็ต้องเฉพาะตนเองออกเท่านั้น ถ้าใครมีอนันตริยกรรมก็ได้สูงสุดแค่นี้ไม่สามารถประกาศศาสนาได้ เป็นแค่ปัจเจกพระพุทธเจ้า ไม่มีสิทธิ์เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่นเดียวกันกับการต้องไม่ทำวิบากให้เป็นผู้หญิงไปตลอดกาล จะไม่สามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้ อย่างกวนอิมนี่เป็นผู้หญิงตลอดกาลเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ เป็นอจินไตยที่พูดในวันนี้

 

ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ใช่ศาสนาแบบเทวนิยม ที่ว่าพระเจ้าเป็นผู้ที่สั่งการทุกอย่าง ทุกคนไม่มีสิทธิ์เป็นอย่างพระเจ้าแล้วพระเจ้าก็ให้พระบุตรเท่านั้นเป็นคนประกาศ แต่ว่าของพุทธนี่ทุกคนเป็นได้อย่างพระพุทธเจ้า แล้วสอนฟรีด้วยนะ ใครจะมาสมัครบ้าง น่าสมัครนะ ใครอยากสมัครเป็นโพธิสัตว์บ้าง ของพระพุทธเจ้านี่ใครจะเป็นพระบุตรก็ได้ เป็นลูกพระพุทธเจ้าได้ไม่ปิดกั้น สร้าง DNA พุทธได้ โสดาบันเริ่มมีเชื้อแท้ได้ สกิทาฯก็ได้ DNA แท้มากขึ้น ยิ่งเป็น อนาคาฯ อรหันต์ก็ยิ่งแท้ เป็นอนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ มหาโพธิสัตว์ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เป็นระดับที่ 9 แล้ว จะต่อไปหรือไม่

 

ผู้จะสูญเด็ดขาดไม่ต่อ ก็ไม่มี เลข 1 ต่อ, ตัด 0 เลิกสลาย แต่ถ้าจะต่อก็เริ่ม 11 ต่อไป เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนไปเรื่อยๆ ไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ใดขอเป็นพระพุทธเจ้าสองสมัยนะ อย่านึกว่าไม่เมื่อย ไม่ยากนะ ผู้ที่รู้จัก ภาราหเว ปัญจขันธา  นี่ก็จะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องเล่นนะจะอยู่กับคนเลวร้าย อาตมาไม่เป็นโพธิสัตว์นานหรอก หากถึงเวลาเป็นพระพุทธเจ้า แล้วจะเป็นพระพุทธเจ้าสมัยเดียวเท่านั้น...จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:38:07 )

580219

รายละเอียด

580219_ความรัก10มิติ(18) สังคมพุทธ ไม่หยุดเอาภาระ

พ่อครูว่า..วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 19 ข.2 ค่ำเดือน 4 ปีมะเมีย วันที่ 19 ก.พ. 2558 เวลาผ่านไปๆ อาตมาก็ถอนหายใจทุกทีบ่นแต่เรื่องเวลา เพราะว่าวันๆหนึ่งที่่ผ่านไปๆ อาตมาเห็นว่าเป็นเวลาที่มันน่าเสียดายที่เราไม่เก่ง เราทำประโยชน์ให้แต่ละเวลา วินาที มันเกิดงานอะไรที่เป็นสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน ทำแล้วก็ไม่เก่ง อาตมานี่ทำแล้วก็แก้แล้วแก้อีก ไม่เก่ง มันก็เลยเสียดายเวลา เพราะเราเองไม่เก่ง มันน่าจะทำอะไรได้ดีๆ แล้วเป็นประโยชน์ทิ้งไว้ในโลก ใครจะเอาก็เอาใครไม่เอาก็ทำไว้ อาตมาแน่ใจว่าสิ่งที่เราทำไว้มันไม่เน่า แล้วก็คิดว่าคงจะมีคนเก็บไว้ เอาไว้ทำประโยชน์ เอามาไว้เพื่อศึกษาสืบสานเอาไว้บ้าง ก็คงไม่ขี้เหร่จนคนทิ้งขว้าง เหมือนกับคนที่เขาทำไว้เยอะ พอตนตายก็ไม่มีส่วนเหลือเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติได้ คนที่เป็นเช่นนั้นเยอะ ชีวิตเกิดมาทำอะไรเหลือค้างไว้แก่โลกไม่ค่อยเป็นสาระที่ยืนนาน สาระสำคัญที่คนเอามาใช้ แล้วก็เอามาใช้อยู่ รักษาเป็นคุณค่า

 

ตัวอย่างพระพุทธเจ้าหรือปราชญ์ศาสดาเอกมากมาย แต่ว่าคนเรานี่เกิดมาตายไปไม่รู้กี่ล้านๆๆๆคน หมุนเวียนไป คนที่ทำงานแล้วก็เหลือสมบัติ เหลือความรู้ ผลงาน ก็ดี ที่เหลือไว้แล้วเป็นแหล่งที่จะขยายความรู้ ประโยชน์ให้แก่คนรุ่นหลังๆๆได้ มีไม่เท่าไหร่ ในคนที่มาเกิดในโลกไม่รู้กี่ล้านๆคน ปัจจุบันคนมีประมาณ เจ็ดพันล้านคนในโลกนี้ เอาแต่ปัจจุบันนี้ก็ได้ เจ็ดพันล้านคน ที่บางคนก็ถือว่ามีคุณค่าเหลือเกิน คิดอะไรทำอะไรไว้แก่โลก แก่คนรุ่นต่อๆมา ไม่ว่าจะเป็นทางเทคนิค หรือคุณค่าทางมนุษย์ คุณธรรม อาตมาเห็นว่า คุณค่าทางเทคนิค จะถูกคนรุ่นใหม่กลบๆๆ น้อยที่จะเป็นความรู้ต้นทางหลัก นอกนั้นก็ถูกคนใหม่ทำได้ยิ่งกว่ากลืนหายไป ส่วนความรู้ทางคุณธรรม สำหรับมนุษย์ต้องอาศัยศึกษาฝึกฝนให้แก่ตน อาตมาว่ามีมากกว่า แล้วยืนยงยืนยาวกว่าด้วย เท่าที่ดูประวัติศาสตร์บันทึกมา หลายร้อยปี ก็เป็นความเป็นอย่างที่พูด ทางเทคนิคไม่ยืนนาน แต่ความรู้ทางด้านคุณธรรม หลายแง่หลายเชิงมาก เยอะ แล้วยาวนานมาหลายพันปีมีไม่ใช่น้อย ที่ยังยอมรับเอามาใช้ในชีวิต มากน้อยก็แล้วแต่

 

แต่ถ้าคนที่เห็นความสำคัญของความเป็นคน ความรู้เทคนิคเราก็เอามาใช้ได้ แต่ความรู้ทางธรรมะสิ คนส่วนใหญ่ สามัญสำนึก ถ้าถามจริงๆแต่ละคนๆ ว่าความรู้เทคนิคกับความรู้คุณธรรมอะไรสำคัญกว่ากัน เขาก็ตอบว่าคุณธรรมสิสำคัญกว่า แม้แต่เขาจะหลงเทคนิค เขาก็จะตอบว่าคุณธรรม เขาตอบได้ แต่เขาไม่ได้เอาชีวิต เวลาไปทุ่มเทให้คุณธรรมเท่าไหร่เลย เขาไปเพ่งทางเทคนิคมากกว่าทางธรรม เขาเน้นน้อยกว่า เพราะอะไร? เพราะกิเลสมันใหญ่ ความรู้จริงโดยสำนึก ปฏิภาณรู้ว่าอะไรดี แต่ก็สู้กิเลสไม่ได้ ก็ลองทบทวนตัวเองดู

 

แต่ก่อนหรือแม้ปัจจุบัน เรารู้ว่าอันนี้ไม่ดี อันนี้ดี แต่ว่าจริงๆเราแพ้มันไหม?แต่ก่อนเราแพ้มันมาก อย่างไม่ได้ทบทวนเลย พอเรามาได้สนใจธรรมะเราก็ยังได้ทบทวน ยังได้ลงโทษตำหนิตนเองบ้าง พอมาศึกษาจึงรู้ ที่แพ้แล้วทบทวนก็เพราะมีกิเลสนี่แหละ กิเลสนี่มันไม่ใช่เล่นๆ ไม่ง่ายเลย

 

ทีนี้กิเลสนี่มันแฝงมันซ้อน ถ้ากิเลส อยู่ในสายโทสะ พอเข้าใจว่า มันทำลาย ยิ่งทุกวันนี้เข้าใจมากเลยว่าทำลาย ในโลกก็เข้าใจ เขาก็พยายามลดความรุนแรงทั้งโลกเลย ตามลำดับ แต่ว่าเขาก็ยังไม่เข้าใจชัดเจนว่าอะไรคือความรุนแรงแท้จริง ก็ไม่รู้ว่าพฤติกรรม หรือการกระทำที่ยังสนับสนุนส่งเสริม สร้างความรุนแรง เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจ สังเกตดูนะว่า ชาวอโศกเรานี่ เราเรียนรู้ฝึกฝนรวมตัวกันมา 30 – 40 ปี ที่เราได้ผ่านมา พวกเราสังเกตดีๆอ่านดูปรากฏการณ์จริง ว่าพฤติกรรมทางรุนแรงเรามีมากขนาดไหน อย่างเทียบกับข้างนอกเขาที่เราได้รู้ข่าวคราว ข้างนอกเขาไม่ได้หมดไม่ได้น้อยลงเลย เพราะเขาเข้าใจแนวละเอียดซับซ้อนไม่ได้ แล้วให้คนตกอยู่ในภาวะรุนแรง เป็น ซาดิสม์ และมาซูคิสม์ มันชอบหรือเห็นว่า หลอกกันจนสะใจชื่นใจ มันดี มันเป็นโลกียรส อาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้าให้พวกเราศึกษา ผ่านมา 30 – 40 ปี มีรายละเอียดให้เราประเมินผลว่า อาตมาประสพผลสำเร็จที่ลดความรุนแรงได้ ลดได้ถึงขั้นปาฏิหาริย์

 

ตรงไหนเป็นเครื่องชี้บ่ง ว่าลดความรุนแรงได้ถึงขั้นปาฏิหาริย์ ก็คือพาพวกเราไปใช้ความสงบ ไปปฏิบัติอยู่ในแวดวงที่เขาจะสร้างความรุนแรง วิจัยวิจารณ์ถึงด่าทอตำหนิแรงหนัก จนถึงขั้นต้องปราบปรามกัน เขาถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ต้องทำการปราบปราม แทนที่จะมีฝีมือ ก็ปราบโดยความรุนแรงเพื่อให้สำเร็จผล แต่สุดท้าย เราทำสำเร็จ ความสงบ สยบความรุนแรงสำเร็จ อาตมาถือว่าปาฏิหาริย์ ใครจะบอกว่าเพราะเหตุนั้นเหตุนี้ แต่อาตมาก็ว่าสำเร็จ เพราะเราไปนี่พยายามไม่ก่อความรุนแรง พยายามปรามกัน แต่ก็ต้องมีความแรงที่มีน้ำหนักให้เกิดผลได้ นี้เข้าใจได้ คนที่สามารถพูดอย่างนิ่มนวลแล้วให้คนแรงนี่หยุดแรงได้ ต้องมีบารมีมาก มันก็ต้องมีความแรงผสมบ้าง แต่ค่าเฉลี่ยนี้อาตมาเห็นชัดว่า พวกเรานี่ให้คะแนนได้เลย ว่าพวกเราสอบได้ไม่ได้ไปก่อความรุนแรงจริงๆ

 

เหตุการณ์ที่เราได้ผ่านมานี่ นี่วันที่ 10 อาตมาต้องไปศาลแขวงดุสิต คืออาตมายังถูกข้อหาฝ่าฝืน พรบ.ความมั่นคง ซึ่งข้อหานี่ที่จริงมีความซับซ้อนมากเลย แม้อาตมาฝ่าฝืนพรบ.ความมั่นคง ที่เขาห้าม แต่มันน่าจะมีความเข้าใจว่า อาตมาฝ่าฝืนไปทำไม ความมั่นคงนี่เป้าหมายหัวใจคือเขาต้องการรักษาความสงบ ไม่ใช่จะต้องการสร้างความรุนแรง เราเองไปทำงานเพื่อให้เกิดความสงบ จนมีน้ำหนักสยบความรุนแรง แล้วเราก็ทำได้ด้วย เขาจะรู้ได้ไหม นี่คือปาฏิหาริย์เกินสามัญ

 

อาตมาว่า พรบ.ความมั่นคงนี่มีเนื้อหารักษาความสงบเรียบร้อยนะ แล้วอาตมาก็พาทำเช่นนั้น ประเมินแล้ว อาตมาว่าได้พยายามสร้างองค์ประกอบศิลป์และศาสตร์ให้สร้างความสงบสยบความรุนแรงจริงหรือไม่ ไม่ได้ทำเพื่อเสริมหนุนให้เกิดความรุนแรงเลย เทียบกับกลุ่มใดๆก็ได้

 

แม้แต่ในปี 2553 เราก็ใช้ความสงบ ที่จะมาสยบ ความเคลื่อนไหวที่มีทีน่าจะรุนแรง แต่ปี 2557 นี่เหตุปัจจัยมันตอบได้เลยว่า “ความสงบ สยบความรุนแรงได้” เป็นปรากฏการณ์จริงของมนุษยชาติ ที่มาปรากฏให้เห็นให้ได้ศึกษา เพราะอาตมามั่นใจว่าจะสร้างพฤติกรรมสังคม เพื่อให้เกิดประโยชน์คุณค่าแก่มนุษย์ อาตมาว่าตั้งใจทำเช่นนั้น

 

อาตมาพยายามสร้างบรรยากาศให้มันรื่นเริงบ้าง ไม่ให้มันเงียบเหงา ทั้งเงียบอย่างสดชื่น หรือเงียบอย่างไม่เหงาไม่ซึมเซา แต่ถ้าสภาพมันดูเงียบเหงาซึมเซาก็จะให้มีบรรยากาศคลายเครียดขึ้นมาบ้าง แต่โดยจริงแล้วก็ไม่ได้อยากจะทำมาบำเรอจิตตนเอง เพราะถ้าไม่ทำเช่นนั้นแล้วไม่เอร็ดอร่อยไม่รื่นเริงก็ไม่ใช่ โดยความหมายคือ คนที่ยังมีสุขกับการเล่น การเที่ยวก็ยังไม่เจริญเท่าไหร่ เวลาไปเสียกับการเล่น การเที่ยว คนเราหากเข้าใจ กรรมกิริยา พฤติกรรมในชีวิตแล้ว ไม่ต้องไปเที่ยวไปเล่นอะไร พระอนาคามีขึ้นไปก็เลิกเล่นเลิกเที่ยวแล้ว อานาคามีไม่ได้มีอารมณ์โลกีย์ ที่เกิดจากปสาทรูป โคจรรูป ว่าอันนี้เพลิดเพลินสนุก เป็นกามคุณแต่อย่างใด อนาคามีเหลือแต่อัตตา ส่วนเศษที่เหลือก็รู้ว่ามี แต่ไม่ได้ใช้เป็นเครื่องสนุกสนาน อนาคามีจะรู้ว่ากิเลสที่ตนเหลือเป็นอัตตกิลมถะ เป็นเรื่องลำบาก เป็นภาระ เป็นเรื่องถ่วง เป็นเรื่องไม่ได้พาเจริญอะไร อนาคามีขึ้นไป อรหันต์ก็ไม่แล้วเรื่องเที่ยว จะรู้ค่าของเวลา ศาสนาพุทธรู้ว่า เวลากำลังล่วงไปๆ บัดนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่ นี่ก็เป็นข้อเตือนสติที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ แล้วเวลาผ่านไปเราไม่ทำอะไร มันมีข้อต่อไปว่า กายกรรม วจีกรรมที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่อีก มีค่าไหม มีประโยชน์ไหม ยิ่งทำสิ่งที่ไร้ค่า ก็แย่แล้ว แม้ไม่ทำสิ่งไร้ค่า แต่คุณปล่อยเวลาไปเฉยๆทำไม

 

ถ้าเรารู้ว่าเราบำเรอตนเอง บำเรอด้วยกามด้วยอัตตา ต้องกำหนดรู้ อนาคามีหมดกามเหลือแต่อัตตา เมื่อหมดอัตตาอีกก็จบ อนาคามีเหลือแต่อัตตาไม่เกี่ยวกับโลกธรรมที่จะเอามาเป็นรสเลย ก็มีแต่อัตตาตนเอง ก็ไม่ต้องเที่ยว ไม่ต้องเล่น รู้อัตตาตนเอง ก็จะไปเสียเวลาบำเรอทำไม? จะรู้กรรมการกระทำ สัมมากัมมันตะ เราควรทำอะไร อะไรเป็นประโยชน์คุณค่า จะรู้พักรู้เพียร ชีวิตแต่ละวันก็เราไม่พักเราไม่เพียร คือผู้ข้ามโอฆสงสารได้แล้ว สูงสุดแล้ว

 

คำว่าอัตตานี่ การบำเรออัตตาอย่างโลกีย์มันจะต้องใหญ่ทั้งดิน น้ำ ไฟ ลม โลกธรรม นี่คืออัตตาทางอารยบุคคล ส่วนใหญ่ทางอริยะ คืออัตตาทางจิตใหญ่ เป็นอัตตาเต็มบ้อง มันเป็นนามธรรมเป็นตนเองมีศักดิ์ศรีมักน้อยสันโดษสุดโต่ง แล้วไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลกเลย มีประโยชน์น้อยกว่าก้อนดินก้อนหินอีก แล้วเขาก็ว่า มักน้อย แต่ว่าที่จริงมักน้อยสุดโต่งเป็นอัตตาเต็มบ้อง แต่ทุกวันนี้มีคนฉลาดแกมโกง เหมือนจะเป็นอาริยะ แต่ว่าเอาความเป็นโลกีย์ อารยะ บวกกับ อัตตาเต็มบ้องอริยะ ไปหลอกคน ไม่ใช่แบบมืดด้วยแต่เป็นแบบใส เป็นอาภัสรา แล้วผนวกเอากามและอัตตา มาสร้าง ออกแบบ ทุกอย่าง ออกมาให้มนุษย์ เป็นวิมานให้มนุษย์แล้วสำเร็จด้วย มีตัวอย่างให้เห็นของจริง เป็นตัวอย่าง แล้วมีฤทธิ์มากด้วย เป็นขั้นสร้างวิมานหลอกคนจนตนเองปาราชิกไปหลายครั้งแล้ว เพราะตนจะสร้างวิมาน ก็ไม่ประสีประสาในศาสนา ปาราชิกไปไม่รู้เท่าไหร่ อาตมากำลังตำหนิอย่างหนักไม่ได้ริสยาเลยนะแบบนั้น แต่พูดสัจจะเปิดเผยความจริงให้ผู้ใฝ่ดีใฝ่รู้

 

โลกทุกวันนี้เป็นโลกที่น่าสงสาร ต้องช่วยอย่างยิ่ง มากเลย อาตมาเองก็ทำงานมา ก็ขอบคุณพวกเราที่ช่วยกัน ทั้งแรงงาน ทุนรอน ความรู้ คนละเล็กละน้อย เห็นแล้วชื่นใจ น่าเอ็นดู พวกเราทำงานก็ไม่ได้เอาอามิสล่อด้วย พวกเราก็มีคุณค่ามีคุณธรรม จริงๆ ทำเพื่อล้างกิเลสตนเอง ยิ่งคนกิเลสลดแล้วก็มาช่วยกันอย่างจริงใจ สบายดีก็ยิ่งดีใหญ่ แม้ได้แค่นี้ก็มีรูปธรรมที่ยืนยันได้ เห็นชัด ในสังคมเรามีความถูกต้องดีงามก็ให้ช่วยกันรักษา อย่าให้เกิดความชั่ว ความเดือดร้อนเสียหายเลย เราก็อยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ มีทั้งผู้ที่ไม่แข็งแรงนัก อาจถูกอุปัทวะเหตุ กิเลสเราก็มาก เราก็ไม่แข็งแรงกดข่มไว้ ก็อาจพลาดพลั้งได้ มีคนเขียน อะไรมาให้อาตมาก็แจ้งกับพวกเราดู ให้ช่วยกันคนละไม้คนละมือ เขียนมาว่า

 

 

_ปัจจุบันนี้ทุกชุมชนชาวอโศกมีอุปกรณ์เทคโนโลยีใช้กันแพร่หลาย เด็กๆเราก็ไม่ให้ใช่ก่อนควร เพราะมันมีฤทธิ์แรงมีผีมีพิษภัยในนั้นมากจริงๆ สำรวจดูง่ายๆส่วนใหญ่มีโทรศัพท์มือถือที่ส่วนใหญ่สามารถใช้ได้มากกว่าแค่โทรฯ แม้แต่แค่โทรฯหากันก็มีพิษภัยพอสมควรแล้ว เราก็เลยไม่ให้เด็กมีโทรศัพท์ส่วนตัว ให้ใช้กับส่วนกลางได้เท่านั้น

 

แต่ที่บ้านราชฯนี้ ผู้ใหญ่ให้เด็กใช้โทรหรือเล่นได้อย่างเอิกเกริก เหมาะควรหรือไม่เหมาะก็มีบ้าง ที่สำคัญบางคนใช้โทรศัพท์เป็นสื่อให้เด็กมาคลุกคลีสนิทสนมด้วย บางคนไม่รู้ประมาณ ไม่ว่าจะเด็กตื้อหรือว่าผู้ใหญ่จงใจล่อให้เด็กมาก็ตาม ขอกราบนิมนต์หลวงปู่กำราบ ผู้ใหญ่ที่เอ็นดูเด็ก แต่ตนเองอ่อนแอ แล้วปรนเปรอเด็กแบบที่ตนเองอ่อนแอ แล้วเด็กก็หลงใหลเหยื่อเกม เหยื่อหนังให้คนติดด้วย ตอนนี้มีผู้เฝ้าดูติดตามพฤติกรรมผู้ใหญ่ผู้ชายที่ล่อให้เด็กสมุนพระรามผู้หญิงไปคลุกคลีด้วยในที่ต่างๆ ด้วยความห่วงใยก็กราบนิมนต์พ่อครูเตือนผู้ที่มีพฤติกรรมอ่อนแอเช่นนี้ให้ปรับตนเองซะ เพราะท่านอาจไม่รู้เท่าทันกิเลสตนเอง หากพลาดเข้าไปสักวันจะเสียหายไปหมดทั้ง บ้าน วัด โรงเรียน

 

เด็กๆในโรงเรียนของเราเติบโตในรั้วของศีล ผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะควรช่วยกันอบรมสั่งสอน (ไม่ได้ให้เพ่งโทสเด็กๆ) แต่ระวังสั่งสอนจนเด็กเอือมระอา หากผู้ใหญ่ประมาณไม่ถูกก็พึงให้ข้อมูลกับคุรุ ผู้ใดประมาณไม่ถูกก็ให้ข้อมูลต่อผู้ใหญ่ ทั้งทางตรงทางอ้อม ไม่ควรเอาข้อสันนิษฐานส่วนตัวไปพูดโดยไม่ระวัง จะทำให้เสียหายได้ แต่ไม่ได้ให้ปกปิด แต่ให้ช่วยกันบอก ขอพ่อครูชี้แนะว่าอย่างไรเรียกว่าไม่เพ่งโทส เพราะบางคนอยู่อย่างไม่เกี่ยวกับใคร ไม่เอาใจใส่สังคมเลย …

 

ตอบ...การให้ข้อมูลกับการฟ้องนี่ไม่เหมือนกัน การฟ้องนี่ ช่างฟ้อง ขี้ฟ้องคือการเอาเรื่องไปบอกผู้ที่มีอำนาจจัดการอย่างมีเจตนาให้ร้ายจะทำร้ายคนที่เราจะจัดการ แต่การให้ข้อมูลอย่างสุจริตถูกต้องเหมาะควรนั้นเป็นการให้ข้อมูลไม่ใช่การฟ้อง เราจะไม่ทำอย่างฟ้อง เราต้องทำอย่างให้ข้อมูลกัน เราเป็นสังคมรวม ทั้งหญิงชายรวมกัน ทุกวันนี้ไม่ใช่ยุคโบราณที่กิเลสไม่จัดจ้านเท่าสมัยนี้ แม้ผู้ใหญ่ก็แข็งแรงได้เท่านี้ ยังไม่แข็งแรงดีนัก ในพระวินัยสงฆ์ห้ามมีการปกปิดนะ นะเป็นอาบัติ

 

อาตมาทำงานเริ่มต้นมา 40 กว่าปีนี่ มีต้นทุนแล้ว ถ้าจะทำต่อไปจะมีอัตตาการก้าวหน้ามากกว่าเก่า ถ้าอาตมาได้ทำอีก 70 ปีจะเห็นหน้าเห็นหลังเลย ไม่ว้าจะด้านเศรษฐกิจ สังคม รัฐศาสตร์ หรืออื่นๆ เพราะเราไม่ได้เอาอามิส เอาโลกธรรมเอาฤทธิ์เดชอาเทสนาปาฏิหาริย์หรืออิทธิปาฏิหาริย์มาใช้ เหมือนบางสำนักรู้ไปหมดว่าใครตายไปเกิดเป็นอะไร รู้ไปหมด อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน ปาราชิกด้านเงินทองไม่พอ ก็ปาราชิกด้านอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตนเอง

 

เราทำงานฝึกฝนปฏิบัติให้จิตวิญญาณมีจิตวิญญาณพระเจ้า เป็นมิติที่ 7 ที่มีความรู้ตามมิติที่ 8 และ 9 อย่างแท้จริง ล้างความเห็นแก่ตัวตามความรักมิติต่ำๆมาเรื่อยๆ มาอยู่ฐานมิติที่ 7 ได้อย่างจิตเป็นจริงและมีปัญญาด้วย ความรู้ก็มีเท่านี้แหละ เขาก็จริงใจอยากให้มนุษยชาติเจริญก็มีแนวนี้แหละ เป็นสัจจะแนวเดียวกันแต่พลิกแพลงกันไปก็เลยเป็นสิ่งลดทอนไป สำหรับผู้ที่ไม่ได้สูตรที่สมบูรณ์แบบ อาตมาก็มั่นใจว่าทฤษฎีพระพุทธเจ้านี้สุดยอดแล้วอาตมาพาทำแค่นี้ก็พิสูจน์ได้ อาตมาว่าได้ไม่เหมือนกับสังคมกลุ่มไหนนะ ความรักของพระพุทธเจ้าต้องพยายามให้กิเลสหมดแล้วเป็นผู้ช่วยโลกมีเมตตาจริงๆไม่ใช่แค่มีแต่ภาษาพยัญชนะ ไม่ใช่แค่มาแผ่เมตตาเล่นๆ แต่มีภาวะจริง มีกรุณาก็ทำจริงลงมือจริง อาตมานี่พูดด้วยเมตตาจริงๆใจอาตมา ว่าเขาให้สะดุ้งสะเทือนสำนึก ที่ต้องว่าแรงๆเพราะว่าไม่แรงมันไม่เข้า ยิ่งเป็นศัตรูที่เขามาล้มล้างสิ่งดีเราก็น่าจะต้องช่วยกัน หรือเราก็ต้องบอกประชาชนให้ช่วยกันหน่อย ว่าเป็นเรื่องบรรลัยจักรของประชาชนเลย

 

เมตตาคือต้องการให้เขาแก้ไขสิ่งชั่วสิ่งผิด กรุณาก็ต้องทำ บางทีต้องเสียงช่วยด้วย แต่มุทิตาก็ยินดีเมื่อเขาได้ดี อุเบกขาก็ไม่ต้องยึดมั่นในความดีนั้น แต่เขาแปลกันไม่เข้าสู่เนื้อแท้ของพระเจ้า เป็นการลดทอนความเป็นพระเจ้า มีแต่ตื้นๆ เมตตาคืออยากให้เขาพ้นทุกข์ กรุณาก็อยากให้เขาเป็นสุข มุทิตาก็นั่งยินดีไปสิ แล้วอุเบกขาก็วางเฉยไป นี่คือความตื้นเขินของสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น..

 

_น้องเมย...หลวงปู่คะ ทำไมคนข้างนอกผู้หญิงทำไมอยากเป็นผู้ชาย ผู้ชายทำไมอยากเป็นผู้หญิง

ตอบ...ยุคนี้มันเยอะจริงๆ มันเกลื่อนไปหมดเลย แล้วก็เห็นเป็นเรื่องสามัญนะ พระพุทธเจ้าเห็นเป็นเรื่องจริงจังนะ ทั้งหญิงอยากเป็นชาย ชายอยากเป็นหญิงท่านเรียกว่ากระเทยทั้งคู่  ก็ตอบว่า โง่ ...เพราะมันอวิชชา ไม่รู้เท่าทันกิเลส กิเลสมันทำให้เราเบื่อสิ่งที่ตนเองมีอยู่ เพราะเขาหลอกกันว่ามีอะไรแปลกใหม่มาเรื่อยเลยถูกครอบงำความคิด แล้วทำไม? ก็เพราะว่า เขาไม่ได้รับการศึกษาที่ถูกต้อง แม้ว่าสังคมจะมอมเมา ดึงดูดกัน ให้เป็น จนมีอีกเพศคือเป็นได้ทั้งสองฝ่ายคือเสือใบ มันเป็นเรื่องวิตถาร อุตริ พิเรน พิลึก ถ้าพูดทางธรรมะคือจิตเขามีกิเลสมาก

 

_เพชรเวียงพุทธ...บรรลุธรรมคืออะไร?

ตอบ...คือ ธรรมแปลว่า ความดี บรรลุธรรมง่ายๆคือผู้นั้นทำความดีสำเร็จ นี่คือความหมายง่ายๆ แต่ความหมายลึกคือผู้ที่มาเรียนธรรมะ ทฤษฎีพระพุทธเจ้า เช่นว่ากิเลสคืออะไร กิเลสคือจิตอกุศล เรียนรู้ให้เห็นอ่านให้ออก แล้วมีวิธีให้กิเลสลดหรือออกจากจิตได้นั่นเรียกว่า บรรลุธรรม

 

_เพชรแสงธรรม เอกีภาวะคืออะไรครับ?

ตอบ..คำว่าเอก แปลว่าหนึ่ง เป็นที่หนึ่ง เป็นอย่างหนึ่ง ภาวะแปลว่าสิ่งที่เกิดขึ้นปรากฏขึ้น ทำได้สำเร็จ บางทีก็แปลว่า ความจริง ความจริงที่เป็นเอกีภาวะคือทำให้เกิดสภาพเป็นหนึ่งได้ ถ้าเรื่องสังคม คือสังคมนี้เป็นหนึ่ง คือสังคมนี้ไม่ทะเลาะกัน มีความเป็นปึกแผ่น พร้อมเพรียงกัน หรือสูงสุดคือ เป็นจิตที่เป็นหนึ่ง คือคนที่ทำให้กิเลสลดลงจนเกลี้ยง ไม่มีกิเลสเลย ไม่มีเพื่อนสอง เป็นจิตสะอาดหนึ่งเดียวไม่มีกิเลสเศษธุลีเลย คือเอกีภาวะคือสิ่งที่ปรากฏได้สูงสุดในจิต หรือว่าเป็นการทำสิ่งที่ทำได้ดีเป็นเลิศเป็นยอดเป็นที่หนึ่งก็เรียกว่า เอกีภาวะได้

 

_การเอาชนะใจตนเองทำไมมันยาก ทำยังไงจะเอาชนะได้ง่ายขึ้น?

ตอบ...มันยากเพราะขี้เกียจทำ ไม่เอาจริง ต้องศึกษา หลวงปู่ก็สอน องค์อื่นก็ช่วยสอน เพราะไม่ศึกษาดีๆให้เข้าใจดีๆก็จะทำได้ยาก เคล็ดลับคือตั้งใจศึกษาให้ดี แล้วจะทำได้ง่ายขึ้น ต้องพากเพียรขยันศึกษาและปฏิบัติ ฟังธรรม แล้วเอาไปปฏิบัติ ทั้งฟังทั้งอ่าน แล้วไปปฏิบัติด้วย

 

_อนาคามีสนุกก็เป็นได้ มีจิตอภิปโมทยัง จิตตัง เป็นผรณาปีติ เป็นเครื่องอาศัยของจิต แต่ไม่ถึงกับร่าซ่า ผู้ใดปฏิบัติสัมมาทิฏฐิจะเป็นอย่างที่ว่า อบรมกายสังขาร ให้ปัสสัมภยัง กายสังขารัง ลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งระงับให้กายสังขารที่มีกิเลสปรุงแต่งระงับได้ แล้วก็มาระงับ จิตสังขารอีก เมื่อระงับกิเลสในจิตสังขารได้แล้ว ก็หมดกิเลส มีแต่จิตอภิปโมทยังจิตตัง

 

ผู้ที่ศึกษาไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่เข้าใจว่ากายคืออะไร เวลาให้ระงับกายสังขารก็ไประงับที่กายร่างเนื้อไม่ให้กระดิกไม่เจ็บไม่ปวด กายสบายเบาเฉยๆ ไม่ทุกข์เขาก็เข้าใจเช่นนั้น ไม่ปวดไม่เจ็บไม่หนักเบาสบายกาย นี่คือเขาพิจารณากาย ความเป็นจริงแล้ว กายสังขารเป็นองค์ประชุมของรูป นามแล้วปรุงแต่งกัน ความเป็นกายจึงเกิด ในระดับของศีลของเรา เราก็กำจัดกิเลสให้กิเลสระงับในระดับของเรา พอกิเลสภายนอกเราลดได้แล้วก็เหลือระดับใน เหลือรูปราคะ อรูปราคะ เป็นภวตัณหาภายในอีก ให้เป็นปัสสัมภยัง จิตสังขารัง แต่ก็ต้องทำจิตใหัปัสสัมภยัง ให้มีอภิปโมทยังจิตตัง ให้เบิกบานร่าเริงเข้าไว้

 

_มีคำถามฝากมาว่า..._นมัสการค่ะ ขออนุญาตฝากท่านเรียนถามพ่อท่านว่า ทำอย่างไรไม่ให้เป็นผู้หญิงอีกในชาติต่อๆไปและทุกชาติค่ะ ถามถึงให้ถึงสุดสายป่านนะคือว่า สตรีเพศคนใดก็ตามแม้นบรรลุเป็นพระอรหันตฺ์ แล้วในขาติหนึ่งแล้วเขาตั้งจิตบำเพ็ญไปเป็น พระพุทธเจ้าด้วย ตายจากร่างกายในชาติที่สตรีเพศคนนี้

ทำให้แจ้งแล้วในความเป็นอรหันต์ สตรีเพศคนนี้ที่บรรลุอรหันต์แล้ว ยังจะต้องมาเวียนวนกลับมาเกิดเป็นสตรีเพศกันอีกไหมนะ ถามอย่างกระจ่างเลยนะจะได้พ้นวิจิกิจฉาค่ะ  และทำอย่างไรไม่ให้ต้องเกิดเป็นสตรีเพศถาวรค่ะ

ตอบ...เรื่องนี้ คำว่า เพศ คำนี้ มันเป็นอจินไตยอย่างหนึ่งที่อาตมาไม่กล้าตอบเด็ดขาด แต่ตอบอย่างใช้ปฏิภาณว่า ผู้เป็นหญิงสามารถปฏิบัติจนบรรลุอรหันตฺ์ได้ บรรลุเพศชายในสภาวะ เป็นอุตตมปุริสสะ เป็นภาวะไม่ใช่เรื่องตัวตนบุคคลเราเขา เป็นเรื่องธรรมะแท้ๆ ผู้เป็นหญิงปฏิบัติให้มีปุริสสภาวะ แม้ตัวเราจะเป็นหญิง จิตเป็นเอก เป็นเพศปุริสสะได้ เพราะเมื่อผู้ใดสามารถทำได้อย่างนี้ คุณไม่ต้องกังวลหรอกว่าชาติหน้าจะไม่เป็นชาย ไม่ต้องกังวลหรอก ที่อาตมาไม่กล้าฟันธง ต้องตอบตามปฏิภาณว่ามันมีวิบากของแต่ละคน แม้คุณจะบรรลุอรหันต์แล้ว ชาติหน้าคุณก็เป็นโพธิสัตว์ แล้วขนาดเป็นเจ้าแม่กวนอิมก็เป็นหญิง มีคุณธรรมช่วยโลกได้มากมาย แต่ก็แล้วแต่ตั้งจิตด้วย ผู้ที่สามารถข้ามชาติข้ามเพศได้ แต่ก็แล้วแต่วิบาก ตอบไม่ได้ แต่ถ้าคุณมีเจตนาไม่มีปัญหาหรอก ทำให้เป็นอรหันต์ได้ วันหนึ่งคุณจะได้เป็นผู้ชายตลอดไปเลย แต่ช่วงที่คุณเป็นอรหันต์แล้วจะได้เกิดมาเป็นชายก็แล้วแต่วิบาก แต่เมื่อหมดวิบากคุณมีเจตนาอยู่แล้วก็เป็นชายได้นอกจากคุณไปทำอนันตริยกรรม

 

0824039xxx อัตตาในความหมายพ่อครูคือตัวตนฤาว่าสิ่งนั้นคือเรา!อัตตาตัวยึดดีถือดีว่าเป็นเราของเรา!ถ้าไม่ยึดไม่ถือว่าเป็นเราฤาเป็นของเราก็ไม่มีอัตตาถูกไหม?

แล้วถ้าเราไม่รู้จักตัวตนของกิเลสแล้วทำลายตัวตนของกิเลสให้ลดละหน่ายคลายจางลงจนดับกิเลสได้ก็ไม่อาจรู้แจ้งสภาพความไม่มีตัวตนของกิเลสที่เรียกว่าอนัตตาใช่ไหม?

อยากให้พ่อครูอธิบายตัวตนของกิเลสกับความไม่มีตัวตนของกิเลสที่หมายถึงอัตตากับอนัตตาอย่างละเอียดอีกครั้งจะได้ไหม?skk

ตอบ...อัตตา คำว่า คือเราคือตัวตนก็คือเรา อัตตาคือตัวเรา คือเรา คือยึดดีถือดีว่าเป็นเราเป็นของเรา ถ้าไม่มีการยึดดีเป็นเราเป็นของเราก็ไม่มีตัวตนนั้นถูก แต่คุณต้องเรียนรู้สภาวะที่เป็นอัตตา ตั้งแต่หยาบ โอฬาริกอัตตา วัตถุ เงินทอง ข้าวของ พื้นดิน วัตถุสมบัติ อะไรก็ตามแม้จะยึดตุ๊กตาก็ยังยึดเลยแม้โตแล้ว ก็ยึด วัตถุสารพัดได้ หรือยึดบุคคล สัตว์สิ่งของ หรือยึด รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส พวกนี้โอฬาริกอัตตา ต้องอ่านให้รู้ว่าเรายึดเพราะอวิชชา มันเป็นของเท็จของไม่จริง เราไปยึดมันก็ทุกข์ จริงๆมันไม่มีตัวตน ด้วยญาณปัญญาจนเห็นว่าอัตตามันดับ

 

แล้วถ้าเราไม่รู้จักตัวตนกิเลสก็ไม่อาจลดได้ จนอนัตตาก็จะทำไม่ได้ ตราบใดคุณไม่รู้จักตัวตนแรกๆ คือสักกายะที่รู้ได้แล้วลดตัวตนนี้ตัวแรกนี้ให้หมดความยึดได้ เป็นอนัตตาได้ก็ไม่มีทางไปถึงอนัตตาสูงสุดได้แน่ ต้องเรียนรู้อัตตาตั้งแต่อบาย  แล้วไปกามภพ แล้วไปเรียนรู้ ภวภพ ทำให้หมดสิ้น อัตตา เป็นอนัตตาได้อย่างมีสภาวะไม่ใช่แค่ตรรกะ

 

0816956xxx คนที่ทำผิด แล้วเราไปช่วยเขา เขาเลยเข้าใจผิด ว่า ผิดนั้นคือถูก ซุกหุ้น ยังเป็นนายกได้เลย กรรมคือการกระทำพวกเราต้องไปกินอยู่บนถนนเป็นปี แค่ซื้อที่ดินผิดได้ ไง

ตอบ... จริงเขาทำผิดแล้วเราก็ไปช่วยเขา เขาเลยเข้าใจผิด จนทุกวันนี้เขาก็ยังคิดว่าเขาไม่ผิด เพราะเริ่มต้นซุกหุ้นเป็นคดีหลัก ก็เต็มใจที่จะใช้หนี้

 

0818950xxx ถ้าเจ้าชายสิทธัตถะไม่ได้ประกาศตนเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อ2600กว่าปีที่แล้วโฉมหน้าของโลกจะแตกต่างกันมากไหมคะ

ตอบ...อาตมาตอบไม่ได้หรอก ถ้าตอบก็เดาเท่านั้น ตอบโดยปฏิภาณกว้างๆก็ได้ แต่จะผิด ถูกก็ไม่รู้ อาตมาว่า มันไม่มีอะไรค้ำยันเลย นี่ตอนต้นๆมาธรรมะของพระพุทธเจ้าก็ช่วยล้างกิเลสออกไปจากโลกได้ระดับหนึ่ง แต่มันเพี้ยนมาจนแย่ 2600 ปีแล้ว ตอนนี้อาตมานำเอาของพระพุทธเจ้ามาช่วยสังคมอีก ก็เห็นว่าช่วยได้ อย่างน้อยก็พวกคุณนี่แหละที่ได้มา ก็จะทำให้สังคมโลกนี้ดีขึ้นบ้าง ถ้าพระพุทธเจ้าไม่เกิด อาตมาไม่ได้มีสิทธิ์เกิดหรอก ขนาดพระพุทธเจ้าทำมาก่อนได้พอสมควร อาตมามาทำตอนนี้ยังไม่ใช่แค่หืดขึ้นคอนะ แต่มะเร็งขึ้นคอเลย

ยังดีที่คุณได้มาถาม เพราะถ้าเผื่อว่าพระพุทธเจ้าไม่เกิด อาตมาไม่มีสิทธิ์เกิด เพราะอาตมาช่วยไม่ได้หรอก แม้อาตมามาเกิด คุณยังเห็นว่าโลกนี้แรงร้ายขนาดไหน ต่างประเทศยิ่งแรงกว่านี้นะ อาตมาพาคนมาจากโลกีย์ก็ได้พวกหนึ่งนะ ขอฝากถึงพวกที่ประมาทในโลกีย์นะ อาการโลกมันหนักหนามากเลย เหตุการณ์ที่ตะวันออก เขาเจตนาปาดคอโชว์เลยนะ ทำคลิปเลย เพื่อให้เห็นความโหดเหี้ยมขู่คนทั้งโลก มันอำมหิตสุดแล้ว เจตนาหยาบหยามเลย ที่จริงเขาก็ต้องพยายามไม่ให้ดูโหดร้ายนะ ทำกันตายทีละร้อย แต่ก็ไม่น่ากลัวเท่าที่สร้างภาพนะ เป็นเจตนาทำรูปข่มโลกทั้งโลกเลย มนุษย์มันมีจิตสร้างองค์ประกอบไม่ใช่ศิลปะแต่เป็นเรื่องเลวร้าย มีเหตุการณ์อื่นๆอีก ที่ไม่ได้เอามาพูดนะ ที่ว่าไฟประลัยกัลป์จะล้างโลกแล้วจะมีคนที่รอดอยู่ อาตมาก็กำลังพาทำให้รอดจากโลกนะ รีบมาช่วยกันสร้างสนามแม่เหล็กบุญนิยมให้แข็งแรง ...จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:41:13 )

580220

รายละเอียด

580220-พุทธชีวศิลป์(29) เรื่อง จิตวิเคราะห์ในธาตุความเพียรทั้ง 7

พ่อครูว่า....วันนี้วันที 20 ก.. 58 แล้ว เรื่องราวทุกวันนีก็มีสิ่งที่เข้มข้นมากขึ้น และก็มีสิ่งที่น่าสลดใจมากด้วย เราก็จะมาศึกษาสัจธรรมกันให้ดีๆ นี่มีข่าวคราวออกมาไม่ล่าสุดวันนี้ เรียบร้อย ล่าสุด ทุกอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ผ่านไปก่อน คืออาตมารู้เข้าใจดี ว่าสังคมสงฆ์หมู่ใหญ่ทำอะไรขึ้นดีได้ยากแล้ว มันก็เป็นไปตามสัจจะที่เป็น เราก็ไปพูดมากก็ไม่ดี มันเป็นระดับประเทศ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร มันกลืนไม่เข้า คายไม่ออก เราก็เอาส่วนที่เราทำให้ดีไปเถอะ จริงๆก็น่าเห็นใจว่าเป็นโครงสร้างที่ผุพังมาก พยายามประคอง บูรณะกันก็คงยาก ก็คงได้แต่เห็นใจกัน ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรก็ได้ แต่ว่าที่เราตั้งหลักกันได้แล้วเราก็มาสร้างสรรสิ่งดี เรานานาสังวาสกัน

 

ยิ่งเราเห็นว่าเสาเรือนใหญ่พังลง เราก็จำเป็นจะต้องมีสิ่งเข้าไปทดแทน เข้าไปช่วยค้ำจุนให้ประเทศไทย สังคมไทย สังคมมนุษยชาติอยู่ได้ พวกเราก็พากเพียรก็แล้วกัน สัจธรรมพพจ.เป็นอุภยัตถะ เป็นประโยชน์สองส่วน (ตน-ท่าน)

บอกข่าวอีกอย่าง พรุ่งนี้จะมีครูที่จะมาสอนทางวิทยาศาสตร์ จะมาสอนเด็กนร. 08.30-16.00 น. ก็จะสอนเรื่องการวิจัยทางห้องปฏิบัติการเอาเครื่องไม้เครื่องมือมาด้วยนะ ก็อยากให้ทางว.นบ.เราไปร่วมเรียนด้วย เป็นกรณีพิเศษ

วันนี้อาตมาก็ตั้งใจเอาสิ่งที่ได้รับมาจาก สมณะพอจริง สัจจาสโภ ผู้ที่ก็ตั้งใจศึกษา เป็นครูเก่า รู้จักการทำวิจัยทำอะไรได้ดี ก็เลยฟังธรรมาถึงวันนี้ก็เลยเอามาเรียบเรียงดู ให้หายสงสัย ที่จริงท่านเข้าใจดีแล้ว ท่านเองท่านไม่มั่นใจก็เลยถามมา ก็ลองตั้งใจฟังดีๆ

 

580218_ประเด็นธรรมะ จาก ส.พอจริง สัจจาสโภ

 

พ่อครูเทศน์ที่สีมาอโศก เมื่อคราวสัญจร หลังงาน ว.บบบ. ความตอนหนึ่ง สรุปได้ว่า

 

ตากระทบรูปเกิดวิญญาณ ครบ รูปนาม เป็น 3 เส้า เรียกว่า โลก เป็นรอบที่ 1 เป็นระบบทำงานแล้ว 1 วงจร อยู่ในตัว เป็นอัตภาพของตัวเอง ยังไม่ออกไปเกี่ยวข้องกับใครเลย เป็นอารัพภธาตุ อารัมภธาตุ นิกกมธาตุ

 

พอเกิดมีอันอื่น เป็นจุดที่ 4 เป็น ปรักกมธาตุ ก็จะเริ่มต้นแตกตัว จากอัตตาของตนเอง แตกตัวเป็น 4 5 6 และ 7 8 9

 

ถ้าจบไปหา 0 ถ้าเกิดไปหา 10

ทิศทางไปหา 0 เรียกว่า โลกุตระ (พ่อครูว่าก็เรียกลำลองได้)เป็นอันเริ่มต้น

ทิศทางไปหา 10 เรียกว่า โลกียะ

 

เรื่อง ธาตุความเพียร 7 นี้ ได้ฟังมาหลายครั้ง ก็ยังสับสน ยังไม่รู้-เข้าใจ แจ่มชัดอะไร จึงอยากจะเรียนถาม จากกรณีตัวอย่างดังต่อไปนี้

 

นาย ก. มองเห็น นาย ข. ทำงานไม่เรียบร้อย เกิดอาการไม่ชอบใจ อึดอัดขัดเคือง โกรธขึ้นมาทันที (กิเลสโทสมูล-อรติ-ปฏิฆะ-โกธะ) คิดอยากจะด่า...”

 

จากกรณีตัวอย่าง

โคจรรูป = นาย ข.

ปสาทรูป = ตา นาย ก. มองเห็น

วิญญาณ = นาย ก. รู้พฤติกรรม การทำงานของ นาย ข. เป็นจักขุวิญญาณ

อายตนะ = มองเห็น เป็นการทำงานร่วมกัน ระหว่าง โคจรรูป (อยตนะภายนอก) กับ ปสาทรูป (อายตนะภายใน)

องค์ประกอบทั้งหมดนี้ เรียกว่า กาย

ในขณะเดียวกัน มันก็เป็น ผัสสะ เรียกว่า จักขุสัมผัส ด้วย

 

ความต่าง ของ กาย และจักขุสัมผัส นั้น อยู่ที่ สภาวะ

 

สภาวะของ กาย คือ การจัดองค์ประกอบ ได้ครบ 3 เส้า เรียกว่า โลก เป็นระบบขึ้นมาแล้ว 1 วงจร

นั่นคือ นาย ก. มองเห็น นาย ข. ทำงานไม่เรียบร้อย ก็รู้ว่า พฤติกรรม การทำงานของ นาย ข. นั้น ไม่เรียบร้อย ก็รู้ว่า พฤติกรรม การทำงานของ นาย ข. นั้น ไม่เรียบร้อย เพียงแค่นี้ โลกของ นาย ก. ได้เกิดขึ้นแล้ว แต่เป็น โลกส่วนตัว (อัตภาพ) ยังไม่เกี่ยวข้องกับ นาย ข.

 

สภาวะของ จักขุสัมผัส คือ อาการที่ใจ ถูก กระทบ สิ่งที่มากระทบใจ คือ ข้อมูลใหม่ ที่เป็นองค์ประกอบของ กาย นั่นเอง ส่วนใจที่ถูกกระทบ นั่นคือ ข้อมูลเก่า ที่ใจ ยึดเป็นอุปาทาน หรือ สมาทาน นั่นเอง

 

นั่นคือ นาย ก. ตกลงกับ นาย ข. ว่า งานนั้น ทำอย่างนี้ ข้อตกลงนี่แหละที่ นาย ก. ยึด อยู่ที่ว่า ยึด แบบใด

 

ถ้านาย ก. ยึดแบบ เอาเป็นเอาตาย ไม่มีข้ออนุโลมเลย ไม่ดูความรู้ ความสามารถของ นาย ข. เลย ต้องได้ตามสเปคนี้เท่านั้น การยึดแบบนี้เรียกว่า อุปาทาน

 

ถ้า นาย ก. ยึดแบบ มีบทอนุโลม และดูทั้งความรู้ความสามารถ พร้อมด้วยเหตุปัจจัยอื่น ทำให้รู้จัก และเข้าใจ นาย ข. ด้วย จึงพร้อมที่จะปรับ เปลี่ยน ไปตามเหตุปัจจัยได้ ยึดแบบนี้เรียกว่า สมาทาน

 

ทันทีที่นาย ก. มองเห็น และรู้ดังกล่าว ก็สะดุดใจ ตรงนั้น ตรงนี้ นี่แหละ ใจ มันถูกกระทบ แล้ว เป็นจักขุสัมผัส

เมื่อ ใจ ถูกกระทบ ก็มี ปฏิกิริยา ไม่ปกติ หวั่นไหว ตรงนี้เรียกว่า สังขาร เป็น กายสังขาร เพราะปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น เป็นการผสมส่วนของข้อมูลเก่า ( ข้อตกลง-ทิฏฐุปาทาน-อุปาทาน) กับ ข้อมูลใหม่ (ตา+รูป+จุกขุวิญญาณ) ด้วยการ คิด เปรียบเทียบ

 

เกิดเป็น อาการ ไม่ชอบใจ อึดอัดขัดเคือง โกรธขึ้นมา นี่คือ กิเลส สายโทสมูล ตั้งแต่ อรติ ปฏิฆะ และ โกธะ

ก็คิด อยากจะ ด่า นาย ข. ตรงนี้คือ ตัณหา

เป็นอันว่า กิเลส ตัณหา อุปาทาน ได้เกิดขึ้น ครบพร้อมแล้ว โดยมี

อุปาทาน เกิดก่อน

กิเลส เกิดตามมา

ตัณหา ก็เกิดตามมาอีก

 

ปัญหา อยู่ที่ว่า อารัพภธาตุ อารัมภธาตุ นิกกมธาตุ มันอยู่ตรงไหน?

โดยหลักการพ่อท่านก็เทศน์ไว้แล้ว ดังกล่าวข้างต้น

หากจะ วินิจฉัย ชี้เฉพาะลงไปเป็น ตัวชี้วัดของธาตุทั้ง 3 ก็จะได้ ดังนี้

 

1.อารัพธาตุ คือ ส่วนที่เป็น จักขุวิญญาณ จักขุสัมผัส และ กายสังขาร (คิด ปรุงแต่ง เปรียบเทียบ)

2.อารัมภธาตุ คือ ส่วนที่เป็น กิเลสโทสมูล (อรติ ปฏิฆะ โกธะ)

3.นิกกมธาตุ คือส่วนที่เป็นพลังงาน ของกิเลสโทสมูล (อรติ ปฏิฆะ โกธะ) ที่มีความพร้อมที่จะปะทุออกมา

 

กิเลส โทสมูล (อรติ ปฏิฆะ โกธะ) นี้แหละ คือ ตัวตนที่แท้จริง ของ นาย ก. ที่เรียกว่า อัตตา ยังเป็นโลกส่วนตัวอยู่ ไม่มีใครรู้ด้วยเลย

 

รอบของวงจรแรก 1 2 3 จบที่กิเลส โทสมูลนี้ ยังไม่ถึงตัณหา องค์รวมทั้งหมดนี้แหละ คือ สภาวะ ตักกะ ที่แปลว่า เริ่มคิด

หากจะเขียน แผนภูมิ เพื่อจะเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น จะเป็นดังนี้

 

ตักกะ

ตักกะ

รูป

นาม

_โคจรรูป

_วิญญาณ

_ปสาทรูป

_กาย

_ภาวรูป

_ผัสสะ(จักขุสัมผัส)

_หทยรูป

_สังขาร(กายสังขาร)

_ชีวิตรูป

_อุปาทาน(ทิฏฐุปาทาน)

_อาหารรูป

_กิเลส(โทสมูล)

 

_อารัพธาตุ (จุดที่ 1)

 

_อารัมธาตุ(จุดที่ 2)

 

_นิกกมธาตุ(จุดที่ 3

 

 

เริ่มคิด 1 ครั้ง มีองค์ประกอบของ รูปนาม ดังแผนภูมินี้ วงจรของโลกส่วนตัว (อัตตา) ได้เกิดขึ้นมา 1 รอบแล้ว ( 1 2 3 ) วงจรที่ 1 จบแค่นี้

 

วงจรที่ 1  (4 5 6)

สภาวะ วิตักกะ ที่แปลว่า คิดยิ่งขึ้น นี้

เกิด จุดที่ 4 คือ ปรักกมธาตุ ขึ้น ธาตุนี้ จะเริ่มแตกตัว จาก อัตตา (กิเลสโทสมูล-อรติ-ปฏิฆะ-โกธะ) ที่เป็นโลกส่วนตัว ไปสู่อันอื่น มีทิศทางที่แน่นอน เป็น มโนสัญเจตนา ในนี้จะมี ตัณหาคือ อยากแสดงบทบาท ต่อ นาย ข. เป็น 2 ทาง คือ

1.อยากด่า นาย ข. เป็นทิศทางโลกียะ

2.อยากปรับความเข้าใจ กับ นาย ข. เป็นทิศทางโลกุตระ

 

จุดที่ 5 คือ ถามธาตุ เป็นธาตุที่มีกำลังขับเคลื่อนไปตามทิศทางที่ตั้งไว้

 

1.ทิศทางโลกียะ เมื่อ อยากด่า เกิดขึ้น พลังตัณหาตัวนี้ ที่ได้รับแรงหนุนจาก กิเลสโทสมูล (อรติ ปฏิฆธ โกธะ) และอุปาทาน(ทิฏฐุปาทาน) ก็จะทวีมากขึ้นเป็นรอบๆ เรียกว่า สังกัปปะ

 

2.ทิศทางโลกุตระ เมื่ออยากด่า ก็รู้ว่า บาปได้เกิดขึ้นแล้ว จะต้องกำจัดบาป ตัวนี้เสีย เพื่อจะได้ บุญ เกิดขึ้นแทนที่ด้วย สมถะ หรือ วิปัสสนา ก็ได้

 

_สมถะ หรือวิกขัมภนปหาน ได้แก่ กดข่ม ทำลืมๆ ฯลฯ พลังตัณหา ก็จะหยุดพักยก ไม่ทำงาน สักระยะหนึ่ง

_วิปัสสนา ได้แก่ การพิจารณา เห็นภัย และโทษของ อาการอยากด่า (ตัณหา) ว่า มันน่ากลัว มันเป็นภัย นำโทษมาให้ ก็จะเกิดอาการเบื่อหน่าย หน่ายแหนง ต่อ อาการอยากด่า จึงปล่อยวาง ตามลำดับ จาก ฌาน 1 2 3 และ ฌาน 4 ในที่สุด

 

พลังตัณหา (อยากด่า) ที่ได้รับแรงหนุนจาก กิเลส(โทสมูล-อรติ ปฏิฆะ โกธะ) และอุปาทาน (ทิฏฐุปาทาน-ยึดเอาเป็นเอาตาย) ก็จางคลายลง จนอาการอยากด่า หมดไป อาการอยากปรับความเข้าใจ ก็เกิดขึ้นมาแทนที่ เป็นพลังทวีขึ้นเป็นรอบๆ เรียกว่า สังกัปปะ

 

สภาวะ สังกัปปะ จึงเป็นผลสรุปของ วิตักกะ

 

จุดที่ 2 ฐีติธาตุ เป็นจุดที่สะสมความแข็งแรง ลงเป็นฐานตั้ง ตั้งแต่ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ตามทิศทางที่ได้ปฏิบัติมา

 

1.ทิศทางโลกียะ เมื่อ พลังของ ตัณหา ที่ได้รับ แรงหนุนจาก กิเลสโทสมูล (อรติ ปฏิฆะ โกธะ) และ อุปาทาน (ทิฏฐุปาทาน) ก็จะสะสมลงไปที่ อัปปนา

 

ที่อัปปนา ก็จะตรวจสอบว่า อยากด่า แน่นะ เมื่อแน่ใจว่า อยากด่า จริงๆ พลังของตัณหา(อยากด่า) ก็จะถูกสะสมลงไปในอัปปนา ทันที

 

จากนั้น ก็จะควบแน่น เป็นพฤติของอาการอยากด่า พลังของตัณหา (อยากด่า) ก็เพ่ิมขึ้นๆๆ ด่าแน่ๆ เรียกว่า พยัปปนา

 

และแล้วก็จะปักมั่น ลงไปเลยว่า ยังไงๆ ก็ต้องด่า เรียกว่า เจตโสอภินิโรปนา เป็นฐานตั้งที่แข็งแกร่ง เป็น พลังอันสูงสุด ของตัณหา (อยากด่า)

 

2.ทิศทางโลกุตระ เมื่อกำจัด อาการอยากด่า ได้แล้ว จะด้วย สมถะ หรือวิปัสสนา ก็ตาม ได้ผลสรุปเป็น สังกัปปะ  ว่า ไม่อยากด่า แต่อยากปรับครามเข้าใจกับ นาย ก.

 

เมื่อ ปรับจิตได้แล้ว จิตก็จะแข็งแรงขึ้น เข้มแข็งขึ้น จากนั้น ก็จะไปสะสมที่อัปปนา

ที่อัปปนา ก็จะมีการตรวจสอบว่า อยากปรับความเข้าใจกับนาย ข. จริงหรือเปล่า ไม่มีนัยอื่นแฝงอยู่นะ

 

บางที บางครั้ง ผู้ปฏิบัติอาจสังเกตเห็นว่า รู้ภัย รู้โทษ มีหลักฐาน ความจริง ยังไม่ถูกจุดตรงประเด็นได้ชัดเจน เพียงพอ อาจเป็นเพียงองค์รวม เท่านั้น ไม่ใช่ตัวตัณหา ที่แท้จริงได้ ขอให้สังเกตดูดีๆ

 

ผู้ปฏิบัติจะต้องย้อนกลับไปตรวจสอบดู ขั้นตอนการปหานด้วยสมถะหรือวิปัสสนา อีกครั้ง ย้ำไปย้ำมาอยู่นั่นแหละ เมื่อแง่มุมปรับไป ถูกเหลี่ยมลงล็อคเข้า แรงยึดก็จะคลายลง ตามฐานะของฌาน

 

ฌาน 1 ได้ ขณิกสมาธิ หมายความว่า อยากปรับ ความเข้าใจ กับ นาย ข. อยู่สักระยะหนึ่ง แล้วก็กลับไปอยากด่าอีก ก็ปรับไปปรับมา อยู่อย่างนี้ เป็นช่วงๆ เป็นขณะๆไป เป็น ตทังคปหาน

 

ฌาน 2,3 ได้ อุปจารสมาธิ หมายความว่า อยากปรับความเข้าใจกับนาย ข. ตั้งมั่นได้ยาวนานขึ้นเรื่อยๆ หลายช่วง หลายขณะ มากขึ้นเรื่อยๆ อาการอยากด่าก็เบาบางจางคลายลงไปมากขึ้นๆ จนเข้าเขตวางเฉยได้บ้างแล้ว เป็น ตทังคปหาน ที่มีประสิทธิภาพชั้นสูง

 

ฌาน 4 ได้ อัปปนาสมาธิ หมายความว่า ตัดรอบ ปล่อยวาง อาการอยากด่า ได้เด็ดขาด เป็นสมุจเฉทปหาน นับเป็นจิตที่เข้าสู่การตั้งมั่นได้ถาวรแล้ว

 

ที่อัปปนา ก็จะตรวจสอบว่า อยากด่าหมดแน่นะ ไม่มีแอบแฝงแน่นะ อยากปรับความเข้าใจกับ นาย ข. จริงๆนะ เมื่อแน่ใจแล้ว ก็จะสะสมลงไปใน อัปปนา ทันที

 

จากนั้น ก็จะทำทวน ทำซ้ำ ทำย้ำ ลงไปอีก เกิดผล สงบ จากอาการอยากด่าอีก (ปัสสัทธิ) ทำบ่อยๆมากๆ (อาเสวนาภาวนา พหุลีกัมมัง) เป็น ปฏิปัสสัทธิปหาน ก็จะได้พยัปปนา ปรับความเข้าใจกับ นาย ข. แน่ๆ ซึ่งย้ำความแข็งแกร่ง ตั้งมั่นให้อัปปนาสมาธิอีก

 

เมื่อสลัดตัดเด็ดขาด ได้โดยไม่มีเยื่อใยของตัณหา(อยากด่า) ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ถึงพาอาศัยกันแล้ว สลัดออก เป็น นิสสรณปหาน ก็จะได้ เจตโสอภินิโรปนา ปักมั่นลงไปเลยว่า ยังไงๆ ก็ต้องปรับความเข้าใจกับ นาย ข. ก็ยิ่งย้ำความแข็งแกร่งให้ อัปปนาสมาธิ ตั้งมั่นยิ่งๆขึ้น จนถึงที่สุด

 

พอถึงจุดนี้ ตัณหา ได้ปรับขั้วมาเป็น วิภวตัณหา ได้สมบูรณ์แล้ว จาก อยากด่า มาเป็น อยากปรับความเข้าใจกับ นาย ข. ได้สมบูรณ์แล้ว

 

ที่จุด อัปปนา  พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา จึงเป็นจุดสะสม การปรับจิต ของ เจโต ให้เข้มแข็ง  โดยการทำงานของ ปัญญา ตั้งแต่ ตักกะ วิตักกะ และสังกัปปะ นับเป็นประสิทธิภาพของจิต พัฒนาของ มุทุภูตธาตุ (รู้เร็ว-ปรับได้ไว)

 

วงจรที่ 2 จุดที่ 4 5 6 ได้เกิดขึ้นมาอีกแล้ว

 

จุดที่ 7 อุปักกมธาตุ เป็นจุดเกิดที่สมบูรณ์ สิ่งที่เกิดขึ้นที่ จุดที่ 7 นี่คือ วจีสังขาร

 

วจีสังขาร  คือ ภาษาที่จะพูดเกิดขึ้นในใจ หรือ ใจ คิดจะพูดคำนั้น คำนี้ แต่ยังไม่ได้พูดออกมา

 

ภาษาที่จะพูดนั้น เป็นถ้อยคำตามฐานะของผู้ปฏิบัติแต่ละคน รวมทั้ง น้ำหนักของเสียง แรง-เบา แค่ไหน และสำเนียง อ่อน-แข็ง ปานใด ทั้ง 3 อย่าง (ภาษา+เสียง+สำเนียง) รวมกันเป็นคำพูด

 

ดังนั้น จึงสรุปง่ายๆว่า วจีสังขาร คือ คำพูดที่อยู่ในใจ นั่นเอง

วจีสังขาร นี้ จะเป็นไปตามทิศทางที่ได้ปฏิบัติมา

1.ทิศทางโลกียะ ก็จะมีคำด่าว่า ...ไอ้...

2.ทิศทางโลกุตระ ก็จะมีคำที่เชื่อมโยงไปถึง นาย ก. ปรากฏขึ้น เช่น คำทักทายว่า ต่อมา ก็เป็นคำที่ใช้ปรับความเข้าใจกันว่า... เป็นต้น  บางคนก็คิดแล้วคิดอีก จึงพูด บางคนคิดปั๊บ พูดปั๊บ แล้วแต่กรณี

 

เป็นอันว่า  สังกัปปะ 7 ได้เกิดขึ้น พร้อมกับธาตุความเพียร 7 และองค์ธรรมอื่นๆ อีกดังกล่าวแล้ว เป็นการทำงานของ กายในกาย ที่ไม่ทิ้งกาย

 

นั่นคือ มี กาย อยู่ องค์ประกอบมีครบพร้อมอยู่ (นาย ก. มองเห็น พฤติกรรมการทำงาน ของ นาย ข. ก็รู้อยู่ ในปัจจุบัน นั้น) เป็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่

 

จากนั้น กายในกาย ก็ทำงาน ตามกระบวนการของสังกัปปะ 7 มีธาตุความเพียร 7 และองค์รวมอื่นๆร่วมด้วย

 

ดังนั้น กายในกาย จึงเริ่มนับจาก วิญญาณ (จักขุวิญญาณ นาย ก. รู้พฤติกรรมการทำงานของ นาย ข.) เป็นต้นไป

 

วิญญาณ จึงเป็นทั้ง องค์ประกอบของ กาย และจุดเริ่ฟมต้นของ กายในกาย

 

ที่วิญญาณ นี่เอง จึงเป็นจุดที่สำคัญมาก เพราะเป็นจุดที่เชื่อมต่อ ระหว่าง กาย กับ กายในกาย และ กายในกายทั้งหมด ก็คือ จิต-เจตสิก ทั้งสิ้น จึงอาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วิญญาณ เป็นจุดเชื่อมต่อ ระหว่าง กาย กับ จิต ก็ได้ แล้วก็จะได้เรียนเรื่อง จิตสังขาร ต่อไป ถึง วจีสังขาร อีก

 

ถึงตรงนี้ ประเด็นคำถาม ก็เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งจะได้ถามต่อไป

 

ตรงนี้ ขอสรุป ความสัมพันธ์ ระหว่าง สังกัปปะ 7 และ ธาตุความเพียร ออกมาเป็นแผนภูมิ เพื่อการเรียนรู้ จะได้ง่ายขึ้นดังนี้

 

 

 

ตักกะ

 

สังกัปปะ 7

 

วิตักกะ

สังกัปปะ

 

ถามธาตุ

 

อัปปนา

พยัปปนา

เจตโสฯ

 

อารัพภธาตุ

อารัมธาตุ

นิกกมธาตุ

 

 

                                                                             
   

กายในกาย

 

 
     
 
     
     
 
 
   
   

ธาตุความเพียร 7

 

 
 
     
       
 
 
     
     
 
 
     
       
 
 
     
     

ฐีติธาตุ

 

 
 
     
       
 
     
 
   

อุปักกมธาตุ

 

   

วจีสังขาร

 

 
       
 
 
     
     

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ในแผนภูมิ จะเห็นภาพการทำงานได้ชัดขึ้น

เมื่อ สังกัปปะ 7 เสร็จสิ้นภารกิจแล้ว

ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ

ที่จะดำเนินไปตามองค์มรรค ตามวิถี ที่กำหนด อยู่ที่ว่า ทิศทางนั้นจะสัมมา(โลกุตระ)หรือมิจฉา(โลกียะ) เท่านั้นเอง .จบ

 

คำถาม

 

1.การขยายความ จากโครงสร้างที่พ่อท่านเทศน์ สั้นๆนี้ พอจะเข้าข่าย สัมมาทิฏฐิ บ้างหรือไม่? มีส่วนใดบ้างที่ไม่ถูก จะต้องปรับอย่างไร จึงจะถูก โปรดตรวจสอบให้ด้วย เพราะเรื่องนี้ ยิ่งฟัง ยิ่งสับสน จึงเรียนถามมาเพื่อความชัดเจน เมื่อชัดเจนแล้ว จะไม่ต้องกังวลในการเดินเส้นทางนี้

พ่อครูว่า ....ตอบได้ว่า เข้าข่ายสัมมาทิฏฐิแน่ ฉายหนังได้ละเอียด 150 เฟรมต่อวินาทีเลย และไม่สับสนหรอก ดีมากที่เรียบเรียงมา แต่ที่คุณเองรู้สึกสับสนเองก็คือ มันได้รู้ความรู้นี้แล้ว เขียนออกมาก็เป็นความรู้ของตน มันได้รู้อันนี้แล้วจะมีปฏิภาณไหวพริบที่จะรู้เพิ่มเข้าไปอีก ตัวที่จะรู้เพิ่มจะเข้ามากวนสิ่งที่เรารู้นี้แล้ว เพราะยังไม่แน่ใจว่าที่รู้นี้ถูกต้องหรือไม่ สับสนหรือกังวลตรงนี้ ก็ตอบให้ว่าถูกต้องแล้ว ที่บอกว่าจะได้วิจัยต่อไปนี่คือตัวไม่จบ แสดงว่าคุณมีภูมิธรรมรู้ต่ออีก คำตอบที่ทำมาให้นี้ดีแล้ว ถูกแล้ว

 

2.จากรณีตัวอย่าง ที่ยกมานั้น อยู่ในระดับ จิตสำนึก (conscious) เป็น วีติกมกิเลส ใน กามภพ ใช่หรือไม่ ถ้าใช่ แสดงว่า วีติกมกิเลส เป็น กิเลสที่แสดงออกครบพร้อมทั้ง กาย วาจา ใจ (สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ที่เป็นมิจฉาทั้งหมด) อย่างนั้นดอกหรือ?

เมื่อประสบกับเหตุการณ์ เฉพาะหน้า จะแยกว่า

เมื่อไร เป็น วีติกมกิเลส

เมื่อไร เป็น ปริยุฏฐานกิเลส

เมื่อไร เป็น อนุสัยกิเลส

ได้อย่างไร?

ตอบว่า...เมื่อได้ทำให้กิเลสลดลงได้แล้วนี่คือ วีติกมกิเลส(แปลว่าล่วงพ้นได้แล้ว) ส่วน กิเลสตัวที่กำลังเผชิญนี่ก็คือ ปริยุฏฐานกิเลส เป็นข้อแรกของญาณ 7 พระโสดาบันเลย เป็นปัญญาที่รู้แล้วว่าตนเองได้ทำสำเร็จมา ก็กำลังเผชิญกิเลสตัวต่อมา ส่วนเมื่อทำลายปริยุฏฐานกิเลสให้ผ่านไปได้เป็นวีติกมกิเลสได้อีก ก็จะเหลืออนุสัย ตัวปลาย ตัวเล็กละเอียดได้ ถ้าเข้าใจที่อาตมาอธิบายว่า ของพุทธเอาอนุสัยมาล้างได้จริง เพราะเอาอบาย เอากาม ที่เป็นตัวแรกๆ ออกได้จริง กิเลสชั้นลึกๆก็จะขึ้นมาปรากฏ โดยมีเหตุปัจจัยกระทบกระแทกกระทุ้ง อะไรทำได้แล้วก็เฉย ก็จะมีตัวต่อไปให้ฆ่า ก็จัดการอีก จนกว่าจะถึงตัวปลายก็ฆ่าอีก จนกว่าจะหมด แล้วจะรู้ว่า ยังเหลืออะไรอีก มีอนุสัยตัวต่อๆไปอีก ถ้าใครปฏิบัติถูกก็จะรู้ว่ามีอีก

 

3.ความจริง กับ ความจำ

จากรณีตัวอย่าง นาย ก. มองเห็น นาย ข. ทำงานอยู่ก็รู้ แล้วกิเลสไม่ชอบใจก็เกิดขึ้น กิเลส ไม่ชอบใจ (อรติ) ที่เกิดขึ้น ขณะนี้ คือ ความจริง

ถ้าเวลาผ่านไปแล้ว นาย ก. ก็ระลึกย้อน ว่า เคยไม่ชอบใจ (อรติ) เคยไม่ชอบใจ คือ ความจำ แค่รู้เรื่องที่ผ่านมา

ถ้ารู้เรื่องที่ผ่านมาแล้ว ก็ยังเกิด อาการไม่ชอบใจ (อรติ) ขึ้นมาอีก ในขณะที่ระลึกถึงเรื่องที่ผ่านมานั้น  อันนี้เป็น จริง หรือ จำ ?

ตอบ...เป็นความจำ สภาพที่เราระลึกขึ้นมานี่ จะเรียกว่าความเคลื่อนไหว ขึ้นมาดูใจในใจ ไม่ใช่วิญญัติของกาย วาจา ที่เป็นองค์รวมทั้งหมด ถ้าคนอวิชชา ระลึกขึ้นมาจะเป็นภวตัณหา ที่ระลึกขึ้นมาเอง เราก็ไม่รู้ตัว ดีไม่ดี ระลึกมาแล้วก็แค้นเพิ่มอีก แต่พวกเราศึกษาแล้วก็สังวร ระลึกมาแล้วจะรู้ว่าไม่น่าทำ จะเป็นราคะหรือโทสะ เราจะพิจารณาอีกว่าเราไม่น่ามีอีกเลย เราไม่น่าโง่ไปมีอีกเลย ทำให้มันอ่อนแรงหรือลดลงได้ แต่คนอวิชชาก็ไม่ระลึกเช่นนี้ดีไม่ดีเสริมแรงกิเลสเพิ่มอีกก็ซวยเพิ่ม

4. ภาษา กับ สภาวะ

สภาวะ = คือ “ขณะที่รู้ตัวว่า กำลังโกรธ

ภาษา = มันเป็น สติ สัมปชัญญะ สัญญา ญาณ หรือปัญญา หรือว่ามันเป็นองค์รวมแยกกันทำหน้าที่แต่ละอย่าง ถ้าเป็นเช่นนั้น พอจะบอกได้ไหมว่า สภาวะตอนใด เรียก ภาษาว่าอะไร?

ตอบ....คำว่า สภาวะคือ มี  ส. ที่คือการประกอบ มาเติม กับคำว่า ภาวะ ที่คือความปรากฏ ภาษาก็ใช้เรียกความปรากฏนั้นๆ เช่นลูกนี้เราไปเห็นก็ถ้าไม่มีภาษาก็สื่อไม่ได้ แต่ว่าถ้าเรียกว่าแตงโม คนก็รู้จัก ส่วนสิ่งจริงที่ปรากฏก็คือสภาวะ ส่วนภาษาก็ใช้เรียกสภาวะ ถามว่า สภาวะที่รู้ตัวว่าโกรธ ก็คือความปรากฏนั้นก็เป็นภาวะ ตรงกับภาษาบัญญัติคำนั้น แต่คุณไม่รู้ภาษาเลยก็เรียกมันไม่ถูกเท่านั้น อย่างเราไม่เคยเห็นลูกนี้เลย พอเห็นก็คิดว่าลูกอะไร? ไม่มีภาษาบัญญัติ มันก็เป็นความปรากฏกับภาษาบัญญัติที่ปรากฏเท่านั้น

5. คำว่า เวทนาแปลว่า ความรู้สึกหมายความว่า สุข ทุกข์ อทุกขมสุข 

โสมนัส โทมนัส อุเบกขา

แล้วคำว่า รู้สึกว่าชอบ

แล้วคำว่า รู้สึกว่าสวย

แล้วคำว่า รู้สึกว่าจะคิดไม่ดี

แล้วคำว่า รู้สึกว่ามันกระแทกใจกันเกินไป

แล้วคำว่า รู้สึกว่ารับรู้อยู่นะ

แล้วคำว่า รู้สึกว่าเจ็บมือ ปวดฟัน

แล้วคำว่า รู้สึกว่าได้ยินอยู่นะ

และรู้สึกอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย

รู้สึกเหล่านั้น จัดอยู่ใน เวทนา ด้วยหรือเปล่า?

เมื่อฟังพ่อท่านเทศน์ว่า เวทนา จะหมายเอา ตัวไหน จึงจะถูก?

ถ้าได้ยินคำว่า เวทนา ก็หมายเล็งเอาที่ สุข ทุกข์ อทุกขมสุข , โสมนัส โทมนัส อุเบกขา เป็นหลัก นอกนั้นก็เป็นองค์ประกอบ ที่นับเนื่องในกลุ่มเวทนา โดยอนุโลม ทำอย่างนี้ได้หรือไม่?

ตอบ...มันก็คืออาการของเวทนา เจตสิกนั่นแหละ หลากหลาย ที่จริงมันมีความรู้สึกทั้งนั้น มีเวทนา สัญญา สังขาร และสังขารคือองค์รวม ท่านก็ให้พิจารณาตัวเวทนา ที่เกิดจากการกระทบสัมผัสแล้วมันก็ปรุง ถ้ามันปรุงชอบ ไม่ชอบ เฉยๆก็คือสังขาร เราก็แยกแยะว่าเหตุอะไรมันปรุงกัน แล้วเกิดเวทนาเช่นนั้น คนอวิชชาก็เกิดเวทนาทันที แต่ว่าคนมีวิชชาก็พยายามไม่ให้มันปรุง จนมันคลายมันเลิก คนที่ศึกษาจึงจะทำได้ ขนาดศึกษารู้ชัดแล้วก็ยังปฏิบัติได้ยากเลย แม้ปฏิบัติได้ แต่ไม่มีภาษาเรียก ก็เหมือนอาตี๋ซ่อมรถได้แต่ก็ไม่รู้จะบอกอย่างไร แต่ถ้าปฏิบัติได้แล้วรู้ภาษาบัญญัติด้วยก็จะยิ่งดี

มันก็เป็นความรับรู้ทางจิตทั้งนั้น ถ้าเรียนปริยัติ จากเวทนาก็มาหาจิต ตัวเวทนาที่สุข ทุกข์ มันก็มีเหตุ ที่คือจิตที่มี ราคะ โทสะ โมหะ เราก็จับอ่านอาการจริงเลย มันอยากก็ไม่ให้มัน มันก็ดิ้น ถ้าให้มันก็บำเรอกิเลส เราก็จัดการมัน พอจัดการได้ก็ไม่มีเวทนา สุข ทุกข์ มันก็เบาลงๆ ดับเหตุทุกข์ก็ดับ สุขก็ไม่มี ถ้าคุณดับเหตุได้แล้วจริง พอมันสัมผัสแล้ว ตอนนี้มันก็ยังรู้สึกว่าอร่อยมันก็เหลือเศษ มันก็เป็นความจำหรือคุณยังล้างไม่หมดเหลือเศษ

ถ้าคุณเกิดชอบเกิดยินดีแล้ว มันสัมผัสแล้วก็ยินดียังชอบอยู่ แต่ถ้าไม่มีสัมผัส คุณก็ไม่เคยคิดเคยโหยหามันเลย นั้นแหละคุณขาดแล้ว แต่ถ้าสัมผัสแล้วก็ยังอาลัยอาวรก็คือยังไม่เด็ดขาด จนกว่าจะสัมผัสแล้วก็เฉย รู้ความจริงตามความเป็นจริง สวยก็สวย เพราะคือเพราะ อ่านละเอียดมีปัญญาอ่านเวทนาตัวแท้ได้

 

6. สงัดจากกาม และอกุศล เกิด ฌาน 1 มี วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา แสดงว่า ฌาน คือผล (ไม่ใช่มรรค) จากการกำจัด กาม และอกุศล ไม่ใช่ ฌาน เป็นตัวกำจัดกามและอกุศล แล้ว กาม และอกุศล ใช้อะไรกำจัด?

ตอบ...ฌานคือเพ่งรู้เพ่งเผา  คุณทำได้แล้วเกิดผลสำเร็จจากฌาน แล้วฌานก็มีทั้งผล และมรรคด้วย ปฏิบัติอยู่นั่นแหละคือกำจัดได้ ได้ผลไปเรื่อยๆก็คือฌาน แต่ไม่ควรไปตีขลุมว่า คือผลของฌาน แต่ตัวฌานคือตัวปฏิบัติเต็มๆไม่ใช่ผล แต่คุณไปเข้าใจว่าคือผล เท่านั้นเอง

นี่คือข้อเขียนของท่านพอจริง สัจจาสโภ(คือผู้แกล้วกล้าอาจหาญในสัจจะ) ก็ใช้เวลาไปเกือบหมดเวลา

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

-มิ่งหมาย วันนี้มีคำถามว่า สภาวะเช่นนี้ใช่หรือไม่? วันที่ 24 ได้ไปที่สวนส่างฝัน ตอนท้าย ท่านฟ้าไท ได้กล่าวถึงว่าที่สวนส่างฝันมีคนอยู่ประจำแค่ 2 คนก็ทำงานได้มากมาย ท่านก็แนะนำว่าจะต้องสร้างสปายะ 4 (บุคคล สถานที่ อาหาร ธรรมะ) ซึ่งดิฉันว่าบ้านราชฯมีครบพร้อม พอเข้ามาก็จะเกิดการขัดเกลา แต่ไม่ขัดแตกขัดแยก ดิฉันไปอ่านเจอของดร.ยุค ประเทศไทยก็ส่งคนไปเรียนอเมริกาประเทศเดียว ส่วนจีนส่งคนไปเรียนหลายประเทศ เอามาปรับใช้กับประเทศตนก็เกิดการเจริญพัฒนา ส่วนคนไทยมีแต่อันเดียว เหมือนคำของพระอ.1 ว่า น้ำขุ่นที่ไหลดีกว่าน้ำใสที่นิ่ง ที่บ้านราชฯมีการเคลื่อนที่มาก ดิฉันก็ว่าดีกว่าที่จะนิ่งๆนะ ทำให้มองเห็นตนเอง แทนที่จะโต่งก็เกิดความเป็นกลางขึ้นมา ใจดิฉันก็เป็นกลางได้มากขึ้น เพราะไม่ได้มาเพื่อ โลกธรรม หรืออามิสอะไร?

ตอบ...ขยาย ที่ว่า สัปปายะ 4

1.เสนาสนสัปปายะคือความพร้อมองค์รวม ที่อยู่ที่พักที่อาศัยที่ทำมาหากินที่ทำงานก็พร้อมตามประสาเรา

2.บุคคลสัปปายะ คือมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี มีทั้งผู้ขัดเกลา มีครูบาอาจารย์และผู้เพ่งโทส ครบ แล้วผู้เพ่งโทสที่เป็นมิตรดีนี่ก็ไม่ได้เหมือนกับคนภายนอก แม้เพ่งโทสแต่ก็ปรารถนาดี เป็นแม่ที่ดุลูก แต่ปรารถนาดีได้ แม้วจีกรรมที่ต่อว่ากันก็ใช้ได้นะไม่จัดจ้าน แต่ก็ดีมีสัลเลขธรรมใช้ได้

3. อาหารสัปปายะ แม้กวฬิงการาหารก็ครบพร้อมดี แม้ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร ก็รู้ตัวเองได้ พอสังเกตได้ ต้องอ่านของตนเป็นหลัก มีผัสสะให้อ่าน อาหารทางผัสสะนี่แหละสำคัญ ถ้าเรียนผิดจะไม่รู้จักผัสสะ เพราะไปดับหมดแต่ต้นทางแม้ผัสสะก็ดับมัน แม้แต่วิญญาณาหาร พวกเราปฏิบัติธรรมก็มีอาหารทางวิญญาณ ของเราลดกิเลสก็เป็นอาหารทางวิญญาณที่ลดกิเลส

4.ธรรมะสัปปายะก็มีครบทุกอย่าง ที่เราได้ศึกษาเรียนรู้ปฏิบัติจริงถึงโลกุตรธรรม เราก็เรียนรู้โลกียธรรมก็ได้ด้วย ทำจะไม่ทำอกุศลเลย ทำแต่กุศล และทำจิตให้ผ่องใสสะอาดขาวรอบ

 

-ท่านเมฆิยะ เห็นป่ามะม่วง แล้วก็อยากเข้าป่าเพื่อทำความเพียรแต่ผู้เดียว ก็ทูลขอพพจ. ถึง 3 ครั้ง พพจ.ตรัสห้ามถึง 2 ครั้ง แล้วก็ให้ไปในครั้งที่ 3 ท่านเมฆิยะก็เลยทำความเพียรในป่ามะม่วงแต่เพียงผู้เดียว จนเกิด กามวิตก พยาบาทวิตก และวิหิงสาวิตก ก็เสียทีกิเลสก็เลยมาหาพพจ. ซึ่งพพจ.ก็ตรัสถึงธรรมะที่จะทำให้ถึงเจโตวิมุติได้แข็งแรง ...

1.ต้องมีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี

2ทำให้เราเป็นผู้มีศีล จนมีผู้เห็นโทษภัยประมาณน้อยก็ไม่ประมาท แล้วก็ยังมีอานิสงส์อีก 10 อย่างของ กถาวัตถุ 10 (อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ อสังสัคคะ วิริยารัมภะ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสนะ)

 

พ่อครูว่า คำว่า เกิด ดับ ที่สู่แดนธรรมพูดอันสุดท้ายนี่ มีพวกที่ใช้ปัญญาตรรกะ เหตุผล ก็นึกว่าตนเองเห็นความเกิดความดับแล้ว จิตเกิดดับ ที่แท้จริง คือกิเลสมันเกิด แล้วมันก็ดับ แต่ว่ามันก็ยังเกิดได้อีกคือมันดับไม่สนิท จนกว่าคุณจะดับได้สนิท ทำจิตเกิดที่เป็นอกุศลนั้นดับจนไม่เกิดอีก นี่คือการเห็นจิต เกิด ดับ ที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ว่า จิตเกิดดับแบบที่มันเป็นธรรมชาติ ใครก็เดาได้รู้ได้ แต่ถ้ากิเลสไม่เกิดในจิตเราเราก็ไม่ต้องดับกิเลสนี้ เพราะเราดับกิเลสได้ถาวร การเห็นจิตเกิดจิตดับคือเห็นอกุศลในจิตตนเกิดและดับ จนทำความดับของกิเลสได้ถาวร ต้องทำความเกิดความดับในตนนี้ให้ได้ และที่กรณีพระเมฆิยะ  พพจ.ว่าเรานี่แหละเป็นมิตรดีของเธอ เธอเหมือนนกติรทัสสี ที่เขาเอาใส่เรือไปด้วย หากออกจากฝั่งแล้วหาฝั่งไม่เจอ ก็ให้ปล่อยนกติรทัสสะไปมันจะหาฝั่งเจอ แต่ถ้านกติรทัสสีหาฝั่งไม่เจอมันก็จะบินกลับมาหาเรือ พระเมฆิยะก็เหมือนนกติรทัสสี

 

-การทำความเพียร คนที่เขาเข้าใจเป็นมิจฉาทิฏฐิคือการไปปลีกหลีกเร้นไปนั่งสมาธิ แต่ของพพจ.นี่ทำความเพียรคือจับวิญญาณให้ได้ เป็นกายวิญญาณหรือกายสังขาร เมื่อมีองค์ประชุมเหตุปัจจัยของรูป และนาม แล้วเรียนรู้อันนี้ตั้งแต่กายในกาย จนครบ โลกุตระ 37 นี่แหละ ยิ่งทุกวันนี้ยิ่งเห็นว่าศาสนาพุทธล่มสลายผิดเพี้ยนไปหมด วิญญาณฐีติ ก็ให้รู้กาย และสัญญา อ่านขณะมีวิญญาณ ที่ตั้งอยู่ ต้องมีการกระทบสัมผัสมีสามเส้า นี่คือการทำความเพียรให้เอาเรื่องเดียวก่อน อย่างพพจ.สอนให้เอาเรื่องกิเลสกินก่อน กินเมื่อไหร่พิจารณาเมื่อนั้น แต่เรื่องเกี่ยวกับคนที่สัมผัสสัมพันธ์อยู่ก็ทำให้ได้ เอาตั้งแต่ศีล 5 ข้อก่อนเลย ให้ลดกิเลส จับกิเลสได้ คนก็คือสัตว์ สัตว์เล็กสัตว์น้อยก็คือสัตว์ คนนี่แหละตัวดีทำให้เราไม่ชอบใจ มีโกรธ อรติ หรือปฏิฆะ เราก็เรียนรู้พวกนี้ หรือราคะ คือพูดปด พูดไม่ดี หรือสิ่งอบายหยาบๆ ก็เป็นตัวปฏิบัติผู้เพ่งเพียรบำเพ็ญ ไม่ช้าไม่นานก็บรรลุอรหันต์ ปฏิบัติโพธิปักขยิธรรม 37 ได้ถูกต้องมีสติ ธัมวิจัย วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา อย่างถูกต้อง ทำในขณะลืมตานี่แหละ แต่ศาสนาพุทธผิดเพี้ยน ฟังมหาเถรสมาคมตัดสินแล้วนี่ คนที่ไม่ใช่พุทธจะฟังเข้าใจไหมว่า เอาของคนอื่นไปแล้วก็เอามาคืนถือว่าไม่ผิดนี่ คนนอกศาสนาพุทธยังรู้ได้เลย คืออาตมาว่า เถรสมาคมหรือ มส.นี่ยังไง? เราก็นานาสังวาส แต่ก็สงสารศาสนาพุทธ แล้วคนอื่นจะเข้าใจอย่างไร ทุกวันนี้สื่อสารสนเทศน์มันฟ้า บ่ กั้นแล้ว ไม่มีอะไรปิดบังได้ อาตมาก็สงสารศาสนาพุทธ ที่ต้องพูดเพราะเป็นพุทธด้วยกัน ก็อย่าเข้าข้างคนผิดเลย แล้วผิดร้ายแรงด้วย ก็ได้แต่พูดไปนะ พวกเราก็ตั้งใจทำให้ดีก็แล้วกัน...


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:42:23 )

580220

รายละเอียด

580220-พุทธชีวศิลป์(29) เรื่อง จิตวิเคราะห์ในธาตุความเพียรทั้ง 7

พ่อครูว่า....วันนี้วันที 20 ก.. 58 แล้ว เรื่องราวทุกวันนีก็มีสิ่งที่เข้มข้นมากขึ้น และก็มีสิ่งที่น่าสลดใจมากด้วย เราก็จะมาศึกษาสัจธรรมกันให้ดีๆ นี่มีข่าวคราวออกมาไม่ล่าสุดวันนี้ เรียบร้อย ล่าสุด ทุกอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ผ่านไปก่อน คืออาตมารู้เข้าใจดี ว่าสังคมสงฆ์หมู่ใหญ่ทำอะไรขึ้นดีได้ยากแล้ว มันก็เป็นไปตามสัจจะที่เป็น เราก็ไปพูดมากก็ไม่ดี มันเป็นระดับประเทศ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร มันกลืนไม่เข้า คายไม่ออก เราก็เอาส่วนที่เราทำให้ดีไปเถอะ จริงๆก็น่าเห็นใจว่าเป็นโครงสร้างที่ผุพังมาก พยายามประคอง บูรณะกันก็คงยาก ก็คงได้แต่เห็นใจกัน ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรก็ได้ แต่ว่าที่เราตั้งหลักกันได้แล้วเราก็มาสร้างสรรสิ่งดี เรานานาสังวาสกัน

 

ยิ่งเราเห็นว่าเสาเรือนใหญ่พังลง เราก็จำเป็นจะต้องมีสิ่งเข้าไปทดแทน เข้าไปช่วยค้ำจุนให้ประเทศไทย สังคมไทย สังคมมนุษยชาติอยู่ได้ พวกเราก็พากเพียรก็แล้วกัน สัจธรรมพพจ.เป็นอุภยัตถะ เป็นประโยชน์สองส่วน (ตน-ท่าน)

บอกข่าวอีกอย่าง พรุ่งนี้จะมีครูที่จะมาสอนทางวิทยาศาสตร์ จะมาสอนเด็กนร. 08.30-16.00 น. ก็จะสอนเรื่องการวิจัยทางห้องปฏิบัติการเอาเครื่องไม้เครื่องมือมาด้วยนะ ก็อยากให้ทางว.นบ.เราไปร่วมเรียนด้วย เป็นกรณีพิเศษ

วันนี้อาตมาก็ตั้งใจเอาสิ่งที่ได้รับมาจาก สมณะพอจริง สัจจาสโภ ผู้ที่ก็ตั้งใจศึกษา เป็นครูเก่า รู้จักการทำวิจัยทำอะไรได้ดี ก็เลยฟังธรรมาถึงวันนี้ก็เลยเอามาเรียบเรียงดู ให้หายสงสัย ที่จริงท่านเข้าใจดีแล้ว ท่านเองท่านไม่มั่นใจก็เลยถามมา ก็ลองตั้งใจฟังดีๆ

 

580218_ประเด็นธรรมะ จาก ส.พอจริง สัจจาสโภ

 

พ่อครูเทศน์ที่สีมาอโศก เมื่อคราวสัญจร หลังงาน ว.บบบ. ความตอนหนึ่ง สรุปได้ว่า

 

ตากระทบรูปเกิดวิญญาณ ครบ รูปนาม เป็น 3 เส้า เรียกว่า โลก เป็นรอบที่ 1 เป็นระบบทำงานแล้ว 1 วงจร อยู่ในตัว เป็นอัตภาพของตัวเอง ยังไม่ออกไปเกี่ยวข้องกับใครเลย เป็นอารัพภธาตุ อารัมภธาตุ นิกกมธาตุ

 

พอเกิดมีอันอื่น เป็นจุดที่ 4 เป็น ปรักกมธาตุ ก็จะเริ่มต้นแตกตัว จากอัตตาของตนเอง แตกตัวเป็น 4 5 6 และ 7 8 9

 

ถ้าจบไปหา 0 ถ้าเกิดไปหา 10

ทิศทางไปหา 0 เรียกว่า โลกุตระ (พ่อครูว่าก็เรียกลำลองได้)เป็นอันเริ่มต้น

ทิศทางไปหา 10 เรียกว่า โลกียะ

 

เรื่อง ธาตุความเพียร 7 นี้ ได้ฟังมาหลายครั้ง ก็ยังสับสน ยังไม่รู้-เข้าใจ แจ่มชัดอะไร จึงอยากจะเรียนถาม จากกรณีตัวอย่างดังต่อไปนี้

 

นาย ก. มองเห็น นาย ข. ทำงานไม่เรียบร้อย เกิดอาการไม่ชอบใจ อึดอัดขัดเคือง โกรธขึ้นมาทันที (กิเลสโทสมูล-อรติ-ปฏิฆะ-โกธะ) คิดอยากจะด่า...”

 

จากกรณีตัวอย่าง

โคจรรูป = นาย ข.

ปสาทรูป = ตา นาย ก. มองเห็น

วิญญาณ = นาย ก. รู้พฤติกรรม การทำงานของ นาย ข. เป็นจักขุวิญญาณ

อายตนะ = มองเห็น เป็นการทำงานร่วมกัน ระหว่าง โคจรรูป (อยตนะภายนอก) กับ ปสาทรูป (อายตนะภายใน)

องค์ประกอบทั้งหมดนี้ เรียกว่า กาย

ในขณะเดียวกัน มันก็เป็น ผัสสะ เรียกว่า จักขุสัมผัส ด้วย

 

ความต่าง ของ กาย และจักขุสัมผัส นั้น อยู่ที่ สภาวะ

 

สภาวะของ กาย คือ การจัดองค์ประกอบ ได้ครบ 3 เส้า เรียกว่า โลก เป็นระบบขึ้นมาแล้ว 1 วงจร

นั่นคือ นาย ก. มองเห็น นาย ข. ทำงานไม่เรียบร้อย ก็รู้ว่า พฤติกรรม การทำงานของ นาย ข. นั้น ไม่เรียบร้อย ก็รู้ว่า พฤติกรรม การทำงานของ นาย ข. นั้น ไม่เรียบร้อย เพียงแค่นี้ โลกของ นาย ก. ได้เกิดขึ้นแล้ว แต่เป็น โลกส่วนตัว (อัตภาพ) ยังไม่เกี่ยวข้องกับ นาย ข.

 

สภาวะของ จักขุสัมผัส คือ อาการที่ใจ ถูก กระทบ สิ่งที่มากระทบใจ คือ ข้อมูลใหม่ ที่เป็นองค์ประกอบของ กาย นั่นเอง ส่วนใจที่ถูกกระทบ นั่นคือ ข้อมูลเก่า ที่ใจ ยึดเป็นอุปาทาน หรือ สมาทาน นั่นเอง

 

นั่นคือ นาย ก. ตกลงกับ นาย ข. ว่า งานนั้น ทำอย่างนี้ ข้อตกลงนี่แหละที่ นาย ก. ยึด อยู่ที่ว่า ยึด แบบใด

 

ถ้านาย ก. ยึดแบบ เอาเป็นเอาตาย ไม่มีข้ออนุโลมเลย ไม่ดูความรู้ ความสามารถของ นาย ข. เลย ต้องได้ตามสเปคนี้เท่านั้น การยึดแบบนี้เรียกว่า อุปาทาน

 

ถ้า นาย ก. ยึดแบบ มีบทอนุโลม และดูทั้งความรู้ความสามารถ พร้อมด้วยเหตุปัจจัยอื่น ทำให้รู้จัก และเข้าใจ นาย ข. ด้วย จึงพร้อมที่จะปรับ เปลี่ยน ไปตามเหตุปัจจัยได้ ยึดแบบนี้เรียกว่า สมาทาน

 

ทันทีที่นาย ก. มองเห็น และรู้ดังกล่าว ก็สะดุดใจ ตรงนั้น ตรงนี้ นี่แหละ ใจ มันถูกกระทบ แล้ว เป็นจักขุสัมผัส

เมื่อ ใจ ถูกกระทบ ก็มี ปฏิกิริยา ไม่ปกติ หวั่นไหว ตรงนี้เรียกว่า สังขาร เป็น กายสังขาร เพราะปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น เป็นการผสมส่วนของข้อมูลเก่า ( ข้อตกลง-ทิฏฐุปาทาน-อุปาทาน) กับ ข้อมูลใหม่ (ตา+รูป+จุกขุวิญญาณ) ด้วยการ คิด เปรียบเทียบ

 

เกิดเป็น อาการ ไม่ชอบใจ อึดอัดขัดเคือง โกรธขึ้นมา นี่คือ กิเลส สายโทสมูล ตั้งแต่ อรติ ปฏิฆะ และ โกธะ

ก็คิด อยากจะ ด่า นาย ข. ตรงนี้คือ ตัณหา

เป็นอันว่า กิเลส ตัณหา อุปาทาน ได้เกิดขึ้น ครบพร้อมแล้ว โดยมี

อุปาทาน เกิดก่อน

กิเลส เกิดตามมา

ตัณหา ก็เกิดตามมาอีก

 

ปัญหา อยู่ที่ว่า อารัพภธาตุ อารัมภธาตุ นิกกมธาตุ มันอยู่ตรงไหน?

โดยหลักการพ่อท่านก็เทศน์ไว้แล้ว ดังกล่าวข้างต้น

หากจะ วินิจฉัย ชี้เฉพาะลงไปเป็น ตัวชี้วัดของธาตุทั้ง 3 ก็จะได้ ดังนี้

 

1.อารัพธาตุ คือ ส่วนที่เป็น จักขุวิญญาณ จักขุสัมผัส และ กายสังขาร (คิด ปรุงแต่ง เปรียบเทียบ)

2.อารัมภธาตุ คือ ส่วนที่เป็น กิเลสโทสมูล (อรติ ปฏิฆะ โกธะ)

3.นิกกมธาตุ คือส่วนที่เป็นพลังงาน ของกิเลสโทสมูล (อรติ ปฏิฆะ โกธะ) ที่มีความพร้อมที่จะปะทุออกมา

 

กิเลส โทสมูล (อรติ ปฏิฆะ โกธะ) นี้แหละ คือ ตัวตนที่แท้จริง ของ นาย ก. ที่เรียกว่า อัตตา ยังเป็นโลกส่วนตัวอยู่ ไม่มีใครรู้ด้วยเลย

 

รอบของวงจรแรก 1 2 3 จบที่กิเลส โทสมูลนี้ ยังไม่ถึงตัณหา องค์รวมทั้งหมดนี้แหละ คือ สภาวะ ตักกะ ที่แปลว่า เริ่มคิด

หากจะเขียน แผนภูมิ เพื่อจะเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น จะเป็นดังนี้

 

ตักกะ

ตักกะ

รูป

นาม

_โคจรรูป

_วิญญาณ

_ปสาทรูป

_กาย

_ภาวรูป

_ผัสสะ(จักขุสัมผัส)

_หทยรูป

_สังขาร(กายสังขาร)

_ชีวิตรูป

_อุปาทาน(ทิฏฐุปาทาน)

_อาหารรูป

_กิเลส(โทสมูล)

 

_อารัพธาตุ (จุดที่ 1)

 

_อารัมธาตุ(จุดที่ 2)

 

_นิกกมธาตุ(จุดที่ 3

 

 

เริ่มคิด 1 ครั้ง มีองค์ประกอบของ รูปนาม ดังแผนภูมินี้ วงจรของโลกส่วนตัว (อัตตา) ได้เกิดขึ้นมา 1 รอบแล้ว ( 1 2 3 ) วงจรที่ 1 จบแค่นี้

 

วงจรที่ 1  (4 5 6)

สภาวะ วิตักกะ ที่แปลว่า คิดยิ่งขึ้น นี้

เกิด จุดที่ 4 คือ ปรักกมธาตุ ขึ้น ธาตุนี้ จะเริ่มแตกตัว จาก อัตตา (กิเลสโทสมูล-อรติ-ปฏิฆะ-โกธะ) ที่เป็นโลกส่วนตัว ไปสู่อันอื่น มีทิศทางที่แน่นอน เป็น มโนสัญเจตนา ในนี้จะมี ตัณหาคือ อยากแสดงบทบาท ต่อ นาย ข. เป็น 2 ทาง คือ

1.อยากด่า นาย ข. เป็นทิศทางโลกียะ

2.อยากปรับความเข้าใจ กับ นาย ข. เป็นทิศทางโลกุตระ

 

จุดที่ 5 คือ ถามธาตุ เป็นธาตุที่มีกำลังขับเคลื่อนไปตามทิศทางที่ตั้งไว้

 

1.ทิศทางโลกียะ เมื่อ อยากด่า เกิดขึ้น พลังตัณหาตัวนี้ ที่ได้รับแรงหนุนจาก กิเลสโทสมูล (อรติ ปฏิฆธ โกธะ) และอุปาทาน(ทิฏฐุปาทาน) ก็จะทวีมากขึ้นเป็นรอบๆ เรียกว่า สังกัปปะ

 

2.ทิศทางโลกุตระ เมื่ออยากด่า ก็รู้ว่า บาปได้เกิดขึ้นแล้ว จะต้องกำจัดบาป ตัวนี้เสีย เพื่อจะได้ บุญ เกิดขึ้นแทนที่ด้วย สมถะ หรือ วิปัสสนา ก็ได้

 

_สมถะ หรือวิกขัมภนปหาน ได้แก่ กดข่ม ทำลืมๆ ฯลฯ พลังตัณหา ก็จะหยุดพักยก ไม่ทำงาน สักระยะหนึ่ง

_วิปัสสนา ได้แก่ การพิจารณา เห็นภัย และโทษของ อาการอยากด่า (ตัณหา) ว่า มันน่ากลัว มันเป็นภัย นำโทษมาให้ ก็จะเกิดอาการเบื่อหน่าย หน่ายแหนง ต่อ อาการอยากด่า จึงปล่อยวาง ตามลำดับ จาก ฌาน 1 2 3 และ ฌาน 4 ในที่สุด

 

พลังตัณหา (อยากด่า) ที่ได้รับแรงหนุนจาก กิเลส(โทสมูล-อรติ ปฏิฆะ โกธะ) และอุปาทาน (ทิฏฐุปาทาน-ยึดเอาเป็นเอาตาย) ก็จางคลายลง จนอาการอยากด่า หมดไป อาการอยากปรับความเข้าใจ ก็เกิดขึ้นมาแทนที่ เป็นพลังทวีขึ้นเป็นรอบๆ เรียกว่า สังกัปปะ

 

สภาวะ สังกัปปะ จึงเป็นผลสรุปของ วิตักกะ

 

จุดที่ 2 ฐีติธาตุ เป็นจุดที่สะสมความแข็งแรง ลงเป็นฐานตั้ง ตั้งแต่ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ตามทิศทางที่ได้ปฏิบัติมา

 

1.ทิศทางโลกียะ เมื่อ พลังของ ตัณหา ที่ได้รับ แรงหนุนจาก กิเลสโทสมูล (อรติ ปฏิฆะ โกธะ) และ อุปาทาน (ทิฏฐุปาทาน) ก็จะสะสมลงไปที่ อัปปนา

 

ที่อัปปนา ก็จะตรวจสอบว่า อยากด่า แน่นะ เมื่อแน่ใจว่า อยากด่า จริงๆ พลังของตัณหา(อยากด่า) ก็จะถูกสะสมลงไปในอัปปนา ทันที

 

จากนั้น ก็จะควบแน่น เป็นพฤติของอาการอยากด่า พลังของตัณหา (อยากด่า) ก็เพ่ิมขึ้นๆๆ ด่าแน่ๆ เรียกว่า พยัปปนา

 

และแล้วก็จะปักมั่น ลงไปเลยว่า ยังไงๆ ก็ต้องด่า เรียกว่า เจตโสอภินิโรปนา เป็นฐานตั้งที่แข็งแกร่ง เป็น พลังอันสูงสุด ของตัณหา (อยากด่า)

 

2.ทิศทางโลกุตระ เมื่อกำจัด อาการอยากด่า ได้แล้ว จะด้วย สมถะ หรือวิปัสสนา ก็ตาม ได้ผลสรุปเป็น สังกัปปะ  ว่า ไม่อยากด่า แต่อยากปรับครามเข้าใจกับ นาย ก.

 

เมื่อ ปรับจิตได้แล้ว จิตก็จะแข็งแรงขึ้น เข้มแข็งขึ้น จากนั้น ก็จะไปสะสมที่อัปปนา

ที่อัปปนา ก็จะมีการตรวจสอบว่า อยากปรับความเข้าใจกับนาย ข. จริงหรือเปล่า ไม่มีนัยอื่นแฝงอยู่นะ

 

บางที บางครั้ง ผู้ปฏิบัติอาจสังเกตเห็นว่า รู้ภัย รู้โทษ มีหลักฐาน ความจริง ยังไม่ถูกจุดตรงประเด็นได้ชัดเจน เพียงพอ อาจเป็นเพียงองค์รวม เท่านั้น ไม่ใช่ตัวตัณหา ที่แท้จริงได้ ขอให้สังเกตดูดีๆ

 

ผู้ปฏิบัติจะต้องย้อนกลับไปตรวจสอบดู ขั้นตอนการปหานด้วยสมถะหรือวิปัสสนา อีกครั้ง ย้ำไปย้ำมาอยู่นั่นแหละ เมื่อแง่มุมปรับไป ถูกเหลี่ยมลงล็อคเข้า แรงยึดก็จะคลายลง ตามฐานะของฌาน

 

ฌาน 1 ได้ ขณิกสมาธิ หมายความว่า อยากปรับ ความเข้าใจ กับ นาย ข. อยู่สักระยะหนึ่ง แล้วก็กลับไปอยากด่าอีก ก็ปรับไปปรับมา อยู่อย่างนี้ เป็นช่วงๆ เป็นขณะๆไป เป็น ตทังคปหาน

 

ฌาน 2,3 ได้ อุปจารสมาธิ หมายความว่า อยากปรับความเข้าใจกับนาย ข. ตั้งมั่นได้ยาวนานขึ้นเรื่อยๆ หลายช่วง หลายขณะ มากขึ้นเรื่อยๆ อาการอยากด่าก็เบาบางจางคลายลงไปมากขึ้นๆ จนเข้าเขตวางเฉยได้บ้างแล้ว เป็น ตทังคปหาน ที่มีประสิทธิภาพชั้นสูง

 

ฌาน 4 ได้ อัปปนาสมาธิ หมายความว่า ตัดรอบ ปล่อยวาง อาการอยากด่า ได้เด็ดขาด เป็นสมุจเฉทปหาน นับเป็นจิตที่เข้าสู่การตั้งมั่นได้ถาวรแล้ว

 

ที่อัปปนา ก็จะตรวจสอบว่า อยากด่าหมดแน่นะ ไม่มีแอบแฝงแน่นะ อยากปรับความเข้าใจกับ นาย ข. จริงๆนะ เมื่อแน่ใจแล้ว ก็จะสะสมลงไปใน อัปปนา ทันที

 

จากนั้น ก็จะทำทวน ทำซ้ำ ทำย้ำ ลงไปอีก เกิดผล สงบ จากอาการอยากด่าอีก (ปัสสัทธิ) ทำบ่อยๆมากๆ (อาเสวนาภาวนา พหุลีกัมมัง) เป็น ปฏิปัสสัทธิปหาน ก็จะได้พยัปปนา ปรับความเข้าใจกับ นาย ข. แน่ๆ ซึ่งย้ำความแข็งแกร่ง ตั้งมั่นให้อัปปนาสมาธิอีก

 

เมื่อสลัดตัดเด็ดขาด ได้โดยไม่มีเยื่อใยของตัณหา(อยากด่า) ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ถึงพาอาศัยกันแล้ว สลัดออก เป็น นิสสรณปหาน ก็จะได้ เจตโสอภินิโรปนา ปักมั่นลงไปเลยว่า ยังไงๆ ก็ต้องปรับความเข้าใจกับ นาย ข. ก็ยิ่งย้ำความแข็งแกร่งให้ อัปปนาสมาธิ ตั้งมั่นยิ่งๆขึ้น จนถึงที่สุด

 

พอถึงจุดนี้ ตัณหา ได้ปรับขั้วมาเป็น วิภวตัณหา ได้สมบูรณ์แล้ว จาก อยากด่า มาเป็น อยากปรับความเข้าใจกับ นาย ข. ได้สมบูรณ์แล้ว

 

ที่จุด อัปปนา  พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา จึงเป็นจุดสะสม การปรับจิต ของ เจโต ให้เข้มแข็ง  โดยการทำงานของ ปัญญา ตั้งแต่ ตักกะ วิตักกะ และสังกัปปะ นับเป็นประสิทธิภาพของจิต พัฒนาของ มุทุภูตธาตุ (รู้เร็ว-ปรับได้ไว)

 

วงจรที่ 2 จุดที่ 4 5 6 ได้เกิดขึ้นมาอีกแล้ว

 

จุดที่ 7 อุปักกมธาตุ เป็นจุดเกิดที่สมบูรณ์ สิ่งที่เกิดขึ้นที่ จุดที่ 7 นี่คือ วจีสังขาร

 

วจีสังขาร  คือ ภาษาที่จะพูดเกิดขึ้นในใจ หรือ ใจ คิดจะพูดคำนั้น คำนี้ แต่ยังไม่ได้พูดออกมา

 

ภาษาที่จะพูดนั้น เป็นถ้อยคำตามฐานะของผู้ปฏิบัติแต่ละคน รวมทั้ง น้ำหนักของเสียง แรง-เบา แค่ไหน และสำเนียง อ่อน-แข็ง ปานใด ทั้ง 3 อย่าง (ภาษา+เสียง+สำเนียง) รวมกันเป็นคำพูด

 

ดังนั้น จึงสรุปง่ายๆว่า วจีสังขาร คือ คำพูดที่อยู่ในใจ นั่นเอง

วจีสังขาร นี้ จะเป็นไปตามทิศทางที่ได้ปฏิบัติมา

1.ทิศทางโลกียะ ก็จะมีคำด่าว่า ...ไอ้...

2.ทิศทางโลกุตระ ก็จะมีคำที่เชื่อมโยงไปถึง นาย ก. ปรากฏขึ้น เช่น คำทักทายว่า ต่อมา ก็เป็นคำที่ใช้ปรับความเข้าใจกันว่า... เป็นต้น  บางคนก็คิดแล้วคิดอีก จึงพูด บางคนคิดปั๊บ พูดปั๊บ แล้วแต่กรณี

 

เป็นอันว่า  สังกัปปะ 7 ได้เกิดขึ้น พร้อมกับธาตุความเพียร 7 และองค์ธรรมอื่นๆ อีกดังกล่าวแล้ว เป็นการทำงานของ กายในกาย ที่ไม่ทิ้งกาย

 

นั่นคือ มี กาย อยู่ องค์ประกอบมีครบพร้อมอยู่ (นาย ก. มองเห็น พฤติกรรมการทำงาน ของ นาย ข. ก็รู้อยู่ ในปัจจุบัน นั้น) เป็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่

 

จากนั้น กายในกาย ก็ทำงาน ตามกระบวนการของสังกัปปะ 7 มีธาตุความเพียร 7 และองค์รวมอื่นๆร่วมด้วย

 

ดังนั้น กายในกาย จึงเริ่มนับจาก วิญญาณ (จักขุวิญญาณ นาย ก. รู้พฤติกรรมการทำงานของ นาย ข.) เป็นต้นไป

 

วิญญาณ จึงเป็นทั้ง องค์ประกอบของ กาย และจุดเริ่ฟมต้นของ กายในกาย

 

ที่วิญญาณ นี่เอง จึงเป็นจุดที่สำคัญมาก เพราะเป็นจุดที่เชื่อมต่อ ระหว่าง กาย กับ กายในกาย และ กายในกายทั้งหมด ก็คือ จิต-เจตสิก ทั้งสิ้น จึงอาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วิญญาณ เป็นจุดเชื่อมต่อ ระหว่าง กาย กับ จิต ก็ได้ แล้วก็จะได้เรียนเรื่อง จิตสังขาร ต่อไป ถึง วจีสังขาร อีก

 

ถึงตรงนี้ ประเด็นคำถาม ก็เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งจะได้ถามต่อไป

 

ตรงนี้ ขอสรุป ความสัมพันธ์ ระหว่าง สังกัปปะ 7 และ ธาตุความเพียร ออกมาเป็นแผนภูมิ เพื่อการเรียนรู้ จะได้ง่ายขึ้นดังนี้

 

 

 

ตักกะ

 

สังกัปปะ 7

 

วิตักกะ

สังกัปปะ

 

ถามธาตุ

 

อัปปนา

พยัปปนา

เจตโสฯ

 

อารัพภธาตุ

อารัมธาตุ

นิกกมธาตุ

 

 

                                                                             
   

กายในกาย

 

 
     
 
     
     
 
 
   
   

ธาตุความเพียร 7

 

 
 
     
       
 
 
     
     
 
 
     
       
 
 
     
     

ฐีติธาตุ

 

 
 
     
       
 
     
 
   

อุปักกมธาตุ

 

   

วจีสังขาร

 

 
       
 
 
     
     

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ในแผนภูมิ จะเห็นภาพการทำงานได้ชัดขึ้น

เมื่อ สังกัปปะ 7 เสร็จสิ้นภารกิจแล้ว

ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ

ที่จะดำเนินไปตามองค์มรรค ตามวิถี ที่กำหนด อยู่ที่ว่า ทิศทางนั้นจะสัมมา(โลกุตระ)หรือมิจฉา(โลกียะ) เท่านั้นเอง .จบ

 

คำถาม

 

1.การขยายความ จากโครงสร้างที่พ่อท่านเทศน์ สั้นๆนี้ พอจะเข้าข่าย สัมมาทิฏฐิ บ้างหรือไม่? มีส่วนใดบ้างที่ไม่ถูก จะต้องปรับอย่างไร จึงจะถูก โปรดตรวจสอบให้ด้วย เพราะเรื่องนี้ ยิ่งฟัง ยิ่งสับสน จึงเรียนถามมาเพื่อความชัดเจน เมื่อชัดเจนแล้ว จะไม่ต้องกังวลในการเดินเส้นทางนี้

พ่อครูว่า ....ตอบได้ว่า เข้าข่ายสัมมาทิฏฐิแน่ ฉายหนังได้ละเอียด 150 เฟรมต่อวินาทีเลย และไม่สับสนหรอก ดีมากที่เรียบเรียงมา แต่ที่คุณเองรู้สึกสับสนเองก็คือ มันได้รู้ความรู้นี้แล้ว เขียนออกมาก็เป็นความรู้ของตน มันได้รู้อันนี้แล้วจะมีปฏิภาณไหวพริบที่จะรู้เพิ่มเข้าไปอีก ตัวที่จะรู้เพิ่มจะเข้ามากวนสิ่งที่เรารู้นี้แล้ว เพราะยังไม่แน่ใจว่าที่รู้นี้ถูกต้องหรือไม่ สับสนหรือกังวลตรงนี้ ก็ตอบให้ว่าถูกต้องแล้ว ที่บอกว่าจะได้วิจัยต่อไปนี่คือตัวไม่จบ แสดงว่าคุณมีภูมิธรรมรู้ต่ออีก คำตอบที่ทำมาให้นี้ดีแล้ว ถูกแล้ว

 

2.จากรณีตัวอย่าง ที่ยกมานั้น อยู่ในระดับ จิตสำนึก (conscious) เป็น วีติกมกิเลส ใน กามภพ ใช่หรือไม่ ถ้าใช่ แสดงว่า วีติกมกิเลส เป็น กิเลสที่แสดงออกครบพร้อมทั้ง กาย วาจา ใจ (สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ที่เป็นมิจฉาทั้งหมด) อย่างนั้นดอกหรือ?

เมื่อประสบกับเหตุการณ์ เฉพาะหน้า จะแยกว่า

เมื่อไร เป็น วีติกมกิเลส

เมื่อไร เป็น ปริยุฏฐานกิเลส

เมื่อไร เป็น อนุสัยกิเลส

ได้อย่างไร?

ตอบว่า...เมื่อได้ทำให้กิเลสลดลงได้แล้วนี่คือ วีติกมกิเลส(แปลว่าล่วงพ้นได้แล้ว) ส่วน กิเลสตัวที่กำลังเผชิญนี่ก็คือ ปริยุฏฐานกิเลส เป็นข้อแรกของญาณ 7 พระโสดาบันเลย เป็นปัญญาที่รู้แล้วว่าตนเองได้ทำสำเร็จมา ก็กำลังเผชิญกิเลสตัวต่อมา ส่วนเมื่อทำลายปริยุฏฐานกิเลสให้ผ่านไปได้เป็นวีติกมกิเลสได้อีก ก็จะเหลืออนุสัย ตัวปลาย ตัวเล็กละเอียดได้ ถ้าเข้าใจที่อาตมาอธิบายว่า ของพุทธเอาอนุสัยมาล้างได้จริง เพราะเอาอบาย เอากาม ที่เป็นตัวแรกๆ ออกได้จริง กิเลสชั้นลึกๆก็จะขึ้นมาปรากฏ โดยมีเหตุปัจจัยกระทบกระแทกกระทุ้ง อะไรทำได้แล้วก็เฉย ก็จะมีตัวต่อไปให้ฆ่า ก็จัดการอีก จนกว่าจะถึงตัวปลายก็ฆ่าอีก จนกว่าจะหมด แล้วจะรู้ว่า ยังเหลืออะไรอีก มีอนุสัยตัวต่อๆไปอีก ถ้าใครปฏิบัติถูกก็จะรู้ว่ามีอีก

 

3.ความจริง กับ ความจำ

จากรณีตัวอย่าง นาย ก. มองเห็น นาย ข. ทำงานอยู่ก็รู้ แล้วกิเลสไม่ชอบใจก็เกิดขึ้น กิเลส ไม่ชอบใจ (อรติ) ที่เกิดขึ้น ขณะนี้ คือ ความจริง

ถ้าเวลาผ่านไปแล้ว นาย ก. ก็ระลึกย้อน ว่า เคยไม่ชอบใจ (อรติ) เคยไม่ชอบใจ คือ ความจำ แค่รู้เรื่องที่ผ่านมา

ถ้ารู้เรื่องที่ผ่านมาแล้ว ก็ยังเกิด อาการไม่ชอบใจ (อรติ) ขึ้นมาอีก ในขณะที่ระลึกถึงเรื่องที่ผ่านมานั้น  อันนี้เป็น จริง หรือ จำ ?

ตอบ...เป็นความจำ สภาพที่เราระลึกขึ้นมานี่ จะเรียกว่าความเคลื่อนไหว ขึ้นมาดูใจในใจ ไม่ใช่วิญญัติของกาย วาจา ที่เป็นองค์รวมทั้งหมด ถ้าคนอวิชชา ระลึกขึ้นมาจะเป็นภวตัณหา ที่ระลึกขึ้นมาเอง เราก็ไม่รู้ตัว ดีไม่ดี ระลึกมาแล้วก็แค้นเพิ่มอีก แต่พวกเราศึกษาแล้วก็สังวร ระลึกมาแล้วจะรู้ว่าไม่น่าทำ จะเป็นราคะหรือโทสะ เราจะพิจารณาอีกว่าเราไม่น่ามีอีกเลย เราไม่น่าโง่ไปมีอีกเลย ทำให้มันอ่อนแรงหรือลดลงได้ แต่คนอวิชชาก็ไม่ระลึกเช่นนี้ดีไม่ดีเสริมแรงกิเลสเพิ่มอีกก็ซวยเพิ่ม

4. ภาษา กับ สภาวะ

สภาวะ = คือ “ขณะที่รู้ตัวว่า กำลังโกรธ

ภาษา = มันเป็น สติ สัมปชัญญะ สัญญา ญาณ หรือปัญญา หรือว่ามันเป็นองค์รวมแยกกันทำหน้าที่แต่ละอย่าง ถ้าเป็นเช่นนั้น พอจะบอกได้ไหมว่า สภาวะตอนใด เรียก ภาษาว่าอะไร?

ตอบ....คำว่า สภาวะคือ มี  ส. ที่คือการประกอบ มาเติม กับคำว่า ภาวะ ที่คือความปรากฏ ภาษาก็ใช้เรียกความปรากฏนั้นๆ เช่นลูกนี้เราไปเห็นก็ถ้าไม่มีภาษาก็สื่อไม่ได้ แต่ว่าถ้าเรียกว่าแตงโม คนก็รู้จัก ส่วนสิ่งจริงที่ปรากฏก็คือสภาวะ ส่วนภาษาก็ใช้เรียกสภาวะ ถามว่า สภาวะที่รู้ตัวว่าโกรธ ก็คือความปรากฏนั้นก็เป็นภาวะ ตรงกับภาษาบัญญัติคำนั้น แต่คุณไม่รู้ภาษาเลยก็เรียกมันไม่ถูกเท่านั้น อย่างเราไม่เคยเห็นลูกนี้เลย พอเห็นก็คิดว่าลูกอะไร? ไม่มีภาษาบัญญัติ มันก็เป็นความปรากฏกับภาษาบัญญัติที่ปรากฏเท่านั้น

5. คำว่า เวทนาแปลว่า ความรู้สึกหมายความว่า สุข ทุกข์ อทุกขมสุข 

โสมนัส โทมนัส อุเบกขา

แล้วคำว่า รู้สึกว่าชอบ

แล้วคำว่า รู้สึกว่าสวย

แล้วคำว่า รู้สึกว่าจะคิดไม่ดี

แล้วคำว่า รู้สึกว่ามันกระแทกใจกันเกินไป

แล้วคำว่า รู้สึกว่ารับรู้อยู่นะ

แล้วคำว่า รู้สึกว่าเจ็บมือ ปวดฟัน

แล้วคำว่า รู้สึกว่าได้ยินอยู่นะ

และรู้สึกอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย

รู้สึกเหล่านั้น จัดอยู่ใน เวทนา ด้วยหรือเปล่า?

เมื่อฟังพ่อท่านเทศน์ว่า เวทนา จะหมายเอา ตัวไหน จึงจะถูก?

ถ้าได้ยินคำว่า เวทนา ก็หมายเล็งเอาที่ สุข ทุกข์ อทุกขมสุข , โสมนัส โทมนัส อุเบกขา เป็นหลัก นอกนั้นก็เป็นองค์ประกอบ ที่นับเนื่องในกลุ่มเวทนา โดยอนุโลม ทำอย่างนี้ได้หรือไม่?

ตอบ...มันก็คืออาการของเวทนา เจตสิกนั่นแหละ หลากหลาย ที่จริงมันมีความรู้สึกทั้งนั้น มีเวทนา สัญญา สังขาร และสังขารคือองค์รวม ท่านก็ให้พิจารณาตัวเวทนา ที่เกิดจากการกระทบสัมผัสแล้วมันก็ปรุง ถ้ามันปรุงชอบ ไม่ชอบ เฉยๆก็คือสังขาร เราก็แยกแยะว่าเหตุอะไรมันปรุงกัน แล้วเกิดเวทนาเช่นนั้น คนอวิชชาก็เกิดเวทนาทันที แต่ว่าคนมีวิชชาก็พยายามไม่ให้มันปรุง จนมันคลายมันเลิก คนที่ศึกษาจึงจะทำได้ ขนาดศึกษารู้ชัดแล้วก็ยังปฏิบัติได้ยากเลย แม้ปฏิบัติได้ แต่ไม่มีภาษาเรียก ก็เหมือนอาตี๋ซ่อมรถได้แต่ก็ไม่รู้จะบอกอย่างไร แต่ถ้าปฏิบัติได้แล้วรู้ภาษาบัญญัติด้วยก็จะยิ่งดี

มันก็เป็นความรับรู้ทางจิตทั้งนั้น ถ้าเรียนปริยัติ จากเวทนาก็มาหาจิต ตัวเวทนาที่สุข ทุกข์ มันก็มีเหตุ ที่คือจิตที่มี ราคะ โทสะ โมหะ เราก็จับอ่านอาการจริงเลย มันอยากก็ไม่ให้มัน มันก็ดิ้น ถ้าให้มันก็บำเรอกิเลส เราก็จัดการมัน พอจัดการได้ก็ไม่มีเวทนา สุข ทุกข์ มันก็เบาลงๆ ดับเหตุทุกข์ก็ดับ สุขก็ไม่มี ถ้าคุณดับเหตุได้แล้วจริง พอมันสัมผัสแล้ว ตอนนี้มันก็ยังรู้สึกว่าอร่อยมันก็เหลือเศษ มันก็เป็นความจำหรือคุณยังล้างไม่หมดเหลือเศษ

ถ้าคุณเกิดชอบเกิดยินดีแล้ว มันสัมผัสแล้วก็ยินดียังชอบอยู่ แต่ถ้าไม่มีสัมผัส คุณก็ไม่เคยคิดเคยโหยหามันเลย นั้นแหละคุณขาดแล้ว แต่ถ้าสัมผัสแล้วก็ยังอาลัยอาวรก็คือยังไม่เด็ดขาด จนกว่าจะสัมผัสแล้วก็เฉย รู้ความจริงตามความเป็นจริง สวยก็สวย เพราะคือเพราะ อ่านละเอียดมีปัญญาอ่านเวทนาตัวแท้ได้

 

6. สงัดจากกาม และอกุศล เกิด ฌาน 1 มี วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา แสดงว่า ฌาน คือผล (ไม่ใช่มรรค) จากการกำจัด กาม และอกุศล ไม่ใช่ ฌาน เป็นตัวกำจัดกามและอกุศล แล้ว กาม และอกุศล ใช้อะไรกำจัด?

ตอบ...ฌานคือเพ่งรู้เพ่งเผา  คุณทำได้แล้วเกิดผลสำเร็จจากฌาน แล้วฌานก็มีทั้งผล และมรรคด้วย ปฏิบัติอยู่นั่นแหละคือกำจัดได้ ได้ผลไปเรื่อยๆก็คือฌาน แต่ไม่ควรไปตีขลุมว่า คือผลของฌาน แต่ตัวฌานคือตัวปฏิบัติเต็มๆไม่ใช่ผล แต่คุณไปเข้าใจว่าคือผล เท่านั้นเอง

นี่คือข้อเขียนของท่านพอจริง สัจจาสโภ(คือผู้แกล้วกล้าอาจหาญในสัจจะ) ก็ใช้เวลาไปเกือบหมดเวลา

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

-มิ่งหมาย วันนี้มีคำถามว่า สภาวะเช่นนี้ใช่หรือไม่? วันที่ 24 ได้ไปที่สวนส่างฝัน ตอนท้าย ท่านฟ้าไท ได้กล่าวถึงว่าที่สวนส่างฝันมีคนอยู่ประจำแค่ 2 คนก็ทำงานได้มากมาย ท่านก็แนะนำว่าจะต้องสร้างสปายะ 4 (บุคคล สถานที่ อาหาร ธรรมะ) ซึ่งดิฉันว่าบ้านราชฯมีครบพร้อม พอเข้ามาก็จะเกิดการขัดเกลา แต่ไม่ขัดแตกขัดแยก ดิฉันไปอ่านเจอของดร.ยุค ประเทศไทยก็ส่งคนไปเรียนอเมริกาประเทศเดียว ส่วนจีนส่งคนไปเรียนหลายประเทศ เอามาปรับใช้กับประเทศตนก็เกิดการเจริญพัฒนา ส่วนคนไทยมีแต่อันเดียว เหมือนคำของพระอ.1 ว่า น้ำขุ่นที่ไหลดีกว่าน้ำใสที่นิ่ง ที่บ้านราชฯมีการเคลื่อนที่มาก ดิฉันก็ว่าดีกว่าที่จะนิ่งๆนะ ทำให้มองเห็นตนเอง แทนที่จะโต่งก็เกิดความเป็นกลางขึ้นมา ใจดิฉันก็เป็นกลางได้มากขึ้น เพราะไม่ได้มาเพื่อ โลกธรรม หรืออามิสอะไร?

ตอบ...ขยาย ที่ว่า สัปปายะ 4

1.เสนาสนสัปปายะคือความพร้อมองค์รวม ที่อยู่ที่พักที่อาศัยที่ทำมาหากินที่ทำงานก็พร้อมตามประสาเรา

2.บุคคลสัปปายะ คือมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี มีทั้งผู้ขัดเกลา มีครูบาอาจารย์และผู้เพ่งโทส ครบ แล้วผู้เพ่งโทสที่เป็นมิตรดีนี่ก็ไม่ได้เหมือนกับคนภายนอก แม้เพ่งโทสแต่ก็ปรารถนาดี เป็นแม่ที่ดุลูก แต่ปรารถนาดีได้ แม้วจีกรรมที่ต่อว่ากันก็ใช้ได้นะไม่จัดจ้าน แต่ก็ดีมีสัลเลขธรรมใช้ได้

3. อาหารสัปปายะ แม้กวฬิงการาหารก็ครบพร้อมดี แม้ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร ก็รู้ตัวเองได้ พอสังเกตได้ ต้องอ่านของตนเป็นหลัก มีผัสสะให้อ่าน อาหารทางผัสสะนี่แหละสำคัญ ถ้าเรียนผิดจะไม่รู้จักผัสสะ เพราะไปดับหมดแต่ต้นทางแม้ผัสสะก็ดับมัน แม้แต่วิญญาณาหาร พวกเราปฏิบัติธรรมก็มีอาหารทางวิญญาณ ของเราลดกิเลสก็เป็นอาหารทางวิญญาณที่ลดกิเลส

4.ธรรมะสัปปายะก็มีครบทุกอย่าง ที่เราได้ศึกษาเรียนรู้ปฏิบัติจริงถึงโลกุตรธรรม เราก็เรียนรู้โลกียธรรมก็ได้ด้วย ทำจะไม่ทำอกุศลเลย ทำแต่กุศล และทำจิตให้ผ่องใสสะอาดขาวรอบ

 

-ท่านเมฆิยะ เห็นป่ามะม่วง แล้วก็อยากเข้าป่าเพื่อทำความเพียรแต่ผู้เดียว ก็ทูลขอพพจ. ถึง 3 ครั้ง พพจ.ตรัสห้ามถึง 2 ครั้ง แล้วก็ให้ไปในครั้งที่ 3 ท่านเมฆิยะก็เลยทำความเพียรในป่ามะม่วงแต่เพียงผู้เดียว จนเกิด กามวิตก พยาบาทวิตก และวิหิงสาวิตก ก็เสียทีกิเลสก็เลยมาหาพพจ. ซึ่งพพจ.ก็ตรัสถึงธรรมะที่จะทำให้ถึงเจโตวิมุติได้แข็งแรง ...

1.ต้องมีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี

2ทำให้เราเป็นผู้มีศีล จนมีผู้เห็นโทษภัยประมาณน้อยก็ไม่ประมาท แล้วก็ยังมีอานิสงส์อีก 10 อย่างของ กถาวัตถุ 10 (อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ อสังสัคคะ วิริยารัมภะ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสนะ)

 

พ่อครูว่า คำว่า เกิด ดับ ที่สู่แดนธรรมพูดอันสุดท้ายนี่ มีพวกที่ใช้ปัญญาตรรกะ เหตุผล ก็นึกว่าตนเองเห็นความเกิดความดับแล้ว จิตเกิดดับ ที่แท้จริง คือกิเลสมันเกิด แล้วมันก็ดับ แต่ว่ามันก็ยังเกิดได้อีกคือมันดับไม่สนิท จนกว่าคุณจะดับได้สนิท ทำจิตเกิดที่เป็นอกุศลนั้นดับจนไม่เกิดอีก นี่คือการเห็นจิต เกิด ดับ ที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ว่า จิตเกิดดับแบบที่มันเป็นธรรมชาติ ใครก็เดาได้รู้ได้ แต่ถ้ากิเลสไม่เกิดในจิตเราเราก็ไม่ต้องดับกิเลสนี้ เพราะเราดับกิเลสได้ถาวร การเห็นจิตเกิดจิตดับคือเห็นอกุศลในจิตตนเกิดและดับ จนทำความดับของกิเลสได้ถาวร ต้องทำความเกิดความดับในตนนี้ให้ได้ และที่กรณีพระเมฆิยะ  พพจ.ว่าเรานี่แหละเป็นมิตรดีของเธอ เธอเหมือนนกติรทัสสี ที่เขาเอาใส่เรือไปด้วย หากออกจากฝั่งแล้วหาฝั่งไม่เจอ ก็ให้ปล่อยนกติรทัสสะไปมันจะหาฝั่งเจอ แต่ถ้านกติรทัสสีหาฝั่งไม่เจอมันก็จะบินกลับมาหาเรือ พระเมฆิยะก็เหมือนนกติรทัสสี

 

-การทำความเพียร คนที่เขาเข้าใจเป็นมิจฉาทิฏฐิคือการไปปลีกหลีกเร้นไปนั่งสมาธิ แต่ของพพจ.นี่ทำความเพียรคือจับวิญญาณให้ได้ เป็นกายวิญญาณหรือกายสังขาร เมื่อมีองค์ประชุมเหตุปัจจัยของรูป และนาม แล้วเรียนรู้อันนี้ตั้งแต่กายในกาย จนครบ โลกุตระ 37 นี่แหละ ยิ่งทุกวันนี้ยิ่งเห็นว่าศาสนาพุทธล่มสลายผิดเพี้ยนไปหมด วิญญาณฐีติ ก็ให้รู้กาย และสัญญา อ่านขณะมีวิญญาณ ที่ตั้งอยู่ ต้องมีการกระทบสัมผัสมีสามเส้า นี่คือการทำความเพียรให้เอาเรื่องเดียวก่อน อย่างพพจ.สอนให้เอาเรื่องกิเลสกินก่อน กินเมื่อไหร่พิจารณาเมื่อนั้น แต่เรื่องเกี่ยวกับคนที่สัมผัสสัมพันธ์อยู่ก็ทำให้ได้ เอาตั้งแต่ศีล 5 ข้อก่อนเลย ให้ลดกิเลส จับกิเลสได้ คนก็คือสัตว์ สัตว์เล็กสัตว์น้อยก็คือสัตว์ คนนี่แหละตัวดีทำให้เราไม่ชอบใจ มีโกรธ อรติ หรือปฏิฆะ เราก็เรียนรู้พวกนี้ หรือราคะ คือพูดปด พูดไม่ดี หรือสิ่งอบายหยาบๆ ก็เป็นตัวปฏิบัติผู้เพ่งเพียรบำเพ็ญ ไม่ช้าไม่นานก็บรรลุอรหันต์ ปฏิบัติโพธิปักขยิธรรม 37 ได้ถูกต้องมีสติ ธัมวิจัย วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา อย่างถูกต้อง ทำในขณะลืมตานี่แหละ แต่ศาสนาพุทธผิดเพี้ยน ฟังมหาเถรสมาคมตัดสินแล้วนี่ คนที่ไม่ใช่พุทธจะฟังเข้าใจไหมว่า เอาของคนอื่นไปแล้วก็เอามาคืนถือว่าไม่ผิดนี่ คนนอกศาสนาพุทธยังรู้ได้เลย คืออาตมาว่า เถรสมาคมหรือ มส.นี่ยังไง? เราก็นานาสังวาส แต่ก็สงสารศาสนาพุทธ แล้วคนอื่นจะเข้าใจอย่างไร ทุกวันนี้สื่อสารสนเทศน์มันฟ้า บ่ กั้นแล้ว ไม่มีอะไรปิดบังได้ อาตมาก็สงสารศาสนาพุทธ ที่ต้องพูดเพราะเป็นพุทธด้วยกัน ก็อย่าเข้าข้างคนผิดเลย แล้วผิดร้ายแรงด้วย ก็ได้แต่พูดไปนะ พวกเราก็ตั้งใจทำให้ดีก็แล้วกัน...


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:42:24 )

580222

รายละเอียด

580222_วิถีอาริยธรรม สันติฯ  ปฏิกโกสนาคือคัดค้านอย่างจัง(กรณีพระธัมชโย)

.เพาะพุทธว่า...พ่อครูได้มีกวีที่อ.เป็นต้น นาประโคนประพันธ์ไว้ แล้วพ่อครูประพันธ์เสริมไปอีก 2 บท สำหรับตีพิมพ์ในนส.เพาะพุทธเราคิดอะไร?

                                                เทวดาตกสวรรค์

 

                                    (1) โอ้อรเอยโอษฐ์อ้าง                    อวดองค์

                                    โลกหลับใหลลุ่มหลง                                  ลูบไล้

                                    เงินง้างงัดงุนงง                                โง่งาบ

                                    หอบหาบหวงห่อนให้                                 โหดเหี้ยมห่าเหว                             

                                    (2) บนบ่าแบกบาปบ้า                    บอกบุญ

                                    ทำท่าทางทุ่มทุน                               เท่แท้

                                    คนคงคิดแค้นคุณ                             โค่นโคตร

                                    โกยกอบเก็บกักแก้                           กู่ก้องแกโกง

                                    (3) ระเริงรวยเร่าร้อน                                  รุนแรง

                                    ปล้นเปลือกปลดเปลี่ยนแปลง                    เปล่าปลี้

                                    ทั้งทุกข์โทษทิ่มแทง                                     ท่วมทับ

                                    โขยงขยาดขยันขยำขยี้                                 ขยับเขยื้อนขยะแขยง                      

                                    (4) ไปโป้ปดแปดเปื้อน                  ปากปู

                                    รักเรี่ยราดรกรู                                               แรดร้าย

                                    เสแสร้างแส่สร้างสู                          สาวโสด สดสวย

                                    เททับทุ่งทิ้งท้าย                                ทาสแท้ทานทุน

                                    (5) แถมถอดถอนเถื่อนถ้อย                      ถกถาม

                                    น้ำเน่าหนักนางนาม                                     แน่เน้อ

                                    แกก่อเกิดกลกาม                              แก้เก่ง

                                    ฟาดฟัดแฟนฟุ้งเฟ้อ                                     เฟื่องเฟื้องแฟบฟุบ

                                    (6) จึงเจียนจอดจบเจ้า                                จำใจ

                                    เลี่ยงเล่ห์ลึกลื่นไหล                         หลบลี้

                                    ผลักผิดผรุสเผาไผ                           ผลผ่อน

                                    เปลืองเปรอะปรุงเปล่าปลี้              ปลอกปลิ้นเป็นไป

                                    (7) ท้ายทุกข์ทันท่วมแท้                 ที่ทำ

                                    หยุดอย่ายาวย่ำยำ                              ยอกย้อน

                                    เสียสุดเสร็จสิ้นสำ-                          ส่อนเสื่อม

                                    อรอาจเอ่ยออดอ้อน                         โอ่อ้าง"ไอ"เอียน.    

           

                                               

                                                                                                "อ.เป็นต้น นาประโคน"                            

                                                                                                            13 ก.พ. 2558

                        [นัยปก "เราคิดอะไร" ฉบับ 296 ประจำเดือน มีนาคม 2558]                                                                                           

 

พ่อครูว่า..เราอยู่ในสังคมเราก็ต้องสดับตรับข่าวของสังคม ไม่ใช่เราเป็นคนหลับไม่รู้นอนคู้ไม่เห็น เหมือนกับเราเองเป็นคนใจดำไม่ดูดำดูดีเพื่อนฝูง คนตกทุกข์ได้ยากเราก็เฉย ถ้าเราอยู่ในสังคมใดก็แล้วแต่ เราไม่เอาจไปเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับเขาได้เลยเพราะสุดวิสัย เข้าไปแล้วเสียหาย เราก็จะต้องตาย ไม่ได้ประโยชน์สักอย่าง ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่ควรไปเกี่ยวข้อง เราก็ขออยู่ส่วนของเรา เพราะสุดวิสัย แต่ถ้าเผื่อว่าเราก็พอได้ พอช่วยพอเข้าไปเกี่ยวข้องมีประโยชน์ ยิ่งจะเราเข้าไปมีประโยชน์โดยเราเสียสละบ้างถ้าถึงกาละ ต้องลงทุน ต้องเปลืองตัว เปลืองทุนรอนแรงงานเราก็ควรทำควรทำตามสมควร ยิ่งเราเองอยู่ในฐานะที่พอช่วยได้ สามารถทำได้ ก็ควรอย่างยิ่ง ใช้คำว่า ต้องช่วย ไม่ช่วยก็เลวเลย ไม่ใช่แค่ใจดำ เห็นแก่ตัวเกินไป เป็นมนุษย์ที่เห็นแก่ตัวจัด อาตมาพาทำร่วมกับสังคม ใช้สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4

 

สำหรับคดีนี้ กรณีนี้ ที่พระในศาสนาพุทธมีความผิดถึงปาราชิก แล้วก็ถูกหมู่สงฆ์คณะใหญ่ตัดสินไม่ให้ผิด ก็เลยมีปฏิกิริยาประท้วง คว่ำบาตร ต่อต้าน มีลักษณะพวกนี้เลย

 

เป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิด ขึ้น ฝ่ายอโศกนี่เป็นกลุ่มที่ประกาศนานาสังวาสกับสงฆ์กระแสหลัก เมื่อ 6  ส.ค. 2518 แล้วก็ถือว่าวันที่ 7 ส.ค. 2518 พอเราลาออกมาแล้ว มีหลักฐานยืนยันว่าสงฆ์หมู่ใหญ่รับทราบแล้ว มีหนังสือรายลักษณ์อักษร อาตมาประกาศต่อหน้าสงฆ์ 180 รูปที่วัดหนองกระทุ่ม โดยมีเราเป็นสงฆ์หมู่เล็กมีพระ 21 รูป กับเณร 2 รูป ประกาศแยกตัวเป็นนานาสังวาส ถูกต้องตามธรรมวินัยทุกอย่าง อาตมากล่าวลาแล้วก็ส่งหนังสือให้เจ้าคณะอำเภอและตำบล ก็มาร่วมด้วย อาตมาก็ให้เจ้าคณะอำเภอเซ็นรับรองแล้ว ก็ส่งไปถึงเจ้าคณะจังหวัด มีหลักฐานลายเซ็นผู้ว่ารับรองด้วย แล้วส่งไปถึงมหาเถรสมาคม ก็รับรองแล้ว แต่วันร้ายคืนร้าย เขาก็ดึงเราไปคืนสู่กลุ่มอีก แล้วก็มาเอาเรื่องฟ้องร้องเอาความเราอีก ทั้งที่นานาสังวาสจะฟ้องร้องกันไม่ได้ถึงอุกโกฏนา จะทำได้ก็แค่ ปฏิกโกสนา แปลว่าคัดค้าน ประท้วง หรือท่านเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ท่านแปลว่าคัดค้านจังๆ แต่ปฏิกโกสนาทำได้แค่วาจา แต่จะทำถึงด่าสาดเสียเทเสียหยาบคาย หรือถึงขั้นผิดหลักธรรมกฎเกณฑ์จนไปฟ้องร้องไม่ได้จะอธิกรณ์กันไม่ได้นั่นเอง

 

และมีหลักฐานว่า มหาเถรสมาคมนั้นให้เราแยกตัวแล้ว ก็คือเราไปขึ้นรถประจำทาง หรือรถไฟทางผอ.รถไฟก็ทำหนังสือถึงมหาเถรสมาคมว่า นี่พวกอโศกเป็นพระหรือไม่? มหาเถรสมาคมก็ทำหนังสือเป็นหลักฐานเลยว่า สันติอโศกไม่ได้อยู่ในการปกครองของมหาเถรสมาคม ชัดเจน แต่เขาก็ทำผิดเอง กลับคำ ดึงเราเอาเข้าไปรับอีก แล้วตัดสินความก็ไม่เอาจำเลยคือเราเข้าไปให้ความเห็นด้วย กลับบอกว่าหลักฐานครบพร้อมแล้ว ก็ไปตัดสินความกันเอง ก็เป็นการทำผิด แล้วการตัดสินความเราก็เอาทั้งพระมหานิกายและธรรมยุติมาร่วมกันพิจารณาอีก ก็ผิดหลักคณปูรกะ เพราะหลักพพจ.ว่าถ้าสงฆ์นานาสังวาสจะเอามาร่วมพิจารณาอธิกรณ์กันไม่ได้ ในเรื่องการฟ้องร้องกันนี่ทำไม่ได้ แต่ท่านก็ทำ ช่างกระไร จึงทำได้มากมายขนาดนี้ ทำผิดสารพัด แล้วท่านก็ประกาศ และแม้ประกาศปกาศนียกรรมก็ผิดอีก

 

ยุคพพจ.มีประกาศนียกรรมเพียงครั้งเดียวกับ พระเทวทัตนะ ท่านประกาศแค่นานาสังวาส ไม่ได้จับสึกนะ ว่าเทวทัตก็ส่วนของเทวทัต เราก็ส่วนเรา แต่นี่มหาเถรสมาคมเอาเรื่องเราฟ้องร้องต่อศาลอีก เราไม่ยอมสึกนี่ ก็ฟ้องศาล เราก็ต้องยอมเพราะเราเป็นผู้น้อย

 

.เพาะพุทธว่า..มีในพระไตรฯว่า ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สงฆ์ทำปกาสนียกรรมใน

กรุงราชคฤห์แก่พระเทวทัตว่า ปกติของพระเทวทัตก่อนเป็นอย่างหนึ่ง

เดี๋ยวนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง พระเทวทัตทำอย่างใดด้วยกาย วาจา ไม่

พึงเห็นว่าพระพุทธ พระธรรม หรือพระสงฆ์ เป็นอย่างนั้น พึงเห็น

เฉพาะตัวพระเทวทัตเอง การทำปกาสนียกรรมในกรุงราชคฤห์แก่พระ

เทวทัตว่า ปกติของพระเทวทัตก่อนเป็นอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้เป็นอีกอย่าง

หนึ่ง พระเทวทัตทำอย่างใดด้วยกาย วาจา ไม่พึงเห็นว่าพระพุทธ

พระธรรม หรือพระสงฆ์ เป็นอย่างนั้น พึงเห็นเฉพาะตัวพระเทวทัต

เอง ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด

ท่านผู้นั้นพึงพูด

             ปกาสนียกรรมในกรุงราชคฤห์ อันสงฆ์กระทำแล้ว แก่พระ

เทวทัตว่า ปกติของพระเทวทัตก่อนเป็นอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้เป็นอีก

อย่างหนึ่ง พระเทวทัตทำอย่างใดด้วยกาย วาจา ไม่พึงเห็นว่า พระ-

*พุทธ พระธรรม หรือพระสงฆ์ เป็นอย่างนั้น พึงเห็นเฉพาะตัวพระ

เทวทัตเอง ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้

ด้วยอย่างนี้ ฯ

 [363] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะท่านพระสารีบุตรว่า ดูกร

สารีบุตร ถ้ากระนั้น เธอจงประกาศเทวทัตในกรุงราชคฤห์

             ท่านพระสารีบุตรทูลถามว่า เมื่อก่อนข้าพระพุทธเจ้ากล่าวชมพระเทวทัต

ในกรุงราชคฤห์ว่า โคธิบุตรมีฤทธิ์มาก โคธิบุตรมีอนุภาพมาก ข้าพระพุทธเจ้า

จะประกาศพระเทวทัตในกรุงราชคฤห์อย่างไร พระพุทธเจ้าข้า

             พ. ดูกรสารีบุตร เธอกล่าวชมเทวทัตในกรุงราชคฤห์แล้ว เท่าที่เป็น

จริงว่า โคธิบุตรมีฤทธิ์มาก โคธิบุตรมีอนุภาพมาก

             ส. อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า

             พ. ดูกรสารีบุตร เธอจงประกาศเทวทัตในกรุงราชคฤห์เท่าที่เป็นจริง

เหมือนอย่างนั้นแล

             ท่านพระสารีบุตร ทูลรับสนองพระพุทธพจน์แล้ว ฯ

             [364] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ

ทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล สงฆ์จงสมมติสารีบุตรเพื่อประกาศเทวทัตในกรุงราช-

*คฤห์ว่า ปกติของพระเทวทัตก่อนเป็นอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง พระ

เทวทัตทำอย่างใดด้วยกาย วาจา ไม่พึงเห็นพระพุทธ พระธรรม หรือพระสงฆ์

เป็นอย่างนั้น พึงเห็นเฉพาะตัวเทวทัตเอง ฯ

 

พ่อครูว่า..ต้องบอกว่าเราไม่ได้อยากพูดนะ แต่พพจ.สอนในพรหมชาลสูตร ว่าสิ่งใดเราไม่ได้เป็นเราก็ต้องบอกว่าเราไม่เป็น สิ่งใดเราเป็นเราบอกว่าเราเป็น ต้องกล่าวตรงตามความจริง ต้องแจ้งต้องบอก ไม่อย่างนั้นจะคลุมเคลือ เข้าใจผิด ถ้าเราเพ่งโทสผู้ถูกก็บาปนะ ก็ผิดสัจจะก็บาปก็ไม่ควร ในขณะนี้ก็ขอสรุปชัดๆว่า ที่เราจะพูดนี้เราก็จะพูดแต่ปฏิกโกสนา ตำหนิคัดค้านประท้วงอย่างจังๆ

 

เราก็เป็นสังวาสเดียวกันเราเป็นพุทธเหมือนกัน หนีไปจากกันไม่ได้ แต่ท่านจะออกไปนอกฝั่ง ปาราชิก แล้วท่านก็ยังยืนหยัดยืนยันมั่วอยู่อย่างนั้น อาตมาลาออกมาตั้งแต่ 2518 อาตมาก็ประกาศคำหนักเหมือนกันนะ มาวันนี้เหตุการณ์ก็ยังยิ่งหนักหน้า แรง ยิ่งเป็นอกุศล เราตำหนิได้แต่เราไม่เกี่ยวกับการฟ้องร้องแต่อย่างใด

 

.เพาะพุทธว่า...พ่อครูได้อธิบายเรื่องปฏิกโกสนา คือการกล่าวตำหนิท้วงติงคัดค้าน

 

พ่อครูว่า..ขอให้ทราบว่าเราทำหน้าที่ตามขอบเขตที่พพจ.อนุญาต เราก็แค่พูดออกสู่สังคมกล่าวคัดค้านตำหนิ ปกิกโกสนา ไม่ถึงอุกโกฏนา ไม่มีด่าทอหยาบคายหรือเป็นการโกงการลำเอียงตะแบงผิดเพี้ยนแต่อย่างใด เป็นเรื่องที่เรามั่นใจว่าทำตรง

 

ขออ่านบทความในนส.เพาะพุทธแนวหน้าวันนี้...
 

สปช.รับไม่ได้มติฉาวจ่อสอบ มส. ขัดลิขิตพระสังฆราช

วันอาทิตย์ ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558, 06.00 น.

 

จากกรณีมติการประชุมมหาเถรสมาคม(มส.) ครั้งที่ 5/2558 ซึ่งมีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรรมการ มส. ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นประธาน เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งมติในที่ประชุมยืนยันว่า พระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ยังไม่ปาราชิกเพราะไม่ได้ฝ่าฝืนพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ลงวันที่ 26 เมษายน 2542 และได้คืนทรัพย์สินให้วัดไปแล้วนั้น

 

สปช.เตรียมสอบมติ มส.

 

ความคืบหน้าในเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เปิดเผยว่า มติ มส.ดังกล่าว จะต้องถูกตรวจสอบ เพราะขัดและแย้งกับพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช ที่รับรองโดยมติของ มส.เอง การมีมติไปหักล้างมติเมื่อปี 2542 เป็นการใช้มติที่ประชุมของ มส. ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ผู้ที่มีมติคือกรรมการ มส. เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ อีกทั้งในกฎหมายยังเขียนด้วยว่า มติจะมีผล ต้องเป็นไปตามพระธรรมวินัยด้วย มติดังกล่าวจึงต้องถูกตรวจสอบว่ามีการกระทำที่ถูกต้องหรือไม่ เบื้องต้น ดูแล้ว มตินี้มีปัญหาแน่ เมื่อมีปัญหาออกมาโดย มส. ก็ต้องมีปัญหาที่จะต้องถูกตรวจสอบ กรรมการใน มส.หลายรูป ก็ถูกร้องเรียนว่า มีลักษณะทับซ้อนกับการใช้ดุลยพินิจในเรื่องพระธัมมชโย จึงต้องถูกตรวจสอบ

 

ทางธรรมถือว่าปาราชิกแล้ว

 

มติที่ออกมาบอกว่าไม่ขัดกับพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช แต่ดูอย่างไรก็ขัด อีกประการคือ บอกว่าพระธัมมชโยได้คืนทรัพย์สินให้วัดหมดแล้ว ไม่มีเจตนาถือไว้ จึงไม่ต้องปาราชิก กรณีนี้มันคนละเรื่องกัน เพราะการเอาทรัพย์สินที่เป็นของวัดมาใส่ชื่อตัวเอง ถือว่าขาดจากความเป็นพระแล้ว ยกตัวอย่างพระที่เสพเมถุน แม้ไม่ผิดกฎหมายก็ปาราชิก เรื่องเอาทรัพย์สินมาเป็นของตัวเอง แม้สุดท้ายเจ้าของทรัพย์จะยอมความ ไม่เอาผิด ทางโลกถือว่าพ้นผิด แต่ในทางธรรม ถือว่า ปาราชิก ไปตั้งแต่มีเจตนามาใส่ชื่อตัวเอง แม้ตอนหลังจะมาคืน แต่ความเป็นปาราชิกมันต่อไปไม่ได้ มันขาดไปแล้ว” นายไพบูลย์ กล่าว

 

ยกพระลิขิต10พ.ค.42ชี้ชัด

นายไพบูลย์ กล่าวอีกว่า ที่สำคัญคือ สมเด็จพระสังฆราชทรงมีพระลิขิตอีกฉบับเมื่อปี 2542 ว่าพระธัมมชโยได้ปาราชิกไปแล้ว เพราะไปบิดเบือนคำสอนของพระพุทธศาสนา ทำให้สงฆ์แตกแยก ซึ่งมติของ มส. ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ โดยพระลิขิตฉบับวันที่ 10 พฤษภาคม 2542 ลิขิตชัดว่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับ “อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย” การที่ทรงใช้คำนี้ เพราะเห็นว่าพระธัมมชโยขาดจากความเป็นพระไปแล้ว การปาราชิกก็มีผลทันทีตั้งแต่ตอนนั้น มติของ มส.จะมีปัญหาแน่

 

สอบตรวจทั้ง“มส.-ธัมมชโย”

สำหรับขั้นตอนการตรวจสอบ มส.นั้น นายไพบูลย์เปิดเผยว่า จะเป็นการตรวจสอบในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ ส่วนการตรวจสอบพระธัมมชโย จะดูไปถึงพฤติกรรมที่ไปรับเงินจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ที่ไปฉ้อโกงเงินของประชาชน และรับเงินไปนานแล้ว เมื่อมีเรื่องร้องเรียนในศาล ก็ไปพูดว่า ไม่รู้จักกับอดีตประธานสหกรณ์ฯ ทั้งที่ข้อเท็จจริงรู้จักกันแน่ และประชาชนไม่มีความประสงค์จะให้ แต่ยังถือไว้อีก นี่คือสิ่งที่เราจะตรวจสอบ เพราะเข้าข่ายกระทำปาราชิก

เผยมีคนให้ข้อมูลแล้ว

 

“พระธัมมชโยสำหรับผม ถือว่าปาราชิกไปแล้ว ตามมติของ มส. เมื่อปี 2542 การมาบอกว่า ฆราวาสไปตรวจสอบสงฆ์ไม่ได้ เป็นคนละเรื่องกัน ที่พูดนี้เป็นเรื่องธรรมวินัย แต่ไม่ใช่เรื่องการตรวจสอบทางกฎหมาย เพราะเจ้าอาวาสเป็นตำแหน่งทางกฎหมาย อย่างเรื่องวัดสระเกศที่ สตง.ไปตรวจสอบเรื่องเงิน ทำไมตรวจสอบได้ มันตรวจสอบได้ทั้งหมด และการที่เราตรวจสอบนี้ คือการตรวจสอบหน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งมีปัญหาจึงต้องถูกตรวจสอบ เพราะจะต้องไม่มีการขัดกันในผลประโยชน์ มีผู้นำข้อมูลมาให้แล้ว” นายไพบูลย์กล่าวทิ้งท้าย

.ศิวรักษ์จวกตะแบงพระวินัย

ขณะเดียวกัน นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ “ส. ศิวรักษ์” นักเขียนและนักวิชาการอิสระ ฉายา “ปัญญาชนสยาม” ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Sulak Sivaraksa ระบุตอนหนึ่งว่า การที่ มส.ลงมติ ว่า พระธัมมชโยไม่เป็นปาราชิกนั้น แสดงว่ากรรมการ มส. ที่ลงคะแนนให้ธัมมชโย น่าจะมีชนักติดหลังในทำนองเดียวกัน ในเมื่อลายพระหัตถ์สมเด็จพระสังฆราชชี้ชัดว่าบุคคลผู้นี้ต้องอทินนาทานปราชิก แล้วกรรมการ มส.ซึ่งอ้างว่าเคารพสมเด็จพระสังฆบิดร กลับไม่ทำตามมติสมเด็จพระสังฆราช โดยที่อ้างว่าเขาคืนเงินให้แล้ว เป็นอันหมดมลทิน นั่นเป็นเรื่องตะแบงพระวินัยอย่างชัดเจน

 

ชี้กรณีเดียวกับ“กิตติวุฒโฑ”

“แต่นี่ไม่ใช่คราวแรกที่ มส.มีพฤติกรรมเช่นนี้ เช่นเมื่อคราวกิตติวุฒโฑภิกขุสั่งรถวอลโว่เข้ามาโดยไม่ยอมเสียภาษี นี่ก็เป็นอทินนาทานปราชิกเช่นเดียวกัน เพราะพระมีค่าเพียงแค่เงินบาทเดียว ฉ้อฉลเพียงบาทเดียวก็ต้องอทินนาทานปราชิกหมดความเป็นภิกษุภาวะ คราวกิตติวุฒโฑ มหาเถรสมาคมก็ลงมติว่าเป็นนิคสักขีปาจิตตี และให้เอาเงินไปเสียภาษี เพื่อจบเรื่อง ดังกรณีธัมมชโยก็เช่นกัน อ้างว่าได้คืนเงินคืนทองไปแล้ว ยังสามารถคงความเป็นลัชชีไว้ได้ นี่เป็นตัวอย่างแห่งความอัปลักษณ์ของกรรมการมหาเถรสมาคม” ส.ศิวรักษ์ ระบุผ่านเฟซบุ๊ค

 

หวั่นทำพระศาสนาสั่นคลอน

ในเฟซบุ๊คของ ส.ศิวรักษ์ ยังระบุด้วยว่า ชีวิตพรหมจรรย์แปลว่าชีวิตอันประเสริฐ ต้องต่างไปจากชีวิตชาวบ้าน ซึ่งเป็นกามโภคี พระภิกษุสามเณรต้องเจริญเนกขัมมปฏิปทา แม่นทั้งทางศีลสิกขาและเจริญจิตสิกขา เพื่ออบรมตัวเองให้เข้าถึงปัญญา จะได้แลเห็นสิ่งต่างๆ ตามสภาพความเป็นจริงที่แท้ ถ้าไตรสิกขาเป็นเพียงคำพูด โดยไม่ประพฤติปฏิบัติตามที่เนื้อหาสาระ พระศาสนาก็ย่อมจะสั่นคลอนและอาจถึงซึ่งความอับปางก็ได้ ภายในชั่วอายุของกรรมการ มส.ในบัดนี้นี่เอง

 

ดร.เสรีแต่งกลอนเหน็บมส.

 

วันเดียวกัน ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการชื่อดัง โพสต์ข้อความลงยังเฟซบุ๊คส่วนตัว “ดร.เสรี วงษ์มณฑา” ซึ่งได้แต่งกลอนเหน็บมหาเถรสมาคมว่า

 

แร้งอยู่วัดสระเกศ ส่วนเปรตอยู่วัดปากน้ำ

 

ช่วยกันทำระยำ ปล่อยธรรมกายให้ลอยนวล

 

ไม่อยากจะเรียกพระ เพราะไม่ละกิเลสถ้วน

 

มีโลภคอยชี้ชวน เป็นคนด้วนคุณธรรม

 

ศาสนามิได้เสื่อม อย่าเพิ่งเอือมช่วยกันค้ำ

 

ไล่พาลคนระยำ อย่าให้ทำเรื่องชั่วเลว

 

 

มวลชนทยอยไปวัดปากน้ำ

 

จากนั้นใน เวลา 11.30 น. ที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ ได้มีมวลชนทยอยเดินทางเข้ามาภายในวัด โดยสวมใส่เสื้อสีเหลืองแสดงสัญลักษณ์ว่ามาร่วมกับหลวงปู่พุทธะอิสระ ซึ่งจากการสอบถามมวลชนที่เดินทางมาถึง ระบุว่า เดินทางมาตามการนัดหมายผ่านทางโซเชียลมีเดีย โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.ภาษีเจริญ กระจายกำลังตรวจตราโดยรอบบริเวณวัด พร้อมกันนี้ ทหารก็ได้มีการตั้งด่านดูแลความปลอดภัยเช่นกัน

 

นำดอกไม้จันทน์ถวายสังฆทาน

 

ต่อมา เวลา 13.00 น. หลวงปู่พุทธอิสระ พร้อมคณะ เดินทางไปยังวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เพื่อยื่นหนังสือและสังฆทานที่ประกอบด้วย ดอกไม้จันทน์ รองเท้า ฟัก และอื่นๆ ต่อพระพรหมโมลี(สุชาติ ธมมรตโน) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ(ตัวแทนเจ้าอาวาส) เพื่อทวงถามกรณีที่สมเด็จพระสังฆราช ทรงมีพระบัญชาเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2542 ให้จัดการปัญหาวัดพระธรรมกายขั้นเด็ดขาด โดยมีพระลิขิตให้กรมการศาสนา จับพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธัมมชโย) สึกเพราะปาราชิก ขาดจากความเป็นสงฆ์

 

“สุวพันธ์”เกาะติดวัดปากน้ำ

 

เย็นวันเดียวกัน นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่หลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย ไปถวายสังฆทานที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับมหาเถรสมาคม(มส.)ที่มีมติว่า พระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดธรรมกายและประธานมูลนิธิธรรมกาย ไม่ปาราชิกขาดจากความเป็นภิกษุ ว่า มีเจ้าหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ไปที่วัดปากน้ำภาษีเจริญอยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วย เพื่อทำหน้าที่ประสานงานและทำความเข้าใจกับทั้งฝ่ายของหลวงปู่พุทธะอิสระ และวัดปากน้ำภาษีเจริญ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ได้โทรศัพท์รายงานเหตุการณ์ให้ตนได้รับทราบแล้วทั้งนี้การที่มส.มีมติในกรณีของพระธัมมชโยนั้น ตนทราบข้อมูลเบื้องต้นจากข่าวของสื่อมวลชนเท่านั้น จึงได้สั่งการให้ พศ.รายงานผลประชุมของมส.โดยละเอียด ขณะเดียวกันกำลังรอ มส.ส่งรายละเอียดคำชี้แจงอย่างเป็นทางการต่อมตินี้ เพราะตนต้องการดูมติและความเห็นต่าง ๆ ประกอบกัน

 

ห่วงวงการสงฆ์ขัดแย้ง

 

เมื่อถามว่า กังวลใจหรือไม่ว่าเหตุการณ์นี้อาจสร้างความขัดแย้งในหมู่พระสงฆ์ นายสุวพันธุ์ กล่าวว่า ตนก็รู้สึกกังวล แต่เรื่องนี้เป็นสิ่งที่พระสงฆ์และฆราวาสให้ความสนใจเมื่อถามต่อว่า เป็นห่วงหรือไม่ว่า เรื่องนี้จะทำให้ฆราวาสทั้งของ 2 ฝ่าย ขัดแย้งกันแล้วอาจขยายตัวไปถึงเรื่องอื่น ๆ ด้วย นายสุวพันธุ์ กล่าวว่า คงต้องติดตามกันต่อไป เพราะเราไม่ควรวางใจหรือประมาทไม่ว่า จะเป็นเรื่องใดก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่คนมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน

 

สนช.ชี้ธรรมการทำสับสน

 

ด้านนายภูมิสรรค์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา อนุกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการสังคม กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่า เยาวชนในหลายภาคส่วนมีความกังวลและสับสนในวิธีสอนและคำสอนในพุทธศาสนาที่ แปลกประหลาดออกไปในรูปแบบต่าง ๆ เสมือนการแสดงโชว์และจัดอีเว้นท์ เช่น การเผยแพร่ของวัดพระธรรมกายและผู้ใหญ่ในสังคม นักธุรกิจ นักการเมือง ที่หันเหไปสนับสนุนและให้ความนับถือในคำสอนที่อาจบิดเบือน ผิดแปลกและโชว์อีเว้นท์ธุดงค์ที่ค่อนข้างแปลกประหลาด ในฐานะที่ตนเป็นกรรมาธิการที่รับผิดชอบด้านสังคม เด็กและเยาวชน อดเป็นห่วงไม่ได้

 

จี้มส.ทำตามพระลิขิต

 

จึงขอเสนอต่อกมธ.และทุกองค์กรที่ รับผิดชอบในด้านการสังคมและศาสนา ทำความชัดเจนให้ปรากฏดังนี้ คือ 1. ให้มหาเถรสมาคมทำตามพระลิขิต ของสมเด็จพระสังฆราชฯให้ชัดเจน โดยเฉพาะกรณีพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ว่าปาราชิกหรือไม่ ถ้าปาราชิกทำไมมหาเถรสมาคมปล่อยปะละเลยมาถึงปัจจุบัน หรือถ้าไม่เพราะอะไร 2. ให้ส่วนที่เกี่ยวข้องสังคายนาคำสอนในพุทธศาสนาให้ถูกต้องและตรงกันตามคำสอน ของพระพุทธเจ้า 3. ให้ลงโทษขั้นเด็ดขาดกับพระที่ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ผิดหรือต้องคดีต่างๆ ให้ดำเนินไปโดยความรวดเร็วเป็นธรรมตามกฎหมาย 4. ให้มหาเถระชะลอการเสนอแต่งตั้งสมณะ พระที่ต้องหาหรือติดคดีความต่างๆ จนกว่าคดีจะสิ้นสุดและ 5. ให้มีพ.ร.บ.ความคุมสมบัติของวัดและที่ดินวัดให้ชัดเจน เพื่อป้องกันการทุจริตมิชอบของบุคคลผู้แสวงหาผลประโยชน์"ผมและสังคมไทยฝาก ความหวังไว้กับคณะรักษาความสงบแห่งขาติ (คสช.)และรัฐบาลในยุคนี้ว่า จะทำสำเร็จเป็นรูปธรรมปราศจากการแทรกแซงเหมือนกับทุกรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่สำเร็จ จึงนำมาซึ่งปัญหาเรื้อรังถึงวันนี้"นายภูมิสรรค์ กล่าว

 

พ่อครูว่า...ตอนนี้มันจะเป็นจุดแตกจุดแยก ขออ่านอีกบทความ  ของคุณจิตกร บุษบา

 

      • มหาเถร+อัยการ...อุ้มมารศาสนา?

เรื่องของ “ธัมมชโย” แห่งสำนักธรรมกายนี้ มีทั้งความลึกลับ ซับซ้อน ตัดตอน ซ่อนเงื่อน และเพื่อนอุ้ม

คอลัมน์การเมือง

 

    เส้นใต้บรรทัด

    จิตกร บุษบา

    5

 

มหาเถร+อัยการ...อุ้มมารศาสนา?

 

เรื่องของ “ธัมมชโย” แห่งสำนักธรรมกายนี้ มีทั้งความลึกลับ ซับซ้อน ตัดตอน ซ่อนเงื่อน และเพื่อนอุ้ม

 

ต้นตอของคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2541 มีการกล่าวหาธัมมชโยว่า ยักยอกเงินและที่ดินที่บรรดาญาติโยมบริจาคให้วัด และมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่น ใกล้ชิดสีกา บิดเบือนคำสอน และอวดอุตริมนุสธรรม กรมที่ดินตรวจพบการครอบครองที่ดินของธัมมชโยจริง กรมการศาสนาจึงได้เข้าแจ้งความต่อกองปราบปราม กล่าวโทษในคดีอาญา ม.137, 147 และ 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังยักยอกทรัพย์และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยร่วมกันยักยอกทรัพย์และเงินบริจาคของวัดพระธรรมกาย จำนวน 6.8 ล้านบาท ไปซื้อที่ดินเขาพนมพา ต.หนองพระ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร โดยโอนกรรมสิทธิ์ใส่ชื่อนายถาวร พรหมถาวร ลูกศิษย์ (จำเลยที่ 2) และนำเงินอีกเกือบ 30 ล้าน ไปซื้อที่ดินกว่า 900 ไร่ ใน ต.หนองพระ (จ.พิจิตร) และที่ ต.ท่าข้าม อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ โดยโอนกรรมสิทธิ์ให้นายถาวรอีกเช่นเคย

 

นอกจากนี้ ยังมีอดีตทนายความวัดพระธรรมกายและประชาชน ที่เคยเลื่อมใสศรัทธา ในวัดพระธรรมกาย เข้าแจ้งความดำเนินคดีพระธัมมชโย ฐานฉ้อโกงเงิน 35 ล้าน โดยแยกเป็นคดีความทั้งหมด 5 คดี ในที่สุด สำนักงานอัยการสูงสุดมีความเห็นให้ฟ้อง เรื่องจึงเข้าสู่กระบวนการของศาล มีการสอบพยานและการดำเนินพิจารณาคดี ตั้งแต่ปี 2542-2547 เหลือสืบพยานจำเลยอีก 2 นัด ในวันที่ 23 กับ 24 สิงหาคม 2549 เท่านั้น

 

แต่แล้วอัยการสูงสุด “นายพชร ยุติธรรมดำรง” ก็มีคำสั่งให้อัยการฝ่ายคดีอาญา 5 ถอนฟ้อง!!

 

ในวันที่ 21 สิงหาคม พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 ซึ่งเป็นโจทก์ โดยเรืออากาศโทวิญญู วิญญกุล อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5 ก็ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาล อ้างเหตุในการถอนฟ้องว่า บัดนี้ ธัมมชโย หรือนายไชยบูลย์ สุทธิผล อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และพวก ได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาตรงตามพระไตรปิฎกและนโยบายของสงฆ์แล้ว ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้เป็นที่ยอมรับทั่วไปทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังได้ให้ความร่วมมือช่วยเหลือกิจการของศาสนา ทั้งของคณะสงฆ์ ภาครัฐ และเอกชนจำนวนมาก อีกทั้งธัมมชโยกับพวกก็ได้มอบทรัพย์สิน ทั้งที่ดินและเงินกว่า 959 ล้านบาท คืนแก่วัดพระธรรมกายแล้ว จึงเป็นการปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช ครบถ้วนทุกประการ ประกอบกับขณะนี้บ้านเมืองต้องร่วมกันสร้างความสามัคคีของคนในชาติทุกหมู่เหล่า เห็นว่าหากดำเนินคดีธัมมชโยกับพวกต่อไป อาจก่อให้เกิดความแตกแยก นอกจากนี้การดำเนินคดีต่อไปยังไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ จึงมีคำสั่งให้ถอนฟ้องในคดีนี้

 

จะเป็นความบังเอิญหรือเกี่ยวข้องกันอย่างไรก็ไม่ทราบ ก่อนหน้าที่อัยการจะถอนฟ้องเพียงเดือนเศษ ในวันที่ 18 กรกฎาคม2549 พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ได้ใช้สถานที่วัดพระธรรมกาย จัดงาน “รวมใจทุกศาสนา พัฒนาท้องถิ่นไทย ถวายองค์ราชา ครองราชย์ 60 ปี” โดยระดมเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั่วประเทศ 80,000 คน มาร่วมงาน ซึ่งมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นประธานและกล่าวปาฐกถาด้วย

 

ในวงการสงฆ์กับการสอบเรื่องนี้ก็ซับซ้อนมิใช่เล่น มีการสอบสวนเอาผิดกับธัมมชโย ตั้งแต่ พ.ศ.2541 โดยสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานนิสโร ) อดีตเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม(มรณภาพไปแล้ว) เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม และเป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ซึ่งปกครองดูแลวัดมหานิกายในพื้นที่ภาคกลางทั้งหมด โดยเขตปกครองสงฆ์ วัดธรรมกายอยู่ในสังกัดเจ้าคณะภาค 1 คือ พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร) เจ้าอาวาสวัดยานนาวา เจ้าคณะภาค 1 ต้องทำหน้าที่พิจารณาโทษ หรือลงนิคหกรรม (ให้สึกเพราะกระทำการละเมิดพระธรรมวินัย) ธัมมชโย

 

16 กันยายน 2541 พระพรหมโมลี ตัดสินว่า ธัมมชโย ไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหา (จาบจ้วง+ละเมิดพระธรรมวินัย) และไม่ยอมให้ฆราวาสฟ้องธัมมชโย ด้วย ทั้งๆ ที่มหาเถรสมาคมมีมติในเรื่องนี้ว่า ให้ฆราวาสฟ้องพระสงฆ์ได้ สมเด็จฯวัดชนะสงครามจึงสั่งปลดพระพรหมโมลีออกจากตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2543 และแต่งตั้ง พระเทพสุธี (เอื้อน หาสธมฺโม) วัดสามพระยา รองเจ้าคณะภาค 1 ขึ้นรักษาการในตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 เพื่อให้ดำเนินการนิคหกรรมธัมมชโย แต่พระเทพสุธีขอลาออก สมเด็จฯ วัดชนะสงคราม จึงต้องตั้งลูกศิษย์คือ พระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม) เจ้าคณะภาค 15 ซึ่งถูกส่งไปจากวัดชนะสงคราม ให้ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม ให้มารักษาการเจ้าคณะภาค 1 เพื่อทำคดีนี้

 

22 กันยายน 2543 พระธรรมโมลี เปิดศาลสงฆ์ ที่วัดสามพระยา รับฟ้องพระธัมมชโยรวม 3 ข้อหาคือ 1.บิดเบือนลบล้างคำสอนของพระพุทธเจ้า 2.อวดอุตริมนุสธรรม และ 3.ลักทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ หลอกลวงประชาชน แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีการดำเนินการใดๆ อีกเลย โดยอ้างว่า ต้องรอให้คดีอาญาในศาลจบก่อน

 

ในปี 2544 สมเด็จฯ วัดชนะสงคราม ตั้งให้พระธรรมโมลี เป็นเจ้าคณะภาค 1 เต็มตัว แต่ท่านก็มิได้ทำอะไรอีก หนำซ้ำ ยังไปเป็นพยานให้ธัมมชโยในคดีอาญา รับรองการสอนของธัมมชโยว่า ถูกต้องตามพระไตรปิฎกทุกประการ อันเป็นเหตุผลหนึ่งที่อัยการใช้เป็นข้ออ้างถอนฟ้องธัมมชโย

 

เมื่อพระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร) เจ้าอาวาสวัดยานนาวา มรณภาพอย่างกะทันหัน ในปี 2544 อีก 4 ปีต่อมา พระธรรมโมลี ก็ได้เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็น “พระพรหมโมลี” ซึ่งเป็นระดับรองสมเด็จพระราชาคณะ อันเป็นตำแหน่งเก่าของผู้สอบธัมมชโยรูปแรก ที่ตัดสินว่าธัมมชโยไม่ผิด โดยที่ท่านก็ไม่ได้ดำเนินการอะไร จนอัยการถอนฟ้องคดีอาญา

 

เมื่อสมเด็จฯ วัดชนะสงครามมรณภาพ ในเดือนมีนาคม พ.ศ.2544 พระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสมโม) เจ้าอาวาส วัดพิชยญาติการาม และเจ้าคณะภาค 1 ก็ได้รั้งตำแหน่งเจ้าคณะหนกลาง และได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็น สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ ซึ่งเป็นสมณศักดิ์ชั้นสมเด็จพระราชาคณะ ที่ได้ครองตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคมโดยอัตโนมัติ และได้แต่งตั้งพระโสภณปริยัติเวที (สายชล ฐานวุฑโฒ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม รองเจ้าคณะภาค 1 ขึ้นเป็นเจ้าคณะภาค 1 แทนตน ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์กระหึ่มวงการสงฆ์ เพราะมีอายุเพียงแค่ 45 ปี อายุพรรษา 25 ซึ่งตามสายการปกครองสงฆ์ ในฐานะเจ้าคณะภาค 1 มหาสายชล คือผู้ที่จะต้องทำหน้าที่ประธานในการพิจารณาลงนิคหกรรมธัมมชโย แต่นั่นหมายความว่า ต้องเป็นคำสั่งจาก เจ้าคณะหนกลาง คือ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ ก็คิดกันเถิดว่าคำสั่งนั้นจะเกิดขึ้นไหม ส่วนพระเทพสุธี (เอื้อน หาสธมฺโม) ที่ยอมลาออกครั้งกระโน้น ปัจจุบันคือ พระพรหมดิลก หนึ่งในกรรมการมหาเถรสมาคม เช่นเดียวกับสมเด็จพระพุทธชินวงศ์

 

ด้วยสายสัมพันธ์ที่ซับซ้อนเช่นนี้หรือเปล่า ที่ทำให้มติมหาเถรสมาคมล่าสุด ที่แถลงโดยพระพรหมเมธี (จำนงค์ ธมฺมจารี) กรรมการและโฆษก มส. ซึ่งเคยไปร่วมธุดงค์ธรรมชัยกับธรรมกายมาก่อน จึงออกมาว่า มส.ได้พิจารณาถึงเจตนาของพระธัมมชโย ประกอบด้วย

 

1.ฝ่าฝืนพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชหรือไม่ ซึ่งที่ประชุม มส.ได้ยกมติ มส.ในปี 2549 ขึ้นมาพิจารณาแล้วเห็นว่า หลวงพ่อธัมมชโยยอมรับและปฏิบัติตามพระลิขิตในการคืนที่ดินทุกประการ

 

2.มีเจตนาฉ้อโกงหรือไม่ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาแล้วเห็นว่าพระธัมมชโยได้ทยอยคืนทรัพย์สินทั้งหมดให้แก่วัดพระธรรมกาย ขณะเดียวกัน คณะกรรมการฝ่ายสงฆ์ ซึ่งประกอบด้วยเจ้าคณะปกครอง ได้ดำเนินการสอบสวนความผิดของพระธัมมชโย และได้มีผลสรุปออกมาว่า ไม่มีเจตนาฉ้อโกง ไม่ผิดพระวินัย ไม่ถือเป็นความผิด จึงถือเป็นอันยุติ

 

และ 3.เมื่อไม่มีเจตนาฉ้อโกง ไม่ได้ฝ่าฝืนพระลิขิต ไม่ถือว่ามีความผิด และพ้นมลทิน รวมทั้งยึดตามมติ มส.ปี 2549 โดยได้คืนตำแหน่งเจ้าอาวาส และได้ขอพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ให้ ดังนั้นสถานภาพปัจจุบันของหลวงพ่อธัมมชโยยังคงดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดและดำรงสมณศักดิ์เช่นเดิม

 

ส่วนกรณีนายสมพร เทพสิทธา และนายมาณพ พลไพรินทร์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลอาญาว่า หลวงพ่อธัมมชโยยักยอกทรัพย์ของวัดพระธรรมกาย ต่อมานายมาณพ หนึ่งในโจทก์ร่วมได้ถอนฟ้อง ซึ่งทางอัยการได้พิจารณาถอนฟ้องคดีดังกล่าว จึงถือว่าพระธัมมชโยได้พ้นมลทินแล้ว

 

“อาตมาอยากจะวิงวอนพุทธศาสนิกชนในการพิจารณารับข่าวสารจากสื่อที่มีความรวดเร็ว ซึ่งอาจมีข้อผิดพลาดได้ โดยเฉพาะขณะนี้รัฐบาลเน้นสร้างความปรองดองของคนในชาติ จึงไม่อยากให้นำเรื่องที่ยุติไปแล้วมาพูดซ้ำ อย่างไรก็ตาม มหาเถรสมาคมถือเป็นองค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ เมื่อมีปัญหาของคณะสงฆ์เกิดขึ้น ก็ได้พิจารณาตามกระบวนการปกครองสงฆ์ สำหรับพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชในปี 2542 ถือเป็นข้อแนะนำที่คณะสงฆ์ทั้งประเทศควรยึดถือปฏิบัติ”

 

ขณะที่ นายอาคม เอ่งฉ้วน อดีต รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ในขณะนั้นมีการกล่าวหาว่าคำสอนของธัมมชโยขัดกับพระไตรปิฎก จึงให้ มส.นำเรื่องเข้าพิจารณา ซึ่งมหาเถรสมาคมมีมติมอบหมายให้พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร) เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง อดีตเจ้าอาวาสวัดยานนาวา เป็นผู้พิจารณา มีคำสั่งให้เข้าพบ และยืนยันว่าจะไม่สอบอีก เรื่องจึงยุติลง

 

ส่วนกรณียักยอกเงินวัดนั้น ตนมอบหมายให้อธิบดีกรมการศาสนา คือ นายพิภพ กาญจนะ ไปร้องทุกข์กล่าวโทษ โดยคดีสู้อยู่นานจนสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี อัยการอ้างว่าได้คืนเงินให้วัดแล้วจึงถอนคดีในนาทีสุดท้าย ทำให้คดีสิ้นสุดโดยที่ศาลไม่ได้ตัดสิน

 

ด้าน นายพชร ยุติธรรมดำรง อดีตอัยการสูงสุด ได้เผยถึงกรณีที่มีการถอนฟ้อง พระธัมมชโย ว่าเป็นเรื่องที่นานแล้ว ซึ่งในตอนนั้นมันมีกระบวนการสอบสวนตามขั้นตอน มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมาหลายชุด ซึ่งตนจำรายละเอียดไม่ได้ แต่ยอมรับว่าได้มีการถอนฟ้องจริง เพราะมันมีองค์ประกอบหลายอย่าง คือหนึ่งมีการคืนที่ดินและเงิน และสองก็คือ สมเด็จพระสังฆราช ท่านบอกไม่คิดจะเอาโทษ แล้วต่อมาก็ได้มีผู้บริจาคมายืนยันว่าได้บริจาคที่ดินให้กับพระ แล้วได้มีการนำไปสร้างวัด

 

น่าสนใจว่า

 

1) ทำไมอัยการสูงสุดจึงเร่งรีบถอนฟ้อง ยิ่งมีพยานยืนยันความบริสุทธิ์ของธัมมชโย ก็ยิ่งควรรอให้ศาลตัดสิน มิใช่ตัดตอน แล้วคดีแบบนี้ ยอมความกันได้ด้วยหรือ?

 

2) ในการถอนฟ้อง ให้เหตุผลว่า ธัมมชโยกับพวกก็ได้มอบทรัพย์สินคืนแล้ว สอนธรรมะใหม่ให้ตรงตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว มันถูกต้องตามหลักกฎหมายและหลักศีลธรรมหรือ ต่อไปใครขโมยหรือยักยอกของใครไป เอามาคืน ก็สิ้นความผิดได้อย่างนั้นหรือ การบิดเบือนคำสอน อาบัติปาราชิกและต้องลงนิคหกรรม คือจับสึกด้วยมิใช่หรือ เนื่องจากความผิด “สำเร็จแล้ว”

 

3) ข้ออ้างที่ต่ำทรามที่สุดคือ “ขณะนี้บ้านเมืองต้องร่วมกันสร้างความสามัคคีของคนในชาติทุกหมู่เหล่า เห็นว่าหากดำเนินคดีธัมมชโยกับพวกต่อไป อาจก่อให้เกิดความแตกแยก นอกจากนี้การดำเนินคดีต่อไปยังไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ” การทำกฎหมายให้เป็นกฎหมาย กฎพระให้เป็นกฎพระ ไยจะมิมีประโยชน์ต่อสาธารณะเล่า? และการไม่ดำเนินคดีกับธัมมชโย ก็ทำให้เกิดความแตกแยกเช่นกัน แถมเกิดมาตรฐานที่เลวทรามในการพิจารณาความถูกความผิดขึ้นในสังคมด้วย

 

4) ไหนนายพชรบอกว่า ผู้บริจาคยืนยันว่าถวายแก่พระ แล้วพระจะต้องเอาเงิน เอาที่ดิน มาคืนวัดพระธรรมกายทำไม?

 

5) เอาทรัพย์ไปครอบครองไว้ตั้ง 7-8 ปี จนคดีจะตัดสินแล้วถึงได้คืนนี้ มันบอกเจตนาที่บริสุทธิ์และคืนโดยทันทีตรงไหน ไม่จำนนด้วยหลักฐาน พยาน จะคืนหรือไม่? และถือว่า อาบัติปาราชิกไปโดยอัตโนมัติหรือไม่

 

6) โฆษกมหาเถรสมาคมไม่พูดถึงพระวินัยและศีลเลยสักข้อ กลับพูดจาบ้าบอเรื่องความสามัคคีปรองดอง และอ้างศาลทางโลกหน้าตาเฉย มันเหมาะแก่การเป็นผู้ทรงศีลให้ประชาชนกราบไหว้ไหมล่ะครับ

 

7) ต้องแจงออกมา ว่ากรรมการมหาเถรสมาคมท่านใดเข้าประชุม และแต่ละรูปมีมติอย่างไรด้วย ประชาชนจะได้มีมาตรการในทางปฏิบัติ เช่น การคว่ำบาตร ฯลฯ ได้อย่างถูกต้องต่อพระคุณเจ้ารูปต่างๆ และวัดที่พวกท่านสังกัด

 

8) หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมด วัดพระธรรมกายก็ยังมีพฤติกรรมอวดอุตริมนุสธรรมอีกหลายครั้ง ควรหยิบยกมาพิจารณา รวมไปถึงงานอีเว้นท์และแพ็กเกจขายสวรรค์ขายบุญทั้งหลาย ก็ควรชำระว่า เป็นไปตามพระธรรมคำสอนและพระวินัยหรือไม่ เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องถูกโน้มทรัพย์ด้วยคำว่าบุญว่าสวรรค์แบบ “ธุรกิจการค้า” อีก

 

9) ยังมีเรื่องการรับเงินบริจาคจากอดีตผู้บริหารเครดิตฯ คลองจั่นอีกจำนวนมหาศาล ที่ยักยอกเงินสหกรณ์มา “ทำบุญ” ต้องสอบให้ได้ว่าเป็นศรัทธางมงายส่วนตัว หรือเป็นการ “สมคบกัน” ที่สำคัญต้องทวงเงินนั้นกลับไปสู่สหกรณ์ให้ได้ และด้วยสำนึกแห่งความเป็นวัด เป็นพระ ก็ไม่ควรอิดเอื้อน โยกโย้ ว่านำเงินไปซื้อที่ดิน และที่กลายเป็นที่ธรณีสงฆ์แล้ว โดยที่ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ จาก ป.ป.ง. ก็ดันเออออไปกับเหตุผลบ้าๆ บอๆ นี้ ด้วย

 

ยังไม่รวมเรื่องการแต่งกายของธัมมชโย และพิธีกรรมแปลกประหลาดอีกสารพัดในวัดพระธรรมกาย ที่ต้องได้รับการชำระสะสางและนำไปสู่การปฏิรูปองค์กรสงฆ์ วัด พิธีกรรม คำสอน และกิจกรรมการตลาดทั้งหลาย รวมไปถึงวัดอื่นๆ ที่ไม่ใช่วัดพระธรรมกาย ก็ต้องตรวจสอบและชำระสะสางเสียให้เสมอหน้ากัน เพื่อให้พระศาสนาสิ้นความมัวหมอง และพุทธศาสนิกชนเกิดศรัทธาเสื่อมถอย

 

โดยเฉพาะมาตรฐานศีลธรรมและคำวินิจฉัยของกรรมการมหาเถรสมาคม ไม่ปฏิรูปเสียคราวนี้ จะปล่อยให้ตกต่ำดำมืดยิ่งไปว่านี้กระนั้นหรือ?

 

พ่อครูว่า...ที่อาตมาจะต้องพูดร่วมด้วย ร่วมสมัย ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปรากฏชัด จริง เป็น Phenomena เป็นเรื่องไม่ลึกลับ ไม่เคยเกิดหรือมโน แต่เป็นเรื่องปรากฏมาแล้ว มีหลักฐานชัดเจนผูกมัด มีลายลักษณ์อักษรมีลายเซ็นยืนยันเลย การเล่นลิ้นพูดไปก็ทำได้แต่คนมีภูมิปัญญาจะวินิจฉัย ถือตามความจริงเอาได้ 

 

พพจ.เป็นผู้มีภูมิปัญญาสูงสุด ท่านสุดยอดแล้ว ไม่มีสิ่งที่เป็นอกุศล แต่ท่านมีแต่กุศลสูงสุด แม้แต่เรื่องความเป็นกลาง พพจ.ไม่เคยสอนเลยว่าเป็นกลางนั้นให้อยู่เฉยๆ ในพรหมชาลสูตรท่านไม่สอนให้ปิดปากไม่พูด แต่ท่านว่าให้บอกได้ชี้แจงได้ตามเหมาะสม และเรื่องที่พพจ.สอนให้คบบัณฑิต หลีกไกลจากคนพาล คนเป็นกลางต้องเข้าข้างความถูกต้อง ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ต้องใช้ปัญญาปาสาโท เหมือนอยู่บนที่สูง Birds eyes view  หรือว่า Top view มีปัญญารู้ความจริงตามความเป็นจริง ว่าอันไหนดีอันไหนชั่ว ก็ต้องเข้าข้างฝ่ายดี ผู้เป็นกลางไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆ มันเสียน้ำหนัก ยิ่งยุคนี้คนชั่วมีพวกเยอะ คนกิเลสหนามาก ความอวิชชา  มีเยอะ เมื่อยิ่งมากก็ยิ่งอยู่เฉยๆ พวกชั่วมีมากก็จะชนะสิ แต่ว่าเราต้องเข้าข้างคนดี ความเป็นกลางไม่ใช่อยู่เฉยๆ

พวกเป็นกลางมีหลายแบบ คือ

1.โง่ อวิชชา ไม่รู้ว่าอันไหนดีหรือชั่ว

2. เป็นกลัว คนที่จะเข้าข้างคนดีก็ไม่กล้า จะเข้าข้างคนชั่วก็ไม่กล้า เพราะกลัวจะเสียประโยชน์ ส่วนมากเขาติดสินบนไว้แล้ว หรือกลัวคนชั่วที่มีอำนาจ

3.มิจฉาทิฏฐิ คือคนมีปัญญารู้ว่าอะไรดีหรือชั่ว แต่ไปเข้าใจผิดว่า คนเป็นกลางต้องไม่เข้าข้างใคร ปล่อยให้พวกเขาตีกันจนตายเลย นี่คือมิจฉาทิฏฐิ

4. คนเป็นกลางที่เป็นคนไม่ลำเอียง คือคนที่ไม่มีอคติ 4 (รัก ชัง กลัว โมหะ) ผู้เป็นกลางจริงต้องจริงใจ แม้ว่าจะไม่หมดอคติ 4 ก็ต้องกดข่มไม่ให้อคติ 4 มาทำลายความเป็นกลางได้ เช่นผู้พิพากษาไม่ใช่คนหมดกิเลส แต่ต้องเป็นผู้ที่ต้องใช้การตัดสินอย่างไม่มีอคติ จึงเป็นผู้พิพากษาที่ดี หรือเป็นกรรมการตัดสินทุกอย่างก็ต้องไม่ลำเอียง ไม่ให้อคติ 4​มาสัมปยุติ

 

ขณะนี้ทุกคนต้องอยู่ในหลักเกณฑ์นี้ไม่ว่าทางการเมืองหรือธรรมะ ในข้อที่ต้องไม่ให้มีอคติ มันเป็นการปฏิรูปทั้งบ้านเมืองและธรรมวินัย ต้องใช้แบบยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ ไม่หักด้ามพร้าด้วยเข่าต้องช้าๆได้พร้าสองเล่มงาน ทั้งทางอาณาจักร และ ธรรมจักร

 

อาตมาก็ไม่มีสิทธิ์จะไปทำอะไรได้ ก็ใช้เท่าที่ทำได้ ใช้สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทศ 4 อย่างจริงใจตามภูมิ

 

มาจบด้วยก็ขอวิเคราะห์บ้าง ว่าเรื่องเหตุการณ์ควาวนี้ควรเป็นอย่างไร ตามภูมิอาตมาว่า ก็ควรจบเกมที่ลากมาให้หมักหมมเน่าในทั้งทางธรรมะและการเมือง ต้องฟันธงกันบ้าง ฟังแล้วอาจดูแรง จะต้องเด็ดขาด คราวนี้หลักการตัดสินของพพจ.มีอธิกรณสมถะ 7 อย่างนี่นะมี

แสดงวิธีระงับอธิกรณ์ ด้วยธรรมะ 7 ประการ (รายละเอียดอยู่ในจุลวรรค ภาค1 พระไตรปิฎก เล่ม 6 ที่จะได้กล่าวต่อไป) คือ :-

 

1.สัมมุขาวินัย การระงับอธิกรณ์ในที่พร้อมหน้า (บุคคล,วัตถุ,ธรรมะ).

 

2.เยภุยยสิกา การระงับอธิกรณ์ด้วยถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ.(แต่สภานั้นต้องเป็นบัณฑิตมากกว่านะ แต่ทุกวันนี้คนมีกิเลสเยอะมากกว่าคนมีกิเลสน้อยอยู่ในสภากัน พพจ.ตรัสว่า สภาใดไม่มีบัณฑิต สภานั้นไม่ใช่สภา)

 

3.สติวินัย การระงับอธิกรณ์ด้วยยกให้ว่าพระอรหันต์เป็นผู้มีสติ.(ส.เพาะพุทธว่าใช้คำว่า ยกไว้)

 

4.อมูฬ๎หวินัย การระงับอธิกรณ์ด้วยยกประโยชน์ให้ในขณะเป็นบ้า.(ส.เพาะพุทธว่าใช้คำว่า ยกเว้น)

 

5.ปฏิญญาตกรณะ การระงับอธิกรณ์ด้วยปรับตามรับสารภาพตามทำจริง.

 

6.ตัสสปาปิยสิกา การระงับอธิกรณ์ด้วยการลงโทษ. แม้จำเลยจะปากแข็งไม่รับผิดอย่างไรก็ตาม

 

7.ติณวัตถารกะ การระงับอธิกรณ์ดุจหญ้ากลบไว้ หยุดไม่ให้ลุกลาม.

 

พ่อครูว่า...เหตุการณ์ในเมืองไทยเป็นภาคบังคับ ที่ต้องทำ ถ้าไม่ทำก็เสีย เพราะโอกาสอย่างนี้มันเหมาะแล้ว อาตมาดูทุกอย่างเรื่องโลก มีทั้งเรื่องโลกและเรื่องธรรมะ เรื่องโลกก็เป็นวัตถุธรรม ส่วนธรรมะจะเป็นนามธรรม ถ้าเหตุปัจจัยของนามธรรมและรูปธรรมมาลงตัวก็ตัดสินได้เลย แต่ถ้ามีแต่นาม ก็รูปมันก็มีอำนาจ หรือมีแต่รูป ไม่มีนาม คนก็เข้าใจยาก อาตมานี่ปฏิบัติธรรมนั้นนามมาก่อน อาตมารู้ว่าพลังงานทางธรรมที่อาตมาได้ ก็เอามาประมาณวินิจฉัย อาตมามีความรู้เรื่องนี้ เป็นปรากฏการณ์ phenomena

 

ยกตัวอย่างเช่น อาตมาทำงานทางศาสนา คุณว่าอาตมามีบารมีไหม? บารมีนี่เป็นนามธรรมนะ ไม่เคยเอาวัตถุไปแสดองเป็นบารมี ไม่ว่าจะเป็นตัวคน หรืออาวุธ วัตถุแท่งก้อน อาตมาเป็นคนที่จนมากนะ แต่ก็อยู่รอดปลอดภัยมาจนวันนี้อย่างไม่น่าเชื่อ เป็นอจินไตย ใน อจินไตย 4 อย่าง (พุทธวิสัย ฌานวิสัย โลกวิสัย กรรมวิบาก)

 

อริยชนฉลาดหนีโลก อารยชนนั้นเขาฉลาดเอาโลก  แต่ทุกวันนี้อารยชนนั้นฉลาดเอาทั้งสองอย่างเลย คือเอาทั้งจิตและวัตถุโลกมาหากิน มาทำชั่วได้มากมาย เอาโลกไปผนวกกับธรรมะที่เบี้ยวบิดผสมผสานหลอกคน ทุกวันนี้คนถูกอารยชนหรือารยธรรมหลอกได้ ทั้งทางวัตถุวิสัยและจิตวิสัย เขาไม่ได้ลดกิเลสก็เห็นแก่ตัวเต็มเหนี่ยว อารยชนตอนนี้จึงทำร้ายร้ายแรงได้มากถึงอยากเป็นจ้าวโลกเลย ส่วนทางหนีโลกเป็นพวกจิตวิสัยเป็นอัตตาเต็มบ้อง ไร้สาระไร้ประโยชน์สูงสุดจริงๆของเขาก็บิณฑบาต อาศัยคนอื่นกินแต่ตนเองไม่ทำประโยชน์อะไร อย่างศาสนาเชนเป็นต้น แต่เขาจริงๆใจนะไม่เบียดเบียน แต่บิณฑบาตกิน สู้สัตว์ก็ไม่ได้ นี่คือสองอำนาจที่ทำกันอยู่

 

ส่วนอริยะชนนี่หนีเอาตัวรอดเขายังไม่เบียดเบียนผู้คนมากนะ แต่อาริยชนนี่เบียดเบียนหมดเลยเจริญฉิบหายเลย  คนไม่รู้ตัวแต่ทำบาปก็วิบากมี เช่นคนไปเหยียบหัวงู งูตายเลย ถามว่าจิตวิญญาณงูจะพยาบาทไหม?ก็ต้องพยาบาท มันไม่รู้เรื่องหรอก หากมันตวัดอยู่จะแก้แค้นมันก็จะทำ แต่มันถูกเหยียบหัวก็เลยตอบโต้ไม่ได้ มันต้องพยาบาทอยู่แล้วเพราะพวกนี้อวิชชา นี่คือวิบากต้องได้รับในสัจจะ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:43:33 )

580223

รายละเอียด

580223_ธรรมาธรรมะสงคราม(ปฐมฯ)  ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกส่ิงทั้งโลก ในที่สุด

.กฤษฎาว่า...วันนี้เราจัดรายการสดที่ปฐมอโศก วันจันทร์ที่ 23 ก.พ. 2558 ตรงกับวันขึ้น 6 ค่ำ เดือน 4 วันนี้รายการธรรมาธรรมะสงครามก็ตรงกับ ที่สังคมกำลังเกิดสงครามธรรมะกันหรือเปล่า หลายท่านสงสัยเหมือนผมไหม? ประเด็นสำคัญคือ สังคมสับสน เรื่องของคำว่า คุกคามพระพุทธศาสนา คำนี้กำลังใช้กันมาก ผมสงสัยว่าอย่างไรเรียกว่าถูกคุกคาม แล้วคนก็จะออกมาปกป้องพุทธศาสนา ตั้งแต่เมื่อวานนี้ ถ้าตามฟังพ่อครูจะรู้ว่าสงฆ์กลุ่มอโศกได้เป็นนานาสังวาสกันสงฆ์กระแสหลักด้วย หลายศาสนาเอาคำสอนศาสดามาเป็นกฎหมายด้วย แต่ไม่ใช่ในไทย แต่ก็มีกฎหมายที่จะมาดูแลศาสนา ความเป็นไปตรงนี้หลายคนก็ว่าน่าจะถึงเวลาปฏิรูปนะ เพราะบัดนี้มีพุทธพาณิชย์เกิดขึ้นแล้วซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นพุทธ ตกลงอย่างไรจึงจะเรียกว่ามาปกป้องพุทธศาสนา แล้วพุทธมามากะ จะต้องทำอย่างไร?

 

พ่อครูว่า...เป็นคำถามที่คิดว่า ทั้งนั้นเลยใครที่กำลังรู้กระแสของสังคมไทย ขณะนี้ก็คงจะมีความกังวลอย่างที่คุณกฤษฎาได้เกริ่นไป คือมีคำที่บอกว่า 1.ปกป้อง และ 2.คำว่าคุกคาม เป็นอย่างไร?

 

การปกป้องศาสนานั้น อาตมาขอตีหัวเข้าบ้านเลยว่า การปกป้องศาสนามีวิธีเดียว คือทำตนให้ดีที่สุดบริสุทธิ์ที่สุด จะชนะทุกสิ่งในโลก ในที่สุด เพราะฉะนั้นใครจะไปปกป้องใคร ทางศาสนาคนที่จะปกป้องคือคนที่มีธรรมาธิปไตย ไม่ใช่มีโลกาธิปไตยหรืออัตตาธิปไตย ที่จะไปเอาอำนาจบาทใหญ่ที่จะไปกร่าง อะไรต่างๆนานา ศาสนาไม่ใช่เรื่องคุกคามกัน หรือตีรันฟันแทงทำร้ายกัน สามารถพูดคัดค้านขัดแย้งกันได้ อย่าไปดัดจริตว่า อย่าไปพูดว่าคนนั้นคนนี้ อย่างนี้ดัดจริตเกินไป เพราะความเป็นจริงนั้นต้องมีการคัดค้านมีความเห็นต่างกันได้ จะเป็นศาสนาเดียวกันหรือต่างศาสนา แต่ต่างศาสนาเราจะรักษามารยาทกัน เพราะชัดเจนว่าเป็นความเห็นคนละอย่าง มารยาทสากลเขาก็รู้กันว่าอย่าไปละลาบละล้วงกัน เพราะเป็นสิทธิ์ของเขา ก็คบหาสมาคมในส่วนที่จะสมานกันได้ เท่านั้น

 

ส่วนเรื่องทฤษฎีหลักการ ความจริงความรู้ความสามารถก็อย่าไปละลาบละล้วงกัน แต่ถ้าศาสนาเดียวกัน ที่เป็นเรื่องก็คือเป็นพุทธร่วมกัน ศาสนาเดียวกันก็เช่นเดียวกัน และยิ่งเป็นศาสนาเดียวกันยิ่งจะต้องประท้วงกัน วิเคราะห์วิจัยกันแตกหัก แตกหักคือวิเคราะห์วิจัยกันว่าอะไรถูกหรือผิด ไม่ใช่ไปปิดปากว่ากันไม่ได้ อาตมาทำงานศาสนานี่เจอมานัก ทำมา 40 กว่าปีแล้วไม่เคยห้ามใครมาว่าหรือวิจารณ์เรา ก็แสดงออกได้เต็มที่ แต่หยาบคายมาก็ไม่ควร แต่พูดคำแรงคำชัด แต่ไม่หยาบคาย เจตนาเราจะด่าทอ กับที่จะใช้เพื่อเอาเนื้อหาสาระ เช่นอาตมาจะพูดคำว่าฉิบหาย นี่ไม่ได้หยาบนะ เป็นการใช้ขยายความหมายให้ชัดขึ้น ในบริบทที่ใช้ เพื่อเสริมให้ความหมายชัดขึ้น เป็นการสื่อให้รู้ถึงสาระเนื้อหาธรรมะได้ชัดขึ้น

 

คำว่า ปกป้องนั้น ทุกคนจะทำได้คนๆนั้นต้องเป็นคนถูกต้อง หากไม่ถูกต้องก็ปกป้องได้อย่างผิดๆ เพราะคุณเองก็ไม่รู้ว่าอะไรถูกหรือผิด ก็เลอะเทอะ จะปกป้องต้องรู้ว่าเจ้าไหนไม่ถูกต้อง เสียหาย แต่มันห้ามไม่ได้ คนเราหลง อวิชชา เข้าใจผิดได้ คิดว่าตนถูกได้ จึงเกิดการขัดแย้งโต้เถียงกัน ก็โต้เถียงได้ แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่นิยมให้แตกนิกาย แตกกันเหมือนคนละศาสนา ท่านถือว่าเป็นอนันตริยกรรม ที่จะแตกแยกกัน ท่านมีลักษณะหนึ่งคือ นานาสังวาสเท่านั้น เป็นหลักการสูงสุดของศาสนาพุทธ อยู่ร่วมกันได้แต่มีความเห็นต่างกัน แต่เป็นพุทธร่วมกัน ใช้พระไตรปิฎกร่วมกัน มีวินัย มีศีลในตำราเดียวกัน แต่คนหนึ่งถือ อีกคนหนึ่งไม่ถือ ส่วนวินัยก็คือกฎหมาย ส่วนศีลคือหลักเกณฑ์หลักของศาสนาพุทธ แต่เดี๋ยวนี้ภิกษุไม่เอาศีล เอาแต่วินัย ซึ่งวินัยมีบทลงโทษ ต่างกับศีลที่เหมือนรัฐธรรมนูญ ไม่มีบทลงโทษ แต่จะเอาแค่หลักการย่อย ไม่เอาศีล ก็เห็นแย้งกัน นานาสังวาสกัน

 

แต่สิ่งที่เสียหาย คือ ตอนนี้ถึงขั้นปาราชิก แต่มันแรงนี่ เมื่อปาราชิกแล้วก็แปดเปื้อนเสียหาย เน่าไปแล้ว คำว่าปาราชิก นี่ผู้ใดผิดเข้าแล้วถือว่าหัวขาด ตายไปจากศาสนาในชาตินี้เลย  แต่ทุกวันนี้เพี้ยนไปไกลถือว่าพวกปาราชิกนี่มาบวชไม่ได้ คำว่าบวชนี่คือการประพฤติธรรม ถ้าเข้าใจถูกก็ใช้ คือมาบวชหรือประพฤติธรรมกับคณะพุทธไม่ได้เลย ไม่ช่วยเหลือเกื้อกูล เป็นบทลงโทษที่หนักที่สุด หนักกว่าโทษใดๆในศาสนาพุทธ

 

โทษที่รองลงมาคือพรหมทัณฑ์ คือคุณมีอยู่ได้ แต่ว่าเหมือนไม่มีตัวตนในสังคม ไม่บอกไม่สอน เป็นการลงโทษที่ทรมานเหมือนกัน แต่ปาราชิกนี่ชาตินี้ตัดทางที่จะให้ได้รับความรู้ทางพุทธเลย เช่นเราบรรยายธรรมะนี่ผู้เป็นสมีมานี่เราก็แสดงธรรมไม่ได้ ต่างคนต่างอยู่เลย ร้ายแรงกว่าพรหมทัณฑ์ แต่ทุกวันนี้เข้าใจว่า ปาราชิกคือมาบวชไม่ได้แค่นั้น แต่ว่าบวชนี่เขาเข้าใจแค่ว่ามาแต่งเครื่องนุ่งห่ม ทำพิธีเท่านั้น นอกนั้นก็ทำได้เหมือนคนทั่วไป มีผิดแค่บวชไม่ได้ ดีไม่ดีให้สอนคนอีกเป็นมัคนายกอีก ก็คนล้มละลายจากศาสนาแล้วจะให้มาได้อย่างไร มันต้องกลัวโทษเพราะหัวขากจากศาสนาพุทธแล้ว คือตาลยอดด้วย แยกขาดอย่างไม่มีการต่อติดได้เลย แต่เพี้ยนไปจนกลายเป็นคนไม่กลัวปาราชิก ศาสนาเสื่อมหมดเลย

 

ขออภัยที่ต้องกล่าวในสงฆ์หมู่ใหญ่มีพระที่ปาราชิก ปนกันอยู่ในนั้น อยู่ในคราบพระแต่ปาราชิกมีไหม? ถ้าปาราชิกมีอยู่นั่นแหละคือความเสื่อมสุด ถ้าผู้สมีหรือปาราชิกไปร่วมด้วยก็แปดเปื้อนมาก ไม่ควรร่วมอาตมาจึงขอแยกเป็นนานาสังวาส เพราะอาตมาพอมีเหตุผลหลักฐานว่า เขาคลุกคลีกันอยู่จริง นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลในหลายเหตุผลที่ขอแยกมา เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้ระแวงได้ว่า ที่เข้าข้างผู้ปาราชิกแล้วไม่ให้ปาราชิกนี่รักศาสนาหรือรักคนที่ปาราชิกกันแน่ หลักฐานมันชัดเจน แต่ก็อุ้มปกป้องกัน แล้วใครมาท้วงไม่ได้

 

ประชาชนมีสิทธิ์ประท้วงพระ สมัยพระพุทธเจ้านี่มาบวชไม่มีสมบัตินะ มีแต่บาตร เขาคว่ำบาตรก็อยู่ไม่ได้แล้ว แต่สมัยนี้มาบวชแล้วสะสมสมบัติมากมายจนผู้หญิงแย่งกันให้สึกออกไปเลยเพราะรวย ศาสนาพุทธเลอะไปไกลแล้วก็เลยทำให้ลำบากใจ แต่เราก็ต้องพูด ให้ผู้ที่ไม่รู้ก็จะได้รู้สิ่งที่ถูกต้องและไม่ถูกต้องไม่ใช่อมพะนำ แล้วอ้าง ขออภัยที่ต้องพูด คนที่ยกคำว่าปรองดองมาอ้างอันนี้เป็นคนที่สิ้นไร้ไม้ตอกไม่มีอะไรมาอ้างก็อ้างอันนี้มากันท่า ห้ามได้อย่างไร พระพุทธเจ้าสอนว่า นิคคัณเห นิคหารหัง ปัคคัณเห ปัคหารหัง ตำหนิคนที่ควรตำหนิ ชมคนที่ควรชม

 

ที่ปรองดองกันไม่ได้ เน่ากับเน่าก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่ทางธรรมมันก็น่าจะมีวุฒิอะไรสูงกว่ากันหน่อย ก็ไปใช้ลูกเดียวกันกับทางโลกคือปรองดองๆ สิ้นไร้ไม้ตอกจริงๆ มันต้องให้รู้ดำรู้แดง ให้รู้ว่าผิดหรือถูก หลักการปรองดองคือติณวัตถารกวินัย คือกลบเกลื่อนได้นั้นสำหรับเรื่องเล็กน้อย แต่เรื่องใหญ่คอขาดบาดตายนี่ เป็นคุรุกรรมนี่มาปรองดอง มันพูดในคนไม่มีความคิดไม่เป็นเลย อาตมาขอแสดงความเห็นไปในโลกด้วยว่า คำว่าปรองดองนี่ปิดไปแล้วอย่าเอามาใช้ เพราะไม่อยู่ในหลักติณวัตถารกวินัย

 

อย่างที่ทำกันนี้ ถ้าอยู่ในคณะเดียวกันก็ควรทำให้ชัดให้รู้ถูกหรือผิดไปได้เลย ให้รู้ชัด แต่ว่าฐานะอย่างอาตมานี่ เป็นนานาสังวาส ใช้ได้แค่ปฏิกโกสนา ได้แค่ปากหอก มุขสตี นี่คือการปกป้อง

 

ส่วนคำว่า คุกคาม เป็นเรื่องเลวร้ายแล้วล่ะ คือมันหาเรื่องให้มันร้ายแรง ถ้าจะว่ากันจริงๆคือถึงขั้นจะตีรันฟันแทง มีความหมายเช่นนั้น ถ้าถึงขั้นคุกคามก็อย่าให้เป็น ไปตีความกันก็ต่างกันไป ถ้าเรื่องเบาๆเราก็ไม่เรียกคุกคาม แสดงออกเป็นเรื่องเสียหายจริง แต่ว่าน้ำหนักการพูดอาจแรงแต่ไม่ใช่เรื่องขู่เข็ญอาฆาตมาดร้ายฆ่าแกงกัน ถ้าพูดด้วยเหตุผลหลักการ ก็ไม่เรียกว่าคุกคาม แต่คนที่เรียกว่าคุกคามคือเอาภาษามาปกป้องตนเองเท่านั้น จะบอกให้เขาหยุดเพราะว่าตนถูกคุกคามแล้ว แต่แท้จริงเขาเพียงแสดงออกให้ชัดเจนแยกขาวแยกดำให้ชัดเท่านั้น แต่เอาคำว่าถูกคุกคามมาปกป้องตนเองเท่านั้น ก็ลอกเลียนกันมาทั้งทางโลกทางธรรม การใช้ภาษาสำนวน ที่จะมาใช้ให้เกิดผลอย่างที่ตนต้องการ ใช้คำว่าคุกคามเป็นต้น

 

คำว่าคุกคามต้องดูว่า มีการพูดจะฆ่าจะแกงกัน เอาเป็นเอาตาย เช่นคำว่า เผาเลย ผมรับผิดชอบคนเดียว นี่คือคุกคามแน่ หรือแม้แต่จะพูดไม่แรง แต่ว่า เอ็งอย่านะ ข้าเอาเอ็งตายนะ อย่างนี้คุกคาม การสื่อแสดงออกต้องรู้นัยว่าอยู่ในข่ายของการคุกคามไหม? ไม่อย่างนั้นคนไม่รู้ทันโวหารเขาก็จะตามไม่ทัน

 

ใครจะใช้ภาษาไม่ตรง อาตมาก็เข้าใจภาษาแล้วทำให้ตรงตามสัจจะ อาตมาโดนมามาก อาตมาก็พิจารณาคำท้วงของเขาแม้ไม่ถูกบางทีอาตมาก็ยอมทำ

 

.กฤษฎาว่า..มักมีคำพูดว่าเรื่องของศาสนาจักร นั้น อาณาจักรไม่ควรมายุ่งด้วย แต่ตอนก่อนหน้านี้มีคนอยากให้ใส่ลงไปเลยว่าศาสนาพุทธให้บรรจุไว้ว่าเป็นศาสนาประจำชาติเลย

 

อาตมาเคยพูดมาหลายทีว่า ศาสนากับปชต. หรือกับระบบการปกครอง ศาสนากับการเมือง นั้น คืออันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่ได้แยกกัน แต่เพราะไปแยกกัน ก็เลยทำให้สังคมไม่สงบ สังคมเดือดร้อน เพราะไปเข้าใจผิดว่าศาสนากับการเมืองเป็นการแยกกัน ทำให้สังคมเดือดร้อนไม่เจริญ

 

การเมือง ศาสนา ต้องการสร้างคนดีทั้งนั้น การสร้างคนดีนั้น ยิ่งศาสนานี่แหละ คือตัวแท้ๆของวิชาการ พฤติกรรม การฝึกฝนเพื่อให้คนเป็นคนดี ตัวแท้กว่าการเมืองอีก ถ้าเข้าใจเช่นนี้ก็จะเข้าใจได้ว่าการเมืองจะต้องมีศาสนาอยู่ด้วย เพราะคนดีคือนักการศาสนา การเมืองต้องมีธรรมะ แต่ไปขีดเส้นว่าการเมืองไม่เกี่ยวกับศาสนา คนพูดเช่นนี้คือคนกันความดีออกจากศาสนา การบริหารประเทศงานการเมือง เป็นหน้าที่ๆผูกมัด เป็นการตกลงให้รับผิดชอบ แต่เรื่องธรรมะไม่มีข้อตกลงบังคับ

 

แต่จริงๆนั้น ศาสนานั้นเป็นเรื่อง ผูกมัดอย่างอิสระ มันเป็นนามธรรมต้องให้คนเป็นคนดี ยิ่งนักบริหารปกครองนี่แหละนักธรรมะต้องพยายามเข้าหาทำให้นักปกครองมีความดีที่ถูกต้อง การเมืองกับการศาสนาแยกกันไม่ได้

 

แต่ว่านักการศาสนาที่มาบวชแล้วนี่ คำชัดของอาตมาคือ นักบวชนั้นล้มเหลวแล้ว เพราะฉะนั้นจะให้ไปยุ่งกับการเมืองจะให้ไปสอนการเมืองจึงทำไม่ได้ ดีไม่ดีแก้นักการเมืองด้วย จึงต้องมีกฎเกณฑ์ไว้ว่า นักบวชห้ามไปยุ่งกับการเมือง เดี๋ยวเอาความเหลวเละไปสอนคนอีก ก็เห็นใจว่าวงการนักบวชมันเหลวเละไปแล้วก็เลยไม่ให้ไปวุ่นวายกับการเมือง เพราะขนมจีนกับน้ำยามันก็ผสมกันพอดีจึงต้องยอม แต่พระพุทธเจ้าว่า ต้องทำคุณอันสมควรก่อน แล้วพร่ำสอนคนอื่นจึงไม่มัวหมอง เพราะนักบวชเป็นผู้สืบสานคุณงามความดีตนต้องมีคุณอันสมควรก่อน อย่าไปยุ่งกับคนอื่นที่ไม่ดี กันไว้ก่อน ผู้มีวุฒิภาวะคุณธรรมเพียงพอจึงต้องไปยุ่ง แต่เมื่อไปกันธรรมะออกจากศาสนา ทางการบ้านการเมืองก็ต้องมีอาจารย์ทางธรรม จึงมีอยู่จริงในสังคมว่า เป็นลูกศิษย์ลูกหาของอาจารย์นั้นอาจารย์นี้ ของใครก็แล้วแต่ก็ต้องมีบ้าง ก็แทบทั้งนั้นจะมากหรือน้อยก็แล้วแต่ เมื่อมีแล้วก็แสดงว่าต้องได้รับการถ่ายทอดคุณงามความดีจากพระนั้นมา แต่ที่ปรากฏจริงเป็น Phenomenal ปรากฏไหมว่า เขามีธรรมะเท่ากับครูบาอาจารย์ได้เท่านั้น จะสูงกว่าครูก็คงยาก

 

สรุปแล้วสังคมคนไทยที่ได้รับถ่ายทอดคุณธรรมจากนักบวชมาก็ได้คุณธรรมเท่านี้ เป็นเครื่องชี้บ่งว่า ทั้งอาจารย์และลูกศิษย์มีคุณธรรมเท่าไหร่?

 

.กฤษฎาว่า..ตอนนี้มีนักคิดนักเขียนแสดงออกมา ระหว่างพระวินัยบัญญัติ ปาราชิก วันนี้ผมเกริ่นแต่แรกว่า ขณะที่ในไทยมีการปกครองคณะสงฆ์ เป็นการใช้กระบวนการทางกฎหมายแล้วมีอำนาจปกครอง แต่ในอดีตไม่ได้ใช้กฎหมาย แต่ใช้ระบบอาวุโส แต่ปัจจุบันมีการตรากฎหมาย แล้วมีการปกครองทางสงฆ์ คนเขามักพูดว่า ยศช้าง ขุนนางพระ คนก็สับสนว่า ทำไมศาสนาสอนไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น แต่ทุกวันนี้ที่บอกว่าจะปกป้องศาสนา แต่ว่าแท้จริงเหมือนเป็นการปกป้องยศศักดิ์เท่านั้น ความสำคัญที่แท้จริงอยู่ตรงไหน?

พ่อครูตอบ...เป็นเรื่องลึกซึ้ง ศาสนาพุทธนั้นคำว่าโลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย ธรรมาธิปไตย คำว่าอธิปไตยคืออำนาจคือแรงกำลัง ถ้าศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ได้ธรรมะเป็นอำนาจคือธรรมาธิปไตย ก็ไม่เข้าข่ายนักธรรมะ ก็เลยไปใช้อำนาจโลก กับอำนาจอัตตา

 

อำนาจโลกคืออำนาจองค์รวม ที่จะพยายามล่า ซื้ออำนาจ จากคนอื่นๆ หรือใช้อามิสทั้งหลาย ของคนฉลาดเอาเปรียบเอาชนะ จึงใช้สิ่งเหล่านี้มาสร้างอำนาจเรียกว่าโลกาธิปไตย จึงเกิดใช้ตำแหน่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกีย์ อามิส โลกๆ มาเป็นเครื่องประกอบให้ได้อำนาจ ถ้าไม่ได้อำนาจนี้จะบริหารกันไม่ได้ ไม่ประสพผลสำเร็จยิ่งใหญ่ได้ อย่างโลกๆ ศาสนานี่โดยเฉพาะศาสนาพุทธเป็นเรื่องปรมัตถธรรม

 

คำว่าอัตตาธิปไตย คือการเอาอำนาจทางจิต ส่วนโลกาธิปไตยเป็นวัตถุวิสัย คนที่ไม่เอาวัตถุก็ไปเสพติดทางจิต ทำให้จิตมีอำนาจ แม้ว่าจะพอเข้าใจอยู่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริมอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ ท่านให้ใช้อนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์แต่เขาทำไม่ได้ ตามที่พระพุทธเจ้าสอน เขาก็ไปหลงอัตตา หลงจิต ไม่เข้าใจปรมัตถ์ เป็นศาสนาที่เสพติดจิต เสพติดสมาธิ เหมือนยาเสพติดเลย แล้วใช้อำนาจนั้นให้คนยอมรับนับถือ ว่าคนนี้เก่งฤทธิ์ เก่งทำนายใจ เป็นเรื่องจิตนิยม อัตวิสัยเป็นอัตตาธิปไตยเลย เขาก็คิดว่า เจ้านี้ไม่เอา โลกธรรมแล้ว แต่เก่งทางจิต มีฤทธิ์ ทางมหานิยม ค้าขายร่ำรวย ฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก แคล้วคลาดก็แล้วแต่ ก็เลยกลายเป็นศาสนาอย่างนั้นหมดเลย นี่คือความเพี้ยน ไม่มีธรรมาธิปไตย กับโลกาธิปไตย

 

สรุปแล้วศาสนาพุทธ เลยเต็มไปด้วยโลกาธิปไตยกับ อัตตาธิปไตยเท่านั้น ธรรมะที่พูดเป็นเพียงเปลือก เนื้อในไม่ใช่โลกุตรธรม

 

มันต้องเข้าใจทั้งอัตวิสัยและโลกวิสัย แล้วไม่ติดทั้งสองอย่างได้  ละกิเลสได้ทั้งสองด้าน จนหมด ซึ่งก็ของหยาบคือกามหมดก่อน แล้วก็ล้างโลกธรรม  อัตตาต่อไป ผู้จะมีธรรมาธิปไตยคือต้องล้างโลกาธิปไตยและอัตตาธิปไตย คือผู้มีอำนาจโดยธรรม Sovereignty ไม่ใช่อำนาจเบ่งข่ม คนยอมรับนับถือโดยธรรมะไม่ใช่ไปนับถือเพราะมีฤทธิ์เดชแต่อย่างใด แต่ของพุทธนั้นเป็นผู้มักน้อยสันโดษได้ท่ามกลางสังคมที่มักมาก เป็นอุเบกขา ไม่เสพไม่ติด พระพุทธเจ้าสอนไว้มีคุณลักษณะองค์ธรรม ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสสรา

 

จิตบริสุทธิ์จากอัตตา จากโลก จิตอุเบาขาเป็นฐานนิพพานแล้ว  เป็นเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา ว่างจริงโดยสัจธรรม ว่างจากโลกและอัตตา เป็นลำดับขั้น จิตเช่นนี้ไม่ได้หนี บริสุทธิ์ อยู่กับโลกแต่ก็สะอาดได้ขาวผ่องได้ มีจิต หัวอ่อน มุทุ วิเศษ รู้เร็ว ปรับได้เร็ว แต่ไม่ได้มีปัญญาว่าเร็วเพราะเลวร้าย แต่เร็วรับลูกได้เท่าทันปรับได้ไว ฐานเจโตก็ปรับได้ ปัญญาก็รู้เท่าทัน อนุโลมได้ช่วยโลกช่วยสังคมได้ ครบ 3 โลก โลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก)

 

นอกจากมีมุทุ แล้วก็มีจิตกัมมัญญา คือทำงานได้อยู่กับโลก อารมณ์ก็ผ่องใส ประภัสสรา จิตเป็นจริงจะทำงานกับโลกได้อย่างแท้จริง อยู่กับโลกก็ไม่หนีโลก อยู่กับโลกาธิปไตย แต่อยู่เหนือโลกไม่ได้เป็นทาสโลก ไม่โลภโมโทสันด้วย ให้กับโลก ช่วยเหลือโลก นี่คือคุณสมบัติที่แท้ของศาสนาพุทธที่ผู้บรรลุธรรมจะมีอุตริมนุสธรรมจะทำตามนี้ได้จริง

 

อาตมายังภาคภูมิใจในคำสอนที่ยังมีหลักฐานอยู่ แต่เขาอธิบายได้ตื้นและเพี้ยนไป อาตมาก็ยังยืนยันพูดว่าพุทธศาสนานั้นเนื้อแท้คือโลกุตรธรรม ซึ่งไม่มีแล้ว นอกจากไม่มีก็มีแต่ติรัจฉานวิชชา เป็นพุทธพาณิชย์ไป โฆษณากัน แล้วผู้โฆษณาก็ไม่ช่วยกันรักษาศาสนาเลย เป็นการทำลายศาสนาไปเสีย แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ สักการะก่อนในลัทธิอื่นนอกพุทธ คือเขาจะไปเคารพบูชาพวกนอกรีตอยู่มาก พวกที่อยู่ในพุทธเขาดูถูกไม่เคารพและด่าทอด้วย

 

พระนั้นไม่ต้องมาวุ่นวายหาเงินหรอกให้เป็นหน้าที่ฆราวาสเขา แล้วยังมีหน้าไปเรี่ยไร แถมมีแบบให้กู้เงินมาทำบุญได้ด้วย มีดอกเบี้ยด้วยนะ ลัทธิที่เขากำลังมีเรื่องนี่ เขาทำกัน ให้มีการจ่ายดอกเบี้ยจากการกู้เงินมาทำบุญ แล้วเสียดอกเบี้ยปีละ 12 บาทแพงด้วย แล้วกู้แล้ว เงินก็ไม่ได้ ให้ผ่านเข้าวัดเลย แล้วต้นทุนคุณต้องตามส่งนะ แล้วต้นทุนนี้ออกดอกตลอดเวลา เขาช่างคิดแล้วทำได้อย่างเก่งฉิบหายเลย

 

.กฤษฎาว่า...โยมแม่ผม เคยไปทำบุญ แล้วเขาว่าบุญนี้ผ่อนชำระได้ (ทำบุญให้โยมพ่อ) แม่ก็พูดกับลูกมา เพราะแม่ได้ดูรายการพ่อครูมา จึงสงสัย? นี่เพราะไทยเป็นเมืองพุทธแต่เพี้ยนไปนานแล้ว โยมแม่เป็นครู แต่ก็เพี้ยนไปได้ แต่เมื่อได้ฟังธรรมสัตบุรุษจึงรู้ได้

 

เมื่อเช้านี้ผมไปประชุมภาคประชาชน มีท่านหนึ่งพูดว่า ประเทศไทยนี้มีกลุ่มหนึ่งที่จะอยู่ได้คือพวกอโศกนี่แหละ ก็พูดถึงในเวทีใหญ่ วันนี้ผมถึงตั้งคำถามว่าเราจะปกป้องศาสนาได้อย่างไร เพราะมีการเอาองค์กรใหญ่ทางศาสนามารับรองให้คนบิดพลิ้วธรรมวินัยก็จะทำให้สาระหดหายไปอีก

 

พ่อครูว่า...ถ้าเข้าใจที่อาตมาพูดมา ศาสนาพุทธตอนนี้เป็นโลกาธิปไตย และอัตตาธิปไตย พวกพระบ้านก็เป็นยศช้างขุนนางพระ เป็นโลกาธิปไตย แต่พระป่าก็เป็นอัตตาธิปไตย ไม่มีธรรมาธิปไตย ถ้าไทยมีธรรมาธิปไตย จะไม่มีการแบ่งบุญไปให้ผู้ตาย เพราะศาสนาพุทธนั้น คนตายไปแล้ว กายสเภทา ปรัมมรณา หลังจากตายแล้วมีนรกเป็นที่หมาย เพราะนรกเป็นทุกข์อาริยสัจ ส่วนสุขนั้นเป็นอัลลิกะ ผู้รู้ทุกข์จะล้างทุกข์ได้ ส่วนสุขเป็นของหลอก สุขทุกข์คู่กัน

 

ที่เรียกว่าความจริง ก็เป็นความจริงในสมมุติสัจจะ เพราะผู้ศึกษาไม่ถึงก็มีทุกข์ ทุกข์เป็นเรื่องสมมุติที่เป็นจริงในจิตวิญญาณ แต่ถ้าศึกษาบรรลุธรรมเป็นเนื้อแท้แล้ว จะรู้ว่าจิตวิญญาณหลังตายไปแล้ว จิตวิญญาณไม่มีสรีระ ไม่มีตัวตน ก็เรียนกัน อสรีรัง อัตตา จิตวิญญาณที่ตายไปแล้วเรียกว่าเป็นวิบาก เป็นผลของกรรม มีแต่นามธรรมเท่านั้น ไม่มีรูปธรรม ไม่มีกายธรรมเลย มีแต่นามธรรมคือธาตุจิต คือธาตุรับรู้ ยกตัวอย่างคุณนอนหลับไม่ได้ออกมารับรู้ภายนอกเลย มีแต่นามในจิต ที่มีอุปาทานเป็นมโนมยอัตตา ก็จะมีแต่ความจำไม่มีความจริง ไม่มีผัสสะ ตายไปแล้ว คุณมีแต่นาม คุณจะรับทุกข์อย่างเดียว สุขนั้นเป็นเรื่องสมมุติสัจจะที่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย สุขในใจมีแต่โสมนัส คืออารมณ์พอใจ ส่วนโทมนัสคืออารมณ์ทุกข์ ในปฏิจจสมุปบาทมี โศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาสะ

 

เมื่อมีแต่จิตนั้นจะมีแต่อนุสัย เป็นอุปาทาน มีแต่ทุกข์ แต่สุขนั้นเป็นของเท็จ แวบเดียวกาย แต่คุณจำไว้ในใจ แล้วความจำนั้นเป็นความจำจริงๆ คุณอยากได้นะ สะสมความอยากได้ แต่ในเวลาตายไปคุณไม่มีภายนอกนะ แต่อุปาทานที่ฝังไว้คืออยากได้สุข แต่มันไม่มีให้เสพภายนอกนะ แล้วคุณจะดิ้นอย่างเดียว ตกนรกนานมากด้วย เพราะยังอยากอยู่ตามอุปาทาน แต่ไม่มีให้เสพของจริง

 

คนที่ไปวุ่นกับเรื่องหลังตายคือคนที่หากินกับศาสนาพุทธ มีน้อยมากที่พระพุทธเจ้าว่าคนตายไปจะไปสวรรค์ (โลกุตระ) อาตมาจึงเห็นว่า ขออภัยที่ต้องพูดว่าเขาไม่ได้เข้าใจโลกุตระหรือปรมัตถ์เลย จึงเกิดลัทธิส่งบุญไปให้คนตายได้ มันส่งไม่ได้หรอกพุทธไม่มีการส่งบุญบาปให้กันได้ เขาก็เถียงกว่าการตายมีการอุทิศส่วนกุศลกันได้ ที่จริง อุทิศแปลว่ามุ่งหมาย ไม่ใช่เรื่องให้ คือว่าจะเอาไปให้คนตายมันให้ไม่ได้หรอก คนเข้าใจแค่นี้ไม่ได้คือคนล้มเหลวจากศาสนาพุทธแล้ว คนตายไปแล้วมีแต่ต้องไปตามวิบากของนามธรรมตนเองเฉพาะตน

 

.กฤษฎาว่า..ศาสนาพุทธนั้นผิดไปแล้วทั้งบ้านทั้งเมือง ผมบอกกับลูกไว้ว่า อย่ามัวไปดูแลพ่อตอนตาย วันนี้ลูกคดข้าวให้พ่อกินก็ถือว่าได้ตักบาตรทำกุศลแล้ว

 

พ่อครูว่า...เรื่องการช่วยพ่อแม่นี่นะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้เนื้อความว่า ผู้ที่จะผู้ที่ถือว่าได้ทดแทนบุญคุณพ่อแม่คือให้พ่อแม่ได้อาริยทรัพย์ 4 คือ (ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา )  หรืออาริยทรัพย์ 7 (ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ พหุสัจจะ จาคะ ปัญญา)

 

แล้วศรัทธาก็ไม่ใช่โลกียะ แต่เป็นศรัทธาโลกุตระด้วย ส่วนศีล เดี๋ยวนี้เขาเป็นยิ่งกว่าศีลพตุปาทาน หรือศีลพตปรามาส ต้องเข้าใจสัมมาทิฏฐิ จึงให้พ่อแม่มีอาริยทรัพย์ได้

 

1.ทาน คือการเอาความโลภออก แต่ว่ากับเข้าใจว่า ทำทานแล้วได้วิมาน ภพชาติ ใหญ่โต ยิ่งทานยิ่งกิเลสหนา นี่คือไม่ได้พาให้มี อาริยทรัพย์ เลย มีแต่กิเลสหนา ถ้าไปทำให้พ่อให้แม่ก็ไม่มีทาง พระพุทธเจ้าตรัสว่า การช่วยพ่อช่วยแม่ อย่างหาเงินหาทองหาบัลลังก์หาวัตถุ จนได้ลาภ ยศ สรรเสริญ หรือแม้แบกไว้บนบ่าดูแล อย่างเท้าไม่ให้ติดดินเลย อย่างนี้ก็ยังถือว่าไม่ได้ทดแทนบุญคุณพ่อแม่ ต้องได้ได้อาริยทรัพย์จึงคือตอบแทนพ่อแม่

 

2.ยิตถัง คือศีลพรต คือยัญพิธี ก็ไม่รู้ว่าให้ได้ผลลดกิเลสอย่างไร เป็นอัตถิยิตถัง กลายเป็นศีลพตุปาทานไปหมดแล้ว ทุกวันนี้ปฏิบัติธรรมจึงไม่มีผล

3.หุตัง หรือภาวนามัย คือบวงสรวงที่สังเวยแล้ว คือจิตที่ทำทานปฏิบัติศีลแล้ว จิตวิญญาณได้ผลหรือไม่ ก็ตรวจสอบก็ขึ้นอยู่กับปฏิบัติศีล ซึ่ง ทาน ศีล ภาวนาก็คือบุญกิริยาวัตถุ

 

พระพุทธเจ้าท่านวางโรดแม็พไว้ละเอียดยิ่งกว่าแผ่นที่ อย่างทิฏฐิ 10 นี่ก็ไม่อธิบายกันให้ถูก

4.โลกนี้โลกหน้า คือโลกนี้แหละ แล้วทำให้เกิดเป็นโลกหน้าตอนนี้แหละ ไม่ใช่ไปตายไปก่อนค่อยไปเกิดใหม่อีกเป็นโลกหน้า ไม่ใช่เลย แบบนี้ตกจากพุทธแล้ว

 

 5,6,7 เรื่องแม่เรื่องพ่อ และสัตตาโอปปาติกา  สัตว์โอปปาติกะคือสัตว์ทางจิตวิญญาณ มีผู้นำให้เกิดคือพ่อและแม่ คือสภาวธรรมอิตถีภาวะและปุริสภาวะ สองอย่างนี้จะช่วยกันให้สัตว์โอปปาติกะเกิดเป็น อาริยะ ปรสัตตานัง ปรปุคคลานัง ต้องรู้ว่าสัตว์ในโลกนี้คือโลกียะ ส่วนสัตว์ในโลกหน้าคือสัตว์โลกุตระ หากเข้าใจไม่ได้ก็ไม่สามารถให้จิตวิญญาณเกิดเป็นสัตว์โลกุตระได้ ศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ ช่วยทำให้จิตเกิด เหมือนล้างมือด้วยมือล้างเท้าด้วยเท้า ช่วยกัน แค่สัมมาทิฏฐิ 10 ที่เป็นประธานของมรรค 8 องค์ เมื่อประธานไม่มีสัมมา ก็จะไปปฏิบัติ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะอย่างไรก็ไม่ได้ผลบรรลุ จะไปนั่งสมาธิหลับตาเป็นสมาธินอกศาสนาพุทธก็ไม่ได้ผลบรรลุ ไปดูได้ในสัมมาสมาธิ ในมหาจัตตารีสกสูตร ที่ท่านว่า ปฏิบัติมรรค 7 องค์เพื่อสั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ แต่ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิก็เหลวหมดตลอดทางเลย มีแต่มิจฉาไปหมด

 

.กฤษฎาว่า..มีคนเขียนมาว่า เคยมีสาวกของวัดที่กำลังดัง มาชวนน้องสาวให้ทำบุญ สร้างเสา เสาละ ห้าพันบาท น้องบอกว่าไม่สะดวกเขาก็คะยั้นคะยอว่า ถ้าทำบุญให้ ต่อไปอโศกมีอะไรเขาจะช่วยทำบุญด้วย น้องสาวเป็นญาติธรรมอโศก น้องสาวเลยบอกว่า ไม่เป็นไรค่ะ อโศกไม่รับเงินจากคนนอกง่ายๆ ขอบคุณ...

 

.กฤษฎาว่า...คนถูกหลอกให้กู้หนี้มาทำบุญกับวัดดังเพราะอยากได้สวรรค์วิมาน ได้รวยๆ  เขาจะได้บุญไหม?

พ่อครูว่า..ตอบอย่างสับธงเลยว่า มีแต่นรก เขาได้แต่นรก คนที่บอกให้ไปกู้มาทำบุญก็ได้นรกตั้งแต่ไปหลอกให้คนมาเป็นหนี้ เป็นคนตะกละมาก

 

แล้วพระที่กำลังดังในกระแสสังคมนี่ เป็น Talk of the town ทั่วเมือง  แล้วมีอย่างที่คนเขียนมาว่าให้ช่วยทำบุญสร้างเสาละห้าพันบาท แล้วที่คนเขาตอบว่าอโศกเขาไม่รับเงินคนนอกง่ายๆ อันนี้เป็นเรื่องจริงที่สุดตั้งแต่อาตมาทำงานศาสนามา แล้วตอนนี้ก็ทำอยู่ คืออาตมาเห็นว่าการจะหลอกเอาเงินคนไม่ยากหรอก คือใช้จิตวิทยา เอากระแสสังคมหลอก ให้คนรู้สึกรักหลงได้ อาตมาเคยเป็นโฆษกมานะ ทางโทรทัศน์รู้ว่าอย่างไรจะได้รับคะแนน อาตมาทำเป็นนะ สำนักที่กำลังดังนี่ใช้วิธีสะกดจิตโดยตรงเลยนะ อาตมาเคยเรียนเคยทำมากด้วย แต่มันชั่วอาตมาก็ไม่ทำ ที่บอกว่าอาตมาจะหาเงินนั้นทำได้ง่าย แต่ว่ามาบวชแล้วนี่ ถ้าเผื่อว่ามาบวชแล้วเป็นพระแล้วยังหาเงินอยู่ ผู้นั้นกำลังทำลายศาสนา วัดไหนมาหาเงินอยู่ก็คือวัดที่ทำลายศาสนา อาตมาเลยป้องกันไว้ก่อน ที่เขาว่าทำบุญทำทานบริจาคให้พระนั้นมันง่ายมาก อาตมาจึงตั้งกติกาว่าไม่ให้ง่าย คุณต้องตั้งใจมาศึกษาอย่างน้อย 7 ครั้ง หรืออ่านหนังสือไม่ถึง 7 เล่ม จนเข้าใจพอสมควรถึงมาบริจาคได้ แต่ก่อนต้องฟังเทป 70 ม้วนด้วยถึงมีสิทธิ์มาทำทานกับเราได้ เราใช้หลักเช่นนี้มาตลอด เราไม่ได้ทำด้วยจิตวิทยาด้วย ไม่เชื่อก็มาลองเป็นไส้ศึกลองสอบทานดูได้ มันมีอยู่อย่างเดียวคือตอนเราไปทำงานกับสังคมภายนอก ทุนเราไม่มาก เราก็ต้องรับจากภายนอกด้วย เราก็ไม่ได้พูดมากด้วย คนเขารู้ก็มาทำ แต่เงินนี้เราจัดเพื่อทำงานนี้โดยเฉพาะเลยไม่ได้เอาไปทำเพื่ออย่างอื่นเลยนะ ต้องบอกไว้ ว่าตอนไปประท้วงรับบริจาคอยู่ อันนั้นเป็นงานเฉพาะกาล ถ้าเลิกแล้วเราก็ไม่รับ

 

_แล้วหลวงปู่คะ ทำไมคนเราต้องมีความทุกข์ด้วย

ตอบ...เพราะอวิชชา เราไม่รู้ว่าทุกข์ คืออะไร ทุกข์กับสุขนั้นอันเดียวกัน มีเหตุคือตัณหาอุปาทานคือเหตุแห่งทุกข์ ต้องให้อ่านอาการทุกข์ แล้วล้างตัวเหตุที่ทำให้ทุกข์ให้ได้ ที่ไม่รู้เพราะไม่เรียน

 

_แมงเม่ามันจะได้กุศลไหม ถึงจะไม่ฟังหลวงปู่ แล้วจะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีกว่านี้ไหม?

ตอบ...แมงเม่านี่เป็นอเวไนยสัตว์ฟังไม่รู้หรอก แต่ว่าคนนี่ แม้จะไม่ฟังแต่เข้าหู ไม่รู้เรื่อง แต่ว่ามันก็บันทึกไว้ เหมือนคอมพิวเตอร์นะ สักวันถึงเวลามันจะออกมาให้เราได้ใช้

 

_คนที่นับถือศาสนาอื่นที่เชื่อการล้างบาป แล้วจะต้องรับวิบากไหม? แล้วถ้าไม่มานับถือศาสนาพุทธเข้าจะบรรลุธรรมได้ไหม?

ตอบ...เราไม่ไปวิจารณ์ศาสนาอื่น แต่บาปคือกิเลส กิเลสมากก็ตกนรกมาก กิเลสนี่ล้างได้ แต่กิเลสที่ทำแล้วเป็นวิบากสำเร็จแล้ว ล้างไม่ได้ ผลวิบากในอดีตล้างไม่ได้ จะล้างได้ต้องเป็นกิเลสปัจจุบัน มันเกิดอาการกิเลสแล้วก็ล้างได้ เช่นนี่ ฝรั่งผลนี้ เราสัมผัสแล้วชอบก็คือกิเลสแล้ว ต้องอ่านกิเลสในปัจจุบันมีผัสสะนี่แหละคือให้เราล้าง ล้างได้ก็ไม่เกิดวิบากสั่งสมไป แต่ถ้าล้างไม่ได้ก็เป็นกิเลสที่สั่งสมเป็นภพชาติ เราก็ต้องไปรับวิบากบาป เป็นนรก ในพุทธนี้ เวียนว่ายตายเกิด ศาสนาอื่นเราไม่ไปวิเคราะห์หรอก

 

ถามว่าเราชาวพุทธจะช่วยให้สังคมมีแก่นแท้ศานาได้อย่างไร?

….ก็ต้องมาเรียนรู้ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นอาริยธรรม เป็นโลกุตระให้ได้ ก็ต้องทำให้เกิดความสะอาดบริสุทธิ์ในจิต ล้างกิเลสให้ได้ ก็คือทำคำว่าบุญ คือชำระล้างกิเลส มาทำบุญให้ถูกต้องสัมมาทิฏฐิ ชำระล้างกิเลสให้บริสุทธิ์ “ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก...ในที่สุด”

 

สมณะโพธิรักษ์ 23 ก.พ. 2558


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:44:20 )

580224

รายละเอียด

580224_ธรรมาธรรมะสงคราม  สันติฯ ความมหัศจรรย์ของธรรมวินัย 8

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 24 ก.. 2558 ก็จวนจะหมดเดือนแล้ว วันเวลาเคลื่อนไป เดี๋ยววันๆ แก่ไม่ทัน แต่ละวันไวเหลือเกินก็เลยคงที่ ใจเราไม่แก่ ร่างกายย่อมเสื่อมไปตามวัย เป็นรูปธรรม ที่สังเคราะห์กันก็เสื่อมไปๆ ร่างกายคนเราในภาษาไทยเรียกว่า ร่างกาย ที่จริงก็สมบูรณ์ดี เพราะคำว่า กายที่เป็นร่างของสัตว์โลก จิตนิยาม

 

ในนิยามชีวิต 5 อย่าง อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ

ตั้งแต่มีเกิดระเบิดของ Bigbang แตกตัวในมหาจักรวาล เอกภพนี้ ก็มีอะไรมากมายก่ายกอง เราไปจับหาความเป็นชีวะยังไม่ได้ เพราะว่ามันรวมแล้วมีพลังงานสูง จนกระทั่งชีวะเกิดไม่ได้ อย่างในดวงอาทิตย์ ไม่มีชีวะเกิดได้เลย พลังงานหรือสสารที่เรียกว่า รูป กับ นาม

 

รูป นี่เบื้องต้นท่านแยกเป็นสสาร แต่ว่า นามนี่ เกี่ยวข้องกับความเป็นรูปด้วย ก็เลยมีคำอีกคำเรียกว่า กาย คำว่ากายคือองค์ประชุมของรูป นาม ถ้ามีแต่รูปเลย อย่างดวงอาทิตย์ ตัวมันเองไม่รู้ตัวมันเลย เพราะไม่มีนาม ไม่มีธาตุรู้ ไม่เป็นชีวะ

 

โลกบางรูปก็มีพลังงานพีชะ แต่ก็ยังไม่พัฒนาสู่จิตนิยาม ที่เรียกว่า สัตว์ ที่มีตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียว จนมีหลายเซลล์ จนโตถึงระดับเป็นสัตว์โลก มีอวัยวะร่างกาย จนโตเป็นมนุษย์ พระพุทธเจ้านับว่ามีอาการ 32 ตั้งแต่ ผม ขน เล็บ ฟัน ผิวหนัง นับเป็นแต่ร่าง ไม่ใช่กาย เป็นแต่รูป ไม่มีนามธรรมมาเกี่ยวข้อง เช่นผมนี่พอยาวมาเกินขีด นามธรรมก็ไม่เกี่ยวข้อง เล็บ ฟัน ประสาทมันก็มีส่วนหนึ่งที่เลี้ยงมันอยู่ ท่านเรียกว่าเป็นปสาทรูป แต่ปลายออกมาพลังงานก็ไม่มาทำงานร่วมด้วย เช่นผมตัดทิ้งได้ไม่มีอะไร เล็บ ฟัน ผิวหนัง ก็เป็นแต่รูป

 

ถ้าเข้าใจคำว่ากายไม่รอบถ้วนเราจะไม่สามารถปฏิบัติธรรมถึงนิพพานได้ เราจึงจำเป็นต้องเขาใจกาย พิจารณา กายในกาย ตั้งแต่กายภายนอกหยาบๆ แล้วเราจะรู้ความเป็นกาย คือองค์ประชุม แล้วตัวรู้จริงๆ คือรู้โดยการเกี่ยวข้อง แต่อาการที่จะพิจารณาลึกเข้าไปต้องเรียนรู้ นามที่เกี่ยวกับรูป เป็นกาย เพราะถ้าไม่เกี่ยวกับรูปภายนอกเลยก็เป็นองค์ประชุมได้ ท่านเรียกว่า นามกาย มีแต่นาม แต่ว่าคำว่า นามกาย นั้น ก็ไม่ได้ขาดจากข้างนอกอีก ในการที่จะเรียนรู้

 

เบื้องต้นต้องเรียนรู้ตั้งแต่มีส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับภายนอก พาเราเห็น เราเรียกว่า ปสาทรูป คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ถ้าไม่มีประสาทร่วมด้วยไม่เรียกว่า กาย เพราะถ้าไม่มีนามมาเกี่ยวข้องไม่เจ็บไม่ปวดไม่รู้สึก การศึกษา ถ้าไม่ได้มีจิตเข้าไปร่วมด้วยก็ศึกษารู้ทุกข์ สุขไม่ได้ และทุกข์เป็นอาริยสัจ แต่สิ่งที่มันเกี่ยวนี่แหละพาทุกข์พาสุข ที่จริงดิน น้ำ ไฟ ลม แท่งก้อนไม่ใช่ของเราเลย ผมขนฟันเล็บผิวหนังแม้เป็นอวัยวะก็ไม่รู้สึกได้ มันก็ไม่เป็นเรายิ่งกว่า เพราะความเป็นเราของเรานี่เรายึด ยิ่งข้างนอกเป็นธนบัติ แผ่นดิน ยิ่งไม่ใช่ของเราเลย แม้กระทั่งทิ้งวัตถุสมบัติข้างนอกท่านก็บอกว่า กายไม่ใช่เรา ก่อนที่จะถึงกายไม่ใช่เรา ผมขนฟันเล็บผิวหนังก็ไม่ใช่กาย คุณไม่ทุกข์ไม่สุข ส่วนคนรักผม อย่างผู้หญิงนี่รักผมมากนะ ที่จริงมันไม่เจ็บไม่ปวดอะไร แต่หวงเหลือเกินนะ นี่คือภาระ ต้องแย่งชิงยึดหอบหวงแสวงหา โลภมาสารพัด การเรียนรู้พวกนี้จึงลึกซึ้งมาก

 

พระพุทธเจ้าท่านว่า ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย หากไม่เข้าใจตรงนี้ก็ไม่สิ้นอาสวะเกลี้ยง แม้จะทำได้อาสวะบางอย่างหมดไปได้ เอาแต่รู้ใน ปฏิบัติไปพยายามจริงๆก็อาจทำให้อาสวะบางอย่างดับได้ แต่เมื่อไม่ออกมาเรียนรู้ของจริง ทำแต่ภายใน ก็จับอาการทุกข์ สุข ก็ได้แต่ได้ยาก ไม่ชัด เพราะความรู้ไม่เป็นเบื้องต้นท่ามกลาง บั้นปลาย เรียนรู้ไม่เป็นลำดับตั้งแต่หยาบ ไปถึงละเอียด ก็จะยาก เช่นเอาใบมีดโกน ถากละเอียดได้ แต่ว่ามาถากสิ่งหยาบทำไม่ได้ แต่ถ้าใช้มีดใหญ่ ถากหยาบก่อน จะมีปัญญาที่เป็นไปตามลำดับ ละเอียดไปเรื่อย เป็นปัญญา ที่พอถึงละเอียดก็จะมีปัญญาตัดได้

 

ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่โกรกชันเหมือนหุบเหวหรือขรุขระ แต่ว่าลาดลุ่มเหมือนฝั่งมหาสมุทธ ท่านเรียกอันนี้ว่าเป็นเรื่องของความอัจฉริยะ หรือภาษาบาลีอีกคำคือ อัพภูตธรรม อาตมาจะเน้น การปฏิบัติเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย สำคัญมาก เพราะทุกวันนี้ปฏิบัติกันผิด แม้อาจารย์ที่เขานับถือว่าอรหันต์ก็ไปนั่งดับ หลับตา เอาแต่เฉพาะนาม ให้ตัดร่างกายออกไป จะพูดกันเรื่องนามรูป หรือนามกายก็ยากไม่รู้เรื่อง รูปกายก็ไม่รู้เรื่อง จะเข้าใจแต่ร่างภายนอกไม่เกี่ยวกับนามเลย ถ้าเป็นรูปรูป ก็เป็นกายไม่ได้

 

วิธีปฏิบัติของพระพุทธเจ้าจึงลืมตาเปิดรับสัมผัสปฏิบัติ เปิดหู แม้กิเลสภายนอกหมดก็ลืมตาเห็นอยู่ กระทุ้งกระแทกอย่างไรก็ไม่มีปฏิริยากิเลสเกิด ผู้ที่จะมีนิโรธ ใช้สำนวนพระไตรฯว่า ต้องเป็นอนาคามีจึงเข้านิโรธได้ คือเข้าถึงผล บรรลุผล ดับกิเลสถึงนิโรธได้ต้องเป็นอนาคามี คือดับจากกามภพแล้ว ซึ่งแต่อบายนั้นก็ยังไม่ลึก โสดาบัน สกิทาคามีก็ยังไม่ถึงนิโรธ ดับได้เด็ดขาดถาวรไม่เวียนวนอีก เรียกว่านิโรธ ถ้าเข้าใจสภาพของกายไม่สมบูรณ์ก็จะเป็นการสร้างจิตให้ไม่มีกิเลส แล้วจิตตั้งมั่น หากมีแต่วิธีนั่งสมาธิก็ไม่เกี่ยวกับกายภายนอกก็ไม่มีกายสักขี ก็จะมีแต่กายวิญญาณที่ทำอาสวะบางอย่างดับได้ แต่ก็ไม่ได้สมบูรณ์ เหมือนเอาใบมีดโกนหั่นกิเลสภายในได้ แต่เอามาหั่นกิเลสภายนอกไม่ได้ ต้องเริ่มต้นแต่ภายนอกถึงเข้าหาในได้ละเอียด และทำได้อย่างมีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย เป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก

 

ที่นิยมกันทำกันมานี่เพี้ยนไปแล้ว มันมีมาแต่ยุคไหนๆ พระพุทธเจ้าถึงมาสอนว่า แบบนั้นของกล้วยๆ แต่ไม่มีประสิทธิภาพล้างอาสวะสิ้น แต่อย่างนี้สิจะล้างกิเลสสิ้น ถ้าทำไม่ถูกอย่างนี้ไม่สิ้น เป็นเรื่องอัศจรรย์ ต้องเรียนรู้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เป็นกายสักขี ต้องครบ รูปกาย นามกาย คำว่ารูปกายนี่กินความถึงมีนามด้วย

 

รูปรูป รูปขันธ์ไม่มีกาย แต่ว่า รูปกาย มีนามมาร่วมแล้ว แต่ถ้ารูปกายไม่เกิดการสังขารกัน รูปกับนามมาอยู่เป็นองค์รวมแต่ไม่สังขารก็ไม่เกิดวิญญาณไม่มีการรับรู้เลย เหมือนขนมชั้น แปะกันอยู่เฉยๆ ในขณะที่รูป กับนาม ประชุมกันอย่างไม่มีตัวที่ 3 นั้น อาตมาแยกเป็น

1. รูปรูป อันนี้ไม่มีนามแน่

2.รูปนาม มีนามมาร่วมแล้ว แต่ไม่เกิดวิญญาณ ไม่เป็นกาย

3. รูปกาย ก็เริ่มมีนามมารับรู้แล้ว แต่เนื่องกับภายนอก เน้นภายนอก

4. นามกาย อันนี้เป็นภายใน เน้นภายใน

5. นามรูป อันนี้เป็นคำรวม นามธรรมจะรู้ทั้งรูปข้างนอก ในพระไตร..16 ข.14 เราเรียก นาม ว่า เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

 

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรฯล.16 ข.230 ว่า กาย นี่เราเรียกว่า จิต มโน หรือวิญญาณ

 

โผฏฐัพพะนี่จะเน้นนอก ข้างในเรียกว่าธรรมารมย์ ข้างนอกเรียกโผฏฐัพพารมย์ การทำใจในใจคือมนสิการ ในส่วนนี้ทั้งหมดที่เรียกว่านาม 5 ผัสสะเป็นตัวเชื่อม

 

นามมี 5 แล้วรูป มีรูป 28

 

1.มหาสมุทรต่ำไปโดยลำดับ ลาดไปโดยลำดับ ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่ลึกชันดิ่งไปทันที

 

เวลาปฏิบัติเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย มันเป็นลำดับที่ถ้าจะให้เนียนเรียบนี่ พระพุทธเจ้าว่าเป็นอัจฉริยะหรืออัพภูตธรรม เป็นธรรมะอันน่าอัศจรรย์ที่ยังไม่เคยมีมาก่อน ถ้าพระพุทธเจ้าไม่เกิด ลำดับที่ละเอียดลออนี้ไม่เกิด ไม่มี ก็จะไปนั่งสมาธิ ไม่รู้กายสมบูรณ์ ปฏิบัติธรรมไม่มีทางบรรลุสูงสุด ต้องเข้าใจแต่กายในกาย ที่เป็นสักกายะ องค์ประชุมต้องไม่ขาดกาย

 

คำว่า ไม่ขาดกาย คืออย่างไร ...พระพุทธเจ้าพาปฏิบัติมรรคองค์ 8 ปฏิบัติมรรค 7 องค์ สั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ  มีสุรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส ถ้าปฏิบัติลืมตา ตีกรอบศีลว่าเอาแค่นี้นะ โทสะ ราคะก็เอาแค่นี้นะ ถ้าจัดกว่านี้ไม่เอา หรือจะเอาสัมผัสเสียดสี กามคุณ 5 ก็เกิดรสประมาณหนึ่ง เช่นเรื่องเพศก็เอาแค่ผัวเดียวเมียเดียว ส่วนข้อ 4 ก็อย่าพูดปด ข้อ 5 ก็เรื่องอบายมุขที่มันพาตกต่ำ อย่างจัดจ้านเรียกว่าอบายทั้งนั้น ที่เป็นสิ่งจัด กามก็ตาม อัตตาความใหญ่ก็ตามที่มากใหญ่จัดหนาเราก็ไม่เอา พอแล้ว คุณก็เร่ิมต้นปฏิบัติในกรอบนี้ก่อน ด้วยมรรค 7 องค์นี่แหละ

 

ปฏิบัติเบื้องต้นต้องตีกรอบ ศีล 5 ต้องเป็นเวไนยสัตว์ จึงเรียนรู้ปฏิบัติได้ แต่ถ้าเป็นอเวไนยสัตว์ ก็เรียนรู้ปฏิบัติไม่ได้ แม้ท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทองก็ไม่อาจปฏิบัติเข้าถึงได้ ในวิโมกข์ 8

1.รูปีรูปานิปัสสติ คือผู้มีรูปย่อมเห็นรูป นั่นหมายถึงผู้นี้ต้องมีทั้งรูปและนาม มีนามจึงรู้รูปได้ คนสามารถรู้จักรูปได้ ตาเห็น หูได้ยิน ก็ต้องสามารถรูปีรูปานิปัสสติ สามารถอ่านรู้รูปได้ รูปอันนี้หมายถึง สิ่งที่ถูกรู้ โดยธาตุรู้ของเรา สัมผัสแล้วองค์ประชุมเกิด เรียกว่า จิต มโน วิญญาณ ก็รู้ คำว่ากายจึงเน้นที่ธาตุรู้เป็นสำคัญ

 

ละกิเลสเบื้องต้นตั้งแต่อบายก่อน ล้างกามภพต่อมา จนกามภพหมด ก็เป็นอนาคามี ถ้าลืมตาแล้วสัมผัส พลังปัญญามีสำนึกพอที่จะไม่เกิดสุขทุกข์ ละเมิดไม่ได้ เลวไม่เอา มีจิตหิริโอตตัปปะ ไม่เอา แต่มันระริกระรี้เป็นรูปราคะ อรูปราคะอยู่ จึงเป็นกิลมถะ ลำบากใจอยู่ที่เรายังเหลือเชื้ออยู่ แต่ก็เปิดทวาร สัมผัสทุกอย่าง แต่กิเลสที่เคยเกิด ที่จะต้องกระทำออกภายนอกไม่ทำเด็ดขาด ถ้าละเมิดอยู่ก็ยังไม่จริง ถ้าคุณกดข่ม ก็ไม่จริง แต่พลังที่เป็นปัญญา สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ รู้ด้วยปัญญา ที่ไม่ใช่ฉลาดเฉโก แต่ฉลาดปัญญาจะมีพลังงานไปสลายกิเลส เป็นความจริงที่ลืมตา มีกายตลอด เป็นอนาคามีก็ลืมตา แม้เป็นอรหัตตมรรค คือสำเร็จอนาคามีผล นั้น รูปราคะหมดแล้ว อรูปราคะก็หมดแล้ว เหลือแต่ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา หมดกิลมถะแล้ว จะเหลือแต่ทรถะ มันเป็นภาระ  ส่วนมานะนั้นมีแต่ดีไม่ใช่มานะชั่ว แต่ถ้ายึดว่ามานะเป็นเราถือว่ายังชั่วอยู่สำหรับอนาคามี แต่ถ้าโสดาบันนี่ต้องพยายามให้มีมานะ เพื่อจะให้อยากได้อยากดี ไม่ใช่ได้ชั่วนะ ต้องมีมานะ แต่ถ้าระดับอนาคามีเหลือมานะน้อยลงแล้ว แต่ก็เป็นทุกข์นะเพราะมันจะลาดลุ่มเป็นลำดับ มานะของอนาคามีเหลือน้อยนะ แต่ท่านถือเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องใหญ่ แต่ถ้าเทียบกับทั่วไปแล้วมันถือเป็นภาระของท่าน เมื่อหมดมานะก็คืออุปกิเลส ยังยึดดี เอาดี มันถึงจะเป็นสุข ถ้าได้สมใจขนาดนี้อย่างนี้เป็นสุข ถ้าไม่ได้อย่างนี้ก็ทุกข์ บางทีก็ดีใจ อนาคามีถึงอรหันตตมรรคมีดีใจ แต่ไม่ออกมาถึงหยาบ อาจนอนไม่หลับ จะไปว่าเขานะ แต่คนอื่นไม่รู้ด้วยหรอก แต่ตนเองสิ ถ้าเผื่อว่า ตัวคนนี้ไม่ลึกซึ้งละเอียดนะ อาจมีภาวะของจริตของท่าน ลดรูปราคะ อรูปราคะได้ แต่มานะมีอยู่ อุทธัจจะก็จะแรงฟุ้งแรง แต่ไม่มีใครรู้ด้วยหรอก ติดอยู่ในใจถือดีอยู่ ปฏิบัติไปเถอะใครจริตอะไรก็จะรู้ จนกว่าจะลดมานะ หมดอุทธัจจะก็เหลือแต่ตรวจสอบด้วยอรูปฌานไป

 

ก็คือเรียนรู้เวทนา 108 ให้บริบูรณ์ ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต ทุกปัจจุบันเป็นตัวปฏิบัติให้เกิด อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา แล้วให้เป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) พิสูจน์ด้วย อดีต 36 เวทนาก็สูญ อนาคตอีก 36 ก็สูญ และทั้งอดีตและอนาคตก็สูญอีก 36 จนหมดอวิชชาสวะ

 

ผู้ที่ทำถูกต้องมีระบบจะไม่ทิ้งกายเลย มีอิริยาบถ กาย วาจา ใจครบ มีอยู่ทุกปัจจุบันเป็นวิหารติด้วย แต่อาการจิตคุณก็ตรวจจนปฏิญาณตนได้ว่าเป็นกตญาณ สำเร็จเรียบร้อยหมดความยึดถือ เกลี้ยง ท่านใช้ศัพท์สองตัว คือ สิ้นตัณหาและทิฏฐิ

 

สิ้นตัณหาคือ กามตัณหา ภวตัณหาก็สิ้น และสิ้นวิภวตัณหาด้วย แม้วิภาวตัณหาคือตัณหาอยากหมดภพด้วย แต่พระอรหันต์ที่ยังไม่ตายต้องทำงานรื้อขนสัตว์และจะพัฒนาตนสู่สัมมาสัมโพธิญาณ แต่ท่านหมดประโยชน์ตนแล้ว มีแต่ประโยชน์ท่าน ถ้าจะบำเพ็ญเป็นพระพุทธเจ้าก็จะรู้โลกวิทูต่อไปสั่งสมอย่างเป็นของจริง อะไรสงสัยอยู่ก็ไปเกิดเป็นได้ แม้สัตว์บางชนิด

 

แต่อัศจรรย์ที่ไม่ทิ้งกาย อยู่ตลอด แม้จะบรรลุเป็นลำดับไปเรื่อยๆ จนหมดกิเลสภายนอกเป็นอนาคามีก็มีกายสักขี ครบหมด แม้เป็นอรหัตตผลก็มีกายภายนอก สั่งสมบารมีไปอีก แต่ถ้าไม่ออกมาภายนอกเลยไม่มีกายสักขี จึงต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ ด้วยปัญญาอันยิ่ง

 

อันนี้เป็นข้อ แรกเลยของ ลักษณะธรรมของพระพุทธเจ้า

 

[457] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความอัศจรรย์ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้ มี

8 อย่างเหมือนกันแล ที่พวกภิกษุพบเห็นแล้วพากันชื่นชมในธรรมวินัยนี้ 8 อย่าง

เป็นไฉน

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมหาสมุทรลุ่มลึกลาดลงไปโดยลำดับ

มิใช่ลึกมาแต่เดิมเลย สิกขาตามลำดับ กิริยาตามลำดับ ปฏิปทาตามลำดับ  ใน

ธรรมวินัยนี้ก็เหมือนกัน มิใช่แทงตลอดอรหัตผลมาแต่เดิมเลย ข้อที่สิกขาตาม

ลำดับ กิริยาตามลำดับ ปฏิปทาตามลำดับ ในธรรมวินัยนี้ มิใช่แทงตลอดอรหัตผล

มาแต่เดิมเลย นี้เป็นความอัศจรรย์ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้ เป็นข้อที่ 1 ที่ภิกษุ

ทั้งหลายพบเห็นแล้ว พากันชื่นชมในธรรมวินัยนี้ ฯ

             [458] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมหาสมุทรตั้งอยู่ตามธรรมดา

ไม่ล้นฝั่ง สาวกทั้งหลายของเราก็เหมือนกัน ไม่ล่วงละเมิดสิกขาบทที่เราบัญญัติ

แล้วแก่สาวกทั้งหลาย แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต ข้อที่สาวกทั้งหลายของเราไม่ล่วง

ละเมิดสิกขาบทที่เราบัญญัติแล้วแก่สาวกทั้งหลาย แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต แม้นี้

ก็เป็นความอัศจรรย์ ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้ เป็นข้อที่ 2 ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็น

แล้ว พากันชื่นชมในธรรมวินัยนี้ ฯ

             [459] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมหาสมุทรไม่ร่วมกับซากศพที่

ตายแล้ว ซากศพที่ตายแล้วใดมีอยู่ในมหาสมุทร มหาสมุทรย่อมนำซากศพที่ตาย

แล้วนั้นไปสู่ฝั่ง ซัดขึ้นบกโดยพลัน บุคคลนั้นใดเป็นผู้ทุศีล มีธรรมลามก มี

ความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปิดบังการกระทำ มิใช่สมณะปฏิญาณว่า

เป็นสมณะ มิใช่พรหมจารีปฏิญาณว่าเป็นพรหมจารี เน่าภายใน โชกชุ่มด้วย

กิเลส ผู้เศร้าหมอง ก็เหมือนกัน สงฆ์ย่อมไม่ร่วมกับบุคคลนั้น ย่อมประชุมกัน

ยกเธอเสียโดยพลัน ถึงแม้เธอนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงอย่างนั้น เธอ

ชื่อว่าไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ไกลจากเธอ ข้อที่บุคคลนั้นใด เป็นผู้ทุศีล มีธรรม

ลามก มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปิดบังการกระทำ มิใช่สมณะ

ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่พรหมจารีปฏิญาณว่าเป็นพรหมจารี เน่าภายใน โชกชุ่ม

ด้วยกิเลส ผู้เศร้าหมอง สงฆ์ย่อมไม่ร่วมกับบุคคลนั้น ย่อมประชุมกันยกเธอเสีย

โดยพลัน ถึงแม้เธอนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงอย่างนั้น เธอชื่อว่าไกล

จากสงฆ์ และสงฆ์ก็ไกลจากเธอ แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้

เป็นข้อที่ 3 ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้วพากันชื่นชมในธรรมวินัยนี้ ฯ

             [460] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนแม่น้ำใหญ่บางสาย คือ แม่น้ำ

คงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี ไหลถึงมหาสมุทรแล้วย่อมละนามและโคตรเดิมเสีย

ถึงซึ่งอันนับว่ามหาสมุทรทีเดียว วรรณะ 4 เหล่านี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์

ศูทร ก็เหมือนกัน ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศ

แล้ว ย่อมละชื่อและตระกูลเดิมเสีย ถึงซึ่งอันนับว่า สมณะเชื้อสายพระ

ศากยบุตรทีเดียว ข้อที่วรรณะ 4 เหล่านี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ออกจาก

เรือนบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมละชื่อและตระกูล

เดิมเสีย ถึงซึ่งอันนับว่าสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรทีเดียว แม้นี้ก็เป็นความ

อัศจรรย์ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้ เป็นข้อที่ 4 ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้วพากัน

ชื่นชมในธรรมวินัยนี้ ฯ

             [461] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนแม่น้ำบางสายในโลกที่ไหลไป

ย่อมไปรวมยังมหาสมุทร และสายฝนยังตกลงมาจากอากาศ ความพร่องหรือความ

เต็มของมหาสมุทรย่อมไม่ปรากฏเพราะเหตุนั้น ภิกษุจำนวนมากก็เหมือนกัน ถ้า

แม้ยังปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ความพร่องหรือความเต็มของนิพพาน

ธาตุย่อมไม่ปรากฏ เพราะเหตุนั้น ข้อที่ภิกษุจำนวนมาก ถ้าแม้ยังปรินิพพานด้วย

อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ความพร่องหรือความเต็มของนิพพานธาตุย่อมไม่ปรากฏ

เพราะเหตุนั้น แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้ เป็นข้อที่ 5 ที่

ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้ว พากันชื่นชมในธรรมวินัยนี้ ฯ

             [462] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมหาสมุทรมีรสเค็มรสเดียว

ธรรมวินัยนี้ก็เหมือนกัน มีวิมุตติรส รสเดียว ข้อที่ธรรมวินัยนี้มีวิมุตติรส รสเดียว

แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้ เป็นข้อที่ 6 ที่ภิกษุทั้งหลายพบ

เห็นแล้ว พากันชื่นชมในธรรมวินัยนี้ ฯ

             [463] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมหาสมุทรมีรัตนะมาก มี

รัตนะมิใช่ชนิดเดียว รัตนะในมหาสมุทรนั้นเหล่านี้ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี

แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม มรกต ธรรมวินัย

นี้ก็เหมือนกัน มีรัตนะมาก มีรัตนะมิใช่อย่างเดียว รัตนะในธรรมวินัยนั้นเหล่านี้

คือ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7

อริยมรรคมีองค์ 8 ข้อที่ธรรมวินัยนี้ มีรัตนะมาก มีรัตนะมิใช่อย่างเดียว รัตนะ

ในธรรมวินัยนั้นเหล่านี้ คือ สติปัฏฐาน 4 ... อริยมรรคมีองค์ 8 แม้นี้ก็เป็น

ความอัศจรรย์ ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้ เป็นข้อที่ 7 ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้ว

พากันชื่นชมในธรรมวินัยนี้ ฯ

             [464] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมหาสมุทรเป็นที่อยู่อาศัยของ

สัตว์ใหญ่ๆ สัตว์ใหญ่ๆ ในมหาสมุทรนั้นเหล่านี้ คือ ปลาติมิ ... อสูร นาค

คนธรรพ์ มีอยู่ในมหาสมุทร มีลำตัวตั้งร้อยโยชน์ก็มี สองร้อยโยชน์ก็มี สามร้อย

โยชน์ก็มี สี่ร้อยโยชน์ก็มี ห้าร้อยโยชน์ก็มี ธรรมวินัยนี้ก็เหมือนกัน เป็นที่อยู่

อาศัยของคนใหญ่ๆ คนใหญ่ๆ ในธรรมวินัยนั้นเหล่านี้ คือ โสดาบัน ผู้ปฏิบัติเพื่อ

ทำให้แจ้งซึงโสดาปัตติผล สกิทาคามี ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งสกิทาคามิผล

อนาคามี ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล อรหันต์ ผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็น

อรหันต์ ข้อที่ธรรมวินัยนี้เป็นที่อยู่อาศัยของคนใหญ่ๆ คนใหญ่ๆ ในธรรมวินัย

นั้นเหล่านี้ คือ โสดาบัน ... ผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นอรหันต์ แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์

ไม่เคยมี ในธรรมวินัยนี้ เป็นข้อที่ 8 ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้วพากันชื่นชมใน

ธรรมวินัยนี้

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความอัศจรรย์ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้ 8 ประการนี้แล

ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้วพากันชื่นชมในธรรมวินัยนี้ ฯ

 

พ่อครูว่า...ในวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา เขาบอกว่าเป็นวันที่เสียตัวของผู้หญิง แล้วผู้ชายนี่มักบอกว่าต้องพิสูจน์ความรักว่าจริงว่าแท้ ด้วยการเสียตัว  ..อาตมาก็ว่า เป็นความหลอกแท้ๆเลย เขาบอกว่าเขาฉลาด เขาหลอกให้ผู้หญิงเสียตัวให้นี่เขาว่าเขาฉลาด แต่แท้จิรงเป็นความโง่ของความโกง เพราะถ้าเสียตัวขึ้นมาความรักก็ไม่บริสุทธิ์แล้ว ด่างแล้ว แล้วคนเห็นความไม่สะอาดมาเป็นความสะอาดนี่โง่ไหม? แล้วบอกว่า พิสูจน์ความรักต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์แต่แท้จริงพิสูจน์ความไม่บริสุทธิ์ของคุณนั่นแหละ คนที่ไปหลอกคนเช่นนี้คือคนโง่ มันเหมือนคำว่า หยาบละเอียดจังเลย โอ้โห นี่มัน น้อยมาก จังเลย หรือว่า มัน ร้อนเย็นจังเลย นี่ก็ยากแล้ว

 

การพิสูจน์ความสะอาดบริสุทธิ์ด้วยการทำให้เกิดความไม่สะอาดบริสุทธิ์นี่ใช้ไม่ได้ วันวาเลนไทน์ต้องพยายามรักษาความสะอาดบริสุทธิ์เอาไว้ต่างหาก ทั้งหญิงและชายอย่าไปหลอกกันนะ จะพากันโง่ซ้ำซ้อน

 

คำว่า วรรณะนี่อยู่ในศาสนาพราหมณ์ แต่ว่า พุทธกับพราหมณ์ก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ทำให้ในพุทธเองก็มีวรรณะมีชั้นลำดับไปด้วย คนจะให้ทุกอย่างเท่ากันหมด ไม่มีหรอกนอกจากนิพพานเท่านั้นที่สูญ และทั้งพลังงานและสสารทั้งหมด ไม่มีสูญจริง จะมีทศนิยมตลอดเวลา แม้ตนเองไม่มีแรงทำทศนิยมให้ตนก็ต้องถูกสิ่งอื่นทำให้มีทศนิยม ยิ่งตนเป็นสวะลอยไปก็ยิ่งถูกเตะไปเตะมา เหมือนอุกาบาต อย่างน้อยเราต้องเข้าสู่วงจรจึงไม่ถูกเตะมาก สิ่งมหัศจรรย์คือพระพุทธเจ้าท่านล้มล้างชั้นวรรณะ สิ่งที่ไม่เท่ากันก็ไม่เท่ากัน แต่นิพพานเท่านั้นที่เท่ากัน สูญเท่ากันได้ แม้หญิงหรือชายก็นิพพานได้ ถ้ามีอะไรอย่างอื่นมาก็ไม่เท่ากันแล้ว ถ้ามีสองแล้วไม่เท่ากัน จะเท่ากันได้ต้องสูญเท่านั้น แต่รู้สมมุติว่าจะไม่เท่ากันตลอด

 

โสดาบันเสมอโสดาบัน สกิทาคามีเสมอสกิทาคามี อนาคามีเสมออนาคามี อรหันต์เสมออรหันต์ แต่โสดาบันก็ไม่เท่ากับสกิทาคามี ต้องรู้  คนทำหน้าที่ใดก็ทำไป คนกวาดขยะก็ทำไป แต่จะไม่ไปริสยาคนเป็นอย่างอื่น อาตมาแบ่งเป็น นักผลิต นักบริการ นักบริหาร นักบุญ (คือผู้ชำระกิเลสได้) คุณก็ทำหน้าที่ไป มันก็มีชั้นลำดับแน่ แต่มีสิทธิ์สูญได้ นักผลิตก็สูญได้ เราต้องการนักผลิตมาก นักบริหารไม่ต้องมากหรอก ใช้สมอง สังคมใดนักบริหารมาก กรรมกรน้อย สังคมนั้นบรรลัย ถ้าสังคมใดมีกรรมกรมาก นักบริหารน้อย สังคมนั้นเจริญ จนกระทั่งเกิดการบริหารโดยไม่บริหาร เพราะแต่ละคนก็ทำหน้าที่ ต่างประสานกันตามหน้าที่ที่บริบูรณ์ โดยไม่ริสยากัน

 

นักผลิตต้องรวย เพราะต้องมีทุนในการผลิต เป็นเจ้าของวัตถุมากที่สุด ส่วนนักบริการคือพวกทำงานเชื่อมต่อ เอาผลผลิตไปขายไปทำต่อ ผู้ผลิตนี้หนัก ผู้บริการนี้เบากว่า ผู้ผลิตต้องมีรายได้สูงสุด ผู้บริการก็ลดลง ผู้บริหารนี่ไม่เอาเงินเลย ยิ่งนักบุญแล้วสูงสุดไม่เอาอะไรกับใครนี่คือสัจจะ ถ้าผู้ใดเข้าใจ ชัดเจนตนเองจะรู้ แต่ละฐานะก็มีองค์ประกอบตามฐานะ คนเข้าใจรายละเอียดนี้ไม่ได้ ก็เป็นพวกวัตถุนิยมไม่เข้าใจจิตวิสัย พวกนี้สุดโต่งให้เสมอภาคกันหมด ให้มีเงินเท่ากันมีลำดับเท่ากัน พวกนี้โง่ไม่เสร็จ ยาก ยึดมั่นถือมั่น ไม่เข้าใจลักษณะลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล พวกนี้ส่วนใหญ่หลงปัญญา ไม่เข้าใจรายละเอียด แล้วตัวคนพวกนี้นี่แหละที่บอกว่าเสมอภาค นั้นให้ไปเป็นนักผลิตก็ไม่ทำหรอก แล้วทำไม่เป็นด้วยมีแต่คิด คิดแล้วก็เอามาระบายทางปาก จนทุกวันนี้สังคมชักอวิชชาก็ถูกพวกนี้ครอบงำไปเป็นทาสพวกวาทกรรม สังคมแย่ลงทุกที

 

ในอนุปาทิสเสนิพพาน กับสอุปาทิเสสนิพพาน

 

อนุปาทิสเสนิพพาน คือกายแตกตาย คือปรมัตถ์องค์ประชุมแตกแยกกันเด็ดขาดแล้ว แต่ไม่เกี่ยวกับร่างนะ มีแต่นามกายแตกนะไม่เหลือ ไม่มีขันธ์เหลือ  คือเหลือศูนย์ในขันธ์ 4 (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) แต่รูปจะเหลืออยู่ก็ได้

 

ส่วน สอุปาทิเสสนิพพาน นั้น ในเถรวาทหมายถึงว่า กิเลสตายไปบางส่วน เป็นโสดาฯสกิทาฯอนาคาฯ แต่อาตมาว่า สอุปาทิเสสนิพพานก็คืออรหันต์ที่กิเลสตายแล้ว แต่ยังเหลือรูปนามขันธ์ 5 อยู่

 

มหาสมุทรมีรสเดียว คือรสเค็ม รสของธรรมวินัยคือ รสไม่สุขไม่ทุกข์


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:45:58 )

580224

รายละเอียด

580224_ธรรมาธิปไตยกับกระบวนการปฏิรูปการเมืองไทย(วิจัยป.เอก ม.รามฯ)

วันที่ 24 ก.พ. 2558 คุณภิญญาพัชญ์ น.ศ.ปริญญาเอก ม.รามคำแหง มาสัมภาษณ์พ่อครูที่ ห้องกันเกราตึกสถาบันบุญนิยม สันติอโศก 15.20 น.

 

คุณภิญญาพัชญ์ว่า...ต้องกราบขอบพระคุณพ่อครูที่ให้เวลา ดิฉัน(น.ส.ภิญญาพัชญ์ รัตน์พริษฐ์) เป็นนักศึกษาปรัชญาดุษฏีบัณฑิต(สาขาวิชาการเมือง) ที่ ม.รามคำแหง ทำวิจัยเรื่อง  ธรรมาธิปไตยกับกระบวนการปฏิรูปการเมืองไทย

 

ธรรมาธิปไตยเป็นหลักทางพุทธศาสนาที่มีมาแต่โบราณแล้ว ยึดเอาความจริง ความถูกต้อง เอาผลประโยชน์ส่วนใหญ่เป็นหลัก ในการตัดสินใจเราจะต้องไม่อิงผลประโยชน์ส่วนตน ถ้าเราเอาธรรมาธิปไตยมาใช้กับประชาธิปไตยได้ ก็จะเกิดประโยชน์อย่างมาก

 

คุณภิญญาพัชญ์ถามว่า่... ธรรมาธิปไตยหรือธรรมะที่นักการเมืองควรมี  ควรจะประกอบด้วยอะไร?

 

พ่อครูว่า..อาตมาก็ตอบตามความรู้ทางพุทธศาสนาเต็มที่เลย ก็ตั้งใจให้ดีเถอะ ธรรมะที่ชื่อว่าธรรมาธิปไตยนี่มีสองคำ คือ ธรรมะกับอธิปไตย คำว่าอธิปไตยคือพลังอำนาจ ยิ่งกว่าพลังทางฟิสิกส์ พลังงานทางจิตวิญญาณ แล้วศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ใช้พลังงานทางจิตได้สมบูรณ์แบบ

 

คำว่าธรรมะแปลว่าความดีงาม คุณค่าประเสริฐ ศาสนาไหนๆก็ต้องการความดีงาม เท่าที่เขาสามารถทำได้ ส่วนของธรรมะพระพุทธเจ้ามีเงื่อนไขว่าเป็นธรรมะขั้นโลกุตรธรรม

 

โลกุตรธรรม หมายความว่าอย่างไร? ถามว่าธรรมะควรมีลักษณะอย่างไร ก็ต้องบอกว่า ต้องมีโลกุตรธรรม ที่สัมมาทิฏฐิจริงๆ แล้วเราจะได้อธิปไตยที่เป็นโลกุตระ

 

คุณภิญญาพัชญ์ว่า...พ่อครูกรุณายกตัวอย่างนักการเมืองที่มีธรรมาธิปไตยอันมีลักษณะเด่นๆ

 

พ่อครูว่า...ก็ดูตามอาการที่นักการเมืองแสดงออกมีหลักฐานปรากฏก็พอดูได้ แต่ว่าจะวัดว่ามีโลกุตระก็ไม่ง่ายทีเดียว แต่ถ้าความหมายของโลกที่รู้กันทั่วไป คือผู้เป็นนักการเมืองคือคนสุจริตซื่อสัตย์ ไม่ลำเอียง เป็นผู้มักน้อยสันโดษ มีธรรมะ คือความไม่มีกิเลส ธรรมะแท้ๆคือความทรงไว้ซึ่งความไม่มีกิเลส มีกิเลสนิดนึงก็ไม่ทรงธรรมนิดหนึ่งตามนั้น อาตมาเป็นพุทธก็เชื่อว่าพุทธทำได้จริงตามนั้น แต่ศาสนาอื่นไม่ขอพูดถึง อาตมาเป็นพุทธแท้ก็พากเพียรศึกษามา มั่นใจว่ามีโลกุตรธรรม ถ้าจะถามตัวบุคคล เราจะดูแค่อาการข้างนอกก็ไม่ได้บ่งบอกโลกุตรธรรมแท้ แต่เขาทำออกมาภายนอกเป็นผู้ที่มีความเสียสละ ก็เห็นมาตลอด เห็นได้ชัด ถ้าคนไม่มีความโลภ มักน้อยสันโดษ ไม่สะสม มีแค่หมุนเวียนไป มีหน้าที่รับใช้ปชช. ปชช.จะเลี้ยงดูไว้ ผู้ประพฤติดีไม่จำเป็นต้องเก็บงำสมบัติเลย แต่คนอื่นจะดูแลอุดหนุนเอง

 

แล้วถามว่า ใคร อาตมาก็ไม่ได้มีนะ ไม่มีใครเข้าตาสักคนเลย ผ่านตามานักการเมืองก็ไม่เห็นมีใครรักษาสภาพนั้น แต่ก็เห็นได้ว่าพอเป็นไป แต่ไม่เข้าข่ายที่อาตมาว่าเป็นโลกุตระ แต่ถ้ายกตัวอย่างประเทศอื่นก็เช่น คานธี นี่ชัดเจน เขาประพฤติได้ชัดเจน อย่างคนไทยเราก็มีบ้าง แต่ก็ไม่ถึงเป็นคนมักน้อยสันโดษ นอกนั้นก็ยังเสพสุขสนุกบำเรออารมณ์โลกีย์อยู่

 

คนมีศีล 5 ก็ถือว่าเป็นโลกุตระชั้นที่ 1 และถ้าศีล 8 ก็เป็นโลกุตระชั้นที่ 2 ก็จะลดกามคุณลง จนถึงอนาคามีก็จะไม่มีโลกธรรม โลกกามแล้ว คำว่าโสดาฯสกิทาฯอนาคาฯอรหันต์ไม่ได้หมายถึงในร่างนักบวชนะ แต่นักการเมืองนี่แหละควรมีคุณธรรม โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ไปหมดแล้ว เพี้ยนไปมากแล้ว ศีล 5 ถือว่าซื่อสัตย์ แต่ก็ยังบันเทิงในโลกีย์อยู่ แต่บางทีเขาก็ได้แค่ข้างนอก ข้างในกดข่มอยู่ แต่โสดาบันแท้จะทำที่จิตได้ ถ้าศีลสูงขึ้นก็จะมีคุณธรรมเพิ่มอีก

 

ถ้าจะให้อาตมาเห็น นักการเมืองไทยที่จะนับเข้ามาโลกุตระบ้าง ก็เช่น ท่านสัญญา ธรรมศักดิ์ หรือนายกฯเปรมก็ได้ ก็เป็นบุคคลที่จะเข้าข่ายอาริยบุคคล แต่ก็ไม่ชัด เพราะต้องเอาที่ใจมีเจโตและปัญญาพร้อม แต่อาตมาดูข้างนอกก็ตามไปดูข้างในไม่ชัด

 

คุณภิญญาพัชญ์ว่า...ประเทศไทยเรามีวัฒนธรรมมีมานาน เป็นเชิงความสัมพันธ์ มีเข้าขุนมูลนาย แม้จะเลิกชนชั้น แต่ว่าการกระจายอำนาจก็ยังไม่ทั่วถึง คอรัปชั่นก็มากมาย ทำให้การเมืองไทยไม่โปรงใส่ พ่อครูคิดว่าในธรรมาธิปไตยนั้น วัฒนธรรมใดที่จะนำมาใช้ให้ได้ผลดีกับสังคมไทย

 

พ่อครูว่า...อธิปไตยของพระพุทธเจ้ามีโลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย และธรรมาธิปไตย

 

ผู้สามารถมีอธิปไตย คือมีอำนาจ คือรู้จักโลก เรียนรู้อัตตาตั้งแต่เบื้องต้น แล้วเรียนรู้จิตตนที่ตกเป็นทาสโลก และอัตตา แล้วล้างกิเลสตนที่ตกในอำนาจ โลกและอัตตาได้จริงๆ อัตตาคือตัวยึดของจิต ส่วนโลกก็ยึด ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นกามภพ อบายภพจริง ถ้าฆ่ากิเลสได้ลดได้ตามลำดับก็เข้าโลกุตระ เป็นอาริยธรรมที่แท้จริง

 

ผู้ลดกาม ลดอัตตาได้จริงจะมี อธิปไตย คือมีพลังอำนาจ แต่จะอยู่กับโลกได้อย่างเดิม แต่ว่าประสิทธิภาพทำงานให้แก่คนอื่นดีขึ้นๆ เพราะเอาพลังงานทาง ทุนรอน แรงงาน เวลามาใช้ประโยชน์ได้ เพราะลดความเห็นแก่ตัว ได้พลังอำนาจอธิปไตยที่เป็นโลกุตรธรรม

 

คุณภิญญาพัชญ์ว่า...เราจะเสริมสร้างธรรมาธิปไตยให้เกิดขึ้นในทุกภาคส่วนได้อย่างไร? นักการเมืองที่มีธรรมาธิปไตยควรมีลักษณะอย่างไร

 

พ่อครูตอบ...คำว่าโลกคือ โลกกาม โลกธรรม และโลกอัตตา ไทยเราเป็นพุทธมาแต่ไหนแต่ไร แต่เพี้ยนมาจนสองพันกว่าปีก็สูญเล้ว เหลือน้อยมาก แต่เพราะไม่รู้ก็เลยทำไม่ได้ ทุกวันนี้คนสอนธรรมะก็ไม่มีโลกุตรธรรมแล้ว จะทำอย่างไรจะให้เกิดธรรมาธิปไตย ? ก็ต้องให้ผู้สอนนี่ปฏิบัติโลกุตรธรรมให้ได้ จากสัตบุรุษ แล้วเอาคำสอนไปปฏิบัติให้เกิดผล แล้วก็นำไปเผยแพร่ต่อ จนคนรับได้ ว่าเป็นคุณธรรมที่ลดความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ผู้อื่น รับใช้ปชช.

 

จะเกิดได้ต้องมีการศึกษาเรียนรู้จากสัตบุรุษ เป็นหัวเชื้อในการกระจายความรู้นี้ไป แล้วเอาไปปฏิบัติให้ได้แล้วจึงเผยแพร่ต่อ

 

ธรรมะโลกุตระของพระพุทธเจ้าเป็นนักการเมืองที่สวยงามที่สุด พระพุทธเจ้าปลดแอดทาสได้ โดยตั้งรัฐอิสระ มี ศีลธรรมนูญของท่านเลย ปลดแอกคนจากพระเจ้าแผ่นดินได้ทุกแคว้นที่ท่านไปเผยแพร่ได้ ยอมให้ท่านหมด

 

คุณภิญญาพัชญ์ว่า...พ่อครูมีข้อเสนอแนะหลักธรรมอะไรให้นำไปปฏิบัติได้ในอนาคต

 

อาตมาทำมา 40 กว่าปีก็ทำความหลักพระพุทธเจ้าทั้งนั้น  แต่เขาเข้าใจเพี้ยนไปหมดแล้ว อย่างเช่นมหาจัตตารีสกสูตร คือปฏิบัติให้ถึงอาริโยสัมมาสมาธิเลย ลดโลภ โกรธ หลง ได้จริง

 

โลกาธิปไตย นั้น ยกตัวอย่างโลกทั้งโลกเป็นนักโลกาธิปไตยทั้งนั้น ใช้จิตวิทยาหลอกคนว่าเขาเป็นคนดี ทั้งที่ใจเขาไม่ได้ล้างกิเลสแต่อย่างใด เขาก็รู้ว่าถ้าทำไม่ดีคนก็จะว่า เขาก็เลยทำเหมือนเป็นคนดี แต่ข้างในหลอกคนซับซ้อนมากก็มี

 

อีกพวกหนึ่งคือพวกเอาแต่จิต ละทิ้งโลกวิสัย เป็นพวกเห็นแก่ตัว อัตตาเต็มบ้อง บางลัทธิเช่นลัทธิเชน มักน้อยมาก ไม่นุ่งผ้าด้วย ออกมาเดินโทงๆว่าข่าแน่นะ เป็นอัตตาเต็มที่เสพอัตตาเต็มที่ ไม่ได้มีประโยชน์ต่อโลกเลย ได้แต่ดับจิต ไม่ให้จิตรับรู้โลก มีชีวิตรอวันตายเท่านั้น นี่คืออัตตาธิปไตยที่สุดโต่งเต็มที่

 

อีกพวกหนึ่งผนวกทางจิตผสมกับทางโลก อย่างมหาริชชี นี่ก็ไปหลอกคนอเมริกา มีทรัพย์สมบัติมากมายได้ สุดท้ายอเมริกาก็ไล่ออกจากประเทศไป เพราะเอาฤทธิ์เดชเหนือสามัญมาหลอกคน เขาฝึกก็ทำได้ แต่ว่ามันไม่เที่ยง ทำได้คนก็นิยม แต่ไม่มีประโยชน์อะไร เหาะสู้เครื่องบินไม่ได้ ใช้โทรจิตก็สู้โทรศัพท์ไม่ได้ ไม่ถาวร คนทำก็ทำได้ยากมาก ไม่เหมือนวัตถุเทคโนโลยีที่ทำได้หมดแล้วไม่ต้องอาศัยคนเลย นั้นคือความเจริญทางโลกที่เอาไปใช้แทนคุณสมบัติของจิต ทางจิตเขาก็ฝึกกันได้แต่ก็ซ้ำซ้อนกับโลกียะทางฟิสิกส์ จึงไม่ได้วิเศษอะไรมากมายพระพุทธเจ้าจึงไม่เอาฤทธิ์แบบนี้ แต่คนที่อาศัยเขาก็จะเอามาผนวกกัน มาใช้ทั้งสองทาง คนชอบทั้งสองอย่างก็เลยได้คนมาเพิ่ม ลัทธินี้ มหาริชชีก็ใช้แต่ในไทยคนที่ใช้ก็คือ ธัมมชโย ที่พูดนี่เป็นวิชาการนะ เป็นความซับซ้อน ทักษิณก็ใช้ แต่ว่าไม่เก่งเท่าธัมมชโย ไปสะกดจิตคนอื่นได้เก่ง เป็น Hypnotize ก็ขอบคุณธัมมชโยที่เอามาใช้เป็นตัวอย่างไร ศาสนาพุทธรู้คุณรู้โทษสิ่งเหล่านี้ แล้วอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ได้ เอาโลกมาใช้ได้ ตนเองกินน้อยใช้น้อยอาศัยอย่างพอดี พอเพียง สันตุฏฐีธรรมหรือสันโดษ จิตก็เข้าใจสิ่งเหล่านี้หลุดพ้น อยู่เหนือโลกได้ อยู่เหนืออัตตา

 

พุทธให้เรียนรู้โลกเรียนรู้จิต(อัตตา) อย่างต้นก็ละจากที่เสื่อมสุดคือ อบายภูมิ โอฬาริกอัตตา การเรียนรู้ต้องรู้สติปัฏฐาน 4 มีโพธิปักขิยธรรม 37 หรือโลกุตระ 37 ปฏิบัติได้จะเป็นโลกุตระ 9 รวมเป็นโลกุตระ 46 ผู้เรียนรู้รูปนาม ลดกิเลสได้จริง จึงอยู่เหนือโลกเหนืออัตตาได้ สิ่งที่ได้คือธรรมะที่เหนือโลกเหนืออัตตา เป็นโลกุตรธรรม ศาสนาพุทธอยู่เหนือโลก ไม่หนีโลกนะ แม้จะมีอัตตา มีโลกธรรมมาท่านก็อยู่ได้ ช่วยได้ท่านก็ช่วยได้ ช่วยไม่ได้ท่านก็ปล่อย อรหันต์บางรูปท่านไม่เก่งก็ช่วยไม่ได้หรือแล้วแต่โอกาสที่จะช่วยได้ อย่างมีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4

 

ผู้มีธรรมาธิปไตย เรียนรู้อธิปไตย 3 นี้ได้ ก็จะเป็นนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่ ถ้าการศึกษานี่ทำอย่างไรจะเรียนได้ ทำให้เกิดการเรียนได้โลกุตรธรรมนี้ได้ในการศึกษา ให้เป็นอย่างคานธีได้เลย เป็นนักการเมืองอย่างนี้แหละ แต่ถ้าจะพูดอีกคนหนึ่ง แต่คนเขาจะไม่ค่อยยอมรับนับถือ ก็คือคุณจำลอง ศรีเมือง นี่แหละคือนักการเมืองที่มีคุณธรรมอย่างแท้จริง มักน้อยสันโดษได้จริง แต่ไม่เหมือนอย่างกับคานธี อย่างคานธีนี่อาตมาพยากรณ์ว่าเป็นโพธิสัตว์แต่คุณจำลองนี่อาตมาไม่พยากรณ์ ไม่จำเป็นที่อาตมาต้องไปยก แต่ต่อไปเขาจะรับรองเอง ตอนนี้คุณจำลองก็อายุย่าง 80 ปีแล้ว ก็ได้แต่พูดเป็นวิชาการไปต้องมีตัวอย่างให้เห็นจริงเป็นรูปธรรม

 

ถ้าทำการศึกษาที่เป็นแบบไทยมีวิถีพุทธ ส่วนความรู้สากลเราไม่ปฏิเสธ เป็นเทคนิคก็ใช้ได้แต่ไม่ต้องไปเด่นอย่างเขา เพราะในหลวงก็ตรัสว่า เราไม่ต้องไปก้าวหน้าอย่างเขาหรอก ก้าวหน้าอย่างนั้นเป็นการถอยหลังอย่างน่ากลัว 


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:46:55 )

580226

รายละเอียด

580226_ธรรมาฯ ศาลีอโศก พุทธต่างจากศาสนาอื่นตรงไหนในเรื่องรัก

พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดี ที่ 26 ก.พ. 2558 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 4 ปีมะเมีย ปีนี้เป็นปีมีเดือน 8 สองหน ขึ้น 15 ค่ำเดือน 4 จึงเป็นวันมาฆบูชา ตรงกับวันพุธที่ 4 มี.ค. ขึงเป็นมาฆบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญของชาวพุทธแท้ๆ ยิ่งมาในเมืองไทย มีวันวิสาขบูชา และอาสาฬหบูชา(เดือน 8 ขึ้น 15 ค่ำ) มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ครบ พระพุทธเจ้าเทศน์ให้ปัญจวัคคีย์ฟัง เป็นธรรมะบทแรก โกณทัญญะก็บรรลุพระโสดาบัน แล้วขอบวชเลย พระพุทธเจ้าก็เลยบวชให้ทันที เป็นเอหิภิกขุ ก็เลยกลายเป็นพระรัตนตรัยครบ อาสาฬหะ แปลว่าเพ็ญเดือน 8 ส่วนวันวิสาขบูชาก็คงรู้กันนะว่าเป็นวันอะไร? เป็นวันที่สำคัญ มีพระมหาบุรุษระดับจอมพระบรมมหาศาสดา เป็นวันยิ่งใหญ่กว่าวันวาเลนไทน์ ก็ไม่ทราบรายละเอียดของนักบุญวาเลนไทน์นะ เป็นวันประหารนักบุญวาเลนไทน์ ก็ถือเป็นวันยิ่งใหญ่ของชาวคริสต์

 

วันนี้จะพูดถึงความรักบ้าง ปีนี้ขึ้น 15 ค่ำเดือน 4 จะเป็นมาฆบูชา (อธิกมาศ) ทุกปีจะเดือน 3 จะเป็นมาฆบูชา ในงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ซึ่งพุทธนั้นสอนความรักอันยิ่งใหญ่คือ คนที่มีความรักแบบไม่เห็นแก่ตัว (อัตตา)  รักแบบไม่เห็นแก่ของๆตัว (อัตนียา) แต่คนเราไม่ได้ศึกษาอ่านอาการจิตที่เป็นอัตตา อัตตนียา ก็จะอ่านไม่ออก

 

อาการมันเคลื่อนไหว ที่เป็นสภาวะ ไหวให้รู้ อ่านอาการให้เห็น (อาการเป็นภาษาบาลีและไทยด้วย) อาการเป็นนามธรรม รู้ได้ด้วยญาณปัญญา อยู่ที่จิตเรา ถ้าอาการทางกาย วาจา ก็เห็นรูปร่างก็รู้ไม่ยาก ท่านเรียกว่าวิญญัติ(กระดุกกระดิกเคลื่อนไหวทางกายกับวาจา) ส่วนทางมโน ท่านเรียกว่าอาการ ไม่เรียกวิญญัติ เราต้องอ่านอาการที่เรียกว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เขาเรียกว่าอาการ ต้องรู้ลักษณะ เราจะต้องอ่านให้ออก ไม่ใช่เดา อาการอย่างนี้คือเวทนา อาการอย่างนี้คือสัญญา คือสังขาร คือวิญญาณ จะต่างกันท่านเรียกว่า ลิงค หรือเพศ คือความต่างกัน อย่างเพศหญิงและชาย มีเครื่องหมายต่างกันเรียกว่านิมิต มีความต่างกัน เช่น ขาว กับ ดำ , แรงกับ เบาก็มีอาการลักษณะต่างกัน แม้แต่แรงมาก กับแรงลดลงมา ไม่มากเท่าก็มีช่วงต่างกัน เราก็รู้อาการที่มาก กับไม่มากเท่า ช่วงที่ต่างกันเรียกว่าเพศหรือลิงคะ คือความแตกต่าง ศาสนาพุทธต้องอ่านอาการเหล่านี้ให้ออก

 

เราจึงจะอ่าน กิเลส กับ จิต ออกจากกันได้ อกุศลจิตเราก็จับได้ จิตตัวปัญญาจะเข้าไปรู้อกุศลจิต ตัวปัญญาคือกุศล ส่วนกิเลสคืออกุศลจิต ถ้าเรารู้ความต่างของกุศล อกุศลนี้ไม่ได้ เราก็แยกจิตกิเลสอกุศล กับจิตสะอาดไม่ใช่อกุศลไม่ออก แยกไม่ได้ เราจะไปกำหนดว่าอันนี้คือปัญญา อันนี้คือกุศล อันนี้คือจิตสะอาด อันนี้จิตไม่สะอาดไม่ดี เป็นอกุศลโดยเฉพาะคือกิเลส ต้องแยกให้ออก ถ้าแยกไม่ออกปฏิบัติธรรมไม่ได้

 

ศาสนาที่มิจฉาทิฏฐิ ไปเรียนนั่งหลับตาดับสะกดจิตจะแยกไม่ออก จะไม่รู้จัก อาการ ลิงค นิมิต อุเทส แม้แต่คำอธิบายก็จะไม่มีใครอธิบายให้ฟัง อาจารย์ก็อธิบายไม่ได้ แต่พระพุทธเจ้าท่านอธิบายแยกแยะไว้ละเอียดมาก แยกรูป แยกนามอย่างชัดเจนมาก อาตมาจะเอาจากมหานิทานสูตรมาอธิบายในงานนี้ พระพุทธเจ้าแยกไว้ชัดมากคมมาก

 

ความรัก เป็นอาการจิต ที่เราแสดงออกมา เราจะนิยามกำหนดความหมายของความรักว่าอะไร? ความรักคือการเกี่ยวข้องสัมพันธ์แล้วดูดดึงเอามาเป็นเราเป็นของเรา นี่คือความรักของคนอวิชชา คนทั่วไป ถ้ารักอะไรแล้วก็อยากได้มาเป็นเราเป็นของเรา

 

เมื่อเราสัมพันธ์กับอะไร เช่นกับก้อนดินก้อนหินสัมผัสแล้วก็อยากได้มาเป็นเราเป็นของเรา คือความรักของคนอวิชชาหรือคนโง่ มันเป็นความเห็นแก่ตัว เป็นความรักที่เลว ยิ่งแคบที่สุดเลย รักแบบของเราใครอย่าแตะ เราจะต้องสงวนเป็นของเราคนเดียว และไม่รักคนอื่นแล้ว นอกจากยึดเป็นเราเป็นของเรา และก็ยังหวงแหนไม่ให้คนอื่นมาแตะต้องเลย แม้จะเป็นประโยชน์กับใครก็ไม่ให้ นี่คือความเห็นแก่ตัวอย่างจัดจ้านมาก

 

ความรักมิติที่ 1 เป็นเมถุน คือเห็นแก่คนๆเดียวที่เรารัก จะช่วยเหลือเกื้อกูลก็เห็นแก่คนเดียว จนเกือบจะไม่เห็นแก่คนอื่นเลย เป็นความรักที่เลวที่สุด แคบที่สุด ศาสนาไหนก็ตรงกัน ถ้าเผื่อแผ่เกื้อกว้างออกไปได้อีก

ความรักมิติที่ 2 เห็นแก่ลูก ก็ยังไม่กว้างนัก

มิติที่ 3 ไปสู่ปู่ย่าตายยาย ญาติกันก็ยังกว้างดีขึ้นตามลำดับ แต่ก็ยังแคบ

มิติที่ 4 ไปถึงมิตรสหายคนอื่นที่ไม่ใช่ญาติ เป็นสังคมนิยม ก็ดีขึ้นอีก จากมิตรสหายถึงสังคม ชุมชนก็ดีขึ้นอีก

มิติที่ 5  เป็นชาตินิยม รัฐนิยม

มิติที่ 6 สากลนิยม(จักรวาลนิยม) ก็รักเผื่อแผ่กว้างไปทั่วโลก

มิติที่ 7 เทวนิยม (ปรมาตมันนิยม) รักทั่วจักรวาลเลยเป็นความรักของพระเจ้า

 

ศาสนาพุทธรู้จักจิต รู้จักอัตตาความเห็นแก่ตัว ตั้งแต่แคบๆ อาการจิตที่หวงแหน อยู่แคบๆ ศาสนาพุทธอ่านอาการเหล่านี้ในใจออก ศาสนาพุทธแตกต่างจากศาสนาอื่นตรงนี้ ตรงที่อ่าน จิต เจตสิกแล้วขยายเป็น รูป-นิพพาน เป็นพยัญชนะบ่งบอกอาการ ผู้ที่มีสัญญากำหนดรู้ รู้จิต รู้เจตสิกต่างๆเจตสิก 52 แบบ จิต 89 แบบ ศาสนาพุทธอ่านอาการเหล่านี้ออก มีญาณอ่านรู้อาการจิต ที่เป็นนามธรรม มีสัญญากำหนดแตะกระทบ แล้วอ่านอาการรู้ไม่ใช่เดาเอา ไม่ใช่ตรรกะ แต่อ่านอาการของจริงออกเลย นี่คือปรมัตถสัจจะ ปรมัตถธรรม เป็นสภาวะของศาสนาพุทธ แล้วมีทฤษฎีสอนให้รู้ด้วย วิจัยเหตุที่เป็นตัวการกิเลส เลือกเฟ้นแยกอกุศลได้ แล้วกำจัดตรงนี้ไม่ใช่ดับจิตไปหมดเลยมั่วๆปนเปดับไปทั้งอันเลยไม่ใช่ นี่เป็นนัยสำคัญ เป็นประเด็นหลักของศาสนาพุทธ มีวิธีปฏิบัติเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายเลย มีวิธีศึกษาของเขตว่าไปสัมผัสทางทวาร 5 กับอะไรแล้วเกิดอาการ

 

 

กระทบสัมผัสแล้วเรามีสัตว์ เราจะไปฆ่าเขาทำลายเขา แต่เรามีศีลนะเราจะทำไม่ได้เราก็กำจัดอาการจิตอกุศลเรา โทสะของเรา เรากระทบสิ่งของคนอื่นแล้วเราอยากได้เราก็ต้องกำจัดกิเลสตรงนี้ เรื่องคู่ครองหญิงชาย พระพุทธเจ้าก็อนุโลมให้มีคู่เดียว แต่ไม่ใช่ว่าเห็นแก่คู่ตนอย่างเดียวต้องเผื่อแผ่คนอื่นด้วย เรื่องเพศ เรื่องคู่ก็ตามท่านบอกว่าคนเดียวก็พอแล้ว ก็เฉลี่ยคนอื่นบ้าง อย่าไปรักแบบไม่ให้เผื่อแผ่ใครเลย เบื้องต้นท่านให้คู่เดียว แต่กระทบคนอื่นแล้วเรามีอาการจิตที่รักแบบกาม ไม่ใช่ความรักแบบเผื่อแผ่ แต่เป็นความรักราคะที่อยากได้มาเป็นคู่เสพสุข เราต้องอ่านออก แล้วเราก็ต้องฆ่ากิเลสตัวนี้ หรือข้อ 4 เราจะพูดออกไปนี่โกหกนะ เราต้องอ่านอาการจิตที่มันปรุงเป็นวจีสังขารในจิต เรารู้เลยว่าจิตเราจะโกหกเราต้องกำจัดจิตตัวนี้ ข้อ 5 เราไปติดอบายมุขอะไร อยู่ในโทรศัพท์ในคอมพิวเตอร์เป็นอบายมุขมากมาย เราต้องรู้ว่าเป็นเรื่องเหลงไหลเลวร้าย แม้แต่ศีล 5 เราตัดกิเลสได้รับรองสังคมไหนก็เจริญเป็นสุข ถ้ายิ่งสูงขึ้นเป็นสกิทาฯ อนาคาฯก็ยิ่งเจริญมากอีก

 

ความรักมิติที่ 1 – 7 นี่ พุทธรู้และละมาได้ จะมีความรักที่เผื่อแผ่กว้างขึ้น แต่ศาสนาเทวนิยมเขาก็พยายามเผื่อแผ่ แต่เขาไม่เรียนรู้ความเห็นแก่ตัว อาการจิตเห็นแก่ตัวselfishness แต่ของพุทธให้ปฏิบัติจนเกิดญาณปัญญาอ่านอาการเห็นแก่ตัวออก เห็นว่าอาการลดลง ศาสนาพุทธรู้จัก รู้แจ้งรู้จริงอาการกิเลสนี้ นี่คือความแตกต่างของพุทธที่รู้ปรมัตถสัจจะ มีทฤษฎีโพธิปักขิยธรรม 37 แยกแยะกายในกาย ในสติปัฏฐาน 4 กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นโลกุตรธรรม 4 อย่างแรกเลย

 

 

ขันธ์ 5 ท่านเรียกว่าองค์ประชุม แต่ธาตุนี่เป็นตัวเอง ธาตุดินก็เป็นดินของมันเอง ธาตุเวทนาก็เป็นเวทนาเองไม่ประชุมกับใคร แม้แต่รู้ใน จิต เจตสิก รูป นิพพาน จิตตัวไหนถูกรู้จิตตัวนั้นเป็นรูป ตัวที่ไปรู้นี่คือนาม ชัดเจนหมด มีในศาสนาพุทธ ศาสนาอื่นไม่มีรายละเอียด ศาสนาพุทธมีครบ จนฆ่ากิเลสได้หมดเป็นอรหันต์หมดเห็นแก่ตัว กิเลสตายสนิทตายสูญ เที่ยงแท้ถาวร ตายแล้วตายเลย ไม่มีใครมาเปลี่ยนแปลงความตายนี้ได้ตายไม่กลับฟื้นเลย

 

การสร้างความรักมิติที่ 8 ก็เรียนรู้ปฏิบัติมาตั้งแต่มิติที่ 1 – 7 มาถึงมิติที่ 8 ก็ปฏิบัติให้ถึงนิพพาน เป็นมิติที่ 9 เป็นอรหันตนิยม ส่วนมิติที่ 10 เป็นโพธิสัตวภูมิของพระพุทธเจ้า

 

หลวงปู่ให้พวกเราเรียนความรัก 10 มิติ

.1 เรียนมิติที่ 1 และ 2

.2 เรียนมิติที่ 3 และ 4

.3 เรียนมิติที่ 5 และ 6

.4 เรียนมิติที่ 7 และ 8

.5 เรียนมิติที่ 9 และ 10

.6 เรียนรวบทุกมิติ

 

ครูที่สอนความรัก 10 มิตินี้ก็คงจะยากหลวงปู่ก็เลยมาสอนเอง ถ้าเรียนรู้ความรัก 10มิตินี้ได้ ถ้าเข้าใจ ทำได้จริงชัดๆ รับรองปฏิบัติได้ปร๋อเลย เพราะเกี่ยวกับความรักที่วิเศษ ความรักมิติที่ต่ำๆก็แคบเห็นแก่ตัวจัดเลย ท่านเลยบอกว่า ความรักแบบนี้เป็นทุกข์ แต่ไปถูกหลอกว่าเป็นสุข  เด็กๆนี่ไปมีแฟนบอกว่ามีความสุข มันไม่ง่ายที่จะเห็นทุกข์ เพราะมันมีสัญชาติญาณที่จะสืบต่อเผ่าพันธุ์กัน แต่ศาสนาพุทธเรียนรู้ที่จะลดอาการเหล่านี้จะไม่ต้องสืบพันธ์ คนเลยหาว่าหลวงปู่มาสอนไม่ให้มีคู่ไม่ให้แต่งงาน สืบพันธ์นี่ แล้วจะเป็นประโยชน์แก่โลก จะสบาย แต่คนไม่เชื่อง่ายๆ แต่จริงที่สุดสบายที่สุด เป็นประโยชน์ต่อโลกด้วย ไม่ต้องเสียเวลาไปเทียวไล้เทียวขื่อ เสียเวลา แรงงานทุนรอน เมื่อไม่ทำเราก็ได้สิ่งเหล่านี้กลับมา ขนาดเมืองจีนคุมกำเนิดให้มีลูกได้คนเดียวนะ ทั่วโลกมีประชากรกว่า เจ็ดพันล้านคนแล้ว คนที่มาว่าอาตมาว่าสอนแบบนี้คนก็สูญพันธ์หมดสิ อาตมาก็เลยตอบว่า คุณอย่าไปห่วงเลยเพราะไม่ง่ายคนจะมาหยุดเรื่องนี้หยุดความสืบพันธ์ได้นี่มันเป็นสิ่งเหนือสามัญกว่าสัตว์ทั้งหลาย มันไม่ง่าย ก็ลองเอาคุณนี่แหละมาปฏิบัติให้ได้ก่อนเลย เพราะมันเป็นสิ่งเหนือสามัญพาพ้นทุกข์ได้จริง

 

ศาสนาอื่นก็พอรู้ อย่างศาสนาเชน ก็รู้ว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ดีก็หนีสิ่งเหล่านี้ กดข่มลืมทิ้งเขาก็ทำได้ ไม่สืบพันธ์ได้เขาก็ถือว่าเขาเป็นคนวิเศษนับถือกันว่ามีคุณวิเศษ เป็นอุตริมนุสธรรม แต่ของพุทธทำได้ยิ่งกว่าคือรู้จักเหตุ กิเลส ทำให้จางคลายได้ ดับได้ไม่ถาวรก็รู้ จนมันดับไม่เหลือไม่เกิดเลย และศาสนาฤาษีที่เขาเลิกกามคือวิธีหนีโลก เขาได้นะเขาไม่สืบพันธ์ก็ไม่มีภาระไม่ทุกข์เบาง่าย แต่ไม่มีประโยชน์ต่อโลก เขาทนต่อเหตุปัจจัยที่มากระทบไม่ได้ ไม่มี นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) อรหันต์ได้คุณวิเศษนี้ทุกองค์ และฤาษีก็กดข่มได้จนชั่วชีวิตเลย แต่ไม่ได้รู้แจ้งเห็นจริงเหมือนของพุทธ

 

ทำไมหลวงปู่ยืนยันก็เพราะหลวงปู่มีสิ่งเหล่านี้  ประชากร โลกตอนนี้มี 7200 ล้านคน และคาดว่า ปีคศ.2050 จะเพ่ิมอีก 2000 ล้านคน  ชาวพุทธนั้น เป็นพวกที่หมอดูดูไม่แม่น เพราะเป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงได้ แต่พระพุทธเจ้านี่ทายแม่นกว่าเพราะศาสนาพุทธมีสถิติที่รู้ถึงเหตุคือตัวจิต จึงคำนวณได้แม่นกว่า และทำให้สถิติหมอดูเพี้ยนไปได้เลย

 

ถ้าเข้าใจความรักแบบพุทธ จะเป็นความรักเกื้อกว้าง รักสิ่งแวดล้อม ดิน น้ำ ไฟ ลม จะรู้ความพอดีที่จะอยู่ได้ แล้วจะช่วยได้รู้ว่าอะไรสำคัญ เป็นต้นว่า คน กับช้าง เราจะช่วยคนก่อน คนกับช้างกำลังต่อสู้กัน ถ้าให้ดีเราจะช่วยทั้งสองอย่างเราจะช่วยคนกับช้างไม่ให้ฆ่ากัน แต่ถ้าจำเป็นเราก็เข้าใจว่าคนสำคัญกว่า ยิ่งคนมีประโยชน์ต่อโลกด้วยก็ยิ่งต้องช่วยคน จะมีสัปปุริสธรรม 7 รู้หมู่กลุ่ม แม้ระดับประเทศ ระดับโลก จะรู้ว่าจะช่วยได้พอเหมาะอย่างไร อะไรสำคัญควรปฏิวัติ ปฏิรูป ก่อน พุทธรู้ดี และรู้ว่าอะไรสำคัญหลักหรือรอง เพราะศาสนาพุทธรู้จักโลก มีโลกวิทู รู้จริงๆและมีโลกุตรจิต รู้องค์ประกอบ ใช้โลกธรรม เป็นอุปกรณ์การทำงานได้ แต่ศาสนาพุทธไม่ต้องใช้ โลกธรรม หรือกาม อัตตา โดยตนเองจะต้องเอาไปใช้เองแต่จะจัดสรรให้สังคมได้ใช้อย่างทั่วถึง ตนเองจะไม่ต้องไปรับมาเลย ไม่แย่งกับโลกเลย เอามาเสพ เอามาบำเรออัตตาก็ไม่เอา ทำฟรี ช่วยโลกโดยไม่ต้องไปเอาโลกธรรม กาม อัตตา เลย นี่คืออาริยบุคคลของพุทธ เรียกว่ามี  โลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก) เป็นคุณสมบัติแท้ๆ จิตถึงอรหันต์แล้วเป็นเช่นนี้ทุกองค์ แต่จะมีความสามารถช่วยได้ต่างกันไป แต่เหนือโลกได้ทุกคน มีโลกุตรจิต เหนือโลกธรรม กาม อัตตาได้เหมือนกันทุกองค์ และหน่วยโลกุตระจิต ก็มีสองอย่างคือเจโตกับปัญญา ท่านก็มีเหมือนกันหมดเลย ในเจโต เช่นพระพุทธเจ้าท่านว่าพระมหากัสสะกับเราก็เหมือนกันเลย เท่าเทียมกับเราคือจิตเจโตหมดกิเลสเหมือนกัน แต่ท่านโลกวิทู ไม่เท่า โลกานุกัมปาก็ได้น้อยกว่าพระพุทธเจ้า

 

คนมีอาริยธรรมไปตามลำดับ ถ้ามีจริงจะมีประโยชน์ต่อโลกตนเองก็ทุกข์น้อย ภาระน้อย นี่คือการสร้างคนให้ชาติให้โลก ทีนี้ก็ขอพูดอธิบายว่า ศาสนาสอนให้เป็นคุณค่าเช่นนี้ทุกศาสนาแต่ไม่เหมือนกันที่บางศาสนาสอนให้สุดโต่งเข้าป่าเข้าถ้ำ แบบนี้เห็นแก่ตัวไม่มีคุณค่าต่อโลก คนส่วนใหญ่ก็ไม่เอา แต่ว่าก็มีคนเห็นว่าเป็นคุณวิเศษ เหนือคนอื่น ก็ไปนับถือกัน ซึ่งศาสนาแบบนี้ไม่ใช่พุทธ เพราะพุทธต้องเป็น พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

 

ความรู้ของคนทั่วไปทางโลก อย่างฤาษีนี่เขาก็ว่าไม่เกิดประโยชน์คุณค่าและไม่สมบูรณ์ด้วย จึงเอามาสอดคล้องกับทางโลกว่าไม่เห็นแก่ตัว ศาสนาใหญ่ๆเขาก็พยายามทำนะ แต่พุทธนี่ยากเพราะ

1.   คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.   ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.   ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.   สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) .

5.   ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.   อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7. นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.   ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

 

จิตที่บรรลุธรรม จะมีคุณสมบัติ แววไว มีประโยชน์ต่อโลกต่อสังคม แบบสอดคล้องกับความเห็นความต้องการของโลกด้วย เพราะคนก็ต้องการคนไม่เห็นแก่ตัว แต่ว่ามันยากนะ ถ้าไม่มีการสืบต่อมาจากสัตบุรุษ ศาสนาพุทธรู้เองไม่ได้ ต้องรับมาจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆมา แล้วท่านก็ถ่ายทอดสู่คนอื่น จะมารู้เองโดยไม่ได้เรียนจากพระพุทธเจ้าไม่ได้เลย ศาสนาพุทธรู้เองไม่ได้ หลวงปู่มาฟื้นฟูศาสนาพุทธ เพราะมันเสื่อมไปมาก อัตราก้าวหน้าของมิจฉาทิฏฐินี้สูงระดับยกกำลัง แต่อัตราก้าวหน้าโลกุตระเป็นระดับ บวก

 

ต่อไปเป็นการตอบคำถาม?

_เมื่อคืนลมแรงมาก ผมนอนแล้วก็มุ้งเปิด ยุงก็กัด ผีก็กลัว แล้วศาลีฯนี่ก็เป็นป่าช้ามาก่อนผัสสะเต็มเลย ก็เลยถามว่าทำอย่างไรจึงจะสู้กับผัสสะได้

ตอบ...เพราะผู้ที่มีผัสสะเป็นปัจจัยแล้วเรียนรู้เหตุที่เกิดความกลัว ความรัก ความโกรธ ความเห็นแก่ตัวนี่แหละ พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ที่เราเกิดอาการเพราะไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่สัมมาปฏิบัติ แล้วถ้าทำได้จะเห็นความจริง จะตามเห็นความไม่เที่ยงของกิเลสมันไม่คงที่หรอก เห็นความไม่เที่ยงเป็นอนิจจานุปัสสะ มันมีอาการ ลิงค นิมิต อุเทส ตามเห็นแล้วจะเห็นความจางคลายของกิเลส เป็นวิราคานุปัสสะ อย่างเปิดทวารทั้ง 6 ไม่ใช่ไม่รู้หรือดับ แต่พุทธทำอย่างมีแสงสว่างแจ้งอาโลกา รู้ว่าจิตสว่างมีปัญญา เห็นชัดแจ้ง มี จักขุ ปัญญา วิชชาแสงสว่าง ศาสนาพุทธรู้จริงแล้วทำทวน จนมันเที่ยงแท้สมบูรณ์ถาวร จะเริ่มตรงไหนก็เริ่มตรงศีล ข้อไหนที่เราทำ แล้วเห็นกิเลส ลดกิเลส จนดับกิเลสได้เราจะหายกลัวหายรักหายโกรธได้จริง

 

_ทำไมคนเราถึงต้องมีกิเลสด้วย แล้วกิเลสราคะหมดได้เมื่อไหร่ แล้วกี่ชาติจะหมด

ตอบ...ทำอย่างไรก็ตอบไปแล้ว ทำไมคนเรามีกิเลสเพราะอวิชชา โง่ ไม่รู้วิชชาของพระพุทธเจ้า คนเราเกิดมามีกิเลสติดมาทั้งนั้น มาจากสัตว์เซลล์เดียวก็มีอวิชชามาเรื่อยๆ จนมาพบศาสนาพุทธจึงล้างอวิชชาได้ ต้องพัฒนาตนจนเป็นเวไนยสัตว์ แล้วทำโพธิปักขิยธรรม 37 จึงหลุดพ้นได้ จะกี่ชาติจะกิเลสหมด ก็แล้วแต่ภูมิปัญญา ความหมั่นเพียร

 

_ถ้าเราไม่มีความรักมิติที่ 1 แล้วจะมีความรักมิติอื่นไหม

ตอบ...ไม่มีเพราะความรักมิติที่ 1 นั้นแคบ ต้องทำการสลายความแคบจึงมีความรักที่สูงขึ้น ความรักคนคู่นั้นมันลึก แต่จริงๆแล้วคนเราก็ไม่ใช่ว่าเห็นแก่คู่ตนอย่างเดียว ก็จะเห็นแก่คนอื่นด้วย ก็ต้องประมาณเอง เราจะเห็นแก่รักคู่ตนและเห็นแก่ส่วนรวมก็ประมาณเอา แต่ถ้าเห็นแก่คู่ตนอย่างเดียวจนไม่ช่วยส่วนรวมนี่ก็แคบมากเป็นรักมิติ 1 แน่ ต้องทำให้ได้ก่อน

 

_ทำไมคนเราต้องมีความรัก แล้วรักเพื่ออะไร

ตอบ...ก็เพื่อเห็นแก่ตัว ทำไมต้องมีก็เพราะโง่ อวิชชา

 

 _ผมอยากรู้ว่า การส่งกระแสจิตข้ามประเทศแบบรู้เรื่องกันเลยได้ไหม?

ตอบ...ไม่ได้หรอกถ้าได้คอมพิวเตอร์ขายไม่ออก และมันยากมาก อย่าไปทำเลย ไม่ต้องไปสนใจ เพราะถึงเก่งส่งได้มันก็ไม่ได้อะไรมาก มันยาก และไม่เที่ยงด้วย ไม่มีหลักคำนวณกำกับเลย ไม่เหมือนวัตถุที่มีตัวควบคุมนะ เปลี่ยนยาก แต่จิตนี่เปลี่ยนแปลงง่ายกว่ามาก ถ้าอยากจะได้ความสามารถแบบนี้ ก็ให้ล้างกิเลสหมดก่อนแล้วทำฤทธิ์แบบนั้นจะได้นาน

 

_ธงสีน้ำตาลแล้วมีวงกลมตรงกลางหมายถึงอะไร
ตอบ
..สีน้ำตาลหมายถึงแผ่นดิน เป็นสีย้อมน้ำฝาด สีกรัก วงกลมหมายถึงสุญญตา

 

_ทำไมคนเราต้องมีทุกข์ ทำอย่างไรหมดทุกข์ได้

ตอบ..เพราะไม่เรียนรู้ทุกข์อย่างสัมมาทิฏฐิแล้วล้างเหตุแห่งทุกข์

 

_ทำไมเพื่อนหนูไม่ยอมฟังเหตุผลของหนูเลย หนูอยากแสดงความคิดเห็นของหนูบ้าง

ตอบ...ก็ต้องปฏิบัติตนให้น่าเชื่อถือ ก็อย่าไปอยากได้เลยว่าคนจะมาเชื่อถือเรา เราก็พัฒนาตนเองไปจนดีคนก็จะเชื่อเอง หลวงปู่นี่ไม่ได้อยากได้ให้เขาฟังเรานะ แต่ว่าได้ก็ดี เราไม่ต้องอยากให้ใครมาฟังเหตุผลเรา เราทำของเราให้ดีจนเขายอมรับนับถือจะมาฟังเองถ้าได้อย่างนี้เป็นของจริง

 

_ผีคือจิตวิญญาณในตน ไม่มีที่ออกมาเพ่นพ่านหลอกคน จิตคนตายไปก็ไปรับวิบากในนรก ผีต้องตกนรก เหมือนติดคุกออกมาไม่ได้ คนติดคุกความผิดเบาๆยังออกมาไม่ได้เลย แล้วผีที่ตกนรกใครจะให้ออกมา เทวดาก็ออกมาไม่ได้เพราะเสพสุขเป็นภพในตน คนที่เห็นผีนอกตัวได้นี่โง่จัด อัตตาจัด หลงจัดเลย

 

_อธิศีลคืออะไร?

ตอบ...ผู้ที่ตั้งศีลไว้แล้วทำได้ เช่นศีลข้อ 1 เราทำได้แล้วมีจิตเมตตาก็เลื่อนสูงขึ้นเป็น ไม่กินเนื้อสัตว์ หรือศีล 5 เรื่องเพศเราก็ทำได้คู่เดียวแล้วก็เพิ่มอธิศีลเป็นศีล 8

 

_ถ้าผมจะทำอะไรลงไปแล้วไม่คิด จะผิดหัวข้อธรรมใด

ตอบ...หัวข้อประมาท ทำไปโดยไม่ระมัดระวัง กาย วาจา ใจ ก็อยู่ในข้อประมาท ต้องฝึกตน กายกรรม วจีกรรม แม้แต่คิดก็รู้ก่อน รู้วจีสังขาร

 

_อัตตาแปลว่ากิเลสตนเห็นแก่ตัว ปฏิบัติลดอัตตาต้องเริ่มที่ปฏิบัติศีล แล้วลดกิเลสไปตามลำดับ

 

_ทำอย่างไรถึงให้ความรักเที่ยงแท้ยาวนา

ตอบ...มีแต่จะล้างออก หลวงปู่สอนโลกุตระ ไม่ได้อย่างทางโลกโลกีย์

 

_เครื่องชี้วัดความก้าวหน้าของโลกุตระคือ ชาวพุทธปฏิบัติแล้วบรรลุมรรคผล นี่คือความก้าวหน้า

 

_คนไม่รู้ว่าทำไมต้องทำดีนี้โง่มากๆ เพราะคนเราหากไม่ทำดีก็ต้องไปทำชั่วใช่ไหม? คนเราก็ต้องทำดีสิ

 

_หนูอยากทำดี แต่บางเรื่องหนูทำผิดพลาดใหญ่ แต่ว่าสมณะก็ไปบอกคนอื่น ทำให้หนูไม่อยากทำดีแล้วอยากออกไปทำดีข้างนอกแล้ว คิดถูกไหม

ตอบ..การที่เราทำผิดแล้วคนอื่นบอกแทนนี่ก็ดีแล้ว เราไม่ต้องบอกเอง แต่ถ้าแน่จริงต้องตนบอกเอง เพราะคนที่บอกความไม่ดีเราโดยอยากให้เราปรับปรุงคือผู้หวังดีต่อเรา อยู่ในวงการนี้ชาวอโศกจะไม่มีความคิดชั่วที่จะไปบอกความผิดเพื่อให้ถล่มทลายกัน ใครทำคนนั้นชั่ว ในหมู่ของชาวอโศกคือสังคมมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี

 

_หลวงปู่เล่นกับเพศเดียวกันแล้วรู้สึกหวั่นไหวไหมคะ (เคยไหมคะ) เพราะที่นี่เป็นที่ๆเด็กๆมากินมานอนร่วมกัน ถ้ามีอย่างนั้นคนๆนั้นจะต้องดูตัวเองอย่างไร?

ตอบ...เล่นกับเพศเดียวกันเล่นๆหัวๆก็ไม่รู้สึกหวั่นไหวอะไร แต่ไม่คิดไปเล่นในแง่ไม่ดีไม่เคยทำ เพราะเป็นสิ่งที่ชั่ว ถ้ามีอาการต้องบอกคนอื่นให้รู้ ถ้าเป็นมากต้องให้รพ.รักษา ถ้าเป็นแท้เลย เพศกระเทย จิตวิตถารนี่ที่นี่ไม่อบรมนะ เพราะจะทำให้มารวนกัน เนื่องจากที่นี่เป็นที่คนมากินมานอนร่วมกันอยู่

 

_ถ้าเกิดเหตุการณ์รัฐบาลทุจริตคอรัปชั่นอย่างรัฐบาลที่แล้วจะไปชุมนุมอีกไหม?

ตอบ...ถ้าเหมาะสมก็ไป ไม่เหมาะสมก็ไม่ไป ตอบตายตัวไม่ได้


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:48:37 )

580227

รายละเอียด

580227-ธรรมาธรรมะสงคราม ศาลีฯ สัจจะตามกาลเวลาพิสูจน์สังคมพุทธบริษัทแท้

พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ ที่ 27 ก.พ. 2558 ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 4 ปีมะเมีย อีก 5 วันก็มาฆบูชา ในงานมาฆบูชา ทุกปี ของเราก็จะอยู่ในงานพุทธาภิเษกฯ เราถือว่าวันมาฆฯ เป็นวันหลักของงาน ปีนี้ตรงกับวันพุธ และงานจะเริ่มวันที่ 1 งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 39

 

ชาวอโศกตั้งแต่อาตมาบวช อาตมาก็เทศน์ธรรมะของพระพุทธเจ้าอย่างเดียว พวกเราก็ฟังกัน ฟังแล้วก็เข้าใจ จนติดตามมาออกมาอยู่ด้วยเลย อาตมาบวชใหม่ๆอายุ 36 ปี คนที่บอกว่าจะมาอยู่ด้วย ก็เป็นผู้หญิง อายุ 20 กว่า มีการงานทำอยู่ธนาคาร แล้วมาบอกว่าจะลาออกมาอยู่ปฏิบัติธรรมกับอาตมา  ที่วัดอโศการาม อาตมาก็จำนน เขาก็ไปปลูกกุฏิอยู่เลย ในย่านของผู้หญิงอยู่ ก็เริ่มมีอาการที่มีคนสละ โลกธรรม กาม มาอยู่ด้วย เป็นลักษณะโลกุตระ ไม่เอาโลกีย์ ลักษณะทิ้งโลกีย์มีสองลัทธิ คือแบบฤาษีกับแบบพุทธ ของฤาษีนี้หนีไปจากโลกีย์เลย แต่พุทธนี้ไม่หนี แต่อยู่กับโลกธรรม ลาภ ยศสรรเสริญ โลกียสุข แล้วช่วยเขาด้วย จัดสรรให้เขาอยู่อย่างดีด้วย มีลาภโดยธรรม (ลาภธรรมกิกา ) แล้วแจกจ่ายเจือจานไม่สะสม เป็นคนมักน้อยสันโดษ ตามกถาวัตถุ 10 คืออัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ อสังสัคคะ วิริยารัมภะ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสนะ คือไม่ว่าจะพูดจะทำอย่างไรก็อยู่ในหลัก 10 ประการนี้

 

ลัทธิที่กำลังดังนี้ เขาดังเพราะถูกด่า เป็นพวกลัทธิมักมาก มักใหญ่ แต่ของพุทธนี้จะมักน้อย ไม่เอามาก น้อยก็พอ เป็นความจริงของคนจริง แต่ทุกวันนี้เขาเข้าใจผิดว่ามักน้อยต้องออกป่าเขาถ้ำ ซึ่งเขาก็มักน้อยจริง แต่กดข่ม แต่ของพระพุทธเจ้านี้ไม่ได้กดข่ม ปฏิบัติตามศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสนะ ความมักน้อยนี้เป็นเครื่องชี้บ่งชัดเจน ว่าอยู่กับสังคม เป็นคนมีน้อย อาศัยน้อย อาศัยพออยู่พอกิน ตามหลักที่ในหลวงท่านตรัส เศรษฐกิจพอเพียง แบบคนจน เป็นพระปัญญาธิคุณยืนยันโลกุตรธรรม เป็นคนเจริญ เป็นอาริยบุคคลแท้ เป็นเนื้อแท้ปรมัตถสัจจะ อันเจริญวิเศษ ของศาสนาพุทธ ซึ่งยากที่คนจะเข้าใจ เป็น

1.     คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.    ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.     ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.     สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) .

5.     ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.     อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.     นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.     ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)  

 

ความสันโดษนี่ คือใจพอ น้อยลงก็ให้พอ ไม่ใช่ว่า พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ เพราะหากไปถามเศรษฐีใหญ่ มหาเศรษฐี เขาก็ว่าเขาพอใจในทรัพย์สินหมื่นล้าน แสนล้านของเขา เขาก็สบายพอใจ เขาสะสมไม่สะพัดออก ซึ่งไม่ใช่เศรษฐกิจบุญนิยม แบบพระพุทธเจ้าหรือแบบในหลวง ที่ว่าให้เอาแบบคนจน เราไม่เอารวยแบบก้าวหน้าอย่างเขา ที่จะยิ่งถอยหลังอย่างน่ากลัว คนเข้าใจยาก

 

ปวิเวกะ จิตสงบ ไม่ใช่สงบแบบฤาษีมักน้อยแล้วหนีทิ้งไม่เอาโลกีย์ เขาก็อยู่เงียบหยุดๆ แต่ของพระพุทธเจ้าลึกซึ่งที่กิเลสไม่มีบทบาท แต่มีกายสังขารรัง จิตสังขารัง คือกายและจิตปรุงแต่งเป็นปกติ แต่ปรุงแต่งอย่างอภิสังขาร มีกายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก

 

ในงานนี้ตั้งชื่อ หัวข้อเทศน์ว่า พุทธทุกวันนี้ไม่เข้าใจกาย จึงไม่มีนิพพาน จะเอามหานิทานสูตรมาใช้ประกอบการบรรยาย

 

เพราะสงบจากกิเลส กายสังขาร จิตสังขารจึงมีประสิทธิภาพแคล่วคล่อง เป็นกายปาคุญญตา พระพุทธเจ้าตรัสว่า กายนี้คือ จิตคือมโนคือวิญญาณ คนไม่มีสภาวะจะเข้าใจยาก ว่ากายคือจิตอย่างไร สรุปว่าเรื่องปวิเวก นั้นของพุทธสงบรำงับ แม้อยู่กับโลกียะ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ก็สงบจากกิเลส แล้วอยู่ช่วยทำงานให้บ้านเมือง ผู้เป็นอาริยบุคคลจะเป็นผู้บริหารที่ดี ไม่ไปล่าเอาโลกีย์ ไม่ไปเป็นกุฏุมพี แต่ว่าเป็นผู้ช่วยเหลือชาติได้อย่างแท้จริง

 

ตอนนี้กระแสหลักของศาสนาพุทธก็กำลังโดนบ้อม เพราะทำตนเอง จึงยาก ตอนนี้ปฏิรูปทั้งการศาสนาและการเมือง ก็ดีแล้ว ทางคสช.ที่จะปฏิรูปทางศาสนามีคุณไพบูลย์ นิติตะวัน พาทำงานก็อาตมาให้กำลังใจ ให้ทำเต็มที่เลย พวกนั้นก็มาว่าจะให้ปิดคณะนี้ไม่ให้มายุ่งกับศาสนา นี่ไม่แน่จริงนะ ขี้กลัว นี่ จะให้ตรวจสอบไม่ได้ ถูกติไม่ได้ทำไม? คุณแน่จริงต้องให้ตรวจสอบได้ตำหนิได้สิ สิ่งนี้มันกำลังเป็นสิ่งเจริญตามยุคสมัย เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ

 

อสังสัคคะ ท่านก็ไปแปลว่าไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ อาตมาก็ว่าไม่ใช่ เพราะแปลเช่นนี้คือลัทธิเข้าป่า เพราะพุทธกระแสหลักเกือบทั้งนั้นคือหนีเข้าป่า มันเพี้ยนไปแล้ว พระพุทธเจ้ามากู้กลับ จนตรัสไว้ในอัมพัฏฐสูตร ว่า

1.ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ

2.ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า  หาขุดเหง้าไม้    หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า

3. สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์

4. สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่  (อัมพัฏฐสูตร  เล่ม 9  ข้อ 163) 

 

ซึ่งผิดไปหมดเลย พระพุทธเจ้าไม่สอนให้อยู่แต่เดี่ยวเดียว แต่ที่จริงคำว่าไม่มีเพื่อนสองคือจิตเป็นปุริสภาวะ เป็นหนึ่งเดียวไม่มีอิตถีภาวะแล้วทำให้เป็นปุริสสอุตตมะให้ได้ ท่านว่า อยู่อย่างไม่มีเพื่อนสองคือ ปราศจาก ราคะ โทสะ โมหะต่างหาก

 

เพราะละตัณหา ปราศจากราคะโดยส่วนเดียว  ปราศจากโทสะโดยส่วนเดียว   ปราศจากโมหะโดยส่วนเดียว   ไม่มีกิเลสโดยส่วนเดียว

   เป็นผู้ไม่ประมาทบำเพ็ญเพียร มีใจแน่วแน่ ตั้งปณิธาน  ละ  บรรเทา  ทำให้สิ้นสุด  ให้ถึงความไม่มีซึ่งตัณหา อันมีข่ายแล่นไปเกาะเกี่ยวในอารมณ์ต่างๆ  ภิกษุผู้มีสติรู้โทษนี้ว่า ตัณหาเป็นแดนเกิดแห่งทุกข์  แล้วพึงเป็นผู้ปราศจากตัณหา ไม่ถือมั่น  เว้นรอบ (นี้เรียกว่าอยู่แต่ผู้เดียว)

พตปฎ. ล.30  ข.595

 

อสังสัคคะ นั้น ที่จริงคือไม่มีสวรรค์ คือหมดสวรรค์ ไม่เกี่ยวข้องไม่คลุกคลีกับสวรรค์ (จิต) แต่อยู่กับสังคมที่มีนรก สวรรค์ในสังคมนี้อยู่อย่างไม่ติดสวรรค์ และก็ช่วยเหลือสังคมด้วย

 

วิริยารัมภะคือขยันล้างกิเลส ขยันตามมรรคองค์ 8 สั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ จนมีลักษณะที่กิเลสตายไปอย่าง  นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

อาตมาพาพวกเราทำแล้วก็จะมาเป็นคนมักน้อยสันโดษ มาเป็นคนจน ก็เริ่มต้นมีคนเห็น มีทิฏฐิ ต่อมาก็รู้ทิศทาง ว่าอ๋อ เป็นอย่างนี้ รู้ทิศทางมีสองนัย นัยมิจฉาทิฏฐิก็หนีเข้าป่าเป็นเทวนิยมเป็นโลกียธรรม แต่ของพุทธไม่หนีโลกีย์ แต่อยู่อย่างเหนือโลกีย์ ช่วยเหลือเขาด้วย

 

นี่ก็บนโต๊ะอาตมานี่มีผลหมากรากไม้ของคนจน นี่หัวหอม หัวบีทรูท นี่มะขามป้อมลูกโต เทียบกับมืออาตมานี่แล้วฉ่ำเลยนะ  แตงโม และอื่นๆอีก ปลูกที่บ้านราชฯ ใช้ปุ๋ยบ้านราชฯ ไร้สารพิษทั้งนั้น พืชทั้งหลายนี่ คนไทยต้องไปซื้อที่ตลาด แล้วไม่ไร้สารพิษด้วย แต่ของเราทำได้ของเรานี่ไร้สารพิษเลยนะ เราไม่ใช้สารเคมีเลย เราใช้ปุ๋ยอินทรีย์ แตงโมไร้สารพิษของศิษย์เก่าฝากกันมา มีงานเราก็ส่งกันมาเป็นธรรมเนียมของชาวอโศก แม้แต่ส่วนตัวก็ยังส่งมาเลยเป็นวัฒนธรรมชาวอโศก ขอให้รักษาให้ดีตลอดไปให้ได้เลย

 

เริ่มต้นมีคนมาอยู่ปฏิบัติด้วย ต่อมาก็มีมากขึ้น มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย จนกระทั่ง ปฏิบัติไป พศ. 2516 อาตมาก็เลยพากันออกมาที่กำแพงแสน แดนอโศก ต.ทุ่งลูกนก มีไม่กี่คนหรอก  ก็เป็นนักปฏิบัติธรรม มีฆราวาสด้วย อาตาให้เป็น ปะ คือผู้ปฏิบัติ เป็นนาค จนขึ้นมาเป็นนักบวช แล้วมีญาติโยมก็มา จนมีคนมาเข้าใจแบบที่อาตมาพาทำ มีนักบวชเพิ่ม มีฆราวาเพิ่ม จนถึงปี 2518 อาตาก็ประกาศนานาสังวาส แยกจากมหาเถรสมาคม ตั้งแต่พศ.2518  ทางคณะกระแสหลักก็รับรู้ชัดแจ้ง จากนั้นอาตมาก็จำเป็นต้องมีสถานที่มีอารามก็เลยมาตั้งที่สันติอโศก ศาลีอโศก และศีรษะอโศก ในปี 2518-2519 ก็กลายเป็นสังคมชุมชน มีทั้งนักบวชและฆราวาส ก็กลายเป็นพุทธบริษัท มีนักบวชชาย นักบวชหญิง ในเมืองไทยเราไม่มีภิกษุณี อาตมาเลยประยุกต์ให้เป็นสิกขมาตุ ถือศีล 10 ไม่ใช้เงินใช้ทองจริงๆ มีสิกขมาตุมาตั้ง 40 กว่าปี มาถึงป่านนี้ ตอนแรกเราเรียกแม่เณรก่อน สิกขมาตุเราศีล 10 ได้จริง แม้อสังหาริมทรัพย์ก็ให้เซ็นออกด้วย สิกขมาตุเรามีชีวิต ปรปฏิพัทา เม ชีวิกา คือฝากชีวิตไว้กับฆราวาส เราปฏิบัติดีกับประชาชนไป ซึ่งทุกวันนี้กระแสหลักเขาเรียกร้องว่าพระไม่มีเงินไม่มีทองอยู่ไม่ได้ แต่ของเราก็ปฏิบัติยืนยัน อกาลิโกตามพระพุทธเจ้า ขอให้มีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบโลกไม่ว่างจากอรหันต์ และโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ ก็มีตามลำดับ แต่ทุกวันนี้คนทั่วไปเขาว่า มีแต่อรหันต์อย่างเดียว ไม่มีลำดับขั้นตอน

 

แต่เราทำได้จนมีสังคมหมู่กลุ่ม จนสันติอโศกเต็ม ไม่มีที่ทางพอ ก็เลยไปสร้างปฐมอโศก ให้เป็นบ้าน และวัด เป็นชุมชนแรก ที่จะให้เป็น บวร ก็เกิดพัฒนาการเป็นสังคมพุทธศาสนา มีอุบาสก อุบาสิกา นักบวชหญิง นักบวชชาย เป็นพุทธบริษัท

 

พุทธบริษัทต่างจากพุทธมามกะ และพุทธศาสนิกชน

 

พุทธศาสนิกชนคือคนถือเป็นพุทธตามทะเบียนบ้านตามๆกันไป แต่ว่าพุทธมามกะ คือผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติพุทธแต่ไม่เข้าสัมมาทิฏฐิ แต่พุทธบริษัทคือปฏิบัติมีสัมมาทิฏฐิจนมีมรรคผลตั้งแต่โสดาปัตติมรรคเป็นต้นไป เราก็มาทำ จนเกิดเป็นชุมชนปฐมอโศกเป็นชุมชนแรก ต่อมาก็เป็น สันติอโศก ศาลีอโศก ศีรษะอโศกที่ปรับมาเป็นชุมชนพุทธบริษัท 4 ตามกันมา เป็นพุทธที่เข้ากระแสได้สาระสัจจะ ของพุทธแท้ๆ เป็นมนุษย์ตรงตามกถาวัตถุ 10 ตามวรรณะ 9 ตามหลักตัดสินธรรมวินัย 9 จนถึงสาราณียธรรม 6 ก็สามารถยืนยันได้ สาราณียธรรม 6 ต้องถึงสาธารณโภคี เป็นสังคมสงฆ์ ซึ่งไม่ใช่แต่ผู้โกนหัวบวช แต่ว่าคือ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ รู้ปฏิบัติ โลกุตระ ตั้งแต่กายในกาย ไปจนถึงอุเบกขา ซึ่งคนแบบนี้เกิดขึ้น จึงเกิดพฤติกรรม ของอาริยบุคคล มีวัตรปฏิบัติ วัฒนธรรม ทุกวันนี้มีรูปร่างชัดเจนมี  พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

 

ของพุทธมี โลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก) เป็นเอหิปัสสโก สันทิฏฐิโฏ อกาลิโก โอปนยิโก เพราะมีปัจจัตตัง วิทิตัพโพ วิญญูหีติ

 

แต่ทุกวันนี้ สังคมพุทธกระแสหลักเสื่อมจนคนจะไม่มีที่พึงแล้ว อาตมาก็มาขอตั้งร้านของอาตมาใหม่ ว่ามันถูกกว่าไหม มันดีกว่าไหม แต่ที่พูดนี้ไม่ได้พูดอย่างมีสาเฐยจิตนะ อยากให้ประเทศไทยได้โลกุตระธรรม จะได้เป็นอยู่สุขแท้จริง ที่พูดนี้ไม่ได้อยากได้ลาภสักการะสรรเสริญนะ อย่างที่เขาพูดและทำกันในสังคม อาตมาก็ไม่พูดพร่ำเพรื่อนะ ก็นานๆพูด เพื่อยืนยันสิ่งจริง

 

ตอนนี้ศาสนากระแสหลักก็อย่างที่รู้กันเห็นกันว่าตอนนี้ พูดกลับไปกลับมา ไปอุ้มคนปาราชิก มันจะไปรอดหรือ ศาสนาน่ะ อาตมาก็ว่ามัน กระแสไปทั่วประเทศแล้วรู้กันทั่วประเทศแล้ว การช่วยกันปกปิดความเสื่อมก็ยิ่งพาเสื่อมพาเนาสิ ก็ต้องมาช่วยกันชี้สิ่งที่ถูกที่ผิด เราไม่ได้พูดหาเสียงนะ เราทำงานมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะสังคมไหนของชาวอโศกที่มีบวร ทั้ง 9 แห่ง นอกนั้นก็เป็นชุมชนที่ไม่ครบ บวร ก็มีอยู่หลายสิบชุมชน ก็เลย 50 ชุมชน

 

ตอนนี้ที่แสดงออกกันมาของพุทธกระแสหลักยิ่งชัดว่าเขาแสวงบุญนอกขอบเขตพุทธแล้ว ที่อาตมาลาออกมานี่ก็ชัดเจนว่าถูกแล้ว ไม่อย่างนั้นก็ต้องอยู่ร่วมกับสิ่งที่ผิดไป ยิ่งเขาเห็นว่าอาตมาผิด นั่นเป็นสิ่งที่ถูก แล้ว เขาเอาอำนาจบาตรใหญ่มา ให้เห็นว่าอาตมาผิด แกล้งอาตมาสารพัด อาตมาก็ไม่อยากให้ท่านทำบาป ก็เลยขอเป็นนานาสังวาส ตั้งแต่ พศ.2518 แต่ว่า พศ. 2532 ก็ดึงอาตมากลับไปอีก ทั้งที่เป็นนานาสังวาส แต่ก็ดึงอาตมาไปอธิกรณ์ ปรับอาบัติอาตมา ทำปกาสนียกรรม ทั้งที่ทำไม่ได้ เป็นนาสาสังวาสกัน เราก็ต้องยอมอย่างเดียว เป็นผู้แพ้ ทั้งที่เขาทำผิด อาตมาก็เขียนหนังสือออกมา เพราะไม่มีโลกุตรธรรม อาริยธรรมก็เลยเพี้ยนไปเช่นนี้

 

การเป็นนานาสังวาสนี้ทำอยู่ในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ว่าไม่เป็นพุทธหรือคนละนิกาย แต่เป็นพุทธนิกายเดียวกัน แต่ว่ากรรมต่างกัน ทิฏฐิต่างกัน อุเทสต่างกัน ศีลต่างกันก็เลยต้องแยกกันอยู่ อาตมามั่นใจว่าแนวทางนี้ทำให้ประเทศไทยอยู่เย็นเป็นสุข อาตมาจริงใจตามภูมิที่ได้ทำไป

 

เมื่อเกิดสังคมแบบนี้ขึ้นมาเราก็เลยพยายามบอกกับคนไทยและมนุษยชาติ ให้ทราบว่าที่พึ่งอันเกษมที่ดีงามนั้นคือธรรมะที่เป็นอาริยธรรม พระพุทธเจ้าตรัสมานักว่าเป็นที่พึ่งอันดีงาม เกษม โดยเฉพาะผู้สนใจศึกษามาติดตามดูพวกเราดูบ้าง อย่าไปยึดถือตามคำปกาสนียกรรม นี่ไม่ใช่ว่า อาตมาฉวยโอกาสที่มหาเถรสมาคมเพลี่ยงพล้ำก็เลยซ้ำนะ แต่ว่าเป็นสิ่งที่ประมาณแล้ว ที่พูดข่มนี่พูดจริงว่ามหาเถรสมาคมทำผิดพลาด เมื่อทำผิดพลาดก็ต้องบอกกับปชช.ว่า สิ่งที่ไม่ผิดพลาดยังมีอยู่นะ เป็นกุศลเจตนา ไม่ใช่สาเฐยจิต ไม่มีจิตเกลียดชังมหาเถรสมาคม อาตมาเห็นใจท่านเพราะนานมาแล้ว มันหย่อนยานผิดพลาด มันไม่ตรงตามพระพุทธเจ้าสอนมานานแล้วเริ่มตั้งแต่บวชก็วิบัติ ตรงที่ว่า วิบัติภาษาที่ท่องไม่ตรงตามเจตนาจริง ก็ซักไซ้กันเหลือแต่ นัตถิ 5 อามะ 8 ก็ท่องกันอย่างไม่รู้เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นนาคที่ขอบวชโดยตนเองไม่เข้าใจภาษา ดีไม่ดีโกหกด้วย เช่นข้าราชการมีเงินเดือน เขาก็จะถามก่อนว่าเป็น ข้าราชการอยู่ไหม? ก็บอกว่าไม่เป็นนี่ก็โกหกแล้ว เหมือนบวชเล่นบวชหัว บวชขายหม้อข้าวหม้อแกง บวชทีละพันที่ละหมื่นทีละแสนละล้านรูปนี่ เป็นการบวชทำลายศาสนา ทั้งที่การบวชต้องคัดเลือกกันจริงๆ ถ้าไม่ดีจริงก็อย่าให้บวช ถ้ามีคนคัดค้านเพียงคนเดียวก็ไม่ให้บวช ต้องให้มาดูตัวก่อน ว่าเหมาะที่จะมาบวชเป็นภิกษุได้ไหม ต้องให้เอกฉัน คัดค้านคนเดียวก็ไม่ได้ ซึ่งเป็นเนื้อแท้ที่เพี้ยนไปหมดแล้ว อาตมาก็บวช แต่ว่าอาตมารู้หมดว่าที่บวชมีพิธีอย่างไรเข้าใจแล้วก็ศึกษาแล้วไปบวช นี่ต้องจำเป็นต้องพูดสิ่งที่ถูก และจำเป็นต้องตำหนิสิ่งผิด หากให้ทำสิ่งผิดไปก็เสื่อมลงๆ แน่ เพราะไม่รู้สิ่งผิด ทำซ้ำสิ่งผิด เราก็ต้องบอกว่าผิด ให้แก้กลับเสีย  พูดไปใครจะชังก็ช่าง อาตมารักศาสนารักสัจธรรมยิ่งกว่าตนเอง

 

ที่พูดนี่เป็นการเชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ มาศึกษามาดูได้ เหมือนโฆษณาสินค้าโลกๆนะ แต่ก็จริงใจนะ ว่าพวกเรามีอยู่มีกิน พึ่งตนเองรอด อยู่อย่างช่วยเหลือกัน พึ่งเกิด แก่ เจ็บตายได้ เหมือนอย่างที่รัฐบาลต้องการ เราทำได้เป็นกลุ่มหนึ่ง แต่ไม่ได้ทำด้วยเงิน ด้วยโลกียธรรม อามิสนะ เป็นลักษณะของอาริยะที่ให้มาลดละกาม ลดละอัตตา ที่เป็นความสุดโต่งสองฟากฝั่ง

 

ในกามก็มีอัตตาซ้อนอยู่ด้วย เรามาลดกาม ลดอัตตา ภายนอกก่อนหยาบๆ ตั้งแต่โอฬาริกอัตตา ที่ประกอบด้วยรูปภายนอก พหิทารูปานิ เราก็ลดกิเลสจนอยู่เหนือโลกพวกนี้ รูปโลก โลกอบาย โลกกาม เราลดกิเลสได้อย่างอยู่เหนือกิเลสได้จริง เราปฏิรูปด้วยธรรมะพระพุทธเจ้าให้เกิดผลจริง ผู้รู้ก็มาช่วยกันได้ ผู้รู้ยิ่งกว่าอาตมาก็มาช่วยกัน ผู้ที่ไม่มีอัตตามานะมากไปก็ทำความเข้าใจกันได้มาช่วยกัน พัฒนาให้ดีให้เป็นเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายให้ชัดเจน ทุกวันนี้ปฏิบัติกันไม่เป็นลำดับขั้นตอน ไปทำสมาธิก็ไปนั่งหลับตา แต่ปฏิบัติศีลก็ได้แค่กายกับวาจา แต่ว่าในกิมัตถิยสูตรว่า ศีลมีอานิสงค์ที่จิตดังว่า

1.     อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) .

2.    ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)

3.     ปีติ (ความอิ่มเอมใจ) .

4.     ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)

5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)

6. สมาธิ (จิตมั่นคง)

7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง) . .

8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย) .

9. วิราคะ (คลายกิเลส)

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน) 

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1 ,  208)

 

แล้วเขาสอน ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างไม่เป็นสมังคีธรรม ไปสอนแยกส่วนกันนี่คือมิจฉาทิฏฐิ แท้ ไม่เกิดอานิสงส์ตามกิมัตถยสูตร

 

ตอนนี้อาตมาเห็นที่พึ่ง คนในสังคมว่าจะพัฒนาจะปฏิรูปกันตรงไหนดี อาตมาก็ว่าจะต้องพัฒนาที่คน ไม่ใช่ไปพัฒนาที่รัฐธรรมนูญ กฎหมายอย่างเดียว ซึ่งก็ต้องทำด้วย แต่ว่าเป็นเอก คือต้องพัฒนาที่คนก่อน พัฒนาคนก็คือต้องให้การศึกษา

 

การศึกษานั้นต้องศึกษาให้เกิด ศีล สมาธิ ปัญญา นี่คือสิกขา 3 ของพุทธ จะศึกษาเรื่องเทคนิคความรู้โลกก็ทำได้ แต่ว่าทุกวันนี้การศึกษาเสื่อมหนักทีไปหลงตำราโลกๆ ในหลวงของเราได้ตรัสเอาไว้ว่าตำรานี่ให้ปิดเสียบ้าง ซึ่งผู้บริหารก็ไม่ค่อยฟังกัน เราทำแบบคนจนนี่แหละจะเกิดเป็นสังคมสาธารณโภคี

 

อาตมาก็ตีหัวเข้าบ้านว่าต้องเปลี่ยนการศึกษาที่ปัจจุบันเป็นแบบเอามาจากตำราต่างประเทศ ที่ทำตามกันมานั้นมาให้การศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นหลักการศึกษาเทคนิค เป็นรอง ทุกวันนี้ การศึกษามหาวิทยาลัยสงฆ์ก็ไม่ได้เรียนสัมมาทิฏฐิ เพราะหลักสูตรการศึกษาสงฆ์ก็ไปเน้นทางโลกีย์มาก แม้แต่ทางศาสนาเองก็น้อย แล้วน้อยแล้วยังมิจฉาทิฏฐิอีกด้วย มันจะได้ผลอย่างไร ก็ขออภัยที่พูดเหมือนข่มเบ่ง แต่ความจริงเป็นเช่นนั้นก็เลี่ยงไม่ได้

 

ที่พูดนี้ด้วยหวังดี เตือนสติ หากใครสัมมาทิฏฐิยิ่งกว่าอาตมาก็มาคุยกัน มาศึกษากัน อย่างในกระแสสังคมที่เขาว่าเป็นปราชญ์ทางศาสนา ที่ว่าเป็นอริยะกันในสังคมอาตมาศึกษาตามก็ว่ายังไม่สัมมาทิฏฐินะ อย่างท่านพรหมคุณาภรณ์ท่านก็ยืนยันด้วยภาษาให้ตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอนได้มาก อาตมาก็ได้ใช้ศึกษาอาศัย แต่นัยลึกอาตมาไม่ขอพูดถึงนะ แต่ผู้ที่ปฏิบัติใช้ได้ก็ยังมีแต่ไม่สมบูรณ์

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

-พรุ่งนี้เราจะมีงานพุทธาภิเษกฯกัน ซึ่งเราไม่ทำการพุทธาภิเษกอิฐหินดินปูนหรอก เราทำการให้การศึกษา ให้คนได้พัฒนาเป็นอาริยะ เป็นการพุทธาภิเษกฯให้คนเป็นอาริยะ ก็มาช่วยกัน

วันนี้พูดตำหนิไปมาก อาตมาไม่ได้มีจิตที่อยากอวดอยากข่มขี่ดูถูกให้เขาเสื่อมต่ำลงนะ คนที่ผิดแล้วเสื่อมแล้วก็ขอให้ศึกษาใหม่แล้วแก้กลับๆ นี่คือความปรารถนาอาตมา เป็นเจตนาเหมือนแม่ดุลูกน่ะ แม่ปรารถนาดีต่อลูกจึงพูดตำหนิ พูดด้วยกุศลจิตจริงๆ ไม่ได้ต้องการถล่มให้เสื่อมต่ำลงอีก ไม่มีจิตใจเช่นนั้น พูดความจริง

 

-เมื่อคนไม่หมดกิเลส ตายไปจะเกิดในชาติต่อไปไหม?

ตอบ...เกิดแน่นอน จะไม่เกิดไม่ได้ด้วย คนที่ไม่หมดกิเลสอยากไม่เกิดอย่างไรก็ไม่ได้ต้องเกิดตามวิบากมาเวียนว่ายตายเกิด อาจเกิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์นรก ต้องเป็นอรหันต์ที่รู้และดับต้นเหตุคือกิเลสได้จริง จึงปรินิพพานได้ เป็นอัปปนิหิตตนิพพาน ไม่ตั้งจิตต่อภพภูมิ ก็เป็นสุญตนิพพาน อรหันต์ทุกองค์ทำได้ อนิมิต ไม่ตั้งเครื่องหมายอะไรอีก อัปปนิหิตตะ ไม่ตั้งจิตต่อภพภูมิ แต่ถ้าตั้งจิตต่อเป็นโพธิสัตว์มุ่งพุทธภูมิก็มาเกิดอีกได้

 

ความยึดคืออะไร ทำไมต้องยึด ทำอย่างจะไม่ยึด

ตอบ...คำว่ายึดคำเดียวสำคัญ  เรียกว่าอุปาทาน ซึ่งก็คืออันเดียวกับตัณหา ตัณหาเป็นพลังงานจลน์ แต่อุปาทานเป็นพลังงานศักย์ การฆ่าตัณหาก็เท่ากับฆ่าอุปาทาน ที่เรายึดก็เพราะอวิชชา

 

-ทำไมถึงต้องมีคนไม่ชอบเราทั้งที่เราก็ไม่ได้ทำอะไรให้เขา

ตอบ...ไม่ชอบเพราะเขาก็ยึดของเขาเราก็ยึดของเรา คนเราไม่มีอะไรที่ตรงกัน ถ้าชอบอะไรตรงกันก็แย่งกันตาย ที่ชอบไม่ตรงกันก็ดีแล้ว สรุปแล้ว การชอบไม่ชอบก็ต้องอธิบายกันยาวก็ค่อยฟังไป

 

-ทำไมคนต้องมีความอาย

ตอบ...คนมีความอายนั้นดีแล้ว เพราะตอนนี้คนหน้าด้านมีเยอะ คนมีความอายนี่ ภาษาพระเรียกว่า ลัชชา  ถ้าผู้ไม่มีความอายเรียกว่าอลัชชี ผู้ที่รู้ว่าสิ่งไม่ดีก็น่าอายไม่ทำ นี่คือลัชชา แต่ไม่อายในสิ่งที่น่าอายอันนี้เป็นอลัชชี แต่มีอีกอายคือจะทำดีแต่อาย กลัว ก็คืออสุรกาย

 

-หนูเป็นคนรักศักดิ์ศรีมาก เวลามีคนดูถูกก็ทุกข์ ทำอย่างไรไม่ทุกข์

ตอบ...ศักดิ์ศรีที่ดีก็มี คนศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าก็มีสิ่งที่ดีในตัวเป็นศักดิ์ชั้น คนมีความดีแล้วมีคนมาตำหนิลบหลู่ความดี เป็นคนโง่ แต่คนที่มีศักดิ์ศรีที่ดีแล้ว แล้วคนไม่รู้ก็มาลบหลู่สิ่งที่ดี คนลบหลู่คนนั้นก็โง่ เราก็อย่าไปถือสาคนโง่ คนเมา คนถือสาคนโง่ โง่กว่าคนโง่ คนถือสาคนบ้า ก็บ้ากว่าคนเมา ถ้าเราถือศักดิ์ศรีเรา คนมาว่าเราก็พูดว่า ที่เราถือนี้ดีจริงไหม ถ้าเขาว่าไม่ถูกต้อง เราก็ไม่บอกเขาได้ว่าไม่ถูกต้อง มาดูถูกเราก็ผิดศักดิ์ศรีเรานะ อย่างที่อาตมาบอกไปนี่  ศักดิ์ศรีของอาตมาไม่ได้เป็นอย่างท่านมาลบหลู่ ถ้าอยากจะลบหลู่ให้ถูกก็ต้องรู้ความจริง หากลบหลู่ไม่ถูกก็เป็นคนโง่

ศักดิ์ศรีของเราหากเขามาดูไม่ถูกต้องก็ไม่ต้องไปถือสาเขา เขาโง่มาดูถูกสิ่งที่ดี เราบอกเขาได้ก็บอก ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก

 

-ความรักของเด็กผู้ใหญ่ห้ามได้ไหม?

ตอบ...ห้ามได้ เพราะความรักของเด็กนั้นไม่ประสีประสา ให้ลดละไว้ มันมีภัย มันมีอารมณ์อะไรก็เพราะโง่ อย่าริรักเลย มันเป็นทุกข์ เหตุแห่งทุกข์

 

-ทำอย่างไรจะไม่กลัวความมืด และทำอย่างไรไม่ฟุ้งซ่าน

ตอบ...ความฟุ้งซานและความกลัวก็เพราะไม่รู้ความจริง เราไม่รู้ว่าในความมืดจะมีอะไร เราก็กลัวไว้ก่อน ถ้าเรารู้สิ่งใดอย่างแท้จริงเราจะไม่กลัวเลย  คนรู้จักผีจะไม่กลัวผี การกลัวความมืด นั้นความจริงไปกลัวตรงที่นึกว่ามันมีผี ซ้อนอยู่ ที่จริงไม่มีหรอก ผีไม่มีในที่ไหนๆ ผีก็อยู่สวนผี ผีไม่มีออกมาเพ่นพ่าน เทวดาและผีมีอยู่ที่จิต ไม่มีรูปร่าง เห็นไม่ได้ ไม่มีดิน น้ำ ลม ไฟ ถ้าเราเห็นของเราเองเป็นเพียงมโนมยอัตตา ส่วนจิตฟุ้งซ่าน อรหันต์ทุกองค์จิตหยุดได้ไม่ฟุ้งได้ ยิ่งท่านลืมตาก็เห็นแสงสว่างแล้วเฉย แต่ท่านไม่ได้ทำแบบมโนมยอัตตาที่ไม่เห็นอะไรเลย แต่ท่านก็เห็นรูปตามจริงไม่ได้มีอารมณ์ปรุงแต่งเลยได้ จะลืมตาหรือหลับตาก็ทำได้

 

-ทำไมคนเราจึงมีกิเลสและทำไมเกิดง่ายจัง

ตอบ...ทำไม ก็เพราะโง่ ถ้าหมดอวิชชาแล้วไม่มีกิเลส เราไม่รู้ ถ้ารู้แล้วก็มีวิธีดับ ก็จะหมดไม่มีกิเลส

 

-ตอนเด็กวิ่งตามแม่ไปหาหน่อไม้ วิ่งไม่ทันก็ กลับบ้านคืน แต่ขณะเดินกลับ ในความคิดว่าระวังงู มันอยู่บนคาคบไม้ เมื่อมองไปก็มีงูจริง คือจะเห็นก่อน เป็นหลายครั้ง

ตอบ....หลักวิชาเป็นได้ว่าเราอาจมีสัญชาตญาณของการเกี่ยวข้องกับงู ก็จะมีลาง แล้วก็ใช่ จะเป็นงูหรือเป็นอะไรอย่างอื่นก็เป็นได้ เป็นพลังงานทางจิตเป็นได้ แล้วมีอีกอย่างหนึ่ง รู้สึกว่ามีงู แต่ว่าที่จริงไม่มีงู แต่เกิดภาพหลอนได้เหมือนกัน เป็นมโนมยอัตตาได้ อันนี้วิทยาศาสตร์พิสูจน์ยาก แต่ทางธรรมนี่พิสูจน์ได้

 

-ทำไมตอนเด็กกับตอนแก่ถึงมีนิสัยต่างกัน

ตอบ...


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:49:42 )

580228

รายละเอียด

580228-เอื้อไออุ่นศิษย์เก่าศาลีอโศก

พ่อครูว่า...วันนี้เป็นวันสุกดิบของงานประเพณีชาวอโศก ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 39 ของงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ซึ่งมีอีกงานคืองานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ที่เดิมจัดอยู่ที่ศีรษะอโศก แต่เว้นวรรคให้มาจัดที่บ้านราชฯ เขาก็กำลังเตรียมจะจัดต่อไป แต่ปีนี้ ก็จะจัดปลุกเสกฯครั้งที่ 39 ที่บ้านราชฯ เราได้ประโยชน์จากการปลุกเสกฯและพุทธาภิเษกฯ อาตมาเจตนาตั้งชื่อเลย เพราะทุกวันนี้พุทธล้มเหลว กลายเป็นออกนอกขอบเขตพุทธไปหมดแล้ว เราก็เลยจะมาปลุกเสกฯ พุทธาภิเษกฯ ก็คือสร้างคือทำขึ้นมาให้เป็น ถ้าปลุกเสกฯเป็นสำนวนไทย ส่วนพุทธาภิเษกก็เป็นบาลี คือปลุกเสกให้เป็นพระแท้ๆของพุทธ โดยเอาคำสอนของพระพุทธเจ้า อนุสาสนีย์ของพระพุทธเจ้ามาอธิบายให้คนปฏิบัติจนสร้างคนให้เป็นพระแท้ๆของพุทธให้ได้ คือมีอาริยธรรมของพระพุทธเจ้าให้ได้ อาตมาพาทำมา ทั้งเป็นรูปธรรม รวบรวมคน ตั้งแต่มีคนไม่กี่คน จนมาเป็นจำนวนพัน ก็เข้าใจพากเพียร แต่ก็อีกหลายคน และมากคนที่รู้สึกเบื่อหน่าย ลดความสำคัญก็ไม่เอาใจใส่ ก็ไปล่า ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หรือว่าขี้เกียจเอาดื้อๆก็ไม่มา

 

อาตมาเสียดายชีวิต คนทุกคน เสียดายแทนชีวิตคน คนที่เขาไม่มีภูมิปัญญา เป็นอเวไนยสัตว์ ฟังธรรมะที่อาตมาอธิบายก็เข้าใจไม่ได้ อเวไนยสัตว์คือสัตว์ที่สอนไม่ได้ แล้วเข้าใจไปคนละทาง เข้าใจผิดก็ได้แล้วเอามายัดใส่พุทธ ทำให้เพี้ยนไป เพราะฝีมือคนพวกนี้ทำให้พุทธเพี้ยนไป โดยเฉพาะอเวไนยสัตว์ที่ฉลาด คือฉลาดโลกีย์ แต่ว่าไม่สามารถรู้ในโลกุตระได้ ไม่บรรลุธรรม เป็นบัวเหล่าที่ สี่ เป็นบัวใต้โคลนตม บางคนเป็นป.เอกเลย แต่เขาก็ปฏิบัติไม่ได้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าบุคคลเหล่าที่ 4 คือ ปทปรมะบุคคล คือมีธรรมโดยบท คือมียอดธรรม แต่ได้แค่บท ไม่ได้สภาวธรรม บุคคลปทปรมะ ท่านถึงแปลว่า ผู้ที่ท่องจำธรรมะได้มาก พูดสอนอยู่ก็มาก แต่ตนเองไม่ได้บรรละรรม ปทปรมะไม่ได้หมายถึงคนไม่รู้ แต่รู้มาก แต่อเวไนยสัตว์

 

แต่ผู้ที่รู้ได้ก็ต้องเริ่มจากผู้ไม่รู้ ก็มาจากอเวไนยสัตว์ ก็พากเพียร มีเหตุปัจจัยมากขึ้นเรื่อยๆ พอเหตุปัจจัยครบพร้อมก็สามารถเป็นได้ ของพระพุทธเจ้ามีลำดับขั้นตอน

 

ในมหาจัตตารีสกสูตร ก็คือมรรคมีองค์ 8 ส่วนมหานิทานสูตร นั้น มีเรื่องกาย ที่เขาส่วนใหญ่เลยเข้าใจว่า กาย คือ Body คือโครงร่างซึ่งผิดเลย เพราะกายคือต้องมีทั้งสองสภาพ มาร่วมกันทำงานร่วมกัน ระหว่าง นามกับรูป ในพระไตรฯล.16 ข.230 พระพุทธเจ้าตรัสว่า กาย นี้คือจิต มโน หรือวิญญาณ ผู้ใดไปยึดถือเข้าใจว่า กายคือภายนอก แยกกายกับจิตออกจากกันเลย คำว่าแยกกายแยกจิตไปจากกันเลยไม่ใช่ ที่จริงคือแยกความเป็นจิตในความเป็นกายได้ เกือบทั้งนั้นเลยเขาเข้าใจว่า กายคือ Body แม้ในพจนานุกรมของเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ก็แปลเช่นนี้ แต่ก็ยังมีพจนานุกรมไทย-บาลี แปลกายว่า คือหมวดของเจตสิกคือ เวทนา สัญญา สังขาร แม้แต่ในของเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ก็มีแปลเช่นนี้ คือหมวดของเจตสิก 3 (เวทนา สัญญา สังขาร) แต่ในพระไตรฯพระพุทธเจ้าว่า กายคือ จิตคือมโนคือวิญญาณ อาตมาเป็นว่าเป็นจุดสำคัญมาก

 

อาตมาเสียดายเวลาของคน โดยเฉพาะในไทยที่เป็นพุทธ ที่เอาเวลาไปทิ้งไม่ได้ปฏิบัติศาสนาพุทธ แต่ก็มีอีกมาที่แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธไปแล้ว เอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาประกาศก็ไม่เข้าใจแล้ว กลับหาว่าเราเป็นพวกมาทำลายศาสนาพุทธอีก แต่ใครจะว่าอาตมาหลงคลั่งใคล้ในศาสนาพุทธก็แล้วแต่ แต่อาตมาก็ว่าอาตมาได้ประโยชน์จริง แต่ในไทยนี่ในทะเบียนก็ว่านับถือพุทธแต่เขาก็ไม่เอาถ่าน ที่เขาไม่เอาก็เพราะมันไม่มีปาฏิหาริย์ของผู้บรรลุ

 

คำว่าปาฏิหาริย์ของศาสนาพุทธก็ไม่เหมือนกับที่เขาหลงใหล อย่างที่ว่าเหาะเหินเดินน้ำดำดินได้ ทายใจคนได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าเบื่อหน่ายเกลียดชังระอา แต่ที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญคืออนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ เช่น

1.เห็นสัตว์แล้วเมตตา ไม่ปรารถนาจะฆ่าสัตว์เลย ช่วยได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็วาง

2.เห็นของคนอื่นที่ไม่ใช่ของเรา เราไม่เอา ไม่เป็นขโมย ไม่ทุจริต นี่คือปาฏิหาริย์ แต่ทุกวันนี้เขาไม่เอาโดยตรงก็โดยอ้อม หลอกตนเองว่าสุจริต ได้โดยหลักสังคม จะได้เปรียบก็เอา ดีไม่ดีช่วยคิดหลักที่จะได้เปรียบด้วย เอามาจากคนพื้นฐานที่ไม่มีสิทธิ์จะไปกำหนดอะไรเลย ซึ่งคนพวกนี้เป็นหลักของสังคม ยืนอยู่บนฐาน ศูนย์ แต่ผู้คิดกฎเกณฑ์คือขรก.หรือนายทุนที่ตั้งเกณฑ์เอาเปรียบจากคนพื้นฐาน ที่ต้องจำนน ก็เสียเปรียบมากขึ้นทุกวันๆ

 

แต่ของพระพุทธเจ้ามีปาฏิหาริย์นอกจากไม่เอาของเขาแล้วยังให้อีก ไม่เอาเปรียบ สังคมขายเท่านี้เราขายให้ต่ำกว่าราคาสังคม เป็นหลักการของเราเลย เป็นพฤติกรรมกุศล ถ้าไม่เอาเปรียบนี้ก็ยังไม่ใช่ แม้เท่าทุนก็ไม่มีบาปหรือบุญ แต่ถ้าต่ำกว่าทุนได้คือผู้มีกำไรชีวิต มีประโยชน์ต่อสังคม ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา  ใครทำได้คือปาฏิหาริย์

 

ใครไม่พูดปด ใครไม่มีกามรุนแรงระดับหนึ่งนี้คือปาฏิหาริย์ แต่ทุกวันนี้เขาทำกันจัดจ้านรุนแรง อย่างอภิมหาบรมอบายมุขแล้ว พุทธสอนมา แต่ชาวพุทธไม่เอากันแล้ว คนที่ถือเป็นปราชญ์ที่เขานับถือกันทั่วโลกก็ยังไม่ชัดเจนว่าอบายมุขคืออะไร ทั้งที่พระพุทธเจ้ากำหนดไว้อย่างยุคของท่าน แต่ยุคนี้จัดจ้านกว่า อบายมุข ท่านกำหนดไว้ ว่ามันเป็นสิ่งหยาบสิ่งมากเกิน จัดจ้านเกินไป ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่จัดจ้านเกิดก็อบายมุข ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขที่จัดจ้านเกินไปก็คืออบายมุข ซึ่งมีสิ่งที่ต่างจากยุคพระพุทธเจ้ามากมาย เมื่อไม่เข้าใจก็ไปกันใหญ่เลย

 

ชาวอโศกอาตมาพาทำกันมา เมื่อถึง มิ..ปีนี้ก็ครบ 45 ปีแล้ว พระพุทธเจ้าท่านประกาศศาสนา 45 พรรษาท่านก็เลิกแล้ว อาตมายังไม่ได้ตั้งหลักเลย แต่ก็มีหลักอยู่ อาตมามั่นใจว่า โลกุตรธรรมได้หยั่งลงสู่หมู่มนุษย์เพียงพอจะสืบสานต่อไปในอนาคต อาตมาจึงประกาศว่าเมืองไทยคือชมพูทวีป ทีแต่ก่อน อยู่ที่อินเดีย เขามีอาการ 32 ครบ มีสุรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส สติมันโตคือตื่นเต็ม ไม่ใช่ภาวะหลับ ยิ่งไปนอนหลับใหลติดหลับใหลก็ไม่ใช่ชาคริยาไม่ใช่สติมันโต การมีสติมันโน สุรภาโยคือที่อยู่ของผู้ปฏิบัติพรหมจรรย์ได้เป็นอิธพรหมจริยวาโส ตายไปแล้วไม่ครบชมพูทวีป

 

ชาวอโศกก็อยู่กันไป จนบางคนตายไปแล้วหลายศพ บางคนไปไหนไม่รอดก็บอกว่าให้ที่นี่เผาให้ แต่บางคนก็ไปไหนรอดก็บอกว่าเผาที่นี่แหละ นี่คือปาฏิหาริย์ ที่มา 7 วันนี่มาติวกันอย่างสำคัญนะ ผู้ที่มาแต่เก่าก่อน เขาเข้าใจยาก เขาไม่เห็นความสำคัญในธรรมะ ไปกับโลกเขา ขนาดเด็กของเรา เรียนมาตั้งแต่ประถม มัธยม จบไปแล้วยังถูกโลกครอบงำได้อยู่ก็มี ผู้มาได้ต้องมีบารมีและพากเพียรสะสม อาตมาก็พยายามเน้นให้เห็น ให้ชัดเจน พยายามเท่าที่สามารถ ก็พยายามจะเก่งนะ

 

โลกทุกวันนี้เพราะไม่มีโลกียธรรม ส่วนโลกียธรรมนั้นก็บานไปออกไปเรื่อยๆ เขาก็มีชั้นเชิงที่อยู่เหนือคนอื่นได้ใช้โลกาธิปไตย และอัตตาธิปไตย ส่วนพระพุทธเจ้ามาเรียนรู้ล้างโลกาธิปไตย และอัตตาธิปไตยได้ เขาก็พอรู้นะ ใช้ภาษาโลกวิสัย หรือวัตถุวิสัย หรือจิตวิสัย อัตตาวิสัย เขาก็แยกได้ แต่ไม่รู้สภาวะ และความโหดร้ายของความหลงโลก และจิต

 

คนจิตวิสัย เขาเอาแต่จิต หลงจิต เสพติดจิต คาร์ลมาร์กก็ว่าเช่นนั้น แล้วพวกนี้ทำชีวิตให้สูญคุณค่า แต่เขาไม่มีภัยทางโลก ส่วนคนโลกาธิปไตย ใช้มันทั้งโลกและจิต เขาไม่รู้จิตเท่ากับคนหลงจิตด้วยซ้ำ แต่เขาก็ใช้เรื่องจิตเอามาผนวกเท่าที่เขามีปัญญา เพื่อใช้เชิงชั้นหลอกให้เนียน เพื่อให้เป็นมหาอำนาจ ประชาธิปไตยอยู่ในโลกทุกวันนี้ ศาสนาพุทธแยกชัดว่าเป็นโลกาธิปไตยและอัตตาธิปไตย และการปฏิบัติไม่ได้หนีโลก แต่ปฏิบัติให้อยู่เหนือโลกได้ หมดอวิชชา(ไม่รู้) และมันอาจพอรู้ แต่โมหะ ไม่แม่นไม่ชัดว่าอย่างนี้คือ ราคะ โทสะ โมหะ จนหมดก็มีสิ่งที่เหลืออีกที่จะต้องตรวจสอบ เป็นอรูปฌาน ทำให้รักษาผล ทำให้สมบูรณ์แข็งแรง อย่าง นิจจัง ทุวัง อาตมาเอามาให้ศึกษา เป็นความครบสมบูรณ์

 

เมืองไทยเมืองพุทธแท้แต่มิจฉาทิฏฐิจากศาสนาพุทธ จึงไม่เห็นความสำคัญของโลกุตรธรรม แต่ออกนอกขอบเขตพุทธ เป็นโลกียธรรม แม้แต่กัลยาณธรรมของที่พระพุทธเจ้าสอนก็ไม่มีแล้ว กลายเป็นเดรัจฉานวิชาไปแล้ว ทุกวันนี้สู้กันรุนแรง เพราะว่าอะไร?

 

รุนแรงเพราะผู้ผิดรวมหัวกันได้เป็นใหญ่ในสังคม ความผิดไปยึดบัลลังก์ได้ก็เลยรุนแรง เพราะคนมีปัญญาก็รู้ว่าผิด ก็พยายามแก้ไขปรับปรุงต่อสู้ อาตมาว่ายังไม่หยุดนะ อาตมาว่าเขารู้นะ แต่มีมานะ อติมานะ จะเอาชนะให้ได้ อุปกิเลส 16 เต็มบ้องเลยทุกตัว

 

1. อภิชฌาวิสมโลภะ (เพ่งเล็งอยากได้)

2. พยาปาทะ (ปองร้ายเขา)

3. โกธะ (โกรธ)

4. อุปนาหะ (ผูกโกรธ)

5. มักขะ (ลบหลู่คุณท่าน)

6. ปฬาสะ (ยกตนเทียบเท่า, ตีเสมอท่าน)

7. อิสสายะ (ริษยา ไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดี)

8. มัจฉริยะ (ตระหนี่)

9.     มายายะ (มารยา, มารยาทเสแสร้ง)

10.   สาเฐยยะ (โอ้อวด, การโอ่แสดง)

11. ถัมภะ (หัวดื้อ, เชื่อมั่นหัวตัวเองมาก)

12. สารัมภะ (แข่งดี, เอาชนะคะคาน)

13. มานะ (ถือดี-ยึดดี จนถือสา)

14. อติมานะ (ดูหมิ่นท่าน)

15. มทะ  (มัวเมา)

16. ปมาทะ  (ประมาทเลินเล่อ)

(พตปฎ.เล่ม 12  ข้อ 93)

 

อาตมาว่าอาตมาชัดเจนนะ เป็นจิตพวกนี้จริง มวลชัดเจน น่าสงสารเมืองไทย ที่มีกรณีเช่นนี้อยู่ ที่เขาทำก็เป็นบาป เวรภัยของเขา เป็นกัมมัสสกะ เป็นกรรมของเขา ทุกกรรมกิริยาการเคลื่อนไหวของเขา ใครทำไม่ว่าจะส่งเสริมผนึกกัน ได้บาปด้วยกัน ถ้าไทยแก้ไขเรื่องศาสนานี้ไม่ได้ไทยพัฒนาได้ยาก ถ้าไม่ใช้เหตุปัจจัยนี้ทำการปฏิรูป ปฏิวัติให้ได้ก็ยาก สิ้นหนทาง ขอยืนยัน อาตมากล้าพูดว่าเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วนะ สำหรับผู้ทำงานชุดนี้ แต่ไม่ใช่โอกาสสุดท้ายสำหรับผู้ทำในอนาคต คือแก้ไข ถ้าแก้ไขธรรมะไม่ได้ ก็แก้ไขทางโลกไม่ได้ ทุกวันนี้เขามีความรู้โลกียะมากมาย จบดร. มาเท่าไหร่ แล้วทำงานมาก็เต็มบ้านเต็มเมือง มาออกกฎเกณฑ์หลักอะไรมาก็ได้ แต่คนไม่ยอม เขาเอาอธรรมมาสู้แล้วคุณจะทำอย่างไร จะออกรธน.มาดีอย่างไรก็ตาม แต่ว่าความฉลาดเฉโกคนทุกวันนี้มันระดับอภิบรมมหาศรีธนญชัยเลย มันหน้าด้านด้วย จะเอาซะอย่างก็ทำเลย ถ้าไม่แก้ปมนี้ หน้าด้านเท่านี้ยังน้อยไป ฉลาดเฉโกอย่างนี้ยังน้อยไปเขาจะจัดจ้านกว่านี้อีก 

 

ขอให้พวกเราสำนึกให้ดี ทุกวัยอย่าหลงระเริงเลย เกิดมาแต่ละชาติ ด้วยอจินไตย คนที่จะได้มาสัมผัสศาสนาพุทธเป็นคนมีกุศลแล้ว มีบารมีขั้นหนึ่ง อย่าเสียโอกาส คนมี เจ็ดพันกว่าล้านคนในโลก อาตมาว่านับถือพุทธไม่ถึงพันล้านแน่ สักห้าร้อยล้านจะถึงหรือไม่?ก็ไม่รู้ ทั่วโลกนี่ ในประเทศไทย 67 ล้านคนนี่จะตั้งใจแสวงหา พบสัตบุรุษ ไม่มีสัมมาทิฏฐิ ในข้อ 10 ยิ่งกว่ากามนิตหนุ่มที่ฟังธรรมะพระพุทธเจ้าคืนเดียวนะ แต่อาตมาบรรยายมา 40 กว่าปี ก็ยังไม่รู้ว่าคือโลกุตรธรรม ชาวอโศกที่ฟังแล้วปฏิบัติตามมาได้ก็นับตัวคนได้ งานสำคัญแต่ละปี เดี๋ยวนี้ไม่เกินสองพันคน แต่ก่อนมีถึงสองพันคน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ถึงแล้ว มันไม่ง่าย คนที่ไม่มานี่อาจอ่อนศรัทธา แต่ไม่ได้หมดศรัทธา เพราะโลกียะมันแรง ดึงออกไป เพราะสนามแม่เหล็กโลกุตระมีน้อย อัตตราก้าวหน้าโลกียะมันสูงกว่า เราก็พยายามเผยแพร่ออกไป เราทำไปไม่ได้เพราะต้องการเรี่ยไร บริจาค เรามีกติกาของเราชัดเจนว่าต้องมาฝึกฝนศึกษาให้เข้าใจอย่างน้อย 7 ครั้ง เราทำมาแต่ต้นจนปัจจุบันก็ทำ เป็นนัยสำคัญที่จะยืนยันว่า สัจธรรมนี้เพื่อความบริสุทธิ์ไม่ใช่เพื่อลาภ ยศ เพื่ออามิสอะไร แม้ที่สุดบรรยายออกไปนี่ ไม่ได้ต้องการให้คนมาเป็นบริวาร แต่ว่ามีมากขึ้นก็ดี เรารู้ แต่จิตไม่กระสันอยากจะมีจนต้องโฆษณาเลียบเคียงและเล็มก็ไม่เอา ที่มาได้นี่มีบารมี แต่เสร็จแล้วเราก็เผินไป น่าเสียดายจริง ไปไตร่ตรองดีๆทบทวนดูที่อาตมาได้บรรยายไป

 

ศาสนาพุทธสอนมีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย นี่คือข้อแรกของความมหัศจรรย์ของธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า

 

ตอนนี้ศิษย์เก่าชาวอโศกจบออกไปก็หลายพันคน ก็สร้างโรงเรียนมา 20 รุ่นแล้ว จบ ป.เอก ป.โท ก็หลายคนแล้ว เป็นนักธุรกิจก็มีมาก รวยด้วยบางคน อาตมาไม่ได้เรียกร้องให้มาช่วยกันหรอก ก็พูดผ่านๆไป งานเราก็มีมากมาย เป็นประโยชน์คุณค่าด้วย ที่ปฐมอโศกก็มีผู้หญิง กวาดใบไม้ อยู่กวาดเป็นสิบๆปีแล้ว ตอนนี้ก็แก่แล้วก็กวาด ที่บ้านราชฯมีคนแต่ก่อนกวาดที่สันติฯ แต่ตอนนี้ไปกวาดบ้านราชฯ เป็นอัมพฤกต์ด้วย ก็กวาดทำไป ก็เป็นประโยชน์สาระแก่ชีวิต นอกนั้นก็มีคนทำขยะ ที่จะเอามาใช้ทำสื่อสาร อาตมาบอกว่า 3 อาชีพกู้ชาติ ว่าขยะจะกู้ชาติได้ เพิ่งจะเห็นผล ไม่ใช่แค่รายได้ แต่ลึกซึ้งกว่านั้นอีก ไปตามอ่านในแสงสูญ ฉ.ขยะเอ๋ย ในอนาคตจะมีขยะมากมาย อาหารขยะคือขยะจริงๆ เขาขายกันทั่วโลก คนไม่รู้ทัน นอกนั้นก็แฝงมามากมาย เป็นขยะพิษ

 

สำคัญคือคนไม่พูดถึงขยะทางจิตวิญญาณเลย ที่ซับซ้อนหนักหน้ามากอาตมายังตามไม่ค่อยทัน แต่อาตมารู้วิธีตัดวงจร คำว่าตัดวงจรคือเราไม่ตกในวงจร ยกตัวอย่างอโศกเราตอนพศ. 2540 เศรษฐกิจล่มสลาย เกิดคนฆ่าตัวตายไปมากเลย แต่อโศกเราไม่เป็นอะไรเพราะเรามีเงินกองบุญที่ฝากไว้ส่วนกลางไม่มีดอกเบี้ย ใช้หมุนเวียนในพวกเราเอง เราไม่มีเงินกู้ ไม่มีหนี้ มีแต่เงินหนุนเงินเกื้อ ไม่ว่าจะวงจรอะไร เช่นเอดส์ เราตัดวงจรได้ เรื่องสมสู่พวกนี้ การตัดวงจรโลกีย์นี่คือการหลุดพ้น

 

คำว่าหลุดพ้น ยิ่งตัดระดับโลกธรรม เรื่องกาม วงจรก็ขาดเรียกว่าหลุดพ้น วิมุติ เรื่องกามคุณ 5 ตัดวงจรได้ก็เป็นอนาคามีภูมิก็หมดปัญหา โลกจะจัดจ้านอย่างไรก็ไม่กระทบเลย ศาสนาพุทธไม่ต้องหนี อยู่ในวงจรเดียวกัน แต่ตัดวงจรที่ไปติดยึดอย่างอสังสัคคะ หมดสวรรค์หมดนรก เราตัดออกหมดความจำเป็นไม่เกี่ยวข้อง ก็คือผู้บรรลุมีวิมุติก็หลุดพ้นวงโคจร จากวัฏฏะ ซึ่งมีวิธี ตัดตั้งแต่วงโคจรระดับต่ำคืออบายมุข แล้วมาในกามภูมิ อย่างลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล อย่างมหัศจรรย์ทำได้แล้วไม่ขรุขระ แล้วปรมัตถสัจจะของพระพุทธเจ้านี้ได้แล้วยั่งยืน เสถียร ซึ่งโลกนี้ต้องการความเสถียร และของพระพุทธเจ้านี่เที่ยงแท้ ทางเทวนิยมเขาถือว่าพระเจ้านี่เที่ยง ก็ยังไม่เท่าของพุทธ ของพุทธมีพระเจ้าในโลกอบาย โลกกาม โลกธรรม โลกอัตตา แล้วทำให้ตนเองเป็นพระเจ้าได้ด้วย สัมผัสได้ แล้วเป็นพระเจ้าที่เที่ยงจริงๆด้วย นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)ถ้าไม่สามารถทำอันนี้ได้ก็ไม่เที่ยง ที่เที่ยงแท้อย่างเดียวคือพระเจ้านิพพานอันเดียว นอกนั้นพระเจ้าอื่นไม่เที่ยง แปรไปตามเหตุปัจจัยยุคสมัย แต่ของพุทธนี่องค์ประกอบยุคสมัยเป็นอย่างไรก็เที่ยงไปกาลนาน ขอสักชาติได้ไหม ขอชาตินี้แหละมาลองดูจะกว่าจะตายกันไปสักชาติหนึ่งนี้ ขอสักชาติได้ไหม? แล้วไม่ต้องกลัว คุณจะอยู่กับโลกเขาไปอีกไม่รู้กี่ชาติ แต่ชาตินี้มาเจอโลกุตระกันแล้ว ใครจะกล้าตัดใจ ขอสักชาติหนึ่งมาช่วยกันศึกษาพากเพียรกัน ชาตินี้ถ้าเราไม่เอา แม้คุณจะมาลองปฏิบัติ ทำไปแล้วไม่กี่ปี ก็จับได้ว่าหลอกก็ไปเลย ไม่ต้องอยู่หรอกไปเลย อาตมาก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร มันน่าเสียดายชีวิต

 

-ทำไมหนูมักจะเห็นว่าผู้ใหญ่ลำเอียงที่จะเข้าหาเด็กที่ดีๆ แต่ว่าหนูแม้จะทำดีไม่มากเท่าเขา แต่ก็รู้สึกน้อยใจเหมือนกัน ทั้งที่พยายามเข้าหาผู้ใหญ่แล้วแต่เขาก็ทำเหมือนไม่เห็นเสียอีก

ตอบ....ผู้ที่มีอาการน้อยใจก็หมาตัวหนึ่งถ้าน้อยใจน้อยๆก็หมาตัวน้อย ถ้าหมาตัวใหญ่ก็เป็นหมาน้อยตัวใหญ่ ใจเว้าใจแหว่งใจไม่ดีก็เราทำเองทั้งนั้น และถ้าทำดีไม่ได้ดีก็คือทำดียังไม่มากพอ จงทำต่อไป มันมีหลายประเด็น คือ 1.เราทำไม่ดีแต่หลงว่าเราทำดี เราทำไม่มากก็นึกว่าเราทำมาก เรก็ทำไปเผื่อพอตรวจสอบให้ดี ถ้าเราทำดีก็ไม่เสียหายหรอก เป็นของเราแล้ว ใครไม่เห็นก็เป็นของเรา ไปเสียใจทำไม 2.แต่ถ้าเราเห็นแก่ตัวเองกับเห็นแก่ผู้อื่นอะไรดีก็ต้องได้ทุกคนว่าเห็นแก่คนอื่นดี เราจะไปเห็นแก่ตนเองทำไม ก็ทำเพื่อเห็นแก่คนอื่น ก็อย่าไปคิดให้โง่เลย จ่ายความโง่ออกไปให้น่าอายทำไม และมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราอย่างเดียว อาเขาไม่ได้เห็นความดีของเรา อาก็โง่เอง ตาไม่ดี ก็ต้องเห็นใจอาเขานะ ไปเห็นคนชั่วว่าดีก็ตาถั่วอีกต่างหากมาเข้าใจให้ชัดเจน แล้วอย่าไปน้อยใจ เว้าใจ แหว่งใจ หลวงปู่ทำงานมา 45 ปี ทำไมเขาไม่เห็นเลย ถ้าน้อยใจก็ไม่มีเหลือใจแล้ว นี่ยังยิ้มได้เลย คนน้อยใจคือคนโง่ทุกคน ถ้าใครฟังเข้าใจก็เลิกน้อยใจเลย น้อยใจก็คือหมานะ  ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก...ในที่สุดจำไว้เลย เราจะใช้โศลกนี้ไปอีกหลายปี เพราะมันจบแล้ว เป็นโศลกจบ

 

-จุดหมายปลายทางชาวอโศกคือ?

ตอบ...คือนิพพาน คือหมดสุขหมดทุกข์หมดเห็นแก่ตัว แล้วทำงานเพื่อผู้อื่นเต็มที่ จุดหมายปลายทางคือ เบิกบานแจ่มใส มัธยัสถ์ สุภาพ สงบ หมดความอยาก สิ้นความเสพ คำว่าสุภาพนี้ไม่ใช่ไม่เสียงดังนะ แต่เสียงดังได้ สุภาพคือ สภาพที่ดี จะเป็นคนประมาณออกไปได้ดีไม่ว่าจะกิริยาแสดงอารมณ์ สงบคือหมดกิเลส หมดความอยากคือตัณหา หมดความเสพคือหมดอัสสาทะ ไม่เหลือเชื้อเสพติดแลบลิ้มเลียเลย นี่คือจุดหมายปลายทางของชาวอโศก

 

-ทำไมคนเราต้องมีความจริงด้วยแล้วความจริงจะเกิดได้อย่างไร เราจะรับกับความจริงได้อย่างไร?

ตอบ...หลวงปู่พยายามสอน ความจริง กับความจำ ต้องเข้าใจก่อน ความจริงคือทุกคนรู้ร่วมกันได้สัมผัสร่วมกันได้ไม่ใช่เอาความจำออกมาคนเขาไม่รู้ด้วยหรอก แม้คนที่มีความจริงในใจสูงสุดก็ต้องใช้สิ่งที่คนเข้าใจได้ และของพระพุทธเจ้าจะสัมผัสความจริงได้ต้องมีทวาร 5 สัมผัสกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส  แล้วเกิดสภาพนั้น ก็เป็นความจริง ต้องพิสูจน์แล้วพูดกับคนไหนที่มีปัญญาก็รู้เรื่อง ส่วนความจำนั้นเอามาพูดก็ของใครของมัน คุณกำหนดเองทั้งนั้น ดีไม่ดีพูดอีกอย่างกำหนดอีกอย่างคนอื่นก็งงสิ ความจริงอีกอย่างคือสิ่งที่ปรากฏภายนอก เป็นสภาพเป็นเหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย องค์ประกอบ เราสองคนก็มีความจริงของสองคนสมมุติร่วมกัน สามคนสี่คน ร้อยคนพันคนก็สมมุติร่วมกัน อันนี้คือสมมุติสัจจะ ส่วนสมมุติข้างในคือกิเลส เราล้างกิเลสหมดก็มีมีความจริงภายใน ก็เหลือแต่สมมุติภายนอก ปรมัตถสัจจะของอรหันต์นั้นไม่มีความจริงหรือไม่จริง ท่านว่า สัญญา ย นิจจานิ ความจริงไม่มีหรอกในโลก พระอรหันต์มีแต่จริงไปกับสมมุติของคนโลก ก็สมมุติว่าอะไรดีที่สุดก็จริง แต่ไม่เที่ยงหรอก แล้วแต่กลุ่มไหนจะสมมุติกันไป สังคมแต่ละสังคมก็ยึดต่างกัน

 

-คนเรามีเพื่อนแล้วเพื่อนจากไปทำไมเรายังติดยึดกับเขา แล้วเราจะทำอย่างไร?

ตอบ...โง่!!! พระพุทธเจ้าสอนว่าไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา แม้เนื้อหนังก็ไม่ใช่เราของเรา แม้แต่จิตก็ยึดไม่ได้ แล้วไปยึดคนอื่นอีก จะได้หรือ? แม้เนื้อหนังเราก็ไม่ใช่เราของเรา แล้วไปยึดเพื่อนก็โง่สิ พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสเล่นๆ ถ้าไปยึดก็ห่วงหาอาวรณ์ เพราะไม่มีอะไรไม่พรากจากกัน ก็ถ้าเพื่อนเขามีสิ่งดีน่าทำ เราก็ทำให้เป็นที่เราได้แต่ถ้าสิ่งไม่ดีเราก็ไม่ต้องไปจดจำไปทำ เพื่อนก็ผ่านมาผ่านไป ถ้าคุณจะเสียดายเพื่อนที่ดี เราเสียดายพระพุทธเจ้าไม่ดีกว่าหรือ ท่านดีกว่าเพื่อนเราอีกมากมาย ท่านมีสิ่งดีอะไรเราทำให้ได้ตามที่ท่านทำได้สิ นี่แหละอย่าเผิน ต้องลึกซึ้ง

 

-มีเด็กเกิดใหม่ในแวดวงเครือญาติ กิริยาอาการเหมือนญาติที่ตายไปสามปี ถามว่าทำไมถึงเกิดมาไวนักขัดกับหลักที่พ่อครูสอน

ตอบ...คุณแน่ใจหรือว่าญาติคนนั้นมาเกิด แค่อาการเหมือนก็เดาว่าใช่นะคนในโลกเจ็ดพันกว่าล้านคน แล้วที่ไม่มาเกิดอีกนับไม่ถ้วนเลย เป็นอจินไตย คนมาเกิดเพราะวิบาก แม้วิบากจะเป็นคนชั่ว เขามาเกิดเร็วก็เพราะวิบากเขา จะมาเกิดเพื่อใช้หนี้วิบาก อย่านึกว่าเกิดมาได้ร่างเป็นคนจะดีได้ บางคนเกิดเป็นคนแล้วใช้ร่างนี้ทำชั่วมากขึ้นอีกก็ได้

 

-สัตว์คือสัตว์ดังนี้มีประมาณเท่าไหร่หนอจึงเรียกว่าสัตว์

ตอบ...คำว่าสัตว์นี้เรียกทุกอย่างที่เป็น จิตนิยาม พระพุทธเจ้าสอนให้เราเรียนรู้สัตว์ที่เป็นภัย สัตว์ชั่ว ทางจิตวิญญาณ ความเป็นจิตวิญญาณก็คือจิตนิยาม แต่สัตว์ชั้นต่ำ ไม่กี่เซลล์นี้สอนไม่ได้ จะรู้จักกรรม ธรรมะต้องเป็นสัตว์ชั้นสูงขึ้นมา จิตวิญญาณต้องพัฒนามาเชื่อกรรม วิบากได้ แต่คนทุกวันนี้ไม่เชื่อกรรมวิบากมีอีกมากมาย ไปสร้างกรรมวิบากชั่วอีกมากมาย เราต้องมาล้างสัตว์ชั่วทางจิตวิญญาณออกไปให้หมด หมดสัตว์ชั่วก็เป็นสัตว์บริสุทธิ์เป็นพรหมสัตว์ ไม่มีจิตนิยามตัวชั่วนี้อีก

 

- เคยได้ยินที่เขาว่า ศาสนาพุทธเป็นมะเร็งของประเทศ หลวงปู่คิดอย่างไร?

ตอบ...คงหมายความว่าศาสนาพุทธทุกวันนี้เป็นมะเร็ง เป็นพิษทางจิตวิญญาณ อาตมาไม่เคยได้ฟังมาก่อน แต่อาตมาก็ว่า ฟังตามคำพูดนี้แล้ว คล้อยตามอยู่นะ เห็นด้วยอยู่ มันระบมสุด ปวดสุด ทำให้สังคมเจ็บปวดเพราะไม่มีประโยชน์คุณค่าต่อสังคมเลย ก็อย่ารอรั้ง มาช่วยทำให้เกิดสิ่งดีงามขึ้นในสังคม

 

-ทำไมนอนกับกินไม่ยักเบื่อ แต่ทำงานนี้รู้สึกเบื่อทำไม?

ตอบ...จะยังเป็นคนไหมนี่ เพราะมันสุดโง่แล้ว ทำไมชีวิตเรามีแต่กินกับนอนเท่านั้นหรือ จะทำงานอะไรก็ขี้เกียจ ไปคิดให้ดี ชีวิตคือการงาน ไม่เมื่อยก็เพียร เทวดามาถามพระพุทธเจ้าว่าเอาสั้นๆ คนบรรลุแล้วข้ามโอฆสงสารคือคนอย่างไร? พระพุทธเจ้าตอบว่า เราไม่พักเราไม่เพียร คือคนที่มีอายุ มีอิทธิบาทอยู่ก็สร้างสรรการงานที่ดีให้กับโลก แต่คนไม่มีอายุก็คือคนเน่าตายแล้ว ชีวิตคือการงาน ถึงเวลาพักก็พัก ตื่นมาก็ไปทำงานโปรดคน การงานคือสิ่งที่เป็นเครื่องหมายของมนุษย์ที่มีชีวิต มนุษย์คือผู้มีจิตสูง ต้องให้พัฒนา ถ้าล้างกิเลสไปจะเห็นเลยว่า ไปขี้เกียจทำไม ชาวอโศกไม่ได้เอาเงินเอาอามิสจ้างแต่เพราะรู้ประโยชน์คุณค่าในชีวิตจึงทำงานได้ คนที่คิดได้ รู้ตัวว่าตนขี้เกียจ นี้ดีแล้วเมื่อรู้ตัวแล้วก็ปรับปรุงตัวเสีย

 

-นร.ที่กำลังจบม.6 แล้วเลือกเรียนต่อมหาวิทยาลัยอโศก เช่น ว.นบ. หรืออื่นๆดีไหม?

ตอบ...ดี ถ้าอยู่กับอโศกนี่ไม่ต้องกังวล จบดร.ได้ก็มี ไม่ต้องห่วงทุนรอนด้วยเราไม่มีปัญหาเลย ขอให้ทำให้ดีก็เถอะ ไม่ได้พูดล่อนะ

 

-ความจริงกับความบริสุทธิ์เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร?

ตอบ....เป็นคำแทนกันได้ จริงๆแล้วความจริงก็คือสมมุติสัจจะ ปรมันถสัจจะคือส่วนตัว เราไม่หมดอวิชชาก็คือโง่ อรหันต์หมดอวิชชาก็ไม่มีความจริงภายในมีแต่อยู่กับความจริงสมมุติโลกเขา


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:52:12 )

580301

รายละเอียด

580301_ปฐมนิเทศงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 39 ศาลีอโศก

พ่อครูเกริ่นนำถึงการแยกตัวเป็นนานาสังวาสจากมหาเถรสมาคมตั้งแต่ปี 2518 ...แล้วจึงเข้าเรื่อง....ว่าเรื่องศาสนาในบ้านเมืองเราก็ร้อนแรงมาก ตอนนี้อธรรมกำแหงมาก ฝ่ายธรรมะต้องรวมตัวกัน ใช้แค่มุขสตี ปากหอก เท่านั้น เราไม่ทำเรื่องทำราว โดยเฉพาะเราเป็นนานาสังวาส แต่ผู้สังวาสเดียวกันต้องทำให้จริง

 

วันนี้อาตมาจะปฐมนิเทศ อาตมาตั้งใจจะนำเอาความมหัศจรรย์ 8 ประการในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ของเขาเอาปาฏิหาริย์แบบเดินน้ำดำดิน เป็นปาฏิหาริย์กัน แต่ทำไมไม่ชัดเจนไม่เข้าใจว่า อนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ คืออะไร การมาจนได้นี่ปาฏิหาริย์ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ผัวเดียวเมียเดียวนี่ปาฏิหาริย์นะ ไม่พูดปดนี่ปาฏิหาริย์ ไม่ติดอบายนะ เป็นปาฏิหาริย์นะ ปฏิบัติได้ตามศีลของพระพุทธเจ้านี่เป็นปาฏิหาริย์ แต่ไปชื่นขมกับคนเตะบอลเข้าโกลด์ได้เป็นปาฏิหาริย์ไปโน่นเลย เดี๋ยวนี้เดรัจฉานวิชชาเต็มบ้านเต็มเมืองเลย

 

 

ในพระไตรปิฎก ล. 15 ข.109

. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในธรรมวินัยนี้ มีธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาสักเท่าไร

ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้ว จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

     . มี 8 ประการ ปหาราทะ 8 ประการเป็นไฉน ดูกรปหาราทะมหาสมุทรลาด ลุ่ม

ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหว ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษา

ไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับมีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผล

โดยตรง ดูกรปหาราทะข้อที่ในธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ

 มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยทรง นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคย

มีมาประการที่ 1 ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

     ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่ง ฉันใด สาวก ทั้งหลายของเรา

ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่ล่วงสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต ดูกรปหาราทะ ข้อที่

สาวกทั้งหลายของเราไม่ล่วงสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต นี้เป็นธรรมที่น่า

อัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 2 ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

     ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ เพราะในมหาสมุทร  คลื่นย่อมซัดเอา

ซากศพเข้าหาฝั่งให้ขึ้นบก ฉันใด ดูกรปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกันบุคคลผู้ทุศีล มีบาปธรรม

มีสมาจารไม่สะอาดน่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญญาว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้

ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ปฏิญญาว่าประพฤติพรหมจรรย์ เสียใน ชุ่มด้วยราคะ เป็นเพียงดัง

หยากเยื่อ สงฆ์ย่อมไม่อยู่ร่วมกับบุคคลนั้น ประชุมกันยกวัตรเธอเสียทันที แม้เขาจะนั่งอยู่

ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงกระนั้น เขาก็ชื่อว่าห่างไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ห่างไกลจากเขา

ดูกรปหาราทะ ข้อที่บุคคลผู้ทุศีล มีบาปกรรม มีสมาจารไม่สะอาดน่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว

 ไม่ใช่สมณะ แต่ปฏิญญาว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ปฏิญญาว่าประพฤติ

พรหมจรรย์ เสียใน ชุ่มด้วยราคะ เป็นเพียงดังหยากเยื่อ สงฆ์ย่อมไม่อยู่ร่วมกับบุคคลนั้น

ประชุมกันยกวัตรเธอเสียทันทีแม้เขาจะนั่งอยู่ในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงกระนั้น เขาก็ชื่อว่าห่างไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ห่างไกลจากเขา นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 3

ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

     ดูกรปหาราทะ แม่น้ำสายใหญ่ๆ บางสาย คือ แม่น้ำคงคา ยมุนา  อจิรวดี สรภู มหี

แม่น้ำเหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมหมด ถึงความนับว่ามหาสมุทร

นั่นเอง ฉันใด ดูกรปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน วรรณะ 4 เหล่านี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์

แพศย์ ศูทร ออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมละนามและ

โคตรเดิมเสียถึงความนับว่าสมณศากยบุตรทั้งนั้น ดูกรปหาราทะ ข้อที่วรรณะ 4 เหล่านี้ คือ

กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว

ย่อมละนามและโคตรเดิมเสีย ถึงความนับว่าเป็นสมณศากยบุตรทั้งนั้น นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์

อันไม่เคยมีมาประการที่ 4 ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

     ดูกรปหาราทะ แม่น้ำทุกสายในโลก ย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทรและสายฝนจากอากาศ

ตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆ ฉันใด ดูกรปหาราทะ

 ฉันนั้นเหมือนกัน ถึงแม้ภิกษุเป็นอันมากจะปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุ

ก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มด้วยภิกษุนั้น ดูกรปหาราทะ ข้อที่ถึงแม้ภิกษุเป็นอันมากจะ

ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มด้วยภิกษุนั้น

นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 5 ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึง

อภิรมย์อยู่ ฯ

     ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรมีรสเดียว  คือ  รสเค็ม  ฉันใด   ดูกรปหาราทะ ฉันนั้น

เหมือนกัน ธรรมวินัยนี้มีรสเดียว คือ วิมุตติรส ดูกรปหาราทะ ข้อที่ธรรมวินัยมีรสเดียว คือ

 วิมุตติรส นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 6 ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลาย

เห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

     ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในมหาสมุทรนั้นมีดังนี้ คือ

แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬเงิน ทอง ทับทิม มรกต ฉันใด

ดูกรปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมวินัยนี้ก็มีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในธรรมวินัยนั้น

มีดังนี้ คือ สติปัฏฐาน 4สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7อริยมรรคมีองค์ 8 ดูกรปหาราทะ ข้อที่ธรรมวินัยนี้มีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในธรรมวินัย

นั้นมีดังนี้ คือ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5พละ 5 โพชฌงค์ 7

อริยมรรคมีองค์ 8 นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 7 ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุ

ทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

     ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของสิ่งที่มีชีวิตใหญ่ๆ สิ่งมีชีวิตในมหาสมุทร

นั้นมีดังนี้ คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติมิรมิงคลา พวกอสูร นาค คนธรรพ์ แม้ที่มี

ร่างกายประมาณ 100 โยชน์ 200 โยชน์ 300 โยชน์ 400โยชน์ 500 โยชน์ มีอยู่

ฉันใด ดูกรปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมวินัยนี้ก็เป็นที่พำนักอาศัยแห่งสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ

สิ่งมีชีวิตในธรรมวินัยนี้ มีดังนี้ คือพระโสดาบัน ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล

 พระสกทาคามีท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล พระอนาคามี ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อ

กระทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล พระอรหันต์ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ ดูกรปหาราทะ

 ข้อที่ธรรมวินัยนี้เป็นที่พำนักอาศัยแห่งสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ สิ่งชีวิตมีในธรรมวินัยนี้มีดังนี้ คือ พระ

โสดาบัน ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล พระสกทาคามี ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำ

ให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล พระอนาคามีท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล พระอรหันต์

ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 8 ใน

ธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ดูกรปหาราทะ ในธรรมวินัยนี้ มีธรรมที่น่า

อัศจรรย์ อันไม่เคยมีมา 8 ประการนี้แล ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

                          จบสูตรที่ 9

 

พ่อครูว่า...หมายความว่านิพพานมีคงที่ คนจะเกิดมาแต่ไหนๆ ยุคไหนมากขนาดไหนก็มีนิพพานให้คนปฏิบัติได้อยู่เสมอๆ ขอให้ปฏิบัติให้เข้าถึงเถอะ ก็ได้นิพพานธาตุเสมอ นิพพานนี่ไม่เรียกว่าเป็นขันธ์ แต่เรียกว่าเป็นธาตุ คือมีหนึ่งเดียวเท่านั้น

 

สังคมเรามีสติปัฏฐาน 4 มีการปฏิบัติกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ถ้ามางานนี้ควรให้รู้จัก การปฏิบัติกับกายให้ได้สัมมาทิฏฐิที่สุด อาตมาจะพยายามที่สุด I will try. มาปฏิบัติจรณะ 15 มีสติปัฏฐาน 4 อิทธิบาท 4 ที่เป็นกองเชียร์เสริมหนุน ตัวปฏิบัติแท้คือสติปัฏฐาน 4 หากปฏิบัติไม่ได้แท้ก็ล้มเหลวทั้งยวง ถ้าปฏิบัติไม่ถูกก็ลงเหวทั้งยวง เพราะปฏิบัติผิดทาง สติปัฏฐาน 4นี่ต้องทำความเข้าใจให้ดีเลย

 

1.การปฏิบัติของพระพุทธเจ้านี้มีลำดับขั้นตอน เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล ขณะตาสัมผัสรูปเราก็อ่านให้ทัน รูปก็ยังเห็นความรู้สึกก็ยังรับรู้อยู่ ไม่ได้ปิดทวาร ความรู้สึกรับรู้นี้เราเรียกว่าสามัญสำนึก consciousness เป็นเบื้องต้น ขณะเรามีความจริงครบทวาร 6 มีองค์ประชุมอยู่เรียกว่ากาย พระพุทธเจ้าตรัสไว้เลยว่า อานาปานสติ ต้องไม่ทิ้งภายนอกด้วยนะและรับรู้เข้าไปภายในด้วย แม้แต่เหลือลมหายใจเป็นความรู้สึกภายนอกก็ต้องรับรู้ด้วยนะ อย่าทิ้ง ไม่ขาดกัน ต้นกลางปลายนอกและในไม่ขาดกันทุกเวลาวาระ สามัญสำนึกต้องมีข้างนอกเป็นพื้น

 

สามัญเบื้องต้น คือ consciousness ส่วนกลางคือ sub consciousness ส่วนปลายคือ Unconsciousness ซึ่งต้องปฏิบัติขณะลืมตาเปิดทวารทั้งหมด สัมผัสกับข้างนอก แต่จิตที่เป็นจิตสำนึกก็รับรู้ ปฏิบัติจิตสำนึกที่เลวร้ายให้ตายไปหมด จิตใต้สำนึกจะขึ้นมาเป็นจิตสำนึกแทน ก็ต้องมีการสัมผัสรับรู้ทางทวารทั้ง 6 เหมือนเดิม แต่ว่าในสมัยยุคพระพุทธเจ้ามีคนทำแบบหลับตานี่มากมาย ท่านก็ต้องอนุโลมมาก เมื่อเราปฏิบัติในกามาวจรได้ ลดกิเลสเบื้องกลางได้อีก กิเลสส่วนปลายเป็นรูปราคะ อรูปราคะก็จะลอยขึ้นมาให้เราจัดการได้อีก

 

ถ้าไปปฏิบัติโดยไม่มีการสัมผัสจริง ก็จะมีแต่ความจำไม่ใช่ความจริง ไม่ครบอาการ 32 ที่เป็นสุรภาโว ที่จะต้องมีสติมันโตตื่นเต็มมารับรู้ ต้องมีนามธรรมมารับรู้ด้วย เป็นอาการที่ 33 ดาวดึงส์ เป็นเทวดาดาวดึงส์คือ อาการที่ 33 จะไม่เกิดได้เลยถ้ามีมีอาการ 32 สัมผัสกับภายนอกแล้วเกิดอาการที่ 33 คนที่อวิชชาก็จะหลงอาการ 33 เป็นกามาวจร เป็นเทวดาโลกีย์หลงสุข พระพุทธเจ้าให้รู้จักเทวดา 33 แล้วฆ่าเทวดานี้เสียก็จะพ้นทุกข์พ้นสุข จากเทวดาปลอม สมมุติเทพ เทวดาเก๊ สุขขัลลิกะ

 

สรุป ลำดับเป็นเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย จึงมีลำดับในการทำให้จิตสะอาดอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นขั้นบันไดที่ร้อยเรียงงามที่สุด สะอาดที่สุด เร็วที่สุดต้องเป็นลำดับไม่กระโดดไปกระโดดมานี่คือเรื่องน่าอัศจรรย์ที่สุด ทุกวันนี้กระพร่องกระแพร่งบรรยายกันผิดๆ เขาก็ว่ามาจากไหนพระโพธิรักษ์ ไม่ได้สักนักธรรมเลย ก็น่าเห็นใจเขา

 

อย่างทุกวันนี้มีใครอธิบายโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีไหม? ก็มีแต่ที่พูดถึงเป็นอรหันต์เลย เป็นอริยะๆ

 

อาริยะนั้นเริ่มตั้งแต่รู้จักกายของตน เป็นสักกายะ อ่านรูป-นามของตน ที่ประชุมกัน มันจะสังขารเป็น ผี-เทวดาก็แล้วแต่ มันปรุงกันทันทีเลย จะเป็นเทวดาโลกีย์ก็ตามก็ต้องรู้ องค์ประชุมรูป-นามของ ผี-เทวดาที่มาเป็นแบบนี้ คุณเริ่มรู้ตัวนี้เรียกว่ารู้ สักกายะที่เกิดจากการทำงานของปสาทรูป โคจรรูป และไม่ทิ้งดิน น้ำ ไฟ ลม ที่เป็นมหาภูตรูป แล้วประชุมกันเกิด ภาวรูป 2 คือปุริสภาวะและอิตถีภาวะ ทำให้เกิดปุริสภาวะ จนสูงสุด เป็นอุตตมปุริสสะ ถ้ายังมีอิตถีภาวะอยู่มากน้อยเท่าใดก็ยังไม่ถึงอุตตมปุริสสะ สรุปสั้นๆง่ายๆคืออิตถีคือยังไม่หมดกิเลส ยังไม่หยุด ยังไม่ถึงเอกบุรุษ ยังมีเพื่อนสองอยู่ ไม่เป็นหนึ่งเดียว อิสรเสรีเต็มรูป ไม่มีกิเลสในจิตนี่คือปุริสภาวะสมบูรณ์

 

เราก็ต้องเรียนรู้ล้างอิตถีภาวะได้ ผู้ชายก็ทำได้ผู้หญิงก็ทำได้ในการล้างอิตถีภาวะไป ต้องเรียนรู้จากหทยรูป แล้วมีอาหารรูป ชีวิตรูป ในรูป 28 ที่ท่านขยายความชัด ตรวจสอบได้ชัด บรรลุเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายไปตามลำดับ

 

2.มหาสมุทรนี้เต็มอยู่เสมอ ไม่มีล้น(ภาษาอีสานว่าไม่มีเฟือด) ท่านพูดเปรียบเหมือน สาวกของท่านจะไม่ละเมิดธรรมวินัย แม้สัตว์จะฆ่าเรา หรือศัตรูจะฆ่าเรา เราหนีได้ก็หนีเลี่ยงได้เลี่ยง ไม่ให้เขาทำบาป แต่สุดท้ายหนีไม่ได้ก็ยอมตาย คนอาจดูว่าเราอ่อนแอแต่นี่คือเรื่องมหัศจรรย์ ไม่โกหกเป็นตายอย่างไรก็ไม่โกหก

 

3.มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ เพราะคลื่นจะซัดซากศพเข้าหาฝั่งโดยทันที บุคคลผู้ทุศีล คือซากศพ มีไหมเอ่ยในเมืองไทย ไม่ใช่สมณะแต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ เป็นจินไตยที่ชาวอโศกไม่ได้คิดว่าเราจะมีชื่อนำหน้าเป็นสมณะ ตอนแรกเราอยากได้คำว่าพระ แต่ว่าเขาไม่ให้เราจะใช้อย่างอื่นเขาก็ไม่ให้ สุดท้ายเหลือแต่คำว่าสมณะ ก็ตอนนี้เหลือแต่สมณะจริงๆ ตกลงทะเลก็สะอาดเหลือแต่สมณะนอกนั้นเป็นขยะทั้งนั้น แต่ว่าน่าประหลาดทำไมมีน้อย แต่ก็ไม่ประหลาดขอให้เป็นของจริง น้ำสะอาดแท้

 

4.แม่น้ำทุกสายไหลลงทะเลย มีชื่อเดียวในที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะแม่น้ำชื่อไหนๆก็ไม่เหลือชื่อเดิม เป็นมหาสมุทรเหมือนกัน ท่านเปรียบเหมือนคนมีศักดิ์ เดิมเป็นกษัตริย์ ซึ่งก็ต้องมีสารูปของกษัตริย์พอสมควรในขั้นตอน คนสูงก็ย่อมต้องเห็นว่าสูง เตี้ยก็เห็นว่าเตี้ย แต่จิตใจนั้นเสมอกัน แล้วผู้จิตใจสูงก็จะเผื่อแผ่สู่ผู้มีจิตใจต่ำไม่ใช่ข่มเลย อันนี้คือความเสมอสมานกัน ไม่ใช่ว่าจะให้เท่ากันหมดทุกคน นี่คือคนบ้าคิด เป็นจริงไม่ได้ ในมหาปรมาณูสองอันไม่มีเหมือนกัน มีความต่างเสมอ ยิ่งใหญ่ยิ่งมีความต่างกันมาก ไม่มีเสมอสมานด้วยรูป มีแต่นามที่จะเสมอกันได้  แต่เสอมได้เพราะผู้มีมากเฉลี่ยสู่ผู้มีน้อย แต่ทางโลกเขามีมากแล้วก็เอามาข่ม มาดูดเอาไปให้มากอีก เพราะ ความมหัศจรรย์ของธรรมวินัย คนจนอย่างชาวอโศกจึงเฉลี่ยให้แก่คนรวยขี้โลภ ทั้งที่เขามีมากแล้วก็ยังมาเอาจากเราอีก เราจะแบ่งให้คนขาดแคลน อย่างตลาดอาริยะ เขาก็ยังมีคนแฝงเข้ามาเอาอีก

 

อาตมาแบ่งคนเป็นฐานะ 4

  1. นักผลิตจะมีทรัพย์สินมาก เพราะเป็นผู้ผลิต
  2. นักบริการเป็นคนเชื่อมโยงไม่ต้องมีสมบัติวัตถุมาก แต่ทำหน้าที่สะพัด วรรณะแพศย์
  3. นักบริหาร เป็นวรรณะกษัตริย์ คือผู้ที่ทำงานดูแลบริหารควบคุมช่วยเหลือ ซึ่งฐานะยังไม่สูงเท่านักบุญ นักบริหารถือศักดิ์ไว้
  4. นักบุญ ไม่ถือยศศักดิ์ได้ ทำงานช่วยได้ทุกอย่างการเป็นนักบวช ทำงานช่วยผู้ด้อยกว่า ช่วยปชช.ทั้งหมด เป็นพหุชนะ การช่วยนี่ไม่ใช่การรับใช้ การรับใช้คือการทำแล้วได้ของแลกเปลี่ยน หรือแม้แต่ได้กามคุณ โลกธรรม อัตตา ศักดิ์ศรีเป็นเจ้าคุณอะไรนี่ก็เป็นการใช้ลาภแลกลาภ เป็นผู้รับใช้ แต่ผู้ทำให้ฟรีไม่เอาอามิสคือผู้ช่วยเหลือไม่ใช่ผู้รับใช้ แต่นักบวชที่หลงศักดินาก็คือการรับกใช้ แม้แต่ดีไม่ดีก็มาเอาเงินจากฆราวาส ไม่รับใช้สงฆ์เพราะไม่มีเงินแจกกันก็ช่วยกันสงเคราะห์กันได้ แต่กับฆราวาสกลับเอาสิ่งแลกเปลี่ยนก็มารับใช้ฆราวาสเสียนี่ นี่เป็นการไม่พ้น ลาเภนลาภัง นิชิงคิงสนตา ในมิจฉาชีพ 5

 

5. แม่น้ำทุกสายในโลก ย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทรและสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆ ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน ถึงแม้ภิกษุเป็นอันมากจะปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุ ก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มด้วยภิกษุนั้น

6. มหาสมุทรมีรสเดียวคือวิมุติรส ในโลกนี้มีแต่ โลกียรส   ซึ่ง โลกียรสนั้นมีแต่รสบ้า ชอบหรือชังก็เป็นไปตามอุปาทานของแต่ละคน แต่วิมุติรสมีแต่รู้ความจริงตามความเป็นจริง รูป เสียง กลิ่น รส ก็รับรู้อย่างที่มันเป็นเหมือนกันหมด ถ้าประสาทไม่เสีย เราไม่มีรสบ้าที่เป็นโลกียรส

 

7.มหาสมุทรนี้มีรัตนะ แยะแยะมากมาย มีโลกุตรธรรม 9 อันเกิดจากโพธิปักขิยธรรม 37  รวมเป็น โลกุตระ 46 นี่คือทรัพย์สมบัติในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า

8. มหาสมุทรมีสัตว์น้อยใหญ่มากมาย ข้อนี้คือตัวผลเลย ก็คืออาริยบุคคลของธรรมวินัยนี้ มีหลายระดับขั้น

 

การขึ้นบันไดไปตามลำดับขั้น เขาไม่เห็นว่าน่าอัศจรรย์ แต่คนมักจะคิดว่าคนก้าวไปทีละหลายขั้นได้น่าอัศจรรย์ แต่ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้านี้ไม่ใช่ คนก้าวขึ้นบันไดไปตามลำดับขั้นนี่แหละคือความมหัศจรรย์ อย่างที่พูดไปแล้ว คนไม่ฆ่าสัตว์นี่เป็นความมหัศจรรย์นะ มาถึงไม่กินเนื้อสัตว์ด้วยได้เลย พระพุทธเจ้าให้กินได้แค่ ปวัตมังสะ(เดนสัตว์กิน) ส่วนอุทิสมังสะ คือไม่ใช่ว่า คือการบอกว่าต้องเจาะจงชื่อว่าสัตว์นี้ให้คนนี้กิน จึงจะกินไม่ได้ นอกนั้นกินได้ ไม่ใช่เลย ทั้งที่ภาษาบาลีมีแค่ สัญจิตจ(คืออุทิศ) ปานังชีวิตา(ชีวิตสัตว์) โมโรเปตุง(ฆ่า) ภาษาบาลีแปลไว้ชัดเจนว่า เป็นการมุ่งฆ่าชีวิตสัตว์ ทำให้ชีวิตมันตกร่วง

 

เมืองไทยนี่มีความคิดว่า ผู้บรรลุธรรมแล้วบอกไม่ได้ เป็นอรหันต์นี้บอกคนไม่ได้ ถ้าคนไหนบอกก็คือไม่ใช่อรหันต์ไม่บรรลุอีก นี่ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ในชีวิตนี้..มีคนถามอาตมาว่า ท่านเป็นอรหันต์หรือไม่...คนที่ 1 คือขวัญดี น้องสาวอาตมาเอง เขาถามเลยว่าบรรลุอรหันต์จริงหรือเปล่า อาตมาก็ตอบว่าจริงอาตมาบรรลุอรหันต์ นี่คือตอบก่อนที่จะตอบกับอ.แสง จันทร์งาม เคยมาถามอาตมาที่สันติอโศกเลย เขามาถามอย่างเป็นวิชาการ เซ้าซี้อาตมา อาตมาก็ว่าเมืองไทยนี่ถือสากันมาก อาตมาก็บอกไปว่าอาตมาบรรลุอรหันต์ สองคนนี้บอกตรงๆเมื่อถามก็ตอบ ก็บอกชัดๆ ขออภัยที่วันนี้พูดอะไรเต็มสภาพไป ก็เป็นพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์  ที่พูดไปนี่ก็ไม่ได้มีจิตอยากอวดนะ แต่นี่อาตมาสอนมา 45 ปีแล้วก็ต้องพยายามเข็นพลังงานว่าอย่าพึ่งตาย ตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้าเลย

 

ในอภิณหปัจจเวกขณ์ 10 ข้อสุดท้าย พระพุทธเจ้าว่า...คุณวิเศษยิ่งกว่ามนุษย์สามัญ(อุตริมนุสธรรม)ที่เราบรรลุแล้ว มีอยู่หรือไม่ ที่จะให้เราเป็นผู้ไม่เก้อเขิน เมื่อถูกเพื่อนบรรพชิตถาม ในกาลภายหลัง นี่อาตมาก็ตอบตามที่อ.แสง กับ อ.ขวัญดีถาม ก็บอกไป

 

ประเด็นที่อยากย้ำคือ มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ เพราะในมหาสมุทร  คลื่นย่อมซัดเอา

ซากศพเข้าหาฝั่งให้ขึ้นบก ฉันใด ดูกรปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกันบุคคลผู้ทุศีล มีบาปธรรม

มีสมาจารไม่สะอาดน่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญญาว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้

ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ปฏิญญาว่าประพฤติพรหมจรรย์ เสียใน ชุ่มด้วยราคะ เป็นเพียงดัง

หยากเยื่อ สงฆ์ย่อมไม่อยู่ร่วมกับบุคคลนั้น

 

เรื่องนี้เป็นตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ที่อาตมาออกจากมหาเถรสมาคม เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าอาตมาบรรลุจริง แม้เขาไม่มีเจตนาก็มีวิบาก เขาว่ากรรมต้องมีเจตนา กรรมต้องเกิดปฏิกิริยาตั้งแต่ 2 อย่างหรือคนกับสัตว์หรือคนกับคน  คุณทำแม้ไม่มีเจตนา แต่ถ้าจิตเขาถือยึด เขาก็จองเวรจองกรรม อาตมาเคยยกตัวอย่างเหมือนเหยียบสัตว์ตายโดยไม่เจตนา คุณห้ามไม่ให้มันไม่จองเวรไม่ได้หรอก พระพุทธเจ้าที่ถือว่าไม่เป็นกรรมถ้าไม่มีเจตนานั้นตรัสไว้ในธรรมวินัยจะไม่ปรับอาบัติ เพราะไม่เจตนา

 

อาตมาเป็นอรหันต์ที่ไม่ใช่อรหันต์ที่ไม่มีปฏิสัมภิทาญาณด้วย อาตมาไม่ใช่สายเจโต มีปฏิสัมภิทาญาณด้วย ส่วนสายโจโตไม่พูดมาก แต่อาตมาไม่เก่งแบบเจโต เล่นฤทธิ์เดชไม่เก่งแต่ก็มีบ้างตามบารมี ตอนเป็นฆราวาส แค่เสกให้กระดูกยุบ เสกรักษาไข้ ก็ทำได้ อย่างอาตมาทำนายหนังโทน ไปถามคุณสะอาด เปี่ยมพงศานต์ อาตมาทำนายไว้ว่าหนังเรื่องนี้จะได้ ห้าล้าน ทั้งที่หนังสมัยนั้นถึงล้านนี่ก็ยากแล้ว แต่ห้าล้านนี้คือแบ่งจากโรงที่ฉายแล้วครึ่งหนึ่งนะ รวมแล้ว สิบล้านเลย แต่ยุคนี้นี่ตัวเลขเขารวมทั้งโรงและเจ้าตัวได้ แต่ก่อนพูดแต่ที่เจ้าตัวได้เท่านั้น

 

จากนั้นพ่อครูพาปฏิญาณ ศีล 8

คำกล่าวนำปฏิญาณอุโบสถศีล

            [พากล่าวคำ นโมตัสสะ ภควโต ฯ  3 จบ ก่อน]

ณ บัดนี้ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งจิตปฏิญาณ ในงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าทั้งหลาย จะขอบำเพ็ญธรรม ประพฤติตนอยู่ในศีล 8 อันได้แก่

ปาณาติปาตา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการฆ่าสัตว์ เว้นขาดความโหดร้ายรุนแรง  เว้นขาดการเบียดเบียนใดๆ จะพยายามสร้างเมตตาธรรม

อทินาทานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เชิงเอาเปรียบ  จะพยายามสร้างสัมมาอาชีพ ขยันสร้างสรร เสียสละ ละเลิกความโลภ ความเห็นแก่ตัว

อพรหมจริยา เวรมณี จะขอตั้งใจประพฤติ เว้นขาดเรื่องเมถุนธรรม เว้นขาดเรื่องกามคุณ จะเป็นผู้ละเลิกราคะ จะเป็นผู้กำหนดรู้เท่าทันในกาม

มุสาวาทา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการพูดปด เว้นขาดการพูดหยาบ

เว้นขาดการพูดส่อเสียด เว้นขาดการพูดเพ้อเจ้อ จะพยายามพูดเป็นสารัตถะ เป็นธรรม

สุราเมรยมัชชะ ปมาทัฏฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการเสพติดมัวเมา

มีอบายมุขทั้งหลาย มีกามต่อมา มีโลกธรรม 8 อีก และเว้นขาดการยึดภวอัตตภาพทั้งปวง

วิกาลโภชนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ  เว้นขาดจากอาหารและเครื่องใช้ที่

ควรเว้นควรเลิก จะกินจะใช้ตามที่กำหนด จะเป็นผู้พยายามเป็นผู้มักน้อยสันโดษ

นัจจะคีตะ วาทิตะ วิสูกะทัสนา มาลาคันธะ วิเลปนะ ธารณะ มัณฑนะ วิภูสนฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากท่าทางอันไม่สมควร คำพูดที่มีเสียงสำเนียงอันไม่สมควร เช่น ฟ้อนรำ ดนตรี เป็นต้น เว้นขาดจากดอกไม้ของหอม เครื่องตกแต่งพอกทา เว้นขาดจากฐานะแห่งการแต่งงามประดิษฐ์ประดอย

อุจจาสยนะ มหาสยนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติเว้นขาดจากที่นั่งที่นอนใหญ่ เว้นขาดจากการรักของใหญ่ เว้นขาดจากการสะสมของใหญ่ ที่สุดเว้นขาดการหลงติดความใหญ่

ศีลทั้งหลายเหล่านี้ หากข้าพเจ้าทั้งหลายไม่ตั้งใจประพฤติ ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ได้ผล  ถ้าหากข้าพเจ้าทั้งหลายตั้งใจประพฤติ ก็ย่อมได้ตามธรรมสมควรแก่ธรรม         

ดังนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายจักตั้งใจศึกษาฝึกฝน พากเพียรบำเพ็ญ ตามที่หมู่คณะ ได้นำพาช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกันด้วยดี ให้สุดความสามารถ

       ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งปฏิญญาณไว้ ณ โอกาสนี้ ตามนี้.


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:53:04 )

580302

รายละเอียด

580302-พ่อครู ทวช. พุทธาฯ ไพศาลี - มหานิทานสูตร ตอน1

พ่อครูว่า...เริ่มต้นการบรรยาย อาตมาจะนำเอามหานิทานสูตรมาใช้ พูดถึงเรื่อง กายไปก็ไม่ใช่น้อย ซึ่งในมหานิทานสูตรนี้มีครบเลย ทั้งวิโมกข์ 8 วิญญาณฐีติ มาฟังที่อาตมาจะอ่านให้ฟังก่อน ในมหานิทานสูตร พระไตรปิฎก เล่ม10 ข้อ57 

2. มหานิทานสูตร (15)

        [57] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:

      สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ กุรุชนบท มีนิคมของชาวกุรุ นามว่า กัมมาสทัมมะ ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึง ที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วน  ข้างหนึ่ง ครั้นท่านพระอานนท์นั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลความข้อนี้กะ พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปฏิจจสมุบาทนี้ลึกซึ้งสุดประมาณ และปรากฏเป็นของลึก ก็แหละถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็ยังปรากฏแก่ข้าพระองค์ เหมือนเป็นของตื้นนัก ฯ

      พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธออย่าพูดอย่างนั้น อานนท์ เธออย่าพูดอย่างนั้น    อานนท์ปฏิจจสมุบาทนี้ ลึกซึ้งสุดประมาณและปรากฏเป็นของลึก ดูกรอานนท์   เพราะไม่รู้จริง เพราะไม่แทงตลอด ซึ่งธรรมอันนี้ หมู่สัตว์นี้ จึงเกิดเป็นผู้ยุ่งประดุจด้ายของช่างหูก เกิดเป็นปม ประหนึ่งกระจุกด้าย เป็นผู้เกิดมาเหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง จึงไม่พ้นอุบาย ทุคติ วินิบาต สงสาร(ความวน) ดูกรอานนท์  

เมื่อเธอถูกถามว่า ชรามรณะ มีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี ถ้าเขาถามว่า  ชรามรณะมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีชาติเป็นปัจจัย เมื่อเธอถูกถามว่า ชาติมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี ถ้าเขาถามว่า ชาติมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีภพเป็นปัจจัย       

เมื่อเธอถูกถามว่า ภพมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี ถ้าเขาถามว่า ภพมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีอุปาทานเป็น ปัจจัย

เมื่อเธอถูกถามว่าอุปาทานมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี ถ้าเขา  ถาม

ว่า อุปาทานมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีตัณหาเป็นปัจจัย

เมื่อเธอถูกถามว่า ตัณหามีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี ถ้าเขาถามว่า ตัณหามี    อะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีเวทนาเป็นปัจจัย

เมื่อเธอถูกถามว่า เวทนามีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี ถ้าเขาถามว่า เวทนามีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีผัสสะเป็นปัจจัย

เมื่อเธอถูกถามว่า ผัสสะมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอ  พึงตอบว่า มี ถ้าเขาถามว่า ผัสสะมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีนามรูป  เป็นปัจจัย

เมื่อเธอถูกถามว่า นามรูปมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี ถ้าเขาถามว่า นามรูปมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีวิญญาณเป็นปัจจัย

เมื่อเธอถูกถามว่า วิญญาณมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี ถ้าเขาถามว่า วิญญาณมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีนามรูปเป็นปัจจัย

ดูกรอานนท์     เพราะนามรูปเป็นปัจจัยดังนี้แล จึงเกิดวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิด นามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิด เวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดอุปาทาน   เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ เพราะชาติเป็น   ปัจจัย จึงเกิดชรามรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัส อุปายาส ฯ

      ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมมีด้วยประการฉะนี้ ฯ

 

พ่อครูว่าสัญญาเป็นตัวเก็บข้อมูลไว้ เหมือนเคาะเครื่องคอมพิวเตอร์ ใครสามารถก็ดึงเอาสัญญามาใช้ แล้วสัญญาที่เจริญขึ้นเรียกว่า ปัญญาส่วนความรู้อย่าง อัญญาเป็นความรู้อย่างวิชชา เป็นธาตุรู้ที่มีนัย ของความเป็นพุทธแล้ว โกณทัญญะจึงเป็นคนแรกเลยในศาสนาพระสมณโคดม ที่มี อัญญาอัญญา สิ วัฒโพโกญทัญโญ เป็นธาตุรู้ที่รู้ลึกรู้ละเอียด โดยการสัมผัสรู้ สิ่งที่ถูกรู้คือ รูป สิ่งที่รู้คือ นาม ถ้าคำว่า นามรูป คือมีทั้งรูปและนาม นามคือสภาพนามธรรม ก็สามารถถูกรู้โดยนามของเราได้อีก

 

        [58] ก็คำนี้ว่า เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงเกิดชรามรณะ เรากล่าวอธิบาย ดังต่อไปนี้

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้   กล่าวไว้ว่า

เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงเกิดชรามรณะ ดูกรอานนท์ ก็แลถ้าชาติมิได้   มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ มิได้มีเพื่อความเป็นเทพแห่งพวกเทพ เพื่อความเป็นคนธรรพ์แห่งพวกคนธรรพ์(คนที่ยังเพลิดเพลินใน การเสพรสอารมณ์โลกีย์) เพื่อความเป็นยักษ์แห่งพวกยักษ์(ทุกวันนี้ยักษ์มีมาก แต่เป็นยักษ์แปลงรูปมาแบบ เทวบุตรมาร ชนิดเขี้ยวลากดิน ถ้าใครตาทิพย์จะเห็นยักษ์อยู่รัฐสภา คือ จาตุมหาราชิกา) เพื่อความเป็นภูตแห่งพวกภูต(ระดับตั้งแต่ เทพ ยักษ์ คนธรรพ์ ภูติ ก็ไม่มีอาการ32)  เพื่อความเป็นมนุษย์แห่งพวกมนุษย์(พวกจิตกลางๆ คือ มน ที่มีการพัฒนาได้ มีชมพูทวีป โลกหมุนมาเป็นอาการ 32 สติเต็มทั้งนอกและใน) เพื่อความเป็นสัตว์สี่เท้าแห่งพวกสัตว์สี่เท้า เพื่อความเป็นปักษีแห่งพวกปักษีเพื่อความเป็น สัตว์เลื้อยคลานแห่งพวกสัตว์เลื้อยคลาน

ดูกรอานนท์ ก็ถ้าชาติมิได้มีเพื่อความ เป็นอย่างนั้นๆ แห่งสัตว์พวกนั้นๆ เมื่อชาติไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะชาติ   ดับไป ชราและมรณะจะพึงปรากฏได้บ้างไหมฯ

(มนุษย์ เป็นสัตว์ประเสริฐกว่าสัตว์เหล่านั้นเพราะมีอาการ 32 และมีจิตที่เป็นกลางๆพัฒนาได้กว่าสัตว์เหล่าใด)

      ไม่ได้เลยพระเจ้าข้า ฯ

พ่อครูถามว่า ใครเคยเข้าใจมาก่อนว่า กายคือ ร่าง ไม่มีจิต แล้วอีกอย่างคือใครเข้าใจว่า กายคือจิต คือมโน คือวิญญาณอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนมาก่อนเลย

....ก็มีคนเดียวที่รู้มาก่อนว่า กายคือจิต รู้นิดหน่อย แล้วพวกเรามีบารมีนะที่ได้มาฟังธรรมะขนาดนี้นะ เรื่องจริง เมื่อวานนี้ใครได้ฟังการประกาศอรหันต์ อาตมาไม่ได้มีจิตอยากอวดเลย แต่นี่ 40 ปีมาแล้ว แต่เพราะเขาเข้าใจกันว่า เป็นโสดาบัน เกิดอีก 7 ชาติ(ต่ำสุดคือสัตตักขันตุปรมโสดาบัน) ก็จะเป็นอรหันต์ เป็นอรหันต์แล้วต้องตายสูญอีก อาตมาไม่ได้มีจิตสาเฐยยะในการประกาศ อาตมาประกาศอาริยะครั้งแรกปี 2517 ที่โคราช เขาถามว่าเอาอะไรมาเผยแพร่ ท่านเจ้าคุณเจ้าคณะจังหวัดที่โคราชฯก็มาถามว่า เอาอะไรมาเผยแพร่ อาตมาก็บอกว่าเอาธรรมะเอาอาริยะมาเผยแพร่ ท่านก็ถามว่า บอกได้ไหมว่าอาริยะขั้นไหน อาตมาก็คิดว่าจะบอกดีไม่บอกดีนะ(ท่านเสียชีวิตไปแล้วเพราะอุบัติเหตุรถยนต์) อาตมาก็บอกว่า ถ้าเผื่อว่าโสดาฯ สกิทาฯ ผมก็ผ่านนะท่านก็ว่าอ๋อ มีโสดาฯ สกิทาฯด้วยหรือ? (อาตมาตอบอย่างเกรงใจนะ) ท่านเปรียญ 9 แล้วไม่น่าถามอย่างนี้นะ

ต่อมาเมื่อวานนี้ก็บอกไป แต่อาตมาก็พูดเรื่องโพธิสัตว์ แล้วโพธิสัตว์ต้องเป็นอารยะเป็นอรหันต์มาก่อนนะ ก็พูดบรรยายมานานแล้ว ส่วนที่ตอบกับส่วนตัวก็บอกกับสองคนที่เล่าเมื่อวาน ว่าได้พูดว่าเป็นอรหันต์ ขวัญดีก็ถามนานแล้ว ตอนนี้ขวัญดีตายไปแล้ว ก็ถาม อาตมาก็บอกเขา เขาถามเพราะอ้างการศึกษา อาตมาก็บอกเขาว่าเป็นอรหันต์ ส่วนอีกคนก็ ศาสตราจารย์ แสง จันทร์งาม ตอนนี้อายุ 90 แล้ว มาถามที่สันติอโศก นานมาแล้ว เซ้าซี้ถาม อาตมาก็ยึกยักอยู่ตั้งนาน เขาถามว่า ท่านเป็นอรหันต์หรือเปล่า อาตมาก็บอกว่า เป็น ก็มีสองคนนี้แหละที่บอกกับส่วนตัวไป อาตมาคิดว่าขวัญดีก็เชื่อบ้าง แต่เขาไม่รู้ลึกเท่าไหร่ (มีคนบอกว่าขวัญดีไปบอกต่อส่วนตัวคนอื่นอีกบ้าง) ส่วนอ.แสง นั้นเรียนมาทางศาสนามา อาตมาเดาว่าท่านไม่เชื่อมากกว่า ก็ไม่เป็นปัญหาอาตมาจริงใจ อาตมาไม่มีสิทธิ์พูดให้ใครเชื่อ แต่อาตมามีสิทธิ์พูดความจริง แล้วอาตมาไม่ชอบบังคับคนด้วย ยิ่งความเชื่อแล้วก็เป็นปัญญาของเขา อาตมาต้องการคนเข้าใจแล้วเชื่อถือตนเอง คุณจะมาว่าอาตมาไม่ได้ อาตมาไม่เคยและเล็มเลียบเคียงล่อลวงคนมา คนที่ล่อคนมาได้มาก คิดว่าตนเองเก่งนั้นโง่มาก มันไม่ได้ตัวจริงมา ได้แต่ขยะมา ก็เห็นแล้วน่าสงสาร เมื่อไหร่จะหลุดจากความโง่ วันนี้ก็เล่าเปิดเผยหมดเนื้อหมดตัว อาตมาไม่ได้ต้องการให้คุณเชื่อนะ ช่างศีรษะคุณเถอะ เชื่อหรือไม่อาตมาก็เป็นตัวของอาตมาเอง

 

(ต่อในพระไตรฯ)

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งชรามรณะ  ก็คือชาติ

นั่นเอง ฯ

 

พ่อครูว่า...คนเราก็มีเหตุ มาประสมเป็นเรื่องราว เป็นนิทานของตน มีนิทานชาดกของตน ชาดก คือ ชาตกะ ก็คือ ชาติ นั่นเอง แต่ละคนมีนิทานทั้งนั้น นิทานคนไหนมีราคะ โทสะ โมหะ คนก็จับมาทำหนังเพราะคนชอบ และเวทนาเป็นนิทาน ผัสสะเป็นสมุทัยของมรรค ตัณหาเป็นสมุทัยเหตุใหญ่ทางจิตเลย ผัสสะกับตัณหานี่แหละปรุงแต่งจัดการกันเป็นนิทาน หรือเวทนา 108 ถ้าไม่เข้าใจเวทนา 108 อย่างมีปฏิสัมพัทธ์ เช่นนี่ สัปปะรดบนโต๊ะนี้  พอสัมผัส แล้วก็เกิดเวทนาเป็นเรื่องขึ้นมา ตากระทบรูป ก็เกิดนิทาน อวิชชามันสังขารปรุงแล้ว พออยากกินก็เป็นผี พอได้มากินสัมผัสก็เป็นเทวดา แซ่บดี พอไม่ชอบใจผีก็ขึ้นต่อ ดีไม่ดีอาละวาดเลย เหมือนนิทานผัวกินอาหารไม่ถูกปาก ก็ร่อนจานเลย นั่นคืออยากก็เป็นผีแล้ว พอกินเข้าไปไม่ถูกปาก ผีก็เข้าอีก ร่อนจานเลย นี่คือไม่รู้ วิญญาณผี วิญญาณเทวดา

 

อาตมาก็ขยายความ พวกเราได้ฟังนี้เป็นอัพภูตธรรม ที่เป็นสิ่งที่อาตมามี เป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่คิดว่ามีจริง ถูกต้อง แล้วอาตมาไม่ได้มีศักดิ์ศรีอะไรเลย ให้เขานับถือ ไม่ตรงกับสิ่งที่เขาเข้าใจก็ตีทิ้ง แล้วเขาไม่เคยได้ยิน อัพภูตธรรม สิ่งที่เป็นอัจฉริยะ อัพภูตธรรม น่าอัศจรรย์ เป็นสิ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ในปหาราทสูตร เป็นความมหัศจรรย์ 8 ข้อ อาตมาก็ทบทวนสิ่งที่เป็นมา แล้วมาขยายอีก อาตมาแกล้งได้ไหม เอาอัพภูตธรรม เอาอัจฉริยะนี่มาพูด แกล้งได้ก็แกล้งสิ อาตมาว่าให้มาจน พวกเราก็มาจนเป็นสิ่งอัศจรรย์ อาตมาไม่เคยล่อให้มาโดยบอกว่ามารวย มาสวย มาได้โลกธรรมอะไร นะ อย่างสมณะนี่มานี่ อาตมาบอกว่ามาตายกันนะ ไม่ได้ให้มาสบายกินนอนพุงพลุ้ย แต่แปลกนะ บางรูปไม่ผอมนะ สมสัดส่วน

 

(ต่อในพระไตรฯ)

      ก็คำนี้ว่า เพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบข้อความนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้   กล่าวไว้ว่า

เพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าภพมิได้มีแก่ใครๆ    ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ เมื่อภพไม่มีโดย ประการทั้งปวง เพราะภพดับไปชาติจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งชาติ ก็คือภพนั่นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะอุปาทาน (ต้องปฏิบัติจนเข้าไป ทำไป สร้างไป ฝึกตนจนเป็นช่างที่ไปรื้ออุปาทานออกหมดได้ ก็เป็นอรหันต์ ซึ่งจะไปรื้ออุปาทานได้ต้องเป็นช่างใหญ่) เป็นปัจจัยจึงเกิดภพ เรากล่าวอธิบายดัง ต่อไปนี้ ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้ กล่าวไว้ว่า

เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าอุปาทานมิได้มี   แก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน    สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน เมื่ออุปาทานไม่มี โดยประการทั้งปวง เพราะ   อุปาทานดับไป ภพจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

พ่อครูว่า...อ่านไปก็จะไปตามเหตุผลได้ แต่ทั้งหมดเป็นสภาวธรรม ส่วนนักปรัชญานั้นขาดปัญญาที่เป็นตัวรู้ความจริงตามความเป็นจริง ที่ไปรู้ รูป-นาม ถ้าไม่เข้าใจว่า รูป คือ สิ่งที่ถูกรู้ แค่นี้ก็เข้าใจไม่ได้ อย่างสมณะของเรารูปหนึ่งย้อนอาตมาว่า พ่อท่านไปรู้มาจากไหนว่าใครสอน รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นี่ตอนนี้ก็กระเด็นไปไหนต่อไหนแล้ว ซึ่ง รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ ใครเข้าใจไม่ได้ก็ไม่มีทางปฏิบัติธรรมได้หรอก เช่น เสียงนี่ มันต้องถูกนามไปรู้ จึงมีปฏิกิริยาปฏิบัติต่อไปได้ เสียงจึงคือสิ่งที่ถูกรู้  ก็คือรูป นั่นเอง

เขาได้แต่อัตวาทุปาทาน เช่น ลัทธิที่เขายึดอัตตา เป็นปรมาตมัน เป็นอาตมัน เขายึดแต่ว่าเขาไม่รู้สภาวะจริงหรอกอ่านอาการไม่ได้แต่ว่าเชื่อถือยึดถือ  แต่ของพุทธรู้จริงแล้ว รู้ว่ามันไม่เที่ยง มันมีปรมาตมันในตัวเรา เริ่มตั้งแต่อรหันต์ถือว่าเริ่มต้นปรมาตมันยิ่งใหญ่ของคน แล้วปรมาตมันของแต่ละคนหรือพระเจ้า ที่เป็นปัจเจกของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันนะ ทีนี้ มีปรมาตมันทั่วไปอีก ก็คือ พลังงานรวม อย่างชาวอโศกมีพระเจ้าของชาวอโศก เป็นพลังงานสนามแม่เหล็กของอาริยภูมิ รักษาชาวอโศกอยู่ มีฤทธิ์เดชต่อชาวอโศกอยู่ ดูถูกมิได้ แต่คนไม่เชื่อดูถูก คนที่ดูถูกสิ่งใดเขาก็ไม่นับถือ เขาก็ไม่ได้อะไรจากสิ่งที่เขาดูถูก ถ้าเขานับถือเขาจะได้ นับถืออย่างเจโต อย่างศรัทธาเขาก็จะได้ ถ้านับถืออย่างปัญญาก็ยิ่งได้ แต่คนเราจะบังคับกันไม่ได้ ก็อธิบายสู่ฟัง

ชาวเทวนิยมเรียกหาพระเจ้าๆ แต่ว่าเขาไม่ได้รู้จักพระเจ้าเลย พระเจ้าคือ จิตวิญญาณ แล้วเขาก็ไม่เคยเรียนวิญญาณของตนเองเลย แล้วถ้าวิญญาณของตนมี ก็ทำให้วิญญาณตนเป็นพระเจ้าสิ คือมีพรหมวิหาร 4 มีเมตตา (เกิดที่ใจ) พอกรุณาก็มีกรรมกิริยาช่วยเขา ก็มีมุทิตาเขาพ้นทุกข์แล้วก็พอใจ ส่วนอุเบกขาก็ปล่อยวางจบ นี่คืออัปปมัญญา 4 ผู้ใดมีพรหมวิหาร 4 แล้วผู้นั้นคือ พรหม

 

อัตตวาทุปาทานคือยึดถือแต่คำพูดเป็นลัทธิเลย แม้ชาวพุทธ จบเปรียญ เรียนดร.จบมาก็ตาม มีเจ้าคุณองค์หนึ่งบอกว่าโพธิรักษ์เป็นใคร (ผู้พูดจบเปรียญ 6) แล้วโพธิรักษ์จบอะไรมา.....อาตมาจบเพาะช่าง เป็นช่างร้่อยมาลัย...ในอัตวาทุปาทาน เขาพูดเรื่องพระเจ้าก็ไม่รู้จักสภาวะของพระเจ้า เริ่มต้นวิญญาณเขายังสัมผัสวิญญาณไม่ได้เลย แล้วจะเอาอะไรไปรู้จักพระเจ้า พระพุทธเจ้าสอนว่าวิญญาณต้องเกิดจากผัสสะ มีปสาทรูป และโคจรรูปทำงานร่วมกัน มีนามธรรมไปทำงานเรียกว่าโคจระ ดำเนินการ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ไม่ใช่ว่าดับไม่รับรู้ไปหมดก็ผิดทางพระพุทธเจ้าเลย ที่ท่านให้รับรู้ครบทุกทวาร คือภาวะ คือปาตุภาวะ คือปาตุสัจจะ มันเกิดอาการแม้เป็นนามธรรมนั่นแหละสิ่งจริง ตากระทบรูปก็เกิดวิญญาณ รู้ว่า อันนี้สัปปะรด วิญญาณก็รู้ก็เห็นขึ้นมา นามธรรมทำงาน เป็นวิญญาณ ถ้าอวิชชามันสังขารปั๊บเลย เป็นผีหรือเป็นเทวดา ผีก็คือทุกข์ สุขก็คือเทวดา เป็นอาการจิตจริงๆ อาการสุข ทุกข์ คืออัตภาพของตัวเราหรือเฉยๆก็แบ่งเป็น เวทนา 3 เป็นเวทนาหลักที่ต้องเรียน แม้เวทนา 2 ก็ต้องเรียนรู้ละเอียด ส่วน กายิกทุกข์ คือเวทนาที่เกิดจากองค์ประชุม คือเรื่องของกาย(ไม่ใช่ว่ากายคือร่างเนื้อ ไปแยกกับจิต) กายคือ องค์รวมทั้งนอกและใน ไม่ขาดจากกันนะ แยกส่วนไม่ได้ แม้ปฏิบัติล้างอบายได้ เป็นโสดาบัน ไม่ติดอบายแล้วก็ยังไม่ทิ้งข้างนอก สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ก็ไม่ทิ้งข้างนอกนะ แล้วที่เขาสอนกันว่า อย่าส่งจิตออกนอก ก็คนละทางกับที่อาตมาสอนนะ คนที่สอนแบบนี้เขาว่าเป็นอรหันต์ด้วยนะ อาตมาก็ขอว่า ท่านมักน้อยได้จริง แต่ว่าปรมัตถ์ท่านไม่ได้ แล้วสอนว่าอย่าส่งจิตออกนอก ไม่รู้กายนี่ จบเห่เลย

คำว่าอัตตาจึงไม่ใช่เรื่องสามัญ ผู้ใดมีญาณอ่านวิญญาณได้ ตากระทบรูปเกิดวิญญาณ เกิดอาการชอบ หรือชัง ดูด แรง หรือเบา หรือเหมือนเฉยๆ กับอาการเบาๆมันก็มีความต่าง อ่าน ลิงค คือเพศ ที่มันยังดิ้นอยู่ก็คือ อิตถีเพศ ส่วนที่สงบแล้วไม่ดิ้นก็คือ ปุริสภาวะ ให้ทำปุริสภาวะไม่ใช่อิตถีภาวะ จนสูงสุดเป็น อุตมปุริสสะ คือหมดอิตถีภาวะเลย เป็นเอกบุรุษ เป็นเอโก ที่ไม่ใช่แปลว่าหลีกเร้นอยู่แต่ผู้เดียวไม่เกี่ยวกับใคร พระพุทธเจ้าสอนพระเมฆิยะ ว่าอย่าไปเลยในป่า ป่าจะเอาใจของเธอไปเสีย สุดท้ายกิเลสกลุ้มรุมก็เลยกลับมาหาพระพุทธเจ้าเป็นนกติรทัสสี

 

กามุปาทาน กามคืออาการของการสุขทาง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส (แม้แต่โลกธรรม)พอสุขแล้วก็อยากได้มาเป็นของตนอยากได้ทั้ง กามคุณ ทั้งโลกธรรม แม้กระทั่งศักดิ์ศรี ถือดีถือตัวกัน คือไม่รู้อัตตา การยึดถือตัวตน อัตนียาคือเป็นของตน แต่ตัวตนนี่เนียนใน เป็นอัตตา ตัวกู ยังอยากมีอะไรอีกอันหนึ่ง

 

ทิฏฐุปาทานคือยึดถือความเห็นความรู้ความเข้าใจ ยึดปัญญา ทุกวันนี้ท่านผู้รู้ทั้งหลายแหล่ ฟังให้อาตมาหน่อยก็ไม่ได้ท่านมีความรู้ ตั้งใจฟังยิ่งดี ฟังแล้วพิจารณาให้ดี อย่าอาบน้ำกลัวเปียก น้ำเลยไม่เปียกตัวเสียที พอน้ำถูกตัวก็รีบเช็ดเลยไม่ซึมซับได้ การยึดทิฏฐิโดยไม่เอาความรู้ความเห็นของคนอื่นเลย แม้ธรรมะอาตมาขี้เหร่ แต่ก็มีประโยชน์บ้างนะ

 

ศีลพตุปาทาน คือยึดถือในศีลพรต ที่เอามายึด พื้นฐานเป็นศีล 5 ก็เอาแค่นั้นก่อน ก็ยึดถือสมาทานแค่นี้ ตามกรอบ แล้วมีการปฏิบัติประพฤติ เป็นพรต สัมผัสแตะต้องแล้วเกิดวิญญาณ อ่านอาการทางจิตทางกายออก แล้วอาการที่ไปติดยึด หลงเสพอร่อยเป็นสุขโลกีย์ ต้องแยกให้ออก ตั้งแต่หยาบๆ ได้วัตถุ ได้ยศ สรรเสริญ สัมผัสกามคุณ ก็ดีใจ พอใจ คุณก็อ่านอาการพอใจ ว่าไม่ได้อาการนี้มันจะตายไหม หัดเลิกหัดหยุดมันบ้าง มันไม่เที่ยงแท้ ไม่จริง ลองสละออกดูว่า สุขอันนี้ รสนี้ เงินนี้ ไม่ได้แสนจะตายไหม กินวันละมื้อดูสิ หรือกินวันละสามมื้อ ไม่กินจุบจิบดูสิ สัมผัสแล้วมันอยากทางจิต แต่เรากำหนดมื้อแค่ 3 มื้อแล้วนะ ก็อย่าไปกินนอกมื้อ ดูสิว่าจะตายไหม? มันไม่ตายหรอก ปฏิบัติอดทนก็เป็นเจโตสมถะ ไม่ให้มันเรื่อยก็ชินชา ยิ่งใช้ปัญญา ก็จะรู้ว่ามันหลอกเรา ไม่กินก็ไม่ตาย จนเห็นจริงเลย จะเห็นเลยว่าอารมณ์มันไม่จริง สัมผัสอีกมันก็ไม่ได้มีอารมณ์อีก ไม่มีเราก็ไม่แคร์ เอาอย่างอื่นแทนได้ เอาหมวกมาแทนเกือก เอาเกือกมาแทนเกือกก็ได้ ฝึกศีลพรตนั้นจนกิเลสจางคลาย เพราะปัญญา กดข่มก็รู้ว่ากดข่ม จนไม่กดข่ม มีไฟฌาน แปลว่าไฟกองพิเศษที่เผาไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ ให้สลายไป มันมีอำนาจวิเศษไปเผาไปสลายพลังกิเลสได้เลย ฌานต้องมีปัญญา เป็นธาตุรู้เหนือชั้น ที่สลายกิเลสได้จริงๆ เป็นพลังงานเหนือพลังงาน ทำไปจะรู้เองเห็นเองเป็นปัจจัตตัง ก็ทำไปตามลำดับ จนบรรลุมรรคผลก็สำเร็จศีลพรต แต่ไม่บรรลุเพราะอุปาทาน เป็นมิจฉาทิฏฐิ ปฏิบัติเข้าใจเป็นสัมมาทิฏฐิ แต่ปฏิบัติเป็นมิจฉาปฏิบัติก็ไม่ได้ ถ้าปฏิบัติไม่ถูกก็ไม่ได้ ส่วนมากก็ยึดถือศีลพรต แต่มิจฉาปฏิบัติ หรือมิจฉาทิฏฐิอีก ก็เป็น ศีลพตุปาทาน ยึดได้แค่ศีลพรต ต่างจาก สีลัพพตปรามาส ซึ่งเป็นการปฏิบัติจนสามารถรู้จักสักกายะทิฏฐิ แต่ไม่สามารถลดละกิเลสได้ อ่านตัววิญญาณเมื่อสัมผัสได้ อ่านอาการตัวตนได้ในปัจจุบันขณะ มีอาการ ลิงค นิมิต ให้ได้อย่างนี้ จากการฟังอุเทส แล้วเอาไปปฏิบัติ จับอ่านสักกายะให้ออก ว่าใช่แน่นะ พ้นวิจิกิจฉาเลย อาการอยากได้สัปปะรด เห็นผีเดี๋ยวนี้เลยมันดิ้นอยู่คุณกำลังพบสักกายะ พ้นวิจิกิจฉา แต่คุณสัมผัสแล้วไม่ได้ทำอะไรกับมันเลยก็ลูบคลำผีนี้อยู่ คุณผ่านสักกายะ ผ่านวิจิกิจฉา แต่ไม่พ้นศีลพตปรามาส ไม่ทำให้กิเลสลดได้ คุณเล่นหัวอยู่กับผีตัวนั้นลูบคลำมันอยู่ เล่นๆหัวๆ ทำเหยาะแหยะ คุณไปจับโจร ตำรวจนี้รู้จักโจรนะ แต่ว่าไปกินข้ามต้มกับโจร ไม่จับโจรเสียที

ในวงการการเมืองเล่นหัวกับโจร อยู่นี่คือศีลพตปรามาส ผ่านแล้วรู้จักผี โจรได้ แล้วไม่จับโจรเสียที เมื่อไหร่จะปฏิรูป ปฏิวัติได้เล่า ผิดม.157นานแล้ว แค่ถอดยศแค่นี้ก็ไม่ทำ เมืองไทยจะหาคนกล้าสักคนได้ไหม? พูดนี่ไม่ได้โกรธเคืองนะ แต่ก็ท่าทีเข้าที สักวันหนึ่งอาตมาว่า เอาจริงนะท่าทีตอนนี้ อาตมาเชียร์เลย(ช่วงนั้นมีข่าวเรื่องการจะถอดยศ พ...ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี)

 

ศีลพตุปาทาน ก็แย่กว่า ศีลพตปรามาส เพราะได้แค่ยึดได้แค่คำ แต่ไม่ประพฤติสักที รู้จักศีลแต่ไม่ทำสักที แต่ถ้าทำแล้วมีพรตแล้ว รู้สักกายะตนแล้ว แต่ไม่จัดการกิเลสให้ลด ผู้นั้นไม่พ้นศีลพตปรามาส หากผู้ใดทำให้มันลดจางคลายได้ ก็ค่อยพ้นศีลพตปรามาส ได้ผลของโสดาปัตติผลไปตามลำดับ

...จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:54:00 )

580303

รายละเอียด

580303-พ่อครู ทวช. พุทธาฯ ไพศาลี เรื่อง มหานิทานสูตร ตอน2

พ่อครูว่า....วันนี้วันอังคารที่ 3 มี.ค. 2558 เป็นวันที่ 3 ของงานแล้ว วันนี้ก็จะอ่านมหานิทานสูตรให้ฟังก่อนให้จบแล้วค่อยสาธยาย...วันนี้เราจะเปลี่ยนโศลกใหม่ ซึ่งอาจได้ใช้โศลกนี้อีกหลายครั้ง เพราะเป็นโศลกที่ยิ่งใหญ่ โศลกที่ว่าชื่อ ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก...ในที่สุดฟังให้ดีแล้วเป็นให้ได้ ...มีคำว่าในที่สุด เพราะการชนะนั้น ไม่ใช่ชนะรวดเดียว ส่วนมากจะเป็นผู้แพ้ก่อน แล้วจะชนะไป จนชนะทุกสิ่งทั้งโลก ในที่สุด อย่างอื่นชนะความบริสุทธิ์ไม่ได้ ใครจะทุจริตอย่างไรก็เป็นไป แต่โดยสัจจะแล้ว มันชัดเจนว่า คนที่บริสุทธิ์เท่านั้น ถึงเป็นสิ่งที่สูงสุด

 

สังคมไทยทุกวันนี้ กระแสมา จะชัดเจนมาก แสดงสัจจะของสัทธรรม ที่เป็นธรรมดาจะต้องเป็นเช่นนั้นเอง ตามสามัญตามจริง ส่อแสดงว่าต้องเป็นเช่นนี้ นั่นก็คือ ขณะนี้ คนผิด ย่อมเปิดเผยความผิดของเขาไม่ได้ ไม่กล้า ทั้งอาย ทั้งกลัว ทั้งโกงต่อไปอีก นี่คือลักษณะของคนผิด ส่วนคนถูกนั้นย่อมกล้าเปิดเผยความถูกของตนได้ ทั้งไม่เก้อ ไม่ยาก ไม่อาย ไม่กลัว ไม่บิดพลิ้วอะไรทั้งนั้น ยิ่งมีการกระทำที่กระทบต่อส่วนรวม ที่ปรากฏการณ์เกิดของแต่ละกลุ่มย่อยที่กระทบต่อสังคม ที่เกิดความผิด มีอาการปกปิด บิดพลิ้ว หมักหมม เน่าใน เกิดขึ้นหนักในสังคม อ่านออก คนที่พอมีปัญญาจะรู้  สักวันจะยิ่งกว่ามะเร็งร้าย หรืออีโบล่า

 

มันจะเน่าเท่าใดก็แล้วแต่ ก็ไปบังคับกันไม่ได้ แต่ทุกคนก็พยายามมีมารยาทของเขาเป็นธรรมชาติ สังคมยิ่งต้องกระทบส่วนรวม มีปรากฏการณ์พิเศษที่สังคมต้องพยายามทำให้เกิดความถูกต้องให้ได้ ยิ่งต้องมีอาการเปิดเผย เพื่อจะแก้ เพราะสังคมยิ่งเน่าใน ยิ่งปกปิดกันอย่างที่เป็น เราจึงต้องทำให้เกิดพฤติกรรมสังคม ให้มีปรากฏการณ์วิเศษในสังคม มีอาการเปิดเผย เพื่อแก้ปรับปวาทะ(คือคำสอน คำพูด ที่คลาดเคลื่อน วิปริตผิดเพี้ยนไปจากคำสอนพระพุทธเจ้า) เราต้องทำความถูกต้องให้ปรากฏสำเร็จเป็นที่เรียบร้อย ผู้ที่สามารถทำให้ปรับปวาทะให้ถูกต้อง ตอนนี้การทำให้วิปริตผิดเพี้ยนสัทธรรมของพระพุทธเจ้านั้นมากเกินไปแล้ว ทุกอาการเคลื่อนไหวทุกวันนี้ ในกระแสสังคม ความผิดของสัทธรรมพระพุทธเจ้า กำลังทำการปกปิดบิดพลิ้ว ทั้งหน้าไม่อาย ทั้งกลัว ทั้งไม่กล้า คนผิดไม่อยากเปิดเผยกัน เขาจะทำหนักอย่างไรในพฤติกรรม ความถูกต้องสัทธรรมของพระพุทธเจ้าก็ยิ่งน่าเปิดเผยมากเท่านั้นเพื่อยืนยันสัจจะ ผลถูก แม้ว่า เราจะยังไม่รู้ชัดว่าอะไรถูกหรือผิดก็ตาม คนที่เขาไม่มีปัญญารู้ชัดเจนก็ตาม ก็ยังอยากจะให้ความถูกเปิดเผย ยิ่งคนที่รู้จักความถูกต้องความผิดที่แท้จริงแล้ว อย่าดูดายเพิกเฉย เพราะความถูกมันถูกความผิดข่มเหงทำร้ายหนักเหลือเกิน สังคมจะดีขึ้นอย่างเดียว ต้องเอาความถูกต้องขึ้นมา อย่างไม่ใช่อยากอวดนะ แต่เป็นสิ่งที่ควรทำจำเป็น คนถูก ต้องออกมาแสดงพฤติกรรม มารวมกัน ก็มีหลากหลายตามเหตุปัจจัยที่จะแสดงออกได้ อย่างอาตมาเป็นต้น มันแสดงได้แค่นี้นะ ที่จริงอยากแสดงกว่านี้ แต่มันแสดงได้แค่นี้ ก็ต้องมาช่วยกัน บางคนมีข้อจำกัด แต่ขอให้ออกมาเป็นกิริยาของ กาย-วจี-มโนกรรม ในตัวเราที่รู้ถึงความถูกต้องจริงใจ เป็นเช่นนี้ๆ เราแสดงอย่างจริงใจเลย อาตมาเชื่อมั่นว่า คนเราพยายามใช้ปัญญาทั้งนั้น ก็ต้องกรองเอาความถูกต้องออกมาแสดงทั้งนั้น ให้ความชั่ว ความผิดถูกข่ม ด้วยความจริงความถูกต้อง ก็ขอประกาศถ้วนทั่ว ใครมีปัญญารู้ว่าความบริสุทธิ์ถูกต้องเท่าไหร่ก็เทออกมา ตามเหตุปัจจัยของแต่ละคน ถ้าสามารถเท่าไหร่ได้ก็ทำเต็มที่ จะเกิดสังเคราะห์พฤติกรรมสังคม โดยไม่ต้องตีรันฟันแทงรบรากัน เพราะความถูกต้องดีงามไม่ร้ายแรง ความอบอุ่นปรารถนาดีนั้นไม่เป็นพิษเลย ขอให้แสดงออกตามปัญญาของแต่ละคน ให้นำความถูกต้องดีงามของตนแสดงออก นี่คือการแก้ไขปัญหาสังคม อย่าดูดายนิ่งเฉย ดีไม่ดีเอาความไม่ถูกมาแสดงออก ก็คือโง่และบ้า

 

แม้แต่ผู้ที่อยู่ในสถานะผู้รักษาความสงบเรียบร้อย ไม่น้อยเลยว่ารู้อะไรถูกหรือผิด แต่ก็ยังแสดงออกมา นี่คือคนอวิชชา ต้องตั้งสติทำความเข้าใจให้ดีว่า เราควรแสดงความโง่ความผิดหรือความถูกต้อง

 

ต่อไปจะอ่าน มหานิทานสูตร ต่อจากวานนี้

 

...เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าอุปาทานมิได้มี   แก่ใครๆ ในภพไหนๆ

ทั่วไปทุกแห่งหน คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน    สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน เมื่ออุปาทาน

ไม่มี โดยประการทั้งปวง เพราะ   อุปาทานดับไป ภพจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งภพ    ก็คืออุปาทานนั่นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดอุปาทาน เรากล่าวอธิบายดัง   ต่อไปนี้

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้   กล่าวไว้ว่า

เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดอุปาทาน ดูกรอานนท์ ก็ถ้าตัณหามิได้มี   แก่ใครๆ ในภพไหนๆ

ทั่วไปทุกแห่งหน คือรูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา       รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธรรมตัณหา

เมื่อตัณหาไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะ   ตัณหาดับไป อุปาทานจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งอุปาทาน    ก็คือตัณหา

นั่นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา เรากล่าวอธิบายไว้    ดังต่อไปนี้

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้   กล่าวไว้ว่า

เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา ดูกรอานนท์ ก็ถ้าเวทนามิได้มี   แก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไป

ทุกแห่งหน คือ เวทนาที่เกิดเพราะจักษุสัมผัส    โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส

มโนสัมผัส เมื่อเวทนาไม่มี   โดยประการทั้งปวง เพราะเวทนาดับไป ตัณหาจะพึงปรากฏได้

บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ (พ่อครูว่า คำว่า เพราะเวทนาดับไป ก็พอซื่อว่าดับแบบไม่เกิดเวทนาเลย เช่น ตากระทบรูป แล้วคุณไม่รู้สึกอะไรเลย เหมือนไม่เห็นเลย เพราะว่าเวทนาดับแบบพาซื่อ ตามองกระทบรูป หูก็ได้ยินเสียง แต่ไม่รับรู้ ดับการรับรู้เลย ไม่เกิดเวทนา แล้วจะสัมผัสไปทำไม มีทวาร 6 ไว้ทำไม นี่คือความผิดพลาดของนักปฏิบัติธรรม แล้วจะมาปฏิบัติทั้ง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ทำไม เมื่อไปดับตั้งแต่ต้น ก็เลยไปนั่งทำดับทุกทวาร แล้วบอกว่านี่คือนิโรธ คือตัณหาดับ เขาเข้าใจเช่นนั้น ดับไปเท่าไหร่ก็ไม่มีทางได้บรรลุจริง พระพุทธเจ้าไม่ได้พาซื่อดับเช่นนั้น)

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งตัณหา ก็คือเวทนา

นั่นเอง ฯ

        [59] ดูกรอานนท์ ก็ด้วยประการดังนี้แล คำนี้ คือ เพราะอาศัย  เวทนาจึงเกิดตัณหา

เพราะอาศัยตัณหาจึงเกิดการแสวงหา เพราะอาศัยการแสวงหา  จึงเกิดลาภ เพราะอาศัยลาภจึงเกิด

การตกลงใจ เพราะอาศัยการตกลงใจจึงเกิดการ รักใคร่พึงใจ เพราะอาศัยการรักใคร่พึงใจจึงเกิด

การพะวง เพราะอาศัยการพะวง จึงเกิดความยึดถือ เพราะอาศัยความยึดถือจึงเกิดความตระหนี่

เพราะอาศัยความตระหนี่ จึงเกิดการป้องกัน เพราะอาศัยการป้องกันจึงเกิดเรื่องในการป้องกันขึ้น อกุศลธรรมอันชั่วช้าลามกมิใช่น้อย คือการถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ การ     แก่งแย่ง การวิวาท

(พ่อครูว่า...เหตุการณ์บ้านเมืองตอนนี้ก็เกิดการป้องกัน แต่อกุศลก็ยังไม่ถึงกับลงมือลงไม้ ได้แต่ส่อเสียดคำเท็จ มีเหตุการณ์ร้ายแรงมากแต่ก็เกิดเหตุที่เบาทะเลาะกันด้วยภาษา ในสังคมกว้างก็ยังไม่หยาบคาย มีในสื่อสาร social media มีหยาบคายบ้าง นี่คือเรื่องจริงเรื่องใหญ่ แต่สังคมไทยอยู่ในภาวะที่ผู้บริหารข่มไว้ก็เลยไม่แรง ทั้งที่เหตุการณ์แรงหนักมาก ผู้ผิดกำลังบิดพลิ้วปกปิดหมักหมมจัดจ้าน อาตมาก็เรียกร้องให้ผู้ที่ถูกต้องออกมาแสดงความบริสุทธิ์ ถูกต้องดีงามให้เต็มที่ตามข้อจำกัดของแต่ละคน ซึ่งผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักทางสังคมอาจแสดงออกไม่ได้มากตามข้อจำกัด แต่ว่า ผู้น้อยนี่ก็แสดงออกเต็มที่เลย จริงๆแล้ว ทาง social media ช่วยได้มากขอให้แสดงออกสิ่งจริง โดยบริสุทธิ์ใจ เพราะคนชั่วก็พยายามแสดงออกมาเพื่อสู้กับพลังทางสังคม ก็เรียกร้องผู้จริงใจ ปรารถนาดีต่อประเทศชาติ ทุกคนมีทั้งชั่วและดี แต่เราพยายามแสดงออกแต่ดีออกมา เราเก็บความชั่ว ต้องแสดงออกสิ่งดีออกมาเป็นโอกาสที่ดีมาก นี่คือธรรมาธรรมะสงคราม )

 

อ่านต่อ.....

การกล่าวว่า มึง มึง การพูดคำส่อเสียด และการพูดเท็จ   ย่อมเกิดขึ้น คำนี้เรากล่าวไว้ด้วย

ประการฉะนี้แล ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความ      ข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวว่า

เรื่องในการป้องกันอกุศลธรรม   อันชั่วช้าลามกมิใช่น้อย คือการถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ การ

แก่งแย่ง การ  วิวาท การกล่าวว่า มึง มึง การพูดคำส่อเสียด และการพูดเท็จ ย่อมเกิดขึ้น

 ดูกรอานนท์ ก็ถ้าการป้องกัน(อารักโข)มิได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน    เมื่อไม่มีการ

ป้องกันโดยประการทั้งปวง เพราะหมดการป้องกัน อกุศลธรรมอัน  ชั่วช้าลามกมิใช่น้อย คือการ

ถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท     การกล่าวว่า มึง มึง การพูดคำส่อเสียด

และการพูดเท็จ จะพึงเกิดขึ้นได้    บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

 

(พ่อครูว่า...ตอนนี้ใครทำการป้องกัน ตอนนี้คนผิดกำลังออกอาการป้องกัน รักษาตัว เพราะตัวผิด เน่า ก็หมกหมัก ปิดบัง ป้องกันใหญ่เลย เพราะฉะนั้นผู้ที่ถูกต้อง เขาแสดงการปกปิดอย่างไร เราฝ่ายถูกก็ต้องแสดงออก เพราะความถูกต้องดีงามแสดงออกได้ง่าย พฤติกรรมคนชั่วเขาแสดงออก คนดีก็ต้องแสดงออก ไม่ต้องตีกัน แล้วตอนนี้คนชั่วเขาอยู่ในฐานะป้องกัน โดยบิดพลิ้วโกหก อะไรออกมาเรื่อยๆ ถ้าเผื่อว่าคนถูกแสดงสิ่งถูกออกไป ถึงผิดจะแสดงออกมามาขึ้น การขายหน้าจะเกิดขึ้นเรื่อยๆ แต่คนถูกไม่มีขายหน้า อย่าทำมีมารยาท ต้องเอาความจริงออกมาสู้กัน เอาของจริงตรงๆ ไม่ต้องมีมายาเลย นี่คือโอกาส เข้ากับนิทานแท้ในสังคม เราเติมปัจจัยเราเข้าไปเสริมเหตุที่สังคมมันสังขารสังเคราะห์กัน เราก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยสังคม  เพราะคนชั่วเขาจะรุนแรงมาเรื่อยๆ แต่การแสดงออกของคนดีจะช่วยไม่เกิดความรุนแรงได้)

 

อ่านต่อ....

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งการเกิด ขึ้นแห่งอกุศล

ธรรมอันชั่วช้าลามกเหล่านี้ คือ การถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ การ  แก่งแย่ง การวิวาท การ

กล่าวว่า มึง มึง การกล่าวคำส่อเสียด และการพูดเท็จ ก็คือการป้องกันนั่นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยความตระหนี่จึงเกิดการป้องกัน เรากล่าวอธิบาย  ดังต่อไปนี้

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้   กล่าวไว้ว่า

เพราะอาศัยความตระหนี่จึงเกิดการป้องกัน ดูกรอานนท์ ก็ถ้าความ  ตระหนี่มิได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีความตระหนี่  โดยประการทั้งปวง เพราะหมดความตระหนี่

การป้องกันจะพึงปรากฏได้    บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งการ   ป้องกัน ก็คือ

ความตระหนี่นั่นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยความยึดถือจึงเกิดความตระหนี่ เรากล่าวอธิบาย  ดังต่อไปนี้

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้   กล่าวไว้ว่า

เพราะอาศัยความยึดถือจึงเกิดความตระหนี่ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าความ   ยึดถือมิได้มีแก่ใครๆ ในภาพไหนๆ

ทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีความยึดถือโดย  ประการทั้งปวง เพราะดับความยึดถือเสียได้ ความ

ตระหนี่จะพึงปรากฏ   ได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯเพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งความ  ตระหนี่ ก็คือ

ความยึดถือนั้นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยการพะวงจึงเกิดความยึดถือ เรากล่าวอธิบาย    ดังต่อไปนี้

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้  กล่าวไว้ว่า

เพราะอาศัยการพะวงจึงเกิดความยึดถือ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าการพะวงมิ  ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ

ทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีการพะวงโดยประการ  ทั้งปวง เพราะดับการพะวงเสียได้ ความยึดถือ

จะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งความ  ยึดถือ ก็คือ

การพะวงนั่นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยความรักใคร่พึงใจจึงเกิดการพะวง เรากล่าวอธิบาย    ดังต่อไปนี้

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้    กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยความรักใคร่พึงใจจึงเกิดการพะวง ดูกรอานนท์ ก็ถ้าความ รักใคร่พึงใจมิได้มีแก่ใครๆ ใน

ภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีความรัก ใคร่พึงใจโดยประการทั้งปวง เพราะดับความ

รักใคร่พึงใจเสียได้ การพะวงจะพึง ปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งการพะวง  ก็คือความรัก

ใคร่พึงใจนั่นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยความตกลงใจจึงเกิดความรักใคร่พึงใจ เรากล่าว   อธิบายดังต่อไป

นี้

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว  ไว้ว่า เพราะอาศัยความตกลงใจจึงเกิดความรักใคร่พึงใจ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าความ ตกลงใจมิได้มีแก่ใครๆ ใน

ภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีความตกลงใจ   โดยประการทั้งปวง เพราะดับความตกลงใจ

เสียได้ ความรักใคร่พึงใจจะพึงปรากฏ  ได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยความรักใคร่    พึงใจ ก็คือ

ความตกลงใจนั่นเอง ฯ ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยลาภจึงเกิดความตกลงใจ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว ไว้ว่า เพราะ

อาศัยลาภจึงเกิดความตกลงใจ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าลาภมิได้มีแก่ใครๆ   ในภพไหนๆ ทั่วไปทุก

แห่งหน เมื่อไม่มีลาภโดยประการทั้งปวง เพราะหมดลาภ    ความตกลงใจจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งความ  ตกลงใจ ก็คือ

ลาภนั่นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยการแสวงหาจึงเกิดลาภ เรากล่าวอธิบายดังต่อ  ไปนี้

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เรา   ได้กล่าวไว้ว่า เพราะ

อาศัยการแสวงหาจึงเกิดลาภ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าการแสวงหา มิได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ

ทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีการแสวงหาโดย  ประการทั้งปวง เพราะหมดการแสวงหาลาภจะพึง

ปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยของลาภ    ก็คือ การแสวงหา

นั่นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยตัณหาจึงเกิดการแสวงหา เรากล่าวอธิบายดังต่อ   ไปนี้

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว   ไว้ว่า เพราะ

อาศัยตัณหาจึงเกิดการแสวงหา ดูกรอานนท์ ก็ถ้าตัณหามิได้มีแก่ใครๆ   ในภพไหนๆ ทั่วไป

ทุกแห่งหน คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เมื่อ  ไม่มีตัณหาโดยประการทั้งปวง เพราะ

ดับตัณหาเสียได้ การแสวงหาจะพึงปรากฏ   ได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยของการ    แสวงหาก็คือตัณหา

นั่นเอง ฯ

 

(พ่อครูว่า...ขออนุโมทนากับพวกเรา ที่เอามาบรรยายนี่ คุณไม่หลับได้นี่เป็นปาฏิหาริย์มากเลยนะนี่ เพราะเป็นเรื่องลึกละเอียดมากเลยนะนี่ ไม่ใช่เรื่องสามัญนะ)

 

        [60] ดูกรอานนท์ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา   โดยส่วนสอง

ด้วยประการดังนี้แล ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา เรากล่าวอธิบายดังต่อ  ไปนี้ ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว   ไว้ว่า เพราะ ผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา ดูกรอานนท์ ก็ถ้าผัสสะมิได้มีแก่ใครๆ   ในภพไหนๆ ทั่วไปทุก แห่งหน คือจักษุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหา     สัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส เมื่อไม่มีผัสสะโดยประการทั้งปวง เพราะ ดับผัสสะเสียได้เวทนาจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งเวทนา ก็คือผัสสะ นั่นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ เรากล่าวอธิบายดังต่อ ไปนี้

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว  ไว้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามกาย  ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุเทศ    นั้นๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อในรูปกายจะพึง ปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

 

(พ่อครูว่า อย่างตาเรามองผลไม้นี่ มันก็มีทั้งมองแล้วรู้ว่านี่คืออะไร มี ลักษณะอย่างไร? ทุกคนรู้เหมือนกันหมด แต่อีกเวทนา คือ รู้สึกอยาก ชอบ หรือไม่ชอบ ชัง นี่ก็เป็นเวทนาอีกอย่างหนึ่ง แล้วเราควรดับอันไหม?....แต่ที่สอนกันมาก็ให้ดับไปหมดเลยนี่เป็นสิ่งที่ผิดพลาดของการสอนธรรมะกันมา อย่างฤาษี อาฬารดาบถ หรืออุทกดาบส ได้อากิญจัญฯและเนวสัญญาฯ เขาเข้าใจผิดกว่า ต้องทำการดับให้หมด ทั้งสัญญา เวทนา ดับไปถึงที่สุดจะได้แค่อสัญญีสัตว์  )

 

      ดูกรอานนท์ การบัญญัติรูปกาย ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสโดยการกระทบ จะพึงปรากฏในนามกายได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามก็ดี รูปกายก็ดี ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ   นิมิต อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อก็ดี การสัมผัสโดยการกระทบ ก็ดี จะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามรูปต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ  เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี ผัสสะจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งผัสสะ ก็คือนามรูป นั่นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป เรากล่าวอธิบายดังต่อ  ไปนี้ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว ไว้ว่า เพราะ วิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป ดูกรอานนท์ ก็วิญญาณจักไม่หยั่งลง  ในท้องแห่งมารดา นามรูปจักขาดในท้องแห่งมารดาได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณหยั่งลงในท้องแห่งมารดาแล้วจักล่วงเลยไป นามรูปจักบังเกิด

เพื่อความเป็นอย่างนี้ได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณ ของกุมารก็ดี ของกุมาริกาก็ดี ผู้ยังเยาว์วัยอยู่  จักขาดความ

สืบต่อ นามรูปจักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ ได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งนามรูป ก็คือวิญญาณนั่นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดวิญญาณ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว ไว้ว่า เพราะ

นามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดวิญญาณ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณจักไม่ได้    อาศัยในนามรูปแล้ว ความเกิดขึ้นแห่งชาติชรามรณะและกองทุกข์ พึงปรากฏต่อไปได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งวิญญาณ     ก็คือนามรูป

นั่นเอง ด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้แหละ อานนท์ วิญญาณและนามรูป   จึงยังเกิด แก่ ตาย จุติ

หรืออุปบัติ ทางแห่งชื่อ ทางแห่งนิรุติ ทางแห่งบัญญัติ  ทางที่กำหนดรู้ด้วยปัญญาและวัฏฏสังสาร

ย่อมเป็นไปด้วยเหตุเพียงเท่านี้ๆ ความ    เป็นอย่างนี้ ย่อมมีเพื่อบัญญัติ คือนามรูปกับวิญญาณ ฯ

 

พ่อครูว่า....แม้นามรูป เป็นอาการนามธรรมในจิตที่ถูกรู้ ถ้าสัมผัสแล้วรู้แจ้งผ่านไป ไม่ยึดมั่น นามรูปก็ไม่เกิด วิญญาณก็ไม่เกิด ชาติก็ไม่มี แต่มีสัมผัส แล้วเวทนาทำงานด้วย ยิ่งชัดเจนว่า การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้านี้ เราอยู่ในโลกสัมผัสทุกอย่างได้ แต่เราไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น ผู้ผิดคือผู้ผิด ผู้ถูกคือผู้ถูก เราทำให้ถูกก็แล้วกัน ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก...ในที่สุด


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:57:13 )

580304

รายละเอียด

580304_เทศน์กัณฑ์พิเศษมาฆบูชา งานพุทธาภิเษก ไพศาลี          

พ่อครูว่า...วันมาฆบูชาเราก็จะได้มาฟังเทศน์กัณฑ์พิเศษทุกปี มากันเต็มทุ่งศาลีเลย ก่อนจะได้เทศน์ก็จะได้อ่านกวีของ อ.เป็นต้น นาประโคนก่อน ชื่อเรื่องคือ “ฟ้าสะท้านดินสะเทือน”

 

ช่างเหล็กตีเหล็กร้อน                                              สุดแรง

เปลวแปลบจึงเปลี่ยนแปลง                                 เหล็กได้

กระแสหลักจำแลง                                        สนิมเหล็กกินลึก

ตีสักตั้ง เตือนให้                                            พุทธห้าม หุ้มสนิม

 

คชสารล้มเน่าแล้ว                                        ทั้งตัว

กล้าบอกเอาใบบัว                                         ปกไว้

มารมีหมู่เมามัว                                     มืดมิด         ทมิฬเมือง

แค้นเข็ดเหนือเจ็บไข้                                              เน่าเนื้อ แผลใน

 

ตีนช้างเหยียบปากน้อย                            นกนาน

บัณฑิตถูกพวกพาล                                     กดไว้

ผลไม้สุกถึงกาล                                               ร่วงหล่น ลงดิน

วิบากกรรมสูไซร้                                            ก่อสร้างมาเอง

 

ถ่มน้ำลายรดฟ้า                                              คราใด

เปื้อนเปรอะเลอะหน้าใคร                                    ไป่รู้

ธุดงค์ดิ่ง ดงใด                                                 อวดเด่น ดังฤา

พุทธกลุ่มน้อยฮึดสู้                                         ปราบเสี้ยน ศาสนา

 

ยามกล้าต้องแกร่งกล้า                                           ดุจเพรช

ตีสุดแรงให้เข็ด                                               ขยาดเขี้ยว

พุทธพวกมากหมกเม็ด                               ข่ายหมู่ ตนเฮย

เลี่ยงหลบ บาลีเลี้ยว                                                 หลอกให้คนหลง

 

ตนสร้างตน                                                        ถูกต้องก่อนใคร

บริสุทธ์ผุดผ่องใส                                          แน่แท้

เพื่อกู้พุทธ เมืองไทย                                               พ้นผิด เพี้ยนแฮ

กล้ากู่ตะโกนแก้                                              ก่อเกื้อ การุณ

 

นานาสังวาเว้น                                                กิจวัตร

แยกเพื่ออยู่ปฏิบัติ                                         ต่างไซร้

เราเป็นพุทธบริษัท                                        ปล่อยเสื่อมเสียฤา

พลีชีพปกห้องให้                                           พุทธพ้น ฉิบหาย

 

และก่อนจะบรรยายก็ขออ่าน เพลงอาริยะหมายเลข 9 แต่งโดยสมณะโพธิรักษ์ เมื่อ 14 พ.. 2522

 

(1)

 

เมื่อใด "พุทธ" ปรากฏตนขึ้น

ปฏิกิริยาแตกตื่น

และ สั่นสะเทือนหวั่นไหว

อันประดุจดังแผ่นดินไหว

ย่อมเกิดขึ้น ในโลกแห่งศาสนา

 

(2)

 

เมื่อใด "พุทธ แท้ๆ

ได้ประกาศก้ององอาจกล้าขึ้น

ปฏิกิริยาแตกตื่น

และ สั่นสะเทือนหวั่นไหว

อันประดุจดังแผ่นดินไหว

ย่อมเกิดขึ้น

ในโลกแห่งพุทธศาสนิกชน

 

(3)

 

เมื่อใด "พุทธ" แสดงปาฏิหาริย์แท้ๆ ขึ้น

ปฏิกิริยาแตกตื่น

และ สั่นสะเทือนหวั่นไหว

อันประดุจดังแผ่นดินไหว

ย่อมเกิดขึ้น ในโลกแห่งศาสนา

และพุทธศาสนิกชน

 

(4)

 

เมื่อใด "พุทธ" แท้ ๆ กระทบจิต

แล้วจับจิต จับใจ มนุษย์ เทวดา นั้นๆ

อาการ "ตรึง" ชะงักงัน"ซ่าซ่าน" ซาบซึ้ง

ย่อมเกิดขึ้น ในผู้นั้น ๆ

 

(5)

 

เมื่อใด "พุทธ" แท้ๆ กระทบจิต

แล้วบาดจิต บาดใจ อมนุษย์ มาร ยักษ์

อาการ "ฉงน" ร้อนเร่า

"ดิ้น" ดาลเดือดทุรนทุราย

ย่อมเกิดขึ้น ในผู้นั้น ๆ

 

(6)

 

เมื่อใด "พุทธ" แท้ ๆ กระทบจิต

แล้วผ่าแตก แบ่ง "ขาวกับดำ"

ออกจากกันได้

ไปจนกระทั่ง แม้แต่

แยก "สะอาด กับ ธุลีด่างที่ซ่อนแฝง"

ออกจากกันได้

ย่อมเกิดสุขสันติขึ้น ในผู้นั้นๆ

และ ในโลกแล้ว

 

(7)

 

เมื่อใด "พุทธ" แท้ ๆ กระทบจิต

แล้วแตกแยก "ธรรม กับ อธรรม"

ออกชัดแท้

"ความแตกแยก"

อันถึงสัจธรรมสุดท้าย

ย่อมเกิดจริง เป็นจริง

 

(8)

 

เมื่อใด "พุทธ" แท้ ๆ

กำลังทำการผ่าตัด

ผ่าแตก ผ่าแยก อยู่

ปฏิกิริยาแตกตื่น

และ สั่นสะเทือนหวั่นไหว

อันประดุจดังแผ่นดินไหว

ย่อมเกิดขึ้น

ในโลกแห่งพุทธศาสนิกชน

 

(9)

 

เมื่อใด "พุทธ" แท้ ๆ เกิดได้เต็มตัว

และยืนได้เต็มรูปแข็งแรง

อาการ "โตเร็ว" อย่างน่าฉงน

"เปล่งปลั่ง" แตกเนื้อแยกนวล

ย่อมเกิดขึ้น

ในโลกแห่งมนุษย์ เทวดาทั่วจักรวาล

 

(10)

 

เมื่อใด "พุทธ" แท้ ๆ เกิดแล้วสมบูรณ์

ปฏิกิริยา เบิกบานแจ่มใส-รู้-ตื่น

อันประดุจดังแผ่นดินสงบ สันติ ร่าเริง

ย่อมเกิดขึ้น ในโลกแห่งมนุษยชาติ

 

(11)

 

เมื่อใด "พุทธ" แท้ๆ

แผ่บุญฤทธิ์ อยู่ในชนกลุ่มใดๆ

ความ "แตก"ต่าง จะ"แยก" ให้เห็นได้

ว่า "แตกแยก"

จากชนกลุ่มที่มีแต่บาป นั้นๆ

ย่อมเกิด "ความแตกแยก"

อันประเสริฐขึ้นแล้วหนอ !

 

(12)

 

เมื่อใด "ศาสนิกชน" ใด

รู้ยิ่งใน "เกิด" ไม่หลงใหลกับความ "เกิด"

และรู้ยิ่งใน "ตาย" ดับสนิท

ทั้งทำ "ตาย" ดับสนิทเองได้ ในตนจริง

ย่อมรู้เห็นจะแจ้งในความ "แตก" ต่าง

"แยก" ได้ชัดเชิง

 

(13)

 

และอีกทั้งยังสามารถจับ

ความ "เกิด" และ ความ "ตาย"

ที่เป็น "ความแตกแยก" กันแล้วจริง นั้น

มาใช้ร่วมกัน

มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ได้

อย่างราบรื่นเรียบร้อยสันติ

โคจรอยู่ ในมหาจักรวาลเดียวกัน

 

(14)

 

หรือ ต่างคน ต่างเกิด ต่างตาย

ต่างคน ต่างอยู่ อย่างรู้เกิด รู้ตาย

หยุดถือสากันสนิท !

ปล่อยวางสะเด็ด !

แต่ก็ยังเห็นแจ้งใน

"ความแตกแยก" นั้น

ซึ่งแน่นอน ! ก็ยังมีอยู่

ด้วยน้ำใจที่เกื้อกูล

เข้าใจกันจริง ๆ เป็นปกติ

 

(15)

 

เมื่อใด "พุทธ" แท้ ๆ ใด

เป็น "พุทธ" แน่แล้วจริง

เมื่อนั้น ก็จะเห็นแจ้ง "ความแตกแยก"

ทั้งที่เป็น ความแตกแยก

ทั้งที่เป็น เอกภาพ

 

โอ ! "ความแตกแยก"

อันแสนประเสริฐ เป็นสุทธิสัจจะ

ได้เกิดขึ้นแล้ว และ ดำเนินไปอยู่

ด้วยประการฉะนี้

 

14 พฤศจิกายน 2522

 

อาตมารู้สึก ตั้งแต่เด็กว่า คนอายุ 80 นี้แก่ แต่อาตมาอายุ 80 แล้ว ทำไมมันยังไม่แก่ ทำไมเราไม่ได้เป็นเช่นนั้น ไม่ได้เป็น อาการแก่อย่างที่เคยมีข้อสรุปเช่นนั้น คือร่างกายเราก็ไม่ได้น้อยหน้าใครนะ ก็อาจมีบ้างนิดๆหน่อยๆ ไม่คะนองเหมือนกันหนุ่มแน่นๆทีเดียว

 

อาตมามาทำงานทางศาสนาด้วยใจจริง ไม่เคยวอกแวก ไม่เคยมีอะไรคิดถอยหลังเลย ไม่มีจิตเอียงเท แต่มีจิตทุ่มตรงเลย 90 องศา ตั้งแต่ไหนๆมา ตั้งแต่ออกบวชจนถึงวันนี้ ทำงานมาก็ยังมุ่งมั่น เห็นเรื่องของศาสนา เรื่องพุทธธรรม มีกระแสแห่งความเป็นพุทธธรรมเปลี่ยนแปลงไป ในด้านที่ไปสู่ความเสื่อมก็ชัดเจน อาตมาว่า พวกคนตาบอดก็คงเห็นได้นะ ไปถามดู เราเองเป็นพุทธ ก็จำเป็นที่เราต้องว่า ติเตียน ปฏิกโกสนา แม้ว่าจะแยกออกมาแล้ว ตามธรรมพระพุทธเจ้า ตรงธรรมวินัย แท้ เป็นนาสาสังวาส พอถึงวันนี้มันแยกแตกชัด อย่างเพลงอาริยะหมายเลข9 อาตมาไม่ได้ทำถึงอักโกสะ ที่เป็นการด่าการแช่ง พูดให้เขาเสียหายล้มละลาย เราไม่ได้ทำหรือไม่ได้ทำแบบอุกโกฎนะ คือพูดอย่างไม่เที่ยงธรรม คนโค้ง ลำเอียง จะไปรับสินบนเขามาก็ตาม หรือว่า อุกโกเตติ หรือว่ารื้อฟื้น ยกเรื่องมาใหม่ จริงๆที่พูดนี่เป็นเรื่องปัจจุบันที่เขาขึ้นมาเอง

 

ลักษณะของสัจธรรม ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าหยั่งลงถึงราก ถึงแดนเกิด โยนิโสมนสิการ แปลว่าการทำใจ เราจัดการใจของเราเป็น จัดการใจเราได้ จนถึงแก่นเชื้อ Genesis เป็นตัวต้นกำเนินเลย โยนิโสมนสิการคือ Genesis Doing ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า Genesis doing นั้นงามเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย มีของจริง อ่านอาการใจเป็น พ้นวิจิกิจฉา (สังโยชน์ข้อ 2) แล้วกายตัวนี้คือ จิต คือมโนคือวิญญาณ

เริ่มต้น แต่ consciousness กระทำใจในใจตั้งแต่ระดับนี้ ปฏิบัติกับความคิด ความรู้สึกรวมกัน ทำการเปลี่ยนแปลงตนเอง ที่ทำได้ก็ต้องจับตัวกิเลสได้ แล้วทำการจัดการกิเลสได้สำเร็จ มีลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ มีอัพภูตธรรม อัศจรรย์อย่างไม่เคยมีมาก่อน ถ้าพระพุทธเจ้าไม่เกิด ความจริงอันนี้ไม่เกิด คนไม่มีความรู้อันนี้

 

ตั้งแต่บวชมาจนบัดนี้ไม่สงสัย ยิ่งเห็นจริงว่าเป็นหน้าที่ของเรา มีสิ่งจริง ที่เราต้องทำหน้าที่จัดการ ไม่ได้ไปรบราฆ่าฟัน แต่จัดการให้ห่างออกไป อย่ามาสามารถทำให้เนื้อแท้นี้เสื่อมได้ อาตมาจึงจำใจ ตั้งแต่บวชมาในกลุ่มใหญ่ จะเห็นได้ว่า อาตมาลาออกมาจากกลุ่มใหญ่ ถูกหรือผิด....ถูก

 

ตอนแยกมา กระแสหลักเขาก็ไม่ได้เห็นว่าเป็นอะไร แยกมาแค่ 20 กว่ารูป เขาไม่รู้สึกรู้สาหรอก มาถึงวันนี้ ตอนนี้ก็ได้เห็นความดิ้น ตามเพลงอาริยะ หมายเลข 9 ที่บอก เมื่อใด "พุทธ" ปรากฏตนขึ้น

ปฏิกิริยาแตกตื่น และ สั่นสะเทือนหวั่นไหว อันประดุจดังแผ่นดินไหว ย่อมเกิดขึ้น ในโลกแห่งศาสนา

ก็จะเกิดอาการต่างๆ ซึ่งชาวพุทธที่เป็นพุทธแต่ในทะเบียนก็ไม่รู้สึกรู้สา แต่พุทธศาสนิกชนที่มีสำนึกจะรู้สึกว่า ศาสนาเป็นอะไร คนเหล่านี้จะแตกตื่นสั่นสะเทือน สามารถเกิดปฏิกิริยาต่างๆกัน เพราะผู้ยึดถือศาสนาแบบผิด เขาก็ยึดแบบผิด ผู้ยึดแบบถูกก็ยึดแบบถูก เป็นธรรมชาติของคนที่ต้องมีความยึด ยึดไว้อาศัย กับยึดมั่นถือมั่นก็ต่างกัน คนที่เรียน เข้าใจอาการจิตตนและได้หัดปล่อยวางแล้ว

 

เราเป็นคนมีศาสนา มีธรรมะก็ย่อมต้องรู้สึก และมีสำนึก มีเนื้อแท้ของความเป็นธรรมะ ศาสนา เช่น คนที่มีธรรมะที่ดูได้ เข้าใจได้ เห็นได้ ดูแค่ภายนอกก็ได้ เป็นคนซื่อสัตย์สุจริตต่อหลักศาสนา ศีลเป็นเครื่องชี้ชัดของศาสนา ตั้งแต่ภายนอก กายวิญญัติ วจีวิญญัติ เห็นได้ว่า ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดผัวเขาเมียใคร แม้มีกามก็ประมาณนั้นไม่จัดจ้านแรงมากเหมือนทางโลกเขา ไม่พูดปด ไม่มีอบายมุขในชีวิต เป็นธรรมดาสามัญ หลุดพ้น วีติกมกิเลส ก็หมดแล้ว ถ้าไม่มีใครสอนก็ไม่ตรวจสอบ ถ้าใครมีตั้งแต่ไหนๆก็เรียกว่าได้ฟรี มีภูมิโสดาบัน มาแล้ว หรือใครเป็นลิงลมอมข้าวพอง เป็นไปตามเขา ไปแย่งกาม โลกธรรมตามเขา อาจทุจริตบ้างตามเขา ไม่ร้ายแรงอะไร ก็มีคุณธรรมมาแต่ปางบรรพ์แล้ว เพราะคุณธรรมพระพุทธเจ้าได้แล้วได้มาเลย ฝังใน DNA เป็น genesis แต่มาถูกครอบงำไปกับโลกตามกระแสไปบ้าง ตามวิบากบ้าง แต่สุดท้ายก็มาเป็นตนของตนเอง เป็นตถตา เป็นสัจจะจริง ของพระพุทธเจ้าเรียกว่าตถาคตา ส่วนของอาริยะอื่นเรียกว่า ตถตา

 

เราดับกิเลสใดได้ถาวร นิจจัง ทุวัง สัสตัง ก็จะมีของจริงเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต เบื้องต้นก็ปฏิบัติใน Consciousness ตั้งศีล 5 ละกิเลสในศีล 5 พอทำได้กิเลสหมดไป จิต ขั้นสอง คือ subconsciousness ก็จะขึ้นมาให้เราอ่านรู้ได้ นี่คือทฤษฎีพระพุทธเจ้าที่ดับได้ถึง จิตใต้ก้นบึ้งเลยเป็น Unconsciousness ได้ แต่การนั่งหลับตาสมาธิ ไม่ใช่ของพุทธ แต่ถ้าเข้าใจก็ทำได้อย่างสัมมาทิฏฐิ อาตมาไม่ได้ตีทิ้ง สมาธิหลับตา แต่บอกว่าไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า เพราะเป็นสมาธิครองโลกเลย สมาธิของพระพุทธเจ้าเพี้ยนไปแล้ว สองพันหกร้อยปีแล้ว แต่ก็ยังดีมีหลักฐานในมหาจัตตารีสกสูตรอยู่ เป็นหลักฐาน ท่านบอกว่าให้ปฏิบัติมรรค 7 องค์ไม่ได้ให้ไปทำกสิณ ต่างๆนานา ที่สะกดจิตกัน ของธรรมกายมันเพ่งลูกแก้วไม่มีในกสิณ 40 เขาก็ทำจนแพร่ลัทธินี้ไปครอบงำโลกเลยก็ทำกันอยู่ ดึงศาสนาพุทธไปเป็นของเน่าเละเลย

 

แม้แต่สัมมาสมาธิก็เกิดจากการสั่งสมของมรรค 7องค์ และต่อมาท่านก็บอกว่ามิจฉาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิต่างกันอย่างไรเพราะเป็นประธานของมรรค หากมิจฉาทิฏฐิแต่ต้นก็ไม่เกิดผลของพุทธ เบื้องต้นพุทธสอนให้ทำบุญกิริยาวัตถุ เป็นทาน ศีล ภาวนา คือสัมมาทิฏฐิ 3 ข้อแรกเลย คือทินนัง(ทาน) ยิตถัง(ศีล) หุตัง(ภาวนา) แต่เขาก็เข้าใจกันไม่ได้ ทำให้ปฏิบัติแล้วไม่มีผล เช่นการไหว้เจ้าแล้วก็ไม่รู้ว่าจิตเราเจริญไหม แต่ของพระพุทธเจ้านี้ให้อ่านจิตเลยว่าได้ลดความโลภไหม ไม่ใช่ให้ได้สวรรค์นิพพานเป็นบุญใหญ่ แท้จริง บุญคือการชำระกิเลส หมดกิเลสแล้วก็หมดบุญ เป็นอรหันต์ จบไม่ต้องทำบุญอีก เพราะบุญคือเครื่องมือปฏิบัติ เป็นเครื่องชำระกิเลส ไม่ใช่ก้อนกุศล ที่ต้องได้อาศัยอะไร อรหันต์เป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญปาปปริกขีโณ หมดบาปแล้ว ก็ไม่ต้องทำบุญอีก สัพพปาปสอกรณัง ทำแต่กุศล กุสลสูปสัมปทา เพราะได้ทำจิตให้หมดจดจากกิเลสแล้ว สจิตตปริโยทปนัง

 

ธรรมะพระพุทธเจ้าลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล ไม่โกรกชันเหมือนหุบเหว ทำตั้งแต่หยาบ ภายนอกไปถึงละเอียดภายใน ตั้งแต่ วีติกมกิเลส consciousness แล้วมาทำที่ ปริยุฏฐานกิเลส subconsciousness แล้วก็กระทบสัมผัสข้างนอกอยู่ เพื่อให้ได้จัดการกับ อนุสัยกิเลส unconsciousness หรือว่า จัดการตั้งแต่ โอฬาริกอัตตา  แล้วล้าง มโนมยอัตตา และก็ อรูปอัตตา อย่างมีจิตวิเคราะห์ psychoanalysis สามารถทำลาย กำจัดกิเลสในจิต ฆ่ากิเลสได้จริงเลย หรือจะใช้ภาษาว่า selfishness killing ฆ่าความเห็นแก่ตัวเลย คือรู้วิธีแล้ว ก็จัดการด้วยไฟฌาน ที่จะเป็นไฟกองใหญ่ไปกำจัดไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ ที่จะทำลายปหาน จนหมดแก่นเชื้ออรูป จนหมดอนุสัย อาสวะ กำจัดถอนรากเหง้าออกจากจิตได้เลย สามารถทำความจริงฆ่ากิเลสได้ จนจิตบริสุทธิ์ได้ อาตมาก็เลยตั้งโศลกว่า “ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก...ในที่สุด” ดูทางโลกเหมือนเราแพ้ อย่างคดีอาตมา แต่อาตมาก็บอกว่าแพ้ก็แพ้ชะตาทราม ดวงใจทรงความมั่นคง แพ้ได้แพ้ทางโลก ที่จริงไม่ได้แพ้เลย แล้วเชื่อไหมว่าอาตมาจะพาชนะ ไม่ได้เอาแพ้เอาชนะ คุณทำความสะอาดบริสุทธิ์ให้ได้ ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมเถอะ ถ้าทำได้บริสุทธิ์ได้ แพ้หรือชนะก็แค่ของแถมเราไม่อยากแพ้ชนะแต่ชนะได้มันก็ดีใช่ไหม วิธีของพระพุทธเจ้า ที่อาตมาอธิบายไปแล้ว รับรองว่า อัสสุตัง อัพภูตธรรม เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่ไม่เคยมีมาก่อน

 

ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าได้ตนเป็นความดีงามประเสริฐขึ้น นอกนั้นมีแต่ทำงานรับใช้คน คนขี้เกียจไม่มาหรอก คนเข้าใจก็จะคิดว่า วิชาการเหล่านี้ทำให้เราหายขี้เกียจก็จะชอบใจ แต่ว่าคนเห็นแก่ตัวก็จะไม่เห็นดี ว่ามาทำงานรับใช้คนอื่น ทำให้คนอื่น จะดีอย่างไรเขาจะไม่มาหรอก คนจะมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาล้างความเห็นแกตัว ความขี้เกียจก่อนเลย แล้วจะขยันสร้างสรรขึ้น

 

ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเสื่อมไปแล้ว แต่อาตมามั่นใจว่า พุทธแท้ๆก็ได้หยั่งลงได้เช่นกัน ตามเพลงอาริยะหมายเลข 9 ศาสนาพุทธไม่ได้ทำให้เกิดความแตกแยก แต่เป็นความแตกต่าง ผู้ใดทำสังฆเภท ผู้ใดทำให้สงฆ์แตกแยก เช่นปาราชิกเป็นต้น หรือต้องแตกต้องแยกกัน อยู่กันคนละฝ่าย แม้จะทำชั่วถึงปาราชิกก็ตาม ไม่มีการร่วมกันแล้ว เป็นนิกาย คือไม่เป็นองค์ประชุมกันได้ พระพุทธเจ้าไม่ให้ทำ ใครทำก็มีอนันตริยกรรม สูงสุดพระพุทธเจ้าท่านให้ทำแค่นานาสังวาส อย่างธรรมกายก็ได้แค่นานาสังวาส ศาสนาพุทธสูงสุดให้แยกแค่นานาสังวาส

โอ ! "ความแตกแยก"

อันแสนประเสริฐ เป็นสุทธิสัจจะ

ได้เกิดขึ้นแล้ว และ ดำเนินไปอยู่

ด้วยประการฉะนี้

 

หมายความว่าต้องแยกแล้ว เช่นเป็นปาราชิกแล้ว ก็ต้องแตกแยกกันจริง แต่แตกแยกอย่างสุทธิสัจจะ นี่คือสุดยอดของศาสนาพระพุทธเจ้า ไม่แยกอย่างนิกาย แต่ปาราชิกก็แยกเด็ดขาด สิ่งแตกแยกเป็นสัจจะ เป็นสัทธรรม ที่เป็นธรรมดาของความจริงว่าจะต้องเป็นเช่นนั้นเอง คนผิดย่อมเปิดเผยความผิดของตนไม่ได้ เขาจะพยายามปิด ไม่กล้าเปิดเผย ทั้งโกง ใช้เล่ห์  เพราะว่ามันอาย กลัว โกง ส่วนคนถูกย่อมเปิดเผยความถูกของตนได้ กล้าเปิดเผยความถูกต้องของตน ไม่เก้อไม่ยากไม่อายไม่กลัว ไม่โกง ไม่บิดพลิ้ว แต่อย่างใด ยิ่งมีการกระทำที่กระทบต่อส่วนรวม ที่ปรากฏการณ์เกิดของแต่ละกลุ่มย่อยที่กระทบต่อสังคม ที่เกิดความผิด มีอาการปกปิด บิดพลิ้ว หมักหมม เน่าใน เกิดขึ้นหนักในสังคม

 

มันจะเน่าเท่าใดก็แล้วแต่ ก็ไปบังคับกันไม่ได้ แต่ทุกคนก็พยายามมีมารยาทของเขาเป็นธรรมชาติ สังคมยิ่งต้องกระทบส่วนรวม มีปรากฏการณ์พิเศษที่สังคมต้องพยายามทำให้เกิดความถูกต้องให้ได้ ยิ่งต้องมีอาการเปิดเผย เพื่อจะแก้ เพราะสังคมยิ่งเน่าใน ยิ่งปกปิดกันอย่างที่เป็น เราจึงต้องทำให้เกิดพฤติกรรมสังคม ให้มีปรากฏการณ์วิเศษในสังคม มีอาการเปิดเผย เพื่อแก้ปรับปวาทะ(คือคำสอน คำพูด ที่คลาดเคลื่อน วิปริตผิดเพี้ยนไปจากคำสอนพระพุทธเจ้า) เราต้องทำความถูกต้องให้ปรากฏสำเร็จเป็นที่เรียบร้อย ผู้ที่สามารถทำให้ปรับปวาทะให้ถูกต้อง ตอนนี้การทำให้วิปริตผิดเพี้ยนสัทธรรมของพระพุทธเจ้านั้นมากเกินไปแล้ว ทุกอาการเคลื่อนไหวทุกวันนี้ ในกระแสสังคม ความผิดของสัทธรรมพระพุทธเจ้า กำลังทำการปกปิดบิดพลิ้ว ทั้งหน้าไม่อาย ทั้งกลัว ทั้งไม่กล้า คนผิดไม่อยากเปิดเผยกัน เขาจะทำหนักอย่างไรในพฤติกรรม ความถูกต้องสัทธรรมของพระพุทธเจ้าก็ยิ่งน่าเปิดเผยมากเท่านั้นเพื่อยืนยันสัจจะ ผลถูก แม้ว่า เราจะยังไม่รู้ชัดว่าอะไรถูกหรือผิดก็ตาม คนที่เขาไม่มีปัญญารู้ชัดเจนก็ตาม ก็ยังอยากจะให้ความถูกเปิดเผย ยิ่งคนที่รู้จักความถูกต้องความผิดที่แท้จริงแล้ว ต้องออกมาช่วยกัน

 

เราทำแบบที่เราเป็นนี่แหละ เป็นคนมักน้อยสันโดษ เป็นคนจน ซึ่งคนเข้าใจยากเหลือเกินว่ามาเป็นคนคนจนนี่ประเสริฐ มีกินใช้เป็นบริขาร เครื่องอาศัยเท่าที่จำเป็น อย่างอนาคาริกชนท่านก็สุขสงบ อยู่กับหมู่นี่แหละ มีพฤติกรรมสังคม ที่เป็นแบบอย่าง ตามทฤษฎีพระพุทธเจ้า แล้วเรามีในหลวง ที่มีพระจริยวัตร ที่ชัดเจน อาตมาสัมผัสคำตรัสของในหลวงแล้วก็สามารถรู้ว่า ท่านมีพระปัญญาธิคุณ รอบรู้ขนาดไหน ที่ไม่ใช่ความรู้ของปุถุชน ยุคนี้ถ้าไม่พิสูจน์ยืนยันว่าทำแบบคนจนไม่มีทางแก้ไขทุนนิยมได้ ทำแบบอื่นไม่ได้ ต้องมาจนมหัศจรรย์ ตัวเองจน หมู่กลุ่มจน แต่อุดมสมบูรณ์ พอเป็นไปใช้สอย ไม่กักตุนสะสม สะพัดออกเกื้อกว้าง คนจะมีชีวิตเช่นนี้ได้ต้องมีของจริง ไม่กดข่ม ไม่ลำบากลำบนอะไร แม้เราจะไม่หมดกิเลสก็ปฏิบัติไปจนหมด เป็นอนาคามีมีแต่กิลมถะ ก็ลดละไป จนหมดกิลมถะ หมดวิปฏิสาร ก็เหลือทรถะ สุดท้ายเป็นอรหันต์ อยู่กับขันธ์ที่เป็นภาระ ภาราหเวปัญจขันธา เราก็ใช้ขันธ์ 5 ให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม ทำงานนี่ลำบากนะ ถ้าไปแย่งเขาก็ลำบากเช่นกันแต่ว่าไปช่วยเขานี่ลำบาก แต่เป็นความดีประเสริฐ

 

ในหลวงตรัส เศรษฐกิจพอเพียง ท่านเป็นผู้ใหญ่ก็ตรัสอย่างประนีประนอม แต่อาตมาเน้นได้ เป็นหน้าที่ของอาตมาต้องทำ มาถึงวันนี้แล้ว มาประกาศความจริง ได้ว่า แม้ทุกวันนี้ หากปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อรหันต์ก็ยังมีอยู่ ในสัมมาทิฏฐิ 10 มีโลกนี้โลกหน้า ที่ไม่ใช่แค่กายแตกตายไปเท่านั้น แต่ว่า เป็นโลกของจิตวิญญาณ ที่เกิดและดับ ไม่ใช่เกิดดับอย่างที่เขาว่าจิตก็เกิดดับตลอดเวลา แต่พระพุทธเจ้าท่านให้กิเลสดับแล้วกุศลเกิด อย่างเห็นแจ้งรู้ชัด รู้ชาติ 5 อย่าง มันพาเกิดตรงไหน แล้วมันทำให้ดับได้ กิเลสตายไปจนจิตสะอาด สัตว์นรกตาย อุบัติเทพเกิด กิเลสหมด เป็นวิสุทธิ์เทพ มันไม่หมดก็รู้มันจริง จับตัวมันได้ ต้องมีญาณเห็นของจริง มันเกิดก็รู้มันดับด้วยเราทำให้มันดับได้ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วไปทำดับ เป็น อสัญญีสัตว์  หรือเนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์  เป็นการเห็นความเกิดความดับอย่างแท้จริง

 

เมืองไทยเมืองพุทธต้องกอบกู้ ต้องสร้าง เศรษฐศาสตร์แบบพุทธ แบบพอเพียง แบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:58:37 )

580304

รายละเอียด

580304-ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกฯที่ไพศาลี      พุทธทุกวันนี้ไม่เข้าใจกายจึงไม่มีนิพพาน 1

พ่อครูว่า...วันนี้วันมาฆบูชา วันที่ 4 มีนาคม 2558 เริ่มต้นมีคนให้ประกาศรับสมัคร นศ.เข้าเรียน รร.อาชีวะที่บ้านราชฯ หรือ ว.สว. 1. สาขา วิชายานยนต์ 2.สาขาวิชาช่างต่อเรือ เราเปิดสาขาใหม่คือ ช่างต่อเรือ ซึ่งบ้านราชฯนี้มีเรือมาก เรือใหญ่ด้วยที่เป็นเรือไม้ เราอนุรักษ์เอาไว้ อาตมาพยายามปลุกชีวิตแม่น้ำมูนให้มีชีวิตชีวา มีการคมนาคม มีการตลาด การค้ากัน เราเปิดเรียนสาขาใหม่คือช่างต่อเรือ จะมีทั้งเรือเหล็ก เรือไม้ ทั้งซ่อมและสร้างเรือกัน ให้เรียนกัน อยากสร้าง ดูแลรักษากันเป็นชีวิตเป็นอาชีพเลย และ 3.สาขาวิชาพืชศาสตร์ 4.สาขาวิชาการตลาด ทั้งหมด 4 สาขา เริ่มตั้งแต่ระดับ ปวช. และมี ปวส. มี 1.สาขาวิชาพืชศาสตร์ 2.สาขาวิชาการจัดการทั่วไป สาขาวิชาการถ่ายภาพและมัลติมีเดีย 4.สาขาวิชา….. รับสมัครตั้งแต่ 1 เม.ย. 2558 ติดต่อรับใบสมัครที่ คุรุเนียนใจ กลางสอน และคุรุคะนึงนิตย์ ศรีสุข ที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ในงาน

อีกอันหนึ่ง คือ ผู้สนใจสมัครผู้ช่วยทำงาน สถาบันสัมมาสิกขาวิชชาราม(ส.สว.) หรือ SVI  ทั้งเต็มเวลา และบางเวลา ไม่จำกัดวุฒิ โดยเฉพาะอาจารย์ประจำหลักสูตร สัมมาชีววิถีเศรษฐกิจพอเพียง มีเนื้อหาหลักในการศึกษา โดยมีศาสนาเป็นแกนหลัก และสามารถประกอบสัมมาอาชีพได้ อยากจะรับอาจารย์ประจำ จำนวน 2 คน ต้องจบ ป.โท รับแบบสอบถามได้ที่ หมอทศพล เปี่ยมสมบูรณ์ ใครจะช่วยก็เชิญ มาเป็นอาจารย์ ซึ่งอาจารย์ของเราทุกคน ฟรีหมด ไม่มีเงินเดือน เบี้ยเลี้ยงอะไร ทำงานฟรี ซึ่งทางโลกเขาทำไม่ได้ แต่ของเราทำได้ แล้วเราพยายามเพิ่มเป็นอุดมศึกษา ก็ยังไม่เรียบร้อยสักที ก็ค่อยพากเพียรไป แม้ว่าจะรู้สึกว่ามันไม่พร้อมทั้งนิตินัย แต่พฤตินัยเราทำตลอดเวลา ของเราเป็นการให้ความรู้แก่คนจริง เราไม่ได้ทำเพื่อการค้า หรือเอาอามิส เราทำเพื่อสร้างความรู้ ความดี เรามีหลักปรัชญา ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา สิ่งที่นำคือศีลเด่น หรือธรรมะ เราจัดไว้ถึง 45 % เป็นงาน 35% และวิชาการ 25% แต่วิชาการ นี้เราก็ทำให้ได้รู้เต็มเท่ากับของเขา 100 % เด็กเราจบไปก็ไปเรียนรู้กับความรู้ข้างนอกได้ ไปสอบไปเรียนอุดมศึกษาต่อได้สบาย จบ ป.โท ป.เอก มาก็เยอะ ได้เกียรตินิยมด้วย ส่วนอุดมศึกษาเราก็ได้มีของเรา ให้ใบรับรองของเราเองไม่ได้มีนิตินัยอะไร แต่วิทยาลัย ปวส.นี่เป็นนิตินัย แต่ว่า ป.ตรี ยังไม่มีนิตินัย

 

พูดถึงเรื่องที่เป็นชีวิตของเรา วันนี้ “วันมาฆบูชา” เราจะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ของสมเด็จปู่วิชิตอวิชชา เป็นองค์แรกที่เราจะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ของปางนี้ องค์นี้เป็นหินทรายสลักทั้งแท่งตัน ในเวลา 08.30 น. สมเด็จปู่ออกงานไปชุมนุมประท้วง แสดงอานุภาพของท่านตามมีจริงเป็นจริงก็ว่ากันไป ส่วนเย็นก็จะมีการเทศน์กัณฑ์พิเศษ ของมาฆบูชา

 

มาเข้าสู่บทเรียน เป็นคน เกิดมาเป็นคน อาตมาไม่ได้บังคับใคร แม้แต่น้องๆ เป็นคนเกิดมาแล้ว อาตมาเห็นจริงเห็นจังเลยว่าชีวิตมนุษย์เกิดมาชาติแล้วชาติเล่า ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารเท่ากับธรรมะ ที่เป็นโลกุตรธรรม เกิดมาแต่ละชาติได้โลกียธรรม ไม่มีเที่ยง สมบัติผลัดกันชม ไม่มีแก่นสาร Rootแห่งชีวะ ไม่มีรากแห่งชีวิต แต่โลกุตระนี้มี Root of life เป็นเชื้อทางจิตวิญญาณ เป็นเชื้อหยั่งลงไป เพาะลงไปที่ DNA เป็นเชื้อนามธรรมทางจิตวิญญาณ ที่พูดนี้อาตมาก็ประกาศออกไปจนหมดเนื้อหมดตัวแล้ว จิตวิญญาณพระพุทธเจ้านี่ ศึกษาแล้วรู้จักสภาวะจิตวิญญาณแท้จริง ไม่ได้เรียนเฉพาะภาษา แต่เราจับสภาวะ จิต มโน วิญญาณได้จริง แล้วสร้างได้จริง เห็นจริงเป็นของจริง แล้วทำให้เป็นอารยธรรม โลกุตรธรรม ซึ่งทุกวันนี้มันเพี้ยนไปหมด แม้เมืองไทยเมืองพุทธก็เป็นพุทธปฏิรูป เนื้อแท้เนื้อธรรมหายไปหมด ออกนอกพุทธ กลายเป็นเรื่องตกแต่งประดับประดา แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธไปหมด พระพุทธเจ้าท่านว่า สักการะนอกขอบเขตพุทธ นั้นยิ่งกว่าแสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ ที่เขาพยายามเรียนรู้บุญทำบุญ แต่เขาไม่รู้จักบุญ เขาว่า บุญคือกุศล ซึ่งอาตมาได้หลักฐานว่า บุญคือ สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ คำว่าสันตานังคือ จิตวิญญาณ และปุนาติ คือชำระ วิโสเทติ คือให้สะอาดหมดจด

 

บุญไม่ใช่สภาวะความดีงามเหมือนกุศล ส่วนกุศลนั้นอย่างหนึ่ง เป็นผลวิบากที่จะได้รับสนองตอบ แต่ทุกวันนี้ปฏิบัติจะไปนิพพาน แต่ไม่ได้รู้จักนิพพาน และไม่รู้จักบุญ ไม่รู้จักกาย มโน วิญญาณจริง อย่างสัมผัสเองจริง คือจะต้องสัมผัสจริง เป็นชิ้นเป็นอัน เป็นนักวิทยาศาสตร์ แล้วทำให้จริง จนกิเลสหมด หรือมีเชื้อ DNA ของโสดาบัน แต่โสดาปัตติมรรค ยังไม่เกิดเชื้อจริง โสดาปัตติมรรค มี 4 ขั้น คือ

โสตาปันนะ คือเริ่มรู้จักจับกิเลสในกาย(องค์ประชุมรูปและนาม) ได้ แล้วสัมผัสตัวกิเลสได้อย่างรู้ตัวกิเลสจริงเรียกว่าอัตตา ตัวตนกิเลส พอได้แล้วก็พ้นวิจิกิจฉาสังโยชน์ (ข้อ 2) ว่าใช่นามธรรมตัวนี้ของเราเอง ว่าเป็นสักกายะ แล้วเราก็มีวิธีเรียกว่า ศีลพรต ผู้ใดมีสัมมาทิฏฐิก็ใช้วิธีนั้น ไม่ว่าจะ มรรคองค์ 8 หรือ โพธิปักขิยธรรม 37 หรือจรณะ 15 ก็คือมีรูปและนามประกอบกันเสมอ คือกาย เน้นที่นาม แต่ว่าต้องมีรูปประกอบเสมอๆ เราจะรู้ว่าจิตเราเป็นกิเลส มีอาการ ลิงค นิมิต อุเทส อย่างไร ก็ต้องอ่าน ว่านี่คือ กิเลสในจิต กิเลสคือจิต แล้วทำกิเลสลดได้ มันไม่เที่ยง ไม่เที่ยงแบบเพิ่มขึ้น เป็นปุถุชน เราก็รู้ กิเลสเราไม่ลดไม่เพิ่มก็ได้แค่นั้น แล้วถ้าเราทำให้กิเลสลดได้ก็เป็นอาริยชน มีของจริงยืนยัน สัมผัสรู้อยู่เห็นอยู่เป็นปัจจุบันนั้นมันไม่เที่ยง พ้นสีลลัพพตปรามาส เห็นของจริงเลย มันลดได้โดยอนุปัสสี 4 กิเลสลดหรือเพิ่มก็รู้ ต้องเห็นความจริงอย่างไม่งมงาย ไม่เอา ไม่จินตนาการ ต้องรู้จัก รู้แจ้งรู้จริงในการลดละนั้น เห็นกิเลสลด จนกิเลสดับก็ทำต่อ ให้จิตสงบรำงับได้ก็รักษาผล เป็น อาเสวนาภาวนา พหุลีกัมมัง ให้เกิดอเนญชาภิสังขารให้เป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) พ้นสีลลัพพตปรามาส คือทำให้กิเลสลดได้ ตามเห็นรู้อนุปัสสี 4 (อนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี ปฏินิสสัคคานุปัสสี)

สรุป โสดาบัน ขั้น 2 อวินิปาตธรรม ก็ต้องทำให้กิเลสลดลงไปอีก อวินิปาตธรรม อย่าให้ตกต่ำ ต้องไม่ตกต่ำให้เป็นปกติธรรมดาจนเป็นขั้นที่ 3

ขั้นที่ 3 นิยตะ เที่ยงแท้

 

ขั้นที่ 4 เป็น สัมโพธิปรายนะ คือเที่ยงแท้ต่อการตรัสรู้ต่อไป

 

เราทำได้อย่างสัมมาทิฏฐิ หากทำถึงนิยตะ นี่คือทำให้ได้แก่นเชื้อโลกุตระใส่จิตวิญญาณ อย่างแท้จริง อาตมาทำงานศาสนามา 45 ปีแล้ว ใครตั้งใจฟังดีๆจะชัดเจน ไม่ใช่ของสูญเปล่าธรรมะของพระพุทธเจ้าต้องกลับคืนมา ประเทศไทยกำลังฟื้น ทางการเมืองก็กำลังฟื้น ทำกันอยู่ก็ขอให้กำลังใจ ถ้าถึงเวลาอาตมาก็จะลงไปช่วย

 

ของพุทธรู้กันได้ ไม่ใช่แค่สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุล แต่ว่าเห็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ก็รู้ไปถึงมโนได้ว่า จิตของเขาเป็นอย่างไร จิตของเขามีความเป็นลหุตา มุทุตา กัมมัญญตาขนาดไหน ซึ่งเป็นวิการรูป 5 รู้ด้วย ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกรับกลิ่น ลิ้นรับรส ท่านก็จะรู้ถึง ลหุตาหรือคุรุตา ก็ประมาณได้ว่าความต่างเป็นอย่างไร หนักเบาต่างกันอย่างไร น้ำหนักความเคลื่อนไหวทางกาย วาจา ซึ่งเกี่ยวกับรูป นาม ต่อเนื่องถึงจิตภายใน ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ขาดกัน จะรู้สันตติที่ต่อเนื่องกัน รู้ถึงลักขณรูป อีก 4 เป็นความไหวของนามธรรม เริ่มมีวิญญัติเกิด ก็จะพอรู้ตามบารมีของผู้รู้ได้ จะรู้จักอุปจยะ ชรตา รู้จักจุดเชื่อมต่อ สันตติ และรู้อนิจจตา มี 4ลักษณะนี้ ผู้สามารถรู้รูปรู้นามก็สามารถอ่านสภาพได้ อ่านได้ตั้งแต่ภายนอกหยาบใหญ่ จนถึงภายในได้ รู้สภาพที่ดับสูญหรือเสื่อมมาจนดับ ถ้าดับก็สูญ ดับของรูป ดับของนามก็รู้ จะรู้พลังงานเป็นอินทรีย์ ว่าชีวิตมันเกิดหรือดับแล้ว ดับถึงขั้นจิตดับ หรือยังไม่หมดจิตยังมีพีชะเป็นเอกพีชีก็รู้

อย่างมนุษย์จิตหมดไป แต่ยังเหลือพีชะ เป็นมนุษย์พืชเป็นพีชะ ระดับพลังงานพีชะไม่มีจองเวร ไม่มีพยาบาท ไม่รักไม่ชัง ไม่มีเวร ไม่มีบุญอะไร พวกที่ไม่เรียนโลกุตระ ก็ไปยึดมั่นถือมั่นจิต เป็นก้อนแข็งอยู่ ดับดิ่งภายใน แม้กายนี้แตกดับแล้ว แต่จิตยึดอยู่ ไม่ยอมปล่อย มีอัตตาจัด ก็มีผมงอก เล็บงอกอยู่ อย่างพวกนั่งหลับตาสมาธิ สะกดจิตลงสู่อนุสัย ตายไปก็ไม่ฟื้นแล้ว พลังงานทางจิตก็ยังตกค้าง มีพลังงานเหลือเศษ ตัวผิวหนังก็ค่อยๆแห้งไม่เน่าแบบธรรมดา คนก็ไปหลงฤาษีแบบนั้นว่าเป็นผู้วิเศษตายแล้วไม่เน่าก็เก่งแบบฤาษี ไม่ใช่อนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ ไม่ได้ทึ่งอะไร เราเข้าใจ พระพุทธเจ้าไม่พาทำ พระพุทธเจ้าให้รีบเผา พระพุทธเจ้าเอาไว้แค่ 7 วัน พระพุทธเจ้าก็ต้องเน่า ไม่ใช่เก่งเหมือนฤาษี

 

เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว วนเวียนในโลกีย์หลงใหลใน กาม ในอัตตา ลาภ ยศ สรรเสริญ มันไม่เที่ยง สมบัติผลัดกันชม ขึ้นๆลงๆ อย่างเก่งได้ได้กัลยาณธรรม หากไม่เรียนรู้แล้วฝึกให้มีจิตที่ โสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยตะ สัมโพธิปริยนะ ถ้ายังไม่ถึงนิยตะไม่แน่ ไม่เข้ากระแสก็เสื่อมได้ ต้องให้ถึงนิยตะ ไปสู่ที่สูงเป็นอรหันต์ได้ อย่างนาน 7 ชาติตามที่พูด แต่ไม่ได้แบบว่าเกิด 7 ชาติเป็นคนแล้วบรรลุอรหันต์นะ แต่ว่าเป็นชาติทางจิต ที่เป็นชาติ 5 อย่าง เราต้องมาสร้าง DNA ทางจิตนี้ให้ได้ ถ้าไม่ได้พระพุทธเจ้าเรียกว่าโมฆบุรุษ เป็นชาติๆไป อย่างเก่งก็ได้กัลยาณธรรม สุจริตบ้าง แต่ก็วนสุขทุกข์ในโลกธรรม ในกามเท่านั้น ไม่เที่ยงแท้เลย ผู้ที่ได้มาฟังอาตมาแล้วก็ให้รู้ว่าเอาเลย อาตมาไม่นิยมบังคับ แต่ให้เกิดปัญญาแล้วมาเอาเอง ถ้าชีวิตต้องการเจริญจริง ถ้าเป็นอาริยะแล้ว เป็นอรหันต์แล้ว ถ้าจะสร้างลาภ ยศ นั้นเป็นไปตามวิบากบารมี อาตมาปางนี้นี่ บารมีทางธรรมสูงกว่าคุณจำลอง แต่บารมีทางโลกีย์ คุณจำลองรวยลาภมากกว่าอาตมา แต่จริงๆแล้วอาตมาไม่ได้มีเท่านี้ แต่ว่าชาตินี้ต้องมา  สร้างบารมีทางพุทธธรรม ต้องเอาภูมิที่เป็นพุทธมาทำ จนไม่หล่อ ไม่สวย ไม่รวย ไม่รู้ ไม่มีอลังการมาส่งเสริม เอาธรรมะเพียวๆ เพราะงั้นอาตมาใช้ธรรมะเพียวๆ เพื่อพิสูจน์สัจธรรม ให้บริสุทธิ์ มาถึงวันนี้ ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก...ในที่สุด

 

สรุปอีกที เกิดมาเป็นร่างกายมนุษย์ สัตว์นรกก็เกิดมาได้รูปร่างเป็นคน จะเห็นได้ว่าสัตว์นรกตัวเป็นๆเลวร้ายมาก บางทีดูเหมือนผู้ดีที่สุด แต่เป็นมารใหญ่เป็นเทวบุตรมาร หลอกคนได้มาก คนก็ติดตามหลงใหล อย่างธัมมชโย ก็เป็นเทพบุตรมารที่ร้ายกาจมากแล้วจับมือกับทักษิณ ขออภัยที่ต้องพูดสัจจะความจริง อาตมาไม่ได้โกรธเคืองนะ แต่สงสาร อาตมาพูดตรง จริง เปิดเผยความจริง

 

วันนี้วันสำคัญมาฆบูชา หากใครมาพบสิ่งนี้แล้วไม่เอา.... ก็เลือกเอา เกิดมาเป็นคน หรือมนุษย์ แม้ว่าโลกนี้จะบอกว่าสัตว์ตัวไหนเลวร้ายมาก แต่ที่จริงคนนี่แหละเลวร้ายกว่า คือหลอกเขาให้เชื่อว่าตนดีด้วย แต่ที่จริงตนเลวร้ายมาก เก่งฉิบหายเลย อาตมาพูดขวานผ่าซาก คนจะมาเรียนรู้ธรรมะอาตมาต้องมีปัญญา และกล้าหาญ ปัญญาเป็นตัวคัดเลือก ของใครของมัน ใครจะมาเอาก็เรื่องของเขา อาตมาหากจะหลอกใช้โลกีย์บ้าง คุณก็มาได้มากกว่านี้ อย่างธัมมชโย อาตมาไม่ได้ทึ่งอะไร สงสารเขา ที่พูดนี่ไม่ได้บอยคอตนะ ถ้าไม่พูดเลยก็หนักกว่า ก็สงสารเลยพูด น่าจะกลับตัวนะ คุณชนะนี่คุณยิ่งได้อกุศลหนักเน่าเข้าไปอีก ไม่มีบุญ มีแต่บาป เป็นพระเป็นเจ้าไปเหยียบดอกไม้ที่เป็นวัตถุอนามาสก็เอามาเล่นมาหัวมาย่ำมาเหยียบ คนธรรมดาเขาก็ไม่เหยียบ แต่ว่านี่เป็นธรรมะไม่รู้จัก มาลาคันธ วิเลปน ธารณ มัณฑน วิภูสนัฏฐานาอีก มันไม่ได้เป็นศิลปะเลย เป็นอนาจาร เป็นโลกียะเยิ้มเลย เขาไม่เข้าใจก็เลยเอามาเป็นเรื่องรูปประกอบ ศีลข้อเดียวนี้เขาย่ำยีแหลกราญเลย เขาไม่เข้าใจไม่รู้ นี่คือวิชชาของคน เขานึกว่าดีเลิศลอย แต่ยิ่งดำดิ่งหาเหวนรก โลกียะนึกว่าสูงแต่ถ้าอวิชชามันยิ่งพาลงต่ำ พาตกแต่งดราม่า เป็นใครก็ไม่รู้แล้วมาห่มเหลือ เต๊ะท่าแบกกลด แสดงกิเลสเหมือนผู้หญิงอวดโป๊ นี่น่าสงสารเหมือนกันเลย น่าไม่อายจริงๆ อนาจารเท่าไหร่ก็ไม่รู้ว่าตนเองอนาจาร

 

-มีคนถามมาว่า คนที่เคยบรรลุอรหันต์แล้ว บางทีมาเกิดใหม่ก็ไม่ได้เป็นอรหันต์แต่มีอาริยธรรมได้ไหม?

ตอบ...คนที่เป็นอรหันต์แล้วก็เป็นโพธิสัตว์ แม้มาเกิดใหม่ก็มาเพิ่มบารมี เป็นพระโพธิสัตว์ มีระดับตั้งแต่ โสดาบันโพธิสัตว์ สกิทาคามีโพธิสัตว์ อนาคามีโพธิสัตว์ อรหันต์โพธิสัตว์ อนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์  มหาโพธิสัตว์....ไปจนถึงพระพุทธเจ้า ซึ่งตั้งแต่เป็นโสดาบันก็เป็นโพธิสัตว์ระดับนั้น สั่งสมไปตามลำดับ จนถึงสัมมาสัมโพธิญาณ ขั้นที่ 9

คนที่ถามมา จะบอกว่าไม่เป็นอรหันต์ ท่านเป็นแล้ว แต่เมื่อเริ่มเป็นโพธิสัตว์ท่านที่บารมีไม่แข็ง ก็จะเป็นลิงลมอมข้าวพองไป แต่ท่านไม่ตกต่ำหรอก เพราะขนาดโสดาบันก็ไม่ตกต่ำแล้ว อรหันต์ย่อมไม่ตกต่ำ แต่ก็จะมีพลังงานโลกุตระของท่าน ท่านก็จะพยายามช่วยคนตามบารมีท่าน แต่ถ้าบารมีไม่มาก ก็อาจจะต้องผิดพลาดบ้าง ทางโลกียะ ถูกวิบากบ้าง รับทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ไป แต่บารมีโลกุตระก็แล้วแต่คน ก็สั่งสมอาริยธรรมไป

 

อาริยะ อนุโพธิสัตว์เป็นต้นไป ถ้าโสดาฯสกิทาฯอนาคาฯ ท่านต้องไม่ประมาทหากประมาทก็ช้า ตอบว่าเป็นอรหันต์ไม่มีเปลี่ยนแปลงแน่ แต่จะมีวิบากโลกีย์ ถ้าประมาทมากวิบากโลกีย์ก็มากตาม ดีไม่ดี ก็อาจลาออกระหว่างทางได้ แม้นิยตโพธิสัตว์สอบเข้ามหาวิทยาลัยพระพุทธเจ้าได้ ก็ยังลาออกได้ ท่านลาออกไปเองได้ ท่านไม่ยอมต่อก็เลิกเอง แต่ถ้าถึงขั้น 8 แล้วท่านไม่มีผิดที่จะต้องถูกไล่ออก แต่ท่านออกเอง ซึ่งถูกออกมี 2 อย่างคือ 1.มีอนันตริยกรรม 2.เป็นเพศหญิง นอกนั้นก็ขึ้นอยู่กับตนเอง

 

มาต่อที่ มหานิทานสูตร ข้อ60 อาตมาย้ำยืนยันว่า พระไตรปิฎก เล่ม16 ข้อ60 ท่านอธิบายถึงการรู้ รูป-นาม ท่านว่า จะรู้นามรูป ก็ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ต้องมีนามกับรูปตลอดเวลา นามรูป ก็คือกาย ถ้าเรียกว่า รูปนามก็เป็นสามัญ แต่ว่า ถ้าเรียกว่า นามรูป นี่ก็เป็นวิสามัญแล้ว คือกาย จะไม่แยกรูปกับนามเลย ต้องมีกายสักขียืนยันด้วย อย่างสัมผัสหลัดๆโต้งๆ ด้วยความรู้ยิ่งของตนเอง ถ้าไม่มี ก็ไม่มีปรากฏหลักฐาน ไม่มีของจริง เมื่อมีกาย ก็ต้องแยกกายสังขาร กายวิญญาณ ปรุงแต่งกันอย่างไร แล้วคุณก็จะต้องพยายามทำให้เจริญ กายสังคหะให้เจริญ หรือกายสังเคราะห์ ต้องรู้กายสัญเจตนา แล้วก็ต้องรู้ มโนสัญเจตนา คุณต้องพยายามให้ ไม่มีภพ เป็นวิภวภพ ต้องรู้เจตนาว่าจะทำให้หมดภพ ก็รู้จักสัญเจตนาที่เป็นวิภวตัณหา ต่างจาก กามตัณหา ภวตัณหา ต่างด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส เราปฏิบัติไปตามลำดับ คือปฏิบัติในกามภพก่อน เรียนกามหยาบคือ อบาย ก่อนเรียน ภวภพ จึงลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล

 

ต้องกำหนดรู้กายสัญเจตนา รู้แล้วก็จะรู้จัก กายกลิ คือกิเลส สิ่งชั่วช้าในองค์ประชุมนามรูป  หรือในกาย สิ่งเป็นโทษ องค์ประชุมพลังงานจิตเจตสิกอกุศลจิต เมื่อรู้ตัวก็รู้กายกลิ ถ้าไม่รู้กายกลิ จะไม่รู้สักกายะ ไม่พ้นสังโยชน์ข้อที่ 1 พุทธทุกวันนี้ไม่เข้าใจกาย จึงไม่มีนิพพาน

 

คุณต้องจับตัวกาลี ที่เป็นกายกลิให้ได้ ถ้าไม่รู้ก็ประหารโจรไม่ได้ ต้องจับสักกายะให้ได้ แล้วค่อยจัดการ อภิสังขาร ปรุงแต่ง ปรับปรุงให้เป็นกายสังคหะ สังเคราะห์กายให้ดีขั้นได้ ถ้าไม่รู้ก็เดาเอา สะกดจิตเอา นั่งดับ  เป็นวิชาการนอกพุทธ ย่างหนอ ก้าวหนอ ยกมือมีสติ แต่ไม่เข้าปรมัตถ์ ไม่รู้ รูป28 จิต89 อีก เมื่อไม่รู้จะทำให้กิเลสลดได้อย่างไร? ไม่รู้ กายทุกข์ ไม่รู้ทุจริต กรรม3 ที่เกิดจากตัวจิตเป็นต้นเหตุก็ไม่รู้

 

ผู้จับอ่านนามรูป จับองค์ประกอบได้ ก็จะสามารถ ปรับแต่ง ประกอบ compose ให้เกิดความดีงามขึ้นได้ ศิลปินของพุทธต้องจัดองค์ประกอบได้ มีรูป  และนาม ที่เป็นตัวรู้ จัดองค์ประกอบในกรอบที่เรากำหนดไป แต่ละกรอบเรียกว่าปริเฉท โสดาบันก็เริ่มตั้งแต่ศีล 5 เป็นปริเฉทของแต่ละคน ก็เรียนรู้กำจัดกิเลสไปตามกรอบเรา ไม่ใช่ว่าเอาหมด นอกเกณฑ์ก็เอา เป็นวิตักกจริต จะช้านานมาก หากทำได้ตามลำดับลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเลก็จะดีมาก

 

เมื่อคุณไม่รู้จักกายสัมผัส ก็แยกไม่เป็น แล้วเวลาปฏิบัติธรรมต้องมีสัมผัสเป็นปัจจัย ขณะเป็นๆอยู่นี่ไม่ใช่ตอนตาย ตอนเป็นๆมีสัมผัสทางทวาร 6 จึงเรียนรู้วิญญาณได้ มีปสาทรูป โคจรรูป ทำงานเกิดภาวรูปอีก 2 ต้องทำให้เกิด 1 เดียวไม่มีเพื่อนสอง แม้เหตุปัจจัยคืออบายเรื่องเดียว เราก็ทำให้เป็นเอกบุรุษ เป็นปุริสภาวะให้ได้ หยุดแล้ว เอกปุริสสะ ทำให้หยุดให้ได้

 

ตั้งแต่องค์ประชุมภายนอกคือ กายสังขาร ไม่ใช่ว่าให้ร่างกายหยุดทำงาน แต่ที่จริง กายคล่องแคล่วนี่ดีกว่าอยู่แข็งๆนิ่งๆนะ ต้องรู้จักการแสดงออกที่เหมาะสม อย่างที่บางประเทศเปลือยกายได้ไม่ผิด แต่ว่ามาเปลือยที่เมืองไทยนี่ไม่ได้นะ ก็ตามธรรมเนียมของแต่ละที่ ต่างกัน แล้วแต่ยึดถือทางกาย ทางองค์ประชุมภายนอก จิตก็เรื่องของจิต ยึดถือต่างกันไป ถ้าเป็นอรหันต์จะรู้จักประมาณได้ดี ไม่ทำเวอร์ไป

กายานุปสสนา

กายาสุปัสสี

กายกัมมัญญตา คือองค์ประชุมของ กัมมัญญตา คือกรรมการงานที่ควบคุมด้วย อัญญา หรือ ญาณปัญญาอันยิ่ง

กายคตะ หรือ กายคตาสติ คือการดำเนินไปของรูปและนาม มีบทบาทไปแล้ว ไปสู่คติ ที่ไปถึง จะเป็นสุคติ หรือว่าทุคติ ก็ต้องทำกายคตาสติ มีสติควบคุมการเคลื่อนของรูปนาม จะมีทั้งอานาปานสติ ด้วยในกายคตาสติ และร่วมด้วยสติปัฏฐาน 4 ทำงานร่วมกันตลอดเวลา ถ้าแยกก็ไม่ได้บรรลุ หมดทางนิพพาน

 

ต้องรู้กายในกาย เวทนาในเวทนา เวทนา 108 มีมโนปวิจาร 18 ที่ต้องแยกเคหสิตเวทนากับ เนกขัมสิตเวทนา นี้สำคัญ หากแยกไม่ออกก็ยากที่จะปฏิบัติได้บรรลุ การบวช แบบเอาคนที่ไหนไม่รู้มาบวช เป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสนคน แต่ไม่ได้รู้ปฏิบัติแยกแยะเช่นนี้ ก็เป็นการทำบาปมาก หากไม่แก้คราวนี้ ก็เป็นอนันตริยกรรมอีกเท่าไหร่

จิตในจิตก็รู้เจโตปริยญาณ 16 หากไม่รู้ตั้งแต่กายในกาย ก็ไม่รู้เวทนาในเวทนา ไม่รู้จิตในจิต ไม่รู้ธรรมในธรรม แน่

 

แค่คำว่ากายในบาลีนี่มีเยอะมาก ต้องรู้ความจริงจากบัญญัติพยัญชนะ รู้มากก็ละเอียด หากไม่รู้ก็ไม่ละเอียด แต่ตัวกายหลักๆต้องรู้ เช่น กายกลินี่เป็นตัวสำคัญที่ต้องรู้ เพราะกายนี่ พระพุทธเจ้าเรียกว่า มโน จิต วิญญาณ กายคือนาม แต่ว่าไม่ทิ้งรูป แต่เน้นนาม เป็นสำคัญ นัยสำคัญของกายคือ นามแต่ทิ้งรูปไม่ได้ การบรรลุธรรม แม้โสดาบันก็ลืมตามีสัมผัสนอก รู้นอกใน ครบ กายธรรม สกิทาฯก็ลืมตาเปิดรับรู้ มีกายครบ อนาคาฯก็เปิดทวาร 6 ครบ สัมผัสอยู่ แต่ไม่มีกิเลสกับภายนอกแล้ว เหลือแต่กิเลสภายใน ก็ยังอยู่กับสังคม เปิดทวารรับรู้  น่าสงสารคนที่ไม่รู้จักเวทนา คือสงสาร นั่นเอง

 

เรื่องกายต้องเรียนให้เข้าใจดีๆ เช่น กายทรถะ คือหมายถึง จิตมีความไม่สงบสนิท ในพระอรหันต์ คือกิริยา ที่เป็นภาระ ที่ต้องบริหารมันอยู่ จะเรียกว่าทุกข์ก็เป็นของท่าน มันเหลือส่วน

 

มันมีสภาพ 1.ทุกข์ 2.กิลมถะ และ 3.ทรถะ ต้องทำ “ทุกข์” ให้หมดก่อน เหลือแต่ “กลมถะ” คืออนาคามี ไม่มีทุกข์สุขในกามภพ เหลือแต่กิลมถะ ส่วนอนาคามีจบกิลมถะก็เป็นอรหันต์ เหลือแต่ “ทรถะ” อรหันต์จะไม่สงสัยเรื่อง กายทรถะ ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ ตนจะอนุโลมเอง ท่านจะรู้วิบาก อาตมาทำความหยาบ พูดแรงก็เบียดเบียนคนก็ต้องรับวิบาก อาตมาเต็มใจรับ อาตมาพูดว่าคนๆหนึ่งออกโทรทัศน์ด้วย คนได้ยินเท่าไหร่ ประโยชน์มีมากกว่า อาตมาขอแลก โทษของอาตมารับในวิบาก แต่ประโยชน์เพื่อมวลมนุษยในฐานะโพธิสัตว์อาตมาก็ต้องทำ ประโยชน์สูง ประหยัดสุด

 

เกิดมาเป็นมนุษย์อย่าเป็นโมฆบุรุษ คือไม่ได้อาริยธรรมโลกุตรธรรมเลย แม้น้อยนิด ได้แต่โลกียธรรม ซึ่งไม่ต้องอยากได้มันก็จะได้แน่โลกียธรรม ใครไม่ได้โลกุตรธรรม อาริยธรรมเลยก็เสียชาติเกิด ชิงหมาเกิด คนเกิดมาแล้วต้องหาให้เจอ ทำให้ได้ ในโลกุตรธรรม ต้องพบสมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 18:01:27 )

580304

รายละเอียด

580304_พิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สมเด็จปู่วิชิตอวิชชา งานพุทธาภิเษก ศาลีอโศก

เวลา 08.42 น. วันที่ 4 มีนาคม 2558 ซึ่งเป็นวันมาฆบูชา พ่อครูนำหมู่นักบวช เดินธรรมยาตราระยะสั้นๆ จากหน้าศาลาพุทธาภิเษก ศาลีอโศก จนถึงบริเวณที่ประดิษฐานสมเด็จปู่วิชิตอวิชชา ที่อยู่ข้างศาลาพุทธาภิเษก จากนั้น พ่อครูได้เทศนาธรรม หน้าสมเด็จปู่วิชิตอวิชชา ….ณ บัดนี้ก็เป็นโอกาสอันดี 08.45 น. เราจะได้ทำการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ลงในสมเด็จปู่ อาตมาเจตนาตั้งชื่อ สมเด็จปู่ ฉายาท่านก็ วิชิตอวิชชา หมายถึงผู้ปราบมาร ปราบอวิชชา ล้างอวิชชา กำจัดอวิชชา เป็นผู้ชนะในอวิชชาทั้งหลาย ซึ่งพระสมเด็จปู่ฯองค์นี้เกิดมาตามธรรม ไม่ใช่เรื่องลิเกละคร ไม่ใช่เรื่องปรุงแต่งตบแต่งก่อสร้างแบบชาวโลกเขาทำ แต่มันเป็นเรื่องที่จะต้องเกิด เป็นเช่นนี้เอง ตถตา มัน Born to be จะต้องเกิดเช่นนี้ เป็นอจินไตย ไม่ต้องคิดมาก ดีไม่ดีเกิดปุปปับ อุปัทวะเกิดทันทีทันใดได้เลย ตามเหตุปัจจัย แม้แต่อาตมาทำงานมาตลอดเวลา ทำงานศาสนามา ปีที่ 45 มาปีนี้ มีอะไรที่อาตมารู้มาตลอดว่าอันนี้เกิดอันนี้เกิด เช่น มาถึงวาระนี้ มาถึงโอกาสนี้ ณ ลมหายใจเฮือกนี้ สังคมไทยกำลังจะเกิดรูปและนาม ทั้งด้านการเมืองและศาสนา จะเห็นได้ว่าการเมืองกำลังปฏิรูปเชิงปฏิวัติ ทั้งการศาสนาด้วย ก็กำลังจะปฏิรูปเชิงปฏิวัติ ผู้ที่ไม่หูหนวกตาบอดก็จะเข้าใจก็จะเห็นได้ ผู้หูบอดตาหนวกนี่ยิ่งกว่าสีควายให้ซอฟัง ยิ่งกว่า เข็นเขาขึ้นครก พูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว ไม่ต้องแปลกใจว่าจะมีคนออกมาคัดค้าน เพราะใกล้กลียุคแล้ว ไม่ได้เจริญขึ้น เสื่อมลง แต่อาตมามารรักษาสถานะของศาสนาพุทธเอาไว้ เพื่อรักษาเนื้อ แก่น เอาไว้ ก็ต้องช่วยกัน ทุกคนที่มีบารมี มีพลังงานชีวิต เพื่อบูรณะศาสนาพุทธ ปฏิสังขรณ์เอาไว้เพื่อให้ถึง ครบ 5000 ปี ของศาสนาสมณโคดม

 

ตอนนี้มันถึงวาระครึ่งหนึ่งของศาสนาพุทธ เลยมาแล้ว 2600 ปี จึงถึงวาระที่ต้องปฏิสังขรณ์ ก็ในโลกด้วย ก็รู้กันทั่วไป ยิ่งยุคนี้ Globalizationไม่มีอะไรปิดกั้นได้ แต่ในสายศาสนาเนื้อแท้ โดยเฉพาะพุทธไม่ได้แพร่หลาย ก็มีปริมาณจำนวนหนึ่ง ยิ่งใกล้กลียุค มีศาสนาเดียรถี ทุนนิยม ศักดินาดิจิตอล ที่เลวร้าย ไม่ได้ศักดินาโบราณ แต่สมัยใหม่  ใหญ่มาก มีจริงหนักหนาสาหัส ล้างเขาไม่ได้จากโลก สุดท้ายเขาจะทำลายโลก สร้างบาปต่อไป

 

 

ส่วนที่เหลือที่จะต้องรักษาสถานะเอาไว้ ได้เท่าที่ได้ จะได้ก็เกิดจากจิตวิญญาณของมนุษย์แต่ละคนที่จะสำนึก มีภูมิปัญญาว่าจะมาช่วยกันอย่างแท้จริง อาตมาเปิดตัว คิดว่าครบแล้ว เปิดโพธิสัตวภูมิมาแล้ว ตอนนี้ก็เริ่มขยายอรหันต์ ก็เปิดเผยตนเอง อาตมาไม่ได้เพิ่งรู้ว่าตนเป็นอรหันต์ แต่ไม่ได้อยากเปิดเผย เพราะเขาถือกันจัด อาตมาก็รู้ ถือกันหนักมาก เปิดเผยคุณความดีไม่ได้ ความชั่วก็เปิดและก็ทั้งปิด ส่วนความดี ไม่นิยมเปิดเผยไม่นิยมส่งเสริมกันด้วย ไทยจึงเดินทางช้า การช่วยปรามคนชั่วก็เป็นสิ่งดี แต่ไม่ส่งเสริมคนดี ไม่โฆษณาคนดี ไม่เอาคนดีมารวมกันแล้วประกาศให้รู้ ประเทศไทยช้าจุดนี้ จุดที่ไม่ส่งเสริมคนดี แต่ก็เจริญได้เพราะประกาศให้รู้คนชั่วแล้วก็ทำลายความชั่วก็เป็นสิ่งดี แต่ควรต้องเพิ่มการส่งเสริมคนดี พยายามบอกความดีที่จริงไม่เสแสร้งหลอกลวง คนไม่ดีก็มุขกันว่าดี หลอกโลกว่าดี อุปโลกน์กันขึ้นมา เป็นเรื่องเท็จ หลอกสร้างกันมาเล่นๆ อาตมาทำงานมาได้ปางนี้ เป็นเครื่องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของธรรมะโดยไม่อาศัยเครื่องเคียง อุปถัมภ์ ไร้อลังการรอบๆ ที่โลกเข้าใจ ใช้กัน อาตมาไม่มีเครื่องตบแต่ง ไม่ว่าจะเป็นทุน ความรู้ทางโลก หรือกามคุณ รูปไม่หล่อพ่อไม่รวย ซึ่งเป็นเรื่องดีของอาตมา เป็นอจินไตย ที่ต้องเป็นเช่นนี้ เป็นตถตา born to be อาตมาไม่ได้สงสัยเรื่องเหล่านี้ มีแต่อุตสาหะวิริยะไม่น้อยใจเสียใจ ก็ทำมา จนต้องต่ออายุขัยของตน ต่อมาได้ขนาดนี้ก็ตั้งใจพากเพียรให้ถึง 151 ปี อีกไม่กี่เดือนก็ขึ้น 82 ปีแล้ว

 

 

ก็พยายามพากเพียรทำงานจริงจัง อาตมาประกาศตนเองว่าเป็นสยังอภิญญาเป็นผู้ที่จะมาทำงานนี้ ก็ค่อยๆเปิดเผยกันว่าต้องเป็นอาตมา ก็รู้อยู่แต่ต้องอาศัยเวลากาละ ที่เหมาะสม ต้องอาศัยฐานที่เหมาะสม ถ้าไม่เหมาะสมก็รับกันไม่ได้ทั้งพวกเราและคนนอก แต่มีเหตุปัจจัยที่ช่วยให้อาตมาพูดได้ ถึงเวลาก็จำเป็นต้องพูด อาตมาไม่มีสาเฐยจิต ไม่มีจิตอวดอ้าง อาตมามั่นใจว่าอาตมาเป็นผู้ศึกษาจิต อ่านจิต และวิเคราะห์วิจัยอ่านจิต หยาบ กลางละเอียดว่ามีอาการเล็กน้อย ถึงหยาบก็ต้องรู้ว่าหมายถึงอย่างไร สาเฐยคืออยากอวดอ้างอยากโชว์ มีลิงค มากหรือน้อยอย่างไร มีอินทรีย์ของอาการอย่างไร? น้ำหนักของอาการมากหรือน้อย เบาบางเข้มข้นอย่างไร มันเป็นนามธรรม อาตมาก็นำมาเปิดเผยให้เรียนรู้ปฏิบัติ ให้เป็นประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน  เป็นอุภยัตถะ มิใช่เอกกัตถะ หรืออัตตัตถะ แต่เป็นของผู้อื่นด้วย มีปรัตถะด้วย ของพระพุทธเจ้าเป็นเช่นนั้น

 

ผู้ใดยังไม่มีคุณอันสมควรก่อนแล้วพร่ำสอนคนอื่น ผู้นั้นมีวิบาก มันผิดพลาด ไม่จริง เอาสิ่งไม่จริงไปบอกคนอื่นว่าจริงก็บาปแล้ว มันผิดพลาดก็บาปซ้ำ รู้แล้วว่าผิดก็ยังทำซ้ำไม่หยุด กลบเกลื่อน  หลอกคนอื่นซ้ำอีก แล้วคนอย่างนี้จะคบได้อย่างไร มีคนทำเช่นนี้อยู่ แม้สังคมศาสนาก็มีอยู่ ให้มาช่วยกัน ทุกคนมีปัญญาของตนก็ใช้ความรู้ความสามารถศึกษาพากเพียรเอา

 

อาตมาก็ทำมาตามลำดับ ปีนี้ 2558 เป็นต้นไป มันจะขึ้นรอบเป็นรอบเลข 5 และเลข 8 ที่อาตมาจะต้องทำงานอีกรอบหนึ่ง มันย่างทศวรรษที่ 5 มันครึ่งหนึ่งแล้ว ก็จะเริ่มพัฒนาไป นี่เขตที่ 2 จะพัฒนาไป 6 แล้วถ้าได้ถึง7 ก็จะขึ้นไปถึง 8 อาตมาก็กำลังจะขึ้นไปหา 5  ดังนั้นเลข 5 และเลข 8 จึงเป็นเลขเดินทางไปสู่ความเที่ยง นิยตะ ไม่ใช่ว่าเพิ่งมีผล แต่มีผลมาเรื่อยๆ ทุกอย่างลงตัวหมด ซึ่งคนอื่นใช้ตัวเลขอย่างนี้ไม่ได้ เช่นพระพุทธเจ้าต้องประสูตร ตรัสรู้ ปรินิพพานวันเพ็ญเดือน 6 คุณอย่าไปริอาจใช้เหมือนท่าน อาตมาก็ไม่ได้ แต่จะใช้ของอาตมาเอง ไม่ใช่สาธารณะของคนทั่วไป ไม่ต้องคิดฝันเพ้อเจ้อ ถ้าไม่ถึงเวลามันก็ไม่จริง เอาหมามาใส่มงกุฎหรือเอามงกุฎมาใส่หัวหมา ไม่เข้าท่า

 

 

วันนี้เป็นโอกาสสำคัญ เป็นพระพุทธรูป ที่ปางปราบมาร ปราบอวิชชาของโลก วิชิตอวิชชา และจะปราบจริงๆ ไม่ใช่ปราบเล่นๆ ผู้ใดจะมาผนึกร่วมกันก็มา ใช้ธรรมาธรรมะสงคราม ไม่มีความรุนแรง แต่ใช้ความรู้ลึกซึ้งภูมิปัญญา ชนะกันด้วยความดี ความจริง ต้องอุตสาหะมาก ก็มีผู้ดวงตาสว่างก็เข้าใจก็มารวมผนึกกันก็จะมีมากขึ้น

 

คนที่มาแรกๆเริ่มๆนี่ คนกระจอกทั้งนั้น คนที่จะยิ่งจะใหญ่ในสังคมนี่จะมาทีหลัง มาชุบมือเปิบ อาตมาไม่ได้สงสัยหรอก ต้องเอาแบบไม่มาไม่ได้แล้ว คือความคิดเขาจะช้า ความโง่เขาจะหนา ผู้ใดรู้แล้วก็อย่าช้า ไม่มาชุบมือเปิบ มาช่วยกันอย่าช้า อาตมาแต่งเพลงสมรรถภาพ เป็นเพลงสุดท้าย แล้วก็คงไม่แต่งอีก มาเถอะมาอย่าช้า หอบกระทะพร้าขวานมา ไม่ได้ให้คุณเอาเพชรเอาทองเอายอดของสูงอะไรมาหมด เอามีดกระทะพร้าขวานมาติดดิน มาเป็นอย่างนั้น ใครอยากจะมาติดดินมาอย่างนี้ก็มา แต่ถ้าใครเห็นเป็นเรื่องต่ำก็เราก็อยู่ตามประสาเรา เราก็ทำตามประสาเรา

 

แม้แต่อาตมาบอกว่าในหลวงเป็นโพธิสัตว์ พูดเล่นได้อย่างไร ของสูงขนาดนี้เอามาเล่น อาตมาไม่ได้โง่ขนาดนั้น เป็นสิ่งเกินคนจะคิด มีคนที่อวดดีกว่าโพธิสัตว์ ขออภัยเถอะรู้ดียิ่งกว่าอาตมา เขาก็ว่าเขารู้ดีกว่าก็มี ก็ไม่เป็นไร โพธิสัตว์น่ะรู้จักเถรวาท รู้อรหัตตผล เพราะโพธิสัตว์คือผู้รู้อาริยะก่อนแล้วจึงสอนคนอื่น ให้รู้ได้ จะเป็นธัมกถึกจะแสดงคำสอนก็ต้องเป็นผู้มีอาริยธรรม ได้ก่อนเป็นก่อน ไม่มีคุณอันสมควรก่อนแล้วไปสอนคนอื่นจึงมัวหมอง อวดดีเป็นธรรมทูต ขออภัยเอาขี้ทูดไปให้เขา ขออภัยอาตมาพูดตรงแรง เหมือนขวานจักตอก มีคนพูดให้อาตมาเป็นผู้มีสายฟ้าในวาทะ แต่ขวานจักตอกนี่แหละของจริง สับเลย แต่อาตมาใช้ขวานจักตอกได้อยู่นะ แม้ตอกอาตมาจะไม่งามปานใด ชีวิตนี้ไม่เก่งทางโลก แต่อาตมามาทำงานทางศาสนา ก็ต้องมีเนื้อศาสนาเพื่อไปทำ ต้องมั่นใจจุดนี้ แต่เรื่องทางโลกอาตมาไม่เก่ง แต่ไม่ใช่ว่าอาตมาไม่รู้ทางโลกเลย ก็ต้องมีโลกวิทูตามพระพุทธเจ้าสอน มีแต่ไม่ได้เอามาใช้ก็ใช้ไม่ได้ แต่ไม่ใช่ว่าไม่มี คนเราเกิดมาแต่ละคนมีวิบากกุศลที่จะมาใช้ประมาณหนึ่ง แล้ววิบากบาปก็จะตามมาได้ระดับหนึ่ง จะทยอยมาเล่นงาน ถ้ามาทั้งหมดไม่เหลือหรอก ตาย บาปของแต่ละคนน้อยที่ไหน ขนาดพระพุทธเจ้ายังตามมาไม่เกรงใจเลย เป็นอจินไตยที่ยาก ทุกวันนี้คนไม่เชื่อกรรม วิบากเยอะ คนที่มีดวงตา ปัญญา เข้าใจแล้ว อย่าช้า

 

คนเกิดมาได้ร่างกายเป็นมนุษย์ครบอาการ 32 มาสร้างสติมันโต อิธพรหมยริยวาโส คุณสติไม่เสียไม่ตกหล่น มีสติเต็ม มาใช้ให้เป็นสติมันโต จะได้ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 ก็ใช้สติทั้งนั้น ให้มีสติบริบูรณ์เต็มครบนอกและใน ต้องมาฝึกฝนกับมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีอย่าช้า แต่ละชาติได้อาการ 32 ครบ ถ้าไม่ใช้เป็นกุศลก็ใช้เป็นอกุศล ไม่มีกลางหรอก มีแต่มากหรือน้อยเท่านั้น

 

มาอยู่ที่กรรมใหม่ของทุกๆวินาทีที่เกิดมา คนได้อาการ 32 ครบ พร้อมสติ เป็นเรื่องนามธรรม แต่ต้องมารวบรวมสติ คนได้อาการ 32 ก็รูปเต็ม สติก็ต้องมาสร้างเบื้องต้นของนามธรรม เป็นสติสัมปชัญญะ สัมปาเทติ สัมปชลติ สัมปันโน สัมปัตตะ สัมปันนะ ให้ได้ ต้องมาทำเอาเอง ปัจจุบัน ปฏิบัติธรรมกับรูปนามให้พัฒนา อย่าเสียโอกาสในการเกิดมาครบ 32 สติก็ไม่บ้า ไม่ idiot หรือmoron มันไม่ได้ตายเปล่าแต่อย่างใด ถ้าตายเปล่าพวกเราอาตมาว่ายังดีนะ แต่มันได้อกุศลจิตใส่จิตไปสิ มันเปล่าตรงไม่ได้โลกุตรธรรม แต่มันดันได้วิบากบาป อกุศล นรกใส่อัตภาพไป โมฆบุรุษของพระพุทธเจ้าท่านตัดกรอบที่ว่า เสียโอกาสที่ไม่ได้โลกุตรธรรม แม้จะได้แค่กุศลโลกียะก็ยังดี แต่ส่วนมากได้นรก อกุศล กิเลส อย่างน้อย กิเลสที่เป็นเทวดาเก๊ก็อ้วน ทำให้กิเลสของคุณนี่ ได้รับอาหาร ได้เสพเสวยกิเลสก็อ้วน ปุถุ หนา มากใหญ่ ไปในทางทวี คนไม่รู้ก็บำเรอกิเลสให้อ้วน กิเลสมันพาเราทำชั่วทำบาป อยู่แล้ว มาทำดีแค่โลกีย์ไม่รู้ปรมัตถ์ กิเลสโลกีย์มันก็ผยอง ได้ลาภมาก็ยิ่งดีแล้วกิเลสจะผอมลงได้อย่างไร?  ได้ยศ ได้สรรเสริญ ได้เสพรูป รส กลิ่นเสียงก็อ้วนขึ้น เป็นสมมุติเทพ แล้วก็มารับวิบากที่กิเลสอ้วนนั่นแหละ ไม่รู้กี่ชาติ ต้องเรียนรู้กิเลสแล้วล้างออก ไม่ใช่ทำให้อ้วน กิเลสผีก็โต แม้แต่เทวดาสมมุติเทพก็อ้วน มันต้องมาเรียนรู้เทวดาอุบัติเทพ เป็นเทวดาแท้ ไปสู่สงบรำงับ

 

สรุป ว่าต้องมาเรียนรู้เนกขัมมะให้ได้ แม้จะเหลือเศษส่วนสุดท้ายของยุคปลายพระพุทธศาสนาแล้ว มีพระสมณโคดมเป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้าย เราต้องมากอบกู้ศาสนาขึ้น ทำไมเราต้องมีถึงขนาดว่า กองทัพธรรม เป็นมูลนิธิของพวกเรา มันต้องเป็น born to be เป็นอจินไตย กองทัพธรรมต้องมี ก็ทำงานกับทางโลก แล้วกำลังจะเป็นกองทัพธรรมของธรรมะแท้ๆ กำลังจะปรากฏตัว แล้วเป็นจริงด้วย ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เสแสร้งไม่ได้ด้วย

 

คนที่มีคนคอยจับผิดให้คือคนมีกุศลมหาศาล คนที่ไม่ดีแล้วมีคนคอยป้อยเสแสร้งให้เป็นคนที่มีความซวยมหาศาล

 

จากนั้นเวลา  09.25  น. พ่อครูได้ทำพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ โดยพ่อครูพาสวดมนต์สั้นๆ แล้วพ่อครูก็เดินขึ้นไปบนแทนรองเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่พระอุณาโลมของสมเด็จปู่วิชิตอวิชชา จากนั้นก็พากราบอีก 3 ครั้ง เป็นอันเสร็จพิธีในเวลา  09.36  น.ของวันมาฆบูชา 4 มีนาคม 2558 แล้วร่วมกันถ่ายภาพหน้าสมเด็จปู่วิชิตอวิชชา


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 18:00:14 )

580305

รายละเอียด

580305-ความรัก 10 มิติ รักแบบพุทธต้องหยุดเห็นแก่ตัว

พ่อครูว่า..วันนี้แรม 2 ค่ำเดือน 3 ปีมะเมีย วันนี้เรียนความรัก 10 มิติ ที่เราเรียนกันถึงมิติที่ 8 แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่ามิติที่ 8 นี้ไม่ได้รู้มิติที่ 1 ถึง 7 เป็นอย่างไร ก็รู้ มิติที่ 1 เป็นความเห็นแก่ตัวระหว่างเราสองคนเท่านี้ เพื่อคนๆเดียวเท่านี้ จะมีสุขทุกข์อย่างไรก็แค่สองคน เป็นความแคบ จิตใจก็คิดเช่นนี้ เห็นเช่นนี้ กำหนดใจเช่นนี้จริงๆ เขาก็รู้ว่ามันเห็นแก่ตัว แต่ใจเขาก็เป็นเช่นนี้ ไม่ได้เสียสละ ทำไม่ได้ ทำได้แต่เผื่อแผ่แค่แคบ จนมามีลูกก็เห็นแก่ลูกเพิ่มขึ้น ขนาดนั้นบางคนยังไม่รักลูกด้วย ให้คนอื่นเขาเลี้ยงไป เห็นเป็นภาระด้วย ซึ่งแม้แต่เดรัจฉานก็ยังมีที่เสียสละเพื่อลูก ตายเพื่อลูกได้เลย เดรัจฉานยังเป็นได้ แต่บางคนชั่วได้กว่านั้นอีก มีลูกมาก็ไม่เกี่ยวกับตน  มีแต่เรื่องต่อเผ่าสืบพันธุ์แต่ไม่มีจิตวิญญาณให้แก่กันเลย เราก็ต้องศึกษา แต่เขาก็เห็นเป็นความสุขที่ได้สัมผัสแล้วปรุงแต่ง อันเป็นที่พอรู้กัน เขาก็ว่าเขาต้องมีชีวิตเอร็ดอร่อยแบบนั้นของเขา ในนัยอื่นที่เป็นกามคุณก็เช่นกัน แต่เรื่องความรักอันเห็นแก่ตัวแคบๆนี้เป็นตัวหลัก

 

ใครเข้าใจศึกษาธรรมะก็จะรู้ว่ามันแคบไป ต้องให้เรากว้างกว่านี้ ให้ใจเราเป็นได้แม้เป็นไม่ได้ก็ให้รู้ การแสดงทางน้ำใจได้ทันที แสดงทางพฤติกรรมกิริยาต่างๆที่จะเกื้อกว้างไม่เห็นแก่ตัว ภาวะเช่นนี้ควรช่วยกัน เราควรทำในโอกาสที่ควรทำ ถ้ามีสำนึกเช่นนี้ก็จะเจริญขึ้น แล้วยิ่งมีปัญญาดี ปลดปล่อยความแคบของการยึดติดทางจิตได้ แล้วเราก็อยู่กับสังคม ถึงขั้นมิติที่ 7 อยู่กับสังคม จะเป็นสังคมในกรอบ 2 คน หรือมิติที่ 2 หรือกว้างมาสู่ญาติในมิติที่ 3 และมิติที่ 4 ถึงมิติ 5 ในรอบกว้าง

 

มิติที่ 6 เป็นรัฐเป็นประเทศเลย แล้วมีกรอบ เราก็ควรเห็นแก่เกื้อกว้างตามวาระที่เป็นได้ ถ้ามีสำนึกแม้เราไม่มีเรี่ยวแรงวัตถุ แต่เราก็มีใจ แต่ถ้าเรามีแรง วัตถุ โอกาสจะช่วยเราก็ทำ เช่นเราออกไปชุมนุม เพราะมีเหตุที่ทำให้สังคมทุกข์ร้อน มีคนไม่ดีมาทำให้เดือดร้อนมาก เราก็เห็นว่ามีวิธีช่วยสังคม อาตมาจึงพาพวกเราออกไปทำ เท่าที่เรามีสามารถ วัตถุทำได้ เราก็ทำ ถ้าคนรู้จักหน้าที่ขวนขวายไม่ดูดำดูดี รู้จักโอกาสวาระ เราช่วยข้างในเรา แล้วช่วยข้างนอกบ้าง เราไม่โลภมาก ไม่รีดนาทาเร้นเขา เราก็พึ่งตน ขยัน สร้างสรร ไม่เบียดเบียนใคร แม้ว่าเราไม่ได้ไปช่วยแต่เราก็ไม่ได้ไปเบียดเบียนเขา ยิ่งเราเป็นประโยชน์ได้กว้างมากขึ้น ยิ่งมิติที่ 7 เป็นความรักเกื้อกว้างต่อทุกสรรพสิ่ง เป็นรักของพระเจ้า รักโลก รักทุกสัตว์โลก รักไปตามฐานะที่จะช่วยได้ แต่เขาก็คิดกันไปว่า พระเจ้าเก่งทุกอย่างทำได้หมด แต่ทำไมปล่อยให้เดือดร้อนวุ่นวายได้

 

พุทธรู้ต้นทางพลังงานทางจิตที่เทวนิยมเขาก็รู้ว่าเป็นพลังงานพระเจ้า แต่ไม่ได้หมายถึงว่า พระเจ้าคือพลังงานเหนือใครยิ่งใหญ่คอยทำงานช่วยคนไม่ใช่ แต่พลังยิ่งใหญ่คือพลังงานในคน ในสัตว์โลก คนที่มีพลังงานที่ดีระดับพระเจ้า แต่มิตินี้เขาก็ไม่รู้จักตัวตน ตัวมีพลังยิ่งใหญ่มีพลังรักไปหมด แต่เขาไม่รู้ว่าตนเห็นแก่ตัวเองไหม? อันนี้เขาไม่เรียน แต่พุทธเรียนสิ่งไม่ดี ที่เป็นความเห็นแก่ตัว แล้วเราล้างได้หมดเลย จึงไม่เหลือจิตเห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่ทุกสิ่งทุกอย่างเลย แล้วอยู่ที่ไหนก็อยู่ที่ตัวเราได้ สามารถพิสูจน์ได้

 

จริงๆไม่ใช่ว่า พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วจึงค่อยรู้คนอื่นว่าจะช่วยอย่างไร แต่ว่าท่านรู้มาเป็นลำดับๆ คนที่สูงระดับไหนก็จะรู้คนระดับล่างได้ ที่สูงกว่าตนนั้นรู้ไม่ได้ เพราะผ่านเองปฏิบัติเอง เข้าใจความจริงครบถ้วน มันปล่อยวางคลายความเห็นแก่ตัว แล้วมันมีความจริงให้รู้ในตน จึงเอาความเป็นจริงของจิตตนเองมายืนยัน ประกาศ ตามที่ได้ทำเหตุไม่ดีออกไป ดีจะเกิดแทน แล้วก็เอาที่รู้แล้วทำได้นี่ให้คนไปปฏิบัติเกิดผลได้ เป็น 1 คน ร้อยคน พันคน หมื่นคน แสนคน ล้านคน ทำมาตลอดเวลา อย่างอาตมาก็ทำมาไม่รู้กี่ชาติ มาชาตินี้อาตมาก็ทำตามฐานะบารมี 40 กว่าปีก็ได้คนที่เห็นหน้ากันแค่นี้ ก็เป็นไปตามจริง อาตมารู้ดี เหตุที่มันยากเพราะในยุคนี้คนที่ทำได้นี้ยาก ได้ไม่มากก็เก่งนะ เพราะต้องมีความสามารถ จะบอกว่าเราจะน้อยใจก็ไม่น้อยใจ เราเก่งเท่านี้ก็ดีแล้ว จะได้มากหรือน้อย อาตมาไม่มีปัญหามาก อาตมามุ่งให้ได้ของจริง แน่นอนว่าได้มากๆก็ดี แต่จะไปบีบไม่ได้ ก็ได้แต่ต้องอุตสาหะวิริยะพากเพียรไปเต็มที่ ทุกวันนี้จึงเห็นผลได้ จึงไม่ท้อถอย แต่ถ้าว่าอาตมาทำไปไม่ก้าวหน้ามีแต่เสื่อมทรุด สังคมนี้ไม่ก้าวหน้ามีแต่เสื่อม เราก็เหนื่อยไปไม่คุ้มเลย ไม่พัฒนาเลย เมื่อยนักอาตมาก็ โบกมือลา ไม่เอาแล้ว แต่ทุกวันนี้ใครจะว่าอะไรก็แล้วแต่ ทุกวันนี้ไม่ได้ทำเพื่อโลกธรรมอะไร เขาด่าสาปแช่งด้วยซ้ำ เหนื่อยน่าดูเลย เราไม่ได้อะไร นอกจากช่วยให้เกิดสิ่งดีแก่สังคมเท่านั้น ถ้ามันตันแล้วอาตมาก็จะหยุดแล้วพอแล้ว ไม่ไหว มันเปล่าดายไม่เกิดผล แต่อาตมาก็มองตามประสา ว่าได้นะ มีผลอยู่นะ พวกคุณเห็นอย่างอาตมาไหม?

 

แต่ก็มีนัยที่ว่า จะได้จากข้างนอกมาเพิ่มไม่ได้แล้วอาตมาก็จะหยุด แต่พวกเรายังมีการก้าวหน้ามีรายละเอียดเพิ่มอาตมาก็ทำ แม้ว่าข้างนอกเพิ่มไม่ได้อีกแล้วก็ตาม อาตมาก็ทำอยู่ไม่มีปัญหา จนกว่าพวกเราไม่เอาแล้ว อาตมาก็โบกมือลา หยุด ก็อายุขนาดนี้แล้ว ก็คง ชีวิตก็คงไม่นานไม่ยาวแล้ว เพราะมันไม่มีความปรารถนาจะอยู่ เพราะไม่เกิดอะไรขึ้น ไม่ได้ทุกข์ร้อนแล้ว แต่อยู่ที่ว่าจะทำอะไร อย่างอาตมานี่บอกได้เลยว่ามีชีวิตไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร เป็นแต่เพียงอยู่แล้วจะมีประโยชน์อะไร เป็นแต่ทำให้คนข้างเคียงก็ว่าไม่ดูแลตนเองเลย อาตมาก็ว่า ทำขนาดนี้ก็ยังไม่ค่อยทัน ก็เลยเหมือนดึงๆกันอยู่ แต่ทางผู้ดูแลก็เข้าใจอาตมาอยู่ แต่ก็มีความเห็นถ่วงไว้ก็เป็นธรรมชาติที่หวังดีต่อกัน อาตมาก็หวังดีอย่างหนึ่ง พวกท่านก็เห็นดีอีกอย่างก็ถ่วงไว้ เป็นเรื่องดีของมนุษยชาติ ต้านกันไว้ แล้วส่งเสริมกันไป ต้านกันด้วยหวังดีก็มี ส่งเสริมเพื่อหวังร้ายเขาก็ยังมีเลย ส่งเสริมเพื่อหวังดีก็มีแน่

 

พฤติกรรมที่เห็นกันนี่ อย่างพวกเราอยู่ด้วยกันก็มีต้านมีว่ากัน แต่เข้าใจแล้ว มันมีต้านอย่างหวังดี พ่อแม่ด่าลูก ไม่ได้ปรารถนาร้ายก็อยู่กันได้ บางครอบครัวพ่อแม่ดุด่าเก่ง แต่ลูกๆก็รักพ่อแม่มาก เพราะลึกๆมันรู้ปฏิภาณลูกรู้ว่า เขาด่าไม่ได้เกลียดชัง แต่เป็นพฤติกรรมอย่างหนึ่งเป็นการแสดงออกเพื่อกำหราบ บางทีถึงตีด้วย ลึกๆก็รู้ว่าไม่ได้ตีให้เสียหายให้ร้าย ทุกข์ร้อน แต่ปรารถนาดี จึงตีให้เข็ดหลาบ อาตมานี้ชีวิตนี้แม่ตีอาตมา 1 ครั้ง ตีด้วยไม้บรรทัด เอาสันตี เขาคงสุดทนแล้ว คว้ามาตี แขนแดงเลย พอเขาเห็นแขนแดงแป๊ดขึ้นมา เขาร้องไห้เลย เขารักอาตมา อาตมาจำได้ เคยถูกตีครั้งหนึ่งในชีวิต ในชีวิตอาตมา แม่จะฟังอาตมา เวลาพูดกัน เห็นว่าดีมีคุณค่าราคา ก็เป็นชีวิตดี สนิทกับแม่มากกว่าพ่อ

 

เรื่องมนุษยชาติก็เป็นเรื่องมิตรสหาย เป็นญาติ เป็นเพื่อนร่วมโลก อาตมามีความคิดอยู่ว่าทฤษฎีของพระพุทธเจ้ามีความรักเกื้อกว้างออกไปสู่โลก รักทุกสรรพสิ่ง ไม่ได้เป็นความรักดูดดึง แต่เป็นปิยกรณะเป็นความรักช่วยเหลือกันไม่เห็นแก่ตัวแท้จริง

 

ต่อไปทฤษฎีวิชาการของพระพุทธเจ้านี้ ชาวโลกจะต้องอาศัย เพราะหมดความเห็นแก่ตัวได้จริง เพราะของพระพุทธเจ้าหมดความเห็นแก่ตัวแล้วจะเห็นแก่คนอื่นเลย ส่วนทฤษฎีของฤาษีจะหนีโลกห่างทิ้งผู้คนออกไป คนก็มองตื้นๆว่า คนนี้ไม่มีความอยากได้อะไร แต่โดยลึกคือความเห็นแก่ตัวเอาแต่อัตตาตัวเองเต็มๆ ไม่ยุ่งกับใครไม่เอาภาระใคร ถ้ามองด้วยชัดเจนก็คือคนเห็นแก่ตัวเต็มบ้อง หรือใจดำที่สุดมันไม่ใช่ลักษณะไม่เห็นแก่ตัวเลย ดังนั้นของพระพุทธเจ้านี่ ให้ล้างกิเลสจริงหมดความเห็นแก่ตัวจริง แล้วตนก็ยังมีความรู้มีพลังงาน จิตวิญญาณจะรู้ เมื่อเราไม่ต้องการทำอะไรเพื่อตัวเองก็ทำเพื่อผู้อื่นเลยสิ ไม่ใช่ว่าหนีไปจากสังคม แต่ทีนี้ต้องมีปัญญาจะช่วยคนอื่นต้องมีสัปปุริสธรรม 7  แล้วจะอยู่ได้เพราะผู้อื่นเป็นคุณค่าแล้วจะเลี้ยงไว้ ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะอยู่ได้อย่างไร คนอื่นที่เขาจะช่วยก็ให้เขาช่วย เรามีอะไรที่เราควรทำที่เขาทำไม่ได้ เราเอาเวลา ทุนรอนไปทำอย่างนั้นดีกว่า จึงเป็นทฤษฎีที่ยิ่งใหญ่มาก ไม่ว่าจะเป็นหลักเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ ก็ยิ่งใหญ่มาก ศาสนาพุทธมีครบพร้อม แล้วรู้ว่าอะไรเป็นสาระหรืออสาระก็รู้ อันไหนควรทำหรือไม่ควรทำก็รู้ แล้วประมาณในการทำไป พูดไปแล้วเป็นรายละเอียดของความรักทั้งนั้นเลย ที่เป็นผลของ สาราณียธรรม 6

1.     สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)

2.    ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) .

3.     ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)

4.     สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) . . .

5.     อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) .

6.     สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) .

7.     เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)

(โกสัมพีสูตร พตปฎ. ล.22  ข.282-283)

 

ถ้าสังคมใดมีคุณสมบัติที่ว่า เกิน 60 % สังคมนั้นสงบสุข สังคมเราเป็นได้จริงแล้ว เพราะเรื่องความรักในโลกเขามีแต่เห็นแก่ตัว จนเราก็มาคลี่คลายกรอบจนเป็นความรักไร้กรอบ รู้ว่ารักคืออะไร ที่จะเป็นความดีงามสูงส่งขึ้นไปเป็นลำดับ มันต่างกับเดรัจฉานที่เขาไม่ค่อยมีความรู้เช่นนี้ พอมาเป็นมนุษย์แล้วควรมีความรู้เช่นนี้ แต่บางทีกลับกลายว่ามนุษย์กลับเลวยิ่งกว่าเดรัจฉานอีก

 

-เคยปฏิบัติแบบ เจออะไรก็หยุดคิด จิตก็ว่างสบาย อย่างนี้จะไปนิพพานได้ไหม?

ตอบ...พ่อครูว่า..อย่างนั้นไม่ใช่ความว่างของพระพุทธเจ้า มันก็ทำง่ายไม่ต้องให้จิตปรุงแต่งไม่ต้องไปคิดต่อ อันนี้เรียนง่ายฝึกได้ แต่ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าให้ทำได้เอาไว้อาศัยกดข่มไว้บ้าง มันก็ว่างจากจิตไม่กวนแต่ว่าของพระพุทธเจ้าคือจับเหตุที่อยู่ในจิตเลย จิตกิเลสที่เป็นตัวกวน เราต้องกำจัดกิเลสให้ละลายหายไปเลย จนกว่าใจเราว่างจากกิเลสเช่นศาลานี้ว่างจากช้างเราก็กำจัดช้างออกไป จิตก็ว่างจากกิเลส จิตไม่เป็นภัยต่อโลก ทำงานเป็นจักรผันช่วยโลกด้วยไม่ใช่แค่ว่างอย่างที่ว่า  ตัวว่างคือจิตอยู่เฉยๆไม่ใช่ว่างแบบพุทธ แบบพุทธคือว่างจากอกุศลที่เป็นเหตุให้วุ่นวาย ให้จับออก ตัวไหนจับได้ก่อนเอาออกก่อน

 

-

 

สัตว์หลายอย่างทำงานให้ส่วนรวม เป็นธรรมชาติไป สัตว์หลายประเภทเป็นสัตว์โขลง ทำหน้าที่ไปไม่ได้ไปแย่งชิงกันเลย ก็มี อย่างปลวก หรือผึ้งงานก็ทำไป อยู่กันมากมายทำไมไม่ทะเลาะกัน แม้แต่มด แต่คนมีความโง่ที่อยากได้มาเป็นตน เป็นของตน หรือได้มาเสพรส สามได้นี่แหละคือหลักๆ หรืออันที่ สี่คือ อยากได้มาเพื่อทำลาย ก็เป็นอีกนัยหนึ่ง

 

การได้มาเป็นตน เป็นของตน ได้มาเสพรส แล้วอีกอันคือได้มาทำลาย ข้าอยู่เอ็งต้องไม่อยู่ ข้ามีเอ็งต้องไม่มี เป็นความเลวร้ายจัด ถ้าเราสามารถรู้ว่าเสพรสคืออย่างไร นี่คือตัวหลัก ที่คนเราหลงว่าสุข การได้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ก็คือได้เสพรส แต่อีกอันคือได้มาเป็นของเราเป็นโลภะ แล้วก็ของเราแค่นั้นยึดว่าเป็นของเราก็สุขแล้ว ใครมาพรากจากเราไปก็ทุกข์ แม้ตายไปก็ยังยึดเป็นเราเป็นของเราแต่มันเอาไปไม่ได้ ก็มีอยู่เท่านั้น มันก็เลยเป็นภัยเป็นโทษเป็นทุกข์ คนโลภมากก็เลยเอามาเป็นของตนเสียมากกักกอบไว้เฉยๆ คนก็เลยเดือดร้อน เพราะขาดแคลน

 

สมัยโบราณเอามาได้มาก็ใส่ตุ่มไว้ฝังไว้ แต่สมัยนี้เลวกว่าอีกคือเอาไปออกดอกไปดูดมาให้ได้มากขึ้นอีกก็เลยเลวร้ายฉลาดร้ายเพิ่มอีก คนอื่นก็เลยขาดแคลนเดือดร้อนจนต้องฆ่าตัวตายกันไป ในพวกเราที่ได้มาศึกษาแล้วเห็นว่าเป็นของๆตนนี่เราก็ลดลง

 

ส่วนตัวตนนี่มันอยู่ลึกเข้าไปอีก พวกเราลดสิ่งที่จะมาเป็นของตนได้มาก แต่ก็เกินเลยไม่ค่อยเอาตาดูหูแลรักษากันจนกลายเป็นสุรุ่ยสุร่ายผลาญพร่า อันนี้พยายามปลูกฝังให้เด็กๆนะ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ก็ต้องทำเป็นตัวอย่าง ยิ่งไปสอนว่าไม่ให้ยึดเป็นเราเป็นของเราเสียหายช่างมันก็เลยกลายเป็นหยิบโหย่งสุรุ่ยสุร่ายมือห่างตีนห่างไปนะ พวกเราค่อนข้างเฟ้อเกินไปนะ หรือว่า ชุ่ย

 

พระพุทธเจ้าว่า สัมปรายิกัตถประโยชน์มี

1.     สัทธาสัมปทา (ถึงพร้อมด้วยศรัทธา)

2.    สีลสัมปทา (ถึงพร้อมด้วยศีล)

3.     จาคสัมปทา (ถึงพร้อมด้วยการเสียสละ)

4.     ปัญญาสัมปทา (ถึงพร้อมด้วยปัญญา)

(พตปฎ. เล่ม 21  ข้อ 145)

ทุกวันนี้คุณมาอยู่ที่นี่ก็ด้วยคุณเชื่อว่าจะเจริญ แต่ว่าในทิศทางที่ว่าเช่น เรามาจนได้นี่เราเจริญนะ เรามาอยู่ในกรอบในหลักของที่นี่ อย่างคนที่จนได้แล้วไม่ต้องมีข้อกำหนดมีศีลให้ทำแล้ว จนได้แล้ว คนๆนี้ก็อยู่กับใครที่ไหนก็ได้มีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ได้แล้วมีศรัทธา มาอยู่ที่นี่เขากินเช่นนี้ ทำงานเช่นนี้ ทำงานแล้วไม่ได้เงินได้ทองนะ ทำได้ดีไม่ค่อยชมด้วย แต่ทำเสียนี่รับรองโดนทันที อย่างนี้เราเอา มันเป็นทรัพย์อาริยทรัพย์ 7

1.     ศรัทธา

2.    ศีล

3.     หิริ (ละลายต่อบาป) .

4.     โอตตัปปะ (สะดุ้งกลัวต่อบาป)

5.     สุตะ, พาหุสัจจะ  (รู้ธรรมที่แทงตลอดได้มาก)

6.     จาคะ (การสละ ให้ - บริจาค  เอาออก) . .

7.     ปัญญา    (ธนสูตร  พตปฎ. เล่ม 23   ข้อ 6)

 

ที่สุดแล้วอยู่อย่างมีแต่ปัญญา ไม่มีปัญหา  อาตมาว่าอาตมาไม่มีปัญหา อาตมามีแต่ปัญญา เขาก็ว่าอาตมาเล่นลิ้น แต่อาตมาพูดจริง ไม่เห็นมีอะไรมีปัญหาเลย บางอย่างมันทำไม่ได้ ก็ไม่ใช่ปัญหานะ เขาก็มีปัญญากันนะ แต่เขาทำไม่ได้ สังคมเดือดร้อนเพราะต่างคนต่างไม่ซื่อสัตย์โกง คอรัปชั่นจะจัดการแต่เขาทำไม่ได้ เขาไม่มีปัญหาหรอก แต่เขาทำไม่ได้ เขามีปัญญาอยู่

 

หากปัญหามีมากเราก็ต้องกำจัดออกจากตัวเรากลุ่มเราก่อนแล้วก็ช่วยข้างนอกเท่าที่เราจะทำได้ ไม่ได้ดูดาย ในประเทศเราก็ช่วย แต่ต่างประเทศแม้เดือดร้อนมากกว่าเราเราก็ไปช่วยไม่ได้ แต่ถ้าเราสามารถที่จะมีอำนาจหน้าที่สิทธิทำได้เช่นเราไปอยู่ระดับบริหารรับผิดชอบประเทศ จนกระทั่งเราสามารถทำให้ประเทศช่วยตนเอง พึ่งตนเองได้รอดเหมือนชาวอโศกนี่ การพึ่งตนเองรอดคือ เราไม่ขาดแคลนในความเป็นอยู่

 

ต่อไปถ้าเราได้รับความยอมรับยกให้เราไปทำต่อสังคมวงกว้าง เราก็เชื่อว่าระบบวิธีที่เราจะเอาไปช่วยเขาก็จะเชื่อว่าดี แต่ทุกวันนี้เขาไม่เชื่อ หรือหลายคนมีอัตตา จะถูกให้ลดอัตตา ก็ไม่ยอม เราก็ทำไปตามลำดับ เราไม่บังคับใจใคร แม้ในอนาคตถ้าสังคมระดับสูงให้เราไปทำงานบริหารจัดการประเทศ คนก็ต้องยอมรับแล้ว เราไม่ต้องรบราฆ่าฟันเลย ไม่ต้องบีบบังคับให้ใครมาจน อย่างพวกคุณนี่ไม่ได้บังคับ พวกคุณมาตั้งใจจนเองนะ

 

ประเด็นนี้ไม่ควรทำในการบังคับคน แต่ให้ปัญญาจนเขาเต็มใจยินดีมาเป็นอย่างนี้ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น คนเรามีปัญญา รู้พิสูจน์ได้แต่ข้างนอกเขามาเป็นไม่ได้ เพราะมีกิเลสหรือมีภาระมากแล้ว ก็เลยมาไม่ได้แม้เห็นดีแล้วก็ตาม เมืองนอกเขาฆ่ากันเป็นเบือนะ แต่เมืองไทยก็ไม่แล้ว เหลือแต่แรงเฉื่อยที่ยังมีเลวอยู่ก็ฝากคสช.กวาดล้างเสียที

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

-รู้ได้อย่างไรว่า บุญ มีจริง บุญคือการชำระกิเลสจากจิตใจ

ตอบ...บุญคือเครื่องชำระกิเลส รู้ได้อย่างไรว่ามีจริง ก็ตัวใครก็ตัวใครต้องรู้ว่ากิเลสเป็นอย่างไร ไม่มีที่อยู่แต่อยู่ในร่างกายเรานี่แหละ มันมีจิตอยู่ที่เป็นประสาทรับรู้ได้หมด มันอยู่ได้หมด หรือว่านึกไปก็ได้อยู่ตรงไหนก็ได้ คือจิตเรา แล้วจิตเรามีความเห็นแก่ตัว คือกิเลส อยากได้ตั้งแต่ของหยาบๆอยากได้ก็ไปแย่งเขาเอา เมื่อเราเห็นกิเลสตัวนี้ก็อ่านออก แล้วเราก็ประพฤติให้กิเลสมันแรงขนาดไหนก็ตามมันเกิดที่เรา จนเราเกิดปัญญาว่ามันเป็นโทษ เราไปแย่งเขาก็เดือดร้อน ถ้าอยากได้ก็สร้างเองสิ ได้แล้วเราก็อาศัยใช้มัน ไม่ได้เบียดเบียนใคร แล้วอยากได้เราก็สร้างแล้วก็มี แต่ถ้าเราสร้างมาแล้วเราหวงแหนก็เป็นกิเลสแต่ถ้าเราเผื่อแผ่คนอื่นก็เป็นความดีงาม อาการจิตที่เราจะไปเอาไปแย่งของคนอื่นนี่เราไม่ทำอีก มันพาเดือดร้อน ตัวความฉลาดปัญญานี้ที่ทำให้เราไม่ทำชั่ว กิเลสเราลดได้นั่นคือบุญ จนมันไม่มีไม่เกิดในใจได้ก็คือเป็นบุญ ต้องปฏิบัติสิถึงรู้ว่าบุญคืออย่างไร?

 

ชีวิตคนมีแต่หวงแหนเอามาเป็นของตน หลักการของพระพุทธเจ้าจึงให้เป็นผู้ให้ ให้ได้ ถ้าสร้างจิตให้มีจิตเป็นผู้ให้อย่างเห็นดีเห็นงามยินดี ได้จาคะ บริจาคแก่ผู้อื่นจริงๆก็เป็นผลสำเร็จของความเป็นคน เพราะคนที่ให้คนอื่น สังคมจะเลี้ยงไว้ไม่อยากให้ตาย เป็นผู้ทำงานให้กับคนอื่น มีชีวิตเป็นผู้ให้ก็คือสุดยอดแล้ว

 

-ถ้ามีคนมาพูดหมิ่นเกียรติเรา มันทำให้เรารู้สึกแค้นทำอย่างไรให้หายแค้น

ตอบ...เกียรติมันเป็นตัวอย่างไรน๊อ...หลวงปู่คิดยากว่าเกียรติที่ว่านี้ขนาดไหนอย่างไร? โดยความจริงแล้วคนเราไปยึดถือ คำว่าเกียรตินี่ ข้า ใครอย่าแตะ ใครอย่ามาหมิ่นดูถูกตั้งแต่ เหยียดว่า ไม่สวย หรือขี้เกียจ แม้เราขี้เกียจจริงแต่ไม่ได้ เรายึดถือ ถ้าสิ่งที่เรายึดถือเป็นสิ่งดี ถือเป็นเกียรติ แล้วคนถือเกียรติคนไปว่าก็ไม่ได้ ก็ยึดถือ ถ้าเราดี คนมาลบหลู่เกียรติ เราดี 100 แต่เขาว่าเราดี 50 ถ้าเราทำดีได้ 100 จริง แต่เขาก็ว่าเรามี 50 มันลบหลู่เราก็ไม่ได้ถือสา แต่ถ้าเราทำได้ไม่ถึง100 แต่เรานึกไปเองว่าเราได้ 100 แต่คนเขาก็บอกว่าเอ็งดีแค่ 50 ที่จริงเรายังดีได้ไม่เท่าเขาว่าด้วย เขาลบหลู่นี้ถูกแล้วแต่เราโง่หลงเอง สรุปแม้เราจะมีคุณค่ามีเกียรติเป็นได้เป็นจริง ก็ถือว่าไม่มีใครมาลบหลู่เกียรติเราได้ เราไม่ต้องไปถือศักดิ์ศรีหรอก ถือแล้วจะทะเลาะกัน ใครมาว่าผิดลดจากจริงเราก็จะว่าเขา ดีไม่ดีเราหลงผิด ไม่ได้ดีถึง100 เขามาว่าถูกด้วยนะ เรามีเกียรติแค่ 50 แต่เราหลงว่าตนมี 100 แต่เขาก็ว่าเราดีแค่ 60 แต่เราหลงว่าเรามีร้อยก็โกรธเราไปหลงว่าเรามี 100 แล้วเขาว่าเรามี 60แต่ที่จริงเรามีแค่ 50 เท่านั้น

 

สรุปว่าเราก็ทำดีให้ได้หรือได้มากกว่าเดิมก็ทำไป เขาจะว่าอย่างไรก็แล้วแต่ อย่าถือเกียรติเลย เกียรติคือคุณค่าคือสิ่งที่ดีงามของเรา ถ้าไปว่าศักดิ์ศรีตนเองยังไม่รู้เลยว่าคืออะไร? สมมุติง่ายๆ เขามาหลู่ศักดิ์ศรีเรา เช่นเขาว่า ไอ้ชาติหมา แล้วก็ถือว่าเขาลบหลู่เกียรติเรา เราไม่ใช่หมานะ เราไม่ได้เป็นหมา รูปร่างเราก็เป็นคน แต่นิสัยเราเลวเท่าหมา เขาว่าเราเป็นหมาน่ะถูกแล้วแต่เราหยิ่งว่าเราเป็นคน แล้วไม่รู้ตนเองนึกว่าตนเองมีเกียรติเป็นคนแต่แท้จริงตนเองเลวเท่าหมาบางคนเลวกว่าหมาอีก มีไหมในสังคม รูปร่างมันไม่ใช่หรอก แต่เขาด่าว่าชาติหมานี่เขาไม่ได้ลบหลู่เพราะถ้ามันเลวกว่าหมาอีกหรือเลวเท่าหมา

 

สรุปแล้วคนมาลบหลู่เกียรติเราก็อย่าถือสา ถ้าเรายังทำคุณงามความดีอันเป็นเกียรติไม่มีใครมาลบหลู่เกียรติเราได้

 

-ถ้ามีคนฆ่าตัวตายเพราะเราเราจะบาปไหม?

ตอบ...บาปสิ เพราะเราไปเบียดเบียนให้เขาฆ่าตัวตาย ที่ว่าบาปเป็นเรื่องเวรภัย ผูกพัน เป็นกรรมที่เราเป็นเหตุทำให้เขาตาย ถ้าเราไม่รู้ไม่ตั้งใจแต่คนนั้นเขายึดเอง ก็เป็นเรื่องของเขา เขามาผูกพัน คนที่เขาฆ่าตัวตาย จากคนนั้นเป็นเหตุ เขาก็ไม่ได้ทำอะไร แต่คนฆ่าตัวตายไปคิดเองแล้วตนเองก็เป็นภัยว่าเพราะคนๆนี้แหละเขาไม่ได้สมใจแล้วฆ่าตัวตาย อารมณ์นี้มันผูกพันยึดติดอยากแก้แค้นเป็นเวรภัยก็เป็นได้


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 17:25:58 )

580305

รายละเอียด

580305_ทวช.งานพุทธาภิเษก ไพศาลี มหานิทานสูตร ตอน 3

พ่อครูว่า....วันนี้วันที่ 5 มีนาคม 2558 และก็เป็นวันที่ 5 ของงานพุทธาภิเษกฯด้วย ...เห็นผีเห็นเทวดากันบ้างไหม? จริงๆแล้วผู้ใดที่เห็นผีจริงๆเลย แน่นอนว่า ใครก็ไม่อยากให้ผีอยู่ในตัวเรา หากเราได้ฝึกฝนมาก็อยากจะปราบ เหมือนเราเห็นขี้กลาก ขี้โคลนเปรอะตัวเราก็ต้องเอาออก นอกจากมันทำอย่างไรก็ไม่ออกก็แล้วไป แต่ธรรมดาก็ต้องรีบเอาออก แล้วจะรู้จักเทวดาที่แท้จริง เป็นอุบัติเทพ ผู้ใดมีญาณมีตาทิพย์เห็นผีในตัวเราจริงๆและมีวิธีกำจัดผีก็ต้องรีบกำจัด มีสิทธิ์เป็นเทวดาจริงได้ แต่ผู้ไม่รู้เข้าใจว่า ผีเป็นเทวดาด้วย อวิชชา ไม่รู้ว่าผีคือสิ่งที่ต้องรีบจัดการ หลงว่าเป็นมิตรน่าคบ น่าบูชา น่านับถือก็เสร็จเลย คนเราอวิชชาคือคนชนิดนี้มีทั่วไป เขาไม่รู้ว่าคบกับผี ยิ่งหลอกกันหนัก ยิ่งหลงกันหนัก กิเลสก็ยิ่งอ้วน น่าสงสาร ถูกครอบงำด้วยวิมาน ยิ่งเป็นอาหารที่ผีชอบ แล้วหลง ตนเป็นผีเป็นกิเลสด้วยก็เลยต่างคนต่างป้อนอาหารหลอกกันไปกันมา ต่างคนก็เลยกิเลสใหญ่ตามๆกันไป เป็นวิกฤติจริงๆ

 

เมื่อไม่รู้ไม่ศึกษาจึงเกิด เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย ในพระไตรฯ ล.10 ข.60 ท่านให้อ่านวิญญาณ ,นามรูป อ่านรูป 28 ว่ามีเหตุปัจจัยอย่างนี้ รูปที่เราจะเกี่ยวข้อง มีปสาทรูป มีโคจรรูป สัมผัสแล้วก็ทำงานกัน เกิดภาวรูป เราก็ศึกษาภาวรูปนั้น ทำให้เปลี่ยนจากอิตถีภาวะมาเป็นปุริสภาวะ ใครอยากได้เป็นผู้ชายก็ต้องทำตรงนี้ ใครมีเรือนร่างเป็นหญิงก็ต้องทำตรงนี้จะเป็นเอกบุรุษได้ ในตัวร่างผู้หญิงนี่แหละ ไม่ต้องไปฝึกเป็นกระเทยอะไร นี่คือสัจจะที่ผู้เรียนรู้จริง ได้สัมผัสปฏิบัติมีผลจริง เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยก็ดี อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ก็อยู่ในพระไตรฯล.10 ข้อ 60  ....

 

โดยเฉพาะธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนาโดยส่วนสอง ธรรมทั้งสองเหล่านี้เป็นสภาวะของปสาทรูป คจรรรูป หรือนามกับนามอย่างผัสสะกับเวทนาก็ตาม ถ้าเป็นเวทนาด้วยกันก็เป็นสอง ถ้าเริ่มต้นมีเวทนากับผัสสะเป็นธรรมทั้งสองอย่างนี้ รวมเป็นอันเดียวกัน โดยส่วนสอง

 

[60] ดูกรอานนท์ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา   โดยส่วนสอง

ด้วยประการดังนี้แล ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา เรากล่าวอธิบายดังต่อ  ไปนี้      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว   ไว้ว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา ดูกรอานนท์ ก็ถ้าผัสสะมิได้มีแก่ใครๆ   ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือจักษุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหา     สัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัสเมื่อไม่มีผัสสะโดยประการทั้งปวง เพราะ ดับผัสสะเสียได้เวทนาจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

 

(พ่อครูแทรก มูลสูตร 10)

1.    มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) . .

2.    มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) . . . .

3.    มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) . . .

4.    มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) .

5.    มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ)

6มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) . . . .

7มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันรู้ยิ่งยอด 

8มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง

9มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา). = สอุปาทิเสสนิพพาน

10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน

(พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 58)

ในลักขณรูป 4 มีอุปจยะ ก็ต้องมีสันตติ คือตัวต่อ พระโพธิสัตว์หรืออรหันต์จะรู้สภาวจิตที่จะต่อหรือไม่ต่อ คือสันตติหรือไม่ จะทำอนุปาทิเสสนิพพาน ดับด้วย อปณิหิตนิพพพาน เป็นสุญญตนิพพานก็สูญเลย แต่หากจะต่อไปก็ไม่ทำสุญญตนิพพาน จิตท่านจะรู้ว่าจะต่ออย่างไร แม้ว่าจะต่อก็จะต้องมี ชรตา ก็เป็นสามัญที่ใครก็เดาได้ มีชรา มีมรณะ คือลักษณะอนิจจตา ท่านรู้และทำใจเป็น ทำได้อย่างเรียบร้อยไม่ให้กิเลสเกิด หรือจะทำเพื่อการดำเนินไปเพื่อประโยชน์ต่อโลก ไม่เป็นภัยต่อโลก ไม่มีเหตุที่ทำให้เกิดภัยอีก แต่สมมุติสัจจะท่านผิดได้ แต่ปรมัตถสัจจะอรหันต์ทุกองค์ไม่ได้ทำด้วยกิเลส ชื่อว่าอรหันต์กิเลสดับอย่างนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบถ้าทำได้ก็ถึงอรหันต์ แต่ถ้าได้อรหัตตมรรค สอบได้สัก 70 % ท่านก็ทำอรหัตตมรรค ไปเรื่อยๆ ถึง 80% ก็ถือว่าสอบได้แล้ว คุณสมบัติจิตท่านสามารถอยู่ได้โดยไม่เบียดเบียนใครแล้ว อนาคามีก็ไม่เป็นภัยกับใคร เหลือแต่ทุกข์ส่วนตนเอง ที่เป็นกิลมถะ เท่านั้น อนาคามี พอเป็นอรหันต์ก็สลายบางเบา ยิ่งเป็นอรหัตตมรรค ครึ่งหนึ่งขึ้นไปก็เป็น อวิหาสุทธาวาสภูมิ  อตัปปาสุทธาวาสภูมิ  สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ  สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ

 อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ

 

 อรูปพรหม ยิ่งสบาย เป็นคุณธรรม 5 อย่างในสุทธาวาส ...คุณธรรมอย่างนั้นก็เกิดในปัจจุบัน พพจ.ว่าท่านไม่เคยเกิดในสุทธาวาส คือไปจมอยู่ในนั้น ไปเกิดในภพนี้ ก็จะมีอาการของ อวิหาสุทธาวาสภูมิ  อตัปปาสุทธาวาสภูมิ  สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ  สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ เป็นภพภูมิของอาริยะ

องค์ประชุมที่เน้นหาข้างในคือ นามกาย ส่วนองค์ประชุมที่เน้นหาข้างนอกคือ รูปกาย แต่ไม่ขาดจากกันทั้งนอกและใน

 

 

(ต่อพระไตรปิฎก ล.10 ข.60 

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งเวทนา ก็คือผัสสะ

นั่นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ เรากล่าวอธิบายดังต่อ ไปนี้

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว  ไว้ว่า เพราะ

นามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามกาย  ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุเทศ    นั้นๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อในรูปกายจะพึง

ปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      ดูกรอานนท์ การบัญญัติรูปกาย ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ   เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสโดยการกระทบ จะพึง ปรากฏในนามกายได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

 

(พค.ว่า อย่างคำว่ารูปกาย เน้นภายนอกก็ยังไม่รู้แล้วจะไปรู้นามกายได้อย่างไรที่ละเอียดกว่าอีก  สังเกตสิคนที่มีปัญญา พอสัมผัสแล้วรู้ว่าแรงก็จะระวังสังวร แต่คนไม่รู้ก็จะเสพรู้ว่าแรงก็เสพเลย แต่ว่า ถ้ารู้แต่กิเลสแรงก็จะบอกว่า เอาหน่อยน่า....เป็นต้น)

      ดูกรอานนท์ การบัญญัตินาม (สังเกตว่าท่านที่แปลนั้น ตัดคำว่า กายออกไป ทั้งที่ ในบาลีเขียนว่า นามกาย แสดงให้เป็นชัดว่า ท่านที่แปลไม่รู้จักคำว่า กาย นี่เรียกว่า เบี้ยวบาลี ขออภัยที่อาตมาวิจารพระไตรปิฎก) ก็ดี รูปกายก็ดี ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ   นิมิต อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อ ก็ดี การสัมผัสโดยการกระทบ(ปฏิฆสัมผัสโส) ก็ดี จะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามรูปต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี ผัสสะจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งผัสสะ ก็คือนามรูป นั่นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป เรากล่าวอธิบายดังต่อ  ไปนี้ ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว ไว้ว่า เพราะ

วิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป ดูกรอานนท์ ก็วิญญาณจักไม่หยั่งลง   ในท้องแห่งมารดา นามรูป

จักขาดในท้องแห่งมารดาได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณหยั่งลงในท้องแห่งมารดาแล้วจักล่วงเลยไป    นามรูปจักบังเกิด เพื่อความเป็นอย่างนี้ได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

 

(พ่อครูว่า...บาลีตรงนี้ว่า ...

      ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณ ของกุมารก็ดี ของกุมาริกาก็ดี ผู้ยังเยาว์วัยอยู่  จักขาดความ สืบต่อ นามรูปจักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ ได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งนามรูป  ก็คือวิญญาณ นั่นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดวิญญาณ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว ไว้ว่า เพราะ นามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดวิญญาณ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณจักไม่ได้อาศัยในนามรูปแล้ว ความ เกิดขึ้นแห่งชาติชรามรณะและกองทุกข์ พึงปรากฏต่อไปได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งวิญญาณ  ก็คือนามรูป

นั่นเอง ด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้แหละ อานนท์ วิญญาณและนามรูป   จึงยังเกิด แก่ ตาย จุติ

หรืออุปบัติ ทางแห่งชื่อ ทางแห่งนิรุติ ทางแห่งบัญญัติ  ทางที่กำหนดรู้ด้วยปัญญาและวัฏฏสังสาร

ย่อมเป็นไปด้วยเหตุเพียงเท่านี้ๆ ความ    เป็นอย่างนี้ ย่อมมีเพื่อบัญญัติ คือนามรูปกับวิญญาณ ฯ

       [61] ดูกรอานนท์ บุคคลเมื่อจะบัญญัติอัตตา ย่อมบัญญัติด้วยเหตุ  ประมาณเท่าไร ก็เมื่อบุคคลจะบัญญัติอัตตา มีรูปเป็นกามาวจร ย่อมบัญญัติว่าอัตตาของเรามีรูปเป็นกามาวจร เมื่อบัญญัติอัตตามีรูปหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่า อัตตาของเรามีรูปหาที่สุดมิได้ เมื่อบัญญัติอัตตาไม่มีรูปเป็นกามาวจร ย่อมบัญญัติว่า   อัตตาของเราไม่มีรูปเป็นกามาวจร เมื่อบัญญัติอัตตา ไม่มีรูปหาที่สุดมิได้ ย่อม บัญญัติว่า อัตตาของเราไม่มีรูปหาที่สุดมิได้ ฯ

 

(พ่อครูว่า...กามาวจรต้องมีสภาพเป็นปัจจุบัน suddenly แต่คุณเองไปบัญญัติยึดให้มันเที่ยงแท้เองทั้งที่มันก็ไม่เที่ยงแท้ คุณจำมันไว้ในอนุสัยเอง หรือยึดมั่นถือมั่นไว้เอง ความจำกับการยึดมั่นถือมั่นก็ต่างกัน ยึดไว้อย่างอาศัย ก็คือสมาทาน อย่างสมณะ  แต่ยึดไว้อย่างเป็นอัตตาก็คืออุปาทาน เป็นผู้ไม่รู้ มีอวิชชา )

      ดูกรอานนท์ บรรดาความเห็น 4 อย่างนั้น ผู้ที่บัญญัติอัตตามีรูปเป็น กามาวจรนั้น(พวกนี้เป็นสัสสตทิฏฐิ) ย่อมบัญญัติในกาลบัดนี้ หรือบัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น หรือ  มีความเห็นว่า เราจักยังสภาพอันไม่เที่ยงแท้ที่มีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็นสภาพที่ เที่ยงแท้ อานนท์ การลงความเห็นว่าอัตตาเป็นกามาวจร ย่อมติดสันดานผู้มีรูปที่เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย ฯ

      ดูกรอานนท์ บรรดาความเห็น 4 อย่างนั้น ผู้มีบัญญัติอัตตามีรูปหาที่สุดมิได้นั้น ย่อมบัญญัติในกาลบัดนี้ หรือบัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น หรือมี   ความเห็นว่า เราจักยังสภาพที่ไม่เที่ยงแท้อันมีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้ อานนท์ การลงความเห็นว่า อัตตาหาที่สุดมิได้ ย่อมติดสันดานผู้มีรูปที่เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย ฯ

      ดูกรอานนท์ บรรดาความเห็น 4 อย่างนั้น ผู้ที่บัญญัติอัตตาไม่มีรูปเป็นกามาวจรนั้นย่อมบัญญัติในกาลบัดนี้ หรือบัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น หรือ  มีความเห็นว่า เราจักยังสภาพอันไม่เที่ยงแท้ที่มีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็นสภาพที่ เที่ยงแท้ อานนท์ การลงความเห็นว่าอัตตาเป็นกามาวจร ย่อมติดสันดานผู้มีอรูปที่เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย ฯ

      ดูกรอานนท์ บรรดาความเห็น 4 อย่างนั้น ส่วนผู้ที่บัญญัติอัตตาไม่มีรูป  ทั้งหาที่สุดมิได้นั้น ย่อมบัญญัติในกาลบัดนี้ หรือบัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น   หรือมีความเห็นว่า เราจักยังสภาพที่ไม่เที่ยงแท้อันมีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้ อานนท์ การลงความเห็นว่าอัตตาหาที่สุดมิได้ ย่อมติดสันดาน ผู้มีอรูป เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย ฯ

      ดูกรอานนท์ บุคคลเมื่อจะบัญญัติอัตตาย่อมบัญญัติด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล ฯ

       [62] ดูกรอานนท์ บุคคลเมื่อไม่บัญญัติอัตตา(พวกนี้เป็นอุทเฉทิฏฐิ) ย่อมไม่บัญญัติด้วยเหตุ  มีประมาณเท่าไร อานนท์ ก็เมื่อบุคคลไม่บัญญัติอัตตามีรูปเป็นกามาวจร ย่อมไม่บัญญัติว่า อัตตาของเรามีรูปเป็นกามาวจร เมื่อไม่บัญญัติอัตตามีรูปอันหาที่สุดมิได้     ย่อมไม่บัญญัติว่า อัตตาของเรามีรูปหาที่สุดมิได้ หรือเมื่อไม่บัญญัติอัตตาไม่มี รูปเป็นกามาวจร ย่อมไม่บัญญัติว่า อัตตาของเราไม่มีรูปเป็นกามาจร เมื่อไม่บัญญัติอัตตาไม่มีรูปหาที่สุดมิได้ ย่อมไม่บัญญัติว่า อัตตาของเราไม่มีรูปหาที่สุดมิได้ อานนท์ บรรดาความเห็น 4 อย่างนั้น ผู้ที่ไม่บัญญัติอัตตามีรูปเป็นกามาวจรนั้น  ย่อมไม่บัญญัติในกาลบัดนี้ หรือไม่บัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น หรือไม่มีความเห็นว่า เราจักยังสภาพอันไม่เที่ยงแท้ที่มีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้   อานนท์ การลงความเห็นว่า อัตตาเป็นกามาวจร ย่อมไม่ติดสันดานผู้มีรูปที่เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย

        อานนท์   ผู้ที่ไม่บัญญัติอัตตามีรูปหาที่สุดมิได้นั้น ย่อมไม่บัญญัติในกาลบัดนี้ หรือ  ไม่บัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น หรือไม่มีความเห็นว่า เราจักยังสภาพอัน ไม่เที่ยงแท้ที่มีอยู่ให้สำเร็จเพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้ อานนท์ การลงความเห็นว่า  อัตตาหาที่สุดมิได้ ย่อมไม่ติดสันดานผู้มีรูปที่เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงควร กล่าวไว้ด้วย

(พ่อครูแทรกว่า...ทั้งสองแบบเป็นอุจเฉทิฏฐิและสัสตทิฏฐิ คือบัญญัติเป็นสัสตทิฏฐิ และไม่บัญญัติเป็นอุจเฉทิฏฐิ มันสุดโต่ง แต่ผู้ที่หมดกิเลสแล้วจะมีหรือไม่มีก็ได้ มีก็เป็นเพียงอาศัยใช้ทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น อย่างอาตมาแต่ก่อนไม่ยอมขึ้นเครื่องบิน เพราะว่ามันแพง แต่สุดท้าย คุณแจ๋ว พี่ของดาบบุญ ที่เป็นแอร์โฮสเตท ก็ว่ามันจะได้รักษาสุขภาพ สุดท้ายก็จำนนเพราะว่ามันไปไม่ทันก็ต้องขึ้น และอีกอย่างรถนี่ อาตมาก็ต้องจำนนจนต้องมี เพราะว่า เขาเอามาให้ รถคันเก่าโฟล์ค ทัวร์ทีป เขาก็เอามาให้โดยไม่บอก ใช้มา 9 ปี เขาก็จะให้คันใหม่อาตมาก็ว่ายังไม่ต้อง แต่สุดท้ายเขาก็เอามาแบบที่ว่าอาตมาไม่ได้รู้เลยว่าจะมาให้ แล้วก็มาเปลี่ยนคันเก่าไปเลย อาตมาเลยจนใจต้องรับ ก็เลยตั้งชื่อรถคันใหม่ชื่อว่า จนใจ”  ก่อนหน้านี้มีรถเบนซ์เขาซื้อมาให้ แต่ก็เสียบ่อย ต้องเข็น จนต้องเปลี่ยน เขาก็ให้รถโฟล์ค ตั้งชื่อรถว่า ทัวร์ทีป ต่อมาก็เปลี่ยนเป็น รถจนใจนี่แหละ บอกต่อหน้าขวัญดินเลย ก็จนใจต้องรับนี่)

 

      ส่วนผู้ที่ไม่บัญญัติอัตตาไม่มีรูปเป็นกามาวจรนั้น ย่อมไม่บัญญัติในกาลบัดนี้ หรือไม่บัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น หรือไม่มีความเห็นว่า เราจักยังสภาพ   อันไม่เที่ยงแท้ที่มีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้ อานนท์ การลงความเห็นว่า(เจ้าตัวนี่แหละที่มีความเป็นตัวเองตัดสิน พิพากษาเอง) อัตตาเป็นกามาวจร ย่อมไม่ติดสันดานผู้มีอรูปที่เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงควร  กล่าวไว้ด้วย

      ผู้ที่ไม่บัญญัติอัตตาไม่มีรูปหาที่สุดมิได้นั้น ย่อมไม่บัญญัติในกาลบัดนี้หรือไม่บัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น หรือไม่มีความเห็นว่า เราจักยังสภาพอัน ไม่เที่ยงแท้ที่มีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้ อานนท์ การลงความเห็นว่า  อัตตาหาที่สุดมิได้ ย่อมไม่ติดสันดานผู้มีอรูปที่เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย ฯ

 

      ดูกรอานนท์ บุคคลเมื่อไม่บัญญัติอัตตา ย่อมไม่บัญญัติด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล ฯ

      

พ่อครูว่า...อัตตาหาที่สุดมิได้ นี่มันมีอยู่นะ แต่คุณเองไม่เห็น ก็ถ้าคุณไม่บัญญัติ มันก็ไม่มี อันสุดท้ายนี้เป็นคนบริบูรณ์แล้ว ผู้ที่มีแต่ทำเป็นลืมเหมือนไม่มีทุกอย่างเลย กับแบบสุดโต่งเป็นกามอันหาที่สุดมิได้  คือ สองแบบ อีกอันหนึ่งมีนิดหนึ่ง กับอีกอัน ไม่มีนิดหนึ่ง ก็ทั้งสองแบบก็สุดโต่ง แต่ที่สุดแล้วผู้บรรลุของพุทธจะมีได้แต่มีด้วยโลกุตรจิต คือผู้บรรลุ ผู้ที่มีแต่ว่าทำตนเหมือนไม่มี ด้วยบัญญัติภาษาก็พูดได้ แต่จริงๆแล้วมี แล้วความมีนี้คุณต้องรับ แล้วต้องรู้ว่าอยู่กับมันได้โดยไม่ทุกข์ไม่มีพิษภัยต่อตนและผู้อื่น อยู่กับมันได้ไปอีกนานเท่านานก็ไม่เป็นภัย แล้วก็ไม่ใช่ไปเป็นภัยต่อคนอื่น อย่างน้อยผู้ไม่เห็นแก่ตนแล้ว ต้องรักษาประโยชน์ผู้อื่น แม้จะเป็นภัยแก่ตัว อย่างอนาคามีมีภัยต่อตน แต่หมดภัยต่อคนอื่น นี่คือคนหมดความเห็นแก่ตัวขั้นจริง จนกว่าจะหมดภัยแก่ตนด้วย ต้องไม่มีภัยต่อท่านก่อน จึงไม่มีภัยต่อตน

 

คนที่อะไรมันจะเป็นภัยต่อตน ก็เอาออกก่อนแล้วค่อยไปเอาภัยของคนอื่นออก คือทำให้ตนเองสำเร็จก่อนแล้วค่อยทำให้คนอื่น มันก็สลับไปสลับมา สรุปแล้วก็คือ ภัยที่ว่า ไม่เห็นแก่ตัวคือทำของคนอื่นให้พ้นก่อน แม้จะเหลือภัยต่อตนเอง เหลือภัยของตนเองเศษเล็ก นี่คือคนไม่เห็นแก่ตัว แม้ตนเองต้องรับทุกข์หนักลำบาก เขายอดเสียสละเลย ลึกซึ้งและเป็นจริงสำหรับผู้จริง

 

[63] ดูกรอานนท์ บุคคลเมื่อเล็งเห็นอัตตา ย่อมเล็งเห็นด้วยเหตุมี ประมาณเท่าไร ก็บุคคลเมื่อเล็งเห็นเวทนาเป็นอัตตา ย่อมเล็งเห็นว่า เวทนาเป็น  อัตตาของเรา ถ้าเวทนาไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว อัตตาของเราก็ไม่ต้องเสวยเวทนา    อานนท์ หรือเล็งเห็นอัตตา ดังนี้ว่า เวทนาไม่เป็นอัตตาของเราเลย จะว่าอัตตา ของเราไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ อัตตาของเรายังต้องเสวยเวทนาอยู่ เพราะฉะนั้น   อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา อานนท์ บรรดาความเห็น 3 อย่างนั้น ผู้ที่กล่าว    อย่างนี้ว่า เวทนาเป็นอัตตาของเรา เขาจะพึงถูกซักถามอย่างนี้ว่า อาวุโส เวทนา มี 3 อย่างนี้ คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา บรรดาเวทนา 3 ประการนี้ ท่านเล็งเห็นอันไหนโดยความเป็นอัตตา อานนท์ ในสมัยใด อัตตา  เสวยสุขเวทนา ในสมัยนั้น ไม่ได้เสวยทุกขเวทนา ไม่ได้เสวย อทุกขมสุขเวทนา  คงเสวยแต่สุขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น อานนท์ ใน

 

พ่อครูว่า..รูป นาม ขันธ์  5 นั้น ผู้ที่ยังไม่ปรินิพพานก็ยังมีอยู่ แม้ท่านจะหมดกิเลสแล้ว แต่ท่านก็มีรูป นาม ขันธ์ 5 อยู่ เรื่อง ความมี กับ ความไม่มี นั้น รู้ได้ยาก เพราะคนจะต้องมีในขณะที่คุณไม่มี และแม้คุณมี คุณจะต้องไม่มีให้ได้ คุณต้องศึกษาความมี กับความไม่มีให้ได้ แล้วถ้าบรรลุจบ คุณจะมีความไม่มี ในขณะที่คุณยังมีอยู่ เพราะคุณต้องมีรูป นาม ขันธ์ 5 ใช้อาศัยอยู่นั่นเอง ......จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 18:02:30 )

580305

รายละเอียด

580305-ตอบปัญหาฆ่ากิเลสให้บริสุทธิ์ ตอน 1 งานพุทธาภิเษก ศาลีอโศก

พ่อครูว่า...รายการตอบปัญหา ฆ่ากิเลสให้บริสุทธิ์ ที่ชื่อนี้เพราะเน้นที่ความบริสุทธิ์กันตามโศลก ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก...ในที่สุดคำว่าในที่สุดสำคัญ เพราะตอนแรกอาจดูเหมือนแพ้ก็ได้แต่ที่สุดก็ชนะ ตอนนี้ในสังคมก็ อาตมาก็เห็นใจ พุทธอิสระ เห็นใจไพบูลย์ นิติตะวัน ซึ่งถูกหมู่ใหญ่ คณะหลัก เขาต่อต้าน อาตมาเจอปัญญานี้ตั้งแต่ลาออกจากมหาเถรสมาคม ซึ่งเขามีพระเป็นแสนรูป เราลาออกมามีพระ 21 รูป กับเณร 2 รูป เราก็พิสูจน์ความจริง ใครผิดหรือถูก แท้กันแน่

 

อาตมาชัดเจน ว่าผิดคือผิด ถูกคือถูก หากผิดเราก็ไม่เอา ถ้าเราทำเราก็ต้องรับโทษไป ให้เราทำผิดเราทำไม่ได้ จะรังแกอย่างไรเราก็รักษาสัจจะที่ใจเราไว้ ในพรหมชาลสูตร หากใครมาท้วงติงเรา ให้เราบอกแก้กล่าวได้ แต่การยืนยันนั้น ตถาคตว่า ถ้าจะชมหรือยกเรา ว่าเราดีเราสูง มีหลักเกณฑ์ในการยกการชม คือศีล ให้ชมเราด้วยศีล เราเป็นคนละเว้น สิ่งเหล่านี้ นี่คือเรา คนอย่างนี้แหละคืออยู่ในธรรมนูญพุทธ คือจุลศีล-มัชฌิมศีล-มหาศีล เป็นเกณฑ์ของศาสนาพุทธแท้ แต่ทุกวันนี้พุทธกระแสหลักไม่เอา จุลศีล-มัชฌิมศีล-มหาศีล เลย แล้วก็ไปเอาวินัย 227 ข้อ ถือแค่นั้น ส่วนศีลไม่มี ไม่เอา นี่เป็นความจริง ที่บ่งชี้ว่าเขาเผินไป ไม่รู้ว่าศีลคืออะไร ก็ไปเอาวินัย ในพระไตรฯล.9 ท่านก็พูดเรื่องศีล แล้วให้เอาศีลเป็นเครื่องวัด ถ้าจะชมหรือติก็ให้ชมที่ศีล ถ้าจะติพระพุทธเจ้าก็ให้ติเรื่องศีล ศาสนาพุทธเอาศีลเป็นเครื่องชี้วัด  ว่าต้องรักษาศีลเช่นนี้ ส่วนวินัยก็เป็นกฎหมาย แล้วมีกฎหมายลูกออกมาอีก พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่าจะเลิกกฎหมายลูกเล็กๆน้อยๆได้ แต่ศีลธรรมนูญนี่ไม่ให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขนะ อะไรที่ให้เว้นขาดตอนนี้พุทธทั่วไปมีหมดเลย แล้วในสูตรนี้พระพุทธเจ้าให้กล่าวบอกเหตุผลได้

ในพรหมชาลสูตว่า...พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ในคำที่เขากล่าวตินั้น คำที่ไม่จริง เธอทั้งหลายควรแก้ให้เห็นโดยความไม่เป็นจริงว่า นั่นไม่จริง แม้เพราะเหตุนี้ นั่นไม่แท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้นั่นก็ไม่มีในเราทั้งหลาย และคำนั้น จะหาไม่ได้ในเราทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ เธอทั้งหลายไม่ควรเบิกบานใจ ไม่ควรดีใจ ไม่ควรกระเหิมใจในคำชมนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเธอทั้งหลายจักเบิกบานใจ จักดีใจ จักกระเหิมใจในคำชมนั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นเป็นแน่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม หรือ ชมพระสงฆ์ ในคำชมนั้น คำที่จริง เธอทั้งหลายควรปฏิญาณให้เห็นโดยความเป็นจริงว่า นั่นจริง แม้เพราะเหตุนี้ นั่นแท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้คำนั้นก็มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาได้ใน เราทั้งหลาย.

(มีเสียงพลุดังขึ้น คนที่ฟังธรรมบอกว่า  จะได้ส่งไปสวรรค์ พ่อครูว่า ถ้าอย่างนั้นก่อนตายซื้อพลุทิ้งไว้ให้ลูกจุดส่งพ่อไปสวรรค์เวลาตายเลย ถ้าได้จริงๆ แต่มันไม่ได้หรอก)

 

พ่อครูว่า...อาตมาภาคภูมิใจในสัจธรรมพระพุทธเจ้า แม้ยุคนี้จัดจ้านด้วยกาม ด้วยอัตตา แต่ก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งแหวกโลกออกมาได้ มีพลังในการพึ่งตนเองรอด ไม่ต้องพึ่งโลกโลกีย์หรอก นอกจากเราจะอาศัยเพื่อช่วยโลกียะได้มากขึ้นเท่านั้น อาตมาไม่ได้หลอกล่อให้มาด้วย มาด้วยปัญญากัน

 

เอามหาศีลมาตรวจดูตามวัดได้เลย ไม่เหลือความเป็นพุทธแล้ว พระพุทธเจ้าว่าแม้นี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง ท่านกระแสหลักก็แปลกันมาเอง แค่คำว่า ศีล กับ วินัย เขาก็เอาไปปนกันหมด เขาก็ถือศีล 227 ข้อ ทั้งที่คือวินัย เป็นกฎหมายอาญา,แพ่ง แต่นี่ศีลคือธรรมนูญหลัก ก็ไม่เหลือเนื้อหาหลักของศาสนาพุทธ ยกตัวอย่างว่าศาสนาพุทธไม่มีรดน้ำมนต์พ่นไฟ ไม่มีเวียนเทียน แต่เขาก็ทำกันแทบทุกงาน มันคนละขั้วเลย ผิดกับถูกตีลังกากลับหัวกันเลย ขออภัยที่พูดชัดเกินไป เพราะเขาทำใหญ่โต ทำขู่กัน เช่นว่าอย่ามาตรวจสอบนะ ไม่อย่างนั้นจะมากันอีกมากนะ ทำตนเป็นนักเลงโต เป็นพุทธนักเลงโตกัน เป็นพฤติกรรมน่าอายใช้ไม่ได้ อะไรที่ถูกที่ผิดก็ควรทำให้ตามครรลอง แล้วผู้น้อยจะเห่าเป็นหมาน้อยก็ช่างปะไร เราเป็นหมาใหญ่แข็งแรงก็ควรเมตตาปราณี ให้เขาได้เห่าได้แสดงออกบ้าง ยังไงเราก็หมาใหญ่ ให้หมาน้อยเห่าคอแตกก็ทำไป เพราะทางออกของหมาน้อยมีแค่นั้น แต่ทีนี้ แม้หมาใหญ่คำรามใส่ หมาน้อยก็ไม่ค่อยกลัวหรอกตอนนี้

 

ต่อไปเป็นการตอบปัญหา...คนที่หมดปัญหาคือคนมีปัญญา คนที่มากปัญหาคือคนยังไม่มีปัญญา นี่คือเรื่องจริง

-น้ำในมหาสมุทรจะไม่หมดในปัจจุบัน แต่น้ำในแม่น้ำบนแผ่นดินจะไม่มีในปัจจุบัน เพราะบนแผ่นดินแห้งแล้งขาดต้นไม้ใหญ่ปกคลุม เพราะถูกคนโลภทำลาย แต่น้ำในมหาสมุทรมีอยู่เพราะว่าได้น้ำจากภูเขาน้ำแข็งใช่ไหม? จาก คุณเกือบตาย

ตอบ...ก็จริง น้ำเป็นองค์ประกอบให้โลกมีครบสมบูรณ์ให้เป็นดาวเคราะห์

 

-พลังงานจิต กรณีพระรูปหนึ่งมรณภาพนานแล้ว ร่างกายไม่เน่า แม้ผม เล็บก็งอก แต่จิตยังยึดร่างนี้อยู่ก็เลยส่งพลังไปเลี้ยงไม่เปื่อย แต่ตามหลักแล้วหลังตาย พลังงานจิตจะไปจุติ แล้วถามว่า แล้วสามารถส่งพลังงานไปเลี้ยงร่างให้อยู่ได้อย่างไร? พระรูปนี้จะไปเกิดที่ไหน?

ตอบ...พลังงานพีชะไม่ได้มีพลังขีดถึงยึดตัวตน พลังงานที่ยึดตัวตนเรียกว่าวิญญาณ พลังงานของมนุษย์พืช ที่ยังมีคนให้อาหารก็มีพลังงานหมุนเวียน ถ้าไม่ให้อาหารก็หมดพลังงาน ทรงได้เท่าที่ทำได้ จะยังไม่เน่า รักษาความสดไว้ได้ จะค่อยๆแห้งลงๆ ค่อยๆหมดน้ำ แต่วิญญาณนั้น ไม่มีในร่างแล้ว แต่พลังงานที่เหลือไม่ใช่ของคนนี้แล้ว พลังงานความจำก็ไปกับจิตแล้ว แต่พลังงานที่เหลืออยู่เหมือนพืช ไม่มีตัวตน ไม่มีรักชังอะไร ไม่เกิดบุญ บาปอะไร แต่ร่างนี้ยังมีพลังงานที่เหลือ momentum ที่เหลือจากความยึดถือของตนไว้อยู่นั่นเอง  พลังงานที่เหลือไม่ใช่วิญญาณ ไม่ใช่จิต เป็นแค่พีชนิยาม อันนี้ยากแต่ถ้าหมอแพทย์เข้าใจ พืชคือพืช จิตคือจิต แต่นอกจากนั้นก็เป็นความยึดถือของญาติที่จะเอาไว้อยู่นั่นเอง เลี้ยงดูให้ได้ต่อไป

ถ้าเข้าใจพีชะหรือจิตก็จะไม่ถามเช่นนี้ แล้วพระรูปนี้จะไปเกิดเป็นอะไรก็แล้วแต่ท่าน แต่ท่านไม่ได้ใช้พลังงานเลี้ยงร่างที่เหลือแล้ว มันตัดขาดกัน จะบอกว่าท่านมาสั่งให้ร่างนี้ไม่สลายก็ไม่ใช่เลย

 

-มีการสอนจากที่อื่นว่า เราไม่ควรช่วยเหลือคนหรือสัตว์ที่เดือดร้อน เพราะจะทำให้เจ้ากรรมนายเวรของสัตว์นั้นโกรธ แล้ววิบากกรรมจะตกกับเรา การสอนเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่? เราควรช่วยหรือไม่?อย่างไร?

ตอบ..คนเรามีความสัมพันธ์กัน ถ้าสัตว์เดรัจฉานก็เป็นจิตนิยาม คนก็เช่นกัน คนที่สามารถมีบารมีเป็นคนได้ก็จะเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันมาก เป็นประโยชน์แก่กันได้ดี แต่เป็นโทษแก่กันได้มากเช่นกัน สัตว์ทำชั่วสู้คนไม่ได้ ทำดีสู้คนไม่ได้ แต่คนทำดีจัดได้กว่าเดรัจฉาน ทำชั่วจัดได้ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานอีก เราจะไปเกี่ยวกับสัตว์ทำไม ส่วนคนนี่แหละเราต้องเกี่ยวข้องเป็นหลัก แต่ถ้าคนเกี่ยวข้องมีทั้งรักและชังหนักแล้ว จะไปแถมเอาสัตว์มาเกี่ยวทำไมให้หนักอีกทั้งรักทั้งชัง ไปฆ่ามันอีกทำไม ? จะบอกว่าไม่ต้องไปช่วยคนหรือสัตว์ก็ตอบว่า สัตว์ไม่ต้องไปช่วยเขาหรอก ปล่อยเขาไปตามวิบากแต่คนนี่แหละ เราก็จัดการเรื่องกรรมวิบากกับคนก่อน จะบอกว่าอย่าไปเกี่ยวกับคนกับสัตว์ได้อย่างไร เรามีวิบากอยู่แล้ว หนีได้อย่างไร มันก็ตามคุณทันอยู่ดี ยิ่งหนีมาก หากตามทันจะเอาคืนอีกหลายเท่าเลย หนีไม่รอด มีแต่จะเติมหนักเข้าไปอีก เรื่องสัตว์ตัดไปเลย ไม่ต้องไปเกี่ยวข้องอีก แต่คุณสมบัติที่ดีที่สุดของคน คือ 1.ไม่เบียดเบียนใคร 2 .พึ่งตนเองรอด 3.ช่วยเหลือผู้อื่น จึงจะประเสริฐที่สุด นี่แหละคือคุณสมบัติวิเศษ ที่จะเป็นได้ต้องทำตามสัมมาทิฏฐิ แต่ถ้ามิจฉาทิฏฐิก็จะเอาแต่ตนเองรอดเท่านั้น ใครจะเป็นอย่างไรก็ช่างหัว ศาสนาพุทธทุกวันนี้ จะมีแนวออกไปเช่นนี้ส่วนใหญ่เราต้องมาช่วยกัน การสอนแบบที่ว่าไม่ถูกกับคน แต่สัตว์นั้นตัดได้ เช่น เราช่วยโจร มันจะลดวิบากอาฆาต พระพุทธเจ้าจึงสรุปทุกอย่างว่า ต้องชนะความไม่ดีด้วยความดี ใครจะมาทำอะไรให้เราก็ทำดีไปจนชนะด้วยความดี

 

-คนโลกีย์เวลาทุกข์ท้อก็พากันไปสถานบันเทิง เที่ยว มันไม่เสียเวลาและทุนรอนให้ทุกข์มากขึ้นหรือคะ ทั้งจนขึ้นจ่ายค่าอะไรหลายอย่าง ก็ทุกข์มากขึ้นใช่ไหม?

ตอบ...ใช่ ถามมาถูกต้อง ถูกนายทุนครอบงำ ว่าแก้ทุกข์ต้องทำเช่นนี้ ไม่มาฟังสาระที่ดีก็เป็นเช่นนั้น

 

-พ่อท่านว่าเราจะต้องไปช่วยหลวงปู่พุทธอิสระหรือไม่?

ตอบ...เมื่อกี้ก็พูดว่าเห็นใจท่านนะ เราต้องอัตตัญญุตา ประเด็นนี้เราเองก็เหมือนหมาหัวเน่าอยู่ ทางโน้นก็มีกระบองตีหมาหัวเน่าอยู่ คนที่ทำก็จะทำเช่นนี้อยู่ เราไปช่วยจะทำให้เขาตีหนักเข้าไปอีกหรือเปล่า ในสังคม เราจะไปทำอะไรต้องคิดให้ดี แม้เราจริงใจ เราอาจมีพลังที่จะไปช่วยได้ แต่ถ้าไปช่วยกลับจะไปฉุดเขาลงอีก ถ้าไม่ไหวก็หยุดเสียก่อน ขณะนี้มีทั้งฆราวาสและพระ เราก็ทำไปตามควร แต่เราก็ได้ทำการช่วยเหลืออยู่ ไม่เปิดเผย ชาวกองทัพธรรมได้แสดงตัวเปิดตัวที่จะไปช่วยอย่างจริงใจเปิดเผยได้ แต่อีกคนหนึ่งเราจะช่วยเหมือนกัน แต่เปิดเผยเหมือนท่านวิชชาก็ไม่ได้ ท่านพุทธอิสระก็ให้รับทราบว่าเราก็เชิดสิงโตช่วยอยู่

 

-อยากให้พ่อครูขยายโศลก โดยเฉพาะคำว่าบริสุทธิ์ หมายถึงองค์คุณในอุเบกขาคือปริสุทธาใช่ไหม

ตอบ...ใช่ จรณะ 15 นี่รวมไว้หมด ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล ความรู้ของพระพุทธเจ้าคือวิชชาจรณสัมปันโน และปริสุทธาก็คือองค์คุณในอุเบกขาที่ว่าก็ใช่ อยู่ในธาตุวิภังคสูตร อุเบกขาเป็นฐานนิพพาน มีองค์คุณอุเบกขา 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุกัมมัญญา ประภัสสรา

 

ปริสุทธาคือความบริสุทธิ์ส่วนตน แล้วมาทำงานกับคนก็มีการกระแทกกระเทือนก็จะสร้างความควบแน่นของความบริสุทธิ์ให้มากขึ้น มีธรรมะสองแต่รวมเป็นหนึ่ง บริสุทธิ์เป็นแกน แล้วมีตัวทำงานเป็นตัวหมุน มีมุทุ จิตจะเจริญ เป็นจิตหัวอ่อน และเจโตก็ปรับได้ง่ายไม่กระด้าง ตามปัญญาที่รู้ได้เร็ว ประมาณได้เร็ว สัปปุริสธรรม 7 ทำงานได้เร็วขึ้น พร้อมทำงานให้คนอื่น ประโยชน์ตนหมดแล้ว มีมหาปเทส4 ดีขึ้น เป็นการทำงานด้วยปัญญา อัญญา เป็นอภินิหาร เกินมนุษย์ธรรมดาจะทำได้ จะทำงานอย่างไรกระทบอย่างไร จิตก็ประภัสสร คือความเจริญไม่มีที่สิ้นสุดของพระพุทธเจ้าอนัญโต ท่านก็ตัดเขตความเจริญสูงสุดที่เป็นพระพุทธเจ้า ดีสุด เก่งสุดแล้ว อุเบกขาเป็นฐานของอมตธาตุ พระอรหันต์แล้ว ก็พัฒนาให้เจริญต่ออีก เป็นพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) นี่คือ ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก ...ในที่สุด

 

-มีคนๆหนึ่งชอบพูดว่าคนอื่นอยู่เรื่อย พูดจาไม่สร้างสรรค์ กี่ปีๆก็ไม่เคยเปลี่ยน เป็นคนวิปลาสหรือไม่? ผิดศีลข้อ 4 ไหม?

ตอบ...ถ้าพูดส่อเสียดก็ผิดศีลข้อ 4 อยู่ แต่ก็ละเอียดขึ้นกว่ามุสา และหยาบคาย พูดส่อเสียดคือปิสุณวาจา คุณเป็นคนตัดสินนะ ที่จริงเขาอาจไม่เป็นเช่นว่าก็ได้ แต่คำว่าส่อเสียดคือเจตนาไม่ดีในจิต เอาความไม่ดีไปพูดให้เกิดทะเลาะวิวาทกัน แต่ถ้าเจตนาเอาสิ่งไม่ดีไปบอกเพื่อให้ระมัดระวังหรือแก้ไข ไม่ได้ให้ไปทำร้ายกันไม่ใช่ส่อเสียด เป็นการให้ข้อมูล

 

-ในวงปฏิจจสมุปบาท 11 ที่พ่อครูบรรยาย ช่วงที่ นามรูป มีวิญญาณเป็นปัจจัย แล้ววน วิญญาณมีนามรูปเป็นปัจจัย ถ้านามรูปเป็นปัจจัยอีกรอบ ถ้ามีการสังขารก็เกิดนามรูป เราต้องใช้สังกัปปะ 7 ในการจัดการอย่างไร?

ตอบ...นามรูปคือสิ่งที่พบกันและกระทบกัน ของสองสิ่ง ต่างกับคำว่า รูปนาม นั้นไม่มีปฏิฆผัสโส คือการแตะแต่ไม่เกิดปฏิกิริยากัน เหมือนขนมชั้นก็ไม่เกิดสังขาร นี่คือรูปนาม แต่ถ้านามรูปนี้ตัวจิตมีการรู้สิ่งหนึ่ง แล้วเกิดเวทนา สัญญา สังขารทำงานต่อ นามรูปเป็นปัจจัยอีกรอบ ถ้ามีการสังขารก็เกิดนามรูป

ถ้าคนอวิชชาสังกัปปะก็เกิดเป็นความนึกคิดที่เป็นกาม พยาบาท เป็นอวิชชา ก็ไม่สามารถจัดการปรุงแต่งหรืออภิสังขารได้ ไม่สามารถมนสิกโรติได้ แต่ถ้าคุณได้ฝึกถึง สังกัปปะ 7 ก็สามารถจัดการให้เป็นสัมมาสังกัปปะ เป็นองค์รวมของความนึกคิดที่เข้าใจวิญญาณ นามรูป ที่ทำให้สังเคราะห์ใหม่โดยลดกิเลสลงไม่ให้มาปรุงร่วมการปรุงแต่งก็จะเป็นประโยชน์มากขึ้น

 

ผู้รู้อาการ ลิงค นิมิต อุเทส อ่านนามรูปได้คือมีตาทิพย์เป็นกล้องจุลทรรศน์แท้ของพุทธได้ ผู้อ่านสังกัปปะ 7 ได้นี่แหละ ทำให้ดีเผลอๆจะได้อรหันต์ พิจารณาให้ดี แยกแยะปฏิบัติ สติปัฏฐาน 4  อ่านรูป 28 ได้  ตั้งแต่ปสาทรูปทำงานกับโคจรรูป เกิดสังขารเป็น ภาวรูป 2 ตรงหทยรูป ซี่งเกิดชีวิตินทรีย์ จับอินทรีย์คือพลังของชีวิตของโจรคืออกุศลจิต เรียกมันว่าอิตถีภาวะ ที่มีอิตถินทรีย์ ดีไม่ดีมันยึดเป็นอิตถัตตะ เป็นอัตตาของอิตถี ต้องจัดการทำลายภาวะอิตถีให้หมดไป หมดชีวิตินทรีย์ไป ให้หมดอาหารรูปที่เป็นอกุศล ทำไปตามปริเฉทไป ทำไปตั้งแต่กายสังขาร จนจิตสังขาร สุดท้ายทำได้ที่วจีสังขาร ถ้าเราควบคุมกายวิญญัติ วิจีวิญญัติได้ก็จะควบคุมวิการรูป 5 ได้ คือ ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา ควบคุมได้ ตามสามารถของคุณ  ทำแล้วก็อยู่ในลักขณรูป 4 ที่จริงรูปทั้งหลายก็คือจิต เป็นนามรูปที่ถูกรู้ นามรูปทุกตัวก็คือกาย ถ้าเป็นรูปนามมันเกิดปฏิฆผัสโส ไม่เกิดปฏิกิริยากันไม่เกิดนามรูป

 

-กระทบผัสสะ เกิดเป็นนิทานนิยาย จะอ่านได้อย่างไร? ว่า ไม่มีอัตตา 3 อยู่

ตอบ...อ่านนิทานก็ได้ง่าย สมัยใดที่ไม่มีโอฬาริกอัตตาสลายมันได้ก็จะมีมโนมยอัตตา ถ้าสลายอัตตาได้ นิทานของคุณก็จะไม่มีอัตตาเหล่านี้มาเป็นนิทานนิยายด้วย จะรู้ได้อย่างไรก็ดูจาก วจีวิญญัติ คือนัจจะ คีตะ วาทิตะ ว่ามันเป็นนักฆ่า นักรบ นักทำลายหรือนักสร้างสรรค์ เป็นนิยายจริงก็ดูมันสิ ถ้ามันไปรบก็ให้มันหยุดเถอะ ให้ไปสร้างสรรค์ดีกว่า คุณจะรู้ว่านิทาน นิยายเกิดจากเหตุ เราแยกแยะว่าตัวอกุศล เป็นผู้ร้ายอยู่ไหนก็จัดการผู้ร้ายเสียให้กลายเป็นนิทานที่สร้างสรรค์

 

-ได้ฟังธรรมกลางแจ้ง อยากทราบว่าจุตูปปาตญาณกับอุปกิเลส 16  ข้อนานัตตสัญญา มีความสัมพันธ์กับ จุตูปปาตญาณอย่างไร? ถ้ากำกับตัวเกิดได้อาสวักขยญาณคงไม่ตอบก็ได้

ตอบ...จุตูปปาตญาณคือมีญาณรู้ว่าตัวไหนเกิดแล้วทำให้มันดับได้ ตัวที่จะให้ดับคืออุปกิเลส 16 อุปกิเลสตัวแรกคืออภิชาวิสมโลภะเป็นสายโลภะอันเดียวนอกนั้น 15 อย่างตามมาคือสายโทสะ ต้องทำให้มันตายไม่เคลื่อนแล้ว(จุติคือการเคลื่อน) เคลื่อนลงก็ไปนรก เคลื่อนขึ้นก็ไปสวรรค์ การเคลื่อนนี้เราต้องทำให้มันตาย ถ้ามันเคลื่อนไปหาสวรรค์ก็ต้องทำให้ตายเหมือนกันในสมมุติเทพ สุดท้ายไม่มีการลงนรก ขึ้นสวรรค์ ไม่มีทั้งเทวดาและสัตว์นรก แต่ว่าเป็นอุบัติเทพ จนบริบูรณ์เป็นวิสุทธิเทพ นี่คือเห็นการตายการเกิดของจิต

 

นานัตสัญญา มีคำ สามคำ นานา กับ อัตตะ กับ สัญญา คำว่าสัญญาคือกำหนดหมายเป็นความจำ แล้วเราก็เรียนรู้อัตตาต่างๆ(นานา) ผู้ไม่ต้องทำมนสิการกับนานัตสัญญา ไม่ต้องทำใจในใจของเราอีกแล้ว ที่ท่านไปแปลว่าไม่ต้องใส่ใจ คือไม่ต้องไปเรียนเลย ไม่ต้องไปกำหนดรู้ก็จะไม่รู้อัตตาต่างๆ ดีไม่ดีถ้าไปแปล อมนสิการเป็นอสัญญีก็ดับไม่รู้เรื่องอะไรเลย ต้องเข้าใจใหม่ว่ามนสิการคือทำใจในใจ ให้มีการงานในใจ แล้วถ้า อมนสิการก็คือไม่ต้องทำใจในใจอีกแล้วเพราะสัญญากำหนดรู้ทุกตัวหมดแล้ว ล่วงพ้นในรูปสัญญาทั้งหลาย (นานัตตะ) แล้วทำเสร็จแล้วก็สมติกมะ จนไม่ต้องทำอีก อมนสิการา ผ่านมาแล้วถึงอากาสาฯ หมดแม้ปฏิฆสัญญา อัฏฐังคมาคือดับได้แล้ว ล่วงพ้นไปแล้ว แต่ไปแปล อมนสิการว่าไม่ใส่ใจ ก็แปลผิดสิ ต้องทำมนสิการอย่างที่สุด ทำจนอัตตาไม่เหลือเลยจนไม่ต้องมนสิการอีกก็เรียกว่า อมนสิการ  ...ก็ค่อยๆเรียนไป บางทีถามแต่พยัญชนะมา

 

-ถ้ามีจิตนิยาม คือมีทั้งหมด 100 % เลยหรือว่ามีจิตนิยาม 60% แล้วมีกรรมนิยามอีก 40 %ได้หรือไม่?

ตอบ...อุตุนิยาม เป็นพลังงานธรรมชาติที่ไม่เป็นชีวะเลย พอเริ่มพัฒนามีชีวะก็คือพีชะ มีสัญญากับสังขาร ไม่มีวิญญาณ ไม่มีเวทนา ต่อจากนั้นเป็นจิตนิยาม สัตว์ชั้นต่ำถึงสัตว์ชั้นสูง เป็นมนุษย์ ที่รู้ดีชั่ว รู้จักกรรม ก็คือจิตนี่แหละที่จะพาทำกรรมชั่วกรรมดีได้ มันพาทำอะไรที่ชอบทั้งดีและชั่ว หากพัฒนาพลังงานรู้กรรมได้ก็เลือกไม่ทำกรรมชั่วได้ ไม่เอาแค่ชอบหรือชังก็สั่งสมกุศลได้ รู้จักโลกียธรรมได้ก็ยังเป็นอเวไนยสัตว์โลกุตระ ยังไม่สามารถเรียนรู้ปฏิบัติโลกุตระ ในโลกียะทำได้แต่ดีมากขึ้น ส่วนชั่วหยุดได้ชั่วคราว สลับกันไปดีๆชั่วๆ แต่โลกุตระนี้รู้จักธรรมะที่จะสั่งสมลงไว้ ที่ทำไปแล้วสั่งสมลงทั้งนั้น ไม่หายไปไหน พุทธไม่มีการล้างดีชั่ว แต่พุทธไม่ทำชั่วในทุกปัจจุบัน จนถึงอนาคตทั้งหลาย เป็นหลักประกันเรื่องนี้ได้คือหยุดทำชั่วตลอดกาล ทำกุศลให้เหมือนเป็นกำแพงกั้นวิบากไว้ เราหมดบาปหมดบุญทุกปัจจุบันทำแต่กุศลท่าเดียว สัพพปาปสอรกณัง อกุสลสูปสัมปา เพราะสจิตตปริโยทปนัง แล้ว เป็นผู้มีหลักประกันทำกรรมโลกุตระ ไปตามลำดับ โสดาฯสกิทาฯอนาคาฯอรหันต์ทำแต่กรรมดี ทุกปัจจุบันหยุดกรรมชั่วได้ในปัจจุบันจนถึงอนาคตได้เลย หยุดปาป บำเพ็ญกุศล ผู้หมดบาปแล้วก็ไม่ต้องทำบุญอีก

สภาวะกรรมนิยามอีก 40 % ไม่ใช่ไปแบ่งกันอย่างนั้น มันเป็นคุณสมบัติของจิตนิยามเลย ที่เจริญเป็นกรรมนิยาม ธรรมนิยาม ที่รู้กุศลอกุศล ชำระกิเลสตัวเหตุได้ ทุกปัจจุบัน แก้ไขเหตุให้ได้ ทุกปัจจุบันหมด จนทุกปัจจุบันจะเกิดเมื่อไหร่ก็ไม่มีผีเลย นี่คือความยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธที่มีโลกุตระ

 

คุณโสภณ ก็มักเอานิยาม 5 นี้มาพูดเหมือนกัน นิยาม 5 นี้มีในอรรถกถา อาตมาเชื่อมั่นว่ามีในพระไตรปิฎกมหายาน แต่ในพระไตรฯเถรวาทไม่มี แต่เชื่อว่า มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่รู้นิยาม 5  แม้มีในอรรถกถาจารย์ก็ต้องรับมาจากพระพุทธเจ้าอีก

 

-จักรวาลอื่นจะมีมนุษย์อยู่หรือไม่หากจักรวาลนี้หมดอายุเราจะไปอยู่จักรวาลอื่นได้หรือไม่?

ตอบ...เอาแต่จักรวาลนี้ก่อนก็แล้วกัน จักรวาลอื่นใดก็แล้วแต่ อาตมาก็ไม่มีญาณหยั่งรู้ได้ว่ามีชีวะระดับใดอยู่ อาตมาตอบไม่ได้ มันมีได้ตามความรู้ แต่อาตมาไม่ได้ทำพวกนี้ ไปรู้พวกนี้ วันๆหนึ่งอาตมาก็เอาพลังงานไปทำเรื่องโลกุตระก็หมดเวลาแล้ว หมดพลังงานแล้ว

ยุคนี้ต้องใช้ธรรมาวุธอย่างเดียวจึงจะกอบชัยได้ ในมหาจักรวาลมีจักรวาลน้อยใหญ่มากมาย ในจักรวาลก็มี galaxy น้อยใหญ่มากมาย มีดวงอาทิตย์หลายดวงด้วย

 

-การยึดอัตตามาก จนมีพลังงานตกค้างในร่าง ทำให้ร่างนี้ไม่เปื่อย ถ้านำร่างไปเผาจะเกิดเป็นเม็ดพลอยเป็นสีหรือใสใช่หรือไม่?

ตอบ...ใช่แล้ว เพราะมีพลังงานเย็นตกผลึก ทำให้วัตถุธาตุออกมาเป็นลักษณะนี้ ไม่ได้บ่งบอกโลกุตรธรรม ต่อให้พระธาตุเงางามอย่างไรก็ตาม ก็ไม่บ่งชี้อาริยะ แต่พระอรหันต์สามารถทำความเพียรให้แก่กระดูก แคลเซี่ยมตกผลึกเช่นนั้นได้ แต่อรหันต์สายปัญญาจะมีพระธาตุไม่สวยเท่าสายเจโต แต่ความเป็นพระธาตุเป็นเครื่องชี้อาริยะไม่ได้แต่อรหันต์สามารถเป็นพระธาตุได้ เคยเห็นพระธาตุของพระสารีบุตรไหม ท่านทำงานมาก พระธาตุก็จะไม่สวยออกมาใหญ่ๆ

 

-ถ้าการเข้ากระแสโสดาฯ เข้าขั้นที่ 3 จึงเป็นแก่นเชื้อสู่จิตวิญญาณ หากตายไปแล้วเกิดมาใหม่แก่นเชื้อนี้จะไปด้วยกับชีวิตใหม่หรือไม่?

ตอบ..ใช่ ก็ขึ้นอยู่กับความควบแน่นที่เราทำได้ อะไรที่ควบแน่นถึงอวินิปาตธรรมก็ไม่เปลี่ยนแปลง แต่อะไรไม่มั่นคงก็เปลี่ยนแปลงได้ตามเหตุปัจจัย

 

-โสดาบันขั้นที่ 3 คืออะไร?

ตอบ.. โสดาบันเริ่มจาก โสตาปันนะ เข้ากระแส ได้โลกุตระ 25 %แล้วมาเป็นอวินิปาตธรรม มาถึง 50% เริ่มต้นที่จะรักษาสถานะไม่ตกต่ำ จะมีพลังแข็งแรงขึ้น พอเลย ไปถึงนิยตะก็ 75% แน่นอนเที่ยงแท้ แข็งแรง จนเลย 75% ก็เป็นสัมโพธิปรายนะ ไปสู่ที่สูงถ่ายเดียวเลย

 

-หนึ่งในสัจจะที่ประทับใจนักเรียน ประทับใจเมื่อเห็นภาพงดงามในกิริยาอาการของ นร..1 ที่อธิบายวิธีการเข้าแถวตักอาหาร สำหรับผู้มาใหม่ อย่างกิริยาน่าเลื่อมใส นี่คือปาฏิหาริย์ของความบริสุทธิ์ที่เด็กๆมี สุดท้ายเห็นเด็กตักน้ำมาให้แขกด้วย เธอคือน้องเพ็ญน้ำเพชร สส.สอ. มีหน้าที่บริการในแถวที่ 7

ตอบ...ก็เป็นคำชมเชยมาระวังจะลอยนะ เราสั่งสมกุศล เราจะอนุโลมปฏิโลมกับโลกขนาดไหน กว่าอาตมาจะอนุโลมได้ต้องสร้างฐานมา ต้องปูฐานให้เขารู้ว่าอาตมามีสัจจานุโลมมิกญาณ ไม่ได้แอบเสพ ทั้งกรรมกิริยา ทั้งข้างของอะไร กว่าอาตมาจะตัดสินใจเอาโทรทัศน์เข้ามาในวัดได้ก็ต้องค่อยๆทำ แม้ในที่สุดเป็นพระสมณะก็ถ่ายโทรทัศน์ ใช้กล้องเอง แต่ก่อนพระถือกล้องถ่ายภาพก็ถูกด่าแล้ว แต่เดี๋ยวนี้เข้าใจแล้ว แต่ที่ถ่ายเละเทะก็ไม่ควร แต่ผู้อยู่เหนือได้ก็เอามาใช้ได้ แต่ก่อนอาตมาไม่ให้มีพระพุทธรูปนะ แต่เดี๋ยวนี้ให้มีได้ ต้องทำเป็นขั้นตอนมา ไม่ใช่งานง่าย เป็นงานยาก ไม่สามัญธรรมดา ทุกอย่างต้องอาศัยเวลาพิสูจน์ เราก็มีสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันได้ อาตมาทำแล้วมีสิ่งยืนยัน


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 18:03:50 )

580306

รายละเอียด

580306-ตอบปัญหาฆ่ากิเลสให้บริสุทธิ์ ตอน 2 งานพุทธาภิเษก ศาลีอโศก

พ่อครูว่า...

-ถามว่าห้าคำนี้ครบหรือยัง? นิพพาน จักษุ ญาณ ปัญญา แสงสว่าง อยู่ในหมวดหมู่อะไร? เชื่อมต่อกันอย่างไรได้บ้าง

ตอบ...ในพระไตรฯ จะเรียงและใช้คำว่า จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ถ้าจะใช้คำว่า นิพพานแทนวิชชา เข้าใจโดยธรรมะก็ได้ แต่เรียงยังไม่ตรง ท่านเรียงว่า จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง คำว่าแสงสว่างไม่ใช่นิพพานมืดในภพ แต่เป็นนิพพานลืมตาแจ้ง รู้ด้วยญาณปัญญา วิชชา เชื่อมต่อกันโดย จักษุ พาให้เกิด ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ต้องมีคู่สัมผัส รูป กับนาม เป็นกาย แล้วมีนิโรธหรือนิพพาน เป็นอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ ตามคำสอน ไม่ใช่ว่าสอนอะไรก็โมเมเป็นของพระพุทธเจ้าหมด

 

คือมันออกนอกรีตนอกทาง จนเอาไปหลอกคน เป็นนิพพานเป็นสวรรค์ที่คนละเรื่องกับพระพุทธเจ้าหมาย ยกตัวอย่างธรรมกายธรรมโกย โฉมหน้าสาวก จาก สุดสัปดาห์ เอเอสทีวี ผู้จัดการเขา มีคอลัมน์นี้ โฉมหน้าสาวก ธรรมกาย ธรรมโกย

ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -อื้อฉาวข้ามทศวรรษ โจษจันกันทั้ง 3 โลกเลยนะจ๊ะวัดจานบินของพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) และ ณ เวลานี้ แม้จะมีกระแสชำระสะสาง ท่านธมฺมชโยเจ้าอาวาสวัดธรรมกาย กระหึ่มขึ้นอีกครั้ง แต่พลังเงินต่อบุญที่สร้างความยิ่งใหญ่ ความมั่งคั่งร่ำรวยให้แก่วัดที่ไหลมาเทมาไม่หยุด ก็ไม่แน่ว่าปฏิบัติการยกนี้อาจจบลง แบบ ชกลมเช่นเคย

      

       ที่น่าสังเกตก็คือ แม้จะมีข่าวด้านลบต่อธรรมกาย แต่ศรัทธาของศิษยานุศิษย์มิได้ลดน้อยถอยลง ยิ่งนานวันศิษย์เอกระดับอัครสาวกของธรรมกายก็ยิ่งเพิ่มพูนไพศาล มีเศรษฐี ดารา คนเด่นดัง แห่เข้าร่วมขบวนบุญกับ ท่านธมฺมชโยอย่างไม่น่าเชื่อ และหากไล่เรียงกันหลายคนคงคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี

      

       สำหรับอัครสาวกคนสำคัญของวัดพระธรรมกายระดับแถวหน้าที่มีจิตศรัทธาและเป็นข่าวอื้อฉาวที่ฮือฮารายล่าสุด ก็คือ นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ จากกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) แจ้งข้อหานายศุภชัย ยักยอกเงินของสหกรณ์ฯ ทำให้ได้รับความเสียหายกว่า 12,402 ล้านบาท

      

       ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ พ...สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการ ป... ระบุชัดว่า จากการสอบเส้นทางการเงิน พบว่า นายศุภชัย ได้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินแก่วัดพระธรรมกายจำนวน 15 ฉบับ รวมเป็นเงิน 714 ล้านบาท และทางวัดพระธรรมกายจำนนต่อหลักฐานที่ ป... ตรวจสอบจนยินยอมที่จะคืนเงินบริจาคดังกล่าวคืน

      

       เมื่อจำนนต่อหลักฐานดังนี้แล้ว คำถามคือ วัดพระธรรมกาย และพระเทพญาณมหามุนี ผู้เป็นเจ้าอาวาสรู้เห็นเป็นใจกับการทำความผิดกับการยักยอกเงินของนายศุภชัย หรือไม่ ถ้า ป...ตรวจสอบพบว่า วัดพระธรรมกายรับรู้ก็จะต้องถูกดำเนินคดีทางกฎหมายเช่นเดียวกับนายศุภชัย ผู้เป็นศิษย์เอกเช่นกัน

      

       ศิษย์เอกที่เป็นนักธุรกิจใหญ่อีกคนก็คือ นายบุญชัย เบญจรงคกุล อดีตผู้บริหารค่ายมือถือดีแทค เศรษฐีเมืองไทย อันดับที่ 13 ที่มีทรัพย์สินเกือบ 3 หมื่นล้านบาท ศิษย์เอกผู้นี้ได้ชื่อว่าศรัทธาธรรมกายล้นเหลือ โดยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงช่วยสนับสนุนทั้งเงินและเทคโนโลยีในการเผยแพร่ข่าวสารและคำสอนของธรรมกาย การทุ่มเททำบุญทั้งหลายทั้งปวงก็เพื่อสะสมบุญไปสวรรค์

      

       “.... เรารู้แล้วว่า บุญที่เราสร้างด้วยความตั้งใจ กับความดีที่เราทำ เราเชื่ออย่างยิ่งว่าเราไปสวรรค์ เราอยากไปสวรรค์ชั้นที่สี่ คือชั้นดุสิต สวรรค์ชั้นดุสิต ต่างจากสวรรค์ชั้นอื่นๆ ทั้งหมดหกชั้นก็ตรงที่จะลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อสร้างกุศลเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ต้องรอให้จุติเมื่อหมดบุญ อันนั้นคือสิ่งที่เราเชื่อ และบุญที่เราทำ ก็เชื่อว่ามันจะทำให้เราไปถึงชั้นดาวดึงส์ได้ คือชั้นที่สองที่พระอินทร์อยู่ แล้วก็มีการปฏิบัติธรรมที่ชั้นนั้นด้วย

      

       “ดังนั้น ตายพรุ่งนี้เลยก็ดี เราจะได้ไปสวรรค์ชั้นดุสิต สวรรค์มันไม่มีเหงื่อ ไม่ต้องปวดท้องเข้าห้องน้ำ ไม่ต้องมายกกล้ามเข้าฟิตเนส ไม่มีป่วย ไม่มีแก่ หน้าเด้งตลอด แล้วก็อยู่อย่างนั้นประมาณ 36 ล้านปี ทุกคนหล่อหมด สวยหมด แต่หน้าตาเหมือนกันหมดเลยนะ .... นั่นคือกฎของสวรรค์ คนทำดีมันก็หน้าตาดีเหมือนกันหมด ต่างกันแค่รัศมีหรือออร่านั่นคือแรงศรัทราต่อธรรมกายเพื่อไปสวรรค์ของเจ้าสัวบุญชัย

จบการอ่านบทความแค่นี้ แต่ยังมีต่อในwww.manager.co.th/AstvWeekend/ViewNews.aspx?NewsID=9580000024079

 

เรามาไล่อธิบายตั้งแต่ อบายภูมิ

 

อบายภูมิ มี 4

1.นิรยะหรือนรก

2.ติรัจฉานโยนิ

3.ปิติวิสัย

4.อสุรกาย  คำว่า สุระ แปลว่า ครบ กล้าแข็ง เต็ม ถ้าอสุระ ก็คือ ไม่มีความกล้าหาญทางจิตวิญญาณ ถ้าอธิบายรูปธรรมก็คือ ไม่ครบสุรภาโว ไม่ครบชมพูทวีป ไม่มีอาการ 32 ครบ ในรูปธรรม ถ้าในนามธรรมก็คือความอ่อนแอ ไม่กล้าทำดี ไม่กล้าประพฤติธรรม ไม่กล้าเข้าใกล้ ผีไม่กล้าเข้าเขตสายสิญจน์

3.มนุสโส อันนี้เป็นภูมิกลาง ที่มีสุรภาโว สติมันโต อิทพรหมจริยวาโส เป็นมนุษย์ชมพูทวีป ไม่ได้หมายถึงอุตรกุรุทวีป หรือดาวดึงส์ ในภูมิดาวดึงส์นี้ไม่ได้มีความเป็นมนุษย์ หมายเอาผู้มีคุณธรรมก็คือสบายตามกุศล มนุษย์อุตรกุรุทวีป ก็คือจิตไม่หมายเอาอาการ 32 หมายเอาแค่จิต และดาวดึงส์ก็หมายเอาที่จิต แต่ชมพูทวีปนี้หมายเอามนุษย์

6.จตุมหาราชิก

7.ดาวดึงส์

8.ยามา

9.ดุสิต

10.นิมมานรดี
11.ปรนิมมิตวสวัตดี

 

สิบเอ็ดภูมินี้ท่านเรียกว่า กามาวจรภูมิ จากนั้นเป็น พรหม คือความใหญ่ ถ้าเป็นปรมัตถ์แล้วจิตวิญญาณพรหมไม่มีสรีระ แต่ถ้าไปทางเทวนิยมก็ไปพูดว่าพรหมเป็นรูปร่างสรีระ

 

 

    1. รูปพรหม

        1.1 ชั้นที่ 1 พรหมปาริสัชชาภูมิ

        1.2 ชั้นที่ 2 พรหมปุโรหิตาภูมิ

        1.3 ชั้นที่ 3 มหาพรหมาภูมิ

        1.4 ชั้นที่ 4 ปริตรตาภาภูมิ คือมีแสงน้อย

        1.5 ชั้นที่ 5 อัปปมาณาภาภูมิ คำว่า อัปปมาณาภา คือหาที่สุดมิได้ ไม่มีขีดขั้น

        1.6 ชั้นที่ 6 อาภัสราภูมิ เขาแปลว่าแสง

        1.7 ชั้นที่ 7 ปริตตสุภาภูมิ

        1.8 ชั้นที่ 8 อัปปมาณสุภาภูมิ คำว่า สุภะ คือดีงาม น่าพึงใจ เป็นความงาม สิ่งดี

        1.9 ชั้นที่ 9 สุภกิณหาภูมิ อันนี้เป็นหัวหน้าใหญ่เลย  แปลว่า พวกมีรัศมีเป็นลำงามกระจ่างจ้า นี่เขาแปลเป็นรูปธรรมเลย คนอ่านก็คิดว่าเป็นตัวตน บุคคล เราเขา เพราะยิ่งไม่มีภูมิปัญญาก็ยิ่งเข้าใจไม่ถูกเลย

        1.10 ชั้นที่ 10 เวหัปผลาภูมิ

        1.11 ชั้นที่ 11 อสัญญีสัตตาภูมิ ของพระพุทธเจ้าท่านไม่มี อสัญญีสัตว์ ถ้าสัมมาทิฏฐิแล้วจะไม่มีอันนี้ แม้ไปหลงผิดสิ่งที่มีอายตนะ แต่ไม่สามารถเรียนรู้อายตนะ มีอายตนะ อย่างอสัญญา คือรู้หมดแล้ว เหมือนอปุญญะคือจบการเรียนรู้แล้ว ส่วนอสัญญะ คือไม่ต้องไปทำการกำหนดหมายอีกแล้ว เพราะไม่ต้องมนสิการอีก จบกิจแล้ว แต่ในความหมายนี้ท่านไม่เข้าใจเลยแปลไปมุมกลับ ว่าไม่มีการเอาใจใส่ ไม่มนสิการ อมนสิการไปอีก

        1.12 สุทธาวาส คืออนาคามีโดยตรงเลย ถ้าใครมีคุณธรรมขั้นนี้แล้ว แต่ก็ไปยึดติดอยู่ เช่นอนาคามีตายแล้วก็ไม่กลับมาเกิด อยู่กับจิตวิญญาณ แล้วปรินิพพานในภพโน้นเลย ตั้งจิตอย่างนั้นได้เลย ไม่เกิดอีกได้ แต่มันจะนานมาก เพราะถ้าสุทธาวาสเต็มๆ อนาคามีเต็มๆก็จะทำได้ พระพุทธเจ้าเป็นสายปัญญาธิกะ รู้ว่าเป็นอย่างไร แต่ท่านไม่ไปแช่ใน สุทธาวาส นี้ ใช้อาศัยได้ แต่ไม่แช่ ไม่ติด

            1.12.1 ชั้นที่ 12 อวิหาสุทธาวาสภูมิ

            1.12.2 ชั้นที่ 13 อตัปปาสุทธาวาสภูมิ แปลว่าผู้ไม่ทำความเดือดร้อนแก่ใคร

            1.12.3 ชั้นที่ 14 สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ คือเหล่าผู้งดงามน่าทัสนา

            1.12.4 ชั้นที่ 15 สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ คือเหล่าท่านผู้มีทัสนาแจ่มชัด (ทัสนาคือความรู้ มีจิตเป็นฐานความคิดที่ดี  ชัดเจน)

            1.12.5 ชั้นที่ 16 อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ เหล่าท่านผู้ไม่มีความด้อยหรือเล็กน้อยกว่าใคร อาตมาเคยแปลว่าผู้ไม่เป็นน้องใคร คือเป็นพี่ตลอดกาล เป็นผู้สูงสุด

อาตมาหยิบอันนี้มาอย่างเจ้าสัวบุญชัย เทเงินทองมาให้เขา ปั้นสร้างใหญ่โต เขาไม่คิดแค่เป็นใหญ่ในไทย แต่จะเป็นใหญ่ในโลก เจดีย์เขาจึงต้องเป็นจานบิน จะเป็นเจ้าโลก นี่คือศาสนาพุทธจะด้วนเพราะความคิดและทำเช่นนี่ นิพพานเขาถึงเป็นอัตตา ถ้าให้แบบนี้มาครอบงำไทยได้ ละก็ จะเป็นศาสนาพุทธจานบิน ที่จะมีวิมานสวรรค์ เป็นอัตตา นี่แหละ ทำบุญแล้วได้มากใหญ่ ได้วิมานมโหฬารพันลึก สร้างภพไป แล้วเป็นสภาพเช่นนั้นโดยอุปาทานจริง เขาเห็นจริงได้เขาจึงเชื่อ เพราะเขานั่งสมาธิแล้วปั้นสร้างได้เห็นจริงเลย สำเร็จด้วยจิต โดยไม่เรียนรู้อัตตา ไม่รู้มโนมยอัตตา คือมายา คือของหลอก ถ้าเป็นโลกุตระ ก็สำเร็จโดยจิตที่รู้ได้ด้วย แม้ที่สุดอรหันต์ท่านจะอนุโลมปฏิโลมก็ได้ เช่นเมื่อพระโมคคัลลานะ ว่า ข้าพเจ้าเห็นเปรต มีงูเลื้อยมาเป็นนาคใหญ่มีไฟด้วย พระพุทธเจ้าท่านก็รู้ว่า เป็นวาสนาของพระโมคคัลลานะ ติดมา

    2.อรูปพรหม

        2.1 ชั้นที่ 17 อากาสานัญจายตนภูมิ

        2.2 ชั้นที่ 18 วิญญาณัญจายตนภูมิ

        2.3 ชั้นที่ 19 อากิญจัญญายตนภูมิ

        2.4 ชั้นที่ 20 เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ      

อย่างมหาบัวนี่ บอกว่า เวลาเข้าฌานได้ จะหลุดปึ๊งไปเลย ในชั้นแรก ตัวเราเองก็ไม่รู้ มันมีแต่การเสพรสความว่าง อนันโต อากาโสติ มีแต่สภาวะความรู้สึกว่าง นี่คือภูมิที่เข้าไปนั่งเข้าภวังค์ ได้อรูปฌาน 1 มีอายตนะสัมผัสรู้สภาวะว่าง ที่รู้สึกของตนว่าว่างนี่แหละ วิญญาณไม่มียี่ห้อ ไม่รู้ว่าเป็นใคร  พอผ่านจากตรงนั้นก็จะรู้ว่าเราคือใคร นั่นคือวิญญานัญจายตนะ เป็นภพ ถ้าเข้าไปแล้วไม่มีใครอยากออกหรอก อยากอยู่นิรันดร ไม่ใช่แค่ 36 ล้านปีอย่างที่เจ้าสัวบอกนะ  แต่จะหลุดจากรูปภพ เข้าสู่อรูปภพยากมาก พอทำได้แล้วครั้งเดียว จะทำครั้งที่สองไม่ง่าย เพราะมันไม่ปึ๊ง และมันรู้แล้ว แต่ก่อนไม่มีสะพานกระโดดข้ามได้ แต่ตอนนี้มีสะพานแล้ว ก็ไม่น่าทึ่งเท่าไหร่ ถ้าใครจะพากเพียรทำก็ได้ อาตมาเจอกับตนเอง และเจอกับฝรั่งที่เขานั่งสมาธิแล้วได้นิพพาน เขาว่านิพพานของเขาหายไป เขาบรรยายไม่เป็นอย่างที่อาตมาบรรยายมา

 

 แต่เขาเรียนมาว่า นิพพานมันต้องดับไม่เอามีสว่างอยู่ ก็ดับต่ออีก ท่านจะไม่เข้าใจ แปลไม่ออกหรอกว่า ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย

เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) คือธรรมะสองอย่างจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ในส่วนสอง พอเรียนมาตามบัญญัติที่ครูเขาสอนว่านิโรธต้องดับ แต่มันมาสว่างก็ไม่ใช่ ก็ต้องดับอีก อากิญจัญญะ แปลว่านิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่มี เขาก็จะดับมันไปอีก จนเป็นอรูปฌานที่ 3 เป็นอากิญจัญญายตนะ อย่างอาฬารดาบสทำได้ แต่อาฬารดาบส ไม่มีความละเอียดพอที่จะรู้ความมีที่เล็กน้อยมาก ไม่รู้สภาพนิดนึงน้อยหนึ่ง นั้น เอาแต่ดับๆๆๆ กดเครื่องดับตาพึดเลย แต่อุทกดาบส ทำได้มากกว่านั้น รู้ว่ามันยังแวบอยู่นะ แต่ใน ความรู้ของเขาว่า ถึงมีก็ต้องดับ เขาก็ทำการดับอีก ก็เลยมีคำถามว่า จะว่ามีก็ไม่มี จะว่าไม่มีก็มี เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะมิจฉาทิฏฐิ เขาก็ถือว่าที่เขาได้เป็นสุภันเตว อธิมุตโต โหติ นี่คือสุดยอดงามสุดดีสุดเป็นโชคที่สุดแล้ว นี่คืออธิมุติของฌานโลกีย์

 

โลกีย์จบแค่นี้ ไม่มีสัญญาเวยิตนิโรธ ในภพภูมิของมิจฉาทิฏฐิจะได้สูงสุดก็เนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์หรืออสัญญีสัตว์ พระพุทธเจ้าท่านให้เรียนรู้อย่างมีวิญญาณฐีติ มีองค์ประชุมครบพร้อมนอกและในเป็นกายเป็นความจริง ต้องปฏิบัติกับผัสสะปัจจุบันจึงเป็น วิญญาณฐีติ 7 และของพุทธยังเรียนรู้ถึงอายตนะ พวกเทวนิยมนั่งปฏิบัติในภพ ก็มีอายตนะ แต่เขาไม่รู้หรือว่า ไม่มีอายตนะ เพราะเขาดับเครื่องรู้ทั้งหลายหมด แต่ของพระพุทธเจ้าลืมตามีผัสสะก็รู้ มีสัญญาก็รู้ แล้วเลือก ดับเฉพาะสัญญูปาทานักขันโธ ดับอุปาทานในสัญญาเท่านั้น แล้วจะไปยึดสัญญาเป็นตัวเราของเราได้อย่างไร นิพพานแล้วจะยึดนิพพานได้อย่างไร เมื่อผู้ใดสามารถรู้อัตตาแล้วอาศัยอัตตาอย่างไม่ลึกลับ เรียกว่าอรหัตตา (อรหะแปลว่าไม่ลึกลับ)

 

ต่อไปเป็นตอบคำถาม

-กินอาหารอยางพรหมกินอย่างไร

ตอบ..พรหมคือผู้บริสุทธิ์ ต้องใช้ความรู้ละเอียดมาก (นิปปุนา) พระพรหมที่เขาไปบูชากันก็มีหลายแห่งนะ แม้ในทำเนียบฯก็มีพระพรหม แล้วก็เอาอาหารมาสังเวยพระพรหม ก็นึกเอาเองว่าอาหารของพระพรหมคืออะไร บางคนใส่วอดก้าเลย  แต่อาหารที่พระพุทธเจ้าสอนมี 4 อย่าง

1.อาหารคือคำข้าวต้องเรียนรู้ใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส

2.ผัสสาหาร คือเวทนา 3 คือ สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ฐานอรูปฌาน 4 ไปเรียกว่าอรูปพรหม รูปพรหมอยู่ที่ฌาน 1-4 ศาลานี้ว่างจากสัตว์แต่ก็มีคน พอไปถึงอรูปฌานก็จะเบาบางละเอียดยิ่งกว่ารูปพรหม มันจะมีลักษณะความต่าง เหมือนหลุดออกนอกโลก เป็นการสร้างภพ  สร้างฌานหลับตาก็คือสร้างภพ เขาไม่เรียนรู้การเกิดในปฏิจจสมุปบาท

1.กามภพ มีทั้งนอกและใน

2.ภวภพ มีแต่ภายใน มีทั้งรูปภพ อรูปภพ

3.วิภพ เป็นวิภวตัณหา สร้างตัณหาล้างกามล้างภพ ถ้าล้างภพหมดก็เป็นผู้หมดกิเลส

 

-ถ้าเราเรียนหนังสือไม่เด่นไม่เก่งเหมือนเพื่อน ไม่ได้เกรด 4 หลวงปู่คิดอย่างไร?

ตอบ...ก็ไม่ขยันไม่เอาใจใส่ ก็เราทำไม่ได้เหมือนเพื่อนก็เอาเพื่อนเป็นตัวอย่างให้ติวให้เราสอนเราบ้าง ขวนขวายขยันเรียนมากขึ้น

 

-จริตของคนเราต่างกันแต่จริตของคนนั้นแก้ยาก เช่นชอบว่าเพื่อนชอบพูดให้เพื่อนในทางไม่ดี หลวงปู่คิดอย่างไร?

ตอบ...คนที่พูดเช่นนั้นก็ไม่ดี ก็คิดว่าไม่ดี ถ้าเขาชอบว่า นี่ดีนะ เขามีน้ำใจ พระพุทธเจ้าว่านิคคัณเห นิคหารหัง สิ่งที่ควรตำหนิก็ควรทำ เอาภาระเพื่อน ก็ว่าให้พอประมาณ หรือก่อนว่าก็ขออภัยก่อน ว่าด้วยเมตตาให้อภัย

 

-หนูเคยไปธรรมกายเขาสอนสวรรค์ดาวดึงส์มีจริงไหม

ตอบ...ก็ต้องดูที่เหตุปัจจัยในปัจจุบันมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วมีสภาพของอาการที่ 33 เป็นอาการของจิตวิญญาณที่เกิดผีหรือเทวดาเก๊ แล้วลบเหตุที่ไปหลงผิดเทวดาเก๊หรือผี เกิดเป็นเทวดาใหม่เป็นดาวดึงส์โลกุตระ คืออาการ 33 ของโลกใหม่โลกุตระ คนที่เข้าไม่ถึงภพภูมินี้ก็เข้าไม่ถึงดาวดึงส์โลกุตระ เป็นสวรรค์สุขสงบ ไม่ใช่เป็นเคหสิตโสมนัสเวทนา แบบที่หลงสร้างปั้นเป็นมโนมยอัตตา แล้วถ้าอยู่ในภพภูมินี้ ยิ่งร่ำรวยเป็นเศรษฐีใหญ่อย่างเจ้าสัวบุญชัยนี่ ก็ได้โอฬาริกอัตตาเป็นเทวดาใหญ่ คนเขาหลงเงินทอง เป็นเทวดาหลงกาม อัตตา โลกธรรม แต่ของพุทธนี้มีแต่จะลดลง

 

-พ่อท่านเห็นอย่างไรในการแต่งกายของคุณไม้ร่ม จะแสดงกายสักขีของชาวอโศก ทางใต้เขาว่าเป็นการแต่งตัวของฤาษีหญิงชาย

ตอบ...ตาอาตมาก็ตาดีเห็นเหมือนคุณเห็น เขาก็ตัดเสื้อผ้า ทำผมเผ้าของเขาไป ตามเขาคิด เขาก็สบายใจ เขาก็จะทำตัวเขาก็ปล่อยไป ข้อสำคัญเขาอยู่กับสังคมแล้วทำอะไรอยู่ มีประโยชน์ไหม เอาอันนั้นดีกว่า อาตมาก็อาศัยเขาอยู่นะนี่ ไปช่วยทำคลอง เขามีฝีมือในการทำธรรมชาติ เขามีอัตตาของเขา แต่เขายอมอาตมาได้ เขามีปัญญารู้ว่าอยู่กับอาตมานี่ดี อาตมาไม่ด่าเขา อยู่กับคนอื่นด่าเขาหมด เอากันที่สาระ ไม่ยึดถือแต่ภายนอก เรื่องฮิปปี้นี่อาตมาเริ่มทำตั้งแต่เขายังไม่เรียกฮิปปี้เลยนะ มีรูปถ่ายยืนยัน หัวฟูเลยนะ ทำมาก่อนใคร แล้วก็เลิกทำ มันเด่นแล้วก็กวนคนด้วย

 

-พ่อท่านรู้สึกยินดีหรือไม่ที่ทั้งคนเก่าและคนใหม่มางาน และถ้าเขาไม่มาพ่อท่านจะคิดอย่างไรว่า ก.เขาขี้เกียจมา ข.เขาป่วย ค.เขาตายแล้ว

ตอบ...ก็คิดอย่างที่ว่า แต่ว่าเขาอาจหมดรสนี้แล้วก็ไปแสวงหารสชาติใหม่อีกอัน

 

-พญานาคมีจริงไหม?

ตอบ...นาคะแปลว่าสัตว์ใหญ่ ศิลปะแบบจีนก็ไปแบบจีน แบบไทยก็ไปแบบไทย ตามเรื่องก็เป็น ตามจินตนาการ ของเขา มันมีภาพหลอน แม้แต่ปลายาวๆ คนจับได้เหมือนพญานาค เขาพูดกันไปกันมาก็เพิ่มเติมแต่งเติมกันไป เหมือนเรื่องอีกาเช็ดศพ (คือการเอาปากไปเช็ดศพ)แต่ว่าคนเข้าใจพูดเพี้ยนไปว่า อีกาเจ็ดศพ จากเช็ดปากกลายเป็น เจ็ดศพไปเลย เหมือนพญานาค ก็เล่ากันมา มีหงอนพ่นไฟได้ ก็เป็นนิทานไปใหญ่เลย คำว่า นาคะ แปลว่านอน ผู้ใดหลงแต่นอนก็คือผู้เป็นนาค ไม่ประเสริฐ ผู้ไม่ประเสริฐมาบวชก็เลยต้องซักถามว่า ก่อนจะบวชว่าเป็นนาคหรือไม่? คำว่านาคคือผู้ประเสริฐคือให้มาฝึกฝนตนเองก่อน ที่มีนิทานว่า มีนาคปลอมตัวมาบวช อยู่ไปอยู่มาก็เห็นหางก็เลยต้องมาถามก่อนว่า เป็นนาคหรือไม่? ก่อนจะบวช

 

-กรณีคุณไพบูลย์ นิติตะวัน ได้ข่าวว่าจะถูกยุบองค์กรปฏิรูปศาสนาเราจะช่วยอย่างไร?

ตอบ...สังคมประเทศชาติขณะนี้ไม่ว่าด้านการเมือง หรือธรรมะ-ศาสนา กำลังถึงหัวเลี้ยวหัวต่อ คสช.กำลังทำ ได้อำนาจทางโลกมาแล้ว แม้ทางศาสนาก็กำลังจะได้มา เพราะเขาทำตัวเขาเอง ขอบอกว่า เขารังแกอาตมา แม้ลาออกจากมหาเถรสมาคมแล้วก็ยังตามมาเอาเรื่องอีก ซึ่งแม้ศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เขาไม่ทำตามแล้ว มีพิธีกรรมที่นอกรีตไปเยอะแล้ว เอาแต่วินัย 227 ข้อ ซึ่งวินัยเป็นหลักการทีเกิดทีหลัง แล้วมีการลงโทษ แต่ศีล เป็นธรรมนูญพุทธ พระพุทธเจ้าสร้างศาสนาด้วยศีล แต่เดี๋ยวนี้เสื่อม สมาธิก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ เอามหาจัตตารีสกสูตรไปตรวจสอบ เขาไม่ได้ทำแบบมีลำดับ ไม่ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล ตอนนี้ น้ำทะเลซัดซากศพมาถึงฝั่งแล้ว เก็บศพได้แล้ว อย่าปล่อยให้ศพเน่า ถ้าโอกาสนี้ไม่ทำแล้วแน่นอน ทางด้านสายประชาชน ฆราวาส ทำได้เด็ดขาดแล้ว เราก็เชียร์อยู่ สายธรรมะก็ทำต่อไป คสช.ตั้งสปช.มาแล้วก็ดีแล้ว เสียงแค่นี้ ทำไมถึงจะเป็นนักสู้ พระพุทธเจ้าว่านักสู้มีหลายแบบ อย่างหนึ่งได้เห็นฝุ่นมาก็หนีแล้ว หรือว่าได้ยินเสียงก็หนีแล้ว หรือว่าจะต่อสู้กันก่อนเลย แต่ว่ายังไม่เห็นหน้าตาก็หนีไปก่อนแล้วได้อย่างไร ทำไมใจเสาะจัง ถ้าโอกาสนี้ไม่เด็ดขาดไม่มีโอกาสอีกแล้ว อย่างนี้ไม่เน่าไม่เป็นซากศพหรือ มีหลักฐานยืนยัน ทั้งปกปิด ปกป้องห้ามมาแตะ ซึ่งของจริงต้องทนทานต่อการพิสูจน์ แต่นี่ปกปิดเน่าใน ท่านมีปัญญาแต่ทำไมยังไม่กล้าก็เท่านั้นแหละ ถ้าไม่กล้าต่ออธรรม แพ้อยู่เรื่อยไม่ชนะแน่ ถ้าไม่กล้า อาตมากล้าพูดได้ว่า ขณะนี้ไม่โดดเดี่ยวหรอก คณะ คสช.จะปฏิรูปสังคมประชาชนมีเยอะ อย่ากลัวเกรงอำนาจเน่าเหม็นนั่นเลย

ตอนบ่ายสองนี้ มีข่าวบอกว่า คุณไพบูลย์ปิดจ๊อบคณะกรรมการปฏิรูปพระพุทธศาสนาแล้ว ซึ่งที่จริงเราก็จะให้หยาดน้ำใจทองคำเหมือนที่ให้กับคุณวิชา มหาคุณ ด้วย ก็อำนาจโลกมันแรง

 

เรื่องการต่อสู้ทางโลกนั้นได้เอกสิทธิ์แล้วทางโลกยอมรับแล้ว ปัญญาชนรับได้แล้ว ถึงขีดเขตที่เน่าแล้วซากศพต้องทำการเก็บไม่มีเสียงค้าน ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม ตอนนี้เป็นวาระซากศพถูกซัดขึ้นฝั่งก็เก็บศพกันได้แล้ว

 

-เหตุของวิมุติที่จะหลุดพ้นด้วยสมาธินิมิต ช่วยอธิบายด้วย

ตอบ...นิมิตแปลว่าเครื่องหมาย การหลุดพ้นด้วยการสร้างสัมมาสมาธิ มีเครื่องหมายที่บอกสัมมาสมาธิ มีเครื่องหมายของนิโรธ ไม่ใช่บัญญัติแต่เป็นสภาวะจริง ว่านี่คือความเป็นวิมุติที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ เช่นทำกิเลสหมดได้หลุดพ้นกาม พยาบาท ดับได้ เมื่อผ่านพ้นได้ จนรักษาผล ตั้งมั่นเป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) นี่คือทำเครื่องหมายได้มากเท่าไหรก็หลุดพ้นเท่านั้น คือสมาธินิมิต

 

-ขอแถมเรื่องทอดกฐิน อาตมาเรียกว่าการทอดกฐินปัจจุบันว่า ทอดกระทะทองแดง เพราะสมัยก่อน การทอดกฐินคือการนำผ้าบังสุกุลมาต่อกัน โดยใช้สะดึง ช่วยกันทำ จนนางวิสาขา มาบอกว่าให้ฆราวาสถวายให้ได้ แต่มาก็ขยายไปแต่ว่าอย่าให้เป็นวัตถุอนามาส แต่เดิมเลยคือเอาของที่เขาทิ้งแล้ว บังสุกุลแล้วมาใช้ ถ้าได้ผืนเล็กไม่พอก็เอามาต่อกัน การทอดผ่าป่าก็มีแต่ผ้า แต่เดี๋ยวนี้เลี่ยงบาลีมากแล้ว ทอดกฐินคือมีผ้าเท่านั้น ไม่ได้มีเงินทองอะไร มันเป็นวัตถุอนามาส เอามาให้พระทำไม ไม่ใช่เรื่องที่พระต้องไปวุ่นวายมาก เดี๋ยวนี้เป็นวิธีการหาเงินของพระ พระบวชแล้วยังหาเงินอยู่คือการทำลายศาสนาโดยตรง ไม่ต้องไปหาเงิน จะสร้างอะไรก็ให้เป็นหน้าที่ของฆราวาส อาตมาพาทำนี่แม่แต่เงินเรี่ยไรก็ไม่ทำ เอาแต่เงินของพวกเราเองภายในทั้งนั้น มันไม่เหลือแล้ว ไม่เหลือศีลแล้ว ศีลข้อที่ 7 มาลาคันธ วิเลปน ธารณมัณฑน วิภูสนัฏฐานา ก็ไม่มีแล้ว

 

-ทิฏฐิ 4 อย่าง มีอะไร?

ตอบ...ก็มีทิฏฐิ 10 อย่างที่สำคัญ ถ้าไม่ถูกตรงก็ไม่บรรลุธรรมได้

1.     ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง) . . . .

2.    ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง)

3.     สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง)

4.     ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่ 
(
อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก) . .

5.     โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโกหมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ . .

6.     โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโกหมายถึง โลกโลกุตระ

7.     มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา) . . .

8.     บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา) . .

9. .   สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา) . . .

สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ) . . . . .

      (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 257)

ทิฏฐิ 4 อย่าง

.เมื่อบุคคลจะบัญญัติอัตตา มีรูปเป็นกามาวจร ย่อมบัญญัติว่า อัตตาของเรามีรูปเป็นกามาวจร

.เมื่อบัญญัติอัตตามีรูปหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่า อัตตาของเรามีรูปหาที่สุดมิได้

.เมื่อบัญญัติอัตตาไม่มีรูปเป็นกามาวจร ย่อมบัญญัติว่า   อัตตาของเราไม่มีรูปเป็นกามาวจร

.เมื่อบัญญัติอัตตา ไม่มีรูปหาที่สุดมิได้ ย่อม บัญญัติว่า อัตตาของเราไม่มีรูปหาที่สุดมิได้ ฯ

 

วิธีการศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวที่จะขุดเอา unconsciousness ขึ้นมาจัดการได้ ต้องปฏิบัติให้มีลำดับขั้นตอน

580306-ตอบปัญหาฆ่ากิเลสให้บริสุทธิ์ ตอน 2 งานพุทธาภิเษก ศาลีอโศก

 

พ่อครูว่า...

-ถามว่าห้าคำนี้ครบหรือยัง? นิพพาน จักษุ ญาณ ปัญญา แสงสว่าง อยู่ในหมวดหมู่อะไร? เชื่อมต่อกันอย่างไรได้บ้าง

ตอบ...ในพระไตรฯ จะเรียงและใช้คำว่า จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ถ้าจะใช้คำว่า นิพพานแทนวิชชา เข้าใจโดยธรรมะก็ได้ แต่เรียงยังไม่ตรง ท่านเรียงว่า จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง คำว่าแสงสว่างไม่ใช่นิพพานมืดในภพ แต่เป็นนิพพานลืมตาแจ้ง รู้ด้วยญาณปัญญา วิชชา เชื่อมต่อกันโดย จักษุ พาให้เกิด ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ต้องมีคู่สัมผัส รูป กับนาม เป็นกาย แล้วมีนิโรธหรือนิพพาน เป็นอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ ตามคำสอน ไม่ใช่ว่าสอนอะไรก็โมเมเป็นของพระพุทธเจ้าหมด

 

คือมันออกนอกรีตนอกทาง จนเอาไปหลอกคน เป็นนิพพานเป็นสวรรค์ที่คนละเรื่องกับพระพุทธเจ้าหมาย ยกตัวอย่างธรรมกายธรรมโกย โฉมหน้าสาวก จาก สุดสัปดาห์ เอเอสทีวี ผู้จัดการเขา มีคอลัมน์นี้ โฉมหน้าสาวก ธรรมกาย ธรรมโกย

ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -อื้อฉาวข้ามทศวรรษ โจษจันกันทั้ง 3 โลกเลยนะจ๊ะวัดจานบินของพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) และ ณ เวลานี้ แม้จะมีกระแสชำระสะสาง ท่านธมฺมชโยเจ้าอาวาสวัดธรรมกาย กระหึ่มขึ้นอีกครั้ง แต่พลังเงินต่อบุญที่สร้างความยิ่งใหญ่ ความมั่งคั่งร่ำรวยให้แก่วัดที่ไหลมาเทมาไม่หยุด ก็ไม่แน่ว่าปฏิบัติการยกนี้อาจจบลง แบบ ชกลมเช่นเคย

      

       ที่น่าสังเกตก็คือ แม้จะมีข่าวด้านลบต่อธรรมกาย แต่ศรัทธาของศิษยานุศิษย์มิได้ลดน้อยถอยลง ยิ่งนานวันศิษย์เอกระดับอัครสาวกของธรรมกายก็ยิ่งเพิ่มพูนไพศาล มีเศรษฐี ดารา คนเด่นดัง แห่เข้าร่วมขบวนบุญกับ ท่านธมฺมชโยอย่างไม่น่าเชื่อ และหากไล่เรียงกันหลายคนคงคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี

      

       สำหรับอัครสาวกคนสำคัญของวัดพระธรรมกายระดับแถวหน้าที่มีจิตศรัทธาและเป็นข่าวอื้อฉาวที่ฮือฮารายล่าสุด ก็คือ นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ จากกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) แจ้งข้อหานายศุภชัย ยักยอกเงินของสหกรณ์ฯ ทำให้ได้รับความเสียหายกว่า 12,402 ล้านบาท

      

       ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ พ...สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการ ป... ระบุชัดว่า จากการสอบเส้นทางการเงิน พบว่า นายศุภชัย ได้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินแก่วัดพระธรรมกายจำนวน 15 ฉบับ รวมเป็นเงิน 714 ล้านบาท และทางวัดพระธรรมกายจำนนต่อหลักฐานที่ ป... ตรวจสอบจนยินยอมที่จะคืนเงินบริจาคดังกล่าวคืน

      

       เมื่อจำนนต่อหลักฐานดังนี้แล้ว คำถามคือ วัดพระธรรมกาย และพระเทพญาณมหามุนี ผู้เป็นเจ้าอาวาสรู้เห็นเป็นใจกับการทำความผิดกับการยักยอกเงินของนายศุภชัย หรือไม่ ถ้า ป...ตรวจสอบพบว่า วัดพระธรรมกายรับรู้ก็จะต้องถูกดำเนินคดีทางกฎหมายเช่นเดียวกับนายศุภชัย ผู้เป็นศิษย์เอกเช่นกัน

      

       ศิษย์เอกที่เป็นนักธุรกิจใหญ่อีกคนก็คือ นายบุญชัย เบญจรงคกุล อดีตผู้บริหารค่ายมือถือดีแทค เศรษฐีเมืองไทย อันดับที่ 13 ที่มีทรัพย์สินเกือบ 3 หมื่นล้านบาท ศิษย์เอกผู้นี้ได้ชื่อว่าศรัทธาธรรมกายล้นเหลือ โดยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงช่วยสนับสนุนทั้งเงินและเทคโนโลยีในการเผยแพร่ข่าวสารและคำสอนของธรรมกาย การทุ่มเททำบุญทั้งหลายทั้งปวงก็เพื่อสะสมบุญไปสวรรค์

      

       “.... เรารู้แล้วว่า บุญที่เราสร้างด้วยความตั้งใจ กับความดีที่เราทำ เราเชื่ออย่างยิ่งว่าเราไปสวรรค์ เราอยากไปสวรรค์ชั้นที่สี่ คือชั้นดุสิต สวรรค์ชั้นดุสิต ต่างจากสวรรค์ชั้นอื่นๆ ทั้งหมดหกชั้นก็ตรงที่จะลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อสร้างกุศลเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ต้องรอให้จุติเมื่อหมดบุญ อันนั้นคือสิ่งที่เราเชื่อ และบุญที่เราทำ ก็เชื่อว่ามันจะทำให้เราไปถึงชั้นดาวดึงส์ได้ คือชั้นที่สองที่พระอินทร์อยู่ แล้วก็มีการปฏิบัติธรรมที่ชั้นนั้นด้วย

      

       “ดังนั้น ตายพรุ่งนี้เลยก็ดี เราจะได้ไปสวรรค์ชั้นดุสิต สวรรค์มันไม่มีเหงื่อ ไม่ต้องปวดท้องเข้าห้องน้ำ ไม่ต้องมายกกล้ามเข้าฟิตเนส ไม่มีป่วย ไม่มีแก่ หน้าเด้งตลอด แล้วก็อยู่อย่างนั้นประมาณ 36 ล้านปี ทุกคนหล่อหมด สวยหมด แต่หน้าตาเหมือนกันหมดเลยนะ .... นั่นคือกฎของสวรรค์ คนทำดีมันก็หน้าตาดีเหมือนกันหมด ต่างกันแค่รัศมีหรือออร่านั่นคือแรงศรัทราต่อธรรมกายเพื่อไปสวรรค์ของเจ้าสัวบุญชัย

จบการอ่านบทความแค่นี้ แต่ยังมีต่อในwww.manager.co.th/AstvWeekend/ViewNews.aspx?NewsID=9580000024079

 

เรามาไล่อธิบายตั้งแต่ อบายภูมิ

 

อบายภูมิ มี 4

1.นิรยะหรือนรก

2.ติรัจฉานโยนิ

3.ปิติวิสัย

4.อสุรกาย  คำว่า สุระ แปลว่า ครบ กล้าแข็ง เต็ม ถ้าอสุระ ก็คือ ไม่มีความกล้าหาญทางจิตวิญญาณ ถ้าอธิบายรูปธรรมก็คือ ไม่ครบสุรภาโว ไม่ครบชมพูทวีป ไม่มีอาการ 32 ครบ ในรูปธรรม ถ้าในนามธรรมก็คือความอ่อนแอ ไม่กล้าทำดี ไม่กล้าประพฤติธรรม ไม่กล้าเข้าใกล้ ผีไม่กล้าเข้าเขตสายสิญจน์

3.มนุสโส อันนี้เป็นภูมิกลาง ที่มีสุรภาโว สติมันโต อิทพรหมจริยวาโส เป็นมนุษย์ชมพูทวีป ไม่ได้หมายถึงอุตรกุรุทวีป หรือดาวดึงส์ ในภูมิดาวดึงส์นี้ไม่ได้มีความเป็นมนุษย์ หมายเอาผู้มีคุณธรรมก็คือสบายตามกุศล มนุษย์อุตรกุรุทวีป ก็คือจิตไม่หมายเอาอาการ 32 หมายเอาแค่จิต และดาวดึงส์ก็หมายเอาที่จิต แต่ชมพูทวีปนี้หมายเอามนุษย์

6.จตุมหาราชิก

7.ดาวดึงส์

8.ยามา

9.ดุสิต

10.นิมมานรดี
11.ปรนิมมิตวสวัตดี

 

สิบเอ็ดภูมินี้ท่านเรียกว่า กามาวจรภูมิ จากนั้นเป็น พรหม คือความใหญ่ ถ้าเป็นปรมัตถ์แล้วจิตวิญญาณพรหมไม่มีสรีระ แต่ถ้าไปทางเทวนิยมก็ไปพูดว่าพรหมเป็นรูปร่างสรีระ

 

 

    1. รูปพรหม

        1.1 ชั้นที่ 1 พรหมปาริสัชชาภูมิ

        1.2 ชั้นที่ 2 พรหมปุโรหิตาภูมิ

        1.3 ชั้นที่ 3 มหาพรหมาภูมิ

        1.4 ชั้นที่ 4 ปริตรตาภาภูมิ คือมีแสงน้อย

        1.5 ชั้นที่ 5 อัปปมาณาภาภูมิ คำว่า อัปปมาณาภา คือหาที่สุดมิได้ ไม่มีขีดขั้น

        1.6 ชั้นที่ 6 อาภัสราภูมิ เขาแปลว่าแสง

        1.7 ชั้นที่ 7 ปริตตสุภาภูมิ

        1.8 ชั้นที่ 8 อัปปมาณสุภาภูมิ คำว่า สุภะ คือดีงาม น่าพึงใจ เป็นความงาม สิ่งดี

        1.9 ชั้นที่ 9 สุภกิณหาภูมิ อันนี้เป็นหัวหน้าใหญ่เลย  แปลว่า พวกมีรัศมีเป็นลำงามกระจ่างจ้า นี่เขาแปลเป็นรูปธรรมเลย คนอ่านก็คิดว่าเป็นตัวตน บุคคล เราเขา เพราะยิ่งไม่มีภูมิปัญญาก็ยิ่งเข้าใจไม่ถูกเลย

        1.10 ชั้นที่ 10 เวหัปผลาภูมิ

        1.11 ชั้นที่ 11 อสัญญีสัตตาภูมิ ของพระพุทธเจ้าท่านไม่มี อสัญญีสัตว์ ถ้าสัมมาทิฏฐิแล้วจะไม่มีอันนี้ แม้ไปหลงผิดสิ่งที่มีอายตนะ แต่ไม่สามารถเรียนรู้อายตนะ มีอายตนะ อย่างอสัญญา คือรู้หมดแล้ว เหมือนอปุญญะคือจบการเรียนรู้แล้ว ส่วนอสัญญะ คือไม่ต้องไปทำการกำหนดหมายอีกแล้ว เพราะไม่ต้องมนสิการอีก จบกิจแล้ว แต่ในความหมายนี้ท่านไม่เข้าใจเลยแปลไปมุมกลับ ว่าไม่มีการเอาใจใส่ ไม่มนสิการ อมนสิการไปอีก

        1.12 สุทธาวาส คืออนาคามีโดยตรงเลย ถ้าใครมีคุณธรรมขั้นนี้แล้ว แต่ก็ไปยึดติดอยู่ เช่นอนาคามีตายแล้วก็ไม่กลับมาเกิด อยู่กับจิตวิญญาณ แล้วปรินิพพานในภพโน้นเลย ตั้งจิตอย่างนั้นได้เลย ไม่เกิดอีกได้ แต่มันจะนานมาก เพราะถ้าสุทธาวาสเต็มๆ อนาคามีเต็มๆก็จะทำได้ พระพุทธเจ้าเป็นสายปัญญาธิกะ รู้ว่าเป็นอย่างไร แต่ท่านไม่ไปแช่ใน สุทธาวาส นี้ ใช้อาศัยได้ แต่ไม่แช่ ไม่ติด

            1.12.1 ชั้นที่ 12 อวิหาสุทธาวาสภูมิ

            1.12.2 ชั้นที่ 13 อตัปปาสุทธาวาสภูมิ แปลว่าผู้ไม่ทำความเดือดร้อนแก่ใคร

            1.12.3 ชั้นที่ 14 สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ คือเหล่าผู้งดงามน่าทัสนา

            1.12.4 ชั้นที่ 15 สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ คือเหล่าท่านผู้มีทัสนาแจ่มชัด (ทัสนาคือความรู้ มีจิตเป็นฐานความคิดที่ดี  ชัดเจน)

            1.12.5 ชั้นที่ 16 อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ เหล่าท่านผู้ไม่มีความด้อยหรือเล็กน้อยกว่าใคร อาตมาเคยแปลว่าผู้ไม่เป็นน้องใคร คือเป็นพี่ตลอดกาล เป็นผู้สูงสุด

อาตมาหยิบอันนี้มาอย่างเจ้าสัวบุญชัย เทเงินทองมาให้เขา ปั้นสร้างใหญ่โต เขาไม่คิดแค่เป็นใหญ่ในไทย แต่จะเป็นใหญ่ในโลก เจดีย์เขาจึงต้องเป็นจานบิน จะเป็นเจ้าโลก นี่คือศาสนาพุทธจะด้วนเพราะความคิดและทำเช่นนี่ นิพพานเขาถึงเป็นอัตตา ถ้าให้แบบนี้มาครอบงำไทยได้ ละก็ จะเป็นศาสนาพุทธจานบิน ที่จะมีวิมานสวรรค์ เป็นอัตตา นี่แหละ ทำบุญแล้วได้มากใหญ่ ได้วิมานมโหฬารพันลึก สร้างภพไป แล้วเป็นสภาพเช่นนั้นโดยอุปาทานจริง เขาเห็นจริงได้เขาจึงเชื่อ เพราะเขานั่งสมาธิแล้วปั้นสร้างได้เห็นจริงเลย สำเร็จด้วยจิต โดยไม่เรียนรู้อัตตา ไม่รู้มโนมยอัตตา คือมายา คือของหลอก ถ้าเป็นโลกุตระ ก็สำเร็จโดยจิตที่รู้ได้ด้วย แม้ที่สุดอรหันต์ท่านจะอนุโลมปฏิโลมก็ได้ เช่นเมื่อพระโมคคัลลานะ ว่า ข้าพเจ้าเห็นเปรต มีงูเลื้อยมาเป็นนาคใหญ่มีไฟด้วย พระพุทธเจ้าท่านก็รู้ว่า เป็นวาสนาของพระโมคคัลลานะ ติดมา

    2.อรูปพรหม

        2.1 ชั้นที่ 17 อากาสานัญจายตนภูมิ

        2.2 ชั้นที่ 18 วิญญาณัญจายตนภูมิ

        2.3 ชั้นที่ 19 อากิญจัญญายตนภูมิ

        2.4 ชั้นที่ 20 เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ      

อย่างมหาบัวนี่ บอกว่า เวลาเข้าฌานได้ จะหลุดปึ๊งไปเลย ในชั้นแรก ตัวเราเองก็ไม่รู้ มันมีแต่การเสพรสความว่าง อนันโต อากาโสติ มีแต่สภาวะความรู้สึกว่าง นี่คือภูมิที่เข้าไปนั่งเข้าภวังค์ ได้อรูปฌาน 1 มีอายตนะสัมผัสรู้สภาวะว่าง ที่รู้สึกของตนว่าว่างนี่แหละ วิญญาณไม่มียี่ห้อ ไม่รู้ว่าเป็นใคร  พอผ่านจากตรงนั้นก็จะรู้ว่าเราคือใคร นั่นคือวิญญานัญจายตนะ เป็นภพ ถ้าเข้าไปแล้วไม่มีใครอยากออกหรอก อยากอยู่นิรันดร ไม่ใช่แค่ 36 ล้านปีอย่างที่เจ้าสัวบอกนะ  แต่จะหลุดจากรูปภพ เข้าสู่อรูปภพยากมาก พอทำได้แล้วครั้งเดียว จะทำครั้งที่สองไม่ง่าย เพราะมันไม่ปึ๊ง และมันรู้แล้ว แต่ก่อนไม่มีสะพานกระโดดข้ามได้ แต่ตอนนี้มีสะพานแล้ว ก็ไม่น่าทึ่งเท่าไหร่ ถ้าใครจะพากเพียรทำก็ได้ อาตมาเจอกับตนเอง และเจอกับฝรั่งที่เขานั่งสมาธิแล้วได้นิพพาน เขาว่านิพพานของเขาหายไป เขาบรรยายไม่เป็นอย่างที่อาตมาบรรยายมา

 

 แต่เขาเรียนมาว่า นิพพานมันต้องดับไม่เอามีสว่างอยู่ ก็ดับต่ออีก ท่านจะไม่เข้าใจ แปลไม่ออกหรอกว่า ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย

เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) คือธรรมะสองอย่างจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ในส่วนสอง พอเรียนมาตามบัญญัติที่ครูเขาสอนว่านิโรธต้องดับ แต่มันมาสว่างก็ไม่ใช่ ก็ต้องดับอีก อากิญจัญญะ แปลว่านิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่มี เขาก็จะดับมันไปอีก จนเป็นอรูปฌานที่ 3 เป็นอากิญจัญญายตนะ อย่างอาฬารดาบสทำได้ แต่อาฬารดาบส ไม่มีความละเอียดพอที่จะรู้ความมีที่เล็กน้อยมาก ไม่รู้สภาพนิดนึงน้อยหนึ่ง นั้น เอาแต่ดับๆๆๆ กดเครื่องดับตาพึดเลย แต่อุทกดาบส ทำได้มากกว่านั้น รู้ว่ามันยังแวบอยู่นะ แต่ใน ความรู้ของเขาว่า ถึงมีก็ต้องดับ เขาก็ทำการดับอีก ก็เลยมีคำถามว่า จะว่ามีก็ไม่มี จะว่าไม่มีก็มี เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะมิจฉาทิฏฐิ เขาก็ถือว่าที่เขาได้เป็นสุภันเตว อธิมุตโต โหติ นี่คือสุดยอดงามสุดดีสุดเป็นโชคที่สุดแล้ว นี่คืออธิมุติของฌานโลกีย์

 

โลกีย์จบแค่นี้ ไม่มีสัญญาเวยิตนิโรธ ในภพภูมิของมิจฉาทิฏฐิจะได้สูงสุดก็เนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์หรืออสัญญีสัตว์ พระพุทธเจ้าท่านให้เรียนรู้อย่างมีวิญญาณฐีติ มีองค์ประชุมครบพร้อมนอกและในเป็นกายเป็นความจริง ต้องปฏิบัติกับผัสสะปัจจุบันจึงเป็น วิญญาณฐีติ 7 และของพุทธยังเรียนรู้ถึงอายตนะ พวกเทวนิยมนั่งปฏิบัติในภพ ก็มีอายตนะ แต่เขาไม่รู้หรือว่า ไม่มีอายตนะ เพราะเขาดับเครื่องรู้ทั้งหลายหมด แต่ของพระพุทธเจ้าลืมตามีผัสสะก็รู้ มีสัญญาก็รู้ แล้วเลือก ดับเฉพาะสัญญูปาทานักขันโธ ดับอุปาทานในสัญญาเท่านั้น แล้วจะไปยึดสัญญาเป็นตัวเราของเราได้อย่างไร นิพพานแล้วจะยึดนิพพานได้อย่างไร เมื่อผู้ใดสามารถรู้อัตตาแล้วอาศัยอัตตาอย่างไม่ลึกลับ เรียกว่าอรหัตตา (อรหะแปลว่าไม่ลึกลับ)

 

ต่อไปเป็นตอบคำถาม

-กินอาหารอยางพรหมกินอย่างไร

ตอบ..พรหมคือผู้บริสุทธิ์ ต้องใช้ความรู้ละเอียดมาก (นิปปุนา) พระพรหมที่เขาไปบูชากันก็มีหลายแห่งนะ แม้ในทำเนียบฯก็มีพระพรหม แล้วก็เอาอาหารมาสังเวยพระพรหม ก็นึกเอาเองว่าอาหารของพระพรหมคืออะไร บางคนใส่วอดก้าเลย  แต่อาหารที่พระพุทธเจ้าสอนมี 4 อย่าง

1.อาหารคือคำข้าวต้องเรียนรู้ใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส

2.ผัสสาหาร คือเวทนา 3 คือ สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ฐานอรูปฌาน 4 ไปเรียกว่าอรูปพรหม รูปพรหมอยู่ที่ฌาน 1-4 ศาลานี้ว่างจากสัตว์แต่ก็มีคน พอไปถึงอรูปฌานก็จะเบาบางละเอียดยิ่งกว่ารูปพรหม มันจะมีลักษณะความต่าง เหมือนหลุดออกนอกโลก เป็นการสร้างภพ  สร้างฌานหลับตาก็คือสร้างภพ เขาไม่เรียนรู้การเกิดในปฏิจจสมุปบาท

1.กามภพ มีทั้งนอกและใน

2.ภวภพ มีแต่ภายใน มีทั้งรูปภพ อรูปภพ

3.วิภพ เป็นวิภวตัณหา สร้างตัณหาล้างกามล้างภพ ถ้าล้างภพหมดก็เป็นผู้หมดกิเลส

 

-ถ้าเราเรียนหนังสือไม่เด่นไม่เก่งเหมือนเพื่อน ไม่ได้เกรด 4 หลวงปู่คิดอย่างไร?

ตอบ...ก็ไม่ขยันไม่เอาใจใส่ ก็เราทำไม่ได้เหมือนเพื่อนก็เอาเพื่อนเป็นตัวอย่างให้ติวให้เราสอนเราบ้าง ขวนขวายขยันเรียนมากขึ้น

 

-จริตของคนเราต่างกันแต่จริตของคนนั้นแก้ยาก เช่นชอบว่าเพื่อนชอบพูดให้เพื่อนในทางไม่ดี หลวงปู่คิดอย่างไร?

ตอบ...คนที่พูดเช่นนั้นก็ไม่ดี ก็คิดว่าไม่ดี ถ้าเขาชอบว่า นี่ดีนะ เขามีน้ำใจ พระพุทธเจ้าว่านิคคัณเห นิคหารหัง สิ่งที่ควรตำหนิก็ควรทำ เอาภาระเพื่อน ก็ว่าให้พอประมาณ หรือก่อนว่าก็ขออภัยก่อน ว่าด้วยเมตตาให้อภัย

 

-หนูเคยไปธรรมกายเขาสอนสวรรค์ดาวดึงส์มีจริงไหม

ตอบ...ก็ต้องดูที่เหตุปัจจัยในปัจจุบันมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วมีสภาพของอาการที่ 33 เป็นอาการของจิตวิญญาณที่เกิดผีหรือเทวดาเก๊ แล้วลบเหตุที่ไปหลงผิดเทวดาเก๊หรือผี เกิดเป็นเทวดาใหม่เป็นดาวดึงส์โลกุตระ คืออาการ 33 ของโลกใหม่โลกุตระ คนที่เข้าไม่ถึงภพภูมินี้ก็เข้าไม่ถึงดาวดึงส์โลกุตระ เป็นสวรรค์สุขสงบ ไม่ใช่เป็นเคหสิตโสมนัสเวทนา แบบที่หลงสร้างปั้นเป็นมโนมยอัตตา แล้วถ้าอยู่ในภพภูมินี้ ยิ่งร่ำรวยเป็นเศรษฐีใหญ่อย่างเจ้าสัวบุญชัยนี่ ก็ได้โอฬาริกอัตตาเป็นเทวดาใหญ่ คนเขาหลงเงินทอง เป็นเทวดาหลงกาม อัตตา โลกธรรม แต่ของพุทธนี้มีแต่จะลดลง

 

-พ่อท่านเห็นอย่างไรในการแต่งกายของคุณไม้ร่ม จะแสดงกายสักขีของชาวอโศก ทางใต้เขาว่าเป็นการแต่งตัวของฤาษีหญิงชาย

ตอบ...ตาอาตมาก็ตาดีเห็นเหมือนคุณเห็น เขาก็ตัดเสื้อผ้า ทำผมเผ้าของเขาไป ตามเขาคิด เขาก็สบายใจ เขาก็จะทำตัวเขาก็ปล่อยไป ข้อสำคัญเขาอยู่กับสังคมแล้วทำอะไรอยู่ มีประโยชน์ไหม เอาอันนั้นดีกว่า อาตมาก็อาศัยเขาอยู่นะนี่ ไปช่วยทำคลอง เขามีฝีมือในการทำธรรมชาติ เขามีอัตตาของเขา แต่เขายอมอาตมาได้ เขามีปัญญารู้ว่าอยู่กับอาตมานี่ดี อาตมาไม่ด่าเขา อยู่กับคนอื่นด่าเขาหมด เอากันที่สาระ ไม่ยึดถือแต่ภายนอก เรื่องฮิปปี้นี่อาตมาเริ่มทำตั้งแต่เขายังไม่เรียกฮิปปี้เลยนะ มีรูปถ่ายยืนยัน หัวฟูเลยนะ ทำมาก่อนใคร แล้วก็เลิกทำ มันเด่นแล้วก็กวนคนด้วย

 

-พ่อท่านรู้สึกยินดีหรือไม่ที่ทั้งคนเก่าและคนใหม่มางาน และถ้าเขาไม่มาพ่อท่านจะคิดอย่างไรว่า ก.เขาขี้เกียจมา ข.เขาป่วย ค.เขาตายแล้ว

ตอบ...ก็คิดอย่างที่ว่า แต่ว่าเขาอาจหมดรสนี้แล้วก็ไปแสวงหารสชาติใหม่อีกอัน

 

-พญานาคมีจริงไหม?

ตอบ...นาคะแปลว่าสัตว์ใหญ่ ศิลปะแบบจีนก็ไปแบบจีน แบบไทยก็ไปแบบไทย ตามเรื่องก็เป็น ตามจินตนาการ ของเขา มันมีภาพหลอน แม้แต่ปลายาวๆ คนจับได้เหมือนพญานาค เขาพูดกันไปกันมาก็เพิ่มเติมแต่งเติมกันไป เหมือนเรื่องอีกาเช็ดศพ (คือการเอาปากไปเช็ดศพ)แต่ว่าคนเข้าใจพูดเพี้ยนไปว่า อีกาเจ็ดศพ จากเช็ดปากกลายเป็น เจ็ดศพไปเลย เหมือนพญานาค ก็เล่ากันมา มีหงอนพ่นไฟได้ ก็เป็นนิทานไปใหญ่เลย คำว่า นาคะ แปลว่านอน ผู้ใดหลงแต่นอนก็คือผู้เป็นนาค ไม่ประเสริฐ ผู้ไม่ประเสริฐมาบวชก็เลยต้องซักถามว่า ก่อนจะบวชว่าเป็นนาคหรือไม่? คำว่านาคคือผู้ประเสริฐคือให้มาฝึกฝนตนเองก่อน ที่มีนิทานว่า มีนาคปลอมตัวมาบวช อยู่ไปอยู่มาก็เห็นหางก็เลยต้องมาถามก่อนว่า เป็นนาคหรือไม่? ก่อนจะบวช

 

-กรณีคุณไพบูลย์ นิติตะวัน ได้ข่าวว่าจะถูกยุบองค์กรปฏิรูปศาสนาเราจะช่วยอย่างไร?

ตอบ...สังคมประเทศชาติขณะนี้ไม่ว่าด้านการเมือง หรือธรรมะ-ศาสนา กำลังถึงหัวเลี้ยวหัวต่อ คสช.กำลังทำ ได้อำนาจทางโลกมาแล้ว แม้ทางศาสนาก็กำลังจะได้มา เพราะเขาทำตัวเขาเอง ขอบอกว่า เขารังแกอาตมา แม้ลาออกจากมหาเถรสมาคมแล้วก็ยังตามมาเอาเรื่องอีก ซึ่งแม้ศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เขาไม่ทำตามแล้ว มีพิธีกรรมที่นอกรีตไปเยอะแล้ว เอาแต่วินัย 227 ข้อ ซึ่งวินัยเป็นหลักการทีเกิดทีหลัง แล้วมีการลงโทษ แต่ศีล เป็นธรรมนูญพุทธ พระพุทธเจ้าสร้างศาสนาด้วยศีล แต่เดี๋ยวนี้เสื่อม สมาธิก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ เอามหาจัตตารีสกสูตรไปตรวจสอบ เขาไม่ได้ทำแบบมีลำดับ ไม่ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล ตอนนี้ น้ำทะเลซัดซากศพมาถึงฝั่งแล้ว เก็บศพได้แล้ว อย่าปล่อยให้ศพเน่า ถ้าโอกาสนี้ไม่ทำแล้วแน่นอน ทางด้านสายประชาชน ฆราวาส ทำได้เด็ดขาดแล้ว เราก็เชียร์อยู่ สายธรรมะก็ทำต่อไป คสช.ตั้งสปช.มาแล้วก็ดีแล้ว เสียงแค่นี้ ทำไมถึงจะเป็นนักสู้ พระพุทธเจ้าว่านักสู้มีหลายแบบ อย่างหนึ่งได้เห็นฝุ่นมาก็หนีแล้ว หรือว่าได้ยินเสียงก็หนีแล้ว หรือว่าจะต่อสู้กันก่อนเลย แต่ว่ายังไม่เห็นหน้าตาก็หนีไปก่อนแล้วได้อย่างไร ทำไมใจเสาะจัง ถ้าโอกาสนี้ไม่เด็ดขาดไม่มีโอกาสอีกแล้ว อย่างนี้ไม่เน่าไม่เป็นซากศพหรือ มีหลักฐานยืนยัน ทั้งปกปิด ปกป้องห้ามมาแตะ ซึ่งของจริงต้องทนทานต่อการพิสูจน์ แต่นี่ปกปิดเน่าใน ท่านมีปัญญาแต่ทำไมยังไม่กล้าก็เท่านั้นแหละ ถ้าไม่กล้าต่ออธรรม แพ้อยู่เรื่อยไม่ชนะแน่ ถ้าไม่กล้า อาตมากล้าพูดได้ว่า ขณะนี้ไม่โดดเดี่ยวหรอก คณะ คสช.จะปฏิรูปสังคมประชาชนมีเยอะ อย่ากลัวเกรงอำนาจเน่าเหม็นนั่นเลย

ตอนบ่ายสองนี้ มีข่าวบอกว่า คุณไพบูลย์ปิดจ๊อบคณะกรรมการปฏิรูปพระพุทธศาสนาแล้ว ซึ่งที่จริงเราก็จะให้หยาดน้ำใจทองคำเหมือนที่ให้กับคุณวิชา มหาคุณ ด้วย ก็อำนาจโลกมันแรง

 

เรื่องการต่อสู้ทางโลกนั้นได้เอกสิทธิ์แล้วทางโลกยอมรับแล้ว ปัญญาชนรับได้แล้ว ถึงขีดเขตที่เน่าแล้วซากศพต้องทำการเก็บไม่มีเสียงค้าน ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม ตอนนี้เป็นวาระซากศพถูกซัดขึ้นฝั่งก็เก็บศพกันได้แล้ว

 

-เหตุของวิมุติที่จะหลุดพ้นด้วยสมาธินิมิต ช่วยอธิบายด้วย

ตอบ...นิมิตแปลว่าเครื่องหมาย การหลุดพ้นด้วยการสร้างสัมมาสมาธิ มีเครื่องหมายที่บอกสัมมาสมาธิ มีเครื่องหมายของนิโรธ ไม่ใช่บัญญัติแต่เป็นสภาวะจริง ว่านี่คือความเป็นวิมุติที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ เช่นทำกิเลสหมดได้หลุดพ้นกาม พยาบาท ดับได้ เมื่อผ่านพ้นได้ จนรักษาผล ตั้งมั่นเป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) นี่คือทำเครื่องหมายได้มากเท่าไหรก็หลุดพ้นเท่านั้น คือสมาธินิมิต

 

-ขอแถมเรื่องทอดกฐิน อาตมาเรียกว่าการทอดกฐินปัจจุบันว่า ทอดกระทะทองแดง เพราะสมัยก่อน การทอดกฐินคือการนำผ้าบังสุกุลมาต่อกัน โดยใช้สะดึง ช่วยกันทำ จนนางวิสาขา มาบอกว่าให้ฆราวาสถวายให้ได้ แต่มาก็ขยายไปแต่ว่าอย่าให้เป็นวัตถุอนามาส แต่เดิมเลยคือเอาของที่เขาทิ้งแล้ว บังสุกุลแล้วมาใช้ ถ้าได้ผืนเล็กไม่พอก็เอามาต่อกัน การทอดผ่าป่าก็มีแต่ผ้า แต่เดี๋ยวนี้เลี่ยงบาลีมากแล้ว ทอดกฐินคือมีผ้าเท่านั้น ไม่ได้มีเงินทองอะไร มันเป็นวัตถุอนามาส เอามาให้พระทำไม ไม่ใช่เรื่องที่พระต้องไปวุ่นวายมาก เดี๋ยวนี้เป็นวิธีการหาเงินของพระ พระบวชแล้วยังหาเงินอยู่คือการทำลายศาสนาโดยตรง ไม่ต้องไปหาเงิน จะสร้างอะไรก็ให้เป็นหน้าที่ของฆราวาส อาตมาพาทำนี่แม่แต่เงินเรี่ยไรก็ไม่ทำ เอาแต่เงินของพวกเราเองภายในทั้งนั้น มันไม่เหลือแล้ว ไม่เหลือศีลแล้ว ศีลข้อที่ 7 มาลาคันธ วิเลปน ธารณมัณฑน วิภูสนัฏฐานา ก็ไม่มีแล้ว

 

-ทิฏฐิ 4 อย่าง มีอะไร?

ตอบ...ก็มีทิฏฐิ 10 อย่างที่สำคัญ ถ้าไม่ถูกตรงก็ไม่บรรลุธรรมได้

1.     ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง) . . . .

2.    ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง)

3.     สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง)

4.     ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่ 
(
อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก) . .

5.     โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโกหมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ . .

6.     โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโกหมายถึง โลกโลกุตระ

7.     มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา) . . .

8.     บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา) . .

9. .   สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา) . . .

สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ) . . . . .

      (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 257)

ทิฏฐิ 4 อย่าง

.เมื่อบุคคลจะบัญญัติอัตตา มีรูปเป็นกามาวจร ย่อมบัญญัติว่า อัตตาของเรามีรูปเป็นกามาวจร

.เมื่อบัญญัติอัตตามีรูปหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่า อัตตาของเรามีรูปหาที่สุดมิได้

.เมื่อบัญญัติอัตตาไม่มีรูปเป็นกามาวจร ย่อมบัญญัติว่า   อัตตาของเราไม่มีรูปเป็นกามาวจร

.เมื่อบัญญัติอัตตา ไม่มีรูปหาที่สุดมิได้ ย่อม บัญญัติว่า อัตตาของเราไม่มีรูปหาที่สุดมิได้ ฯ

 

วิธีการศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวที่จะขุดเอา unconsciousness ขึ้นมาจัดการได้ ต้องปฏิบัติให้มีลำดับขั้นตอน

580306-ตอบปัญหาฆ่ากิเลสให้บริสุทธิ์ ตอน 2 งานพุทธาภิเษก ศาลีอโศก

 

พ่อครูว่า...

-ถามว่าห้าคำนี้ครบหรือยัง? นิพพาน จักษุ ญาณ ปัญญา แสงสว่าง อยู่ในหมวดหมู่อะไร? เชื่อมต่อกันอย่างไรได้บ้าง

ตอบ...ในพระไตรฯ จะเรียงและใช้คำว่า จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ถ้าจะใช้คำว่า นิพพานแทนวิชชา เข้าใจโดยธรรมะก็ได้ แต่เรียงยังไม่ตรง ท่านเรียงว่า จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง คำว่าแสงสว่างไม่ใช่นิพพานมืดในภพ แต่เป็นนิพพานลืมตาแจ้ง รู้ด้วยญาณปัญญา วิชชา เชื่อมต่อกันโดย จักษุ พาให้เกิด ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ต้องมีคู่สัมผัส รูป กับนาม เป็นกาย แล้วมีนิโรธหรือนิพพาน เป็นอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ ตามคำสอน ไม่ใช่ว่าสอนอะไรก็โมเมเป็นของพระพุทธเจ้าหมด

 

คือมันออกนอกรีตนอกทาง จนเอาไปหลอกคน เป็นนิพพานเป็นสวรรค์ที่คนละเรื่องกับพระพุทธเจ้าหมาย ยกตัวอย่างธรรมกายธรรมโกย โฉมหน้าสาวก จาก สุดสัปดาห์ เอเอสทีวี ผู้จัดการเขา มีคอลัมน์นี้ โฉมหน้าสาวก ธรรมกาย ธรรมโกย

ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -อื้อฉาวข้ามทศวรรษ โจษจันกันทั้ง 3 โลกเลยนะจ๊ะวัดจานบินของพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) และ ณ เวลานี้ แม้จะมีกระแสชำระสะสาง ท่านธมฺมชโยเจ้าอาวาสวัดธรรมกาย กระหึ่มขึ้นอีกครั้ง แต่พลังเงินต่อบุญที่สร้างความยิ่งใหญ่ ความมั่งคั่งร่ำรวยให้แก่วัดที่ไหลมาเทมาไม่หยุด ก็ไม่แน่ว่าปฏิบัติการยกนี้อาจจบลง แบบ ชกลมเช่นเคย

      

       ที่น่าสังเกตก็คือ แม้จะมีข่าวด้านลบต่อธรรมกาย แต่ศรัทธาของศิษยานุศิษย์มิได้ลดน้อยถอยลง ยิ่งนานวันศิษย์เอกระดับอัครสาวกของธรรมกายก็ยิ่งเพิ่มพูนไพศาล มีเศรษฐี ดารา คนเด่นดัง แห่เข้าร่วมขบวนบุญกับ ท่านธมฺมชโยอย่างไม่น่าเชื่อ และหากไล่เรียงกันหลายคนคงคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี

      

       สำหรับอัครสาวกคนสำคัญของวัดพระธรรมกายระดับแถวหน้าที่มีจิตศรัทธาและเป็นข่าวอื้อฉาวที่ฮือฮารายล่าสุด ก็คือ นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ จากกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) แจ้งข้อหานายศุภชัย ยักยอกเงินของสหกรณ์ฯ ทำให้ได้รับความเสียหายกว่า 12,402 ล้านบาท

      

       ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ พ...สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการ ป... ระบุชัดว่า จากการสอบเส้นทางการเงิน พบว่า นายศุภชัย ได้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินแก่วัดพระธรรมกายจำนวน 15 ฉบับ รวมเป็นเงิน 714 ล้านบาท และทางวัดพระธรรมกายจำนนต่อหลักฐานที่ ป... ตรวจสอบจนยินยอมที่จะคืนเงินบริจาคดังกล่าวคืน

      

       เมื่อจำนนต่อหลักฐานดังนี้แล้ว คำถามคือ วัดพระธรรมกาย และพระเทพญาณมหามุนี ผู้เป็นเจ้าอาวาสรู้เห็นเป็นใจกับการทำความผิดกับการยักยอกเงินของนายศุภชัย หรือไม่ ถ้า ป...ตรวจสอบพบว่า วัดพระธรรมกายรับรู้ก็จะต้องถูกดำเนินคดีทางกฎหมายเช่นเดียวกับนายศุภชัย ผู้เป็นศิษย์เอกเช่นกัน

      

       ศิษย์เอกที่เป็นนักธุรกิจใหญ่อีกคนก็คือ นายบุญชัย เบญจรงคกุล อดีตผู้บริหารค่ายมือถือดีแทค เศรษฐีเมืองไทย อันดับที่ 13 ที่มีทรัพย์สินเกือบ 3 หมื่นล้านบาท ศิษย์เอกผู้นี้ได้ชื่อว่าศรัทธาธรรมกายล้นเหลือ โดยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงช่วยสนับสนุนทั้งเงินและเทคโนโลยีในการเผยแพร่ข่าวสารและคำสอนของธรรมกาย การทุ่มเททำบุญทั้งหลายทั้งปวงก็เพื่อสะสมบุญไปสวรรค์

      

       “.... เรารู้แล้วว่า บุญที่เราสร้างด้วยความตั้งใจ กับความดีที่เราทำ เราเชื่ออย่างยิ่งว่าเราไปสวรรค์ เราอยากไปสวรรค์ชั้นที่สี่ คือชั้นดุสิต สวรรค์ชั้นดุสิต ต่างจากสวรรค์ชั้นอื่นๆ ทั้งหมดหกชั้นก็ตรงที่จะลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อสร้างกุศลเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ต้องรอให้จุติเมื่อหมดบุญ อันนั้นคือสิ่งที่เราเชื่อ และบุญที่เราทำ ก็เชื่อว่ามันจะทำให้เราไปถึงชั้นดาวดึงส์ได้ คือชั้นที่สองที่พระอินทร์อยู่ แล้วก็มีการปฏิบัติธรรมที่ชั้นนั้นด้วย

      

       “ดังนั้น ตายพรุ่งนี้เลยก็ดี เราจะได้ไปสวรรค์ชั้นดุสิต สวรรค์มันไม่มีเหงื่อ ไม่ต้องปวดท้องเข้าห้องน้ำ ไม่ต้องมายกกล้ามเข้าฟิตเนส ไม่มีป่วย ไม่มีแก่ หน้าเด้งตลอด แล้วก็อยู่อย่างนั้นประมาณ 36 ล้านปี ทุกคนหล่อหมด สวยหมด แต่หน้าตาเหมือนกันหมดเลยนะ .... นั่นคือกฎของสวรรค์ คนทำดีมันก็หน้าตาดีเหมือนกันหมด ต่างกันแค่รัศมีหรือออร่านั่นคือแรงศรัทราต่อธรรมกายเพื่อไปสวรรค์ของเจ้าสัวบุญชัย

จบการอ่านบทความแค่นี้ แต่ยังมีต่อในwww.manager.co.th/AstvWeekend/ViewNews.aspx?NewsID=9580000024079

 

เรามาไล่อธิบายตั้งแต่ อบายภูมิ

 

อบายภูมิ มี 4

1.นิรยะหรือนรก

2.ติรัจฉานโยนิ

3.ปิติวิสัย

4.อสุรกาย  คำว่า สุระ แปลว่า ครบ กล้าแข็ง เต็ม ถ้าอสุระ ก็คือ ไม่มีความกล้าหาญทางจิตวิญญาณ ถ้าอธิบายรูปธรรมก็คือ ไม่ครบสุรภาโว ไม่ครบชมพูทวีป ไม่มีอาการ 32 ครบ ในรูปธรรม ถ้าในนามธรรมก็คือความอ่อนแอ ไม่กล้าทำดี ไม่กล้าประพฤติธรรม ไม่กล้าเข้าใกล้ ผีไม่กล้าเข้าเขตสายสิญจน์

3.มนุสโส อันนี้เป็นภูมิกลาง ที่มีสุรภาโว สติมันโต อิทพรหมจริยวาโส เป็นมนุษย์ชมพูทวีป ไม่ได้หมายถึงอุตรกุรุทวีป หรือดาวดึงส์ ในภูมิดาวดึงส์นี้ไม่ได้มีความเป็นมนุษย์ หมายเอาผู้มีคุณธรรมก็คือสบายตามกุศล มนุษย์อุตรกุรุทวีป ก็คือจิตไม่หมายเอาอาการ 32 หมายเอาแค่จิต และดาวดึงส์ก็หมายเอาที่จิต แต่ชมพูทวีปนี้หมายเอามนุษย์

6.จตุมหาราชิก

7.ดาวดึงส์

8.ยามา

9.ดุสิต

10.นิมมานรดี
11.ปรนิมมิตวสวัตดี

 

สิบเอ็ดภูมินี้ท่านเรียกว่า กามาวจรภูมิ จากนั้นเป็น พรหม คือความใหญ่ ถ้าเป็นปรมัตถ์แล้วจิตวิญญาณพรหมไม่มีสรีระ แต่ถ้าไปทางเทวนิยมก็ไปพูดว่าพรหมเป็นรูปร่างสรีระ

 

 

    1. รูปพรหม

        1.1 ชั้นที่ 1 พรหมปาริสัชชาภูมิ

        1.2 ชั้นที่ 2 พรหมปุโรหิตาภูมิ

        1.3 ชั้นที่ 3 มหาพรหมาภูมิ

        1.4 ชั้นที่ 4 ปริตรตาภาภูมิ คือมีแสงน้อย

        1.5 ชั้นที่ 5 อัปปมาณาภาภูมิ คำว่า อัปปมาณาภา คือหาที่สุดมิได้ ไม่มีขีดขั้น

        1.6 ชั้นที่ 6 อาภัสราภูมิ เขาแปลว่าแสง

        1.7 ชั้นที่ 7 ปริตตสุภาภูมิ

        1.8 ชั้นที่ 8 อัปปมาณสุภาภูมิ คำว่า สุภะ คือดีงาม น่าพึงใจ เป็นความงาม สิ่งดี

        1.9 ชั้นที่ 9 สุภกิณหาภูมิ อันนี้เป็นหัวหน้าใหญ่เลย  แปลว่า พวกมีรัศมีเป็นลำงามกระจ่างจ้า นี่เขาแปลเป็นรูปธรรมเลย คนอ่านก็คิดว่าเป็นตัวตน บุคคล เราเขา เพราะยิ่งไม่มีภูมิปัญญาก็ยิ่งเข้าใจไม่ถูกเลย

        1.10 ชั้นที่ 10 เวหัปผลาภูมิ

        1.11 ชั้นที่ 11 อสัญญีสัตตาภูมิ ของพระพุทธเจ้าท่านไม่มี อสัญญีสัตว์ ถ้าสัมมาทิฏฐิแล้วจะไม่มีอันนี้ แม้ไปหลงผิดสิ่งที่มีอายตนะ แต่ไม่สามารถเรียนรู้อายตนะ มีอายตนะ อย่างอสัญญา คือรู้หมดแล้ว เหมือนอปุญญะคือจบการเรียนรู้แล้ว ส่วนอสัญญะ คือไม่ต้องไปทำการกำหนดหมายอีกแล้ว เพราะไม่ต้องมนสิการอีก จบกิจแล้ว แต่ในความหมายนี้ท่านไม่เข้าใจเลยแปลไปมุมกลับ ว่าไม่มีการเอาใจใส่ ไม่มนสิการ อมนสิการไปอีก

        1.12 สุทธาวาส คืออนาคามีโดยตรงเลย ถ้าใครมีคุณธรรมขั้นนี้แล้ว แต่ก็ไปยึดติดอยู่ เช่นอนาคามีตายแล้วก็ไม่กลับมาเกิด อยู่กับจิตวิญญาณ แล้วปรินิพพานในภพโน้นเลย ตั้งจิตอย่างนั้นได้เลย ไม่เกิดอีกได้ แต่มันจะนานมาก เพราะถ้าสุทธาวาสเต็มๆ อนาคามีเต็มๆก็จะทำได้ พระพุทธเจ้าเป็นสายปัญญาธิกะ รู้ว่าเป็นอย่างไร แต่ท่านไม่ไปแช่ใน สุทธาวาส นี้ ใช้อาศัยได้ แต่ไม่แช่ ไม่ติด

            1.12.1 ชั้นที่ 12 อวิหาสุทธาวาสภูมิ

            1.12.2 ชั้นที่ 13 อตัปปาสุทธาวาสภูมิ แปลว่าผู้ไม่ทำความเดือดร้อนแก่ใคร

            1.12.3 ชั้นที่ 14 สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ คือเหล่าผู้งดงามน่าทัสนา

            1.12.4 ชั้นที่ 15 สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ คือเหล่าท่านผู้มีทัสนาแจ่มชัด (ทัสนาคือความรู้ มีจิตเป็นฐานความคิดที่ดี  ชัดเจน)

            1.12.5 ชั้นที่ 16 อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ เหล่าท่านผู้ไม่มีความด้อยหรือเล็กน้อยกว่าใคร อาตมาเคยแปลว่าผู้ไม่เป็นน้องใคร คือเป็นพี่ตลอดกาล เป็นผู้สูงสุด

อาตมาหยิบอันนี้มาอย่างเจ้าสัวบุญชัย เทเงินทองมาให้เขา ปั้นสร้างใหญ่โต เขาไม่คิดแค่เป็นใหญ่ในไทย แต่จะเป็นใหญ่ในโลก เจดีย์เขาจึงต้องเป็นจานบิน จะเป็นเจ้าโลก นี่คือศาสนาพุทธจะด้วนเพราะความคิดและทำเช่นนี่ นิพพานเขาถึงเป็นอัตตา ถ้าให้แบบนี้มาครอบงำไทยได้ ละก็ จะเป็นศาสนาพุทธจานบิน ที่จะมีวิมานสวรรค์ เป็นอัตตา นี่แหละ ทำบุญแล้วได้มากใหญ่ ได้วิมานมโหฬารพันลึก สร้างภพไป แล้วเป็นสภาพเช่นนั้นโดยอุปาทานจริง เขาเห็นจริงได้เขาจึงเชื่อ เพราะเขานั่งสมาธิแล้วปั้นสร้างได้เห็นจริงเลย สำเร็จด้วยจิต โดยไม่เรียนรู้อัตตา ไม่รู้มโนมยอัตตา คือมายา คือของหลอก ถ้าเป็นโลกุตระ ก็สำเร็จโดยจิตที่รู้ได้ด้วย แม้ที่สุดอรหันต์ท่านจะอนุโลมปฏิโลมก็ได้ เช่นเมื่อพระโมคคัลลานะ ว่า ข้าพเจ้าเห็นเปรต มีงูเลื้อยมาเป็นนาคใหญ่มีไฟด้วย พระพุทธเจ้าท่านก็รู้ว่า เป็นวาสนาของพระโมคคัลลานะ ติดมา

    2.อรูปพรหม

        2.1 ชั้นที่ 17 อากาสานัญจายตนภูมิ

        2.2 ชั้นที่ 18 วิญญาณัญจายตนภูมิ

        2.3 ชั้นที่ 19 อากิญจัญญายตนภูมิ

        2.4 ชั้นที่ 20 เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ      

อย่างมหาบัวนี่ บอกว่า เวลาเข้าฌานได้ จะหลุดปึ๊งไปเลย ในชั้นแรก ตัวเราเองก็ไม่รู้ มันมีแต่การเสพรสความว่าง อนันโต อากาโสติ มีแต่สภาวะความรู้สึกว่าง นี่คือภูมิที่เข้าไปนั่งเข้าภวังค์ ได้อรูปฌาน 1 มีอายตนะสัมผัสรู้สภาวะว่าง ที่รู้สึกของตนว่าว่างนี่แหละ วิญญาณไม่มียี่ห้อ ไม่รู้ว่าเป็นใคร  พอผ่านจากตรงนั้นก็จะรู้ว่าเราคือใคร นั่นคือวิญญานัญจายตนะ เป็นภพ ถ้าเข้าไปแล้วไม่มีใครอยากออกหรอก อยากอยู่นิรันดร ไม่ใช่แค่ 36 ล้านปีอย่างที่เจ้าสัวบอกนะ  แต่จะหลุดจากรูปภพ เข้าสู่อรูปภพยากมาก พอทำได้แล้วครั้งเดียว จะทำครั้งที่สองไม่ง่าย เพราะมันไม่ปึ๊ง และมันรู้แล้ว แต่ก่อนไม่มีสะพานกระโดดข้ามได้ แต่ตอนนี้มีสะพานแล้ว ก็ไม่น่าทึ่งเท่าไหร่ ถ้าใครจะพากเพียรทำก็ได้ อาตมาเจอกับตนเอง และเจอกับฝรั่งที่เขานั่งสมาธิแล้วได้นิพพาน เขาว่านิพพานของเขาหายไป เขาบรรยายไม่เป็นอย่างที่อาตมาบรรยายมา

 

 แต่เขาเรียนมาว่า นิพพานมันต้องดับไม่เอามีสว่างอยู่ ก็ดับต่ออีก ท่านจะไม่เข้าใจ แปลไม่ออกหรอกว่า ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย

เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) คือธรรมะสองอย่างจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ในส่วนสอง พอเรียนมาตามบัญญัติที่ครูเขาสอนว่านิโรธต้องดับ แต่มันมาสว่างก็ไม่ใช่ ก็ต้องดับอีก อากิญจัญญะ แปลว่านิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่มี เขาก็จะดับมันไปอีก จนเป็นอรูปฌานที่ 3 เป็นอากิญจัญญายตนะ อย่างอาฬารดาบสทำได้ แต่อาฬารดาบส ไม่มีความละเอียดพอที่จะรู้ความมีที่เล็กน้อยมาก ไม่รู้สภาพนิดนึงน้อยหนึ่ง นั้น เอาแต่ดับๆๆๆ กดเครื่องดับตาพึดเลย แต่อุทกดาบส ทำได้มากกว่านั้น รู้ว่ามันยังแวบอยู่นะ แต่ใน ความรู้ของเขาว่า ถึงมีก็ต้องดับ เขาก็ทำการดับอีก ก็เลยมีคำถามว่า จะว่ามีก็ไม่มี จะว่าไม่มีก็มี เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะมิจฉาทิฏฐิ เขาก็ถือว่าที่เขาได้เป็นสุภันเตว อธิมุตโต โหติ นี่คือสุดยอดงามสุดดีสุดเป็นโชคที่สุดแล้ว นี่คืออธิมุติของฌานโลกีย์

 

โลกีย์จบแค่นี้ ไม่มีสัญญาเวยิตนิโรธ ในภพภูมิของมิจฉาทิฏฐิจะได้สูงสุดก็เนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์หรืออสัญญีสัตว์ พระพุทธเจ้าท่านให้เรียนรู้อย่างมีวิญญาณฐีติ มีองค์ประชุมครบพร้อมนอกและในเป็นกายเป็นความจริง ต้องปฏิบัติกับผัสสะปัจจุบันจึงเป็น วิญญาณฐีติ 7 และของพุทธยังเรียนรู้ถึงอายตนะ พวกเทวนิยมนั่งปฏิบัติในภพ ก็มีอายตนะ แต่เขาไม่รู้หรือว่า ไม่มีอายตนะ เพราะเขาดับเครื่องรู้ทั้งหลายหมด แต่ของพระพุทธเจ้าลืมตามีผัสสะก็รู้ มีสัญญาก็รู้ แล้วเลือก ดับเฉพาะสัญญูปาทานักขันโธ ดับอุปาทานในสัญญาเท่านั้น แล้วจะไปยึดสัญญาเป็นตัวเราของเราได้อย่างไร นิพพานแล้วจะยึดนิพพานได้อย่างไร เมื่อผู้ใดสามารถรู้อัตตาแล้วอาศัยอัตตาอย่างไม่ลึกลับ เรียกว่าอรหัตตา (อรหะแปลว่าไม่ลึกลับ)

 

ต่อไปเป็นตอบคำถาม

-กินอาหารอยางพรหมกินอย่างไร

ตอบ..พรหมคือผู้บริสุทธิ์ ต้องใช้ความรู้ละเอียดมาก (นิปปุนา) พระพรหมที่เขาไปบูชากันก็มีหลายแห่งนะ แม้ในทำเนียบฯก็มีพระพรหม แล้วก็เอาอาหารมาสังเวยพระพรหม ก็นึกเอาเองว่าอาหารของพระพรหมคืออะไร บางคนใส่วอดก้าเลย  แต่อาหารที่พระพุทธเจ้าสอนมี 4 อย่าง

1.อาหารคือคำข้าวต้องเรียนรู้ใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส

2.ผัสสาหาร คือเวทนา 3 คือ สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ฐานอรูปฌาน 4 ไปเรียกว่าอรูปพรหม รูปพรหมอยู่ที่ฌาน 1-4 ศาลานี้ว่างจากสัตว์แต่ก็มีคน พอไปถึงอรูปฌานก็จะเบาบางละเอียดยิ่งกว่ารูปพรหม มันจะมีลักษณะความต่าง เหมือนหลุดออกนอกโลก เป็นการสร้างภพ  สร้างฌานหลับตาก็คือสร้างภพ เขาไม่เรียนรู้การเกิดในปฏิจจสมุปบาท

1.กามภพ มีทั้งนอกและใน

2.ภวภพ มีแต่ภายใน มีทั้งรูปภพ อรูปภพ

3.วิภพ เป็นวิภวตัณหา สร้างตัณหาล้างกามล้างภพ ถ้าล้างภพหมดก็เป็นผู้หมดกิเลส

 

-ถ้าเราเรียนหนังสือไม่เด่นไม่เก่งเหมือนเพื่อน ไม่ได้เกรด 4 หลวงปู่คิดอย่างไร?

ตอบ...ก็ไม่ขยันไม่เอาใจใส่ ก็เราทำไม่ได้เหมือนเพื่อนก็เอาเพื่อนเป็นตัวอย่างให้ติวให้เราสอนเราบ้าง ขวนขวายขยันเรียนมากขึ้น

 

-จริตของคนเราต่างกันแต่จริตของคนนั้นแก้ยาก เช่นชอบว่าเพื่อนชอบพูดให้เพื่อนในทางไม่ดี หลวงปู่คิดอย่างไร?

ตอบ...คนที่พูดเช่นนั้นก็ไม่ดี ก็คิดว่าไม่ดี ถ้าเขาชอบว่า นี่ดีนะ เขามีน้ำใจ พระพุทธเจ้าว่านิคคัณเห นิคหารหัง สิ่งที่ควรตำหนิก็ควรทำ เอาภาระเพื่อน ก็ว่าให้พอประมาณ หรือก่อนว่าก็ขออภัยก่อน ว่าด้วยเมตตาให้อภัย

 

-หนูเคยไปธรรมกายเขาสอนสวรรค์ดาวดึงส์มีจริงไหม

ตอบ...ก็ต้องดูที่เหตุปัจจัยในปัจจุบันมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วมีสภาพของอาการที่ 33 เป็นอาการของจิตวิญญาณที่เกิดผีหรือเทวดาเก๊ แล้วลบเหตุที่ไปหลงผิดเทวดาเก๊หรือผี เกิดเป็นเทวดาใหม่เป็นดาวดึงส์โลกุตระ คืออาการ 33 ของโลกใหม่โลกุตระ คนที่เข้าไม่ถึงภพภูมินี้ก็เข้าไม่ถึงดาวดึงส์โลกุตระ เป็นสวรรค์สุขสงบ ไม่ใช่เป็นเคหสิตโสมนัสเวทนา แบบที่หลงสร้างปั้นเป็นมโนมยอัตตา แล้วถ้าอยู่ในภพภูมินี้ ยิ่งร่ำรวยเป็นเศรษฐีใหญ่อย่างเจ้าสัวบุญชัยนี่ ก็ได้โอฬาริกอัตตาเป็นเทวดาใหญ่ คนเขาหลงเงินทอง เป็นเทวดาหลงกาม อัตตา โลกธรรม แต่ของพุทธนี้มีแต่จะลดลง

 

-พ่อท่านเห็นอย่างไรในการแต่งกายของคุณไม้ร่ม จะแสดงกายสักขีของชาวอโศก ทางใต้เขาว่าเป็นการแต่งตัวของฤาษีหญิงชาย

ตอบ...ตาอาตมาก็ตาดีเห็นเหมือนคุณเห็น เขาก็ตัดเสื้อผ้า ทำผมเผ้าของเขาไป ตามเขาคิด เขาก็สบายใจ เขาก็จะทำตัวเขาก็ปล่อยไป ข้อสำคัญเขาอยู่กับสังคมแล้วทำอะไรอยู่ มีประโยชน์ไหม เอาอันนั้นดีกว่า อาตมาก็อาศัยเขาอยู่นะนี่ ไปช่วยทำคลอง เขามีฝีมือในการทำธรรมชาติ เขามีอัตตาของเขา แต่เขายอมอาตมาได้ เขามีปัญญารู้ว่าอยู่กับอาตมานี่ดี อาตมาไม่ด่าเขา อยู่กับคนอื่นด่าเขาหมด เอากันที่สาระ ไม่ยึดถือแต่ภายนอก เรื่องฮิปปี้นี่อาตมาเริ่มทำตั้งแต่เขายังไม่เรียกฮิปปี้เลยนะ มีรูปถ่ายยืนยัน หัวฟูเลยนะ ทำมาก่อนใคร แล้วก็เลิกทำ มันเด่นแล้วก็กวนคนด้วย

 

-พ่อท่านรู้สึกยินดีหรือไม่ที่ทั้งคนเก่าและคนใหม่มางาน และถ้าเขาไม่มาพ่อท่านจะคิดอย่างไรว่า ก.เขาขี้เกียจมา ข.เขาป่วย ค.เขาตายแล้ว

ตอบ...ก็คิดอย่างที่ว่า แต่ว่าเขาอาจหมดรสนี้แล้วก็ไปแสวงหารสชาติใหม่อีกอัน

 

-พญานาคมีจริงไหม?

ตอบ...นาคะแปลว่าสัตว์ใหญ่ ศิลปะแบบจีนก็ไปแบบจีน แบบไทยก็ไปแบบไทย ตามเรื่องก็เป็น ตามจินตนาการ ของเขา มันมีภาพหลอน แม้แต่ปลายาวๆ คนจับได้เหมือนพญานาค เขาพูดกันไปกันมาก็เพิ่มเติมแต่งเติมกันไป เหมือนเรื่องอีกาเช็ดศพ (คือการเอาปากไปเช็ดศพ)แต่ว่าคนเข้าใจพูดเพี้ยนไปว่า อีกาเจ็ดศพ จากเช็ดปากกลายเป็น เจ็ดศพไปเลย เหมือนพญานาค ก็เล่ากันมา มีหงอนพ่นไฟได้ ก็เป็นนิทานไปใหญ่เลย คำว่า นาคะ แปลว่านอน ผู้ใดหลงแต่นอนก็คือผู้เป็นนาค ไม่ประเสริฐ ผู้ไม่ประเสริฐมาบวชก็เลยต้องซักถามว่า ก่อนจะบวชว่าเป็นนาคหรือไม่? คำว่านาคคือผู้ประเสริฐคือให้มาฝึกฝนตนเองก่อน ที่มีนิทานว่า มีนาคปลอมตัวมาบวช อยู่ไปอยู่มาก็เห็นหางก็เลยต้องมาถามก่อนว่า เป็นนาคหรือไม่? ก่อนจะบวช

 

-กรณีคุณไพบูลย์ นิติตะวัน ได้ข่าวว่าจะถูกยุบองค์กรปฏิรูปศาสนาเราจะช่วยอย่างไร?

ตอบ...สังคมประเทศชาติขณะนี้ไม่ว่าด้านการเมือง หรือธรรมะ-ศาสนา กำลังถึงหัวเลี้ยวหัวต่อ คสช.กำลังทำ ได้อำนาจทางโลกมาแล้ว แม้ทางศาสนาก็กำลังจะได้มา เพราะเขาทำตัวเขาเอง ขอบอกว่า เขารังแกอาตมา แม้ลาออกจากมหาเถรสมาคมแล้วก็ยังตามมาเอาเรื่องอีก ซึ่งแม้ศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เขาไม่ทำตามแล้ว มีพิธีกรรมที่นอกรีตไปเยอะแล้ว เอาแต่วินัย 227 ข้อ ซึ่งวินัยเป็นหลักการทีเกิดทีหลัง แล้วมีการลงโทษ แต่ศีล เป็นธรรมนูญพุทธ พระพุทธเจ้าสร้างศาสนาด้วยศีล แต่เดี๋ยวนี้เสื่อม สมาธิก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ เอามหาจัตตารีสกสูตรไปตรวจสอบ เขาไม่ได้ทำแบบมีลำดับ ไม่ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล ตอนนี้ น้ำทะเลซัดซากศพมาถึงฝั่งแล้ว เก็บศพได้แล้ว อย่าปล่อยให้ศพเน่า ถ้าโอกาสนี้ไม่ทำแล้วแน่นอน ทางด้านสายประชาชน ฆราวาส ทำได้เด็ดขาดแล้ว เราก็เชียร์อยู่ สายธรรมะก็ทำต่อไป คสช.ตั้งสปช.มาแล้วก็ดีแล้ว เสียงแค่นี้ ทำไมถึงจะเป็นนักสู้ พระพุทธเจ้าว่านักสู้มีหลายแบบ อย่างหนึ่งได้เห็นฝุ่นมาก็หนีแล้ว หรือว่าได้ยินเสียงก็หนีแล้ว หรือว่าจะต่อสู้กันก่อนเลย แต่ว่ายังไม่เห็นหน้าตาก็หนีไปก่อนแล้วได้อย่างไร ทำไมใจเสาะจัง ถ้าโอกาสนี้ไม่เด็ดขาดไม่มีโอกาสอีกแล้ว อย่างนี้ไม่เน่าไม่เป็นซากศพหรือ มีหลักฐานยืนยัน ทั้งปกปิด ปกป้องห้ามมาแตะ ซึ่งของจริงต้องทนทานต่อการพิสูจน์ แต่นี่ปกปิดเน่าใน ท่านมีปัญญาแต่ทำไมยังไม่กล้าก็เท่านั้นแหละ ถ้าไม่กล้าต่ออธรรม แพ้อยู่เรื่อยไม่ชนะแน่ ถ้าไม่กล้า อาตมากล้าพูดได้ว่า ขณะนี้ไม่โดดเดี่ยวหรอก คณะ คสช.จะปฏิรูปสังคมประชาชนมีเยอะ อย่ากลัวเกรงอำนาจเน่าเหม็นนั่นเลย

ตอนบ่ายสองนี้ มีข่าวบอกว่า คุณไพบูลย์ปิดจ๊อบคณะกรรมการปฏิรูปพระพุทธศาสนาแล้ว ซึ่งที่จริงเราก็จะให้หยาดน้ำใจทองคำเหมือนที่ให้กับคุณวิชา มหาคุณ ด้วย ก็อำนาจโลกมันแรง

 

เรื่องการต่อสู้ทางโลกนั้นได้เอกสิทธิ์แล้วทางโลกยอมรับแล้ว ปัญญาชนรับได้แล้ว ถึงขีดเขตที่เน่าแล้วซากศพต้องทำการเก็บไม่มีเสียงค้าน ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม ตอนนี้เป็นวาระซากศพถูกซัดขึ้นฝั่งก็เก็บศพกันได้แล้ว

 

-เหตุของวิมุติที่จะหลุดพ้นด้วยสมาธินิมิต ช่วยอธิบายด้วย

ตอบ...นิมิตแปลว่าเครื่องหมาย การหลุดพ้นด้วยการสร้างสัมมาสมาธิ มีเครื่องหมายที่บอกสัมมาสมาธิ มีเครื่องหมายของนิโรธ ไม่ใช่บัญญัติแต่เป็นสภาวะจริง ว่านี่คือความเป็นวิมุติที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ เช่นทำกิเลสหมดได้หลุดพ้นกาม พยาบาท ดับได้ เมื่อผ่านพ้นได้ จนรักษาผล ตั้งมั่นเป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) นี่คือทำเครื่องหมายได้มากเท่าไหรก็หลุดพ้นเท่านั้น คือสมาธินิมิต

 

-ขอแถมเรื่องทอดกฐิน อาตมาเรียกว่าการทอดกฐินปัจจุบันว่า ทอดกระทะทองแดง เพราะสมัยก่อน การทอดกฐินคือการนำผ้าบังสุกุลมาต่อกัน โดยใช้สะดึง ช่วยกันทำ จนนางวิสาขา มาบอกว่าให้ฆราวาสถวายให้ได้ แต่มาก็ขยายไปแต่ว่าอย่าให้เป็นวัตถุอนามาส แต่เดิมเลยคือเอาของที่เขาทิ้งแล้ว บังสุกุลแล้วมาใช้ ถ้าได้ผืนเล็กไม่พอก็เอามาต่อกัน การทอดผ่าป่าก็มีแต่ผ้า แต่เดี๋ยวนี้เลี่ยงบาลีมากแล้ว ทอดกฐินคือมีผ้าเท่านั้น ไม่ได้มีเงินทองอะไร มันเป็นวัตถุอนามาส เอามาให้พระทำไม ไม่ใช่เรื่องที่พระต้องไปวุ่นวายมาก เดี๋ยวนี้เป็นวิธีการหาเงินของพระ พระบวชแล้วยังหาเงินอยู่คือการทำลายศาสนาโดยตรง ไม่ต้องไปหาเงิน จะสร้างอะไรก็ให้เป็นหน้าที่ของฆราวาส อาตมาพาทำนี่แม่แต่เงินเรี่ยไรก็ไม่ทำ เอาแต่เงินของพวกเราเองภายในทั้งนั้น มันไม่เหลือแล้ว ไม่เหลือศีลแล้ว ศีลข้อที่ 7 มาลาคันธ วิเลปน ธารณมัณฑน วิภูสนัฏฐานา ก็ไม่มีแล้ว

 

-ทิฏฐิ 4 อย่าง มีอะไร?

ตอบ...ก็มีทิฏฐิ 10 อย่างที่สำคัญ ถ้าไม่ถูกตรงก็ไม่บรรลุธรรมได้

1.     ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง) . . . .

2.    ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง)

3.     สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง)

4.     ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่ 
(
อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก) . .

5.     โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโกหมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ . .

6.     โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโกหมายถึง โลกโลกุตระ

7.     มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา) . . .

8.     บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา) . .

9. .   สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา) . . .

สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ) . . . . .

      (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 257)

ทิฏฐิ 4 อย่าง

.เมื่อบุคคลจะบัญญัติอัตตา มีรูปเป็นกามาวจร ย่อมบัญญัติว่า อัตตาของเรามีรูปเป็นกามาวจร

.เมื่อบัญญัติอัตตามีรูปหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่า อัตตาของเรามีรูปหาที่สุดมิได้

.เมื่อบัญญัติอัตตาไม่มีรูปเป็นกามาวจร ย่อมบัญญัติว่า   อัตตาของเราไม่มีรูปเป็นกามาวจร

.เมื่อบัญญัติอัตตา ไม่มีรูปหาที่สุดมิได้ ย่อม บัญญัติว่า อัตตาของเราไม่มีรูปหาที่สุดมิได้ ฯ

 

วิธีการศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวที่จะขุดเอา unconsciousness ขึ้นมาจัดการได้ ต้องปฏิบัติให้มีลำดับขั้นตอน


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 18:04:56 )

580306

รายละเอียด

580306-ทวช.งานพุทธาภิเษกฯ ศาลีอโศก มหานิทานสูตร ตอน 4

พ่อครูว่า...วันนี้  วันที่ 6 มีนาคม 2558 เป็นวันที่ 6 ของงานด้วย ....พรุ่งนี้ก็เป็นวันไก่บิน.... คนเรา อะไรที่ได้ประโยชน์ พอใจ ก็อยู่ อะไรไม่ได้ประโยชน์ ไม่พอใจก็ไม่อยู่ บางอย่างไม่ได้ประโยชน์แต่พอใจก็อยู่ บางอย่างได้ประโยชน์แต่ไม่พอใจก็ไม่อยู่ ....เราได้เปิดโลกธรรมะไปไกลนะอาตมาก็ไม่เคยบรรยายไปถึงขนาดนี้ แต่พอมาถึงเวลานี้ รู้สึกว่า พวกเราไปไกลมาก มาพูดถึงเรื่อง รูป เรื่องนาม เรื่อง กามเรื่องอัตตากัน พระพุทธเจ้าตรัสตั้งแต่ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร บทแรกเลยที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ในโลกก็มีกามกับอัตตาเท่านั้น ที่มี หรือ ไม่มี

 

คนเราเกิดมามีร่างกาย มีสุขมีทุกข์ แต่เขาไม่รู้เรื่องกรรม เขาก็เป็นไปตามกรรม ที่เวรกรรมจะพาเขาไป กรรมคือพฤติกรรมที่แสดงออกมาในคน ในสัตว์โลก พืชมันก็มีชีวะ เกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไป แต่คนไม่อยู่กับที่เหมือนพืช คนนี่ดิ้นไปทั่ว ออกนอกจักรวาลไปเลยได้ สัตว์ออกไปอย่างคนไม่ได้ คนนี่อาละวาดไปทั่วสารพัด พระพุทธเจ้าสำทับว่า คนทั้งหลายแหล่ ก็จะอยู่กับ ความมี กับความไม่มี นี่แหละ

นิพพานคือ ความไม่มีกิเลส หมดเกลี้ยงไม่เหลือเลย  คำว่าปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ยิ่งไม่มีใหญ่เลย ถ้าเป็นสอุปาทิเสสนิพพาน ก็ยังมีอยู่ ถ้าไม่มีปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่มีอะไรสิ้นไปได้เลย ศาสนาพุทธสอนเรื่องนิยามชีวิต ตั้งแต่เป็นจิตนิยาม ก็มีความยึดเป็นอัตภาพ มีความยึด 1.กาม  2.อัตตา 3.บัญญัติ ยึดเข้าเป็นอัตตา แล้วมีชีวิตอยู่กับ กาม  กับ บัญญัติ

 

บัญญัติ คือ การตั้งขึ้น ซึ่งจะนานเท่าไหร่ ก็ตาม หรือว่าไม่กำหนดเลยคือ หาที่สุดไม่ได้ คือพวก สัสตะ พวกนิรันดร

.เมื่อบุคคลจะบัญญัติอัตตา มีรูปเป็นกามาวจร ย่อมบัญญัติว่า อัตตาของเรามีรูปเป็นกามาวจร

.เมื่อบัญญัติอัตตามีรูปหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่า อัตตาของเรามีรูปหาที่สุดมิได้

.เมื่อบัญญัติอัตตา ไม่มีรูปเป็นกามาวจร ย่อมบัญญัติว่า   อัตตาของเราไม่มีรูปเป็นกามาวจร

.เมื่อบัญญัติอัตตา ไม่มีรูปหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่า อัตตาของเราไม่มีรูปหาที่สุดมิได้ ฯ

 

ทั้งสี่แบบนี้ล้วนทำความเห็นว่า เราจักยังสภาพอันไม่เที่ยงแท้ที่มีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็นสภาพที่ เที่ยงแท้

.การลงความเห็นว่าอัตตาเป็นกามาวจร ย่อมติดสันดานผู้มีรูปที่เป็นอย่างนี้

. การลงความเห็นว่าอัตตาหาที่สุดมิได้ ย่อมติดสันดานผู้มีรูปที่เป็นอย่างนี้

. การลงความเห็นว่าอัตตาเป็นกามาวจร ย่อมติดสันดานผู้มีอรูปที่เป็นอย่างนี้

. การลงความเห็นว่าอัตตาหาที่สุดมิได้

ย่อมติดสันดาน ผู้มีอรูปที่เป็นอย่างนี้

 

เพราะฉะนั้น แต่ละคนมีวิธีแบบไหน ที่จะยึดแบบไหน ถ้ายึดแบบอุจเฉทิฏฐิว่า อะไรก็ไม่มีๆ นี่แหละคือคนที่มีอย่างยิ่งเลย พวกฤาษีหนีโลกไปไม่เอาโลก นี่แหละคือพวกที่มีตัวตนอย่างยิ่ง โลกแคบมากมีแต่ตัวเองอย่างเดียว ศาสนาพุทธมีทั้งความเที่ยงแท้ และความไม่เที่ยง ถ้าคุณยังมีขันธ์ 5 ยังไม่หมดในขันธ์ 5 ยังเป็นตัวคนอยู่ แล้วก็ยังมีสติสัมปชัญญะอยู่ คุณก็จะเป็นสิ่งที่มี แล้วถ้าเราไปหลงอย่างอุจเฉทิฏฐิ ว่าอะไรก็ไม่มีอะไรเลย เช่น ฝรั่งฮิปปี้ มันไม่เอาโลกนี้แล้ว จะแก้ผ้า จะสมสู่ที่ไหนก็ทำ ชอบใจก็ทำไป หน้าตาเนื้อตัวก็ทำไปตามประสา เป็นสัตว์กามาวจรเต็มที่เลย

 

อยู่กับสุขกับทุกข์ คุณจะดับความคิดเลย เขาก็ดับ สงบ แต่ดับไม่ได้ก็ทุกข์ จริงๆมนุษย์อยู่กับเวทนา คือความรู้สึกของตนกับทุกปัจจุบันเลย ในเวลาใดก็ตาม พระพุทธเจ้าให้มาเรียนรู้สุขทุกข์นี้ที่มันขับดันให้เราดิ้นๆๆๆ ไปสัมผัสอันนั้นๆ คนที่หลงว่า มันดิ้น มันร้อนไม่หยุด มันก็หลงมาทางหยุด หยุดจนกระทั่งความรู้สึกก็ไม่มี ดับเวทนา ดับสัญญาเลย ลัทธิสุดโต่งไปทางนิโรธดับ

 

พวกดิ้นอย่างฮิปปี้ก็ดิ้นไป ก็มีอัตตาพาดิ้นก็อีกแบบ ทั้งขึ้นทั้งล่อง พระพุทธเจ้าท่านเรียนรู้ทั้งดิ้น และดับ คือฮิปปี้กับฤาษี พระพุทธเจ้ารู้แล้วไม่เอาทั้งสองอย่าง แต่ท่านรู้ทั้งสองอย่างเอาอย่างพอเหมาะ เมื่อเรายังมีขันธ์ 5 ผู้เรียนรู้สังขารในจิต จิตนี้เป็นตัวที่พาเป็นทุกอย่างจะเจริญหรือเสื่อม ก็แล้วแต่จิต ศาสนาที่ยิ่งใหญ่มากในโลกคือ ศาสนาทุนนิยม ศาสนาโลกียะ คือศาสนาที่หลง โลกธรรม อัตตา แต่อัตตานี้พระพุทธเจ้าท่านไม่กล่าวก็ได้ เพราะอัตตาเป็นตัวตน เป็นโดยไม่รู้

 

กามาวจร กับคำว่า ไม่มีที่สิ้นสุด

 

ปริเฉทแรกข้อ 63 ท่านบรรยายเรื่องอัตตา

1.อัตตามีรูป เป็นกามมาวจร

2.หาที่สุดมิได้ เป็นกามมาวจร

3.ไม่มีรูปเป็นกาม หาที่สุดมิได้

4.ไม่มีรูปเป็นกาม หาที่สุดมิได้

มีสี่อย่างนี้ แม้ที่สุดไม่บัญญัติเลย

 

สายเทวนิยมไม่เคยมีกามาวจรที่ได้สำเร็จ ชีวิตเขาจะต้องมีให้ได้ แต่คว้าลมแล้ง แล้วเขาก็กำหนดบัญญัติตามที่เขามี เขาบัญญัติอะไร เขาก็เชื่อว่าใช่ เขาพบพระเจ้าของเขา คุยกับพระเจ้าจนเป็นศาสดา แล้วเขาก็ได้พลังงานของจิตทั้งเจโตและปัญญา อย่างเขาเข้าใจ ศาสนาของเขาก็ได้เท่าที่เขาเข้าใจ ก็จะได้ฤทธิ์เดช ตามแต่ละศาสดาทำได้ ศาสนาพุทธเข้าใจความเป็นศาสดา

 

ศาสนาพุทธ นั้นพุทธะแปลว่าผู้รู้ ซึ่งศาสนาเทวนิยมไม่มีทางรู้แบบนี้ได้ เขาก็เป็นของเขา แต่เขาก็ว่าเขารู้มากเลย แต่นี่แหละอวิชชา แล้วเขาก็เอาที่เขารู้มาใช้กับมนุษยชาติ เขายึดว่ามี แล้วเขาก็ทำได้ด้วย เช่นเขายึดมั่นถือมั่นว่าเขาเหาะได้ แล้วเขาก็สร้างพลังงานทางจิต จนเหาะได้จริงๆ ไม่ใช่เรื่องพูดเล่น จะใช้พลังงานเสริมก็แล้วแต่ แม้คนเล่นกลก็ทำให้เห็นว่าเขาเหาะได้ ใช้สิ่งช่วยอะไรก็แล้วแต่ หรือเขาจะใช้พลังงานเลย ทำให้เขาลอยได้ ซึ่งเป็นเรื่องเกินคิด แต่มันมีจริง เท่าที่มีได้

 

สิ่งเหล่านี้ถ้าคนเห็นว่าพิสดาร น่าได้เขาก็จะสะสมจนทำได้ ชาตินี้ไม่ได้ก็ชาติต่อไป แต่เหาะได้แล้วจะได้อะไรขึ้นมา  ในชาติใดชาติหนึ่งของผู้เป็นโพธิสัตว์ ต้องฝึกจนเหาะได้หลายชาติ แต่เสร็จแล้วก็เห็นว่ามันไม่ได้อะไร เกิดมาแต่ละชาติๆ บางชาติเป็นจักรพรรดิ เช่นเจ็งกิสข่าน ปราบเรียบฆ่าเรียบ ก็อย่างนั้นแหละ แล้วไม่รู้กรรมวิบาก แล้วตายไปได้อะไร เหลือประวัติศาสตร์ไว้ ใครเห็นดีงามก็ไปเอา ไม่เห็นดีตามก็ไม่เอา ยิ่งคนรู้กรรมวิบากก็จะไม่เอาแบบนั้น

 

กรรม คือ God และ God คือกรรม และผู้ยึดพระเจ้าคือ กรรม นี่คือพวกสัสสตะ และอุจเฉทรวมกัน พวกนี้ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วทุกปัจจุบันเขาอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าจะให้เขาทำอะไร ก็แล้วแต่พระเจ้า ไม่ใช่ตัวเขาเอง เขาเชื่อว่า พระเจ้าคือสิ่งยิ่งใหญ่ สั่งให้ทำอะไรก็ได้ สุดท้ายก็สั่งให้ตายก็ต้องตาย พระเจ้าคือจิตใจตนเอง จิตเชื่ออย่างนี้ต้องทำอย่างนี้ ต้องติดสันดานผู้ที่ยึดว่ารูปเป็นอย่างนี้ รูปคือเป็นตัวเลย นามคือ ธาตุรู้หรือไม่รู้ แต่ถ้าเป็นรูปเต็มๆ คนนี้ก็ไม่มีธาตุรู้มากำกับ

 

คนที่มีแต่นาม ไปเรื่อยล่องไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร ฮิปปี้เต็มที่เลย  ต่างกับพวกดับ แต่พวกฮิปปี้ดิ้นไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร แต่มันก็มีอะไรไปเยอะหมด แต่ว่าบอกว่าไม่มีอะไร ฉันมีที่ดินเท่าแมวดิ้นตายก็ดิ้นได้เท่านั้น แต่พวกฮิปปี้ดิ้นไปทั่วเลยไม่มีอาณาเขต ใครบ้าไปทางไหนก็บ้าไปทางนั้นหมดเลย

อย่างไม้ร่มนี่ ใครจะว่าอย่างไรฉันก็เป็นเช่นนั้น แต่เราต้องอยู่กับคนกับสมมุติสัจจะ คนที่หมดความยึดในปรมัตถ์แล้ว ก็อยู่กับสมมุติ ถ้าอาตมาไปอยู่กับผีตองเหลือง ก็ไม่นุ่งผ้าเหมือนผีตองเหลือง แต่คนยึดแล้วเขาก็เป็นสุขของเขา อย่างไม้ร่มนี่ นี่ก็ฮิปปี้อย่างหนึ่ง อะไรก็ไม่มีไม่เกี่ยวกับใคร กูจะเสพอย่างนี้กูจะเป็นอย่างนี้เขาก็ทำ

ข้อสำคัญคือ พฤติกรรมเขาไม่เป็นภัยต่อสังคมก็อยู่ไป หรือเป็นประโยชน์ด้วย แต่ถ้าคุณยังมีพฤติกรรมกับสังคมก็อยู่ไป อาตมาไม่ติดใจ เพราะไม้ร่มเขาก็มีประโยชน์กับสังคม แต่ถ้าไม่มีประโยชน์ก็ไปเลย ไม่พูดด้วยเลย เพราะเขาจะยึดก็ของเขา จะเหน็ดเหนื่อยก็ของเขาเป็นภาระของเขา นี่คือ กามมาวจร ก็คือเป็นสุข กามสุขขัลลิกะ เขาก็สุขของเขา ที่จริงมันเรื่องเท็จ แต่เขาก็อาศัยอันนี้ อันนี้เป็นลักษณะมี แต่เขาก็เป็นแบบไม่มีไปเรื่อย

พระอรหันต์จะอยู่กับความมี อนุโลมได้ อะไรมากไปก็ถ่วงไว้หน่อย อะไรไม่มากไป ก็ไปตามเขาได้ อย่างโลกทุกวันนี้หลงโลกีย์หนัก เขาเอารวยหาที่สุดมิได้ ความคิดของคนนี่ เต็มไปด้วยความปรารถนา ใคร่อยาก หาที่สุดมิได้แห่งอำนาจ ในกามคุณ เขาปรารถนาทั้งหมด คือ อัตตาเขา ที่เขาบัญญัติอัตตาเขาเต็มบ้อง  แต่เขาไม่รู้ว่าเขาบัญญัติอัตตาแล้ว บัญญัติคือการกำหนดขั้นมา พระพุทธเจ้ากำหนดแล้วอย่าไปแก้ไข สิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ใครไปล้มล้างก็จะไม่ได้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ทั้งสมมุติและปรมัตถ์ ใครไปล้างสิ่งที่พระพุทธเจ้ากำหนด ก็จะไม่ได้สิ่งที่สูงสุด ถ้าไม่ล้มล้างแต่เชื่อไม่เต็ม เชื่อไม่ถูก ก็ไม่ได้สิ่งที่เต็มที่ถูก  เช่น เชื่อว่าศาสนาพุทธสุขทุกข์อยู่ที่น้ำมนต์ จะต้องมีพิธีกรรมอะไร คุณก็ใช้แรงงานเวลาไปกับสิ่งเหล่านี้ ถ้ามีประโยชน์ก็ดี ถ้าไม่มีประโยชน์ก็เปลืองเปล่า

 

ที่มันมีคือ บัญญัติอัตตา ทุกสิ่งก็มีอัตตา กับอนัตตา เท่านั้น ติดสันดานไปนี่คืออัตตาในอัตตาฝังไว้ลึก ในปัจจุบันนั้นคือกาม ก็มีกามกับอัตตาเท่านั้น ถ้าหมดอัตตาก็หมดสิ่งที่ติดในสันดาน ล้างสิ่งเหล่านี้ได้ก็จบ แล้วก็ไม่เข้าใจผิดว่า กามคือสิ่งที่ทำไป อรหันต์มีความอยากอยู่นะ ไม่มีก็บ้าแล้ว มีอยู่ อาตมาพูดนี่ก็คืออาตมากล่าว แต่ที่จริงไม่ต้องกล่าวก็ได้ ตั้งแต่ข้อ 61 มาก็เริ่มต้นเรื่องอัตตา

 

ดูกรอานนท์ บรรดาความเห็น 4 อย่างนั้น ผู้ที่บัญญัติอัตตามีรูปเป็น  กามาวจรนั้น ย่อมบัญญัติในกาลบัดนี้ หรือบัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น

(เช่น จิตของคุณบัญญัติว่าต้องการความหวาน ก็เอามาเสพก็ได้สมใจเป็นสุขในปัจจุบันขณะนั้น แต่พระอรหันต์สัมผัสเหมือนกัน แต่ท่านก็ไม่มีสุข ท่านรับรสหวานได้ตามจริง ที่มนุษย์มีประสาทธาตุรู้เหมือนกันหมดทุกคนในโลก สัจจะอาการเดียวกันหมดเลย คนที่มีเขาก็มี อรหันต์ท่านหมดสุขทุกข์แล้ว ก็ไม่มี แต่คุณมีสุขทุกข์อยู่ ก็มีอยู่ มีเวทนาเช่นนั้น เช่นอาตมากินน้ำมะพร้าว มันหวาน อาตมาก็มีรสหวาน แต่คนมีสุขทุกข์บอกว่าน้ำมะพร้าวนี้ไม่ได้เรื่อง ก็ว่าไม่เอาไม่ชอบ เขาก็ไม่สุข ความไม่สุขไม่ทุกข์นี่แหละ คือสิ่งที่ต้องเรียนรู้ น้ำมะพร้าวมีรสใดกลิ่นใด มันก็เป็นของมันเองเช่นนั้น แต่ว่ารสสุข ทุกข์นี่ติดในสันดาน คือ จิตไร้สำนึก อนุสัย แล้ววิธีล้างของพระพุทธเจ้าคือ การทำอย่างลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเลย ตั้งแต่จิตสำนึก ล้างกิเลสในจิตสำนึกแล้ว ตัวจิตใต้สำนึกจะลอยขึ้นให้เรารู้ได้ แล้วล้างกิเลสในจิตใต้สำนึกอีก แล้วกิเลสในจิตไร้สำนึก ก็จะลอยขึ้นมาให้เราล้างต่อไป

 

เป็นอนาคามีก็หมดกิเลสในกามาวจร ท่านเหลือแต่กิลมถะ คือทุกข์ส่วนตน จนเป็นอรหันต์หมดทุกข์ที่เลี่ยงได้ แต่ว่ามีทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้อยู่ มี ทรถ(คืออะไร หรือตกไปครับ?) อยู่ ท่านก็ยินยอมแบกทุกข์นี่ ที่ไม่มากหรอก เพราะหมดทุกข์ที่ต้องดิ้นรนตามตัณหาแล้ว

 

คนใดหมดกาม หมดอัตตา ก็เป็นอรหันต์ สุดยอดในธรรมะของพระพุทธเจ้า ในธัมมจักกัปปวัตนสูตก็คือ ล้างกาม ล้างอัตตา ถ้าล้างกามหมดก็เป็นอนาคามี ไม่เอากาม เอาโลกธรรมแล้ว แต่ไม่หนีเข้าป่า ท่านอยู่กับโลก มีโลกวิทู ช่วยโลกได้ มีค่าต่อโลก ประโยชน์ต่อโลก เช่น ท่านถนัดกสิกรรมก็ทำไป ทำเพื่อให้ประโยชน์ต่อคนอื่น ท่านไม่ได้มีอามิส ส่วนแบ่งอะไร คุณเป็นนักบวชก็บอกได้ ทำเป็นอาชีพกสิกรรมไม่ได้ แต่เป็นฆราวาสก็ทำได้ เป็นนักกสิกรรมได้ ยิ่งเป็นระดับอนาคามีก็ทำแล้วแจกไป พึ่งตนเองรอด ทำมากเหลือก็แจกไป อนาคามีจะเป็นเช่นนั้น ความเป็นอาริยะของพระพุทธเจ้าคือ มีประโยชน์ต่อโลก ยิ่งอรหันต์เหลือแต่ ทรถ เป็นคนไม่มีทุกข์โทมนัสแล้ว แต่อยู่กับสังคม เป็นคุณค่ารับใช้สังคม โลกานุกัมปา พหุชนหิตายะ ไม่ตัวแม้กระทั่งตัวขี้เกียจ ไม่เห็นแก่ตัว อัปปติฏฐัง อนายูหัง เราไม่พักเราไม่เพียร เท่านั้นเองมนุษย์นะ  แต่ทำไมยากฉิบหาย เทวดามาถามพระพุทธเจ้า

เราไม่พักอยู่  (อัปปติฏฐัง) เท่ากับยังเพียรต่อไป

เราไม่เพียรอยู่  (อนายูหัง) เท่ากับพักหรือไม่ต่ออายุอิทธิบาท

เราเป็นผู้ข้ามโอฆสงสารได้แล้ว  (โอฆมตรินติ)

 

เมื่อใดเรายังพักอยู่ (สันติฏฺฐามิ) เมื่อนั้นเรายังจมอยู่โดยแท้

เมื่อใดเรายังเพียรอยู่ (อายูหามิ) เมื่อนั้นเรายังลอยอยู่โดยแท้

เราไม่พัก เราไม่เพียร  ข้ามโอฆะได้แล้วอย่างนี้แล ฯ 

(พตปฎ. เล่ม 15  ข้อ 2)

ถ้าอาตมาไม่หยิบมาพูดก็คงไม่มีใครเอามาอธิบายขยายความนี้   คนเราธรรมดาต้องเพียรมากว่าพัก ยิ่งคนกิเลสมากก็ไม่ค่อยหลับไม่ค่อยนอนหรอก

 

การสะกดจิต มีทั้งแบบลืมตาหรือหลับตา แบบลืมตาทำยากกว่า คนก็เลยทำแบบหลับตาเสียมาก อย่างพระพุทธเจ้าท่านสามารถสะกดจิตตนเองจนไม่รับรู้เสียงฟ้าผ่าได้ ขณะเดินจงกรมอยู่ ท่านไม่มีเวทนาดับเวทนาข้างนอกได้ เป็นพลังงานที่สุดยอด อาตมาก็เล่าให้ฟังนิดนึง อาตมาก็ฝึก เดินจงกรม เดินที่วัดอโศการามตอนเช้าๆ เผลอไปไม่กำหนดว่าข้างหน้าถึงที่สุดแล้ว ไม่มีใครเห็นหรอก มันก็เดินชน ที่มันไม่ได้กำหนดหน้าแข้งก็ไปชน มันไม่ได้กำหนด เราก็รู้ว่า ถ้าเราตกในกรอบของเรา กำหนดเป็นอัตโนมัติไว้ แต่ทีนี้เราก็ไม่รู้ว่าอะไรทำให้เคลื่อนก็เลยไปชน แสดงว่ามันไม่เที่ยง แล้วมีเหตุปัจจัยหลายอย่าง  คนก็พยายามกำหนดสิ่งที่ไม่เที่ยงในมหาจักรวาลให้เที่ยง ถ้าเที่ยงเท่าใดก็แล้วแต่กำหนด อย่างพระเจ้านี่อยู่นิรันดรเลย พวกไม่มีหรืออุจเฉทิฏฐิ ก็มีอยู่ไปตลอดนิรันดร ทั้งสองแบบก็มีอยู่ตลอด เมื่อมีขึ้นมาเสวยเวทนาเมื่อไหร่ก็เป็นกามาวจร อาตมาไม่มีกาม เมื่อสัมผัสน้ำมะพร้าวนี้ก็ไม่มีรสสุขเป็นเวทนา ที่ต้องไปเสวยผลว่าชอบหรือไม่ชอบ เราก็เฉยๆ รู้ตามจริงว่า รส กลิ่น ร้อนเย็น แข็งอ่อนเช่นนี้ ถ้าแยกรสชอบ ชัง ผลัก ดูดไม่ได้ คุณจะปฏิบัติให้เกิดฐานนิพพาน อุเบกขาไม่ได้ แต่ในสามัญปกติมันมีพักยกเฉยๆ สัมผัสแล้วไม่สุขไม่ทุกข์ ก็เป็นได้โดยธรรมชาติธรรมดา มันไม่ใช่ปรมัตถสัจจะ แต่ถ้าเรามาเรียนรู้สัมผัสอีกเมื่อไหร่ก็อุเบกขา เฉยๆ แม้จะตามหารสชอบหรือชังในจิตมันก็ไม่มีอีก หมดโลกียรส  ถ้าแยกเวทนาไม่ออก มันมีอยู่ คุณก็เสวยอยู่

 

มาอ่านพระไตรฯ ล. 16 ต่อ

[63] ดูกรอานนท์ บุคคลเมื่อเล็งเห็นอัตตา ย่อมเล็งเห็นด้วยเหตุมี ประมาณเท่าไร ก็บุคคลเมื่อเล็งเห็นเวทนาเป็นอัตตา ย่อมเล็งเห็นว่า เวทนาเป็นอัตตาของเรา ถ้าเวทนาไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว อัตตาของเราก็ไม่ต้องเสวยเวทนา อานนท์ หรือเล็งเห็นอัตตา ดังนี้ว่าเวทนาไม่เป็นอัตตาของเราเลย จะว่าอัตตาของเราไม่ต้องเสวยเวทนา ก็ไม่ใช่อัตตาของเรายังต้องเสวยเวทนาอยู่

(พ่อครูแทรกว่า  นี่คือสภาพธรรมะสองอย่างรวมกันเป็นอันเดียวกันคือ ไม่สุขไม่ทุกข์  เพราะว่าสองอย่าง คือ ถ้ายังสุขก็คือมีสอง คือมีสุขกับทุกข์ และถ้ามีทุกข์ ก็ย่อมต้องมีสุขกับทุกข์อยู่ แต่ถ้าไม่สุขไม่ทุกข์เลย ก็จะมีอันเดียว หนึ่งเดียวคือ อุเบกขา เพราะฉะนั้น อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา(สิ่งที่ไม่มีเราต้องชัดเจนว่าคืออะไร)

อานนท์ บรรดาความเห็น 3 อย่างนั้น ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า เวทนาเป็นอัตตาของเรา เขาจะพึงถูกซักถามอย่างนี้ว่า อาวุโส เวทนา มี 3 อย่างนี้ คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา บรรดาเวทนา 3 ประการนี้ ท่านเล็งเห็นอันไหนโดยความเป็นอัตตา

อานนท์ ในสมัยใด อัตตา  เสวยสุขเวทนา ในสมัยนั้น ไม่ได้เสวยทุกขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา  คงเสวยแต่สุขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น อานนท์ ในสมัยใด อัตตาเสวยทุกขเวทนาไม่ได้   เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา คงเสวยแต่ทุกขเวทนาอย่างเดียว    เท่านั้น ในสมัยใด อัตตาเสวยอทุกขมสุขเวทนา ในสมัยนั้นไม่ได้เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยทุกขเวทนา คงเสวยแต่อทุกขมสุขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น

 

(พ่อครูว่า...ผู้บรรลุอรหันต์แล้ว เป็นผู้มีหรือไม่มีก็ได้ ถ้าจะมีก็อนุโลมเพื่อช่วยเขา ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละท่านมีสังขารุเปกขาญาณ สัจจานุโลมมิกญาณแค่ไหน เหมือนช่วยคนตกบ่อ ท่านจะไม่ประมาท พระอรหันต์ไม่มีความประมาท ถ้าน้ำหนักเขามากไปเราช่วยไม่ได้ เราน้ำหนักน้อยกว่าเขาก็ช่วยเขาไม่ได้ หรือน้ำหนักเท่ากันก็ไม่เผื่อพอไว้ หรือช่วยอย่างไม่เหลือไม่เผื่อพอไว้เลย พลาดได้เหมือนกัน คนไม่ประมาทก็ไม่เอา ไม่ต้องช่วย)

 

      ดูกรอานนท์ เวทนาแม้ที่เป็นสุขก็ดี แม้ที่เป็นทุกข์ก็ดี แม้ที่เป็นอทุกขมสุขก็ดี ล้วนไม่เที่ยง เป็นเพียงปัจจัยปรุงแต่งขึ้น มีความสิ้นความเสื่อม ความ คลาย และความดับไปเป็นธรรมดา

(พ่อครูว่า สุขทุกข์นั้นอยู่กับปัจจุบัน มีกามาวจรอยู่ ในทุกปัจจุบัน คือของจริง ศาสนาพุทธดับทุกข์อยู่กับความจริงปัจจุบัน ไม่ใช่ทำในสัญญาหรือความจำ พระพุทธเจ้าอนุโลมว่า ผู้ที่อาสวะบางอย่างสิ้นไป มนุษย์กายสักขี มีองค์ประชุมนอกและใน เมื่อมีองค์ประชุมของจิต มีเวทนา ครบรูปและนาม นอกและใน จะเกิดเวทนา เมื่อเกิดเวทนา คุณก็เรียนอ่านเป็น อ่านเวทนาออก เหลือน้อยหรือมากก็ต้องศึกษาจนกว่าจะเห็นว่ามันไม่มี ที่จะไปสุข ทุกข์ หรือกลางๆอุเบกขา ก็ต้องมีทวารสัมผัสนอกอยู่ ในก็มีรู้อยู่ กำหนดรู้ว่าเหลือน้อยหรือมาก ก็ต้องมีญาณกำหนดรู้ และขณะมีปัจจุบันสัมผัสอยู่เท่านั้น แต่ถ้าพ้นสัมผัสไปแล้ว มีแต่สัญญา ถ้าพ้นปัจจุบัน ก็มีแค่ความจำไม่มีความจริง พระพุทธเจ้าตรัสกับอานนท์ว่าความจริงมีไม่เท่าไหร่หรอก แต่ความจำนี่มันนานนะอานนท์ เป็นอนาคามี เหลือแต่ในรูปภพ อรูปภพที่มีกิเลส ท่านไม่แย่งชิงกับใคร ไม่เป็นภัยกับใครเลย ทำงานไปรับใช้โลกไป ตามสัปปุริสธรรม อาริยบุคคลเป็นคนเช่นนั้น รับใช้โลก โลกานุกัมปา อนาคามีนี่ปลอดภัยเลย ถ้ามีนายกฯเป็นอนาคามีนะ ถ้าเผื่อว่าประเทศไทยมีคุณจำลองศรีเมืองเป็นนายกฯนี่ จะแก้ปัญหาได้เยอะ แต่เพราะเห็นว่าคุณจำลองเป็นแค่ของจำลอง ก็เลยไม่ได้เป็น มาถึงวันนี้ก็อายุ 80 ปีแล้ว ยังไม่แก่เกินไป เอามาใช้ได้อยู่ คุณจำลองควรเป็นนายกฯตั้งนานแล้วนะ ถ้าคุณจำลองเชื่ออาตมานะ ว่า Bangkok is Thailand  Thailand is Bangkok ตอนนั้นเป็นผู้ว่าฯ สองสมัย ถ้าเป็นสมัยสามหรือสี่ รับรองว่าไม่ต้องหาเสียงหรอก เพราะว่า Bangkok is Thailand  Thailand is Bangkok แต่คุณจำลองอยากช่วยชาติมาก ก็เลยไปตั้งพรรคพลังธรรม ตอนนั้นศาลาไทยที่สันติฯยังอยู่ อาตมาก็นั่งทำงานอยู่ คุณจำลองก็เข้าไปบอกว่า ผมตั้งพลังธรรมแล้ว ก็ว่าไปทำงาน ไปจนมาถึงวันนี้  แต่เมืองไทยก็ยังมีพระสยามเทวาธิราชอยู่

เพราะทุกวันนี้เป็นยุคโลกไร้พรมแดน รู้หมดว่ามีอะไรอยู่ในโลก เราก็รู้เท่าที่เรามีเครื่องมือพอรู้ เราก็รู้ว่าแต่ละประเทศมีอะไรดีหรือไม่ดี ในการเมืองของทุกประเทศนะ พูดกันตามตรงไม่อายเลยนะ ประเทศไทยมีการเมืองที่สวยงามที่สุด เพราะว่ามีชาวอโศกไปร่วมเอาคุณธรรมไปเจือในการเมือง เพราะในโลกนี้กันธรรมะออกจากการเมืองไปหมด แม้ไทยก็ตาม อาตมาก็ยากที่จะเอาธรรมะไปใส่การเมือง แต่ก็ไม่ท้อ ต้องทำอย่างไม่เสียหายด้วย ตกลงการเมืองทั้งโลก เขาก็ทำการเมืองของเขา แต่ละประเทศ ขณะนี้สงครามใหญ่ระหว่างตะวันออกกลางกับ อเมริกาก็ว่าไป หรือจะมีจีนขึ้นมา ทุกประเทศก็ต้องการเป็นเจ้าโลก  องค์รวมที่เขาสร้างค่ายกลของแต่ละประเทศ เมืองไทยก็สร้างตามแบบไทย อเมริกาก็สร้าง ก็เป็นสังขารของการเมือง ที่เขาทำแต่ละประเทศ แต่มองอย่างอาตมาว่าไทยทำได้สวยที่สุดในโลก ยุคนี้ยุคประชาธิปไตย แต่ว่าเผด็จการนะไทยนี่ มีอำนาจทหารปฏิวัตินะ ทั้งโลกเขาว่ากันไม่เอาปฏิวัติแล้วนะ หรือว่าพวกแดงเขาว่าไม่ใช่ประชาธิปไตยต้องเอาประชาธิปไตย แต่ถ้าไม่มีอำนาจทหารนี่เมืองไทยฆ่ากันไปแล้วอีกมากเลย ขณะนี้ โอ๊คถูกเหยียบหัวไว้ขนาดนี้ยังไม่ยอมเลย ไทยขณะนี้ทำได้แล้วไม่น่าเกลียด จึงขานรับกันไปควร ขณะนี้มีคุณธรรมเข้าไปผสมส่วนไม่น้อย ของพุทธมีธรรมาธิปไตย ไทยเรามีไม่น้อย จะยึดอัตตาก็ไม่เต็มที่ จะยึดโลกก็ไม่โลกียะเต็มที่ สรุปแล้วเมืองไทยได้สัดส่วนพอเพียงพอเหมาะมองตามภูมิอาตมานะ เห็นว่าเมืองไทยจะเรียกว่า รูปร่างของอาวุธ ของประเทศไทย มีธรรมาวุธ ไม่ว่าที่ปฏิวัติในประเทศต่างๆไม่มีประเทศไหนสวยเท่าประเทศไทย ที่มีธรรมาธิปไตยเจือในการทหารนี่มากกว่าทุกประเทศ

 

ไม่ว่าสมัยใดทุกคนมีการได้กามาวจรเสมอ ส่วนจิตใครจะยึดไม่ปล่อยก็ตามไป แต่ถ้ายึดแรง แต่ไม่ยึดมั่นถือมั่นนี่ดี อาตมาเคยมีโศลก ยึดดีให้เจนจิต แต่อย่าติดหลง เป็นต้น ศาสนาพุทธอยู่กับสังคมได้ มีงานที่เขาอาศัยกันได้ มีโลกธรรม แต่เราไม่ติดยึดอาศัย อาศัยพอสมควร แม้สาธารณโภคี โลกต้องการทั้งโลก แม้ประชาธิปไตย ก็ต้องมีเงินส่วนกลางแล้วจัดสรรให้ประชาชน ก็ได้เท่าไหร่ ก็ได้เท่านั้น แต่ถ้าแต่ละคนในประเทศไทยต่างคนต่างดูดเอาไว้ส่วนตัว ส่วนกลางก็จะมีมากได้อย่างไร? แม้เสียภาษีก็โกงได้ ออกกฎหมายมาอย่างไร มันก็เลี่ยงได้ ถ้าจิตมันขี้โกง แล้วมันมีเฉกามาก ฉลาดฉิบหาย แล้วให้สังคมยอมรับอีกว่าเขาโกงได้อย่างซับซ้อน ไม่รู้จะรวยไปหาอะไรนักหนา ให้ลูกหลานผลาญ อย่างลูกสาวอาเสี่ยของไทย สร้างบ้าน ไม่พอใจก็รื้อทิ้งไปเรื่อย สร้างใหม่อยู่อย่างนั้น เป็นเรื่องเฟ้อเกินมากสุลุ่ยสุร่าย

 

เขาต้องการให้ส่วนกลาง แต่สุดยอดต้องของพระพุทธเจ้า เป็นสาธารณโภคี ไม่มีคอมมูนไหนหรือประชาธิปไตยไหนๆ จะเสียภาษี 100 % อย่างของเรา ถ้าไม่มาหมดเนื้อหมดตัวได้ จะไม่มีธรรมาธิปไตยได้หรอก ทุกวันนี้คนต้องการสาธารณโภคีอย่างของพระพุทธเจ้า แต่เขาไม่รู้ว่าอโศกมี เขาว่าจะไปได้นานเท่าไหร่ แต่บอกเลยว่าไม่นานหรอก อีก 2000 กว่าปีเท่านั้นเอง แล้วไม่มีอีกแล้วสาธารณโภคี จะเกิดกลียุคต่อไป พระพุทธเจ้าว่าเดินไปไหน ก็หยิบยอดหญ้ามาเป็นอาวุธฆ่ากันได้เลย ทุกวันนี้ปืนอันนิดเดียวร้ายแรงมาก ก็มีอยู่ สร้างอาวุธนี่คือบาปนะ ประเทศไหนรวยด้ายอาวุธเดี๋ยวเขาก็รับวิบาก สร้างมาฆ่าคนแล้วยังโก่งราคาอีกต่างหาก รวยเพราะเครื่องมือฆ่าคน มีอำนาจสูงด้วย บาปอีกกี่ชั้นนะ แล้วไปสร้างทำไม เราไม่เอาหรอก ชาวอโศกไม่มีปืนผาหน้าไม้ มีแต่มีดปอกผัก

 

ฟังให้ดี อย่าช้า แบกเสียมแบกพร้ามา เรามาทำงาน เราอยู่ในโซนเส้นศูนย์สูตร เรามาทำอาหารให้โลกเถอะ ในหลวงตรัสว่า เราไม่เอาแบบก้าวหน้าอย่างมาก จะถอยหลังเข้าคลอง แต่เรามาก้าวหน้าด้านกสิกรรม เราทำเถอะแล้วจะมีอันนี้เป็นมหาอำนาจ สร้างข้าวไปไล่แจกคนทั่วโลก สร้างอาหารไปแจกคนทั่วโลก แต่เขาสร้างอาวุธไปขายแพงๆ มันตรงกันข้ามกับเรา แล้วจะเกิดได้ไหม? ใครทำ? ก็เราเองถือว่าเป็นสัญญานะ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 18:05:45 )

580307

รายละเอียด

580307-ทวช. งานพุทธาภิเษกฯ ศาลีอโศก มหานิทานสูตร ตอน 5

 

พ่อครูว่า...วันนี้วันที่ 7 มีนาคม 2558 เป็นวันที่ 7 ของงาน และเป็นวันสุดท้ายด้วย

พวกเราเข้าใจแล้วก็มาเป็นคนจน คนขยัน ช่วยโลกอยู่เสมอ เท่าที่จะช่วยได้ ...ก็เพราะตนเองต้องมีความรู้ความสามารถ มีบุญฤทธิ์ คือฤทธิ์ที่ล่างกิเลสได้ คนจนคนขยัน คนอยู่กับโลก และช่วยโลก โดยตนเองมีบุญฤทธิ์ คนที่มีบุญฤทธิ์ เป็นคนมีพลังงานทางจิต ที่ลดกิเลสความเห็นแก่ตัว ที่มันทำลายความเจริญของตน พอลดอันนี้ได้ จิตจะเจริญเป็นอินทรีย์ มีแรงพลัง พระพุทธเจ้าสอนอินทรีย์ 22 ,และสอน อินทร์ 6 คือสร้างอินทรีย์ 6 ทวาร

 

อินทรีย์ 3 คือ อิตถินทรีย์ ปุริสสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ คือกำลังของชีวิต เราสามารถรู้จัก รูป นาม ซึ่ง รูป คืออาการ ลิงค นิมิต อุเทส สิ่งนั้นเป็นกำลัง ของผี เทวดา ความประเสริฐอะไรก็แล้วแต่ ถ้ารู้สภาวะแล้วจะเอาบัญญัติไปใส่อย่างไรก็ไม่สับสน อินทรีย์คือเจตสิกของจิต ของมโน วิญญาณ

อิตถินทรีย์ เราเรียกว่าหยาบๆว่าเพศหญิง ปุริสสินทรีย์เรียกหยาบๆว่าเพศชาย คือชีวิตของเพศหญิง ของเพศชาย ถ้าเราจะเรียกว่าลบก็ได้ คืออิตถินทรีย์ ส่วนปุริสสินทรีย์คือบวก ก็ได้

 

 

เราทำที่ชีวิตินทรีย์ ให้ชีวิตเสื่อมเป็นชีวิตเจริญ กิเลสมันทำให้เสื่อม จริงๆมันไม่เบาลงนะ ชีวิตของผีของมารมันแรงขึ้น มีอินทรีย์มากขึ้นนะ คนเป็นเพศหญิงอย่าไปเสียใจว่าเป็นเพศหญิง ผู้หญิงผู้ชาย พระพุทธเจ้าว่าเสมอภาคกัน ไม่ได้เสมอกันในความหยาบภายนอก ผู้หญิงมีกระดูกก็สู้ชายไม่ได้ รูปร่างอ้อนแอ้น มีกระดูกpelvis อย่างเดียวที่ใหญ่กว่าของผู้ชาย นอกนั้นเล็กกว่าทั้งนั้น แต่เราไม่เอาเรื่องสรีระมาข่ม เราใช้พฤติกรรม กาย วาจา ใจ เป็นตัวหลัก แม้ร่างกายไม่สวย ไม่งามไม่หล่อก็ไม่เป็นปัญหา ไม่ขาวอย่างเขาก็ไม่เป็นไร เพราะทุกวันนี้เขาหลงรูปภายนอกกันมากมาย แต่เราควรมาเข้าใจจุดสำคัญของมนุษยชาติ กับเรื่องที่เป็นแก่นสาร เป็นพฤติกรรม กาย วาจา ใจที่ดีนี่สิ

 

ผู้หญิง ผู้ชาย มีความเสมอภาคที่สามารถทำให้ปุริสภาวะเกิดในร่างหญิงนี่แหละ เรามีสภาวะอันนี้ตามวิบากเรา ได้ร่างเป็นหญิง แต่ใจเราเป็นเอกบุรุษ ละลดอินทรีย์ของอิตถีเพศ นี่คือเปลี่ยนที่ชีวิตินทรีย์ ในเรื่องสมมุติโลกก็ให้สิทธิ์ไม่เท่ากันก็เข้าใจ เป็นเรื่องธรรมชาติธรรมดา แต่ความเสมอภาคอยู่ที่คุณสามารถทำความเป็นเอกบุรุษให้ได้ ไม่ใช่จิตเป็นเป็นกระเทยแล้วไปผ่าตัดให้เป็นชาย อย่างนี้ไม่เข้าท่า อวิชชา ต้องทำจิตให้เป็นเอกบุรุษ จนถึงอุตมบุรุษ คืออรหันต์ให้ได้เลย คือพลังชีวิตินทรีย์ก็ให้ลดอิตถินทรีย์ให้เป็นปุริสสินทรีย์ให้ได้

 

 

อินทรีย์ 3 มี

1.อนัญญาตันยสามีตินทรีย์ คือโสดาปัตติมัคญาณ

 

2. อัญญินทรีย์ คือปัญญาโลกุตระ สามารถรู้ โสดาปัตติมรรคญาณ รู้การเข้าเขต โสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยต สัมโพธิปรายนะ ตั้งแต่โสดาปัตติผล ถึงอรหัตตมรรค  รวมเป็น ญาณ 6 ของอัญญินทรีย์

 

3. อัญญาตาวินทรีย์ คือพลังงงานของผู้รู้ทั่วถึงแล้วเป็นปัญญาของอรหันต์ ก็จะรู้ความเป็นอินทรีย์ของโสดาปัตติมรรค เริ่มตั้งแต่จับสักกายะได้ อ่านพลังงาน จับวิญญาณได้ รู้ทิศทางเนกขัมมะกับเคหสิตะ เริ่มเป็นโสดาปัตติมรรค ยังไม่ใช่อัญญินทรีย์ แต่เมื่อผ่านสังโยชน์ข้อ 3 ลดสักกายะได้ ตั้งแต่กิเลสอบาย มีวิราคานุปัสสี มีผลนิดหนึ่งก็เรียกว่ามีผลนิดหนึ่ง ก็ควรได้สัก 50 60 ส่วนจึงได้ผล เป็นโสดาปัตติผล ไปถึง อรหัตตมรรค ท่านก็เรียกว่า ขั้นกลางของอินทรีย์คืออัญญินทรีย์

 

ถ้าจะเรียกอีกภาษาว่า

  1. สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน คำว่าสัตตะ แปลว่า 7 ไม่ใช่เกิด 7 ชาตินะ แต่ว่าที่จริงได้สังโยชน์ 3 แล้วก็เหลืออีก 7 ก็ต้องทำให้กิเลสตายแล้วเกิดบรรลุ เป็นอรหัตตมรรค ,อรหัตตผล นี่คือเริ่มต้นเป็นสัตตักขัตตุปรมโสดาบัน ไม่ใช่เรื่องตัวตนบุคคลเราเขา แต่เป็นเรื่องปรมัตถ์
  2. โกลังโกละ ไปถึง 6 คือเอกพีชี เป็นเศษเหลือของกิเลสที่เหลือ เราก็รู้กำลังของกิเลส จนเหลือ เอกพีชี เหลือเชื้อสุดท้าย เป็นปรมัตถ์ ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา ขั้นสุดท้ายคืออัญญาตาวินทรีย์คือ ก็ใช้ลักษณะสุดท้ายไปใช้ใน สกิทาคามี อนาคามี จนถึงอรหันต์เลย

จะเน้นคำว่า อนันตริยกรรม  มี 1.ฆ่าแม่ ฆ่าพ่อ 2.ฆ่าอรหันต์ 3.ทำให้พระบาทของพระพุทธเจ้าห้อเลือด 4.สังฆเภท ซึ่งขณะนี้ที่กำลังทำได้อย่างหยาบ แรงคือกำลังมีการทำสังฆเภท ใครทำอยู่ก็ก่ออนันตริยกรรม สงฆ์กำลังจะแตกแยก กำลังใช้อำนาจบาตรใหญ่ที่ตนเป็นภิกษุ แต่แสดงอำนาจเป็นยักษ์มาร ไม่กล้าให้เขาตรวจสอบ เป็นอำนาจโลกีย์ พอฆราวาสเขาจะตรวจสอบหน่อยจะทำให้ดีขึ้น ก็ไม่ยอม คนมีแผล วัวสันหลังหวะ งูไส้เน่า กินผีเข้าไปทั้งตัว ไส้เน่าหมด ใช้อำนาจที่โลกเขายกให้เป็นเอกสิทธิ์อย่างนี้คนดีเขาก็ไม่อยากยุ่ง ที่พูดนี่ไม่ได้เอาแพ้ชนะนะ แต่ว่าความถูกต้องน่าจะเป็นฝ่ายชนะ คนที่คุกคามเขา เช่นถ้าไม่ถอยจะชุมนุมประท้วง แล้วบอกว่าที่กฎหมายออกนี่ไม่ให้ชุมนุมทางการเมือง เรื่องศาสนาก็ให้ชุมนุมได้ เป็นพระเป็นเจ้าขู่อย่างนี้ด้วย สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล ก็ไปคุกคามด้วยคนมากไปข่มคนน้อย เอากฎหมู่ไปล้างกฎหมาย นี่คือลักษณะของสิ่งที่แสดงออกเป็น กายวิญญัติ วิจีวิญญัติ อาตมาว่าเขารู้นะ แต่เขากลัวเสียอำนาจ ไม่กล้าให้ตรวจสอบ เป็นอสุรกาย จึงออกมาปกปิด

 

ภาวะสังคมไทย ที่กำลังเป็นอยู่-เกิดอยู่ ปัจจุบันขณะนี้  เป็นสัจจะของสัทธรรม ที่เป็นธรรมดาจะต้องเป็นเช่นนั้นเอง(ตถตาเป็นปกติตามจริง

นั่นคือ  คนผิด ย่อมเปิดเผยความผิดของตนไม่ได้

ไม่กล้าเปิดเผยความผิดของตน ทั้งอาย ทั้งกลัว ทั้งโกงต่อ  ทั้งใช้เล่ห์ต่ออย่างยิ่ง

 

ส่วน คนถูก  ย่อมเปิดเผย ความถูกของตนได้

กล้าเปิดเผยความถูกต้องของตน ไม่เก้อ  ไม่ยาก  ไม่อาย  ไม่กลัว  ไม่โกง  ไม่ต้องบิดพริ้วแต่อย่างใด

 

ยิ่งมีพฤติกรรมสังคมที่กระทบต่อส่วนรวม  มีปรากฏ- การณ์แห่งวิกฤติในสังคม เกิดความผิด  แล้วมีอาการปกปิด บิดพริ้ว หมักหมม เน่าใน เกิดขึ้นหนักมากในสังคมเท่าใดๆ   สังคมจึงยิ่งต้องมีพฤติกรรมสังคม  ให้กระทบต่อส่วนรวม  ให้มีปรากฏการณ์แห่งวิเศษการในสังคม  ที่เกิดความถูก  ให้มีอาการเปิดเผย  เพื่อแก้  ปรัปปวาทะ ให้ชัดเจน เรียบร้อย  เท่านั้นๆ

ต้องมีการสร้างอาการของกายวิญญัติ วจีวิญญัติ จะเคลื่อนไหวด้วยศิลป์และศาสตร์อย่างไรก็เอา ไม่เช่นนั้นก็ถูกผีมารครอบงำบ้านเมืองแน่ๆ ปรับปวาทะคือ คำสอน คำพูดนี่แหละเป็นหลัก ใช้มุขสตี ใช้วาทะเป็นหลัก คำว่าประ แปลว่าอื่น ปรับปวาทะ คือคำพูดที่ออกมามันคลาดเคลื่อนจากสัทธรรมของพระพุทธเจ้า ที่เขาออกมาข่มขู่คือมันออกนอกอนุสาสนีย์ของพระพุทธเจ้า มันทำผิดเพี้ยนคำสอนพระพุทธเจ้า จึงเป็นหน้าที่ของพุทธศาสนิกชน ที่ตอนนี้ไม่เอาตาดูหูแลเป็นพวกผีมารไปแล้ว เมืองไทยต้องปฏิรูปทั้งการเมืองและศาสนา เพราะศาสนา เป็นตัวหลัก อาตมาดูว่าเมืองไทยกำลังมีคุณธรรทางธรรมะ ศาสนากำลังดี โดยเฉพาะด้านการเมืองโลกๆเขา อย่าบอกว่าฆราวาสไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับธรรมะไม่ใช่ ทั้งนักบวชและฆราวาสก็ต้องเกี่ยวข้องกับธรรมะ เดรัจฉานเรียนธรรมะไม่เป็น อย่าให้ผีมารหลอกเอา อย่าเชื่อคารมต้องปรับปวาทะ ต้องแก้คำผิดของผีของมาร ต้องแก้ ฝากนายกฯ ท่านปราศรัยเก่ง ต้องใช้วาทะอย่างนั้น ยุคนี้เป็นยุคแห่งวาทกรรม ต้องใช้ศิลป์และศาสตร์ในการพูด ท่านอยู่ในภาวะที่ควรพูด

 

มาต่อกันที่พระไตรปิฎก . 10

 [63] ดูกรอานนท์ บุคคลเมื่อเล็งเห็นอัตตา ย่อมเล็งเห็นด้วยเหตุมี ประมาณเท่าไร  ก็บุคคลเมื่อเล็งเห็นเวทนาเป็นอัตตา ย่อมเล็งเห็นว่า เวทนาเป็น อัตตาของเรา ถ้าเวทนาไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว อัตตาของเราก็ไม่ต้องเสวยเวทนา   อานนท์ หรือเล็งเห็นอัตตา ดังนี้ว่าเวทนาไม่เป็นอัตตาของเราเลย จะว่าอัตตา ของเราไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ อัตตาของเรายังต้องเสวยเวทนาอยู่ เพราะฉะนั้น  อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา อานนท์ บรรดาความเห็น 3 อย่างนั้น ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า เวทนาเป็นอัตตาของเรา เขาจะพึงถูกซักถามอย่างนี้ว่า อาวุโส เวทนา มี 3 อย่างนี้ คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา บรรดาเวทนา 3 ประการนี้ ท่านเล็งเห็นอันไหนโดยความเป็นอัตตา อานนท์ ในสมัยใด อัตตา  เสวยสุขเวทนา ในสมัยนั้น ไม่ได้เสวยทุกขเวทนา ไม่ได้เสวย อทุกขมสุขเวทนา  คงเสวยแต่สุขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น อานนท์ ในสมัยใดอัตตาเสวยทุกขเวทนาไม่ได้   เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวย อทุกขมสุขเวทนา คงเสวยแต่ทุกขเวทนาอย่างเดียว    เท่านั้น ในสมัยใด อัตตาเสวย อทุกขมสุขเวทนา ในสมัยนั้นไม่ได้เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยทุกขเวทนา คงเสวยแต่ อทุกขมสุขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น

 

      ดูกรอานนท์ เวทนาแม้ที่เป็นสุขก็ดี แม้ที่เป็นทุกข์ก็ดี แม้ที่เป็นอทุกขม  สุขก็ดี ล้วนไม่เที่ยง เป็นเพียงปัจจัยปรุงแต่งขึ้น มีความสิ้นความเสื่อม ความ คลาย และความดับ ไปเป็นธรรมดา เมื่อเขาเสวยสุขเวทนา ย่อมมีความเห็นว่า    นี้เป็นอัตตาของเรา ต่อสุขเวทนาอันนั้นดับไป จึงมีความเห็นว่า อัตตาของเรา       ดับไปแล้ว เมื่อเสวยทุกขเวทนา ย่อมมีความเห็นว่า นี้เป็นอัตตาของเรา ต่อ  ทุกขเวทนาอันนั้นแลดับไป จึงมีความเห็นว่า อัตตาของเราดับไปแล้ว เมื่อเสวย อทุกขมสุขเวทนา ย่อมมีความเห็นว่า นี้เป็นอัตตาของเรา ต่ออทุกขมสุขเวทนา อันนั้นแลดับไป จึงมีความเห็นว่า อัตตาของเราดับไปแล้ว ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า  เวทนาเป็นอัตตาของเรานั้น เมื่อเล็งเห็นอัตตา ย่อมเล็งเห็นเวทนาอันไม่เที่ยง     เกลื่อนกล่นไปด้วยสุขและทุกข์มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา เป็น  อัตตาในปัจจุบันเท่านั้น เพราะเหตุนั้นแหละอานนท์ ข้อนี้จึงยังไม่ควรที่จะเล็งเห็นว่า เวทนาเป็นอัตตาของเรา แม้ด้วยคำดังกล่าวแล้วนี้ ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า  ถ้าเวทนาไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว อัตตาของเราก็ไม่ต้องเสวยเวทนา เขาจะพึง ถูกซักอย่างนี้ว่า ในรูปขันธ์ล้วนๆ ก็ยังมิได้มีความเสวยอารมณ์อยู่ทั้งหมด ใน  รูปขันธ์นั้น ยังจะเกิดอหังการว่าเป็นเราได้หรือ ฯ

      ไม่ได้ พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ ข้อนี้จึงยังไม่ควรที่จะเล็งเห็นว่า ถ้าเวทนา ไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว อัตตาของเราก็ไม่ต้องเสวยเวทนา แม้ด้วยคำดังกล่าว แล้วนี้ ส่วนผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่าเวทนาไม่เป็นอัตตาของเราเลย อัตตาของเราไม่  ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ อัตตาของเรายังต้องเสวยเวทนาอยู่ เพราะว่า อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา เขาจะพึงถูกซักอย่างนี้ว่า อาวุโส ก็เพราะเวทนาจะต้อง   ดับไปทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่เหลือเศษ เมื่อเวทนาไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะ เวทนาดับไป ยังจะเกิดอหังการว่า เป็นเราได้หรือ ในเมื่อขันธ์นั้นๆ ดับไปแล้ว ฯ

      ไม่ได้ พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ ข้อนี้จึงยังไม่ควรที่จะเล็งเห็นว่า  เวทนาไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว อัตตาของเราไม่ต้องเสวยเวทนาเลยก็ไม่ใช่ อัตตาของเรายังต้องเสวยเวทนาอยู่เพราะว่า อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา แม้ด้วยคำ    ดังกล่าวแล้วนี้ ฯ[64] ดูกรอานนท์ คราวใดเล่า ภิกษุไม่เล็งเห็นเวทนาเป็นอัตตา ไม่ เล็งเห็นอัตตาว่าไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ ไม่เล็งเห็นว่าอัตตายังต้องเสวยเวทนา  อยู่ เพราะว่า อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา ภิกษุนั้น เมื่อเล็งเห็นอยู่อย่างนี้     ย่อมไม่ยึดมั่นอะไรๆ ในโลก และเมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะทกสะท้าน เมื่อไม่ สะทกสะท้านย่อมปรินิพพานได้เฉพาะตน ทั้งรู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

 

อานนท์  ผู้ใดกล่าวอย่างนี้ว่า ทิฐิว่าเบื้องหน้าแต่ตาย สัตว์ยังมีอยู่ ว่าเบื้องหน้าแต่ตาย   สัตว์ไม่มีอยู่ ว่าเบื้องหน้าแต่ตาย สัตว์มีอยู่ด้วย ไม่มีอยู่ด้วย ว่าเบื้องหน้าแต่ตาย   สัตว์มีอยู่ก็หามิได้ ไม่มีอยู่ก็หามิได้ ดังนี้ กะภิกษุผู้หลุดพ้นแล้วอย่างนี้ การกล่าวของบุคคลนั้นไม่สมควร ฯ

      ข้อนั้น เพราะเหตุไร

 

พ่อครูว่า ตอนนี้ท่านเน้นความเป็นสัตว์ ผู้บรรลุแล้วก็ไม่ควรกล่าวว่าท่านเป็นสัตว์หรือไม่เป็นสัตว์ ท่านตายไปแล้ว หรือเป็นๆก็หมายเอาสัตว์ว่าคือจิตวิญญาณ เพราะจริงๆแล้วสัตว์ตายไปจริงๆ แล้วท่านก็เป็นพรหมสัตว์ ก็จะกล่าวว่าท่านมีสัตว์อยู่หรือไม่มีสัตว์ก็ไม่ได้

คนที่มีใจขับอาตมาออกจากศาสนาพุทธ คนนั้นก็ทำอนันตริยกรรมนะ ไม่ได้ขู่ แต่ว่าเป็นเรื่องสัจธรรม ความจริงที่ต้องเปิดเผย

 

      ดูกรอานนท์ ชื่อ ทางแห่งชื่อ ทางแห่งนิรุติ บัญญัติ ทางแห่งบัญญัติ  การแต่งตั้ง ทางที่กำหนดรู้ด้วยปัญญา วัฏฏะยังเป็นไปอยู่ตราบใด วัฏฏสงสาร ยังคงหมุนเวียนอยู่ตราบนั้นเพราะรู้ยิ่ง วัฏฏสงสารนั้น ภิกษุจึงหลุดพ้น ข้อที่มี   ทิฐิว่า ใครๆ ย่อมไม่รู้ ย่อมไม่เห็นภิกษุผู้หลุดพ้น เพราะรู้ยิ่งวัฏฏสงสารนั้น  นั้นไม่สมควร ฯ

        [65] ดูกรอานนท์ วิญญาณฐิติ 7 อายตนะ 2 เหล่านี้ วิญญาณฐิติ 7    เป็นไฉน

คือ

      1. สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน ได้แก่พวกมนุษย์ และพวกเทพบางพวก

พวกวินิบาตบางพวก นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 1

      2. สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน ได้แก่พวกเทพผู้นับเนื่องในชั้นพรหม

ผู้บังเกิดด้วยปฐมฌาน และสัตว์ผู้เกิดในอบาย 4 นี้เป็นวิญญาณ  ฐิติที่ 2

      3. สัตว์มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน ได้แก่พวกเทพชั้นอาภัสสร   นี้เป็น

วิญญาณฐิติที่ 3

      4. สัตว์ที่มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน ได้แก่พวกเทพ   ชั้นสุภกิณหะ

นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 4

 

วิธีจำ วิญญาณฐีติ 7 สี่ข้อแรก คือ ต่างต่าง ต่างเดียว เดียวต่าง เดียวเดียว

 

5. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นอากาสานัญจายตนะด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุด มิได้ เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆะสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา(ประโยคนี้แปลไม่ถูก คำว่า นานัตตนัญญา ไม่ใช่ว่าไม่ให้ใส่ใจไม่แคร์เลย ก็ไม่ได้ศึกษาจะไปล้างอัตตาได้อย่างไร) โดยประการทั้งปวงนี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 5

      6. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นวิญญาณัญจายตนะด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุด มิได้ เพราะล่วงชั้นอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 6

      7. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร  เพราะล่วงชั้นวิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 7

      ส่วนอายตนะอีก 2 คือ อสัญญีสัตตายตนะ (ข้อที่ 1) และข้อที่ 2 คือ เนวสัญญานา

สัญญายตนะ

      พ่อครูว่า คำว่าอสัญญี คือการดับสัญญา ที่มีสองอย่าง เป็นธรรมะสอง ในสัญญา 1.เกิดอุปาทาน 2.ดับอุปาทาน (สัญญูปาทานักขันโธ) ก็ดับอุปาทานในสัญญา ดับสัญญาที่เป็นอุปาทาน เป็นสัญญาวิปลาสก็ดับให้หมด แม้สัญญาคุณสะอาดแล้ว เป็นเจตสิกของจิต คุณก็อย่าไปยึดว่าสัญญาเป็นเรา แต่คุณยังไม่ตายก็ต้องเวียนวนเป็นโพธิสัตว์ต่อไปก็ยังมีอยู่เป็นธรรมดา  นี่แหละคือ ธรรมะสอง รวมตรงที่เวทนา และก็รวมที่สัญญาด้วย 

ดูกรอานนท์ บรรดาวิญญาณฐิติทั้ง 7 ประการนั้น วิญญาณฐิติข้อที่ 1 มี ว่า สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน ได้แก่พวกมนุษย์และพวกเทพบางพวก   พวกวินิบาตบางพวกผู้ที่รู้ชัดวิญญาณฐิติข้อนั้น รู้ความเกิดและความดับ รู้คุณ   และโทษ แห่งวิญญาณฐิติข้อนั้นและรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติ  ข้อนั้น เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินวิญญาณฐิตินั้นอีกหรือ ฯ

      ไม่ควร พระเจ้าข้า ฯ           

      วิญญาณฐิติที่ 7 มีว่า สัตว์ผู้เข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการ ว่า ไม่มีอะไรเพราะล่วงชั้นวิญญาณณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง ผู้ที่รู้ชัดวิญญาณฐิติข้อนั้น รู้ความเกิดและความดับ รู้คุณและโทษ แห่งวิญญาณฐิติ   ข้อนั้น และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติข้อนั้น เขายังจะควร เพลิดเพลินวิญญาณฐิตินั้นอีกหรือ ฯ

      ไม่ควร พระเจ้าข้า ฯ

      ดูกรอานนท์ ส่วนบรรดาอายตนะทั้ง 2 นั้นเล่า ข้อที่ 1 คือ อสัญญี  สัตตายตนะผู้ที่รู้ชัดอสัญญีสัตตายตนะข้อนั้น รู้ความเกิดและความดับ รู้คุณและโทษ แห่งอสัญญีสัตตายตนะข้อนั้น และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจาก   อสัญญีสัตตายตนะข้อนั้น เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินอสัญญีสัตตายตนะนั้น  อีกหรือ ฯไม่ควร พระเจ้าข้า ฯ

      ส่วนข้อที่ 2 คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ผู้ที่รู้ชัดเนวสัญญานาสัญญายตนะข้อนั้น

รู้ความเกิดและความดับ รู้คุณและโทษแห่งเนวสัญญานาสัญญายตนะข้อนั้น และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากเนวสัญญานาสัญญายตนะ    ข้อนั้น เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินเนวสัญญานาสัญญายตนะข้อนั้นอีกหรือ ฯ

      ไม่ควร พระเจ้าข้า ฯ

      ดูกรอานนท์ เพราะภิกษุมาทราบชัดความเกิดและความดับทั้งคุณและโทษ   และอุบายเป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติ 7 และอายตนะ 2 เหล่านี้ ตามเป็น  จริงแล้ว ย่อมเป็นผู้หลุดพ้นได้ เพราะไม่ยึดมั่น อานนท์ ภิกษุนี้เราเรียกว่า ปัญญาวิมุตติ ฯ

 

พ่อครูว่า ผู้มีเจโตวิมุติ แล้วมีปัญญารู้ความจริงตามความเป็นจริง รู้จักรู้แจ้งรู้จริง อุภโตภาควิมุติ จึงไม่ใช่อุภโตภาคนิโรธ(ซึ่งคือการดับหมดเลยเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน)

        [66] ดูกรอานนท์ วิโมกข์ 8 ประการเหล่านี้ 8 ประการเป็นไฉน คือ

      1. ผู้ได้รูปฌานย่อมเห็นรูป นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ 1 (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ) พ่อครูแปลว่า ผู้มีรูป  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย  

      2. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปในภายใน ย่อมเห็นรูปในภายนอก นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ 2 (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี  เอโก  พหิทธา รูปานิ  ปัสสติ) . (*พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)

      3. ผู้ที่น้อมใจเชื่อว่า กสิณเป็นของงาม นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ 3(พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)

      4. ผู้บรรลุอากาสานัญจายตนะด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุดมิได้  เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา โดย ประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ ข้อที่ 4

      5. ผู้ที่บรรลุวิญญาณัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้  เพราะล่วงชั้น  อากาสานัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ที่ 5

      6. ผู้ที่บรรลุอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร เพราะล่วง   วิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ 6

      7. ผู้ที่บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะล่วงอากิญจัญญายตนะ  โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ 7

      8. ผู้ที่บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนะ   โดยประการ ทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ 8ดูกรอานนท์ เหล่านี้แล วิโมกข์ 8 ประการ ภิกษุเข้าวิโมกข์ 8 ประการ  เหล่านี้ เป็นอนุโลมบ้าง เป็นปฏิโลมบ้าง เข้าทั้งอนุโลมและปฏิโลมบ้าง เข้าบ้าง   ออกบ้าง ตามคราวที่ต้องการ ตามสิ่งที่ปรารถนา และตามกำหนดที่ต้องประสงค์  จึงบรรลุเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะสิ้นไป เพราะ       ทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันอานนท์ ภิกษุนี้ เราเรียกว่า อุภโตภาควิมุตติ อุภโตภาควิมุตติอื่นจากอุภโตภาควิมุตตินี้ที่จะยิ่งหรือประณีตไป กว่าไม่มี พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ท่านพระอานนท์ยินดี ชื่นชม พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วแล ฯ

                   จบมหานิทานสูตร ที่ 2

 

ปัญญาวิมุติ ถ้าจิตท่านไม่ดับ ท่านก็ล่วงพ้น แต่อุภโตภาควิมุติท่านหลุดพ้นทั้งสองอย่าง ถ้าท่านจะ 


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 18:07:06 )

580308

รายละเอียด

580308-วิถีอาริยธรรม สันติฯ เรื่อง ปรับวาทะให้เรียบร้อยโดยสหธรรม

.เพาะพุทธว่า…วันนี้พ่อครูจะได้เทศนาเรื่องเกี่ยวกับที่เป็นวิกฤติศาสนาพุทธในเมืองไทยตอนนี้ เริ่มต้นด้วยเพลง กองทัพพุทธธรรม

 

0 เพลง กองทัพพุทธธรรม 0

คำร้อง/ทำนอง ครูรัก รักพงษ์

 

ขอ.. กองทัพพุทธธรรม นำพาสันติสุข มาสู่แด่หมู่ชน

เหนือ.. ฟ้ายังมีฟ้า คนเหนือคนยังมีแน่

แต่ ..เป็นคนเหนือคน ผู้เพียรลดละสละตน

 

…หัด อยู่กินเพียงน้อย

…เลิก มลทินสินบน

…เข็ญ คนจน คนรวย

ให้ช่วยช่วยกันแบ่งปันน้ำใจ

 

เขาเป็น จอมแห่งยุทธ

อาวุธคือ มือเปล่าเปล่า

แต่เฝ้าเพียร รบรา

ฆ่าคนลึกซึ้งถึงแก่นใน

 

เลือดจะสร้างสุขสันต์ นั่น มันฝันของใคร

ไร้ความเป็นไปได้ที่โลกจะดีด้วยอาวุธนำ

 

ต้องเป็นคนหัวใจเหนือในยศลาภ

เพียรล้างคราบ คดโกงเล่ห์ลมคมขำ

ข้อเขียนคมลิ้น ศิลปานานาสื่อนำ

ฆ่าตัวเองซ้ำ แม้นทำด้วยรัก โฉด โกรธ โลภ หลง

 

ต้องเพียรค้นคั้น จนเห็นจริงถึงสุด

เจียนถอดขุด ร้ายใดไม่พึงประสงค์

จะหลงติดหรือ ถือดีมีภัยเศษผง

มุ่งธรรมเป็นธง ทิศเดียวซื่อตรงมั่นคงแข็งแรง

 

พร้อม มวลผู้บูชา ปรารถนาพาสันติสุขสู่ชน

เมื่อสร้างคนจนเกิดตนพ้นโลก-

นี้ โชคดีที่สังคม มืดมนจะได้ชมแสง

หากรวมกันปรับกันฟั่นเกลียวใจไม่ระแหง

ไม่แฝงกลจนหลงผิด เป็นเห็นว่าดี

 

เกิด กองทัพธรรมกรำย่ำไปทุกถิ่น

ชุบชีพชีวิน สิ้นงมงายกลับกลายเป็นสุขี

ช่วยปวงชนให้พ้นเลว แรงร้าย ราวี

เชิญน้อมพลีกิเลสเถิด จะเกิดเป็นกองทัพธรรม

 

พ่อครูว่า…วันนี้ เพลงกองทัพพุทธธรรม มีเนื้อหา ที่เราจะไม่ขยายความมาก เพราะฟังได้ง่าย เราใช้ชื่อว่า กองทัพพุทธธรรม คำว่า กองทัพธรรม เข้าใจได้ว่าเป็นพลังของธรรม มีตั้งแต่ยุคพระพุทธเจ้า กองทัพธรรม มีพระสารีบุตรเป็นพระเสนาบดีของกองทัพธรรม มายุคนี้ก็ยังมีกองทัพธรรมอยู่ มีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา หรือพุทธบริษัท 4 คือผู้บรรลุธรรม โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า ส่วนพุทธมามกะคือผู้ที่เข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ส่วนพุทธศาสนิกชนก็คือคนทั่วไปที่บอกว่าเป็นพุทธ ในเมืองไทยมีอยู่ 95% ขออภัยที่วันนี้จะต้องแสดง ปรับปวาทะ

 

เจติยสูตร

[1129] ครั้งนั้น มารผู้มีบาป เมื่อท่านพระอานนท์หลีกไปแล้วไม่นาน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ แล้วยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญขอพระผู้มีพระภาคจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด บัดนี้ เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค ก็พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระดำรัสนี้ว่า ดูกรมารผู้มีบาปภิกษุสาวกของเราจักยังไม่เฉียบแหลม ไม่ได้รับแนะนำ ไม่แกล้วกล้า ไม่เป็นพหูสูต ไม่ทรงธรรม ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม เรียนกับอาจารย์ตนแล้ว ยังบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ง่ายไม่ได้ ยังแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ ข่มขี่ปรับปวาทที่บังเกิดขึ้น ให้เรียบร้อยโดยสหธรรมไม่ได้ เพียงใด เราจักยังไม่ปรินิพพาน เพียงนั้น ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็บัดนี้ ภิกษุสาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้เฉียบแหลมแล้ว ได้รับแนะนำแล้ว แกล้วกล้า เป็นพหูสูต ทรงธรรม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ประพฤติตามธรรม เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว บอก แสดง บัญญัติแต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ง่ายได้ แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ ข่มขี่ปรับปวาทที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรมได้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคทรงปรินิพพานในบัดนี้เถิดขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด บัดนี้ เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค.

[1133] เมื่อมารกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสตอบว่า ดูกรมารผู้มี

บาป ท่านจงมีความขวนขวายน้อยเถิด การปรินิพพานแห่งตถาคตจักมีในไม่ช้า แต่นี้ล่วงไปอีก3 เดือน ตถาคตจักปรินิพพาน.

 

คำว่า ปรับปวาทะ แปลว่า คำสอน คำพูด ของประสาวก เมื่อคำสอนคำพูดของสาวก สอนเพี้ยนไปเป็นอื่น คือ ปร ก็จะต้องมีผู้รู้ สามารถบอก สามารถแสดง สามารถบัญญัติ เปิดเผยจำแนก แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ ยืนหยัดยืนยัน สัทธรรมได้ อาตมาเป็นสาวก ที่ต้องทำให้ถูก ยอมรับกันไหมว่า คำสอนพระพุทธเจ้าได้ผิดเพี้ยนไปแล้ว ประเทศไทยยังโชคดีที่มีพระไตรฯ ฉบับสยามรัฐ อยู่ อาตมาเป็นพุทธสาวกก็ต้องใช้อันนี้ ท่านจะเรียนมากี่เปรียญก็ตาม อาตมาก็มีภูมิที่เข้าใจได้ ที่มีมาแต่อดีตที่เป็นจริงแล้ว อาตมาเอาส่วนอดีตมายืนยัน ถ้าใครเข้าใจ อ่านพระไตรฯ ล. 9 สูตรที่ 1 พรหมชาลสูตร ว่าความเห็น ทิฏฐิของมนุษย์แบ่งเป็น 62 อย่าง คนที่มีภูมิในอดีตที่ผิด เขาก็เอาไม่ใช่ของจริง ส่วนคนมีอดีตจริงก็เอามาใช้ได้จริง

 

ในทิฏฐิ 62 คนที่จะพูดปัจจุบัน แล้วเป็นผู้มีเนื้อต้นทุนในอดีตกับปัจจุบัน ที่ปัจจุบันมีพฤติกรรมจริง อดีตมันเพี้ยนไปแล้ว แต่ก็มีปัจจุบันเป็นจริง ก็ใช้องค์ประชุมทั้งหมด คือคณะสงฆ์ทั้งหมดของไทยของโลกก็ตาม เถรวาทเมืองไทยนี่โลกยกให้ ส่วนมหายาน เขาไม่ได้นับถือ เขานับให้เถรวาทเมืองไทยเป็นศูนย์กลางศาสนาของโลก ซึ่งถูกต้อง ในปัจจุบันมีองค์รวมเรียกว่ากาย มีมนุษย์เป็นตัวแสดงความจริง ว่าแสดงออกตรงกับศีลที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ไหม สมาธิ ปัญญา ตรงกับที่พระพุทธเจ้าสอนไหม สมบูรณ์ด้วยวิมุติญาณทัสนะไหม อาตมาก็ขออภัยที่ต้องพูดความจริงว่า สงฆ์อโศกเป็นสังวาสเดียวกันกับสงฆ์หมู่ใหญ่ แล้วเราขอแยกตัวจากหมู่ใหญ่ตั้งแต่ 6 ส.ค. 2518 เราดำเนินของเรามา 40 กว่าปีแล้ว จนถึงวันนี้ยิ่งแน่ใจว่าเราทำในหลักของพุทธ เป็นวิชาการ ความจริง วันนี้เป็นวันที่ 8 มีนาคม 2518 มีเลข 8 สองตัว เลข 5 หนึ่งตัว เลข 8 คือเลขสงคราม ถ้าเป็นฮินดูก็เป็นปางกฤษณะ ทำการรบ ขณะนี้ธรรมะกำลังเข้าสู่เหตุการณ์รบ ภาษาบาลีเรียกว่า สรณะ คำว่า รณะ แปลว่าการรบ ส่วน สรณะ แปลว่าประกอบเป็นการรบ ถ้าสามารถทำให้เกิดเสร็จสิ้นลงได้ก็จะมี อรณะ ไม่ต้องมีการรบกัน จบการรบ ผู้จะจบการรบ มีอรณะ คือผู้ที่จิตไม่ต้องมีรบอีกในตนเอง การรบกับกิเลสเป็นสงครามเฉพาะตน ผู้กิเลสหมด เป็นอัศวิน จอมยุทธ์ของธรรมะ

 

โสดาบัน อนาคามี อนาคามี ก็เป็นจอมยุทธ์เอก นอกนั้นเป็นจอมยุทธ์ไม่ได้จริง ผู้ไม่รู้แม้โสดาบันคืออะไร ปฏิญาณตนไม่ได้ ชี้แจงไม่ได้ เรามีของจริงต้องชี้ได้ว่าความเป็นอาริยธรรมคืออะไร ต้องของกล่าววิชาการ แถลงการณ์เรืองพุทธศาสนา ในสงครามศาสนา อาตมาก็ต้องเมื่อเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าก็จะต้องอยู่ในสนามรบนี้ด้วย อาตมาไม่ใช่ทหารขี้ขลาด หนีทัพ กลัวการรบ ในธรรมะ การรบของธรรมาธรรมะสงคราม ไม่ใช่เอารุนแรงมาว่ากัน แต่เอาสัจธรรม มาว่ากัน

 

ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก ในที่สุด

 

อาตมามั่นใจว่ากล่าวคำจริง ไม่ใช่มวย น็อกเอาท์ แต่เป็นมวยเก็บคะแนน เราชนะรายทางมาเรื่อยๆ เรามั่นใจว่า เราจะชนะในที่สุด เราไม่ได้ผยอง แต่เราทำตามเหตุปัจจัย เลข 8 คือการรบ เลข 5 เป็นเครื่องชี้ลักษณะครึ่งของความสมบูรณ์ ส่วน 0 คือความสมบูรณ์ และเลข 5 ชี้ความสูง ที่จะดำเนินไปของสิ่งมีชีวิต สิ่งที่ดำเนินไปก็เลข 1 ถึง 4 ถ้า 4 ก็อยู่ตรงกลางของเลข 8 หากจะเจริญสูงสุดก็คือ ปาง 9 เป็นพระพุทธเจ้า ส่วน 10 คือปางสูญหมด กาลกิริยาวตาร ส่วนเลข 5 เลย 8ไปแล้ว คือการมีสภาวะการก้าว

 

สรุปแล้ว แน่ใจได้ว่าธรรมะแสดงไปเลย ยังไงก็ชนะ เพราะว่า 5 มีสองตัว และวันนี้มี เลข 8 จะมีสงคราม จะมีผู้แถลงธรรมะด้วย เป็นสองค่าย ค่ายเราก็ขอแถลง ค่ายเราเล็ก ไม่มีเสียงดัง โครงร่างไม่ใหญ่ แต่ขอยืนยันว่าแน่น

และวันนี้เป็นวันสตรีสากลด้วย อธิบายไปว่า สตรีกับบุรุษ เป็นความเสมอภาคกันได้ แต่ในสรีระไม่เท่ากันหรอกระหว่างชายกับหญิง เหมือนนิ้วมือเราจะเอาให้นิ้วก้อยเท่ากับนิ้วโป้งไม่ได้หรอก ช้างเท้าหน้าก็เป็นชาย ส่วนหญิงก็อยู่กับบ้าน ที่ไหนสังคมไหนก็เป็นเช่นนี้ แต่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ผู้หญิงกับผู้ชายก็เสมอภาคกันได้ตรงที่นามธรรม ปรมัตถธรรม สามารถเป็นอรหันต์ได้ทุกคน เรียนรู้ลดอิตถีภาวะให้เป็นปุริสสภาวะ ในหญิงก็มีภาวะเอก เป็นปุริสสภาวะได้ พระอานนท์ ถามพระพุทธเจ้าว่าผู้หญิงบรรลุธรรมเป็นอรหันต์ได้ไหม พระพุทธเจ้าก็จำนน ให้เขาบวชได้ ผู้หญิงจะยอมรับ คุรุธรรม 8 ได้ไหม พอไปถามพระนางมหาปชาบดี ก็ว่ายินดีรับด้วยเกล้าเลย พระพุทธเจ้าท่านตรัสอะไรจริงเลย ว่าถ้าผู้หญิงมาบวชจะอายุศาสนาลดลงเหลือ 5000 ปี ผู้หญิงก็มีสิทธิ์เป็นเอกบุรุษได้ สิ่งเหล่านี้เป็นอจินไตย อาตมาพอรู้ก็เอามาพูดในวันสตรีสากล ก็ขอฝากว่าผู้หญิงทั้งหลายพยายามตามหาผู้รู้ยิ่งเห็นจริง ในพระไตรฯตรัสไว้ชัดเจนว่า สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)

(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 257)

 

ต้องหาสมณะพราหมณ์ผู้นั้นให้เจอ เมื่อเจอแล้วต้องเข้าหา เงี่ยโสตสดับ ฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ตาม อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 61

1.   การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ . .

2.   การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์

3.   ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์

4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ . . สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา

5. สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ . . ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์

6. ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์ คือ กาย วาจา ใจ เลิกทำการงานทุจริต

7. สุจริต3 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สติปัฏฐาน4 บริบูรณ์

8. สติปัฏฐาน4 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ .

9. โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์ (อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 61)

 

ต้องรู้สัตว์โอปปาติกะ คือจิตวิญญาณที่เป็นสัตว์ก็ต้องรู้กายของสัตว์ มันเคลื่อนมาทางกาย วาจา เกิดจากใจ ที่มี อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ว่านี่คือชีวิตของสัตว์อะไร สัตว์อบาย สัตว์นรก สัตว์ชั้นต่ำ มีอบายภูมิ 4 แล้วมีมนุสโส เป็นภูมิที่ 5 จากนั้นเป็นเทวดา 6 ภูมิ ที่เขามักเข้าใจว่าเทวดาคือจิตสบาย จิตสมใจ แต่ถ้าบำเรอกิเลสก็เป็นกามภูมิ เป็นเทวดากามาวจร ส่วนโลกุตระนั้นเข้าใจอาการกาม แต่ไม่ใช่มีกาม จาตุมหาราชิกาคืออำนาจบาตรใหญ่ที่จะล่ามาให้ตน ล่าเอาโลกธรรม กาม อัตตาให้ตนได้เป็นใหญ่ แล้วเป็นภพ แห่งอาการที่ 33 เรียกว่าดาวดึงส์ ไม่ใช่แค่ ทวัตติงสาการ(อาการ 32) ผู้ศึกษาปรมัตถ์จะอ่านอาการ 33 เป็นกามาวจร แล้วฆ่าตัวเหตุปัจจัยที่เป็นกามได้ การทำให้กามลดลงนี้คือเนกขัมมะ เป็นเทวดาโลกุตระ เป็นวิสุทธิเทพ เป็นจิตปราศจากทุกข์ สุข เป็นเนกขัมมสิตอุเบกชาไม่ใช่เคหสิตอุเบกขา ใครทำได้ก็เป็นอาริยบุคคลจริง

 

อาตมาไม่เห็นตำรา หรืออรรถกถาจารย์ที่บรรลุจริงก็มีแต่ที่เป็นอเทวนิยมก็มีเยอะ สรุปแล้วต้องรู้ อาตมาประกาศไปแล้ว โพธิสัตว์ก็ประกาศมาก่อน ซึ่งเถรวาทเขาไม่รู้โพธิสัตว์ จนมา 40 กว่าปีก็ประกาศอรหันต์เมื่อไม่กี่วันมานี้ อาตมาเคยเขียนในหนังสือ จนอาตมาเล่าแล้วบอกแล้ว ว่าอาตมาได้ประกาศอรหันต์กับคนสองคน คนหนึ่งคือขวัญดี เป็นน้องสาว ต่อมา อ.แสง จันทร์งาม ก็มาถามอีก ใครจะไปถามก็ได้ยังมีชีวิตอยู่

 

อาตมาประกาศว่า สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ โดยบอกว่าถ้าคุณไปเอาโลกหน้าว่าคือการตายทางร่างกาย ก็เอาหลักฐานของพระพุทธเจ้ายืนยันว่าหลังจากกายแตกตายไปนั้นไปเรียนรู้วิญญาณไม่ได้ ไปตามวิบาก ต้องเรียนรู้ตอนมีผัสสะเป็นสมุทัย(มูลสูตร)หรือว่าในเล่ม อื่นๆก็ว่ามีผัสสะเป็นปัจจัย แล้วเกิดองค์ประกอบ 3 มีวิญญาณเป็นปรากฏ มีของจริง มีปสาทรูป โคจรรูป สัมผัสกันเกิดภาวรูป คือสิ่งปรากฏจริงเป็น Phenomenal เป็นสิ่งปรากฏจริงเป็นปาตุภาวะ ให้มีผัสสะให้มีวิญญาณที่มีกาย เกิดอาการ ลิงค นิมิต ว่าอันนี้คืออาการจิต คุณก็ทำเครื่องหมายกำหนดรู้ แล้วแยกนามธรรมได้ ก็อธิบายหมด จนมีคนพอรู้ก็ให้พวกเราปฏิบัติ จนบรรลุมาเรื่อยๆ อาตมาก็ประกาศกับพวกเรา ว่าอรหันต์ในชาวอโศกมี 1 คนแล้วคือสิกขมาตุผุสดี อนาคามีก็ประกาศแล้วคือสมณะพุทธชาโตก็ประกาศกับพวกเรา อาตมาตั้งใจพูด โดยจำแนก บัญญัติ แต่งตั้ง บัญญัติกำหนดว่านี่คืออรหันต์ นี่คือโสดาบัน นี่คือสกิทาคามี แต่อาตมาว่าโสดาบันในพวกเราเยอะ สกิทาคามีก็เยอะ สมณะนั้นมีอนาคามีเยอะ อาตมาก็จะยืนยันกับพวกเราว่าใครถึงขีด อาตมาก็จะค่อยๆทำไป ขอยืนยันว่าทำตามพระพุทธเจ้า ต้องมีอุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ ที่จะยืนยันได้ สำนวนว่าข่มขี่ ก็ไม่ได้ไปข่มขี่หรอก โดยสหธรรม ซึ่งคนข้างนอกมารู้ไม่ได้ คนที่ไม่มีภูมิที่รู้ได้ คนข้างนอกก็ไม่ใช่สหธรรม เมื่อเขาไม่รู้จะให้เขามาร่วมออกเสียงยืนยันบรรยายไม่ได้ เมื่อเริ่มต้นจะมีแนว มีท่าทางที่พอเข้าใจได้ อย่างนี้เราเรียกว่า อุปสัมบัน ถ้าผู้ที่ยังรับไม่ได้เรียกว่า อนุปสัมบัน อาตมาก็ประมาณตามพระพุทธเจ้า แต่ท่านไม่มีปัญญารู้ว่าฆราวาสหรือนักบวชใครเป็นอุปสัมบัน หรืออนุปสัมบัน ท่านก็เลยเหมาเอาว่า คนมาบวชคืออุปสัมบัน ส่วนคนไม่บวชคืออนุปสัมบัน แล้วที่ธรรมกาย จ้างคนมาบวช แล้วก็สึกไป แล้วก็มาบวชใหม่หลายที นี่คืออุปสัมบันที่เขาว่า?..นี่คือสำนักที่แสดงเล่ห์กลที่จะมาขยายความใหญ่ยิ่งมโหฬาร ศีลแค่อุจาสยนมหาสยนาก็ไม่มี มาลาคันธวิเลปนธารณมัณฑณวิภูสนัฏฐานะก็ไม่ทำตาม สร้างวิมานจนสำเร็จ ให้คนเป็นเทวดา นิมมานรดี เป็นเทวดาที่สร้างนิมิตได้ แล้วยินดีในนิมิตเก๊ นิมิตปลอมนั้นได้ อาตมาเปิดเผยเป็นวิชาการไม่ได้ข่ม เขาไม่รู้ว่าเป็นสิ่งหลอก พระพุทธเจ้าไม่สนับสนุน ปรมัตถ์นั้นรู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส รู้ด้วยตนเท่านั้นไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา ต้องรู้ด้วยตนบอกสอนกันได้แต่ให้รู้เอง

 

มีข้อเขียนของ สิริอัญญา วันนี้ http://www.paisalvision.com/index.php/content/88-features/12839—-qq-8–58.htmlบทความใน นส.เพาะพุทธแนวหน้า เรื่อง “เงื่อนปมของขบวนการฟอกเงิน” 8 มี.ค. 58

 

ดีเอสไอและ ปปง. กำลังทำงานอย่างขะมักเขม้นหลังจากที่ถูกสังคมติเตียนต่อเนื่องมาเป็นเวลาปีเศษ เกี่ยวกับการดำเนินคดียักยอกฉ้อโกงทรัพย์สินของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น

 

เพราะความเสียหายเรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก เนื่องจากมีการฉ้อโกงยักยอกเงินของประชาชนที่ฝากไว้กับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นเป็นจำนวนเงินสูงถึงประมาณ 15,000 ล้านบาท และมีผู้เสียหายกว่า 50,000 ราย ซึ่งในจำนวนนี้เป็นสหกรณ์ออมทรัพย์อื่น ๆ หลายสิบราย ซึ่งแต่ละรายก็มีสมาชิกผู้ฝากเงินนับพันราย จึงรวมบรรดาผู้เสียหายนับแสนราย

 

การยักยอกโกงเงินออกไปจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นนั้นทำกันแบบป่าเถื่อน มิได้ประณีตแนบเนียนอะไรเลย เพราะสั่งจ่ายเช็คเอาไปแบ่งปันกันอย่างหน้าตาเฉย และสั่งจ่ายให้กับคนกันเองทั้งนั้น ตั้งแต่วัดพระธรรมกาย ธัมมชโย พระลูกวัด อดีตพระลูกวัด แม้กระทั่งมัคนายกของวัด

 

ออกเช็คสั่งจ่ายกันใบละ 50 ล้านบาทก็มี 100 ล้านบาทก็มี ออกเช็คจ่ายกันแทบจะเป็นรายวัน ชนิดไม่เกรงฟ้า ไม่กลัวดิน ไม่แยแสว่าใครจะกล่าวหาดำเนินคดีเพราะฮึกเหิมลำพองว่าอยู่เหนือกฎหมายบ้านเมืองและอยู่เหนือรัฐบาลในบางยุคบางสมัย จึงบังอาจเหิมเกริมทำได้ถึงปานนี้

 

เงินฝากทั้งหมดของสหกรณ์มาจากประชาชนทั้งนั้น ส่วนทางไปของเงินก็ปรากฏผลจากการตรวจสอบของดีเอสไอและ ปปง. ว่าไหลไปในเครือข่ายของวัดพระธรรมกายทั้งสิ้น เฉพาะสหกรณ์แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในวัดพระธรรมกายก็ได้รับโอนเงินไปหลายพันล้านบาท โดยไม่ได้เป็นการปล่อยกู้หรือมีหลักประกันที่คุ้มหนี้ตามปกติ

 

โอนไปแล้วก็เอาไปปล่อยกู้ต่อ และปล่อยกู้ให้กับคนที่อ้างว่ากู้ไปทำบุญให้กับวัดพระธรรมกาย ตลอดจนพระในวัดพระธรรมกาย กู้กันสนุกสนาน เป็นเงินหลายพันล้านบาท

 

สหกรณ์ที่ตั้งอยู่ในวัดพระธรรมกายดังกล่าวปรากฏว่าปล่อยเงินให้กู้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายเกือบทั้งหมด

 

นอกจากนั้น ยังมีบริษัทโฮลดิ้งแห่งหนึ่งที่มีเส้นทางเงินเกี่ยวข้องว่ารับเงินจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น และมีทุนสูงถึง 5,000 ล้านบาทเศษ ก็มีการปล่อยกู้ให้แก่บุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายเป็นส่วนใหญ่ จนเห็นได้ชัดเจนว่าเส้นทางเงินไหลไปทางวัดพระธรรมกาย ธัมมชโย และเครือข่ายวัดพระธรรมกาย

 

ที่น่าจับตาก็คือเจ้าของบริษัทโฮลดิ้งที่ว่านี้เคยเป็นพระอยู่วัดพระธรรมกายนับสิบปี สึกออกมาตอนอายุ 28 ปี ไม่ปรากฏว่ามีฐานะทรัพย์สินเงินทองประการใด จู่ ๆ ก็มาเป็นเจ้าของบริษัทโฮลดิ้งดังกล่าว

 

สอดคล้องกับอดีตพระวัดธรรมกายคนหนึ่งที่ออกมาเปิดเผยว่ามีการตั้งบริษัทนอมินี่จำนวนมากและให้ลูกศิษย์บริหารจัดการ คือเอาเงินทั้งหลายที่ได้มาจากสหกรณ์และที่อื่น ๆ เอาไปตั้งบริษัท และเอาเงินออกไปจากบริษัทในรูปของการกู้เงิน แต่ไม่ได้เป็นไปตามแบบแผนการกู้ปกติ ดังเช่นไม่มีหลักประกัน หรือมีหลักประกันไม่คุ้ม และคนที่กู้จะเอาเงินไปทำอะไรก็ไม่รู้

 

ไปโผล่เอาตรงสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่มากมายในต่างจังหวัด ทั้งโรงแรม รีสอร์ท หรือเจดีย์ต่าง ๆ ตามแนวชายแดน รวมทั้งการซื้อที่ดินที่ร่ำลือกันในหลายพื้นที่ว่าเป็นของคนวัดพระธรรมกาย

 

ดังนั้นการที่ดีเอสไอเรียกธัมมชโยมาสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องกระแสเงินต่าง ๆ จึงเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นต่อการทำความจริงเรื่องขบวนการยักยอกฉ้อโกงเงินของสหกรณ์ ตลอดจนของวัดพระธรรมกายว่ามีลักษณะเป็นการฟอกเงินหรือไม่

 

เพราะในส่วนของการฉ้อโกงยักยอกเงินจากสหกรณ์นั้นเป็นความผิดทางอาญาอยู่แล้ว ใครรับเงินไปหากรู้ว่าเกี่ยวข้องกับการยักยอกฉ้อโกงก็มีความผิดทางอาญาฐานร่วมกันยักยอกฉ้อโกงหรือรับของโจร แต่ถ้าเป็นการดำเนินการร่วมกันในลักษณะการช่วยกันฟอกเงินก็จะมีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการฟอกเงินซึ่งมีโทษจำคุกสูงมากถึงสิบปีต่อกระทง

 

และในส่วนของวัดพระธรรมกายก็เป็นที่แน่ชัดว่าบรรดาพุทธศาสนิกชนที่ไปทำบุญล้วนมุ่งประสงค์ต่อการทำบุญไว้ในพระพุทธศาสนา บรรดาทรัพย์สินทั้งหลายจึงต้องเป็นของวัด ดังนั้นหากมีการเบียดบังเอาทรัพย์สินที่จะเป็นของวัดไปเป็นของตนเองหรือของนอมินี่หรือลูกศิษย์ลูกหาคนไหนหรือของบริษัทใด ก็เป็นการยักยอกฉ้อโกงเงินวัด ยักยอกสมบัติของวัด เหมือนกับกรณีที่สมเด็จพระสังฆราชเคยมีพระลิขิตว่าเป็นปาราชิกเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2542

 

ดังนั้นถ้ากระแสเงินที่คนทั้งหลายไปทำบุญไหลไปทางไหน นอกจากจะเกี่ยวข้องกับการยักยอกฉ้อโกงวัดแล้ว ยังอาจเป็นการฟอกเงินจากการทุจริตนั้นด้วย ก็จะเป็นความผิดร้ายแรง

 

ดูจากข่าวที่กล่าวถึงปริมาณเงินและเครือข่ายโยงใยที่ชัดเจนขึ้นทุกวันแล้วก็พอจะเห็นแนวโน้มว่าทั้งกรณีฉ้อโกงยักยอกเงินประชาชนจากสหกรณ์ทั้งหลาย และจากวัดพระธรรมกาย ส่อว่าจะเป็นขบวนการฟอกเงินครั้งใหญ่ที่สุดนับแต่มีการตรากฎหมายฟอกเงินและมีการตั้งดีเอสไอและ ปปง. ขึ้นในประเทศนี้.

 

http://www.naewna.com/politic/columnist/17297เวลาทำบุญกับพระ โปรดดูด้วยว่าพระดีหรือพระเลว

คอลัมน์การเมือง

 

เขียนให้คิด

เฉลิมชัย ยอดมาลัย

1

 

เวลาทำบุญกับพระ โปรดดูด้วยว่าพระดีหรือพระเลว

 

พระผู้ใหญ่บางรูปปรารภเชิงตัดพ้อกับผู้เขียนว่า “ทำไมนักข่าวชอบนำเสนอข่าวไม่ดีของพระสงฆ์เสียเหลือเกิน ทำไมไม่นำเสนอข่าวดีๆ ของวงการสงฆ์บ้าง เมื่อนำเสนอแต่ข่าวไม่ดี ก็ทำให้พระพุทธศาสนาหมองมัวตกต่ำ เพราะพระสงฆ์คือตัวแทนของพระพุทธศาสนา คนส่วนใหญ่เข้าถึงพระพุทธศาสนาได้ก็ด้วยพระสงฆ์”

 

ผู้เขียนจึงกราบนมัสการเรียนถามพระรูปนั้นว่า “หลวงลุงครับ แล้วข่าวที่นำเสนอนั้นเป็นข่าวจริงใช่หรือไม่ครับ ความผิดที่พระสงฆ์รูปนั้นได้กระทำลงไปก็เป็นความจริงใช่ไหมครับ ดังนั้นการนำเสนอข่าวจริงจึงไม่น่าจะผิดใช่ไหมครับ ข่าวจริงเช่นนี้น่าจะช่วยให้คนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวงการสงฆ์หันกลับมาช่วยกันดูแลและปกป้องพระพุทธศาสนามากกว่าใช่ไหมครับ เพราะหากไม่นำเสนอข่าวให้ประชาชนได้รับทราบ คนที่รู้ไม่เท่าทันกลโกงของพวกอลัชชีก็ต้องตกเป็นเหยื่อของมารศาสนาตลอดไปใช่ไหมครับ อันที่จริง ข่าวดีๆ เกี่ยวกับพระสงฆ์นั้นก็ถูกนำเสนอผ่านสื่อมวลชนเป็นประจำนะครับ แต่อาจไม่ได้เป็นข่าวใหญ่เหมือนข่าวพระโกงเงินชาวบ้านหลายหมื่นล้าน”

 

ผู้เขียนสนทนาธรรมกับพระเถรานุเถระรูปนี้เป็นเวลานานเกือบสองชั่วโมง สุดท้ายก็ได้ความเห็นตรงกันว่า ความผิดพลาดของวงการสงฆ์ประการหนึ่งมาจากตัวของสงฆ์และตัวของฆราวาสที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับสงฆ์ แต่ถึงกระนั้นก็มิได้หมายความว่าพระสงฆ์ไทยทุกรูปจะหมองมัวชั่วช้าไปเสียทั้งหมด แม้จะมีพระสงฆ์บางรูปทำตัวชั่วช้าสามานย์ก็ตาม และหนทางแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมก็คือ ตัวของพระสงฆ์เองจะต้องมีความสำนึกและสำเหนียกในสมณสารูปอย่างเคร่งครัด ต้องยึดมั่นในพระธรรมวินัยอย่างเที่ยงตรง และต้องละวางจากเรื่องราวทางโลกให้ได้มากที่สุด ส่วนฆราวาสเองก็ต้องช่วยกันประคับประคองพระศาสนา ต้องช่วยกันดูแลสอดส่องพฤติกรรมของสงฆ์ โดยเฉพาะสงฆ์จำพวกโกนหัวห่มเหลืองแต่ประพฤติตัวต่ำทราม

 

(พ่อครูแทรกว่า….เขาอ้างว่า ฆราวาสไม่มีสิทธิ์วิจารณ์สงฆ์ แล้วพระสงฆ์กินข้าวจากใคร หรือเงินบริจาคของใคร ที่โกยเงินไปนั่นแหละ กินข้าวเขาอีก แล้วก็ยังมาบอกว่าอย่ามาแตะต้องฉันนะ การกันไม่ให้ฆราวาสมาแตะต้องสงฆ์ เห็นการพูดของคนบาป คนโง่ ว่าอย่ามาเปิดเผยสิ่

เน่าเหม็นนะ พระรูปใดมาพูดว่า ฆราวาสไม่ให้มาตรวจสอบสงฆ์ได้ คนนั้นคือคนผิด ขี้กลัว แผลเหวอะหวะ ถ้าคุณบริสุทธิ์สะอาดก็บอกว่า มาเลยตรวจสอบได้เลย )

 

เรื่องพระสงฆ์กับการรับเงินรับทอง และที่ดิน รวมถึงสิ่งของต่างๆ ที่ญาติโยมถวายให้กับวัดและกับพระนั้นเป็นเรื่องที่ญาติโยมต้องให้ความสำคัญให้มาก อย่าสักแต่ว่าเห็นว่าเป็นคนห่มผ้าเหลืองแล้วก็บริจาคกันแบบไม่ลืมหูลืมตา อย่าคิดว่าคนห่มผ้าเหลืองทุกคนจะเป็นพระสงฆ์ที่แท้จริงไปเสียทั้งหมด เพราะบางคนก็เป็นแค่เพียงคนห่มผ้าเหลืองโกนหัวแต่ไร้ศีลไร้สัตย์ไร้ธรรมะ บ้างก็หากินกับวัดกับผ้าเหลืองจนร่ำรวย บ้างก็อาศัยวัดเป็นที่ทำธุรกิจผิดกฎหมาย บุคคลที่ทำตัวเสมือนพระสงฆ์บางคนก็หากินอย่างไม่สุจริตโดยร่วมมือ ทำการทุจริตคดโกงกับฆราวาส

 

(พ่อครูแทรกว่า อาตมาว่าถ้าตรวจสอบเรื่องการเงินของสงฆ์ไทย อาตมาว่าจะปาราชิกกันเยอะเลย เพราะในวินัยให้โกงหรือลักเกิน 5 มาสกก็ปาราชิกแล้ว)

 

ตัวอย่างกรณีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นกับเรื่องอื้อฉาวที่เกี่ยวพันกับพระบางรูปในวัดพระธรรมกายนั้นคือปัญหาที่อยู่บนยอดของภูเขาน้ำแข็งในสังคมไทย อันที่จริงหากขุดคุ้ยลงไปให้ลึกกว่านั้นก็จะพบว่าวัดและพระสงฆ์ในสังคมไทยจำนวนไม่น้อยต่างมีปัญหาเรื่องความไม่โปร่งใสของเงินทองและทรัพย์สินที่ได้รับบริจาคด้วยกันเกือบทั้งนั้น ประเด็นที่คนจากสหกรณ์ดังกล่าวอ้างว่าไม่ได้คดโกงเงินร่วมกับวัดและพระในวัดพระธรรมกายนั้นก็เป็นเพียงคำแก้ตัวของผู้ที่ตกเป็นข่าว ซึ่งเรื่องนี้ DSI และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องต้องทำเรื่องนี้ให้ปรากฏโดยเร็ว

 

ข้อมูลที่ปรากฏแล้วคือพบว่ามีเช็ค 878 ฉบับ มูลค่ารวม 11,367 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มผู้รับเช็ค ดังนี้ กลุ่มที่ 1 คือ วัดพระธรรมกาย พระธัมมชโย มูลนิธิมหารัตน อุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง พระครูปลัดวิจารณ์ และพระลูกวัดรายอื่นๆ จำนวน 43 ฉบับ วงเงิน 932 ล้านบาท

 

กลุ่มที่ 2 คือเหล่าญาติธรรม และบุคคลใกล้ชิด นายศุภชัย ศรีศุภอักษร จำนวน 27 ฉบับ วงเงิน 348 ล้านบาท

 

กลุ่มที่ 3 คือบริษัท เอส ดับบลิวโฮลดิ้งกรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 12 ฉบับ วงเงิน 272 ล้านบาท

 

กลุ่มที่ 4 คือสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี จำนวน 3 ฉบับ วงเงิน 46 ล้านบาท

 

กลุ่มที่ 5 คือนายวัฒน์ชานนท์ นวอิสรารักษ์ นายจีรเดช วรเพียรกุล และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนรัฐประชา จำนวน 135 ฉบับ

วงเงิน 2,566 ล้านบาท

 

กลุ่มที่ 6 คือนิติบุคคล มีเงินโอนภายในประเทศและต่างประเทศ รายการถอนเงินสด แคชเชียร์เช็ค โอนบาทเน็ต ถอนเงินแบบอีซีเอส โอนเงินทางอินเตอร์เนต จำนวน 658 ฉบับ วงเงิน 7,203 ล้านบาท

 

นอกจากนี้ยังมีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่านายศุภชัยกับพระธัมมชโยและเครือข่ายในวัดพระธรรมกายมีการสั่งจ่ายเช็ค 11 ใบ รวมวงเงินกว่าพันล้านบาท (ประเด็นเหล่านี้สามารถหาอ่านได้จากหนังสือพิมพ์แนวหน้า และหนังสือพิมพ์รายวันเกือบทุกฉบับ รวมถึงข้อมูลจากสำนักข่าวอิศรา)

 

สำหรับประเด็นพระธัมมชโยต้องปาราชิกหรือไม่นั้น ไม่มีข้อต้องสงสัยใดๆ อีกต่อไปแล้ว เพราะมีพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกมาตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องปาราชิกหรือไม่จึงไม่เป็นประเด็นให้ต้องถกเถียงอีกต่อไป ส่วนผู้ที่ต้องปาราชิกจะยอมเชื่อฟังพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชหรือไม่นั้น เรื่องนี้คนที่ทำชั่วทำบาปย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่ขอย้ำว่าการขาดจากการเป็นพระด้วยการต้องปาราชิกนั้น ต้องไม่ให้ผู้ที่ต้องปาราชิกจะด้านทนห่มสวมผ้ากาสาวพัสตร์ต่อไป แต่ก็มิได้มีสถานภาพของความเป็นพระภิกษุสงฆ์อีกแล้ว ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนทำผิดที่ไม่สำนึกในความผิดที่ได้ลงมือกระทำ เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรให้ความสำคัญกับคนพรรค์อย่างว่าให้เสียเวลาอีกต่อไป

 

ขอย้ำว่า เรื่องที่เกิดกับวัดพระธรรมกายเป็นเพียงปัญหาบนยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น เพราะอันที่จริงแล้วปัญหาทำนองนี้มีเกิดขึ้นในวัดเกือบทุกแห่ง เพียงแต่วัดทั่วๆ ไปไม่ได้มีปัญหาเรื่องเช็คมูลค่าหลายพันล้านบาทเท่านั้น แต่ความจริงก็คือพระและวัดหลายแห่งในประเทศไทยไม่เคยแสดงความโปร่งใสเรื่องการเงินให้สาธารณชนได้รับรู้แม้แต่น้อย ชาวบ้านไม่เคยรู้เลยว่าในแต่ละเดือนวัดและพระได้รับเงินบริจาค จำนวนเท่าไร ได้มาโดยกรรมวิธีใด แล้วบริหารจัดการเงินอย่างไร ใช้จ่ายเดือนละกี่บาท ใช้จ่ายไปกับเรื่องอะไรบ้าง แล้วทรัพย์สมบัติที่พระบางรูปถือครองไว้นั้นได้มาอย่างไร ก็ในเมื่อพระภิกษุ สงฆ์คือผู้ขอจากญาติโยม แล้วเหตุไฉนพระสงฆ์ไทยจำนวนมากจึงมีทรัพย์สมบัติล้นเหลือ บางรูปมีรถยนต์หรูหรา บางรูปมีข้าวของเครื่องใช้ที่มีมูลค่ามหาศาล บางรูปเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศเป็นว่าเล่นทั้งๆ ที่ไม่มีกิจนิมนต์ที่สำคัญแต่ประการใด บางคนมีที่ดินหลายร้อยไร่ บางคนมีบ้านหลังใหญ่ราวกับคฤหาสน์ บางคนมีเงินให้ชาวบ้านกู้ บางคนเล่นหุ้น บางคนเป็นเจ้ามือหวยใต้ดินบางคนขายยาเสพติด บางคนเสพยาเสพติด บางคนยึดที่ธรณีสงฆ์เป็นสมบัติส่วนตัว บางคนมั่วเพศเสพเมถุนกับสีกาและผู้ชาย ฯลฯ

 

เรื่องเหล่านี้คือประเด็นปัญหาที่ทำให้วงการผ้าเหลืองไทยหมองมัวตกต่ำ แต่ปัญหาเหล่านี้ก็สามารถแก้ไขได้โดยไม่ยากเย็น ถ้าหากพุทธศาสนิกชนต้องการจะปกป้องทำนุบำรุงและรักษาพระพุทธศาสนาเอาไว้อย่างจริงจัง วิธีแก้ปัญหาเหล่านี้ทำได้ง่ายมาก ขอเพียงแค่ก่อนที่ญาติโยมจะทำบุญกับพระสงฆ์ ขอให้ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อนว่า ไอ้ที่เห็นว่าเป็นคนโกนหัวห่มผ้าเหลืองนั้น จริงๆ แล้วเป็นพระภิกษุสงฆ์โดยแท้หรือว่าเป็นอลัชชี พระเถรานุเถระท่านบอกชัดเจนว่า การสนับสนุนให้อลัชชีดำรงอยู่ได้ก็เท่ากับการจงใจทำลายล้างพระพุทธศาสนาโดยตรง ดังนั้นผู้ที่ประกาศตัวว่าเป็นชาวพุทธอย่างแท้จริงจึงไม่ควรสนับสนุนอลัชชี

 

ธรรมะอันดีจะเป็นไปตามลีลา กาละ ของมัน จะปรากฏ เช่นขณะนี้ลีลาของความจริง ก็ปรากฏออกมา ลีลาความไม่จริงก็ปรากฏ แล้วใครเห็นว่าความไม่จริงกับความจริงอะไรปรากฏมากกว่าอัน ….ก็ความไม่จริง ปรากฏมามากเหลือเกิน เหมือนคุณเฉลิมชัยว่า คือภูเขาน้ำแข็ง หรือว่าความจริงที่จะเห็นได้ต้องเป็นคนมีดวงตา ว่าความจริงมีส่วนน้อย แต่ความไม่ดีมีส่วนใหญ่ ยิ่งยุคนี้ใกล้กลียุค

 

พ่อครู..คนผิดย่อมเปิดเผยความผิดของตนไม่ได้ ใช่เล่ห์ต่อๆไป แล้วจะให้ยุติ ไม่ให้เปิดเผย แต่ตนก็โกงต่อๆ แต่ผู้ที่ถูกก็จะให้พิสูจน์ต่อๆ แต่คนไม่ถูกก็หาวิธีให้คนทั่วไปเชื่อตามเล่ห์กลว่าตนถูก คนที่เชื่อก็ไม่ฉลาด แต่คนที่ถูกจะกล้าเปิดเผยตนเองอย่างไม่กลัวไม่อาย ภาวะสังคมไทย ที่กำลังเป็นอยู่-เกิดอยู่ ปัจจุบันขณะนี้ เป็นสัจจะของสัทธรรม ที่เป็นธรรมดาจะต้องเป็นเช่นนั้นเอง(ตถตา) เป็นปกติตามจริง

 

นั่นคือ คนผิด ย่อมเปิดเผยความผิดของตนไม่ได้

ไม่กล้าเปิดเผยความผิดของตน ทั้งอาย ทั้งกลัว ทั้งโกงต่อ ทั้งใช้เล่ห์ต่ออย่างยิ่ง

 

ส่วน คนถูก ย่อมเปิดเผย ความถูกของตนได้

กล้าเปิดเผยความถูกต้องของตน ไม่เก้อ ไม่ยาก ไม่อาย ไม่กลัว ไม่โกง ไม่ต้องบิดพริ้วแต่อย่างใด

 

ยิ่งมีพฤติกรรมสังคมที่กระทบต่อส่วนรวม มีปรากฏ- การณ์แห่งวิกฤติในสังคม เกิดความผิด แล้วมีอาการปกปิด บิดพริ้ว หมักหมม เน่าใน เกิดขึ้นหนักมากในสังคมเท่าใดๆ สังคมจึงยิ่งต้องมีพฤติกรรมสังคม ให้กระทบต่อส่วนรวม ให้มีปรากฏการณ์แห่งวิเศษการในสังคม ที่เกิดความถูก ให้มีอาการเปิดเผย เพื่อแก้ ปรัปปวาทะ ให้ชัดเจน เรียบร้อย เท่านั้นๆ

 

ปร + อ + วาทะ คำว่า วาทะคือคำพูด คำสอน หรือลัทธิ ซึ่งลัทธิหรือวาทะที่เป็นอื่นไปจากศาสนาพุทธ เมื่อเกิดขึ้นมา ก็ต้องมีผู้รู้ ผู้ที่เป็นศิษย์พระพุทธเจ้า สามารถจำแนก บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย สามารถแจกแจงทำให้ง่าย ทำให้รู้เรื่อง แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ ที่มันไม่น่าจะมีคนรู้ได้ แล้วทำให้คนรู้ได้นี่เป็นปาฏิหาริย์ เขาบอกว่า ความลึกลับแล้วทำให้คนรู้เรื่องลึกลับได้เป็นปาฏิหาริย์นะ แต่อาตมาไม่ได้แสดงฤทธิ์เหาะเหินเดินน้ำดำดินนะ แต่แสดงตามอนุสาสนีปาฏิหาริย์

 

จำแนกบอกสภาวธรรมให้ชาวพุทธรู้ได้ ว่านี้ผิด นี้ถูก แยกผิดแยกถูกให้ชัดเจน ก็จะสามารถ ลูกศิษย์พระพุทธเจ้าต้องทำหน้าที่นี้ ไม่เช่นนั้นก็จะรักษาศาสนานี้ไว้ไม่ได้ อาตมากำลังชี้ว่าอันไหนผิดก็ผิดแท้ ไม่ใส่ความใส่ไคร้ อาตมาไม่ต้องการทำบาป เอาความจริงมาพูดกัน หน้าที่ปรัปวาทะ ถ้าผู้ใดสามารถทำได้ผู้นั้นคือทำปาฏิหาริย์ ที่พระพุทธเจ้าว่าให้ข่มขี่ ปรับปวาทะ ที่เกิดขึ้น ให้เรียบร้อย ให้กระจ่าง ทำอย่างเป็นปาฏิหาริย์เลยนะ เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์

 

วันนี้วันที่ 8 ก็ขออภัยที่ต้องกล่า สนพ. หรือสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา ท่านว่า ตอน 12.00 น.จะแถลงข่าวว่า

สมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา (สนพ.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 8 มีนาคม เวลา 12.00 น. ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ กรุงเทพฯ สนพ.จะแถลงข่าวเพื่อชี้แจงใน 3 ประเด็นหลัก คือ 1.แนวทางการทำงานของ สนพ.และเครือข่ายองค์กรชาวพุทธ ที่ยังมีการดำเนินการต่อ แต่ในวันที่ 12 มีนาคม คณะสงฆ์และองค์กรเครือข่ายชาวพุทธจะยังไม่มีการเคลื่อนไหวหรือออกมาสวดมนต์ใดๆ หลังจากนี้จะเฝ้าจับตาดูการทำงานของอดีตคณะกรรมการปฏิรูปฯอย่างใกล้ชิด หากพบว่ามีการกระทำที่กระทบต่อคณะสงฆ์ ทาง สนพ.และองค์กรเครือข่ายชาวพุทธจะออกมาเคลื่อนไหวทันที 2.จะเรียกร้องให้ สปช.ผลักดันให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ผ่านร่าง พ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา เพื่อแก้ไขปัญหาในการละเมิดพระธรรมวินัย เช่น ละเมิดต่อพระพุทธรูปที่เป็นเสมือนตัวแทนของพระพุทธเจ้า ละเมิดโดยการบิดเบือนคำสอน เป็นต้น และ 3.จะเร่งให้มีการจัดตั้งธนาคารเพื่อพระพุทธศาสนา ช่วยแก้ไขปัญหาการตรวจสอบทรัพย์สินของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา

(พ่อครูว่า…ถ้าไม่ให้ประชาชนตรวจสอบได้นี่ไม่ใช่ศาสนาพุทธแล้ว ทั้งที่ฆราวาสมีหน้าที่คว่ำบาตร แต่พระเขาไม่กลัวเพราะเขามีเงินในธนาคารมาก แต่สงฆ์อโศกนี่อาตมาภาคภูมิใจที่สงฆ์อโศกมีความบริสุทธิ์เรื่องไม่รับไม่มีเงินทองนี่ทำมาได้ 40 กว่าปีก็บริสุทธิ์อยู่ อาตมาว่าถ้าให้มหาเถรสมาคมสังคายนาเรื่องการเงินก็เละเทะแน่ อาตมาพูดปฏิกโกสนานะ เป็นการพูดตำหนิติเตียนด้วยเหตุผล ท่านว่าเป็นการกล่าวคัดค้านจังๆ(ต่างจากทิฏฐาวิกัมม์ ที่เป็นความเห็นแย้งแต่ไม่คัดค้าน เป็นการแสดงอย่างเบาๆ ในหมู่ ) แต่ปฏิกโกสนา นี้สามารถพูดให้ชัดเจน แรงได้ กระทบผู้ผิดได้ เลยทำให้รู้สึกว่าจังๆ แรงๆ

 

ผู้ที่ช่วยคนผิดทั้งๆที่รู้อีก มันเกิดความผิดไหม คุณอยากให้ผู้ผิดมีกำลังไหม อยากให้ความผิดมีกำลังมากขึ้นหรือไม่? ใครโง่ก็อยากให้ความผิดมากขึ้น คนถูกต้องให้ความถูกมีกำลังมากขึ้น พระพุทธเจ้าสอนให้อยู่กับบัณฑิต เอาตัวเองที่เป็นเรื่องกายกรรม มาอยู่กับหมู่บัณฑิต อย่าไปอยู่กับพวกคนพาล ส่วนภาษาก็ให้นิคคัณเห นิคคหารหัง ตำหนิอย่างมีศิลปะ หากตำหนิให้คนดื่มคำตำหนิโดยไม่โมโหได้คือคนมีเปยยวัชชะหรือปิยวาจา คำเดียวกัน คำว่าเปยยวัชชะ เป็นศาสตร์และศิลป์ หากทำให้เขารับคำตำหนิได้คือคำที่น่ารัก

 

คนที่ให้คนอื่นดื่มยาขมได้ มีศิลปะให้คนดื่มยาขมได้ อันนั้นคือคนสามารถ แต่คนไหนที่จะเอาความจริงให้เขาโดยไม่มีศิลปะเลย มันก็ไม่มี

 

สังคมวัวสันหลังหวะคือไม่สามารถตำหนิกันได้ แต่ผู้ที่อาจหาญแกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท เป็นผู้ที่มีความมั่นใจเชื่อมั่นในความจริง นี่คือยุคกาลต้องเปิดเผยความถูกและความผิดให้ชัดเจน อาตมาพูดด้วยเมตตา แต่ลีลามันจริงจัง

 

ก็ขอสรุปลงที่สัมมาทิฏฐิ

สัมมาทิฏฐิ 2 ต้องมี ปรโตโฆษะ แม้คำศัตรู คนผิดก็รับฟัง รับฟังอย่างไม่อาบน้ำกลัวเปียก ไม่เป็นชาล้นถ้วย ต้องฟังแม้สิ่งที่คันหัวใจ และผู้ฟังธรรมที่ชัดแล้ว ฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ศรัทธาบริบูรณ์ แล้วเชื่อถือศรัทธา มั่นใจ ก็7 โยนิโสฯก็จะบริบูรณ์ ผู้ใดมี ปรโตโฆษะและโยนิโสมนสิการ ก็จะมีสัมมาทิฏฐิ จนได้ทำใจในใจ

 

ศาสนาพุทธหากใครทำใจในใจได้ ทำให้กิเลสออกได้ อ่านรู้อาการใจ ที่มี อาการ ลิงค นิมิต ที่เป็นนามรูป รู้กิเลส แล้วทำกิเลสออกได้ ในพระไตรฯล.16 ข.14 แยกไว้ชัดว่า รูป คืออะไร นามคืออะไร? นามให้รู้ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

 

[14] ก็นามรูปเป็นไฉน เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ นี้เรียกว่านาม มหา

ภูตรูป 4 และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4 นี้เรียกว่ารูป นามและ รูปดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่านามรูป ฯ

 

ปฏิบัติธรรมต้องไม่ขาดกาย และกายนั้นไม่ขาดทั้งนอกและใน ใครเข้าใจว่า กายคือแค่ร่างสรีระนอกก็ผิด เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า กายคือจิต มโน วิญญาณ ในพระไตรฯล.16 ข.230 กายจึงหมายถึงนามธรรมเป็นสำคัญ

1. อัสสุตวตาสูตรที่ 1

[230] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก

เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า … ดูกร

ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเบื่อหน่ายบ้างคลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ใน

ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ความเจริญ

ก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตายก็ดี ของร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้

ย่อมปรากฏ ปุถุชนผู้มิได้สดับจึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกาย

นั้น แต่ตถาคตเรียกกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง

วิญญาณบ้างปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็น

ต้นนั้นได้เลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าจิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชนมิได้สดับ รวบรัดถือไว้

ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ดังนี้

ตลอดกาลช้านานฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้น

ในจิตเป็นต้นนั้นได้เลย ฯ

 

สรุปว่าที่พูดไปแล้ว ด้วยเจตนาดี ด้วยเมตตา ไม่ได้โกรธเกลียดนะ อาตมาประกาศตนทั้งโพธิสัตว์และอรหันต์ คนไม่มีจริงแล้วประกาศนั้นนรกจริงๆ อาตมาจริงจังกับศาสนานะ แล้วนรกขั้นปาราชิก ที่อวดถึงอรหัตตผล อวดว่าได้ปรมัตถธรรมแล้ว แต่ก็ยังมีหน้ามาโกงอีกนี่มันนรกกินหัวจริง คนไม่อาย ไม่มีลัชชาก็ช่างเขา อาตมามีลัชชา ไม่ยอมเป็นอลัชชีหรอก ในพรหมชาลสูตร พระไตรฯล.9 ท่านว่า เมื่อใดมีคนมาตู่กล่าวเราหรือศาสนา พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรมติพระสงฆ์ ในคำที่เขากล่าวตินั้น คำที่ไม่จริง เธอทั้งหลายควรแก้ให้เห็นโดยความไม่เป็นจริงว่านั่นไม่จริง แม้เพราะเหตุนี้ นั่นไม่แท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้นั่นก็ไม่มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาไม่ได้ในเราทั้งหลาย

 

ท่านไม่สอนว่า ให้ปิดปากเสีย จึงเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องมาแก้ปรับปวาทะ ก็ขอกล่าวอย่างปฏิกโกสนา กล่าวคัดค้านอย่างจัง ตามคำแปลของท่านประยุทธ์ ปยุตฺโต ก็ขอขอบคุณท่านด้วย ก็ให้ช่วยกันรักษาศาสนาด้วย สปช.อย่าปล่อยให้มารมาข่มขู่ทำร้ายได้….เจริญธรรม


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 18:08:26 )

580309

รายละเอียด

580309_ธรรมาธรรมะสงคราม สันติอโศก เรื่อง ทบทวน มหานิทานสูตร 1

พ่อครูว่า...วันนี้ วันที่ 9 มี.ค. 2558 วันนี้ตั้งใจขยายเนื้อหาสาระของ มหานิทานสูตร เป็นการเก็บรายละเอียดแล้วจะอ้างอิงเหตุการณ์กระแสศาสนาหลักในเมืองไทยด้วย ก็ต้องขออภัยแล้วอภัยอีก ก็เป็นการยืนยันพุทธธรรมของพระพุทธเจ้าว่าทำไมเพี้ยนไปมาก กลายเป็นธรรมะอลัชชีแล้ว ไม่มีลักษณะลัชชากันแล้ว ไม่ละอายกันเลย อาตมาพูดไปก็เลยกลายเป็นเรื่องปรับปวาทะ เพราะทางโน้นก็ยิ่งดำ เราบอกขาวไป ก็เลยขัดกันมาก ชัดเลย แล้วคนก็มีกิเลสถือดีถือตัวจะถูกกระแทก คำที่กระแทกความผิดของคนผิด มันแรงมาก เขาก็เรียกคำนั้นว่า ด่า มันกระแทกความผิดของคนผิดแรงมาก พระพุทธเจ้าเรียกว่า ปฏิกโกสนา เป็นการขัดแข้ง ค้านต่อต้านอย่างจัง เป็นยุคเป็นกาละที่จะต้องทำด้วย ขอย้ำอีกว่าถ้าคราวนี้ไม่ทำให้ส่ิงผิดนี้ล้มไปได้ สิ่งผิดนี้จะผยองมาก เมืองไทยจะกลายเป็นเมืองนรกไปเลย ไม่ได้พยากรณ์นะ อาตมาเชื่อมั่นอย่างนั้น คราวนี้เขาจะต้องดิ้นสุดขีด

 

ผู้ที่มีความผิดเขาต้องดิ้นแน่ ผู้ผิดเขาไม่ยอมเปิดเผยความผิดเขาหรอก เปิดออกมามันก็อาย กลัว ก็เลยจำเป็นต้องโกงใช้เลห์ ลักษระบอกว่ายุติๆ นั่นแหละตคือเล่ห์ อย่ามาประท้วงอย่ามาวิจารให้จบๆ นี่คือเล่ห์ เพระาคนผิดนั้นเปิดเผยไม่ได้ คนผิดต้องพยายามปกปิด ป้องกันตนเอง สุดฤทธิ์ เพราะมันผิดหนัก ผิดแรง และผิดถลำตัวกันไปทั้งขบวนด้วย มันน่าเศร้ามากในประเทศไทย ทั้งขบวนที่เกาะกลุ่มกันทำหน้าที่ ก็มีบริวารซูฮกไปด้วยเท่าที่ไป ผู้ไม่ยอมก็ไม่ไปกับเขา

 

คนถูกจึงจำเป็นมาก คนถูกไม่กลัว ไม่อาย เปิดเผยได้ ไม่โกง ไม่บิดพลิ้ว อย่างใดด้วย ในพฤติกรรมสังคม ความประพฤติของปชช.แล้ว พฤติกรรมสังคมที่กระทบต่อสังคม ไม่ว่าจะฝ่ายดำหรือขาว ก็มีพฤติกรรมสังคม ถ้าฝ่ายดำก็มีพฤติกรรมอย่างแรงเป็นปรากฏการณ์ วิกฤติด้วยความผิด เกิดความผิดให้เห็นๆ พยายามปกปิดบิดพลิ้ว หมักหมมเน่าใน ไม่กล้าเปิดไม่กล้าให้แตะต้อง เป็นนักมวยเตะตัดขา

 

ฝ่่ายขาวก็ต้องมีพฤติกรรมให้กระทบสังคมด้วย ไม่เอาปืนผาหน้าไม้อาวุธมาสู้หรือด่ากันอย่างสาดเสียเทเสีย แต่สู้ด้วยความกล้า ความจริง สุภาพ เรียบร้อยเมตตา เอาความจริงเข้าสู้ที่สำคัญต้องกล้า คนถูกต้องไม่กล้า แล้วโลกจะอยู่อย่างไร ให้คนผิดกล้าแต่ฝ่ายเดียว แล้วคนถูกไม่กล้าเท่าคนผิด ก็แพ้อย่างเดียว จึงต้องทำหน้าที่ ทุกคนมีหน้าที่รักษาสังคมให้ถูกต้องเท่าที่คุณเห็น เราไม่บังคับใครได้ ใครเห็นจริงอย่างใดก็ทำตามน้ั้น

 

กฎอัยการศึกก็มี แต่ความเคลื่อนไหวทางคุณธรรม มันไม่ใช่เรื่องโลกๆ แต่เป็นความเคลื่อนไหวที่ไม่รุนแรง ขอยืนยัน ว่าได้ทำให้เห็นแล้ว เรานำขบวนไปไม่ทำให้เกิดรุนแรง เรามีกุศลคุ้มอยู่บ้าง ไม่ใช่สมาชิกในๆเราก็มีตายบ้าง

 

เมื่อสังคมย่ิงต้องให้มีพฤติกรรมสังคมที่กระทบสังคม ทั้งฝ่ายดำ และขาว เกิดธรรมาธรรมะสงคราม มีพลังงานสองอย่าง ต้องสร้างความจริง ให้มีปรากฏการณ์แห่งวิเศษการณ์ เพื่อแก้ปรับปวาทะ

 

ปรับปวาทะคือคำพูดที่เป็นอื่น ผิดเพี้ยนไปจากธรรมะของพระพุทธเจ้า มันแสวงบุญนอกขอบเขตพุทธไปแล้ว ผู้รู้ต้องมายืนยัน แต่งตั้งบัญญัติ อธิบายให้ผู้อื่นได้รู้ ปชช.ได้รู้ สิ่งที่ถูกต้องสุดท้ายจะเหนือความผิดได้ หรือว่าจะข่มขี่ ผู้ที่ผิดได้ คำว่าข่ม เป็นโวหาร เราไม่ทำลักษณะข่มกัน แต่ให้รู้ว่าอันไหนเหนือกว่า (สุนิคคหิตัง) คือตำหนิข่ม เพราะมันเรื้อรังเน่าในมานานแล้ว ถึงเวลาต้องรักษา

 

ปรับปวาทะ ที่เป็นคำพูดคำสอน มันแยกออกไปแล้ว เป็นอื่นไปจากของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ต้องทำให้ถูกทิศทางของพระพุทธเจ้า อาตมาพยายามกระทำมาตลอด ตอนนี้ย่ิงทำหนัก

 

มาเร่ิมต้นที่มหานิทานสูตรมาทบทวน...

 

ท่านเริ่มต้นด้วยพระพุทธเจ้าพูดกับพระอานนท์ ท่านเริ่มด้วยปฏิจจสมุปบาท ว่าเป็นของลึก ผู้รู้จริงจึงแทงตลอดได้ ถ้าผู้ไม่รู้จริง เอาเรื่องลึกมาพูดจะกลายเป็นยุ่งประดุจด้ายของช่างหูก ,หญ้ามุงกระต่าย,หญ้าปล้อง, พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า ถ้าจะเรียนปฏิจจสมุปบาท ท่านเร่ิมด้วย ชรา มีอะไรเป็นปัจจัย ...อวิชชา ...สังขาร...วิญญาณ ...นามรูป...สฬายตนะ...ผัสสะ...เวทนา....ตัณหา ...อุปาทาน..ภพ...ชาติ...ชรา มรณะ โศกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาสะ

 

พระไตรฯล. 10 ข. 57......

 

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธออย่าพูดอย่างนั้น อานนท์ เธออย่าพูดอย่างนั้น    อานนท์
ปฏิจจสมุบาทนี้ ลึกซึ้งสุดประมาณและปรากฏเป็นของลึก ดูกรอานนท์   เพราะไม่รู้จริง เพราะ
ไม่แทงตลอด ซึ่งธรรมอันนี้ หมู่สัตว์นี้ จึงเกิดเป็นผู้ยุ่งประดุจด้ายของช่างหูก เกิดเป็นปม
ประหนึ่งกระจุกด้าย เป็นผู้เกิดมาเหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง จึงไม่พ้นอุบาย ทุคติ
วินิบาต สงสาร

 

ดูกรอานนท์   เมื่อเธอถูกถามว่า ชรามรณะ มีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึง
ตอบว่า มี ถ้าเขาถามว่า  ชรามรณะมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีชาติเป็นปัจจัย เมื่อ
เธอถูกถามว่า ชาติมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี ถ้าเขาถามว่า ชาติมีอะไรเป็นปัจจัย
เธอพึงตอบว่า มีภพเป็นปัจจัย เมื่อเธอถูกถามว่า ภพมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี
ถ้าเขาถามว่า ภพมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีอุปาทานเป็น ปัจจัย เมื่อเธอถูกถามว่า
อุปาทานมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี ถ้าเขา  ถามว่า อุปาทานมีอะไรเป็นปัจจัย
เธอพึงตอบว่า มีตัณหาเป็นปัจจัย เมื่อเธอถูกถามว่า ตัณหามีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า
มี ถ้าเขาถามว่า ตัณหามี    อะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีเวทนาเป็นปัจจัย เมื่อเธอถูกถามว่า
เวทนามี      สิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี ถ้าเขาถามว่า เวทนามีอะไรเป็นปัจจัย เธอ
พึงตอบว่า มีผัสสะเป็นปัจจัย เมื่อเธอถูกถามว่า ผัสสะมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอ  พึงตอบว่า
มี ถ้าเขาถามว่า ผัสสะมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีนามรูป  เป็นปัจจัย เมื่อเธอถูก
ถามว่า นามรูปมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี ถ้า   เขาถามว่า นามรูปมีอะไรเป็นปัจจัย
เธอพึงตอบว่า มีวิญญาณเป็นปัจจัย เมื่อ เธอถูกถามว่า วิญญาณมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี ถ้าเขาถามว่า วิญญาณมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีนามรูปเป็นปัจจัย ดูกร
อานนท์  เพราะนามรูปเป็นปัจจัยดังนี้แล จึงเกิดวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิด นามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิด เวทนา เพราะเวทนาเป็น
ปัจจัยจึงเกิดตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดอุปาทาน   เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ
เพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ เพราะชาติเป็น   ปัจจัย จึงเกิดชรามรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัส
อุปายาส ฯ
     

ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมมีด้วยประการฉะนี้ ฯ
      

 

 

[58] ก็คำนี้ว่า เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงเกิดชรามรณะ เรากล่าวอธิบาย ดังต่อไปนี้
      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้   กล่าวไว้ว่า
เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงเกิดชรามรณะ ดูกรอานนท์ ก็แลถ้าชาติมิได้   มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ
ทั่วไปทุกแห่งหน คือ มิได้มีเพื่อความเป็นเทพแห่งพวกเทพ เพื่อความเป็นคนธรรพ์แห่งพวก
คนธรรพ์ เพื่อความเป็นยักษ์แห่งพวกยักษ์ เพื่อความเป็นภูตแห่งพวกภูต เพื่อความเป็นมนุษย์
แห่งพวกมนุษย์ เพื่อความเป็น  สัตว์สี่เท้าแห่งพวกสัตว์สี่เท้า เพื่อความเป็นปักษีแห่งพวกปักษี
เพื่อความเป็น สัตว์เลื้อยคลานแห่งพวกสัตว์เลื้อยคลาน ดูกรอานนท์ ก็ถ้าชาติมิได้มีเพื่อความ
 เป็นอย่างนั้นๆ แห่งสัตว์พวกนั้นๆ เมื่อชาติไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะชาติ   ดับไป ชรา
และมรณะจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ
     

 

ไม่ได้เลยพระเจ้าข้า ฯ
     

 

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งชรามรณะ  ก็คือชาติ
นั่นเอง ฯ
      ก็คำนี้ว่า เพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้
     

 

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบข้อความนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้   กล่าวไว้ว่า
เพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าภพมิได้มีแก่ใครๆ    ในภพไหนๆ ทั่วไปทุก
แห่งหน คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ เมื่อภพไม่มีโดย ประการทั้งปวง เพราะภพดับไป
ชาติจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ
     

 

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
     

 

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งชาติ ก็คือภพนั่นเอง ฯ
     

 

ก็คำนี้ว่า เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ เรากล่าวอธิบายดัง ต่อไปนี้

 

เรามาอ่านพระไตรฯดีกว่าอ่านนิยายนะ อย่างยาขอบ แต่ง ผู้ชนะสิบทิศนี้ เป็นนิยายที่แย่มาก มีแต่ความโหดร้ายรุนแรงกับเรื่องกามเท่านั้น

 

ชาติ พระพุทธเจ้าตรัสในพระไตรฯ ล.16 ข. ชาติ มี 5 อย่างคือ ชาติ สัญชาติ โอกกันตะ นิพพัตติ อภินิพพัตตะ

 

ชาติ คือความเกิด ในพระไตรฯล.16 ข.7 [7] ก็ชาติเป็นไฉน ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลง  เกิด  เกิดจำเพาะ  ความ
ปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ ของ เหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชาติ ฯ
 

 

พ่อครูว่า...ท่านมีฟุตโน้ตว่า คำว่า โอกกันติหมายถึง ชราพุชโยนิ กับอัณฑชโยนิ อาตมาก็ว่าท่านเดาเอานะ อาตมาว่าไม่ถูก มันหมายถึงนามธรรม อันนี้มันเรื่องปรมัตถ์ เป็นสัจธรรมขั้นไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขาแต่กลับไปเรียก โอกกันตะว่าเป็นชราพุชโยนิ คือสัตว์ที่เกิดจากมดลูก และอัณฑชโยนิคือเกิดจากไข่

 

ส่วน นิพพัตติท่านหมายถึง สังเสทชโยนิ คือสัตว์ที่เกิดจากน้ำคร่ำ พวกแบคทีเรีย ก็เป็นตัวตนบุคคลเราเขาอีก

 

ส่วน อภินิพพัตติท่านแปลว่า โอปปาติกโยนิ อันนี้ถูก แต่อาตมาว่า ชาติ ทั้ง 5 แบบนี้เป็น โอปปาติกโยนิทั้งหมดเลย จิตของใครเร่ิมเกิดเป็นชาติ เราก็ต้องอ่านอาการจิตที่เกิด เมื่อเกิดขึ้น จิตนั้นเป็นลักษณะใด ผู้มีญาณปัญญาอ่านออก แต่ไปยึดเป็นตัวตนบุคคลเราก็จะเข้าใจว่าไม่ใช่ เราต้องมีปัญญารู้ว่าไม่ใช่ การเกิดชาติไม่ใช่ตัวตน เช่นกายในกาย เราหลับตาแล้วไม่เห็นรูปภายนอก แล้วเราก็เห็นรูปภายใน ก็ไปยึดตัวตน ที่เป็นนาม ก็ยังเรียนรู้ไม่ได้ พระพุทธเจ้าว่าไม่ได้ พระพุทธเจ้าให้พิจารณา ไม่ใช่ให้เห็นเป็นตัวตนเลย เป็นเทพแห่่งเทพ เช่น จตุมหาราชิกา เป็นยักษ์ชั้นเทพ ชั้นมหาราช คำว่ายักษ์นี้ไม่ได้หมายถึงตัวตนบุคคล แต่เขาพยายามสื่อให้รู้ว่าคือสัตว์ร้าย แต่เป็นเทพก็ไม่ใช่เทพสมใจชนะได้ลาภ ได้ยศ สรรเสริญ ได้กาม ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา เป็นต้น ต้องอ่านให้ออก เมื่อสามารถรู้ จิตเรา อ่านอาการ ลิงค นิมิต อุเทสออก คือรู้เจตสิกของเรา

 

มาอธิบาย รูปกาย และ นามกาย

 

คำว่า รูป คำนี้ คือนามรูป ไม่ใช่รูปขันธ์ คำว่ารูปขันธ์เน้นข้างนอก แต่ว่า นามรูปนี้เน้นภายใน คำว่ากายนี้ พระพุทธเจ้าว่าคือจิต มโน วิญญาณ คือนาม คำว่า กายนี้ขาดข้างนอกไม่ได้ แต่สำคัญต้องวิจัยที่ภายใน อย่างไ่ม่ขาดจากภายนอก อย่างเช่นอานาปานสติ นี่จะไปนั่งที่ป่า เขา ถ้ำก็ดี (เพราะยุคโน้นเขาไปป่าเขาถ้ำปฎิบัติธรรมกันมาก)

 

ในพระไตรฯ ล.16 ข.60

 

พ่อครูว่า...ผัสสะกับเวทนาหรือเวทนากับเวทนา ก็มารวมกัน รวมกันเป็นหนึ่งเดียว โดยส่วนสอง โดยจับอ่านองค์ประชุม สองในหนึ่งหรือหนึ่งในสองนี้แหละ จับได้แล้ว แยกแยะได้แล้ว ก็มาต่อ...

 

 

                 [60] ดูกรอานนท์ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา

โดยส่วนสอง ด้วยประการดังนี้แล ฯ

 

            ก็คำนี้ว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา

เรากล่าวอธิบาย ดังต่อไปนี้

( [60]  อิติ  โข  อานนฺท  อิเม  เทฺว  ธมฺมา  ทฺวเยน  เวทนาย
เอกสโมสรณา   ภวนฺติ   ฯ   ผสฺสปจฺจยา   เวทนาติ  อิติ  โข  ปเนต
วุตฺต    ฯ    ตทานนฺท    อิมินาเปต    ปริยาเยน   เวทิตพฺพ   ยถา
ผสฺสปจฺจยา  เวทนา  1  ฯ  ผสฺโส  จ  หิ  อานนฺท  นาภวิสฺส สพฺเพน
#1 ม. เวทนาติ ฯ
)

            ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้

เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา

 

ดูกรอานนท์ ก็ถ้าผัสสะมิได้มีแก่ใครๆ

ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ

จักษุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส

เมื่อไม่มีผัสสะ โดยประการทั้งปวง เพราะดับผัสสะเสียได้

เวทนาจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

            ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

             เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย

แห่งเวทนา ก็คือ ผัสสะ นั่นเอง ฯ

 

            ก็คำนี้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ

เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้-

 

            ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้

เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ

 

ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามกาย

ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ

เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุเทศ นั้นๆ ไม่มี

การสัมผัสเพียงแต่ชื่อในรูปกาย จะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

            ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

 

            ดูกรอานนท์ การบัญญัติรูปกาย

ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ

            เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี

การสัมผัสโดยการกระทบ จะพึงปรากฏใน นามกาย ได้บ้างไหม ฯ

            ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

 

            ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามก็ดี รูปกายก็ดี

ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ

เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี

การสัมผัสเพียงแต่ชื่อก็ดี การสัมผัสโดยการกระทบก็ดี

จะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

            ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

 

            ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามรูป

ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ

            เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี

ผัสสะจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

            ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

            เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย

แห่งผัสสะ ก็คือ นามรูป นั่นเอง ฯ

 

            ก็คำนี้ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป

เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้-

 

            ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้

เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า  เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงเกิดนามรูป

 

ดูกรอานนท์ ก็วิญญาณ จักไม่หยั่งลง ในท้องแห่งมารดา

นามรูป จักขาด ในท้องแห่งมารดาได้บ้างไหม ฯ

            ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

 

            ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณหยั่งลงในท้องแห่งมารดา แล้วจักล่วงเลยไป

            นามรูปจักบังเกิด เพื่อความเป็นอย่างนี้ได้บ้างไหม ฯ

            ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

 

            ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณ ของกุมารก็ดี ของกุมาริกาก็ดี

ผู้ยังเยาว์วัยอยู่  จักขาดความสืบต่อ

นามรูปจักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ ได้บ้างไหม ฯ

            ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

            เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย

แห่งนามรูป ก็คือ วิญญาณนั่นเอง ฯ

 

            ก็คำนี้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดวิญญาณ

เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้-

 

            ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้

เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดวิญญาณ

 

ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณ จักไม่ได้อาศัยในนามรูปแล้ว

ความเกิดขึ้นแห่ง ชาติชรามรณะ และกองทุกข์

พึงปรากฏต่อไปได้บ้างไหม ฯ

            ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

            เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย

แห่งวิญญาณ ก็คือ นามรูปนั่นเอง

ด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้แหละ อานนท์

วิญญาณและนามรูป จึงยังเกิด แก่ ตาย จุติ หรืออุปบัติ

ทางแห่งชื่อ ทางแห่งนิรุติ ทางแห่งบัญญัติ

ทางที่กำหนดรู้ ด้วยปัญญา และวัฏฏสังสาร

ย่อมเป็นไป ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ๆ

ความเป็นอย่างนี้ ย่อมมีเพื่อบัญญัติ คือ นามรูปกับวิญญาณ

 

 

พ่อครูว่า...ถ้าเรามีญาณอ่่าน นามรูปได้ ต้องมี ตากระทบรูป หูกระทบเสียง...ต้องมีวิญญาณรับรู้ด้วยนี่คือความจริงนี่คือกาย คือนามรูป แม้จะเน้นหามโนก็ตามก็ไม่ท้ิงภายนอก จิตวิญญาณละเอียดชั้นในเรียกว่า มโน

 

 

      [61] ดูกรอานนท์ บุคคลเมื่อจะบัญญัติอัตตา

ย่อมบัญญัติด้วยเหตุ ประมาณเท่าไร

 

ก็เมื่อบุคคลจะบัญญัติอัตตา มีรูปเป็นกามาวจร

ย่อมบัญญัติว่า อัตตาของเรา มีรูปเป็นกามาวจร

 

เมื่อบัญญัติอัตตา มีรูปหาที่สุดมิได้

ย่อมบัญญัติว่า อัตตาของเรา มีรูปหาที่สุดมิได้

 

เมื่อบัญญัติอัตตา ไม่มีรูปเป็นกามาวจร

ย่อมบัญญัติว่า อัตตาของเรา ไม่มีรูปเป็นกามาวจร

 

เมื่อบัญญัติอัตตา ไม่มีรูปหาที่สุดมิได้

ย่อมบัญญัติว่า อัตตาของเรา ไม่มีรูปหาที่สุดมิได้ ฯ

 

      ดูกรอานนท์ บรรดาความเห็น 4 อย่างนั้น

ผู้ที่บัญญัติอัตตา มีรูปเป็น กามาวจรนั้น

ย่อมบัญญัติในกาลบัดนี้ หรือบัญญัติซึ่งสภาพ ที่เป็นอย่างนั้น

หรือ  มีความเห็นว่า

เราจักยังสภาพอันไม่เที่ยงแท้ ที่มีอยู่ให้สำเร็จ

เพื่อเป็นสภาพที่ เที่ยงแท้

อานนท์ การลงความเห็นว่า

อัตตาเป็นกามาวจร ย่อมติดสันดานผู้มีรูป ที่เป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย ฯ

 

            ดูกรอานนท์ บรรดาความเห็น 4 อย่างนั้น

ผู้มีบัญญัติอัตตามีรูปหาที่สุด  มิได้นั้น

ย่อมบัญญัติในกาลบัดนี้ หรือบัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น

หรือมี ความเห็นว่า

เราจักยังสภาพที่ไม่เที่ยงแท้อันมีอยู่ ให้สำเร็จ

เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้

 อานนท์ การลงความเห็นว่า

อัตตาหาที่สุดมิได้ ย่อมติดสันดานผู้มีรูปที่เป็นอย่างนี้

 เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย ฯ

 

            ดูกรอานนท์ บรรดาความเห็น 4 อย่างนั้น

ผู้ที่บัญญัติอัตตาไม่มีรูปเป็น กามาวจรนั้น

ย่อมบัญญัติในกาลบัดนี้ หรือบัญญัติ ซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น

หรือ มีความเห็นว่า

เราจักยังสภาพอันไม่เที่ยงแท้ ที่มีอยู่ให้สำเร็จ

เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้

 

อานนท์ การลงความเห็นว่า

อัตตาเป็นกามาวจร ย่อมติดสันดานผู้มีอรูป ที่เป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย ฯ

 

      ดูกรอานนท์ บรรดาความเห็น 4 อย่างนั้น

ส่วนผู้ที่บัญญัติ อัตตาไม่มีรูป ทั้งหาที่สุดมิได้นั้น

ย่อมบัญญัติในกาลบัดนี้ หรือบัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น

 หรือมีความเห็นว่า

เราจักยังสภาพที่ไม่เที่ยงแท้ อันมีอยู่ให้สำเร็จ

เพื่อเป็นสภาพ ที่เที่ยงแท้

อานนท์ การลงความเห็นว่า

อัตตาหาที่สุดมิได้ ย่อมติดสันดาน ผู้มีอรูป

เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย ฯ

 

            ดูกรอานนท์ บุคคลเมื่อจะบัญญัติอัตตา

ย่อมบัญญัติด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล ฯ

 

 

 

 

 

      [62] ดูกรอานนท์ บุคคลเมื่อไม่บัญญัติอัตตา

ย่อมไม่บัญญัติด้วยเหตุ มีประมาณเท่าไร

 

อานนท์ ก็เมื่อบุคคลไม่บัญญัติอัตตามีรูปเป็นกามาวจร

ย่อมไม่บัญญัติว่า อัตตาของเรามีรูปเป็นกามาวจร

 

เมื่อไม่บัญญัติอัตตามีรูปอันหาที่สุดมิได้

 ย่อมไม่บัญญัติว่า อัตตาของเรามีรูปหาที่สุดมิได้ หรือ

 

เมื่อไม่บัญญัติอัตตาไม่มี รูปเป็นกามาวจร

ย่อมไม่บัญญัติว่า อัตตาของเราไม่มีรูปเป็นกามาจร

 

เมื่อไม่ บัญญัติอัตตาไม่มีรูปหาที่สุดมิได้

ย่อมไม่บัญญัติว่า อัตตาของเราไม่มีรูปหาที่สุดมิได้

 

 อานนท์ บรรดาความเห็น 4 อย่างนั้น

ผู้ที่ไม่บัญญัติอัตตามีรูปเป็นกามาวจรนั้น

 ย่อมไม่บัญญัติในกาลบัดนี้

หรือไม่บัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น

หรือไม่มีความ เห็นว่า

เราจักยังสภาพอันไม่เที่ยงแท้ ที่มีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้

 

 อานนท์ การลงความเห็นว่า

อัตตาเป็นกามาวจร ย่อมไม่ติดสันดานผู้มีรูปที่เป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย

 

     ผู้ที่ไม่บัญญัติอัตตามีรูปหาที่สุดมิได้นั้น

ย่อมไม่บัญญัติในกาลบัดนี้

หรือ ไม่บัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น

หรือไม่มีความเห็นว่า

เราจักยังสภาพอัน ไม่เที่ยงแท้ที่มีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้

 

อานนท์ การลงความเห็นว่า

 อัตตาหาที่สุดมิได้ ย่อมไม่ติดสันดานผู้มีรูปที่เป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย

 

      ส่วนผู้ที่ไม่บัญญัติอัตตาไม่มีรูปเป็นกามาวจรนั้น

ย่อมไม่บัญญัติในกาลบัดนี้

หรือไม่บัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น

หรือไม่มีความเห็นว่า

เราจักยังสภาพ อันไม่เที่ยงแท้ที่มีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้

 

อานนท์ การลงความเห็นว่า

อัตตาเป็นกามาวจร ย่อมไม่ติดสันดานผู้มีอรูปที่เป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย

 

      ผู้ที่ไม่บัญญัติอัตตาไม่มีรูปหาที่สุดมิได้นั้น

ย่อมไม่บัญญัติในกาลบัดนี้

 หรือไม่บัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น

หรือไม่มีความเห็นว่า

เราจักยังสภาพอันไม่เที่ยงแท้ที่มีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้

 

อานนท์ การลงความเห็นว่า

 อัตตาหาที่สุดมิได้ ย่อมไม่ติดสันดานผู้มีอรูปที่เป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย ฯ

 

      ดูกรอานนท์ บุคคลเมื่อไม่บัญญัติอัตตา

ย่อมไม่บัญญัติด้วยเหตุมีประมาณ เท่านี้แล ฯ

 

 

 

      [63] ดูกรอานนท์

บุคคลเมื่อเล็งเห็นอัตตา ย่อมเล็งเห็นด้วยเหตุมีประมาณเท่าไร

ก็บุคคลเมื่อเล็งเห็นเวทนาเป็นอัตตา ย่อมเล็งเห็นว่า เวทนาเป็นอัตตาของเรา

ถ้าเวทนาไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว อัตตาของเราก็ไม่ต้องเสวยเวทนา

 

 อานนท์ หรือเล็งเห็นอัตตา ดังนี้ว่า

เวทนาไม่เป็นอัตตาของเราเลย

จะว่าอัตตา ของเราไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่

อัตตาของเรายังต้องเสวยเวทนาอยู่

เพราะฉะนั้น  อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา

 

อานนท์ บรรดาความเห็น 3 อย่างนั้น ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า

เวทนาเป็นอัตตาของเรา เขาจะพึงถูกซักถามอย่างนี้ว่า

อาวุโส เวทนา  มี 3 อย่างนี้ คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา

บรรดาเวทนา 3 ประการนี้ ท่านเล็งเห็นอันไหนโดยความเป็นอัตตา

 

อานนท์ ในสมัยใด อัตตา เสวยสุขเวทนา

ในสมัยนั้น ไม่ได้เสวยทุกขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา

 คงเสวยแต่สุขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น

 

ในสมัยใดอัตตาเสวยทุกขเวทนา 

ไม่ได้ เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา

คงเสวยแต่ทุกขเวทนาอย่างเดียว เท่านั้น

 

ในสมัยใด อัตตาเสวยอทุกขมสุขเวทนา

ในสมัยนั้นไม่ได้เสวยสุขเวทนา  ไม่ได้เสวยทุกขเวทนา

คงเสวยแต่อทุกขมสุขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น

 

(พ่อครูว่า ในขณะเสวยเวทนาใดๆ ก็จะเสวยเพียงเวทนาเดียวเท่านั้น จะไม่เสวยเวทนาอื่นในขณะเดียวกันได้เลย)

 

ดูกรอานนท์ เวทนาแม้ที่เป็นสุขก็ดี

แม้ที่เป็นทุกข์ก็ดี แม้ที่เป็นอทุกขมสุขก็ดี

ล้วนไม่เที่ยง เป็นเพียงปัจจัยปรุงแต่งขึ้น

มีความสิ้นความเสื่อม ความคลาย

และความดับไปเป็นธรรมดา

 

เมื่อเขาเสวยสุขเวทนา

ย่อมมีความเห็นว่า นี้เป็นอัตตาของเรา

ต่อสุขเวทนาอันนั้นดับไป

จึงมีความเห็นว่า อัตตาของเรา ดับไปแล้ว

 

เมื่อเสวยทุกขเวทนา

ย่อมมีความเห็นว่า นี้เป็นอัตตาของเรา

ต่อทุกขเวทนาอันนั้นแลดับไป

จึงมีความเห็นว่า อัตตาของเราดับไปแล้ว

 

เมื่อเสวย อทุกขมสุขเวทนา

ย่อมมีความเห็นว่า นี้เป็นอัตตาของเรา

ต่ออทุกขมสุขเวทนา อันนั้นแลดับไป

จึงมีความเห็นว่า อัตตาของเราดับไปแล้ว

 

ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า เวทนาเป็นอัตตาของเรานั้น

เมื่อเล็งเห็นอัตตา ย่อมเล็งเห็นเวทนาอันไม่เที่ยง

 เกลื่อนกล่นไปด้วยสุขและทุกข์

มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา

เป็นอัตตาในปัจจุบันเท่านั้น

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์

ข้อนี้จึงยังไม่ควรที่จะ เล็งเห็นว่า

เวทนาเป็นอัตตาของเรา

แม้ด้วยคำดังกล่าวแล้วนี้ ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า

 ถ้าเวทนาไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว

อัตตาของเราก็ไม่ต้องเสวยเวทนา

เขาจะพึง ถูกซักอย่างนี้ว่า

ในรูปขันธ์ล้วนๆ ก็ยังมิได้มีความเสวยอารมณ์อยู่ทั้งหมด

ในรูปขันธ์นั้น ยังจะเกิดอหังการว่าเป็นเราได้หรือ ฯ

            ไม่ได้ พระเจ้าข้า ฯ

 

    เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์

ข้อนี้จึงยังไม่ควรที่จะเล็งเห็นว่า

ถ้าเวทนา ไม่เป็นอัตตา ของเราแล้ว

อัตตาของเรา ก็ไม่ต้องเสวยเวทนา

 แม้ด้วยคำดังกล่าวแล้วนี้

 

ส่วนผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า

เวทนาไม่เป็นอัตตาของเราเลย

อัตตาของเราไม่ต้องเสวยเวทนา ก็ไม่ใช่

 อัตตาของเรา ยังต้องเสวยเวทนาอยู่

เพราะว่า อัตตาของเรา มีเวทนาเป็นธรรมดา

 

เขาจะพึงถูกซักอย่างนี้ว่า อาวุโส

ก็เพราะเวทนา จะต้องดับไป ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่เหลือเศษ

เมื่อเวทนาไม่มี โดยประการทั้งปวง เพราะเวทนาดับไป

ยังจะเกิดอหังการว่า เป็นเราได้หรือ

ในเมื่อขันธ์นั้นๆ ดับไปแล้ว ฯ

            ไม่ได้ พระเจ้าข้า ฯ

 

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์

ข้อนี้จึงยังไม่ควรที่จะเล็งเห็นว่า

เวทนาไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว

อัตตาของเรา ไม่ต้องเสวยเวทนาเลย ก็ไม่ใช่

อัตตาของเรา ยังต้องเสวยเวทนาอยู่

เพราะว่า อัตตาของเรา มีเวทนาเป็นธรรมดา

แม้ด้วยคำ ดังกล่าวแล้วนี้ ฯ

 

 

พ่อครูว่า....อรหันต์นั้นอัตตาเราไม่มีเพราะเราดับไปแล้ว แต่เวทนาเราก็ยังมีอยู่ จะว่าเรามีอัตตาไหม? เรามีอัตตาโดยภาษาบัญญัติ เราไม่ได้เป็นสุขทุกข์ เราเพียงอาศัยอัตตาเท่านั้น

 

      [64] ดูกรอานนท์ คราวใดเล่า

ภิกษุไม่เล็งเห็น เวทนาเป็นอัตตา

ไม่เล็งเห็นอัตตาว่า ไม่ต้องเสวยเวทนา ก็ไม่ใช่

ไม่เล็งเห็นว่า อัตตายังต้องเสวยเวทนาอยู่

เพราะว่า อัตตาของเรา มีเวทนาเป็นธรรมดา

ภิกษุนั้น เมื่อเล็งเห็นอยู่อย่างนี้

 ย่อมไม่ยึดมั่นอะไรๆ ในโลก

และเมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะทกสะท้าน

เมื่อไม่สะทกสะท้าน ย่อมปรินิพพานได้เฉพาะตน

ทั้งรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ อยู่จบแล้ว

กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว

กิจอื่น เพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี

 

อานนท์

 ผู้ใดกล่าวอย่างนี้ว่า

ทิฐิว่าเบื้องหน้าแต่ตาย สัตว์ยังมีอยู่

ว่าเบื้องหน้าแต่ตาย สัตว์ไม่มีอยู่

ว่าเบื้องหน้าแต่ตาย สัตว์มีอยู่ด้วย ไม่มีอยู่ด้วย

ว่าเบื้องหน้าแต่ตาย สัตว์มีอยู่ก็หามิได้ ไม่มีอยู่ก็หามิได้

ดังนี้ กะภิกษุผู้หลุดพ้นแล้วอย่างนี้

การกล่าวของบุคคลนั้น ไม่สมควร ฯ

      ข้อนั้น เพราะเหตุไร

 

      ดูกรอานนท์ ชื่อ ทางแห่งชื่อ ทางแห่งนิรุติ

บัญญัติ ทางแห่งบัญญัติ

 การแต่งตั้ง ทางที่กำหนดรู้ ด้วยปัญญา

วัฏฏะยังเป็นไป อยู่ตราบใด วัฏฏสงสาร ยังคงหมุนเวียน อยู่ตราบนั้น

เพราะรู้ยิ่งวัฏฏสงสารนั้น ภิกษุจึงหลุดพ้น

ข้อที่มีทิฐิว่า ใครๆ ย่อมไม่รู้ ย่อมไม่เห็น ภิกษุผู้หลุดพ้น

เพราะรู้ยิ่งวัฏฏสงสารนั้น นั้นไม่สมควร ฯ

 

 

(พ่อครูว่า....ผู้บรรลุ จบกิจแล้วก็ไม่ต้องไปพูดว่าท่านเป็นสัตว์หรือไม่เป็น ตายแล้วสูญหรือไม่สูญ ก็ไม่ต้องไปเก็บไว้คิดเลย ไม่ต้องไปยุ่งกับท่าน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน )

 

   จบ....


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 18:09:35 )

580309

รายละเอียด

580309-ช่อง 13 สยามไท สัมภาษณ์พ่อครู เรื่องวิกฤติศาสนาพุทธในเมืองไทย (ลิงค์ ไฟล์เวิร์ด)

พิธีกรนายหมอ (ขจรศักดิ์ เชาว์เจริญรัตน์) จากช่อง 13 สยามไทมาสัมภาษณ์พ่อครู ที่สันติอโศก …. ท่ามกลางบรรยากาศ ของใจกลางกรุงเทพ แต่กลับมีความเย็นสดชื่น จากละอองน้ำ หน้าน้ำตก

 

หมอถามว่า.. คิดอย่างไรกับเรื่องธรรมกาย วงการเมือง จะไปล้วงลูก กับวงการสงฆ์ ได้หรือไม่ วันนี้เลยมาสอบถาม ผู้รู้จริงรู้แจ้ง รู้มานานแล้วกับ ท่านสมณะโพธิรักษ์ กับวิกฤติศาสนา ณ วันนี้ ถ้าให้ย้อนกลับไป การทำผิดแล้วคืนเงิน จบได้หรือไม่?

 

พ่อครูว่าไม่ว่าจะเป็นทางโลก หรือทางธรรม เขาก็มีหลักการ ศาสนาพระพุทธเจ้า อย่าว่าแต่เอาเงิน ไปลงใส่บัญชีตน โดยเอาของคนอื่นไป ทางศาสนาว่า ของเคลื่อนออกจากที่ ก็คือผิดแล้ว นี่เงินออกไปใส่ธนาคาร ต้องออกดอก ออกผลอีก แล้วก็ว่าขอคืน ก็เป็นเรื่องซูเอี๋ยกัน ระหว่าง อัยการ กับเขาเท่านั้น สมเด็จสังฆราช บอกให้คืน ก็ไม่คืน

 

หมอว่า … เขาว่าเรื่องของสงฆ์ ก็เป็นเรื่องของสงฆ์ตัดสิน ไม่ใช่เกี่ยวกับฆราวาส ไปตัดสินสงฆ์

 

พ่อครูว่า…  เรื่องที่บอกว่า ฆราวาสอย่าไปยุ่งกับสงฆ์ ไม่ได้ เพราะสงฆ์ กินข้าวของฆราวาส แล้วฆราวาสนี่แหละ จะเป็นผู้คว่ำบาตร หรือบอยคอตสงฆ์ เป็นผู้ท้วงติงดูแล แล้วที่จะไปปิดกั้นเอาไว้นี่ เป็นการผิด พุทธหรือลัทธิใดก็ตามว่า ฆราวาสอย่ามายุ่งกับสงฆ์ อย่ามาตัดสินสงฆ์ คนนั้นมีแผลในตนเอง ไม่ต้องการให้ฆราวาสเห็นแผล คนที่ไม่มีแผลก็ไม่กลัว แม้แต่แมลงหวี่ตอม

 

หมอว่ามีคนบอกว่า เรื่องสงฆ์ เขาว่าเป็นเรื่องบริสุทธิ์ของสงฆ์เราอย่าไปยุ่ง

 

พ่อครูว่าอย่าไปหลงลม เป็นเรื่องตีกินของพระ เท่านั้น

 

หมอว่า….สงฆ์ตอนนี้ ตีเข้าไปถึงเรื่องการเมือง ท่านเชื่อหรือไม่ว่า ตอนนี้ มีลูกศิษย์ธรรมกาย อยู่ในทุกองคาพยพ ของสังคม

 

พ่อครูว่าเขาใช้วิชาสะกดจิต ให้นั่งสบายๆ หลับตาแล้ว ก็ให้ดิ่งไปสู่จิต เป็น Hypnotize

 

หมว่าคำว่าสะกดจิต กับคำว่าปล่อยวาง มันต่างกันไหม?

 

พ่อครูว่าพุทธนั้น แบบสะกดจิตเราไม่เอา ถูกครอบงำความคิดโดยใครคนหนึ่ง พุทธให้รู้ตนเอง ไม่ใช่ให้ถูกสะกดจิต

 

หมอว่าแล้วคนที่มีสติ ในขณะที่ตนอยู่ในภวังค์ เป็นอย่างไร

พ่อครูว่าคนเราอยู่ในภวังค์ จะสติไม่เต็ม อ่านอาการ 32 ไม่ครบ ไม่มีสติมันโต ก็ต้องมีการลืมตา มีสติ จิตไม่หรี่ไม่หลง ตื่นเต็ม รู้พร้อมทั้ง 6 ทวาร สัมผัสอะไรก็แววไว มีการรับรู้ เต็มที่ ผู้ที่จะบรรลุธรรม ต้องมีการสัมผัส แล้วมีจิตวิญญาณรู้เต็มๆ มีองค์ประกอบพร้อม ทั้งนอกและใน ที่เราควรรับรู้เท่าไหร่ องค์ประกอบบริบูรณ์ ภาษาพระเรียกว่า กาย

 

หมอว่า … ตอนนี้ทางโลกกับทางธรรม แยกกันไม่ได้ แล้วนะครับ

 

พ่อครูว่า…  โลกกับธรรมแยกกันไม่ได้ ศาสนาพุทธ สอนให้อยู่กับโลก แล้วเหนือโลก รู้ทันโลก และช่วยเหลือโลก

 

หมอว่าชาวพุทธที่ตื่นรู้ ควรทำอย่างไร กับเรื่องนี้ เพราะว่า มันจะถึงขีดไหนแล้ว

 

พ่อครูว่า... มันเกินไปถึงไหนแล้ว เขาผิดแล้วกลบเกลื่อน หลอกคนอื่นอีก มีการจ้างวาน ติดสินบนอะไรอีก มันเกินความเป็นโจร เป็นมหาโจรที่ร้ายกาจ มีตั้งหลายร้อยล้าน และหลายที มีการเคลื่อนของเงินแล้ว ก็ยังบอกว่า จะมาคืนอีก อันนี้ปาราชิก 2ที แล้ว

 

หมอว่า… Double ปาราชิก

 

พ่อครูว่า....ไม่ใช่ Double  แต่ว่า มันทำผิดมาก ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

 

หมอว่า...  เป็น Mega ปาราชิก

 

พ่อครูว่ากระแสหลัก คือมหาเถรสมาคม ขออภัย ที่ต้องพูดความจิรง ไมได้ดูถูกนะว่า มหาเถรสมาคมนี้ เป็นการแสดงออก ที่ล้มเหลว อาตมาถึงได้ลาออกจาก มหาเถรสมาคม ตั้งแต่ปี 18 แต่ว่า เขาก็ดึงดัน เอาอาตมาไปฟ้องร้องอีก อาตมาก็ต้องยอมเขา ตัดสินออกมาก็แพ้ อาตมาแยกมาแล้ว คือเขาทำนี่ โมฆะทั้งนั้น เป็นการสมรู้ร่วมคิด เป็นทัศนะเดียวกัน ที่ใช้ไม่ได้ ผิด ต้องยกออกไปก่อน

 

หมอว่าณ  เวลานี้ การเมืองควรจะด้อง มาแทรกแซงได้แล้ว อำนาจอยู่กับ คสช. สปชสนช. ต้องแสดงความกล้าหาญ มากกว่านี้ ที่ผ่านมา ไม่พอใช่ไหมอย่างคุณไพบูลย์ ก็หยุดแล้วตอนนี้?

 

พ่อครูว่า... อันนั้นเป็นการ อนุโลมปฏิโลม กับสังคม คุณไพบูลย์ ก็ทำหน้าที่แล้ว คุณไพบูลย์เอง ก็ยังไม่จบ มีหน้าที่อยู่ ที่จะต้องดูแลอยู่

 

หมอว่าหน้าที่ของสงฆ์ จะทำอย่างไร?

 

พ่อครูว่า..เป็นหน้าที่ของสงฆ์อยู่แล้ว แต่ตอนจะตัดสิน คดีความ  สงฆ์จะตัดสินกันเอง พระที่ไม่สะอาดบริสุทธิ์ เขาก็ไม่ให้ ร่วมเข้าตัดสิน และต้องให้ผู้ที่ มีความรู้เหมาะสม ในการร่วมตัดสิน ต้องเป็นสภา ที่มีบัณฑิต แต่เวลาจะสอดส่อง ระมัดระวัง ทุกคนต้องเอาใจใส่ เหมือนประชาชนทั่วไป ต้องดูแลกันหมด ไม่ใช่ว่า ให้แต่ตำรวจ ทหาร เท่านั้น ปชช.ไม่มีหน้าที่ดูแลด้วย ก็ไม่ใช่ ต้องช่วยกัน คนละไม้ คนละมือ

อาตมาได้ยินตัวแทน มหาเถรสมาคม ว่าเรื่องนี้ เรื่องธัมมชโยนี้ จบแล้ว แต่ผู้ที่รู้สุจริต ก็บอกว่า ยังไม่จบหรอก มันก็เป็นเรื่องที่คลุมเครือ ผู้รู้จริงๆมันกลายเป็นว่า ผู้รู้แล้ว ไม่กล้า

 

หมอว่า….  อะไรทำให้ไม่กล้าหรือว่ามีรถเบนซ์ ปิดปากอยู่

 

พ่อครูว่า... อาตมาก็ไม่ได้ล่วงรู้เช่นนั้น แต่อาจเป็นได้ อย่างที่ว่า ยังหลงใหลโลกธรรม เป็นทาสอยู่ ก็ต้องเป็นไป แต่เรื่องความจริงนั้น แม้เรื่องทางโลก เขาก็ยังไม่หยุด ยังต่อรอง ขอไปที่ๆตนจะได้เปรียบ ไม่ยอม ให้ไปที่ ดีเอสไอ คอยดูวันที่ 10 มี.นี้

 

หมอว่าฆราวาสจะมีส่วนร่วม ในการปฏิรูปศาสนา อย่างไร วงการศาสนา ต้องให้วงการสงฆ์เท่านั้น เป็นผู้ปฏิรูปหรือไม่?

 

พ่อครูว่า... การปฏิรูปเป็นเรื่องกว้าง ต้องช่วยกันหลายฝ่าย รวมทั้งปชช.ด้วย ไม่ใช่ปฏิวัติ

 

หมอว่าต้องปฏิวัติหรือปฏิรูป

 

พ่อครูว่าการปฏิรูป ก็ไปตามลำดับ เรื่องไหนต้องเร็ว ก็ต้องปฏิรูป อย่างเรื่องที่เขากำลังเป็นอยู่นี่ ต้องเร็ว หรือแม้แต่ การร่างกฎหมาย บางเรื่องต้องทำให้เร็ว จะได้ผลดี แต่ที่จะค่อยเป็นค่อยไปก็มีอยู่

 

หมอว่า …หลายเรื่องอย่างเช่น ตำรวจต้องรื้อ โครงสร้างตำรวจ หรือทหาร ก็มียศมากมาย เรื่องศาสนา ก็เช่นเดียวกัน

 

พ่อครูว่าอย่างเรื่องตำรวจ ต้องตัดไม้ตัดมือตำรวจ ที่ไม่ดี สังคมจะดีขึ้นเลย จะเร็ว ได้ผลดี

 

หมอว่า …สงฆ์ก็เช่นเดียวกันเลยไหม สมณะศักดิ์ ไม่ควรมีเลยไหม

 

พ่อครูว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้เคยตั้ง ให้ใครเป็นใหญ่ แต่ก็เห็นใจว่าองค์กรสงฆ์ เป็นองค์กรใหญ่ มีขยะเยอะไปหมด ดีไม่ดี มีอะไรมาแฝง เข้ามาบวชหากินมากเลย ทั้งที่ศาสนา ไม่ใช่แหล่ง ทำมาหากินเลย

 

หมอว่าสำหรับสันติอโศก ท่านโพธิรักษ์ สูงสุดแล้วก็ไม่มีได้ตำแหน่งอะไรใหญ่โต ไม่ต้องมีสมเด็จนั่นนี่ มีสมณะศักดิ์ เป็นอุปสรรค ต่อการพัฒนาสงฆ์ หรือว่าจะช่วยพัฒนาสงฆ์ ได้หรือไม่อย่างไร มีข้อดีข้อเสียอย่างไร

 

พ่อครูว่าตอนนี้เป็นพ่อครูนะ มันเป็นไปตามธรรม เช่นในสมัยพระพุทธเจ้า เราก็เรียก ท่านมหากัจจายนะ ด้วยคุณธรรมของท่าน เหมือนพระเจ้าแผ่นดิน ที่ได้รับการยกย่องว่า มหาราช ก็เพราะปชช. ตั้งให้ เขามีศรัทธา แต่นี่มาตั้งกันเอง ดีไม่ดี ก็ซื้อตำแหน่งด้วย มีพรรคพวก แล้วมีทรัพย์สินเงินทองด้วย ไม่สุจริตธรรม

 

หมอว่าต้องให้เป็นปฏิวัติหรือไม่?

 

พ่อครูว่าควรปฏิวัติอย่างยิ่ง แต่ว่ามันก็ยาก เพราะว่า มันต้องพร้อม ถ้าปฏิวัติแล้ว ต้องมีกระบวนการ รองรับ

 

หมอว่า… ท่านมีไหมวิธีการ หากปฏิวัติแล้ว พ่อครูมีอะไรรองรับ?

 

พ่อครูว่า... เสนอได้แต่ไม่อยากจะเสนอ เพราะว่า จะดูอวดดีเกินไป ให้เป็นไปตามธรรมชาติดีกว่า ให้ว่ากันไป ถ้าสมมุตินะ ถ้าแม้นว่า อาตมาจะได้เข้าไป ดูแลช่วยเหลือ มันจะดิ้นยิ่งกว่า เพราะอาตมา จะต้องเอาออก เสียมากกว่าเลย อาตมาจะตายก่อน เขายิงอาตมาทิ้งแน่

 

หมอว่าพ่อท่านผ่านมา หลายครั้งแล้ว หนังเหนียว แก๊สน้ำตา ก็หลายที ผ่านมาได้

 

พ่อครูว่า อาตมาหนังไม่เหนียว เข็มฉีดยา แทงเข้าสบายๆ …เรื่องนี้มันเรื่องใหญ่จริงๆ เป็นเรื่องความหมักหมม เน่าใน มานานมากแล้ว อาตมาขอแยกตัวมา พ..2518 ปีนี้ก็ 40 ปีแล้ว นี่ก็เป็นการยืนยัน ชัดเจนว่า อาตมาขอแยกเป็น นานาสังวาส 6 ส.2518 ประกาศต่อเจ้าคณะฯ ว่าขอแยกออกมา บริหารตนเอง ต่อหน้าสงฆ์ 180 รูปแล้ว ท่านก็ยอมรับแล้ว มีลายลักษณ์อักษร เข้าประชุมมหาเถรสมาคม แล้วด้วย แม้แต่ผวจ. ก็รับรู้ นายอำเภอก็รับรู้ มีหนังสือด้วย ก็รับรู้ว่าอาตมา ไม่ได้อยู่ในการปกครองคณะสงฆ์ แม้แต่มีลายลักษณ์อักษร ตอนอาตมา ไปซื้อตั๋ว ขึ้นรถไฟ เขาก็เลยถามไป หากรมรถไฟ ไปถึงมหาเถรสมาคม เขาก็ออกหนังสือมา บอกว่า ไม่ได้อยู่ในการปกครอง ของสงฆ์แล้ว ไม่ควรได้รับการยกเว้น ค่ารถไฟ เขาก็ยอมรับแล้วว่า เราไม่ได้อยู่ในการปกครอง แล้วก็กลับมา ฟ้องร้องอาตมาอีก นี่คือให้เห็นถึง ความไม่อยู่กับร่องกับรอย หรือความไม่น่าเชื่อถือ ของมหาเถรสมาคม ถ้าผู้ที่ไม่มีแผลแล้ว ย่อมไม่กลัว การเปิดเผย ไม่กลัวการตรวจสอบ แต่ผู้ที่กลัว การตรวจสอบ ก็คือ ผู้ที่มีแผลนั่นเอง

 

หมอว่าแล้วอย่างที่กรณี ธัมมชโย ควรต้องให้มี การจัดการแบบที่ มหาเถรสมาคม จัดการกับสันติอโศกหรือไม่?

 

พ่อครูว่าไม่เหมือนกัน อาตมาไม่ได้ปาราชิก แต่เขานี่ ปาราชิกแล้ว ออกจากศาสนาไปแล้ว ซึ่งตอนนี้ เอาบุญไปขาย อันนี้พูดกันยาวเลย คำว่าบุญ ในศาสนาพุทธ บุญนั้น คืออาวุธ ที่จะห้ำหั่นกิเลส ไม่ใช่แก้วสารพัดนึก บุญเอาไว้ฆ่ากิเลสของตน เท่านั้น แต่ว่าบุญนี่ถ้ากำจัดกิเลสได้ เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ค่าของบุญทั้งคุณค่า มูลค่า มีมากกว่ากุศล มีค่ายิ่งใหญ่

เหตุการณ์บ้านเมืองคราวนี้ วิกฤติศาสนาครั้งนี้ ควรทำให้ดี แล้วควรทำอย่างยิ่ง ถ้าปล่อยไปนี่ฉิบหาย ขอยืนยัน นั่นคือส่งที่อาตมาพูด อย่างจริงใจ ไม่ได้ปรารถนาร้าย หรือโกรธเกลียดอะไรเลย

 

หมอว่าถ้าครั้งนี้ปล่อยไปจะเป็นอย่างไร?

 

พ่อครูว่าถ้าปล่อยไป จะไม่นานเลย จะฉิบหาย เพราะเขาจะต้องรีบรวบอำนาจเลย เขาจะผยองใหญ่เลย จะรวบอำนาจเลย มหาเถรไม่มีความหวัง เพราะตกเป็นทาส ซูเอี๋ยกันเสร็จ ก็เหลือความหวังแต่กฎหมายทางโลก ไม่เช่นนั้นไม่ช้าเลย จะฉิบหาย

 

พ่อครูว่าที่อาตมาจะพูด ก็ให้ปชช. ได้รับความเข้าใจ ว่าอันนี้ เขาเข้าใจผิดกัน ขอต่อคำว่าบุญ คำว่าบุญ ไม่ใช่เครื่องมือไปล่อหลอก ให้คนได้อะไร แต่เป็นเครื่องมือของตน ที่จะเรียนรู้ แล้วกำจัด  กิเลสของตน เท่านั้น แต่กลับไปเข้าใจว่า เป็นการทำ  แล้วจะได้อะไร กลับมา เข้าใจว่า การทำบุญ  คือการทำงานไปอีก ทำแล้วจะได้รวย ได้โลกธรรม ได้สวรรค์วิมาน มากมายไปอีก มิจฉาทิฏฐิ ข้อที่ 1 ใน 10 ข้อเลย คือ นัตถิ ทินนัง ทำทานแล้วไม่ได้ผล ลดกิเลสอะไรเลย เอาข้อนี้ข้อเดียว ก็มิจฉาทิฏฐิ กันหมดแล้วในวงการสงฆ์ …จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 18:11:21 )

580310

รายละเอียด

580310-ธรรมาธรรมะสงคราม สันติอโศก เรื่อง เปิดไตรภูมิ 31 ชั้นแบบพุทธ

พ่อครูว่า..วันนี้ วันอังคารที่ 10 มี.. 2558 ซึ่งทุกวันนี้เป็นสงครามยุคใหม่ สงครามโลกก็เป็นสงครามโลกที่ผ่านมานานปีแล้ว ผ่านมาสองครั้งแล้ว พศ. 2485 2486 ก็ยังไม่เกิดกัน ต้องรุ่นอายุ 70 ขึ้น จึงอยู่ในเหตุการณ์ ทุกวันนี้มีคนพยายามให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 แล้ว แต่มันเกิดไม่ได้เพราะปัญญาชนรู้แล้ว ว่าจะไม่ให้เกิดของหยาบ การรบอย่างเก่าไม่มี แต่เป็นการรบโดยปัญญา ใช้เสแสร้งกลบเกลื่อนซับซ้อน แม้แต่ธรรมะก็เป็นสงครามตลอดเวลา ตราบใดที่ยังมีกิเลสนี่คือ ตัวมารร้าย เพราะผู้สำนึกดีก็ไม่อยากให้เกิดกิเลส พอมีผู้รู้พยายามชี้บอกเพื่อให้รบกับกิเลส แต่ผู้ไม่รู้ก็กอดคอไปกับกิเลส ทุกคนเคยทั้งนั้น พอผู้รู้บอกว่านี่กิเลสศัตรูตัวร้ายก็เกิดสงคราม ผู้อื่นก็รู้ตัวบ้างก็ตั้งตนเป็นสงครามขึ้น

 

กิเลสเป็นภาษากลางๆ เป็นอกุศลจิต รู้กันทั่วโลก แต่ทฤษฎีที่รู้จักกิเลสจริง แล้วจับตัวกิเลส ฆ่ากิเลสได้จริงก็ต้องของพุทธ เรื่องจิตเจตสิก ละเอียด จนอาตมาหานิรุติปฏิภาณมาใส่ไม่ทัน เพราะที่พระพุทธเจ้าบัญญัติมาเป็นภาษาบาลีเยอะ เอาภาษาไทยมาใส่ได้ไม่หมด

 

พูดถึงการสาธยาย มีคนถามว่า สาธยายธรรม กับแสดงธรรมต่างกันอย่างไร?

คุณหนึ่งพุทธบอกว่าแสดงธรรมนี่แสดงออกทั้งกาย วาจา ใจเลย ครับ ถ้าเป็นสาธยายก็แค่ วจีกรรม ไม่ออกมาครบหมด

 

วันนี้อาตมาก็คงจะพยายามจะไปให้ลึก แต่มีผู้ถามมาว่า ขอให้อธิบายเรื่องปรับปวาทะ คำว่า ปรับปวาทะแปลจากความเข้าใจของตน คือ ประวาทะ + ปรับวาทะ อันประกอบด้วยเหตุและผล  คือเมื่อมีผู้กล่าวคำผิดเพี้ยนจากคำสอนของพระพุทธเจ้าก็คือ ปรับปวาทะต่อมาผู้รู้ก็มีหน้าที่ไปแก้ไข ด้วยนิรุติภาษา เพื่อแก้ไข ให้ถูกต้องจนกระทั่งเจ้าของวาทะที่ผิด เกิดความเข้าใจว่าวาทะของตนผิด คือมี ประ + วาทะ แล้วผู้รู้นี่แหละที่พระพุทธเจ้าว่า จะต้องสร้างให้อุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ ภิกษุณี ให้แกล้วกล้าสามารถ ปรับปวาทะได้ เราจึงจะปรินิพพานได้ พระพุทธเจ้าบอกกับมาร ความหมายที่ชัดเจน

 

คำว่า ปรับปวาทะมีคำว่า ปร , , วาทะ มาสนธิกัน คำว่า ปรวาทะคือ วาทะที่เป็นอื่นไปจากธรรมะของพระพุทธเจ้า เมื่อมันไม่ใช่ ก็ทำให้มันใช่ ผู้รู้นี้ต้องพยายามทำให้กลับคืนมาสู่ของพระพุทธเจ้า อาตมากำลังทำอันนี้อยู่ ซึ่งเนื้อยเหนื่อย แต่ไม่เก่ง จนกระทั่งมาถึงวันนี้ อาตมาก็ใช้ธรรมาวุธ ถึงขั้นยืนยันตนเองว่า บรรลุอรหัตตผลอะไรไป ตอนนี้ก็ปรากฏว่า เสียงสะท้อนตอบในไลน์ต่างๆมาเยอะแยะ ถ้าถึงล้านได้จะดีเลย ด่าเสียด้วยที่มา ไม่ใช่อาตมามาโซคิสม์ (masochism) นะ แต่ว่าแสดงถึงมีผู้สนใจศาสนาอยู่มาก เพราะตอนนี้มีผู้ทำให้ศาสนาเละแล้ว แล้วเขาทำให้เสียหาย ทำผิดมานานจนปัจจุบัน มันหนักหนาสาหัสมาก มากจนกระทั่งผู้มีปัญญาสามัญก็รับรู้ได้ ที่เขาแสดงดิ้นออกมา นี่เป็นการแสดงออกของคนผิด เช่น ไม่กล้าหาญ แต่ถ้าผู้ที่ถูกตรง จริงแล้วจะไม่มีเก้อเขินเลยจะกล้าหาญ แต่ว่าลักษณะที่เขาแสดงออกนี่จะไม่ใช่เลย แสดงออกแต่ความอ่อนแอ ดื้อรั้น อาตมาก็จำเป็นต้องแสดงสิ่งที่ถูกของอาตมาออกไปบ้าง เพราะเขาแสดงออกอย่างไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมเลย จะให้คนถูกหนีหายเงียบไปเลยอย่างนั้นหรือ ขนาดนี้เขาก็ยังออกมาแสดงอย่างดึงดันดื้อด้าน จะให้อันนี้นิ่งเฉยไป อาตมาก็คงว่า กาละนี้ไม่ควรเฉย มันควรแสดงออกมาเป็นสิ่งเปรียบเทียบ ให้คนเห็น อาตมาไม่ได้อยากจะแสดงอวดอ้างหรอก ในสาธารณะ ถ้าจะแสดงอาตมาแสดงออกมานานแล้ว ย่างเข้า 45 ปีแล้ว แต่อาตมาแสดงเฉพาะตัวบุคคลที่เท้าความให้ฟัง

 

อาตมาแสดงออกว่าเป็นโพธิสัตว์นี้ ไม่มีแรงสะท้อนกลับมาก เพราะเถรวาทเข้าใจโพธิสัตว์ผิดเพี้ยนไป เขาสรุปว่าโพธิสัตว์เป็นอาริยะไม่ได้ แม้แต่โสดาบันก็เป็นไม่ได้ เขาถือว่าอรหันต์นี้ตายสูญ ต่อภพภูมิไม่ได้ เป็นอุจเฉททิฏฐิ อาตมาก็จึงประกาศโพธิสัตว์ ต่อมาอาตมาก็อธิบายต่อว่าโพธิสัตว์คือ ผู้บรรลุก่อนแล้วมาสอนคนอื่น ดังคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ก็ไม่ได้บอกว่าเป็นอรหันต์ อย่างอาตมาบอกกับ อ.แสง จันทร์งาม ซึ่งเป็นอาจารย์ด้านศาสนา บอกไปเขาก็ต้องใช้ความรู้ของตน ประเมินว่าใช่หรือไม่? ถ้ายิ่งมีน้ำหนักโน้มไปว่าน่าจะใช่ ก็จะไปถาม เพราะอยากได้ยินจากปากท่านจัง แต่ว่าคนที่บ้าแล้ว ไม่รู้นี่ เขาก็จะว่า บ้าแล้ว ประกาศอย่างนี้ ในขณะนี้ คนที่มีเสียงโต้ตอบมาเป็นพันๆ ก็ล้วนแล้วแต่ด่า มีพูดกลางมาน้อย ไม่กี่% แต่ที่ด่ามา ก็มาก ด่าสาดเสียเทเสีย ก็ดูต่อไป ก็รับฟังได้ว่า คนที่ออกมาโต้ต้าน ล้วนแล้วแต่ไม่ได้เคยได้ยินได้ฟังอาตมาหรอก แต่ได้ฟังจากมหาเถรสมาคมเท่านั้น พออาตมาแสดงออกไป เขาก็จะเกิดผลเช่นนี้ ถูกต้องแล้ว ถ้าไม่เป็นเช่นนี้ อาตมาว่า โทรทัศน์บุญนิยมไม่มีใครดูนะ หรือว่าเขาก็ว่าไร้สาระ แต่นี่สะดุด คันหัวใจบ้าง ก็บอกว่าออกมาช่วยกันด่าหน่อย เขาก็ไลน์ออกมา กระแสเช่นนี้จึงขึ้น นี่คือความจริง ก็รับสิ่งที่จะเกิดจริงตามลำดับ

 

มาเข้าเรื่องเนื้อหาที่อาตมาตั้งใจพูด ผู้ฟังเข้าใจว่า เหตุของการเกิด     นามกายมีได้ 3 ทาง ทางที่ 1 และ 2 จะเกิดในผู้ปฏิบัติ ตั้งแต่ฐานอบายจนถึง อรูปาวจร ปฏิบัติกับเวทนา 103 นามกายจะเกิดจากผัสสะปัจจุบัน และสัญญาในอดีต ทำให้เกิดการกระทบปรุงแต่ง มนายตนะ กับธรรมายตนะ ส่วนทางที่ 3 ผู้จะทำได้คงมีแต่พระพุทธองค์ หรือโพธิสัตว์ใหญ่ เช่น กรณีเดินจงกรม จนไม่ได้ยินเสียงฟ้าผ่า อยู่ใกล้ๆเลย ท่านจำกัดขอบเขตรับรู้เป็นสิ่งพิเศษ ทำได้ยากมาก  

 

มนายตนะกับธรรมายตนะ เป็นอายตนะที่ 6 ของใจ แต่พร้อมกันนั้น ไม่ต้องมีผัสสะข้างนอกเลยนะ จะบอกว่าสัญญาในอดีตก็ใช่ แต่จริงๆสัญญาในปัจจบัน กระทบแล้วมีปัจจุบันที่แข็งแรงกว่า รู้ก่อน เอาอดีตมา ยากกว่า ไม่เหมือนปัจจุบันที่ครบกาย พร้อมทั้งนอกและในบรรลุด้วยปัญญา แต่ถ้าสัญญาที่อยู่ภายใน ไม่มีปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ พระพุทธเจ้าท่านแยกสัญญากับปัญญา ปัญญาจะต้องครบองค์ประชุมก่อน มีปัญญินทรีย์ต่อมา เป็นองค์แห่งมรรค ถ้าเอาแต่สัญญาไม่ครบองค์มรรค ต้องครบกาย วาจา ใจ อาชีพ ครบองค์มรรค

 

เข้ามาสู่สิ่งที่อาตมาจะพูดตอนนี้ จะเจาะลงที่ว่า พุทธธรรม ทุกวันนี้ ขออภัยที่ต้องพูด ที่พูดด้วยไม่ได้ดูถูก ไม่ได้ข่ม แต่ให้เปิดจิตรับดีๆ ว่าศาสนาพุทธทุกวันนี้ แสดงออกชัดมาก ว่าเสื่อมและเพี้ยนผิดไปไกลมาก มีผลตีกลับทำความเสื่อมแก่ศาสนาพุทธ ทำความเลวร้ายแก่พุทธธรรมมาก

 

ไล่มาเลยตั้งแต่ศีล ศีลนั้นพระพุทธเจ้าตั้งให้คนปฏิบัติ ตั้งแต่ยังไม่เกิดวินัย ให้มีศีล สมาธิ ปัญญา ในทุกคนที่เข้ารีต พระพุทธเจ้าบัญญัติ ศีลธรรมนูญมา เป็นการประกาศให้ทราบความจริงว่าพุทธเป็นเช่นนี้ ไม่มีเดรัจฉานวิชา ไม่มีรดน้ำมนต์ ทำนายทายทักอะไร พระพุทธเจ้าประกาศว่าเป็นศาสนาของท่านแบบของท่าน ใหม่ๆคนเข้ามาก็มีศีลกันเต็มที่ ต่างจากลัทธิอื่น ยกตัวอย่างใน มหาศีล ไม่มี ที่อาตมายกตัวอย่างมาแล้วสะเทือนหมด เพราะพุทธไม่มีศีลเหล่านี้แล้ว ตอนนี้ทุกวัดก็มีการจุดธูปเทียนอยู่ สมัยพระพุทธเจ้าท่านว่า ไม่ให้ใช้ควัน ทุกวันนี้ก็มีควันจากธูป ใช้เปลวจากควัน โดยมีแนวคิดว่าจะติดต่อกับวิญญาณด้วยควัน ด้วยแสงไฟ เป็นแนวคิดดั้งเดิม ที่พุทธไม่ใช้แล้ว ไม่มีอัคคียัญ ไม่ต้องพูดถึง ต้มน้ำหม้อใหญ่ แล้วเอาสัตว์ไปต้ม หรือว่าเผาสัตว์ คน เพื่อติดต่อกับวิญญาณกับพระเจ้า นี่คือใช้น้ำ ใช้ลม ใช้ไฟ ไม่ใช่ของพุทธ ของพุทธให้เรียนวิญญาณขณะปัจจุบัน ที่มีการกระทบสัมผัส ถ้าไม่มีอาการ ลิงค นิมิต อุเทส ก็ไม่มีกาย

      [60] ดูกรอานนท์ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา (เล่ม10 ข้อ60)

โดยส่วนสอง ด้วยประการดังนี้แล ฯ

 

แม้แต่นามรูปกับผัสสะ หรือเวทนากับผัสสะ ก็เป็นธรรมสอง แล้วทุกอย่างก็รวมที่เวทนา เป็นอารมณ์ความรู้สึก ถ้าไม่มีการกระทบสัมผัสแล้วเกิดเวทนา แล้วก็จะไม่มีการเรียนรู้เลย พระพุทธเจ้าว่า การกำหนด 4 อารมณ์ 4 มี   ปริตรตารมณ์ มหรรคตารมณ์  - อัปปมานาพรหม - อากิญจัญญายตนะ ความรู้สึก 34 อย่างนี้ สัญญาต้องกำหนดรู้

ปริตตะแปลว่าน้อย ส่วนมหัคคตะแปลว่าเจริญโตขึ้นกลางๆ ส่วนอัปปมาณะแปลว่ามากหาที่สุดมิได้  แล้วก็ไม่มีอะไร อากิญจัญฯ ต้องรู้อารมณ์ 4 นี้ให้ได้ก็จะมารวมกันที่เวทนา 108 ก็จะต้องรู้มโนปวิจาร 108

 

คำว่า อากิญจัญญายตนะก็คือ ความไม่มี สุขทุกข์ คืออุเบกขา เป็นฐานนิพพาน แม้เป็นอนาคามี ก็ต้องอยู่กับโลก แต่อยู่เหนือกิเลสอย่างแข็งแรง ยิ่งจะมี ความเจริญสู่ที่สูงและที่สุด ผู้ที่สามารถรู้ลักษณะปรมัตถ์ ก็จะรู้ทุกอย่างที่เป็นธรรมะสอง แล้วรวมลงที่เวทนา

 

ในมูลสูตรตรัสไว้ชัด ว่ามีผัสสะเป็นสมุทัย แล้วเกิดภาวะที่เกิดเวทนา วิจัยเวทนาในเวทนา องค์ประชุมของเวทนานั่นแหละคือคำว่า กาย

 

คำว่า กายกับอายตนะนั้นไม่มีสภาพตัวมันเอง มันเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัยสองอย่าง เป็นองค์รวม ไม่ได้มีอะไร มีเดี่ยวๆไม่ได้ มีตั้งแต่สองก็เกิดองค์ประชุม ต้องมีผัสสะด้วย เมื่อเกิดองค์ประชุมจึงเกิดอายตนะ คำว่าอายตนะกับคำว่ากายไม่มีที่ตั้งอยู่

 

คนที่กายแตกตายไป จิตอยู่กับวิบากที่ตนเองจมอยู่ไม่ได้ไปไหนเลย ไม่ใช่ว่าล่องลอยเป็นตัวตนเลย แต่อยู่ในภพ ในวงจำกัดของตนเอง เป็นอจินไตยที่อาตมามั่นใจว่าพูดสิ่งที่ถูกต้อง ที่ต้องพูดเพราะว่างมงายไปใหญ่เลย จนต้องประกาศว่าเป็นอรหันต์ ไม่ได้อยากจะบอกจะอวด แต่ต้องยืนยันให้รู้ ไม่ยืนยันจะรู้ได้อย่างไรว่ามีจริง

 

ผลวิบากของอัตภาพ นี่คือเกิดจากกรรม เมื่อไม่มีกาย เป็นกายัสส เภทา ปรัมมรณาก็ไปตามวิบาก ไม่มีสรีระตัวตน ไม่มีใครเห็นใครได้ แต่ที่มีนิทานนิยายสร้างสวรรค์สารพัดนี่ไม่จริงเลย ของจริงมีแต่ความรู้สึก หลังกายแตกตายไป

 

คำว่า มนุสโส จิตจะต้องออกมาแสดงออก ยืนยันเป็นกาย เป็นมนุษย์อุตรกุรุทวีป ซ้อนอยู่ในมนุษย์ชมพูทวีป ถ้ามีแต่มนุษย์อุตรกุรุทวีป ก็คือผู้บรรลุแล้ว กายแตกตาย แต่ในสภาพมีชีวิตอยู่ก็มีแต่สภาพชมพูทวีป มีสติมันโต (มีรู้ครบนอกและใน ครบทวาร 6 เป็นวิโมกข์ 8 ข้อ 2 อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิปัสสติ) สติพร้อมด้วยอาการ 32 ที่จะมีฐานให้นามธรรมอาศัย นามธรรมที่เป็นอาการที่ 33 ของปุถุชนก็จะเป็นอาการโลกียะ จะเป็นอยู่ในฐานมนุสโสก็แค่โลกียะ ได้ลาภเยอะ ยศเยอะ ได้กามเหนือชั้น ได้กามโตเป็นจตุมหาราชิกา ต้องแก่งแย่งเป็นให้ได้ ถ้าได้นิดนึ่งก็เป็นปริตตาภา เป็นผู้ที่ได้นิดน้อย  มากขึ้นหาที่สุดมิได้ก็เป็นอัปปมาณาภา มากปานกลางก็เป็น มหรรรคตะ แต่อารมณ์ที่ไม่มี อากิญจัญญายตนะก็ต้องรู้ด้วย ก็ต้องให้ได้เป็นเจ้าโลกหมดนั่นแหละ

 

กามาวจรภูมิ 6 ดาวดึงส์ คือ ฐานอาการ 33 ที่จริงต้องเป็นอนัตตา แต่คนที่มีกิเลสอวิชชาก็จะสร้างภพของอาการ 33 เป็นอัตตา เป็นโลกีย์ ออฤทธิ์เป็นยักษ์ จตุมหาราชิกา เที่ยวเข่นฆ่าผู้อื่น ได้มาก็เป็นสภาพอาการ 33 ได้มาสมใจก็เป็นเทวดา ถ้าไม่ได้ก็เป็นผี เป็นยักษ์มาร ดุใหญ่เลย ว่าได้มาแล้วก็เป็นยามา ได้อยากเสพไว้นานๆ ยามาแล้วก็พักยกที่ดุสิต โลกีย์ก็พักได้ ถ้าได้ออกแรงไปก็เหนื่อย แต่ต้องออกแรงเพื่อเอามันเหนื่อย ก็พักสบาย จนเก่งได้เป็นนิมมานรดี สร้างได้สมใจเก่งขึ้นเรื่อยๆ จนมีบริวาร คนอื่นมาซูฮก มาทำแทนเป็นปรมิตวสวัสตี สูงสุดก็มี 6 อย่าง คืออาการที่ 33 คือดาวดึงส์ พ้นจากอาการ 32 ไปแล้ว

 

มันอยากได้มาเป็นของตน หรืออยากเสพให้กับตนก็คือเปรตไม่ได้มา ก็เป็นนรก  แล้วก็จะต่ำลงไปเป็นเดรัจฉาน จนไม่มีแดนที่จะตกต่ำอีกแล้วเป็นอวินิปาตะ ส่วนสูงสุดเป็นอัปปมาณาภา สูงไม่มีขีดจำกัด ส่วนต่ำสุด อวินิปาตะก็ไม่มีที่จะให้ตกร่วงอีกแล้ว บางที่เขาเอาอสุรกายไปรวมกับอวินิปาตะ ก็ตกต่ำไปเรื่อยๆ  เป็นภาษาบัญญัติที่ต้องกำจัดก่อนเลย ได้แล้วจะหมดภพภูมิต่ำ แล้วสูงไปเป็นชั้นๆ

ในกามาวจรภูมิ 6 ก็คือ เทวดาเป็นสวรรค์ แล้วไม่ได้ก็ตกต่ำเป็น อบายภูมิ 4 กลางๆคือมนุษย์ 1 รวมเป็น 11 ภูมิ แล้วไป พระพรหมอีก 21 ก็รวมเป็น 31 ภูมิ

 

ทุคติภูมิ

  1. นรกภูมิ
  2. เปรตภูมิ
  3. อสูรกายภูมิ
  4. เดรัจฉานภูมิ

    มนุสสภูมิ เป็นภูมิกลางๆ

ภูมิเทวดากามมาวจร

  1. จาตุมหาราชิกา
  2. ดาวดึงส์
  3. ดุสิต
  4. ยามา
  5. นิมมานรดี
  6. ปรมิตวสวัตตี

 

วันนี้บรรยายตามไตรภูมิ พระอนุสาสนีย์พระพุทธเจ้านะ ไม่ใช่ไตรภูมิพระร่วงโลกีย์ เมื่อตกต่ำแล้วก็ต้องอาศัยมนุสสภูมิ เพื่อล้างอบายภูมิ จริงๆ อบายภูมิกับกามภูมิ อันเดียวกัน มันรวมกันเป็นหนึ่งจากส่วนสอง

 

เมื่อลดละได้ก็เป็นกามภูมิอารยะ แทนที่จะเป็นมหาราชแบบล่าโลกธรรม กาม อัตตา ก็ลดลงกลายเป็นมหาราชที่ดี แล้วรู้ยามา ดุสิต ปรมิตวสวัตตี แต่ก็ยังมีเหลือที่ตนเองเสพสุขอยู่ตามกามาวจรก็ไล่ลดลงให้เป็นสกิทาคามี ก็สะอาดขึ้นเป็นพรหม จากเทวดาสมมุติแก่งแย่งสร้างเวรภัยก็เปลี่ยนเป็นพรหมที่สะอาด ได้พรหม 3 ก็แบ่งเป็นหลัก

 

พรหม 3 ชั้นแรก

ชั้นที่ 1 พรหมปาริสัชชาภูมิ

ชั้นที่ 2 พรหมปุโรหิตาภูมิ

ชั้นที่ 3 มหาพรหมาภูมิ

-ปาริสัชชาพรหม กับ ปุโรหิตาพรหม ก็มีบริวารกับหัวหน้า บริวารกับครู บริวารกับผู้รู้ แล้วอันนี้ก็มี มหาพรหม มาเป็นใหญ่กินรวบสองอันแรก

 

 

ต่อมาอีก 3

ชั้นที่ 4 ปริตรตาภาภูมิ

ชั้นที่ 5 อัปปมาณาภาภูมิ

ชั้นที่ 6 อาภัสราภูมิ

-ปริตรตาภา กับ อัปปมาณาภา คือ น้อยกับมาก ปริตตาภา(อาภาคือ แสง หรือ รัศมี) และอาภัสรา ทั้งสามอย่างเป็นแสง หรือรัศมีหรือสว่าง อยู่ในนามธรรมที่สะอาดสว่าง ถ้าไม่รู้สภาวะ เป็นโลกียะก็เอาแต่สะอาด กระจ่างจ้า รัศมีโชติช่วง ก็แปลแบบโลกีย์ แต่ถ้ารู้โลกุตระ ก็จะลดแสงสีลง จะมีแสงหรือสว่าง เพื่อใช้แทนคำว่า ปัญญา รู้แจ้งรู้สว่างชัด ไม่เป็นเรื่องบัญญัติแบบแสงสว่างจ้า แบบโลกีย์จะไปหลงแสง

 

หมวด 3

ขั้นที่ 7 ปริตรตาสุภา

ขั้นที่ 8 อัปปมาณาสุภา

ขั้นที่ 9 สุภกิณหาภูมิ 

อันนี้อีก 3 ภูมิ ส่วนสุภกิณหา นั้น เป็นนิโรธมืด เขาถือว่าเป็นโชคของเขาเป็นความก้าวหน้าของเขา แต่ถ้าเป็นของโลกุตระจะดับ ไม่ใช่ดำ แต่สว่างใส แล้วไม่วูบวาบอะไร เป็นสุภะ ในฐานนี้แม้แต่ในวิญญาณฐีติหรือสัตตาวาส ข้อที่ 10 องค์ประชุมของรูป นาม เมื่อผู้ในถึงขั้นที่ 4 ก็จะได้สุภกิณหะ ของโลกียะจะดับดิ่งดำ แต่ของโลกุตระจะสว่างเป็น จักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง แล้วจะได้ความไม่มี แบบที่ดับดำเขาไม่มีความรู้สึก แต่นี่แบบพุทธมีเวทนาก็ด้วย  แต่ทีดับไปเป็นเวทนาโดยส่วนสอง

เพราะอาศัย  เวทนาจึงเกิดตัณหา

เพราะอาศัยตัณหาจึงเกิดการแสวงหา  

เพราะอาศัยการแสวงหาจึงเกิดลาภ

เพราะอาศัยลาภจึงเกิดความตกลงใจ

เพราะอาศัยความตกลงใจจึงเกิดความรักใคร่พึงใจ

เพราะอาศัยความรักใคร่พึงใจจึงเกิดการพะวง

เพราะอาศัยการพะวงจึงเกิดความยึดถือ

เพราะอาศัยความยึดถือจึงเกิดความตระหนี่

เพราะอาศัยความตระหนี่จึงเกิดการป้องกัน

เพราะอาศัยการป้องกันจึงเกิดเรื่องในการป้องกันขึ้น

อกุศลธรรมอันชั่วช้าลามกมิใช่น้อย คือการถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท การกล่าวว่า มึง มึง การพูดคำส่อเสียด และการพูดเท็จ   ย่อมเกิดขึ้น

 

นี่คือเวทนา จึงเกิดตัณหา คือธรรมะโดยส่วนสองทั้งนั้น ผู้สามารถแยก แยะโลกุตระกับโลกียะออก จะรู้ว่าอันไหนเป็นยักษ์ เป็นมาร ในโลกียะเป็นเทวบุตรมาร มันลึกซึ้งมาก อาตมาจะเอามหานิทานสูตร มาเขียนหนังสือเล่มต่อไป

 

มาไล่พรหมดูชั้นต่อไป

ขั้นที่ 10  เวหัปผลาภูมิ คือ ผลของผู้อยู่ยอดลอย

ขั้นที่ 11  อสัญญีสัตตาภูมิ เขาไปแปลอสัญญีว่าไม่มีสัญญา ก็คือไม่กำหนดหมายอะไร ดำมืด แต่ของพระพุทธเจ้านี้คือ อสัญญายตนะ ในอายตนะ 2 อันแรก คือ อสัญญายตนะ อันที่สองคือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ  คำว่า สัญญี แปลว่าผู้กำหนด ผู้ที่ดับความกำหนดรู้ ก็เป็นอสัญญี ส่วนผู้ที่ใช้สัญญีได้ก็คือ อสัญญายตนะ คือทำการกำหนดรู้ จนไม่มีให้รู้อีกแล้ว เป็นอสัญญา นัยเดียวกับปุญญะ พอได้บุญหมดแล้ว หมดบาปแล้วก็ อปุญญา คือไม่ต้องทำบุญอีกแล้ว การทำอสัญญายตนะ นั้นคือการกำหนดรู้จนไม่มีอะไรที่จะต้องไปรู้อีกแล้ว อันนี้เป็นเครื่องชี้บ่งว่าท่านแปลหรืออธิบายอย่าง ไม่เหมือนอาตมารู้ อาตมาก็ไม่ได้ชี้บ่งว่าอาตมาถูกท่านผิด แต่อาตมาแน่ใจว่าของอาตมาถูก คนฟังก็เลือกเอา

 

สุทธาวาส คือ ความสะอาด เป็นรูปพรหม คือ อนาคามี 5 ชั้นนั่นเอง

    ชั้นที่ 12 อวิหาสุทธาวาสภูมิ

    ชั้นที่ 13 อตัปปาสุทธาวาสภูมิ

   ชั้นที่ 14 สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ

    ชั้นที่ 15 สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ

    ชั้นที่ 16 อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ

 

ต่อไปเป็นอรูปพรหม อีก 4 ชั้น แบบโลกียะเกิดในการนั่งหลับตาดับ แต่ของพุทธลดละกิเลส ไปตามลำดับ จนถึงอรูปฌานก็เป็นการตรวจสอบแล้ว

    ชั้นที่ 17 อากาสานัญจายตนภูมิ

    ชั้นที่ 18 วิญญาณัญจายตนภูมิ

    ชั้นที่ 19 อากิญจัญญายตนภูมิ

    ชั้นที่ 20 เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ

 

ของพุทธสูงสุดถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ ซึ่งมีแต่ธรรมะโลกุตระของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่เข้าถึง แต่ของฤาษีดับได้มากสุดเป็นแค่อสัญญีสัตว์  ของพระพุทธเจ้ามีวิธีการที่จะล้างกิเลสได้ ตั้งแต่ ระดับจิตสำนึก แล้วทำได้จิตใต้สำนึกจะถูกดึงขึ้นมา แล้วจิตใต้สำนึกจะถูกดึงขึ้นมาตามลำดับ

 

มีผู้จำได้ว่า หนังสือที่พ่อครูจะ เขียน ชื่อว่า ยอดนิยายของโลก ในความเป็นมนุษย์ในความเป็นมนุษย์คือนิทานคือนิยายนี่แหละ

 

สรุปในช่วงสุดท้าย...ในกามภพ ,รูปภพ พระพุทธเจ้าท่านสอนเราว่า เรื่องชาติให้ศึกษา อาการ ชาติ 5 อย่าง ชาติ สัญชาติ โอกกันตะ นิพพัตตะ อภินิพพัตตะ

 

ชาตินี้เป็นการเกิดทั่วไป สุขจริงๆ ทุกข์จริงๆ ดีไม่ดี กุศล อกุศล เหมือนกันตามสมมุติ พระพุทธเจ้าท่านให้เรียนรู้สิ่งที่กำหนดหมาย ว่าชาติ คือสิ่งที่กำหนดหมายติดมา ตั้งแต่ชาติอบาย คุณยึดมาเก่า เป็นสัญชาติ แล้วมายึดมั่นถือมั่นเอาไว้ด้วย เราก็มาเรียนสัญชาติ จากชาติที่เรารู้ปัจจุบัน ตามรู้สัญชาติ คุณต้องจัดการสัญชาติอบาย สัตว์นรก คุณยังมีอุปาทาน อยู่ เราเอาอนุสัยใน จิตสำนึกก่อน อย่าเอาอนุสัยในจิตไร้สำนึก

 

เมื่อเรียนรู้โอกกันติ ก็มาเรียนรู้เวทนาที่มันสัมโมสราณา ต้องกำหนดให้ได้ จึงจะรู้ถึงมโนสัญเจตนา เป็นกาม เป็นภพ รูปภพ อรูปภพ

ก็เอาไว้ก่อน เอาแค่กามก่อน ในนาม 5 มี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ทำการปุญญาภิสังขาร กำจัดกิเลสตัวนั้นให้ได้ เมื่อทำได้ตามลำดับ มันหยั่งลงในจิต แต่เดิมอวิชชาหยั่งลงตลอดเวลา แต่ไม่เคยเรียน เมื่อเรียนก็จะรู้ว่าผีกำลังหยั่งลงในจิตฉัน ก็ทำให้ผีมันลดแรงลง จางคลายลงก็เริ่มมี นิพพัตติ การเกิดเทวดาอุบัติเทพ แต่เดิมเป็นเทวดาปลอมหรือผีจริง (ตัวเดียวกันนะเทวดาปลอมกับผีจริง) ทำให้ผีตายได้ก็เกิดอุบัติเทพ เป็นนิพพัตติ เป็นอภินิพพัตติ

 

นี่คือธรรมที่ อัจฉริยา อัสสุตัง อัพภูตธรรม นี่คือชาติ 5 แล้วเราก็เรียนรูป 28 ที่รวมกายตั้งแต่ ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นโคจรรูป สัมผัสกับปสาทรูป เกิดเป็นภาวรูป มีทั้ง อิตถินทรีย์ ปุริสสินทรีย์ ก็ล้างอิตถี ให้เกิดปุริสสภาวะ อยากเป็นก็ไม่ต้องไปผ่าตัด ไม่ต้องไปดัดจริตท่าทางเลย ทำให้เป็นปุริสภาวะให้ได้ เป็นความเสมอภาคในหญิงและชาย เป็นวิชาการพระพุทธเจ้าที่ทำความเสมอภาคได้ที่สุด

 

ต้องเรียนรู้จับให้มั่นใน หทยรูป ตรงไหนเกิด คุณบอกว่าปวดใจ แล้วตรงไหนก็อยู่ที่ตรงรู้สึก ไม่มีที่ตั้งหรอก ตรงไหนตรงนั้น มันอยู่ในคูหาสยัง ไม่ปวดไปนอกนี้ แล้วอ่านชีวิตรูป มันมีน้ำหนักเบาแรงอย่างไร หนาหรือบาง มากหรือน้อย ก็เป็นกำลังของชีวิต ก็ชีวิตของอิตถินทรีย์ให้มาเป็นปุริสสินทรีย์ให้ได้ ทำการปหาน ตามพระพุทธเจ้าสอน จนมันไม่มีชีวิต ชาติก็ดับ แต่คุณยังมีชีวิต มีขันธ์ 5 อยู่ มันไม่มี ก็รู้ว่าอะไรไม่มี เป็นหนึ่งในสอง สองในหนึ่ง

 

เมื่อสามารถทำชีวิตินทรีย์ ก็อาศัยอาหารรูป ในองค์ประชุมที่อยู่กับกามกับโลกธรรม โลกีย์ทั้งหลาย วิญญาณอาศัยนามรูปเหล่านี้เกิดทั้งนั้นเราก็จับผี ฆ่าผี ไปเป็นปริเฉทรูป ตาม บริบทๆ ไปเรื่อยๆ จนหมดสูญ เป็นอากาสธาตุ เมื่อได้จะเป็นองค์รวมในนัจจะคีตะวาทิตะ เป็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ต้องอ่านวจีสังขารได้ คนที่ไม่รู้ปรมัตถ์จะเข้าใจว่าวจีสังขารคือ วจีกรรม แต่ที่จริงวจีสังขาร เป็นอาการจิต  ใครจะรู้ได้ต้องอ่าน สังกัปปะ 7 นี้ออก ต้องรู้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส เมื่อคุณทำได้ สุดท้ายก็เหลือ

วิการรูป เป็นอาการที่วิเศษ มิใช่อาการวิกลวิการ คุณก็จะควบคุมได้ ว่าจะให้ออกไปเป็นความแรงเบาอย่างไร ในการ ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา  แล้วออกไปเป็นวิญญัติ 2 แล้วท่านจะรู้อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 18:13:02 )

580311

รายละเอียด

580311-ธรรมาธรรมะสงคราม ราชธานีอโศก เรื่อง ทบทวน มหานิทานสูตร 2

พ่อครูว่า..วันนี้วันที่ 11 มีนาคม 2558 วันพุธ แรม 7 ค่ำ เดือน 4 ปีมะเมีย วันนี้อยู่บ้านราชฯแล้ว อย่างน้อยพวกเราที่นี่ ร้อยกว่าคนถือว่าเป็นวิทยาลัยที่จะสอนถึงปรมัตถ์ จนถึงพูดไขกันอย่างไม่ปิดบัง ว่าเราคือใคร มาสอนอะไร เอาให้ชัดเจน ถึงขนาดนี้ ถ้าไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะเอาอะไร จะทำอะไร จะไปไหน ก็เอาเถอะ ใครไม่รู้ก็แล้วแต่ คนไม่เคยได้ยินก็แล้วแต่ คนได้ยินได้ฟังก็ดี แต่ก็มีคนที่ได้ยินหรือไม่ แต่เขาก็เล่นไลน์ มาถล่มอาตมา เปิดเผยเจตนา แต่มันดีที่เปิดเผย อาตมาเปิดเผยความเป็นอรหันต์ ข่าวคราวที่เขารู้จักอาตมาตามกระแสสังคม ก็คือคนที่มาวุ่นวายกับศาสนา อาตมาเอาเอานะ ประมาณได้ว่า คนที่ไลน์มาเป็นพันๆคน ที่เขาเปิดไปว่าอาตมาเป็นอรหันต์ ในจำนวนนี้เขียนโต้ตอบอาตมา คนเขาก็เอามาให้อาตมาดูบ้าง แชร์กันไปพันกว่าครั้งแล้ว ส่วนใหญ่ก็มีความเห็นเชิงลบ ในลักษณะนี้ที่อาตมาเอามาพูดให้เกิดข้อขบคิด ศึกษาว่า ลักษณะที่คนแสดงออก

 

คนที่เขารู้จักอาตมาแล้วมีเชิงลบมาก่อนว่าไม่ใช่นักบวชในศาสนาพุทธ หรือพ้นจากพุทธไปแล้ว แม้จะมาประกาศว่าตนเป็นอะไรก็ไม่มีผลหรอก เพราะไม่ใช่คนพุทธ ก็ประกาศไปตามประสา เขาก็เห็นไปตามที่เขาว่าฉลาดมีแนวคิด ที่เอามาพูดนี้จะบอกว่า ที่เขาแสดงออกมานี่เป็นการถูกแล้ว เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ของศาสนาพุทธ ซึ่งยุคนี้เขาเชื่อว่า เป็นอรหันต์แล้วประกาศไม่ได้ ใครประกาศขึ้นมาเป็นเรื่องผิด คนประกาศว่าตนเป็นอรหันต์ไม่ใช่อรหันต์ เขาก็ว่าทุเรศ ย่ำยีศาสนา ฟังแล้วจะไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องดีงามสักนิด เป็นลักษณะสามัญ อาตมาไม่แปลกใจ ไม่ท้อใจ ไม่เสียใจ เพราะถ้าไม่เป็นเช่นนี้สิ อาตมาจะเห็นว่าอาตมาเข้าใจผิดประเทศไทย แต่เป็นเช่นนี้ที่เขาแสดงออกมันก็ตรงกับที่อาตมาเข้าใจ

 

 

ที่อาตมาเข้าใจคือ ความเข้าใจผิดเรื่องศาสนาพุทธมีเต็มบ้านเต็มเมืองแล้ว ถ้าคนที่เขาศรัทธาอาตมา เขาก็จะแสดงชื่นชมยินดี แต่อย่างนี้แล้วคนไทยไม่ค่อยทำกัน แต่ถ้าโกรธเกลียดจะแสดงออกเต็มที่เลย คนที่เข้าใจจะไม่แสดง แล้วคนไม่แสดงนี่ แน่นอนอาตมามั่นใจว่า คนไม่แสดงนี้มีจำนวนน้อย คนเข้าใจเห็นดีก็มีน้อยแล้วยิ่งไม่แสดงออกมาก็ไม่เป็นปัญหา แต่คนที่แสดงออกมา ประมาณเท่านี้ อาตมายังคิดว่า ประเทศไทยยังดี เพราะยุคนี้ ไม่มีใครทำหรอกในไทย ที่อาตมาทำนี่ อาศัยกาลัญญุตา ว่ากาละนี้ควรทำเช่นนี้ควรบอกเช่นนี้ เพราะกาละนี้ กระแสศาสนามันเสื่อมต่ำสุดแล้ว ก็ต้องแสดงออกว่า ต่ำสุดนั้นอย่าหมดหวัง อาตมาแสดงออกเพื่อให้สังคมพุทธรู้ว่า มันยังมีความหวัง อย่าสิ้นหวัง สำหรับคนที่ท้อแท้สิ้นหวังกับศาสนาพุทธ ก็ต้องมีที่พึ่ง จะได้คนส่วนน้อย ฟังแล้วเข้าใจ คนที่ไม่มีอคติ แล้วมีปัญญาคนพวกนี้แหละ เราจะช่วยเขาไว้ ถ้าไม่มีอะไรช่วยเลย ศาสนาพุทธจะหมดที่พึ่งเลย ที่กล่าวว่า ขอพึ่งพระรัตนตรัยก็ต้องมีที่พึ่งจริง

 

อาตมาก็อธิบายเรื่องโพธิสัตว์มาก่อนหน้านี้แล้ว ว่าคนจะเป็นโพธิสัตว์ต้องเป็นอรหันต์มาก่อน อาตมาก็ประกาศโพธิสัตว์อยู่มานานแล้ว พวกเราเลยไม่เกิดอาการอะไร จากที่อาตมาประกาศ อาตมาประกาศเพราะพวกเราก็เชื่อมั่นอยู่แล้ว อาตมาใช้มหาปเทส และสัปปุริสธรรม การมีสื่อสารพวกนี้เลยมีคำตอบ  คนแสดงออกคือคนคันหัวใจทนไม่ได้ ก็แสดงออก ส่วนคนชอบใจพอใจก็จะไม่ค่อยแสดงออก แม้คนไม่แน่ใจก็แสดงออกน้อย อาตมาก็ประมาณว่า น่าจะแสดงออกแรงกว่านี้ ผลสะท้อนน่าจะแรงกว่านี้ อาตมาก็ว่าดีกว่าที่ควร ไม่เลวดังที่คิด มันดีกว่าที่คิด ถ้าจะว่าไปก็ทำให้ยิ่งมีกำลังใจ อ่านให้ฟังก็ได้นิดหน่อย

 

-โพธิรักษ์เขาไม่ใช่นักบวชในเถรวาท....เขาแยกลัทธิไปแล้ว...จะไปสนใจทำไม...นู้น...สำนักจานบินนี่สิอันตรายของจริง....แม้แต่คณะสงฆ์ไทยยังไม่ทำอะไรเลย

-ไม่อาบัติหรอก เขาไม่ได้บวชตามพระธรรม-วินัย ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต

-ท่านบวชตามธรรมวินัยคับ แต่ท่านแค่ออกจากสังกัดมหานิกายมาตั้งใหม่ ยังถือว่าเป็นภิกษุคับ แต่ถ้าท่านมาอวดแบบนี้ ถ้าเป็นอรหันต์จริงก็ต้องอาบัติปาจิตตีคับ แต่ถ้าไม่ได้เป็นจริง มีเจตนาเพื่อน้อมลาภสักการะมาสู่ตน อันนี้อาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระอย่างสิ้นเชิง แต่ประเด็นคือ เราไม่อาจรู้ได้ ว่าจริงไม่จริง คงต้องวางเฉย รอดูกันไปก่อน

-สันติอโศกไม่ใช่ศาสนาพุทธ ดังนั้นผู้ที่จะบรรลุอรหันต์ได้มีแต่พุทธศาสนาเท่านั้น สำนักโพธิรักษ์เป็นเพียงเดียรถีย์ นักบวชนอกศาสนาเท่านั้น ไม่ใช่พุทธศาสนา แต่น่าสมเพชที่ดำรงชีพเลียนแบบศาสนาพุทธแทบทั้งสิ้น น่าอายที่ไม่มีปัญญาตั้งศาสนาเอง คิดเองไม่เป็น แล้วอย่างนี้จะบรรลุได้อย่างไร 5555+

-สันติอโศกประกาศตนว่าไม่ใช่พุทธสาวก ไม่ใช่ศาสนาพุทธ แต่การดำรงกลับปฏิบัติเลียนแบบพุทธศาสนาแทบจะทุกอย่าง ยกเว้นเล่นการเมือง ที่พุทธไม่เข้าไปเกี่ยว

ดังนั้นขอให้พุทธศาสนิกชนได้ทราบและเข้าใจด้วยว่า สันติอโศกไม่ใช่พุทธศาสนิกชน เป็นนักบวชที่นอกพระพุทธศาสนา (เดียรถีย์)นั่นเอง

และถ้าเราศึกษาประวัติพุทธเจ้าถ่องแท้ ไม่เคยมีนักบวชนอกศาสนาใด ที่จะเป็นพระอรหันต์ มีแต่อวดอ้างเท่านั้น

 

มาต่อกันที่มหานิทานสูตร

 

เรื่องทั้งหลายคือนิทานหรือนิยาย ที่เป็นจริงที่เกิดจากเหตุ ปัจจัย สมุทัย ทั้งนั้น แสดงออกมาเป็นกรรมของมนุษย์ในโลก ที่เกิดมา ในนิทาน นิยายต่างๆที่เกิดมา เรียนรู้แล้วเข้าใจ เหตุ สมุทัย ปัจจัย ก็คือสภาวะของสิ่งที่เกิดเป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกันทั้งนั้น

 

ในปฏิจจสมุปบาท  นั้น ที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ แล้วสรุปลงที่ ธรรมะสองอย่าง ที่เป็นปัจจัยแก่กันและกัน จะมารวมลง

 

นามรูป เป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ มีผู้ท้วงว่า อายตนะ ทำไมไม่มี อาตมาก็ตอบแล้วว่า อายตนะ นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ตั้งอยู่ที่ไหน ไม่มีเวลาของความตั้งอยู่ มันเกิดในสมัยของสองสิ่งมาทำปฏิกิริยากัน เมื่อไม่มีสองสิ่งนี้ โดยเฉพาะไม่มีรูป กับ นาม โดยเฉพาะในระดับจิตวิญญาณมนุสโส นั้น มีสุรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส แล้วมีอาการที่ 33 ทั้งอบายภูมิ เทวดา 6 ก็อยู่ในอาการ 33 ซึ่งเป็นนามธรรม ผู้ไม่ได้ศึกษานามธรรมเหล่านี้ ที่จะเจริญ จะดีจะสุขจะทุกข์จะเสื่อมก็ขึ้นอยู่กับอาการที่ 33 นี้เป็นหลัก ไม่ใช่อยู่กับอาการ 32 ที่ได้มาตามวิบาก ผู้ที่มีอาการ 33 จะเป็นสัตว์อบาย ผู้ที่จะเรียนรู้ได้ต้องเป็นมนุษย์ชมพูทวีป นอกนั้นเรียนรู้ไม่ได้ต้องรับวิบากด้วย เพราะไม่มี สุรภาโว สติมันโตครบ แม้บางคนมีสุรภาโว แต่ขาดสติมันโต พร้อมทั้ง  ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ด้วย แต่บางทีอาจสำคัญเฉพาะจุด เช่นที่ตา หรือที่หู ก็ได้ เฉพาะจุดเดียว ทำได้ทั้งปุถุชน และอาริยะด้วย บางปุถุชนเพ่งจัดเลย อยู่กับอะไรจดจ่อ

 

คำว่าสุรภาโว สติมันโต ถ้าไม่ได้ศึกษาก็ไม่รู้เรื่อง จะเป็นไปตามอวิชชา ตามสัญชาติญาณ ผู้ที่ศึกษาจะเข้าใจเลยว่า กามภูมิ ที่เป็นเทวดากามภูมิเป็นเทวดาโลกีย์สมมุติเทพ เมื่อได้ฟังสัมมาทิฏฐิ แล้วปฏิบัติเนกขัมมะเป็น ทำใจในใจได้ จึงเกิดอุบัติเทพ ทำไปจนมีจิตใดจิตหนึ่ง เป็นอรหัตตผลวิสุทธิ สะอาด แม้ชั่วสมัยชั่วขณะก็เป็นจริง ยิ่งทำให้ต่อเนื่องอยู่ นานถาวรก็เป็นวิสุทธิ์เทพ เราก็รู้จิตเรา ว่าเป็น สัตว์นรก เป็นผี เป็นเทวดา เป็นมาร เป็นพรหม ก็จะรู้ได้ด้วยตน สันทิฏฐิโก รู้ได้ด้วยตนเอง อกาลิโก โอปนยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ นี่คือสวากขาตธรรมของพระพุทธเจ้า

 

อาตมาพูดธรรมะระดับนี้ไม่สูญเปล่า มีผู้รองรับ นี่คืออกาลิโก ที่ยุคนี้เขาไม่เข้าใจกันแล้ว อธิบายไม่ได้ แต่ไม่ได้ทำอย่างชี้ชวนกันให้มาปฏิบัติได้อย่างนี้หรอก ไม่อาจหาญแกล้วกล้าหรอก เพราะถ้าขืนพูดไปกลัวคนมาซักถาม แม้แต่คนกล้าประกาศก็ต้องไม่มีจิตอวดโอ่ ต้องมีสัปปุริสธรรม มีมหาปเทส ว่าควรประกาศไหม อาตมาทำงานมา ย่าง 45 ปีแล้ว จึงประกาศ

 

สภาวธรรมเทวดานี่ ถ้าคุณเห็นด้วยตนเองแล้ว ว่าไม่ใช่อย่างเทวนิยม เป็นเทวดากามภูมิด้วย แต่นี่เราเป็นเทวดาที่ได้ลดความยึดติด เสวยภูมิของอากิญจัญญาตนะ เราอ่านอารมณ์อากิญฯออก แต่ก่อนเราเคยหลงเป็นเทวดาเสพกามเป็นสุข แต่เดี๋ยวนี้รสอร่อยในกามมันไม่มี อ่านอาการ อากิญฯได้แล้ว อ่านถึง อากาสานัญจายตนะ ออก จิตว่างจากความเป็นสัตว์อบาย สัตว์กาม เป็นเทวดาวิสุทธิเทพ เราเคยติด ฟักทอง คะน้า กาแฟ ติดเพชรพลอย ติดโลกธรรม คนติดเสลดของพระอาจารย์ ก็มี เอาไปบูชาเขาก็เป็นจริงได้ทุกอย่างยึดติดไป แต่เราเข้าใจไม่ติดยึด จะมีก็แต่รสธรรมชาติ รู้จริงตามจริง จะอ่านอินทรย์ของจิต ที่เป็นแรงพลังของจิต นามธรรมคือพลังงานจิต แล้วพลังงานเหล่านี้มีชีวะ เราก็อ่านออกว่าเป็นชีวิตที่ยังไม่บรรลุ เป็นอิตถินทรีย์ มันมีชีวิตที่ยังไม่ถึงอากิญจัญญะ

เมื่อวานอาตมาอธิบายสัญญา 4 ตั้งแต่ ปริตรตารมณ์ -  มหัคคตารมณ์  - อัปปมานาพรหม - อากิญจัญญายตนะ

 

ปริตรตาพรหม มหัคคตาพรหม และอัปปมาณาพรหม (มีมากจนหาประมาณมิได้แต่เราต้องประมาณให้รู้ได้ในความมาก)หรือมหัคคตะ คือฐานจิตที่เจริญ เราพากเพียรปฏิบัติ จิตเรามีสัตว์อบาย กาม หรือผี ยักษ์ มาร เป็นยักษ์จตุมหาราชิกา มีอำนาจที่จะเอามาบำเรอกิเลสตนได้ เพื่อได้ดาวดึงส์นั่นแหละ

 

มหัคคตะคือทำให้เจริญให้ได้ ต้องมีเจโตปริยญาณ ข้อที่ 9-10 ส่วน  6 ข้อแรกคือรู้จักผีในจิต ทำได้ลดได้ ก็เป็นสังขิตตัง หรือวิกขิตตัง แต่มันก็จับไม่ค่อยติดหรือว่าจมเป็นก้อน ก็ต้องทำให้ดีขึ้นเจริญขึ้นเป็นมหัคคตะหรืออมหัคคตะ ต้องรู้ปริตรตารมณ์ คือทำให้ได้แม้ลักษณะน้อยนิด ทำดีขึ้นก็เป็นมหัคคตะ ทำดีขึ้นเป็น สอุตตระ คือจิตที่ดี แต่เราจะรู้ว่ามันยังไม่สมบูรณ์ ยังมีดีกว่านี้อีก คือ อนุตตรังจิตตัง จนสูงสุดเป็นวิมุติ ไม่มีเศษแห่งอสมาหิตจิต

 

มาอธิบายต่อในมหานิทานสูตร

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้

เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงเกิดชรามรณะ

 

ดูกรอานนท์ ก็แล ถ้าชาติมิได้มีแก่ใครๆ

ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ มิได้มี

เพื่อความเป็นเทพ แห่งพวกเทพ

เพื่อความเป็นคนธรรพ์ แห่งพวกคนธรรพ์

เพื่อความเป็นยักษ์ แห่งพวกยักษ์

       เพื่อความเป็นภูต แห่งพวกภูต

เพื่อความเป็นมนุษย์ แห่งพวกมนุษย์

เพื่อความเป็นสัตว์สี่เท้า แห่งพวกสัตว์สี่เท้า

เพื่อความเป็นปักษี แห่งพวกปักษี

เพื่อความเป็นสัตว์เลื้อยคลาน แห่งพวกสัตว์เลื้อยคลาน

 

พ่อครูว่า คุณเป็นมนุสโส ก็มี สุรภาโว สติมันโต ที่อ่านความเป็นเทพออก เห็นความเป็นเทพแห่งความเป็นเทพต่างๆหลายนัยยะ คือ เป็นสมมุติเทพหรืออุบัติเทพ หรือวิสุทธิเทพก็รู้ได้ เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ว่ารู้ไม่ได้ประกาศไม่ได้แสดงออกไม่ได้

 

คนธรรพ์คือจิตวิญญาณเสพกามแบบแอบเสพด้วยนะไม่ให้ใครรู้ แต่พอมาปฏิบัติธรรมรู้ว่าตนแฝง แอบอยู่กับครุฑ ทำตนเองเป็นไรแทรกในขนของพญาครุฑ พวกพญาครุฑคือผู้ยิ่งใหญ่ในกามภูมิ เป็นสมมุติเทพ ที่เราไปแฝงอยู่กับโลกกามภูมิ คือครุฑสัตว์ใหญ่ของโลก คุณแฝงแอบเสพไม่ให้ครุฑรู้ตัว พอมาศึกษาแล้วจะรู้ว่าเราเองหน้าตัวเมีย แอบเสพ ว่าตนไม่มีหรอกแต่แอบเสพ บางที แปลงเป็นตัวไร แต่ตนเองเป็นสัตว์อบายของกาม เป็นสัตว์ชั้นต่ำ แต่แปลงตัวเสียนิดเดียวเป็นไร อยู่ในวงจรของโลกแทรกในขนของพญาครุฑ ตอนนี้เรารู้ตัวก็จะละอายตนเอง พวกหน้าด้านเสพคนก็พอรู้ แต่พวกแอบเสพนี่ ไม่ให้คนรู้ ก็เป็นลักษณะนี้ แล้วทำแบบรู้ด้วย เขามีปัญญาเลยแอบ ถ้าไม่มีปัญญาก็แสดงออกหน้าด้านๆเหมือนหมูหมา แท้จริงตนเองมีแรงมากแต่ก็ต้องเนรมิตตนเป็นตัวไร

 

 

ผู้รู้จักกามภพ รูปภพ ต่อมาในข้อ 58 มหานิทานสูตร กามภพมีอบายภพเป็นเบื้องต่ำก่อน มีการปฏิบัติไปตามลำดับ ทำที่อบายก่อน หมดอบายที่ 1 อบายที่ 2 ก็ขึ้นมาก็คือ กามภพ จนหมดกามภพ เป็นอนาคามีก็เหลือรูปภพ อรูปภพ ก็จะรู้ว่าเราเป็นอนาคามีหรือสกิทาคามี ก็ไล่ภพไปตามพยัญชนะ ตามลำดับ ไปสู่ความละเอียด นี่คือตาทิพย์แท้ตามอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า

 

กามภพ (consciousness)  รูปภพ (sub consciousness) อรูปภพ (unconsciousness)ก็จะขึ้นมาให้เราปฏิบัติ ไปตามของจริง เป็นทฤษฎีที่เป็นไปได้จริง มีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายได้ คนไม่ได้ศึกษาก็จะปฏิบัติสลับไปสลับมา ก็บรรลุยาก แต่ถ้าปฏิบัติไปตามลำดับจะทำได้เร็ว ลาดลุ่มละเอียดด้วย

 

ในอนาคามีจะเรียกรูปภพ ว่าเป็นอบายภูมิของเรา มันเป็นความเสื่อมต่ำของเราอยู่ เราจะไม่งงในสภาวะ แต่คนติดบัญญัติจะบอกว่า อนาคามีทำไมมีอบายอยู่ เขาจะงง แต่คนที่มีรู้จริงก็จะไม่งงในสภาวะและภาษาที่อาตมาสื่อออกไป

 

จากภพ แล้วมาถึงอุปาทาน กามภพ มาเป็น 1.กามมุปาทาน 2.ทิฏฐิปาทาน 3.สีลลัพพตุปาทาน 4.อัตวาทุปาทาน

 

กามุปาทานคือความใครอยากเสพ ได้เสพก็เป็นเทพ ไม่ได้เสพก็เป็นผี เป็นยักษ์ มันยึดกามก็ต้องรู้อ่านได้

 

อัตตวาทุปาทาน มีคำว่าอัตตา , วาทะ, อุปาทาน คือยึดได้แค่คำพูดเป็นอัตตา เป็นตัวตน คนนี้ได้แต่แค่คำพูด พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัพเพ ธัมมานาลัง อนัตตา คือทุกอย่างไม่มีอัตตา คนก็ไม่มีอัตตา ใครไปยึดว่ามีอัตตาก็คือคนมีอัตตา ซึ่งคนยึดแบบนี้คือคนอุจเฉทิฏฐิ เพราะเขาเข้าใจว่าทุกอย่างไม่มีอัตตา ตายไปก็ไม่มีอัตตาสิ นี่คืออุจเฉทิฏฐิ เคยมีฝรั่งมาคุยเรื่องอัตตา อนัตตากับอาตมา แต่ก่อน แต่เขาดูดบุหรี่ปุ๋ยๆ อาตมาก็ว่าให้เขาไปเลิกบุหรี่เสียก่อน เขาก็พูดเสียเท่เลยว่า ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอัตตา แล้วจะเอาอัตตาที่ไหนมาปฏิบัติ อาตมาก็ว่าคุณกลับไปได้แล้ว อาตมาคงเมื่อยที่จะพูดกับคุณอีกนาน ให้ไปเรียนรู้อัตตาในการติดกามบุหรี่นี้เสียก่อน เขาก็ได้แค่วาทะ เสพรสบุหรี่ หมากพลู ของหวาน ติดยึดในทรัพย์วัตถุ โลกธรรมก็ตาม เป็นอัตตาทั้งนั้น นี่คืออัตตา คนที่ได้แค่วาทะ อาตมาพูดถึงอัตตาอย่างเทวนิยม เขาพูดถึงปรมาตมันอย่างอัตตาใหญ่แบบพระเจ้า เขาก็ได้แค่วาทะ เขาไม่ได้รู้จักพระเจ้าที่แท้จริงหรอก เขาได้แค่ยึดว่า พระเจ้าคือสิ่งยิ่งใหญ่ เขาไม่เคยรู้เทวดา ไม่รู้กามุปาทาน หรือมีความเห็นเข้าใจว่า อัตตาเป็นเช่นไร อัตตาอยู่ที่จิตวิญญาณเรา เอาที่อัตตาน้อยๆก่อน เริ่มจาก ปริตรตาพรหมก่อน

 

พวกฝึกนิโรธดับ ก็เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์สูงสุด ไม่เช่นนั้นก็ได้แค่อากิญจัญญายตนะเท่านั้น เขาก็กำหนดได้แค่นี้ ได้แค่ดำดับ เขาไม่มีอายตนะเป็นอสัญญีสัตว์ด้วย แต่ของพระพุทธเจ้านั้นกายประกอบด้วยองค์ประกอบทั้งปสาทรูป โคจรรูป จนเป็นเอกบุรุษ นิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่มี มีสัญญากำหนดรู้ มีอายตนะด้วย เพราะในวิญญาณฐิติ 7 และอายตนะ 2  ในฌานสูตร ท่านอธิบายถึงธรรมะสอง คืออายตนะ 2 ท่านไม่กล่าวอายตะ แต่ท่านกล่าวถึง สภาพ เนวสัญญานาสัญญายตนะกับ สัญญาเวทยิตนิโรธ ในสัญญาเวทยิตนิโรธไม่มีคำว่าอายตนะ

 

อายตนะนั้นละไว้ เมื่อรู้ความไม่มีอะไร ผ่านเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ขึ้นเป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ จึงเป็นธาตุที่รู้ อากิญจัญญายตนะได้สมบูรณ์ พ้นความไม่รู้เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ

 

อาตมาเป็นเศรษฐีบ้านนอก มีทรัพย์เยอะ แต่จัดระเบียบยาก เหมือน ยอดนิยายของโลก ในความเป็นมนุษย์ เป็นชื่อหนังสือที่อาตมาจะเอามหานิทานสูตรมาเขียนเป็นหนังสือเล่มต่อไป อาตมาก็ว่าจะเอาอะไรไปเรียบเรียงให้ดีนะ มันเยอะไปหมดที่รู้

 

อัตวาทุปาทาน เป็นเทวนิยมแท้ๆ แล้วเป็นอัตวาทุปาทาน แบบสัสตทิฏฐิ ส่วนพุทธเป็นอัตวาทุปาทานแบบอุจเฉทิฏฐิ คือได้แค่วาทะคำพูดว่า อะไรก็ไม่มีไม่ใช่อัตตา ส่วนเทวนิยมมีปรมาตมันนิรันดร แต่เขาไม่เคยได้รู้แท้เลยว่าเทวดาเป็นอย่างไร พระเจ้าเป็นอย่างไร ปรมาตมันเป็นอย่างไรจริง เขาแยกแยะจิตไม่ถึง ระดับ psychoanalysis  เข้าไม่ถึงจิตสามระดับ ที่ลึกซึ้ง ซึ่งพุทธทำได้ ให้จิตวิญญาณมีคุณสมบัติของ ปัญญาธิคุณ วิสุทธิคุณ กรุณาธิคุณ คุณสมบัติของตรีมูรติ ของพระเจ้า ได้เลย พิสูจน์ได้

 

สีลลัพพตุปาทาน คือยึดศีลพรต คือการปฏิบัติ ศีลคือหลักปฏิบัติ เช่นศีล 5 ได้แค่ยึดศีล รู้ว่าศีลระงับแค่กายกับวาจา นี่ก็มิจฉาทิฏฐิ ที่จริงศีลนั้น กำจัด ความเป็นสัตว์อบาย กาม อัตตาได้ ถ้าลดได้ก็จะพ้นสีลลัพพตปรามาส ถ้าคุณจับได้กิเลสตัวนี้แต่ก็ได้แต่เล่นหัวกับมัน ไม่ได้ทำให้มันลดก็คือ สีลลัพพตุปรามาส แต่ถ้าได้แค่รู้ศีลพรต แต่ไม่ได้ปฏิบัติเลย สักแต่ว่ายึดถือ ตามภาษาก็ได้แค่ สีลลัพพตุปาทาน แล้วปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา ก็แยกส่วนกัน คือมิจฉาทิฏฐิ ก็มักมีศีลพรตที่มิจฉาไปด้วย จะต้องทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิก่อน

1.    ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง)

2.    ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง)

3.    สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง) ก็คือภาวนามัย ทำให้เกิดผลทางจิต

 

เมื่อรู้สัมมาทิฏฐิก็ไปปฏิบัติให้รู้นามรูป ด้วยอาการ ลิงค นิมิต อุเทส ให้ได้

 

เมื่อเวลาปฏิบัติก็ปฏิบัติที่ตัณหาปัจจุบัน ตอนสัมผัส แล้วจะได้อ่านตัณหาที่คือพลังงานจลน์ที่เกิดจากอุปาทานที่เป็นพลังงานศักย์ ที่นอนนิ่งกบดานอยู่ เป็น อพฺยากตา ธมฺมา มันไม่รู้สุข ทุกข์อะไร คือตัวไม่รู้ไม่ชี้ แยกไม่ออก ไม่ได้ศึกษาไม่ได้จำด้วย  ต้องรู้ตัณหา 6 ที่เกิดจาก ทวารทั้ง 6 กระทบสัมผัส แล้วเกิดปฏิกิริยาตามอวิชชา ให้เรียนรู้ตรง ตัณหา 6 นี้ ต้องมีกายยืนยัน มีตากระทบรูป เสียงกระทบรูป เป็นกายสักขี ตื่นรู้ทั้ง 6 ทวาร จึงเรียกว่าสมบูรณ์ด้วยกาย สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย อัชฌัตตังอรูปสัญญี เอโกพหิทารูปานิปัสสติ สัมผัสทั้งนอกและใน เป็นพรหม ปริตรตารมณ์ -  มหัคคตารมณ์  - อัปปมานาพรหม – อากิญจัญญายตนะ

 

ในตัณหา 3 นี้ วิภวตัณหาเป็นตัณหากุศลที่จะไปล้าง กามตัณหา ภวตัณหา คำว่าวิภวตัณหานี่เข้าใจยาก นี่คือธรรมะสอง ที่จะรวมลงที่เวทนาหรือรวมลงในแต่ละธรรมะ

 

ตัณหา 2 คือตัณหามีภพ คือภวภพ และกามภพ และตัณหา 1 คือวิภวภพ คือสองรวมเป็นหนึ่ง คุณปฏิบัติที่เวทนาก็คือ มีตัณหาเป็นปัจจัยแก่กันและกัน

 

ไล่มาในมหานิทานสูตรต่อ

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้

เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงเกิดอุปาทาน

 

ดูกรอานนท์ ก็ถ้าตัณหามิได้มี แก่ใครๆ

ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ

รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธรรมตัณหา

เมื่อตัณหาไม่มี โดยประการทั้งปวง เพราะ ตัณหาดับไป

อุปาทานจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย

แห่งอุปาทาน ก็คือตัณหา นั่นเอง ฯ

 

      ก็คำนี้ว่า เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา

เรากล่าวอธิบายไว้ ดังต่อไปนี้-

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้

เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา

 

ดูกรอานนท์ ก็ถ้าเวทนามิได้มี แก่ใครๆ

ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ เวทนาที่เกิด เพราะ

จักษุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส

เมื่อเวทนาไม่มี โดยประการทั้งปวง เพราะเวทนาดับไป

ตัณหาจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย

แห่งตัณหา ก็คือ เวทนา นั่นเอง ฯ

ผัสสะ 6 ก็เป็นธรรมะสองที่หยั่งลงเป็นเวทนา คำว่า 1 คือต้องทำให้ได้เป็นเนกขัมมสิตเวทนา ถึงที่สุดเป็นอากิญจัญญายตนะ ก็คือเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา คำว่าสองตกลงสุดท้ายเป็นหนึ่ง จึงต้องรู้เวทนา 108 ให้จริง ในมโนปวิจาร ในสังกัปปะ 7 ต้องให้จิตมีวิจัย วิจาร รู้ความประพฤติ ทำวิจาร คือทำจิตให้วิเศษหมดกิเลสได้ ทำเข้าไปถึงวจีสังขาร ผ่านอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ก่อนเป็นวจีสังขาร

 

มาถึงข้อ 59 ล.10

      [59] ดูกรอานนท์ ก็ด้วยประการดังนี้แล คำนี้ คือ

เพราะอาศัยเวทนา จึงเกิดตัณหา

เพราะอาศัยตัณหา จึงเกิดการแสวงหา

เพราะอาศัยการแสวงหา  จึงเกิดลาภ

เพราะอาศัยลาภ จึงเกิดการตกลงใจ

เพราะอาศัยการตกลงใจ จึงเกิดการรักใคร่พึงใจ

เพราะอาศัยการรักใคร่พึงใจ จึงเกิดการพะวง

เพราะอาศัยการพะวง จึงเกิดความยึดถือ

เพราะอาศัยความยึดถือ จึงเกิดความตระหนี่

เพราะอาศัยความตระหนี่ จึงเกิดการป้องกัน

เพราะอาศัยการป้องกัน จึงเกิดเรื่องในการป้องกันขึ้น

อกุศลธรรมอันชั่วช้าลามก มิใช่น้อย คือ

การถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ การแก่งแย่ง

การวิวาท การกล่าวว่า มึง มึง

การพูดคำส่อเสียด และการพูดเท็จ ย่อมเกิดขึ้น

คำนี้เรากล่าวไว้ ด้วยประการฉะนี้แล

 

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้

เหมือนที่เราได้กล่าวว่า เรื่องในการป้องกัน อกุศลธรรม

อันชั่วช้าลามกมิใช่น้อย คือ

การถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ การแก่งแย่ง

การวิวาท การกล่าวว่า มึง มึง

การพูดคำส่อเสียด และการพูดเท็จ ย่อมเกิดขึ้น

 

       ดูกรอานนท์ ก็ถ้าการป้องกัน มิได้มีแก่ใครๆ

ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน

เมื่อไม่มีการป้องกันโดยประการทั้งปวง เพราะหมดการป้องกัน

อกุศลธรรมอัน ชั่วช้าลามก มิใช่น้อย คือ

การถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ การแก่งแย่ง

การวิวาท การกล่าวว่า มึง มึง

การพูดคำส่อเสียด และการพูดเท็จ จะพึงเกิดขึ้นได้ บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย

แห่งการเกิดขึ้น แห่งอกุศลธรรม อันชั่วช้าลามก เหล่านี้ คือ

การถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ

การแก่งแย่ง การวิวาท การกล่าวว่า มึง มึง

การกล่าวคำส่อเสียด และการพูดเท็จ ก็คือ การป้องกัน นั่นเอง ฯ

 

      ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยความตระหนี่ จึงเกิดการป้องกัน

เรากล่าวอธิบาย ดังต่อไปนี้-

       ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้

เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยความตระหนี่จึงเกิดการป้องกัน

 

ดูกรอานนท์ ก็ถ้าความตระหนี่ มิได้มีแก่ใครๆ

ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน

เมื่อไม่มีความตระหนี่ โดยประการทั้งปวง เพราะหมดความตระหนี่

การป้องกันจะพึงปรากฏได้ บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

        เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย

แห่งการป้องกัน ก็คือ ความตระหนี่ นั่นเอง ฯ

 

      ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยความยึดถือจึงเกิดความตระหนี่

เรากล่าวอธิบาย ดังต่อไปนี้-

 

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้

เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยความยึดถือจึงเกิดความตระหนี่

 

ดูกรอานนท์ ก็ถ้าความยึดถือ มิได้มีแก่ใครๆ

ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน

เมื่อไม่มีความยึดถือ โดยประการทั้งปวง เพราะดับความยึดถือเสียได้

ความตระหนี่ จะพึงปรากฏ ได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย

แห่งความตระหนี่ ก็คือ ความยึดถือ นั้นเอง ฯ

 

      ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยการพะวงจึงเกิดความยึดถือ

เรากล่าวอธิบาย ดังต่อไปนี้-

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้

เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยการพะวงจึงเกิดความยึดถือ

ดูกรอานนท์ ก็ถ้าการพะวง มิได้มีแก่ใครๆ

ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน

เมื่อไม่มีการพะวง โดยประการทั้งปวง เพราะดับการพะวงเสียได้

ความยึดถือ จะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย

แห่งความยึดถือ ก็คือ การพะวง นั่นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยความรักใคร่พึงใจ จึงเกิดการพะวง(อัฌโชสาณัง)

เรากล่าวอธิบาย ดังต่อไปนี้-

       ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้

เหมือนที่เราได้ กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยความรักใคร่พึงใจ จึงเกิดการพะวง

ดูกรอานนท์ ก็ถ้าความรักใคร่พึงใจ มิได้มีแก่ใครๆ

ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน

เมื่อไม่มีความรักใคร่พึงใจ โดยประการทั้งปวง

เพราะดับความรักใคร่พึงใจ เสียได้

การพะวง จะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย

แห่งการพะวง ก็คือ ความรักใคร่พึงใจ นั่นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยความตกลงใจ จึงเกิดความรักใคร่พึงใจ

เรากล่าวอธิบาย ดังต่อไปนี้-

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้

เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยความตกลงใจ(คือวินิจฉัย) จึงเกิดความรักใคร่พึงใจ(ฉันทราโค)

ดูกรอานนท์ ก็ถ้าความตกลงใจ มิได้มีแก่ใครๆ

ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน

เมื่อไม่มีความตกลงใจ โดยประการทั้งปวง

เพราะดับความตกลงใจเสียได้

ความรักใคร่พึงใจ จะพึงปรากฏ ได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย

ความรักใคร่ พึงใจ ก็คือ ความตกลงใจ นั่นเอง ฯ

 

      ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยลาภจึงเกิดความตกลงใจ

เรากล่าวอธิบาย ดังต่อไปนี้-

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้

เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยลาภจึงเกิดความตกลงใจ

ดูกรอานนท์ ก็ถ้าลาภมิได้มี แก่ใครๆ

ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน

เมื่อไม่มีลาภโดยประการทั้งปวง เพราะหมดลาภ

       ความตกลงใจ จะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย

แห่งความตกลงใจ ก็คือ ลาภ นั่นเอง ฯ

 

      ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยการแสวงหาจึงเกิดลาภ

เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้-

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้

เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยการแสวงหาจึงเกิดลาภ

ดูกรอานนท์ ก็ถ้าการแสวงหา มิได้มีแก่ใครๆ

ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน

เมื่อไม่มีการแสวงหาโดย ประการทั้งปวง เพราะหมดการแสวงหา

ลาภจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย

ของลาภ ก็คือ การแสวงหานั่นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยตัณหาจึงเกิดการแสวงหา

เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้-

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้

เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยตัณหาจึงเกิดการแสวงหา

ดูกรอานนท์ ก็ถ้าตัณหา มิได้มีแก่ใครๆ

ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ

กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

เมื่อไม่มีตัณหา โดยประการทั้งปวง เพราะดับตัณหาเสียได้

การแสวงหา จะพึงปรากฏ ได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย

ของการแสวงหา ก็คือ ตัณหา นั่นเอง ฯ

 

ต้องทำให้เวทนาโดยส่วนสอง เป็นหนึ่งเดียว (สุข กับทุกข์ รวมเป็นอุเบกขา) เป็นเอกัคคตา ซึ่งเกิดจากปฏิบัติมรรค 7 องค์แล้วสั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ จิตเป็นหนึ่ง รวมเป็นเอกัคคตาหรืออุเบกขา ตัวสุดท้ายของฌาน ของโพชฌงค์ สมาธิคืออุเบกขาในฌานที่ 4 ทำให้ตั้งมั่นเป็นสมาหิตัง สมบูรณ์ด้วยวิมุติเด็ดขาดตั้งมั่นแข็งแรง รวมเป็นเวทนาโดยส่วนสอง


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 18:15:19 )

580312

รายละเอียด

พ่อครูว่า...วันนี้ วันพระเล็ก แรม 8 ค่ำ เดือน 4 ปีมะเมีย วันนี้เรามาเรียนความรัก 10 มิติ อาตมาแยกคำว่า ความรักมาอธิบายเป็นธรรมะ คำว่า ความรัก คนทั่วไปเข้าใจว่าเป็นเรื่องกาม จริงๆแล้ว กว้างมาก ความรักที่อาตมาหมายนี่ คือความเป็นอัตตา มิใช่เรื่องกาม ทำไมอาตมาบอกว่าเป็นเรื่องอัตตามิใช่กาม?

 

วันนี้หลวงปู่มีข่าวที่เขาสำรวจแล้วเป็นข้อมูล เขาว่า โรคเสพติดมือถือ เป็นอย่างไร? คอยฟังดู

 

คำว่า กาม เป็นความใคร่อยาก มีสองทิศ อยากได้มาเป็นตัวกู กับอยากได้มาเป็นของกู อยากได้มาเป็นตัวเรา หรืออยากได้มาเสพรส ในอัตตาเรา เห็นแก่ตัว คืออัตตา สรุปชัดๆ

 

ผู้ที่ยังมีความรักในตัว อยากได้มาให้แก่ตัว ทั้งวัตถุสมบัติ และวิมาน ลมๆแล้งๆ ปั้นเอาในจิต เช่นปั้นสวรรค์วิมาน อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่ปั้นเอาเองเป็นภพชาติ วิมานเป็นสุข ยิ่งใหญ่ ที่คนทั่วโลก ถูกเขาหลอกล้วงเอาทรัพย์สิน เป็นทาสเขา โดยเอาเรื่องวิมาน ที่ไม่มีจริง ที่หลอกกันอยู่ในสำนักไหนๆ ก็ตาม

 

นอกจากนั้นมาแล้ว ก็เป็นความอยากใคร่เมื่อมาเป็นตัวกูของกูก็คืออัตตา แม้วิมานที่เขาหลอกอยู่ก็ไม่มีจริง มันเป็นความหลอก ให้อยู่แต่ความจำ หลงติด แม้ตายไปก็อยู่กับความจำ ยึดถือไว้ในอนุสัย ตอนตายไปยิ่งนรกหนักมาก ดิ้น เป็นความใคร่อยากอยากได้ แรงจัด แม้นอนหลับก็ไปแสวงหาในฝัน ตายไปก็จะไปดิ้นรนหาในภพ แต่ก็ไม่ได้ก็ต้องดิ้นไปไม่รู้จบ มันหลง

 

ทำไม?พระพุทธเจ้าสอนให้ไม่มีคู่ดีกว่าไปแต่งงาน?

 

เรื่องกามคือความใคร่อยากได้มาเสพติด ไม่ว่าอะไรเอามาแล้วเสพ เพลินได้สัมผัสแตะต้องเสพ ก็คือได้บำเรอกาม อย่างพวกติดเล่นหุ้น สร้างอำนาจใหญ่โต ก็วุ่นติดอยู่กับอำนาจ ให้มียศศักดิ์ ติดแม้กระทั่งติดเล่นติดหัว อย่างเด็กๆ โตไปก็มีติดอย่างอื่น แต่โรคที่เขาเป็นกันในยุคนี้คือ เสพติดมือถือ เสพติดเนียนในมาก ตลอดเวลา ทำอะไรก็แล้วแต่ในมือถือ จนในไลน์ก็ตาม มือถือทุกวันนี้มีอย่างนี้ เกิดโรคเสพติดอันใหม่แล้ว ไม่ใช่สิ่งอื่นไกล ที่จะครองโลกอยู่ทุกวันนี้ มันจะทำให้เราเป็นคนผิดไปจากเดิม อารมณ์เสีย ซึมเศร้า เป็นเหตุปัจจัยต่อเนื่อง เป็นกามารมณ์ ติดรสชาติ สั่งสมลงเป็นอัตตา ความเห็นแก่ตัว จะต้องได้ต้องมีต้องเป็น

 

กาม กับ อัตตา คือธรรมะสอง รวมลงเป็นอันเดียวเป็น เวทนาโดยส่วนสอง คือรูป กับนาม จะได้รูปคือที่คุณปั้นเป็นมโนมยอัตตา สั่งสมเป็นเวทนา ติดเป็น เวทนูปาทานักขันโธ

 

คำเตือนแห่งยุค อย่าเสพติด มือถือhttp://www.thairath.co.th/content/486052

เกิดโรคเสพติดอย่างใหม่ขึ้นอีกแล้ว มันไม่ใช่สิ่งอื่นไกล หากแต่เป็นโรคเสพติดโทรศัพท์มือถือ ซึ่งกำลังครองโลกอยู่ในทุกวันนี้ มันจะทำให้เราเป็นคนที่ผิดไปจากเดิม อย่างเช่นเป็นคนขี้อิจฉา เป็นคนอารมณ์เสียประจำและยังมีอาการซึมเศร้าอีกด้วย

 

อาจารย์วิชาจิตวิทยามหาวิทยาลัยดาร์บี้ของอังกฤษ ศาสตราจารย์ ซาเฮีย หัวหน้าคณะศึกษาเรื่องนี้เป็นคนแรกของอังกฤษ ได้พบว่ายิ่งเจ้าของโทรศัพท์ยิ่งใช้มันมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งใกล้กับการเสพติดมันสูงเท่านั้น

 

เขาเปิดเผยว่า การศึกษาทำให้ทราบว่าการใช้โทรศัพท์มือถือมากเกินไป ทำให้เป็นภัยแก่สวัสดิภาพทางใจ เขาได้ตัวเลขมาว่าทุกวันนี้มีผู้ที่ติดโรคนี้แล้วมากประมาณร้อยละ 13 คนเหล่านี้จะใช้โทรศัพท์เฉลี่ยแล้วเป็นเวลานานรวมกัน 3.66 ชั่วโมงต่อวัน

 

เขายังได้แนะนำในผลการวิจัยไว้ว่า ต่อไปผู้ที่จะซื้อโทรศัพท์มาใช้ ควรจะได้รับการเตือนให้ทราบว่ามันอาจจะทำให้เรากลายเป็นทาสของโทรศัพท์ไปได้.

 

พ่อครูว่า...เขาก็ชักรู้ว่า ไม่ดีอย่างไร ซึ่งโรคเสพติด นี่เป็นกามอย่างยิ่ง ก็คือได้เป็นเราเป็นของเรา ได้เสพรสก็ของเราเอามาทำงาน สัมผัสเสียดสี เพื่อให้รู้ว่าของเราจะใช้ประโยชน์ในการสัมผัสทางทวาร 6 ดู ดม สัมผัสทางลิ้น  เสียดสี ทางโผฏฐัพพารมณ์ กรรมกิริยาภายนอกก็อยู่กับมัน เช่นคนเสพติดนอนก็นอนหลับไปไม่ต้องทำอะไร แล้วปั้นภพชาติว่าเป็นรสที่ต้องเสพนอน ไม่ยุ่งกับความคิดภายนอกเลย อยู่ในใจ จะฝันอะไรก็ตามไม่เหนื่อย นอนเสพติด นี่คือกามเสพติด แล้วเป็นอัตตาชนิดสำคัญ กามกับอัตตามันเข้าไปหากันเช่นนั้น

 

คำสอนพระพุทธเจ้าที่ตรัสว่า ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ประโยคนี้ พยัญชนะนี้ สองอย่างนี้ทำให้เกิด สุข ทุกข์ เสพอารมณ์ รวมกันที่เวทนา จะสองอย่างอะไรก็แล้วแต่ รวมลงที่เวทนาทั้งสิ้น ที่คนติดในอนุสัยตลอดกาล ก็จะไปใช้เวลา ทุนรอน แรงงาน เพื่อให้อัตตานี้ได้เสพ ติดมากก็อยากเสพมาก และนาน เป็นเทวดา ยามา เป็นภพลมแล้ง ในอาการ ที่ 33

 

ถ้าหมดอาการ 33 จะไม่มีอาการ อารมณ์เสพเลย ไม่มีกามาวจรในดาวดึงส์ มีแต่จิตอาการ 32 ที่เป็นตัวรู้ ทำงานอยู่ อย่างปราศจากรสโลกีย์เลย อนาคามีก็จะไม่เสพทางภายนอกแล้ว หมดการเสพภายนอก เหลือแต่ในความจำทีเป็นภพชาติที่พระพุทธเจ้าว่าล้างได้ช้า พอหมดรูปภพ อรูปภพก็เป็นอรหันต์ ไม่มีใคร่อยาก ไม่มีกาม ไม่มีอัตตาเห็นแก่ตัว แต่มีแต่ตัวที่มีขันธ์ 5 ที่สะอาด ทำงานรับใช้โลก เป็นพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)เท่านั้น นี่คือคนที่พระพุทธเจ้าสร้าง

 

หมดกามที่เป็นความใคร่อยากมาเสพที่เป็นสุขเท็จ เกิดจากความใคร่อยากมาเพื่อตัว พอหมดแล้ว ท่านก็จะใคร่อยาก หรือตัณหา เป็นวิภวตัณหา เป็นตัณหาไร้ภพชาติ ไม่มีกามภพ รูปภพ อรูปภพ มีแต่ทำเพื่อให้คนที่อยู่ในกามภพ ท่านไม่เสพรสเลย มีอุทุกขมสุขเวทนา อุเบกขา มีปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา

 

เตือนเด็กๆให้รู้โชคดีแล้ว ที่ว่าที่นี่ไม่เปิดโอกาสให้มีโทรศัพท์มือถือ ที่จะให้เสพติดเนียนในที่ไม่รู้ตัว จนทางโลกบอกว่าอย่าเสพติดมือถือ มันมีอะไรสารพัด

 

คำว่า อัตตา นี่คือ อนุสัย เป็นนามธรรมที่มีจริงในมนุษย์ที่ยังมีอวิชชาทุกคน แต่บางคนบอกว่า สัพเพธัมมาอนัตตา ทุกอย่างไม่มีตัวตนแล้ว ก็ไม่มีทางเรียนรู้อัตตา ปิดประตูนิพพาน ไม่สามารถเป็นได้แม้โสดาบัน เขาว่า สัพเพธัมมา อนัตตา เขานึกเอา ว่าทุกอย่างไม่มีตัวตน แต่ที่จริงมันมีอยู่ เป็นกิเลสผนึกในอนุสัย ต้องล้างไปทีละลำดับขั้น แต่เขาก็ว่าเข้าใจแล้วก็จบ อย่างนี้ปิดประตูอาริยะเลย

 

คือเมื่อมีตัวตน แล้วไม่ได้สมใจ ก็จะเกิดการแย่งชิง ด่าทอ ถือมีดไม้สู้เพื่อให้ได้มาเป็นของเรา เมื่อได้มาเป็นของเราก็จะต้องรักษาไว้ให้กูตลอดนิรันดร มีอารักโข ใครมาแตะต้องไม่ได้ ต้องกั้นหมด ตั้งแต่ละเอียดถึงหยาบ หรือหยาบถึงละเอียด

 

คำว่ากาม ไขความต่อ ในมิติที่ 1 เรื่องเพศ ทำไมพระพุทธเจ้าจึงบอกว่า เรื่องเพศ ที่อาตมาให้หาสูตรที่ว่า ผู้ยังเสพกามอยู่ก็ต้องทำทุจริตอกุศลอยู่ เห็นได้ว่า คนยังมีกามอยู่มันทำให้ผิดต่อไปได้มากมายเลย คนที่มีกามก็ไม่หมดอัตตาแน่ ทั้ง กามราคะ รูปราคะ อรูปราคะ ตั้งแต่กามนอกถึงภายในเลย

 

เมื่อไม่ได้มาก็ปฏิฆะ หรือว่า หวงแหน ป้องกัน ยึดของกูไว้ ผู้หมดกาม หมดปฏิฆะ มาเป็นอนาคามี มีแค่กามภายใน เสพในจิตตนเอง ไม่ออกอาละวาด การกระทบสัมผัสภายนอกไม่มีกามแล้ว มีแต่รูปราคะ อรูปราคะ หมดทำให้หมดอีก แม้นิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่มีอากิญจัญญายตนะ แล้วทำให้ถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ ทำให้ล่วงพ้นอันนี้ไปถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ หมดเวทนาที่เป็นเพื่อนสอง จึงอยู่แต่ผู้เดียว เป็นเอโก เป็นปรมัตถ์

 

พระพุทธเจ้าชัดเจนในกามเรื่องเพศ จะมีผลข้างเคียงไปอีกมาก หากคุณยังติดรสเรื่องกามแล้วจะเห็นแก่ตัวในมิติที่ 1 มุ่นอยู่ แม้บางทีไม่เห็นแก่ลูก คนยุคนี้ พอลูกเกิดมาก็ไม่รับผิดชอบ เอาไปทิ้ง เอาแต่เสพกาม พอเสพกามได้รส แล้วมีลูกมีผลที่จะตามมา แต่มันไม่ได้เห็นแก่ ผล เอาแต่กาม นี่คือมิติที่ 1 แสดงออกชัดเจน ว่าเห็นแก่กามอย่างเดียว แม้ศีลข้อ 1 ปาณาติบาต ไม่เห็นแก่เชื้อสายตัวเองก็มี คนพวกนี้ก็ป้องกันไม่ให้เกิดลูก พอป้องกันไม่ได้ก็เกิดลูก ก็ทิ้งลูกอีก มันฆ่าลูกเลยได้ ไม่ใช่สืบพันธ์ธรรมชาติ นี่เสพกาม

 

คนมีลูกนี่จะเป็นทาสลูกไปอีก 22 ปี ในเมืองนอกสร้างวัฒนธรรมว่า อายุ 15 ปีก็ให้ไปช่วยตนเอง ไม่มีความเชื่อมโยงทางญาติมิตร พอแก่เฒ่าก็นอนตายเน่า แต่เอเชียก็ไม่เป็นเช่นนั้น

 

ถ้าลดความเห็นแก่ตัวได้ ก็จะเห็นแก่ใครๆกว้างขึ้นๆ แต่ถ้าแคบแค่ตัวตนหรือคู่ก็แคบมาก แต่ถ้าพ้นออกไป เห็นแก่มิตรสหาย แก่สังคม แก่มนุษยชาติ

 

มิติที่ 0 คือพวกหนีเข้าป่า เห็นแก่ตัวเต็มบ้อง กดข่ม นั่งสมาธิ เขารู้เหมือนกันว่า กามมันเป็นสิ่งไม่ควร แต่ก็ตีตัวเองไม่ให้รับรู้ ไม่มีการเรียนรู้เสพติด อารมณ์ เวทนา ก็ไม่ได้เรียน พวกนี้มีแต่ความเห็นแก่ตัว ทิ้งภาระหมดเลย ดูเหมือนไม่ทุกข์ แต่ถ้ามีกามก็ต้องรับผิดชอบเพิ่มขึ้น เห็นว่าหนักเป็นทุกข์ โดยไม่รู้จักตัวยึดมั่นถือมั่น ว่าเราจะทำงานให้สังคม โดยไม่มีตัวตน เพราะกามหมด อัตตาหมด หมดความเห็นแก่ตัวก็มีแต่ปัญญาทำประโยชน์แก่โลก ตามสัปปุริสธรรม มหาปเทส 4 ไม่มีชีวิตทำเพื่อตัวตน แต่มีชีวิตทำเพื่อผู้อื่น ศาสนาพุทธล้างกามก่อนแล้วล้างอัตตาภายใน ได้จริง หมดกิเลสแล้วจะเป็นผู้ไม่มีตัวตน แต่มีพลังงานเห็นแก่ผู้อื่น มีหลักประกันได้ว่าไม่เห็นแก่ตัวจริง รับใช้ผู้อื่นตามสามารถ แม้อาจประมาณผิดบ้างก็เสียท่าบ้าง พระพุทธเจ้าว่า ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ประมาณผิดจะทำให้คนอื่นเพ่งมองผิด จิตไม่ต้องการ แต่ความประมาณไม่เก่ง ก็ทำผิดได้ พระพุทธเจ้าถึงมีสติวินัย อย่าไปถือสาท่านเลย ท่านไม่มีเจตนาทำเพื่อตัวเองแต่ผิดพลาดได้ พระอรหันต์ก็มีอันตรายอันแสบเผ็ดจากโลกธรรมได้ เสียศักดิ์ศรีของพระอรหันต์ได้

 

กามเป็นภาระ คุณจะไม่อิสระ เพราะต้องไปบำเรอกาม และต้องรักษาหวงแหนตระหนี่ เราต้องทำการหยุด ล้างกาม จึงเบาภาระ เป็น สัตบุรุษได้ อรหันต์เป็นสัตบุรุษสมบูรณ์ หมดเห็นแก่ตัวจริง สิ้นเกลี้ยง

 

กาม กับ อัตตา เป็นธรรมะสองที่รวมกันเป็นหนึ่งในเวทนา แต่มันก็ยังมีส่วนสอง คือ เรา กับ เขา ส่วนเรา นี่เป็นอัตตาตามสมมุติ เป็นอรหัตตา เป็นตัวเรา(อัตตา) ที่ไม่ลึกลับในอัตตาแล้ว เพราะบริสุทธิ์ในกามในอัตตาแล้วไม่ต้องเอามาบำเรอกาม อัตตา แล้วมีแต่ทำเสียสละเพื่อผู้อื่น ถ้ายังมีตัวกูของกู แม้เป็นเศษส่วนใดๆก็ตาม คนที่เสพติด โทรศัพท์มือถือแม้ไม่ได้สัมผัสกด ก็ต้องให้มาติดตัว นอนก็มาอยู่ข้างๆ นี่คือตัวกู ของกู แชตอันนี้ ไลน์อันโน้นไป มันเสพไป พอจะเข้าใจกว้างขึ้นไหม มันมีสองอย่างนี้

 

เราผ่านคำว่า เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ เข้าใจเนื้อหาในธรรมะประโยคนี้จะลึกซึ้งเพราะคนก็เสพติดสองอย่างนี้แหละคือ กาม และ อัตตา ถ้ามีแต่อัตตาในตนก็เป็นความลำบากเสียเวลา ทุนรอน แรงงาน เปลืองเปล่า แทนที่จะเอาไปทำเพื่อคนอื่น

 

กาม นั้น มันเห็นแต่การเสพรสเท่านั้น สมสู่ ทางทวาร 5 ภายนอก สัมผัสเสียดสี แล้วยึดติดในอนุสัยติดใจ ว่าคนนี้ให้รสสัมผัสเสียดสีกับเราได้ดีก็ยึดคนนี้ ถ้าคนนี้ทำให้เราไม่ได้เท่าก็ยึดอีกคน บางที วัตถุให้รสดีกว่าคนก็เอาวัตถุ เท่านั้นเองไม่มีอะไรในมหาจักรวาลนี้

 

แม้แต่มิติที่ 1 ไม่เห็นแก่ลูกเลย ทั้งตัวผู้ตัวเมีย ในสังคมมีมากขึ้น ก็ขอเตือนเด็กๆ ที่เสพติด เราไม่เข้าใจหรอก ที่หลวงปู่อธิบายนี่เป็นประโยชน์แก่ชีวิตพวกเรามาก แต่ก็ไปสนใจอย่างอื่น ไม่รับสิ่งที่หลวงปู่ให้ ก็ยังไม่เดียงสา วัยวุฒิก็มีตามอายุ

คนจะหมดกามนั้น ไม่ง่าย ไม่ต้องกลัวคนจะสูญพันธ์ไปจากโลกเลย ง

 

ต่อไปเป็นคำถาม ประเด็น

 

-ทำไมต้องเปลี่ยนโศลกทุกปี

ตอบ...โศลกปีนี้คือ ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก...ในที่สุด

โศลกนี้ ถ้าคนทั้งโลก พากเพียรให้เกิดความบริสุทธิ์ได้จะดีมาก แต่ทุกวันนี้เดือดร้อนเพราะเป็นสังคมไม่บริสุทธิ์ ทำไมต้องเปลี่ยนโศลก ถ้ามีแต่โศลกเดียวก็จะน่าเบื่อ แล้วถ้ามีอันเดียวก็เหมือนหลวงปู่ไม่มีหัวคิดเลย โศลกนี้ตั้งใจจะใช้อีกหลายปี คนส่วนใหญ่จะหลอกคนอื่นว่าตนบริสุทธิ์ แต่ไม่ได้ล้างออก มันก็ยังมีอยู่ ทำงานอยู่ใต้ก้นบึ้งจิตใจ สะสมความรัก ความแค้น อำมหิตโหดร้าย มันทำงานตลอดเวลาไม่หยุดนะมันทำทุกเวลา กลางวันกลางคืนทำตลอด เป็นพลังงานละเอียดกว่า พลังงานชีววิทยา ถ้าฝึกให้กั้นได้บ้างก็ได้บ้าง แต่ที่มันอยู่ใน จิตไร้สำนึก ก็ไม่สามารถรู้ได้ กดเข้าไปมันก็ไม่หยุด ไม่แน่นไม่อยู่ มันเล็กละเอียดก็กระดุกกระดิกได้ ไม่รู้มันมันก็ทำงานไป เป็นสิ่งลึกซึ้งมาก พระพุทธเจ้ามีทฤษฎียิ่งใหญ่ล้างความไม่บริสุทธิ์ได้สิ้นเกลี้ยงจนถึงต้นตอความเป็นมนุษยชาติ มโนบุพพัง คมาธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา จิตเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง ต้องทำให้เกิดความบริสุทธิ์ให้ได้ ทำเต็มที่เท่าที่เราจะทำให้บริสุทธิ์ ฝากถึง คสช. รู้ว่าอันไหนผิดชั่วอย่าทำอีก ให้ทำใหม่ให้บริสุทธิ์เลย

 

-โทษภัยของเรื่องการใช้โทรศัพท์

พ่อครูว่า...เรื่องโทรศัพท์นี่อาตมาไม่ได้เสพได้ติดเลย เราก็ใช้ประโยชน์ตามจำเป็นที่ต้องใช้ ต้องพกพา อาตมาไม่ต้องพก เนื่องจากมีท่านที่ใช้อยู่ท่านให้ใช้ ถ้าอาตมาถือโทรศัพท์ก็จะมีคนระดมมาไม่น้อย เสียเวลาไป ที่พูดให้ฟังคือ เราล้างกิเลสแล้ว เป็นผู้รู้คุณรู้โทษ ไม่ยึดด้วยตัณหา ไม่ได้ยึดด้วยทิฏฐิ เป็นผู้หลุดพ้น โทรศัพท์มันก็เป็นคุณ แต่โทษมันมีมหาศาล อาตมาก็ไม่ต้องมีก็ทำประโยชน์ได้ เครื่องคอมพิวเตอร์ก็ใช้เขียนหนังสือเป็นหลัก

 

-การติดนอนนี่เป็นมโนมยอัตตา มันจะทุกข์อย่างไร?

ตอบ...ในความไม่มีสุรภาโว  ไม่มีสติมันโต จิตวิญญาณในภาวะนั้น คุณมีอะไรสั่งสมในอนุสัย ตายไปคุณไม่รู้ว่าคุณตายหรอก ก็จะดิ้นพราดๆ แต่ต่างกับตอนเป็น ที่คุณมีร่าง คุณจะตื่นมาเสพได้ พวกวัยรุ่น หรือพวกที่อยากเสพกามคุณ ก็ไม่อยากนอนหรอก ต้องไปหาเพื่อนๆ ไปเสพ จิตที่มีกามก็จะดิ้นพราดๆ แต่ที่พูดนี้คุณเองว่าสงบทางโน้นแล้ว ก็มาเสพการนอน แต่ในฝันจะดิ้นแรงร้อนกว่าในภพมีร่างกาย เพราะแสดงออกได้ แสวงหาได้ ในภพก็จะอาละวาดมากกว่าอีก เละเทะ แต่ทางสงบก็ยิ่งดิ่งดับ อย่างอาฬารดาบส อุทกดาบส ที่เขาไม่ได้ล้างกามด้วย ถ้าเขาเบื่อทางสงบแล้วก็จะมาเสพทางกามด้วย พอออกมาจะร้ายกว่าเก่าอีก  การติดหลับนี่ จะนานกว่าอุทกดาบสอีก เพราะถ้าเป็นอนาคามีก็ไปอยู่ในสุทธาวาส ติดยึดแต่นอนแต่หลับ แล้วจะเป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าว่า ตถาคตไม่เอาสุทธาวาส มันดูสะอาด แต่มีภพชาติที่นาน แล้วไม่มีอะไรดึงด้วย ไม่อยากติดก็ต้องออกมา ขยันหมั่นเพียร การนอนนี่ไม่ได้ซักซ้อมผัสสะ นึกว่าหมด แต่สะกดไว้เท่านั้น การเรียนรู้กับผัสสะนี้ดีที่สุด

 

-ทำไมยิ่งสูง แล้วต้องยิ่งหนาว เหมือนกับการใช้ชีวิตสัมมาสิกขาไหม?ที่พอเป็นพี่ใหญ่ม.6 แล้วจะทำอะไรก็ต้องระวัง เพราะเมื่อผิดแล้วก็ยากจะแก้คืน นอกจากทำปัจจุบันให้ดีที่สุดชีวิตม.6 เหมือนสบาย แต่เสี่ยงมากที่จะตายก่อนถึงเป้าหมาย

ตอบ...คำว่าหนาวคือต้องระมัดระวังสิ่งไม่ดีก็เลยเหมือนยิ่งสูงยิ่งหนาว ระวังจะเกร็ง กดข่มตนเองมากไปเท่านั้น

 

พ่อครูขอแทรกโฆษณาว่า...เขาจะมีงานรวมพลังมังสวิรัติ ครั้งที่ 2 สถานที่คือ ห้างเดอะไนน์ พระราม 9 วันที่ 1 5 เม.. 2558 ติดต่อจองบูทได้ ขอทราบรายละเอียดตามเบอร์โทรศัพท์ 081-8176569  096-1626463 , 083-5142361


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 18:17:49 )

580313

รายละเอียด

580313-ธรรมาธรรมะสงคราม-บ้านราชฯ-เรื่อง-ธรรม-2-อย่าง-รวมเป็น-1

        • พ่อครูว่าโลก ทุกวันนี้ย่ำแย่เพราะอวิชชา แล้วสืบไล่หาเหตุ เจอสังขาร วิญญาณ เกิดนามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา เมื่อเจอเวทนาก็เจาะลงที่เวทนา ก็จะเจอตัณหา อุปาทาน ซ่อนภพชาติไว้ เกิดนิยายเป็นโศกะ ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาสะ เป็นนิยายโลกที่ดุเด็ดเผ็ดมัน ผู้รู้ก็จะรู้ยอดนิยายของโลก

นิยายโลกที่ดุเด็ดเผ็ดมัน ผู้รู้ก็จะรู้ยอดนิยายของโลก

.19 ข.14 ท่านไล่แยกโลกว่า แบ่งเป็น

  1. อบายโลก
  2. มนุสโลก
  3. เทวโลก
  4. ขันธ์โลก
  5. ธาตุโลก
  6. อายตนโลก

 

มี 6 โลกที่เป็นความหมุนวนเป็นนิยาย แก้แค้นกัน รักกันหนักหนา ปานจะกลืนกิน แล้วโมหะ หลงไปไม่เงยหัว ตราบใดไม่ได้สดับคำสอนของพระพุทธเจ้าผู้นั้นไม่มีทางละหน่ายคลายสิ่งที่ตนเองหลงนี่ได้เลย ไม่มีทาง ต้องได้เป็นผู้สดับธรรมพระพุทธเจ้า แม้ไม่ได้ยินจากพระโอษฐ์ก็ได้ยินจากสาวก ที่เป็นสัมมาปฏิบัติ จนเกิดสัมมาปฏิเวธ ตั้งแต่ปัจจัตตัง ปัจเจก สยังอภิญญา ปัจเจกสัมมาฯ และพระพุทธเจ้า

 

พระพุทธเจ้าจึงเป็นต้นทางของความรู้ที่จะรู้โลก แล้วดับโลก ถึงดับเหตุ สมุทัยของโลก ดับได้ก็เป็นโลกนิโรธ รู้แจ้งรู้จริงในสิ่งที่เป็นความมี(โหติ) กับความไม่มี (นโหติ)

 

ท่านเปิดเผยเรื่องราวเป็นสายปฏิจจสมุปบาท ก่อเรื่องราวในโลกอย่างเบื่อไม่ลง

 

มาดูที่อาตมาเรียบเรียงมา  เรื่อง ธรรม 2 อย่าง รวมเป็น 1

 

ประโยคที่ว่า เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ

-ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (พระไตรฯ ฉ.หลวง ล.10 ข้อ 60)

-ธรรม 2 อย่างนี้ ทั้ง 2 ส่วน รวมลงเป็นอย่างเดียวกันกับเวทนา (พระไตรฯ ฉ.มจร. .10 ข. 112)

เทฺว ธมฺมา = ธรรม 2 อย่าง ไม่ว่า 2 อย่างนั้นจะคือ อะไรกับอะไรก็ตาม ในประดา รูปกับ นามเป็นสำคัญ

 

โดยเฉพาะแม้แต่ องค์ประชุมของรูปกับนามที่เรียกว่า กายก็ให้เน้น นามเป็นสำคัญ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดว่า ในร่างกายนั้น แต่ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมของมหาภูตรูปทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโน บ้าง วิญญาณบ้าง” (.16 ข.230)

 

ดังนั้น ธรรม 2อย่างนี้ ทั้ง 2 ส่วน รวมลงเป็นอย่างเดียวกับเวทนาจึงเป็นหลักการสำคัญมากในการปฏิบัติของพุทธ หากไม่สามารถพิจารณา กายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรมเฉพาะอย่างยิ่ง เวทนาในเวทนาตามที่พระพุทธเจ้าทรงเน้นในความเป็น รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนาโดยส่วนสอง

 

เห็นไหมว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้เรียก กายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า ร่าง” (สรีระ) แต่อย่างใด ทั้งๆที่ระบุชัดๆ ยืนยันอยู่โต้งๆว่า เป็นที่ประชุมของมหาภูตทั้ง 4)

 

มหาภูตทั้ง 4ก็คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม อันเป็นสสารหรือวัตถุอยู่แท้ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่จะ ถูกรู้ก็คือความเป็น รูปโต้งๆ ที่จะ รู้ได้ด้วยการสัมผัสทางตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย” (ปสาทรูป 5) โดยมี ใจเป็น นามหรือ ตัวผู้รู้อวจรอยู่กับ กามภูมิบ้าง อวจรอยู่กับ รูปภูมิส่วนในบ้าง และอวจรอยู่กับ อรูปภูมิส่วนในสุดบ้าง จึงเป็น โคจรรูปร่วมกับ ปสาทรูปล้วนเป็น องค์รวมของ รูปกับนาม” (กาย) นี่เอง เกิด ภาวะ 2ให้เจ้าตัวได้เรียนรู้ปฏิบัติจัดการ

 

นี่แหละ เหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัย แห่งปฏิจจสมุปบาททั้งหลาย ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน มหานิทานสูตรหรือในปฏิจจสมุปบาท พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ตั้งต้นแต่ อวิชชาจนถึง ชรา มรณะ โสก ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาสะ ล้วนเป็นอาการทางจิตทั้งสิ้น

 

ชัดเจนไหม ว่า แม้จะยืนยันใน องค์ประชุม” (กาย) นั้นอยู่โทนโท่ ว่ามี ดิน น้ำ ไฟ ลมประกอบอยู่แท้ๆนี่แหละ แต่ รูปธรรมแท้ๆ แต่ กลายเป็นนามธรรมคือ จิต-มโน-วิญญาณเป็นเอก รวมลงเป็นอันเดียวกับเวทนาหรือเป็นหนึ่งกับเวทนา” (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )

 

ซึ่ง กายต้องมีทั้ง รูปทั้ง นามร่วมกันอยู่ไม่ขาดอันใดอันหนึ่งนะ หมายความว่า ต้องมีทั้งภายนอกและภายใน เชื่อมต่อ มีสันตติกันอยู่ไม่ขาดทาง รูปธรรม

 

ส่วนทาง นามธรรมนั้นเป็น ตัวแท้ของการจัดการอภิวัฒน์พัฒนา(อภิสังขาร) หรือ การทำใจในใจให้ถ่องแท้แยบคายลงไปถึงที่เกิด แล้วทำความเกิด-ความดับกัน ณ ที่ตรงนั้น (สัมภวะ) ซึ่งทำให้ อกุศลจิตดับและเห็น อกุศลจิตเกิด จึงจะชื่อว่า เป็นผู้ เห็นความเกิด-ความดับของจิต ชนิดที่ เห็นแจ้ง” (สัจฉิ) ของจริงด้วยตนสัมมาทิฏฐิแท้

 

นั่นก็คือ ดับ อุปาทานเริ่มตั้งแต่ รูปูปาทานักขันธาและ เวทนูปาทานนักขันธา-สัญญูปาทานักขันธา-สังขารูปาทานักขันธา-วิญญูปาทานักขันธาเพราะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง เวทนาในเวทนามีความสามารถทำ การวิเคราะห์ภาวะจิต” (consciousness analysis )

 

รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น เวทนา 108ได้แก่ เวทนา 2-เวทนา 3-เวทนา6-เวทนา18-เวทนา36-เวทนา 108

 

การปฏิบัติกับ ภาวะจิต” (consciousness doing) จึงจะถึงขั้น การทำใจในใจอย่างถ่องแท้ลงไปถึงที่เกิด” (โยนิโสมนสิการ = genesis doing ) และสามารถกำจัดกิเลสในจิตที่เป็นความเห็นแก่ตัวสำเร็จตามลำดับได้จริง (selfishness killing) หมดสิ้นเกลี้ยง

 

ซึ่งความเป็นหนึ่งอย่างเอกอย่างยอดนั้นก็คือ เนกขัมสิตอุเบกขาเวทนานั่นเอง ที่ธรรม 2 อย่าง ทั้งหลายล้วน รวมลงที่เวทนา” (สโมสรณา) ตาม มูลสูตร 10ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

ประโยคที่ยิ่งใหญ่ นี้ คือ เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ” (ฉบับมจร. .10 ข.112)

-ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (พระไตรฯ ฉ.หลวง ล.10 ข้อ 60)

-ธรรม 2 อย่างนี้ ทั้ง 2 ส่วน รวมลงเป็นอย่างเดียวกันกับเวทนา (พระไตรฯ ฉ.มจร. .10 ข. 112)

1 แต่ก็ยังมี 2

 

เวทนา 108 นั้นสำคัญมาก เพราะผู้จะปฏิบัติต้องมนสิกโรติ ได้ ต้องอ่าน อาการ

เวทนา 2 คือ กายิกเวทนากับ เจตสิกเวทนา แยกกายแยกจิตนั่นเอง แต่ไม่ใช่ว่าเข้าใจผิดว่า กายคือร่าง แยกกายแยกจิตก็คือ เข้าใจว่า กายคือร่างคือวัตถุ ส่วนจิตคือนามธรรมที่ไปรับรู้ นี่คือเพียงรู้ตื้นๆ เพราะคำว่า กาย ไม่ใช่ ดิน น้ำ ไฟ ลมเท่านั้น ทิ้งจิตไปเลย ไม่ใช่ เพราะคำว่า กาย ไม่ทิ้งจิต แต่กายคือภายนอกไม่ทิ้งจิต แม้จะเป็นอนาคามี เหลือแต่สังโยชน์เบื้องสูงมีแต่รูปภพ อรูปภพก็ต้องมี ทวารนอกสัมผัส แล้วรู้สองส่วน รวมลงที่เวทนา เหลือแต่กิเลสในรูปภพ อรูปภพ แล้วก็ต้องรู้อินทรีย์ของมันว่ามันแรงหรือเบา ทำให้มันดับได้หรือไม่ เป็นครั้งคราวหรือถาวร เห็นของจริง ถ้าคุณไม่รู้ว่ามันตั้งอยู่ จางคลาย ทำให้ดับได้ ถ้าไม่ไปรู้ลำดับก็จะเดาๆเอาแค่นั้น แต่ผู้รู้ลำดับ จะไม่มาบอกว่าตนเป็นอรหันต์อย่างผลีผลามเป็นอันขาด การปฏิบัติไปตามลำดับของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ จะสั้นที่สุด ตรงที่สุดเร็วที่สุด ถ้าสัมมาทิฏฐิชัด

 

ถ้าสามารถรู้ว่ามันเกิดจากทวาร 5 ที่สัมผัสแล้วรวมลงที่ใจ แล้วเวทนาเป็นอารมณ์ที่บอกสุข ทุกข์ นี่คือทุกข์อาริยสัจ อ่านได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส แล้วพระพุทธเจ้าว่าอย่าไปให้อาหารมัน สัมผัสแล้วงดเว้นสิ่งที่เราติดมีกิเลส เราก็จะอ่านรู้อาการอยาก ถ้าไม่ได้ก็เดือดโทสะขึ้นจะเนื่องกันให้เห็น ท่านให้กำจัดมัน เห็นมันไม่เที่ยงสู้กันจนตายเลย ไม่ให้อาหารกิเลสไม่ตายหรอก เอาอย่างอื่นแทนได้

 

สอง อ่านอาการที่มันเป็นสุขเท็จสุขหลอก มันมีตอนมีเหตุปัจจัยหมดเหตุมันก็ไม่มี เราก็เริ่มรู้อัตตา ตั้งแต่ข้อ 64 ว่า

      [61] ดูกรอานนท์ บุคคลเมื่อจะบัญญัติอัตตา

ย่อมบัญญัติด้วยเหตุ ประมาณเท่าไร

 

ก็เมื่อบุคคลจะบัญญัติอัตตา มีรูปเป็นกามาวจร

ย่อมบัญญัติว่า อัตตาของเรา มีรูปเป็นกามาวจร

 

เมื่อบัญญัติอัตตา มีรูปหาที่สุดมิได้

ย่อมบัญญัติว่า อัตตาของเรา มีรูปหาที่สุดมิได้

 

เมื่อบัญญัติอัตตา ไม่มีรูปเป็นกามาวจร

ย่อมบัญญัติว่า อัตตาของเรา ไม่มีรูปเป็นกามาวจร

 

เมื่อบัญญัติอัตตา ไม่มีรูปหาที่สุดมิได้

ย่อมบัญญัติว่า อัตตาของเรา ไม่มีรูปหาที่สุดมิได้ ฯ

 

      ดูกรอานนท์ บรรดาความเห็น 4 อย่างนั้น

ผู้ที่บัญญัติอัตตา มีรูปเป็น กามาวจรนั้น

ย่อมบัญญัติในกาลบัดนี้(ในเล่มมจร.แปลว่า มีอยู่เฉพาะในชาตินั้น ก็เลยมีตัวตนมาหน่อย) หรือบัญญัติซึ่งสภาพ ที่เป็นอย่างนั้น (พ่อครูว่า..ต้องเป็นปัจจุบันขณะเท่านั้นจึงเป็นเวทนาจริง)

หรือ  มีความเห็นว่า

เราจักยังสภาพอันไม่เที่ยงแท้ ที่มีอยู่ให้สำเร็จ

เพื่อเป็นสภาพที่ เที่ยงแท้

อานนท์ การลงความเห็นว่า

อัตตาเป็นกามาวจร ย่อมติดสันดานผู้มีรูป ที่เป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย ฯ

 

       ดูกรอานนท์ บรรดาความเห็น 4 อย่างนั้น

ผู้มีบัญญัติอัตตามีรูปหาที่สุด  มิได้นั้น

ย่อมบัญญัติในกาลบัดนี้ หรือบัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น

หรือมี ความเห็นว่า

เราจักยังสภาพที่ไม่เที่ยงแท้อันมีอยู่ ให้สำเร็จ

เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้

 อานนท์ การลงความเห็นว่า

อัตตาหาที่สุดมิได้ ย่อมติดสันดานผู้มีรูปที่เป็นอย่างนี้

 เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย ฯ

 

       ดูกรอานนท์ บรรดาความเห็น 4 อย่างนั้น

ผู้ที่บัญญัติอัตตาไม่มีรูปเป็น กามาวจรนั้น

ย่อมบัญญัติในกาลบัดนี้ หรือบัญญัติ ซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น

หรือ มีความเห็นว่า

เราจักยังสภาพอันไม่เที่ยงแท้ ที่มีอยู่ให้สำเร็จ

เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้

 

อานนท์ การลงความเห็นว่า

อัตตาเป็นกามาวจร ย่อมติดสันดานผู้มีอรูป ที่เป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย ฯ

 

      ดูกรอานนท์ บรรดาความเห็น 4 อย่างนั้น

ส่วนผู้ที่บัญญัติ อัตตาไม่มีรูป ทั้งหาที่สุดมิได้นั้น

ย่อมบัญญัติในกาลบัดนี้ หรือบัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น

 หรือมีความเห็นว่า

เราจักยังสภาพที่ไม่เที่ยงแท้ อันมีอยู่ให้สำเร็จ

เพื่อเป็นสภาพ ที่เที่ยงแท้

อานนท์ การลงความเห็นว่า

อัตตาหาที่สุดมิได้ ย่อมติดสันดาน ผู้มีอรูป

เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย ฯ

 

       ดูกรอานนท์ บุคคลเมื่อจะบัญญัติอัตตา

ย่อมบัญญัติด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล ฯ

 

พ่อครูว่า ลึกๆของคนมีสัญเจตนาเป็นตัวกำกับ โดยคุณรู้ตัวหรือไม่ก็ได้มันมาจากอนุสัยสั่งการอยู่ (สัญชาติญาณ) เราไม่สามารถดิ่งเขาหาอนุสัยทันทีได้ เราก็ทำอันที่หยาบก่อน มีสติสัมปชัญญะกำหนดรู้ ในนาม 5 มีเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ คุณเข้าใจแล้วก็ไปทำเอง มนสิการเอง อย่างมีผัสสะเป็นสมุทัย ตามมูลสูตร

1.    มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา)

2.    มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ)

3.    มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย)

4.    มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา)

5.    มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ)

ต้องทำที่เวทนา นี่แหละ จะเกิดเป็นฌาน สมาธิ อุเบกขา ต้องแจกเวทนา 18 ออก แยกเนกขัมมสิตเวทนา กับ เคหสิตเวทนา ออกได้ ถ้าทำให้เกิดเนกขัมมสิตเวทนาได้ก็คือผู้ออกบวช เป็นนักบวชแท้

 

 

ผู้ใดอ่านจิตไม่ได้ ไม่มีจิตวิเคราะห์ แยกโลกุตระกับโลกียะไม่ได้ก็ไม่สามารถปฏิบัติได้ คุณจะต้องเริ่มทำจิตคุณให้เข้ากระแสโสตาปันนะ แต่คนที่ไปนั่งหลับตาทำสมาธิ จะไม่สามารถเรียนรู้ปฏิบัติได้ ไม่สามารถอ่าน อาการ ลิงค นิมิต ที่เป็นเวทนาโลกีย์กับโลกุตระออก เพราะต้องมีผัสสะ จึงเกิดเวทนา อ่านเหตุได้ว่าเป็นสราค สโทสะ สโมหะ ได้ แล้วทำให้วีตะได้ ลดได้ เป็นสังขิตตัง วิกขิตตัง จากนั้นทำให้ได้ดีขึ้นอีกเป็น มหัคตจิตกับอมหัคตจิต

 

เริ่มตั้งแต่โสดาบันจิตเข้ากระแสก็ไม่รู้ เอาแต่เอา ทำไปไม่มีลำดับก็ไปไม่ได้ แต่ผู้ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิ เมื่อแยกทิศทางโลกีย์กับโลกุตระได้ก็พยายามทำสัมมัปปธาน 4 สติปัฏฐาน 4 อิทธิบาท 4 ทำการดับชีวิตินทรีย์ของกิเลสได้ ทำวิราคานุปัสสี จนมันดับได้ เป็นนิโรธานุปัสสี ทำได้ต่อเนื่องไปจนดับสนิท ทำทวนทำซ้ำ เป็นปฏินิสสัคคานุปัสสี  แม้ดับได้ก็อยู่ในโลก สัมผัสเหตุปัจจัยเดิม เราก็รู้ทั้งสองส่วน แต่เวทนาเราเป็นหนึ่งเดียว เป็นเอกัคคตาจิต แต่ก่อนเป็นเคหสิตเวทนา เป็นสุข ทุกข์ แต่เราทำให้สองนี้เป็นหนึ่งได้  แม้หมดแล้วเราก็มีจิตที่เราบรรลุแล้ว แต่มีจิตเป็นหนึ่ง เป็นอุเบกขา

 

ตัวสุดท้ายของสัมมาสมาธิคืออุเบกขา เป็นฐานนิพพาน ก็สุดยอดตรงนี้ทั้งนั้น อุเบกขา เป็น 1 เป็นเวทนา 1 คือรู้สึกว่าง ไม่มีกาม ไม่มีอัตตา ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่ผลักไม่ดูด ไม่ใช่แบบดับไม่รู้เรื่อง แต่ดับอย่างมีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง

 

วันนี้ได้พูดเรื่องโลก 6 โลก

.19 ข.14 ท่านไล่แยกโลกว่า แบ่งเป็น

  1. อบายโลก
  2. มนุสโลก
  3. เทวโลก
  4. ขันธ์โลก
  5. ธาตุโลก
  6. อายตนโลก

โลกคือความวนเวียน หากไม่วนก็จบโลก คนมีโลกคือคนที่ยังวนไม่ได้ดับความเป็นโลกของตน ต้องดับที่สมุทัย จึงเกิดโลกที่ดับคือโลกนิโรธ เอาไว้ค่อยอธิบายต่อไป

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็นหรือคำถาม?

 

-เวลาฟังธรรม จะมีบ้างที่รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่อง รู้เรื่องบ้างไม่รู้บ้าง มาสังเกตอีกทีว่า เวลาเราถือศีลหรือสังวรศีล แล้วทำดีๆจะฟังได้รู้เรื่องมากขึ้นแต่เวลากิเลสเข้า เราจะฟังไม่รู้เรื่องมองมุมว่า ที่ลาดลุ่มโดยลำดับ เวลากิเลสภายนอกออกไป กิเลสตัวในก็จะขึ้นมา มันเป็นอย่างเดียวกันไหม?

ตอบ...มันยังไม่ราบเรียบไม่ทะลุ แต่ถ้าทะลุดีแล้วก็จะชัด ถ้าสังวรดี ก็มีอุปกรณ์ในการมาฟังที่ดี การจะมาเก็บผลไม้ หากไม่มีตะกร้าหรือไม้สอยมาก็เก็บไม่ได้มาก แต่ถ้าเตรียมมาดีก็จะได้เยอะ เป็นธรรมดา ไม่น่าสงสัย

 

_แม้อรหันต์ ท่านปิดไม่รับภายนอก อย่างพระพุทธเจ้าท่านไม่รับรู้เสียงฟ้าผ่าเลย ท่านไม่ตกใจได้ แต่ถ้าภายนอกกระแทกแรงถึงขีด ที่ไม่ได้ตั้งใจตั้งรับ มันก็จะต้องตั้งสันตติ ก็จะมีอาการที่เรียกว่า ตกใจ ถ้ามันแรง แต่ถ้าอรหันต์ตั้งจิตแน่วแน่ แต่คุณสมบัติยังไม่ถึงพระพุทธเจ้าก็ตกใจได้ เพราะจิตต้องมารับอันนี้จึงตกใจได้ แล้วแต่ว่าพระอรหันต์ท่านจะมีเจโตสมถะมากหรือน้อย แต่พวกฤๅษีก็ไม่ตกใจง่ายหรอก มีเจโตสมถะแข็งๆ จะเอาความตกใจมาวัดว่าเป็นอรหันต์หรือไม่ไม่ได้

 

_รูป 28 นี่แหละคือรูป ในรูปขันธ์ก็คือรวมกองทุกอย่าง ที่จริง รูป นี่คือ นาม สิ่งที่เป็นรูปนี้เกิดจากมหาภูตรูป ประชุมรวมกับนาม เป็นกาย เมื่อเรามาเรียนรู้รูปเหล่านี้ก็กลายมาเป็นนามรูป และจิตเจตสิกต่างๆก็กลายเป็น นามรูป ส่วนเวทนาที่ถูกรู้นี่เรียกว่ารูป นอกจากจะเรียกว่ารูปแล้วยังเรียกว่า กาย อีก

_.มือมั่น..พ่อครูได้เทศน์ถึงเรื่องเวทนาหลายวัน เรื่องนี้ผมรู้สึกว่า ความรู้สึกที่เป็นความอร่อย ประทับใจ นั้น ความประทับใจจะไม่ค่อยระวัง เรื่องความอร่อยมันก็รู้โทษภัย แต่เรื่องความประทับใจจะไม่ระวัง มันเพลินใจอยู่ (พ่อครูว่าเหมือนเอาขี้มาขยำ)

        • พ่อครูว่า เรื่องเหล่านี้เอามาบอกเล่าสู่กันฟังได้ เพราะเป็นเรื่องที่ถูกตรงสัมมาทิฏฐิ แต่ว่าถ้าปฏิบัติผิดจะเอามาเล่าเรื่องอย่างนี้ไม่ได้หรอก แม้เป็นนามธรรมแต่ว่า ผู้เรียนรู้ตามลำดับ จะอธิบายได้ สุขเท็จนี่มันไม่มี แต่ก่อนนี้มันมีจริงๆ เราจำได้เทียบได้ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่มี เราสัมผัสอยู่นี่แหละ เราอยู่กับโลก เรื่องหยาบๆก็ไม่ต้องสัมผัสก็ได้เรารู้อยู่เห็นอยู่กับโลก ที่นี่ไม่จำเป็นต้องมีเหล้าเลย แม้น้ำขวดก็ไม่มีเลย ก็ไม่เห็นเป็นไร ...จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 18:19:22 )

580315

รายละเอียด

580315-วิถีอาริยธรรม ที่ ราชธานีอโศก เรื่อง พระสงฆ์ที่แท้จริง คืออย่างไร?

.ฟ้าไทว่า วันนี้วันที่ 15 มี.. 2558 ตอนนี้พ่อครูอยู่ที่ราชธานีอโศก ซึ่งที่ชุมชนก็กำลังเตรียมงานตลาดอาริยะและปลุกเสกฯ วันนี้พ่อครูจะมานำเสนอเรื่องที่กำลังเป็นข่าวดัง แม้แต่ในต่างประเทศก็มีกล่าวถึงข่าวนี้ด้วย เรื่องนี้ พระพุทธเจ้าท่านพูดถึงเรื่องนี้ ในจุลศีล พระพุทธเจ้าบอกไว้ว่าให้ภิกษุ ให้เธองดเว้นจากการรับเงินและทอง และเรื่องปาราชิกนี้ พระพุทธเจ้าอุปมาเหมือนอะไรดังนี้

พึงสดับ ดังนี้ :

(1) เสพเมถุน : ปุริโส สีสจฺฉินฺโน = เหมือนคนถูกตัดศีรษะ

คนถูกตัดศีรษะไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกฉันใด

ภิกษุที่ต้องอาบัติปาราชิกเพราะเสพเมถุนก็พ่ายจากความเป็นพระฉันนั้น

(2) ลักทรัพย์ : ปณฺฑุปลาโส พนฺธนา ปวุตฺโต = เหมือนใบไม้เหลืองที่หลุดจากขั้ว

ใบไม้หลุดจากขั้วไม่อาจจะเขียวสดได้อีกฉันใด

ภิกษุที่ต้องอาบัติปาราชิกเพราะลักทรัพย์ก็พ่ายจากความเป็นพระฉันนั้น

(3) ฆ่ามนุษย์ : ปุถุสิลา เทฺวธา ภินฺนา = เหมือนหินทั้งแท่งที่แตกเป็นสองเสี่ยง

ก้อนหินแตกสองเสี่ยงต่อให้ติดสนิทเป็นเนื้อเดิมอีกไม่ได้ฉันใด

ภิกษุที่ต้องอาบัติปาราชิกเพราะฆ่ามนุษย์ก็พ่ายจากความเป็นพระฉันนั้น

(4) อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน : ตาโล มตฺถกจฺฉินฺโน = เหมือนตาลยอดด้วน

ตาลยอดด้วนไม่อาจจะงอกได้อีกฉันใด

ภิกษุที่ต้องอาบัติปาราชิกเพราะอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตนก็พ่ายจากความเป็นพระฉันนั้น

พ่อครูว่า.... วันนี้ ต้องทำการ ปรับปวาทะ ซึ่ง แปลว่า คำสอนคำพูดหรือลัทธิ ที่แปรไปเป็นอื่นจากของพระพุทธเจ้าแล้ว ผู้รู้จะต้องทำกลับคืน ต้องทำความเข้าใจให้ประชาชนรู้ว่า มันเป็นสิ่งที่เพี้ยนไปแล้ว สาวกของพระพุทธเจ้าผู้สามารถจะต้องแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ ข่มขี่ ปรับวาททะที่เกิดขึ้น  เพราะทุกวันนี้ คำสอนของพุทธเปลี่ยนไป ไม่เหมือนคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับของพระพุทธเจ้ากลายเป็นอื่นไปทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา วงการสงฆ์ล้มเหลวไปหมดแล้ว ที่พูดนี้ไม่ได้พูดด้วยการดูถูกดูแคลน โกรธเคือง ไม่ได้เจตนาถล่มทลายหาเรื่องใส่ไคล้ ให้ประชาชนเกลียดชังหรือไปทำร้ายทำลายแต่อย่างใด แต่เป็นการพูดเชิงวิชาการ ว่าในวงการสงฆ์ ทั้งในหมู่ ผู้เปรียบเหมือน

1. พรหมปาริสัชชาภูมิ   คำว่า ปาริสะ แปลว่าบริวาร

2. พรหมปุโรหิตาภูมิ คำว่า ปุโรหิต คือผู้รู้ผู้เป็นครูเป็นหัวหน้า

3. มหาพรหมาภูมิ คำว่า มหาพรหม ก็คือผู้ยิ่งใหญ่ ใหญ่กว่านายใหญ่อีก

 

คุณไพศาล พืชมงคล ฝากคำถาม ถึงท่านสมณะโพธิรักษ์ ว่าพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าคืออะไร?

 

พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าคืออะไรก็ลองสาธยายไปเล็กน้อยก่อน....พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้ามีองค์คุณอย่างไรก็สวดท่องกันอยู่ทุกวัด

 

บทพระสังฆคุณ

 

- บาลี

สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ

อุชุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ

ญายปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ

สามีจิปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ

ยทิทํ จตฺตาริ ปุริสยุคานิ อฏฺฐ ปุริสปุคฺคลา

เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ อาหุเนยฺโย

ปาหุเนยฺโย ทกฺขิเณยฺโย อญฺชลีกรณีโย

อนุตฺตรํ ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺสาติ

 

- แปล

สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติดีแล้ว

สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติตรงแล้ว

สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว

สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติสมควรแล้ว

ได้แก่บุคคลเหล่านี้ คือ คู่แห่งบุรุษ 4 คู่ นับเรียงตัวบุรุษได้ 8 บุรุษ

นั้นแหละ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า

เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา

เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ

เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน

เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี

เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีเนื้อนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดังนี้.

 

ก็ท่องสวดกันอยู่ทั้งนั้น ก็รู้อยู่ ตนเองก็ปฏิญาณตนว่าเป็นสงฆ์ แต่ไม่ได้เป็นสงฆ์ตามที่สวด ไม่ได้ปฏิบัติตามที่สวด ตามที่พระพุทธเจ้าสอน ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ มีแต่วิ่งไปหาทุกข์ ไม่ได้เป็นประสุปฏิปัณโน แม้แต่เบื้องต้น กายในกาย ท่านก็เข้าใจไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่รู้จัก กาย ก็ไม่รู้สักกายะ ก็จะปฏิบัติให้พ้นสังโยชน์ไม่ได้ เรื่องนี้เป็นเรือ่งที่เข้าใจผิด แล้วทำให้ศาสนาพุทธผิดเพี้ยนไปมากมาย จนอาตมาเห็นว่า ปฏิบัติร่วมด้วยไม่ได้ก็เลยต้องขอแยกตัวออกมา เป็นนานาสังวาส แต่ถึงที่สุดเขาก็ดึงอาตมาไปฟ้องร้องอีก แล้วสั่งให้สึกตามกฎหมาย

 

โดยเป็นเรื่องที่อาตมาเคยมีคดีความตอนปี 2532 นี้ อาตมามีข้อมูลว่าที่สมเด็จพระสังฆราช เคยมีว่า ท่านท้วงมหาเถรสมาคมว่า ไปตรวจสอบพระโพธิรักษ์ดีหรือยัง จะมาให้เซ็นให้สั่งให้พระโพธิรักษ์สึกน่ะ นี่คือมันมีเรื่องที่ซับซ้อนอยู่ อาตมาก็ได้แต่ปฏิกโกสนา ตำหนิคัดค้าน ว่าได้ขนาดนี้ ท่านพรหมคุณาภรณ์ท่านแปลปฏิกโกสนาว่าเป็นการคัดค้านอย่างจัง พูดไปนี่ไม่ได้ฟื้นฝอยหาตะเข็บ แต่เป็นการพาดพิงไปเท่านั้น

 

ตั้งแต่แรกๆพระพุทธเจ้าตรัสว่า สงฆ์นั้นจะออกมาบวชต้อง โภคขันธาปหายะ ไม่มีทรัพย์สินเงินทอง แม้เป็นเณรก็ไม่มีเงินทองแล้ว อาจมีบริขาร แต่ก็ไม่ได้มีมากมายหลายขนาดนี้ สร้างที่อยู่ใหญ่โตหรูหราขนาดนี้ เพราะระดับหัวระดับครูทำนำมาก็เลยกลายเป็นอย่างนี้ไปหมด จนความเน่าในเต็มที่แล้ว เป็นแก๊สมีเทนที่อัดไว้เต็มถัง พร้อมระเบิดออกมา

 

อาตมาขออ่านบทความของ สิริอัญญา ในนสพ.แนวหน้า คอลัมน์ บ้านเกิดเมืองนอน 11 มี.. 58

 

ความรับผิดของกรรมการมหาเถรสมาคม

 

หลวงปู่พุทธะอิสระได้ไปแจ้งความกล่าวหากรรมการมหาเถรสมาคมบางรูปว่าปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบหรือทุจริต ทำให้เกิดความสงสัยและกลายเป็นเหยื่อของนักฉวยโอกาสว่า นี่คือการทำลายพระพุทธศาสนา หรือจาบจ้วงล่วงละเมิดคณะสงฆ์

 

เป็นการจงใจลวงประชาชนให้เข้าใจผิด ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วกรรมการมหาเถรสมาคมไม่ใช่คณะสงฆ์ และไม่ใช่ศาสนาพุทธ นอกจากนั้นยังมีความรับผิดตามกฎหมายด้วย เพราะไม่มีกฎหมายใดบัญญัติให้กรรมการมหาเถรสมาคมอยู่เหนือกฎหมาย และอยู่ภายในอำนาจแห่งกฎหมายเสมอกันทั้งสิ้น

 

ดังนั้นจึงต้องหยุดการโกหกหลอกลวงและการสร้างความเข้าใจผิดดังกล่าวนั้นเสีย รวมทั้งต้องทำความเข้าใจกันใหม่ให้ถูกต้องว่ากรรมการมหาเถรสมาคมไม่ได้อยู่เหนือกฎหมาย แต่อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายเหมือนกับประชาชนทุกคน และไม่ใช่คณะสงฆ์หรือเนื้อตัวของพระพุทธศาสนาแต่อย่างใด

 

เมื่อตั้งความเข้าใจให้ถูกต้องเช่นนี้แล้ว ก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อการโกหกหลอกลวงและจะทำให้ความเป็นไปในบ้านเมืองนี้

เป็นไปโดยมีบทกฎหมายเป็นหลักในการประพฤติปฏิบัติ

 

อันกรรมการมหาเถรสมาคมนั้น ตั้งขึ้นก็โดยอาศัยกฎหมายคณะสงฆ์ เป็นองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารจัดการคณะสงฆ์ไทย แต่ไม่มีอำนาจหน้าที่ไปบริหารจัดการพระธรรมวินัยหรือยกเลิกเพิกถอนพระธรรมวินัยใดๆได้เลย

 

เพราะพระธรรมอันพระบรมศาสดาทรงแสดงแล้ว และพระวินัยอันพระบรมศาสดาทรงบัญญัติแล้วคือ ผู้แทนของพระบรมศาสดา หลังจากเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ดังที่ตรัสเป็นปัจฉิมวาจาว่า ธรรมอันเราได้แสดงแล้วแก่เธอทั้งหลาย วินัยอันเราได้บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย เมื่อเราตถาคตได้ล่วงลับไปแล้ว

 

ก็แลเมื่อกรรมการมหาเถรสมาคมเป็นผู้มีอำนาจตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายคณะสงฆ์ และมีหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายคณะสงฆ์ เหตุนี้กรรมการมหาเถรสมาคมจึงต้องใช้อำนาจและต้องปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติ

 

หากใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ชอบ หรือละเว้นการใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ชอบ หรือโดยทุจริต ก็มีความผิดตามกฎหมาย ดังเช่นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157ซึ่งมีโทษจำคุกถึง 10 ปี เป็นความผิดอย่างเดียวกันกับบรรดานักการเมืองทั้งหลาย ที่ใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ชอบหรือละเว้นการใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ชอบหรือโดยทุจริต

 

ดังนั้นโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย กรรมการมหาเถรสมาคมโดยเฉพาะตัวก็ดี หรือโดยรวมเป็นคณะกรรมการก็ดี จึงมีอำนาจและหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติและต้องปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติ หากไม่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติโดยไม่ชอบหรือโดยทุจริต ก็มีความผิดทางอาญาและมีโทษจำคุกถึง 10 ปี

 

แล้วถามว่า กรรมการมหาเถรสมาคมมีอำนาจหน้าที่อะไรบ้าง? ก็สามารถกล่าวได้ง่าย ๆ เพื่อให้เข้าใจกันตามประสาชาวบ้านอย่างเราท่านว่า มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

 

หนึ่ง มีอำนาจหน้าที่ต้องปฏิบัติตามที่กฎหมายบัญญัติ คือบริหารจัดการกิจการพระพุทธศาสนาและกิจการคณะสงฆ์

 

สอง มีอำนาจหน้าที่ต้องพิทักษ์ปกป้องพระธรรมวินัย ไม่ให้ใครมาบิดเบือนพระธรรมวินัย รวมทั้งไม่ให้ใครปฏิบัติวิปริตไปจากพระธรรมวินัยที่ทรงบัญญัติแล้ว ทรงแสดงแล้ว

 

หากไม่ทำหน้าที่หรือทำหน้าที่โดยทุจริตหรือโดยไม่ชอบ ก็มีความผิดติดคุกติดตะรางได้เหมือนกับนักการเมืองนั่นแหละ!

 

การที่หลวงปู่พุทธะอิสระไปแจ้งความดำเนินคดีกับกรรมการมหาเถรสมาคมเป็นเรื่องที่มีมูลอันน่าจับตามอง เพราะถ้าหากข้อเท็จจริงเป็นดังที่หลวงปู่พุทธะอิสระกล่าวหาแล้ว กรรมการมหาเถรสมาคมบางรูปหรือหลายรูปก็มีความผิดทางอาญา จะต้องถูกลงโทษจำคุกและจะต้องสึกออกจากความเป็นภิกษุ

 

เนื้อหาสาระอันเป็นที่น่าสนใจตามที่มีการแจ้งความกล่าวหาเห็นจะมีดังต่อไปนี้

 

ข้อแรก ฝ่าฝืนกฎหมายคณะสงฆ์ เพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามพระลิขิตสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และมติมหาเถรสมาคมที่ 193/2542 ที่สรุปใจความได้ว่า ธัมมชโยเป็นปาราชิกด้วยเหตุบิดเบือนพระธรรมวินัย ทำสงฆ์ให้แตกแยก สถานหนึ่ง และยักยอกทรัพย์ของวัดอีกสถานหนึ่ง เพราะมติมหาเถรสมาคมดังกล่าวระบุว่า พระดำริของสมเด็จพระสังฆราชชอบด้วยกฎหมาย ชอบด้วยพระธรรมวินัย และชอบด้วยกฎมหาเถรสมาคม ดังนั้นใครก็ตามที่ฝ่าฝืนและมีมติว่าธัมมชโยไม่เป็นปาราชิก จึงเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย

 

ข้อสอง เพราะเหตุที่ธัมมชโยพ้นจากความเป็นสมณะตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช และตามมติมหาเถรสมาคมที่ 193/2542 แล้ว จึงมีฐานะเป็นฆราวาส ใครก็ตามที่ไปลงมติให้ธัมมชโยได้กลับเป็นเจ้าอาวาส จึงเป็นการกระทำผิดกฎหมายอีกสถานหนึ่ง

 

ข้อสาม เพราะเหตุที่ธัมมชโยพ้นจากความเป็นสมณะตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช และตามมติมหาเถรสมาคมที่ 193/2542 แล้ว จึงมีฐานะเป็นฆราวาส ใครก็ตามที่ไปลงมติให้เสนอแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะชั้นเทพ จึงเป็นการกระทำผิดกฎหมายอีกสถานหนึ่ง

 

ข้อสี่ การที่พระสงฆ์หลายรูป ทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องในมหาเถรสมาคมสั่งสอนบิดเบือนพระธรรมวินัย และปฏิบัติวิปริตไปจากพระธรรมวินัย จะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย แต่พระสงฆ์เหล่านั้น กลับลอยนวล ยังคงประพฤติผิดอยู่อย่างต่อเนื่อง จึงเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายฐานละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่

 

ข้อห้า การที่พระสงฆ์บางรูปที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาเรื่องของธัมมชโยและวัดพระธรรมกาย หากมีการรับผลประโยชน์ตอบแทนในรูปใดๆ ก็ตาม หรือหากรับผลประโยชน์ที่เกี่ยวเนื่องกับการฉ้อโกงสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น ก็อาจมีความผิดฐานรับของโจรหรือฟอกเงินอีกด้วย

 

ข้อหก การที่พระสงฆ์บางรูปละเมิดพระธรรมวินัยร้ายแรง ประพฤติตนยิ่งกว่าปุถุชนที่มากด้วยกิเลส สะสมของเก่า ไม่ว่ารถยนต์ รถม้า หรือทรัพย์สินเงินทองก็ดี แต่ถูกปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและพระธรรมวินัยก็เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบหรือทุจริตอีกสถานหนึ่ง

 

นั่นเป็นความผิดชอบตามกฎหมายของกรรมการมหาเถรสมาคม ซึ่งถึงแม้บางหมู่บางเหล่าจะปกป้องขัดขวางไม่ให้มีการตรวจสอบหรือยกให้อยู่เหนือกฎหมาย ก็ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้และไม่มีทางที่จะสำเร็จ ในที่สุดอำนาจแห่งกฎหมายก็จะเอื้อมไปถึงอย่างแน่นอน

 

โดยเฉพาะความรับผิดชอบต่อสังคมนั้นใหญ่หลวงนัก เพราะเมืองไทยเป็นเมืองพระพุทธศาสนา คนไทยส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ การละเมิดพระธรรมวินัย การบิดเบือนพระธรรมวินัย การปฏิบัติที่วิปริตไปจากพระธรรมวินัย ไม่ว่าการเดินแฟชั่นธุดงค์หรือเดินขบวนบิณฑบาตที่สร้างปัญหาให้กับประเทศชาติและประชาชน หรือการสร้างขบวนการผีบุญหลอกลวงฉ้อโกงให้คนหลงทำบุญซื้อสวรรค์ซื้อวิมานตั้งแต่ราคาหมื่นบาทไปจนกระทั่งถึงพันล้านบาทนั้น ได้สร้างความมัวหมองให้กับกิจการคณะสงฆ์และสร้างความมัวหมองในจิตใจของพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย

 

ดังนั้นจึงไม่เป็นที่แปลกใจอันใดที่ผลการทำโพลล์หลายโพลล์หลายสำนักตรงกันว่า ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้ปฏิรูปการบริหารกิจการพระพุทธศาสนา แม้บางโพลล์ถึงขั้นที่เรียกร้องให้ยุบมหาเถรสมาคมไปเสียเลยก็มี

 

ความรับผิดชอบทั้งทางกฎหมายและทางสังคมมีอยู่ และเป็นเรื่องที่ต้องสำเหนียกและสังวรกันให้ดีว่าจะทำการกันอย่างไร จึงจะเป็นผลดีแก่ประเทศชาติและศาสนาอันประชาชนนับถือ ไม่ใช่คิดแต่จะดื้อรั้นหรือคิดแต่จะชุมนุมเดินขบวนสวดมนต์

ดังที่ขู่กรรโชกกันอยู่ในขณะนี้!

 

พ่อครูว่า...นี่คือบทความที่ถูกต้องตามกาลเทศะ ถูกสัจธรรม ที่พฤติกรรมสังคมมี phenomena ที่เป็นจริงแล้ว ต้องให้ผู้รู้เห็นจริงมาจัดการปรับปวาทะให้ได้ ไม่เช่นนั้นศาสนาพุทธก็ต้องเลิกในประเทศไทย เพราะเน่าเต็มที่แล้ว ปล่อยไปเชื้อโรคนี้จะร้ายกว่า อีโบล่า

 

ขอสรุปว่า ขณะนี้คณะสงฆ์ไทย กลายเป็นคณะราชปัตโต เป็นคณะข้าราชการของรัฐแล้ว ซึ่งผิดไปจากศาสนาพุทธที่ให้โภคขันธาปหายะ มา ออกบวชแล้วต้องสละเงินทองทรัพย์สอน และต้องมีญาติปริวัตตังปหายะ คือผู้สละญาติมิตร มาเป็นญาติธรรม ให้ปชช.เลี้ยงไว้ แต่ตอนนี้เป็นปรับปวาทะแล้ว เป็นเรื่องนอกรีตจากศาสนาพุทธแล้ว อาตมาเป็นชาวพุทธก็ต้องทำการ ข่มขี่ปรับปวาทะให้เรียบร้อย (สุนิคคะ คือ ข่มขี่) ทำให้ปรับปวาทะนี้หายไป สิ่งที่เป็นอื่นจากพระพุทธเจ้าก็ให้หายไป ทำให้เรียบร้อย อาตมามีเจตนาปรารถนาดี ไม่ได้ทำเพื่อใหญ่โต อาตมาไม่ได้จะไปเป็น เจ้าคุณแต่อย่างใด เดี๋ยวนี้เขายกเป็นพ่อครูคือเป็นพ่อในฐานะครูที่นำความรู้มาให้ ไม่ได้เป็นตำแหน่งแต่อย่างใด

 

เมื่อท่านทำนอกรีต มีหลักฐานแล้วด้วย คณะสงฆ์ กลายเป็น ขรก.ของรัฐไปแล้ว เป็นราชปัตโต คือบวชไม่ได้อยู่แล้ว ซึ่งเวลาจะบวชเขาก็ถามว่า เป็นราชปัตโตหรือไม่? ก็โกหกกันว่าไม่ได้เป็นอีก แล้วพอบวชไปก็มีตำแหน่ง มีเงินเดือนด้วยนะ ช่างกระไร ก็เอาเงินให้พระสงฆ์ทำผิดอีก

 

บัญชีอัตรานิตยภัตปรับใหม่

พระสังฆาธิการ พระสมณศักดิ์ พระเปรียญธรรม 9 ประโยค และพระเลขานุการ

เริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม พ..2549

 

ที่

ตำแหน่ง

อัตราเก่า

อัตราใหม่

1.

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า

22,000

32,000

2.

สมเด็จพระสังฆราช

20,000

29,000

3.

ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช

18,000

26,300

4.

กรรมการมหาเถรสมาคม (สมเด็จพระราชาคณะ)

16,000

23,400

5.

สมเด็จพระราชาคณะ

16,000

23,400

6.

กรรมการมหาเถรสมาคม (โดยแต่งตั้ง)

14,000

20,400

7.

เจ้าคณะใหญ่

14,000

20,400

8.

เจ้าคณะภาค

10,000

14,600

9.

แม่กองบาลี แม่กองธรรม

10,000

14,600

 

บรรพชิตจีนนิกาย (พระจีน) และอนัมนิกาย (พระญวน)

 

ที่

ตำแหน่ง

อัตราเก่า

อัตราใหม่

1.

เจ้าคณะใหญ่ จีนนิกาย / เจ้าคณะใหญ่ อนัมนิกาย

6,000

8,800

2.

รองเจ้าคณะใหญ่ จีนนิกาย / รองเจ้าคณะใหญ่ อนัมนิกาย

2,600

3,800

3.

ผู้ช่วยเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายขวา จีนนิกาย / อนัมนิกาย

1,800

2,600

4.

ผู้ช่วยเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายซ้าย จีนนิกาย / อนัมนิกาย

1,800

2,600

5.

ปลัดขวาจีนนิกาย / ปลัดขวาอนัมนิกาย

1,600

2,300

6.

ปลัดซ้ายจีนนิกาย / ปลัดซ้ายอนัมนิกาย

1,600

2,300

7.

รองปลัดขวาจีนนิกาย / รองปลัดขวาอนัมนิกาย

1,400

2,100

8.

รองปลัดซ้ายจีนนิกาย / รองปลัดซ้ายอนัมนิกาย

1,400

2,100

9.

ผู้ช่วยปลัดขวาจีนนิกาย / ผู้ช่วยปลัดขวาอนัมนิกาย

1,200

1,800

10.

ผู้ช่วยปลัดซ้ายจีนนิกาย / ผู้ช่วยปลัดซ้ายอนัมนิกาย

1,200

1,800

11.

เลขานุการเจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย / อนัมนิกาย

1,800

2,600

 

เบี้ยกันดาร

 

ที่

ตำแหน่ง

อัตราเก่า

อัตราใหม่

1.

อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน

100

500

2.

อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน

100

500

3.

อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน

100

500

4.

จังหวัดยะลา ทุกอำเภอ

100

500

5.

จังหวัดปัตตานี ทุกอำเภอ

100

500

6.

จังหวัดนราธิวาส ทุกอำเภอ

100

500

7.

จังหวัดสตูล ทุกอำเภอ

100

500

  (ตัดมาบ่างส่วน)

ข่าว : สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
2 มิถุนายน 2549

 

พ่อครูว่า นี่เป็นเรื่องที่ผิดที่ทำกันมา อาตมาเลยต้องประกาศลาออกจากมหาเถรสมาคม ตั้งแต่ปี 2518 อาตมาก็ว่าอาตมาเป็น สังฆัง สรณัง คัจฉามิ เป็นที่พึ่งของพุทธศาสนิกชน เกรงใจที่ต้องพูด แต่พูดเป็นวิชาความรู้

เมื่อมาบวชเป็นภิกษุของศาสนาพุทธแล้วอย่าเล่นกับเงิน พระพุทธเจ้าว่าเป็นอสรพิษ ในวงการสงฆ์ให้ตรวจสอบดูให้ดี ปาราชิกกันมากเลย ที่ทำเงินเคลื่อนจากฐาน เกิน 5 มาสก ปาราชิกกันมากมาย แม้แต่ทำให้ของเปลี่ยนผิดประเภท ก็ผิดหมด ของพระพุทธเจ้าละเอียดมาก มันเป็นเรื่องเสื่อมร้ายแรงมาก ผู้ใดตั้งใจจะพัฒนาตนเองให้ดีก็ช่วยกัน ผู้ใดไม่ตั้งใจพัฒนาตนก็ลาออกเสีย อย่ามาทำชั่วทำบาป กรรมเป็นอันทำแล้ว

 

มาฟัง เรี่อง เงินบาป คอลัมน์ กวนน้ำให้ใส ของสารส้ม ในสพพ.แนวหน้า 11 มี..

 

เงินบาป

คลิปเหตุการณ์ที่ชาวสมาชิกสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นตะลุมบอนกัน เมื่อวันที่ 9 มี..ที่ผ่านมา ชาวบ้านผู้เดือดร้อนด่าทอกัน บางคนชี้หน้าด่าด้วยความโกรธแค้น กล่าวหาว่าฝ่ายบริหารสมรู้ร่วมคิดกับธัมมชโยและวัดพระธรรมกาย บางคนถึงขนาดลงมือทำร้ายกันนั้น ทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวดในใจ

 

1) ชาวบ้านถูกโกง แต่กลับต้องมาทะเลาะกันเอง

 

ในขณะที่คนโกงและคนที่รับเงินโกงไป ยังไม่รู้ร้อนรู้หนาว

 

2) ผู้เดือดร้อนจากกรณีนี้ มีทั้งคนที่เคยนิยมเสื้อแดง คนที่ศรัทธาธรรมกาย ข้าราชการบำนาญ แม่ค้ารายวัน คนชราที่เก็บออมเงินมาทั้งชีวิต ฯลฯ จำนวน 56,000 ราย นำเงินมาฝากไว้กับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น หวังผลตอบแทนสูงๆ มีความมั่นคง ตามคำโฆษณาของอดีตผู้บริหาร

 

นอกจากนี้ ยังมีบรรดาสหกรณ์ออมทรัพย์ต่างๆ ที่นำเงินมาฝากออมทรัพย์ไว้สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น มีสถานะเป็นเจ้าหนี้อยู่อีก 80 กว่าแห่ง เช่น สหกรณ์ออมทรัพย์สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม 101 ล้านบาท, สหกรณ์ออมทรัพย์พระจอมเกล้าพระนครเหนือ 143 ล้านบาท, สหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น 156 ล้านบาท, สหกรณ์ออมทรัพย์กรมบัญชีกลาง 159 ล้านบาท, สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนครูดอกสะเก็ด 197 ล้านบาท, สหกรณ์ออมทรัพย์โรงพยาบาลราชวิถี 208 ล้านบาท, ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจแห่งชาติ 211 ล้านบาท, สหกรณ์ออมทรัพย์ครูพัทลุง 251 ล้านบาท, สหกรณ์ออมทรัพย์ครูนนทบุรี 286 ล้านบาท, สหกรณ์ออมทรัพย์ครูมหาสารคาม 312 ล้านบาท, สหกรณ์ออมทรัพย์ครูสงขลา 339 ล้านบาท, สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี 347 ล้านบาท, สหกรณ์ออมทรัพย์ครูนครราชสีมา 537 ล้านบาท, สหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 773 ล้านบาท, สหกรณ์ออมทรัพย์ครูปทุมธานี 848 ล้านบาท, สหกรณ์ออมทรัพย์ครูยโสธร 984 ล้านบาท ฯลฯ

 

รวมทั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ที่ถือสัญญาเงินกู้และตั๋วสัญญาใช้เงิน มีสถานะเป็นเจ้าหนี้อยู่ ได้แก่

 

สหกรณ์ออมทรัพย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถือสัญญาเงินกู้ 1,431 ล้านบาท และเงินฝากออมทรัพย์ 84 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 1,515 ล้านบาท

 

สหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจแห่งชาติ ถือสัญญาตั๋วใช้เงิน 150 ล้านบาท และเงินฝากออมทรัพย์ 852 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 1,002 ล้านบาท

 

รวมเงินของสหกรณ์อื่นๆ ที่เป็นเจ้าหนี้ของยูเนี่ยนคลองจั่นอยู่เกือบหมื่นล้านบาท!

 

ถ้าไม่สามารถติดตามเอาเงินที่ถูกโกงไปกลับคืนมา ความเสียหายก็จะตกแก่ผู้เกี่ยวข้องทุกคน และอาจส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้างเป็นลูกโซ่!

 

3) โกงแล้วไปไหน?

 

...ไพสิฐ วงศ์เมือง รองอธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบเช็คสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำนวน 878 ฉบับ จำนวนเงิน 11,367 ล้านบาท ที่รับเช็คจากนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์ฯ แบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม ได้แก่

 

กลุ่มที่ 1 วัดพระธรรมกาย พระเทพญาณมหามุนี (ธัมมชโย หรือนายไชยบูลย์ สุทธิผล) พระครูปลัดวิจารณ์ มูลนิธิอุบาสิกาจันทร์ ฯลฯ จำนวน 932 ล้านบาท

 

กลุ่มที่ 2 ญาติธรรมและบุคคลใกล้ชิดนายศุภชัย จำนวน 348 ล้านบาท

 

กลุ่มที่ 3 บริษัทเอสดับบลิวฯ และนายสถาพร วัฒนาศิริกุล (อดีตพระวัดธรรมกาย) จำนวน 272 ล้านบาท

 

กลุ่มที่ 4 สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี (ให้สินเชื่อเพื่อการทำบุญกับธรรมกาย) 46 ล้านบาท

 

กลุ่มที่ 5 นายวัฒน์ชานนท์ นวอิสรารักษ์ (อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีคลังยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์) นายจิรเดช วรเพียรกุล และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนรัฐประชา จำนวน 2,566 ล้านบาท

 

และกลุ่มที่ 6 นิติบุคคลและเงินโอนภายในประเทศและต่างประเทศ ในรูปแบบถอนเงินสด แคชเชียร์เช็ค โอนผ่านเนต โอนทางอินเตอร์เนต 7,203 ล้านบาท

 

ปัจจุบัน ดีเอสไอ และ ปปง. ได้ร่วมทำงานติดตามเส้นทางการเงินแต่ละสาย ทั้งเรียกผู้รับเช็คจำนวน 878 ฉบับมาสอบปากคำทุกกลุ่ม และได้เข้าตรวจค้นเพื่อตรวจสอบ ดำเนินการอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดแล้ว เช่น บริษัทเอสดับบลิวฯ, เครดิตยูเนี่ยนรัฐประชา เป็นต้น

 

4) เมื่อไหร่จะคายเงินโกงคืนชาวบ้าน?

 

เจ้าหน้าที่ได้ติดตามอายัดเงินไปหลายสายแล้ว เหลือแต่เงินของสายวัดพระธรรมกายและพระที่เกี่ยวข้อง

 

ในความเป็นจริง เจ้าหน้าที่รัฐมีอำนาจตามกฎหมายที่จะยึดอายัดทรัพย์ของมูลนิธิที่เกี่ยวข้องกับวัดเอาไว้ได้ หากพบเส้นทางการเงินเชื่อมถึงกัน เพราะทรัพย์สินของมูลนิธิมิใช่ธรณีสงฆ์!

 

แต่ในฐานะเป็นผู้ทรงศีล แถมเป็นวัดที่มีเงินทองมหาศาล เมื่อปรากฏชัดว่าชาวบ้านเดือดร้อนหนัก และเงินของชาวบ้านถูกผ่องถ่ายมาที่พวกตน ก็สมควรจะต้องรีบคืนเสียที

 

มิใช่อ้างว่า จะคืน จะคืน แต่ยังไม่ยอมคืนเสียที

 

แม้การคืนเงิน จะไม่สามารถตัดตอนคดีทางอาญา แต่ทางวัดก็จะได้ช่วยทำบุญกุศลแก่ชาวบ้านที่เขาถูกโกง กำลังทุกข์ร้อนอย่างหนัก มีคนเสื้อแดงอยู่ด้วยจำนวนมาก มีคนที่ศรัทธาวัดอยู่ก็ไม่น้อย

 

น่าใจหาย... ในขณะที่ชาวบ้านผู้เสียหายกำลังทุกข์ร้อนหนัก เครียดจัด ขัดแย้งรุนแรง ถึงขนาดตะลุมบอนกันเองแล้วนั้น ทางวัดและพระที่ปรากฏชัดว่าได้รับเงินที่โกงไปจากสหกรณ์ก็ยังไม่ยอมเข้าไปให้การต่อเจ้าหน้าที่บ้านเมือง เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเส้นทางการเงินให้เป็นที่กระจ่างชัด

 

ที่อ้างว่า ไม่รู้ว่าเป็นเงินโกงมานั้น จริงแท้แค่ไหน?

 

เส้นทางการเงินเป็นอย่างไร? รับมาแล้วจ่ายไปไหน? มีการผ่องถ่ายอย่างไร? มีการจ่ายกลับไปที่ผู้บริหารหรือไม่? จ่ายต่อไปกลุ่มไหน? แบ่งงานกันทำอย่างไร? เพื่ออะไร? โดยอดีตผู้บริหารที่ต้องคดีนั้นเคยเป็นไวยาวัจกรของวัด ทำหน้าที่หาเงินเข้าวัด เจ้าหน้าที่บ้านเมืองย่อมต้องการคำชี้แจงที่ชัดเจน เพื่อจะได้ตัดสินใจดำเนินคดีหรือไม่? ในข้อหาใด? รับของโจร? ฟอกเงิน? ฯลฯ

 

นิมนต์เถิด อย่าผัดวันประกันพรุ่งต่อไปเลย...

 

เริ่มจากรีบคืนเงินเสียเถิด...เงินที่ได้ไปจากทำบาป ต่อให้นำไปสร้างมหาเจดีย์ใหญ่โตขนาดไหน ก็เป็นได้แค่กองบาปมหึมาบนฐานความเจ็บปวดและน้ำตาของชาวบ้าน!

 

สารส้ม

 

อาตมาขอเอาหลักฐานยืนยันต่อ ที่คุณไพศาล ถามมาว่า พระสงฆ์ของพระพุทธเจ้าคืออย่างไร ก็ขอทวนว่า พระสงฆ์คือ ผู้ที่โภคขันธาปหายะ และญาติปริวัตตังปหายะ คือผู้สละทรัพสินและญาติมิตร มาเป็นผู้ที่ประชาชนเลี้ยงไว้ แล้วทำงานรับใช้ ทำงานเหมือนกรรมกรได้ แต่ที่ว่าไม่รับใช้ฆราวาสคือ ไม่ทำงานรับจ้าง เพราะเป็นผู้พ้น ลาเภนลาภัง นิชิคิงสนาตา คือพ้นลาภแลกลาภแล้ว ไม่มีสิ่งแลกเปลี่ยน ด้วยลาภ ยศ หรือสรรเสริญ ไม่หลงมีจิตยินดีในลาภ ยศ สรรเสริญ เป็นจิตบกพร่อง ศาสนาพุทธอ่านจิตออก มี จิตวิเคราะห์ psychoanalysis ออก รู้จิตที่เป็นอุกศล กุศล ก็ทำการจัดการและกระทำได้ถูกต้อง

 

ยิ่งเป็นพระที่คนยอมรับนับถือ คนก็จะเอาทานมาให้ คำว่า ทานไม่ใช่บุญ หากรับเงินมาโดยตนไม่ได้ชำระกิเลส ตนก็กิเลสงอก เพิ่ม อย่าไปเสียงให้กิเลสตนเพิ่ม ส่วนบุญคือ การชำระกิเลส

 

พระพุทธเจ้าสอนแต่ต้น ท่านมีธรรมนูญของท่าน คือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล นี้คือศีลของเธอประการหนึ่ง ในสามัญผล คือผลที่เกิดปกติสำหรับสมณะ ผู้ใดปฏิบัติแล้วจะต้องทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ในสามัญผลสูตร ท่านเริ่มที่ศีล แต่ทุกวันนี้เขาเอาวินัยมาเป็นศีล ซึ่งวินัยนี้มีโทษ เหมือนกฎหมาย ถ้านักบวชของพุทธไม่ปฏิบัติตามศีล ไม่สมาทานศีล เช่น ชาวอโศกจะมาเป็นสมณะต้องนับถือต้องสมาทาน จุลศีล มัชฌิมศีล มาหาศีล กันทุกองค์  จริงแล้ว ศีลนี้คือโอวาทปาฏิโมกข์ ไม่ใช่แต่ในวินัยที่เป็นปาฏิโมกข์ จะถือเป็นปาฏิโมกข์ก็เป็นชั้นรองจากศีล

 

จุลศีล มี 26 ข้อ มีข้อที่บอกว่า ภิกษุนี้เว้นขาดจากการรับทองและเงิน แต่ก็ยังมาสับสนกันอีก แม้แต่ในวินัยสงฆ์ การรับเงินทองเป็น นิสสัคคียปาจิตตีย์

 

   มัชฌิมศีล

       [104] 1. ภิกษุเว้นขาดจากการพรากพืชคามและภูตคาม เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์

ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบการพรากพืชคามและภูตคาม

เห็นปานนี้ คือ พืชเกิดแต่เง่า พืชเกิดแต่ลำต้น พืชเกิดแต่ผล พืชเกิดแต่ยอด พืชเกิดแต่เมล็ด

เป็นที่ครบห้า แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

       [105] 2. ภิกษุเว้นขาดจากการบริโภคของที่ทำการสะสมไว้ เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์

ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบการบริโภคของที่ทำการสะสมไว้

เห็นปานนี้ คือ สะสมข้าว สะสมน้ำ สะสมผ้า สะสมยาน สะสมที่นอน สะสมเครื่อง

ประเทืองผิว สะสมของหอม สะสมอามิส แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

[106] 3. ภิกษุเว้นขาดจากการดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล เช่น อย่างที่สมณ

พราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายดูการเล่นอันเป็น

ข้าศึกแก่กุศล เห็นปานนี้คือ การฟ้อน การขับร้อง การประโคมมหรสพ มีการรำเป็นต้น การเล่า

นิยาย การเล่นปรบมือ การเล่นปลุกผี การเล่นตีกลอง ฉากภาพบ้านเมืองที่สวยงาม การเล่น

ของคนจัณฑาล การเล่นไม้สูง การเล่นหน้าศพ ชนช้าง ชนม้า ชนกระบือ ชนโค ชนแพะ

ชนแกะ ชนไก่ รบนกกระทา รำกระบี่กระบอง มวยชก มวยปล้ำ การรบ การตรวจพล

การจัดกระบวนทัพ กองทัพ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

       [107] 4. ภิกษุเว้นขาดจากการขวนขวายเล่นการพนันอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท

เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวาย

เล่นการพนันอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทเห็นปานนี้ คือ เล่นหมากรุกแถวละแปดตา แถวละ

สิบตา เล่นหมากเก็บ เล่นดวด เล่นหมากไหว เล่นโยนบ่วง เล่นไม้หึ่ง เล่นกำทาย เล่นสะกา

เล่นเป่าใบไม้ เล่นไถน้อยๆ เล่นหกคะเมน เล่นกังหัน เล่นตวงทราย เล่นรถน้อยๆ เล่น

ธนูน้อยๆ เล่นเขียนทายกัน เล่นทายใจ เล่นเลียนคนพิการ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอ

ประการหนึ่ง.

       [108] 5. ภิกษุเว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่ เช่น อย่างที่

สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังนั่งนอนบนที่นั่งที่นอน

อันสูงใหญ่เห็นปานนี้ คือ เตียงมีเท้าเกินประมาณ เตียงมีเท้าทำเป็นรูปสัตว์ร้าย ผ้าโกเชาว์ขนยาว

เครื่องลาดที่ทำด้วยขนแกะวิจิตรด้วยลวดลาย เครื่องลาดที่ทำด้วยขนแกะสีขาว เครื่องลาดที่มี

สัณฐานเป็นช่อดอกไม้ เครื่องลาดที่ยัดนุ่น เครื่องลาดขนแกะวิจิตรด้วยรูปสัตว์ร้ายมีสีหะและ

เสือเป็นต้น เครื่องลาดขนแกะมีขนตั้ง เครื่องลาดขนแกะมีขนข้างเดียว เครื่องลาดทองและ

เงินแกมไหม เครื่องลาดไหมขลิบทองและเงิน เครื่องลาดขนแกะจุนางฟ้อน 16 คน เครื่องลาด

หลังช้าง เครื่องลาดหลังม้า เครื่องลาดในรถ เครื่องลาดที่ทำด้วยหนังสัตว์ชื่ออชินะอันมีขน

อ่อนนุ่ม เครื่องลาดอย่างดีทำด้วยหนังชะมด เครื่องลาดมีเพดาน เครื่องลาดมีหมอนข้าง

แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

[109] 6. ภิกษุเว้นขาดจากการประกอบการประดับตกแต่งร่างกายอันเป็นฐานแห่งการ

แต่งตัว เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยัง

ขวนขวายประกอบการประดับตบแต่งร่างกายอันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว เห็นปานนี้ คือ อบตัว

ไคลอวัยวะ อาบน้ำหอม นวด ส่องกระจก แต้มตา ทัดดอกไม้ ประเทืองผิว ผัดหน้า

ทาปาก ประดับข้อมือ สวมเกี้ยว ใช้ไม้เท้า ใช้กลักยา ใช้ดาบ ใช้ขรรค์ ใช้ร่ม สวมรองเท้า

ประดับวิจิตร ติดกรอบหน้า ปักปิ่น ใช้พัดวาลวิชนี นุ่งห่มผ้าขาว นุ่งห่มผ้ามีชาย แม้ข้อนี้

ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

       [110] 7. ภิกษุเว้นขาดจากติรัจฉานกถา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก

ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบติรัจฉานกถา เห็นปานนี้ คือ พูดเรื่องพระราชา

เรื่องโจร เรื่องมหาอำมาตย์ เรื่องกองทัพ เรื่องภัย เรื่องรบ เรื่องข้าว เรื่องน้ำ เรื่องผ้า

เรื่องที่นอน เรื่องดอกไม้ เรื่องของหอม เรื่องญาติ เรื่องยาน เรื่องบ้าน เรื่องนิคม เรื่องนคร

เรื่องชนบท เรื่องสตรี เรื่องบุรุษ เรื่องคนกล้าหาญ เรื่องตรอก เรื่องท่าน้ำ เรื่องคนที่ล่วงลับ

ไปแล้ว เรื่องเบ็ดเตล็ด เรื่องโลก เรื่องทะเล เรื่องความเจริญและความเสื่อมด้วยประการนั้นๆ

แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

       [111] 8. ภิกษุเว้นขาดจากการกล่าวถ้อยคำแก่งแย่งกัน เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์

ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายกล่าวถ้อยคำแก่งแย่งกันเห็น

ปานนี้ เช่น ว่าท่านไม่รู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึง ท่านรู้จักทั่วถึงธรรมวินัยนี้ได้อย่างไร

ท่านปฏิบัติผิด ข้าพเจ้าปฏิบัติถูกถ้อยคำของข้าพเจ้าเป็นประโยชน์ ของท่านไม่เป็นประโยชน์

คำที่ควรจะกล่าวก่อน ท่านกลับกล่าวภายหลัง คำที่ควรจะกล่าวภายหลัง ท่านกลับกล่าวก่อน

ข้อที่ท่านเคยช่ำชองมาผันแปรไปแล้ว ข้าพเจ้าจับผิดวาทะของท่านได้แล้ว ข้าพเจ้าข่มท่านได้แล้ว

ท่านจงถอนวาทะเสีย มิฉะนั้นจงแก้ไขเสีย ถ้าสามารถ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

       [112] 9. ภิกษุเว้นขาดจากการประกอบทูตกรรมและการรับใช้ เช่นอย่างที่สมณ

พราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายประกอบทูตกรรมและ

การรับใช้เห็นปานนี้ คือ รับเป็นทูตของพระราชา ราชมหาอำมาตย์ กษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดีและกุมารว่า ท่านจงไปในที่นี้ ท่านจงไปในที่โน้น ท่านจงนำเอาสิ่งนี้ไป ท่านจงนำเอาสิ่งนี้

ในที่โน้นมา ดังนี้ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

       [113] 10. ภิกษุเว้นขาดจากการพูดหลอกลวง และการพูดเลียบเคียง เช่นอย่างที่

สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังพูดหลอกลวง พูด

เลียบเคียง พูดหว่านล้อม พูดและเล็ม แสวงหาลาภด้วยลาภ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอ

ประการหนึ่ง.

                       จบมัชฌิมศีล.

 

พ่อครูว่า... ดูเหมือนเรื่องไหนๆก็ไม่ให้พูดนะ แต่ที่จริงที่ให้พูดนี้คืออย่าพูดให้เป็นติรัจฉานกถา(พูดให้เกิดกิเลส พาไปหลงใหลติดยึด) อย่างอาตมาก็พูดหมดได้ทุกเรื่อง แต่ไม่ได้พูดอย่างติรัจฉานกถา แต่พูดหมดเรื่องโจร เรื่องภัย เรื่องข้าว เรื่องน้ำ  เรื่องความเจริญ ความเสื่อม เรื่องฯลฯ พูดหมด แต่ไม่เป็นติรัจฉานกถา อย่าพาซื่อว่าไม่ให้พูดเลย ปิดปากเลยไม่ได้ และแม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง แต่ทุกวันนี้ ศีลของพระนี่ มาบวชแล้วพระพุทธเจ้าท่านประกาศศาสนาด้วย จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล จนเกิดสงฆ์ และเกิดศาสนา ต่อมาก็บัญญัติวินัย แต่ทุกวันนี้ สงฆ์ไทยละเมิดศีลหมด ไม่ได้มีศีลเลย ก็เจ๊งสิ ยิ่งมหาศีลนี่ยิ่งหมดเลย มหาศีลนี่เข้ม ละเอียดกว่า จุลศีล มัชฌิมศีล

 

มหาศีล

       [114] 1. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่าง

สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วย

ติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ

ทำนายหนูกัดผ้า ทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธีซัด

รำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่า

บูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้าน ดูลักษณะที่นา เป็นหมอ

ปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษ

เป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทายเสียงกา

เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอ

ประการหนึ่ง.

       [115] 2. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่

สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว เลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วย

ติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ทายลักษณะแก้วมณี ทายลักษณะผ้า ทายลักษณะไม้พลอง

ทายลักษณะศาตรา ทายลักษณะดาบ ทายลักษณะศร ทายลักษณะธนู ทายลักษณะอาวุธ

ทายลักษณะสตรี ทายลักษณะบุรุษ ทายลักษณะกุมาร ทายลักษณะกุมารี ทายลักษณะทาส

ทายลักษณะทาสี ทายลักษณะช้าง ทายลักษณะม้า ทายลักษณะกระบือ ทายลักษณะโคอุสภะทายลักษณะโค ทายลักษณะแพะ ทายลักษณะแกะ ทายลักษณะไก่ ทายลักษณะนกกระทา

ทายลักษณะเหี้ย ทายลักษณะตุ่น ทายลักษณะเต่า ทายลักษณะมฤค แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอ

ประการหนึ่ง.

       [1163. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่

สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วย

ติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ดูฤกษ์ยาตราทัพว่า พระราชาจักยกออก พระราชาจักไม่ยกออก

พระราชาภายในจักยกเข้าประชิด พระราชาภายนอกจักถอย พระราชาภายนอกจักยกเข้าประชิด

พระราชาภายในจักถอย พระราชาภายในจักมีชัย พระราชาภายนอกจักปราชัย พระราชาภายนอก

จักมีชัย พระราชาภายในจักปราชัย พระราชาองค์นี้จักมีชัย พระราชาองค์นี้จักปราชัย เพราะเหตุ

นี้ๆ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

       [117] 4. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่

สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วย

ติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ พยากรณ์ว่า จักมีจันทรคราส จักมีสุริยคราส จักมีนักษัตรคราส

ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินถูกทาง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินผิดทาง ดาวนักษัตรจักเดินถูกทาง

ดาวนักษัตรจักเดินผิดทาง จักมีอุกกาบาต จักมีดาวหาง จักมีแผ่นดินไหว จักมีฟ้าร้อง ดวงจันทร์

ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักขึ้น ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักตก ดวงจันทร์

ดวงอาทิตย์ และดาวนักษัตรจักมัวหมอง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ และดาวนักษัตรจักกระจ่าง

จันทรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ สุริยคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ นักษัตรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้

ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เดินผิดทางจักมีผลเป็น

อย่างนี้ ดาวนักษัตรเดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดาวนักษัตรเดินผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้

มีอุกกาบาตจักมีผลเป็นอย่างนี้ มีดาวหางจักมีผลเป็นอย่างนี้ แผ่นดินไหวจักมีผลเป็นอย่างนี้

ฟ้าร้องจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรขึ้นจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรตกจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรมัวหมอง

จักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรกระจ่างจักมีผลเป็นอย่างนี้ แม้ข้อนี้

ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

       [118] 5. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่

สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วย

ติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ พยากรณ์ว่า จักมีฝนดี จักมีฝนแล้ง จักมีภิกษาหาได้ง่าย จักมีภิกษา

หาได้ยาก จักมีความเกษม จักมีภัย จักเกิดโรค จักมีความสำราญหาโรคมิได้ หรือนับคะแนน

คำนวณ นับประมวลแต่งกาพย์ โลกายศาสตร์ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

       [119] 6. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่

สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วย

ติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ให้ฤกษ์อาวาหมงคล ให้ฤกษ์วิวาหมงคล ดูฤกษ์เรียงหมอน ดูฤกษ์

หย่าร้าง ดูฤกษ์เก็บทรัพย์ ดูฤกษ์จ่ายทรัพย์ ดูโชคดี ดูเคราะห์ร้าย ให้ยาผดุงครรภ์ ร่ายมนต์

ให้ลิ้นกระด้าง ร่ายมนต์ให้คางแข็ง ร่ายมนต์ให้มือสั่น ร่ายมนต์ไม่ให้หูได้ยินเสียง เป็นหมอ

ทรงกระจก เป็นหมอทรงหญิงสาว เป็นหมอทรงเจ้า บวงสรวงพระอาทิตย์ บวงสรวงท้าวมหาพรหม

ร่ายมนต์พ่นไฟ ทำพิธีเชิญขวัญ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

       [120] 7. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่

สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วย

ติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกัน

บ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธี

บวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยา

ถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา

ปรุงยานัตถุ์ ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล

แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

[121] ดูกรมหาบพิตร ภิกษุสมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้ ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เลย

เพราะศีลสังวรนั้นเปรียบเหมือนกษัตริย์ผู้ได้มุรธาภิเษก กำจัดราชศัตรูได้แล้ว ย่อมไม่ประสบภัย

แต่ไหนๆ เพราะราชศัตรูนั้น ดูกรมหาบพิตร ภิกษุก็ฉันนั้น สมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้แล้ว

ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะศีลสังวรนั้น ภิกษุสมบูรณ์ด้วยอริยศีลขันธ์นี้ ย่อมได้เสวยสุข

อันปราศจากโทษในภายใน ดูกรมหาบพิตร ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ถึง

พร้อมด้วยศีล

 จบมหาศีล.

 

พ่อครูว่า...ดูสมาธิ ทุกวันนี้ไม่ใช่สมาธิของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัส ในมหาจัตตารีสกสูตร พระไตรปิฎก เล่ม1 ข้อ 252-281 วิธีปฏิบัติสมาธิไม่ใช่ไปนั่งหลับตาเป็น meditation แต่ให้ปฏิบัติตามมรรค 7 องค์ อันมีสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน แล้วมี สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ทั้ง 4 ข้อนี้ ไม่ได้มีข้อไหนบอกให้ไปนั่งหลับตาทำสมาธิเลย ให้อยู่กับชีวิตประจำวัน ให้จัดการกิเลสได้แม้ในจิตสังขาร อ่านสังกัปปะ 7 ออกได้ พยายามทำใจในใจ มีมนสิการเรา รู้ กาย เวทนา จิต ธรรม ในขณะนั้นๆ ไม่ใช่ตอนอื่นเลย ขณะมีเหตุปัจจัยหลัดๆ อ่านวิจัยให้ออก แล้วจับตัวกิเลส อกุศลจิต แล้วกำจัดมัน กำจัดได้ก็เป็น วิตักกะ เป็นวิจาร เป็นจิตที่ดำริ แล้วล้างเหตุได้ ในพยาบาทวิตักกะ และ กามวิตักกะ จนถึงวิหิงสาวิตักกะ ก็ล้างกำจัดได้ จนทำให้มันไม่มีได้ เป็น วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ ทำได้จิตก็เป็นสัมมาสังกัปปะ ผ่านอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ทำให้สั่งสมลงในจิต ทำให้เกิดแข็งแรงมั่นคง ตรวจสอบอีก ได้มาแล้วจะอนุโลมปฏิโลมไหม ตามที่ตนมีความแข็งแรงของ สังขารุเปกขาญาณจน เป็นวจีสังขาร ต้องรู้จัก จิตสังขาร กายสังขาร ก่อนที่จะออกไปเป็นวจีสังขาร ก่อน ออกไปเป็นกรรมข้างนอก 

 

จิตเป็นประธาน ผู้ใดไม่เรียนรู้จิตก็สับสนวุ่นวาย หากใครเรียนรู้สัมมาทิฏฐิจะไม่สับสน ในมหาจัตตารีสกสูตรมีองค์ธรรมของการทำสมาธิ ถ้าทำสังกัปปะ 7 ไม่ออก แยกโลกียะกับโลกุตระไม่ออกก็ปฏิบัติไม่ได้

ในมหาจัตตารีสกสูตร ข้อ 258 ปัญญา คือทำให้เกิด ปัญญา ปัญญินทรีย์ เป็นปัญญาพละ เป็นกำลังที่ไปตามลำดับ สูงสุดเป็นปัญญาพละ  คือปัญญาผล เกิดจากการปฏิบัติมรรค เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นมรรคังคะ ก็อยู่ในโพธิปักขิยธรรม 37 นี้แหละ มีสติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 จากการปฏิบัติอินทรีย์ 6 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) จะแข็งแรงเป็นผล เกิด โสดาปัตติมรรค  ไปจนถึงอรหัตตผล ไม่ใช่งมงาย แต่เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต รู้แจ้งเห็นจริง แต่ทุกวันนี้ ไม่ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ก็ไม่มีเหลือแล้วในสงฆ์ทั่วไป กระแสหลัก ตอนนี้เราอยู่ในวงการศาสนาพุทธที่ล้มเหลวสมบูรณ์แบบ ข่มขู่เอาอำนาจบาตรใหญ่มาใช้ปกปิดปิดบัง สิ่งที่หมักหมมเน่าในหมดเลว  ที่ออกมาแอคอาร์ททำทีธุดงค์กลางเมืองกันนี่มันเพี้ยนไปหมดแล้ว

 

ในอัมพัฏฐสูตร พระไตรปิฎก เล่ม 9

ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ 4

       ดูกรอัมพัฏฐะ วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แล มีทางเสื่อมอยู่

4 ประการ 4 ประการเป็นไฉน?

       1. ดูกรอัมพัฏฐะ สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และ

จรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ หาบบริขารดาบสเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ที่หล่น สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็น

ทางเสื่อมข้อที่หนึ่ง.

       [164] 2. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุ

วิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้

ถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคเหง้าไม้รากไม้และผลไม้ สมณพราหมณ์

นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สอง.

       [165] 3. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุ

วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถที่จะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ และ

ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ จึงสร้างเรือนไฟไว้ใกล้บ้าน หรือนิคมแล้ว

บำเรอไฟอยู่ สมณพราหมณ์นั้น ต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้

นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สาม.

       [166] 4. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุ

วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้

ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถจะบำเรอไฟได้ จึงสร้างเรือน

มีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้วสำนักอยู่ด้วยตั้งใจว่าผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง 4 นี้ จะเป็น

สมณะหรือพราหมณ์ก็ตาม เราจักบูชาท่านผู้นั้นตามสติกำลัง สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอ

ท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สี่.

       ดูกรอัมพัฏฐะ ทางเสื่อมแห่งวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้มีอยู่

4 ประการดังนี้.

       [167] ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์ย่อมปรากฏ

ในวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้บ้างหรือไม่?

       ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้ากับอาจารย์เป็นอะไร วิชชาสมบัติและจรณสมบัติ

อันเป็นคุณยอดเยี่ยมเป็นอะไร ข้าพเจ้ากับอาจารย์ ยังห่างไกลจากวิชชาสมบัติและจรณสมบัติ

อันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้

 

พ่อครูว่า...อันนี้เป็นคำพยากรณ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ตั้งแต่ศาสนายังไม่เสื่อม แต่ตอนนี้เสื่อมพร้อมไปหมดแล้ว มีพระที่รักษาพระธรรมวินัยได้บ้างแล้ว เดี๋ยวนี้มีเรือนไฟสี่แพร่ง จองที่ไว้ดักคน

 

ทุกวันนี้แม้ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็ไม่มีวิธีปฏิบัติสมาธิแล้ว ปัญญาก็ไม่รู้ ปัญญา ปัญญินทรีย์ มรรคคังคะ ซึ่งมรรคองค์ 8 ของพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตระ  แต่เอาไปสอนโลกีย์ เช่น การพูดชอบ การกระทำชอบ การเลี้ยงชีพชอบ ไปนั่น แท้จริงของพระพุทธเจ้าให้พ้นโลกียะเข้าสู่โลกุตระตามลำดับ เช่น สัมมาอาชีวะ มี 5 อย่าง

แต่เขาใช้วาทะสะกดจิต ตั้งแต่คนยากจน จนถึงคนร่ำรวย ที่ฉลาดยังหลงลมเลย ว่าเขาเป็นต้นธาตุต้นธรรม เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าได้ แล้วคนที่ร่ำรวยฉลาด เหล่านี้ยังหลงใหลเลย แม้คนเล็กคนน้อยที่หลงรวย ก็จะเอาตามอย่างไป อย่างสหกรณ์ที่เขาโกงกันนี่มากมาย

 

ตอนนี้ทั้งการเมือง การศาสนาต้องปฏิวัติ ไม่ใช่แค่ปฏิรูป ตอนนี้ต้องทั้งศาสนาประหาร และรัฐประหาร คือต้องทำคืน จัดการคนผิด แล้วเอาคนถูกมาทำแทน ตอนนี้มันเลอะเทอะไปหมดแล้ว ทั้งกระบวนการศาสนาพุทธที่ท่านเป็นทั้ง 

1. พรหมปาริสัชชาภูมิ   คำว่า ปาริสะแปลว่าบริวาร

2. พรหมปุโรหิตาภูมิ คำว่าปุโรหิต คือผู้รู้ผู้เป็นครูเป็นหัวหน้า

3. มหาพรหมาภูมิ คำว่ามหาพรหมก็คือผู้ยิ่งใหญ่ ใหญ่กว่านายใหญ่อีก

 

ต้องตั้งระบบใหม่ ตามที่พระพุทธเจ้าวางไว้ ก็ขอสรุปตอนนี้ก่อน ...สงฆ์ทุกวันนี้ไม่รู้จักศีล สมาธิ ปัญญา ก็ไม่ต้องกล่าวถึงวิมุติ ไม่มีแน่ ไม่ว่าจะอธิมุติ อธิโมกโข ก็ไม่มีหรอก จิตที่จะโน้มถูกทิศทางตั้งแต่โสดาบันจิตเจ้ากระแสก็ไม่รู้ ไม่รู้ธรรมะสองที่รวมลงที่เวทนา ตั้งแต่อวิชชากับสังขาร ก็ไม่รู้เรื่องก็จะสังขารออกมาเป็นวิญญาณผี มันก็ไม่รู้เรื่องอีก ไปเข้าใจเป็นวิญญาณล่องลอย วิญญาณต้องเกิดจากผัสสะ เป็นสภาพสาม ก็ไม่เข้าใจ อ่านไม่ออกไม่รู้จริง ทำไม่ถูก จิตจะโน้มสู่กระแสโลกุตระไม่มี ไม่มี วิโมกข์ ข้อที่ 3 สุภันเตว อธิมุตโต โหติ ไม่มี

 

นอกจากสงฆ์ทุกวันนี้ไม่มี ศีล สมาธิ ปัญญา ถูกพุทธ แล้วก็ยังทำนอกรีตอีกมากมาย สุดจะเน่าเหม็นมากมาย ยังมีอบาย ติรัจฉานวิชาอีกเป็นลัทธินอกพุทธ เป็นปรับปวาทะไปมากมาย ก็ขออภัยที่ต้องพูดไป เพราะปรารถนาดีต่อศาสนาพุทธ

 

.ฟ้าไทว่า..วันนี้ได้ฟังคำปรับปวาทะ คือศาสนประหาร คือไม่ใช่แค่ปรับธรรมดา จะต้องปฏิวัติเลย เพราะว่ามันเสื่อมไปจนเป็นเรื่องเละเทะ ผิดจนกู้คืนได้ยากต้องทำใหม่เลย ใครทำได้ถือเป็นบุญของพุทธศาสนิกชน ที่พระพุทธเจ้าทำนี้ ทำการข่มขี่ ปรับปวาทะ เพราะเห็นใจประชาชนที่เดือดร้อน แม้เป็นคนมีความรู้ก็ถูกหลอกเดือดร้อน มากมาย


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 18:20:23 )

580317

รายละเอียด

580317_สรรค่าสร้างคน(29) วนบ. มีเจตนาแต่อย่าอยาก จงพากเพียรให้เต็มบริสุทธิ์

พ่อครูว่า...วัน อังคารที่ 17 มี.. 2558
แรม 13 ค่ำเดือนสี่(4)ปีมะเมีย
วิชาสรรค่าสร้างคน(29)
อาตมาทำงาน 45 ปี ก็ไม่น้อยนะ ทำมา พยายาม สรรค่า สร้างคน สรรค่าอะไร? สรรค่าที่เป็นคุณธรรม เน้น คุณธรรมเป็นหลัก แม้มาตั้งโรงเรียนก็เน้นให้ศีลเป็นหลัก ธรรมะเป็นหลัก แล้วก็ขาดเรื่องการงานไม่เป็นก็เน้นการงานบ้าง ส่วนความรู้ความฉลาดของมนุษย์นั้นอาตมาเห็นว่ามันล้นแล้วโลกทั้งโลกพังเพราะความฉลาดความรู้ โลกไม่ได้ขาดแคลนความฉลาด ความรู้เลย แต่ขาดแคลนคุณธรรม สังคมจึงเดือดร้อน ตัวอย่างที่จะยกขึ้นมาวันนี้ ไม่ได้เจตนาจะข่ม ทำลาย ซ้ำเติมนะ มีภาพการ์ตูน ว่า ไล่ออก ไม่ได้บำเหน็จบำนาญ จีทูเจี๊ยะ แล้วมีกรอบใหญ่ ว่า ชีวิตตูมาฉิบหายเพราะไอ้นักการเมืองระยำ แล้วเขาก็ทำเป็นภาพการ์ตูน ว่า มีขรก. ถูกไล่ออกโดยไม่ได้บำนาญ  แล้วชี้ไปที่คนหน้าเหลี่ยม คนนี้ก็ว่า ตูอีกแล้ว แล้วก็มีคนมองบ้องแบ๊วอยู่ข้างๆว่า โครงการรับจำนำข้าว ทักษิณคิด ปูทำ (ที่จริงคุณเปลวจะชอบเขียนว่า ทักษิณ(ริ) ปู(ยำ) ฟังแล้วก็เป็นการจัดสรรคำเสียบ

 

มี เลียบวิภาวดี : สามก๊ก ในนสพ.แนวหน้าวันนี้ เขียนไว้ว่า

 

….กรณีสามข้าราชการระดับบิ๊กในกระทรวงพาณิชย์ถูก ฟ้าผ่าตายด้วยมติเอกฉันท์ของอกพ.กระทรวงพาณิชย์ 9 – 0 ให้ ไล่ออกจากราชการฐาน ทำสัญญาจีทูจีปลอมจนก่อให้เกิดความเสียหายต่อกรมการค้าต่างประเทศและต่อประเทศชาติอย่างร้ายแรงนั้น ถือเป็น ตัวอย่างที่ข้าราชการทั้งหลายของทุกกระทรวง ทบวง กรม จะ ต้องจดจำไว้ให้ดี

 

เหตุที่ ต้องจดจำไว้ให้ดีจะได้เป็นการเตือนสติตนเองในการปฏิบัติหน้าที่ราชการว่า ถ้ายังไม่อยากถูกฟ้าผ่าตายแบบนี้ก็จงอย่าทำผิดกฎหมายเด็ดขาด หรือ ไม่อยากติดคุกติดตะรางอย่าทำตามนักการเมืองในเรื่องที่ก่อความเสียหายให้แก่ประเทศชาติ

 

สามก๊กของกระทรวงพาณิชย์ที่ถูกมติกพ.กระทรวงฯ ไล่ออกจากราชการประกอบไปด้วย

 

1.นายมนัส สร้อยพลอย  อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ขณะนี้เป็นข้าราชการบำนาญ

 

 คงจะถูกงดจ่ายบำนาญทันที แถมยังจะถูกฟ้องคดีทั้งทางแพ่งและอาญาเอาอีตอนแก่และอาจติดคุก

 

ติดตะรางเอาอีตอนหง่อม

 

2.นายทิฆัมพร นาทวรทัต รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ และ 3.นายอัครพงศ์ ทีปวัชระ อดีตผอ.สำนักการค้าข้าวต่างประเทศต้องออกจากราชการทันทีโดยไม่มีบำเหน็จบำนาญ แถมยังจะถูกฟ้องคดีทั้งทางแพ่งและอาญาเหมือนรายแรก แม้จะมีสิทธิ์อุทธรณ์มติอกพ.ภายใน 30 วัน ก็น่าจะเป็นแค่ ความหวังที่หวังไม่ได้

 

การที่ สามก๊กถูก ฟ้าผ่าตาย ศพไม่สวยครั้งนี้เพราะในยุครัฐบาลอาซิ้มคอ-นก-รีต ได้มีการขายข้าว จีทูจีเก๊แหกตาคนไทยทั้งประเทศ ให้แก่สองบริษัทชาวจีนที่ไม่ได้รับการมอบหมายจากรัฐบาลจีนให้เป็นตัวแทนซื้อข้าว ซ้ำทั้ง สามก๊กต่างรู้ดีว่า ทำไม่ได้แต่ก็ยอมทำตามคำสั่งของนักการเมืองสายพันธุ์คอร์รัปชั่น โดยร่วมกันทำผิดกฎหมาย ช่วยเหลือให้มีการทุจริตการซื้อข้าวอย่างเสียสติ จนประเทศชาติได้รับความเสียหายอย่างมโหฬาร

 

การที่ สามก๊กยอมทำผิดกฎหมายเพื่อเอาใจนักการเมืองนั้นอย่างน้อยๆ ก็ทำไปเพื่อรักษาตำแหน่ง กลัวถูกเด้งและกลัวไม่ได้เป็นใหญ่ อย่างมากก็อาจไปไกลถึงขั้นร่วมคอร์รัปชั่น ได้รับส่วนแบ่งเป็นกอบเป็นกำเหมือนนักการเมืองด้วย

 

แล้วในที่สุด เมื่อ น้ำลดตอผุดสามบิ๊กก็ถูก ฟ้าผ่าจนตายทันที งานสวดศพ อาจไม่มี กงเต๊ก

 

แท้จริงเคยมี ตัวอย่างมามากมาย ข้าราชการทำผิดกฎหมายตามใจนักการเมือง ถูก ฟ้าผ่าตายมาแล้วนับไม่ถ้วนราย แต่ก็ยังมีแมงเม่าบินเข้ากองไฟอยู่เรื่อยๆ เพราะ มโนเอาเองว่าจะไม่ถูกเช็กบิล

 

จึงขอเตือนสติข้าราชการที่ไม่อยากติดคุกหรือถูกไล่ออกจากราชการ ต้องจดจำทุกลมหายใจเข้าออกจะเซ็นหรือทำอะไรที่ผิดกฎหมายเพื่อนักการเมือง ขอให้ นับหนึ่งถึงล้านแล้วจบลงด้วยคำว่า ไม่ทำ

 

กมลศักดิ์ ตั้งธรรมนิยม

 

นี่คือบทความที่นำมาเป็นบทนำการบรรยายวันนี้ก็ขอบคุณท่านที่ให้นำมาใช้ ที่อาตมานำมาก็เพื่อให้เห็นว่ายุคที่เพิ่งผ่านมานั้นเลวร้ายเสื่อมต่ำมากที่สุด แต่คนไม่รู้สึก คนหลงระเริงตอนนั้นไม่ได้รู้สึก แต่ว่าตอนนี้สติคงตื่นมาบ้าง อาตมาเห็นถึงความจริงสัจธรรม จึงเกิดโศลกขึ้นว่า  มี เจตนาแต่อย่า อยากจง พากเพียรให้เต็ม บริสุทธิ์”...พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ 17 มี.. 2558

 

เราต้องอ่านใจที่เป็นประธานเลยให้ดีว่า ถ้าใจมีกิเลส อย่าทำ แม้ว่าจะมีกิเลสอย่างไรก็ให้สังวรเลยว่า อย่าทำกาย วาจา อย่างที่ข้างนอกเขาว่าไม่ดีนี่ ที่จิตจะสั่งให้ทำมันไม่บริสุทธิ์นี่ ตามภูมิเราเลย แม้บ่างสิ่งอาจไม่ถูกต้อง แต่โดยสามัญสำนึก อาตมามั่นใจว่า มนุษย์พอรู้อะไรดีหรือชั่ว อาตมาว่า 90 % ขึ้นไปด้วยที่รู้ว่า อะไรถูกหรือผิด โดยง่ายๆก็ถูกกฎหมาย แต่คนข้างนอกที่ไม่ได้ศึกษาโลกุตรธรรมก็อาจหลงไปบ้าง แต่ต้องถูกมากกว่าผิด สัก 60% ได้ แม้โลกีย์ก็ตาม แต่ว่าพวกเราที่ได้ศึกษาปฏิบัติธรรม อาตมาว่าไม่ถึง 10% หรอกที่เราจะตัดสินไม่ถูก

 

มันชี้ให้เห็นว่าค่าของคนมันตกต่ำไปถึงขนาดไหน ไม่ใช่คนเดียวนะ เป็นตับเลย อธิบดี หัวหน้าต่างๆอยู่ในสายที่ร่วมมือด้วย กินไปทั้งแถบเลย มาถึงวันนี้อาตมาว่า แม้แต่คนเขียนบทความก็มั่นใจเลยว่ามันผิดแน่นอน ที่จริงมี 21 คนนะที่ผิดแต่ว่ามีตัวใหญ่อยู่ 3 คน อาตมาว่าเป็นสิ่งที่ดีมากที่กำลังมีการล้างสิ่งเน่าเหม็นเลอะเทอะ แม้แต่ทางศาสนา อาตมาว่าควรทำอย่างนี้บ้าง ประเด็นที่พูดกันนี้คือ เรื่องศาสนา เขาบอกว่า เถรสมาคม ห้ามฆราวาสมาท้วงมาติ ...คุณเป็นใคร คุณเป็นพระเจ้าหรือ? คุณเป็นคนในประเทศนะ จะมีอภิสิทธิ์อะไร? ที่พูดนี่เป็นตำแหน่งใหญ่นะ จบดร.นะ แล้วรวมหัวกันมาอย่างนี้

 

ขอบอกเลยว่า ปชช.ฆราวาส มีสิทธิ์ตรวจสอบ พระ นักบวช ในศาสนาพุทธ มีสิทธิ์ค้าน พระพุทธเจ้าให้ปฏิกโกสนาได้ ค้านแย้งอย่างหนักจังๆได้ แต่ไม่ให้ฟ้องร้อง อาตมาทำอย่างพระพุทธอิสระไม่ได้ เพราะท่านอยู่สังวาสเดียวกัน แต่อาตมานานาสังวาสก็ได้แต่คัดค้าน เห็นแย้ง

 

ในศาสนาโดยหลักธรรมนี่คอขาดหมดแล้ว แต่ก็อุ้มกันไว้ ทำไมเป็นไปได้ถึงปานนั้นนะ อาตมาไม่ได้โกรธเคืองแค้นนะ แต่เห็นแล้วสงสารทำไมความคิดวิปริตไปได้ นึกไม่ออกว่าทำไมเห็นดำเป็นขาว เห็นเหวเป็นสวรรค์วิมานไปได้ อาตมาก็ว่าคนเอ๋ย ทำไมถึงได้ตกต่ำเสื่อมจริงๆเลย เมืองพุทธต่างประเทศก็ยกย่องว่าเป็นหนึ่งด้านพุทธศาสนานะ

 

อาตมาทำงาน นี่ก็ไม่ได้ใช้ท่าทีลีลาที่จะเป็น คือคนส่วนใหญ่จะเข้าใจกันว่า ผู้ที่เป็นนักบวช จะไม่มีท่าทีลีลา นัจจะคีตะวาทิตะ อย่างที่อาตมาทำนี่ อาตมาพูดอย่างธรรมชาติ เปรี้ยงๆแรง หลายคำคนอาจเห็นว่าหยาบ แต่อาตมาว่าอาตมาจริงใจ ไม่มีมารยาทหรือมารยามาก อาตมาจริงใจมากกว่า อาตมาว่า ขนาดนั้น คนก็ยังเข้าใจได้ยาก เข้าใจความจริงได้ยาก อาตมาพยายามเน้นหาความจริง หากอะไรพรางลวง อาตมาว่าช้า แล้วไม่เสร็จ ไม่เปิดหมด ยิ่งไปหลอกลวงโกหกก็ยิ่งแย่ แม้กระมิดกระเมี้ยนก็ไม่เสร็จเสียที อาตมาว่าไม่ทันกาล เพราะความเร็วมันจี้ไหม้ร้อน พระพุทธเจ้าท่านเทียบกับยุคของท่านว่าเหมือนผ้าชุบน้ำมันไหม้ไฟวอยู่บนศีรษะ ต้องรีบเอาออก แล้วท่านเทียบว่าควรเอาอะไรออกก่อน คนที่ถูกลูกศรอาบยาพิษมา เขาจะต่อรองว่า ไม่ยอมให้ผ่าดึงดันว่ามีเงื่อนไขต้องรู้ก่อนว่าใครยิง ลูกศรใช้ไม้อะไรทำ พิษอะไรให้ตรวจสอบก่อนถึงให้ผ่า อาตมาว่าลักษณะนี้คือไปสร้างเงื่อนไขพรางบังกัน ก็ไม่ทันกาลหรอก ทุกวันนี้มันร้ายแรงเหมือนลูกศรอาบยาพิษหรือไฟไหม้ศีรษะ

โลกลุกเป็นไฟอยู่อย่างนี้จะมัวมาร่าเริงอะไรอยู่ ท่านใช้สำนวนนี้ ตนตกอยู่ในความมือยังมัวทำอะไรอยู่?

 

อาตมาเห็นว่าทางธรรมสำคัญกว่าทางโลก พระพุทธเจ้าท่านก็ทำเช่นนั้น มีบางยุคที่ทางโลกนำทางธรรมก็มีแต่ไม่ใช่ยุคนี้ ที่ทางธรรมต้องยิ่งสำคัญ อาตมาพูดไม่รู้กี่ที่ว่า อุปสงค์ Demand ของสังคมคือคุณธรรม ไม่ใช่ความรู้ทรัพย์สินเงินทองที่เป็นเรื่องขาดแคลน แต่ว่าสิ่งที่จำเป็นและขาดแคลนคือ ธรรมะ อาตมาแต่งเพลง เมื่อไหร่จะรู้สักทีนะ ว่า สิ่งที่ขาดแคลนในโลกคือคุณธรรม อาริยธรรม ของพระพุทธเจ้า ที่เข้าถึงธรรมาธิปไตย

 

อำนาจ 3 อย่างพระพุทธเจ้าประมวลลงเป็น 3 อำนาจนี้ คือ โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย และธรรมาธิปไตย

 

สังคมใดมีอำนาจที่เป็นธรรมาธิปไตย สัมมาทิฏฐิถูกต้องจะได้อาริยธรรม โลกุตรธรรมแน่นอน เป็นอำนาจที่ไม่เบียดเบียนใคร และรับใช้สังคม เพราะอำนาจนี้เป็น sovereignty และ Authority เลย อำนาจที่พระพุทธเจ้าให้มาปฏิบัตินี้เป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือธรรมาธิปไตย ในสังคมใดก็ตามที่มี  sovereignty และ Authority นี้ เป็นคุณธรรมวิเศษสูงสุด จริงใจจริงจังไม่ใช่อำนาจแฝงๆ แต่เป็นอำนาจ พลังงานที่ดีที่สุด แล้วเป็นคุณธรรม จึงชื่อว่าธรรมาธิปไตย เป็นธรรมะชั้นสูง ที่เป็นอุตริมนุสธรรม เหนือโลกียะสามัญ

 

มันมีลักษณะอยู่กับโลก มีการงานเหมือนโลก แต่ไม่เหมือนโลกเพราะโลกทำแล้วต้องได้สิ่งตอบแทนเป็น โลกธรรม เรียกว่าลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา แล้วได้ตอบแทน แต่ของพระพุทธเจ้าไม่แล้ว ทวนกระแส มันมีเหมือนกัน ท่านทำงานกับสังคม จะคิดส่วนต่างราคาอาจสูงกว่าด้วย เพราะมันซื่อสัตย์เป็นค่าทางธรรม แต่ท่านไม่เอาจึงเป็นการช่วยโลกจริง ทำงานเป็นประโยชน์ที่โลกต้องการไม่ค้านแย้ง

 

ดูตื้นๆเหมือนค้านแย้งกับโลก งานการเมืองอย่างไร (ต้องเป็นนักการเมืองที่ถูกต้องจริง) คนที่ทำการเมืองดีอย่างไรชาวธรรมะของพุทธก็ทำงานการเมืองอันนั้น รับใช้สังคมจริง ไม่ใช่แบบประชานิยมปชต. แต่จะรับใช้มวลมนุษยชาติจริงใจบริสุทธิ์ใจ เป็นนักการเมืองจริง เพราะการเมืองไม่ใช่งานแย่งอำนาจตามที่เรียนกันมาว่า ต้องทำการสร้างอำนาจ ทำอำนาจ แต่อธิปไตยของพระพุทธเจ้านั้นเป็นคนได้อำนาจมีอำนาจอย่างบริสุทธิ์มีคุณค่า ทางสมรรถนะ ความซื่อสัตย์รับใช้ไม่เอาสิ่งแลกเปลี่ยน ตีราคาแล้วสุดยอด เพราะทฤษฎีพระพุทธเจ้าเรียนรู้โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย แล้วล้างกิเลสที่เป็นทาสโลก ทาสอัตตา

 

คนสร้างอำนาจเพื่อจะได้เป็นเจ้าโลก เจ้ากลุ่มหมู่ เจ้าคณะ เจ้าประเทศ นั้นคือโลกาธิปไตย

 

อัตตาธิปไตยแฝงซ้อนอยู่ในนั้นใช้เล่ห์เหลี่ยมหาบริวารโดยการเลี้ยงบริวารให้เขาได้โลกธรรม แต่สร้างอำนาจให้แก่ตนเองเหมือนนักการเมืองเหลี่ยมจัดๆที่เห็นอยู่เป็นตัวอย่างอัตตาธิปไตยเต็มบ้องสุดบ้องเลย แล้วพยายามหาอำนาจเสริมหนุนทั่วโลก มีทั้งบริวารทั้งในไทยและต่างชาติ จะเอาทั้งโลกเลย เหมือนกับนักบวชที่บอกว่าจะไม่แค่เป็นสังฆราชแต่จะเป็นศาสดาของโลกเลย นี่คืออัตตาธิปไตยร้ายแรงมาก มีโลกาธิปไตยด้วย

 

ถ้าอัตตาธิปไตยเชิงเดี่ยวก็หนีเข้าป่าเขาถ้ำก็เลวชั้นเดียวเท่ากับโลกาธิปไตย แต่อัตตาธิปไตยที่ใช้โลกาธิปไตยล่าด้วยนี่เลวกว่าเลวกว่าหลายเท่าด้วย มอมเมาให้คนหลงจนไม่ตื่นจนบัดนี้ก็มี 

 

พระพุทธเจ้าตรัสว่า โลกกำลังลุกเป็นไฟมัวสนุกสนานร่าเริงอยู่ไยกัน ตัวตกอยู่ในความมืดยังไม่รู้จักหาแสงสว่าง
... ท่านตรัสมา 2500 กว่าปีแล้ว ทำไมยังไม่ตื่นเสียที อาตมาที่พูดๆไปนี่พยายามให้สติ ให้ความรู้ตัวและให้ความรู้ที่ถูกต้อง

 

ตอนนี้ก็ขอพูดบ้างว่า สถานีโทรทัศน์บุญนิยมทีวี ไม่มีโฆษณาใดๆเลย เอาเลือดเนื้อของเราเองทั้งหมด แม้แต่สถานีของศาสนาอื่นก็มีเรี่ยไร มีการหาเงินแบบโลกๆ มีมูลนิธิส่งเสริมเพื่อใช้จ่ายทำทีวี เพราะค่าใช้จ่ายสูง แต่ของบุญนิยมทีวี ไม่เอาแม้แค่เงินคนนอกมาบริจาค ไม่ใช่เงินของสมาชิกที่มีคุณสมบัติพอจะบริจาคเราก็ไม่รับ แม้โทรทัศน์ก็ไม่ได้รับบริจาค ชาวอโศกจะรับบริจาคก็ในงานที่จะต้องไปรับใช้ส่วนกลางของสังคมแนวกว้างจนเราไม่ไหว แม้แต่เราไปช่วยสังคม เช่นซับขวัญชาวใต้ หรือซึนามิเราก็ไปช่วย แต่เราไม่ได้เรี่ยไร  ที่เราต้องออกไปแต่ละครั้งเพราะสังคมเดือดร้อนมาก เราก็ต้องรับบริจาคบ้างแต่เราก็ไม่ทำอย่างเรียกร้อง หรือว่าโฆษณา เรี่ยไร เราไม่ทำ เพราะเราทำตามพระพุทธเจ้าที่ให้พึ่งตนเองให้มาก หรือบอกบุญไปบ้าง ก็ต้องขอบคุณผู้ที่มาช่วยกันก็ต้องขอบคุณ

 

การสรรค่าสร้างคนให้เป็นอารยะแบบที่พระพุทธเจ้าพาทำให้เป็นโลกุตรบุคคลหรืออาริยบุคคล เป็นทฤษฎีที่ยอดเยี่ยมที่สุด อาตมานำมาสาธยายบอกพวกเราก็เห็นว่าอาตมายังไม่เก่ง พูดไปก็ยังไม่ครบ ยังไม่ชัดก็ต้องรีบมาบอกแก้กัน พระพุทธเจ้าตรัสชัด อย่างโลกุตรธรรม 46 นี่คือคนที่พระพุทธเจ้าสร้าง ถ้าโลกุตรธรรม 9ก็มีโสดาบันจนถึงนิพพานก็มี 9 แล้วก็มีโลกุตระ 37 ซึ่งไม่ใช่เป็นขั้นๆ แต่เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนมากมาย

 

อย่างโสดาบัน ท่านแบ่งไว้ 3 ขั้นใหญ่ๆ

1.    เอกพีชี  เกิดอริยชาติอีกเพียงส่วนเดียว แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้  (พระบาลีไม่มีคำว่าชาติ หรือเป็นการเกิดแบบเป็นตัวๆ เลย)
 

2.    โกลังโกละ (เกิดในสุคติภพอีก 2-6 ส่วนสังโยชน์ก็จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้)
 

3.    สัตตักขัตตุปรมะ (เวียนเกิดในสุคติภพหรืออริยชาติอีกเพียง 7 ส่วนสังโยชน์ ก็จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้) .
(
พตปฎ. เล่ม 20  ข้อ 528)

 

ส่วนสกทาคามี แปลว่า อีกชาติเดียว...คนก็แปลกใจว่า ต่างอย่าไงไรกับเอกพีชี ของโสดาบัน

 

ส่วนอนาคามี มี 5 ขั้น

1.    อันตราปรินิพพายี (ผู้เพียรทำปรินิพพานในระหว่างภพ)
 

2.    อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ)
 

3.    สสังขารปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก  ประกอบปุญญาภิสังขารในภพตนให้มากๆ)
 

4.    อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้การปรุงแต่งอภิสังขารให้มากนัก)
 

5.    อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร  หรือไม่เป็นน้องใครอีก  แล้วปรินิพพานไว)

 

มาดูโสดาบัน 3 อย่าง ที่มีลักษณะ

1. อนัญญตัญญัตญัสสามีตินทรีย์ (อินทรีย์แห่งผู้ปฏิบัติด้วยมุ่งว่าเราจักรู้สัจจธรรม ที่ยังมิได้รู้ ได้แก่ โสตาปัตติมัคคญาณ
 

2. อัญญินทรีย์ (อินทรีย์ คือ อัญญา หรือปัญญาอันรู้ทั่วถึง ได้แก่ ญาณ 6 ในท่ามกลาง คือ โสตาปัตติผลญาณ ถึงอรหัตตมัคคญาณ
 

3. อัญญาตาวินทรีย์ (อินทรีย์แห่งท่านผู้รู้ทั่วถึงแล้ว กล่าวคือ ปัญญาของพระอรหันต์ ได้แก่ อรหัตตผลญาณ

อนัญญตัญญัตญัสสามีตินทรีย์ แค่พ้นสักกายะ และพ้นวิจิกิจฉาก็พ้นมรรคญาณ ถ้าสามารถละหน่ายคลายถึงสมุจเฉทปหานก็ใช่เลย เป็นโสดาปัตติผล ก็ชื่อว่าสัตตักขัตตุปรมโสดาบัน ก็จะเข้าสู่ อัญญินทรีย์ เป็นโสดาปัตติผล จนถึง อรหัตตมรรค ทำไล่ไปจนถึง สกิทาคามีมรรค ไปจนถึงอรหัตตมรรค

 

สกิทาคามีคืออย่างนั้น ถ้าฟังให้ดี สกิทาคามี 6 อัญญินทรีย์นี่ โสดาบันเอกพีชี สูงกว่า สกทาคามี

 

แม้สกทาคามีไปหาอนาคามีก็มีชั้นที่สูงกว่าสกทาคามี แต่โสดาบันนี่อธิบายรวดเลยว่า พ้นแล้ว 3 สังโยชน์เหลืออีก 7 ถ้าเป็นเอกพีชีก็ได้อรหัตตมรรคเป็นอย่างน้อย ก็เหลือแต่ทำอรหัตตผล เช่นพระอนาคามีปฏิบัติอรหัตตมรรค เพราะเมื่อเป็นอนาคามีผลก็ต้องมีอรหัตตมรรค ก็คือเดินเอกพีชี เพราะบรรลุอรหัตตลก็เป็นอรหันต์ทันที เอกพีชีเป็นคุณธรรมที่สูงกว่าสกิทาคามี แต่อธิบายไว้ ตั้งแต่สัตตักขัตตุปรมโสดาฯ จนถึงเอกพีชี หรือเหลือเศษแห่งอรหัตตมรรค เท่าไหร่ก็พอหมดก็เป็นอรหัตตผล

 

อย่างในนิยาม 5 นี่ มีในอรรถกถาจารย์ แต่อาตมาสัมผัสพยัญชนะ นี้แล้วก็เห็นเลยว่าเป็นภูมิของพระพุทธเจ้าจึงบรรยายได้ อย่างนี้ ส่วนคนอื่นจะคิดได้เป็นอฐานะเลย ส่วนที่เป็นนิยาม ธรรมะนั้น ถ้าเราทรงไว้ซึ่งโลกุตรธรรม เราจะเจริญได้ก็ด้วยจิตเรา จะทำอะไรให้สำเร็จก็อยู่ที่จิต จะทรงอยู่อย่างโลกียะบางส่วน  เป็นโสดาปัตติมรรค จนไล่ไปสูงสุดได้

 

ฐานของจิตที่เป็นฐานนิพพานหรือนิโรธ ต้องแยกเนกขัมสิตอุเบกขา ได้ ต้องซับซาบอารมณ์นี้ได้ ว่าเป็นเช่นนี้ ตถตา เป็นเช่นนี้เอง เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ ต้องซับซาบรสนิพพาน เป็นฐานนิพพานเบื้องต้น ทำให้อุเบกขาแข็งแรงเป็นนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ในเวทนา 108 ก็ทำให้แข็งแรงสั่งสมตั้งมั่น อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ จะเป็นโพชฌงค์ 7 สมาธิ หรือฌานก็ไปจบที่อุเบกขาทั้งนั้น เป็นฐานนิพพาน ที่มีคุณสมบัติ

1.    ปริสุทธา  (บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนิวรณ์ 5)
 

2.    ปริโยทาตา (ผุดผ่องขาวรอบแข็งแรงแม้ผัสสะกระแทก)
 

3.    มุทุ  (รู้แววไว อ่อน-ง่ายต่อการดัดปรับปรุงให้เจริญ
 

4.    กัมมัญญา   (สละสลวยควรแก่การงาน ไร้อคติ
 

5.    ปภัสสรา   (จิตผ่องแผ้วแจ่มใสถาวรอยู่ แม้มีผัสสะ
(
ธาตุวิภังคสูตร  พตปฎ. เล่ม 14   ข้อ 690)

 

ต้องทำอย่างมี

1.    สังวรปธาน (เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้น)
 

2.    ปหานปธาน (เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว)
 

3.    ภาวนาปธาน (เพียรสรรสร้างให้กุศลเกิดขึ้น)
 

4.    อนุรักขนาปธาน (เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้ว  ให้เจริญขึ้นเรื่อยๆ ไม่ให้เสื่อมลง)
(
พตปฎ. เล่ม 21   ข้อ 14)

 

แต่คำว่าภาวนาของพระป่านี่กลายเป็นปริยัติ สวดท่องไปทำให้เพี้ยนไป คำว่า ภาวนาแปลว่าทำให้เกิดผล  ได้ผลแล้วก็อนุรักขณาปธาน  ทำอย่างให้มีอเนญชาภิสังขาร ให้แข็งแรงตั้งมั่นเป็นสมาหิโต หลายคำใช้แทนกันได้แต่มีนัยละเอียด หากไม่มีสภาวะแท้ของตนก็จะสับสนอยู่นะ ต้องเป็นของตนแล้วจึงติดสลากไม่ผิด ถ้าไม่เช่นนั้นติดฉลากผิดนะ

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็นหรือคำถาม?

_ฉลาดที่ว่าจะต้องปฏิบัติผ่านอายตนะ 6 แล้วตัดกรอบเท่าที่ทำได้ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล ย่ิงแข็งแรงก็อนุโลมได้เยอะ สร้างความแข็งแรงก็เป็นอัปปมาณาภา อัปปมาณาสุภาพรหม

 

_หินแสง... พ่อครูพูดถึงเอกพีชี หากเราใช้ชีวิตเหมือนพืช คือต้นไม้ ไม่มี รัก หรือชอบหรือชัง และที่พ่อครูประกาศอรหันต์ผมไม่แปลกใจ

ตอบ....พ่อครูว่า...คำว่าชีวีนี้เปรียบเหมือนเหลือเชื้อชีวิตของความเป็นสัตว์อีกอันเดียวแล้ว ถ้าดับอันนี้ได้เป็นอรหันต์เลย อย่าสับสนว่า เป็นพีชะนิยามนะ

 

_มิ่งหมาย...วันนี้อยากยืนยันคำสอนของพ่อครูว่า พี่น้องชาวอโศกที่มีกรรม เสียสละเช่นนี้ เป็นผลจากที่พ่อครูนำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาให้พวกเราปฏิบัติจึงเกิดผลเช่นนี้

 

_คุณจรัสพร... อย่างดิฉัน จะลดขนมหวาน ดิฉันก็ลดได้ประมาณหนึ่ง เวลาผ่านไปก็หยิบมาดู แต่ไม่กิน ก็เก็บไปข้างนอกให้เด็กกิน อย่างนี้เป็นปุญญาภิสังขารไหม? แต่ตอนลดกาแฟไม่ได้จับเลย ลดได้สนิทเลย

ตอบ...ก็เป็นการฝึก เป็นปุญญาภิสังขารไป เราจะรู้เลยว่าเราทำได้สนิท อย่างปหาน 5 ซึ่งวิกขัมภนปหานนี่ กดข่ม เราต้องรู้ว่าจิตเราได้วิจัยไหม เราได้มีไฟฌาน ไฟปัญญา มีฤทธิ์เห็นกิเลสแล้วกิเลสมันจะค่อยๆกลัวไฟปัญญาที่รู้ทัน ว่าเอ็งมันของเก๊ ของหลอก มันจะหน้าด้านตอนแรก แต่ตอนหลังมันจะอายกลัวหลบ แรกๆเราต้องค่อยบอกมัน แต่ตอนหลังไม่ต้องบอกแค่เห็นมันก็ไปแล้ว จะเป็น อนิจจังของมัน เป็น ญาณที่เห็นเลยว่ามันไม่นานเลย มันเสื่อมไปได้ มันไม่อยู่กับเราตลอดหรอก มันมาหลอกเรา ถ้าเราติดอยู่อย่างนี้จะอีกกี่นานเท่าไหร่ เป็นภัยต่อวัฏฏะ ภยตูปฐานญาณ ต้องงดเว้น ขาดให้ได้ จนละล้างไปตามลำดับเห็นเป็นโทษ อาทีนวานุปัสสนาญาณ จนมันนิพพิทาญาณ มันจะจางคลายจนถึง มุลจิตตุกัมมยตาญาณ มันเปลื้องปล่อยไป ไม่ได้กดข่มเลย เป็นโลกุตรปัญญาไม่ใช่เจโตสมถะเลย จนทำซ้ำทำแข็งแรงเป็นสังขารุเปกขาญาณ สัจจานุโลมมิกญาณ ที่เราจะอนุโลมช่วยโลกไปตามลำดับ จิตเราจะมุทุ ภูเต มีกัมมัญญตา ทำงานเหมาะควรช่วยคนอื่นมากขึ้น ทำได้แล้วก็ต้องทำต่อไป แม้ได้ฐานอุเบกขาก็ทำปฏิปัสสัทธิปหาน ทำซ้ำทำทวน ซ้ำไปซ้ำมา จนปฏินิสสรณปหาน ไม่ต้องทำอะไร แตะปั๊บกิเลสก็หายไป เป็นตถตา เป็นอเนญชาภิสังขาร

จบ....


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 18:21:11 )

580318

รายละเอียด

580318_เทศน์ก่อนฉัน ศีรษะอโศก โดยพ่อครู ปริตตังและอนันตังแห่งความบริสุทธิ์

พ่อครูว่า...วันนี้วันที่ 18 มีนาคม 2558 มีตัวเลข 8 คือเลขแห่งสงคราม เลข 5 คือเลข แห่งการเจริญก้าวหน้า ถึง 0 ก็คือเต็มรอบ ตัดสันตติหรือจะต่อก็ได้ หากจะเริ่มเป็น 11 ก็ขึ้นรอบใหม่ ถ้าเต็ม 10 ก็เป็น 11 หรือเป็น 0 ก็จบ ถ้าครึ่งของ 10 ก็คือ 5 ไม่ไปไม่มา แต่ถ้ายังมีก็คือ 1 ถึง 9 ถ้า 5 นี่เกินครึ่งไปแล้ว ถ้าเนื้อแท้ของอะไรมีเนื้อเกิน 5 นับสังขยาเลข เป็นส่วนที่ก้าวหน้า ถ้า 5 มีถึง สองตัว แล้วมี 8 เป็นตัวกำกับความก้าวหน้า ก็คือชนะทั้งทางโลกและทางธรรม ผู้ที่รักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองอย่าลังเลเลย สิ่งใดถูกทำได้เลย สิ่งใดไม่ถูกก็ให้จัดการให้เด็ดขาด ในปี 2558 ขอให้ยืนยันความสะอาดบริสุทธิ์ให้ดีความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก

 

ในที่สุด ไม่ใช่เอาแต่ในโลกแคบนะ คำว่าในที่สุด เป็นตัวยืนยันว่าจะต้องรอบ้าง ไม่ใช่จะชนะไปรวดเดียว อาจมีแพ้บ้าง แต่ไม่ได้แพ้เพราะตนอกุศล แต่มีเหตุปัจจัย ก็มีโศลกอีกอันมาเสริมว่า

มี เจตนาแต่อย่า อยากจง พากเพียรให้เต็ม บริสุทธิ์

คนเราเกิดมาอย่าให้เป็นคนไม่ไปไม่มา ว่างเฉย ไม่มีทิศทางพลังงานจิต ศาสนาฤาษีทำให้คนวางเฉยไม่ชั่วไม่ดี ไม่ไปไม่มา เป็นนัตถิกทิฏฐิ ไม่รู้ว่ามีหรือไม่มีอะไร ทิฏฐิที่ไม่มีอะไร ความรู้ก็ไม่มี ไม่รู้เรื่อง เพราะแม้ชีวะพวกพีชะนิยามก็ยังซื่อสัตย์รู้ว่าธาตุไหนควรจะเอา อะไรไม่เอา ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมมีแต่ความจริงซื่อสัตว์ แต่พอมาเป็นจิตนิยาม มาเป็นสัตว์ก็มีเล่เหลี่ยมขึ้นมา พลังงงานฟิสิกส์ยังหยาบอยู่เลย ส่วนพลังงานจิตวิญญาณนั้นละเอียดยิบ เป็นธาตุรู้ทางสสาร ทางวิทยาศาสตร์เรียนรู้ได้แค่พลังระดับพีชะ แต่พลังงานระดับจิตมีทั้งพอใจ ไม่พอใจ มีการเสพรส มีความพอใจในอัตตา พระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้ว่าโลกมีสองฝั่ง คือ กาม กับ อัตตา

 

ถ้าหลงว่าสุข อย่างบำเรออัตตา อัตตทัตถสุข อันนี้ลึกจริงๆกามกับอัตตาก็คือจิตวิญญาณของคน คือ เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ

 

ธรรมะสองอย่าง เสร็จแล้วสองอย่างก็จะรวมลงเป็นหนึ่ง ในหนึ่งก็ยังมีส่วนสอง ผู้รู้จะรู้ทั้งส่วนสองและส่วนหนึ่งที่เป็นเอกัคคตา เรื่องของธรรมะสอง เทวธัมมา ธรรมะสองชนิดเป็นเหตุปัจจัยทั้งนั้น จับคู่กัน สองนี่ถ้าเป็นอกุศล อวิชชา ก็จะกลายเป็นสังขารโลกีย์ ปรุงแต่งไปบำเรอกิเลสแล้วสร้างทุกข์ เดือดร้อนวุ่นวายแก่ตนและโลก เป็นอวิชชา

 

ส่วนผู้เรียนรู้แท้จะเกิดวิชชา ตั้งแต่เริ่มรู้คืออบาย มีทั้งปสาทรูป โคจรรูป สัมผัสกันเกิดภาวรูป เป็นอิตถีภาวะแล้วทำให้เป็นเอกปุริสสะ เป็นจิตเอกที่เป็นอัคคะดำเนินไป ในเหตุปัจจัยคู่ก็จะทำการศึกษาสองส่วนจนทำให้ดีที่สุด แล้วก็อยู่กับสองนี่แหละไม่ได้หนี ในฐานะมีขันธ์ 5 อยู่ มีกองของอิธโลก คือโลกลูกนี้อันมีอาการ 32 พร้อมสัญญาและใจ โลกที่ฝน อยู่ในสมุทัย ใครไม่รู้สมุทัยคือเหตุก็กำจัดเหตุไม่ได้ กลายเป็น 1.อบายโลก 2.มนุสโลก และหรืออย่างเก่งก็เป็น 3.เทวโลก แล้วมี 4.ขันธโลก 5.ธาตุโลก สุดท้ายเป็น 6.อายตนโลก

 

ผู้ใดเรียนรู้โลกทั้ง 6 นี้ แล้วเรียนรู้ข้นธ์รู้ธาตุรู้อายตนะ ขันธ์คือองค์รวมคือกองคือหมู่ รูปธาตุ นามธาตุ จนสามารถสังขาร สังเคราะห์ (อภิสังขาร)จนเรียบร้อย ผู้เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าก็สามารถเรียนรู้จัดการดับเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดเคหสิตเวทนา จนเป็นเนกขัมสิตเวทนา จนหมดความเป็นโลก แต่ก็สามารถอยู่กับโลกได้ แม้โลกกาม เราก็เป็นจิตอุตตมปุริสสะ ที่เหนือโลก เป็นโลกุตระได้ ก็เพราะว่าจิตมีพลังงานสูงสุด (อุตตมะ) มีโลกวิทู เป็นพลังงานบริสุทธิ์สะอาด ตรีมูรติ เป็นวิสุทธิคุณ กรุณาธิคุณด้วยปัญญาธิคุณ เป็นปรมาตมัน ที่ยิ่งใหญ่สูงสุด คือบรมอัตตา เป็นอัตตาที่ไม่ลึกลับแล้ว รู้แจ้งแทงทะลุดอัตตา 3 แล้ว(โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา) รู้หมด จนจบไม่มีอัตตาที่เป็นอกุศลเลย แต่อัตตานั้นก็ยังมี ผู้ที่เข้าถึงอุเบกขาแล้ว กลางๆไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นอารมณ์แข็งแรงเป็นพระอรหันต์ รู้จักอันตา(ปลาย) ที่เป็นสองฝ่ายที่เป็นกามกับอัตตา ถ้าเป็นอันตะก็เป็นเอกพจน์ถึงที่สุดแล้ว ใครยังโต่งอยู่ก็คือมีอันตา โต่งไปทางกามหรืออัตตา ถ้าไม่มีเอียงไปทางไหนเรียกว่าหมดอันตา  เราหมดอันตาแล้วจะรู้ประมาณในการช่วยคน จะเผื่อพอได้ ไม่ทำเสี่ยง เพราะท่านไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ไม่มีตัวตนแล้ว หากมีตัวตนจะประมาณผิด หากไม่มีตัวตนจะเผื่อพอไว้เสมอไม่เตี้ยอุ้มค่อมไม่อวดดิบอวดดี ผู้ทำได้สูงสุด มีศัพท์อีกคำวา เต็มบริสุทธิ์ พระอรหันต์มีชีวิต มีมโนสัญเจตนาด้วย มีการตั้งเจตนา แต่ท่านไม่อยากอะไร โดยเฉพาะอยากมาให้ตัวเองท่านไม่มี

แต่อยากทำเพื่อเกิดประโยชน์คุณค่าเพื่อคนอื่นจะมีอยู่ อย่างยิ่งอย่างประเสริฐ ท่านมีเจตนาแต่ไม่อยาก แล้วท่านยังพากเพียร มีอินทรีย์ วิริยพละ เต็มแรงเต็มกำลัง

 

เรื่องอินทรีย์ท่านแจงไว้ถึงอินทรีย์ 22  เช่น  จักขุนทรีย์ โสตินทรีย์ ฆานินทรีย์ ชิวหินทรีย์ กายินทรีย์ ...ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ต้องฝึกฝนเพ่ิมอินทรีย์พละ จึงมีโศลกเพิ่มเติมอีก

 

มี เจตนาแต่อย่า อยากจง พากเพียรให้เต็ม บริสุทธิ์”...

 

ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก...ในที่สุด

 

...... สองโศลกต่อกัน โศลกแรกเรียกว่าโศลกมรรค อีกโศลก็คือโศลกผล

 

ศาลีอโศกกับศีรษะอโศกยังต่องแต่ง แต่ปฐมอโศกเขาตั้งตัวได้ ไม่มีหนี้ไม่มีอะไรซ่อนแฝง ตอนนี้ก็ช่วยพี่ช่วยน้องและกตัญญูช่วยอาตมา เดือนละล้าน นี่เป็นเรื่องของคนมีคุณ บุญมีค้ำ กิจกรรมมีผลเจริญ มันได้จริงๆ

 

ผลบุญที่ล้างกิเลสไปตามลำดับ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์แล้วเป็นโพธิสัตว์ไปตามลำดับ...จนถึงพระพุทธเจ้า ผู้ทำได้ก็เป็นคนมีคุณ บุญมีค้ำ กิจกรรมมีผลเจริญ มีผลเจริญช่วยผู้อื่นด้วยความบริสุทธิ์ใจ เท่าที่อาตมาพาทำมาให้เป็นตัวอย่าง เป็น specimen เป็นตัวอย่างที่ให้พวกเราได้มาดู เป็นเอหิปัสสิโก เชื้อเชิญให้มาดูได้ ตรวจสอบได้ มีคุณวิเศษของจิตวิญญาณอาริยธรรมเป็นหลัก จึงเป็นคน เป็นสังคม วัฒนธรรมเช่นนี้ จนเกิดเป็นสังคมใหญ่

 

วันนี้มาถึงศีรษะอโศกก็จะชำแหละศีรษะอโศกหน่อย เพราะว่าให้รู้ข้อบกพร่องที่ต้องทำ เป็นการใช้อาชญาอำนาจหน่อย command ต้องปรับปรุงความบริสุทธิ์ อาตมาได้ข้อมูลว่าศีรษะอโศกไม่บริสุทธิ์ แม้เรื่องการเงิน การเศรษฐกิจ เรื่องสารพิษก็ไม่บริสุทธิ์ ศีรษะอโศกเป็นแหล่งแรก ตั้งแต่ท่านสันตจิตโตมาเจอป่าช้า เราก็มาตั้งหลักแหล่ง ในอนาคตเราก็ไปสร้างศาลาปลุกเสกฯใหม่อีกที

หลังจากเขาเอาป่าช้าคืนไปแล้วตอนนี้ก็คืนมาอีกให้เราทำ ตอนนี้เหลือแต่ศาลาบุญถ่วม ขยายได้แค่นี้ ถ้าจะจัดพุทธาภิเษกฯสมาชิกจะล้นไม่พอ

 

แต่ขณะที่ไม่บริสุทธิ์ทางเศรษฐกิจการเงินหรือมีแอบปนไม่ไร้สารพิษ อาตมารู้สึกเหมือนกันว่ากินแตงโมที่นี่ไม่ปกติ ไปบอกที่อื่นว่าไร้สารพิษแต่ว่าไม่จริง อาตมากินดูก็พอรู้ว่าไม่ไร้สารพิษ มีคนได้หลักฐานว่าแอบใส่สารเคมี ได้เป็นแตงโมสีแดงเกินปกติแต่ไม่ไร้สารพิษ

 

จะเป็นเรื่องใดก็แล้วแต่ ต้องบริสุทธิ์ ต้องทำ ถ้าไม่ทำแล้วไม่ชนะในที่สุด แพ้ตลอดกาลนานไม่บรรลุผล ไม่ว่าเรื่องอะไรต้องอย่าเอาตัวเองเป็นหลักต้องเอาหมู่เป็นตัวหลัก เพราะคนที่จะเข้ามาสู่ที่นี่ ผ่านด่านอบายมุข ผ่านศีล สมาธิ ปัญญา มาแล้วทั้งนั้น

 

ถ้านักโกงกินอย่างภายนอกเราไม่เอาไม่รับมาเราก็ทำได้อยู่ หรือแม้แต่นักกิน กินอาหารปากไม่มีวินัย กินทุกอย่างที่ขวางหน้า กินโง่ตามเขาหลอกไป คนหาเงินจากการกินนี่มากมาย หรือแต่งตัวเพ้อเฟ้อ แต่งผม แต่งตัว แต่งกาย จนไม่รู้ว่าอบายคืออย่างไร พิสดารวิตถารเกินก็ไม่รู้

 

แต่พวกเราเลิกละได้ เข้ามาก็ไม่ได้หลงแต่ง หลงรวยหลงมากมายอะไร อโศกทำได้ในเรื่องละอบายมุข หรือว่าใครจะต้องการโลกธรรมชมเชยอะไรมา ศักดิ์ศรีอัตตาจัด เบ่งขี้แตกอะไรเราก็คัดสรรกันไว้ แต่ก็ยังมีผู้มีอัตตาว่าตนเองเก่ง มีวิธีพูดประเล้าประโลมคนอื่นแต่สุดท้ายก็ต้องเอาของกูไม่เปลี่ยนแปลง อันนี้อัตตาถาวรไม่เจิรญจมอยู่ตลอดกาล ต้องแก้ไข ไม่เสร็จไมจบ เรื้อรังล้มเหลวไปไม่รอด ตรวจสอบดีๆ   มีทิศทางไม่สัมโพธิปรายนะ มีแต่ยึกยักๆอยู่ไปไม่รอดแน่ ต้องตรวจสอบให้ดี สังขารนี่มีสังขาร 3 คือ กายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร เราก็แยกสังขาร ในวจีสังขารนี่ยังไม่ได้บัญญัติชื่อ ยังไม่มีอธิวจนะ ยังไม่ได้บัญญัติภาษาขึ้นมาแต่มีสภาวะแล้วเรียกว่าวจีสังขารหากบัญญัติก็มีภาษา ออกมาเป็นภาษาวาจาเป็นวจีกรรมได้ หรือออกมาเป็นอาการทางวจีวิญญัติได้ยังไม่มีชื่อไม่มีนามเรียก ของไทยยังไม่มีบัญญัติแต่ว่าของอินเดียมีบัญญัติแล้วก็เป็นอันเดียวกันได้ ผู้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วจะรู้จิตเจตสิก รูปนิพพานได้ชัด แล้วจะปฏิบัติให้เกิดกุศลเกิดบุญได้

 

 

กำจัดเหตุได้ตามลำดับ เป็นกรอบขอบเขตเป็นปริตตะ คำว่าปริตตะคือกำหนดเกณฑ์ของสิ่งที่เราสามารถอยู่กับโลก สังคมอื่นเรียกว่า กามาวจร กำหนดอยู่กับสังคมว่าตัวเราเท่านี้จะทำกับสังคมเท่าไหร่เราเผื่อพอไว้ด้วยไม่ทำเต็มร้อย เพราะท่านเป็นอรหันต์แล้วไม่มีอะไรทำเพื่อตัวเองก็ไม่อวดดีจะทำเผื่อพอไว้ หรืออนาคามีจะมีประมาณ จะเป็นผู้ช่วยโลกโดยไม่ประมาท หากคนอวดดีจะเตี้ยอุ้มค่อม ตายเน่าไปมากแล้ว ผู้ไม่ประมาทจะถ่มตนไว้ ได้ประโยชน์สูงประหยัดสุด มีมัตตัญญุตา ถ้ามากกว่านี้ประโยชน์จะเสีย ฟ่าม ต้องอย่าพร่าประโยชน์ตนเพราะประโยชน์ผู้อื่นแม้มากนี่คือปริตตัง

 

ส่วนอีกอันคืออนันตัง คือไม่มีขอบเขต เช่นในเอกภพ มีคนถามว่าเอกภพอยู่ในรูปร่างไหน อาตมาเคยตอบโดยทำท่าให้ดูว่า มือมันหดมันโตขึ้น คือความไม่เที่ยง ไม่มีเท่าเดิม มีแต่เล็กลงใหญ่ขั้นด้วยเหตุปัจจัย เอกภพคืออนิจจตา และจะมีอยู่นิรันดร อยู่อย่างอนิจจตา พลังเอกภพที่จะส่งพลังงานเกินตนไม่มี ส่งพลังงานสูงสุดได้เท่าที่มันมีคือ อนันตัง แล้วมันก็ลดได้ยุบได้พองได้ ทั้งเอกภพที่รวมทุกอย่างไว้ ทั้งพลังงานและเทหวัตถุ ชีวิตสัตว์โลกด้วยอยู่อย่างนี้

 

ศีรษะอโศกต้องทำให้บริสุทธิ์ มี เจตนาแต่อย่า อยากจง พากเพียรให้เต็ม บริสุทธิ์

 

 1 คือคุณต้องทำเจตนาให้เป็นมโนสัญเจตนาขั้นวิภวตัณหาให้ได้ ต้องให้จิตไม่สร้างภพชาติ แต่มีพลังงานมุ่งหมายไป มี interest point แต่ไม่ต้องอยาก มีมโนทัศน์ มีเจตคติ มี concept ว่าเราต้องทำไปสู่จุดนี้ มี convergence หรือมี trend มีแนวโน้มสู่จุดสำคัญ มีกรอบขอบเจตไม่เหมือน trend ที่ไปกว้างกระจาย

 

หากเข้าใจทั้งองค์ประกอบศาสตร์และศิลป์แล้วสามารถควรคุมจัดการ สังขารให้ไปถึงจุดสำคัญเป้าหมาย ให้ได้  อย่าอยาก

 

พลังงานสัตว์อบายมี 4 อย่าง

  1. อสุรกาย คือองค์ประชุมรูป นาม จิตกับกาย ที่ไม่มีกำลังไม่กล้าหาญไม่กล้าแข็ง อสูรา
  2. เดรัจฉานคือพลังงานที่ไม่รู้โง่ แม้คนก็มีพลังงานเดรัจฉานอยู่มากมายในยุคนี้ จิตวิญญาณเดรัจฉานนั้นพูดกันยาก
  3. สัตว์นรกคือดิ้นรนทุกข์ร้อน ดิ้นพลาดๆ แน่นอนว่าต้องทุกข์แน่ กระสันอยากมาก
  4. ปิตวิสยะ คือเปรต ก็เพลาลงมาจากนรก คือที่อยู่ของจิตปิติ คุณมี สย คืออาศัย ถ้าอวิชชาก็ไม่มี ถ้าวิชชาก็ดี ส่วนเดรัจฉานมันโง่ไม่รู้เรื่อง นรกก็ร้อนมาก พอมาเป็นระดับเปรต ก็ต้องรู้อาการ ถ้ามันอยากเป็นกามสร้างภพโลกๆ ถ้าไม่มีภพข้างนอกก็มีแต่ภพข้างในเป็นภวภพ เราก็ฝึกที่กามภพก่อนอบายภพก่อนที่อยู่ภายนอก ความอยากได้มาเป็นตัวกูของกูเสพรส ถ้าลดได้เป็นอนาคามี หมดภพกาม หมดปริตตังในเขตกาม เหลือสิ่งที่เป็นอนันตังไม่มีที่สุด เป็นรูปภพอรูปภพของอนาคามีที่มีจำนวนที่เบาลงมาแล้ว แต่ก่อนนี้หนักแล้วเป็นภาระ ในขันธภาระ กิเลสภาระ และอภิสังขารภาระ ที่อธิบายนี่เป็นอภิสังขารภาระ ผู้ใดจบภาระแล้ว เป็นอรหันต์ก็เต็มอภิสังขาร

 

คนทั่วไปนอกจากจะมีขันธ์ภาระที่แม้พระพุทธเจ้าก็ยังมีอยู่ต้องดูแลมัน มีอาหารปริเยติทุกข์ มีพยาธิทุกข์ มีวิปากทุกข์ ทุกข์เลี่ยงไม่ได้เป็นภาระที่หนัก แต่ภาระของผู้ที่ไม่จบ แม้รูปก็สะอาดแล้ว ไม่มีรูปูปาทานักขันโธ เวทนูปาทานักขันโธ ก็หมดภาระ แต่ปุถุชนมีกิเลสภาระต้องเรียนล้างกิเลส ผู้ทำได้ก็เป็นอภิสังขารภาระ เมื่อทำจบได้ก็ไม่มีกิเลสสังขาร อภิสังขารก็ไม่มีเหลือแต่ ขันธ์ภาระ เป็นนิพัทธ์ทุกข์ เดินเหยียบหนาม ปวดขี้ปวดเยี่ยว เป็นต้น หรือมีวิปากทุกข์แม้เป็นพระพุทธเจ้ามันก็ตามมาได้

 

ต้องทำคุณสมบัติจิตให้เป็นความบริสุทธิ์ เป็นอุเบกขา มี ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสสรา ให้เต็มบริสุทธิ์อยู่เสมอ เพราะฉะนั้นผู้สามารถรู้ ชีวิตตินทรีย์ เป็นชีวิตสัตว์โอปปาติกะ ว่าเป็นสัตว์นรก สัตว์เปรต เราเพิ่งรู้ว่าตนเองเป็นเดรัจฉาน หากเป็นนรกก็เป็นสัตว์ที่ไม่รู้ใช้วิบากไป พอเป็นสัตว์เปรตนี่เริ่มรู้ตัวเองว่าเราไปยินดีโดยเดรัจฉาน โง่ ยินดีในสุขเท็จ เราก็มารู้ตัว ว่าเราไปติดหลงเป็นภพชาติที่ถูกหลอกมา เราก็ต้องจัดกรอบทำมาตั้งแต่อบาย ขั้นต่ำสุดของเรา ปริตตา อย่าเอามาก เอาแค่น้อยๆของตนก่อน ทำแต่บริบทแค่นี้ แล้วจัดการกำจัดตัวเหตุที่ไม่บริสุทธิ์ให้ได้ เมื่อทำอันนี้ได้ก็สามารถเพิ่มอันอื่นได้ เป็นอธิไป เหลื่อมกันไปเรื่อยๆไม่ใช่ตัดของทั้งดุ้นไม่ใช่แต่จะเหลื่อมซ้อนกันไป เป็นสภาวธรรมที่อาตมานำมาขยาย

 

ต้องรู้ความอยาก มันเป็นโลกียะไหม เราก็รู้ตัวมาว่าอยากอย่างนี้มันไม่ไหว เราก็มาจัดกรอบของเรา ทำได้ก็ค่อยเพิ่มกรอบ เป็นอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติต่อไป จะเป็นพลังงานเสริมไปเรื่อยๆ ศึกษาดีๆจะมีดวงตาปัญญามีสภาวะจริง

 

ผู้ศึกษาทำตามทฤษฎีพระพุทธเจ้าสัมมาทิฏฐิจะไม่แบ่งการเมือง เชื้อชาติศาสนา ออกไป มนุษย์เล่ห์จัดได้กันศาสนาออกจากการเมือง อาตมารู้ทันไม่ยอมหรอก เพราะเจ้าเล่ห์การเมืองดันศาสนาออกจากการเมืองจนเขียนเป็นกฎหมาย ก็เลยทำให้สังคมเละ เพราะธรรมะไม่ได้สามารถเข้าไปช่วยการเมืองได้เลย เขาทำดีว่าข้าดี แต่แท้จริงข้างหลังท่าทีว่าดีคือความเลวร้ายอำมหิตเลือดเย็น อย่างเขาจะฆ่าคนเขาก็ไม่รู้ แล้วมีคนฆ่าแทน แล้วเขาก็อาจบอกว่า ศัตรูของท่านหมดแล้ว มันซ่อนซ้อนในสังคมโลกไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่เป็นสัจจะในมหาจักรวาลเลย เป็นสัจจะสุดยอด เพราะศาสนาพุทธรู้จักการบำเพ็ญ รู้อัตภาพ อาจรู้ไม่หมดทุกชาติที่บำเพ็ญมาแต่พอรู้ แต่การรู้ของตนคนอื่นไม่รู้ด้วย แต่ท่านรู้จริง โดยเฉพาะอรหันต์หรือพระพุทธเจ้า จึงไม่มีอะไรเหนือกว่านี้

 

เมื่อมาเจอศาสนาพุทธแต่ละชาติอย่าเสียชาติเกิด เป็นโมฆบุรุษ คนที่ได้พบศาสนาพุทธแล้ว ไมได้อะไรเลย เหมือนกามนิตย์หนุ่มคุยกับพระพุทธเจ้าทั้งคืนก็ไม่ได้อะไร ผู้พบศาสนาพุทธแล้วอยู่กับศาสนาพุทธไม่ไดอะไรเลยยังดี แต่คนที่ทำอนันตริยกรรมที่หนัก เป็นอันที่ 6

 

ในอนันตริยกรรม 5 อย่างมี  1.ฆ่าพ่อ 2.ฆ่าแม่ 3.ฆ่าอรหันต์ 4.ทำพระบาทพระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต และ 5 สังฆเภท ส่วนอนันตริยกรรม 6 เป็นเรื่องน่าเศร้ามาก คือผู้ที่ อัญญสัตถุเทส โดยใช้คำที่เรียนรู้อธิบายมาจากสัตบุรุษแล้วได้ สนใจเข้ามาเอา เสร็จแล้ว อยู่ไปๆ ไม่เอาเห็นว่าไม่ใช่ แต่ที่จริงนี่สุดยอด เป็นธรรมาวุธชั้นยอดของพระพุทธเจ้า แต่คนนี้เข้ามาตอนแรกแล้วนึกว่าใช่ แต่อยู่ไปก็เห็นอันอื่นว่าใช่ แล้วทิ้งอันนี้ นี่คืออนันตริยกรรมอันที่ 6 นี่คือร้ายแรงกว่าเทวทัต เพราะเขายังสารภาพตอนใกล้ตาย แต่อันนี้ตัดทางเลย คือได้เพชรแล้วแต่ถูกหลอกให้ทิ้งเพชร ไปเอาขยะอื่น คนนี้น่าเศร้าไหม?

 

คำว่ากาย มีอายตนะเป็นองค์ประกอบอยู่เสมอ ถ้ามีการกระทบสัมผัสระหว่างสองสิ่งในกับนอกเมื่อไหร่ก็มีอายตนะเมื่อนั้น แล้วไม่ตั้งอยู่

 

ผู้ใดสามารถทำกามภพจบก็เหลือแต่ภายใน เป็นรูปภพ อรูปภพที่ไม่ทิ้งภายนอก แต่ไม่มีพลังงานที่สูญเสียเป็นภัยโทษกับภายนอกแล้ว มีแต่กิเลสภายในที่เป็นโทษเฉพาะตนเท่านั้น มีรูปภพ อรูปภพ ก็ทำไปตามขอบเขต ปริตตังของอนาคามี จนหมดอันตา เป็นกลางนิ่งสุด ผู้นี้ไม่มีอันตาทางกาม หรืออัตตา แม้เหลือแต่ ทรถ ก็เป็นความไม่สบายสุดท้ายของอรหันต์ท่านก็หมดความลึกลับ ท่านรู้กรอบขอบเขตที่สุดของท่าน ท่านจะเป็นพรหม อัปมัญญา ที่จะช่วยอย่างจัดสัดส่วนเท่าที่ท่านเห็นควร

 

อาตมามาทำงานเติมเต็มความบกพร่องที่พร่องไปจากที่พระพุทธเจ้าพาทำ ก็ขอบคุณพวกเราที่ช่วยกันทำให้เต็มบริสุทธิ์เท่าที่ได้ มันบริสุทธิ์เท่าที่ได้ ก็ยังมีด่างพร้อย จึงมาเตือนให้รู้ว่า ดูสักกายะ องค์ประชุมของรูปนาม เหตุปัจจัยสองอย่างของตน สองอย่างอะไรก็แล้วแต่ ที่ไปร่วมกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ กามคุณ 5 มันถ้าจะทำไปแล้วมันจะได้ ก็ต้องทำความรู้ว่า ถ้าทำไปแล้วจะอยากมากได้มากมันเกินแรงก็กำหนดกรอบขอบเขตให้พอเหมาะพระพุทธเจ้าใช้คำว่าปริตตะ หรืออัปปิจฉะคือให้น้อยไว้ อย่าให้มหัปปิจฉะ อย่าให้เป็นอนันตัง ทุกอย่างต้องเป็นของข้าหมด คนพวกนี้โลภจัด เห็นแก่โลกีย์จัด ทำให้ประมาณน้อยไว้ ถ้าน้อยไว้ได้นี่เรียกว่าปริตตะ หรืออัปปิจฉะ เป็นธรรมของพระพุทธเจ้า นี่คือการประมาณความอย่าอยาก ไม่ใช่ว่าไม่มีเจตนามุ่งหมาย แต่มีพลังมุ่งหมายให้เกิดให้มี แต่อย่าใช้พลังอยากให้มากให้น้อยไว้ เรียกว่าอัปปิจฉะ ทำให้เต็มบริสุทธิ์ จงพากเพียรอุตสาหะให้เต็มบริสุทธิ์ตามที่เราประมาณ นี่คือคำอธิบายที่ว่า

มี เจตนาแต่อย่า อยากจง พากเพียรให้เต็ม บริสุทธิ์

ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก...ในที่สุด

 

คุณจะเป็นผู้ชนะทุกสิ่งทั้งโลก อย่างที่ใครคนหนึ่งปรารถนาอยู่แต่เขาไม่บริสุทธิ์จึงทำไม่ได้ กิเลสน้อยก็แฝงน้อย กิเลสมากก็แฝงมาก แต่ถ้าแฝงมาก แล้วหลอกคนอื่นว่าตนบริสุทธิ์อีก คนเก่งคนนี้คือคนเก่งฉิบหาย ตนเองเลวร้ายจะเอาทั้งโลกเลย เอาพลังงานทางธรรมมิจฉาทิฏฐิบวกกับพลังงานทางโลกไปทำเลวร้ายต่อไปอีกมาก อาตมาบอกเลยว่าถ้าเขายังอยู่ อบายมุขจะมากอีกมาก เพราะเขาไม่รู้ว่าอบายคืออย่างไร หุ้นก็คืออบาย แม้แต่ไปคาสิโนก็จะมี อย่างเก่งก็กันคนในประเทศไว้แล้วให้คนอื่นมาติดอบายมุขนี้ หากินในทางอบาย

 

 

มันมีสองทิศทางในความคิดของคนทั่วไปที่ไม่ได้ศึกษา คือ กาม กับ ไม่มีที่สิ้นสุด(อนันตัง)

 

ตอนแรกก่อนมาปฏิบัติธรรม กามก็ไม่มีกรอบ อนันตังเลย คุณจะอร่อยนั้นถ้ามีอร่อยกว่านี้อีกก็เอา รวยกว่านี้เอา ใหญ่กว่านี้เอา สนุกกว่านี้เอา ฯลฯ  นี่คืออาการไม่สิ้นสุด ถ้าใครไม่กำหนดขอบเขตก็คืออนันตัง คุณจะหอบไปกับอนันตังไปนานเท่านาน บานไปเป็นปากกรวยไม่สิ้นสุด อีกกี่ล้านๆๆๆๆปีแสง เราต้องตัดกรอบ 1.กาม 2.รูป 3.อรูป ก็ทำกามให้หมดก่อน พอหมดกามก็มีสิ่งที่เหลือเป็นอนันตัง ก็ต้องตีกรอบอีก ไม่เช่นนั้นก็เหลืออีกอนันตัง

 

อันใดที่เราได้ทำมาดีแล้ว แต่ตอนนี้ก็อะไรก็จ้าง การเงินก็หมกเม็ด หมู่ฝูงไม่รู้ รู้กันแต่ในวงตนเอง อันนี้ไปไม่ไกลแน่ ต้องมาลดอัตตาตา เปิดสู่อัตตาหมู่ มาเข้าเป็นสาธารณโภคี หากแม้แต่ในศีรษะอโศกก็คิดว่าปรึกษาไม่ได้ต้องไปปรึกษาชุมชนอื่น ต้องเปิดไม่ใช่เอาแต่หัวไอ้เรือง ไม่ใช่ว่าอะไรก็ไม่ได้ดังใจกู ถ้าไม่ต้องได้ดังใจกู ได้อย่างที่หมู่เห็นด้วยมากเท่าไหร่นี่คือเปิดไปหาอนันตังแห่งความไม่มีตัวตนแล้ว ฟังชัดเจนไหม พยายามปรับปรุงส่งที่บกพร่อง พากเพียรให้เต็มบริสุทธิ์ เราจะเดินทางไปจะต้องใช้ความบริสุทธิ์ เราไม่ได้อยากชนะหรอกแต่ว่า มันจะมีเหตุปัจจัยให้ชนะเอง...จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 18:22:38 )

580319

รายละเอียด

580319_ความรัก 10 มิติ(วนบ.) มิติที่ 9 เกื้อกว้างเพื่อช่วยกำจัดผีที่ทำร้ายสังคมโลก

พ่อครูว่า...วัน พฤหัสบดี ที่ 19 มี.. 2558แรม 15 ค่ำเดือนสี่(4)ปีมะเมีย

วันนี้จะได้พูดถึงความรักมิติที่ 9 ซึ่ง จะมีการพูดถึงข้อเขียนอันหนึ่ง ใน คอลัมน์การเมือง บ้านเกิดเมืองนอน ของ คุณ สิริอัญญา เรื่อง ต้องเร่งตรวจสอบกรรมการมหาเถรสมาคม!

 

กรณีหลวงปู่พุทธะอิสระได้แจ้งความกล่าวหากรรมการมหาเถรสมาคมหลายรูป ว่าใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ชอบ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ซึ่งเป็นการกล่าวหาในฐานะที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตราอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง

 

นอกจากนั้น ยังมีการกล่าวหาว่ากรรมการมหาเถรสมาคมบางรูปเป็นปาราชิก เพราะมีภรรยาบ้าง ทำแท้งลูกบ้าง คบชู้บ้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะนิ่งเฉยได้

 

เพราะผู้โจทก์เรื่องนี้ก็เป็นพระภิกษุสงฆ์ที่มีผู้คนนับถือมาก มีผลงานปรากฏในการพิทักษ์ปกป้องพระพุทธศาสนาจากการย่ำยีของอลัชชีและเดียรถีย์มาหลายยุคหลายสมัย ทั้งมีผลงานในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเป็นที่ประจักษ์ ไม่ได้มีเหตุโกรธแค้นขุ่นเคืองใดๆ ในทางส่วนตัวต่อกันเลย

 

ดังนั้นจึงต้องถือว่าเรื่องนี้ได้มีผู้กล่าวหาร้องเรียนนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว คงเหลือแต่ว่าผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในกระบวนการยุติธรรมเหล่านั้นจะเพิกเฉยละเลยไม่ทำหน้าที่ ปล่อยให้มีความมัวหมองและความขัดแย้งเกิดขึ้น เหมือนที่เคยเกิดมาแล้วในทางการเมือง จนต้องมีการปฏิวัติรัฐประหาร

 

ก็ต้องบอกว่าที่บ้านเมืองของเรานี้วิกฤติต่อเนื่องมายาวนานก็เพราะการไม่ทำหน้าที่ของผู้มีอำนาจหน้าที่นี่แหละ เพราะถ้าหากผู้มีอำนาจหน้าที่ได้ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและมีประสิทธิภาพ บ้านเมืองก็จะไม่ย่อยยับอับจนถึงปานนี้

 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระบรมราโชวาทหลายครั้งหลายหนให้ทุกคนทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ด้วยความมีประสิทธิภาพและด้วยความรับผิดชอบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ทั้งหลายจะต้องน้อมนำมาปฏิบัติเพื่อความมั่นคงสถาพรของบ้านเมืองสืบไป

 

ดังนั้นนับจากนี้ไปก็ต้องจับตาติดตามดูว่า ป...ก็ดี ปปง.ก็ดี ดีเอสไอก็ดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ดี หรือแม้แต่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินหรือผู้ตรวจการแผ่นดินก็ดี จะทำหน้าที่ของตนๆ อย่างไร ซึ่งคนทั้งหลายตั้งความปรารถนาว่า ผู้มีอำนาจหน้าที่เหล่านี้จะไม่ละเลยเพิกเฉยหน้าที่ของตน และจะได้ทำหน้าที่ให้บังเกิดผลดีแก่บ้านเมืองสืบไป

 

แม้มหาเถรสมาคมในทางที่เป็นองค์กรรวมก็เช่นเดียวกัน มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายคณะสงฆ์ที่จะต้องดำเนินการ หากละเว้นไม่ทำหน้าที่อยู่ต่อไปอีก ความรับผิดชอบทั้งทางกฎหมายและทางสังคมก็จะเพิ่มมากขึ้น

 

เมื่อวันก่อนพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ได้ตั้งประเด็นที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นมาอีกว่า พระสงฆ์จำนวนมากในปัจจุบันนี้ขาดคุณสมบัติจากความเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา

 

พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ได้ยกพยานหลักฐานการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เข้ารับการอุปสมบทในพระพุทธศาสนามาเป็นจุดเริ่มต้น ซึ่งสรุปเป็นภาษาชาวบ้านให้เข้าใจได้โดยง่ายว่า ในการอุปสมบทในพระพุทธศาสนานั้น ผู้แทนของคณะสงฆ์ตามพระวินัยโดยมีพระอุปัชฌาย์เป็นประธาน จะตั้งผู้แทนหรือที่เรียกว่าพระคู่สวดเป็นผู้ทำการสัมภาษณ์ ว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาหรือไม่

 

เริ่มต้นด้วยการถามว่า เป็นมนุษย์หรือไม่ เป็นลำดับไปจนกระทั่งถึงเป็นโรคเรื้อนกุดถังหรือไม่ และคุณสมบัติข้อหนึ่งที่สอบถามก็คือเป็นข้าราชการของรัฐหรือไม่

 

ผู้เข้ารับอุปสมบทถ้าหากว่าขาดคุณสมบัติเหล่านี้ก็จะไม่สามารถรับอุปสมบทเป็นพระสงฆ์ได้ ซึ่งกุลบุตรผู้ที่ไม่มีลักษณะต้องห้ามดังกล่าวจะต้องตอบต่อตัวแทนคณะสงฆ์ตามความเป็นจริงว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นอย่างนั้น ด้วยถ้อยคำเป็นภาษาบาลีว่า นัตถิ ภันเต

 

ครั้นพระคู่สวดทำการสอบสัมภาษณ์คุณสมบัติของกุลบุตรผู้ขอรับอุปสมบทว่ามีคุณสมบัติและไม่มีข้อต้องห้ามตามญัตติจตุตถกรรมวิธีในการอุปสมบทแล้ว พระคู่สวดก็จะเข้าไปรายงานต่อคณะสงฆ์ ซึ่งมีพระอุปัชฌาย์เป็นประธานว่าข้าพเจ้าได้สอบสัมภาษณ์กุลบุตรแล้ว มีคุณสมบัติครบถ้วนและไม่มีข้อต้องห้ามในการอุปสมบท

 

จากนั้นพระอุปัชฌาย์และคณะสงฆ์ก็จะอนุญาตและเรียกกุลบุตรนั้นเข้าไปนั่งในท่ามกลางสงฆ์ เพื่อสัมภาษณ์ต่อหน้าคณะสงฆ์อีกครั้งหนึ่งว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนและไม่มีลักษณะต้องห้ามในการอุปสมบท เช่นเดียวกับที่ตัวแทนคณะสงฆ์ได้ทำการสัมภาษณ์มาหนหนึ่งแล้ว

 

ถ้าหากกุลบุตรนั้นขาดคุณสมบัติหรือไม่มีลักษณะต้องห้าม แม้ได้ยืนยันต่อพระคู่สวดไปแล้วและเกิดสำนึกได้ขึ้นมาแล้วยอมรับว่าขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามอย่างใดอย่างหนึ่ง คณะสงฆ์ก็จะไม่ให้การอุปสมบท แต่ถ้าเมื่อมีคุณสมบัติครบถ้วนและไม่มีลักษณะต้องห้ามในการอุปสมบทแล้ว และได้เปล่งวาจายืนยันต่อพระอุปัชฌาย์ ต่อหน้าคณะสงฆ์ ก็เท่ากับเป็นการผ่านการสัมภาษณ์ว่ามีคุณสมบัติในการอุปสมบทครบถ้วน

 

ต่อจากนั้นก็จะเป็นเรื่องที่คณะสงฆ์ได้ประกาศญัตติในท่ามกลางสงฆ์หรือคณะสงฆ์ว่าบัดนี้มีกุลบุตรนามว่าอย่างนี้ มีคุณสมบัติครบถ้วนและไม่มีข้อต้องห้าม คณะสงฆ์ได้ตรวจสอบเป็นเบื้องต้นแล้ว ขอประกาศให้สงฆ์ก็ดี คนทั้งหลายก็ดี หากเห็นว่าไม่เป็นความจริงก็ให้คัดค้านได้ นับว่าเป็นวิธีการประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบและเป็นธรรมาภิบาล อันมีมาแต่โบราณที่คนทั้งหลายควรจะได้สำเหนียกเป็นแบบอย่าง

 

เคยมีหลายกรณีที่มีการคัดค้านว่าไม่เป็นความจริง เช่น มีเจ้าหนี้มาทวงในขณะที่สงฆ์สอบถาม เพราะการมีหนี้เป็นข้อต้องห้าม ในการอุปสมบท

 

ในเรื่องนี้ ม...คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยนำมาเขียนไว้ในหนังสือเรื่องไผ่แดง ที่มีเจ้าหนี้เตรียมจะมาคัดค้านในท่ามกลางสงฆ์ แต่มีอุบาสกคนหนึ่งที่เห็นแก่การกุศล จึงหาทางปลดหนี้ให้ เป็นเหตุให้กุลบุตรนั้นได้รับอุปสมบทโดยถูกต้อง

 

คุณสมบัติและข้อต้องห้ามประการหนึ่งก็คือ ห้ามการเป็นข้าราชการของรัฐ เพราะผู้ที่จะเข้ารับการอุปสมบทนั้นจะต้องมีความเป็นไทแก่ตัว ไม่สังกัดหมู่เหล่าหรืออยู่ในบังคับของใครเพื่อจะได้ปฏิบัติโดยครบถ้วนสมบูรณ์

 

นั่นหมายความว่าหากเป็นข้าราชการก็จะขาดคุณสมบัติในการเข้ารับการอุปสมบท หากใครเป็นข้าราชการก็ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าสังกัดให้เข้ารับอุปสมบทได้ เพื่อจะได้ไม่ใช้อำนาจมาบังคับให้กระทำการต่างๆ ในหน้าที่ของข้าราชการต่อไปอีก

 

พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ได้ชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันนี้พระสงฆ์จำพวกหนึ่งกลับยอมรับเป็นข้าราชการของรัฐ โดยมีตำแหน่งหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามที่กฎหมายบัญญัติ และยังได้รับเงินเดือนหรือการเลื่อนขั้นเงินเดือนหรือการเลื่อนตำแหน่งจากรัฐเสียอีก

 

เมื่อเป็นอย่างนี้ พระสงฆ์เหล่านั้นก็ขาดคุณสมบัติในการเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เพราะคุณสมบัติที่ว่านี้ไม่ใช่คุณสมบัติเพื่อการบวชอย่างเดียว แต่เป็นคุณสมบัติที่จะต้องดำรงอยู่ตลอดไปตราบเท่าที่ยังเป็นพระสงฆ์อยู่ ดังนั้น การที่พระสงฆ์รูปใดก็ตามกลายมาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นพนักงานของรัฐ และรับเงินเดือนของรัฐ จึงเป็นการทรยศต่อคำสัตย์ที่ได้ให้ไว้ต่อหน้า

ผู้แทนคณะสงฆ์ และต่อคณะสงฆ์ในการขอรับอุปสมบท

 

เมื่อขาดคุณสมบัติในความเป็นพระสงฆ์แล้วก็ไม่ต่างกับเป็นฆราวาส และเพราะเหตุนี้ไม่ใช่หรือที่ทำให้พระธรรมวินัยถูกละเมิดโดยพระสงฆ์เหล่านั้น

 

ละเมิดพระธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ทรงบัญญัติ ให้พระสงฆ์เป็นผู้ปล่อยปละละวาง เป็นผู้ที่มีความบริสุทธิ์ เป็นผู้ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นเนื้อนาบุญของโลก เป็นผู้ควรแก่การกราบไหว้บูชา จึงทำให้ความเสื่อมเกิดขึ้นแก่กิจการพระพุทธศาสนา จนชาวบ้านเรียกคนหัวโล้นห่มเหลืองหลายคนด้วยถ้อยคำหยาบคาย ที่แม้ฆราวาสธรรมดาเขาก็ไม่ใช้ด่ากัน

 

ดังนั้นใครมีอำนาจหน้าที่อย่างไร ก็เห็นจะต้องทบทวนแก้ไขในเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด!

 

พ่อครูว่า..อันนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่เป็นเรื่องใหญ่ที่สุด ทำไมอาตมายกเอาเรื่องนี้มาพูดในวิชาความรัก 10 มิติ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องเกื้อกว้าง ในโลกเลย เป็นนัยของหลักเกณฑ์ วิธีเป็นอยู่ในความเป็นมนุษย์ ลูกพระพุทธเจ้าหรือภิกษุที่ปฏิญาณตนจะมาสืบเชื้อพุทธธรรม จะต้องเรียนรู้ความเป็นพุทธบุตระจะได้เป็นพุทธบิดาในอนาคต สืบศาสนา ถ้าไม่เข้าใจหลักเกณฑ์อันละเอียดลึกซึ้งก็จะเพี้ยนไปเหมือนทุกวันนี้ ความเพี้ยนปรากฏเด่นชัดจนไม่รู้จักอะไร เป็นระยะเวลานานแล้วนะ ถึงขนาดมีการวิ่งเต้นซื้อตำแหน่งด้วย

 

อาตมาขออ่านความรักมิติที่ 9  คือ ความรักของผู้ที่ได้เรียนรู้สัจจะแห่งความรัก และได้ปฏิบัติจนได้ผลสำเร็จสมบูรณ์ (จบมิติที่ 8 มาแล้ว) สำหรับประโยชน์ตนคือ จบ

 

จบ ก็คือ เลิกมี ความรักนั้น เพื่อตัวเอง ไม่เกิด ความรักนั้นเพื่อตัวเองอีกแล้ว หรือไม่ต้องการ เอาอารมณ์นั้นมาเสพ สมใจเพื่อตนเองอีกแล้ว อย่างมี สุขสงบ

ความจบ ก็จะจบไปแต่ละรอบแต่ละขั้น ตามที่ได้ศึกษาและปฏิบัติใน มิติที่ 8 ก็จะเกิดผล จบ ได้ ไปตามลำดับ แม้จะเป็นความจบที่เสร็จลงไปในตัวของแต่ละระดับนั้นๆ ก็เรียก ความจบ นั้นๆว่า นิพพาน หรือวิมุติ ไปแต่ละขั้นแต่ละรอบ ซึ่งมีปฏิสัมพัทธ์กันไปอย่างซับซ้อน แต่มีระเบียบ

จนสุดท้ายก็ จบสัมบูรณ์ สูงสุด ดับ โลก(โลกีย์) ต่างๆให้แก่ตน หรือดับความรักที่ เห็นแก่ตัวเอง ถึงขั้นไม่เหลือเศษธุลีละอองที่บำเรออารมณ์ ของตัวเอง(อัตตา)อีกเลย เป็นอรหันต์สมบูรณ์

 

 ผู้ที่ยังมีส่วนที่ เห็นแก่ตัวเอง แล้วก็ต้องบำเรอให้แก่ตนเอง(อัตตา) วนเวียนอยู่ไม่จบไม่สิ้นสนิทนั้น ก็คือผู้ยังไม่ดับ โลกแห่งความเป็นของตนเอง หรือ ความรัก ที่ยังเพื่อตนเองอยู่ จึงยังไม่บริสุทธิ์สะอาดแท้สัมบูรณ์ ยังเป็นความรักที่บำเรอตน ซึ่งยังเป็นภพ ยังเป็นชาติ ยังเป็นอัตตา หรือยังเป็น อาตมัน และสามารถสะสมพอกพูนขึ้นเป็น ปรมาตมัน ดั่งที่ เทวนิยมเป็นกัน แล้วก็ยึดมั่นถือมั่น ฝึกฝนเอาจนได้ จนเสพติดและอยู่ได้นานแสนนานกระทั่งพากันหลงว่า มี นิรันดร นั่นเอง

 

ความจริงนั้น ไม่มีอัตตาใดๆ ในหรือนอกเอกภพ จะยืนยงคงตนเที่ยงแท้ ไม่แปรปรวนโดยอยู่อย่างเดิมได้นิรันดร แม้แต่ ปรมาตมันเองก็ยืนยงคงตน อยู่อย่างเที่ยงแท้นิรันดรไม่ได้

 

ความมีอยู่ ทุกอย่างในเอกภพมหาจักรวาลต้องมีการเปลี่ยนแปลงและหมุนเวียนทั้งสิ้น ไม่ว่ารูปธรรมหรือนามธรรม

 

สิ่งที่ยังปรากฏว่า มีจะต้องเปลี่ยนแปลงหรือแปรปรวนไม่เที่ยงแท้(อนิจจัง) และต้องเคลื่อนที่ ไม่มีสิ่งใดอยู่นิ่งๆ ลอยตัวอยู่ได้อย่างไร้สัมพันธ์ในมหาเอกภพ ไม่มี ความมีใดๆที่สามารถคงที่และเที่ยงแท้ไม่แปรเปลี่ยนตนเอง หรือไม่เคลื่อนไหววนเวียน

นอกจาก ความไม่มีจริงๆ ซึ่งได้แก่ ความไม่มีกิเลส ที่ได้ละล้างด้วยทฤษฎีของพระพุทธเจ้า จนได้ชื่อว่า นิพพาน นั่นเองแหละที่จบสัมบูรณ์ ไม่แปรเปลี่ยนอีกแล้ว แต่กระนั้นก็ยังเคลื่อนที่ไปกับเหตุปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบของ นิพพาน ซึ่งก็คือ ขันธ์ 5 ที่ประกอบกันอยู่กับชีวิตพระอรหันต์ผู้ยังไม่ปรินิพพาน

 

สุดท้ายแห่งสุดท้าย ก็คือ สภาพ ปรินิพพาน เท่านั้นที่ดับไม่เหลือ ชนิดสิ้นสูญทุกสิ่งอย่างสำหรับตน ไม่ว่า อัตตา หรือปรมาตมัน แม้แต่ขันธ์ 5 ที่เคยเห็นเหตุปัจจัย ก็มีไม่ได้อีก จึงไม่มีอะไรเคลื่อนไหวเวียนวนใดๆสัมบูรณ์เด็ดขาด

 

เพราะนิพพาน เป็นลักษณะสุดยอดที่จะสร้างก็สร้างอย่างพระเขจ้านั่นเอง แต่ไม่มีความสุขความทุกข์ และไม่มีการเอา มีแต่การให้ สุดท้ายที่พิเศษยิ่งก็คือ สำหรับ ตัวเอง จะไม่อยู่นิรันดร์ก็ได้ จะอยู่ยาวนานไปอีกเท่าใดๆ เท่าที่ตนต้องการหรือตนยังมีความรักก็ได้

 

ที่สุดแห่งที่สุด จะไม่อยู่..ไม่มี จะสลายอัตภาพ ที่เป็น อรหัตตภาวะสุดท้าย ไปจากมหาเอกภพ ไม่ให้เหลือ ตัวตนของตน อยู่ ณ ที่ไหนๆอีกเลย สูญสลายไปจากทุกสิ่งทุกอย่างในมหาเอกภพนี้ สิ้น ความมี อยู่ในมหาเอกภพนี้อีกเด็ดขาด ก็ได้ เป็นที่สุดแห่งที่สุด เรียกว่า ปรินิพพานเป็นปริโยสาน

 

ผู่ที่ได้เรียนรู้โลกใหม่ที่เรียกว่า โลกุตระ และได้ปฏิบัติตน จนบรรลุผลสำเร็จจริง นับตั้งแต่ขั้นต้นที่เรียกว่า โสดาบัน ก็เริ่มนับว่า เป็น อาริยบุคคล ระดับต้น และจะมีระดับสูงขึ้นๆ ต่อไปแต่ละระดับอีก ทั้งหมด 4 ระดับ คือโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ ล้วนเรียกว่า อาริยบุคคลทั้งสิ้น เมื่อจบอรหันต์ ก็ถือว่า ผู้นั้นจบสมบูรณ์สำหรับประโยชน์ตนสูงสุด

 

 

ผู้ที่ได้เรียนรู้ โลกใหม่ ที่เรียกว่า โลกุตระและได้ปฏิบัติตน

................

 

ผู้ที่ได้มีคุณสมบัติดังกล่าวจริง เป็นคนจริงๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นนักบวชด้วย เป็นฆราวาสก็เป็นอรหันต์ได้ แต่ทุกวันนี้เพี้ยนไปไกลมาก กลายเป็นว่า อรหันต์คืออย่างฤาษี และเกือบทุกคนเชื่อว่าฆราวาสเป็นอรหันต์ไม่ได้ แล้วยังมีข้องเงื่อนไขอีกว่า ถ้าเป็นฆราวาส เป็นอรหันต์จะต้องบวชภายใน 7 วันไม่บวชจะตาย อันนี้คืออุจเฉทิฏฐิ คือเชื่อว่าตายแล้วสูญ ของพระพุทธเจ้าไม่ยึดทั้งแบบตายสูญ กับ แบบอยู่นิรันดร เป็นอมตะไม่ตายเลย ของพระพุทธเจ้าไม่ยึดทั้งสองแบบ อย่างอรหันต์มหายานก็จะนิรันดร อยู่กับพระเจ้านิรันดร์ เป็นสัสตทิฏฐิ

 

ในความหมายสุดโต่งไม่สัมมาทิฏฐิ จึงทำให้ปิดกั้นมรรคผลของศาสนาพระพุทธเจ้า ผู้บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า แม้เป็นอรหันต์ก็เป็นฆราวาส แล้วทำช่วยสังคมอย่างจริงใจจริงๆ

 

อรหันต์คือผู้หมดตัวตน คือทำคุณอันสมควรก่อน แล้วพร่ำสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง ก็ช่วยคนอื่นเรียกว่าโพธิสัตว์ คือผู้รื้อขนสัตว์ คนไม่มีคุณอันสมควรก่อนแล้วสอนคนอื่นจึงมัวหมอง ทำให้ศาสนาเพี้ยนไปหมด

 

ยุคนี้เป็นยุคใกล้กลียุค คนกิเลสหนามากจัด และโง่ด้วย ไม่ค่อยรู้ ไม่มีปัญญา คนอยากไปนิพพานก็มีแฝง ไปบวช บวชแล้วก็ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อนิพพาน แต่กลับขบถต่อนิพพาน ไปล่าโลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญใส่ตนเอง แล้วพูดโก้ พูดหลอกว่าไปนิพพาน แต่พฤติกรรมแย่งตำแหน่งหน้าที่ ขี้โกงสารพัด หยาบจนหลับตาก็เห็น ไม่ฟังก็ได้ยิน ปิดหูปิดตาไปหมด ก็ยังรู้เลย มันถึงขนาดนั้น มันลือลั่นดังสนั่นด้วยภาพ เน่า ผิด ชัด ไม่ดูก็ต้องเห็น ไม่ฟังก็ต้องได้ยิน จะไม่รู้มันก็ยัดเยียดให้รู้ มันจัดจ้านมาก อาตมาเห็นว่ายุคนี้เป็นยุคที่ต้องปฏิวัติ คือทำให้ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว มันค่อยเป็นค่อยไปไม่ไหวแล้ว มันหาทางแก้ตัว คดโกงกัน วันนี้ทั้งวันออกมาไม่รู้กี่ช่อง โดยเฉพาะช่องหลวงปู่พุทธอิสระ บอกว่า ต่อไปเราขโมยเงินแล้วถูกจับได้ก็เอาไปคืนก็ไม่ติดคุก สบายมีตัวอย่างใหญ่มากด้วยแล้ว

 

มันจะเน่าไปถึงไหน อาตมาว่า ทางศาลหรือเจ้าหน้าที่ยุติธรรมยังไม่ได้ตัดสินชัดนะ ซึ่งเคยตัดสินผิดพลาดโดยเฉพาะกรณีคุณไชยบูลย์ ตัดสินผิดพลาดตั้งแต่ก่อนพศ.2542 แต่คืนเงินตอน 2549 ตอนพระสังฆราชมีพระบัญชามา 2542 เป็นกระบวนการยุติธรรม ก็เป็นเรื่องที่ตลบมาแต่บัดโน้น บัดนี้มาฉายหนังซ้ำก็เลยแทงหัวใจคน แล้วคนเก่า เล่นเรื่องเก่าอีก เขาช้ำมาแล้ว 1 ครั้ง มาแทงแผลเก่าเขาอีก มันก็เลยต้องแรง

 

อาตมาเห็นว่ามันควรต้องชำระสะสางได้แล้ว เป็นเรื่องจัดสรรสัจธรรม ไม่ใช่รังแก หรือไม่มีน้ำใจ แต่กลับเป็นมีน้ำใจอย่างยิ่งเพราะถ้ายังปล่อยให้คนตกนรกซ้ำหนักมันกลายเป็นการทำร้ายเขา มันไม่เมตตาเขา ซ้ำให้เขาตกนรกซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีก ไม่ได้เล่นลิ้นพูดไปนะ แต่เป็นสัจจะ การจะไม่ให้คนชั่วทำชั่วเพิ่มอีก เป็นเมตตาอย่างยิ่ง ไม่ใช่ปล่อยให้เขาทำชั่วซ้ำ แล้วกรรมเป็นอันทำ ทำแล้วเป็นผลวิบากติดตัวตนไปไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ต้องช่วยเขาแก้ไข ให้เขารับโทษ คนร่วมมือเขาก็บาปไปด้วยนะ ถ้าปล่อยให้เละต่อไป ทางโลกก็จะกู้ไม่ฟื้น ตอนนี้เป็นโอกาสดีมา ที่คสช.มาแล้ววางหลักเกณฑ์ จงทำเถิดขอร้อง ทำให้เด็ดขาด ทำให้บริสุทธิ์ถูกธรรมเข้าไว้

 

ถ้าปล่อยให้คนทำผิดเละต่อไป ไม่แก้ความผิด ความผิดนั้นยังเดินต่อทำผิดต่อ กลบไว้ โกหกได้ อำพรางไว้ การอำพรางอกุศลกรรมของตนไว้ คืออกุศลกรรมทุกขณะจิต ดีไม่ดีต้องโกหกใหม่อีก แสดงอาการเพิ่มอีก เป็นบทประพฤติซ้ำเติมอกุศลกรรมแก่ตนอีกตราบเท่าที่ไม่ได้สารภาพผิด เมื่อสารภาพแล้ว ก็รับโทษก็สิ้นสุดแต่ถ้าไม่ทำก็ไม่สิ้น แล้วจะหมักหมมความผิดอีก จะเกิดบทแห่งการมีกิริยา กายวิญญัติ วจีวิญญัติอีกมากมาย ที่มาจากจิตที่จะต้องปกป้องปกปิดไม่ให้คนอื่นรู้

 

สัจธรรมนี้ถ้าไม่เชื่อกรรมวิบากก็แล้วไป อาตมาว่า วันนี้ขอขยายทางธรรม ขออธิบายเรื่องภูมิต่างๆ

เอาเรื่องภูมิ 4 ขั้นต่ำก่อน

1.    นิรยะ (จิตนรกเร่าร้อน มีทุกข์สาหัสมาก)

 

2.    ติรัจฉานโยนิ (ภูมิจิตเดรัจฉาน ไม่เจริญขึ้น)

 

3.    เปตติวิสัย (ภูมิแห่งเปรต-จิตละโมบใคร่อยาก)

 

4.    อสุรกาย (ความไม่กล้า)

 

 

ทั้งหมดเป็นอาการของนามธรรมเป็นจิต สัตว์โอปปาติกะ ในจิต

 

นิรยะคือ นรก ดิ้นรนเดือดร้อนทรมาน คืออาการจิตที่ทุกข์ร้อน เราเป็นคนก็เคยเป็นนรก ร้องห่มร้องไห้ ปวดใจทุกข์ทรมานใจ วันนี้เห็นภาพคนไข้ออกมาโหนข้างนอกตึก แล้วตกมาตาย จิตทุกข์ร้อนนี่จิตสัตว์นรก พอตื่นมาเป็นสุรภาโว สติมันโตก็สนใจอันอื่นได้ แต่ตอนตายไปมันอยู่ในภพเหมือนคนนอนหลับ แล้วมันจะดิ้นรน ทรมาน จะไปโดดตึกตายก็ไม่ได้ ผูกคอตายก็ไม่ได้ แต่เหมือนตนฝันไป คนมีร่างกายพอทรมานก็ดิ้นได้ แต่ตายไปแล้วไม่มีร่างกายรับ มันจะทรมานขนาดไหน ให้คาดเดาเอานะ

 

เดรัจฉาน นั้น เมื่อเป็นสัตว์นรกแล้วไม่รู้ ก็คือเกิดในภูมิเดรัจฉานก็จะโง่อยู่ในภูมินั้นตลอดไป แต่ถ้าคนมาศึกษาแล้วหายโง่จากเดรัจฉานก็จะรู้ว่าเปรตคือย่างไร ถ้าไม่รู้ก็จะทรมานเป็นสัตว์นรก ตราบใดโง่ไม่รู้ก็จะนรกอยู่อย่างนั้นทำชั่วซ้ำซ้อนไปตลอดเวลา

 

ปิติวิสัย คือ เปรต คือความอยาก ดิ้นรนอยากได้ ผู้ใดผ่านเดรัจฉานมาได้ พ้นแล้วก็จะรู้ว่าตนเป็นเปรต แต่ถ้ารู้แล้วก็ยังไม่กำจัดเปรตก็คืออสุรกาย ไม่กล้าทำดีไม่กล้าฆ่าเปรตของตนเอง องค์ประชุม รูป_นาม เกิดวิญญาณ

 

ต้องมารู้รูปนาม แล้วกล้าปฏิบัติ หากไม่กล้าก็คืออสุรกายอยู่ เหตุการณ์บ้านเมืองกำลังเจอผีอยู่กลางสังคม หากท่านไม่กล้ากำจัดผีเพื่อช่วยบ้านเมืองท่านก็คืออสุรกาย ที่ไม่กล้า เพราะติดโลกีย์ คือ กลัวเสียโลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ เพราะเหตุนี้แหละ จะมีเหตุอื่นก็คือไม่รู้วิธีกำจัดกิเลสตนเอง ก็ไม่ได้กำจัด จะบอกว่าไม่กล้าก็ไม่ถูกทีเดียว แต่เพราะไม่รู้ แต่ถ้ารู้แล้วไม่กล้าทำไม่ทำก็คือ ไม่พ้นสีลัพพตปรามาส ถ้ารู้แล้วไม่กล้าก็เป็นอสุรกาย หรือเล่นหัวซูเอี๋ยกับผี นี่คือไม่พ้นสีลัพพตปรามาส ที่ไม่ทำเพราะรักเพราะชอบหรือเห็นแก่ผี จะปล่อยไว้ทำไม ผีมันทำลายอยู่ทุกวินาที จะต้องจัดการ

 

ผู้จะเข้าใจอบายภูมิ 4 ต้องมีวิธีของพระพุทธเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ มีสุรภาโว สติมันโน อิธพรหมจริยวาโส ต้องเป็นผู้ตื่นเต็ม มีปสาทรูป โคจรรูป สัมผัสแล้วเกิดภาวรูป มีสติสัมปชัญญะ ปฏิบัติได้ก็จะเป็นมนุษย์อุตรกุรุทวีป ในร่างของมนุษย์นี้ แต่คนที่ได้ร่างเป็นมนุษย์แต่จิตวิญญาณเป็นผี แต่เอาร่างนี้มาหลอกว่าตนเป็นเทพ ก็คือเทวบุตรมาร ถ้าไม่ได้เรียนรู้ก็จะมีร่างเป็นมนุษย์แต่จิตวิญญาณผี เสียดายร่างมากเลย คนนี้คือโมฆบุรุษ ไม่ได้เป็นมนุสโสคือคนทำให้จิตสูงเจริญได้  หรือไปหลงภูมิเทวดาเก๊อีก 6 ภูมิ ก็ซ้ำเติมความเป็นผี เพราะทำให้ผีอ้วนขึ้น ต้องการมากขึ้น เป็นเปรตมากขึ้น คือได้สมใจอยาก อยากได้ลาภก็ได้ลาภ อกุศลจิตมันอ้วน เพราะได้เหยื่อ ได้อาหาร มันอยากได้ยศก็ได้ยศ อยากได้ลาภ หรือโลกธรรมด้วยทุจริตก็ชอบใจ สมใจกิเลสก็อ้วน นี่คือกิเลสอ้วนทั้งขึ้นทั้งล่อง ทุกข์กิเลสก็อ้วน สุขกิเลสก็อ้วน

 

เราต้องจำกัดขนาดกิเลสตน โดยปริตตัง อย่างเพิ่งคำนึงถึงกิเลสทั้งหมดเป็น อนันตัง คือไม่มีที่สิ้นสุด เราต้องจัดการเบื้องต้น คือกามก่อน เราต้องลดเสพสุขเท็จ เป็นสมมุติเทพ เป็นเทวดาโง่ๆ เสพสุขใส่ตนแล้วตกนรกวนเวียนไปนับชาติไม่ถ้วน ซึ่งมีลักษณะของเทวดาเก๊ 6 แบบ

1. จาตุมหาราชิกา (สวรรค์ที่มหาราชใหญ่4ทิศ ปกครอง)

 

2. ดาวดึงส์ (ที่อยู่แห่งเทพที่ยังเสพอารมณ์เพิ่ม เกินๆ)

 

3. ยามา (แดนใจของผู้เปลื้องทุกข์ได้, ได้นาน,)

 

4. ดุสิต (แดนใจของผู้อิ่มสงบเฉยได้แล้ว เพราะเสวยอิ่ม)

 

5. นิมมานรตี (ภูมิจิตของผู้มีใจยินดีในการเนรมิต ความปรารถนา สำเร็จได้ด้วยความสามารถตน)

6.ปรนิมมิตวสวัตตี (ภูมิที่อยู่แห่งเทพที่มีอำนาจในการเนรมิตอื่นๆ  มีผู้อื่นสนองอำนาจให้ได้อย่างเร็วไว  หากจิตพ้นขั้นนี้ได้แล้วย่อมเป็นพรหม)

(พตปฎเล่ม 4   ข้อ 17)

 

 

คนที่อุทิศส่วนกุศลให้คนตายไปแล้ว เขาตายไปกี่ปีแล้ว จะส่งไปถึงได้อย่างไร ทำไมไม่เดียงสาเหมือนเด็กอมมือ เขาอยู่ที่ไหน แล้วเขาจะกินได้อย่างไร เขาเชื่อจริงๆอาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อาตมาจะต้องอุตสาหะวิริยะบากบั่นมากเลย เพราะคนยึดติดมาก อัตตาก็สูง เชื่อตนเอง แล้วดันโง่ไปรู้ผิดๆ ก็ยังเชื่อที่ผิดต่ออีก

 

ผู้ใดเข้าใจภพภูมิของจิต ตั้งแต่อบายภูมิ แล้วเรามีจิตที่เป็นมนุษย์ จะสร้างจิตให้เป็นมนุษย์อุตรกุรุทวีป ถ้าเป็นเทวดาแล้วไม่มีภูมิธรรม อาจพาหลงเหลิงได้เพราะได้สมใจ ก็จะตกนรกหนัก ซ้ำซ้อนวนเวียน ดังนั้น กุศลโลกุตระจะเป็นหลักประกัน เมื่อเป็นเทวดาได้มีฐานะได้ แต่มีภูมิโลกุตระด้วยจะทำให้ไม่หลงไม่เหลิง จะกลายเป็นคุณธรรมที่จะช่วยทำให้ช่วยมนุษย์โลกมากขึ้น แต่ถ้าใครมีแต่กุศลโลกียะแต่ไม่มีภูมิโลกุตระจะหลงเหลิงซ้ำซ้อน วนเวียนสุขทุกข์อยู่ช้านาน เราต้องทำให้มีหลักประกัน อยู่เหนือโลกต่างๆได้เป็นลำดับขั้น ทำให้ช่วยโลกได้มากขึ้นตามภูมิธรรม

 

ถ้าไม่ศึกษาโลกุตระธรรมอย่างเดียว เสียชาติเกิดเป็นมนุษย์ นี่คือโมฆบุรุษ อาตมาแปลว่า ชิงหมาเกิด ได้ร่างเป็นมนุษย์แต่ไม่สะสมโลกุตรธรรม ถ้ามีอยู่เจออยู่ด้วยไม่มาเอาก็แย่แล้ว

 

ต่อไปเป็นการตอบปัญหา ประเด็น

 

_ทำไมเขาไม่ใช้ ฅ คน แต่เขาใช้แต่ ค ควาย

ตอบ..อันนี้หลวงปู่ตอบไม่ได้

 

_คนทำผิดกฎระเบียบแล้วถูกลงโทษกับคนทำผิดกฎแล้วลอยนวล จะมีวิบากต่างกันอย่างไร?

ตอบ... คนทำผิดแล้วได้รับโทษคนนั้นก็บรรเทาไป เป็นคนเข็ดหลาบ รู้ว่าถ้าเราทำเช่นนี้เราจะได้รับโทษรับทุกข์ตั้งแต่เป็นๆ นี่แหละ แม้ว่าเราตายไป ตอนเป็นๆเราไม่ได้รับโทษตายไปจึงจะต้องได้รับโทษก็ไปบรรเทาตอนตาย เหมือนใช้หนี้ บางคนใช้หนี้ สิบอสงไขย์ บางคนห้าร้อยปีเป็นต้น แต่คนได้รับโทษในปัจจุบันก็ได้บรรเทา หมดตั้งแต่เป็นๆก็หมด เหลือเท่าไหร่ก็ไปบรรเทาตอนตาย ส่วนคนทำผิดแล้วลอยนวลก็ไปนรกแหงๆ การลอยนวลเขาตามจับอยู่แต่ก็หนีได้ใช้อิทธิพลหนี อย่านึกว่าเขาไม่รับโทษเพิ่มนะ แล้วทำกรรมกลบเกลื่อนโดยตนเองไม่รับโทษยิ่งซับซ้อน คนลอยนวลเหล่านี้จะได้รับโทษมหาศาล  สรุปแล้วรับโทษนั่นแหละดี แต่ถ้าลอยนวลแล้วมีแต่เพิ่มเติมวิบากไป

 

_ไสยศาสตร์กับอุปาทานต่างกันอย่างไร?

ตอบ...เรื่องไสยศาสตร์เป็นศาสตร์ เป็นความรู้ที่ไม่รู้ (ไสย แปลว่าหลับ ไม่รู้) คนก็หลอกกันไป ส่วนอุปาทานคือสิ่งที่เรายึด อันใดก็แล้วแต่ที่เรายึดเป็นเรา เป็นของเรา

 

_หลวงปู่เคยกลัวคนไม่ยอมรับ ธรรมที่หลวงปู่ประกาศหรือไม่

ตอบ...ตั้งแต่มาทำงานศาสนาก็ประกาศโลกุตรธรรมมาตลอด ขอยืนยันว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่เหมือนศาสนาอื่นที่เป็นโลกุตระ ส่วนโลกียะเขาสอนกันหลายศาสดาแล้ว ไม่ต้องไปแย่งเขาสอน เสียเวลาขยายโลกุตรธรรม ตั้งแต่ทำงานมาหลวงปู่ไม่เคยหวั่นไหว ไม่เคยกลัวคนไม่ยอมรับ ไม่รู้สึกว่าประหวั่นพรั่งพรึงอะไร เพราะเป็นเรื่องจริงเรื่องดี แต่คนที่พูดเรื่องไม่จริงเรื่องชั่ว ก็น่าจะหวั่นไหว แต่หลวงปู่พูดเรื่องจริงเรื่องดีประเสริฐก็ไม่หวั่นไหว 

 

_มีชีวิตอยู่น้อยเท่าไหร่ กรรมที่จะชดใช้ก็จะน้อยเท่านั้นจริงไหม?

ตอบ...อยู่เป็นมนุษย์มีชีวิตมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งพากเพียรทำกรรมดีมากเท่านั้น มีโอกาสเกิดเป็นคนได้มีองค์ประกอบครบ สติพร้อม มาทำงาน เรียนรู้ให้รู้กรรมดีชั่ว แล้วทำกรรมโลกุตระให้ได้ นานเท่าที่ทำได้ จะไปรีบตายทำไม?

 

_กายสักขีคืออย่างไร?

ตอบ...กายคือองค์ประชุมรูปกับนาม ส่วนสักขีคือพยานเห็นอยู่ทนโท่ ผู้ที่มีสิ่งที่ประชุมอยู่ เรารู้จัก รูป นามประชุมกัน แล้วจิตเราปรุงแต่ง ผสมกับ ดิน น้ำ ไฟ ลม สัมผัสกับภายนอกแล้วจิตเราเกิดอะไรขึ้นมาเป็นองค์ประชุมของรูป และนาม หากเราไม่ได้ศึกษาธรรมะจะไม่รู้ไม่เห็น แต่ถ้ามาเรียนสัมมาทิฏฐิ จะเห็นผี เห็นเทวดาปลอมแล้วจะรู้เหตุ ของมัน รู้รายละเอียดในการลดเหตุของผี เทวดา อย่างสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สัมผัสนอก รู้ในรู้ว่าผีเกิด แล้วทำผีตายหรือเทวดาเก๊ตายไปแล้วเกิดเป็นอุบัติเทพหรือวิสุทธิเทพในที่สุดเราจะเห็นผี เทวดา มาร พรหมได้อย่างมีตาปัญญาของพระพุทธเจ้าเห็นของจริงอยู่ทนโท่ เป็นพยานหลักๆ เรียกว่าสักขี เห็นเลยว่าเป็นกายของพรหม เทวดา ผี เป็นอุบัติเทพ วิสุทธิเทพ สูงสุดได้ นี่คือต้องมีตาทิพย์กับวิญญาณที่เกิด

 

_คนปฏิบัติธรรมเคร่งๆเฉยๆ แต่ไม่ได้ลดกิเลสเป็นอย่างไร?

ตอบ...ก็เป็นผีตลอดไปสิ มันต้องมีพยานหลักฐานเป็นกายสักขีของตนเองอยู่ทนโท่ นี่สิ ไม่ต้องไปอยากเห็นผีของคนอื่น เราเห็นผีของตนเองแล้วจัดการผีของตนเองได้อย่างมีกายสักขีนี่สิ

 

_หลวงปู่รู้ได้อย่างไรว่าหลวงปู่เป็นอรหันต์ ผมเถียงไม่ได้เพราะไม่มีอะไรมาเถียง

ตอบ...หลวงปู่เอาที่พระพุทธเจ้าสอนมาแล้วเอามาพิสูจน์เป็นกายสักขีจิรงๆ เห็นอยู่ทนโท่ว่า จิตใจหลวงปู่เคยมีองค์ประชุมผีก็รู้ทำให้ผีหมดไปก็รู้ เป็นเทวดาอุบัติเทพก็รู้ จนเป็นวิสุทธิเทพก็รู้ แล้วจะประกาศตนว่าเป็นอรหันต์ต้องมีคุณสมบัติ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) มีเหตุปัจจัยมากระทบกระแทกอย่างไร นานเท่าไหรก็ไม่กระเทือน อย่างสำเร็จอิริยาบถอยู่ มีปัญญารู้แจ้งจริง ตรวจสอบตามพระพุทธเจ้าสอนก็จึงยืนยันได้ว่าตนเป็นอรหันต์ไม่ได้ว่าอยากบอกเมื่อไหร่ก็บอก

 

_ถ้าผมปี๊ดโกรธขึ้นมา แล้วไม่กล้าบอกใครจะทำอย่างไร?

ตอบ...ไม่กล้าบอกใครก็บอกตนเอง โกรธนี่เห็นง่ายมันทุกข์แต่โลภ นี่ที่จริงทุกข์แต่ไม่รู้จักทุกข์ เมื่อโกรธแล้วก็รู้แล้วก็ว่าตนเอง จะทำให้ใจโกรธไปทำไม เป็นใจผี อ่านออกเลยว่าทุกข์ จะเอาไว้ทำไม เปลี่ยนจิตเสีย ให้เป็นอาการใจดีๆ ไม่ต้องฮึดฮัด ให้ใจเย็นสบาย ทำให้ได้ แล้วดูอารมณ์ว่าอย่างนี้สบายกว่า อย่างนั้นไม่ดี เราโง่ทำไม รู้ให้ทันลดให้ได้

 

_สัมปชานมุสาวาส คือโกหกทั้งๆที่รู้ ไม่ว่าเป็นพระหรือฆราวาสจะบาปไหม?

ตอบ...โกหกทั้งๆที่รู้นี่ พระพุทธเจ้าว่า เป็นคนที่จะทำชั่วอย่างอื่นใดๆไม่ได้ไม่มี คือทำชั่วได้ทุกอย่าง

 

_ทำไมผมถึงงงๆ เวลาอยู่คนเดียว มันฟุ้งซ่าน คิดไปคนเดียว สับสน

ตอบ...ถ้าเป็นอย่างนั้นก็อย่าอยู่คนเดียว ต้องมาปรึกษาหารือผู้รู้เพื่อนๆ เพราะเราบังคับจิตตนไม่ได้ ก็อย่าไปอยู่คนเดียวมาอยู่กับหมู่กับผู้รู้


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 18:23:38 )

580320

รายละเอียด

580320_พุทธชีวศิลป์(.นบ.) เรื่อง ยอดนิยายของโลกแห่งความเป็นมนุษย์ 1

พ่อครูว่า...ยอดนิยายของโลก แห่งความเป็นมนุษย์ นี่คือชื่อหนังสือเรื่องใหม่ ที่อาตมาจะนำเอามหานิทานสูตร มาเขียนเป็นหนังสือ แต่เดี๋ยวนี้เขามีศัพท์ว่า นวนิยาย เป็น นิยายสมัยใหม่ คนเราก็หาภาษาบัญญัติเพื่อจูงนำสื่อให้เกิดความเข้าใจยิ่งขึ้น

 

มีผู้ถามมาว่า …. 0824039xxx คืนนี้อยากให้พ่อครูอธิบายคำนี้!ความเป็นนิพพานไม่ใช่อัน1อันเดียวกันกับความเป็นพระเจ้า!เพราะพระเจ้าคือความมี!ที่ยิ่งใหญ่สุดใหญ่!ทั้งเป็นนิรันดร์อีกด้วย!ส่วนนิพพานนั้นคือความไม่มีอย่างสิ้นเชิงฤาเป็นความดับสนิท,ความสูญอันตรงกันข้ามคนละขั้วชัดเจน?

 

ตอบ.. จิตวิญญาณพระจ้าคือจิตที่มีคุณลักษณะ สามอย่าง คือตรีมูรติ พระพุทธเจ้าท่านให้พิสูจน์โดยลดความเห็นแก่ตัวได้จริงๆเลย แม้พระเจ้าก็เป็นธาตุจิตวิญญาณ ทางเทวนิยมเขาก็เรียนกันนะว่า จะต้องให้เป็นคนดีๆ จนให้เป็นลูกพระเจ้าเลย แต่เขาก็ไม่ได้เรียนรู้ทฤษฎีสมบูรณ์ เพราะจิตมันมีจิตไร้สำนึก ใต้สำนึก และจิตสำนึก แต่ของพระพุทธเจ้านี่มีวิธีการที่จะล้างจิตทั้งสามระดับให้สะอาด

 

สรุปที่ว่า นิพพานคือความไม่มีอย่างสิ้นเชิงบริบูรณ์นั้นไม่ผิด แต่ถูกไม่ครบ เพราะว่าพระพุทธเจ้าให้ล้างกิเลสได้นิรันดรเลยไม่มีกิเลสได้นิรันดร เป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เป็นธรรมะหนึ่งในสอง แต่ตนเองจะไม่มีเลยก็ได้ ล้มเลิกการมีเลยก็ได้ หรือจะมีก็ได้ จะมีเป็นแบบนิรันดรเลย คือหาที่จบไม่ได้ อย่างพระอวโลกิเตศวร นี่ตั้งปณิธานว่าจะรื้อขนสัตว์ให้คนในโลกบรรลุอรหันต์ให้หมด แล้วตนค่อยปรินิพพาน แล้วจะเป็นไปได้ไหม? ซึ่งเป็นเรื่องดี ใครจะตั้งจิตก็ทำสิ แต่อาตมาไม่เอาขนาดนี้

 

พูดถึงอนันตริยกรรม มี อนันตริยกรรมถึง 6 อย่าง

  1. ฆ่าแม่
  2. ฆ่าพ่อ
  3. ฆ่าพระอรหันต์
  4. ทำให้พระบาทของพระพุทธเจ้าห้อเลือด
  5. ทำให้สงฆ์แตกกัน สังฆเภท
  6. อภิฐาน ภาษาบาลีเรียก อัญญสัตถุทเทส หมายความว่า ถ้าผู้ใดทำเข้าเป็นอนันตริยกรรม ต้องมีวิบากหลายอย่าง แม้จะเป็นพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ ข้อนี้ อัญญสัตถุทเทส คือคนที่สัมมาทิฏฐิแล้ว พบสัตบุรุษแล้ว ศึกษาไป เกิดจิตวิปริต เห็นผิดเพี้ยนไป ไปเห็นที่อื่นดีกว่า อยู่ไปบอกว่าที่สัมมาทิฏฐินี้ไม่ถูกต้องแล้วออกไป นี่คือซวยมากเลย เพราะคิดว่าอาจารย์ที่สัมมาทิฏฐิไม่ถูกต้องไปนับถืออ.ใหม่ที่ไม่สัมมาทิฏฐิ มีอยู่ในพระไตรฯ ล.25 ข.314 มาบอกพวกเราว่าอย่าเผลอไผล ถ้าออกไปนี่อนันตริยกรรมกินแน่ ขออภัยที่พูดเหมือนร้อยรัดพวกเราไว้ แต่มันยากนะ ใครจะตัดสินล่ะ ถ้าถามอาตมาว่าอาตมาสัมมาทิฏฐิไหม เราก็ต้องยืนยันว่าเราสัมมาทิฏฐิ ก็แล้วแต่ปัญญาของคนตัดสินเอง

 

พระพุทธเจ้าเป็นได้ทั้งสองอย่างเป็นนิรันดรอย่างเทวนิยมก็ได้ แต่อยู่อย่างไม่ปกปิดลึกลับเป็นอรหัง ชัดเจน เป็นยอดปรมาตมันมีตรีมูรติจริง ถ้าพัฒนาเป็นโพธิสัตว์มากขึ้นแล้วเป็นพระพุทธเจ้าคือพระเจ้าที่มนุษย์เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้ คือพระพุทธเจ้า เป็นของจริงในความเป็นมนุษย์ชมพูทวีปที่มีมนุษย์อุตรกุรุทวีปอยู่ในตัวสมบูรณ์

 

มาพูดถึง ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ธรรมะสองอย่างนี้ ตั้งแต่ปฏิจจสมุปบาท ก็มี อวิชชากับสังขารก็จับคู่กันได้ แล้วสังขารก็คู่กับวิญญาณ วิญญาณก็คู่กับนามรูป ….จับคู่ไปได้หมด ถ้าเรารู้จักตั้งแต่ มีตายก็เกิด มีเกิดก็มีตาย ชาติกับมรณะ เป็นเหตุปัจจัยกัน เราไปจับที่ต้นขั้ว ถ้าไปจับที่อวิชชาก็ไม่ได้เพราะมันรวมหมดแล้ว ก็ไปเริ่มที่ปลายก่อน

ประธานของชีวิตคน คือจิตวิญญาณ หรือมโน เป็นธาตุรู้ จึงต้องเรียนรู้ตัวนี้ตั้งแต่ตัวเริ่มคือปริตตัง คือกรอบเล็ก ท่านเรียกว่าเป็นสภาพที่มีขนาดจำกัด ส่วนอนันตังแปลว่า ขนาดไม่จำกัด ของฉบับหลวงแปลว่า กามาวจร

 

กามาวจรที่สังขารเบื้องต้น คืออบายภูมิ ที่เราไปเกี่ยวข้องกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ ที่มันเกินเฟื้อจัดจ้านที่เราไม่ต้องมีแล้ว หรือเป็นลาภได้อย่างใหญ่มากทุจริต เป็นกุหนา นี่คือยอดอบาย ต่ำที่เรามีอยู่ เราต้องเลิก ถ้าเราไม่รู้ว่าตั้งต้นตรงไหนของเรา เราก็เอาที่หยาบต่ำที่สุดของเรา เมื่อมันยังมีชาติ มันอยากได้อยากเป็นแม้ทุจริตก็จะเอา คนทั่วไปก็เห็นๆ ดีไม่ดีเราเองจะทำด้วย เชื่อมือว่าคนอื่นจับไม่ได้อีก ขนาดทักษิณก็ยังไม่เอา แต่ส่งน้องสาวมา ที่ซื่อบื้อหน่อย

 

เมื่อมีชาติก็มีมรณะ ส่วนชรา มรณะ โศก ปริเทวะก็รวมลงที่เวทนา คนอวิชชาก็ไม่รู้ว่าชาติอย่างไร ไม่รู้ว่าชาติหมามาเกิดก็ไม่รู้ ภาษาไทยว่าชาติหมานี่เลวสุดแล้ว เราก็ไม่รู้ว่าจิตวิญญาณเราเป็นเช่นนั้น แต่ในจิตวิญญาณก็ไม่ได้เลวต่ำไปหมดหรอก แต่มันมีสอง แต่เราทำให้มีจิตหนึ่งเดียวได้ หนึ่งสุดยอดคืออรหันต์ คือธรรมะสองที่รวมลงเป็นส่วนเดียวคือเวทนา มันครอบคลุมหมด

 

ชาติ กับมรณะ เป็นคู่แรกเลย คำว่า ตาย อย่างโลกุตระ ท่านใช้คำว่า อรณะ แปลว่าการไม่มีสงคราม อรณะคือจิตไม่มีสงคราม พระอรหันต์คืออรณะแล้วไม่ลึกลับแล้ว เพราะศึกษาจนครบสมบูรณ์แบบ เรากำจัดอกุศลจนเกลี้ยงไม่เหลือเศษเลย ต้องศึกษาตั้งแต่ชาติที่คุณเรียนรู้ได้ ตั้งแต่อบายภูมิที่เป็นตัวหยาบก่อน ของตน แล้วถ้าเราจับอ่านตัวตนได้ที่มันเกิด

 

คำว่า เกิด นี่พระพุทธเจ้าแยกเป็น 5 ตัว

มี ชาติ สัญชาติ โอกกันตะ นิพพัตติ และอภินิพพัตติ

 

การรู้รูปนาม มีที่พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า อภิภายตนะ คือนัยของอภิสังขารที่ยิ่งใหญ่กว่าอายตนะสามัญหรือสังขารสามัญ ละเอียดกว่า ส่วนวิโมกข์ 8 คือการเรียนรู้รูปนามต่างๆ พอมาเป็นอภิภายตนะนี่มีรายละเอียดมากกว่าอีก เอาไว้จะไปสอนอีกที

 

ชาติ คือการเกิดกลางๆ คลุมไปหมด การเกิดใดๆทั้งปวงเป็นทุกข์ ชาติปิทุกขา

สัญชาติคือมีการกำหนดหมายรู้ชาติได้ แต่ถ้าไม่รู้ก็เกิดโดยสัญชาติ คือการเกิดธรรมดาของคนมีเชื้อที่จะมีชาติได้จะเกิดเองเป็นเองตามวิบาก แต่ถ้ากำหนดสัญชาติได้ก็จะกำหนดการเกิดได้ มันอยู่ในคลังสัญญาของคุณ ต้องกำหนดอ่านแล้วมันจะเกิดตอนมีบทบาทที่กระทบสัมผัส มาอยู่ในฐานสามัญสำนึก แต่ตัวใต้สำนึกคุณรู้มันไม่ได้ ต้องมาเรียนที่ฐานจิตสำนึก

 

เมื่อเราฆ่ากิเลสสามัญสำนึกแล้วกิเลสตัวใต้สำนึกจะขึ้นมาให้เราฆ่าต่อ ถ้าฆ่าจิตใต้สำนึกได้ จิตไร้สำนึกจะขึ้นมาให้เราฆ่าต่ออีก นี่คือวิธีการที่ทำให้มันออกมาปรากฏตัวแล้วจัดการมันเสีย เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคง เป็นตำรวจที่เยี่ยมยอดมีวิธีจับโจรมาประหารได้ยอดเยี่ยม ไม่ออกมาคุณก็ไม่ใช่กิเลส ไม่อย่างนั้นคุณอดอยาก หากมีกิเลสอยู่ที่เก็บไว้ คุณก็นั่งกินนั่งนอนอยู่ในจิตไร้สำนึก แต่ถ้าไม่มีใครเอามาให้กิน คุณก็ต้องออกมากินเอง ออกมาแล้วตำรวจก็จับมาเจี๋ยนซะ นี่คือวิธีการของพระพุทธเจ้านี่ยอดเยี่ยมมาก

 

เมื่อเรารู้สัญชาติญาณแล้วก็กำหนดรู้เรียนรู้จนในนามรูปประชุมกันเกิดวิญญาณ เกิดเจตสิก 3 เวทนาสัญญาสังขาร ก็เรียนรู้สังขาร เวทนา มันรวมกันเป็นเวทนาในปัจจุบัน ในอารมณ์มีอะไรคือเหตุ ก็คือจิต สราค สโทส สโมห ก็วิจัย วิธีอุบายโกศลก็คือไม่ให้อาหารมัน มันปลอมตัวมาว่าสุข ในความสวยงาม เขาหลอกเรา มันเป็นสุขเท็จ เทวบุตรมารแท้เลย เมื่อจับตัวมันได้ มันก็จะรู้ตัวจริงว่ามันไม่ใช่เทวดานะ จัดการมันเสีย วิธีจัดการก็มีปหาน5 ตทังคปาน วิกขัมภนปหาน ไป...

 

เมื่อจิตมันกระทบแล้วเกิดตัวตนจะหยั่งลง เป็นโอกกันติ หากอวิชชา มันจะหยั่งลงเป็นอกุศล แต่ถ้าเราตั้งใจอ่านจับอกุศลได้ กำจัดมัน ก็จะกลายเป็นจิตสะอาดหยั่งลงแทน แต่ที่ไม่รู้นี่หยั่งลงทีไรก็เป็นปุถุชน อ้วนใหญ่ทวีเพิ่มขึ้น พอเราจับมันได้ก็ปหานมัน คุณทำให้ความเป็นสัตว์เป็นชีวิตินทรีย์ของสัตว์พลังงานสัตว์มันลดลง จนมันตายได้นี่คือคุณทำให้เกิด นิพพัตติ คำว่านิพพัตติ คือไปหานิพพาน เป็นจิตวิญญาณใหม่เกิด สูงสุดได้เป็นอภินิพพัตติ คือขั้นผล นี่คือการเกิด 5 ชนิดที่คุณใช้ญาณปัญญาตาทิพย์เห็นได้ ใครทำได้นิพพานเป็นอันหวังได้

 

การกำจัดกิเลสไม่ได้ให้ตายทั้งจิต มม แต่ให้มันตายส่วนหนึ่ง คืออรณะ เราทำสงครามแต่เฉพาะกับอกุศลจิต ไม่ได้ทำสงครามกับกุศลจิต ชาติกับมรณะ ถ้าคุณฆ่าชาติได้ บังคับชาติได้ ก็ขยับมาเป็นคู่ที่สอง คือ ชาติกับภพ

 

ถ้าชาติดับ ภพก็ดับ มีกามภพ รูปภพ อรูปภพ จัดการอบายภูมิก่อนแล้วหาอบายภูมิตัวต่อมา ก็คือในกามภพนั่นแหละก็ทำให้มีขนาดจำกัดได้ทุกปริตตะ คุณเป็นพรหมก็ปฏิบัติตั้งแต่ปริตตาภา มาเป็นอัปปมาณาภา ต้องตีกรอบของแต่ละคนให้ได้ ไม่เท่ากัน

ไล่เรียงเป็นพรหม 20 ชั้น เช่น

1. พรหมปาริสัชชาภูมิ   คำว่า ปาริสะแปลว่าบริวาร

2. พรหมปุโรหิตาภูมิ คำว่าปุโรหิต คือผู้รู้ผู้เป็นครูเป็นหัวหน้า

3. มหาพรหมาภูมิ คำว่ามหาพรหมก็คือผู้ยิ่งใหญ่ ใหญ่กว่านายใหญ่อีก

4. ปริตตาภาภูมิ คำว่าปริแปลว่าน้อย 

5. อัปปมาณาภาภูมิ คำว่าอัปปมาณาแปลว่ามาก

6. อาภัสราภูมิ  คำว่า อาภา แปลว่าแสง  เป็นต้น....

 

ของฤาษีเป็น อสัญญีสัตว์ แต่ของพุทธเป็น อสัญญายตนะ คือไม่ต้องกำหนดอีก ไม่ต้องไปสัญญาไม่ต้องเรียนรู้อีก กำจัดไปได้แล้ว ก็มีอายตนะ แต่ของมิจฉาทิฏฐิได้องค์ประชุมเป็นอสัญญีสัตว์ไม่ได้อสัญญายตนะ

 

ทั้งอสัญญีสัตว์และอสัญญายตนะ เป็น สุภกิณหะ เหมือนกัน ของพระพุทธเจ้านี้ตัวดับดับจริง แต่ตัวสว่างนั้น

 

มาดูที่ วิญญาณฐีติ 7

1.    สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่นพวกมนุษย์  พวกเทพบางเหล่า  พวกสัตว์วินิปาติกะบางเหล่า 


 

คนไม่ได้เรียนธรรมะเลย ไม่ว่าจะเป็นพุทธมิจฉาทิฏฐิ ก็จะนึกว่ามนุษย์คือผู้มีร่างกาย  แต่ว่าตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง กายของเขาก็จะต่างกับกายของพุทธสัมมาทิฏฐิ

 

เทพของพวกมิจฉาทิฏฐิจะไปนึกถึงสมมุติเทพ เขาจะแยกเวทนาไม่ออก รวมลงเป็นเวทนาเขาจะไม่รู้สอง ให้ลงมาเป็นหนึ่ง ดับเคหสิตเวทนาไม่ได้ เขาจะมีเทวดาโลกีย์มีรสชาติมีตัวตนไป  เทวดาที่เขารู้คือเทวดาเก๊ สมมุติเทพ แต่แท้จริงมันคือวินิปาต คือสัตว์นรก ปลอมตัวมาเป็นเทวบุตรมาร ยิ่งปลอมตัวเก่งยิ่งเป็นมารใหญ่เลย

 

2.    สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน  มีสัญญาอย่างเดียวกัน   เช่น  เหล่าเทพจำพวกพรหม  ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น .

 

ผู้มิจฉาทิฏฐิ ก็ต้องการไม่ให้มีสัตว์อบาย ต้องการให้เป็นพรหมตั้งแต่ฌาน 1 เป็นต้นไป คนทำฌานได้คือจิตไม่มีนิวรณ์ 5 และนิวรณ์ 5 นี่แหละคือสัตว์อบาย วิธีมิจฉาก็สะกดจิตให้ใสๆ ให้ไม่มีอาการ กาม ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา เขาสร้างภพความใสสว่าง เรียกภาษาว่าอาภัสรา เขาก็ได้อาภัสราพรหม เขาปั้นความใสมาเอง ไม่ได้ใสจากการล้างกิเลสตัณหาที่ทำให้เศร้าหมองขุ่นมัว แต่สัญญาเขาว่าได้ใส ได้องค์ประชุมกายของความใสในจิตของเขา เขาได้อาภัสสรา แต่ไม่สมบูรณ์แบบ เป็นเทวดาปลอม

 

แต่ของพระพุทธเจ้าจิตใสเพราะได้ทำกิเลสตัณหาให้ออกไปได้สนิท แล้วทำได้แล้วถาวรไม่เปลี่ยน เกลี้ยงจบใสตลอดกาลไม่เข้าๆออกๆ อย่างที่พระพุทธเจ้าว่าการทำสัญญาเวทยิตนิโรธไม่ต้องเข้าต้องออกเลย

 

ที่ว่ากายต่างกัน นั้นแบบสัมมาทิฏฐิมีองค์รวมคือกาย อย่างลืมตา มีชมพูทวีปครบ แต่ของฤาษีอยู่ในรูปภพ อรูปภพ ไม่อยู่กับกามภพ แต่ถ้าหมดกามภพก็อยู่เป็นอนาคามี หมดได้ในกามาวจรก็ลืมตาอยู่กับโลกเต็มๆได้ กายที่ได้จึงต่างกันไป

 

3.    สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน  เช่นพวกเทพสว่าง อาภัสราพรหม (ว่าง ใส สว่าง แผ่กว้าง

 

กายอย่างเดียวกันคือใสอย่างเดียวกัน แต่ว่า วิตกวิจาร ต่างกัน ปีติ สุข อุเบกขาก็ต่างกัน มีแบบเนกขัมมะกับเคหสิตะต่างกันเช่นนี้ ทำให้อกุศลจิตหนึ่งในสองนี้ดับไปก็เหลือแต่กุศลจิต หนึ่งเดียว ก็ยังอยู่กับภายนอกสังคมที่เขามีผีหลอกกันเต็มไปหมด แต่เราไม่มีผีแล้วก็เป็นอาภัสราใสสว่างถาวร รู้ยิ่งโปร่งโล่งตลอดเวลามีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลกา(แสงสว่าง) แม้ลืมตากระทบสัมผัสก็สะอาดสว่างเช่นเดิม

 

4.    สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน  มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพมืด สุภกิณหพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค)

 

คือคนเข้าฌานฤาษี ถ้าได้ความสว่างแล้ว แต่เขามีสัญญาว่าจะต้องดับ เขาก็ดับอีก เป็นอสัญญี ไม่กำหนดหมาย คำว่าอสัญญีสัตว์ ก็ดับมืดเป็นกิณหะ คือของฤาษีได้กายเป็นกิณหะจริง เขากดข่มไม่ให้มีอาการได้ แต่แบบดำมืด แต่ของพระพุทธเจ้าจัดการอาการได้แต่ว่ากลับใสสว่างทั้งนอกและใน แข็งแรงด้วย กายสว่างของพระพุทธเจ้า แต่กายมิจฉาทิฏฐิจะมืด

 

กายสว่าง กายมืด คือตายด้วยกันทั้งคู่ แต่ของฤาษีไม่ตายถาวร ไม่เที่ยง ต้องออกมาเจอก็เกิดอีก อาจได้ชั่วคราว แต่ไม่ตายสนิทถาวร นัยลึกอธิบายยากเพราะมันไม่มีเหมือนกันแต่อย่างหนึ่งประเสริฐกว่า

 

ในพระไตรฯล.16 ข.60 นั้นว่าไว้ จะบัญญัตินามกาย ต้องพร้อมด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส แล้วต้องมีผัสสะ จึงเกิด เป็น เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยเกิด แต่ถ้าหลับตาไม่มีผัสสะ ก็จะไม่จริงเหมือนมีผัสสะ แล้วจะเป็นเหตุปัจจัยต่อเนื่อง

 

คุณจะรู้จักวิญญาณ ที่อยู่ในนิทานต้องรู้นามรูป ที่เป็นตัวร้ายจนถึงที่เป็นพระเอก ทำให้ผู้ร้ายตายหมดจนเหลือแต่เอกบุรุษ การศึกษาพวกนี้หากไม่รู้จักตัวละครที่เป็นสัตว์โอปปาติกะ ที่เป็น เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ที่เป็นนามพร้อมกับองค์ประชุมมหาภูตรูปทำงานพร้อมโคจรรูป ปสาทรูป เป็นภาวรูป ที่เกิดเป็นนิทาน มีตัวร้ายตัวเอก แล้วมีเทวบุตรมารแปลงเป็นตัวดีมา เป็นนิทานของมนุษย์อันยอดเยี่ยมแล้ว จะได้อ่านยอดนิยายของโลก แห่งความเป็นมนุษย์นี้ เพราะมันจะเป็นอรูปที่สัมมาทิฏฐิเท่านั้น เหมือนรามเกียรติหรือมหาภารตะยุทธ เป็นนิยายเก่ามาก

 

พุทธกับฮินดูนี่กลับไปกลับมา พอเป็นเทวนิยมก็ฮินดู พุทธก็มาล้างเทวนิยม อเทวนิยมสามารถเป็นเทวะได้จริง แต่พวกเทวนิยมเชื่อเทวะแต่ว่าทำตนให้เป็นเทวะไม่ได้จริง อาจทำได้ชั่วคราวแต่ไม่เนียนมีประสิทธิภาพเท่า อาตมานี่ปางพระราม ปาง 7 ปางหน้าปางกฤษณะปาง8 ปางต่อไปก็ปางพุทธะ ปาง 9

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

_อร่อยคืออาการ บางคนชอบความขม ว่าอร่อย พอเราล้างความอร่อยในจิตได้ เราจะเห็นว่ามันขม หรือความเผ็ดไม่ใช่เรื่องน่ากินเลย แต่คนเราโง่หลง ว่ามันเป็นไปได้ หรืออย่างคนจีนซดน้ำร้อน 100 องศาเฉยเลยแต่เรานี่แตะไม่ได้เลย แต่เขาทำมีพลังงานซ้อนไม่ให้ลิ้นพองได้ เหมือนคนเดินลุยไฟได้ ทำได้ประหลาดเหนือชั้นได้ เพราะฉะนั้นใครอ่านสภาวจิตละเอียดว่า มันรสขมธรรมขาติ เรียกไปตามภาษา ใครประสาทไม่เสียเหมือนกันหมด เราฝึกให้ทนได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในการไม่ต้องมีรสเสพอร่อย อัสสาทะ แต่ถ้าทำได้ก็ไม่ต้องทนสบายได้ ให้ว่างสะอาดจากรสอร่อยในจิต ต้องตรวจแล้วตรวจอีกทุกปัจจุบันขณะ

 

 

_ทำอย่างไรเราจะไม่เป็น อนันตริยกรรมข้อ 6 เพราะแม้สัมมาทิฏฐิก็เปลี่ยนได้?

ตอบ....ต้องพากเพียรปฏิบัติให้เกิดมรรคผล ตัวหลักประกันคือมรรคผล ถ้าอาตมามิจฉาทิฏฐิ ตัวมรรคผลจะทำให้คุณรู้เองว่าไม่ใช่ แต่ถ้าอาตมาเป็นสัมมาทิฏฐิ คุณจะไม่ออกไปแน่ สัจจะมีหนึ่งเดียว ไม่มีสอง ซึ่งคนจะมิจฉาทิฏฐิเช่นนี้ต้องอัตตาสูงมากและแถมเฉกาสูงด้วยถึงเป็น อัญญสัตถุทเทสนี่ เขาจะเฉกามาก แล้วแพ้ภัยตัวได้

 

_มันมิจฉาทิฏฐิที่ไม่อยากรู้บัญญัติเพิ่ม ?

ตอบ...ต้องขออภัยท่านพุทธทาส ที่ท่านว่ารู้แล้วไม่ต้องเอามากอย่างนั้น ท่านบอกว่าฉีกทิ้งพระไตรฯได้ 60 % นี่คือสิ่งที่น่าเห็นใจมากแสดงถึง อาตมากลัวนะ กลัวท่านฉีกพระไตรฯ เหลือแค่นี้น่าหวาดเสียวนะ อาตมาเห็นว่าพระไตรฯอาจมีบกพร่องจากคนแปลไม่ถึง 2% หรอก อย่างอภิธรรมท่านบอกว่าเม็ดมะขามตีทิ้งหมดเลย ท่านไม่เห็นว่ามีค่าเลย


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 18:24:21 )

580321

รายละเอียด

 580321_พ่อครูเทศนาปฐมนิเทศค่ายแพทย์วิถีธรรม ที่ราชธานีอโศก

พ่อครูว่า...ยินดีต้อนรับคณะแพทย์วิถีธรรมที่มาใช้บริการใช้สถานที่นี้อาตมาได้รับนิมนต์ให้มาเทศน์ เป็นการเปิดรายการเปิดงาน แม้ว่าผู้ที่มาจะเน้นเรื่องร่ายกาย แต่ก็จะทิ้งจิตใจไม่ได้ เพราะจิตใจเป็นใหญ่ มโนบุพพัง คมาธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา ถ้าเราทำพลังงานจิตใจได้ดี ก็จะช่วยร่างกาย จิตใจเป็นนามธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งเร็วไว มีประสิทธิภาพสูง ถ้าทำจิตใจให้ดีก็จะช่วยร่างกายได้มาก

 

ทางเคมี ฟิสิกส์ก็เข้าใจแล้วว่าจิตเป็นพลังงานสำคัญ ถ้าคนมีพลังจิตดีจะช่วยรักษาโรคเสร็จไป 60% ถ้าจิตมีพลังก็จะได้มากกว่าอีก แล้วพลังจิตก็ทำให้เกิดโรคได้เยอะ หมอเรียกว่า Psychosis สารพัดโรค แม้แต่โรคปัจจุบัน ไม่ชอบใจก็ชักดิ้นชัดงอ จน ช็อกตายได้เลย ก็มี อัดอั้นตันใจ หรือดีใจสุดขีดก็ตายได้ พลังงานมันไม่ทัน

หมอเขียวได้หาทางมาเพื่อที่จะผนวกธรรมะกับการรักษาสุขภาพทางร่างกาย ที่จริงคำว่ากาย ของพระพุทธเจ้านี่ลึกซึ้งมาก อาตมาต้องอธิบายคำว่า กาย ไปอีกนานเท่านาน เพราะเป็นรูปธรรม นามธรรมที่ลึกซึ้ง มันซับซ้อนหลายเชิงมาก จะเรียกว่าร่างกาย ร่าง ภาษาบาลีว่า สรีระ ส่วนกายคือองค์ประชุมของรูปกับนาม

กายไม่ใช่ร่าง ส่วนร่างไม่ใช่กาย แต่กายมีร่าง และนาม มาร่วมประชุมกันเสมอ ขาดอันใดอันหนึ่งไม่ได้ ซึ่งแม้แต่ในวงการอภิธรรมก็ยังไม่รู้ เขาไม่รู้ละเอียดพอ หากรู้ละเอียดพอจะมีพระอรหันต์ ในเรื่องคำว่า กาย คำเดียวนี่แหละ เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก

มีผู้แสดงความเห็นมา แล้วอาตมาเห็นว่าควรแจ้ง คือเรื่องจุดแข็ง จุดอ่อนของค่ายหมอเขียว swots ฟังดู เราต้องเป็นนักศึกษาที่จะต้องรับฟังทั้งข้อลบและบวก อย่าเป็นคนอ่อนแอใจเสาะ ฟังเรื่องเชิงลบก็จิตไม่สบาย ไม่ชอบ ก็อันนั้นเป็นความโง่ของคน มันต้องรับรู้จะได้เจริญได้ไว

จุดแข็ง คือ

1.การเน้นหมอที่ดีที่สุด คือตัวเราเอง  ที่ตนต้องเรียนรู้ด้วยตน ซึ่งการแพทย์ส่วนใหญ่จะเรียนรู้แต่โรค แต่ไม่ได้เรียนรู้จักตัวเอง

2.โรคของคนส่วนใหญ่เกิดจากโรคที่ไม่มีเชื้อโรค เป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรม ดั้งนั้นการรักษาโรคที่เน้นการเปลี่ยนพฤติกรรมจึงเป็นการแก้ไขต้นเหตุ ซึ่งหมอเขียวจะเน้นแก้ไขพฤติกรรม แต่การแพทย์ปัจจุบันคือการเน้นที่จะใช้ยา อย่างเช่นการดื่มน้ำมันมะกอก ว่าดื่มมากเท่าใดก็จะเป็นการรักษาได้มากเท่านั้น เน้นแต่จะล้างพิษตับแต่ไม่เปลี่ยนพฤติกรรมในการกิน ของปากตนเอง จุดอ่อน คือ

1.ที่ตีทิ้ง การรักษาโรคของแผนปัจจุบัน ซึ่งยังมีความจำเป็นอยู่ในกรณีเกิดการรักษาเฉพาะหน้าหรือเชื้อโรคต่างๆก็ยังต้องใช้ความรู้ของแผนปัจจุบัน เช่นกรณีพวกเราเป็นวัณโรค ก็ไม่ยอมใช้แพทย์แผนปัจจุบัน ต้องผอมตายไปอย่างน่าสงสาร

2.ต้องชัดเจนว่าเราไม่ใช่หมอรักษาโรค แต่เป็นหมอที่เรียนรู้ตนเองเพื่อไม่ให้เป็นโรค การเป็นหมอที่ดีต้องเรียนรู้ตนเอง ที่สำคัญคือใจตนเองที่ต้องเรียนรู้จิตสำนึก จิตใต้สำนึก และจิตไร้สำนึก ถ้าเรียนรู้ได้หมดเราก็จะเป็นหมอที่ดีที่สุดไปด้วย

ศาสนาพุทธสามารถรักษาได้ทั้ง 3 ระดับจิตใจ  จิตสำนึก จิตใต้สำนึก และจิตไร้สำนึก เมื่อเรารักษาจิตสำนึกได้ จิตใต้สำนึกจะขึ้นมาให้เรารักษา แล้วจิตไร้สำนึกจะขึ้นมาให้เรารักษาจนหมดสิ้นเกลี้ยง ซึ่งต้องเรียนรู้ให้สัมมาทิฏฐิ หากไม่สัมมาทิฏฐิก็เพี้ยนผิดไปหมด ก็ลองฟังดู ที่ให้ความเห็นมา อะไรใช่ที่เขาตำหนิมาเราก็เปลี่ยนแปลง ถ้าเขาว่าไม่ถูกก็ไม่เป็นไร เขาเข้าใจไม่ได้ ไม่มีข้อมูลพอก็ติเตียนผิดได้ ก็ไม่มีปัญหา ถ้าเราไม่มีตัวตน ไม่ถือตัวตนก็ยินดีที่ใครจะมาตำหนิ อาตมาพยายามให้รู้อายุที่ดี อายุที่เที่ยงแท้ หรือ นิยตายุโก(เอกพจน์) หรือ นิยตากุกา(พหูพจน์) เป็นการมีอายุอย่างดีและเที่ยงแท้ ซึ่งต้องมีความรู้ที่จะทำให้เที่ยงแท้ได้ แต่ถ้าไม่รู้ก็จะอยากให้เที่ยงแท้ เช่นเรามีความสนุก ความอร่อย เราก็สุข ก็อยากให้มันอยู่อย่างเที่ยงแท้ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ เพราะสุขคือสุขเท็จ เขาไม่เข้าใจก็ติดสุขเท็จ แต่ผู้ไม่ติดสุขไม่ติดทุกข์ อย่างพระอรหันต์จะมีความรู้เหนือสามัญโลก เหนือโลกสามัญปุถุชน เป็นอุตริมนุส ผู้ทำได้ท่านเรียนกว่ามนุษย์อุตรกุรุทวีป คำว่า มนุสะ แปลว่า ใจ ไม่ได้หมายถึงตัวตนนะ คำว่า มน กับ อุสสะ คือคนที่มีใจสูงส่งเจริญ ใจขั้นวิเศษ  เป็นมนุษย์อุตรกุรุทวีป คืออยู่ในแดนในภพภูมิของผู้มีจิตสูง มีจิตเหนือกว่ามนุษย์ธรรมดา ผู้จะมีจิต จะทำจิตให้เป็นอุตรกุรุทวีป ผู้จะทำได้ต้องมาเป็นมนุษย์ที่ได้ร่างเต็ม มีสุรภาโว มีสติเต็มทำงานได้ทั้งภายนอกภายใน มีอาการ 32 มีจิตวิญญาณครอง เป็นสังขารที่มีจิตวิญญาณครอง คืออุปาทินกสังขาร มีดิน น้ำ ไฟ ลมและจิตปรุงแต่งกัน แต่จิตวิญญาณยังไม่ได้สร้างให้เป็นแบบมนุษย์อุตรกุรุทวีป ก็เป็นจิตปุถชน แต่ถ้าจะทำให้เป็นอุตรกุรุทวีป จะต้องอาศัยร่างที่มีดินน้ำ ไฟลม เกิดที่นี่เท่านั้นในร่างคนเท่านั้นที่จะปฏิบัติให้เกิดเป็นมนุษย์อุตรกุรุทวีปได้ มีครบพร้อม กายยาววา หนาคืบ กว้างศอก พร้อมสัญญาและใจ ถ้าไม่มีอันนี้ ไม่มีที่ไหน ตายไปก็ทำไม่ได้ ต้องมามีร่างมีชีวะอย่างนี้จึงจะได้

พระพุทธเจ้าตรัสในพระไตรฯล.23 ฐานสูตร ข.225 ฐานสูต    

[225] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีป ประเสริฐกว่าเทวดาชั้นดาวดึงส์

และพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีป ด้วยฐานะ 3 ประการ

3 ประการเป็นไฉน คือ  ไม่มีทุกข์ 1

 ไม่มีความหวงแหน 1   มีอายุแน่นอน 1

ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปประเสริฐกว่า

พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ และพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีปด้วยฐานะ 3 ประการนี้แล ฯ 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาชั้นดาวดึงส์ ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและ

พวกมนุษย์ชาวชมพูทวีป ด้วยฐานะ 3 ประการ 3 ประการเป็นไฉน  คือ   อายุทิพย์ 1

วรรณะทิพย์ 1 สุขทิพย์ 1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาชั้นดาวดึงส์ ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์

ชาวอุตรกุรุทวีปและพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีปด้วยฐานะ 3 ประการนี้แล ฯ  

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีป ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและ

เทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยฐานะ 3 ประการ 3 ประการเป็นไฉนคือเป็นผู้กล้า 1 เป็นผู้มีสติ 1

เป็นผู้อยู่ประพฤติพรหมจรรย์อันเยี่ยม 1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีปประเสริฐกว่า

พวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยฐานะ 3 ประการนี้แล ฯ

                          จบสูตรที่ 1

ในร่างกายคนเป็นๆนี่แหละที่จะมีได้ทั้งมนุษย์ชาวชมพูทวีป พวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและ

เทวดาชั้นดาวดึงส์ แต่ถ้าไม่เรียนรู้จะเป็นได้แต่เทวดาดาวดึงส์ คือตาวติงส แปลว่า 33 ความเป็น 33 คืออาการของจิต ที่อยู่ในร่างกายเรา จิตนี่อาศัยร่างกายของเราอยู่ จิต เป็นดาวดึงส์ เป็นอาการที่ 33 ถ้ามีอาการชอบใจสมใจก็เป็นอาการสุข แต่ถ้าไม่ได้สมใจก็ทุกข์หรือดิ้นรนมากเท่าไหร่ก็เป็นสัตว์นรก แค่อยากก็เป็นสัตว์เปรต ยิ่งมากเท่าไหร่ก็คือสัตว์นรก เป็นอาการคนโง่ อวิชชา ดิ้นจนไม่ลืมหูลืมตา เช่นคนติดยาเสพติด เป็นดำกฤษณา ดิ้นถึงขนาดฆ่าพ่อ แม่ ทำร้ายหมด เพื่อให้ได้ตามอยาก มืดไม่รู้เรื่องเลย จิตมันติดหนัก กลายเป็นสัตว์นรกร้าย ถ้าไม่ศึกษาดีๆนี่จิตเลวร้ายได้ขนาด ผู้ศึกษาจิตได้สัมมาทิฏฐิจะเกิดจิตมนุสโส คือจิตสูง ได้เป็นอุตรกุรุปทวีปได้ ศึกษาไปทีละขั้น จะไปลัดขั้นตอนไม่ได้ ผู้เป็นปุถุชนจะติดหลงในสุขเท็จ สุขไม่มีจริง เป็นของปลอม เป็นอัตตา แท้จริงมันไม่มี อนัตตา ผู้ปฏิบัติแล้วจะหมด เช่นเอาง่ายๆ เราติดอาหาร ของกิน ติดชอบ ได้สัมผัสทีไร มันก็ถูกสเปค ติดอร่อย เป็นอารมณ์หลอก เท็จ ไม่จริง แต่คนที่ติดแล้วแต่อวิชชาก็ไม่เชื่อ ปล่อยไม่ไป ล้างไม่หาย เขาว่ามันสุขจริงๆ ยาก แต่ถ้าปฏิบัติเรียนรู้อย่างจริงแล้วมันหมดได้ อาตมานี่เป็นคนอีสาน เคยกินพริก อร่อย แต่พอล้างความอร่อยแล้ว พอไปแตะพริก อาการรสอร่อยก็ไม่มี ซึ่งอาการรสอร่อยนี่รู้ยาก และ การติดรสอร่อยก็รู้ยาก เมื่อเราไม่มีอาการรสอร่อยในจิตเลย แตะแตงกว่ารสนี้ก็ได้รสนี้ มะยงชิดมันเปรี้ยว เราชอบอย่างไรก็อร่อยเช่นนั้น แต่ปฏิบัติแล้วรสอร่อยไม่เกิดแล้ว แตะก็มีรสเปรี้ยวหวานเหมือนเขา แต่ว่ารสอร่อยที่เป็นสุขเท็จหายไป สุขเท็จนี่แหละมนุษย์ดาวดึงหลงติด คิดว่าเป็นของวิเศษอร่อย ซึ่งเขาสร้างได้ คนที่หัดกินบางสิ่งอร่อย เช่นคนยุโรปไม่ได้ติดพริก แต่มาเมืองไทยถูกครอบงำว่าอร่อย เขาก็ติดรสพริก เขานึกว่าเขาได้อร่อยทิพย์ สุขทิพย์ ที่จริงมันสุขเท็จ ความจริงน่ะมันสุขเท็จ แต่ปุถุชนเห็นเป็นสุขทิพย์ มนุษย์โลกุตระไม่มีสุขทิพย์ แล้วก็ไม่มีอีก ชาวโลกุตระบุคคล หมดกิเลสหมดรสอร่อยโลกีย์แล้วก็ไม่ต้องมีอีกท่านไม่รู้ว่าจะมีไปทำไม แล้วท่านก็ไม่ริสยาคนมี มนุษย์อุตรกุรุทวีป ไม่ได้ริสยาดาวดึงส์ ดาวดึงส์จะมีวรรณะทิพย์ อายุทิพย์ สุขทิพย์ คนที่มีอายุทิพย์คือคนปุถุชน เขาอยากมีอายุยืนนาน ใช่ไหม? มีเวลาต่อเนื่องไม่ตายไปไม่สิ้นอายุต่อไปได้ ทีนี้เขาอยากได้เป็นทิพย์คืออยากอยู่ยาวนาน และสอง คืออยากได้อย่างเป็นสุข จะเป็นกิเลสสมใจอร่อยอย่างไรก็ถือว่าเป็นทิพย์ นี่คือเทวดาดาวดึงส์ จิตมันเป็นไม่เกี่ยวกับร่างกาย ร่างกายมันไม่สุขไม่ทุกข์หรอก มันไม่ปกติก็เจ็บปวดรักษาตามอาการไป จัดการให้สมดุล ไม่ให้เจ็บปวดทุกข์ร้อน ให้ทำงานได้สมบูรณ์ ส่วนจิตวิญญาณไปหลงรสอร่อย รสสุข รสทุกข์ อายุทิพย์ มนุษย์ดาวดึงส์ต้องการและได้ ส่วนวรรณะทิพย์คือความสวยงามองค์ประกอบวัตถุทั้งหลาย ที่ได้สมใจ ตามใจข้างนอกไปถึงข้างใน สดใน สะอาดสวยงามผ่องแผ้ว แล้วแต่จะยึดสมมุติ ได้ดังใจเรียกว่าวรรณะทิพย์ สรุปแล้วดาวดึงส์จะมี  อายุทิพย์ 1

วรรณะทิพย์ 1 สุขทิพย์ 1

ส่วนมนุษย์อุตระหรือโลกุตระจะประเสริฐเพราะมีอายุที่แน่นอน หรือนิยตายุโก ส่วนดาวดึงมีอายุทิพย์ (ทิเพนอายุนา) เขามีอายุเหมือนกันแต่คนละนัยสำคัญ อายุที่แน่นอน นิยตายุโก คือ ท่านผู้นี้จะมีชีวิตอยู่ต่อเนื่องไปกับเวลา ผู้ที่อายุแน่นอนคืออายุที่ไม่ทุกข์ไม่สุขไม่ขึ้นไม่ลง แม้แต่จะให้ยาวต่อไปหรือจะให้ตายลงตามความสามารถของฐานะบุคคลเป็นพระอาริยะขั้นสูงที่จะกำหนดอายุตนเองได้ เป็นได้ถึงขนาดนั้น พระอรหันต์บางองค์กำหนดว่าเดินไปอีก 7 ก้าวจะตายก็ทำได้ พระพุทธเจ้าบอกกับมารว่าอีก 3 เดือนจะตาย ท่านตรัสในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน3(มาฆะ) พอไปถึงเดือน 6 วิสาขะ ท่านก็ตาย ตามที่กำหนด ผู้ที่มีอายุแน่นอน นิยตายุโก เป็นได้ถึงปานนี้ ส่วนพระอรหันต์ที่กำหนดอายุตนเองไม่ได้มีเยอะ เพราะผู้จะกำหนดอายุตนเองได้มันยาก ส่วนอายุทิพย์ ของปุถุชน ของเทวดาปุถุชน คืออายุทิพย์ที่ต้องการได้ ต้องการให้ยาวยืน ไม่มีทุกข์

วรรณะทิพย์ คือ เป็นสุขเพราะสะอาด สงบ หรือตามสเปคที่เขากำหนด ได้สมใจอยากนั้นแหละ คือความหลง อวิชชาที่ทำทุกข์แก่ตนแต่หลงเป็นสุข แล้วไปหลงสุขทิพย์ ตอนเป็นๆนี่แหละต้องศึกษาเทวดาดาวดึงส์ แต่ทุกวันนี้สอนให้แต่สร้างภพ วาดวิมานว่าเป็นสุขแบบดาวดึงส์  ถ้าเป็นๆยังไม่หมดตายไปก็ไม่มีหมด มันเป็นตามที่เรามีตอนเป็นๆนี่แหละ ต้องทำการจัดการตอนมีอาการ 32 ครบนี่แหละ ลดได้เท่าไหร่ก็เจริญเป็นมนุษย์อุตรกุรุทวีปเท่านั้น มีอายุแน่นอน ไม่มีความหวงแหนไม่ยึดติด มีชีวิตกับโลกด้วยอาศัยคุณงามความดี อย่างพวกเราชาวอโศก มาอยู่กันอย่างสาธารณโภคี อย่างพึ่งความงามความดี เริ่มต้นตั้งแต่เราไม่ยึดติดทรัพย์ศฤงคารของเราแต่ใจมันจะยึดอยู่สะสมของตน ปิดบัง หรือมีเพื่อนท้วง ว่าทำไมไม่ให้เข้ากองกลาง แต่เราไม่บีบบังคับกัน แล้วเราก็อยู่อย่าเป็นมนุษย์ที่เป็นอุตรกุรุทวีปจริง ลดละได้จริง เราลดติดยึด สัมผัส กามคุณก็ลดได้ ในชาวอโศกมีอนาคามีบุคคลเยอะ เพราะในโลกกามาวจร นี่ไม่แย่งชิงแล้ว ทนได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก (น กามลาภี หรือ อกิจฉลาภี) อาจจะทนนิดหน่อยใน รูปราคะ อรูปราคะ และไม่ต้องทนด้วย  ไม่ต้องไปแย่งชิงกับใครเลย อนาคามีบุคคลในชุมชนอโศกมีเยอะ อยู่ได้โดยไม่มีกาม 

จิตที่อาตมากล่าวนี่ทำได้จริง ยืนยันได้ ในชาวอโศก จะมีอายุแน่นอน(นิยตายุกา) ไม่มีความหวงแหน (อปริคคหา) และไม่มี (อมโม หรือ อมมา) ผู้ปฏิบัติได้ก็อยู่กับโลกเขา สัมผัสโลกธรรมอยู่เหมือนเขา แต่เราไม่อยากได้ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่ใช่สุขเท็จ ไม่รังเกียจไม่ลำบากไม่ต้องอดต้องทน ลองสมมุติเอาเจ็ดแสนล้านมาอาตมาก็ไม่เดือดร้อน อาตมาใช้เป็นนะ ก็ไม่ได้เดือดร้อน เอาก็ได้ ไม่มีก็ได้ ไม่มีเจ็ดแสนล้านก็ไม่เป็นไร ก็อยู่กับกำลังวังชา เพื่อนฝูงไป สบม.ทมด.หห.จจ. มชยลล. สบาย ผู้จะเป็นมนุษย์อุตรกุรุทวีป หมดความเป็นเทวดาดาวดึงส์ มันมีแต่จิตไม่ได้อาศัยร่างกาย บ้าๆบอๆ นะปั้นวิมานได้สารพัดนานา อย่างที่เขาสอนให้ปั้นวิมานใส เบาวิเศษ ปั้นหลอกเลย แล้วคุณก็ไปติดที่เขาสมมุติ สเปคที่เขาหลอกไว้เป็นวิมาน แล้วใช้คำว่าบุญ บุญมาก สุขไม่สิ้นสุด คนหลงอนันตังไม่สิ้นสุด คนที่ไปหลงเขาคือคนโง่ไม่มีที่สิ้นสุด โง่อนันตัง โง่ infinity โง่ forever คนพวกนี้ ดีนะพวกคุณไม่ไปหลงกับเขา คนหลงแล้วดึงออกยาก เพราะเขานึกว่าเป็นจริงดึงออกยากที่สุด น่าสงสารไปหลงสิ่งไม่มีจริง หลงติดจินตนาการที่เขาหลอกแล้วเชื่อว่าจริง

เทวดาดาวดึงส์ มี 6 ชั้น

1.จาตุมหาราชิกา

2.ดาวดึงส์

3.ยามา

4.ดุสิต

5.นิมมานรดี

6.ปรนิมมิตวสวตี

จิตของเรานี่แหละเป็นเทวดาดาวดึงส์ แล้วติดเป็นเทวดานี้ตลอดกาลนาน เริ่มตั้งแต่จิตเป็นยักษ์ทุกคน จิตไม่ได้ศึกษาเป็นยักษ์ทุกคน แต่เป็นยักษ์ใหญ่ไม่ได้เพราะว่า มียักษ์ใหญ่กว่า อย่างเจียรวนนท์เขาแย่งเป็นที่ 1 ของประเทศได้ พวกคุณก็แย่งแต่แย่งสู้ไม่ได้ เป็นเทวดานะ แท้จริงคือสัตว์นรก เป็นจาตุมหาราชิกาคือยักษ์นะ มันจำนนที่แย่งไม่ได้ แต่ถ้าแย่งได้ก็เอา จะให้ได้มาสี่ทิศ คือจาตุ คือปุถุชน ทุกคนโง่เช่นนี้ แล้วจะแย่งให้ได้  อายุทิพย์ 1

วรรณะทิพย์ 1 สุขทิพย์ 1 ตลอดกาลนาน อาตมาตั้งใจอยู่ถึง 151 แต่ก็ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น ก็ไม่รู้ว่าสมรรถนะ พากเพียรจะจัดสรรองค์ประกอบไปได้ถึง 151 ปีไหม ก็แล้วแต่บารมี เหตุปัจจัย ถ้าบารมีถึง แต่เหตุปัจจัยไม่ได้ก็ได้ โทษตนเองโทษผู้อื่นได้ เช่นทำoverload มันก็ทอนไป แต่ถ้าจัดสมดุลได้ก็ถึง เป็นเรื่องพิเศษ มาศึกษาดีๆจะได้รู้ว่ามันยิ่งใหญ่อย่างนี้  วิชาการแพทย์ทางโลกไปไม่ถึงหรอก หมอดูแลแต่ร่าง แต่ใจอาตมาดูแลเอง ฟังแล้วพวกเราก็คงจะพอใจว่าถ้าเป็นมนุษย์อุตรกุรุปทวีปก็ดีกว่าปุถุชน และดาวดึงส์ใช่ไหม? ความเป็นนี่คือจิตนะไม่ใช่ร่างกาย ถ้าจิตเป็น กายก็เป็นตามด้วย เราเริ่มต้นต้องมาเรียนรู้โลกอบาย ที่จิตเราไปติดยึดอยากได้อย่างนั้นอย่างนี้ กำหนดต่ำสุดคือ อบาย ส่วนกามภูมิคือภูมิกลาง จาตุมหาราชิกา ถึงปรมินิต อยู่ในภูมิมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่หนีจากนี้ แล้ว แต่ว่ามีลำดับ ต่ำไปสูง เราล้างกิเลสกามได้เราก็อยู่กับกามนี่แหละ บางคนว่าฉันต้องมี 10 ล้านถึงจะพอ คนนี้มีภูมิสูง บางคนตั้งไว้ ร้อยล้าน แต่ส่วนใหญ่ไม่มีจบ อนันตัง อย่างนี้ตายเปล่า ไม่มีการกำหนดไม่มีสันตุฏฐี ไม่มีใจพอ ผู้ไม่มีใจพอไม่มีทางปฏิบัติธรรมได้ ผู้ทำใจพอได้มีสันตุฏฐี ท่านให้เริ่มต้นที่ปริตตัง แปลว่ามีขนาดจำกัด คือตอนนี้เราจะเอาเท่านี้ ไม่เอาแล้วหยาบอย่างนี้มันของปลอมเป็นสุขเท็จทุจริต อกุศลเกินไป เช่นเรายังโกงเขาอยู่นี่ไม่เอาแล้ว ได้มาอย่างทุจริตนี่มันบาป ไม่ดี เบียดเบียนคนอื่น ก็เลิกเสีย เลิกโกง จะโกงมากหรือน้อยก็แล้วแต่ เลิกรสอร่อยตัวนี้ เช่นปาท่องโก๋ ติดก็เลิก ติดกาแฟก็เลิกกาแฟ คืออบายของเรา เราจะตัดของปริตตังเรา แต่ถ้าเราสัมผัสได้กลิ่นกาแฟมันก็เกิดดิ้น เพราะคุณยังมี ก็ต้องพิจารณาให้รู้ว่ามันหลอกเรา เอ็งอย่ามาหลอกข้า ข้าไม่เอาก็เอาอย่างอื่นแทนได้ กาแฟอาจเข้าใจยาก แต่ปาท่องโก๋นี่มีแต่แป้ง กินแป้งต้มก็ได้ ไม่ต้องทอด เอาคาร์โบไฮเดรตอื่นได้ เราก็รู้ว่า เราไปติดรูป กลิ่นของมัน เราล้างได้ เกิดปัญญาว่าเอ็งไม่จริง มาหลอกเรา มาทำให้เราต้องไปกำหนดตามมันจริงของมัน เราเรียนรู้ถึงขั้นไม่เที่ยง บางทีก็สุข บางทีก็ทุกข์ แต่อารมณ์ไม่ดีปาท่องโก๋ก็ไม่อร่อยเอาแน่เอานอนไม่ได้ อารมณ์แท้ๆ เราเรียนรู้จนมีปัญญามีพลังงานเข้าใจ พลังงานทางปัญญาคือไฟฌาน เป็นไฟธาตุที่เหนือกว่าไฟ ราคะ โทสะ โมหะ ที่เป็นธาตุอวิชชา ธาตุโง่ คนตกเป็นทาส พอเรามาสร้างไฟฌาน เป็นไฟกองพิเศษมีฤทธิ์กำราบไฟหรืออุณหธาตุ แบบราคะโทสะโมหะ แต่ฤาษีไม่รู้จักกิเลส ไม่มีจิตวิเคราะห์ psychoanalysis มีแต่ดับจิตไป การนั่งสมาธิหลับตาไม่มีทางเกิดไฟฌาน มีแต่ฌานเก๊ มีแต่เย็นดับนิ่งไปไม่เกิดไฟฌาน ไม่ไปสลายไฟราคะโทสะโมหะได้เลย นี่คือการเรียนผิดนั่งหลับตา แต่การนั่งหลับตาสมาธิเป็นอุปการะได้ ใช้ตรวจสอบได้ ยุคนี้ต้องเอาพุทธศาสนาคืนมาจากผีสองอย่าง คือผีในป่าก็พาให้หลงตกป่าเขาถ้ำดับ สวนผีในเมืองก็พาหลงวิมาน มีที่ไหนพากู้เงินมาทำบุญมีดอกเบี้ยด้วยนะ เกิดจริงแล้วในประเทศไทย หลอกกันได้เอาวิมานมาหลอก ไม่มีเงินก็กู้เงินเพื่อให้ได้วิมานในชาติหน้า แต่ชาตินี้ทรมานจะตายเลย หนักเข้าก็ตายผูกคอตายเลย ฆ่าตัวตายไปหลายคนแล้ว คืออันตา อีกแบบหนึ่ง ปลายสุดโต่งสองแบบ คือโต่งไปทางอัตตา ดับดิ่งดำมืดไม่รับรู้อะไร เป็นลัทธิอื่นแทรกในลัทธิพุทธอาตมาต้องพยายามพากเพียรปรัปวาทะนี้ให้คืนมาให้ได้ ผู้ได้ร่ายกายครบ 32 มี สติมันโต คำว่าสติ นี่แปลว่า 100 สตะ แปลว่า 100 รับรู้แล้ววิจัยวิจาร สิ่งที่ไม่ควรเป็นกิเลสก็กำจัดออกไป ทำให้ตามกรอบเรากำหนด ปริตตัง แต่ที่กำหนดไม่ไหว อนันตัง อย่าไปทำ วรรคไว้ก่อน ทำไปทีละส่วนเรียกว่ากำหนดเขต ปริตตังในกามภูมิ แล้วก็จะได้ไปตามลำดับ เป็นปริตตาภา เป็นปริตตาสุภา เป็นอัปปมาณา อัปปมาณาสุภา เป็นจิตวิญญาณพระพรหม

พรหมโลกมีทั้งหมด 20 ชั้น แบ่งเป็น รูปพรหม 16 ชั้น และ อรูปพรหม 4 ชั้น

รูปพรหม 16 ชั้น

1. พรหมปาริสัชชาภูมิ   คำว่า ปาริสะแปลว่าบริวาร

2. พรหมปุโรหิตาภูมิ คำว่าปุโรหิต คือผู้รู้ผู้เป็นครูเป็นหัวหน้า

3. มหาพรหมาภูมิ คำว่ามหาพรหมก็คือผู้ยิ่งใหญ่ ใหญ่กว่านายใหญ่อีก

จากนั้นก็จะเป็นพรหมที่มีปัญญา เป็นแสงสว่างมากขึ้น ถ้าเป็นโลกุตระก็เป็นความเจริญ แต่ถ้าเป็นโลกียะก็เป็นพรหมแบบลิเกไปหมดเลย

พรหมคือจิตที่สะอาดเป็นขั้นๆ เราก็ทำได้ อย่าไปดูถูกตนเองว่าทำไม่ได้ ต้องเริ่มตั้งแต่ปริตตัง คือกำหนดของเขตตนเอง เป็นพรหมน้อยๆ เป็นปริตตาภาไปเป็นลำดับสูงขึ้น แล้วก็เป็น

4.ปริตตาภาภูมิ คำว่าปริแปลว่าน้อย

5.อัปปมาณาภาภูมิ คำว่าอัปปมาณาแปลว่ามาก ไม่มีที่สิ้นสุด นับประมาณไม่ได้ คล้ายกับอนันโต อนันตัง คือมากไม่มีที่สิ้นสุด แต่ว่ามีพยัญชนะว่า อนะ แปลว่าไม่ อัตตะคืออัตตา อันตะแปลว่าที่ปลาย แต่พอไม่มีข้างปลายเรียกว่าอันตา ไม่มีฝ่ายกามหรืออัตตา ส่วนอัปปมาณานี่ไม่มีที่สิ้นสุดเลยหายไปจ้อยเลย เหมือนกับมหาเอกภพ ที่เขาส่องกล้องขยายไปก็ยังไม่มีที่สิ้นสุด  จะเป็นพรหมอัปปมัญญาได้ก็พอแล้วขนาดนี้ไม่ต้องไปอีกแล้ว เช่นพระพุทธเจ้าท่านพัฒนาสูงสุด จะเอาอีกก็ได้ แต่ขนาดนี้ก็ไม่มีใครไล่ทันแล้ว อฐานะที่จะมีคนพัฒนาได้ไล่ตามทันท่านได้ แต่มีอีกได้  แต่ว่าเหลือเฟือแล้วไม่ต้องต่อแล้ว  อนันโต จำกัดขอบเขตได้ ทำให้จบสมบูรณ์ได้ มีอนันตัง และปริตตัง แต่ก็มากจนคนตามทันได้ยากแล้วก็พอ  อาตมานี่ ใครจะยอมให้อาตมาเป็น ปุโรหิตาไหม ให้อาตมาสอน แล้วตั้งใจเรียนให้ดี อาตมาถ่ายทอดมาจากมหาพรหมจากพระพุทธเจ้ามา ถ้าเชื่อก็มาให้อาตมาเป็นปุโรหิตา เป็นปาริสสัชชาพรหม ก็ทำตั้งแต่โสดาบันไป เป็นโสดาบัน

6. อาภัสราภูมิ  คำว่า อาภา แปลว่าแสง

7. ปริตตสุภาภูมิ

8. อัปปมาณสุภาภูมิ

9. สุภกิณหาภูมิ

(พวกที่ไม่รู้แบบพุทธก็ไปนั่งหลับตาทำการดับสัญญา เวทนา ไปหมดเลย เขาก็หลงว่าเขาได้นะ แต่เราไม่ไปหลงแบบเขา เข้าใจเขาด้วยไม่ดูถูก ได้แต่สงสารเขา)

ในโสดาบัน

1.    เอกพีชี  เกิดอริยชาติอีกเพียงส่วนเดียว แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้  (พระบาลีไม่มีคำว่าชาติ หรือเป็นการเกิดแบบเป็นตัวๆ เลย)

2.    โกลังโกละ (เกิดในสุคติภพอีก 2-6 ส่วนสังโยชน์ก็จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้)

3.    สัตตักขัตตุปรมะ (เวียนเกิดในสุคติภพหรืออริยชาติอีกเพียง 7 ส่วนสังโยชน์ ก็จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้) เอกพีชีนี่ไล่เรียงทำมา จนเหลือการเกิดจุดเดียวก็จบ ในชาตินี้ไม่ต้องเอาชาติหน้า ตอนนี้เจอผู้ที่พอสอนพอบอกได้ก็ทำเลย เดี๋ยวนี้เลย สกิทาคามีภาษารวมแปลว่าเกิดอีกชาติก็บรรลุ แต่สกิทาฯนี่ ไม่แน่นอนเป็นชาติองค์รวม แต่เอกพีชีนี่ เป็นความละเอียด เหลือแต่อวิชชาสวะสุดท้ายแล้ว เหลือสังโยชน์แต่ อวิชชาก็จะบรรลุแล้ว เลยอนาคามี เลยสกิทาคามีแล้ว

คนมีรูปนามขันธ์ 5 ครบมาศึกษาสัมมาทิฏฐิแล้วจะลดกิเลสได้จริง พระพุทธเจ้าสอนในจรณะ 15

1.สำรวมอินทรีย์ 2.โภชเนมัตตัญญุตา 3.ชาคริยานุโยคะ

อยู่ในชีวิตประจำวัน ทวาร 6 เรากระทบ เราก็กำจัดขอบเขตที่เราจะล้าง อย่างอื่นเราไม่ล้าง ศีล 5 เป็นต้น 1.เราไม่ฆ่าสัตว์ 2.เราไม่ลักทรัพย์ 3.เรามีแค่ผัวเดียวเมียเดียว เรื่องกามคุณเอาแค่นี้ อย่างอื่นก็เว้นไว้ เอาก่อนได้ ต้องกำหนดเอง 4.ภาษาพูดไม่พูดปดนะ 5.เรายังเสพติดอันไหน ก็ไม่เอา ในอบายมุข ที่หยาบๆ แล้วก็มาสมาทาน ปฏิบัติ ในศีล 5 เรื่องกามคุณกำหนดตนเองเป็นปริตตัง ในระดับโสดาบัน ก็อ่านจิตตนว่ายังเสพติดอะไร ก็กำจัดกิเลสนั้นให้ได้ ตามขนาดแรก ต่อมาก็เพิ่มไปกรอบมากขึ้นก็เป็น พรหมสูงขึ้นจะรู้ความสะอาดสว่างจากจิตอกุศลตาย แต่จิตที่ดีกลับแคล่วคล่องเร็วไว ประสิทธิภาพสูง เป็นธรรมะสองอย่าง

ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา

(เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )

คือ ธรรมสองอย่างที่รวมลงเป็นเวทนา จะเป็นเทวดา นรก ก็อยู่ที่เวทนา นี่แหละ หากไม่สุขไม่ทุกข์ก็เป็นเฉยๆ แต่ถ้าทำให้ไม่สุขไม่ทุกข์อย่างพุทธก็เป็นเนกขัมสิตเวทนาเป็นฐานนิพพาน ทำได้เป็นผู้เจริญในระดับพรหมที่ 9 เป็น

10. เวหัปผลาภูมิ พรหมที่มีผลสมบูรณ์แบบ ส่วนคนปฏิบัติผิดก็จะได้ไม่่มีแบบมืดดำ สุภกิณหา ไปจบที่อสัญญีพรหม  คำว่าสุภกิณหา เขากำหนดความดำดับมืดเป็นสิ่งงาม ไปสิ้นสุดที่อสัญญีสัตว์

11. อสัญญีสัตตาภูมิ

12. อวิหาสุทธาวาสพรหมภูมิ

13. อตัปปาสุทธาวาสพรหมภูมิ

14. สุทัสสาสุทธาวาสพรหมภูมิ

15. สุทัสสีสุทธาวาสพรหมภูมิ

16. อกนิฏฐสุทธาวาสพรหมภูมิ

พรหม 12-15 นี้คือ อนาคามีภูมิ 5 อย่าง พระพุทธเจ้าไม่ตั้งจิตไปเกิดในสุทธาวาส 5 อย่างนี้ เพราะผู้ที่ตายแล้วไปอยู่ในภพภูมิสุทธาวาสนี้ช้านานกว่าจะพ้นได้ แต่บรรลุได้ เพราะเป็นอนาคามีแล้ว แต่ไม่มีอาการ 32 ครบที่จะมาปฏิบัติให้บรรลุได้ ซึ่งจะได้เร็วกว่ามาก แต่ถ้าไม่มีอาการ 32 แต่เป็นอนาคามี (ตายไปแล้ว) ก็จะใช้เวลานานมากกว่าจะบรรลุอรหันต์ได้

อรูปพรหม 4 ชั้น

       1. อากาสานัญจายตนภูมิ

       2. วิญญาณัญจายตนภูมิ

       3. อากิญจัญญายตนภูมิ

       4. เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ

พรหม 16 ชั้น ถ้าปฏิบัติรูปพรหมอีก 9 จะได้ปฏิบัติอรูปพรหมอีก 4 แต่ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิอย่าฝันเลยว่าจะได้พบอรูปพรหม แม้รูปพรหมก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ในสายฤาษีนั้นไม่ได้เลย เวหัปผลาเทียบได้กับธรรมกาย สร้างอาภัสราหลอก เป็นความสว่างจ้าไพบูลย์ สว่างจ้าไปไกล ไม่ใช่เวหัปผลาพรหมแท้ แต่เป็นแดนเวหาที่ไม่มีที่ไหนไปอีกแล้วถ้ามาทางนรกเรียกว่าตกนรกไม่รู้จะตกที่ไหนแล้ว แต่นี่ไม่รู้จะหาเวหาที่ไหนได้อีก มันไม่มีหรอก ไปปั้นหลอกกันตาพึด

ส่วนสายอสัญญีนั่งหลับตาสะกดจิต เป็นสัญญี คือสองสายที่ปฏิบัติผิด สายหลับตาก็อสัญญี แต่สายลืมตานี่หลอก แต่สายลืมตานี่หลอกขูดรีดคนมากคนก็เดือดร้อน แต่สายหลับตานี่สร้างอัตตาคนเดียว ทิ้งโลกธรรม ไปนั่งอยู่คนเดียวเดือดร้อนคนเดียว แต่สายลืมตานี่เห็นง่ายเดือดร้อนคนมากจึงน่ารังเกียจกว่าสายหลับตา ซึ่งงมงายอยู่คนเดียวไม่เป็นไร แต่มันซับซ้อนอยู่นะซับซ้อนที่ว่าไปดับได้แข็งแน่นเต็มที่พอสมควร แล้วออกมาอยู่กับโลกมาเล่าว่าตนได้อะไรมาก็คนจะให้ลาภสักการะมากนะ มีฤทธิ์ด้วย ได้มาก็ทำการกุศลก็ได้รับการนิยมชมชอบ ร่ำรวย เอาไปสร้างโรงพยาบาล สร้างโรงเรียน เอาเข้าคลังด้วย แต่ไม่มีจิตวิเคราะห์ ไม่ได้เลย ได้แต่ดับนิ่งเฉย ได้พลังจิตมีฤทธิ์ประกอบบ้าง ใครมีมากจะรวยมากคนนับถือมาก ศาสนาพุทธต้องการสิ่งจริง อาตมาก็พยายามเปิดเผย จำแนก บัญญัติ แต่งตั้ง ปรับปวาทะที่เพี้ยนไปให้คืนกลับมาดังเดิม โชคดีที่ได้มีพระไตรปิฎกอยู่ก็ได้ใช้เป็นหลักฐานอ้างอิง ผู้ที่มากับคณะหมอเขียวก็ได้เป็นผู้พากเพียรเสาะแสวงหาความรู้ความจริงเอาเป็นประโยชน์โดยอาศัยสุขภาพมาเป็นหลักเป็นแกน แต่ก็ใช้อย่างอื่นก็ได้ที่เป็นสัมมาอาชีพ แล้วปฏิบัติธรรมไปด้วย เรียนรู้ลดกิเลส ลดเทวดาดาวดึงส์จะเป็นมนุษย์อุตรกุรุทวีป โดยอาศัยความเป็นมนุษย์ชมพูทวีป  ใช้อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ศาสนาพุทธมีความราบเรียบเหมือนฝั่งทะเล มีการปฏิบัติตามลำดับขั้น สุดยอดในมหาจักรวาล


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 18:25:09 )

580322

รายละเอียด

580322_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก เรื่อง ปฏิกโกสนาเร่งปฏิกิริยาแตกตัว

.เพาะพุทธว่า...วันนี้มีผู้เข้าร่วมฟังเป็น ผู้เข้าค่ายอุโบสถศีล มาฆฤกษ์เบิกบานใจ มีว่าที่มารดาท้อง 7 เดือนมาเข้าค่ายนี้ด้วย ก็ขออนุโมทนาสาธุ ช่วงที่ผ่านมาพ่อครูมีโศลกธรรม เรื่องความบริสุทธิ์ และมีโศลกสำทับ ที่เป็นเหตุให้นำไปสู่ความบริสุทธิ์อีกโศลก

 

ประเด็นเรื่องความสงบที่พ่อครูได้เน้น นั้น แตกต่างจากสงบทั่วไป ซึ่งเป็นความสงบจากการดับที่ต้นเหตุของความไม่สงบคือตัณหา อุปาทาน พ่อครูยังเน้นถึงเวทนา , กาย ที่มีความหมายต่างไปจากทั่วๆไป เข้าใจกัน และเรื่อง นาม 5 อย่างที่เราต้องเรียนรู้ (เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ)

 

นักบวช จริงๆคือผู้ที่แยก เนกขัมสิตเวทนา และเคหสิตเวทนา และทำให้จิตดับเคหสิตเวทนา มีแต่เนกขัมสิตเวทนา และฆาราวาสจะมีความเป็นอาริยธรรม มากกว่านักบวชด้วย วันนี้พ่อครูจะมานำเสนอประเด็นความล้มเหลวของพุทธในเมืองไทย

 

พค.ว่า...ตอนนี้ประเทศไทยเกิด Big bang คือก็หมายถึงว่า มวลสารของเอกภพ ก้อนใหญ่ เกิดแตกตัว ระเบิดออกมา เป็น Nebula ใหญ่ เป็น Galaxy ส่วนนั้นส่วนนี้มา จริงๆแล้วการแตกคือการจะจัดสรรระเบียบที่จะให้ระบบมีการโคจร อยู่ในเอกภพได้ ซึ่งก็มีการแตกตัวมามากมาย มีทั้งแตกออกไปถูกทำร้ายจนบรรลัยจักรก็มี แต่ที่แตกตัวมาเกิดเป็นส่ิงใหม่ จากส่ิงเดิมที่หมักหมม ที่จับตัวแน่น มันสะสมสิ่งที่ร้อนเร่ารุนแรง แล้วระเบิดออก ก็จะเกิดแยกกลุ่มต่างๆเป็นกลุ่มย่อย แล้วกลุ่มย่อยจะจัดสรรได้ง่าย กลุ่มเหล่านั้นจะมาร่วมกันเป็นวงจร เป็นระบบต่อไป นี่คือธรรมดาธรรมชาติ

 

ในเมืองไทยไม่ว่าจะด้านการเมืองหรือองค์รวมรูปธรรม ทุกอย่างวัตถุธรรม รูปธรรม ที่เป็นรูป ไม่ใช่นาม มันก็จะมีการจัดสรร ตามพลังงานความเป็นจริงในธรรมชาติ จะจัดสรรให้อยู่ด้วยกันได้ แล้วหมุนเวียนอยู่ในมหาจักรวาล ทั้งหมุนด้วยตนเองและรวมตัวกันหมุน เป็นจักรวาลน้อย_ใหญ่ สานกันทั่วเอกภพนี้ จะจัดสรรให้สมดุลเสมอๆ มันพยายามปรับตัวมันเองตามธรรมชาติ ส่วนชีวะที่เกิดก็จะพยายามจัดสรรกัน แล้วมีตัวกวนคือกิเลสที่เป็นชีวะที่มากวน วุ่นวายทำร้ายมาก

 

จิตวิญญาณที่เป็นตัวเหมือนธรรมชาติต้องรู้ธรรมชาติ แล้วจัดการตัวกวนที่มาวุ่นวายคือกิเลส เช่นวงจรประเทศไทยมีการเชื่อมโยงกัน เกิดบทบาทพฤติกรรมสังคม ที่เหลวเละมาก จนมันจัดระบบไม่ได้ ไม่เป็นระเบียบ มีแต่ chaos ทำร้ายทำลายกัน วุ่นหมด จนสุดทนสุดที่ เรียกว่าสุกเต็มที่ มีมวลแน่นเต็มที่ก็เลยระเบิด ทั้งกระแสสังคมฆราวาส และทางศาสนา สองด้านเลย จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์ที่ปรากฏทั้งกระแสสังคม การบริหารบ้านเมือง ผู้ทำหน้าที่ ขรก. ทั้งการเมืองและประจำ ทำรับใช้สังคมอยู่ มีหน้าที่จัดการ ที่จริงการจัดการฟังเหมือนเป็นนาย แต่ที่จริงการกระทำคือทำอย่างผู้รับใช้ รับใช้ส่ิงที่เราจะช่วยจัดการ เป็นผู้รับผิดชอบ สมัครตัวมา ประกาศตัวมา เป็นผู้รับใช้ เมื่อได้เข้ามาก็มารับใช้ เป็นรายได้ ให้ทำงานนี้ สุดท้ายจะว่าตนเป็นนายประชาชนไม่ได้ เพราะผู้รับเงินปชช.คือผู้รับใช้ปชช.

 

ความเสื่อมของศาสนามันมาถึงเป็นพระแล้วก็ยังไปรับเงินเดือนจากปชช. มีตำแหน่งหน้าที่ให้รับผิดชอบ แล้วไม่รับผิดชอบหรือทำทุจริต ก็เลยวุ่นวาย ซึ่งเป็นพระนี่ พระพุทธเจ้าว่าให้มาญาติปริวัตตังปหายะ โภคขันธาปหายยะ ท่านให้ตัดจากญาติแล้วมามีญาติธรรม

 

ผู้บริหารประเทศคือผู้รับใช้สังคม เป็นผู้มีบุญคุณต่อสังคมในมุมกลับ เราต้องให้เกียรติแก่ผู้รับใช้เรา ต้องเคารพนับถือ เป็นนัยที่ผู้รับใช้นี่เราต้องเคารพ แต่พฤติสัจจะนั้นผิดไป กลายเป็นผู้ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ แต่รับใช้ไม่คุ้มกับความควรเป็นก็ผิดสัจจะ ผิดธรรมดาก็ไม่เท่าไหร่ แต่ผิดทำร้ายกบถ ทั้งที่รู้ยังตั้งใจทำร้าย เอาเปรียบ จริงๆแล้วไม่ควรมีใครเอาเปรียบสังคม ควรให้ส่วนรวมได้เปรียบ ส่วนตัวเป็นผู้เสียเปรียบ เสียสละให้ส่วนรวม สัจจะอยู่ตรงนี้  แม้เผด็จการคอมมิวนิสต์ก็คือผู้ที่เป็นคณะเข้ามาบริหารจัดการทรัพยากรให้แก่คนในชาติอย่างยุติธรรม

 

เหตุการณ์คราวนี้แจ้งชัด มีผู้เสียหายออกมายืนยันชัดเจน มีหลักฐานเอกสารต่างๆ ถ้าเป็นผู้พิพากษาก็หลับตาพิพากษาได้ เพราะหลักฐานมันครบทุกอย่างเลย หลักกฎหมายก็มีทำตามเลยรับรองว่า ได้ผิดกันไม่รู้จะผิดอย่างไร ผิดแล้วก็ดันทุรัง ดื้อด้าน ดิ้นด๊อกแด๊ก ทั้งที่มันน่าจะยอมจำนน

 

ตอนนี้อาตมาในฐานะเป็นพลเมืองหน่วยหนึ่งของสังคม อาตมาก็มีความบริสุทธิ์ใจ หวังดีต่อปชช.ก็จะพูดความเห็นของอาตมา ผิดหรือถูกก็ขอรับผิดชอบที่จะต้องพูดคัดค้าน ปฏิกโกสนา จะคัดค้านอย่างจัง คัดค้านอย่างไม่ไว้หน้า คัดค้านอย่างเต็มแรงเลย แต่ไม่ได้โกรธเคือง ไม่เจตนาเอาเรื่อง แต่ว่าตำหนิเท่านั้น อย่างแรงๆ ตามภูมิตน ที่มั่นใจว่าถูกต้อง ถ้าผิดก็บาปเวรเป็นของอาตมา ไม่ต้องมีใครพิพากษา

 

ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร

แต่ละคนมีหน้าที่จัดการกิเลส  พวกอเวไนยสัตว์เขาไม่สามารถรู้กิเลสได้ และไม่สามารถกำจัดกิเลสได้ จึงเรียกว่าอเวไนยสัตว์  เสียเวลาอย่างไรเขาก็เรียนรู้ไม่ได้ คนที่จะเรียนรู้แล้วลดกิเลสได้คืออาริยะคือเจริญ การเจริญตัดกรอบที่กิเลสภาระ ในภาระของมนุษย์ที่สำคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์คือการลดกิเลส ที่ยึดไว้เหนียวแน่นมากในอัตภาพ

 

ยุคนี้โลกียะจัดจ้านมาก เกิดมาก็ถูกครอบงำทันที ต่อให้มีโมเลกุลของอำนาจความถูกต้อง แต่มีแค่ 1 อณู แล้วโยนเข้าไปในสนามแม่เหล็กโลกีย์ที่หนาแน่น คุณจะรักษาความดีของตนไม่ง่าย ต้องมีพลังมาก คนที่จะชำระจัดการกิเลสตนเองคืออภิสังขาร

 

คนที่มีเชื้อเข้ากระแสโลกุตระคือ โสดาปัตติมรรค เจริญไปสู่โลกใหม่ ปโรโลโก ที่ไม่ใช่โลกโลกีย์ที่ไม่ได้เจริญที่จิต ถ้าจับจิตที่เป็นตัวการโลกีย์อยู่ เป็นโสดาบัน เร่ิมต้นทำเป็นส่วนๆไป เป็นปริตตัง มีขนาดจำกัดเหมาะแก่ตนเอง อย่าไปเอาอนันตัง ที่ไม่มีขนาดจำกัดไม่ได้ อย่าเพิ่งไปบ้า ต้องกำหนดให้เหมาะกับตนเอง เราทำแค่นี้ เช่นศีล 5 เอาแค่นี้ก่อน เก่งแล้วค่อยเพิ่มศีล

 

ศาสนาที่ไม่ใช่พุทธมีกุศลความดีงาม แต่ไม่มีบุญ คำว่าปุญญะหรือบุญนี่เป็นภาษาของศาสนาพุทธ แต่คนใช้ผิดเข้าใจว่าบุญคือกุศล น่าได้น่ามีน่าเป็น แท้จริงบุญคือมีด คืออาวุธไว้ตัดกิเลสอย่างเดียว คือสิ่งประเสริฐที่สุดที่มนุษย์ควรทำ แต่ไม่ใช่ของได้ ตัดเสร็จก็จบ เลิกบุญ บุญก็หายไป ไม่ใช่ส่ิงที่จะได้เลยนะ

 

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่ง ศิวิไลเซชั่น ของคนเจริญที่เรียกว่าอาริยะ ถ้าไม่เขาเขตโลกุตระไม่ใช่พุทธ จะบอกว่าพุทธก็สอนโลกียะ ก็สอนแบบอนุโลม ไม่ใช่ของหลักของศาสนาพุทธ ผู้มาบวชมาหานิพพานเข้ากระแสโลกุตระ แต่สมัยนี้เขาบวชกันไม่ได้มาหานิพพานแล้วแต่เดิมต้องมาบวชไปนิพพาน ผู้มาบวชแล้ว อย่ามาพูดนะว่าเราจะไปสอนโลกีย์ เพราะหน้าที่สอนโลกีย์เขาสอนกันทั้งโลก ศาสดาทั่วโลกก็สอนกันแต่ไม่รู้จุดเร่ิมโลกุตระที่รู้กายในกาย จิตในจิต ธรรมในธรรม เป็นโลกุตระ 37

 

เมื่อเข้าใจกายไม่ได้ บุญก็เข้าใจไม่ได้ก็ปฏิบัติบรรลุไม่ได้ ขอบอกว่าถ้ามาบวชในศาสนาพุทธแล้วไม่แน่ใจว่าจะไปนิพพานก็สึกไปเถอะ มันบาป วันนี้ขอใช้คำว่า มหาปฏิกโกสนาเลย ขอคัดค้านอย่างมหา อภิมหาปฏิกโกสนาเลย เพราะว่ามันต้องผ่าตัดอย่างแรง มันด้านสุดด้าน แข็งสุดแข็งแล้ว เพราะว่าผู้มาบวชในศาสนานี้ แต่ทำมาหากิน เอาความรู้ไปหาโลกธรรม เสพสุข จบดร.มีเมียหลายคน จบดร.ทางมหาวิทยาลัยศาสนานะ ตนเองมีความรู้แค่ไม่ถึงครึ่งหางอึ่ง แล้วทำมาพูดเถียงเหมือนตนรู้ศาสนาพุทธ มันน่าสังเวชใจ แม้บวชเป็นดร.ก็สมณสารูปน่าสังเวชใจ

 

ศาสนาพุทธทุกวันนี้แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธเกือบหมดสิ้นแล้ว ที่บอกว่าเกือบนี้เกรงใจมากแล้ว ถ้าจะพูดไปก็หมดแล้ว เหลือที่ไหนที่อาตมากับหมู่กลุ่มอาตมา ที่ขอแยกเป็นนานาสังวาสกับหมู่ใหญ่แต่ปี 2518 อาตมาอยู่ในฐานะสมมุติสัจจะ ถ้าอยู่ในหมู่ก็ต้องทำตามเขา จึงต้องใช้นานาสังวาส แต่ไม่ใช่อสังวาสกันนะ อาตมาเป็นพุทธไม่ปาราชิก ไม่มีสังฆาทิเสส หรือถุลลัจจัยก็ไม่มี มีแต่ทุกฏ ซึ่งเป็นที่ยกไว้ อาตมาอยู่ในฐานะที่ยกไว้ได้ มีเจตนาและมุ่งมั่นจริง เมื่อเห็นว่าไม่ได้อาตมาก็ลาออกมาแต่ปี 2518 บัดนี้ได้ถึง 40 ปีแล้ว เมื่อลาออกมามหาเถรสมาคมก็รับรู้แล้วมีหลักฐานอ้างอิงตลอด ที่ผู้อำนวยการรถไฟ ปรึกษาไปที่มหาเถรสมาคมว่าอโศกอยู่ในการปกครองของท่านไหม? ท่านก็ตอบมาว่าไม่ใช่แล้ว แต่สุดท้ายก็ดึงอาตมาไปอีก มาตีอาตมา แต่ที่สุดอาตมาก็ไม่น่วม ตีอาตมาไม่ได้ เพราะเป็น invisible man

 

เมื่อเห็นต่างถึงที่สุดก็ต้องแยก นานาสังวาส แต่ว่าอาตมาทำได้แค่ปฏิกโกสนา แต่ไปฟ้องร้อง อธิกรณ์ไม่ได้ ไม่เหมือนท่านพุทธอิสระท่านทำได้ อาตมาได้แต่ใช้หอกปาก ไม่ได้ทำผิดที่พระพุทธเจ้าสอนนะ

 

มาถึงวันนี้ชัดเจนเลยว่ามันผิดมา ยิ่งเดี๋ยวนี้ย่ิงผิดหนัก อุ้มปาราชิก อีก แล้วตอนนี้ทำทีลาออกจากตำแหน่งแล้วนะ ยังเหลือตำแหน่งอยู่อีก ก็ยังรับนิตภัต แม้แต่ตำแหน่งนั้นก็ผิดกฎหมาย ม.157นะ ถ้าทำผิดก็ปาราชิกหรือว่าเข้าคุกได้นะ อาตมาไม่ได้ตู่ใคร 

 

อาตมาจึงขอออกมาวิพากษ์ ว่าศาสนาพุทธนั้น พระพุทธเจ้าสร้างศาสนาในพระไตรฯล.9 ที่มีธรรมนูญศาสนาพุทธ ถ้าอ่านให้ดีตั้งแต่พรหมชาลสูตร ท่านอธิบายความรู้ความเห็นความเข้าใจของคนไว้ในทิฏฐิ 62 นี้ ไม่มีมากกว่านี้ แล้วมาเป็นสามัญผลสูตร ที่แต่จะคนจะจัดสรรอยู่กับสังคม แล้วต่อมาอีก 13 สูตร มีธรรมนูญเดียวคือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เป็นธรรมนูญของพุทธ เป็นหลักที่จะเอามาใช้ อย่าไปเลิกธรรมนูญของพุทธนี้นะ อินเดียก็มีรัฐธรรมนูญฉบับเดียวที่เอ็มเบ็ดการ์เขียน ใช้มาตลอด แต่เมืองไทยฉีกมาไม่รู้กี่ฉบับแล้ว ที่จริงเอาธรรมนูญของพุทธนี่แหละมาใช้ได้ ตั้งแต่ศีล 5 นี่เป็นธรรมนูญหลักแรกเลย ไม่ต้องเรียนดร.อะไรหรอก

 

ศาสนาพุทธมีธรรมนูญเช่นนี้ เช่นในมหาศีล ถ้าจะมาเป็นพุทธต้องไม่ประพฤติดังนี้ ต้องเว้นขาดจากสิ่งเหล่านี้ ศีลคือให้เลิกให้เว้นขาดให้เวรมณี

 

มหาศีล                      

ติรัจฉานวิชา       

[19] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า     

1. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่ สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วย ติรัจฉานวิชา  เห็นปานนี้ คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต  ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ ทำนายหนูกัดผ้า ทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธีซัดรำ บูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่า บูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้าน ดูลักษณะที่นา เป็นหมอ ปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษ เป็น หมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทางเสียงกา เป็น หมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์.

 

คำว่าเดรัจฉานวิชาคือวิชาที่ไม่พาลดกิเลส แม้จะเป็นวิชาระดับไหน โพสต์ดร.ก็ตาม ถ้าไม่ใช่วิชาพาไปนิพพานก็เป็นเดรัจฉานวิชาทั้งสิ้น อาตมาบวชใหม่ๆไปเทศน์ที่คณะแพทยศาสตร์ ไปเทศน์เรื่องวิชาแพทย์เป็นเดรัจฉานวิชา ไม่ได้สอนวิชชาพุทธที่สัมมาทิฏฐิที่ต้องรู้เหตุปัจจัยที่เป็นสักกายะ เป็นสมุทัย เป็นจิตเจตสิกที่ต้องอ่านเรียนรู้ให้ชัดพ้นสังโยชน์วิจิกิจฉา ไม่ได้สอนแบบนี้ก็เป็นเดรัจฉานวิชาทั้งสิ้น เอาไว้ทำมาหากินเลี้ยงชีพ การไปเรียนป.โท ป.เอกต่างประเทศก็ยังส่งจดหมายจีบผู้หญิงที่จริงสังฆาทิเสสแล้ว แล้วก็ทำมุบมิบเรียนจบแล้วมาเป็นราชบัณฑิตอีก นี่คือปฏิกโกสนา

 

 

พระในเมืองไทยที่เขาว่าขลังคือมีฤทธิ์ทายใจได้ เข้ามานี่ท่านรู้หมดว่าคิดอะไร มีวิชาตัวเบา หายตัวได้ เหาะได้ เป็นอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทสนาปาฏิหาริย์ไป ทั้งที่พระพุทธเจ้าท่านรังเกียจบริภาษไว้มากเลย มันเป็นเดรัจฉานวิชาเกือบหมดไปแล้วทุกวัด แม้เป็นพระผู้ใหญ่ก็สอนเดรัจฉานวิชา ไม่ได้สอนที่จะพาไปนิพพานเลย อะไรขวางทางนิพพานคือว่าเป็นเดรัจฉานวิชาหมด เพราะอาตมาตีกรอบไว้เลยว่าศาสนาพุทธคือโลกุตระเท่านั้น

 

ในอัมพัฏฐสูตร พระพุทธเจ้าตรัสไว้ถึงความเสื่อมสี่ประการ เท่ากับพยากรณ์ไว้ แต่บัดนี้เกิดแล้ว 

ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ 4     

ดูกรอัมพัฏฐะ วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แล มีทางเสื่อมอยู่ 4 ประการ 4 ประการเป็นไฉน?

1. ดูกรอัมพัฏฐะ สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และ จรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ หาบบริขารดาบสเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ที่หล่น สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็น ทางเสื่อมข้อที่หนึ่ง.     

 

[164] 2. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุ วิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ ถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคเหง้าไม้รากไม้และผลไม้ สมณพราหมณ์ นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สอง.     

[165] 3. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุ วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถที่จะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ และ ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ จึงสร้างเรือนไฟไว้ใกล้บ้าน หรือนิคมแล้ว บำเรอไฟอยู่ สมณพราหมณ์นั้น ต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สาม.

[166] 4. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุ วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถจะบำเรอไฟได้ จึงสร้างเรือน มีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้วสำนักอยู่ด้วยตั้งใจว่าผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง 4 นี้ จะเป็น สมณะหรือพราหมณ์ก็ตาม เราจักบูชาท่านผู้นั้นตามสติกำลัง สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอ ท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สี่.    ดูกรอัมพัฏฐะ ทางเสื่อมแห่งวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้มีอยู่ 4 ประการดังนี้.       

 

และยังมีอีกสูตรที่ปฏิกโกสนาพระป่า คือ อุปาลิสูตร

พระอุบาลีปรารถนาจะไปอยู่ป่า  และราวป่าอันสงัด

พระพุทธองค์ตรัสว่า...  ป่าและราวป่าอันสงัดอยู่ลำบาก 

ทำความวิเวกได้ยาก   ยากที่จะอภิรมย์ในการอยู่ผู้เดียว.     

ป่าทั้งหลายเห็นจะนำใจของภิกษุผู้ไม่ได้สมาธิไปเสีย

 

ผู้นั้นจำต้องหวังข้อนี้  คือ  จักจมลงหรือจักฟุ้งซ่าน เปรียบเหมือนกระต่ายหรือเสือปลาลงสู่ห้วงน้ำใหญ่   หวังจะเอาอย่างช้างใหญ่สูง 7 ศอก  หรือ 7 ศอกกึ่ง  กระต่ายหรือเสือปลานั้น จำต้องหวังข้อนี้   คือ  จักจมลง   หรือจักลอยขึ้น (สสีทิสฺสติ  วา  อุปฺปิลวิสฺสติ) (พตปฎ. เล่ม 24   ข้อ 99)

      

พ่อครูว่า...สมาธิพุทธเป็น supra-concentration ไม่ใช่แค่ meditation แต่พุทธก็ศึกษาเข้าไปในภวังค์ก็ได้ต้องสัมมาทิฏฐิ

 

สมาธิของพุทธนั้น ต้องมีพอสมควรจึงไปป่าได้เพื่อเช็คว่าเราติดป่าไหม? เรายังเบาสบายกับป่าไหม ถ้าเรายังติดป่าอยู่ติดสภาพแวดล้อมป่า ก็ไม่ใช่ แต่คนจะไปเช็คก็ต้องเป็นอย่างน้อยอนาคามี แล้วเช็คว่าเราติดเมืองไหม ฟุ้งไปหา โลกธรรม หากิ๊ก อำนาจหน้าที่ยศโลกีย์

 

ผู้ศึกษาแบบเข้าป่าไปนี่ จะต้องเป็นผู้ที่วิเคราะห์จิตเป็น อย่างมีสัมผัสนอกในครบ ครบองค์ประชุมกาย ไม่ได้หลีกลี้หนีไปไหน

1. ต้องมีฉันทะ ในมูลสูตรว่าไว้ ถ้าไม่มีฉันทะก็ปฏิบัติไปไม่รอด ต้องพอใจยินดี ขนาดนั้นยังหนักหนาสาหัสเลย

2. แล้วต้องมีมนสิการเป็นแดนเกิด ทำใจในใจเป็น ถ้าไม่เช่นนั้นไม่มีทาง

3. ต้องมีผัสสะเป็นสมุทัย(ไม่ใช่สมุทัยอาริยสัจ) ถ้าไม่มีผัสสะก็ไม่เกิดวิญญาณ แล้วศึกษาวิญญาณก็ไปศึกษาเจตสิก 3 เวทนา สัญญา สังขาร แล้วปฏิบัติกับรูป 28 ที่เกิดทั้งนอกและใน  มีทั้งรูปนาม และนามรูป แล้วอ่านตัวที่ปรุงกันขึ้นมา รวมตัวประชุมกันเรียกว่า กาย ต้องมีกายให้ศึกษาตลอดเวลา ถ้าไม่มีกาย ศึกษาองค์ประชุมรูปและนามไม่ได้ แม้แต่อานาปานสติ หลับตาอยู่ในภพ ก็ต้องมีลมหายใจเป็นมหาภูตรูปส่วนหนึ่งถ้าขาดไปก็ไม่ครบกาย ไม่ครบสุรภาโว แม้จะเหลือน้อยแค่ลมหายใจเข้าออกแค่นั้นอย่าให้มันหายไปนะ ถ้าหายไปสิ้นเยื่อใยแห่งความรู้ แต่ถ้ายิ่งมารู้เต็มตื่นทุกทวารยิ่งใช่เลยของพระพุทธเจ้า

 

ทุกอย่างเป็น ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) สภาวะสองอย่างรวมลงที่เวทนาเป็นที่รวมลงให้ปฏิบัติแล้วเรียนรู้รวมลงที่เวทนา 108 เรียนรู้สุข ทุกข์ ที่มันจะมีหนักเบา หนาแรงอย่างไร แล้วเรียนรู้เวทนา 6 ทุกอย่างเป็นนามธรรม แต่ก็ต้องอ่านรู้ขณะที่มีการสัมผัสทางทวารนอกไปด้วย เป็น supra-concentration ไม่ใช่แค่ meditation  อันนี้แหละจะล้มล้างความรู้ของทั้งโลก ของพุทธเข้าใจ meditation ได้ คือผู้มีแต่เจโตสมถะ แต่ผู้มีโลกุตระคือผู้มี supra-concentration คือรู้เวทนา 2 แล้วทำให้เป็นหนึ่งให้ได้ แล้วในหนึ่งนั้นก็มีสองอยู่อีก คือให้เกิดผลเป็นเอกกัคคตาจิต ได้จิตเป็นเอก แต่ก็ยังมีสองอย่าง ก็รับรู้เวทนาได้อยู่ทั้งเคหสิตะ และ เนกขัมสิตะ ไม่ได้หายไปไหน ก็เป็น ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )

 

ผู้ใดเข้าใจไม่สมบูรณ์จึงแยกออกเป็นสอง คือพระป่า และพระบ้าน 

 

ทุกวันนี้ศาสนาพุทธสุดโต่ง เข้าป่าก็ได้รูปฌาน อรูปฌานที่ไปติดในรูปภพ อรูปภพ ไม่มีรายละเอียดของจิต ไม่ว่าจะรูป 28 ก็ไม่รู้ ดีไม่ดีตีทิ้งอีก อย่างท่านพุทธทาสตีทิ้งอภิธรรมหาว่าเป็นอภิธรรมเม็ดมะขาม ท่านรู้โครงสร้างดี แต่ว่าไม่น่าตีทิ้งอภิธรรมเลย

 

พระป่าเป็นความสุดโต่ง ไปได้แค่เรื่องลึกลับเป็น รโห (ลึกลับ) ไม่เป็นอรโห มีแต่ลึกลับซับซ้อน อย่างอ.มั่น ยังเข้าใจเทวดาไม่ได้ ไปเข้าใจเป็นรูปร่างตัวตน เกรงใจแต่ต้องพูด เพราะถ้าไม่พูด มันจะกลัดหนองปวดไปอีกนาน จึงจำเป็นจริงๆ ผิดถูกเป็นวิบากของอาตมาเอง อาตมาต้องกล้าหาญที่จะพูด ต้องไม่มังกุ เพราะทุกวันนี้ศาสนาเละไปหมดแล้ว

 

ที่เขาทำกันอยู่ในปัจจุบัน ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้นะ แต่ว่าเขาดันทำอยู่ทำไม ไม่ใช่บาปเล็กๆ สร้างวิมานหลอกคน ใช้จิตวิทยา สะกดจิต ครบพร้อมหมดเลย ขออภัยที่พูดอวดใหญ่ ที่พูดว่าพระป่าผิดอย่างไร แม้แต่คำว่าได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่งฌานทั้ง 4 ก็ชัดเจน พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในมหานิทานสูตร ท่านแยกไว้ชัดว่า ได้โดยไม่ยากได้โดยไม่ลำบากในฌาน 4 คือปฏิบัติ supra-concentration กับ ได้โดยยากได้โดยลำบากในฌาน 4 คือปฏิบัติ meditation

 

เพราะเปิดตาปฏิบัติจะมีความแคล่งคล่องของจิต แต่ปฏิบัติหลับตาได้แต่ฌานกดข่ม เจโตสมถะ ไม่ได้เอาสมุทัยละลายหายไป ไม่ใช่เผากิเลส แต่ไปกดข่มไว้ การทำ meditation ไม่ใช่ของพุทธ แต่พุทธเอามาใช้ได้ประโยชน์คือ  ได้พักจิต ได้ศึกษาจิตภายใน ได้ทำเตวิชโช และอีกอันคือทำอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ อันหลังนี้พุทธไม่ส่งเสริม ห้ามทำด้วย

 

ศาสนาพุทธ ณ ลมหายใจเฮือกนี้เป็นวาระที่จะต้องแตกหัก ขอร้องทางคสช.ที่ได้อำนาจเต็มช่วยด้วยเถอะ ถือว่าได้ช่วยศาสนาพุทธ เพราะศาสนาพุทธทุกวันนี้แหลกเหลวหมดแล้ว อุ้มสมีกันเต็มเถรสมาคม แล้วตนเองก็เป็นสมีด้วยก็อุ้มสมีด้วย มีคนที่เป็นปาราชิก ในระดับชั้นหิรัญบัตรด้วยนะ(ท่านจันทร์ว่ามีเมียน้อย 2 คน สามีของผู้หญิงคนนี้มาเล่าให้อาตมาฟัง) เขาเลยไม่กล้าตัดสินเรื่องปราชิกของธัมชโย เพราะอย่างนี้ ถึงบอกว่าสมีอุ้มสมีกันเต็มไปหมดในวงการสงฆ์กระแสหลัก

 

ขอเวลาวาระที่อาตมาดูตามมหาปเทส แล้วไม่มีอะไรที่อาตมานอกรีต ว่าพูดเกินที่ท่านไมได้อนุญาติ และพูดเกิดในด้านที่ท่านห้าม อาตมาไม่ได้ละเมิด แต่อาตมาดูแล้วไม่มีคำห้าม ไม่มีคำอนุญาต แต่มีเหตุปัจจัยที่อาตมาประมวลว่าสมควรแล้วเพราะเกินจากที่พระพุทธเจ้าบัญญัติอาตมาก็ต้องใช้สัปปุริสธรรม 7 อย่างปริสัญญุตา คือบริษัทของมหาเถรสมาคมแย่แล้ว โดยจริงใจ ต้องช่วยกันเถิด ยังเหลือผู้ที่ดีๆอยู่บ้างแต่น้อย นอกนั้นหากินกับมหาเถรสมาคม โดยเฉพาะพระบ้านไม่ได้คิดปฏิบัติเลย เพราะไม่สัมมาทิฏฐิ แม้สัมมาทิฏฐิ 10 ทานจะให้มีผลอัตถิอย่างไรก็ไม่รู้ หรือทางปฏิบัติยิตถังก็ไม่รู้ว่าจะมีอัตถิอย่างไร อธิบายศีลพตุปาทาน ก็ยังไม่รู้เลย ไม่ครบไม่ถูก

 

พระบ้านนอกจากไม่รู้แล้วก็ยังสร้างลัทธิแปลกผิดใส่ในของพระพุทธเจ้าด้วยขนาดสังฆราชบอกว่าปาราชิกยังอุ้มกันอยู่อีก เหมือนเก่าอีกคือโกงเงินหลายร้อยล้านก็ยังบอกว่าได้อีก จะไปได้อย่างไรกัน อาตมาก็ว่าคราวนี้อาตมาจะเสียรังวัดอย่างไรก็ตาม อย่าถือโทษกันเลย เป็นบาปนะ อาตมาใช้แต่ปากหอกแค่นี้

 

.เพาะพุทธว่า...ยุคนี้เป็นยุคแตกหัก แล้วจะนำไปสู่การแตกตัว เมล็ดก่อนจะออกก็ต้องแตกก่อน เช่นเดียวกับไข่ก็เช่นกันต้องมีการแตกก่อนทั้งนั้น  พค.ว่าใครแยกโลกออกจากธรรมะ แยกพระออกจากฆราวาสถือว่าเป็นคนโง่


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 18:26:11 )

580323

รายละเอียด

580323_ธรรมาธรรมะสงคราม ปฐมอโศก สุปฏิปันโนคืออย่างไร

 

.กฤษฎาว่า...เรื่องประเด็นที่ผมอยากจะให้ทบทวนคือ การตามรอยพระอรหันต์คืออย่ืางไรแล้ว พระสุปฏิปันโน คืออย่างไร แล้วผู้จบเปรียญ 9 เป็นอย่างไร , คนปลุกเสกเลขยันต์คืออย่างไร แล้วสุปฏิปันโนคืออย่างไร

 

พ่อครูว่า..สุปฏิปันโน คือผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตามที่เขาท่องกันมาบทสวดสังฆคุณ

สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติดีแล้ว

สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติตรงแล้ว

สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว

สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติสมควรแล้ว

ได้แก่บุคคลเหล่านี้ คือ คู่แห่งบุรุษ 4 คู่ นับเรียงตัวบุรุษได้ 8 บุรุษ

นั้นแหละ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า

เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา

เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ

เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน

เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี

เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีเนื้อนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดังนี้

 

ก็นี่แหละคือสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า คือฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วปฏิบัติตามได้ผล ตั้งแต่โสดาบันเป็นต้นไป ผู้เร่ิมเป็นโสดาปัตติมรรค หรือว่าเป็นโสดาปัตติผล ก็คือถือว่าเป็นพุทธบริษัท อยู่ในสงฆ์สวกสังโฆที่แท้จริง ผู้ใดที่เห็นว่าสงฆ์ศาสนาพุทธเป็นแบบนี้อยากจะปฏิบัติตามก็มาขอนับถือ มาเรียน ขอเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่กล่าวเป็นคำหรือกล่าวก็ตาม ก็มาปฏิบัติตามแท้จริง

 

แต่ทุกวันนี้พุทธศาสนิกชนคือผู้มียี่ห้อว่าพุทธ แต่ไม่ได้พากเพียรเรียนรู้ปฏิบัติพุทธเลย ถือตามโคตรตระกูล ตามทะเบียนบ้าน ไม่เอาใจใส่ แต่รักนะ รักศาสนาพุทธนะ

 

แต่ผู้ที่ปฏิบัติแต่ว่าไม่ได้มรรคผลก็คือพุทธมามกะ

 

ส่วนผู้ที่เป็นพุทธบริษัท คือผู้ที่ได้มรรคผล ของพุทธตั้งแต่โสดาปัตติมรรคเป็นต้นไป ก็คือสาวกสังโฆ คือคู่แห่งบุรุษ 8 หรือบุรุษ 4

 

.กฤษฎาว่า....วันนี้คนมักเข้าใจว่า ผู้ที่เป็นนักบวชเท่านั้นจึงเป็นสาวกสังโฆ

 

พ่อครูว่า...สมัยพระพุทธเจ้าก็ตาม ผู้เป็นฆราวาสจะเป็นสาวกสังโฆมากกว่านักบวชด้วย เพราะมีจำนวนมากกว่า ฟังธรรมพระพุทธเจ้าเป็นอาริยบุคคล เป็นฆราวาสก็มาก สรุปผู้สงฆ์สาวกสังโฆไม่ใช่ว่าเอาแต่เป็นนักบวช แล้วบวชมาทำผิดอีกก็มากต่อมาก จนแทบไม่เหลือแล้ว แม้ในวงการกระแสหลัก

 

.กฤษฎาว่า..มีกระแสของความต้องการปฏิรูป ฆราวาสต้องการปฏิรูป แต่ว่านักบวช แสดงอาการเหมือนว่าศาสนาเป็นของพระสงฆ์เท่านั้น มีความเป็นเจ้าของศาสนาพุทธแต่เพียงฝ่ายเดียว ตีฆราวาส

พ่อครูว่า..คนที่พูดเช่นนั้นเขาประกาศตนว่าไม่ใช่สาวกสังโฆ คนนี้ดูถูกศาสนาพุทธด้วย ไปตีเป็นตัวเราของเรา ยกตนข่มท่านด้วย อาจเปล่งกล่าวขอเข้าถึงพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ แต่ตนแสวงบุญนอกขอบเขตพุทธเยอะมาก

 

.กฤษฎาว่า..ภาพของกงล้อธรรมจักร ก็จะมีทั้งผู้หญิง ชาย สมณะ ช่วยกันเข็นกงล้อ หมายถึงว่าทุกคนต้องช่วยพยุงศาสนา แล้วบทบาทของแต่ละฝ่ายควรทำอย่างไร?

 

พ่อครูว่า...คนที่จะช่วยพยุงต้องเป็นผู้มีพุทธธรรมก่อน พระพุทธเจ้าตรัสว่า ต้องทำคุณอันสมควรก่อนจึงสอนคนอื่น แล้วบริหารคนอื่นจึงได้ผล แต่ทุกวันนี้มีแต่คนพูดได้ แต่ว่าไม่ปฏิบัติตนให้มีคุณอันสมควรก่อนแล้วไปสอนไปบริหารคนือื่นศาสนาจึงย่ำแย่อย่างทุกวันนี้

 

ผู้มีศรัทธาจะต้องมีศีล ตามศรัทธาสูตร

 

1.     ศรัทธา  (เชื่อถือเลื่อมใสในอริยสัจเป็นต้น)

2.     ศีล (ในบริบทที่สูงไปสู่สีลสัมปทา แห่ง จรณะ15)

3.     พหูสูต / พาหุสัจจะ (รู้สัจจะบรรลุจริง จนรู้มากขึ้น) .

4.     เป็นพระธรรมกถิกะ (อธิบายสัจธรรม สอนความจริง)

5.     เข้าสู่บริษัท (สู่หมู่กลุ่มอื่น) .

6.     แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท

7.     ทรงวินัย

8.     อยู่ป่าเป็นวัตร  ยินดีในเสนาสนะอันสงัด (คืออุเบกขา) . .

9.     ได้ตามความปรารถนาโดยไม่ยาก ไม่ลำบากซึ่งฌาน 4 

10.    ได้ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ-ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้

ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 10 ประการนี้แล  ย่อมเป็นผู้ก่อให้ เกิดความเลื่อมใสโดยรอบ และเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง

(สัทธา 10  จาก สัทธาสูตร พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 8)

 

คำว่า ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่งฌาน 4 นั้น มีนัยลึกซึ้ง

 

คำว่าได้โดยยากโดยลำบากซึ่งฌาน 4 (โน นิกามลาภี  อกิจฺฉลาภี) เป็นแบบปฏิบัติผิด แต่ปฏิบัติแบบพระพุทธเจ้า จะปฏิบัติ ได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบากซึ่งฌาน 4(นิกามลาภี  โหติ อกิจฺฉลาภี) แต่ถ้าผู้ใดไปนั่งหลับตาปฏิบัติไม่สัมมาทิฏฐิ จะไม่เป็นลำดับ

 

.กฤษฎาว่า...บางครั้ง เกิดปีติ แล้วดูเหมือนอ่อนแอ หวานชื่น หลายคนปฏิบัติจะเหมือนไปติดปีติ

 

พ่อครูว่า..ใช่คนไม่ได้ปฏิบัติถูกต้องก็จะติด แต่ว่าถ้าเรียนรู้ก็จะรู้ว่าตนติด ก็จะค่อยๆวาง คนไม่ศึกษาจิตเจตสิก็ไม่รู้แน่ ต้องมีปรมัตถธรรมจึงรู้ได้

 

.กฤษฎาว่า...ในศรัทธา 10 นี้ เราก็ค่อยๆขยับก้าวเข้าไป ที่ผ่านมาเจอสภาวะของที่ต้องต่อสู้ทำงาน ให้เกิดความสำเร็จของชิ้นงาน ได้ฟังพ่อครูพูดเรื่องอินทรีย์ 5 พละ 5 ได้ฟัง ต่อมาก็รู้ว่าบทจบก็คือต้องตนพึ่งตน ต้องอาศัยอินทรีย์พละของตน ต้องก่อจากภายในแล้วเกิดพลัง เพราะสังคมทุกวันนี้ติดแต่ภายนอก แล้วเสพติดความหวาน เสพปีติ ก็เลยเสพหวานปีติ หลงปีติ แต่ไม่ได้มองตามศรัทธา 10 แต่สุดท้ายเราต้องพึ่งตนเอง สร้างพลังภายในเอง ต้องกล้าเผชิญทุกอย่างด้วยตนเอง เพราะผมดูส่ิงที่พ่อครูนำเสนอต่อสังคมต้องกล้าหาญ และมีพลังในตนเอง

 

พ่อครูว่า...ถ้าไปติดในปีติโลกีย์ ได้ยินดีในสิ่งที่ตนได้ ซึ่งมีทั้งโลกียะและโลกุตระ อารมณ์ปีติยินดีในแบบโลกๆ ไม่มีความกล้าหรอก ไม่แข็งแรงจริงหรอก มันเสพปีติอย่างโลกียะ ไม่ได้เป็นปีติแบบธรรมะโลกุตระ ถ้าโลกุตระจะเป็นเนกขัมสิตะ เราลดกิเลสได้ เรามีปัญญารู้ว่ากิเลสลดได้ เราก็ดีใจ อันนี้จะมีกำลัง แต่ถ้าเราได้ผลอะไรขึ้นมา ผลนั้นได้เราก็ดีใจ แต่ผลนั้นเป็นโลกีย์จิตก็สมอยากจิตอ้วน หนาขึ้นปุถุ ไม่ใช่อาริยะไม่ใช่เจริญอย่างโลกุตระ ดังนั้นปีติโลกียะทำให้คนติด แม้ปีติในโลกุตระพระพุทธเจ้าก็เตือน แต่มันจะไม่เหมือนโลกีย์

 

เช่นเราทำศีลได้ จิตเราจะเกิด ไปตามลำดับขั้นตอน

1.     อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) .

2.     ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)

3.     ปีติ (ความอิ่มเอมใจ) .

4. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)

5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)

6. สมาธิ (จิตมั่นคง)

7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง) . .

8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย) .

9. วิราคะ (คลายกิเลส)

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1 208)

 

ผู้ปฏิบัติถูกต้องจิตจึงแข็งแรง เป็นสัทธินทรีย์ คนที่มีอินทรีย์ 5 (มีสองอย่าง) คืออินทรีย์ 5หรือปฏิบัติแล้วจะมีความรู้อารมณ์ของกำลังกิเลส กิเลสมันลด อารมณ์เราจะดีขั้น ท่านเรียกว่า สุขินทรีย์ โสมนัสขินทรีย์ โทมนัสขินทรีย์ เป็นต้น

 

คนที่ปฏิบัติธรรมได้ผล แล้วเรารู้ผลที่ควรได้ คนโลกๆได้เพชรตามที่แสวงหาเขาก็ปีติยินดี แต่มันคนละเรื่องกันกับโลกุตระ เพราะโลกุตระอยากได้การลดกิเลส แล้วทำให้กิเลสลด เราเห็นว่าเราลดได้จิตก็ยินดี แต่จิตที่ยินดีอย่างนี้จะมีกำลัง แล้วจะยิ่งขวนขวายทำอีกเอาอีก มีกำลัง ฉันเดียวกับคนขุดพบเพชร คุณปฏิบัติได้มรรคผลก็จะได้กำลังเพ่ิมอีก ปฏิบัติเพ่ิมอีก มี โพธิปักขิยธรรม 37 แข็งแรงขึ้น มี ศรัทธา วิริยะ ปีติ สมาธิ ปัญญา จากการปฏิบัติถูก มีปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ(องค์แห่งมรรค) มัคคังคะ

 

.กฤษฎาว่า...ส่วนตัวผม มันมีอาการแทรกซ้อนคืออาการของขึ้น คือเรารู้บ้างแล้วได้แล้วก็อยากแสดง เจอใครก็อยากจะแสดง อยากบอกอยากอวด

พ่อครูว่า... ก็ให้ระวัง

.กฤษฎาว่า..อาการนี้มันมีมา ของหยาบที่มันทำได้ของละเอียดมันก็แสดงออกมา บางทีออกมาแรงด้วย

 

พ่อครูว่า...เป็นภาวะซับซ้อน ถ้าโลกุตรธรรมได้ผล ละกิเลสได้ ก็มีความฟุ้งมีปีติ พระพุทธเจ้าให้รู้ว่าคืออุปกิเลสซ้อน ยินดีในสิ่งที่เราได้ดี ท่านก็ว่า ถ้าไม่เข้าใจอันนี้จะคะนอง ต้องได้รสยินดีนี่จึงมีกำลัง แต่กิเลสนี่ทำให้คนมีกำลังมากนะ แต่เวลาลดกิเลสแล้ว กำลังแบบโลกๆจะลดลง แต่จะมีกำลังใหม่ เป็นวิริยินทรีย์ คือให้ทำแบบลดนี้ให้แข็งแรงสมบูรณ์ แต่ถ้าไปติดยินดี ปีติ ต้องได้ยินดีมากขึ้นๆ กลายเป็นอุพเพงคาปีติ  อย่างที่พวกเชียร์กีฬาเป็นก็เป็นอุปกิเลสโลกีย์ นัยของโลกุตระก็จะมีปีติเหมือนกัน แต่พระพุทธเจ้าว่าไม่ให้มาก แบบอุพเพงคาปีติ แต่ให้มีพอใช้ได้ เป็นผรณาปีติก็พอ ให้กระจายไปทั่วถึง มันจะทำให้มีวิริยะ มีกำลัง ไม่เช่นนั้นจะติดและชินชา เจริญยาก

 

.กฤษฎาว่า...เมื่อทบทวนแล้วถึงรู้ว่าทำไมพระพุทธเจ้าถึงได้ให้วิมังสาไว้ท้ายสุด

 

พ่อครูว่า..วิมังสาคือเน้นเอาเนื้อที่วิเศษ อะไรที่เราไม่เอาซ้อนมาก็ไม่เอา ต้องเอาแต่เนื้อๆ อุปกิเลสคือคราบไคลที่ต้องล้างออก

 

.กฤษฎาว่า.. กระบวนการที่ทำให้คนไขว้เขว คือการปฏิบัติธรรมต้องเอาชุดขาวมาใส่ แต่ผมเป็นลูกศิษย์พ่อครู ทุกครั้งที่ผมระลึกได้ก็จะทำจิตใจแบบที่พ่อครูสอน แล้วการปฏิบัติธรรมคืออย่างไรกันแน่

 

พ่อครูว่า... ก็ต้องเอาหลักพระพุทธเจ้า ต้องมากำหนดสิ่งที่เราติด เราติดอะไร ที่ต้องล้างออก ต้องได้ลาภ ยศ สรรเสริญ หรือวัตถุอะไร คุณรู้ว่าติดอะไรก็ต้องตั้งกฎให้เว้นให้ออก ตอนแรกต้องเหมือนพรากไม้ที่ชุ่มด้วยยางออกจากน้ำก่อน เราไม่แตะต้องแต่ก็จะมีส่ิงที่ผ่านมาให้สัมผัส แล้วเกิดกิเลส คุณต้องอ่านกิเลสให้ได้ ท่านเรียกว่าอ่านความเป็นกาย กายต้องมีข้างนอกและภายใน สัมผัสกันแล้วเกิดจิต เกิดวิญญาณ อ่านอารมณ์แรกที่สังขารมาเป็นเวทนา จะรวมลงเป็นเวทนา 1 เดียว ก็วิจัยมัน พอเราสัมผัส เกิดวิญญาณ อ่านอารมณ์ แล้วเราไม่ให้มัน มันจะดิ้น เห็นตัณหาดิ้น นี่คือตัวตน คือสักกาย  ของกิเลส จิตมันอยากได้ เป็นสราคะ เราก็อ่าน อาการ ลิงค นิมิต เราต้องจัดการมัน เราจะรู้ตัวที่ต้องจัดการคือสักกายะ

 

เราก็ศึกษาว่ามันจะเกิดกายเมื่อไหร่ การอ่านใจก็วิจัยวิจารไปเรื่อยๆ คุณมีตากระทบรูป เกิดปรุงแต่ง มีปสาทรูป กับโคจรรูป กระทบสัมผัส เกิดวิญญาณ ถ้าอวิชชามันปรุงเป็นเรื่องนิทานทันที มันอร่อยทันที แต่คุณไม่ให้มันรับสัมผัสเต็มที่ ตากระทบรู แต่มันอยากจะเอามาเสพสัมผัส มาแตะ ก็ไม่ให้มัน มีการห้ามการเว้นการขาด อรติ วิรติ เวรมณี พระพุทธเจ้าสอนให้มีการปหาน 5 ตั้งแต่กดข่มมัน เป็นธรรมชาติของคน แต่คนหน้าด้านจะอวดส่ิงที่ไม่ควร คนธรรมดาจะกดข่มได้ ขายหน้าเขา

 

.กฤษฎาว่า...รู้ว่ามันทรมานดิ้นอยากจะกิน แต่เราทรมานก็เลยไปหยิบมาเสพ แล้วมันก็หายอยาก ?

 

พ่อครูว่า..อย่างนั้นบำเรอกิเลสแล้ว มันมีสองหลัก คือสมถะ กับวิปัสสนา ต้องเห็นว่ามันไม่เที่ยง มีจริง มันเป็นภาระ เป็นทุกข์ ที่ต้องไปบำบัดเป็นทาสมัน พอได้เสพก็เป็นเรื่องเท็จ ต้องอ่านนิทาน สมุทัย ปัจจัยของโลก ที่ต้องเป็นไป ต้องไปแย่งชิงต้องเอามาเสพ หวงแหน ยึดถือ ต้องพิจารณาจนอาการมันหายไปเพราะพลังปัญญาสั่งสมเพ่ิมขึ้นเรื่อยๆ พลังปัญญาเป็นฌาน คุณต้องพยายามพิจาณาทุกที มันมีสองอย่างกดข่มกับใช้วิปัสสนา กับของจริงที่เกิดในปัจจุบันที่จะกำหนดรู้ในความเป็น อนิจจสัญญา มันเป็นทุกข์ ไม่พ้นความเป็นทาส ติดยึด รสสุขมันไม่จริงหรอก มันไม่มีตัวตน คุณทำต่อไป จนได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก เพราะมีปัญญา มีอธิมุตโต อธฺิโมกโข โน้มสู่ความหลุดพ้นไปเรื่อยๆ ต้องพิจารณาเห็นสภาวะไม่ใช่แค่ตรรกะ ก็ต้องพิจารณาถึงความเป็นสิ่งไ่ม่น่าได้ไม่น่ามีไม่น่าเป็น เป็นอสุภะ ถ้าไม่ให้มัน ไม่ได้เสพ กิเลสมันก็ต้องอดทน แต่ย่ิงเห็นเลยว่ามันไม่จริงเลย ต้องเรียนรู้ กิเลสมี แต่มันเป็นแค่อาคันตุกะ มันไม่ใช่่เรา แต่เรากำหนดผิดสัญญาวิปลาสว่าเป็นเราเป็นของเรา

 

.กฤษฎาว่า...เมื่ออยากกิน แต่ ไม่กินอันนี้ ไปกินน้ำแทนเป็นต้น

 

พ่อครูว่า... มันมีที่ได้สารที่ทดแทนได้ หรือดีกว่านี้อีกได้ แต่ไม่ใช่แค่เปลี่ยนไปกินน้ำนี่ก็ไม่ตรงสิ ต้องให้เห็นด้วยปัญญาเลยว่า กิเลสมันลดลงๆ วิราคานุปัสสี แล้วมันดับเลยตามเห็นอาการ นิโรธานุปัสสีด้วยเลย

ในปหาน 5 มีทั้งตทังคปหาน วิกขัมภนปหาน จนปหานได้เสร็จก็เป็นสมุจเฉทปหาน เพราะทุกวันนี้คนเราก็จะกดข่มทิ้งโดยสัญชาติญาณอยู่แล้ว แต่เราต้องพยายาม ทำให้หายไปแบบจัดการมันได้เลย ไม่ปล่อยให้ขึ้นเครื่องบินไปแต่ต้องจัดการให้สำเร็จเลย

 

พลังปัญญา คือไฟพิเศษ คือฌาน แต่กิเลสคือไฟราคะ โทสะ โมหะ แต่ไฟฌานนี่มีฤทธิ์สลาย ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ ได้ ถ้าไฟฌานเจริญได้ขีดหนึ่งจะทำให้กิเลสลดได้ ท่านบัญญัติเป็นวิปัสสนาญาณ 9

4. (1)อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความเกิด- ความเสื่อมไปของกิเลส ของชาติ เวทนาสุขทุกข์ต่างๆ

5. (2)ภังคานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความสลายไปของสังขารธรรม-ตัณหาปรุงแต่งทั้งหลาย มันจะมีความสลายมากกว่าความคงอยู่

6. (3)ภยตูปัฏฐานญาณ ญาณอันเพ่งเห็น กิเลสสังขาร  เป็นภัยอันน่ากลัว..

7. (4)อาทีนวานุปัสสนาญาณ ญาณอันคำนึงเห็นโทษ ต่อเนื่องมาจากการเห็นภัย จะเห็นภัยมากขึ้นอีก

8. (5)นิพพิทานุปัสสนาญาณ ญาณเห็นความน่าเบื่อ-หน่ายในกิเลส  เพราะสำนึกเห็นทั้งโทษและภัย

9. (6)มุญจิตุกัมยตาญาณ ญาณรู้เห็นการเปลื้องปล่อยไปเสียจากโทษ-ภัยเหล่านั้น .(อตัมมยตา)

 

ฌานคือไฟปัญญา เป็นไฟแห่งความชุ่มชื่น หากเราทำมาก ก็จะไปดับไฟกิเลสได้

 

พ่อครูว่าเราสร้างไฟฌาน จะมีกำลัง มีอินทรีย์ พอถึงยอดก็เป็นพละ ไล่ไปตามระดับ วิตกคือจิตดำริ ส่วนวิจัยคือ psychoanalysis แล้ววิจัยตัวไหนคือกิเลสก็ต้องลดกิเลสให้ได้ เป็นวิจาร คือบทบาทอาการจิตที่เราทำให้ตัวไม่ดีออกไป เราจะได้ทั้งตัววิตกตัวทำ สำเร็จก็ได้วิจาร รู้ว่าอันไหนคือผี แล้วปหาน ให้ได้ เป็นสมุจเฉทปหาน แล้วทำซ้ำทำทวน ให้แข็งแรงเป็นนิสรณปหาน เป็นอัตโนมัติเลย เป็นของปกติเลย เป็นสีลบุคคลเลย ไม่ต้องทำไม่ต้องฝึกไม่ต้องเอาใจใส่เลย มันมีฤทธิ์อำนาจเต็ม ถ้ากิเลสมาตามเหตุปัจจัยนี้ก็จะถอยเลย เหมือนเราเอายาหม่องทาขา เราลงน้ำ ปลิงมาแตะเข้าก็ร่วงผล็อยเลย อันสุดท้ายก็เป็น ปฏิปัสสัทธิปหาน

 

.กฤษฎาว่า... คนปฏิบัติมักเอาตรรกะ มาบอกว่าเป็นปัญญา ทำอย่างไรจะเตือนตัวเอง

 

พ่อครูว่า...ต้องเข้าใจคำว่า ตรรกะ คือ จิตดำริ และแยกออกได้ มีเหตุมีผล ด้วยการขบคิด แต่ก็แค่ เห็นมันดำริ แล้วแยกมันออกได้ แค่เหตุผล ถ้าเหตุผลแค่ความรู้ คุณไปเน้นอย่างนี้ก็ตรรกะ จนถึงปรัชญาเลย

 

แต่ถ้าแยกจิตเจตสิกออกจริง มันดำริ เป็นตรรกะ แล้วแยก (จาร) ออกได้ ทำได้จะเห็นว่าคุณแยกตัวกิเลส กับตัวปัญญาได้ จนรู้ว่ากิเลสลดได้ก็รู้ มีปัญญารู้ นี่คือการแยกที่เป็นตรรกะที่ไม่ใช่แค่ความคิด แต่เป็นตรรกะที่เป็นสภาวะด้วย เป็นปัญญา คุณลดได้จริงก็เป็นจริง

 

ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )

เช่นอารมณ์ สุข ทุกข์ เกิด เราก็แยกเหตุที่ทำให้เกิด แล้วทำเนกขัมมสิตเวทนา คุณอ่านจิต แล้วทำได้ แม้ไม่รู้ภาษาที่อาตมาพูดแต่ว่าทำได้แยกกิเลสเป็น แล้วทำวิปัสสนาได้จริง ก็ได้ไม่จำเป็นต้องมีภาษาก็ได้ เป็นผลที่เรียกว่า วิตักกะ

 

.กฤษฎาว่า...ฌานคือภูมิคุ้มกัน ถ้าไปเจอกิเลสอะไรก็ตาม เหมือนเราเตรียมน้ำไว้ดับไฟ ได้ดีกว่าการที่เราไปเจอไฟแล้วเราก็ไปหาน้ำไปดับ

 

พ่อครูว่า..ถ้าผู้ปฏิบัติจะอ่านน้ำอ่านไฟที่ว่าได้ ต้องแยกให้ได้ แยกกิเลสแล้วกำจัดได้ แต่ถ้าแยกไม่ได้มันก็จะรวมอยู่นี่แหละ ถ้าทำไม่ได้ก็ทำให้กิเลสได้สมใจก็เป็นเคหสิตเวทนา ทุกอย่างรวมเป็นเวทนา แล้วเราต้องแยกกิเลสออก ทำกิิเลสตาย ก็กลายเป็นหนึ่งเดียว เป็นเอกัคคตา

 

ด้วยไฟฌาน ที่มีกำลังไปทำลายไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะได้ เป็นพลังปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ องค์แห่งมรรค มัคคังคะ นี่แหละ แต่ไม่ใช่ว่าปัญญาคือไปรู้โน่นนี่นั่นเต็มไปหมด

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

_เมื่อดิฉันเห็นมะพร้าว แล้วอยากกิน แต่มันไม่ได้กิน ก็ทุกข์ เดินวนไปวนมา เราไปศรัทธามะพร้าวแต่เราไม่ไปศรัทธาที่จะอ่านอาการที่มันออกมาดิ้นแล้วจัดการมัน มันออกมาเยอะ แต่ทำไมเราไม่จัดการมันเสียที แต่พอต่อไป ตัวศรัทธามันมาที่จะแก้จิตมากขึ้น กว่าไปคิดเรื่องจะกินมะพร้าว เราแก้ที่จิตมันก็หลุดง่ายขึ้น

 

_เคยอ่านหนังสือมาว่า ความยุติธรรมไม่มีในโลก จริงไหม?

ตอบ...คนที่เขาว่า ก็คือคนท้อแท้ แต่ที่จริง มันก็ต้องมีสมมุติ ของความยุติธรรมสิ คือไม่โน้มเอียงไปหาข้างไหน แต่ถ้าเรามีแต่ว่า ไม่มีความยุติธรรมเลย คนนี้ก็เลยว่า ความยุติธรรมไม่มีในโลก ซึ่งคุณต้องทำความยุติธรรมเกิดแก่ตนเองได้ก่อน คือเมื่อใดที่ใจคุณไม่มีความลำเอียงใดๆได้เลยคือคนมีความยุติธรรม คือไม่มีอคติ 4 ได้เลย ไม่ลำเอียงเพราะรัก ชัง โกรธ หลง กลัว เลย นั่นคือคุณมีความยุติธรรม อยู่ในตัว ใครจิตไม่ลำเอียงถาวร คือผู้ยุติธรรมสูงสุด

 

_พระแท้ๆ ประกอบด้วยประการอะไรบ้าง

ตอบ...คือผู้ที่มีคุณสมบัติจริง คือผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านเรียงไว้ไม่กี่อย่างแต่แท้จริงคือพระโสดาบัน(ลดกิเลสได้หนึ่งในสี่ส่วน) สกิทาคามี(ลดกิเลสได้สองในสี่ส่วนอนาคามี(ลดกิเลสได้สามในสี่ส่วนอรหันต์ (ลดกิเลสได้หมดเลย) จะบวชหรือไม่ก็ได้ แม้มาบวชแล้วแต่ปฏิบัติไม่ได้บุคคลสี่นี้ก็คือสมมุติสงฆ์ 

 

_ทำไมหมอถึงรู้ว่า คนที่เป็นโรคจะเสียชีวิตภายในกี่วัน กี่เดือนคะ

ตอบ...เขามีเหตุปัจจัย หลักการ เพื่อมาประมาณ คำนวณ รู้ว่าเหตุแรงขนาดนี้จะทำให้ร่างกายชีวิตอยู่ได้แค่นี้ หมอก็มีความรู้ทางวิศวะในการคำนวณ ตามประสพการณ์

 

_อารมณ์เสียดาย ถ้าเราไม่ได้ทำเพื่อเสพ แต่ทำเพื่อประหยัดมัธยัสถ์ เกิดประโยชน์ไม่ทิ้งขว้าง เป็นการตักกะ วิตักกะที่ถูกต้องไหม?

ตอบ...หากคุณเสียดายที่ไม่ได้เสพ คุณก็จะทำเพื่อเสพ แต่ถ้าทำเพื่อประหยัด เกิดประโยชน์ เป็นการตักกะ วิตักกะที่ถูกต้อง

 

_กฏอัยการศึก คสช.ให้อยู่อย่างเรียบร้อย เราก็ฟัง ก็เชื่อ เพราะเท่าที่คสช.ปฏิบัติการอยู่ก็ใช้ได้ แต่ตัวปฏิกิริยาที่ออกมามันมีตามธรรมชาติ เราก็มีโอกาสได้แนะนำช่วยเหลือ เราไม่ได้ไปร่วมก็แนะนำเสนอได้

 

_การติดยึดสิ่งที่เราเคยชินเป็นการติดยึด แบบดี หรือไม่ดีครับ

ตอบ...ก็สิ่งที่เราทำเคยชินนั้นดีหรือไม่ ต้องถามอันนี้ก่อน ถ้าติดส่ิงที่ไม่ดีเคยชินสิ่งไม่ดีก็ติดแบบไม่ดี แต่ถ้าสิ่งที่เราทำได้ดีแล้วทำให้มากให้บ่อยให้ชิน(ชนะ) ชา เลย

 

_การติดยึดอยู่ในหัวข้อธรรมใด เรียกว่าอะไร?

ตอบ...การติดยึดมี 4 ข้อ คือกามุปาทาน สีลัพพตุปาทาน ทิฏฐุปาทาน อัตวาทุปาทาน

 

_คนที่เกิดมาเป็นผู้ชาย มีบุญมากกว่าผู้หญิงหรือไม่?

ตอบ...ถ้าอธิบาย ผู้หญิงหรือชายก็ตามมีความเสมอภาคที่ สามารถบรรลุธรรมได้เหมือนกัน แต่ว่าส่วนอื่นไม่เท่ากันเลย เพราะผู้หญิงต้องตั้งท้อง ผู้ชายไม่ต้อง กระดูกผู้ชายโตกว่าหญิง ยกเว้นกระดูกเชิงกราน เคยมีฝรั่งมาต่อว่าอาตมาว่าทำไมผู้หญิงผู้ชายต้องไม่เท่ากัน อาตมาก็ว่าให้เขาไปบอกพระเจ้าเขาว่าทำไมต้องสร้างอีฟ จากซี่โครงของอดัมส์ แต่ของพุทธเท่าเทียมกันที่ ทั้งหญิงและชายสามารถเป็นอรหันต์ได้

จบ...


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 18:27:29 )

580323

รายละเอียด

580323_นศ..เอก สัมภาษณ์พ่อครู เรื่อง สันติอโศกกับการเมืองไทย ที่ปฐมอโศก

 

พันโท เพิ่มพร จงประสิทธิ์ เป็นนศ.ปริญญาเอก สาขาวิชาการเมือง  มหาวิทยาลัยรามคำแหง  มาสัมภาษณ์พ่อครู เพื่อประกอบการทำ ดุษฎีนิพนธ์ ป.เอก ชื่อหัวข้อ สันติอโศกกับการเมืองไทย

 

คุณเพิ่มพร ว่า.....ได้เห็นการเคลื่อนไหว การมีส่วนรวมกิจกรรมการเมืองของสันติอโศก รู้สึกศรัทธาเชื่อมั่นในรูปแบบชีวิตของอโศก ก็ได้ไปร่วมกับกิจกรรมชาวอโศกบางครั้ง ได้มาฟังธรรมพ่อครูทั้งสวนลุมฯและราชดำเนินฯ รู้สึกศรัทธาในกิจกรรมและรูปแบบการดำเนินชีวิตชาวอโศก ที่ผมเชื่อมั่นว่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยแก้ปัญหาการเมืองไทยได้

 

วันนี้ขอสัมภาษณ์  โดยเชิญอ.ธนภัทร ปัจฉิมม์ มาช่วยสัมภาษณ์ด้วย ...ขออนุญาตถามแนวคิด หลักการของสันติอโศก หรือจะเรียกว่าสำนักสันติอโศก

 

พ่อครูว่า...ก็สื่อรู้เหมือนกัน คนเข้าใจแล้วว่าสันติอโศกก็เป็นสำนักหรือโลโก้หนึ่งแล้ว

 

อ.ธนภัทร ว่า...แนวคิดหลักที่ชาวอโศกดำรงอยู่ได้คืออย่างไร?

พ่อครูว่า...อาตมาปฏิบัติธรรมมาแต่ตัวคนเดียวไม่ได้มีสำนัก ไม่ได้มีครูบาอาจารย์ จนเขาหมั่นไส้ว่าอาตมา ชาตินี้อาตมาประกาศว่าบรรลุธรรมโดยไม่มีครูบาอาจารย์ อาตมาไม่ได้คิดว่าอาตมาต้องมาตั้งสำนัก มีคณะอะไร ตอนแรกปฏิบัติธรรมก็ตามประสาคนทั่วไปมีประสบการณ์ มา ชีวิตก่อนก็ไปอยู่ในวงการบันเทิง ออกโทรทัศน์ เป็นพิธีกร เป็นผู้จัดรายการ อยู่ 12 ปี อาตมาชอบงานศิลปะ ก็ทำงานมา กว่าจะถึง 12 ปี ปลายปี ที่ 9 อาตมาก็ไปเล่นไสยศาสตร์ด้วย ทางวิทยาศาสตร์จิตวิทยาด้วย ไปอยู่กับคณะค้นคว้าทางจิต ก็เลยสนใจเรื่องจิตวิญญาณ แล้วมาได้ไสยศาสตร์ก็เลยทำให้เห็นว่า จิตวิญญาณเป็นเรื่องสำคัญของมนุษย์ แต่ทางวิทยาศาสตร์นี่พิสูจน์ได้ชัดเจนรู้ได้ อธิบายได้ แต่จิตทางไสยศาสตร์รู้ได้ยากบอกยากอธิบายยาก แต่ลึกลับ ลึกล้ำ ทำอะไรได้เป็นอะไรได้พิเศษแปลกแต่อธิบายไม่ได้อย่างวิทยาศาสตร์ อาตมาก็เลยหันมาปฏิบัติธรรมแบบพระพุทธเจ้า ก็อ่านหนังสือศาสนาพุทธ อ่านแล้วก็ปฏิบัติเอง ปฏิบัติไปอยู่กับการทำงานลดละไปด้วยจนกระทั่งเสร็จ ทำงาน 12 ปี พ.ศ. 2543 ก็เลยไม่เอาแล้ว ก็เกิดผลที่เราปฏิบัติธรรม จนเราเห็นเกิดปัญญา เกิดจิตที่มันวางไม่เอาแล้ว ไม่ต้องการโลดแล่นไปอยากได้โลกธรรม อาตมาก็ออกมาบวชแล้วเพราะแน่ใจว่าจิตตนปฏิบัติธรรมแล้วมีผล ก็เลยหยุดทางโลก หนีออกมาบวช ทางธรรม

 

แล้วทำงานทางธรรมตามที่เราทำได้ ตอนแรกไปอยู่วัดอโศการาม ในป่าแสมลึก ก็ไม่ได้คิดบวช แต่คนก็ไปหา .... แล้วก็ออกมาบรรยายธรรม แต่ว่าคนไม่เชื่อถือทำงานยากเพราะคนติดยึดรูปแบบ จึงบวช.. คนก็เลยศรัทธาเพิ่มขึ้นตามมาบวช ...และก็ทำงานมาตามที่มีจิต ทั้งเจโตและปัญญาเช่นนี้ สื่อออกมาตามที่สามารถ คนก็มาทำตาม เกิดตามเหตุปัจจัยไม่ได้คิดมาก่อน เกิดหมู่กลุ่ม จนอยู่กับหมู่คณะใหญ่ไม่ได้ เพราะอาตมาเป็นพระเล็กต้องอยู่ในกฎเกณฑ์เขาที่เป็นศาสนาปฏิรูปหมดแล้ว อาตมาก็เลยขอแยก ในภาษาวินัยพระเรียกว่า นานาสังวาส พระพุทธเจ้าอนุญาตให้แยกตามวินัย

 

อาตมาบวช พ.ศ. 2513 ขอออกเป็นนานาสังวาส 2518 พอแยกมาก็ประกาศตั้งหมู่คณะ ไม่ได้ตั้งหรอก ไม่ได้เจตนา แต่เกิดตามที่มันจะเป็น เถรสมาคมก็ยอมรับ อาตมาก็พาออกมาตั้งคณะอโศก เพราะอาตมาไปบวชที่วัดอโศการาม และไปบรรยายธรรมที่ลานอโศก วัดมหาธาตุ ส่วนมากเลยตอนนั้น เขาถือเป็นตักศิลา เป็นที่ถกปัญหาธรรมะ อาตมาก็เป็นนักเจรจาพาที ก็เลยมีคำว่าอโศกติดมาแต่บัดนั้น พอจะออกหนังสือ ขอแบ่งหัวเรื่องมาเขียน ตั้งชื่อเป็นหนังสือของอโศก เป็นธรรมะ คำว่าอโศกเลยติดมา ก็เลยเรียกว่า ชาวอโศก

 

พอเป็นอโศกแล้วเราก็ตั้งสถานที่ไม่ได้เรียกวัด แต่เรียกพุทธสถาน มีที่คนมอบให้ตั้ง เราก็เลยตั้งชื่อพุทธสถานว่า สันติอโศก เป็นแหล่งให้คนมาปฏิบัติธรรม ก็บวชกัน มีทั้งสมณะ และสิกขามาตุ ตอนแรกเรียกว่าชี ถือศีล 10 ก็ค่อยๆมีกลุ่มหมู่คณะ เต็มแน่น จนที่สันติโศกเต็ม มีคนอยากมาอยู่ที่วัดหรือข้างวัดใกล้วัดมากขึ้น คุณจำลอง ศรีเมืองมีความคิดว่า ไปหาที่จะไปตั้งชุมชน มีพระพวกเราไปอยู่ ก็มาได้ที่นี่ ปฐมอโศก เป็นที่แรก ต่อมาก็มีการแตกตัว เพิ่มออกไป ตามจังหวัดต่างๆ เช่นศีรษะอโศก, ศาลีอโศก,

 

แล้วแนวคิดทฤษฎีหลักปฏิบัติเป็นที่อาตมามั่นใจเข้าใจว่า คือทฤษฎีสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า เอามาอธิบายให้เข้าใจ ปฏิบัติจนเกิดหมู่กลุ่มอโศก มีหลักทฤษฎีปฏิบัติเช่นนี้ก็ออกมาเป็นผล เป็นคณะสันติอโศกแพร่หลายมากว่า 30 ปี

 

คุณเพิ่มพรว่า..คำว่า สันติ มีที่มาอย่างไร

พ่อครูว่า..คำว่าอโศกก็ได้แล้ว แล้วสถานที่ตรงนี้ก็น่าจะมีชื่อ ตอนแรกสถานที่ๆคุณสันติยา ยกให้ ชื่อเดิมเขาชื่อกิติยา อาตมาก็ว่าคำว่าสันติน่าจะดีกว่า ให้เจ้าของที่ชื่อสันติยาก็แล้วกัน ก็เลยตั้งชื่อว่า สันติอโศก ตอนแรกเป็นบ้านเรือนไทยนิดเดียวแล้วค่อยขยาย

 

เหตุเกิดจากสิ่งที่พ่อครูได้เกิดจากการปฏิบัติ

 

เหตุเกิดจากจิต จิตเป็นประธาน กายกับวาจาไม่ได้เป็นตัวบรรลุ แต่จิตนี่เป็นตัวบรรลุ จิตเป็นประธานจึงออกมาเป็นกาย วาจา อาชีพ พฤติกรรมต่างๆ จิตเจริญ มโนเสฏฐา หรือจะทำอะไรสำเร็จ มโนมยา ก็สำเร็จจากจิต ถ้าจิตบรรลุ คือจิตเป็นเช่นนั้นอย่างมั่นคงแน่นอน เรียกว่าสมาธิหรือจิตตั้งมั่น แล้วของพุทธมั่นคงอย่าง  นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เป็นตถตา เป็นจิตบรรลุธรรม จิตนี้เมื่อมันทำได้เรียกว่า เจโตวิมุติ แล้วก็จะมีปัญญาร่วมด้วย ของพระพุทธเจ้ามีสองอย่าง(อุภโตภาควิมุติ) เป็นโสดาบันก็ลดได้ส่วนหนึ่ง ลดได้ แล้วรู้ด้วยว่าทำได้ จิตเสวยผล มีธรรมรสก็รู้ ไม่ใช่โลกียรส ซึ่งต้องมีปัญญารู้ว่าต่างกัน ทำได้ก็เป็นตัวตั้งคือจิตที่จะมีพฤติกรรม กาย วาจา ใจ ออกไป

 

เริ่มจากแนวคิด แล้วมาตั้งเป็นหมู่กลุ่มชุมชน

พ่อครูว่า..เกิดจากจิตเป็นตัวตั้ง

 

ผู้นำที่ดีในมุมมองของสำนักสันติอโศก

พ่อครูว่า...ผู้นำที่ดีคือผู้บรรลุธรรมอย่างสัมมาทิฏฐิ เพราะศาสนาพุทธเมื่อบรรลุแล้วจะมีความโลกวิทูรู้ความเป็นโลก สังคมแล้วมีโลกุตรจิต เหนือโลก แล้วรู้ว่าอย่างไหนดี อย่างไหนไม่ดี จิตโลกุตระนี้ แหละ ก็จะนำพาให้บริหารให้เกิดโลกุตรธรรมในสังคม

 

คนที่บรรลุธรรม โลกุตระ จะอยู่กับโลก แต่มีคุณวิเศษเหนือกว่าชาวโลก เพราะไม่เป็นทาส อย่างโลกมี ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แต่ผู้บรรลุแล้วท่านไม่แย่งกับคนอื่น แต่จะช่วยจัดสรรให้อย่างไร จัดแจงให้อย่าให้เขาตีกัน ให้เขาได้ลดละอย่างเราได้ ใครศรัทธาถึงก็มาปฏิบัติตามได้ กาย วาจา และจิต ที่จะบรรลุไปตามลำดับเป็นสมาธิ คนเหล่านี้ได้มรรคผล ก็จะเป็นพฤติกรรมรวมของสังคม มีพลังรวมในการทำให้ดี เพราะผลได้ของพระพุทธเจ้านั้นยั่งยืน จึงสามารถพัฒนาการไปกับสังคมไปได้เรื่อยๆ

 

คุณเพิ่มพร ว่า...แนวทางที่พ่อครูได้ปฏิบัติธรรม พ่อครูปฏิบัติได้ด้วยตนเอง แล้วอย่างลูกหลาน พ่อครูมีแนวทางอย่างไรในการปลูกฝังคุณธรรมให้เขา

 

พ่อครูว่า....พระพุทธเจ้าสอนแนวทางเดียว คือศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งคือมรรคองค์ 8 คือโพธิปักขิยธรรม 37 จรณะ 15 วิชชา 8 (ทั้งหมดเป็นทฤษฎีเดียวกัน) มีทางนี้ทางเดียว ผิดจากแนวทางนี้ ก็ไม่ใช่ทางที่พระพุทธเจ้าสอน 

 

ทำอย่างไรให้คนมีธรรมะเริ่มต้น ก็เริ่มต้นที่ ศีล 5  อย่างเด็กพวกนี้ที่มาเรียนนี่ก็ถือศีล 5 เป็นอย่างต่ำ บางคนก็อาจถือศีล 8 ขึ้นมาได้ ผู้ใหญ่ที่นี่ก็เช่นกัน ปฏิบัติควรคุมกาย วาจา แล้วให้จิตลดละกิเลสไปตามลำดับ ก็ได้ผล เกิดหมู่กลุ่มชาวอโศกได้ทั่วประเทศ

 

คุณเพิ่มพรว่า....ทำไมพ่อครูให้เขามีศีลได้ ข้างนอกทำไม่ได้

 

พ่อครูว่า...อาตมามีความเข้าใจของตน คนก็ถามมามากเลย คืออาตมามีความจริงอย่างไรก็สื่อออกมาให้ตรงกับความจริงที่มีให้ง่ายที่สุด ใครรับได้ เข้าใจเขาก็มา ไม่ได้ปิดบัง ไม่ล่อหลอก ส่วนมากอาตมาจะตรงไปหาความจริง เช่น อาตมาว่า ปฏิบัติธรรมแม้เป็นโสดาบัน มีศีล 5 ก็เพื่อไปสู่มักน้อยสันโดษ ไม่เบียดเบียนใครมากขึ้น ไม่เอาของคนอื่น แม้สุจริตก็ไม่ไปเอาของเขา เป็นผู้ให้ดีกว่าที่สูงสุด หรือแค่กิเลสกามคู่ก็เอาประมาณหนึ่ง คุณต้องรู้ตนว่าอย่าทุจริต อย่าพูดปด เข้าใจอบายแล้วเลิก พื้นฐานของที่นี่คือ 1.ถือศีล 5 เป็นอย่างต่ำ 2.ต้องไม่กินเนื้อสัตว์(อธิศีลของศีลข้อ 1) คนกินเนื้อก็เป็นเหตุให้คนฆ่าสัตว์  3.ไม่มีอบายมุข นี่คือหลักของเรา แม้เด็กเข้ามาก็ต้องมีหลัก 3 อย่างนี้ เราพยายามสร้างเยาชนให้เป็นคนดี โดยตั้งโรงเรียนโดยนิตินัยด้วย เป็นโรงเรียนที่ไม่ได้คิดค่าใช้จ่ายเลย เรียนฟรี ให้เป็นการช่วยเยาวชนจริงๆ เราทำนี่ก็เหมือนช่วยรัฐบาลทำงานด้วยนะ ครูที่นี่สอนฟรีไม่มีเงินเดือนด้วย ไม่มีค่าบำรุง ค่ากินค่าอยู่ เสื้อผ้า ค่าเรียนเราให้ฟรีหมด

 

อ.ธนภัทร  กราบเรียนถามพ่อครูว่า...มีเหตุปัจจัยใดบ้างที่ทำให้สำนักสันติโศกต้องเข้าไปร่วมกิจกรรมการเมือง เช่นไปประท้วง เป็นต้น

 

พ่อครูว่า...มาจากความจริง คือธรรมะพระพุทธเจ้าไม่เคยออกจากสังคม ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของสังคมมนุษยชาติ ไม่ใช่ศาสนาเข้าป่า หนีสังคมไม่ช่วยสังคม อาตมากำลังหยิบหลักฐานในพระไตรฯมาอธิบาย เขาเข้าใจอย่างนั้นผิด แม้แต่พระพุทธเจ้า ที่หลงเหมือนกัน ยุคนั้นเขาออกป่า ท่านก็เข้าป่าด้วย  จนบัดนี้ศาสนาพุทธก็เพี้ยนว่าต้องออกป่า พระพุทธเจ้าออกป่าก็รู้ว่าไม่บรรลุ จนท่านระลึกชาติได้ว่า ท่านเป็นพระพุทธเจ้า ตรัสรู้เองโดยชอบ ที่ท่านได้สั่งสมมาแล้วเต็มแล้ว ก็ประกาศได้ว่าเป็นพระพุทธเจ้าใน 15 ค่ำ วันเพ็ญเดือน 6  ต่อมาก็มี ปัญจวัคคีย์ที่บรรลุตาม แล้วต่อมาก็เจอพระยสมานพ ฟังธรรมก็เป็นโสดาบัน แต่มาฟังเทศน์อีกพร้อมพ่อ ก็บรรลุอรหันต์ ก็เลยไปช่วยเพื่อนอีก 55 คน ก็มาบรรลุอรหันต์กันหมด รวมกับปัญจวัคคีย์ก็เป็น 60 รูป พระพุทธเจ้าก็ให้ออกไปเผยแพร่ธรรมะ แม้เราก็จะไปอุรุเวฬาเสนานิคม ไปรูปเดียวต่อที่นะ อย่าไปซ้อนกัน ไปในเมืองนะ ไม่ได้ไปเข้าป่า ไปหาคนเพื่อเผยแพร่ธรรมะ

 

ถึงอาตมาที่บอกว่ามีของตนเอง อาตมาเป็นโพธิสัตว์ ได้บำเพ็ญมาแบบเดียวกับพระพุทธเจ้า แต่ไม่ได้เป็นถึงระดับพระพุทธเจ้า อาตมาก็ระลึกได้เองไม่มีใครบอก รู้ว่าเป็นพุทธศาสนาที่ถูกต้อง ก็เลยนำพามา แล้วก็ยิ่งขัดกับกระแสหลัก ก็ยิ่งมั่นใจว่าถูกต้อง เพราะถ้ากระแสหลักถูกต้องอาตมาจะออกมาทำไม แต่อาตมาเห็นว่าไม่ถูกต้องก็เลยต้องออกมา ท่านก็ยิ่งเล่นงานอาตมา ก็ยิ่งชัดว่าท่านก็เข้าใจไม่ถูก ผู้ที่เห็นความถูกของคนถูกว่าผิด ก็คือคนผิด ตลอดกาล ก็ไม่แปลนะ อาตมาก็ชัดเจน คนมีปัญญา จึงเห็น ความถูกของคนถูกคือความถูก เป็นสัจจะ

 

ยิ่งมาบัดนี้ยิ่งเห็นว่ามหาเถรสมาคม ไม่ถูกต้อง มีสมีอุ้มสมี ก็ถึงโอกาสที่อาตมาจะได้อธิบาย

 

อาตมาบอกว่าแล้วว่าศาสนาพุทธไม่ได้แยกจากเมือง ท่านเริ่มต้นก็พาเข้าเมือง

 

อ.ธนภัทร ว่า..... รูปแบบการปกครองที่ดีในทัศนะของพ่อครูคืออย่างไร

 

พ่อครูว่า..ต้องมีธรรมะ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ต้องมีคุณอันสมควรก่อน จึงสอนจึงบริหารคนอื่นจึงไม่มัวหมอง ต้องทำให้ตนบรรลุธรรมก่อน

 

การปกครองแบบเสียงข้างมาก คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ และเห็นด้วย แต่ว่าเมื่อเลือกผู้แทนมา แต่เป็นผู้แทนไม่มีศีลธรรม จะทำอย่างไรให้คนส่วนใหญ่เลือกผู้นำที่มีศีลธรรม

พ่อครูว่า..ต้องให้ประชาชนเข้าใจ ไม่ถูกครอบงำด้วยโลกธรรม ในระดับหนึ่งมีปัญญา เสียดายเมืองไทยเป็นพุทธมาก แต่กระแสหลักพาเพี้ยนล้มเหลวไปหมด อาตมามั่นใจว่าศาสนาพุทธจะกลับมาเป็นศาสนาอาริยธรรมโลกุตรธรรม

 

การศึกษาเป็นหัวใจหลัก ต้องให้การศึกษาสัมมาทิฏฐิ เป็นโลกุตระ ที่สำคัญคือต้องอ่านจิตใจตนเป็น อ่านอารมณ์เป็นว่า อันนี้อารมณ์โลกีย์หรือเคหสิตะ อันนี้อารมณ์โลกุตระหรือเนกขัมมะ  เมื่ออ่านออกจิตตนก็จะรู้โลกรู้ธรรม เริ่มตั้งแต่โสดาบัน ถ้าอ่านไม่ออกก็ไม่รู้เหตุโลกียะ เมื่ออ่านออกก็จับเหตุโลกียะได้ ก็ลดได้ ถ้าคนเข้าใจก็จะเข้าใจว่าลดแล้วเป็นอย่างนี้ก็จะรู้ว่าที่ตนเคยติดในโลกธรรม รู้จริงตามจริง จะมีเชื้อโลกุตระที่ทวนกระแสกับโลกียะเลย จะรู้จิตตนที่ทวนกระแส ก็จะตั้งทิศทางได้

 

อ.ธนภัทร ...วันนี้สำนักสันติอโศกเป็นชุมชนประชาธิปไตยไหม
ตอบ...ศาสนาพุทธเป็นประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ท่านประกาศรัฐอิสระ ไปไหนเจ้าครองแคว้นก็ยอมให้ท่านหมด ท่านอิสรเสรี เป็นประชาธิปไตยเพราะทุกคนมานี่ปลดแอกหมด แม้เป็นลูกท่านหลานเธอมาก็อยู่ในจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลเหมือนกันหมด แล้วมีสภา เป็นสภาที่จริงใจ ไม่ต้องตั้งถาวร เอาความจริง ว่าวัดนี้มีพระกี่รูป มีผู้ที่เหมาะจะเข้าร่วมสภาสงฆ์ก็ได้เข้าสภา ผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติเป็นปกตัตตะ ก็เข้าร่วมได้ ผู้เข้าสภาได้ต้องเป็นผู้มีปัญญา บริสุทธิ์ นี่คือหลักสำคัญเลย แล้วไม่จำเป็นต้องตั้งสภาเดียว วันไหนก็มีสภาของวัดนั้น ตั้งกรรมาธิการตามวาระ อันนี้ใช้สงฆ์ 4 รูป อันนี้ 5 รูป อันนี้ 20 รูป ท่านมีหลักตัดสินอธิกรณสมถะ 7 เหมือนนิติศาสตร์ท่านมีครบหมด ท่านเป็นยอดนักประชาธิปไตยที่สูงสุด ประชาธิปไตยที่อยู่ในระบบไหนก็ได้ เป็นเผด็จการก็ได้ อย่างอโศกนี่ทุกคนทำงานฟรี ไม่มีหักของตน เข้ากองกลางเต็มๆ นี่คือสาธารณโภคี ยิ่งใหญ่กว่าคอมมูนอีก

 

อาตมาไม่ได้คิดเองนะ เป็นของพระพุทธเจ้า อย่ามาว่าอาตมาคิดเอง อาตมาไม่ได้คาดว่าจะเป็นได้ขนาดนี้ แต่มันเป็นได้ก่อนแล้วอาตมาถึงมาเจอคำว่าสาธารณโภคีทีหลัง มันเป็นผลสำเร็จแล้ว

 

คุณเพิ่มพรว่า...เศรษฐกิจพอเพียงสนับสนุนกับแนวคิดสันติอโศกหรือไม่?

 

พ่อครูว่า...เป็นตัวจริงของเราเลย แบบที่ในหลวงตรัสว่าแบบคนจน ขาดทุนคือกำไร เพราะในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ ไม่ได้พูดเล่นนะ

 

คุณเพิ่มพรว่า... แนวคิดบุญนิยม คืออย่างไร?

 

พ่อครูว่า... บุญนิยมนี่ อาตมาตั้งชื่อลำลอง มาเอง ที่จริงคือพุทธ อาตมาตั้งคำว่าบุญนิยมมาล้อเลียนทุนนิยม คำว่าบุญนี้มีความหมายยิ่งใหญ่มาก แล้วเขาไปเป็นวิมานหลอกคนจนเจ๊งอยู่ทุกวันนี้จบ...


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 18:30:15 )

580325

รายละเอียด

580325_สรรค่าสร้าง(วนบ.) บ้านราชฯ  ถึงเวลาปฏิรูปศาสนาพุทธในเมืองไทย

 

 

พ่อครูว่า วันนี้ วันพุธ ที่ 25 มีนาคม 2558 เป็นวัน ขึ้น  6 ค่ำ เดือน 4 ปีมะเมีย 

 

วันนี้จะอ่านบทความทางการเมืองหลายบทความ

 

บทความแรก ของเลียบวิภาวดี : ปฏิรูปพระ

 

หลังจากที่ “วัดดัง” ต่างๆ ในบ้านเรากลายเป็น “ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า” ที่ทำให้ “อินเดียน่า โจนส์” ทั้งหลายทำการ “ห่มเหลือง” เพื่อใช้เป็นแผนที่เบิกทางเข้าไปไล่ล่าขุมทรัพย์ดังกล่าวอย่างกระหน่ำ

 

ไล่ล่า โดยเปลี่ยน “วัด” ซึ่งเป็นสำนักปฏิบัติธรรมและเผยแพร่ธรรมให้กลายเป็น “ห้างสรรพสินค้าขายบุญ” และบางแห่งเป็น “ศาลาต้มตุ๋นชาวบ้านที่จิตอ่อน” จนทำให้ศาสนาพุทธเรียวแหลมลงตามลำดับ และอาจล่มสลายในประเทศไทยเหมือนที่เกิดขึ้นแล้วในอินเดียและเกาหลี

 

ดังนั้น ไม่เพียงแต่ชาวพุทธในประเทศไทยเท่านั้นที่หวั่นไหวถึงหายนะดังกล่าว แม้แต่ชาวพุทธ ชาติอื่นๆ ก็กังวลถึงวิกฤติศาสนาพุทธในประเทศไทย ซึ่งถือเป็น “ศูนย์กลางศาสนาพุทธของโลก”

 

ด้วยประการฉะนี้ คณะกรรมการปฏิรูปพระพุทธศาสนาในสปช.จึงได้เสนอให้มีการปฏิรูป “อินเดียน่า โจนส์ ห่มเหลือง”

อย่างไม่ชักช้า

 

เหตุผลที่คณะกรรมการฯ หยิบยกขึ้นมาอ้างว่าจะต้องมีการปฏิรูปพระอย่างเร่งด่วน มีด้วยกัน 3 ประการคือ

 

1.การตรวจสอบทรัพย์สิน โดยทรัพย์สินของวัดและของพระที่ผ่านมาไม่มีการตรวจสอบและเปิดเผย เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ “อินเดียน่า โจนส์ห่มเหลือง” จำนวนมาก แห่กันเข้ามาไล่ล่าขุมทรัพย์ในห้างสรรพสินค้าขายบุญดังกล่าวอย่างละโมบ

 

2.พระไม่ปฏิบัติธรรม แต่มุ่งมั่นเป็นเซลส์แมน “ขายบุญ” ทำกำไรอย่างอู้ฟู่ จนทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาต่อพระ และกระทบไปถึงพุทธศาสนา

 

3.พระทำให้ธรรมวินัยวิปริตและประพฤติวิปริตจากธรรมวินัย เช่น กรณีของสำนักจานบิน เป็นต้น ที่มีแนวคำสอนขัดแย้งกับพระธรรมวินัยอย่างร้ายแรง และชักจูงให้ประชาชนเชื่อว่า “บุญ” คือ “สินค้าที่ซื้อขายได้”

 

ส่วนการปฏิรูปพระนั้น คณะกรรมการฯ ได้เสนอไว้ 5 แนวทาง คือ

 

1.ให้ออกพ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดการทรัพย์สินของวัดและพระ เพื่อเป็นการตรวจสอบทรัพย์สินของวัดหรือพระให้ตกแก่แผ่นดินอย่างถูกต้องโปร่งใส

 

2.แก้ไขป.แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1623 โดยแก้ให้ทรัพย์สินทั้งหลายที่ได้มาระหว่างเป็นพระตกเป็นของวัดและแผ่นดิน พระจะจำหน่ายจ่ายโอนหรือทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้บุคคลอื่นไม่ได้

 

3.แก้กฎหมายมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 24 พ.ศ.2541 ให้การปกครองของคณะสงฆ์ที่ “รวมอำนาจ” เป็น “กระจายอำนาจ” ให้พระทั้งประเทศต่างมีส่วนร่วม

 

4.มีกลไกป้องกันการบิดเบือนพระธรรมวินัย อย่างเป็นระบบ

 

5.ปฏิรูปการศึกษาของคณะสงฆ์ ให้ทันเหตุการณ์และเป็นผู้เข้าใจธรรมวินัยที่ถูกต้อง

 

การที่คณะกรรมการฯ ออกมาเปลี่ยน “ห้างสรรพสินค้าขายบุญ” กลับมาเป็น “วัดในพุทธศาสนา” ที่แท้จริงแบบนี้ก็ต้องมาติดตามดู “อินเดียน่า โจนส์” ห่มเหลืองทั้งหลายจะดาหน้าออกมาต่อต้านหรือไม่?

 

กมลศักดิ์ ตั้งธรรมนิยม

 

 

คอลัมน์ต่อไป ของคุณ สารส้ม

กวนน้ำให้ใส : ปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา ต้องไม่กลัวมารศาสนา

 

รายงานผลการพิจารณาศึกษาการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสตร์ (ชุดที่มีนายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธาน) เตรียมเสนอต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในวันที่ 24 มี.ค.นี้ มีประเด็นที่น่าสนใจหลายเรื่อง

 

หนึ่งในนั้น ได้แก่ ข้อเสนอแนะร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดการทรัพย์สินของวัดและพระภิกษุ

 

ระบุว่า อย่างน้อยต้องมีกลไกหลักในการดำเนินงาน คือ การจัดทำงบบัญชีทรัพย์สินของวัด, ทรัพย์สิน เงินทอง รายได้ รวมถึงผลประโยชน์อื่นที่ได้มาจากการดำเนินงานภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์ย่อมตกเป็นของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนตัวของบุคคล พระสงฆ์ หรือของวัดใด

 

การบริหารจัดการทรัพย์สิน เงินทอง รายได้ ของวัดและพระ ควรให้พุทธบริษัท 4 ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกามีส่วนร่วม เพื่อให้เกิดความโปร่งใส

 

“แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1623 ที่กำหนดให้ทรัพย์สินของพระภิกษุที่ได้มาระหว่างอยู่ในสมณเพศนั้น เมื่อพระภิกษุนั้นถึงแก่มรณภาพให้ตกเป็นสมบัติของวัดที่เป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุนั้น เว้นแต่พระภิกษุนั้นจะจำหน่ายไปในระหว่างมีชีวิตหรือโดยพินัยกรรม เพื่ออุดช่องว่างทางกฎหมาย และให้เป็นไปตามธรรมวินัย โดยให้ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างเป็นพระภิกษุให้ตกเป็นของวัดนับตั้งแต่ที่ได้มา และไม่สามารถจำหน่าย โอน หรือทำพินัยกรรมยกให้บุคคลอื่นได้”

 

2) การปฏิรูปการจัดการทรัพย์สินของวัดและของพระนั้น นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง

 

ปัจจุบัน ปรากฏปัญหาเกี่ยวกับทรัพย์สินเงินทองของวัดและของพระมากมาย รุงรังมาก

 

บวชแล้ว แทนที่จะลด ละ เลิก

 

กลับเกิดภาวะสั่งสมทรัพย์สิน กองกิเลสมหาศาล

 

บางกรณี พระมรณภาพ ทิ้งทรัพย์สินไว้มากหลาย ญาติพี่น้องมาเรียกร้องว่าเป็นมรดกของตนเอง

 

บางกรณี พระมีเงินเก็บล้นกุฏิ ทรัพย์สินหรูหรา รถยุโรปคันแพง บ้าน ที่ดิน ฯลฯ

 

บริหารจัดการทรัพย์สินของวัดและของพระเสมือนหนึ่งอาณาจักรผลประโยชน์ส่วนตน

 

บางวัด ผลประโยชน์มโหฬาร ยิ่งกว่าบริษัทธุรกิจรายใหญ่ๆ เสียอีก

 

ปัจจุบัน วัดถือเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย กำหนดให้เจ้าอาวาสเป็นตัวแทนของนิติบุคคลในการตัดสินใจดำเนินการต่างๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของวัด มีอำนาจทำนิติกรรม นำไปใช้จ่าย-ลงทุน จะฝาก-ถอนเงินออกจากบัญชี จะโอนไปให้ใครที่ไหนก็ขึ้นอยู่กับเจ้าอาวาส

 

แม้จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาจัดการดูแล โดยส่วนใหญ่ตัวกรรมการก็จะเป็นคนของเจ้าอาวาสทั้งสิ้น หลายกรณีเป็นญาติพี่น้อง คนรับใช้ คนสนิท ฯลฯ ทำให้อำนาจเด็ดขาดก็ยังอยู่ที่เจ้าอาวาสนั่นเอง

 

จะต้องปฏิรูประบบการบริหารจัดการทรัพย์สินและรายได้ของพระสงฆ์และวัด เพื่อปลดปล่อยพระสงฆ์จากเครื่องพันธนาการ บ่วงทางโลกและโลภ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ของพระตามพระธรรมวินัยต่อไป

 

3) ในรายงานของคณะกรรมการปฏิรูปฯ มีการประเมินมูลค่าทรัพย์สินของพระพุทธศาสนาว่า น่าจะไม่น้อยกว่า 20 ล้านล้านบาท!

 

เกือบ 2 เท่า ของมูลค่าจีดีพีประเทศไทย!

 

เกือบ 10 เท่า ของงบประมาณแผ่นดินประจำปี!

 

มหาศาล มโหฬาร มหึมา

 

แต่กลับปรากฏว่า มีการบริหารจัดการอย่างไม่โปร่งใส ไม่มีธรรมาภิบาล

 

4) เฉพาะเงินของวัดในประเทศไทย ผู้บริหารระดับสูงของธนาคารกรุงไทย เคยเปิดเผยว่า ในปี 2556 วัดทั้งหลายมีเงินฝากอยู่ในระบบธนาคารมูลค่ากว่า 300,000 ล้านบาท!

 

นี่เฉพาะเงินทำบุญที่ฝากไว้ในธนาคาร

 

ยังไม่นับที่เก็บไว้เป็นเงินสด แบบที่เป็นข่าวว่าเงินล้นกุฏิ ปลวกกิน หรือผ่องถ่ายไปไว้กับคนใกล้ชิด

 

แล้วที่เก็บไว้ในรูปทรัพย์สินอื่นๆ เช่น รถหรู ที่ดิน ทองคำ ฯลฯ มีอีกมหาศาลเท่าไหร่

 

งานวิจัย เรื่อง “การบริหารการเงินของวัดในประเทศไทย” ของ ดร.ณดา จันทร์สม คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) สะท้อนชัดว่าการบริหารจัดการเงินของวัดในประเทศไทยมีปัญหาความไม่โปร่งใสอย่างมาก

 

จากจำนวนวัด 37,000 แห่ง มีแค่หลักพันเท่านั้นที่ส่งรายงานบัญชีให้แก่สำนักงานพระพุทธศาสนา

 

แถมการจัดทำบัญชีของวัดก็ไม่สอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาล เพราะ “เจ้าอาวาสวัด” เป็นผู้กุมบัญชีและทรัพย์สินเบ็ดเสร็จ ไวยาวัจกรหรือคณะกรรมการวัดทั้งหลายส่วนใหญ่ก็เป็นเจ้าอาวาสเลือกขึ้นมา ซึ่งบ่อยครั้งก็จะเป็นเครือญาติ หรือลูกศิษย์ลูกหาคนสนิท

 

ไม่มีการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินของวัดต่อสาธารณะ ไม่มีระบบกำกับดูแลการบริหารการเงินของวัดที่มีประสิทธิภาพและมีมาตรฐานเพียงพอ

 

เมื่อระบบบัญชีวัดหละหลวม การบริหารจัดการขาดธรรมาภิบาล นอกจากจะเปิดช่องให้มีการนำเงินวัดไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวแล้ว ยังเกิดขบวนการฟอกเงินโดยอาศัยวัดเป็นช่องทาง

 

5) น่าคิดว่า นอกจากร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดการทรัพย์สินของวัดและพระภิกษุ ที่คณะกรรมาธิการ จะมีข้อเสนอแนะแล้ว คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เคยมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา

 

มีการกำหนดโทษ กรณีพระภิกษุกระทำการล่วงละเมิดพระธรรมวินัย ทำการเสพเมถุน หรือ กล่าวอวดอุตริมนุสธรรม ก่อให้เกิดความเสียหายแก่พระพุทธศาสนา มีโทษทั้งจำทั้งปรับ

 

ผู้ใดเป็นผู้ร่วมกระทำผิด หรือสนับสนุนในการกระทำความผิด ก็มีโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้น

 

ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ ให้หลักศาสนธรรมเพี้ยนไปจากพระไตรปิฎก ต้องระวางโทษจำคุก

 

พระภิกษุ สามเณร มีไว้ในครอบครองซึ่งสื่อวิดิทัศน์หรือวัตถุใดๆ ที่มีลักษณะเดียวกันเกี่ยวกับลามกอนาจาร ต้องระวางโทษจำคุก

 

พระภิกษุ สามเณร ดื่มสุรา ยาเสพติด หรือของมึนเมาอื่นใด จนไม่สามารถครองสติได้ จนเป็นเหตุให้เสื่อมเสียแก่พระพุทธศาสนา ต้องระวางโทษจำคุก

 

พระภิกษุ สามเณร กระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการพนัน ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในบทบัญญัตินั้นๆ หนึ่งในสาม ฯลฯ

 

หาก คสช.ต้องการจะอุปถัมภ์ค้ำชู ปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา เพื่อให้เจริญงดงามต่อไปจริงๆ ก็ขอให้ใช้โอกาสนี้ในการผลักดันอย่างสะเด็ดน้ำ อย่าได้เกรงกลัวต่อมารศาสนา หรือเหลือบผ้าเหลือง จะเป็นบุญกุศลแก่ประเทศชาติ อย่างที่สุด

 

สารส้ม

 

ต่อไปจะอ่านหัวข้าว ในนสพ. ไทยโพสต์วันนี้

เตือนพุทธสูญจากไทย สปช.ซัดธรรมโกยภัยมั่นคง/อึ้ง!ทรัพย์สินพระ20ล้านล.

 

เปลือยตัวตน “ธัมมชโย” ชี้เทศน์ “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” ไม่ต่างจากนักธุรกิจที่ห่มผ้าเหลืองหากิน “หมอมโน” แนะจับตา 3 เม.ย. “ธัมมี่” ไป สปป.ลาว อาจขอลี้ภัย เผยมีมือปืนจากซุ้มอีสานจ้องเด็ดหัวเพราะแฉนะจ๊ะ “ไพบูลย์” หวัง “บิ๊กตู่” เอาจริงปฏิรูปพระพุทธศาสนา เสนอ 4 ปัญหาพร้อม 4 ทางแก้ อึ้ง! รายงาน สปช.เผยทรัพย์สินวงการสงฆ์มากกว่า 20 ล้านล้าน ปล่อยจานบินลอยนวล ศาสนาพุทธอาจอันตรธานจากประเทศ

เมื่อวันอาทิตย์ ยังมีความต่อเนื่องกรณีพระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือพระเทพญาณมหามุณี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ที่ได้เทศน์พร้อมเปิดคลิปเมื่อช่วงค่ำวันที่ 21 มี.ค. ผ่านสถานีโทรทัศน์ช่อง DMC โดยมีเนื้อหาเสียดสีกรณีการคืนเงินให้สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด ในทำนองว่า ไม่ได้หนี ไม่ได้หาย แต่มันไม่มี ถ้ามีจะคืนทันที ไม่ต้องมาทวง เจ้าหนี้ไม่ต้องมาทวง ไม่ต้องมาแหย่ นั้น

ล่าสุด นพ.มโน เลาหวณิช กรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) อดีตพระที่เคยบวชเรียนวัดพระธรรมกาย 19 พรรษา ซึ่งใกล้ชิดพระธัมมชโย กล่าวว่า เป็นการสะท้อนให้เห็นตัวตนว่าไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมรับว่าผิด การให้ลูกศิษย์เรี่ยไรเงินบริจาคเพื่อมาคืนสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ กว่า 600 ล้านบาท แล้วยังมีคนหลงเชื่อจำนวนมาก ถือว่าน่าเสียดาย เพราะเห็นได้ชัดว่าท่านรับเงินมาจากนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ จริง ทำให้คนจำนวนมากเดือดร้อน แต่ท่านก็ไม่แคร์

 

ต่อไปเป็น บทความ คอลัมน์บ้านเกิดเมืองนอน  สิริอัญญา

 

ปัญหาของชาติ...เกิดจากการไม่ทำหน้าที่!

 

น่าเห็นใจ คสช.และรัฐบาล ที่ต้องรับภาระหนักหน่วงในการกอบกู้ฟื้นฟูประเทศชาติทุกๆ ด้าน เพราะสิ่งที่นักการเมืองได้สร้างกรรมทำเข็ญไว้กับบ้านเมืองต่อเนื่องมายาวนานนั้น หนักหนาสาหัสยิ่งนัก

 

หากจะเปรียบประเทศเป็นปลาตัวหนึ่ง ก็ถูกกิน ถูกแทะ จนเหลือแต่กระดูกหัว กระดูกหาง และก้างเท่านั้น

 

ความเหลื่อมล้ำ ความยากจน และความเสื่อมทรุดล่มสลายแผ่ขยายเป็นวงกว้างในทุกวงการ ในทุกพื้นที่ และในทุกหมู่ทุกเหล่า ไม่เว้นแม้กระทั่งวงการสงฆ์ ที่เสื่อมทรุดถึงขนาดอลัชชี เดียรถีย์ ครอบงำบงการกิจการพระพุทธศาสนาแทบจะสิ้นเชิง

 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นเหตุปัจจัยของสภาพการณ์ดังกล่าวมานานแล้ว ดังนั้นตลอดระยะเวลาประมาณ 20 ปีที่ผ่านมานี้จึงได้พระราชทานพระบรมราโชวาทพระราชดำริและกระแสพระราชดำรัสเป็นอันมากให้คนทั้งหลายได้สำนึกในหน้าที่รับผิดชอบของตน ให้คนทั้งหลายตั้งใจมานะบากบั่นทำหน้าที่ของตนให้สำเร็จลุล่วงและด้วยความซื่อสัตย์สุจริต

 

กระทั่งทรงชี้ให้ได้รู้ ได้เข้าใจกันโดยทั่วไปว่า บ้านเมืองมีทั้งคนดีและคนไม่ดี และไม่สามารถกำจัดคนไม่ดีให้หมดไปได้ ดังนั้นในการบริหารบ้านเมืองจึงต้องส่งเสริมให้คนดีมีอำนาจและต้องป้องกันขัดขวางกำจัดไม่ให้คนไม่ดีมีอำนาจ

 

แต่เพราะระบบการเลือกตั้งที่นักการเมืองฉ้อฉลชั่วร้ายผูกขาดอำนาจต่อเนื่องมาถึง 80 ปี ได้ปลูกฝังความคิดที่ผิดและอัปลักษณ์ จนผิดชอบชั่วดีเลอะเลือนไปหมดสิ้น และในที่สุดก็เกิดผลสำคัญดังที่รู้กันทั่วไปคือ ระบบการเลือกตั้งและนักการเมืองที่เป็นอยู่ในขณะนี้นั้น ไม่ใช่ที่พึ่งอันเกษมของประเทศชาติและประชาชน สภาพการณ์ตกอยู่ในวิกฤติที่ไม่ว่านักการเมืองหน้าไหนพรรคใดเข้ามามีอำนาจ ก็มีแต่เรื่องอุบาทว์ต่ำช้าเหมือนกัน จะต่างกันที่ปริมาณมากและน้อยเท่านั้น

 

การเลือกตั้งครั้งล่าสุดสองครั้งที่ผ่านมา ประชาชนชาวไทยได้ข้อสรุปเป็นที่ยุติตรงกันทั้งประเทศแล้วว่า ระบบการเมืองและการเลือกตั้งที่เป็นอยู่นี้คือระบบที่ทำให้เกิดรัฐบาลประเภทอัปรีย์ไป จัญไรมา

 

การไม่ทำหน้าที่ของคนในรัฐบาล ในสภา ในองค์กรอิสระและอื่นๆ จึงทำให้ความชั่วร้ายขยายวงลุกลามบานปลายยิ่งกว่าหญ้าคอมมิวนิสต์ในฤดูฝน จึงก่อให้เกิดความพินาศวายวอดขึ้นแก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งเป็นภาระอันหนักยิ่งของ คสช. และรัฐบาล

 

ดังนั้นถ้าจะให้การยึดอำนาจครั้งนี้ไม่เสียของ ก็ต้องกอบกู้ฟื้นฟูประเทศให้ออกมาจากสภาพที่เป็นอยู่ให้ได้

 

และดูเหมือนว่านายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา น่าจะประจักษ์ใจอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่า แม้การยึดอำนาจได้ผ่านพ้นมาเกือบจะครบปีแล้ว แต่สภาพที่คนไม่ทำหน้าที่หรือทำหน้าที่โดยทุจริตหรือโดยไม่ชอบยังคงมีอยู่โดยทั่วไป ถึงขั้นที่มีการจับกุมปราบปรามอย่างกว้างขวางก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหมดไป

 

จึงเป็นที่มาของปริศนาธรรมคำพูดที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไปยืนที่ต้นไม้ต้นหนึ่งและปลิดเอาดอกเหี่ยวๆดอกหนึ่งออกมา แล้วปรารภให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ดอกไม้เหี่ยวๆ แบบนี้ต้องปลิดออกไปบ้าง

 

ซึ่งไม่มีใครทราบว่าเป็นเหตุการณ์บังเอิญ หรือเป็นการปรารภด้วยมีปริศนาทางใจอะไรอยู่เบื้องหลังหรือไม่

 

ทว่าผู้สื่อข่าวก็นำเรื่องนี้มารายงานอย่างกว้างขวาง แล้วจับตาดูกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น

 

เรื่องแบบนี้เคยมีมาแล้ว!

 

สมัยหนึ่งโจโฉแทะซี่โครงไก่อยู่ ก็ปรารภขึ้นว่า แทะอย่างไรก็ไม่มีเนื้อไก่ แต่จะขว้างทิ้งไปก็เสียดาย เพราะยังหวานมันอยู่ พอดีนายทหารเข้ามาถามรหัสเข้า-ออกหน่วยสำหรับคืนนั้นว่า จะใช้รหัสอะไร โจโฉซึ่งกำลังเพลินอยู่กับการแทะซี่โครงไก่ จึงออกปากว่า “ขาไก่” ทำให้เอียวสิ้วคนสนิทตีความว่าโจโฉกำลังจะถอยทัพ จึงสั่งการให้ไพร่พลสนิทเก็บข้าวของ เกิดการโกลาหลขึ้นในกองทัพ โจโฉทราบความจึงประหารเอียวสิ้วเสีย

 

อีกสมัยหนึ่ง สหายร่วมรบกับเหมาเจ๋อตุงมีอำนาจแล้วก็เสพสุข รับสินบาท คาดสินบน สร้างความหม่นหมองให้แก่เหมาเจ๋อตุงเป็นอันมาก เพราะเคยเตือนให้สหายทั้งหลายระมัดระวัง “กระสุนน้ำตาล”ตั้งแต่ก่อนการเคลื่อนทัพเข้ายึดกรุงปักกิ่งแล้ว

 

ครานั้นเหมาเจ๋อตุงรำพึงว่า ไม้เท้าเก่าจะใช้ต่อไปก็อาจล้ม ทิ้งไปก็อาลัย เสื้อเก่า รองเท้าเก่า ใช้ต่อไปก็ไม่สบาย ทิ้งไปก็อาวรณ์

 

หลังจากรำพึงและปรารภดังนั้นแล้ว เหมาก็ออกคำสั่งปลดสหายร่วมรบที่ดำรงตำแหน่งสูงหลายคนออกจากตำแหน่ง

 

ก็เป็นเรื่องน่าจับตามองว่าหลังปริศนาธรรมเกิดขึ้นดังนี้แล้ว บรรดาขุนนางข้าราชการทั้งหลายที่ไม่ทำหน้าที่หรือทำหน้าที่โดยไม่ชอบหรือโดยทุจริต จะยังคงเชิดหน้าชูตาอยู่ในอำนาจหน้าที่ต่อไป หรือว่าจะได้รับการจัดการแก้ไขอย่างไร?

 

ต่อไปเป็น บทความของ คุณเปลว สีเงิน

'เลือกตั้ง-เลือกอนาคต' เลือกไหน?

 

ที่หายไป 3-4 วัน ไม่ได้หนีไปเที่ยวไหนหรอกครับ ไปให้หมอควักลูกตาล้างน้ำ ต้องโปะผ้าก๊อซไว้ เลยต้องงดใช้ดวงตาซุกซนสอดส่ายชั่วคราว

นี่ก็ต้อง "หรี่ตาข้างหนึ่ง" น้ำตาไหลพรากเหมือนคนอกหักตอนแก่ฉกรรจ์เพราะจ้องจอคอมพ์และจิ้มแป้น PC จะเกาะหลังคุณ "ผักกาดหอม" กินนานไป ก็เกรงใจเค้า

และกลัวตัวเอง "จะขึ้นขน" ด้วยขี้เกียจเรื้อรัง!

เมื่อตาต้องปิด ผมจึงเปิดหูฟังข่าวทางวิทยุ-โทรทัศน์ แทนการอ่านจากหนังสือพิมพ์และเน็ตนานๆ

ฟังอดีตนักการเมือง ทั้งที่เคยเป็น ส.ส.และไม่ได้เป็น วิจารณ์ หรือใช้คำให้ตรงตัวว่า "จวก" ร่างรัฐธรรมนูญ ที่คณะกรรมาธิการยกร่างฯ ปรุงเสร็จแล้ว รอการ ชิม-ชม-แช่ง-ชิ้วๆ

ทำให้นึกขึ้นได้ว่า.......

ตั้งแต่ยกร่างรัฐธรรมนูญกันมา ผมไม่เคยพูดถึงเลย จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่า ที่ร่างๆ กันนี้มีกี่ร้อยมาตรา?

พยายามตะแคงหูฟังนักการเมืองที่อ้างว่า "ผม....ตัวแทนประชาชน" ไม่ว่าจากซีกเพื่อไทยหรือซีกประชาธิปัตย์

เพื่อจะจับความว่า........

เขาทำหน้าที่ตัวแทน เอาใจใส่ ใคร่ครวญ เพื่อพิทักษ์ประโยชน์ประเทศชาติ-ประชาชนโดยตรง ด้วยหยิบยกประเด็นตามเนื้อหา "หมวดไหน-มาตราไหน" ที่ไม่เข้าท่า-เข้าทาง ขึ้นมาวิพากษ์-วิจารณ์บ้าง?

ให้ตายต่อหน้าตักยิ่งลักษณ์เถอะ.....!

ทั้งสามร้อยกว่ามาตรา "นักเลือกตั้งอาชีพ" ร้อยละทั้งร้อย จิกติดเหมือนอีกาปากเหล็กอยู่ประเด็นเดียว คือ

"การเข้าสู่อำนาจ" ของตัวเอง!

จะบอกว่า เป็นปรากฏการณ์มงคลครั้งแรกในรอบทศวรรษก็ได้ ที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้สร้างปาฏิหารย์

คือสามารถดลบันดาลให้นักการเมืองเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ ซึ่งวิถีการเมืองตลอดมา ถ้ามึงไปซ้าย กูต้องไปขวา และถ้ามึงไปขวา กูต้องไปซ้าย จากร่างฯ นี้...........

ทำให้ประชาธิปัตย์-เพื่อไทย "สมานฉันท์" เป็นนิมิตนรก และร่วมปฏิบัติการ "ถลมร่างรัฐธรรมนูญ" เพื่อผลประโยชน์ทางอาชีพเดียวกันชนิด ต้องตายกันไปข้าง!

ทำไมล่ะ...ถ้ารัฐธรรมนูญที่ร่างกว่าสามร้อยมาตรา ดีหมด-ถูกต้องหมด มีเพียง 2-3 มาตรา ในจำนวน 300 กว่ามาตราเท่านั้น ที่เห็นว่าควรแก้ไข

ร่างฯ ฉบับนี้ มันควรต้องบอกว่า...เยี่ยม มิใช่หรือ?!

แล้วพวกนักการเมือง 2 ขั้วนี่ โวยทำไม ในเมื่อดีถึง 90% บกพร่องไม่ถึง 10% ก็รีบให้ผ่าน-ให้เสร็จ ตามกำหนด จะได้เลือกตั้งกันเร็วๆ ตามอยากไม่ดีกว่าหรือ

เมื่อเลือกตั้งได้อำนาจคืนสู่มือโจร-มือบัณฑิตเยี่ยงพวกท่านแล้ว ก็ใช้อำนาจตามกลไกเลือกตั้ง ด้วยระบบรัฐสภานั้น แก้ไขเอาซี

แค่ข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ในเมื่อมีอำนาจแก้ ก็แก้ซะ ไม่มีใครว่าหรอก

หรือไม่จริง?

ก็มาดูถึงประเด็นที่โวยวาย ต้านต่อ ชนิดเอาเป็น-เอาตายกันบ้างว่า เป็นมาตราว่าด้วยประโยชน์ชาติ-ประชาชนโดยตรง หรือประโยชน์ใคร?

อันดับ 1 โวยเรื่องจำนวน ส.ส.-ส.ว.และที่มา

อันดับ 1/1 โวยเรื่องนายกฯ ไม่จำเป็นต้องมาจาก ส.ส.

สรุปชัดๆ คือ ทั้งเรื่องพระมหากษัตริย์ เรื่องสิทธิเสรีภาพประชาชน เรื่องนโยบายพื้นฐานรัฐ เรื่องการเงิน-การคลัง-งบประมาณ และอีกร้อยแปดพันเก้า

นักการเมืองไม่สนใจเลยว่า เขาจะร่างกันออกมาแบบไหน สนใจ-เพ่งเล็งอยู่หมวดเดียว

คือ "หมวดรัฐสภา"

คือหมวดว่าด้วยอาชีพนักเลือกตั้ง ว่าด้วยรูปแบบ-วิธีการเข้าสู่ "อำนาจบริหาร-อำนาจนิติบัญญัติ" ที่เรียกว่า "รัฐบาล-รัฐสภา" เท่านั้น!?

โอ้...จอร์จ....เวรจริงๆ!

เรื่องของบ้านเมือง เรื่องประชาชน มันไม่สน สนเฉพาะเรื่องได้-เรื่องเสียในอาชีพของมัน

สังคมประเทศเข้าสู่เส้นทางปฏิรูปมาขนาดนี้แล้ว นักเลือกตั้งอาชีพยังไม่ปรับตัว

ยังคิดเก่าๆ ทำเก่าๆ ยึดเก่าๆ เฉพาะประโยชน์กู

แบบนี้...จะรีบเลือกตั้งไปเพื่ออะไร ไม่เพราะ "ประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง" ตลอดมาดอกหรือ.........?

บ้านเมืองจึงกลายเป็นธุรกิจสาธารณะที่ "ใครก็ได้" ในคราบ "นักเลือกตั้ง" เวียนกันเข้ามาสูบเลือดไป แล้วถ่ายเชื้อโรคทิ้งไว้

จนสังคมประเทศวันนี้เป็นโรค "ภูมิต้านทานบกพร่อง" พร้อม "ติดเชื้อ-ติดโรค" และล้มตายได้ทุกขณะ!

เมื่อนอนไป-ฟังไป-คิดใคร่ครวญไป ผมก็เกิดอาการปีติ ด้วยบรรลุ คือเกิดดวงตาเห็นความจริงในปัจจุบันขณะว่า.......

ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ สุดท้ายแล้วต้องออกมาเป็น "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย" ฉบับที่ดีแน่ ตอบโจทย์ประชาชน นำสังคมชาติสู่อนาคตใหม่ที่สดใสได้แน่

เพราะ.....ถ้านักเลือกตั้งเก่าๆ บอกว่า ไม่ดี...โวย แสดงว่า ร่างฯ นี้ไม่สนองเส้นทางอำนาจพวก คิดเก่า-ทำเก่า-ยึดเก่า

ถือว่า กรรมาธิการยกร่างฯ เดินมาถูกทางแล้ว

แต่ถ้านักการเมืองเก่าๆ บอกดี ชอบใจ แสดงว่าร่างฯ ฉบับนี้ห่วย ไม่สนองตอบสังคมชาติสู่เส้นทางอนาคตใหม่ อย่างที่คนรุ่นใหม่ "ยุคปฏิรูป" นี้ต้องการ!

นักการเมืองเก่าๆ คือพวกที่ "ทำตรงข้าม" กับคำแนะนำของเขาเองวันนี้ ที่ว่าดี..ว่าใช่..ว่าถูกต้อง ซึ่งตอนมีอำนาจ เขากลับไม่ทำ หรือทำไม่ได้เลย!

ด้วยตรรกะนี้ ผมจึงพอใจร่างรัฐธรรมนูญภายใต้รัฐบาลคสช. เพราะถ้า คสช.โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นำคณะเข้ายึดอำนาจปกครองประเทศแล้ว

บนหลักการและแนวคิด "ปฏิรูปสังคมประเทศ"...........

ขืนร่างรัฐธรรมนูญออกมาแบบเก่าๆ เหมือนแกะลาย-แกะดอกออกมาจากรัฐธรรมนูญเก่าๆ เลือกตั้งแล้ว ได้รัฐบาล-รัฐสภา "มากินชาติ" เหมือนเก่า

แบบนั้น........

ยึดอำนาจประเทศมาหาหอกอะไร...หือ?

ฉะนั้น มันต้องสรรหาวิธีการ-รูปแบบใหม่ๆ มาใช้ ร่างฯ ฉบับนี้เหมือนซีม่า แค่ขยับ..ไม่ทันทา ไอ้ตัวขี้เรื้อน-ขี้กลากดิ้นพราด โวยวาย แสดงว่า

สูตรนี้ เชื้อโรคขยาด...ใช้ได้...ใช้ได้!

ความจริง ก็แค่ร่างฯ เหมือนดุ้นฟืน คณะกรรมาธิการยกร่างฯ เพิ่งถากเป็นรูปเรือ แค่เนี้ย...โวยวาย ถึงขั้นถล่มประเทศกันแล้ว

จะสติแตก หรือไม่มีสติกันไปถึงไหน หือ.....ยังอีกนาน อีกหลายขั้นตอน นี่แค่ขั้นถากดุ้นฟืน "ขึ้นรูป" เท่านั้น

ยังไม่ถึงขั้นตอนคณะกรรมาธิการ สปช.ทั้ง 18 คณะจะอภิปรายในตอนปลายเดือนเมษาด้วยซ้ำ

จาก สปช.ไป สนช.และไปโน่น-นี่อีกเยอะ แตะนั่น-แตะนี่ กว่าจะถึงขั้นตอนสุดท้าย ลงตะไบ ลงกระดาษทราย เป็นรูปร่างลงตัวจริงๆ

หน้าตาตอนขึ้นรูป กับวันลงกระดาษทราย มันไม่เหมือนกันแน่นอนอยู่แล้ว

ฉะนั้น เป็นนักการเมืองเก่าๆ น่ะ ยังพอมีชีวิตดิ้นได้........!

แต่ขืนเป็น "ปลาหน้าโง่" รีบ "ฮุบเบ็ด" ที่พลเอกประยุทธ์หย่อนสายลองเชิง ทั้งที่ยังไม่ได้เกี่ยวเหยื่อแบบนี้

เห็นทีอนาคต กลายเป็น "เกี่ยมฮื้อ" โอกาสสูง!

เรื่องการบ้าน-การเมืองวันนี้ ไม่ใช่เพื่ออนาคต คือการเลือกตั้งวันนี้-วันพรุ่ง หากแต่อนาคตที่จะมาเป็นปัจจุบัน ที่คนเป็นผู้บริหารวันนี้ต้อง "เตรียมรับมือ" เร่งด่วน คือ

ถอนสติ-ถอนสายตาจาก "ปัญหาภายใน"

แล้วขึ้นไปบนยอดภูเขาทอง กวาดสายตาสำรวจไปรอบๆ ทั้ง 8 ทิศ มองไกลๆ มองรอบๆ มองกว้างๆ บนคำว่า "สถานการณ์โลก"

ในภาวะ ใครมีแค่ดอกหญ้าแซมผม ผู้คนก็รุมชมแล้วว่าแสนสวย ด้วยเสถียรภาพทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมไทยเราเวลานี้...ไทยคือคนสวยคนหนึ่งของโลก!

บนความเป็นปัจเจกบุคคล ยึดปัญหาเฉพาะตน "บ่นว่าลำบาก" ได้ แต่ในความเป็นผู้บริหารประเทศ ต้องบริหารยึดและรักษา "คนสวยของโลก" ไว้ให้ดีและให้ได้

นั่นคือ....จะบริหารด้วย "วางตำแหน่ง" ประเทศไทยเราในสงคราม "แยกขั้ว-แยกข้าง" ที่ต้องปะทุแน่อย่างไร

ประชาชนมองไม่เห็นภัยจากปัญหานี้-ไม่เป็นไร

แต่รัฐบาล คสช. "ต้องเห็น" และต้องบริหารก่อน.

 

วันนี้เอาความคิดควาเห็นของคนอื่นๆมาอ่าน ต่อไปอาตมาก็ขอสรุปอีกนิดหน่อย...

 

สังคมประเทศชาติที่อ่าน หลายคอลัมน์ให้ฟัง ก็เพราะไม่ว่าจะสังคม การบริหารบ้านเมือง ก็กำลังจะคลอด เพราะเป็นเรื่องที่เลวร้ายมามากแล้ว เราก็จะทำคลอดกันอย่างที่ว่าไม่มีลูกประหลาด หรือถ้าจะมีลูกประหลาดก็ให้เป็นอาริยะเลย แต่แบบหลังนี้ไม่หวัง ไม่ได้ดูถูก เพราะว่า ความรู้ด้านการศาสนาในเมืองไทยตอนนี้ทำไม่ได้ ขออภัยที่ต้องพูดความจริง เพราะมันจะไม่ทันกาล อาตมาจึงต้องพูดลงแส้ ชี้ชัดว่าอะไรถูกหรือผิด ไม่ได้พูดเอาความโก้เก๋อะไร ก็ย้ำไม่รู้กี่ทีว่า ต้องลงมือ เจตนาดีอาตมาเห็น ตั้งแต่ผู้กุมบังเหียนคือนายกฯ ดำเนินไปดี จะไม่ทันการณ์ เพราะเป็นปีแล้ว อาตมาเห็นใจมากกว่า เพราะไม่ใช่เรื่องเล็ก การเมืองไทยโยนทิ้งไปได้เลย การเมืองไทย 83 ปีแล้ว แก่กว่าอาตมา 2 ปี เพราะอาตมาเกิดปี 2477 ปชต.แก่กว่าอาตมา 2 ปี มันเสียหายไปหมดเลย แต่ก็เข้าใจอยู่่

 

ความเป็นปชต.จึงเข้าใจได้ยาก จะชื่อว่าระบอบอะไรก็แล้วแต่ อย่างบรูไน เป็นต้น ก็เป็นกษัตริย์ปกครอง แต่ก็เป็นปชต. ปชต.ไม่ได้ชื่อว่าระบอบ ไม่ได้อยู่ที่ชื่อ มันอยู่ที่ลักษณะจริงเนื้อแท้ของปชต. ที่หมายถึงว่าให้ปชช.มีอิสระ มีความเป็นอยู่ดีด้วยการบริหาร จะสมบูรณายาสิทธิราชท่านบริหาร แต่ว่ามาเมืองไทยบอกว่าปชต.คือการเลือกตั้ง เลยทำให้เห็นว่าการบอกว่าปชต.คือการเลือกตั้งมันง่ายตื้นมาก เราไม่เถียงนะว่า ปชต.คือการเลือกตั้ง แต่ว่ามันมีองค์ประกอบมากกว่านั้นอีกเยอะ

 

พระพุทธเจ้าหรือชาวอโศก แม้รูปของคอมมิวนิสต์เราก็คอมมูนเต็มรูป หรือปชต.เราก็ปชต.เต็มรูป หรือเผด็จการก็เผด็จการเต็มรูป แต่ว่าเป็นเผด็จการปชต.นะ เสียภาษี 100% ไม่มีบังคับใครจะเข้าหรือออกก็ได้ทุกเวลา คือทำอย่างไรให้สังคมเป็นปชต.ได้ อาตมาให้การศึกษาให้ความรู้ แล้วพวกเราก็เข้าใจและปฏิบัติจนเปลี่ยนแปลง กาย วาจา ใจ เข้าใจว่ามาเป็นคนเช่นนี้ดีกว่า ต้องบริหารให้ปชช.เกิดการเปลี่ยนแปลงกาย วาจาใจ จนถึงใจเลยที่เกิดไม่เห็นแก่ตัว ช่วยเหลือมวลชน นั่นแหละคือนักการเมือง ด้วยความบริสุทธิ์ใจเลย ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ให้ปชช.เลี้ยงไว้ ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา แล้วปชช.จะไม่ทิ้ง เลี้ยงเขาไว้

 

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น สรุป และถาม

_

กรณีเช่นนี้ใครก็รู้ว่าผิด เข้าข่ายอาญาแบบนี้ ไม่กี่บาทก็เข้าคุกแล้ว แต่นี่มีผลกระทบจากการกระทำของเขานี่มากมาย ถ้าคราวนี้ ถ้าทางการผู้บริหารความมั่นคง ได้อาญาสิทธิ์ที่จะต้องจัดการเรื่องนี้ได้ อาตมาว่า เสียไปถึงผู้บริหาร อาตมาว่าน่าจะเข้าผิด กม. ม.157 นะ เพราะทำผิดหน้าที่ ถ้านายกฯประยุทธิ์คราวนี้ไปที่งานศพ ลีกวนยู ถ้าเจอกับทักษิณ แล้วไม่ทำหน้าที่ ประเทศไทยจะเป็นอย่างไรกัน อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ถ้าเจอกันจริงๆแล้วจะทำอย่างไร? เจอแล้วไม่จับ ถือว่ามารยาทสังคม ถ้าเป็นนักโทษและหนีคุกอีก เป็นสิบคดี ที่จะต้องจับจริงๆ แต่หย่อนยานไปมากแล้ว

 

เรื่องกับมหาเถรสมาคม นั้นอาตมาอยู่ร่วมไม่ได้จริงๆ เพราะอาตมารู้ว่า พระในระดับบริหารระดับสูงนี่ ปาราชิก ปาราชิกเรื่องเงินกับเรื่องผู้หญิง ถ้าเรื่องเงินจะจับปาราชิกในพระนี่ จะเหลือกี่รูป เพราะเรื่องเงินนี่ ไปทุจริต ไปเอาเงินที่ไม่ใช่ของเรา พระพุทธเจ้าว่าไว้ละเอียดแม้ จับต้องของที่ไม่ใช่ของเรา มีจิตลักแล้วของเคลื่อนไปก็ปาราชิกแล้ว หรือไปเดินร่วมกับผู้หนีภาษีก็ผิด

 

ความที่ไม่เข้าใจในศาสนาพุทธ แม้เทวนิยมเขาก็สอนให้จน จนจนสุดโต่งเลย มันเรื่องตื้นๆเลย ถ้าธรรมะแล้วไม่ว่าที่ไหนก็ไม่ให้มุ่งไปรวย ให้มีแต่แบ่งแจกกัน คือลักษณะทุนนิยม maximize profit ไม่ใช่เรื่องศาสนา แต่มาประกาศให้รวยๆๆ ขนาดจะตายอยู่แล้วก็หน้าด้าน ว่าจงรวยๆ เหมือนประชดกันเลย ที่ธัมมชโยทำอยู่ขณะนี้ มันเป็นศาสนาตรงไหน เพราะแม้เทวนิยมเขาก็เน้นว่าต้องมาจน ไม่มีผลประโยชน์แล้วช่วยสังคม

 

ศาสนาอเทวนิยมก็จนเช่นกันแต่จนเปิดเผย จนวิเศษด้วย ในแง่ศาสนาจะพิจารณาว่าอะไรถูกผิด ก็ดูที่ หลักตัดสินธรรมวินัย พระพุทธเจ้าว่าธรรมใดวินัยใดเป็นไปเพื่อความมักมากไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนให้มักน้อย เป็นคนจน แต่ไม่เข้าใจกลับไปสนับสนุนให้รวยๆๆ แม้พระเจ้า ที่บริหารพระในเมืองไทย ยังไปอุ้มคนปาราชิกอีก ปชช.ชาวพุทธก็ไปหลงที่ไม่ใช่ลักษณะพระพุทธศาสนาเลย ไปทำแบบเขาอีก ก็ส่อว่าบ่งชี้ว่า ศาสนาพุทธ เหลือเท่าไหร่ สักหางอึ่งมันมีไหม?

 

มีคนเอาสมณะโพธิรักษ์ไปวิจารณ์กับธัมมชโยในเฟสบุคบ้างก็มีแง่ดีส่วนมาก

ชื่อคุณ รส เอกธรรมฤทธิ์ ได้ตั้งหัวข้อและเนื้อความว่า

 

...มีพระอยู่ 2.รูป ช่างต่างกัน อย่าง"ดินกับฟ้า" พระรูปหนึ่ง(โพธิรักษ์) ถูกกล่าวหาจากมหาเถร ว่าทำลายศาสนา มหาเถรจะเล่นให้ตาย จากศาสนาพุทธในไทย แต่ก็ไม่สำเร็จ ทั้งที่ไม่รับเงิน ทานมังสวิรัติ อาหารมื้อเดียว..ไม่ใส่รองเท้า ไม่เล่นไสยศาสตร์..พวกเดรัจฉานวิชา ที่เลี้ยงชีพในทางที่ผิด ดำเนินตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า สอนให้คนไม่เอาเปรียบกัน สร้างสังคมด้วยธรรมะ ...พระอีกรูปหนึ่ง(ธัมชัยโย) แต่งหลักธรรมชนิดใหม่ขึ้นมาเอง สามารถไปพบพระพุทธเจ้าได้ ขายสวรรค์ ขายบุญอย่างเมามันส์ หาเงินเข้าวัด อย่างมากมายมโหฬาร อยู่เบื้องหลัง กองกำลังเสื้อแดง สะสมอาวุธในวัด รับเงินที่เขาโกงมาให้ จากสหกรณ์คลองจั่น ทั้งที่เป็นเงินฝากของชาวบ้าน เอามาให้วัดตัวเอง

 

ซึ่งก็มีคนมาแสดงความเห็นหลายท่าน ก็เป็นทิศทางที่เข้าใจพวกเรามากขึ้น

 

Add Santiprapot มันแปลกแต่จริง..พ่อครูโพธิรักษ์นับวันมีแต่ตนยกย่องบูชา..ในขณะที่สังฆราชมีลิขิตว่าสิ้นจากความเป็นพระไปแล้วนับวันมีแต่คนก่นด่าเสื่อมศรัทธา..แต่มหาเถรกลับปกป้อง.ใครที่เป็นเหตุให้เสื่อม

 

โกณ จา มหาเถร..ไม่น่ามีความเลื่อมใสนับถือ คนที่ฟังเทศบ่อยๆ ก็มองออก..คนประพฤติดี มองว่าเห็นเป็นกบฏศาสนา คนอลัชชี มีเงินหว่าน ย่องย่อง ป้องกันไม่ให้ช้ำ..คนป้องคนบาป ก็ต้องติดบาปไปด้วย

 

Dol Moonman ผมเป็นมุสลิมแต่ยังชอบแนวทางของท่านโพธิรักษ์เลยครับ

 

พิศมัย ชำนาญคิด สาธุคะ คุณหมอ ทุกวันนี้มั่นใจมากว่า พุทธศาสนา แนวอโศกถูกต้องที่สุดเพราะทำให้ มักน้อย ไม่เบียดเบียน และเสียสละได้มากขึ้น

 

Dol Moonman ผมเห็นชาวอโศกมาช่วยเหลือผู้ชุมนุม พวกเขามีวินัย ขยันอดทนมากๆ แบบนี้แหละคือทางรอดแบบยั่งยืน

 

ไอติม โบราณ ท่านสมณะโพธิรักษ์อาจจะบวชไม่ถูกต้องตามที่สังคมพุทธเรานิยมกันก็จริง....แต่ท่านดีกว่าพระที่บวชถูกต้องตามค่านิยมคนไทยหลายหมื่นรูป...ผมเอาหัวเป็นประกันได้เลย 5555

 

แล้วก็มีกรณีที่ ที่ประชุมสปช.

 

 

เมื่อกี้นี้ มีผู้ที่ออกความเห็นว่า เรานี่ปฏิบัติดีใช้ได้ในเนื้อหาสาระ แม้ท่านก็บวชไม่ถูกต้อง เขาไม่ติดใจ เขาเอาเนื้อหาเป็นหลัก ว่าเป็นของใช้ได้ ...ที่เอาประเด็นนี้มาก็เพื่อยืนยันว่า ที่คนเข้าใจว่า อาตมาบวชไม่ถูกต้อง แต่ใจเขาเห็นว่าอาตมาดี แต่เขาเชื่อว่าอาตมาบวชไม่ถูกต้อง ทั้งที่อาตมาบวชถูกต้องทั้งธรรมยุติและมหานิกาย นอกนั้นแล้ว ทางมหาเถรยังจะเอาอาตมาสึกให้ได้ แต่อาตมาไม่สึก ก็ยังเป็นพระ แล้วอาตมาก็ผิดกฎหมายที่ว่า สั่งให้อาตมาสึก แล้วอาตมาไม่สึกก็ผิดกฎหมายสิ ประเด็นข้อกฎหมายว่าให้อาตมาสึกใน 7 วัน แต่อาตมาสึกไม่ได้เพราะไม่ได้ผิดธรรมวินัย ผู้สั่งสึกก็ทำผิดธรรมวินัย แม้กฎหมาย พศ. 2505 มีบทก็มีว่า กฎหมายต้องไม่ขัดแย้งกับพระธรรมวินัย ถ้าขัดพระธรรมวินัยก็ใช้ไม่ได้ แต่อาตมาก็แสดงข้อมูลแก่เขาไป สุดท้ายเขาก็ตัดสินให้อาตมาแพ้

 

สรุปแล้วอาตมาถูกมหาเถรสมาคม ป่าวประกาศ ทำให้เห็นว่า ไม่เป็นพระได้สำเร็จด้วย อาตมาไม่ถือว่าปชช.โง่หรอก แต่อาตมาว่า ทางเถรสมาคมเก่งโฆษณาชวนเชื่อจนปชช.เชื่อว่าอาตมาไม่เป็นพระ เขาทำได้เก่งมากสำเร็จ ถือว่าเก่งด้านนี้แต่มันผิดมันบาปเท่านั้น เป็นสัจจะ แต่ไม่เป็นไร อาตมาอยู่ได้ เป็นธรรมรักษาผู้ประพฤติธรรม

 

เพราะอาตมาเห็นว่ามหาเถรสมาคม นั้นไม่ใช่กลุ่มบัณฑิตตามที่พระพุทธเจ้าสอน ไม่ใช่คนที่อาตมาต้องไปคบคุ้นด้วยก็เลยแยกออกมา ถ้ามหาเถรสมาคมเป็นเนื้อแท้ถูกต้อง อาตมาก็ต้องเข้าใจผิด แต่อาตมาออกมานี่ก็คือเห็นว่าทางนั้นผิด แล้วมาปัจจุบันก็ยิ่งมั่นใจ ชัดเจน เห็นเลยว่า ที่อาตมาทำนี่ถูกจริงๆ เป็นเรื่องจริงมองได้ ก็เรื่องตื้นๆ ว่ามุ่งไปรวยกับมุ่งไปจนนี่ก็ตัดสินได้แล้ว ว่าคนมาปฏิบัติธรรมจะมุ่งไปรวยหรือมุ่งไปจนนี่อันไหนน่าจะผิด อันไหนเป็นเนื้อแท้ของพุทธ

 

ชาวเทวนิยมเขายังเข้าใจเลยว่าอะไรถูก เขาโต่งก็ยังทำได้มักน้อยสันโดษ อย่างอินเดีย แม้ผ้าก็ไม่นุ่งไม่แย่งไม่เบียดเบียนเขาก็ว่าเป็นศาสนา พุทธก็ไม่ได้ขัดแย้ง ในหลวงเราก็สอนแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเราอย่าไปก้าวหน้าไปร่ำรวยอย่างเขา นั่นมันถอยหลังอย่างน่ากลัวมาก แต่สังคมไทยก็ยังเข้าใจอย่างที่ในหลวงว่านี้ไม่ได้ แม้แต่ผู้บริหารสังคมก็เข้าใจที่ในหลวงตรัสไม่ได้ ว่าในหลวงตรัสโลกุตรธรรม ของศาสนาพุทธ ในหลวงเป็นโพธิสัตว์ตรัสต่อโลกด้วย เพื่อให้รู้เจตคติของพระองค์ว่าเป็นเช่นนี้ แล้วแพร่ไปทั่วโลกเป็นเรื่องอัจฉริยะ น่าเสียดายคนไทย หากเรากู้ธรรมะพระพุทธเจ้าคืนไม่ได้ คราวนี้ อาตมาว่า จบ ศาสนาพุทธในเมืองไทยก็จบ ถ้าปล่อยให้สมีบริหารประเทศอยู่อย่างนี้เจ๊งแน่ศาสนาหมด อาตมาพูดชัดนะ ขวานจักตอก ใครจะถือสาก็ขออภัยไม่ได้มีเจตนาเกลียดชังเลวร้าย มีแต่ปรารถนาดี ...จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 18:31:30 )

580326

รายละเอียด

580326_ความรัก 10 มิติ บ้านราชฯ เรื่อง มิติที่ 1 กับมิติที่ 7(จบวิชา)

พ่อครูว่า...อาตมาได้บรรยายก็วนไปวนมาหลายเที่ยว วันนี้จะได้อธิบายอีก ถึงความรักที่ คนอ้างว่าเป็นความรัก ความดี แต่แท้จริงเห็นแก่ตัว ถ้าเป็นตัวเอง มีแต่ตัวเอง ไม่มีเผื่อไปหาใครเลย ก็จัดเข้าไปในมิติที่ 0 เลย เป็นอัตตาเต็มบ้อง อย่างพวกฤาษี หนีเข้าป่า ไม่มีเพื่อใครเลย ก็เลยไม่จัดเข้าพวกใน ก็เอาไปมิติที่ 0 เลย เพราะความรัก มีความรักแล้วให้ความรักแก่ใครๆ ให้ประโยชน์คุณค่าแก่ผู้อื่น มากยิ่งขึ้นจนไม่เห็นแก่ตัวเลย นี่คือความรักที่ยิ่งใหญ่

 

ความรักมิติที่ 1 คือ เมถุนนิยม หรือ กามนิยม กับมิติที่ 7 ก็เป็นคู่ แต่เป็นคู่ที่ตรงกันข้ามเลย ที่ทางเทวนิยมถือว่าเป็นพระเจ้า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่

 

มิติที่ 1 นั้น ต้องการเอามาให้แก่ตนเอง อะไร? ก็กาม สัมผัสเสียดสีทางทวารทั้ง 5 ภายนอก แล้วเขาก็เสพรสสัมผัสเสียดสีนั้นเท่านั้น เขาได้เสพอันนี้เขาถือว่าสูงสุด เป็นกามารมณ์แท้ๆ คนเสพรสเช่นนี้ไม่ต้องการอย่างอื่น ได้รสนี้ก็จบ ผลอื่นมันไม่เห็นแก่เลย เพราะถ้ามีเพศสัมพันธ์ก็เกิดลูก ดังนั้นมิติที่ 1 ก็ไม่เห็นแก่ลูกด้วย ฆ่าลูกทิ้งได้เลยเสพรสแล้วก็แล้ว พอมีลูกก็ทำแท้ง ฆ่าตั้งแต่ยังไม่เกิด ไม่ฆ่าก็คลอดออกมาก็ทิ้ง

 

ได้สัมผัสเสียดสีทางทวาร 5 ก็ไม่สนใจอย่างอื่น จัดว่าเห็นแก่ตัวเองจัดที่สุด

 

ตรงกันข้ามกับมิติที่ 7 ที่ทำเพื่อผู้อื่นจนไม่เห็นแก่ตนเองเลย ศาสนาพุทธให้เริ่มพัฒนามาตั้งแต่มิติที่ 1 แม้จะทนไม่ไหวก็ให้มีผัวเดียวเมียเดียว บำรุง บำเรอ บำบัดไม่เหมือนกัน

 

บำรุงนี่คำนึงความจำเป็น ส่วนบำเรอนี่เกินจำเป็นประคบประหงมกัน แต่ถ้าบำรุงนี่ช่วยกันทำให้เจริญงอกงาม บำบัดก็ทำให้หายจากอาการป่วย

 

ศาสนาพุทธก็อนุโลมให้กิเลสมากสุด ก็ให้แค่ผัวเดียวเมียเดียว อย่าให้ถึงกับไม่ดูแลลูกนะ เพราะไม่ดูแลลูกนี่เลวกว่าเดรัจฉานนะ จะเกิดมาด้วยรักหรือไม่รักก็ตามใจ หากเป็นสายเลือดเราแล้วเราต้องเลี้ยงให้ดี เป็นหน้าที่ เดรัจฉานก็รู้ ถ้ามนุษย์ไม่ทำหน้าที่นี้ก็เลวกว่าเดรัจฉาน ศาสนาพุทธสอนชัดเจน ต้องมีความรักให้ลูก เอื้อเฟื้อเจือจานกัน เกื้อกูลกัน เมื่อมีลูกก็ต้องรักลูก ก็เพิ่มความรักออกไป มันเป็นหน้าที่ จำนนต้องทำ ควรต้องรู้

 

จะให้ดีก็ต้องเรียนรู้สภาวะสองอย่างของเวทนา ที่เป็นธรรมะสอง เช่นสัมผัส รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส แล้วก็รู้ว่า ร้อน เย็น อ่อน แข็ง รู้ว่าเราไปหลงติดอยู่กับอาการใด รู้ว่า รูป อย่างนี้ เสียงอย่างนี้ กลิ่นอย่างนี้ รสเปรี้ยวหวานมันเค็มก็อย่างนี้ เย็นร้อนอ่อนแข็งแรงเบาอย่างไรก็รู้ ตามความเป็นจริง ก็อย่างหนึ่ง แล้วอีกอย่างคือ อาการชอบกับไม่ชอบ ที่เกิดจากการสัมผัส นี่ก็อีกอย่างที่ต้องศึกษา

 

เพราะว่า รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส คนก็รู้ได้เหมือนกัน แต่ต่างกันตรงอารมณ์ชอบหรือไม่ชอบ ตามที่ตนยึดถือ ไม่เหมือนกัน มากน้อยต่างกัน เป็นอีกอารมณ์ที่เรียกว่าเวทนา ก็จึงเกิด เวทนา 2 อย่าง ในคนอวิชชา แล้วก็ไปติดหลงในอารมณ์อย่างที่สอง เพราะอารมณ์อันที่ 1 นั้นคนก็รับรู้ได้เหมือนกันทั้งนั้น  เป็นรสธรรมชาติ แต่อีกอารมณ์ที่ชอบหรือชัง นี่คือตัณหา อุปาทาน

 

สองเวทนานี้รวมลงไปที่เวทนา หากสุขก็คือ เทวดา ถ้าไม่สุขก็เป็น สัตว์นรก ก็ต้องเรียนรู้ว่าตนเป็นเทวดาหรือสัตว์นรก

 

คนก็อยากเป็นเทวดา ไม่อยากเป็นสัตว์นรกในจิต ก็พยายามสร้างอารมณ์เทวดา ตามที่ยึดไว้ว่าจะต้องได้อย่างอุปาทานไว้ ที่ชอบ  ถ้าอยากมาก อุปาทานมากซับซ้อน ไม่ได้มาตามต้องการก็ไปแย่งเขา ไปโกงเขา เป็นยักษ์ เบียดเบียนเอาเปรียบคนอื่น หนักเข้าถึงทำร้ายคนอื่นเลย

 

ต้องอ่านให้ออก เป็นตัวตน(อัตตา) ที่ไม่มีตัวตน(อนัตตา) แต่คนเรียนรู้ไม่ได้ก็ไม่รู้จักอาการอัตตา แต่เขาต้องมีอารมณ์อาการนี้ เขาอวิชชา เมื่อไม่รู้ก็สร้างอัตตานี้ใหญ่ขึ้นๆ ภาษาบาลีเรียกว่า โอฬาริกอัตตา เป็นอัตตาที่ต้องเกี่ยวข้องกับภายนอกเสมอ ก็ต้องพยายามฝึกรู้ความจริงตามความเป็นจริง มันก็เป็นเช่นนั้น เราจะจำความจริงนั้นก็จำ แต่ถ้าจำแล้วมีอารมณ์ด้วยก็เป็นเวทนาที่ 2 แต่ถ้ารับรู้อย่างเดียวกับความจำก็มี 1 เดียวในเวทนานั้น กำหนดรู้แล้วจำก็เป็นอารมณ์เดียว ไม่มีชอบหรือไม่ชอบประกอบเลย ความจำก็จำตามความจริง จะเอามาใช้ก็ระลึกมาใช้ตามจริง หากสัมผัสเมื่อใดก็เป็นปัจจุบันธรรม เป็นเวทนา หากจะระลึกสัญญาเอามาใช้ก็ได้ จะเกี่ยวข้องกับข้างนอกหรือไม่ก็ได้ เป็นสัญญาที่ไม่มีอุปาทาน เป็นสัญญาแท้

 

แต่ถ้าสัญญา เวทนาที่มีอุปาทาน โดยอุปาทานนั้นคือกิเลส มันมีอารมณ์ แล้วกำหนดหมายแล้วจำไว้ ทั้งเวทนาและสัญญา คือเวทนูปาทานักขันโธ และสัญญูปาทานักขันโธ ต้องเอาให้ได้ตามที่ตนเองกำหนดหมาย จะต้องได้สัมผัสตามอุปาทาน หากได้สัมผัสก็เกิดอุปาทานซ้ำหรือใหม่ทบเข้าไปอีก ประชุมกันเต็มรูป เวทนา สัญญา สังขาร ประชุมรวมกันเลย

 

ผู้ศึกษารู้ดีแล้ว เมื่อสามารถล้างอุปาทานได้ ที่ทำให้เกิดเวทนาที่ 2 ได้ ล้างเวทนาที่ 2 และล้างอุปาทานในสัญญาได้ สังขารก็ไม่ปรุง วิญญาณจะหากิเลสหาผี หาเทวดาได้มาแต่ไหน?

 

ถ้าไม่มีอุปาทานเกิดเลย ทุกอย่างก็เป็นหนึ่งเดียว ไม่ว่าจะเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เป็นหนึ่งเดียวหมด เราก็รู้ด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นขันธ์ 5 ที่บริสุทธิ์ เป็นตามความจริง ไม่มีกามตัณหา ภวตัณหา ไม่มีอัตตา นี่คืออนัตตา แต่เราก็อยู่กับความจริงที่ขันธ์5 ยังสัมผัสกับ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสอยู่ ถ้าคนนี้ตายไป ไม่ต่อสันตติ จิตวิญญาณก็แยกออก ไม่ได้มาต่ออีก ก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน

 

แต่คนที่อวิชชา เขาก็รู้แต่ว่าเทวดา เขาแยกพระเจ้ากับเทวดา เทวดาคือความดี แม้จะดียิ่งใหญ่ก็เป็นลูกน้องพระเจ้า เขากดข่มความไม่สบายใจใดๆไว้ เพราะเขาไม่ได้มีทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ฝึกเข้าเขาก็ชำนาญ เห็นแก่คนอื่นได้มากขึ้น มิติที่ 2 มิติที่ 3 มิติที่ 4 เขาก็สร้างให้เห็นแก่คนอื่นได้ในวงกว้างขึ้น เผื่อแผ่รับใช้ มีเมตตากรุณา แต่เขาไม่รู้มุทิตา

 

1.        เมตตา (ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข)

2.       กรุณา  (ลงมือสร้าง-ช่วยให้เขาพ้นทุกข์)

3.        มุทิตา  (ยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี-พ้นทุกข์)

4.        อุเบกขา          (เป็นฐานอาศัย วางใจเป็นกลาง  ไม่ติดยึดว่าเป็นความดีของเรา  หรือผลสำเร็จนั้นเกิดจากเรา)    (พระไตรปิฎก เล่ม 35   ข้อ 741)

 

เทวนิยมเขาก็พยามให้เกิด อุเบกขาวางเฉยเหมือนกันแต่เขาไม่ลึกซึ้ง

 

เขาไม่รู้ว่าอุเบกขาที่เป็นลักษณะ

1.        ปริสุทธา  (บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนิวรณ์ 5)

2.       ปริโยทาตา (ผุดผ่องขาวรอบแข็งแรงแม้ผัสสะกระแทก)

3.        มุทุ  (รู้แววไว อ่อน-ง่ายต่อการดัดปรับปรุงให้เจริญ) 

4.        กัมมัญญา   (สละสลวยควรแก่การงาน ไร้อคติ)  

5.        ปภัสสรา   (จิตผ่องแผ้วแจ่มใสถาวรอยู่ แม้มีผัสสะ) 

(ธาตุวิภังคสูตร  พระไตรปิฎก เล่ม 14   ข้อ 690)

 

ยิ่งจิตที่เป็นจิตใต้สำนึก จิตไร้สำนึกแล้ว เขาไม่รู้วิธีที่จะฆ่ากิเลสในชั้นนี้ได้เลย พุทธนั้นสามารถล้างเป็นลำดับ ตั้งแต่จิตสำนึก เมื่อล้างกิเลสในจิตสำนึกหมดแล้ว กิเลสจิตใต้สำนึกก็จะขึ้นมาทำงาน เราก็จะอ่านรู้ได้ แล้วพอเราล้างกิเลสในจิตใต้สำนึกได้อีก กิเลสในระดับจิตไร้สำนึกก็ขึ้นมาทำงานให้เราล้างได้อีก เป็นลำดับ

 

ล้างกิเลส ทั้งผีและเทวดาไปตามลำดับขั้น อินทรีย์พละของคนบรรลุธรรมของพุทธจะถูกซักซ้อมมาตามลำดับให้แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เอื้อเผื่อแผ่ไปตามลำดับของมิติของความรัก จนถึงมิติที่ 7 ก็รักได้ทั้งทั่วทุกประเทศ ทั่วจักรวาลเลย

 

ศาสนาพุทธจึงรู้จักความรัก อันไม่เห็นแก่ตัวเองเลย อย่างรู้ๆเห็นๆ เป็นสภาพจิตที่เป็นได้จริง ครบพร้อมกายที่เป็นองค์ประชุมทั้งรูปและนามอยู่หลัดๆ เห็นอยู่ทนโท่เลย ไม่ได้เป็นการสร้างภาพหรือขบคิดนึกเอา

 

ยิ่งใครได้ทำการลดกิเลสได้เหมือนกันก็จะยืนยันได้ตรงกัน ยืนยันได้ แม้อรหันต์ 100 คนก็รู้ว่านี่เป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสอะไร เป็นเวทนาเดียว ไม่มีสอง ไม่มีผี ไม่มีเทวดา นี่คือจิตที่ศาสนาพุทธสอนให้เป็นให้ได้ เป็นได้แล้วจะรู้ว่าสัจจะความจริงแบบพุทธ จึงเป็นพระเจ้าที่แท้จริง ไม่ได้หนีจากสังคม ไม่ได้หนีจากรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ไม่ได้หนีจากลาภ ยศสรรเสริญ หรือสิ่งที่เขายืนยันว่าสุข จิตไม่มีอารมณ์วูบวาบ มีแต่รสกลางวาง ไม่มีเทวดาไม่มีผี ไม่มีอารมณ์โลกีย์

 

สรุปแล้ว ความรักคืออะไร?  ใครจะมาตอบ

 

_ดญ.แลเลื่อนฟ้า ... ความรักคือการเมตตา

_ดช.ไตเติ้ล...ความเห็นแก่ตัวที่จะรักคนอื่น ...หลวงปู่ว่า น่าจะเป็นความไม่เห็นแก่ตัวแล้วเห็นแก่ผู้อื่น อย่างนี้ได้คะแนนเต็ม

_ดช.... ความรักคือ ความทรยศ....  หลวงปู่ว่า….ได้คะแนนกล้าหาญ แต่ไม่ได้คะแนนคำตอบ...

_ดญ.เกาลัด เอื้อดินฟ้า...ความรักคือความเห็นแก่ตัว ...หลวงปู่ว่า...เริ่มต้นได้คะแนน 0 ไปกินเลย

_ดญ. เมย ...ความรักคือ ความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คือการให้

_ดช.เบญฯ...ความรักคือการเสียสละแบ่งปันช่วยคนทั้งโลก

 

พ่อครูว่า...ความรักคือ สภาพสองอย่าง ถ้าอย่างเดียวที่หลวงปู่อธิบายว่าคือพวกหนีไปเอาแต่ตัวคนเดียว อัตตาเต็มบ้องอย่างนั้นไม่เรียกเป็นความรักอะไรเลยเป็นอัตตาเต็มบ้องไม่เห็นแก่ใครเลย

 

เริ่มต้นก็มีสอง แล้วเป็นความหลงผิดว่า รักก็จะได้มาเสพรสให้แก่ตน นอกนั้นไม่เห็นแก่ใคร ไม่ให้ใคร ความรักแบบนี้เลวที่สุด ส่วนเรื่อง เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย เกิดเหตุ เกิดนิทาน เรื่องราว สัมผัสเสียดสี เกิดสมมุติสัจจะในโลก ถ้าสมใจก็เป็นสมมุติเทพ เทวดา ถ้าไม่สมใจก็เป็นผี สัตว์นรก

 

ถ้าจะเป็นความรักก็ไม่ต้องเสพรส แต่เกิดเหตุ นิทาน ปัจจัย ระหว่างสองสิ่งแล้วเป็นไปตามเหตุปัจจัยเท่านั้น แต่ถ้าเกิดอารมณ์ชอบหรือชังเป็นเทวดาเป็นผี อันนั้นเป็นอัตตา เป็นสัตว์ เราต้องทำให้สัตว์ หรืออัตตานี้หายไป ท่านแยกเป็น สัตตาวาส 9

แต่ถ้าไม่ได้เสพราคะ แต่เป็นเสพโลภะ อยากได้ของได้อะไรก็ตามมาเป็นของเราไม่ใช่เสพรส แต่เสพโลภ ก็เป็นความรักแบบผี ที่สร้างนิทานดุเดือดในโลก แต่ถ้าจะได้มาเป็นของเรา แต่เราไม่ยึดไม่หวงให้คนอื่นได้ ถ้าไม่ได้ทั้งโลภะ และราคะก็เกิดไม่ชอบใจเป็นโทสะ

 

เราล้างตั้งแต่ต่ำสุด เป็นเราเป็นของเรา ตั้งแต่สองคน นี้ต้องล้างก่อน แล้วมาเห็นแก่คนอื่น เพิ่มตั้งแต่ลูก ถ้าเห็นแก่แค่สองคนก็เลวที่สุด แต่ถ้ามาเห็นแก่ลูกๆเพิ่มขึ้น ก็ดีขึ้น กว้างขึ้น แต่ก็ยังแคบมาก ก็มาเห็นแก่ญาติมากขึ้น เราฆ่ากิเลสที่เห็นแก่คู่ แก่ลูกไป แล้วขยายความรักเพิ่ม ต่อไป ไม่ใช่แค่ญาติก็มาเป็นสังคมชาติประเทศ จนถึงทั่วจักรวาลก็เจริญๆ ขึ้น

 

ความรักที่ประพฤติได้แต่ไม่รู้ฐานของจิต ก็เป็นเทวนิยม มิติที่ 7 คือไม่เห็นแก่ลูก ไม่เห็นแก่ญาติ แต่เห็นแก่ผู้อื่น ตามสมควรเหมาะสม คือไม่ลำเอียง นี่คือเรียกว่าตัดญาติทางสายเลือด ญาติปริวัตตังปหายะ อะไรสำคัญก็ให้คนนั้น ช่วยกันไป จนกระทั่งไม่มีจำกัด ช่วยทุกคนทุกสิ่งเลยในจักรวาล

 

แม้เป็นจิตวิญญาณสูงสุด เป็นจิตพระเจ้า หรือปรมาตมัน หรือจิตอรหันต์ ผู้นั้นเรียนมิติที่ 8 บรรลุแล้วเป็นมิติที่9 เป็นนิพพานนิยมหรืออรหันตนิยม ส่วนมิติที่ 10 เป็นความรักแบบพระพุทธเจ้า

 

บัญญัติกว้างๆคือ common noun สามัญนาม

ส่วน วิสามัญนาม proper nounเรียกชื่อลงไปว่า นี่คืออะไร แตงกวา ฟักข้าว นิ้วมือ ชื่อเรียก ภาษาบาลีเรียกว่า อธิวจนะ

ถ้าเป็นการแต่งตั้งชื่อ ก็บัญญัติขึ้นมา อันนี้เป็นเหลี่ยม อันนี้เหลี่ยมจตุรัสก็มีชื่อซ้อนลงไปอีก หรือกลมก็เป็นบัญญัติ แล้วก็มีกลมแบบไหนอีก

 

วันนี้เป็นวันที่สอนจบความรัก 10 มิติไปแล้ว ต่อไปจะมีวิชาใหม่มาแทน

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น คำถาม

 

_ความรักที่แท้จริงคืออย่างไร?

ตอบ...คือความเห็นแก่ผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัวไม่เอาแต่ใจตัว ช่วยเหลือผู้อื่น

 

_คนพูดคำหยาบนี่ หนอนจะออกจากปากไหม
ตอบ
...จะมีผีชั่ว ที่ยิ่งกว่าหนอนออกจากปากอีก

 

_ดญ.ดูแลถามว่า  ความรักของพ่อแม่มีความสุขจริงหรือ?

ตอบ.... ความรักของพ่อแม่ ทำตามใจให้เราทั้งหมดไม่ได้หรอก ถามพ่อ แม่ ก่อนว่า ทำอย่างนี้ กับหนูดีอย่างไร อย่าพึ่งไม่ชอบเสียก่อน

 

_ทำไมพระพุทธเจ้าเกิดมาแล้วต้องมีคู่อีก แม้ว่าจะมีญาณปัญญามากมายที่บำเพ็ญมามหาศาล

ตอบ...คำว่า จำไม่ได้ ก็คือจำไม่ได้ ความจำยังไม่ขึ้นมา พระพุทธเจ้าได้รับคำทำนายว่าเป็นพระพุทธเจ้า ก็น่าจะรู้ว่า สุขเท็จคืออย่างไร ท่านก็ไม่น่าจะไปหลง แต่ความจริงแล้วมันระลึกไม่ได้ เอาความจำออกมาไม่ได้ ทำไมไม่ได้ทั้งที่แต่ละชาติระลึกได้ แต่พอตายไปแล้วได้ร่างใหม่กลับลืม เป็นลิงลมอมข้าวพอง เพราะพระบิดามอมเมาหนักมาก แต่เมื่อมีบารมีจะเลิกง่าย สุขนั้นรู้ได้ยาก แต่ทุกข์นั้นรู้ได้ง่ายกว่า แต่ของพระพุทธเจ้าทุกข์ทางวัตถุท่านก็ถูกกั้นได้ แต่ว่าทุกข์ทางใจนั้น กั้นท่่านไม่ได้ ท่านเห็นเทวทูต 4 แก่ เจ็บ ตาย และป่วย พอได้เวลา ในวันเพ็ญเดือน 6 ท่านก็ระลึกได้ ว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้า เป็นการดึงของเก่าขึ้นมาใช้ แม้ทุกวันนี้ผมก็ยังดึงของเก่าออกมาไม่หมด และพระพุทธเจ้าตอนแรกก็ยังดึงออกมาไม่หมดหรอก แต่ท่านคุยกับเทวดาอีก ท่านก็ระลึกได้เพิ่มขึ้นอีก

 

ความรักแบบแฟนนี่ มันหวงแหน แต่ความรักแบบเพื่อนนี่ไม่หวงแหนนะ มีอะไรก็ช่วยกันสนุกสนานไป ดีกว่าเยอะเลย

 

ตัวจบจริงต้องเห็นด้วยปัญญา มันยากที่จะเห็นถึงความละเอียดลออ ลึกซึ้ง พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่าสิ่งใดไม่เที่ยงก็เป็นทุกข์แล้ว สุขไม่ใช่ตัวตน มันเป็นเท็จ ใครเกิดปัญญาเห็นว่าสุขไม่มีตัวตนก็จะเห็นเป็นทุกข์ได้ เพราะรักนี่จะมีความยึดเป็นเราเป็นของเรา ใครมาแตะไม่ได้ หวงแหน ถ้ารักเป็นแฟน ถ้ารักแบบเพื่อนไม่หวงแหน เราไม่ยึดเป็นเราเป็นของเราก็ไม่ทุกข์ หากใครยึดว่าจะต้องได้ต้องมีต้องเป็นได้นิรันดรตามกิเลสบอกด้วย อย่างแฟนบางคนบอกว่า วันนี้บอกรักฉันหรือยัง วันนี้ถึง 5 ครั้ง วันนี้หอมฉันหรือยัง เท่านั้นครั้ง มันต้องได้เท่านั้นเท่านี้ ต้องได้เป็นของตน จะเห็นได้ว่าถ้าเรายึดว่าต้องได้เป็นเราเป็นของเรา หากไม่ได้ก็โทสะ

เกิด

พระพุทธเจ้าว่ารักคือทุกข์ คำว่าทุกข์คือ มันทรงอยู่ไม่ได้ มันไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน ต้องเห็นความจริงว่า ที่จะต้องได้แตะต้องสัมผัส ต้องการเมื่อไหร่ ถ้าหวงแหนมากต้องให้อยู่ใกล้ชิด อยู่ในสายหูสายตา ห่างไม่ได้ หรือให้กอดได้ตลอด เป็นได้บ้าบอเลย มันก็ยังอยู่เป็นสายใยแห่งความเป็นเราเป็นของเราอยู่ ไปยึดอารมณ์ว่าเป็นเราเป็นของเรา มันไม่มี อนัตตา เราได้ตัวอย่างอะไรหลายอย่างมาเป็นตัวอย่างว่า มันก็เปลี่ยนไป เวียนวน นานนับชาติ เหมือนแฟชั่นผู้หญิง ส้นสูง อีกหน่อยก็สั้นลง หนักเข้าก็ส้นตึก อีกหน่อยก็แหลมออกอีก ต่อมาก็ยาวออก หรือสั้นเข้าๆ หมุนเวียน มันก็ยึดสมมุติทั้งนั้น  ถ้าเรามีอุทยัพยานุปัสสนาญาณ มันไม่อยู่ได้ ภังคานุปัสสนาญาณ มันเสื่อมลงมากกว่าตั้งอยู่ มันไปหาอันใหม่อีกเรื่อยๆเพื่อเสพสุข แต่มันหายไปในที่สุดไม่เที่ยง ต้องเปลี่ยนไป หายไป แล้วเอาอื่นมาแทน ทุกอย่างก็ไม่เหลือ ถ้าเราไปยึดอย่างนี้อยู่ ภยตูปฐานญาณ มันเป็นสิ่งน่ากลัวเป็นภัย มันไม่น่าจะมาวนเวียนเป็นภพชาติเช่นนี้เลย ลักษณะความไม่มีตัวตนก็จะปรากฏในญาณปัญญา เห็นว่าเราไปยึดของเปล่าของว่างไม่ได้เลย เป็นภัยด้วย เราเองหากไม่เลิกวางมันเป็นทุกข์โทษภัยต่อเรา สูงเป็นอาทีนวานุปัสสนาญาณ เต็มด้วยญาณที่เห็นโทษภัย น้ำหนักของญาณจะลึกซึ้ง จน นิพพิทานุปัสสนาญาณจะเกิดวางปล่อยไม่ได้กดข่ม แต่ทำลายกิเลสได้ มุญจิตุกัมยตาญาณ  เปลื้องปล่อยได้ ในที่สุด ปัญญาจะแจ้งรู้ ถามว่าเมื่อไหร่คุณไม่ถึงปัญญาเช่นนี้ คุณอ่านในอะไรที่คุณได้เบื่อหน่ายเช่นนั้น แล้วอะไรก็น่าเบื่อหน่ายเช่นนี้ทั้งสิ้น แม้แต่ขันธ์ 5 หรือว่า สิ่งที่เรามีความรู้ แม้เรามีอรหัตตผล หรือโพธิสัตว์ ก็ไม่ได้เป็นเราเป็นของเรา แม้ภูมิระดับพระพุทธเจ้า ท่านก็ต้องทิ้งภูมินี้ ....จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 18:32:36 )

580327

รายละเอียด

580327_พุทธชีวศิลป์(วนบ.) เรื่อง รูปกับนาม อย่าง อัจฉริยัง

พ่อครูว่า วันนี้ วัน ศุกร์ ที่ 27  มี.. 2558ขึ้น 8 ค่ำเดือนห้า(5)ปีมะแมรายการธรรมาธรรมะสงคราม พุทธชีวศิลป์จากบ้านราชฯ อาตมาก็จะบรรยาย ธรรมะพระพุทธเจ้าอีก เป็นธรรมะที่น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาก่อนเลยในโลก  และจริงที่สุด เพราะเป็นธรรมะที่ใหม่ แปลกไม่เหมือน ที่เคยมีมาก่อนเลย ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าก็ไม่มีธรรมะเช่นนี้

 

ศาสนาพุทธมีการทำจิตให้หมดบาป หมดกิเลสได้ มีจิตวิเคราะห์ เอาจิตมาแจกแจงรายละเอียดต่างๆ แล้วแยกซับซ้อนได้ไม่รู้กี่ชั้น เป็นเรื่องที่อัจฉริยัง อัสสุตัง อัพภูตธรรม

 

อัจฉริยัง น่าอัศจรรย์ไม่เคยมีมาก่อนในโลก แล้วพระพุทธเจ้าประกาศมากว่า 2600 ปีแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าเพี้ยนไป เสื่อมจากความเข้าใจเดิม ตื้นขึ้นมา แล้วเพี้ยนเป็นโลกียะ ไปถึงเป็นเดรัจฉานวิชา ไปลิบลับเลย ก็ยังมีภาษาของพระพุทธเจ้า มีพระไตรปิฎก เรียนกันอยู่ พยัญชนะของพระพุทธเจ้ามีครบ ในพระไตรปิฎก แต่เรียนไม่ครบ ไม่เข้าใจอย่างตรง ภาษาวิชาการว่า มิจฉาทิฏฐิ เรียนไปแล้วไม่สัมมาทิฏฐิ เรียนแล้วไม่รู้ว่าธรรมะพระพุทธเจ้าปฏิบัติในป่าหรือในเมือง อ่านพระไตรปิฎกแล้วก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องมีคำว่าป่าอยู่เยอะ

 

เพราะพระไตรปิฎก เรียบเรียงกันมาแต่ยุคโน้น เป็นยุคที่คนหลงป่ากัน ออกป่ากัน ท่านถึงตรัสแต่ประกาศศาสนาใหม่ๆให้มาสู่เมือง ไปพบเจ้าสำนักแต่ละสำนัก ก็มาลองภูมิท่าน ท่านก็ประกาศของท่าน แล้วท่านก็บอกว่าจะเสื่อม ด้วยหลัก 4 ข้อ

 

เรามาดูที่อาตมาเขียนบทความมา

 

เรื่องรูป กับนาม

 

เราได้สาธยายความเป็นรูปกับนาม ที่มีอยู่ในโลก เมื่อรวมกันอยู่(กาย)ปรุงแต่งกันอยู่(สังขาร)ทั้งหลาย ให้เข้าใจชัดเจนขึ้นๆ และเรากำลังอธิบายอย่างพิสดารทั้งวิจัยวิจารณ์ ทั้งร้อยมาลัยให้เห็นเป็นพวงเล็กพวงน้อยไปเรื่อย พึงชมพึงดูเอาเถิด

เราเน้นถึงการยึดรูปยึดนาม ซึ่งใครยิ่งจำก็ยิ่งยึด หรือยิ่งประทับใจก็ยิ่งฝังกิเลสความชอบนั้นลงไปในอนุสัย คนผู้อวิชชาอยู่ จะไม่รู้ว่าตนยึดมันอยู่ จึงยังไม่ปล่อย ยังปล่อยไม่ได้ ปล่อยไม่เป็น หรือแม้บางเรื่องคุณไม่อยากจำมัน แต่ถ้าลึกๆคุณติดใจมัน มันก็คือฝังใจอยู่นั่นเอง นั่นแหละคืออุปาทานที่ยึดมันยิ่งๆขึ้น เมื่อยิ่งๆขึ้นมันก็ตกผลึกลงไปฝังอยู่ในใจลึกสุด เป็นอนุสัย ที่คุณไม่สามารถหยั่งลงไปรู้ตัวมัน(unconscious) มันฝังลึกในก้นบึ้งของจิต ขั้นที่คุณหยั่งลงไปรู้มัน เข้าไปไม่ถึงมัน เพราะมันอยู่ลึกลงไปในก้นบึ้งของใจสุดๆถึงขั้นที่ 3 แต่ศาสนาพุทธมีวิธีศึกษาปฏิบัติของตนเอง เฉพาะพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ซึ่งสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงจิตสำนึกขั้นลึกสุดแค่ไหน ก็รู้จักรู้แจ้งรู้จริงตัวมันได้ ชนิดที่เห็น(ปัสสติ) ด้วยการสัมผัส ถึงขั้นมีการสัมผัสโดยการกระทบ(ปฏิฆสัมผัสโส) ซึ่งมีปัญญาของตนเองกับจิตของตนเอง ชนิดที่สัมผัสโดยการกระทบกัน(ปฏิฆสัมผัสโส)อย่างเป็นจริง เป็นสิ่ง 2 สิ่งกระทบกัน

ปัญญานี้เป็นความรู้พิเศษที่เรียกว่าญาณบ้าง วิชชาบ้าง(เรียกว่าคุณวิเศษ) เป็นอุตตริมนุสสธรรม ปัญญาของเราเองจะสัมผัสโดยการกระทบกับจิตหรือเจตสิกหรือรูปหรือนิพพานของเราเอง ซึ่งภาวะของปัญญาของเราเป็นตัวรู้จึงเรียกว่านาม ส่วนภาวะตัวถูกรู้นั้นก็คือ จิตหรือเจตสิกหรือรูปเราเองอีกแหละ จึงเรียกว่านามรูป(รูปที่เป็นนามธรรมในจิต) เป็นรูปในปรมัตถธรรม(ความจริงขั้นสูงพิเศษ)ได้แก่ รูป 28(มหาภูตรูป 4 + อุปาทายรูป 24) เช่น ปัญญาของผู้ปฏิบัติเจริญถึงขั้นมีประสิทธิภาพเข้าสู่โลกุตรภูมิ สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง ความจริงขั้นสูงพิเศษ(ปรมัตถธรรม)คือ ได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นจิตของตนที่มีอาการเบื่อหน่ายคลายกำหนัดในภาวะที่ตนเคยติดยึดนั้นๆ ขึ้นมา เป็นปัญญาที่นับว่าเหนือกว่าปัญญาของมนุษย์สามัญทั่วไปธรรมดาปกติ จึงเรียกว่าคุณวิเศษ ซึ่งเป็นปัญญาของมนุษย์ขั้นอาริยบุคคล 

ปัญญาชนิดนี้เป็นข้อที่ 5 ในวิปัสสนาญาณ 9 ชื่อว่า นิพพิทานุปัสสนาญาณ

วิปัสสนาญาณ 9 นั้น ก็มี อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ-ภังคานุปัสสนาญาณ-ภยตูปัฏฐานญาณ-อาทีนวานุปัสสนาญาณ-นิพพิทานุปัสสนาญาณ-มุญจิตุกัมยตาญาณ-ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ-สังขารุเปกขาญาณ-สัจจานุโลมิกญาณ

ปัญญาที่มีคุณวิเศษ ถึงขั้นวิปัสสนาญาณ เป็นพลังงานทางจิต ซึ่งมีพลังทั้ง ปัญญาและทั้งเจโต ก้าวหน้าเจริญขึ้นๆ ทั้ง 2 นี้แหละคือฌานที่มีฤทธิ์เผากิเลส

นิพพิทานุปัสสนาญาณ นั้นจัดเป็นจิตลักษณะของพลังปัญญา คือตัวปัญญาเจริญเป็นพลัง(ปัญญาวิมุติ) ซึ่งเป็นภาวะของพลังรู้ที่เก่งขึ้นชัดจริงแก่ใจยิ่งขึ้น(วิภูต) เป็นอำนาจและอาการของความรู้สึก(เวทนา) ขั้นนี้มันเป็นความรู้สึกที่เจริญปัญญาลึกล้ำยิ่งๆขึ้น ซึ่งเป็นอารมณ์(เวทนา)แท้ๆ ที่มีอาการทั้งเบื่อทั้งหน่ายสูงขึ้นไปอีก(เวทคู) นั่นคือตัวจิตเองที่มีลักษณะเจโต มันเกิดเจริญเป็นพลังของเนื้อจิตแท้ๆ สลายตัวเปลี่ยนสภาพไป(เจโตวิมุติ) เจริญก้าวหน้าขึ้นต่อไปอีก ซึ่งเป็นอาการเปลื้องปล่อยจิตของตนที่มันเคยติดยึดนั้นๆออกไป(มุญจติ) จิตหรือเจโตเกิดพลังงานในตนเอง เป็นความเจริญก้าวหน้าของจิตใจต่อจากอาการเบื่อหน่ายคลายกำหนัด(นิพพินทติ) เป็นปล่อยวางแท้ ในภาวะที่จิตมันปล่อยวาง(มุญจน)นี้ เราก็เห็น(ปัสสติ)จิตที่เปลื้องปล่อยนี้ของตนด้วย จึงเรียกว่าญาณ เป็นญาณชนิดที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ภาวะจิตของเราที่เป็นไปได้ถึงขั้นนี้ ก็เรียกปัญญาวิปัสสนาญาณชนิดนี้ว่า มุญจิตุกัมยตาญาณ ญาณชนิดนี้แลคือ วิปัสสนาญาณ 9 ข้อที่ 6 ความเจริญคือ อินทรีย์ของปัญญาที่ทวียิ่งขึ้นเป็นปัญญินทรีย์ อภิวัฒน์พัฒนาขึ้นเป็นลำดับๆ เกิดอำนาจ(วสหรืออธิปไตย)ของปัญญาแท้ๆ ที่กำจัดกิเลสไปได้สำเร็จ

จะไม่ใช่อำนาจสะกดจิตลงไปๆ หรือการกดข่ม หรือการบังคับด้วยเรี่ยวด้วยแรง  ซึ่งก็ต้องเรียนรู้ในขณะที่จิตตื่นอยู่(ชาคริยานุโยคะ)และมีสัมผัส 3อันเป็นปัจจุบันธรรมของรูปกับนามที่เกิดวิญญาณอยู่ตามปกติของคนมีชีวิตธรรมดา

ทั้งหมดนั้นอยู่ในฐานของจิตสามัญสำนึก(conscious) อันเป็นปรากฏการณ์จริง ที่ครบถ้วนรูป 28 กับนาม 5 พร้อมให้ปฏิบัติ ตามคำตรัสของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 14 เรื่องนามกับรูป(นามรูป)  

ศาสนาพุทธจะปฏิบัติในขณะที่ชีวิต ประพฤติอยู่กับฐานจิตสามัญสำนึกเสมอ ตลอดไปทุกขั้นตอน ทั้งขั้นต้น-ขั้นกลาง-ขั้นปลาย ล้วนอยู่ในฐานจิตสามัญสำนึก (conscious) มีภาวะตื่นอยู่(ชาครี) ไม่ต้องหลับตาเข้าไปอยู่ในภวังค์ จึงจะลาด ลุ่ม ลึก ลงไปโดยลำดับเหมือนมหาสมุทร หรือฝั่งทะเล ไม่โกรกชันเหมือนเหว มีการศึกษาไปตามลำดับ(อนุปุพพสิกขา) มีการกระทำไปตามลำดับ(อนุปุพพกิริยา) มีการปฏิบัติไปตามลำดับ(อนุปุพพปฏิปทา)นี้ เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์ไม่เคยมีมาก่อน(อัจฉริโย อัพภุตธัมโม) ซึ่งมีบันทึกอยู่ในพระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 109 ชัดๆ

ดังนั้น จึงต้องเริ่มต้นขั้นที่ 1 จิตสามัญสำนึก(conscious)เสมอ ไล่ลำดับๆเป็นขั้นๆไป ซึ่งวิธีปฏิบัติหรือทฤษฎีอย่างนี้ มันแปลกอัศจรรย์พิเศษ แตกต่างไม่มีใดอื่นเหมือนเลย เห็นมีแต่ในศาสนาพุทธเท่านั้นในโลก วิธีปฏิบัติหรือทฤษฎีของศาสนาใดอื่นไม่มี พระพุทธเจ้าก็ตรัสยืนยันไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 25 ข้อ 30 แน่วแน่ชัดเจน

พระองค์ทรงยืนยันว่า มีทางนี้ทางเดียวเท่านั้น(เอเสวมัคโค) ไม่มีทางอื่น(นัตถัญโญ) หรือในเล่ม 10 ข้อ 138 พระพุทธองค์ก็ทรงยืนยันไว้แน่แท้อีกว่า ในธรรมวินัยใด ไม่มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ 8 ในธรรมวินัยนั้น ไม่มีสมณะที่ 1 (โสดาบัน) สมณะที่ 2 (สกิทาคามี) สมณะที่ 3 (อนาคามี) สมณะที่ 4 (อรหันต์

ในธรรมวินัยใด มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ 8 ในธรรมวินัยนั้น มีสมณะที่ 1 (โสดาบัน) สมณะที่ 2 (สกิทาคามี) สมณะที่ 3 (อนาคามี) สมณะที่ 4 (อรหันต์)  

ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยนี้(พุทธ) มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ 8 ในธรรมวินัยนี้เท่านั้น มีสมณะที่ 1 (โสดาบัน) สมณะที่ 2 (สกิทาคามี) สมณะที่ 3 (อนาคามี) สมณะที่ 4 (อรหันต์) ลัทธิอื่นๆ(ไม่ใช่พุทธ) ว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง (สุญญา ปรัปปวาทา สมเณภิ อัญเญหิ)

เห็นมั้ยว่า พระพุทธองค์ทรงยืนยันว่า ลัทธิอื่นหรือทฤษฎีวิธีปฏิบัติแบบอื่น นอกจากศาสนาพุทธ ไม่มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ 8 จึงไม่มีอาริยบุคคลเด็ดขาด หรือแม้จะเป็นชาวพุทธ แต่ถ้าเรียนรู้อริยมรรคประกอบด้วยองค์ 8 ไม่สัมมาทิฏฐิจริง คือยังมิจฉาทิฏฐิอยู่ ก็ไม่สามารถบรรลุเป็นสมณะที่ 1-2-3-4 หรือไม่สามารถบรรลุเป็นอาริยบุคคล 4 ได้เลย

คำว่า ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น แม้แต่ชาวพุทธที่นับถือมรรคองค์ 8กันอย่างเทิดอย่างทูนนี้แหละ ต่อให้สัมมาทิฏฐิคือ พ้นมิจฉาทิฏฐิแล้ว แต่ปฏิบัติไม่สัมมาปฏิบัติ หรือปฏิบัติก็ไม่พ้นสีลัพพตปรามาส(ปฏิบัติไม่เอาจริง ไม่ปฏิบัติให้เกิดผลสักที ได้แต่ลูบๆคลำๆเหลาะๆแหละๆเล่นๆอยู่ ไม่ลงมือปฏิบัติจริงจังเต็มที่) จึงเป็นสมณะที่ 1-2-3-4 มีอาริยบุคคล ไม่ได้

วิธีปฏิบัติหรือทฤษฎีวิเศษยิ่งเยี่ยมของ พระพุทธเจ้านั้น ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นทฤษฎีที่มหัศจรรย์ ไม่เคยมีมาก่อนในโลก มีพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่จะเป็นผู้รู้ยิ่งทฤษฎีนี้ ไม่ว่าพระพุทธเจ้าองค์ใด ก็ประกาศทฤษฎีนี้ทั้งหมด เหมือนกันทุกพระองค์ เพราะเป็นของเฉพาะศาสนาพุทธ แต่หนึ่งเดียวเท่านั้น นอกจากศาสนาพุทธไม่มีเลย ในศาสนาอื่น ตลอดทุกยุคทุกสมัยที่พึงอุบัติขึ้นในโลก ไม่ว่าโลกลูกไหนๆที่จะพึงมีมนุษย์ และถึงคราที่จะต้องมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกนั้น แต่ละโลก..แต่ละโลกในมหาเอกภพ

ความมหัศจรรย์ยิ่ง ที่ไม่เคยมีมาก่อน(อัจฉริยา อัสสุตัง อัพภุตธัมมา)ในประเด็นที่ว่า เหมือนมหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหว มีการศึกษาไปตามลำดับ(อนุปุพพสิกขา) มีการกระทำไปตามลำดับ(อนุปุพพกิริยา) มีการปฏิบัติไปตามลำดับ(อนุปุพพปฏิปทา)นั้น เป็นไปตามลำดับอย่างน่ามหัศจรรย์จริงๆ ซึ่งผู้ใดปฏิบัติไม่ถึงขั้นปรมัตถธรรม(จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน จนเป็นจริงสูงส่งลึกล้ำยิ่งกว่าสามัญปุถุชน) ก็ไม่เป็นคุณวิเศษ(อุตตริมนุสสธรรม)แท้ จึงไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง นามธรรมอันเป็นจิตในจิตเป็นอันขาด

ศาสนาพุทธปฏิบัติไปตามลำดับ ต้องปฏิบัติกำจัดกิเลสในจิตสำนึกขั้นต้นสามัญ (conscious)นี้ก่อน แล้วจึงจะกำจัดตัวกิเลสขั้นที่ 2 ที่เรียกว่า จิตใต้สำนึก(subconscious) ต่อไปได้ เป็นลำดับๆ ไม่เช่นนั้นมันไม่มีทาง ไม่มีอุบายอื่นใดที่จะสามารถสัมผัสกิเลสได้เป็นความจริง มีภาวะจริงโทนโท่หลัดๆ ครบถ้วนการตื่นชาคริยา(การตื่นอยู่เป็นนิตย์) และมีชีวิตที่เต็มสติมันโต(เต็มสมบูรณ์ด้วยความระลึกรู้ตัวพร้อมครบทุกทวารทั้งภายนอกภายใน)

 

เดี๋ยวนี้เขาประโคมหลอกล่อ สร้างวิมานหลากหลาย เป็นทั้งมโนมยอัตตา และโอฬาริกอัตตา เขาหลอกด้วย โอฬาริกอัตตา แล้วให้คนหลงมโนมยอัตตา พฤติกรรม เหน็ดเหนื่อย เพื่อไปเสพสิ่งที่ปั้นมาหลงหลอกตนเอง ขยาย แล้วขยายเล่า เป็นวิมานที่ใหญ่ ยิ่ง มโนมยอัตตา เขาใช้ไสยศาสตร์แบบลืมตา พวกดื้อตาใส หลอกสะกดจิตไป ผสมทางวิทยาศาสตร์มาใช้เก่งในทางที่ผิด เรื่องที่เขาทำให้ไม่ได้มีการเปลื้องปล่อย มีแต่การติดยึด แต่ของพุทธจะมีการเปลื้องปล่อย จะเกิดผลได้ เป็นวิมุติ ถึงนิพพาน อย่างมีสภาวะ พวกเราใครมีถึงจะเข้าใจดี แม้ไม่ถึงก็ค่อยๆเข้าใจได้ตามที่ทำได้ ความเป็นผลนี้จะเป็นอินทรีย์

 

ความเจริญของอินทรีย์ก็จะพัฒนาต่อไป ต้องกำหนดขอบเขต เป็นปริตตัง เราจึงสามารถทำให้กรอบขอบเขตลดได้ เป็นจิตเทวดาพรหม เป็นอุบัติเทพ เป็นปริตตาภา เป็นปริตตาสุภา เป็นอัปปมาณาภา เป็นอัปปมาณานุภา เป็นพรหมที่ลดกิเลสไม่ใช่ว่าเทวดาเพิ่มกิเลส ท่านแปลไปเป็นแสงสีเสียงอะไร ที่เป็นเทวนิยม แต่พ่อครูอธิบายเป็นอเทวนิยม เห็นชีวิตของความเป็นสัตว์โลกอ่อนลง เทวดาก็เกิดเป็นเทวดาพรหม  สูงขึ้นตามลำดับ สูงสู่ความสว่างเรียกว่า อาภัสสรา มีทั้งปัญญาและเจโต สูงสู่ความเจริญยิ่งขึ้น เป็นอัปปมาณาสุภา จนกิเลสดับ ก็เป็นเทวดาที่เรียกว่าไม่มี เป็นกิณหา ที่จริงมันเป็นอสัญญี ไม่มีตัวที่อยู่ในสัญญา เป็นอุปาทานหมดไปแล้ว เมื่อไปถึงระดับสูงขั้นหมวดหนึ่งของพระพรหม

 

แม้สูงไปถึง สุภกิณหา หรือสู่ อสัญญายตนะ ซึ่งต่างกับ อสัญญีสัตว์ และ การเป็นอสัญญีสัตว์คือ ดับไม่รับรู้ เป็นฤาษี แต่ว่า อสัญญายตนะ นั้นไม่ดับ เป็นความสว่าง กายต่างกัน สัญญาต่างกัน

เขาดับไม่มีทุกข์เหมือนกัน แต่ไม่มีทุกข์ของสัมมาทิฏฐินั้นสว่าง สว่างอย่างเวหัพผลาพรหม คือมีผลเจริญไพบูลย์ และเป็นผู้มีอสัญญายตนะ เหมือนกับผู้ไม่ต้องชำระกิเลส อสัญญายตนะคือ ไม่ต้องกำหนดสำคัญมั่นหมายอีกแล้ว แต่มีอายตนะเชื่อมต่อเห็นๆว่า จิตใสสะอาด ไม่มีกิเลส ตามวิปัสสนาญาณ 9 ที่ได้อธิบายไป คือล่วงพ้นแล้ว สมติกมะแล้ว จึงเป็น อสัญญายตนะ ไม่ใช่แบบอสัญญี และพ้น เนวสัญญานาสัญญายตนะ

 

อสัญญีสัตตายตนะนั้น ไม่ต้องกำหนดรู้แล้ว เพราะกำหนดรู้ได้แล้ว จบแล้ว ผ่านเนวสัญญานาสัญญายตนะแล้ว เพราะฉะนั้นจึงเป็นเวหัพผลาพรหม ส่วนผู้มิจฉาทิฏฐิก็ไปเป็นอสัญญีสัตว์ แต่ของพระพุทธเจ้าเป็นอสัญญีสัตตายตนะ พ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ

 

วิธีปฏิบัติของพระพุทธเจ้ากำจัดกิเลสในภาวะที่เป็นจิตสามัญสำนึก(conscious) ซึ่งเป็นขั้นที่เกิดอยู่ตามชีวิตปกติ คนตื่นลืมตา มีชีวิตสามัญรับรู้ภายนอกอยู่เป็นธรรมดาสามัญ ลืมตาเพ่งเข้าไปภายใน อ่านจิต ตรวจจิต ทำกับจิตของตน ทำใจในใจ (มนสิกโรติ)ได้ และเป็นจิตระดับขั้นต้น ให้ลดลง หรือหมดไปได้ก่อนอื่น เป็นฌาน ซึ่งไม่ใช่การหลับตาเพ่งลึกเข้าไปข้างในจิตภวังค์ จนตัดขาดข้างนอก ไปรู้อยู่ข้างใน ไม่รับรู้ข้างนอกแล้ว จึงจะชื่อว่าเข้าฌาน

การเข้าฌาน หรือแม้การเข้าสมาธิ(สมาปัตติ)แบบพุทธนั้น จะเจริญเข้าไปเรื่อยๆในชีวิตปกติ และปฏิบัติลืมตาสามัญ อยู่กับชีวิตธรรมดา มีภายนอกสัมพันธ์สัมผัสอยู่พร้อม แต่ละระดับ แต่ละฐานะ ต่างก็ปฏิบัติอยู่ครบกรรม-การกระทำ-การงานทั้งขณะมีอาชีพ(อาชีวะ) ทั้งขณะมีการกระทำทุกอย่างพร้อมกายวาจาใจอยู่(กัมมันตะ) ทั้งขณะพูดจาอยู่(วาจา) ทั้งขณะนึกคิดขบคิดอยู่(สังกัปปะ)

ฌานหรือสมาธิแบบพุทธ ไม่ต้องปลีกเวลาไปเป็นพิเศษต่างหากเพื่อปฏิบัติ ซึ่งต้องหยุดงานหยุดการกระทำ ทางกายกรรม ทางวจีกรรมหมด และต้องหลับตาเข้าไปอยู่ในภพภายใน ไม่รับรู้ภายนอก...มิใช่เช่นนั้น ฌานแบบพุทธนั้นปฏิบัติอยู่ก็ปฏิบัติในขณะลืมตา มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมทุกทวาร ทั้งภายนอกทั้งภายในครบ แล้วเจริญผลไปเรื่อยๆตามลำดับๆ จนกว่าจะหมดสิ้นกิเลส หรือแม้จิตเราจะหมดกิเลสขั้นต้นนี้ไปแล้ว ชีวิตเราก็ยังมีสัมผัสโลกธรรมอยู่ เป็นปกติสามัญเหมือนเดิม ก่อนก็มี หลังก็มีแต่ทว่าจิตขั้นต้นที่เป็นสามัญสำนึกนั้น ว่างจากกิเลสขั้นต้นนี้ได้แล้ว คนผู้นี้ก็ยังอยู่กับโลกธรรมนั้นอยู่ ไม่ได้หนีเข้าป่า ห่างไกลไปจากโลกธรรม หลบลี้โลกธรรมไปไหน ไม่เหมือนผู้ปฏิบัติที่มีแนวคิดหนีเข้าป่า เขาถ้ำ ไปปฏิบัติธรรม หนีสังคมโลกธรรม

แต่ก็ไม่ใช่ว่า ผู้ปฏิบัติธรรมจะไม่งด-ไม่เว้น-ไม่เว้นขาด เอาเสียเลย หรือจะคลุกคลีเกี่ยวข้องอะไรต่ออะไรไปเสียหมด พุทธก็มีการหลีกเลี่ยง(อารติ) การงด(วิรติ) การเว้น(ปฏิวิรติ) การเว้นขาด(เวรมณี) ปฏิบัติอยู่ในบ้านในสังคมนี้แหละ ก็ต้องมีการสมาทานในสิ่งส่วนที่ต้องลด ต้องละ ต้องเลิก โดยการเว้นขาด(เวรมณี) มีการกำหนดกรอบสมาทานปฏิบัติ เป็นการพรากไม้ที่ชุ่มด้วยยางออกจากน้ำไปตามลำดับ แต่ละฐานะ ที่ไม่เท่ากัน ซึ่งก็ต้องไม่คลุกคลี งดเว้นไม่เกี่ยวข้อง ต้องห่างพรากสิ่งที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยทางภายนอก ที่เราจะเรียนรู้ในการพรากนั้นๆ ไปตามฐานะแต่ละคน เพื่ออ่านจิตใจให้เห็นกิเลสที่ดิ้นรนได้ง่ายชัดเจน ตามอุบายโกศลของพระศาสดา การปฏิบัติตามอุบายโกศลนัยนี้ เป็นไปตามลำดับ ลาด ลุ่ม เหมือนฝั่งทะเล ไม่สะดุด ไม่โขลกเขลก ไม่โกรกชันเหมือนเหว และการปฏิบัตินั้น ก็มีหลักมรรคอันมีองค์ 8 ที่จะเจริญอธิศีลสิกขา-อธิจิตสิกขา-อธิปัญญาสิกขาเกิดอธิมุตโตไปตามลำดับ ศีล 5 คือฐานปฏิบัติเพื่อโสดาปัตติผล ศีล 8 ก็ฐานปฏิบัติเพื่อสกิทาคามีผล ศีล 10 ก็ฐานปฏิบัติเพื่ออนาคามีผล ศีลโอวาทปาฏิโมกข์ คือฐานปฏิบัติเพื่ออรหัตตผล อันมีศีลเป็นบาทฐานให้เกิดสมาธิ ให้เกิดปัญญา-วิมุติไปแต่ละคนๆ ตามฐานะของแต่ละฐานะ อย่างเป็นปัจจยาการมีลำดับๆ ซึ่งเชื้อเชิญให้ใครมาดูได้(เอหิปัสสิโก)

ปฏิบัติแบบพุทธไม่ต้องหนีโลก ไม่ต้องหลบไปหาที่ปฏิบัติต่างหากจากชีวิตสามัญประจำวัน ก็จะเกิดสามัญผลได้อย่างลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเลไปตามลำดับ น่าอัศจรรย์ด้วยวิธีเช่นนี้ ก็จะพัฒนาอธิจิต-อธิปัญญาเจริญทั้งกาย-วาจา โดยเฉพาะใจ ผลคือ กาย-วาจา-ใจ จะทำได้ตามข้อ

ศีลที่สมาทานนั้นๆไปเป็นปฏิสัมพัทธ์กัน กระทั่งเป็นผลสำเร็จ ก็เป็นอธิศีลสัมบูรณ์ ผู้บรรลุสัมบูรณ์ก็เป็นศีลบุคคล(คนมีศีล) กล่าวคือ ผู้ปฏิบัติเป็นผู้มีศีลถาวรแล้ว ตามข้อกำหนดนั้นๆในตนไปตลอดกาล โดยไม่ต้องสังวร ไม่ต้องควบคุม ไม่ต้องปฏิบัติอีก กาย-วาจา-ใจ บริสุทธิ์ศีลตามศีลข้อนั้นๆ ได้บริบูรณ์สัมบูรณ์เรียบร้อย อยู่ในชีวิตปกติอัตโนมัติ เป็นเช่นนั้นเอง(ตถตา) เป็นเองไม่ต้องมีใครคอยสั่งการเลย แม้แต่ตนเองก็ไม่ต้องคอยสั่งการ แต่เป็นเอง  บัดนี้ชื่อว่า ผู้มีศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์

กล่าวคือ กายก็บริสุทธิ์ศีลปกติ เป็นเช่นนั้นเอง(ตถตา) วาจาก็บริสุทธิ์ศีลเป็นปกติเป็นเช่นนั้นเอง(ตถตา) ใจก็บริสุทธิ์ศีลเป็นปกติเป็นเช่นนั้นเอง(ตถตา) ศีลของผู้นี้จึงบริสุทธิ์ทั้งกายวาจาใจ เป็นอัตโนมัติในคนผู้นั้นสัมบูรณ์ หากใจของผู้มีศีลนี้ แถมเป็นสมาธิอีกด้วย ใจเป็นสมาธิก็คือ ใจมีพลังตั้งมั่นแล้ว(สมาหิต) เช่น ใจที่บริสุทธิ์ศีลนี้ เป็นใจที่ตั้งมั่นในศีลชนิดที่เที่ยงแท้(นิจจัง),ยั่งยืน(ธุวัง),ตลอดกาล(สัสสตัง), ไม่แปรเปลี่ยนเป็นอื่นอีกแล้ว(อวิปริณามธัมมัง), ไม่มีอะไรจะมาหักล้างได้(อสังหิรัง), ไม่กลับกำเริบ(อสังกุปปัง) นี่คือ ศีลทำให้เกิดอธิจิตสิกขา เจริญกระทั่งถึงวิมุตติ เป็นเจโตวิมุตติและปัญญา ที่บริบูรณ์แบบพุทธนั้น ก็ไม่ใช่ว่า อยู่ดีๆก็เกิดเอง หรือเกิดเพราะหลับตาสะกดจิต เข้าไปเป็นฌานเจโตสมถะหรือเรียกกันว่าจิตเป็นสมาธิ แล้วปัญญาจะผุดเกิดขึ้นมาเอง..มิใช่ปัญญาแบบนั้นเลย แต่เป็นปัญญาที่ได้จากการปฏิบัติมัคคังคัง(ตามกระบวนการองค์แห่งมรรค) โดยการปฏิบัติลืมตามีชีวิตปกติแบบพุทธ และมีสัมผัสภายนอกเชื่อมอายตนะภายใน(มีปสาทรูป 5 กับ โคจรรูป 5)ทำงานขึ้นเกิดภาวรูป เป็นกายให้ศึกษากายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรม

ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ 10 เป็นประธาน มีสติสัมโพชฌงค์ และวิรยสัมโพชฌงค์(หรือสัมมาวายามะ) เป็นพลังสำคัญช่วยสัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติ โดยมีตัวจักรทำงานคือธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ทำให้เกิดสัมมาในองค์มรรคที่เจริญขึ้นๆ(เช่น มีสังกัปปะเจริญสัมมา มีวาจาเจริญสัมมา มีกัมมันตะเจริญสัมมา มีอาชีวะเจริญสัมมา) จึงทำให้สัมมาทิฏฐิ พัฒนาอานิสงส์เจริญขึ้นไปๆ[วายามะกับสติก็เจริญสัมมาไปตามสัมมาทิฏฐิด้วย] สัมมาทิฏฐิที่อภิวัฒน์พัฒนาขึ้นนั้น ก็สั่งสมไปเป็นปัญญินทรีย์เจริญก้าวหน้าไปๆๆ สู่ความสูงขึ้นๆ

ปัญญินทรีย์ซึ่งอยู่ในสภาพที่ยังมีสาสวะ ก็ได้ส่วนแห่งบุญ หรือส่วนบุญ(ปุญญภาคิยา = ชำระกิเลสได้ ไปตามส่วนที่ได้ เป็นลำดับๆ) ให้ผลแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา)ผู้ปฏิบัติเมื่อสูงที่สุด ก็ถึงขั้นปัญญาพละ ตามองค์ 6 ซึ่งได้แก่ ปัญญา-ปัญญินทรีย์-ปัญญาพละ-ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์-สัมมาทิฏฐิ-องค์แห่งมรรค(มัคคังคัง) ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 258

นั่นคือ การทำใจในใจ(มนสิการ) ที่ผู้สัมมาทิฏฐิ ถ้าปฏิบัติเป็นสัมมาปฏิบัติ ก็มีอานิสงส์ไปตามลำดับของกระบวนการแห่งอภิสังขาร 3 ซึ่งได้แก่ ปุญญาภิสังขาร(การสังขารที่ยังชำระกิเลสอยู่ทั้งในกายสังขาร-ในจิตสังขาร-ในวจีสังขาร)-อปุญญาภิสังขาร(การสังขารที่ไม่ต้องชำระกิเลสแล้ว)-อเนญชาภิสังขาร(การสังขารที่ทำความไม่หวั่นไหวให้ยิ่งขึ้น) ซึ่งเป็นอภิสังขารภาระที่ผู้ปฏิบัติต้องทำภาระให้สิ้นภาระให้ได้ ทั้งขันธภาระ ทั้งกิเลสภาระ ทั้งอภิสังขารภาระ(ภาระ 3) จนกระทั่งเป็นผู้ปลงภาระแล้ว(ปันนภาโร) มีภาระตกไปแล้ว(ปติตภาโร) มีภาระอันปลดแล้ว(โอโรปิตภาโร) มีภาระอันปล่อยแล้ว(สโมโรปิตภาโร) มีภาระอันวางแล้ว(นิกฺขิตตภาโร) มีภาระระงับแล้ว(ปฏิปฺปัสสัทธภาโร)

[พระไตรปิฎก เล่ม 29 ข้อ 697

ผู้ปลงภาระลงแล้ว(ปันนภาโร) พ้นขาดแล้ว(วิปฺปมุตฺโต) คือ ผู้ปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม 37 ที่สัมมาทิฏฐิได้สำเร็จบริบูรณ์ด้วยโลกุตรธรรม 37 ครบโลกุตรธรรม 9        ซึ่งประกอบไปด้วยหลักเสาเอกสำคัญยิ่งของพุทธ 2 หลัก คือ โพชฌงค์ 7 กับ มรรคองค์ 8 อันเป็นข้อที่ 6 กับข้อที่ 7 ของโพธิปักขิยธรรม 37 โพชฌงค์ทั้งหมด 7 ข้อ ที่พระพุทธองค์ทรงยืนยัน เป็นหลักหนึ่งเดียวในโลก ไม่ว่าจะเกิดยุคไหน ก็เป็นหนึ่งเดียวของโลกทุกยุคว่า โพธิปักขิยธรรม 37 นี้แหละที่เป็นโลกุตรธรรม 37

โลกุตรธรรม คือ ธรรมที่ไม่เป็นทาสหรือไม่ติดยึดโลกทุกโลก เพราะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็นโลก ไม่ว่าจะเป็นโลก 3 ได้แก่ 1.กามโลก(กามภพ) 2.รูปโลก(รูปภพ) 3.อรูปโลก(อรูปภพ) [พตปฎ. เล่ม 11 ข้อ 228] หรือไม่ว่าโลก 6 ได้แก่ 1.อบายโลก(ความวนเสพติดยึดอยู่กับความเป็นกับโลกที่เสื่อมต่ำ 4 ภูมิ) 2.มนุษย์โลก(ความวนเสพติดยึดอยู่กับความเป็นมนุษย์ 1) 3.เทวโลก(ความวนเสพติดยึดอยู่กับความเป็นเทวดา 6 ภูมิ พรหม 20 ภูมิ) 4.ขันธโลก(ความวนเสพติดยึดอยู่กับความเป็นขันธ์ 5) 5.ธาตุโลก(ความวนเสพติดยึดอยู่กับความเป็นธาตุ 18 ของเวทนา) 6.อายตนโลก(ความวนเสพติดยึดอยู่กับความเป็นอายตนะ ซึ่งมีอายตนะ 12 เป็นต้น) ผู้สนใจตรวจสอบได้ในพระไตรปิฎก เล่ม 29 ข้อ 14 ซึ่งมีรายละเอียดลึกซึ้งมาก

โพธิปักขิยธรรม 37 เป็นหลักที่รวมเนื้อแท้ๆแห่งทฤษฎีปฏิบัติของพุทธรวมกับ โลกุตรธรรม 9 ซึ่งระบุชื่อของอาริยชน ที่มีอาริยพุทธธรรมแท้แห่งพุทธ ก็รวมเป็น โลกุตรธรรม 46 เริ่มตั้งต้นจากโสดาปัตติมรรค-โสดาปัตติผลต่อๆไปกระทั่งอรหัตผลจนสุดท้ายคือนิพพาน(พระไตรปิฎก เล่ม 31 ข้อ 620)

ด้วยการมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์มาตลอด จึงทำให้พัฒนาสัมมาทิฏฐิ ซึ่งต้องมีความรู้ในความเป็น สัมมาทิฏฐิ 10 (พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 257)ก่อน จึงจะปฏิบัติมีมรรคมีผลของโลกุตรธรรมได้ เป็นสัมมาการศึกษาปฏิบัติธรรมแบบพุทธ นั้นคือศีล-สมาธิ-ปัญญาหรือไตรสิกขา ที่สัมมาทิฏฐิ

ศีล ที่มีประสิทธิผล มีคุณสมบัติสัมมาทิฏฐิในคนผู้ใด ผู้นั้นจึงจะเป็นผู้มีศีล ตรงกับคำแปลที่ว่า ปกติ เพราะเป็นผู้มีความบริสุทธิ์ในศีลนั้นๆ ด้วยใจหรือจิตที่ตั้งมั่นแล้วเข้าขั้นสมาหิตบรรลุผลสัมบูรณ์ ถึงขีดนิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปัง ใจนั้นจึงเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง

ใจ ประเสริฐที่สุด ทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยใจ(มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา) ตามพระวจนะที่ยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าซึ่งผู้บรรลุศีลนั้นแล้วใจก็เป็นพลังปัญญา-พลังเจโตสัมบูรณ์ โดยเจ้าตัวไม่ต้องสังวร ไม่ต้องควบคุม ไม่ต้องฝึก ไม่ต้องดูแลตน ในศีลข้อที่ตนเป็นปกติแล้วนั้นอีก กาย-วาจา-ใจของผู้นั้นที่บรรลุศีลแล้ว จึงเป็นเช่นนั้นเอง เรียกว่า ตถตา นั่นก็คือ กาย-วาจา-ใจของผู้นั้นทั้งกายก็บริสุทธิ์-วาจาก็บริสุทธิ์-ใจก็บริสุทธิ์ ไม่ละเมิดศีลข้อที่บรรลุนั้นไปตลอดอย่างถาวรยั่งยืน เป็นความจริง(ตถตา) เป็นเช่นนั้นเองแล้ว เพราะไม่ต้องมีใครไปควบคุมอีกแล้ว บริสุทธิ์อยู่ด้วยตัวเองตลอดกาล และใจก็เป็นสมาธิ ซึ่งก่อนจะเป็นสัมมาสมาธิสัมบูรณ์ ขั้นสมาหิต ก็ต้องผ่านการปฏิบัติจนจิตใจเจริญความเป็นฌานมาเป็นลำดับ กระทั่งสัมบูรณ์จิตใจตั้งมั่นแล้ว(สมาหิต) ครบสัมมาสมาธิ

ฌาน 4 ที่เป็นฌานแบบพุทธนี้ จึงเป็นฌานจิตที่ผ่านการปฏิบัติบรรลุอธิจิตอย่างพิเศษ มีคุณวิเศษ(อุตตริมนุสสธรรม) ซึ่งฌาน 1 ถึงฌาน 4 ที่เป็นอุตตริมนุสสธรรมนี้ เป็นฌานที่มีคุณลักษณะไม่เหมือนฌานสามัญทั่วไป ตามที่เรียนที่รู้ที่ปฏิบัติกันอยู่ดื่นดาษ ด้วยวิธีหลับตาปฏิบัติ เข้าฌาน-ออก ฌานอันเป็นฌานที่อยู่ในภวังค์ ออกมาจากภวังค์แล้วไม่มีฌาน จะได้ฌานหรือจะมีฌานอีกก็ต้องไปหลับตาเข้าฌานกันใหม่ ต้องเข้าไปอยู่ในภวังค์กันใหม่อีก มันเป็นการได้ฌานโดยความยาก(กิจฉ) โดยความลำบาก(กสิร) คำว่าได้โดยยาก(กิจฉลาภี) หรือได้โดยไม่ยาก(อกิจฉลาภี) -ได้โดยลำบาก(กสิรลาภี) หรือได้โดยไม่ลำบาก(อกสิรลาภี)ในฌาน 4นี้ มีนัยสำคัญยิ่ง ที่จะทำให้เข้าใจในโลกุตรธรรม

เพราะฌานของพุทธ ไม่ใช่ฌานที่ต้องเข้าฌาน-ออกฌาน แบบฌานนอกพุทธฌานที่ปฏิบัติได้สำเร็จจนกระทั่งเป็นปกติในชีวิตลืมตาสามัญนี้ ที่ปฏิบัติด้วยมรรค 7 องค์ ก็จะสั่งสมเป็นจิตตั้งมั่นคือ สมาธิไปตามลำดับ เมื่อสัมบูรณ์ถึงที่สุด ตั้งมั่นแล้ว(สมาหิต)นั้น จะเป็นฌานพิเศษ

จิตที่ตั้งมั่นแล้ว(สมาหิต)คือ สมาธิที่สัมบูรณ์แล้วนี้ จะเป็นจิตที่ได้ฌานหรือได้สมาธิเองโดยไม่ต้องอยากได้(นิกามลาภี)-ได้โดยไม่ลำบาก(อกิจฉลาภี)ในฌานทั้ง 4 หรือจิตคนผู้นี้ได้ฌานทั้ง 4 โดยไม่ยาก(อกสิรลาภี)ชัดๆก็คือ ผู้บรรลุผลที่เป็นฌาน 4 แบบพุทธนี้จะเป็นผู้ได้ฌานโดยไม่ต้องอยากได้(นิกามลาภี) มันจะเป็นฌานในตนเองโดยอัตโนมัติ เพราะเป็นผู้ได้ฌาน 4 นี้ได้ไม่ยาก(อกิจฉลาภี),ได้ไม่ลำบาก(อกสิรลาภี)เนื่องจากวิธีปฏิบัติของพุทธไม่ใช่วิธีแบบหลับตา หรือแบบหนีสังคมเข้าป่าเขาถ้ำ

จบ...


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 18:34:16 )

580401

รายละเอียด

580401_สรรค่าสร้างคน(วนบ.) บ้านราชฯ ชำแหละการสะกดจิตแบบรัสปูตินเมืองไทย

พ่อครูว่า....รายการเราก็ไม่ขาดธรรมะ สังคมโลกมีมนุษย์ในสังคม แล้วมนุษย์นี่ต้องเข้าใจโลก เข้าใจมนุษย์ ถ้ามนุษย์ไม่เข้าใจความเป็นมนุษย์เอง ก็จะมีพลังพิเศษทางจิตวิญญาณที่จะขับเคลื่อนตัวเรา ถ้าเราไม่รู้จักตัวเรา ไม่รู้จักธรรมะ มนุษย์ก็จะรู้จักแต่ความเป็นโลก โลกคือ ลาภ ยศ สรรเสริญ​ โลกียสุข ที่จะไปแย่งชิงโลกธรรมกัน อยากได้สุขทางกาม ทางอัตตา ไม่รู้ว่าตัวเองคืออะไร ปล่อยให้กิเลสควบคุมตัวเรา โลกจะหลอกเรามอมเมาเราไปเรื่อยๆ ปุถุชนปรุงแต่งยั่วยวนกันเช่นนี้ มอมเมาไปตลอดกาลนาน ตนเองเป็นทางตนเองเป็นทาสโลก แล้วไม่รู้ว่าโลกคืออะไร แล้วไม่รู้ว่าตนคือใคร ชีวิตเราจะเจริญจริงๆคืออะไร? ก็ได้รู้เหมือนโลกๆว่า ชีวิตจะเจริญด้วยโลกธรรม ที่สามัญเข้าใจกันแบบนี้ทั้งโลก มนุษย์จึงเป็นทาส สังคมเดือดร้อน

 

พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องโลก เรื่องตัวตน แล้วมีพลังอำนาจเรียกว่า อธิปไตย โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย ท่านก็เรียนรู้แล้วลดความเป็นทาสโลก ทาสอัตตา จนอำนาจโลก อำนาจอัตตาทำอะไรท่านไม่ได้ นั่นแหละเรียกว่าธรรมะ ก็มีอำนาจเป็นธรรม ที่สู้กับโลก กับความเป็นทาสตนเองได้จริงๆ ได้ถาวร

 

นอกจากไม่เป็นทาสแล้วก็รู้คุณค่าความเป็นคน ท่านก็ทำคุณค่านี้ให้โลกไปจนกว่าท่านจะตาย ทุกคนที่มีธรรมาธิปไตย อยู่เหนือกามเหนืออัตตาธิปไตย

 

คนไม่รู้ก็ตกเป็นทาส กาม ทาส อัตตา

 

สิ่งที่เป็นกาม เป็นโลก เห็นได้ง่ายรู้ได้ง่ายกว่า อัตตา แต่แม้เห็นโลกได้ง่ายแต่ก็เลิกเป็นทาสโลกไม่ง่าย คนมีภูมิปัญญาก็ไม่อยากเป็นทาสสิ่งเหล่านี้ก็เลยหาวิธี ได้มีความรู้ที่เขาถือว่าหลุดพ้นได้ ก็มีสองสายใหญ่ๆ

 

หลุดพ้นโดยหนีไปจากโลกธรรมไปเลย ก็เลยไปอยู่กับตัวตน แล้วไม่รู้ตัวเองจริง ก็เป็นลัทธิฤาษีดาบส เกิดก่อนพระพุทธเจ้า หนีเข้าป่าเขาถ้ำไป ก็ไม่เป็นภัยต่อโลก ต่อสังคม แต่ไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้ภพชาติ ที่ตนไปสร้างไว้กี่ชนิด ทั้งรูปภพ อรูปภพ หนักหนาสาหัส

 

ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเราเป็นเช่นนี้ เป็นลัทธิหนีโลกธรรม เกือบทั่วไปแล้ว ส่วนอีกพวกหนึ่งหนีอีกแบบ แต่ไม่หนีจากสังคม ก็ศึกษาของพระพุทธเจ้า ไม่ค่อยเข้าใจ ไม่รู้วิธีที่ถูกต้อง ไม่ชัดในไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา หรือวิมุติ คือหลุดพ้นก็พยายามศึกษา แต่ไม่เกิดสัมมาทิฏฐิ

 

อาตมาพาทำมาก็หลายสิบปี เขาก็ไม่รับได้ เขาต้านด้วย แต่ก็มีผู้ที่รับได้อยู่  ก็ได้เท่าที่ได้ บางคนก็ไม่กล้าออกมา

 

เขาเรียนความรู้ปริยัติที่เรียกว่า ปัญญา พวกนี้ก็กลุ่มกลางๆ ส่วนอีกพวกหนึ่ง เรียนทางปัญญาด้วย มีการนั่งสมาธิ และแถมถือศีลด้วย ตัวอย่างชัดที่สุดคือธรรมกาย ใช้ปัญญา สมาธิ และศีล เขาเข้าใจได้แค่ สีลลัพพตุปาทาน ไม่ต้องพูดถึง สีลลัพตปรามาส แต่ธรรมกายนี่ประยุกต์อยู่ในเมือง เอาทั้งปัญญา ที่จริงเป็นเฉกา ไม่ใช่ปัญญา สร้างภพชาติวิมานหลอกคนไปมากมายเลย

 

สายที่สามนี้น่ากลัวมาก ไปใช้วิธีสะกดจิต สมาธิ แล้วผนวกกับการเอาโลกธรรม อามิสมาล่อ สะกดจิตให้เป็นทาสอัตตา โดยไม่รู้ว่า อัตตา 3 คืออะไร โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา คืออะไร ตนเองหลงแล้วมาหลอกให้คนอื่นหลงด้วย พยายามครอบงำ ตกเป็นทาส บริวารของผู้สะกดจิต เป็นนักสะกดจิตที่ยิ่งใหญ่มาก

 

อาตมาจะอ่านบทความเรื่องการสะกดจิตก่อน

 

การสะกดจิต

 

จิตนั้นเป็นพลังงานชนิดหนึ่งที่มีความเร้นลับ ซึ่งมีพลังมากยิ่งกว่าพลังงานใดๆ ที่มนุษย์ค้นพบมาเสียอีก ในสมัยโบราณนั้นให้ความสำคัญกับการฝึกจิตมาก จุดประสงค์เพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของจิตให้สูงยิ่งขึ้น

ตั้งแต่ครั้งอดีต ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใดก็ตามมีความพยายามที่จะเรียนรู้เรื่องของจิต จนในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ ในการควบคุมจิตใจของผู้อื่นให้เป็นไปตามที่ตนเองต้องการ หรือที่เรารู้จักในชื่อว่า การสะกดจิต

 

การสะกดจิตนั้นหมายถึง วิธีการที่ทำให้ผู้ถูกสะกดจิต มีสภาวะทั้งทางร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย แต่ไม่ใช่การทำให้หลับ หลังจากนั้นผู้สะกดจิตก็จะทำสั่งจิตของอีกฝ่ายหนึ่ง ให้ทำตามสิ่งที่ตนเองต้องการ ซึ่งไม่จำเป็นต้องขอความร่วมมือจากอีกฝ่ายเลย

   

การสะกดจิตนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงทางด้านความประพฤติ และอุปนิสัย เช่นเปลี่ยนจากคนขี้เกียจเป็นคนขยัน เปลี่ยนจากคนกินน้อยให้กินมากขึ้น นอกจากนั้นยังสามารถช่วยในเรื่องของสุขภาพจิตได้อีกด้วย ทำให้คนที่อยู่ในภาวะเศร้าซึมกลับมาเป็นคนร่าเริง

 

การสะกดจิต มีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษว่า Hypnotism ซึ่งต้นกำเนิดมาจากภาษากรีกที่ว่า Hypnos ที่มีความหมายว่า หลับจึงทำให้หลายคนเชื่อว่าวิชาสะกดจิตที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ มีที่มาจากยุคกรีกโบราณ

 

เมื่อกล่าวถึงเรื่องของการสะกดจิต หากไม่กล่าวถึงคนผู้หนึ่งคงไม่ได้ นั่นคือ รัสปูตินบุรุษที่ได้ชื่อว่ามีพลังในการสะกดจิตสูง จนสามารถสะกดจิตเชื้อพระวงศ์แห่งรัสเซียให้อยู่ในอำนาจ จนนำมาซึ่งหายนะของราชวงศ์รัสเซียในที่สุด

 

รัสปูติน นั้นมีชื่อเต็มว่า กริกอรี เยฟิโมวิช รัสปูติน” (Grigori Yefimovich) เป็นนักบวชที่มีพลังจิตสูงในยุคปลายราชวงศ์โรมานอฟของจักรวรรดิรัสเซีย เกิดเมื่อ 10 มกราคม ค..1869 เมื่อครั้งยังเด็กก็เป็นเด็กธรรมดาที่เกิดในตระกูลเกษตรกรในบริเวณไซบีเรีย

 

ต่อมาเมื่อเป็นหนุ่มก็บวชเข้าเป็นนักบวชในนิกายคริสตี้ ซึ่งถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนทำให้เขาค้นพบกับพลังในการควบคุมจิต แต่ก็ยังถือว่าเป็นขั้นเริ่มต้นเท่านั้น ในปีค..1901 เขาได้เดินทางไปแสวงบุญที่กรีก และเยรูซาเลม เป็นเวลา 2 ปี เชื่อกันมากว่ากรีกนั้นเป็นสถานที่ที่สอนให้รัสปูตินได้เข้าถึงวิชาสะกดจิตอย่างแท้จริง จนสามารถใช้ได้อย่างชำนาญ

 

ในปีค..1904 ก็เกิดเหตุการณ์ที่เป็นการเปิดโอกาสให้รัสปูตินได้ใกล้ชิดกับบรรดาราชวงศ์ของรัสเซีย เมื่อพระราชโอรสองค์โต ของพระเจ้าซาร์ที่ 2 แห่งรัสเซีย เจ้าชายอเล็กไซที่พระอาการประชวรด้วยโรคฮีโมฟีเลีย(Hemophilia) เป็นโรคที่เลือดออกง่าย แต่หยุดยาก ซึ่งในขณะนั้นบรรดาแพทย์ทั่วประเทศรักษาไม่ได้

แต่ทางรัสปูตินกลับรักษาได้ โดยการบังคับทางจิตของเจ้าชายอเล็กไซ และให้จิตนั้นไปบังคับให้เลือดหยุดไหล ซึ่งนั่นก็เป็นการเริ่มต้นเข้าไปมีบทบาทของรัสปูตินในอาณาจักรรัสเซีย และยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่บันทึกถึงความสามารถของบุรุษผู้นี้ในการใช้การสะกดจิต ซึ่งนั่นคงเป็นตำนานในการสะกดจิตอีกบทหนึ่งของโลก

 

นอกจากรัสปูตินที่ใช้การสะกดจิตเพื่อประโยชน์ส่วนตัวแล้ว การสะกดจิตนั้นยังถูกนำไปใช้ในการทหารอีกด้วย เชื่อว่าหากพูดถึงการทหารย่อมต้องนึกถึงผู้นำกองทัพนาซีเยอรมัน ยุครุ่งเรืองในสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่าง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์

 

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์นั้นถือว่าเป็นคนที่ทหารนาซีรักมาก และให้ความเคารพเชื่อฟังเป็นอย่างมาก ส่วนหนึ่งอาจมาจากวีรกรรมที่เขาได้ทำไว้ อีกส่วนหนึ่งเชื่อว่าเกิดจากการสะกดจิต การเกิดขึ้นของสัญลักษณ์ สวัสดิกะและคำกล่าวที่ว่า ไฮ้ ฮิตเลอร์สองสิ่งนี้น่าจะเป็นตัวแปรที่ช่วยให้สามารถสะกดจิตทหารทั้งกองทัพได้

 

นอกจากนั้นในการรบหลายครั้ง ทหารนาซีมักจะเป็นฝ่ายได้เปรียบฝ่ายศัตรูทั้งที่มีกำลังน้อยกว่า เชื่อว่านั่นเป็นเพราะการสะกดจิตดึงความลับจากทหารฝ่ายศัตรูทำให้ล่วงรู้ถึงแผนการ ที่ตั้งและจำนวนคนของศัตรู

 

นอกจากนั้นในยุคของฮิตเลอร์ ยังเชื่อว่ามีการจัดให้มีโครงการลับในการทดลองและค้นคว้าในเรื่องของพลังจิต ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งได้ผลลัพธ์ออกมาค่อนข้างดี หากว่าในสงครามโลกครั้งที่สอง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ไม่สามารถค้นคิดระเบิดปรมาณูสำเร็จ เชื่อว่าผลการรบในสงครามโลกครั้งที่สอง ฝ่ายกองทัพนาซีเยอรมันต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน

 

พ่อครูว่า...พลังจิตแค่ไหนก็สู้ระเบิดปรมาณูไม่ได้ ระเบิดลูกหนึ่งคนตายเป็นล้าน    นี่เขายกตัวอย่างการสะกดจิตว่ามีคนใช้ได้จริง วันนี้อาตมาจะพูดเรื่องสะกดจิตของธรรมะกาย พูดอย่างวิชาการนะ ตัวท่านธัมมชโย จะรู้ว่าตนสะกดจิตหรือไม่ แต่ตัวท่านเป็นนักสะกดจิตตัวยง อาตมาเรียนมาทำมา ให้นั่งสบายๆ หลับตาเข้า ไม่ต้องเคร่งเครียด เบาๆ ทำสงบๆ ทำใจใสๆ ว่างๆ ทำมาแล้ว ร้อยครั้งพันครั้งหมื่นครั้งอาตมาทำมาจนเมื่อย

 

ใครตกเป็นทาสธรรมกาย ถูกสะกดจิตเหมือนรัสปูตินทำ แล้วใช้เล่ห์หลอก เอาความดีงามแบบผิวเผินมาแปะไว้ แล้วหลอกให้ไปหาเงินมาให้ ตนเองเสวยอำนาจ ยศศักดิ์เต็มที่ใช้การสะกดจิตให้คนอื่นตนใต้อำนาจ แล้วเป็นทาสโลกอย่างแรง เขาไม่ได้แค่ในประเทศไทยด้วย เขาเอาทั้งโลก ประเทศไทยเรื่องเล็ก

 

เจดีย์เขาไม่ใช่รูปแบบธรรมดา ต้องเป็นแบบจานบิน เอาองค์ประกอบตกแต่งที่ถือว่าเก่งนะ ศาสนาพุทธสอนให้คนไม่ตกเป็นทาสโลกกับอัตตา แต่นี่เขาสอนให้คนตกเป็นทาสโลก กับทาสอัตตา เขาสอนกัลยาณธรรม ธรรมดาว่า อย่าทำชั่วบางอย่างพื้นฐาน คนก็ได้ประโยชน์ส่วนนี้ คนที่ไปกับธรรมกายไม่ทำชั่วพื้นฐานพวกนี้ เลิกได้ เรียกว่าอบายมุขก็แล้วแต่ เมื่อละได้ ชีวิตจะเจริญ สร้างสรรได้ แต่เมื่อเจริญก็เอาสิ่งที่ได้มา มาให้แก่ รัสปูตินเมืองไทย

 

ขออภัยนะอันนี้น่ากลัวกว่ารัสปูติน เพราะว่า อย่างรัสปูตินนั้นหยาบคนรู้ได้ สุดท้ายก็ถูกฆ่าตาย แต่นี่ไม่ฉลาดเท่าธัมมชโย คนก็นึกว่าดีประเสริฐ แต่ลึกกว่านี้ร้ายกว่ารัสปูตินมาก

 

เขาผนวกกับนักธุรกิจ แต่พอสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนถูกจับได้ ก็ทำเป็นยอมรับ เพราะจำนนก็บอกว่าจะเอาเงินคืน ก็พอมีบริวารที่จะมาช่วย เขาถือว่าจะได้บุญได้วิมาน ถ้าได้เอามาทานให้แก่คนนี้งานนี้ สุดยอดแล้วใช้บุญเป็นวิมานหลอกคนจนสำเร็จ

 

จะลองอ่าน ความเลวร้ายของรัสปูตินบ้าง

 

 

รัสปูติน

 

 กริกอริ รัสปูติน เกิดในครอบครัวเกษตรกรบ้านนอกของไซบีเรีย ในตอนเป็นหนุ่ม รัสปูตินมีความกระหายที่จะเป็นแบบเกษตรกรผู้ที่ทำงาน ดื่มเหล้าหนัก และเสเพลเรื่องผู้หญิง ขนาดอวัยวะเพศอันผิดมนุษย์มนาของเขาเป็นที่ชื่นชอบของเด็กสาวๆ ในหมู่บ้าน ซึ่งมาดูเขาเปลือยกายว่ายน้ำในสระเช่นเดียวกับพวกเธอ

 

วันหนึ่ง ไอริน่า แดนิลอฟว่า คูบาชอฟว่า ภรรยาสาวสวยของนายพลรัสเซียร่วมกับสาวใช้ 6 คน ร่วมกันล่อลวงเด็กหนุ่มรัสปูตินอายุ 16 ปีไปเสียตัว หลังจากเหตุการณ์ครานั้นแล้ว รัสปูตินจึงเริ่มเที่ยวโสเภณีในหมู่บ้านเกิดของเขา

 

เมื่อถึงอายุ 20 ปี รัสปูตินแต่งงานกับเด็กสาวในท้องถิ่นเดียวกัน ชื่อ ปราสโกเวีย เฟโอ โดรอฟน่า ดูโบรวิน่า และเป็นพ่อของเด็กสี่คน สามคนมีชีวิตอยู่จนเป็นผู้ใหญ่ แม้ว่าจะแต่งงานแล้ว เขาก็ยังเที่ยวโสเภณีอยู่

 

จากการได้ร่วมสนุกทางกามารมณ์กับเด็กสาวนาไซบีเรียสามคน ซึ่งเขามีโอกาสพบขณะไปว่ายน้ำเล่นที่ทะเลสาบนั้นเอง ได้ชักจูงให้รัสปูตินรู้ถึงความหลายหลากในศาสนา ในราว พ.. 2443 เขาก็ได้ร่วมกับนิกายนอกรีตนอกรอยที่เรียกว่า นิกายคลิสติ กลุ่มศาสนิกชนผู้ยึดถือในนิกายนี้เชื่อว่ามนุษย์มีบาปมาแต่เริ่มแรก จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องไถ่บาปในเวลาต่อมา

 

ดังนั้นพวกเขาจึงประกอบพิธีอันพิลึกพิลั่นหลายอย่าง เกี่ยวกับความวิตถารในทางกามารมณ์ และการบูชายัญ ผู้คนในบ้านเกิดของรัสปูติน ไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมเหล่านี้ จึงขับไล่ รัสปูตินให้ต้องเร่ร่อนไปทั่วชนบทของรัสเซีย เพื่อประกอบการเยียวยารักษาโรค และชักชวนผู้หญิงในแดนเถื่อนให้เข้าร่วมพิธีกรรมอันวิตถาร พิธีกรรมเหล่านี้ประกอบด้วยการดื่มเหล้า การร้องเพลง การเต้นรำอย่างบ้าคลั่ง และก็ทำกิจกรรมอย่างว่าเป็นหมู่คณะ ( สวิงกิ้งนั่นเอง ) ในทุกๆ แห่งที่สะดวกไม่ว่าจะเป็นป่า ( โปรดนึกภาพตามว่าสภาพจะเป็นอย่างไร ) ยุ้งข้าว หรือกระท่อมของสาวกคนใดคนหนึ่ง หลักนิยมของรัสปูตินในการไถ่บาป ผ่านการปลดปล่อยทางกามารมณ์นั้น ทำให้สตรีมากมายที่ศรัทธาในนิกายนี้ ต้องบำเรอความสุขให้เขาเสียก่อนเป็นขั้นแรก แม้ว่ารูปโฉมของ นักบุญจอมราคะ แสนจะสกปรกเลอะเทอะ โรเบิร์ต แมสซี่ นักเขียนอัตชีวประวัติจึงบันทึกไว้ว่า การร่วมเพศกับคนบ้านนอกที่ไม่ได้อาบน้ำ หนวดเคราและมือสกปรก ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกเสียวซ่านอย่างใหม่ขึ้น

 

ในปี พ.. 2448 รัสปูตินได้เข้ามาตั้งมั่นอยู่ในเมืองเซนต์ปีเตอร์เบอร์ก ( เมืองหลวงในขณะนั้น ) รัสปูตินได้บรรเทาอาการโรคโลหิตไหลไม่หยุด ( ฮีโมฟีเลีย ) ของเจ้าชายอเล็กซิสได้ เป็นที่ชื่นชมของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 และซารีน่า อเล็กซานดร้า ผู้เป็นพระราชมารดาเป็นอันมาก รัสปูตินจึงอาศัยอิทธิพลของซารีน่าแผ่อิทธิพลและสร้างเรื่องอื้อฉาวทางกามารมณ์จนเป็นที่กล่าวขวัญในเมืองหลวง

(จะไม่อ่านหมด ยาวมาก)

เหตุการณ์การสังหารราชวงศ์โรมานอฟแห่งรัสเซีย เมื่อ ปี ค..1918 นับเป็นโศกนาฏกรรมครั้งประวัติศาสตร์ ที่สะเทือนใจชาวโลกอย่างมาก และต้นเหตุแห่งการสูญสิ้นราชวงศ์และสถาบันกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่นี้ เชื่อกันว่ามาจากคำสาปแช่งของพ่อมดรัสปูติน ที่มีฉายาว่าบุรุษแห่งความมืด...

 

ราชวงศ์โรมานอฟ (Romanov Dynasty : 1631 - 1917) เป็นราชวงศ์ที่สอง และราชวงศ์สุดท้ายแห่งอาณาจักรรัสเซีย ราชวงศ์นี้มีกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่หลายพระองค์ เช่น พระเจ้าปีเตอร์มหาราช และพระนางคัทรีนมหาราชินี ราชวงศ์โรมานอฟปกครองรัสเซีย ด้วยระบบสมบูรณาญาสิทธิราชมาโดยตลอด และไม่ยินยอมให้มีการร่างรัฐธรรมนูญ อันจะเป็นการลดพระราชอำนาจของกษัตริย์ กษัตริย์จึงมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการปกครอง เพราะเหตุนี้เองทำให้ประชาชนถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพทางการเมือง การปกครอง และพยายามต่อต้านการปกครองระบอบกษัตริย์ เพื่อปลดแอก กระทั่งช่วงปลายราชวงศ์ สมัยซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 สถานการณ์บ้านเมืองของรัสเซียตกต่ำมาก เศรษฐกิจย่ำแย่ ประชาชนยากจนอดอยาก การต่อต้านระบบศักดินาทวีความรุนแรงมากขึ้น จนเกิดกระแสความคิดแนวมาร์กซิสต์ โดยมีแกนนำอยู่ในพรรคแรงงาน เช่น เลนิน มาร์ตอฟ ปเลคานอฟ อันทำให้เกิดการปฏิวัติรัสเซียในเวลาต่อมา

 

 

พ่อครูว่า...รัสปูตินได้ไปมีส่วนล้มราชวงค์ เพราะได้ไปรักษาเชื้อพระวงค์ ใช้การสะกดจิตที่เป็นมโนมยอัตตา

 

ในการสะกดจิตให้ไปสั่งระงับประสาทหรือระงับส่วนต่างๆของร่างกาย ทำได้ อาตมาตั้งแต่เล่นสะกดจิต ก็เข้าใจเรื่องพลังจิต ที่เป็นอุปาทานจนหลงผิดได้เลย

 

เช่น มันไม่มีสิ่งนี้ แต่สะกดจิตให้เขาเห็นได้จริงๆ เขารู้สึกว่ามีจริงๆ เช่นสั่งว่าคนนี้โต๊ะนี้ ขณะหลับตานี่สั่งไว้ ต่อมาจะให้ลืมตา แล้วบอกว่าบนโต๊ะนี้ไม่มีอะไรเลย ว่างหมดนะ ทำใจสบายๆเบาๆ บอกว่าไม่มีอะไร อยู่บนโต๊ะ พอเขาลืมตามาเขาก็ไม่เห็นจริงๆ ถามว่ามีอะไรไหม? เขาก็ไม่เห็นจริงๆ เราก็บอกว่าให้เขาเอามือกวาดไปสิ แล้วเขาก็จะไม่รู้ว่าอะไรมี แต่ที่จริงมีแก้วน้ำวางอยู่ เขาก็กวาดถูกแก้วน้ำตกอยู่เพล้ง เขาก็ตื่น

 

ก็ได้ศึกษาว่าถ้าถูกสะกดจิตก็ทำได้ สิ่งที่ไม่มีจะให้เห็นก็ได้ เช่น สะกดจิตว่า เอาเหล็กเผาไฟแดงไปวางนาบที่แขน (ทั้งที่เป็นอย่างอื่นที่ไม่ร้อน) พอนาบไปเขาก็ร้อนจริง

 

มันเป็นมโนมยอัตตา ในอัตตา 3

1.     การยึดครองหรือได้ตัวตนวัตถุภายนอก (โอฬาริกอัตตา )

2.     การยึดครองหรือได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ  ปั้นรูปสัญญา       ไม่อาศัยวัตถุภายนอกหยาบๆแล้ว (มโนมยอัตตา )

3.     การยึดครอง หรือได้อัตตาที่หารูปมิได้  หรือรูปละเอียดที่ปั้นสำเร็จขึ้นด้วยสัญญา (อรูปอัตตา  ปฏิลาโภ)

(โปฏฐปาทสูตร  พระไตรปิฎก เล่ม 9  ข้อ 302)

 

เช่น พ่อครูยกปากกา ขึ้นมา

ใครก็เห็นเหมือนกันหมด นี่ลูกฟักข้าวใครก็เห็นเหมือนกัน  แต่ถ้าจิตเราถูกสะกดจนวิปลาสไป เช่นสะกดว่าเห็นฟักข้าวนี่ลูกใหญ่นะ เขาก็จะเห็นว่าใหญ่ แต่คนเราไปติดอีกอย่างที่เห็นว่า รูปนี่สวยนะ นี่ก็ติดในโอฬาริกอัตตา คือติดในกามคุณ 5 ที่ปรุงแต่ง ติดในตัวที่ถูกโลกหลอกว่าอร่อย เป็นความน่ามีน่าได้น่าเป็น ต่างไปจากสิ่งที่เป็นธรรมชาติของสิ่งนี้ เป็นการสร้างอัตตาของตน เช่น เสพรูปสวยอันนี้ ซึ่งเป็นสิ่งเท็จ  ในโอฬาริกอัตตาที่ชื่นใจ ทั้งๆบางทีทำทุจริต เช่น ไปโกงเขามาได้เงินมาก็ชื่นใจ คุณฉลาดโกงเขาก็ชั่วแล้ว แล้วยังไปหลงยินดีสิ่งที่ตนได้มาอีก 

นั้นทำให้ฝั่งลึกในจิตอีก

 

อบายนั้นเขาไปติดในรูป รส กลิ่น เสียงสัมผัส อย่างหยาบก็ติด การละเล่น บันเทิง อย่างไมเคิลแจกสัน เป็นของไม่จริง สุขขัลลิกะ โอฬาริกอัตตา ที่หยาบมาก อาตมาดูไมเคิลเต้น ร้องเพลงก็ไม่ได้สุขอะไร ไม่ได้เกิดรสอะไร ก็เต้นไป ดีไม่ดีมันลามกด้วย แต่เขาก็ติด โลกทุกวันนี้ถูกครอบงำด้วยรสโอฬาริกอัตตา

 

อาตมามาเผยแพร่สูตรของพระพุทธเจ้าให้พวกเรา ให้พวกเราลดละหน่ายคลาย แต่ก่อนใครดูฟุตบอลแล้วอร่อยมาก แต่เดี๋ยวนี้จางคลายไหม? หรือไม่เกิดรสชาติในใจแล้ว นี่คือของเท็จ นี่คือสิ่งลวงสร้างขึ้นมา

 

ธรรมกายไม่ได้สร้างแต่มโนมยอัตตาเท่านั้น แต่สร้างความสวย ยิ่งใหญ่หรูหรา ในโลก อันนี้ซ้อนไม่ได้ดูหยาบ แต่ที่จริงผู้เห็นชัดรู้สัจธรรม ก็จะเห็นว่าหยาบ แต่คนไม่รู้จะหลงว่างามมาก หรูหรามาก สวยมาก ปรุงแต่งกันมาก

 

โอฬาริกอัตตา และมโนมยอัตตา เขาใช้อย่างเห็นๆ แต่ว่า เขาไม่รู้ว่า เขาจับมโนมยอัตตากับโอฬาริกอัตตา เขาไปฝังลึกใต้ก้นบึ้งของจิตเป็นอรูปอัตตาไปด้วย เขาสร้างนิพพานเป็นอัตตาด้วย ผู้รู้ท้วงติงเขาก็ไม่ฟังเพราะเขาสะกดจิตจนคนเป็นทาส เป็นบริวารที่ปล่อยไม่ไปแล้วอันตรายมาก ดูนิ่มนวลแต่หยาบคายกว่ารัสปูติน

 

สร้างทั้งรูปแบบยิ่งใหญ่ องค์ประกอบต่างๆนานาให้คนหลง แล้วเขาก็ทำได้เพราะคนอวิชชา ตกเป็นทาสเขาอย่างยิ่ง ต่างกับพระพุทธเจ้าที่สอนให้คนฉลาด ไม่ตกเป็นทาสโลก ทาสอัตตา ของพระพุทธเจ้าถอนล้าง แต่นี่ทำให้คนติด จม หลอกบุญใหญ่ บุญมาก มหาศาลเป็นมหัปปิจฉะ อนันตังไม่มีที่สิ้นสุด เป็นเรื่องน่ากลัวที่สุด

 

อาตมาไม่โกรธเกลียดแต่กลัว ขนพองสยองเกล้า สังคมไทยหากให้ลัทธินี้ครอบงำประเทศแล้ว จะตกต่ำยิ่งกว่าประวัติศาสตร์รัสปูตินอีก เพราะเขาผนวกอะไรหลายอย่าง ใช่เล่ห์กล ฉลาดแกมโกงยิ่งกว่ารัสปูติน

 

ธรรมกายเป็นลัทธิที่ตรงกันข้างอย่างสิ้นเชิงกับของพระพุทธเจ้า ยิ่งกว่าเทวทัต เพราะเทวทัตเป็นสายที่ใช้ฤทธิ์ไม่ใช่โลกธรรม  แต่สายธรรมกายนี้ติดยึดหนักกว่าเทวทัตซับซ้อนกว่า ที่อาตมาพูดนี่เหมือนถล่มทำร้ายธรรมกาย แต่ขอยืนยันว่าอาตมาไม่ได้ทำร้าย เขาทำความร้ายมาเอง อาตมาเปิดเผยความร้ายนี้ อาตมาสู้รบปรบมือกับเขาไม่ได้ อาตมาเล็กๆไม่มีอำนาจอะไร เขามีอำนาจที่ผูกโยงกับอำนาจรัฐ(รัฐบาลก่อน) แต่รัฐบาลนี้ไม่ได้ ก็หวังว่า รัฐตอนนี้จะมีดวงตาเห็นว่านี่คือผีร้ายแรงของสังคม จัดการไปตามความจริงก็จบ ถ้าซูเอี๋ยกันไปไม่รอด เพราะเชื้อโรคร้ายแรงฆ่าตายยาก เชื่อพันธ์นี้นะ ยากมาก

 

ก็ขอสรุปลงที่ว่า ลัทธิ ที่ แยกไว้ 3 อย่างใหญ่ๆ

 

1.ลัทธิมักน้อยสันโดษหนีทิ้งโลก เป็นอัตตาเต็มตัวเต็มบ้อง เข้าใจว่ากามต้องทิ้ง แต่ไม่เข้าใจจิต ไม่มีจิตวิเคราะห์ ไม่มีผัสสะจริงแล้ววิเคราะห์ว่าจิตนี้ติดอะไร แล้วฝึกจิตให้มีปัญญารู้ความจริงตามความเป็นจริง

 

ต้องเรียนรู้ ธรรมชาติมันจะมีเวทนาเป็นส่วนสองเลย

ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา

(เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ผู้ที่ได้ศึกษาจิตวิเคราะห์แบบพุทธก็จะแยกแยะได้ ศึกษา นาม 5 คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ แตกจิตให้รู้ว่าอะไรคือจิตจริงที่เป็นธาตุรู้แล้วอะไรคือตัวที่สองที่เราหลงสร้างเป็นอัตตา

 

ถ้าปฏิบัติจะลด อัตตา 3 ไปตามลำดับ แต่ถ้าไม่ได้ปฏิบัติ อรูปอัตตาจะใหญ่ยิ่งกว่าโอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตาอีก เพราะทุกอย่างไปรวมลงที่จิต แต่ถ้าลดละไปก็จะได้ตามลำดับ จนหมดอัตตาได้ แล้วจะรู้ว่า สัญญา ย นิจจานิ ทุกอย่างอยู่ที่เราไปยึดมั่นกำหนดหมาย ผู้มีตาทิพย์จะอ่านหรือรูปจริงกับรูปสองได้ เสียงสอง

 

ผีกับเทวดาก็อย่างเดียวกัน ถ้าฆ่าเทวดาได้ ผีก็หายไปด้วยได้ ก็เหลือแต่จิตที่เป็นอย่างเดียวเป็นเอกัคคตาได้

 

ถ้าไม่รู้จักโอฬาริกอัตตา ก็ไปสะสม จะจัดจ้านตามโลกเขาไป อยากได้จนต้องทุจริตก็ต้องทำ ทุจริตได้ก็หลงว่าดีอีก เป็นมานะ อติมานะซ้อนอีก แล้วก็ทำอย่างย่ามใจ ไม่ว่าสายศาสนาหรือนักธุรกิจ

 

นักธุรกิจ ยิ่งฉลาด แกมโกงซับซ้อนจะยิ่งรวยมาก เพราะไม่มีเศรษฐกิจพอเพียง เพราะถ้ามีก็จะตีกรอบตนว่าไม่รวยกว่านี้อีก ทำได้มากก็จะช่วยคนอื่นได้มาก อย่างวอเรน บัฟเฟต มีอยู่ 100 % จะทำทานถึง 80% คนอย่างนี้มาคุยกันจะรู้ได้เลย แต่ทุกวันนี้คนทำทานอยู่ไม่กี่ % หรอก

 

อย่างชาวอโศกนี่ทำมากก็จะยิ่งสะพัด ไม่สะสมเอามาเป็นของตน ต้นทุนเราจะมีมากขึ้น แต่ไม่ได้เป็นสิ่งทุจริต เรามีปัญญาเหนือทุจริต อกุศล เราใช้เป็นกุศลสร้างเพื่อโลก คนไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องมีเครื่องมือมากหรือทันสมัย เพราะเราทำเพื่อสังคม เรามีเครื่องมือมากเราก็ทำช่วยได้มาก ไม่ได้ทำมาแล้วเอาเงินมาปันผลแก่สมาชิก ไม่ใช่ เราทำถึง ไม่เอาลาภแลกลาภเลย

 

มาบวชเป็นพระเป็นเจ้าแล้วไม่รู้ ก็ยังรับเงินตอบแทนค่าตอบแทนนี่คือการรับจ้าง การทำทานกับการรับจ้างมันต่างกัน

 

ที่จะเน้นวันนี้ชัดๆก็คือการสะกดจิต นี่คือเรื่องที่ไม่ค่อยรู้ทันกัน อาตมาไม่พูดว่าธัมมชโยจะรู้ว่าตนทำสะกดจิตไหม แต่บอกเลยว่าคุณทำการสะกดจิต จะบอกว่าบกพร่องโดยสุจริต ก็เป็นความผิดที่ใหญ่มากเลวร้ายมาก ให้คนหลงวิมานงามงายอัตตา สร้างภพชาติให้คนติดหลง มอมเมาด้วยภพชาติ คนหลงสวยงามหรูหรา ฟู่ฟ่า ให้คนหลงเบิกบาน อาตมาได้อ่าน บทสัมภาษณ์ของเสี่ยบุญชัยว่า ธรรมกายจะทำให้เขาได้ภพชาติ

 

ก็ขอเข้าสู่มิจฉาทิฏฐิข้อแรกคือทำทาน

 

เขาติดสินบนเก่ง สร้างวิมาน ก็เก่ง ประกอบรูปร่างองค์ประกอบ อย่างนี้หยาบใหญ่หรูหรามหัปปจิฉะ มีแสงสีเสียง ทำให้เขาติดยึดกลายเป็นอัตตาที่หนาแน่น เป็นอัตตาที่ยิ่งใหญ่ซ้อนลงไป

 

มิจฉาทิฏฐิข้อแรกคือทาน เขาไม่เข้าใจว่าทำทานอย่างไรเป็นอัตถิทินนัง เขาทำทานแล้วยิ่งสร้างภพชาติ ทำให้เขายิ่งอยากได้อยากเป็นในวิมาน ชาตินี้ได้เท่านี้ ชาติหน้าจะได้มากกว่าเดิม เป็นภพชาติที่เขาไม่เข้าใจ ถูกหลอกให้งมงาย ทานแบบนี้ทำใจในใจอย่างไรจึงเป็นอัตถิทินนัง

 

เกิดผลเป็นจิตที่สังเวยบวงสรวงแล้วมีผล คือมีพฤติกรรมนั้นแล้ว จิตคุณมีผลอย่างไร มีผลลดละหน่ายคลายกิเลสหรือไม่? ถ้าผู้ใดไม่รู้ว่าทานอย่างไรมีผล อัตถิทินนัง ก็จะไม่รู้วิธีทำใจในใจ ทานคือการสละความโลภ ล้างจิตโลภให้เล็กลง แต่นี่ไปตั้งวิมานให้โลภใหญ่กว่าเก่า โดยหลอกว่าถ้าเอาอันนี้มาบริจาคให้เรา ชาติหน้าจะได้อันนี้อีก 100 อัน นี่คือคำหลอกคน ยิ่งถูกสะกดจิตก็ยิ่งเชื่อง่าย เชื่อก็ยิ่งมาทำทาน จนมีคนที่หมดตัว ทำทานไม่ทัน

 

เขาสอนให้คนเลิกอบายมุข เป็นขั้นต้นง่ายๆ คนพวกนี้สร้างฐานะได้ทุกคน แต่เราไม่หลอกให้เอาเงินมาทำทานให้เรา แต่เขาหลอกให้ทำทานให้เขา ประเด็นคือมันเป็น นัตถิทินนัง คือทำทานแล้วไม่ได้ผลลดกิเลส แต่ว่ากลับทำให้กิเลสเพิ่มขึ้น ทำทานแล้วอยากได้มากขึ้น ทำจิตจริงเลย

 

ไม่ว่าจะวัดไหน หรือธรรมกาย ก็ทำทานมิจฉาทิฏฐิ ในสัมมาทิฏฐิ 10

 

เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยาให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา)

 

1.     ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ ทินนัง)

2.     ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง)

3.     สังเวย(เสวย) ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง)

4.     ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่  
(อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก)

5.     โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโกหมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ

6.     โลกหน้า มี (อัตถิ  ปโร  โลโกหมายถึง โลกโลกุตระ

 

ต่อให้นั่งสมาธิ แต่แล้วเวลาทำทานก็โลภมากกว่าเก่าอีก คือการไม่เข้าใจปรมัตถ์นี้ แล้วไม่รู้จักมนสิการ ที่ต้องรู้จิตตั้งแต่สักกายะ ไม่รู้ก็ไปสร้างภพชาติ   เป็นนัตถิทินนัง นัตถิยิตถัง นัตถิหุตัง สังเวยบวงสรวงแล้วได้ผลเพิ่มกิเลสแน่ อย่างไปทำทานไหว้เจ้า แล้วสาธุขอให้รวยๆๆ คุณไหว้เจ้าไม่ได้ลดกิเลสเลย นี่คือวิธีการคือ ยิตถัง แต่พระพุทธเจ้าสอนให้เกิดการลดละหน่ายคลายกิเลส แต่นี่สอนตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้าก็ไม่มีทางได้ผล

 

ยิ่งมาใช้วิธีซับซ้อนสะกดจิตอีก สร้างภพชาติ หลอกให้รวยมากใหญ่ กิเลสมากโต นั่งหลับตาได้รูปภพ อรูปภพใหญ่โต สะกดจิตเป็นภพภายใน ดูไม่มีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสจัดจ้าน แต่ว่ามันเป็นภพภายใน ยิ่งเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ เป็นเรื่องนอกรีต ที่พระพุทธเจ้าอึดอัด เกลียดชังระอา ด้วย

 

แม้แต่ทานก็ไม่เข้าใจสัมมาทิฏฐิ อ่านจิตไม่เป็นโยนิโสมนสิการ ไม่เป็น สัมมาทิฏฐิต้องมีปรโตโฆษะ และโยนิโสมนสิการ

1.     การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์

2.     การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์

3.     ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์ 

4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา

 

ตรงไหนที่เกิดเวทนา นั่นคือ หทยรูป ตรงนั้นคือ แดนเกิด คำว่าแดนเกิดกับหทยรูปคือ อันเดียวกันในไวยพจน์ แต่ หทยรูป คือรูป แต่สัมภวะคือแดนเกิดของรูปนาม ก็มาเรียนรู้แดนเกิดของรูปนาม แล้วตรงนั้นแหละคือหทยรูป อ่านเจโตปริยญาณ 16 ได้ สัมภวะคือองค์ประชุมของรูปนามเป็นกาย ส่วนหทยรูปคือรูป ที่ตรงนั้นแหละ

 

คนทำทานก็ไม่รู้ว่าต้องทำใจอย่างไร ศีลพรตก็ทำไม่เกิดมรรคผล ไม่โโยนิโสมนสิการให้สัมมาทิฏฐิ ก็ไม่เกิดผลลดกิเลสได้แน่ ถ้าไม่รู้จักโยนิโสมนสิการให้สัมมาทิฏฐิ ก็จะไม่ได้ตามสัมมาทิฏฐิ 10 ที่เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยาให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา)

 

1.     ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ  ทินนัง)

2.     ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง)

3.     สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง)

4.     ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่ 
(อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก)

5. โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโกหมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ

6. โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโกหมายถึง โลกโลกุตระ  

7. มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา)

8. บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา)

9. สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา)

10. สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

      (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 257)

 

เพราะคุณทำเวทนาในส่วนสองให้เป็นหนึ่งไม่ได้  ไม่เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนาได้

 

วิธีปฏิบัติธรรม ให้มีทาน มียัญพิธี อย่างไรให้ลดกิเลสได้ ก็จะไม่ได้ตรวจสอบตนเองก็ไม่เป็น รู้และแยกเคหสิตะกับเนกขัมมะให้ออก แยกผีแยกเทวดาให้ออก มันเป็นสอง แล้วทำให้มันเป็นหนึ่งได้ โดยส่วนสอง อย่างไร อารมณ์หรือเวทนาก็ยังมีอยู่ แต่สิ่งที่เราต้องการให้ออกไปมันก็ออกไปเหลือเอกัคคตา เราเข้าใจก็ทำโลกนี้โลกียะให้ดับ โลกสมุทัยดับหมด มีแต่โลกนิโรธ แล้วก็อาศัยสิ่งนี้ เวทนาเราก็มีอยู่ เราดับเวทนาแต่เราก็มีเวทนา เป็นเวทนาหนึ่งเดียว แต่ก่อนเป็นผี เป็นเทวดา เราทำให้สัตว์โอปปาติกะดับและเกิด เรียนรู้ สัตตาวาส 9 ต้องกำหนดหมายเรื่องกายให้ถูก ถ้าไม่รู้ก็กำหนดแล้วปฏิบัติไม่ได้

1.     สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่น พวกมนุษย์  พวกเทพบางเหล่า  พวกสัตว์วินิปาติกะบางเหล่า  ต้องแยกแยะผี เทวดาในจิตให้ออก

2.     สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน  มีสัญญาอย่างเดียวกัน   เช่น  เหล่าเทพจำพวกพรหม  ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น ทำให้นิวรณ์ 5 ดับได้ ก็สูงขึ้นอีก 

 

ยิ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า กายคือจิต คือมโน คือวิญญาณบ้าง นั้นแล้วมีสำนักอื่นใดบอกว่าไว้ว่า กายนี่ต้องอ่านที่จิต มีสำนักไหนสอนบ้าง? ...ก็ไม่มีเลย

 

อาตมาก็อธิบายสิ่งจริง ที่เกิดในสังคมไทย ให้รู้สิ่งเป็นภัยเป็นโทษ มันเกิดขึ้น แล้วสิ่งที่ถูกต้องอาตมาก็ส่งเสริม แล้วเราจะได้กำจัดสิ่งผิด แล้วส่งเสริมสิ่งที่ถูกต้อง

 

ขอสำทับว่า มี เจตนาแต่อย่า อยาก

จง พากเพียรให้เต็ม บริสุทธิ์” ...เอวัง


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 13:13:12 )

580401

รายละเอียด

580401_สรรค่าสร้างคน(วนบ.) บ้านราชฯ ชำแหละการสะกดจิตแบบรัสปูตินเมืองไทย

พ่อครูว่า....รายการเราก็ไม่ขาดธรรมะ สังคมโลกมีมนุษย์ในสังคม แล้วมนุษย์นี่ต้องเข้าใจโลก เข้าใจมนุษย์ ถ้ามนุษย์ไม่เข้าใจความเป็นมนุษย์เอง ก็จะมีพลังพิเศษทางจิตวิญญาณที่จะขับเคลื่อนตัวเรา ถ้าเราไม่รู้จักตัวเรา ไม่รู้จักธรรมะ มนุษย์ก็จะรู้จักแต่ความเป็นโลก โลกคือ ลาภ ยศ สรรเสริญ​ โลกียสุข ที่จะไปแย่งชิงโลกธรรมกัน อยากได้สุขทางกาม ทางอัตตา ไม่รู้ว่าตัวเองคืออะไร ปล่อยให้กิเลสควบคุมตัวเรา โลกจะหลอกเรามอมเมาเราไปเรื่อยๆ ปุถุชนปรุงแต่งยั่วยวนกันเช่นนี้ มอมเมาไปตลอดกาลนาน ตนเองเป็นทางตนเองเป็นทาสโลก แล้วไม่รู้ว่าโลกคืออะไร แล้วไม่รู้ว่าตนคือใคร ชีวิตเราจะเจริญจริงๆคืออะไร? ก็ได้รู้เหมือนโลกๆว่า ชีวิตจะเจริญด้วยโลกธรรม ที่สามัญเข้าใจกันแบบนี้ทั้งโลก มนุษย์จึงเป็นทาส สังคมเดือดร้อน

 

พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องโลก เรื่องตัวตน แล้วมีพลังอำนาจเรียกว่า อธิปไตย โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย ท่านก็เรียนรู้แล้วลดความเป็นทาสโลก ทาสอัตตา จนอำนาจโลก อำนาจอัตตาทำอะไรท่านไม่ได้ นั่นแหละเรียกว่าธรรมะ ก็มีอำนาจเป็นธรรม ที่สู้กับโลก กับความเป็นทาสตนเองได้จริงๆ ได้ถาวร

 

นอกจากไม่เป็นทาสแล้วก็รู้คุณค่าความเป็นคน ท่านก็ทำคุณค่านี้ให้โลกไปจนกว่าท่านจะตาย ทุกคนที่มีธรรมาธิปไตย อยู่เหนือกามเหนืออัตตาธิปไตย

 

คนไม่รู้ก็ตกเป็นทาส กาม ทาส อัตตา

 

สิ่งที่เป็นกาม เป็นโลก เห็นได้ง่ายรู้ได้ง่ายกว่า อัตตา แต่แม้เห็นโลกได้ง่ายแต่ก็เลิกเป็นทาสโลกไม่ง่าย คนมีภูมิปัญญาก็ไม่อยากเป็นทาสสิ่งเหล่านี้ก็เลยหาวิธี ได้มีความรู้ที่เขาถือว่าหลุดพ้นได้ ก็มีสองสายใหญ่ๆ

 

หลุดพ้นโดยหนีไปจากโลกธรรมไปเลย ก็เลยไปอยู่กับตัวตน แล้วไม่รู้ตัวเองจริง ก็เป็นลัทธิฤาษีดาบส เกิดก่อนพระพุทธเจ้า หนีเข้าป่าเขาถ้ำไป ก็ไม่เป็นภัยต่อโลก ต่อสังคม แต่ไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้ภพชาติ ที่ตนไปสร้างไว้กี่ชนิด ทั้งรูปภพ อรูปภพ หนักหนาสาหัส

 

ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเราเป็นเช่นนี้ เป็นลัทธิหนีโลกธรรม เกือบทั่วไปแล้ว ส่วนอีกพวกหนึ่งหนีอีกแบบ แต่ไม่หนีจากสังคม ก็ศึกษาของพระพุทธเจ้า ไม่ค่อยเข้าใจ ไม่รู้วิธีที่ถูกต้อง ไม่ชัดในไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา หรือวิมุติ คือหลุดพ้นก็พยายามศึกษา แต่ไม่เกิดสัมมาทิฏฐิ

 

อาตมาพาทำมาก็หลายสิบปี เขาก็ไม่รับได้ เขาต้านด้วย แต่ก็มีผู้ที่รับได้อยู่  ก็ได้เท่าที่ได้ บางคนก็ไม่กล้าออกมา

 

เขาเรียนความรู้ปริยัติที่เรียกว่า ปัญญา พวกนี้ก็กลุ่มกลางๆ ส่วนอีกพวกหนึ่ง เรียนทางปัญญาด้วย มีการนั่งสมาธิ และแถมถือศีลด้วย ตัวอย่างชัดที่สุดคือธรรมกาย ใช้ปัญญา สมาธิ และศีล เขาเข้าใจได้แค่ สีลลัพพตุปาทาน ไม่ต้องพูดถึง สีลลัพตปรามาส แต่ธรรมกายนี่ประยุกต์อยู่ในเมือง เอาทั้งปัญญา ที่จริงเป็นเฉกา ไม่ใช่ปัญญา สร้างภพชาติวิมานหลอกคนไปมากมายเลย

 

สายที่สามนี้น่ากลัวมาก ไปใช้วิธีสะกดจิต สมาธิ แล้วผนวกกับการเอาโลกธรรม อามิสมาล่อ สะกดจิตให้เป็นทาสอัตตา โดยไม่รู้ว่า อัตตา 3 คืออะไร โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา คืออะไร ตนเองหลงแล้วมาหลอกให้คนอื่นหลงด้วย พยายามครอบงำ ตกเป็นทาส บริวารของผู้สะกดจิต เป็นนักสะกดจิตที่ยิ่งใหญ่มาก

 

อาตมาจะอ่านบทความเรื่องการสะกดจิตก่อน

 

การสะกดจิต

 

จิตนั้นเป็นพลังงานชนิดหนึ่งที่มีความเร้นลับ ซึ่งมีพลังมากยิ่งกว่าพลังงานใดๆ ที่มนุษย์ค้นพบมาเสียอีก ในสมัยโบราณนั้นให้ความสำคัญกับการฝึกจิตมาก จุดประสงค์เพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของจิตให้สูงยิ่งขึ้น

ตั้งแต่ครั้งอดีต ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใดก็ตามมีความพยายามที่จะเรียนรู้เรื่องของจิต จนในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ ในการควบคุมจิตใจของผู้อื่นให้เป็นไปตามที่ตนเองต้องการ หรือที่เรารู้จักในชื่อว่า การสะกดจิต

 

การสะกดจิตนั้นหมายถึง วิธีการที่ทำให้ผู้ถูกสะกดจิต มีสภาวะทั้งทางร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย แต่ไม่ใช่การทำให้หลับ หลังจากนั้นผู้สะกดจิตก็จะทำสั่งจิตของอีกฝ่ายหนึ่ง ให้ทำตามสิ่งที่ตนเองต้องการ ซึ่งไม่จำเป็นต้องขอความร่วมมือจากอีกฝ่ายเลย

   

การสะกดจิตนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงทางด้านความประพฤติ และอุปนิสัย เช่นเปลี่ยนจากคนขี้เกียจเป็นคนขยัน เปลี่ยนจากคนกินน้อยให้กินมากขึ้น นอกจากนั้นยังสามารถช่วยในเรื่องของสุขภาพจิตได้อีกด้วย ทำให้คนที่อยู่ในภาวะเศร้าซึมกลับมาเป็นคนร่าเริง

 

การสะกดจิต มีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษว่า Hypnotism ซึ่งต้นกำเนิดมาจากภาษากรีกที่ว่า Hypnos ที่มีความหมายว่า หลับจึงทำให้หลายคนเชื่อว่าวิชาสะกดจิตที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ มีที่มาจากยุคกรีกโบราณ

 

เมื่อกล่าวถึงเรื่องของการสะกดจิต หากไม่กล่าวถึงคนผู้หนึ่งคงไม่ได้ นั่นคือ รัสปูตินบุรุษที่ได้ชื่อว่ามีพลังในการสะกดจิตสูง จนสามารถสะกดจิตเชื้อพระวงศ์แห่งรัสเซียให้อยู่ในอำนาจ จนนำมาซึ่งหายนะของราชวงศ์รัสเซียในที่สุด

 

รัสปูติน นั้นมีชื่อเต็มว่า กริกอรี เยฟิโมวิช รัสปูติน” (Grigori Yefimovich) เป็นนักบวชที่มีพลังจิตสูงในยุคปลายราชวงศ์โรมานอฟของจักรวรรดิรัสเซีย เกิดเมื่อ 10 มกราคม ค..1869 เมื่อครั้งยังเด็กก็เป็นเด็กธรรมดาที่เกิดในตระกูลเกษตรกรในบริเวณไซบีเรีย

 

ต่อมาเมื่อเป็นหนุ่มก็บวชเข้าเป็นนักบวชในนิกายคริสตี้ ซึ่งถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนทำให้เขาค้นพบกับพลังในการควบคุมจิต แต่ก็ยังถือว่าเป็นขั้นเริ่มต้นเท่านั้น ในปีค..1901 เขาได้เดินทางไปแสวงบุญที่กรีก และเยรูซาเลม เป็นเวลา 2 ปี เชื่อกันมากว่ากรีกนั้นเป็นสถานที่ที่สอนให้รัสปูตินได้เข้าถึงวิชาสะกดจิตอย่างแท้จริง จนสามารถใช้ได้อย่างชำนาญ

 

ในปีค..1904 ก็เกิดเหตุการณ์ที่เป็นการเปิดโอกาสให้รัสปูตินได้ใกล้ชิดกับบรรดาราชวงศ์ของรัสเซีย เมื่อพระราชโอรสองค์โต ของพระเจ้าซาร์ที่ 2 แห่งรัสเซีย เจ้าชายอเล็กไซที่พระอาการประชวรด้วยโรคฮีโมฟีเลีย(Hemophilia) เป็นโรคที่เลือดออกง่าย แต่หยุดยาก ซึ่งในขณะนั้นบรรดาแพทย์ทั่วประเทศรักษาไม่ได้

แต่ทางรัสปูตินกลับรักษาได้ โดยการบังคับทางจิตของเจ้าชายอเล็กไซ และให้จิตนั้นไปบังคับให้เลือดหยุดไหล ซึ่งนั่นก็เป็นการเริ่มต้นเข้าไปมีบทบาทของรัสปูตินในอาณาจักรรัสเซีย และยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่บันทึกถึงความสามารถของบุรุษผู้นี้ในการใช้การสะกดจิต ซึ่งนั่นคงเป็นตำนานในการสะกดจิตอีกบทหนึ่งของโลก

 

นอกจากรัสปูตินที่ใช้การสะกดจิตเพื่อประโยชน์ส่วนตัวแล้ว การสะกดจิตนั้นยังถูกนำไปใช้ในการทหารอีกด้วย เชื่อว่าหากพูดถึงการทหารย่อมต้องนึกถึงผู้นำกองทัพนาซีเยอรมัน ยุครุ่งเรืองในสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่าง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์

 

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์นั้นถือว่าเป็นคนที่ทหารนาซีรักมาก และให้ความเคารพเชื่อฟังเป็นอย่างมาก ส่วนหนึ่งอาจมาจากวีรกรรมที่เขาได้ทำไว้ อีกส่วนหนึ่งเชื่อว่าเกิดจากการสะกดจิต การเกิดขึ้นของสัญลักษณ์ สวัสดิกะและคำกล่าวที่ว่า ไฮ้ ฮิตเลอร์สองสิ่งนี้น่าจะเป็นตัวแปรที่ช่วยให้สามารถสะกดจิตทหารทั้งกองทัพได้

 

นอกจากนั้นในการรบหลายครั้ง ทหารนาซีมักจะเป็นฝ่ายได้เปรียบฝ่ายศัตรูทั้งที่มีกำลังน้อยกว่า เชื่อว่านั่นเป็นเพราะการสะกดจิตดึงความลับจากทหารฝ่ายศัตรูทำให้ล่วงรู้ถึงแผนการ ที่ตั้งและจำนวนคนของศัตรู

 

นอกจากนั้นในยุคของฮิตเลอร์ ยังเชื่อว่ามีการจัดให้มีโครงการลับในการทดลองและค้นคว้าในเรื่องของพลังจิต ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งได้ผลลัพธ์ออกมาค่อนข้างดี หากว่าในสงครามโลกครั้งที่สอง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ไม่สามารถค้นคิดระเบิดปรมาณูสำเร็จ เชื่อว่าผลการรบในสงครามโลกครั้งที่สอง ฝ่ายกองทัพนาซีเยอรมันต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน

 

พ่อครูว่า...พลังจิตแค่ไหนก็สู้ระเบิดปรมาณูไม่ได้ ระเบิดลูกหนึ่งคนตายเป็นล้าน    นี่เขายกตัวอย่างการสะกดจิตว่ามีคนใช้ได้จริง วันนี้อาตมาจะพูดเรื่องสะกดจิตของธรรมะกาย พูดอย่างวิชาการนะ ตัวท่านธัมมชโย จะรู้ว่าตนสะกดจิตหรือไม่ แต่ตัวท่านเป็นนักสะกดจิตตัวยง อาตมาเรียนมาทำมา ให้นั่งสบายๆ หลับตาเข้า ไม่ต้องเคร่งเครียด เบาๆ ทำสงบๆ ทำใจใสๆ ว่างๆ ทำมาแล้ว ร้อยครั้งพันครั้งหมื่นครั้งอาตมาทำมาจนเมื่อย

 

ใครตกเป็นทาสธรรมกาย ถูกสะกดจิตเหมือนรัสปูตินทำ แล้วใช้เล่ห์หลอก เอาความดีงามแบบผิวเผินมาแปะไว้ แล้วหลอกให้ไปหาเงินมาให้ ตนเองเสวยอำนาจ ยศศักดิ์เต็มที่ใช้การสะกดจิตให้คนอื่นตนใต้อำนาจ แล้วเป็นทาสโลกอย่างแรง เขาไม่ได้แค่ในประเทศไทยด้วย เขาเอาทั้งโลก ประเทศไทยเรื่องเล็ก

 

เจดีย์เขาไม่ใช่รูปแบบธรรมดา ต้องเป็นแบบจานบิน เอาองค์ประกอบตกแต่งที่ถือว่าเก่งนะ ศาสนาพุทธสอนให้คนไม่ตกเป็นทาสโลกกับอัตตา แต่นี่เขาสอนให้คนตกเป็นทาสโลก กับทาสอัตตา เขาสอนกัลยาณธรรม ธรรมดาว่า อย่าทำชั่วบางอย่างพื้นฐาน คนก็ได้ประโยชน์ส่วนนี้ คนที่ไปกับธรรมกายไม่ทำชั่วพื้นฐานพวกนี้ เลิกได้ เรียกว่าอบายมุขก็แล้วแต่ เมื่อละได้ ชีวิตจะเจริญ สร้างสรรได้ แต่เมื่อเจริญก็เอาสิ่งที่ได้มา มาให้แก่ รัสปูตินเมืองไทย

 

ขออภัยนะอันนี้น่ากลัวกว่ารัสปูติน เพราะว่า อย่างรัสปูตินนั้นหยาบคนรู้ได้ สุดท้ายก็ถูกฆ่าตาย แต่นี่ไม่ฉลาดเท่าธัมมชโย คนก็นึกว่าดีประเสริฐ แต่ลึกกว่านี้ร้ายกว่ารัสปูตินมาก

 

เขาผนวกกับนักธุรกิจ แต่พอสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนถูกจับได้ ก็ทำเป็นยอมรับ เพราะจำนนก็บอกว่าจะเอาเงินคืน ก็พอมีบริวารที่จะมาช่วย เขาถือว่าจะได้บุญได้วิมาน ถ้าได้เอามาทานให้แก่คนนี้งานนี้ สุดยอดแล้วใช้บุญเป็นวิมานหลอกคนจนสำเร็จ

 

จะลองอ่าน ความเลวร้ายของรัสปูตินบ้าง

 

 

รัสปูติน

 

 กริกอริ รัสปูติน เกิดในครอบครัวเกษตรกรบ้านนอกของไซบีเรีย ในตอนเป็นหนุ่ม รัสปูตินมีความกระหายที่จะเป็นแบบเกษตรกรผู้ที่ทำงาน ดื่มเหล้าหนัก และเสเพลเรื่องผู้หญิง ขนาดอวัยวะเพศอันผิดมนุษย์มนาของเขาเป็นที่ชื่นชอบของเด็กสาวๆ ในหมู่บ้าน ซึ่งมาดูเขาเปลือยกายว่ายน้ำในสระเช่นเดียวกับพวกเธอ

 

วันหนึ่ง ไอริน่า แดนิลอฟว่า คูบาชอฟว่า ภรรยาสาวสวยของนายพลรัสเซียร่วมกับสาวใช้ 6 คน ร่วมกันล่อลวงเด็กหนุ่มรัสปูตินอายุ 16 ปีไปเสียตัว หลังจากเหตุการณ์ครานั้นแล้ว รัสปูตินจึงเริ่มเที่ยวโสเภณีในหมู่บ้านเกิดของเขา

 

เมื่อถึงอายุ 20 ปี รัสปูตินแต่งงานกับเด็กสาวในท้องถิ่นเดียวกัน ชื่อ ปราสโกเวีย เฟโอ โดรอฟน่า ดูโบรวิน่า และเป็นพ่อของเด็กสี่คน สามคนมีชีวิตอยู่จนเป็นผู้ใหญ่ แม้ว่าจะแต่งงานแล้ว เขาก็ยังเที่ยวโสเภณีอยู่

 

จากการได้ร่วมสนุกทางกามารมณ์กับเด็กสาวนาไซบีเรียสามคน ซึ่งเขามีโอกาสพบขณะไปว่ายน้ำเล่นที่ทะเลสาบนั้นเอง ได้ชักจูงให้รัสปูตินรู้ถึงความหลายหลากในศาสนา ในราว พ.. 2443 เขาก็ได้ร่วมกับนิกายนอกรีตนอกรอยที่เรียกว่า นิกายคลิสติ กลุ่มศาสนิกชนผู้ยึดถือในนิกายนี้เชื่อว่ามนุษย์มีบาปมาแต่เริ่มแรก จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องไถ่บาปในเวลาต่อมา

 

ดังนั้นพวกเขาจึงประกอบพิธีอันพิลึกพิลั่นหลายอย่าง เกี่ยวกับความวิตถารในทางกามารมณ์ และการบูชายัญ ผู้คนในบ้านเกิดของรัสปูติน ไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมเหล่านี้ จึงขับไล่ รัสปูตินให้ต้องเร่ร่อนไปทั่วชนบทของรัสเซีย เพื่อประกอบการเยียวยารักษาโรค และชักชวนผู้หญิงในแดนเถื่อนให้เข้าร่วมพิธีกรรมอันวิตถาร พิธีกรรมเหล่านี้ประกอบด้วยการดื่มเหล้า การร้องเพลง การเต้นรำอย่างบ้าคลั่ง และก็ทำกิจกรรมอย่างว่าเป็นหมู่คณะ ( สวิงกิ้งนั่นเอง ) ในทุกๆ แห่งที่สะดวกไม่ว่าจะเป็นป่า ( โปรดนึกภาพตามว่าสภาพจะเป็นอย่างไร ) ยุ้งข้าว หรือกระท่อมของสาวกคนใดคนหนึ่ง หลักนิยมของรัสปูตินในการไถ่บาป ผ่านการปลดปล่อยทางกามารมณ์นั้น ทำให้สตรีมากมายที่ศรัทธาในนิกายนี้ ต้องบำเรอความสุขให้เขาเสียก่อนเป็นขั้นแรก แม้ว่ารูปโฉมของ นักบุญจอมราคะ แสนจะสกปรกเลอะเทอะ โรเบิร์ต แมสซี่ นักเขียนอัตชีวประวัติจึงบันทึกไว้ว่า การร่วมเพศกับคนบ้านนอกที่ไม่ได้อาบน้ำ หนวดเคราและมือสกปรก ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกเสียวซ่านอย่างใหม่ขึ้น

 

ในปี พ.. 2448 รัสปูตินได้เข้ามาตั้งมั่นอยู่ในเมืองเซนต์ปีเตอร์เบอร์ก ( เมืองหลวงในขณะนั้น ) รัสปูตินได้บรรเทาอาการโรคโลหิตไหลไม่หยุด ( ฮีโมฟีเลีย ) ของเจ้าชายอเล็กซิสได้ เป็นที่ชื่นชมของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 และซารีน่า อเล็กซานดร้า ผู้เป็นพระราชมารดาเป็นอันมาก รัสปูตินจึงอาศัยอิทธิพลของซารีน่าแผ่อิทธิพลและสร้างเรื่องอื้อฉาวทางกามารมณ์จนเป็นที่กล่าวขวัญในเมืองหลวง

(จะไม่อ่านหมด ยาวมาก)

เหตุการณ์การสังหารราชวงศ์โรมานอฟแห่งรัสเซีย เมื่อ ปี ค..1918 นับเป็นโศกนาฏกรรมครั้งประวัติศาสตร์ ที่สะเทือนใจชาวโลกอย่างมาก และต้นเหตุแห่งการสูญสิ้นราชวงศ์และสถาบันกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่นี้ เชื่อกันว่ามาจากคำสาปแช่งของพ่อมดรัสปูติน ที่มีฉายาว่าบุรุษแห่งความมืด...

 

ราชวงศ์โรมานอฟ (Romanov Dynasty : 1631 - 1917) เป็นราชวงศ์ที่สอง และราชวงศ์สุดท้ายแห่งอาณาจักรรัสเซีย ราชวงศ์นี้มีกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่หลายพระองค์ เช่น พระเจ้าปีเตอร์มหาราช และพระนางคัทรีนมหาราชินี ราชวงศ์โรมานอฟปกครองรัสเซีย ด้วยระบบสมบูรณาญาสิทธิราชมาโดยตลอด และไม่ยินยอมให้มีการร่างรัฐธรรมนูญ อันจะเป็นการลดพระราชอำนาจของกษัตริย์ กษัตริย์จึงมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการปกครอง เพราะเหตุนี้เองทำให้ประชาชนถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพทางการเมือง การปกครอง และพยายามต่อต้านการปกครองระบอบกษัตริย์ เพื่อปลดแอก กระทั่งช่วงปลายราชวงศ์ สมัยซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 สถานการณ์บ้านเมืองของรัสเซียตกต่ำมาก เศรษฐกิจย่ำแย่ ประชาชนยากจนอดอยาก การต่อต้านระบบศักดินาทวีความรุนแรงมากขึ้น จนเกิดกระแสความคิดแนวมาร์กซิสต์ โดยมีแกนนำอยู่ในพรรคแรงงาน เช่น เลนิน มาร์ตอฟ ปเลคานอฟ อันทำให้เกิดการปฏิวัติรัสเซียในเวลาต่อมา

 

 

พ่อครูว่า...รัสปูตินได้ไปมีส่วนล้มราชวงค์ เพราะได้ไปรักษาเชื้อพระวงค์ ใช้การสะกดจิตที่เป็นมโนมยอัตตา

 

ในการสะกดจิตให้ไปสั่งระงับประสาทหรือระงับส่วนต่างๆของร่างกาย ทำได้ อาตมาตั้งแต่เล่นสะกดจิต ก็เข้าใจเรื่องพลังจิต ที่เป็นอุปาทานจนหลงผิดได้เลย

 

เช่น มันไม่มีสิ่งนี้ แต่สะกดจิตให้เขาเห็นได้จริงๆ เขารู้สึกว่ามีจริงๆ เช่นสั่งว่าคนนี้โต๊ะนี้ ขณะหลับตานี่สั่งไว้ ต่อมาจะให้ลืมตา แล้วบอกว่าบนโต๊ะนี้ไม่มีอะไรเลย ว่างหมดนะ ทำใจสบายๆเบาๆ บอกว่าไม่มีอะไร อยู่บนโต๊ะ พอเขาลืมตามาเขาก็ไม่เห็นจริงๆ ถามว่ามีอะไรไหม? เขาก็ไม่เห็นจริงๆ เราก็บอกว่าให้เขาเอามือกวาดไปสิ แล้วเขาก็จะไม่รู้ว่าอะไรมี แต่ที่จริงมีแก้วน้ำวางอยู่ เขาก็กวาดถูกแก้วน้ำตกอยู่เพล้ง เขาก็ตื่น

 

ก็ได้ศึกษาว่าถ้าถูกสะกดจิตก็ทำได้ สิ่งที่ไม่มีจะให้เห็นก็ได้ เช่น สะกดจิตว่า เอาเหล็กเผาไฟแดงไปวางนาบที่แขน (ทั้งที่เป็นอย่างอื่นที่ไม่ร้อน) พอนาบไปเขาก็ร้อนจริง

 

มันเป็นมโนมยอัตตา ในอัตตา 3

1.    การยึดครองหรือได้ตัวตนวัตถุภายนอก (โอฬาริกอัตตา )

2.    การยึดครองหรือได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ  ปั้นรูปสัญญา       ไม่อาศัยวัตถุภายนอกหยาบๆแล้ว (มโนมยอัตตา )

3.    การยึดครอง หรือได้อัตตาที่หารูปมิได้  หรือรูปละเอียดที่ปั้นสำเร็จขึ้นด้วยสัญญา (อรูปอัตตา  ปฏิลาโภ)

(โปฏฐปาทสูตร  พระไตรปิฎก เล่ม 9  ข้อ 302)

 

เช่น พ่อครูยกปากกา ขึ้นมา

ใครก็เห็นเหมือนกันหมด นี่ลูกฟักข้าวใครก็เห็นเหมือนกัน  แต่ถ้าจิตเราถูกสะกดจนวิปลาสไป เช่นสะกดว่าเห็นฟักข้าวนี่ลูกใหญ่นะ เขาก็จะเห็นว่าใหญ่ แต่คนเราไปติดอีกอย่างที่เห็นว่า รูปนี่สวยนะ นี่ก็ติดในโอฬาริกอัตตา คือติดในกามคุณ 5 ที่ปรุงแต่ง ติดในตัวที่ถูกโลกหลอกว่าอร่อย เป็นความน่ามีน่าได้น่าเป็น ต่างไปจากสิ่งที่เป็นธรรมชาติของสิ่งนี้ เป็นการสร้างอัตตาของตน เช่น เสพรูปสวยอันนี้ ซึ่งเป็นสิ่งเท็จ  ในโอฬาริกอัตตาที่ชื่นใจ ทั้งๆบางทีทำทุจริต เช่น ไปโกงเขามาได้เงินมาก็ชื่นใจ คุณฉลาดโกงเขาก็ชั่วแล้ว แล้วยังไปหลงยินดีสิ่งที่ตนได้มาอีก 

นั้นทำให้ฝั่งลึกในจิตอีก

 

อบายนั้นเขาไปติดในรูป รส กลิ่น เสียงสัมผัส อย่างหยาบก็ติด การละเล่น บันเทิง อย่างไมเคิลแจกสัน เป็นของไม่จริง สุขขัลลิกะ โอฬาริกอัตตา ที่หยาบมาก อาตมาดูไมเคิลเต้น ร้องเพลงก็ไม่ได้สุขอะไร ไม่ได้เกิดรสอะไร ก็เต้นไป ดีไม่ดีมันลามกด้วย แต่เขาก็ติด โลกทุกวันนี้ถูกครอบงำด้วยรสโอฬาริกอัตตา

 

อาตมามาเผยแพร่สูตรของพระพุทธเจ้าให้พวกเรา ให้พวกเราลดละหน่ายคลาย แต่ก่อนใครดูฟุตบอลแล้วอร่อยมาก แต่เดี๋ยวนี้จางคลายไหม? หรือไม่เกิดรสชาติในใจแล้ว นี่คือของเท็จ นี่คือสิ่งลวงสร้างขึ้นมา

 

ธรรมกายไม่ได้สร้างแต่มโนมยอัตตาเท่านั้น แต่สร้างความสวย ยิ่งใหญ่หรูหรา ในโลก อันนี้ซ้อนไม่ได้ดูหยาบ แต่ที่จริงผู้เห็นชัดรู้สัจธรรม ก็จะเห็นว่าหยาบ แต่คนไม่รู้จะหลงว่างามมาก หรูหรามาก สวยมาก ปรุงแต่งกันมาก

 

โอฬาริกอัตตา และมโนมยอัตตา เขาใช้อย่างเห็นๆ แต่ว่า เขาไม่รู้ว่า เขาจับมโนมยอัตตากับโอฬาริกอัตตา เขาไปฝังลึกใต้ก้นบึ้งของจิตเป็นอรูปอัตตาไปด้วย เขาสร้างนิพพานเป็นอัตตาด้วย ผู้รู้ท้วงติงเขาก็ไม่ฟังเพราะเขาสะกดจิตจนคนเป็นทาส เป็นบริวารที่ปล่อยไม่ไปแล้วอันตรายมาก ดูนิ่มนวลแต่หยาบคายกว่ารัสปูติน

 

สร้างทั้งรูปแบบยิ่งใหญ่ องค์ประกอบต่างๆนานาให้คนหลง แล้วเขาก็ทำได้เพราะคนอวิชชา ตกเป็นทาสเขาอย่างยิ่ง ต่างกับพระพุทธเจ้าที่สอนให้คนฉลาด ไม่ตกเป็นทาสโลก ทาสอัตตา ของพระพุทธเจ้าถอนล้าง แต่นี่ทำให้คนติด จม หลอกบุญใหญ่ บุญมาก มหาศาลเป็นมหัปปิจฉะ อนันตังไม่มีที่สิ้นสุด เป็นเรื่องน่ากลัวที่สุด

 

อาตมาไม่โกรธเกลียดแต่กลัว ขนพองสยองเกล้า สังคมไทยหากให้ลัทธินี้ครอบงำประเทศแล้ว จะตกต่ำยิ่งกว่าประวัติศาสตร์รัสปูตินอีก เพราะเขาผนวกอะไรหลายอย่าง ใช่เล่ห์กล ฉลาดแกมโกงยิ่งกว่ารัสปูติน

 

ธรรมกายเป็นลัทธิที่ตรงกันข้างอย่างสิ้นเชิงกับของพระพุทธเจ้า ยิ่งกว่าเทวทัต เพราะเทวทัตเป็นสายที่ใช้ฤทธิ์ไม่ใช่โลกธรรม  แต่สายธรรมกายนี้ติดยึดหนักกว่าเทวทัตซับซ้อนกว่า ที่อาตมาพูดนี่เหมือนถล่มทำร้ายธรรมกาย แต่ขอยืนยันว่าอาตมาไม่ได้ทำร้าย เขาทำความร้ายมาเอง อาตมาเปิดเผยความร้ายนี้ อาตมาสู้รบปรบมือกับเขาไม่ได้ อาตมาเล็กๆไม่มีอำนาจอะไร เขามีอำนาจที่ผูกโยงกับอำนาจรัฐ(รัฐบาลก่อน) แต่รัฐบาลนี้ไม่ได้ ก็หวังว่า รัฐตอนนี้จะมีดวงตาเห็นว่านี่คือผีร้ายแรงของสังคม จัดการไปตามความจริงก็จบ ถ้าซูเอี๋ยกันไปไม่รอด เพราะเชื้อโรคร้ายแรงฆ่าตายยาก เชื่อพันธ์นี้นะ ยากมาก

 

ก็ขอสรุปลงที่ว่า ลัทธิ ที่ แยกไว้ 3 อย่างใหญ่ๆ

 

1.ลัทธิมักน้อยสันโดษหนีทิ้งโลก เป็นอัตตาเต็มตัวเต็มบ้อง เข้าใจว่ากามต้องทิ้ง แต่ไม่เข้าใจจิต ไม่มีจิตวิเคราะห์ ไม่มีผัสสะจริงแล้ววิเคราะห์ว่าจิตนี้ติดอะไร แล้วฝึกจิตให้มีปัญญารู้ความจริงตามความเป็นจริง

 

ต้องเรียนรู้ ธรรมชาติมันจะมีเวทนาเป็นส่วนสองเลย

ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา

(เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ผู้ที่ได้ศึกษาจิตวิเคราะห์แบบพุทธก็จะแยกแยะได้ ศึกษา นาม 5 คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ แตกจิตให้รู้ว่าอะไรคือจิตจริงที่เป็นธาตุรู้แล้วอะไรคือตัวที่สองที่เราหลงสร้างเป็นอัตตา

 

ถ้าปฏิบัติจะลด อัตตา 3 ไปตามลำดับ แต่ถ้าไม่ได้ปฏิบัติ อรูปอัตตาจะใหญ่ยิ่งกว่าโอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตาอีก เพราะทุกอย่างไปรวมลงที่จิต แต่ถ้าลดละไปก็จะได้ตามลำดับ จนหมดอัตตาได้ แล้วจะรู้ว่า สัญญา ย นิจจานิ ทุกอย่างอยู่ที่เราไปยึดมั่นกำหนดหมาย ผู้มีตาทิพย์จะอ่านหรือรูปจริงกับรูปสองได้ เสียงสอง

 

ผีกับเทวดาก็อย่างเดียวกัน ถ้าฆ่าเทวดาได้ ผีก็หายไปด้วยได้ ก็เหลือแต่จิตที่เป็นอย่างเดียวเป็นเอกัคคตาได้

 

ถ้าไม่รู้จักโอฬาริกอัตตา ก็ไปสะสม จะจัดจ้านตามโลกเขาไป อยากได้จนต้องทุจริตก็ต้องทำ ทุจริตได้ก็หลงว่าดีอีก เป็นมานะ อติมานะซ้อนอีก แล้วก็ทำอย่างย่ามใจ ไม่ว่าสายศาสนาหรือนักธุรกิจ

 

นักธุรกิจ ยิ่งฉลาด แกมโกงซับซ้อนจะยิ่งรวยมาก เพราะไม่มีเศรษฐกิจพอเพียง เพราะถ้ามีก็จะตีกรอบตนว่าไม่รวยกว่านี้อีก ทำได้มากก็จะช่วยคนอื่นได้มาก อย่างวอเรน บัฟเฟต มีอยู่ 100 % จะทำทานถึง 80% คนอย่างนี้มาคุยกันจะรู้ได้เลย แต่ทุกวันนี้คนทำทานอยู่ไม่กี่ % หรอก

 

อย่างชาวอโศกนี่ทำมากก็จะยิ่งสะพัด ไม่สะสมเอามาเป็นของตน ต้นทุนเราจะมีมากขึ้น แต่ไม่ได้เป็นสิ่งทุจริต เรามีปัญญาเหนือทุจริต อกุศล เราใช้เป็นกุศลสร้างเพื่อโลก คนไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องมีเครื่องมือมากหรือทันสมัย เพราะเราทำเพื่อสังคม เรามีเครื่องมือมากเราก็ทำช่วยได้มาก ไม่ได้ทำมาแล้วเอาเงินมาปันผลแก่สมาชิก ไม่ใช่ เราทำถึง ไม่เอาลาภแลกลาภเลย

 

มาบวชเป็นพระเป็นเจ้าแล้วไม่รู้ ก็ยังรับเงินตอบแทนค่าตอบแทนนี่คือการรับจ้าง การทำทานกับการรับจ้างมันต่างกัน

 

ที่จะเน้นวันนี้ชัดๆก็คือการสะกดจิต นี่คือเรื่องที่ไม่ค่อยรู้ทันกัน อาตมาไม่พูดว่าธัมมชโยจะรู้ว่าตนทำสะกดจิตไหม แต่บอกเลยว่าคุณทำการสะกดจิต จะบอกว่าบกพร่องโดยสุจริต ก็เป็นความผิดที่ใหญ่มากเลวร้ายมาก ให้คนหลงวิมานงามงายอัตตา สร้างภพชาติให้คนติดหลง มอมเมาด้วยภพชาติ คนหลงสวยงามหรูหรา ฟู่ฟ่า ให้คนหลงเบิกบาน อาตมาได้อ่าน บทสัมภาษณ์ของเสี่ยบุญชัยว่า ธรรมกายจะทำให้เขาได้ภพชาติ

 

ก็ขอเข้าสู่มิจฉาทิฏฐิข้อแรกคือทำทาน

 

เขาติดสินบนเก่ง สร้างวิมาน ก็เก่ง ประกอบรูปร่างองค์ประกอบ อย่างนี้หยาบใหญ่หรูหรามหัปปจิฉะ มีแสงสีเสียง ทำให้เขาติดยึดกลายเป็นอัตตาที่หนาแน่น เป็นอัตตาที่ยิ่งใหญ่ซ้อนลงไป

 

มิจฉาทิฏฐิข้อแรกคือทาน เขาไม่เข้าใจว่าทำทานอย่างไรเป็นอัตถิทินนัง เขาทำทานแล้วยิ่งสร้างภพชาติ ทำให้เขายิ่งอยากได้อยากเป็นในวิมาน ชาตินี้ได้เท่านี้ ชาติหน้าจะได้มากกว่าเดิม เป็นภพชาติที่เขาไม่เข้าใจ ถูกหลอกให้งมงาย ทานแบบนี้ทำใจในใจอย่างไรจึงเป็นอัตถิทินนัง

 

เกิดผลเป็นจิตที่สังเวยบวงสรวงแล้วมีผล คือมีพฤติกรรมนั้นแล้ว จิตคุณมีผลอย่างไร มีผลลดละหน่ายคลายกิเลสหรือไม่? ถ้าผู้ใดไม่รู้ว่าทานอย่างไรมีผล อัตถิทินนัง ก็จะไม่รู้วิธีทำใจในใจ ทานคือการสละความโลภ ล้างจิตโลภให้เล็กลง แต่นี่ไปตั้งวิมานให้โลภใหญ่กว่าเก่า โดยหลอกว่าถ้าเอาอันนี้มาบริจาคให้เรา ชาติหน้าจะได้อันนี้อีก 100 อัน นี่คือคำหลอกคน ยิ่งถูกสะกดจิตก็ยิ่งเชื่อง่าย เชื่อก็ยิ่งมาทำทาน จนมีคนที่หมดตัว ทำทานไม่ทัน

 

เขาสอนให้คนเลิกอบายมุข เป็นขั้นต้นง่ายๆ คนพวกนี้สร้างฐานะได้ทุกคน แต่เราไม่หลอกให้เอาเงินมาทำทานให้เรา แต่เขาหลอกให้ทำทานให้เขา ประเด็นคือมันเป็น นัตถิทินนัง คือทำทานแล้วไม่ได้ผลลดกิเลส แต่ว่ากลับทำให้กิเลสเพิ่มขึ้น ทำทานแล้วอยากได้มากขึ้น ทำจิตจริงเลย

 

ไม่ว่าจะวัดไหน หรือธรรมกาย ก็ทำทานมิจฉาทิฏฐิ ในสัมมาทิฏฐิ 10

 

เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยาให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา)

 

1.    ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ ทินนัง)

2.    ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง)

3.    สังเวย(เสวย) ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง)

4.    ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่  
(อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก)

5.    โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโกหมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ

6.    โลกหน้า มี (อัตถิ  ปโร  โลโกหมายถึง โลกโลกุตระ

 

ต่อให้นั่งสมาธิ แต่แล้วเวลาทำทานก็โลภมากกว่าเก่าอีก คือการไม่เข้าใจปรมัตถ์นี้ แล้วไม่รู้จักมนสิการ ที่ต้องรู้จิตตั้งแต่สักกายะ ไม่รู้ก็ไปสร้างภพชาติ   เป็นนัตถิทินนัง นัตถิยิตถัง นัตถิหุตัง สังเวยบวงสรวงแล้วได้ผลเพิ่มกิเลสแน่ อย่างไปทำทานไหว้เจ้า แล้วสาธุขอให้รวยๆๆ คุณไหว้เจ้าไม่ได้ลดกิเลสเลย นี่คือวิธีการคือ ยิตถัง แต่พระพุทธเจ้าสอนให้เกิดการลดละหน่ายคลายกิเลส แต่นี่สอนตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้าก็ไม่มีทางได้ผล

 

ยิ่งมาใช้วิธีซับซ้อนสะกดจิตอีก สร้างภพชาติ หลอกให้รวยมากใหญ่ กิเลสมากโต นั่งหลับตาได้รูปภพ อรูปภพใหญ่โต สะกดจิตเป็นภพภายใน ดูไม่มีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสจัดจ้าน แต่ว่ามันเป็นภพภายใน ยิ่งเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ เป็นเรื่องนอกรีต ที่พระพุทธเจ้าอึดอัด เกลียดชังระอา ด้วย

 

แม้แต่ทานก็ไม่เข้าใจสัมมาทิฏฐิ อ่านจิตไม่เป็นโยนิโสมนสิการ ไม่เป็น สัมมาทิฏฐิต้องมีปรโตโฆษะ และโยนิโสมนสิการ

1.    การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์

2.    การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์

3.    ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์ 

4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา

 

ตรงไหนที่เกิดเวทนา นั่นคือ หทยรูป ตรงนั้นคือ แดนเกิด คำว่าแดนเกิดกับหทยรูปคือ อันเดียวกันในไวยพจน์ แต่ หทยรูป คือรูป แต่สัมภวะคือแดนเกิดของรูปนาม ก็มาเรียนรู้แดนเกิดของรูปนาม แล้วตรงนั้นแหละคือหทยรูป อ่านเจโตปริยญาณ 16 ได้ สัมภวะคือองค์ประชุมของรูปนามเป็นกาย ส่วนหทยรูปคือรูป ที่ตรงนั้นแหละ

 

คนทำทานก็ไม่รู้ว่าต้องทำใจอย่างไร ศีลพรตก็ทำไม่เกิดมรรคผล ไม่โโยนิโสมนสิการให้สัมมาทิฏฐิ ก็ไม่เกิดผลลดกิเลสได้แน่ ถ้าไม่รู้จักโยนิโสมนสิการให้สัมมาทิฏฐิ ก็จะไม่ได้ตามสัมมาทิฏฐิ 10 ที่เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยาให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา)

 

1.    ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ  ทินนัง)

2.    ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง)

3.    สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง)

4.    ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่ 
(อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก)

5. โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโกหมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ

6. โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโกหมายถึง โลกโลกุตระ  

7. มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา)

8. บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา)

9. สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา)

10. สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

      (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 257)

 

เพราะคุณทำเวทนาในส่วนสองให้เป็นหนึ่งไม่ได้  ไม่เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนาได้

 

วิธีปฏิบัติธรรม ให้มีทาน มียัญพิธี อย่างไรให้ลดกิเลสได้ ก็จะไม่ได้ตรวจสอบตนเองก็ไม่เป็น รู้และแยกเคหสิตะกับเนกขัมมะให้ออก แยกผีแยกเทวดาให้ออก มันเป็นสอง แล้วทำให้มันเป็นหนึ่งได้ โดยส่วนสอง อย่างไร อารมณ์หรือเวทนาก็ยังมีอยู่ แต่สิ่งที่เราต้องการให้ออกไปมันก็ออกไปเหลือเอกัคคตา เราเข้าใจก็ทำโลกนี้โลกียะให้ดับ โลกสมุทัยดับหมด มีแต่โลกนิโรธ แล้วก็อาศัยสิ่งนี้ เวทนาเราก็มีอยู่ เราดับเวทนาแต่เราก็มีเวทนา เป็นเวทนาหนึ่งเดียว แต่ก่อนเป็นผี เป็นเทวดา เราทำให้สัตว์โอปปาติกะดับและเกิด เรียนรู้ สัตตาวาส 9 ต้องกำหนดหมายเรื่องกายให้ถูก ถ้าไม่รู้ก็กำหนดแล้วปฏิบัติไม่ได้

1.    สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่น พวกมนุษย์  พวกเทพบางเหล่า  พวกสัตว์วินิปาติกะบางเหล่า  ต้องแยกแยะผี เทวดาในจิตให้ออก

2.    สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน  มีสัญญาอย่างเดียวกัน   เช่น  เหล่าเทพจำพวกพรหม  ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น ทำให้นิวรณ์ 5 ดับได้ ก็สูงขึ้นอีก 

 

ยิ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า กายคือจิต คือมโน คือวิญญาณบ้าง นั้นแล้วมีสำนักอื่นใดบอกว่าไว้ว่า กายนี่ต้องอ่านที่จิต มีสำนักไหนสอนบ้าง? ...ก็ไม่มีเลย

 

อาตมาก็อธิบายสิ่งจริง ที่เกิดในสังคมไทย ให้รู้สิ่งเป็นภัยเป็นโทษ มันเกิดขึ้น แล้วสิ่งที่ถูกต้องอาตมาก็ส่งเสริม แล้วเราจะได้กำจัดสิ่งผิด แล้วส่งเสริมสิ่งที่ถูกต้อง

 

ขอสำทับว่า มี เจตนาแต่อย่า อยาก

จง พากเพียรให้เต็ม บริสุทธิ์” ...เอวัง


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:01:34 )

580403

รายละเอียด

580403_เทศน์ปิดค่าย ยอส. บ้านราชฯ เรื่อง อย่าทิ้งธรรมอย่าทิ้งคนดี

พ่อครูว่า...วันนี้ 3 เม.ย. 2558 วันศุกร์ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ปีมะแม วันนี้วันพระใหญ่ วันพรุ่งนี้จะมีจันทรุปราคาเต็มดวงด้วย  ตั้งแต่หัวค่ำนี้ จะไปเห็นตอนที่มันออกแล้วตอนทุ่มกว่าๆ ก็เป็นเรื่องที่หมุนเวียนกันไปในธรรมชาติ คนเราก็มีการหมุนเวียน เวียนเกิดเวียนตายกันไป เวียนมา ใช้วิบาก สร้างวิบาก รับวิบาก ก็คือชีวิตเรามีประสพการณ์อยู่ในสังคม คนที่มีปัญญา มีความรู้ ฉลาด ก็สามารถควบคุมกรรม ให้รับกับวิบาก ทุกคนมีวิบาก และทุกคนก็สร้างกรรมตนเองให้รับกับวิบาก

 

บางทีเราต้องการควบคุมตัวเราให้ทำกรรมที่ดีมากๆ ก็ได้ดีประมาณนั้น เป็นต้น มันสุดฝืนมันยาก บางคนก็ตั้งใจทำกรรมที่เป็นกรรมชั่ว เป็นกรรมเลวกรรมบาป ซ้ำเข้าไปอีก โดยที่ไม่เชื่อกรรมวิบาก มีเยอะ แต่โดยสามัญสำนึกมีรู้ว่า ถ้าเราทำกรรมไม่ดีก็มีผลกับตัวเรา ก็พอรู้ ปชช.ทั่วไปมนุษยชาติไม่ว่าศาสนาไหนก็พอรู้ ว่าถ้าเราทำไม่ดี ไม่ต้องดูที่วิบากก็ได้ ถ้าทำไม่ดีก็ติดคุกได้ ถูกคนที่เขาเห็นว่าไม่ดีเขาก็ตอบโต้ หวดเอาบ้างก็ได้ จึงมีความรู้โดยสามัญปริยายว่า การทำกรรม กาย วาจา ใจ แม้ไม่มีใครรู้ใจเรา ว่าถ้าคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี มันเป็นสิ่งไม่น่าทำก็พอรู้กัน คนก็มีความระมัดระวัง โดยสามัญอยู่บ้าง ยิ่งผู้ใดได้มีสำนึกเชื่อกรรมวิบาก เชื่อว่ากรรมที่เราทำปัจจุบัน อาจถูกตอบโต้ไม่ดี ยังมีกรรมเป็นผลวิบากที่ติดต่อเชื่อมโยงไปอีกในชาติต่างๆต่อไปอีกก็ได้ด้วย ศาสนาพุทธเราสอนเรื่องนี้และมีหลายศาสนาที่สอนว่ามีชาติต่อๆไป แต่ก็หลายศาสนาไม่สอนชาติต่อไป สอนแต่ว่าตายแล้วไปนรกหรือสวรรค์ ถูกลงโทษหรือไปอยู่กับพระเจ้า หลายศาสนาสอนว่าเวียนกลับมาเกิดใหม่ หลายศาสนาเรียนว่า ตายแล้วก็ไปรับผล สวรรค์หรือนรกเท่านั้นไม่ได้เวียนกลับมาเกิดอีก คนเหล่านั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร เพราะเป็นคน ตายแล้วไปไหนขึ้นสวรรค์ตกนรกก็ไม่รู้ในปัจจุบัน

 

เขาก็เอาแค่ว่าปัจจุบันสมใจสุขสบายก็พอแล้วตายแล้วก็ช่างมันก็จะไม่ค่อยระมัดระวังกรรม แต่ศาสนาพุทธสอนว่าที่เวียนกลับมาต้องรับกรรมวิบาก วิบากตามมาเกิดเป็นผลกับปัจจุบันหรือสั่งสมข้ามชาติได้ ต้องมารับผลวิบากไม่เท่าเทียมกัน

 

ศาสนาพุทธเราสอนกันมา ว่ามีเกิดมีตายเวียนกันไป อย่างหลวงปู่นี่รู้เลยว่าตั้งแต่เกิดมาก็ไม่ได้ไปเลวร้ายอะไรมากเกิน ไม่ทุจริตเลวร้ายอะไร ยิ่งมาบวชก็รู้ว่ากรรม กาย วาจา ใจอย่างไรที่ไม่ดีเราก็ดู ตั้งแต่มันเร่ิมออกมาเป็นบทบาททางใจ ทางกาย เราก็ดูแลมัน ก็เห็นว่าจิตใจที่เราได้ดูแลมานั้น เราได้ทำมาแล้ว ส่งผลมาเป็นแรงทางกาย วาจา และจิตเราด้วยได้ผลนั้นมาโดยสามัญคนธรรมดาเป็นไม่ได้เราเป็นได้ คนบางคนรู้ไม่ได้แต่เรารู้ได้ อย่างหลวงปู่รู้อะไรหลายอย่างที่คนอื่นไม่รู้ได้ ที่เล่านี้ให้รู้ว่า ทำดีก็ออกมาดี ทำไม่ดีทำชั่วก็ได้ผลชั่วส่งผลชั่ว ส่วนความดีที่มีดีถึงสามัญมนุษย์ในสังคม กับดีแบบลดกิเลส ดีแบบอ่านจิตใจตนลดกิเลสได้ มีความสามารถความรู้ทำให้กิเลสลดได้ตายได้ ทำให้สูญไปจากจิตไม่เกิดอีกได้ นั่นคือดีโลกุตระ

 

ที่หลวงปู่พูดไปไม่ใช่โม้ โชว์ อวด เพื่อให้คนได้ยินแล้วทึ่ง เห็นว่ามีอำนาจ ฤทธิ์เดช เหนือคนธรรดาแต่อย่างใดไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น แต่พูดเปิดเผยสู่กันฟัง ไม่ใช่เพิ่งพูด แต่พูดนี่เห็นว่าเป็นความรู้ที่ควรรู้ เพื่อยืนยัน หลายคนอยู่กับชาวอโศก รู้จักหลวงปู่แต่ก่อนมาเรียน จนเรียน 6 ปี บางคนอยู่มาแต่เกิดจนบัดนี้ ก็จะรู้ว่าหลวงปู่มีพฤติอย่างไร ก็ดูได้ จะทำอย่างคนโลกๆเขาไหม ทำงานแสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญ หรือหาเวลาไปเสพ กามคุณ 5 หรือว่าชีวิตนี้ ถ้าเข้าใจอัตตา ว่าหลวงปู่ประพฤติตนสร้างอัตตาใส่ตนหรือไม่ แต่เรื่องอัตตานี้ยาก เพราะหลวงปู่มีสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนหลายอย่าง ถ้าเรียกว่ามีเจตนาก็ใช้ แต่ไม่ได้อยาก จะเรียกว่าต้องการให้เกิดอย่างนั้นอย่างนี้ก็ใช้ แต่คนไม่รู้ว่าเราต้องการเพื่อบำเรอตนหรือว่า เพื่อส่วนรวม หรือเพื่อคนอื่น ตนเองไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ มันเป็นภาวะย้อนแย้ง คนเข้าใจยากก็ไม่ค่อยเชื่อ คนมารู้ใจหลวงปู่ไม่ได้แน่ ว่าทำบริสุทธิ์แค่ไหน เขาไม่เชื่อเพราะยาก ก็ไม่สงสัยอะไร ไม่ง่ายนัก หลวงปู่จะประมาณเอา

 

ทำงานมา 40 ปีก็ทำตามที่ตนรู้ หลายอย่าง คนเขาหาว่าทำเพื่อหมู่ฝูงตนเอง แบบนี้มันเป็นความอยาก ความต้องการอยู่ เป็นกิเลสตัณหาอยู่เขาเข้าใจคำว่าตัณหาไม่ได้ คำว่าตัณหา มันเป็นมโนสัญเจตนา มนุษย์ทุกคนก็มี พระพุทธเจ้าก็มี มโนสัญเจตนา หรือเรียกว่าความต้องการ ที่เรียกว่า วิภวตัณหา

 

คำว่าตัณหาที่คนเขาเข้าใจไม่ได้หรอกว่า คืออะไรบ้าง คำว่าวิภวตัณหาก็ไม่เข้าใจได้หรอก ผู้ที่ไม่มีกามตัณหา ภวตัณหา แต่ท่านมีชีวิตอยู่อย่างมีวิภวตัณหา มีมโนสัญเจตนาเพื่อทำงานทำประโยชน์แก่โลกแก่สังคมได้ เป็นเรื่องวิเศษที่คนเข้าใจยาก แต่อย่างหลวงปู่นี่ทำไปก็เข้าใจว่าทำไมเขาไม่เข้าใจได้

 

วันนี้วันสุดท้าย ค่าย ยอส. ก็ให้หลวงปู่มาพูดให้แง่คิด

 

พวกเราก็ไม่เกินกว่าที่หลวงปู่พูดไปนี่ มีชีวิตหากไม่เชื่อกรรมวิบากก็สั่งสมกรรมชั่ว วิบากชั่วก็ไม่ดี ก็ต้องมาศึกษา ทีนี้ในกลุ่มชาวอโศกที่นี่สอน อบรม แนะนำ สร้างพวกเราให้เป็นคนเข้าใจสิ่งที่ดีให้พัฒนาปรับปรุงตน เท่าที่เราสามารถ ด้วยการสั่งสอนอบรม พาฝึกฝน เท่าที่จะมีเวลาอยู่กันไป  6 ปี อย่างคนที่มาแต่ม.1 บางคนอยู่มาแต่ประถม บางคน 12 ปีหรือมากกว่า ก็แล้วแต่ อบรมเพื่อให้เป็นพลเมืองดีของสังคมของโลก

 

เรื่องสร้างพฤติกรรมให้มีกาย วาจา ใจให้ดี ไม่ได้เปิดโรงเรียนมาเพื่อหาบริวารหรือเพื่อหารายได้ เราผลิตเด็กออกไป 20 กว่ารุ่น เด็กจบออกไปเป็นพันแล้ว จะอยู่ในสังคมชาวอโศก แต่ละชุมชน เป็นสมาชิก จะเป็นเด็กที่อยู่ในนี้ก็ตาม ก็ทำงานฟรีทั้งนั้น เราไม่ได้ว่าจ้าง ให้ทำงานช่วยเหลือหมู่ ช่วยเหลือปชช. เลี้ยงดูกันเอง เป็นสังคมสาธารณโภคี มีทรัพย์สินส่วนกลาง เราไม่ได้เจตนาเป็นสังคมที่สะสมทรัพย์สิน เราจะมีอสังหาริมทรัพย์ ย้ายไม่ได้ จะก่อกอบขึ้นไม่ว่าที่ดิน พื้นดิน ก็จะมากขึ้นๆ หรือทรัพย์สินอื่นๆที่เป็นรูปร่าง ยืนตัวให้เห็น แต่เป็นของส่วนรวม เช่นสังคมชาวอโศก อย่างบ้านราชฯมีสมาชิกหลายร้อยคน ไม่ถึงพัน ไม่ถึงห้าร้อยดี แต่สถานที่เยอะแยะ ส่วนกลาง แม้ใครจะมาปลูกส่วนตัวก็ให้ส่วนกลางใช้ได้หรือต่อไปก็เป็นของส่วนกลาง

 

มันก็เลยดูว่ากองกลางเป็นกองใหญ่ อย่างคน ห้าร้อยหรือพันคนในที่นี้ ถ้าไม่ใช่สาธารณโภคี มี 300 ครอบครัว ถ้าแต่ละบ้านมีรถก็ต้องมีรถมากกว่า 300 คัน แต่อยู่บ้านราชฯมีรถส่วนกลาง ไม่ถึง 100 คัน แต่ถ้าแยกไปแต่ละบ้านก็จะมีรถกันมากบางบ้างมีถึงหลายคันได้ แต่เฉลี่ยแล้วก็จะมีรถเยอะมาก ถ้าเป็นชุมชนคนทั่วไปแบบโลกๆ ก็จะมีรถ 200- 300 คันเลย แต่นี่เราติดป้ายรถเป็นของส่วนกลางก็เป็นของทุกคน แต่ไม่ใช่ของใครเลย เป็นของส่วนกลางก็ดูเหมือนมีเยอะมาก แต่ไม่ใช่

 

หรือเงินของหมู่บ้านทั่วไป แต่ละคนก็สะสมเงิน แต่ของเราเอามารวมกัน รวมแล้วมีไม่เท่าไหร่แต่มากองรวมก็เลยดูเหมือนเยอะ แต่ไม่เยอะเท่าข้างนอกรวมกันหมดหมู่บ้านแน่

 

เราอยู่อย่างเศรษฐกิจพอเพียงพอหมุนเวียนได้ไม่สะดุด ขาดตอนจนต้องเป็นหนี้เราก็รักษาสภาพนั้น ไม่มีเงินกอบกองไว้มาก แต่สิ่งที่หมุนเวียน เป็นสังหาริมทรัพย์จะไม่มาก ส่ิงที่มากคืออสังหาริมทรัพย์

 

สังคมแบบนี้ ระบอบแบบนี้ ที่เราเรียกว่า ระบอบบุญนิยมเป็นอย่างนี้ไม่เหมือนทุนนิยมที่สั่งสม โลภเอา แย่งเอาได้มากเท่าไหรจะทำ แม้ทุจริต แต่ที่นี่ไม่โกงไม่ทุจริต มีแต่แจกจ่ายเจือจาน คนละเรื่องกับโลกีย์

 

อาตมาพูดนี่มา 40 ปีแล้วก็ได้ฟังเช่นนี้ เด็กทุกรุ่นก็ได้ฟัง ว่าที่นี่สอนให้คนเป็นเช่นนั้น ถ้าเด็กคนไหนฟังแล้วว่าดี ก็จะอยู่ แต่นี่เปิดมา 40 กว่าปีแล้วมีไม่กี่คนที่อยู่กับสังคมนี้ มีปัญญามาอยู่นี้น้อย แต่ก็รู้ว่ายากที่จะเข้าใจและทำได้

 

หลวงปู่ให้คิดให้ดี ว่าคนเราเจริญแบบนี้ ไม่มีสะสมเป็นของตัวของตน อยู่กับหมู่กลุ่มทำงานไปแบ่งกันกินกันใช้แบบนี้ สังคมเลี้ยงเราไว้ เราทำงานอย่างซื่อสัตย์ ทำงานกับสังคม ถ้าจะคิดค่าแรงเราก็มากกว่าที่เรากินใช้ คิดแล้วเหลือ เกิน เราให้คนอื่นมากกว่าเราเอา เป็นคนเสียสละ มีค่า มีบารมี มีกุศล ชีวิตมีแต่เสีย ชีวิตมีแต่ขาดทุนชีวิตจึงมีแต่กำไร อย่างที่ในหลวง ร.9 ตรัสไว้

 

เราเสียนี่แหละคือเราได้ คนที่จะมีภูมิปัญญา แล้วมาเป็นคนเสีย นั่นแหละคือเราได้ เราขาดทุนคือเรากำไร มีชีวิตเช่นนี้ได้สบาย เป็นสังคมกลุ่มมีระบบแบบนี้ มีทรัพย์สินส่วนกลาง พากันขาดทุนให้แก่กลุ่มอื่นต่อ หรืออยู่ในนี้เราก็ทำงานขาดทุนให้เพื่อนฝูง เราทำให้มากว่าที่เราใช้ แต่ละวันๆ จนตาย เราก็มีชีวิตขาดทุนไปจนตาย เราขาดทุนของเราคือเราได้ของเราอย่างในหลวงตรัส

 

โดยส่วนตัวแล้วไม่รวยแต่อยู่กินอย่างอุดมสมบูรณ์ ไม่มีสะสมหนี้บาป ไม่เป็นบาปเวรภัย มีแต่จะง่ายสะดวกขึ้นดีขึ้น จะมีส่วนง่ายขึ้นดีขึ้น ย่ิงให้ไปยิ่งได้มาก ไม่ต้องอยากเลย ถ้าเราทำถึงไม่อยากได้จะได้ แต่ถ้าเราทำแล้วไม่ดีถึง แต่เรามีใจอยากได้มากกว่าที่เราทำนั่นคือขาดทุน แต่เราทำกาย วาจาใจ แล้วคิดค่าเศรษฐศาสตร์ไม่ได้มีหน่วยค่าที่เราทำกรรมไป ให้ไปนั้นมันยังน้อยกว่าพลังงานทางจิตที่เรายึดไว้ต้องการให้ได้  รวยกว่านี้ ชาติหน้าต้องการมากกว่านี้ พวกนี้ขาดทุนแหลกราญเลย ขาดทุนหนักชีวิตมีแต่จม บางทีทำทานทีละ ร้อยล้าน แต่ว่าตั้งภพชาติได้มากว่านั้นตะกละมากกว่าอีก เป็นกรรมจริง เขาทำใจในใจไม่เป็น ครูบาอาจารย์ไม่สอนเขา เขาก็ทำใจไม่เป็น ทำแต่กรรมตะกละซึ่งมโนก็เป็นกรรมอย่างหนึ่ง แล้วแรงด้วย เพราะมโนเป็นต้นทางเลย คุณสั่งสมทรัพย์วัตถุไปเท่าไหรก็เอาไปไม่ได้ แต่สะสมจิตโลภนี่ติดอัตภาพไปนี่เต็มๆเลย มีแต่ตัวกูของกู มีแต่ความจำว่าเป็นเราเป็นของเรา กิเลสที่อยากเป็นอนุสัยใส่จิต ที่ว่าตัวกูของกู นี่แหละ ไม่เปล่าๆนะ อยากได้กิเลสที่จะเอาให้ได้เป็นของตนอีกนี่แหละคือสะสมกิเลสในอนุสัย เป็นพลังงานที่คุณไม่รู้ อวิชชาก็ทำต่อไป นี่คือเรื่องจิตที่หลวงปู่พูดให้ฟัง อย่าไปสร้างจิตแบบนี้เลย อยู่กับชาวอโศกกี่ชาติๆ ถ้าเข้าใจแล้วชีวิตจะเจริญสบาย ย่ิงทำไปย่ิงมีบารมีสูง เกิดเองโดยไม่สร้างจิตซับซ้อนเป็นวิบากแก่ตนเดือดร้อนวุ่นวายอีก เป็นอจินไตย กรรมวิบาก

 

พวกเรามีชีวิตที่ยังคิดไม่ถึง ยังไม่ได้ออกไปต่อสู้กับภายนอก อยู่ในนี้ก็ไม่ได้เป็นเราเป็นของเรามีอัตตาอยู่ ไปข้างนอกจะได้สะสมเป็นของเราได้ อยู่ในหมู่นี้ก็จะไม่ได้เป็นของเรา นี่คือความไม่รู้ แต่อยู่ในนี้ก็พอได้เสพนะ ไม่ใช่ว่าไม่มีเสียเลย แต่ไม่มากไม่จัดจ้านเหมือนโลก เพราะไม่หนัก ถ้าไปติดยึดอย่างภายนอกนี้หนัก ผู้รู้นี้เห็นแล้วก็เออออไปกับเขาก็ได้ แต่เรามีสำนึกไม่ติดกับเขา เขาจะสนุกก็สนุกกับเขานิดหน่อย แต่มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ ในชีวิตเราไม่เหี่ยวแห้งหรอก ไม่ได้หนีเข้าป่าเขาถ้ำ มีแต่สิงสาราสัตว์ แต่ไม่มีอบายมุขมอมเมา มีแต่ขี้ให้ดม มีเหม็นสาบสัตว์เท่านั้น ก็ไม่เหมือนอยู่กับสังคม แต่อย่างของพุทธนี่อยู่กับสังคม เขาก็มีบันเทิงเราก็เห็นอยู่ ไม่เหี่ยวแห้ง แต่จิตเราเสพติดอยู่หรือไม่ จะเออออไปกับเขาได้ สนุกกับเขาได้ ดีไม่ดีเรามีพอสมควรก็อาศัยกัน ช่วยกันทำขึ้นให้อาศัย

 

เหมือนกับเราสร้างเฮือนน้อยให้ลูกเล่น ก็สร้างทำตุ๊กตาเล็กๆให้ลูกเล่นไป เล่นๆ คล้ายๆนั้นแต่ใจเราไม่มีปัญหา เราอยู่กับสังคม มีทุกอย่างไม่เหี่ยวแห้งเหมือนคนเข้าป่า แต่จิตนี่ย่ิงใหญ่ไม่ติด ไม่เสพ ไม่แอบเสพ กิเลสล้างเกลี้ยงจิตรู้เท่าทัน ว่าถ้าเสพก็ไม่สะอาด จิตไม่ตะกละ รู้แล้วว่าของปลอม จะสนุกอย่างไรก็โลกียรส มีปัญญารู้ ว่าไม่มีค่าอะไร จำได้ก็เข้าใจ นี่คือจิตโลกุตระ แล้วไม่เป็นพิษภัยนี่สำคัญ

 

คนปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ต้องหนีเข้าป่าเขาถ้ำ ปฏิบัติในสังคมเป็นหลัก ทำไปตามลำดับ ต่ำไปสูงก็อยู่กับสังคมนี่แหละ เขาจะมีอย่างไรก็อยู่ได้ ถ้าสังคมเขาไม่เลิกก็เห็นก็รู้ด้วย เหมือนทุกคนรู้ เราก็รู้แล้วว่าคือโลกปรุงแต่งกันในโลก เราก็ได้สัมผัส เห็นรู้ ได้ยิน ได้กลิ่นได้รสเหมือนเขาแต่ปัญญาจะชัดเจนว่าไม่ต้องเสพติดอะไรแล้ว ล้างได้เป็นสัจจะแล้ว สัมผัสก็รู้ความจริงเท่านั้น เดาเอาไม่ได้สำหรับปุถุชน จิตหลุดพ้นแล้วมีโลกุตรจิต เป็นจิตอุตตมะเป็นเช่นนี้จะรู้ความจริงในจิต นี่คือสัจจะยิ่งใหญ่ที่พระพุทธเจ้าค้นพบ ว่ามีปัญญาล้างกิเลสได้จริง มีโลกุตระ โลกวิทู โลกานุกัมปายะ เรารู้โลกนะ แต่เราไม่ติด เราจะช่วยเขาได้ขนาดไหนก็ตามเราสามารถทำได้

 

ฝากไว้ว่าถ้าคิดจะอยู่ฝึกฝนกับคนกลุ่มนี้ พี่ป้า น้าอา ที่อยู่ที่นี่ หลายคนเขาเข้าใจแล้วว่าข้างนอกเป็นอย่าไรเขาไม่เอาแล้วก็มาอยู่กับทางนี้ ส่วนเด็กที่ไม่เข้าใจจะออกไปก็จะได้จำได้ว่ามีสังคมแบบนี้อย่ารีบลืมชาวอโศกเร็วนัก หรือใครจะอยู่ด้วยก็เป็นกุศล หลวงปู่ไม่ได้ขอร้องนะ แต่ก็เข้าใจว่าหลวงปู่อยากให้พวกเราอยู่นะ...แต่จะอยู่ไหม?....ไม่อยู่ ก็ดีตอบตรงๆ หลวงปู่ก็รู้แต่จะอยู่ก็ดี

 

ยิ่งปีนี้เราเปิด รร.อาชีวะต่อเรือ พวกเราคงรู้ว่าที่นี่มีเรือ ลำใหญ่ลำเล็ก เรามีน้ำท่วม มีน้ำตกด้วย จะมีน้ำมากกว่านี้อีก เราเป็นบ้านราชฯเมืองเรือ บ้านไม้เมืองหิน บ้านดินเมืองน้ำ บ้านงามเมืองพุทธ บ้านพิสุทธิ์เมืองอมตะ

 

ตอนนี้เราเป็นบ้านราชฯเมืองเรือ กำลังต้องการกำลังช่วย สมณะพอแล้ว ที่จะมาช่วยดู เรือโคกใต้ดิน ที่จะออกแบบทำเป็นเรือที่ลอยบนคลื่น มีพญาครุฑอยู่ที่หัวเรือ จะอนุรักษ์เรือไม้ เอี้ยมจุ๊นหรือเรือฉลอมนี่ ลำใหญ่ เป็นเรือที่เรารวมใจกันลากขึ้นมาบนเนินนี้ แต่ก่อนเนินนี้สูง แต่ตอนนี้เป็นเนินต่ำไปแล้วใช้จิตวิญญาณลากกันมา เราก็จะทำให้เรียบร้อย

 

โคกใต้ดิน สินในสูญ ก็เป็นชื่อเรือที่เรามีอยู่ รอการซ่อมแซม เราทำอย่างคนจนด้วย ยังไม่พร้อมก็ค่อยๆทำไปช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร อยากให้พวกเรารู้ว่าเรากำลังตั้งโรงเรียนต่อเรือ เรามีแม่น้ำมูนเป็นสมบัติธรรมชาติ ไม่นานมานี้ ท่านนายกฯก็ปลุกคลองผดุงกรุงเกษมเป็นตลาดน้ำมาแล้ว แม่น้ำมูนก็เช่นกันเราจะทำให้เกิดพฤติกรรมสังคมเลี้ยงชีพได้อีกเยอะเลย แต่ก่อนมีคมนาคมทางน้ำเยอะ แต่เดี๋ยวนี้ลดลงมาก เราจึงตั้งโรงเรียนซ่อมเรือสร้างเรือทำเรือกัน เด็กคนไหนเรียนจบม.3 ม.6 จะมาเรียนต่อก็ขอบอกไว้ เป็นเรือที่ที่อื่นเขาไม่มีแล้วแต่เราจะมีเพื่ออนุรักษ์ไว้

 

เราจะสร้างเรือไม้ เรือเหล็ก แพขนานยนต์ด้วย ถ้าเรียนรุ่นแรกจะได้ช่วยบูรณะสร้างต่อ เรียนแล้วมีความรู้จริงด้วย ไม่ใช่ได้แต่ท่องจำได้ใบประกาศแต่ที่นี่เรียนแล้วทำได้จริงด้วย ถ้ามีเวลาแรงงานจะทำได้เยอะ

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

_ดญ.สุดคำฟ้า(เมย) ... ทำไมคนเราถึงมีความรัก?

ตอบ... 1.ไม่มีปัญญา 2.มีปัญญา

ความรักเป็นพลังงานของจิตชนิดหนึ่ง เป็นความรักที่ก่อทุกข์ภัยโทษก็ได้ แล้วเป็นพลังงานความรักที่ก่อคุณค่าประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติก็ได้ เป็นพลังงานของมนุษย์ที่ยิ่งกว่าเดรัจฉาน ความรักที่ก่อภัยโทษเห็นแก่ตัวเลวร้ายก็มี แต่คนเราหากมาเรียนรู้ เข้าใจ ล้างพลังงานที่พาทำความรักไม่ดี เปลี่ยนมาทำความรักที่ดีให้แก่โลก แค่คนอื่น เป็นรักไม่เห็นแก่ตัวนี่ดี

 

_ดญ.เพชรเพียงพุทธ นิยมพุทธ... คนลืมเป็นบาปไหม?

ตอบ... ลืมจะเรียกว่าบาปไหม? บาปแปลว่ากิเลส ลืมจริงๆแล้วจะบอกว่ากิเลสมันก็ไม่ใช่ แต่มันเป็นส่ิงที่บางทีบางอย่างถ้าเราลืมเสียได้มันก็สบายอย่างลืมทำชั่วแต่ก่อนทำเก่ง แต่เดี๋ยวนี้ลืมทำไม่เป็นอย่างนี้ดี ไม่บาป เจริญด้วย การจะจำอะไรได้หรือไม่ก็ไม่เชิงบาปหรือกุศลอะไร เราต้องรู้ว่าอะไรควรจำก็จำไม่เป็นบาป อะไรไม่ดีก็ไม่ควรจำ เป็นบาปก็ไม่ควรจำเลย 

 

_ดช.เพชรแสงธรรม ... บุญแปลว่า ชำระกิเลส กุศลแปลว่าคุณงามความดี แล้วยิ่งกว่าบุญคืออะไร?

ตอบ...ย่ิงกว่าบุญก็คือกรรม ผู้หมดบุญหมดบาป อย่างเป็นอรหันต์ ล้างกิเลสหมดก็ไม่ต้องทำบุญ ถ้าชำระกิเลสหมดแล้วก็เป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป บาปคือพลังงานจิตที่เลว เราล้างบาปหมดแล้วในจิตเรา ก็เหลือแต่กรรมที่ทำดีทำกุศลเพื่อผู้อื่นได้นี่คือสิ่งประเสริฐสุด

 

_ถ้าเราลดละบางอย่าง เช่นเราอดขนม 1 เดือน มันจะล้างกิเลสได้หรือไม่?ถ้าอดขนมต่อไปเรื่อยๆ

ตอบ..ถ้าเรากดข่มเฉยๆไม่มีการอ่านจิต ไม่เกิดปัญญาว่า กิเลสมันพาเราเป็นภาระอย่างไร หากเราทนได้ไม่กินก็ไม่เป็นภาระ เรากินอย่างอื่นที่ดีกว่าขนมก็มีเยอะ เราจะเห็นโทษภัย ภาระ ขนมมันเราติดรส  รสนั้นมีตามธรรมชาติ หวานเปรี้ยวเค็ม นี่หอม เหม็นก็มีธรรมดา ตามธรรมชาติหากเราจะกินเพื่อเป็นประโยชน์ก็กิน ถ้าเราเรียนรู้แล้วล้างจิตยึด จิตอุปาทานติดรสอร่อยเราก็ไม่ติดขนมนี้ เรากินอย่างอื่นที่มีสารอาหารแทนขนมนี้ก็ได้ แต่ถ้าไม่มีปัญญากดข่มไปอีกกี่ชาติก็ติดขนมต่อไป

 

_ดญ.แก้วกลั่นพร(โมกข์)... การที่เราทำบุญโดยรู้ว่า บุญคือการชำระจิตสันดาน แต่เราทำบุญแบบที่เราไม่รู้ว่าเราชำระอย่างไหนได้บุญกว่ากัน

ตอบ...ก็ต้องแบบรู้ รู้ว่ามีกิเลสอยู่รู้ว่าลดได้ กิเลสหมดก็รู้ รู้ธรรมรสว่า กิเลสหมดมันบางเบาได้อย่างไร แต่ถ้าเราชำระกิเลสได้โดยเราไม่รู้ว่ากิเลสหมดหรือไม่ ธรรมรสอย่างไรก็ไม่รู้ มันก็เวียนกลับมาได้ เพราะบางอย่างมันลดได้ หรือคนสะกดจิตไปมันก็ลืม ลดได้แต่ไม่มีปัญญารู้ว่าลดอย่างไร มันเบาภาระอย่างไร สบายอย่างไร มีประโยชน์คุณค่าอย่างไร ดีกว่าที่กิเลสลดแล้วไม่รู้

 

_แลเลื่อนฟ้า(ดูแล) ... บุญก็เหมือนกับน้ำ บาปก็เหมือนกับโคลน สมมุติว่าเราทำบาป บาปก็เหมือนกับโคลนติดตัวเราไป ถ้าเราทำบุญ บุญก็เหมือนกับน้ำ  แล้วน้ำมีขันเดียว เราต้องทำน้ำเพิ่มขึ้นใช่ไหม?

ตอบ...ใช่ ล้างให้เกลี้ยงซ้ำแล้วซ้ำอีกนะ

 

_ตลาดอาริยะคือพวกเราเป็นคนขาย เพราะเราขายของต่ำกว่าทุน แล้วคนมาซื้อได้บุญกับเราอย่างไร
ตอบ
...เราก็สอนเขาว่าอย่าโลภ อย่ามาเวียนเทียน คนเราตามธรรมดาจะโลภ ย่ิงได้ของราคาต่ำก็จะโลภ ก็ให้เขาฝึกจิตเขาอย่าทำโลภ อย่าเห็นแก่ตัว เผื่อแผ่คนอื่นได้ เราทำกับเขานี่มันซ้อน เราทำเสียสละนี่เขารู้นะว่าเราขาดทุนให้เขา เขาก็จะสำนึก ว่าเราจะต้องอยู่กับคนเสียสละอย่าเอาเปรียบมากนัก เป็นจิตวิทยาสังคม พวกนี้จะได้บ้างถ้าใครมีปัญญาดีๆจะรู้จิตวิทยาสังคม ย่ิงเราเสียสละเป็นหมู่ใหญ่เลย เราทำทุกปีเขาจะรู้ว่าเราไม่ได้ทำแบบตลาดๆ หลอกล่อแอบแฝง โกหก เราไม่ทำเราซื่อสัตย์จะต่างกัน เรามองตื้นๆว่าทำให้คนอื่นโลภ จริงเขาจะเกิดกิเลส แต่เมื่ออยู่กับคนพฤติกรรมจริงใจ แล้วก็เป็นองค์รวมสนามแม่เหล็กตลาดอาริยะทุกคนมาตั้งใจเสียสละ มีพฤติกรรมจริง เขาจะได้สัมผัส การสร้างองค์ประกอบศาสตร์และศิลป์นี้จะมีผลสูง

 

_ทำไมโลกนี้มีหลายศาสนา

ตอบ...คนเราเกิดมาทำไมไม่เหมือนกันทุกคน แล้วความคิดของแต่ละคนทำไมมีหลายความคิด ศาสนาก็จึงต้องมีหลายศาสนาได้ คนก็เชื่อไปต่างๆนานา ถ้าคนเชื่ออย่างเดียวกันหมด สมมุติว่าเชื่ออย่างเดียวกันแล้วไม่ดีด้วย จะบรรลัยไหม? แต่เราจะบังคับให้คนเชื่อส่ิงดีอย่างเดียวเป็นไปไม่ได้ เราก็ได้แต่บอกให้คนมาเชื่อสิ่งดีให้ได้มากๆเท่านั้น หลายศาสนาก็มีวิธีหารบริวาร แต่ศาสนาพุทธไม่หลอกคน มีแต่เปิดเผยสิ่งดีงามสิ่งดีให้คนรู้ คนมีปัญญาเห็นรู้ก็จะมาเอาเอง ก็จะได้คนจริงหมู่ที่แน่นอยู่ไปได้นาน  สรุปว่า แม้แค่ศาสนาเดียวกันยังเห็นต่างกันได้เลย

 

_ใบฟ้า...คนจะเป็นโมฆะนักเรียนเป็นอย่างไรแล้วเขาจะไปอย่างไร?

ตอบ... จะไปอย่างไรนั้นตอบไม่ได้ แต่เด็กที่เรียนออกไปจากที่นี่ เขาจะไม่ได้อะไรเลย แต่อาจจำได้บ้างแม้จะลืมไปแต่คงไม่เกลี้ยงเสียทีเดียวเลย คงมีอะไรเหลือบ้าง โตขึ้นจะรู้โดยปริยายว่าอะไรดีหรือไม่ดีหรือลึกไปกว่านั้นอะไรทุกข์อะไรไม่ทุกข์ก็จะรู้ อะไรเป็นโลกอะไรเป็นโลกุตระ ถ้าเขามีปฏิภาณได้ไปบ้าง คนที่ได้แยกแยะได้ มีเชื่อแยกแยะได้โลกียะกับโลกุตระได้ ไม่ยินดีกับโลกธรรมแล้วแม้กิเลสจะมีอยู่ก็พยายามลด นี่คือทิศทางเป็นการรู้จริง ว่าไม่เอาโลกียะที่เป็นทุกข์เป็นภาระยิ่งจำได้แล้วเอาไปปฏิบัติได้ลดได้ จนมีเหตุปัจจัยประสพการณ์มากขึ้นเห็นชัดมีปัญญาสูงขึ้น ถ้าเชื้อโลกุตระหรือชิป มี แล้วบ่มเพาะได้ ถึงขีดเขาไม่ตายเสียก่อนก็จะมา

 

ที่นี่สอนโลกุตรธรรม คือจิตไม่ยินดีแบบโลกๆ กามคุณโลกธรรม อัตตา ให้แก่ตนแล้ว แต่ทีนี้มันจะเป็นผู้มีมรรคผลคือต้องรู้แล้วปฏิบัติได้ด้วย จะอยู่ข้างในนี้หรืออยู่ภายนอกก็ตาม โลกุตระคืออ่านจิตเป็นรู้กิเลสตน อ่านออกแล้วเห็นกิเลสตนจางคลายเล็กลงได้จริง นั่นคือเนกขัมมะโกลุตระจริง ยิ่งสัมผัสธรรมรสที่กิเลสหมดได้จริงก็จะรู้ แล้วอยู่กับโลกได้ อย่างโลกไม่มีฤทธิ์เดชกับเราได้จริง เห็นมีแต่ธรรมรสไม่มีโลกียรสได้จริง

 

_หนูเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองมากๆ เวลาอยู่กับแม่หนูจะชอบว่าแม่ ในข้อบกพร่องของแม่ หนูรู้ว่ามันไม่ดี แต่พอหนูเผลอหนูก็พูดทุกที จะแก้อย่างไร พอว่าแล้วก็ค่อยสำนึกตาม ภายหลัง หนูจะบาปและมีวิบากอย่างไร? หนูจะจัดการตนเองอย่างไร? หนูเสียใจกับพฤติกรรมตนเองมาก?

ตอบ... ดีแล้วที่รู้ว่าสิ่งที่ทำไม่ดี แต่ที่ว่านี้ ไปว่าโดยไม่มีสัมมาคารวะ หรือศิลปะ แต่ธรรมดาเขาไม่ให้ว่าหรอก เขาจะยกให้แม่ อย่าไปว่าแม่เลย จะอย่างไรก็ต้องเคารพนับถือบูชาก็เป็นเช่นนั้นสำหรับคนทั่วไป ก็ดีที่มีวุฒิภาวะแบบนี้ เราจะว่าแม่ถ้าเราพิจารณาจริงว่าเป็นข้อบกพร่องของแม่ แล้วเราก็ว่าไม่อยากให้แม่ทำ เราก็ต้องสำนึกว่า เราเป็นลูกต้องอ่อนน้อมถ่อมตน ก็ต้องหาโอกาส แล้วจะบอกแม่ให้รู้ หรือจะหาวิธีพูด นี่แหละเป็นประเด็นสำคัญไม่ให้แม่รู้สึกว่าเราว่า แต่เราบอกความไม่ดีของแม่อย่างสัมมาคารวะ เคารพในการบอก ต้องมีเวลาวาระอันควร แล้วต้องใช้โวหารสำนวนให้อ่อนน้อมถ่อมตน ลีลาอย่างไรให้อ่อนน้อมถ่อมตน ก็พยายามถ้าจะว่าทีหลังก็ต้องสังวรสำรวมอย่าให้รีบว่า เห็นแล้วก็ดี อย่ารีบว่าไตรตรองก่อน โอกาสไหนดี ก็ค่อยทำหรือไม่ก็ยกไว้ หากเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ยกไว้ได้

 

_วิบากกรรม รับแทนกันได้ไหม?

ตอบ..ไม่ได้เลยไม่ต้องขยายความเลย  กัมมสกะ(กรรมเป็นของเรา) กัมมทายาโท(เราเป็นทายาทของกรรมเราเอง)

 

_บุญกุศลให้กันได้ไหม?

ตอบ...ไม่ได้ มีแต่บอกวิธีให้ได้เแต่เขาจะทำไหม? ทำถูกไหม?ก็อยู่ที่เขา

 

_อาริยะหมายถึงอะไร?

ตอบ...ความประเสริฐความดีงามของมนุษย์ ในกรรม 3 กาย วาจา ใจ

 

_งานตลาดอาริยะจัดเพื่ออะไร?

ตอบ...งานตลาดอาริยะเพื่อประโยชน์สังคม เพื่อประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ แม้คนจัดก็ได้ฝึกเสียสละลดละกิเลส ต้องมาช่วยกันทำให้เป็นสนามแม่เหล็กตลาดอาริยะ ปีนี้เราจะจัดร่วมกับทางจังหวัดด้วย จะเกิดพลังงานสนามแม่เหล็กแห่งการสร้างสังคมเสียสละเอื้อเฟื้อเจือจานได้มาก

 

_ถ้าเรารู้สึกว่าเราควบคุมน้องๆไม่ได้ เราจะทำอย่างไร
ตอบ.
..ก็หาวิธีอื่นหรือปรึกษาผู้รู้

 

_หลวงปู่คิดว่าอย่างไร ใครสวยสุดในโลก?

ตอบ..มันเป็นสมมุติ แล้วแต่คนสมมุติกันไปน่ะ คนผิวดำหรือผิวขาวก็แล้วแต่ใครเห็นว่าสวย ถามว่าใครสวยที่สุดในโลก ...ก็อุปาทานสวยที่สุดในโลก คนมีเมียขี้เหร่แต่เขาก็ว่าสวยที่สุดในโลก ข่าววันนี้ สามีอายุ 76 ปี เมียอายุ 82 ปี เมียตายแล้วไม่เอาไปเผา จนเน่าเลย เมียตนดีที่สุดในโลก

 

_การเข้าค่ายยอส.มีทั้งผลดีผลเสีย ...ข้อดี ชายหญิงแยกกัน ทำใบศีลทุกวัน ทำวัตรเช้า_เย็นทุกวัน แต่ข้อเสียหนูก็ว่ามี ชายหญิงก็ไม่ค่อยสัมพันธ์กัน แยกม.ทำให้ไม่รู้จักกับม.อื่น สันทนาการน้อย น่าเบื่อ มีแต่เรียน หลวงปู่เห็นว่าอย่างไรคะ

ตอบ..หลวงปู่ไม่ได้ประเมินแต่ตอบไม่ได้ว่าครั้งนี้เป็นอย่างไร ก็ฟังรายงานผล ก็จะรู้ทีหลังแต่พวกเราก็ช่วยดูแลอยู่แล้ว เราเจตนามุ่งหมาย ที่จะให้ดี มันทำได้ประมาณไหนก็อนุโมทนา ในข้อดีข้อเสียที่พูดมามีส่ิงถูกและไม่ถูกพอๆกัน จริงๆแล้ว เราจะสัมพันธ์หรือแยก เราไม่ทำสุดโต่ง แต่ไม่สัมพันธ์จนเสียสภาพ เราจะมีสัมพันธ์และคลุกคลีกันพอเหมาะ เรื่องศีล ทำวัตรเช้าฟังธรรมทั้งวันนี่พูดประชดหรือเปล่า เรื่องชั้นปีก็จัดให้เพ่ิมเอง จะรวมชั้นหรือแยกก็ไม่เที่ยง แล้วแต่บางปี ก็แล้วแต่เหตุปัจจัย เราก็พยายามอยู่แล้ว สันทนาการน้อย การมารวมกันเราจะสันทนาการกันพอสมควร แม้ในเวลาสามัญ พวกเราก็ไม่ไปรื่นเริงมากนัก ก็สันทนาการพอควร คือได้พักผ่อนพอได้ เพราะมันเสียเวลา มันสุขหลอกบำเรอตนเองเท่านั้น

 

_เพชรแสงธรรม...มีคนบอกว่าให้แม่ไปงานปลุกเสกฯบ้าง วันๆมัวแต่หาเงินไม่ได้มาปฏิบัติธรรม น่าจะมาทำบุญบ้าง แล้วเราจะโกหกให้แม่มาก็ไม่ได้ แล้วการโกหกให้คนอื่นทำดีนี่ผิดศีลไหม?

ตอบ...ผิด เราต้องมีศิลปะให้คนอื่นทำดีโดยไม่โกหกให้ได้ อย่าแก้ตัวว่าโกหกให้คนทำดี เดี๋ยวจะเป็นแบบนักการเมืองโกหกสีขาว ไม่มีหรอกโกหกมีแต่สีดำ เราต้องรู้ว่าโกหกเป็นสิ่งไม่ซื่อ เราพูดส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่งไม่พูดไม่ถือว่าโกหกนะ ถ้าพูดไปหมดจะหนักไป ก็เลี่ยงได้ หรือว่าเรามีวิธีจิตวิทยาเอาลักษณะอื่นมาแวดล้อมพูดให้คนรู้ว่าต้องทำดี โดยไม่จำเป็นต้องโกหก ไม่เช่นนั้นเคยตัว ทำให้ตนเกิดเล่ห์เหลี่ยม จนหลวมตัวโกหกเก่งซับซ้อนจนทำไม่ดี เพราะความเห็นแก่ตัวคนนั้นลึกจะอ้างว่าโกหกเพื่อดี ก็อย่าโกหก

 

จบ...


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:05:22 )

580404

รายละเอียด

580404_พิธีรับกลด  ปีการศึกษา 2557 รุ่น เบิกบุญ

 

เวลา 08.30 น. นร.สัมมาสิกขาและนร.อาชีวะศึกษา พร้อมกันที่ศาลาเฮือนศูนย์สูญ

 

พ่อครูเมตตาให้โอวาทก่อนรับกลด.....วันนี้เป็นวันสำคัญ เป็นวันที่เราจะได้มารับกลด รับสิ่งอนุสรณ์ที่ระลึกสำหรับที่เราได้ประสพผลสำเร็จในชีวิต เป็นเครื่องหมายที่เราจะใช้ชีวิตต่อไป

 

สัมมาสิกขานี่ หลวงปู่พยายามทำขึ้นมาเพื่อช่วยมนุษยชาติ เพราะหน้าที่ช่วยสร้างคนให้เป็นคนประเสริฐคนอาริยะ เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ ที่หลวงปู่ว่า ไม่ว่าจะได้เพียงเล็กน้อยก็ตาม ที่เราจะสามารถทำให้มวลมนุษยชาติเป็นคนเจริญประเสริฐได้เป็นส่ิงที่ดีที่สุด กิเลสทำให้คนเสื่อมต่ำ เป็นธรรมชาติมาแต่ไหนๆ มนุษย์พัฒนามาจากสัตว์โลก จนมาเป็นมนุษย์ มีความนึกคิดจิตวิญญาณที่มีกิเลส กิเลสนี่บงการให้คนทำชั่ว ทำให้สังคมเดือดร้อนวุ่นวายเสียหายไปหมด

 

ยิ่งสังคมมีพฤติกรรมเลวร้ายมากมายหลอกล่อซับซ้อนทุกวันนี้ แต่เป็นพิธีกรรมหลอกลวงเพื่อหาประโยชน์ใส่ตน ให้คนรู้ไม่เท่าทันแล้วทำตาม ก็เกิดผลกระทบให้สังคมเดือดร้อนเรื่อยๆ ผู้เรียนรู้ได้ก็ต้องแก้ไข หลวงปู่นี่ได้เรียนมาจากพระพุทธเจ้า รู้แล้วก็ต้องออกมาทำงานสร้างคน ทุกวันนี้ก็ได้ อนุบาล ถึงมัธยม ได้วิทยาลัยแล้ว ถึงปวส. แต่ยังไม่ถึงมหาวิทยาลัย เขายังไม่เห็นดีเห็นงาม ทั้งที่เราสร้างคนด้วยใจจริงไม่ได้ทำเพื่อการค้าหรือหาบริวาร จะเห็นได้ว่าสัมมาสิกขาเป็น รร.ที่สร้างคนให้เป็นคนดี และมีความรู้สามารถอย่างโลกเขาด้วยไม่ด้อย แต่สิ่งที่เราเห็นว่าโลกมีน้อยคือศีลธรรม เราก็พยายามให้เด็กมีศีลธรรม

 

เด็กที่มาเรียนทุกคนก็รู้จุดนี้ว่าที่นี่สอนให้ละกิเลสให้มีคุณธรรม ก็พยายามไป ใครทำได้มาก พากเพียร ลดละกิเลสได้ พฤติกรรมดีก็เป็นกุศลแก่คนนั้น คนไหนไม่เอาถ่านก็เป็นของคนนั้น ถ้าไม่รักดีไม่ทำเอาไม่ฝึกฝนเลี่ยงไป เกเร มันก็ไม่ได้ ก็ซวยไป ที่นี่ไม่ได้ทำเพื่อแลกเปลี่ยนเอาอะไรตอบแทน แต่ทำด้วยใจจริงที่จะทำช่วยสังคมประเทศชาติ เราทำมาก็หลายสิบปีแล้ว ตั้งใจสอนอย่างเลี้ยงลูกหลาน ไม่ได้เห็นเป็นเครื่องมือในการทำมาหากินสร้างอำนาจบริวาร แต่เป็นการส่งเสริมสร้างสรร ให้เกิดคุณค่าแก่มนุษยชาติ

 

เด็กจบไปแล้วหลายรุ่น กว่า 20 ปีแล้ว ก็ไม่ถึง 20 รุ่น ต้อง 26 ปีถึงจะได้ 20 รุ่น เมื่อพวกเราได้เรียนรู้เห็นความสำคัญ หลวงปู่เร่ิมต้นตั้งปรัชญาการศึกษาเลยว่า ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา

 

ศีลเด่นคือให้ได้ศีลธรรมแท้จริง ได้มากน้อยก็ตามก็ให้ได้ อบรมสั่งสอนประจำเลย ให้มาอยู่ประจำเลย ปิดเทอมให้กลับบ้านน้อย บางคนรักดีก็อยู่วัดไม่กลับก็มี อยู่อย่าง บวร เป็นสังคมอยู่รวมประสานกัน ทั้งบ้าน วัด โรงเรียน เราไม่ได้แยกวัดไปอยู่ส่วนหนึ่ง โรงเรียนก็ส่วนหนึ่ง บ้านก็ส่วนหนึ่งแยกกันเหมือนกับทางโลกเขาแยกส่วนกัน เช้าไปโรงเรียน แต่มืด ไปแล้วกลับมาบ้านมืดเลย ไม่ได้รู้เลยว่าบ้าน สังคมนั้นเป็นอย่างไร เด็กที่ไปเรียนหนังสือจะไม่รู้สังคมอย่างจริงจังเลย แต่ของเรานี้รู้สัมพันธ์กันชัดเจน ร่วมรับรู้ช่วยเหลือกันเลย เวลาเรียนก็จัดสรรให้ หรือเรียนภาคปฏิบัติเลย ดีไม่ดีพาออกไปช่วยสังคมระดับประเทศเราก็พากันทำ คือให้รู้ว่าเป็นหน้าที่ของพลเมืองที่จะไปช่วยกัน ต้องรับผิดชอบดูแลสังคมด้วย อะไรควรช่วย อะไรควรต้านระงับ ช่วยกันตามระบอบประชาธิปไตย เราก็พาไปทำ ให้รู้ว่าคือหน้าที่ของคนในประเทศ

 

ใครมีปัญญารับได้เท่าไหร่ แล้วฝึกตนให้เป็นมนุษย์เช่นนี้ คือมนุษย์อาริยะ ได้มากหรือน้อยก็แล้วแต่คน หลวงปู่เกิดแล้วตายมาก็ทำอย่างนี้แหละ ให้เรียนกับชีวิตจริงไม่ใช่เรียนแต่ตัวหนังสือในกล่อง เขามีความรู้ใหม่อย่างไรก็มาเรียนกันแต่ไม่เอามาใช้ สังคมเราไม่ได้ใช้เลยความรู้เหล่านี้ก็เรียนกันเสียเปล่า แล้วเอามาข่มกันว่าใครรู้มากเจริญ แต่ไม่ได้ใช้ อะไรไม่จำเป็นต้องรู้ก็ไม่สน ก็เรียนกันเสียเวลาทุนรอนแรงงาน แรงสมอง แทนที่จะเอาเวลาไปฝึกอะไรที่ใช้จริงก็ไม่ได้ทำก็เลยขาดแคลน ส่ิงที่ควรได้ควรมี หลวงปู่เห็นว่ามันขาดก็เลยเอามาทำ ทั้งศีลธรรม ทั้งการทำงานที่พึ่งตนได้ไม่หยิบโหย่ง เป็นคนติดดินก็พยายามทำให้เป็นจริง

 

การศึกษากศน.เรามีปี 2533 แล้วจดทะเบียนเป็นรร.ทางนิตินัยคือ พศ.2534 ที่ศีรษะอโศกจะทะเบียนเป็นที่แรก ปีนี้เป็นปีที่ 24 แล้ว ยังไม่ 25 ปีนัก ก็นานพอสมควรอยู่ เข้าเบญจเพศแล้ว ถ้าคนทั่วไปใครก็ตาม ได้เข้าใจเจตนารมย์ ความประสงค์ที่จริงจังจริงใจของชาวอโศก ที่อยู่กับสังคมเราก็ช่วยสังคมเช่นนี้ มีชีวิตเช่นนี้ไม่ใช่เอาสังคมเป็นบ่อที่เราจะกอบโกย เป็นเหยื่อที่เราจะตักตวงเอา ไม่ใช่เลย คนเห็นแก่ตัวใจดำเช่นนี้เราไม่ได้สร้างให้จิตใจคนเป็นเช่นนั้น แต่เราจะสร้างให้คนหมดความเห็นแก่ตัว ถ้าไม่เห็นแก่ตัวแล้ว แม้สังคมจะเลวร้ายอย่างไรก็อยู่ได้ คนมีสามัญสำนึกจะรู้ว่า คนไหนดีควรช่วยเหลือเขาจะช่วย เราปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าเป็นคนไม่ติดยึด ลดละ มักน้อยสันโดษไม่เปลืองผลาญทำลายไม่ได้ทรมานตนเอง แต่ไม่โลภ ไม่ตะกละก็ไม่เปลือง ยิ่งมาลดรสโลกีย์ก็จะสบายมาก ลดรสที่เป็นโลกีย์ลงก็จะไม่เปลือง แล้วชีวิตใช้สิ่งบริขารไว้อาศัยเป็นปัจจัยชีวิตไม่เปลืองใช้น้อย แต่เราก็สร้างสรรให้คนทำงานเป็น มีสมรรถนะมีความรู้ว่าการงานอะไรในสังคมควรทำ อาชีพอะไรควรทำให้ได้ใช้อาศัยกัน เราจะรู้ว่าอะไรคือสัมมาอาชีพ อะไรไม่ใช่สัมมาอาชีพ เป็นมิจฉาชีพ เราจะรู้เข้าใจชัด

 

ศาสนาพุทธสอนมิจฉาชีพ 5 กุหนา ลปนาก็ไม่ทำ นิปเปสิกตา เราก็เร่ิมศึกษาว่าอาชีพอะไรเลวเราไม่ทำก็เลิก ฝึกฝนลดละไปตามลำดับ เลิกไปเรื่อยๆ เราก็เลิกมาๆ จนกระทั่งเราเลิกอาชีพเบียดเบียนเห็นแก่ตัวมาก เราก็ลดลง แม้แต่นิปเปสิกตา นั้นเราบริสุทธิ์แต่เราก็รวมกับคนโลภโกงอยู่ เรามอบตนในทางที่ผิดอยู่ เราไปช่วยแรงงานทุนรอนอยู่ทั้งที่เขาก็โกงอยู่ เราก็จะไปช่วยทำไม เราไปช่วยคนบริสุทธิ์ดีกว่า  อยู่ไหนเราก็ไปช่วยคนดีดีกว่า เราจะไปเสียเวลาช่วยคนชั่วทำไม ต้องมีปัญญามาอยู่กับคนดี

 

แม้ที่สุด ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ยังมีลาภแลกลาภอยู่ ทำงานแลกลาภ ยศ สรรเสริญ กาม อัตตาอยู่ก็เลิกมา จนพ้นลาภแลกลาภ ทำงานฟรีด้วย เพราะแม้ทำงานแต่เอาค่าตอบแทนแม้น้อยเท่าใดก็ไม่บริสุทธิ์ ต้องงานไม่เอาค่าตอบแทนเลย ไม่เอาสิ่งใดตอบแทนเลยจึงบริสุทธิ์ อย่างสังคมชาวอโศกนี่มีคนเช่นนี้ เรียกว่าคนประเสริฐคนดีในสังคม

 

ที่นี่ตั้งใจทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นปราชญ์เอก ที่ได้เรียนรู้มาไม่รู้กี่ยุคสมัย ได้ประมวลเป็นหลัก สัมมาอาชีวะ 5 นี่ก็เป็นหลักที่หลวงปู่เอามาขยาย อย่างสังคมทั่วไปเขาไม่เรียนรู้ไม่ทำกันแล้ว แม้เป็นนักบวชก็ยังไม่พ้นมิจฉาชีพข้อที่ 5 เช่นส่งเสริมนายทุนอยู่ ก็ยากเขาไม่รู้ก็ทำไปตามประสา หลวงปู่พยายามพาทำ เราเรียนรู้แล้วก็พยายามตั้งใจฝึกฝนเถอะ มีมิตรดีสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีก็พยายามฝึกฝนเอา แล้วไปแย่งลาภ ยศ สรรเสริญ เราทำมากันทุกคนไม่รู้กี่ชาติแล้ว เป็นสัญชาติญาณ แต่เราได้มาฝึกลดละ ถ้าไม่มีกลุ่มหมู่สังคมสิ่งแวดล้อมดี มีกัลยาณสัมปวังโก มีสัปปายะ 4 อย่างนี้ สถานที่สะอาดบริสุทธิ์อยู่เย็นเป็นสุข มีคนสร้างสรรเสียสละ มีสิ่งแวดล้อม มีบุคคล มีอาหาร มีธรรมะที่สัปปายะ ไม่เป็นพิษ ทำให้เราเจริญ ไม่ได้สะสมส่ิงเลวร้าย เป็นเสนาสนสัปปายะ มีแต่คนดีคนประเสริฐเสียสละไม่เห็นแก่ตัว หรือพยายามลดความเห็นแก่ตัว จริงๆ แล้วมีความรู้อยู่กับโลกกับสังคมว่าอะไรเป็นงานที่ควรทำ ก็ทำสร้างสรรไป ไม่เห็นแก่ตัวไม่ขี้เกียจ

 

สังคมที่พระพุทธเจ้าท่านพาทำนี่สุดประเสริฐแล้ว แม้แต่เครื่องใช้ไม้สอยก็ไม่มีโทษภัย มีปัจจัยบริขารอย่างอุดมสมบูรณ์ พออาศัยได้ไม่น้อยหน้าคนข้างนอกเขา และมีธรรมะระดับโลกุตระ อาริยธรรมด้วย สังคมแบบนี้ที่พร้อมด้วยสัปปายะ 4 ไม่ใช่สังคมที่หาง่ายในโลก แต่สังคมอโศกพยายามพาทำให้เป็นไปได้ แม้จะไม่เลิศเลอ แต่หลวงปู่ว่าเป็นรูปร่างของสังคมคนอาริยะแล้ว พูดตามหลักฐานอ้างอิงจากพระพุทธเจ้าตรัส เอามาตรวจสอบได้ สังคมไหนจะมีได้ก็เอาไปเปรียบเทียบได้ เป็นการศึกษาว่าสิ่งเหล่านี้เป็นไปได้ไหม จริงไหม

 

สังคมแบบชาวอโศกนี่เป็นได้ไม่่ง่าย แต่ยืนยันว่าทำได้ แม้จะไม่ใหญ่ไ่ม่โต แต่จะโตได้ต้องมีคนรุ่นต่อไปอย่างพวกเรานี่มาต่อไป จะอีกกี่ปีกี่เดือนเราก็เจริญแบบนี้ เรารู้ทิศทางประเสริฐก็มาช่วยกันทำ แต่คนมีกิเลสมากก็มาอยู่นี่ไม่ได้เสพส่ิงที่คนนิยมไม่ได้เต้นแร้งเต้นกา คนติดอยู่ก็ไม่มา แต่คนเห็นว่าไม่น่าจะไปติดอย่างนั้นก็มาก มีกิเลสก็มาขัดเกลา ใครคิดได้ก็มา ยินดีขัดเกลา แล้วเป็นอย่างพระพุทธเจ้าสอนนี้ได้แล้วได้เลย ชาติต่อไปก็ได้ด้วย

 

พี่ป้าน้าอา ญาติธรรมในนี้ก็ช่วยกัน พัฒนา ให้เป็นสังคมแบบนี้ ที่นี่ไม่ได้ว่ารับแต่เด็กนร.มาเรียน แต่ว่า ผู้ใหญ่ก็มาเรียนกัน เรียนเป็นโสดาฯสกิทาฯอนาคาฯ อรหันต์ ก็มาเรียนตามลำดับ ถ้าได้ชาตินี้แล้วชาติต่อไปได้แล้วได้เลย ภูมิธรรมของพุทธศาสนานี่ จิตได้เป็นประธาน ถึง ขีด นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ก็ได้แล้วถาวร ได้แล้วจะเวียนตายเกิดก็ได้หรือจะตายสนิทปรินิพพานก็ได้ แล้วแต่คน อย่างหลวงปู่ตั้งใจเวียนเกิดมาช่วยโลกสะสมบารมีไป ให้หยุดสุดที่เป็นพระพุทธเจ้า ไม่ท้อยังพากเพียรปฏิบัติแม้ชาตินี้หนักหนาเหน็ดเหนื่อย

 

สังคมพุทธมี โลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก)  ไม่ได้หนีโลกอย่างฤาษี

 

โลกียะนี้ มีแต่ความหลอก แม้ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ก็เป็นอันตรายอันแสบเผ็ดแม้พระอรหันต์ คือจิตท่านไม่ทุกข์แต่มันจะเสียผลต่อสังคม จิตใจท่านไม่เกิดกิเลส แต่การประมาณของพระอรหันต์นั้นผิดได้ โลกธรรมนั้นพระอรหันต์ไม่เสพติดแล้ว อย่างศาสนาฤาษีหนีโลกธรรมนั้นอาจดูง่าย แต่ก็เห็นแก่ตัวชนิดหนึ่งเจาะช่องน้อยแต่พอตัว ก็ดีที่ไม่ได้เบียดเบียนสังคม แต่ปุถุชนที่หลอกว่าช่วยโลก แต่ซับซ้อนฉลาดแกมโกงว่าช่วยโลกแต่หลอกโลก ผลาญโลก เอาจากโลก เลวร้ายสะกดจิตครอบงำให้คนหลงภพชาติ วิมานเลอะไปหมด เป็นเหยื่อให้เขาหลอก ก็สงสารแต่ช่วยไม่ได้ เพราะเขาสมัครใจให้หลอกเอง รู้เขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอกก็ไม่รู้ทำไง

 

ผู้ใดมีปัญญาก็มาทางนี้กัน ช่วยกันไปทำเพื่อให้เกิดมนุษยชาติสังคมเป็นอย่างที่ว่า ยุคนี้ใกล้กลียุคจึงยาก หลวงปู่เข้าใจ ได้แค่นี้ก็พอใจระดับหนึ่ง ถ้าได้มากกว่านี้ก็ดี ตามเหตุปัจจัยไม่ท้อ ไม่ลงโทษตนเองหรือตะกละแก่ตนเอง ไม่ทำเกินไปไม่ให้เสียสุขภาพ จิตก็ไม่ทุกข์ร้อนอะไร จะได้รับสัมผัสให้เอร็ดอร่อยก็ไม่ทำแล้ว ชีวิตก็ง่าย ไม่เรียกร้อง ชีวิตสมบูรณ์ ครบพร้อมแล้ว

 

เด็กที่จะจบไปหรือจะเรียนต่อก็จะได้ฟังคำหลวงปู่ซ้ำเช่นนี้ไป หลวงปู่เคยถูกโลกหลอกมา 36 ปีเสียเวลา ออกมาทำงานนี้36 ปีก็ได้แค่นี้ นี่ขึ้นสู่ 36 หน่วยที่สอง ถ้าเลยไปก็เข้าหน่วยที่ 3 ก็ทำเกินรอบที่สองมา 8 ปีเอง ถ้าเต็มอีกรอบก็ 108 ครบสองรอบ อยากทำอีกหน่วยให้ครบ 3 เส้าเป็น 144 ปี อยากอยู่ต่อให้ครบ 151 ปี จะดูว่าครบสองรอบจะเป็นอย่างไร ถ้าไปถึง 108 แล้วหลวงปู่ทำถึง 144 ปีจะเห็นผลพอควร ถ้าเลย 144 ปีแล้วไม่ได้ก็คงได้แค่นี้ จากนั้นก็เสวยวิมุติอีกสัก 7 ปี ก็พูดเป็นวิสัยทัศน์ จะได้หรือเป็นหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่พากเพียรไป ได้เท่าไหร่ก็เอา ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น หมดกาละหมดองค์ประกอบที่จะไปได้ก็จบ

 

ตอนนี้จะได้เวลารับกลดของ นร.ปวช.กับ นร.ม6 ส่วนคนจบปวส.ขึ้นไปจะได้รับหยาดน้ำใจพรายทองิร และกลด

 

กลดเหมือนกับบ้าน ที่อาศัยเลย เป็นบ้านเคลื่อนที่เป็นสัญญลักษณ์ moving house เป็นสัญลักษณ์ว่ามอบเครื่องอาศัยให้แล้ว ก็เริ่มการรับกลดในเวลา 09.30 น.

 

.....คุรุฟังฝน จังคศิริ ได้กล่าวรายงานก่อนมีพิธีรับกลด

 

            รร.สัมมาสิกขาและวิทยาลัยอาชีวะของชาวอโศกเป็นการจัดการศึกษาในระบบสังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชน โรงเรียนสัมมาสิกขาและโรงเรียนอาชีวะศึกษาของชาวอโศก เป็นสองหน่่วยงานของการศึกษาบุญนิยม เรามี 8 โรงเรียนสัมมาสิกขาทั่วประเทศ

1.โรงเรียนสัมมาสิกขาสันติอโศก

2.โรงเรียนสัมมาสิกขาปฐมอโศก

3.โรงเรียนสัมมาสิกขาราชธานีอโศก

4.โรงเรียนสัมมาสิกขาสีมาอโศก

5.โรงเรียนสัมมาสิกขาศีรษะอโศก

6.โรงเรียนสัมมาสิกขาศาลีอโศก

7.โรงเรียนสัมมาสิกขาภูผาฟ้าน้ำ

8.โรงเรียนสัมมาสิกขาหินผาฟ้าน้ำ

และวิทยาลัยอาชีวะศึกษาอีก 2 โรงเรียนคือ

1.วิทยาลัยอาชีวะศึกษาสัมมาสิกขาวิชชาราม จ.อุบลราชธานี

2.วิทยาลัยอาชีวะศึกษาศีรษะอโศก จ.ศรีสะเกษ

 

จุดเริ่มต้น พิธีรับกลด  เกิดขึ้นในปี 2539 ได้มีการจัดพิธีรับกลดแก่ น.ร. ม.6 สัมมาสิกขาปฐมอโศก ต่อมา 2541 จึงจัดพิธีรับกลดร่วมกันระหว่างสัมมาสิกขากับ นร.อาชีวะศึกษา มีนร.33 คนรับกลด ในวันที่ 15 มีนาคม 2542  เป็นพิธีกรรมให้ผู้สำเร็จการศึกษาระลึกเตือนตนถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่าย มักน้อย สันโดษ ลดละ ขยัน กล้าจน พึ่งตน สร้างสรร เสียสละ

 

ปีการศึกษา 2556-2557 มีนร.จบการศึกษา 45 คน ประกอบด้วย

น.ร.ม.6 จำนวน 28 คน

ปวช. จำนวน 7 คน

ปวส. จำนวน 10 คน

รวม 45 คน

 

จากนั้นพ่อครูได้เทศนา ให้ข้อคิดปิดพิธี....

 

พ่อครูว่า...นี่เป็นเรื่องระเบียบวิธีโลก ที่เป็นอนุสรณ์เครื่องหมายรับรอง จะเป็นประกาศหรือกลดหรือหยาดน้ำใจก็ไว้เป็นหลักฐานในการเชื่อมโยงกับสังคม ภายนอก ว่าเรามีการศึกษาเรามีความสามารถแค่ไหนก็เอาไปยืนยัน มีที่รับรองสถาบันรับรองได้ เป็นหลักฐานก็เป็นเรื่องมนุษย์ที่ฉลาดใช้องค์ประกอบจัดสรรให้สังคมไปได้ดี เราก็จัดสรรให้เหมาะควร แต่ก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมคนเป็นหลัก บางคนได้ความรู้สามารถเต็มแล้วก็ไม่รับใบอะไรก็ได้แต่มันจะช้า ไม่มีหลักฐานให้คนเชื่อได้เร็ว แต่ถ้ามีอะไรรองรับจะเกิดความรวดเร็วมั่นใจได้นี่คือความสามารถของคนที่จัดสรร

 

เราได้มีการการศึกษาที่ขยายผล กระจายเกื้อกว้างได้มากขึ้นตามระเบียบแบบแผน ปีนี้สัมมาสิกขาวิชชารามที่บ้านราชฯ และที่ศีรษะอโศก ชื่อวิทยาลัยอาชีวศึกษาศีรษะอโศก จะต่างกับชื่อของวิทยาลัยอาชีวะที่บ้านราชฯหน่อย เราเปิดรับสมัครนักศึกษาปวช.และปวส.

 

ปวช.ที่บ้านราชฯ มี 4 สาขา คือวิชาอุตสาหกรรมช่างยนต์ ,วิชาอุตสาหกรรมช่างต่อเรือ,เกษตรกรรม,พาณิชย์การตลาด

ปวส. ที่บ้านราชฯ มี 4 สาขา เกษตรกรรมพืชศาสตร์,บริหารธุรกิจการจัดการทั่วไป, ศิลปกรรม เทคโนโลยีการถ่ายภาพมัลติมีเดีย, อุตสาหกรรมเทคนิคเครื่องกลเทคนิคยานยนต์ รับสมัครแต่ 5 เมษายนนี้ 

 

ปวช. ที่ศีรษะอโศกมี 4 สาขาคือ  เกษตรศาสตร์ ช่างไฟฟ้ากำลัง ธุรกิจสถานพยาบาล การถ่ายภาพและวิดีทัศน์(เป็นการสอนทวิภาคี นศ.จะสามารถเรียนได้ที่สถานประกอบการ คือ

ปวส. ที่ศีรษะอโศก มีสองสาขาคือ วิชาพืชศาสตร์ , ไฟฟ้า

 

 

นร.ที่รับกลดรุ่นนี้ ชื่อว่า รุ่นเบิกบุญ เป็นรุ่นที่ 18

จบด้วย นร.ที่จบการศึกษา ร้องเพลง หน้าพ่อครูอีก 1 เพลง 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:06:56 )

580405

รายละเอียด

580405_เทศน์เปิดงานปลุกเสกฯ ครั้งที่ 39 ณ ราชธานีอโศก

พ่อครูว่า....วันนี้อาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2558 เป็นวัน แรม2​ค่ำ เดือน 5 ปีมะแม วันนี้เป็นวันเร่ิมแรกของงานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 39 ผู้ที่ได้มาร่วมกันก็บางคนก็ได้มาปลุกเสกฯทั้ง 39 ครั้งเลยมีไหม?...มีอยู่เหมือนกัน แต่ครั้งแรกหรือครั้งที่ 2 นี้เราไม่ได้นับเข้าไปด้วย เราไม่ได้ตั้งชื่อเช่นนี้ด้วย จำชื่อไม่ได้แล้ว เช่นอบรมสติปัฏฐาน 4 เป็นต้น

 

เขาทำการปลุกเสกฯ กันหรือปริวาสฯกันก็ให้ญาติโยมไปทำพิธีแล้วไปทำงานอะไรตามเขา มันไม่ใช่อยู่กรรม แต่เป็นการทำมาหากินไปเสีย มันเป็นการอยู่เวรกรรม ไม่ได้ดีอะไร ก็เลยคิดจัดเอง ก็ไม่เรียกว่าอยู่กรรมหรือปริวาสกรรม เราก็เลยตั้งชื่อเองเช่นบำเพ็ญสติปัฏฐานวิปัสสนาจำชื่อไม่ได้แล้ว... ก็จัดเช่นนั้น สัก 2​ครั้ง แรกเร่ิมมีคนร่วมสัก 50​คน ทำกันสักสามวันหรือสิบวันอะไรอย่างนี้ แล้วก็เห็นว่าไม่เข้าที ก็เลยปรับรูปแบบ มาจัดแล้วตั้งชื่อ เพื่อให้ยืนยันสัจจะ

 

เขามีการทำพิธีปลุกเสกฯ หรืออยู่ปริวาสกรรม เพื่อให้สะอาดบริสุทธิ์เป็นพุทธแท้ อาตมาก็เอาความหมายเหล่านี้มาใช้ ก็ตั้งเป็นชื่อ พุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ คือเป็นอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ เป็นการพุทธาภิเษกฯหรือปลุกเสกฯคนให้เป็นคนอาริยะไม่ใช่ปลุกเสกฯอิฐหินดินปูนเหมือนเขา เราใช้ว่า ปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ที่ศีรษะอโศก และที่ศาลีอโศกจัดพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์

 

แรกๆมีคนหอบพระเครื่องมาปลุกเสกฯแต่อย่างใด คำว่าปลุกเสกฯคือทำให้ตื่น ปลุกให้ตื่น ทำให้เกิด ตื่นจากความงมงายหลงโลกโลกีย์ จุดสำคัญของศาสนาพระพุทธเจ้าคือชาคริยานุโยคะ ทำให้คนตื่นจากความถูกครอบงำด้วย โลกธรรม สุขด้วยกาม หรือกามสุขขัลลิกะ สุขด้วยอัตตา หรืออัตตทัตถสุข

 

ถ้าเราได้สิ่งใดมาเป็นสิทธิของเรา สมสัดส่วนราคา เช่นราคา 10 เราก็ได้ 10 คืนมาก็เป็นธรรมชาติไม่ได้มีใครได้ใครเสียเป็นความสมดุลพอดี แต่ถ้าเราอยากได้มากกว่านั้น เราอยากได้ 12 หรือ 15 สูงเท่าไหรก็อยากได้ ยิ่งเป็นความขี้โกงเอาเปรียบเอารัด เพราะมันเกินควร มันเป็นความตะกละความโลภ เห็นแก่ตัว คือมันโง่ ลวงตนเอง ได้เกินเท่าไหร่ก็รู้สึกว่าได้น้อย

 

ส่วนผู้ที่ได้น้อยไป มันควรได้ 10 แต่ตนเองน้อยเกิน รู้สึกว่าได้น้อยกว่านั้นแล้วรู้สึกดี สิ่งนี้ก็ไม่ใช่สัจจะเหมือนกัน มันต้องได้สัดส่วนสัจจะจึงพอดี แต่มันกำหนดราคายาก ในสมมุติ เป็นการร่วมรับรู้กัน แต่ของสัจจะไม่มีราคาหรอก มะม่วงลูกนี้ควรราคาเท่าไหร่? ความจริงมันไม่มี บางยุค บาทเดียวก็แพงไป ก็เลยไม่มีความคงที่อะไร แต่ถ้าส่วนรวมเฉลี่ยแล้วว่าค่าเฉลี่ยเช่นนี้ก็ควรได้เท่านี้อย่ามากหรือน้อยกว่านี้ แต่คนที่รู้ว่าราคากลางเท่าไหร่ แต่เราควรจะได้น้อยกว่านั้นเราก็เป็นผู้สละตนเองออก เอาน้อยกว่านั้นก็คือได้เสียสละเท่านั้น แต่ได้เกินเอาเกินคนนั้นก็เห็นแก่ตัว ขี้โลภ โดยสัจจะแล้วเป็นหนี้ แต่ถ้าเราเสียสละเราเป็นเจ้าหนี้ เราเอาเปรียบเป็นลูกหนี้ เราเสียเปรียบเป็นเจ้าหนี้ ไม่ยากเลยไม่ต้องเรียนไม่ต้องจำด้วย สัจจะมันจำของมันเอง คุณจำสู้สัจจะไม่ได้หรอก

 

ทำให้ปัจจุบันเสียสละ อย่างในหลวงว่า เราเสียไปนี่แหละคือเราได้มา โดยสัจจะแล้วเราเป็นเจ้าหนี้ไม่ต้องให้ใครมาบอกหรอก แล้วทำให้ได้ให้ชีวิต ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา คนหมดกิเลสได้ก็คืออรหันตฺ์ แล้วชีวิตก็มีแต่ เราไม่พักเราไม่เพียร คืออะไรควรพักเราก็พักหรือเวลาอยู่กับสังคมว่าตอนนี้เป็นเวลาพักเราก็พัก เมื่อมันไม่ต้องพักแล้วก็เพียรอย่างเดียว เมื่อยก็พัก ไม่เมื่อยเพราะเห็นแก่ตัว บางคนทำไมเมื่อยเร็วนัก เมื่อยนานด้วย จะเห็นพฤติกรรมได้

 

เราทำแล้วเราไม่ได้ยึดเป็นเราเป็นของเรา ไม่ยึดเป็นวิมานของเรา ไม่เหมือนอย่างเจ้าสัวบางคน ที่ผมว่า เชื่อมันเลยว่า อนาคตผมต้องดีต้องรวย ผมมีแต่ให้ๆๆ เอาไปเทลงปากเหว ปากงูเห่า มันจะเหลืออะไร ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เราจะได้นี่คืออนุสัยคือความตะกละมากขึ้นๆ แม้จะได้มาก็ไม่เคยพอไม่สันโดษ ไม่อัปปิจฉะ มีแต่มหัปปิจฉะไม่มีขอบเขตจำกัด จิตมีอภิชาวิสมโลภะ เป็นความโลภที่พุ่งแรงไปข้างหน้าไม่มีวันจบ แต่ผู้ใดจบได้แล้ว ก็สบม.ทมด.ปกต.หห.จจ.

 

ทีนี้คนทำได้มักน้อยได้จริงสันโดษได้จริง แล้วมารวมกันเป็นหมู่กลุ่ม เกิดระบบระเบียบ ชุมชนสร้างสรร ใครเหลือกิเลสก็ทำให้หมดไปตามลำดับ ใครหมดแล้วก็อยู่ไป อาศัยกินใช้อยู่ในส่วนกลาง เป็นเศรษฐศาสตร์เยี่ยมยอดที่สุดคือสาธารณโภคี

 

ในโลกนี้มีระบบที่คนคิดได้คือ คอมมิวนิสต์ออกกฏหมายให้เอามาให้ส่วนกลางมากๆ แล้วมีคณะบริหาร หากคณะบริหารมีความซื่อสัตย์มีปัญญากระจายให้ทั่วถึงก็ดี แต่คนเหล่านั้นไม่ได้ปฏิบัติธรรมให้หมดความเห็นแก่ตัวหมดอคติ แม้จะอดทนได้โดยสามัญสำนึก ว่าอย่าขี้โกง อย่าเห็นแก่ตัวดี แต่เมื่อวาระที่เปรตมันขึ้น กิเลสมันขึ้น หมดความอดทน เก็บกด มันถึงขีดก็ไปได้ไม่ไกล คอมมิวนิสตฺ์ไปได้ระยะหนึ่งก็พังไป เพราะทนต่อกิเลสไม่ไหว ขี้โกงกัน แต่คอมมิวนิสต์เขาก็ยังไม่ยอมรับว่าต้องมาเอาปชต.เท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าปชต.คืออะไร งานนี้ จะตั้งขื่อเทศน์ว่า โลกหรืออัตตา อธิปไตยที่เป็นธรรม

 

ปชต.ในหนึ่งแปลว่าเห็นแก่ตัวอย่างที่สุด และอีกความหมายหนึ่งคือ ความไม่เห็นแก่ตัวอย่างที่สุด ในโลกเขาใช้แค่ว่า ปชต.เป็นความเห็นแก่ตัวที่สุดเท่านั้น เขาไม่รู้ว่า ต้องมาล้างโลก ล้างอัตตา ได้หมดคนนั้นคือธรรมาธิปไตย แล้วจะใช้ปชต.ได้ดีที่สุด

 

มาถึงวันนี้ปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธคือเราพยายามพัฒนาตนเองให้มีคุณธรรมอย่างพระพุทธเจ้าสอนเป็นคนไม่มีโลกไม่มีอัตตาในที่สุด

 

ลองฟังกวีนี้

 

ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกส่ิงทั้งโลก...ในที่สุด

 

สังคมสกปรกด้ย         กิเลสหน

ทั้งโลกจึงอวิชชา         ยิ่งแล้

แต่โลกฉลาดเฉกา        ยอดเลิศจริงเลย

ทว่าบ่รู้ทางแก้              เพราะด้อยปัญญา

 

เฉกา คือเฉกนี้ เฉโก

แปลว่า ฉลาดโชว์         กิเลสล้วน

ฉบาดเฉกกิเลสโต        โลกยิ่งเสื่อมรา

โลกบ่รู้ถี่ถ้วน               ฉลาดนี้ จึงเจริญ

 

โลกเผินมัวแต่บื้อ         หลบประเด็น

เนื่องเพราะโลกไป่เห็น  เรืองนี้

เรื่องฉลาดนี่แหละเป็น  องค์แห่งปัญหาแฮ

หลงแต่ใช้เฉกชี้            โลกให้ลงเหว

 

โลกเลวเพราะเฉกชี้      นำพา

หลงเฉกเป็นปัญญา      นั้นเพี้ยน

ปัญญาใช่ปัญหา          แต่ฉลาดแท้แล

ส่วนฉลาดพาโลกเฮี้ยน เดือดร้อนยังไงกัน

 

นั่นโง่ตะหากแก้          ฉลาดไฉน

ฤาฉลาดต้องใจใส        สดเกลี้ยง

จึ่งจะฉลาดใช่ไหม​       คิดออกไหมเอย

แต่ฉลาดยังคดเพี้ยง      เท่าฟ้าปานทะเล

 

จะเฉโกอยู่ฉะนี้            ถึงไหน

ตอหลดปลดเปรอะไป ไป่แล้

ลดเลี้ยวไม่จริงใจ         กล้าหน่อยเถอะน่า

ทำเถอะให้ผ่องแผ้ว      จะฟื้นทันที

 

ป่านนี้ ยังบ่กล้า            ลงดาบ

บริสุทธ์ต้องปราบ        แน่แท้

เผด็จศึกให้เข็ดขยาด    หน่อยเทอญ

จะชนะทุกสิ่งแล้          อย่าแพ้ภัยตัว

 

ขอแถมอีกบทหนึ่ง บทนี้สไมย์จำปาแพง เป็นคนแต่ง ต่อจากอ.เป็นต้น นาประโคน

 

“ฟ้าสะท้านดินสะเทือน”

 

ช่างเหล็กตีเหล็กร้อน                                       สุดแรง

เปลวแปลบจึงเปลี่ยนแปลง                              เหล็กได้

กระแสหลักจำแลง                                          สนิมเหล็กกินลึก

ตีสักตั้ง เตือนให้                                              พุทธห้าม หุ้มสนิม

 

คชสารล้มเน่าแล้ว                                            ทั้งตัว

กล้าบอกเอาใบบัว                                            ปกไว้

มารมีหมู่เมามัว                                                มืดมิด ทมิฬเมือง

แค้นเข็ดเหนือเจ็บไข้                                       เน่าเนื้อ แผลใน

 

ตีนช้างเหยียบปากน้อย                                    นกนาน

บัณฑิตถูกพวกพาล                                          กดไว้

ผลไม้สุกถึงกาล                                               ร่วงหล่น ลงดิน

วิบากกรรมสูไซร้                                             ก่อสร้างมาเอง

 

ถ่มน้ำลายรดฟ้า                                                คราใด

เปื้อนเปรอะเลอะหน้าใคร                                ไป่รู้

ธุดงค์ดิ่ง ดงใด                                                             อวดเด่น ดังฤา

พุทธกลุ่มน้อยฮึดสู้                                           ปราบเสี้ยน ศาสนา

 

ยามกล้าต้องแกร่งกล้า                                     ดุจเพรช

ตีสุดแรงให้เข็ด                                                ขยาดเขี้ยว

พุทธพวกมากหมกเม็ด                                     ข่ายหมู่ ตนเฮย

เลี่ยงหลบ บาลีเลี้ยว                                          หลอกให้คนหลง

 

ตนสร้างตน                                                     ถูกต้องก่อนใคร

บริสุทธ์ผุดผ่องใส                                            แน่แท้

เพื่อกู้พุทธ เมืองไทย                                        พ้นผิด เพี้ยนแฮ

กล้ากู่ตะโกนแก้                                              ก่อเกื้อ การุณ

 

นานาสังวาเว้น                                                 กิจวัตร

แยกเพื่ออยู่ปฏิบัติ                                             ต่างไซร้

เราเป็นพุทธบริษัท                                           ปล่อยเสื่อมเสียฤา

พลีชีพปกห้องให้                                             พุทธพ้น ฉิบหาย

 

พค.ว่า...เราเป็นลูกพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราหนีสังคม หนีมนุษย์ อย่างที่พระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ก็หลงออกป่า เพราะทั่วไปเข้าเข้าใจเช่นนั้นกั้น พาทำทุกรกิริยากัน พระพุทธเจ้าก็หลงลิงลมอมข้าวพอง พระพุทธเจ้าทำได้เกินกว่าเขาหมด สุดท้ายไม่บรรลุด้วยวิธีเช่นนั้น อดข้าว กินขี้ ไม่กินข้าวกินแต่ขี้ จนวันที่จะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าก็ระลึกชาติได้ ของอาตมาก็ต้องมาระลึกอย่างนั้น ด้วยตนเอง เพราะไม่มีใครสอนแล้ว

 

พอพระพุทธเจ้าบรรลุก็ได้ปัญจวัคคีย์เป็นสาวกที่พระพุทธเจ้าสอนให้บรรลุกลุ่มแรก ต่อจากนั้นพบยสมานพ ที่มีบารมี เบื่อโลกีย์แล้ว พระพุทธเจ้าออกจากป่า ก็มาเข้าเมือง แต่พระยส ก็ออกจากเมืองมาสู่ป่าจะหาความสงบ พระพุทธเจ้าว่าที่นี่ไม่ขัดข้องหนอ ที่นี่ไม่วุ่นวายหนอ ก็มาเจอกัน เทศน์ให้ฟังกัณฑ์แรกก็เป็นโสดาบัน พ่อพระยสะก็มาตามหา มาเจอรองเท้าทองของลูก ก็พบว่ามาอยู่กับพระพุทธเจ้า ก็เลย พอพระพุทธเจ้าเทศน์ให้พ่อฟัง ตนเองฟังอีกกัณฑ์ก็บรรลุแล้ว แต่พวกเราฟังกี่กัณฑ์แล้ว....

 

แต่ท่านพระยสะมีบารมีมาก็เลยบรรลุอรหันต์ ขนาดพระพาหิยะ ทารุจริยะ ฟังนี่คำความก็บรรลุอรหันต์แล้ว เป็นบารมีของแต่ละคน ไม่ใช่เรื่องสามัญของสาธารณปุถุชน เป็นเรื่องโลกุตรชนหรืออาริยชน แม้ปุถุชนจะฉลาดโลกีย์มากสักเท่าใดแต่ไม่มีภูมิธรรมโลกุตระเลยก็ไม่มีทางที่จะบรรลุธรรม ฉลาดมากแต่เป็นอเวไนยสัตว์สอนโลกุตระไม่ได้ อาตมาเข้าใจ เห็นใจเขา เหมือนเห็นเด็กๆ แกวฺุฒิภาวะไม่ถึงก็อนุโลมให้แกไป บางที่นอกจากไม่ทำตามแล้วเขาจะด่าตอบอีกเป็นธรรมชาติ วันนี้เขาเข้าใจอาตมาไม่ได้ หมั่นไส้อาตมาด้วย เพราะอาตมาไม่หยุดพูด เขาก็หมั่นไส้เต็มเหนี่ยว ก็อย่าฟังอาตมาเลย มาห้ามกั้นไม่ให้อาตมาแสดงว่าเป็นพุทธแท้ไม่ได้

 

เขาว่าอยากยกเอาความเชื่อของตนเองมาเบียดเบียนคนอื่นด้วยการอวดตัวว่าเป็นพุทธแท้ เขาว่าอย่างนั้น อาตมาว่าห้ามอาตมาไม่ได้ ห้ามแสดงต่อสาธารณชนก็ไม่ได้ อาตมาสุดทางแล้ว เพราะสรุปแล้วยุคนี้มนุษย์ยังรับธรรมะของพระพุทธเจ้าได้ เป็นคนรู้จักโลก และอัตตา แล้วมาล้างกิเลสที่เราหลงโลก ไม่ได้ไปล้างโลกนะ โลกมีคนอยู่เจ็ดพันล้านคนไปล้างโลกไม่ได้ แต่ล้างกิเลสที่ไปหลงโลก ว่าโลกมีโลกอะไรบ้าง แล้วความหลงโลกคืออัตตา แต่ตนเองโง่เองไม่รู้ ไม่รู้จักโลกธรรม ไม่รู้จักกามารมย์ไม่รู้จักอัตตทัตถารมย์

 

อย่างคนหลงโลก ไม่ว่าโลกกามหรือรูปโลก อรูปโลก คือกามภพและรูปภพ อรูปภพ คนไม่รู้ก็ติดท้ังกามทั้งรูปโลกอรูปโลก แล้วเอามาหลอกคนอีก พวกนั้นคือธรรมกาย เขาหลงหมด แล้วต้องครอบงำหมด สะกดจิตไว้หมด เป็นสำนักสะกดจิต เก่งกว่ารัสปูติน เพราะรัสปูตินซับซ้อนน้อยกว่าหยาบคายมากว่า ลามกมากกว่า แต่นี่ซ่อนหยาบคายลามก ลวงคนให้หลงกับภาพสวยงามเรียบร้อย คนก็เลยหลงย่ิงกว่าลัทธิประชานิยมเพราะใช้ทั้งกามและทั้งโลกธรรมเข้าไปปรุงหลอกคน

 

นอกจากหลงกามภพ จะเรียกว่า กามโรคก็ได้ อาการหนักมาก ทุรนทุรายหนักเลย ถึงขนาดออกวิธี ดีไซน์วิธีให้กู้เงินมาบริจาคให้ ตั้งสหกรณ์ให้กู้ได้ กู้แล้วเอามาทำบุญ(ทาน) โดยผู้กู้ไม่ได้เงินผ่านมือเลย เขียนตัวเลขเลยว่ากู้เท่านี้ ให้เงินเข้าวัดเลย โดยเจ้าตัวเป็นหนี้แล้ว มีสัญญาต้องใช้ต้นทุน แถมใช้ดอกเบี้ยด้วย แล้วคนทำบุญนี้ก็ได้ดีใจว่า อนาคตเราจะรวยหรูหรามีวิมานยิ่งใหญ่ เป็นรูปภพ อรูปภพ สำนักนี้หลอกทั้งกาม ทั้งรูป และอรูป หมดเลย

 

วันนี้จะได้ปลุกเสกฯให้พวกคุณเป็นพระแท้ๆที่จะได้รู้เท่าทันโลกเท่าทันอัตตา โลกคือส่ิงหรูหราใหญ่โตสวยงาม แต่รูปโลกอรูปโลกคือสิ่งที่เป็นวิมานไม่มีจริง เพราะมีแต่โลภที่คุณอยากได้กับอัตตาตัวกูของกูสะสมในอัตภาพเต็มๆ กูจะรวย กูจะได้วิมานใหญ่โตมากมาย เป็นอุปาทานด้วย

 

แล้วทำทานหมื่นเดียวแต่ต้องการได้กลับมากกว่าเป็นล้าน คุณได้สวยเท่านี้จริง แต่คุณอยากได้สวยมากว่านี้ล้านเท่า คุณได้อร่อยเท่านี้ ความจริงประมาณนี้แต่คุณต้องการอร่อยมากว่านี้อีกล้านเท่า คุณต้องการแบบอนันตังไม่มีขอบเขตเลย ไม่รู้ปริตตัง ขอบเขตน้อยเท่าไหรที่จะพอ ให้ไปสู่อปมาณาภาไปเรื่อยๆ จนถึงอัปปมัญญา(ประมาณไม่ได้) แต่ไม่ใช่อนันตังไม่มมีที่สิ้นสุด ปลายเปิดไปตลอดกาล ไม่สิ้นสุด

 

จิตที่มีลักษณะอนันตัง ต่างกับจิต อัปปมัญญา ในการไม่รู้แล้วมาหลอกคนก็ได้บาป คนถูกหลอกก็ได้นรกหมกไหม้ เป็นนรกลวงของเทวบุตรมาร ย่ิงกว่าอวินิปาตะ คือสัตว์นรกที่ไม่มีที่ตกต่ำกว่านี้อีก ไม่มีภาษาต่อไปอีกแล้ว ส่วนตะกละไม่มีที่สิ้นสุดปลายเปิด ไม่มีที่ต่ำให้คุณไปอีกแล้ว

 

ส่วนอีกพวกหนีกามหนีโลกเข้าป่าไป ไม่มีการวิเคราะห์จิต ไม่มีหลักวิชาวิเคราะห์จิต  แต่ทำจิตไม่ให้มีอารมณ์กามเหมือนกันแต่แบบดับ สะกดจิตไม่ให้รู้สึกเลย ทั้งอรูป และรูป มีแบบมลำมะเลืองหรือแบบที่ดับไปหมด อย่างอาฬารดาบส รู้สึกว่าไม่รู้ เป็นอากิญจัญยายตนะ ที่จริงมีสิ่งที่รู้นิดอยู่แต่เขาไม่รู้ แต่อุทกดาบสรู้ แต่ด้วยอุปาทานว่าต้องดับ ก็เลยแป๊บรู้ ก็ดับมันอีก ก็ได้เนวสัญญานาสัญญายตนภพ  แม้จะสะกดไม่ให้รู้อย่างไรแต่จิตวิญญาณมันต้องรู้ก็ต้องดับมันอีก แต่ไม่ได้เรียนรู้โลกอบายในภามภูมิ ไม่มีจิตวิเคราะห์เลย ไม่รู้อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ก็เลยพากันหนีเข้าป่าแบบเดิมๆที่พระพุทธเจ้าทำมาก่อน เขาถือว่าไม่ได้แย่งกามแย่งโลกธรรมใคร แต่ไม่รู้ว่าสั่งสมอัตตา ดีไม่ดีก็ลิ้มเล็มอยู่เลย ไม่รู้โลกธรรม ไม่รู้กามคุณ จึงเสพได้แม้สิ่งที่ไม่น่าติด เช่น ติดน้ำหวาน ดื่มจนเสียสุขภาพก็ไม่รู้ว่าตนติดรส กินหมาก ติดบุหรี่อยู่เลย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสหยาบๆก็ไม่รู้ แล้วหลงตนว่าเป็นอรหันต์อีก สังคมเข้าใจผิดไปมากมายเลย

 

คนหลงทำแบบฤาษีก็สามารถทำจิตให้แข็ง มีฤทธิ์ได้ เหมือนกับการสะกดจิต ที่ทำให้สิ่งไม่มีให้มีได้ ส่ิงที่ไม่เจ็บ แต่ให้เจ็บก็ได้ สิ่งที่เจ็บแต่ไม่ให้เจ็บก็ได้ ทางการแพทย์เรียน Psychosis บางคนเลือดออกมากเลย แต่หาเหตุไม่ได้ จนหมอเรียกว่า Psychosis จิตอุปาทานสร้างเอง ไม่มีเสียงก็ได้ยินเสียง เห็นในสิ่งที่ไม่เห็น เป็นมโนมยอัตตา (รูปที่สำเร็จในจิต) ไม่มีรูปแต่คุณเห็นรูป ไม่มีกลิ่นแต่คุณได้กลิ่น ได้ยินเสียงทั้งที่ไม่มีเสียงจริง เป็นอุปาทาน อย่างนี้ก็ยังเข้าใจยาก แต่น่าจะเข้าใจง่ายก็คือ รสอร่อยไม่มีจริง พวกคุณที่มีรสอร่อยอยู่นั่นแหละผีหลอก นี่รู้ง่ายเข้าใจง่ายแต่ล้างยาก

 

นี่สวย ไม่มีหรอก คุณสมมุติเอง คนไม่ชอบให้พูดอย่างไรก็ไม่สวย ความอร่อยความสวยไม่มีจริง นั่นต่างหากคือมโนมยอัตตา ให้เรียนให้รู้แล้วล้างเสีย นี่คือสัจจะที่เราต้องศึกษาแล้วล้างให้ได้ รสก็อย่างนี้ของมัน เสียง รูป กลิ่น มันก็มีของมันเช่นนี้ แต่ละคนต่างคนก็รับรู้ได้เหมือนกัน แต่รสอร่อย ชอบไม่ชอบ นี่คือความโง่ ตนเองหลงว่าเป็นสุขเท็จเอง ใครพอทำได้บ้างลดได้บ้าง....เป็นอันหวังได้ คนรู้ผีหลอกเป็นมโนมยอัตตาได้

 

คุณมีความสามารถทำเงินได้จากสิ่งที่คุณสร้างและทำ คุณก็ดีใจได้ 10 ล้าน ไอ้ดีใจนี่่คือมโนมยอัตตา แต่คนที่ทำได้ 15 ล้าน แต่กิเลสคุณบอกว่าอยากได้สัก 20 ล้าน แต่ไม่ดีใจ ทั้งที่คุณเป็นหนี้เขาไป 5 ล้านแล้วเพราะได้เกินที่ควรได้มา 5 ล้านแล้ว แต่คุณยังไปดีใจไปอีก เป็นสองเด้ง มีผีสองโง่เข้าไปอีกเลย อย่างนี้เป็นกันไหม? สารภาพมาเสียดีๆว่าใครเคยเป็นบ้าง นี่คือสัจจะ

 

เราต้องเรียนรู้อัตตา  3

โอฬาริกอัตตา คืออัตตาที่ประกอบด้วยรูปร่างสีเสียงสัมผัสได้ แล้วคุณก็ไปหลงว่าจะต้องได้อย่างที่อุปาทาน เป็นสิ่งหยาบใหญ่ สมมุติขึ้นปั้นขึ้นแล้วก็มาปั้นใส่จิต เรียกว่ามโนมยอัตตา จะต้องได้ดังใจ หากคุณลดตั้งแต่โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตาก็จะลดลงได้ด้วย จนเหลือน้อยจนไม่มีภาษาจะเรียกก็เรียกว่าอรูป ที่จริงมันมีรูปเหลือเล็กน้อย จนเรียกว่าไม่มีรูปแล้ว จนเราทำให้หมดอรูปเลย จิตเป็นอุเบกขา มีมีดูดผลัก ไม่มีกามไม่มีอัตตา กามคือโลก อัตตาคือตัวกูของกู เราต้องเรียนรู้โลกและลดอัตตา เราสร้างโลกนะ แต่เราไม่ยึดเป็นเราเป็นของเราให้มาเป็นสุขหรือทุกข์กับมัน ความเป็นอัตตาเราไม่มีด้วยเราไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา ความเป็นโลกเราก็สร้างแต่เราไม่ติดยึด อะไรควรสร้างก็สร้าง อะไรไม่ควรสร้างก็ไม่ทำ เรากินข้าวที่เราทำแล้วเหลือเราแจกจ่ายเพราะเรากินไม่มาก ไม่สะสม แล้วคนที่ได้รับเกื้อกูลจากเรานี่เขารู้ได้นะว่าคนไหนมีคุณค่า คนไหนไม่มีคุณค่า เราก็อยู่กับคนมีค่า เหมือนชาวอโศกแต่ละคนมีค่า แล้วเขาก็รู้ว่าควรจะให้ค่า ตอบแทนค่าเท่าไหร่ คนไหนมีความขยันหมั่นเพียรมีคุณค่า มีสัปปุริสธรรม คุณก็ได้รับความนับถือ ได้รับความเกื้อกูล ได้รับสิทธิพิเศษ ที่เขาให้ด้วยความเคารพ มีปัญญา คุณควรได้จริงๆ แม้แต่เขาให้ เราก็ไม่จำเป็นต้องไปรับสมอ้างเต็มๆ แม้ที่ได้มาก็เอามาเกื้อกูลคนอื่น คนนี้เรียกว่าเนื้อนาบุญ คือข้าวงอกในนาเราเท่าไหร่ เรากินน้อย แต่ที่เหลือเราก็แบ่งแจกคนอื่น เราอาศัยนิดหน่อย นอกนั้นเรากระจายแจกจ่ายไป คนมีพฤติกรรมเช่นนี้จริง อาริยบุคคลจนถึงอรหันต์จริง ไม่ว่าจะบวชหรือไม่ โกนหัวหรือไม่ก็มีคุณสมบัติเช่นนี้ได้ ฆราวาสเราก็มีคุณธรรมอาริยธรรม  แต่ไม่หนีจากสังคม ที่เขาเข้าใจเพี้ยนผิดไปเป็นฤาษีหมด พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอัมพัฏฐสูตร ว่าด้วยความเสื่อมของผู้แสวงหาอันผิดๆ 

 

1. ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ

2. ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า  หาขุดเหง้าไม้    หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า

3. สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์

4. สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่  (อัมพัฏฐสูตร  เล่ม 9  ข้อ 163) 

 

เขาว่า นี่แหละท่านอยู่แต่ในป่าไม่เคยเข้าเมืองเลย อยู่แต่ในป่าช้าใครมาก็ไม่ลืมตาเลย ขออภัยที่ยกตัวอย่างอ.เกษม สุสานไตรลักษณ์นี่ ก็เคารพท่านแต่ว่าท่านได้สิ่งที่เป็นมิจฉาผล ก็เป็นวิบากท่าน ก็ได้แต่เห็นใจเข้าใจท่าน แต่อาตมาเอามาพูดนี่ไม่ได้ยกตนข่มท่านไม่ได้ดูแคลน ท่านก็ทำได้ไม่่ง่ายนะ แต่มันผิด อาตมาพูดเป็นวิชาการนะ พวกนี้ไม่หนักทางกาม แต่หนักไปทางรูปภพอรูปภพ พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ไม่ได้สมาธิ จะออกป่าก็มีแต่ไม่จมก็ลอย ไม่จมคือไม่ติดป่า ไม่ลอยคือไม่ฟุ้งมาหากามหาวัตถุ แต่ผู้ยังไม่ได้สัมมาสมาธิ ไม่ได้มรรคผลสัมมาทิฏฐิ นั้นอย่าง พระอุบาลีปรารถนาจะไปอยู่ป่า  และราวป่าอันสงัด 
พระพุทธองค์ตรัสว่า...  ป่าและราวป่าอันสงัดอยู่ลำบาก  
ทำความวิเวกได้ยาก   ยากที่จะอภิรมย์ในการอยู่ผู้เดียว.    ป่าทั้งหลายเห็นจะนำใจของภิกษุผู้ไม่ได้สมาธิไปเสีย

            ผู้นั้นจำต้องหวังข้อนี้  คือ  จักจมลงหรือจักฟุ้งซ่าน เปรียบเหมือนกระต่ายหรือเสือปลาลงสู่ห้วงน้ำใหญ่   หวังจะเอาอย่างช้างใหญ่สูง 7 ศอก  หรือ 7 ศอกกึ่ง  กระต่ายหรือเสือปลานั้น จำต้องหวังข้อนี้  คือ จักจมลง   หรือจักลอยขึ้น !!  (พตปฎ. เล่ม 24   ข้อ 99)

 

สายกดกิเลส กดกามกดอัตตา ก็คือจมลง แม้มันจะฟุ้งขึ้นก็กดให้มันจมลงไปเรื่อยๆ ก็จะหาออกไปป่า ไปสร้างเรือนไฟหลอกคนให้มาเอาโลกธรรมแต่อยู่ในป่า หรือไม่ก็สร้างมุขสี่ด้านมโหฬารพันลึกอยู่ในทางสี่แพร่งก็เป็นแล้ว มีรถรับส่งมาหมด เปิดทุกด้านทุกทิศเลย นี่คือสัจจะไม่ใช่อาตมาใส่ความ แล้วบอกว่าธุดงค์ ซับซ้อนมาก ธุดงค์แอคอาร์ทดราม่า ปรุงแต่งมาหลอกคนซับซ้อน นี่อาตมาก็เอาหลักฐานของพระพุทธเจ้ามาอธิบายสัจจะว่าสมัยนี้ ถูกกลบไป บิดเบี้ยวยิ่งกว่ากลองอานกะ ชื่อพุทธนี่ บัดนี้ชื่อพุทธแต่ว่าหนังเนื้อของกลองพุทธนั้นไม่เหลือแล้ว ส่วนของกลองเป็นเรื่องปฏิรูป เอาอะไรไม่รู้สิ่งตรงกันข้ามพุทธมาใส่ เป็นกลองอานกะที่ไม่เหลือเนื้อแท้พุทธแล้ว

 

อย่างท่านพุทธทาส อาตมาก็นับถือท่าน ที่มีประโยชน์กู้คำว่าโลกุตระคืนกลับมาได้เยอะ ท่านตีอบายมุขแหลก ท่านประกาศโลกุตระ คำว่าโลกุตระนี้ซับซ้อนลึกซึ้ง แต่ท่านไม่เข้าถึงอภิธรรม อาตมานับว่าเป็นอาริยะ แต่ว่าก็ขนาดหนึ่ง อาตมาก็เคารพ อย่างน้อยท่านก็บวชก่อน ทำงานมาก่อนได้ผลดีด้วย แม้แต่ท่านเคยว่าอาตมา อาตมาก็ไม่ได้ติดใจถือสา คนว่าอาตมาหนักกว่าท่านเยอะอาตมาไม่เคยถือสา ท่านเจ้าคุณโสภณคณาภรณ์ (มหาระแบบ) เป็นต้น อาตมาเข้าใจ

 

 

หากไม่เข้าใจ กายในกายไม่ได้ ไปเข้าใจผิดว่า กายนี้คือร่างคือมหาภูตรูป ไม่มีนามมาเกี่ยวเลยก็ผิด พิจารณาอย่างไรก็ไ่ม่เข้าเกณฑ์ปรมัตถ์ จะเข้าใจกายคตาสติก็ได้แต่รูปนอก ไม่เข้าใจสักกายะ อย่างเล็บของเรานี่ยาวเกินประสาทออกมานี่ไม่ใช่กายแล้ว ผิวของเรานี่ก็ไม่ใช่กายย่ิงหนังหนาไม่มีประสาทเลย แล้วกายคือข้างนอก แต่ไม่ขาดจากนาม ไม่ขาดจากจิต จิตเอื้อมถึงเมื่อไหร่ก็คือกาย แต่ถ้าจิตเอื้อมไม่ถึงก็ไม่เรียกว่ากาย

 

ผมนี่ตัดแล้วไม่รู้สึก ขนก็ง่าย เล็บ ฟัน หากไม่ถูกประสาทตัดไปได้กรอไปได้เลย ผิวหนังไม่ใช่กาย แต่ถ้าตรงไหนถึงประสาทรับรู้ก็คือกาย

 

อย่างอาการ 32 นี่ บางส่วนก็ไม่ใช่กาย ไม่รับรู้สึกได้ ก็มี อย่างอุจจาระปัสสวะก็ไม่รับรู้สึกได้ คำว่ากายนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า กายคือจิตบ้างมโนบ้าง วิญญาณบ้าง คำว่ากายให้พิจารณาจิตเป็นหลักแต่ภายนอกก็ยังมีอยู่ แก้ไขตรงนี้ ย่ิงไปถึงคำว่า ธรรมะสอง

ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา คำว่าส่วนสองในหนึ่งคือ เคหสิตเวทนากับ เนกขัมสิตเวทนา ถ้าไม่มีการแยกวิเคราะห์จิตส่วนนี้ให้ออก ว่าเคหสิตะกับเนกขัมมะออก แล้วทำให้เป็นหนึ่งให้ไม่มีเคหสิตเวทนา จนสิ้นซากเหลือหนึ่งเดียว ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่เจอความจริง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )   ก็ทำให้ก้าวหน้าพัฒนาเป็นผล ภวันติ ให้เป็นเอกัคคตา เป็นหนึ่งเดียวไม่เปลี่ยนแปลง เป็นอุเบกขาที่มีองค์คุณ 5 ที่เป็นคุณสมบัติสุดท้ายมีทั้ง

1.         ปริสุทธา  (บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนิวรณ์ 5) .

2.        ปริโยทาตา (ผุดผ่องขาวรอบแข็งแรงแม้ผัสสะกระแทก)

3.        มุทุ  (รู้แววไว อ่อน-ง่ายต่อการดัดปรับปรุงให้เจริญ) .

4.        กัมมัญญา   (สละสลวยควรแก่การงาน ไร้อคติ) . 

5.        ปภัสสรา   (จิตผ่องแผ้วแจ่มใสถาวรอยู่ แม้มีผัสสะ) 

(ธาตุวิภังคสูตร  พตปฎ. เล่ม 14   ข้อ 690) จะอยู่ทำงานช่วยสังคมอย่างเต็มบริสุทธิ์เลย

 

ถ้าเป็นอนาคามีถึงอรหันต์แล้วไปเป็นนายกฯจะทำงานได้ดีมาก เป็นประโยชน์ ถ้าเป็นอรหันต์ไปทำจะได้เป็นจอมจักรพรรดิ์ ที่ไม่เหมือนเจ็งกิสข่านหรือนโปเลียนเลย ไม่เหมือนฮิตเลอร์  ซึ่งจอมจักพรรดิ์ที่คนมีประวัติศาสตร์เล่าถึงนั้นอธิบายจอมจักรพรรดิ์ได้ยาก แม้แต่แต่พระเจ้าอโศกมหาราช คนก็เข้าใจไม่ได้ สงสัยกันว่าเป็นอรหันต์หรือไม่?   แม้แต่ลูกของพระเจ้าอโศกพระโสณะ พระอุตตระ เป็นอรหันต์หรือไม่? นั้นอาตมาก็ขอบอกว่าเป็นอรหันต์ถ้าไม่เป็นจะมีเชื้ออรหันต์หลงเหลือในประเทศไทยได้อย่างไร ที่พูดนี้พูดกับคนพอรู้กันได้ และต้องไม่ผิด ถ้าผิดแล้วเป็นบาปของอาตมาเอง

 

ราชธานีอโศก... อาตมาก็ไม่ได้ตั้งใจจะตั้งไว้ว่าจะให้เป็นราชธานีนะ แต่คนเข้ามาบอกว่าทำไมที่นี่ใหญ่โตอะไรอย่างนี้ ตอนนี้มีน้ำตกผาแหงน มีคลองถอยหลังเข้า  ตอนนี้มีน้ำขุ่น แต่เราต้องทำน้ำให้ใสให้ได้นะ เอาน้ำใสไปไล่น้ำขุ่นออกไป แล้วทำไมต้องมีเช่นนี้ หลายอย่างลงตัวเอง ไม่ต้องไปคิดให้หัวแตกหรอก คุณอย่ามาเอาอย่างอาตมา และอาตมาไม่ไม่ไปเอาอย่างพระพุทธเจ้า ก็ค่อยๆทำไป มีผู้พูดเหมือนกัน(แต่ตอนนี้เขาไปเป็นแดงแจ๋) เขาพูดตอนแรกๆที่มาศรัทธาที่นี่ว่า อาตมานี่เป็นเชื้อของเจ้าคำผง  แต่อาตมาก็เจตนาให้เกิดคุณค่าขึ้นแก่โลกเท่านั้นเอง

 

คำกล่าวนำปฏิญาณอุโบสถศีล

                 [พากล่าวคำ นโมตัสสะ ภควโต ฯ  3 จบ ก่อน]

ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งจิตปฏิญาณ ในงานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 39 นี้  ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าทั้งหลาย

จะขอบำเพ็ญธรรม ประพฤติตน อยู่ในศีล 8 อันได้แก่

ปาณาติปาตา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการฆ่าสัตว์ เว้นขาดความโหดร้ายทารุณ เว้นขาดการเบียดเบียนใดๆ จะพยายามสร้างเมตตาธรรม

อทินนาทานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เวนการขโมย เว้นขาดการเอาของผู้อื่นด้วยเชิงเอาเปรียบ  จะพยายามสร้างสัมมาอาชีพ ขยันสร้างสรร เสียสละ ละเลิกความโลภ ความเห็นแก่ตัว

อพรหมจริยา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดเรื่องเมถุนธรรม เว้นขาดเรื่องกามคุณ จะเป็นผู้ละเลิกราคะ จะเป็นผู้กำหนดรู้เท่าทันในกาม

มุสาวาทา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการพูดปด เว้นขาดการพูดหยาบ

เว้นขาดการพูดส่อเสียด เว้นขาดการพูดเพ้อเจ้อ จะพยายามพูดเป็นสารัตถะ เป็นธรรม

สุราเมรย มัชชะ ปมาทัฏฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการเสพติดมัวเมา

มีอบายมุขทั้งหลายเป็นต้น มีกามต่อมา มีโลกธรรม 8 อีก และจะเว้นขาดการยึดภวอัตตภาพทั้งปวง

วิกาลโภชนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ  เว้นขาดจาก อาหารและเครื่องใช้ ที่ควรเว้นควรเลิก จะกินจะใช้ตามที่กำหนด จะเป็นผู้พยายาม เป็นผู้มักน้อยและสันโดษ

นัจจะคีตะ วาทิตะ วิสูกะทัสนา มาลาคันธะ วิเลปนะ ธารณะ มัณฑนะ วิภูสนฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากท่าทางอันไม่สมควร คำพูดที่มีเสียงสำเนียงอันไม่สมควร เช่น ฟ้อนรำ ดนตรี เป็นต้น เว้นขาดจากดอกไม้ของหอม เครื่องตกแต่งพอกทา เครื่องประดับ เว้นขาดจากฐานะแห่งการแต่งตัว แต่งงามประดิษฐ์ประดอย

อุจจาสยนะ มหาสยนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติเว้นขาดจากที่นั่งที่นอนใหญ่ เว้นขาดจากการรับของใหญ่ เว้นขาดจากการสะสมของใหญ่ ที่สุด เว้นขาดการหลงติดความใหญ่

 

ศีลทั้งหลายเหล่านี้ หากข้าพเจ้าทั้งหลายไม่ตั้งใจประพฤติ ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ได้ผล  ถ้าหากข้าพเจ้าทั้งหลายตั้งใจประพฤติ ก็ย่อมได้ ตามธรรมสมควรแก่ธรรม                

ดังนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายจักตั้งใจศึกษาฝึกฝน พากเพียรบำเพ็ญ ตามที่หมู่คณะ

ได้นำพา ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกันด้วยดี ให้สุดความสามารถ

 

            ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งใจ ปฏิญญาณไว้ ณ โอกาสนี้ ตามนี้.


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:10:49 )

580406

รายละเอียด

580406_ทวช.ปลุกเสกฯครั้งที่ 39 บ้านราชฯ โลกหรืออัตตาอธิปไตยที่เป็นธรรม 1

พ่อครูว่า....งานของเรามีการเอื้อมเอื้อเกื้อกว้างมากขึ้น เราเจริญขึ้น แต่อย่างไม่เหมือนกับโลกปุถุชนสามัญ ที่อยู่ในภพของ โลกธรรม กามและอัตตา เป็นความเจริญอีกรูปหนึ่ง ความเจริญของอย่างของเขาแบบอริยะหรืออารยะก็เจริญแบบของเขา แต่ของเราเจริญอย่างลึกซึ้งด้วยจิตจริง ลึกซึ้งด้วยปัญญา ที่เป็นปัญญาในระดับเดาไม่ได้ มันปฏิโสตัง ทวนกระแส

 

อย่างในหลวงเราตรัสว่า ในความก้าวหน้าที่เจริญในการปกครองต้องเอาแบบคนจน ท่านก็ตรัสในความหมายที่ลึกซึ้ง กว้างไกล วิเศษมาก คนทั้งโลกฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ ไม่เห็นว่าน่าอัศจรรย์ย่ิงใหญ่ แต่อาตมามองเห็นความยิ่งใหญ่นี้มาก แล้วภาคภูมิใจในหมู่พวกเราที่เป็นได้ สอดคล้องกับในหลวงเราตรัส อาตมารู้ว่าในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ คนก็อาจหาว่า อาตมายกยอในหลวงเล่นๆ แต่เขาไม่เข้าใจอย่างอาตมาเข้าใจ อาตมาไม่ได้พูดเล่นๆ และมีความจริงขั้นไหน คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยหรอก

 

สังคมไทยเรามีเหตุการณ์พิเศษเกิดมนุษย์ชนิดนี้เป็นชุมชน หมู่เมืองแล้ว เป็นมนุษย์พันธ์ใหม่ที่เกิดด้วยกุศลกรรม กรรมเป็นกำเนิด กรรมเป็นเผ่าพันธ์ มีกุศลกรรมครบ กุศลกรรมบท 10 เช่นว่าเราจัดงาน ตอนนี้ต่อจากปลุกเสกฯก็เป็นตลาดอาริยะ เราจัดมาแต่พศ. 2533 มาถึงวันนี้ครั้งที่ 36 แล้ว ก็มีการร่วมกับทางจังหวัด เขาเชื่อมกับเราโดยเต็มใจ อาตมามุ่งมั่นคือชีวิตให้แม่มูน แม่น้ำมูนนี้ไม่มีน้ำเสียน้ำเน่ามากมายอะไร สะอาดกว่าเจ้าพระยา ของดีอย่างนี้อย่าฉลาดน้อยในการใช้

 

เรื่องตลาดอาริยะเราทำมา 30 กว่าปีแล้ว ปีนี้ ดูพวกเราจะไม่คึกคัก ดูจืดๆ ที่จริงน่าจะคึกคักนะ ทางจังหวัดเขาก็ประสานเราเต็มที่เลย ให้เราใช้เรือไป 7 ลำเลย กิจการเราก้าวหน้า แต่เจ้าภาพที่มาร่วมทำไมน้อยลง ถอยลง แต่ละกลุ่มแต่ละจังหวัดก็ถอยไป ไม่มีไฟเลย แต่ของเราไม่ได้เอาภพชาติ วิมานมาเป็นสิ่งที่หลอกลวงคน ซึ่งทุกวันนี้เขาเอากาม เอาภพชาติ ไปหลอกลวงคน ปั้นหลอกคน ย่ิงรูปภพ อรูปภพ คนไม่รู้จัก ก็เอาไปปั้นหลอกคนกันมากมาย

 

พระไตรฯล.16 ข.43 พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องความมีกับความไม่มี

 

 5. กัจจานโคตตสูตร

            [42] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ  บิณฑิกเศรษฐี

เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ท่านพระกัจจานโคตต์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ

ครั้นแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค

ว่า พระพุทธเจ้าข้า ที่เรียกว่าสัมมาทิฐิ สัมมาทิฐิ ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ จึงจะชื่อว่า

สัมมาทิฐิ ฯ

 

 

[43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความ

มี  1 ความไม่มี  1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก(โลกสมุทยัง)ด้วยปัญญาอันชอบ(สัมมาปัญญา)ตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก(โลกนิโรธัง)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความมีในโลก ย่อมไม่มีโลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วยอุบายอุปาทานและอภินิเวส แต่พระอริยสาวกย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัย  อันเป็นที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อัตตาของเรา ดังนี้ ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่าทุกข์นั่นแหละ เมื่อบังเกิดขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับ ย่อมดับ พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้อง

เชื่อผู้อื่นเลย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล กัจจานะจึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ ฯ

 

 

[44] ดูกรกัจจานะ ส่วนสุดข้อที่ 1 นี้ว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่ ส่วนสุดข้อที่ 2 นี้ว่า

สิ่งทั้งปวงไม่มี ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุดทั้ง 2 นั้นว่า เพราะอวิชชา

เป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ ... ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้

ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ

เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ... ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ

จบสูตรที่ 5ธรรมะสอง รวมลงไปในเวทนา เป็นหนึ่งในเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ในมูลสูตร ท่านก็ตรัน เวทนาคือสัมโมสรณา ผู้ใดไม่เข้าใจเวทนาในเวทนา ต่อให้ไปนั่งหลับตาทำสมาธิให้เก่งอย่างไร ก็จะได้แค่สร้างรูปภพ อรูปภพ เท่านั้น

 

การปฏิบัติธรรมต้องอ่าน นามรูป ให้ออก โดยใช้สัญญาเป็นตัวกำหนดรู้ เราต้องรู้สัญญา แล้วใช้ให้เป็น สัญญา เป็นเจตสิก 3 ของวิญญาณ หรือเป็นหมวดแห่งกาย คำว่า กายคือองค์ประชุม คือ เทฺว ธมฺมา ไม่ได้แปลว่าเดี่ยวๆ คือองค์ประชุม ทุกวันนี้เขาหมายคำว่ากายไปเป็นภายนอกเท่านั้นไม่เกี่ยวกับนามธรรม อันนี้ก็ผิดเลย

 

จุดเริ่มต้นปฏิบัติธรรมอยู่ที่ กายในกาย ถ้าไม่รู้จัก กาย ก็ปฏิบัติผิดแต่ต้นเลย ไม่มีทางพ้นสักกายทิฏฐิได้เลย เพราะเข้าใจกายอย่างแค่ธรรมอย่างเดียว ไม่ใช่  เทฺว ธมฺมา

 

วันนี้ตั้งใจจะอธิบาย ธรรมะสองอย่างคือ โลกหรืออัตตา อธิปไตยที่เป็นธรรม

 

เอามาแยกแล้วก็เรียบเรียงเป็นหัวเรื่อง จากคำว่า โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตยและธรรมาธิปไตย ที่อาตมาว่าสมบูรณ์ในการให้ความหมายของมนุษยชาติ

 

1. คนที่มีตนเป็นใหญ่ได้แล้ว (อัตตาธิปไตย)  มีสติพิจารณาละอกุศล จนเกิดอธิปไตยให้แก่ตน คนที่เป็นใหญ่ได้นี่คือคนยิ่งเป็นเล็ก แต่คนที่ไม่มีอธิปไตยแบบของพระพุทธเจ้านี่ พอได้ใหญ่ก็ลืมเล็กของตนไปหมด กลายเป็นเบ่งมากเลย เหมือนบางประเทศพอรู้สึกว่าตนใหญ่ขึ้นมาก็เบ่งไปทั่วโลกเลย 

2. คนที่มีโลกเป็นใหญ่  (โลกาธิปไตย)  มีปัญญาเพ่งพินิจไปกับการงานช่วยโลก  โดยมีอิทธิวิธญาณต่างๆ  มีจิตอันไม่หวั่นไหวกับโลกธรรม

3. คนที่มีธรรมเป็นใหญ่ (ธัมมาธิปไตย)  ประพฤติโดยทำธรรมนั่นแหละให้เป็นใหญ่  แล้วละอกุศล เจริญกุศล ละกรรมที่มีโทษ  เจริญกรรมที่ไม่มีโทษ  บริหารตนให้บริสุทธิ์  (อธิปไตยสูตร  พตปฎ. เล่ม 20   ข.479)

 

 

โลก หรือ อัตตา อธิปไตยที่เป็นธรรม

 

            อธิปไตยหรืออำนาจ ที่คนทั่วไปในโลกทุกวันนี้ เข้าใจและอยากจะให้เป็นนั้นคือ ให้คนทุกคนได้อำนาจเท่าเทียมกัน

            ประชาธิปไตยที่คนในโลกเข้าใจกันว่า ประชาชนแต่ละคนต้องมีอิสระเสรีภาพเป็นของตนเองเต็มที่ และเข้าใจหรือเห็นว่า คนทุกคนแต่ละคนนั้นควรมีสิทธิ์คิดเห็นออกความเห็นของตัวเองได้เต็มที่ ทำอะไรตามความต้องการของตนได้เต็มที่

            จึงมีคำว่าประชาธิปไตย อันหมายความว่า อำนาจเป็นของประชาชนทุกคน ประชาชนได้ประโยชน์จากที่มีการเฉลี่ยมาให้อย่างสุจริตทั่วถึง

            โลกทั้งโลกทุกวันนี้ มีค่านิยม ยอมรับนับถือ ความเป็นประชาธิปไตยเกือบทั้งโลกกันแล้ว มีบ้างบางประเทศที่ยังชื่อว่าเป็นคอมมูนิสต์หรือสังคมนิยม อำนาจเต็มเป็นของคนกลุ่ม

เดียวเท่านั้น ไม่ให้สิทธิกลุ่มอื่น อย่างนี้ ถือว่าไม่ใช่ประชาธิปไตย แม้คนกลุ่มนี้จะทำเพื่อ

ประชาชนให้ได้รับประโยชน์อย่างสุจริต โดยคนกลุ่มนี้เสียสละเต็มที่สุดความสามารถเท่าที่ทำได้

อย่างไรก็ตาม ก็ชื่อว่าประชาธิปไตยไม่ได้ สำหรับคนที่ติดยึดได้แค่รูปแบบหรือหลักเกณฑ์

            หรือยังมีบ้างที่ชื่อว่าตนเป็นเผด็จการหรือราชาธิปไตย อำนาจเต็มเป็นของคนผู้เดียว  แม้ผู้เดียวคนนี้จะทำดีมากแค่ไหน ทำเพื่อผู้อื่นทั้งหมด ทำงานเต็มที่เพื่อประโยชน์ของประชาชนให้เต็มที่ ไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเลย ก็ตาม เขาก็เรียกกันว่า เผด็จการ เพราะใช้อำนาจบาตรใหญ่คนเดียว

            แต่กระนั้น แต่ละคนก็พอรู้ถ้วนทั่วแล้วว่าการได้อำนาจเป็นของตนเองเต็มที่นั้น คือ

ความเป็นอิสระเต็มในความเป็นคน

            เพราะแต่ละคนล้วนมีความฉลาดรอบรู้หมดแล้วว่า ควรให้อำนาจเป็นของประชาชนให้

ทั่วถ้วน ดีที่สุด ประเสริฐที่สุด

            ประชาชนแต่ละคนจึงเข้าใจว่า ตนต้องได้อำนาจเป็นของตน แต่ละคนจึงต่างก็ตั้งใจกระทำทุกอย่างที่สามารถจะทำได้ เพื่อให้ตนเองมีอำนาจในตนเอง เพราะทุกคนต่างก็เป็นประชาชน ทุกคนจึงคือผู้สร้างอำนาจให้แก่ตนเองทั้งนั้น และได้ความเป็นตัวเองหรือตัวตนทั้งนั้น

            แต่ละคนจึงมีอำนาจเป็นของตนเองกันทั้งสิ้น ได้มากหรือได้น้อย ตามที่ตนเองสร้างนั้นๆ

            นั่นก็คือ สร้างจิตใจของตนเอง ให้เป็นเช่นที่ว่านี้จริงๆ คือ เป็นตัวของตัวเองที่จะต้องยึดในใจว่าตนเองต้องเป็นตนเอง คำว่าตนหรือตนเองคืออัตตา ตนต้องมีอำนาจของตนเอง ไม่ยอมให้ตนเองเสียอิสระของตนไปตกอยู่ในอำนาจของใครเป็นอันขาด 

            นี่แหละคือ อำนาจเป็นของตนเอง เป็นอัตตาตามที่แต่ละคนกระทำให้ตนจริง แล้วเข้าใจว่าเราได้ทำความอิสระให้แก่ตนเอง โดยไม่รู้จักเลยว่า จริงๆนั้นตนเป็นอิสระจากโลก หรือยังเป็นทาสของโลกอยู่..?  ตนเป็นอิสระจากความเป็นตน หรือยังเป็นทาสตนเองอยู่..?

            และความเป็นโลกก็ดี ความเป็นตนหรืออัตตาก็ดีนั้น ตนยังสร้างอำนาจยื้อแย่ง

โลกมาให้ตน  ยังสร้างอำนาจยื้อแย่งความเป็นตนมาใส่ตนอยู่หรือเปล่า?

            ยื้อแย่งทั้งโลก และยื้อแย่งทั้งตน  ...ใช่มั้ย?

            โลก คือ อะไร? เราต้องการโลกมาเป็นตน เป็นของตน หรือตนเป็นอิสระจากโลก ได้แล้ว

            ยิ่งความเป็นตน(กู) ยิ่งละเอียดลึกล้ำ ตนหรืออัตตาคือ อะไร?  เราต้องการตนมาเป็นตน หรือเราเป็นอิสระจากตนได้แล้ว?

            นี่แหละคือความเป็นจริง ในความเป็นประชาชนของคนในโลก ซึ่งล้วนยังยื้อแย่งโลก และยังยื้อแย่งตน ตนยังเบียดเบียนโลก และเบียดเบียนตนอยู่แท้ๆ ยังเป็นทาสโลก เป็นทาสตนเองอยู่แท้ๆ  อิสระที่ไหนกัน?

            ยังสร้างอำนาจเพื่อได้มาซึ่งโลก ยังสร้างอำนาจเพื่อได้มาซึ่งตน

            ล้วนอยากมีอำนาจเป็นของตนเอง เป็นของประเทศตนเอง และได้พยายามกระทำกันอยู่ทั้งโลก ไม่ได้หมดโลก ไม่ได้หมดตน

            ความเป็นตัวตนจึงเป็นอำนาจของคนแต่ละคนที่ต่างก็พยายามปฏิบัติเพื่อตนจะได้มา

ให้ตนอยู่ทั้งนั้น ยังไม่หมดความเป็นโลกในตน และความเป็นตนในตนสนิทสัมบูรณ์

            ยังเอาโลกมาเป็นตน ยังเอาตนมาเป็นตน ทั้งโลกและตนล้วนยังเป็นตน

            ความเป็นจริงเช่นนี้เอง ที่คนยังไม่หมดสิ้นตนหรือความยึดตนเป็นอัตตากันไปทั้งนั้นทุกคนแล้วในโลก ไม่มีใครอยากให้อำนาจหรืออธิปไตยไปเป็นของคนอื่น ตนจะไม่ยอมลดอำนาจเต็มของตนเสมอ

            อำนาจเต็มของตนนั้นแหละมันคือตนด้วยประการอย่างนี้กัน ของคนในโลก

            จึงเห็นแก่ตัวกันไปทั่วทั้งโลก นิยมความเห็นแก่ตัวกันอยู่ทั่วทั้งโลก แล้วใช้ภาษาสวย เป็นศัพท์โก้ๆว่า ประชาธิปไตย

            ซึ่งในศัพท์คำว่าประชาธิปไตยนั้นพรางไว้ด้วยคำว่า ประชาชน หรืออำนาจเป็นของประชาชน แต่แท้จริงแล้วคำว่า อำนาจเป็นของประชาชนนั้น แท้ๆคืออำนาจเป็นของตนเองที่อาศัยคำว่าประชาชน เพราะประชาชนก็คือตัวแต่ละคนนั่นเอง คือประชาชนแต่ละคน และแต่ละคนนั้นต่างก็เป็นตัวเองแต่ละคน ซึ่งก็คือตัวกูของกูกันอยู่อย่างเต็มตัวทั้งสิ้น และต่างก็หวงแหนอำนาจหรืออธิปไตยของกูกันทั้งสิ้น

            เพราะกูเป็นประชาชน...!!!!!

            ดังนั้น ทุกประเทศที่ประกาศว่า ประเทศของตนปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ทั้งที่ประกาศว่าตนปกครองด้วยระบอบสังคมนิยมหรือคอมมูนิสต์ และทั้งที่ประกาศว่าตนปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตยหรือเผด็จการ จึงล้วนยังมีโลก ยังมีอัตตานั้นเองเป็นตัวกูของกูอยู่ทั้งนั้น เพราะยังไม่สามารถพ้นความเป็นทาสโลกทาสอัตตาได้สิ้นสนิทสัมบูรณ์อย่างยั่งยืนเที่ยงแท้ตลอดกาล ไม่เปลี่ยนแปลงอีกแล้ว ไม่มีอะไรหักล้างได้ ไม่กลับกำเริบ ตามพระวจนะจริง

 

            คำว่า โลก กับคำว่า อัตตา

            2 คำนี้แหละ ที่พระพุทธเจ้าอันเป็นพระบรมศาสดาของโลก ได้ทรงค้นพบ เรียกว่าตรัสรู้ ในศาสนาพุทธ แต่ทุกวันนี้ชาวพุทธ แม้นักปฏิบัติธรรม นักบวช ภิกษุของพุทธ ล้วนไม่สนใจศึกษาอย่างเป็นลำดับ และปฏิบัติให้บรรลุไปตามลำดับกันแล้ว จนกระทั่งสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงโลกและอัตตาบริบูรณ์สัมบูรณ์ ธรรมที่บรรลุเป็นลำดับนี้แลที่เป็นความน่าอัศจรรย์(อัจฉริยัง)

อันไม่เคยมี ไม่เคยได้ยินมาก่อน (อัสสุตตัง อัพภุตธัมโม)

            มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหว ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็

ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ(อนุปุพฺพนินฺโน   อนุปุพฺพโปโณ) มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง ดูกรปหาราทะ ข้อที่ในธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง

 

            ศีล 5 เป็นพื้นฐานของจิต ไม่ฆ่าสัตว์ท่านให้ศึกษาโทสมูลจิต ไม่ลักทรัพย์ไม่ประพฤติผิดในกามนี่ท่านให้ศึกษาจิตโลภมูล หรือราคมูล ศีลข้อ 5 อบายมุข ยุคนี้อาชีพอบายมุขคือนักการเมืองมีทั้งนักการเมืองและนักการเมืองประจำ(ข้าราชการ) ทุกวันนี้กลายเป็นอบายมุขไปแล้วนี่คือด้านการงาน ส่วนด้านบันเทิงคือนักกีฬาและดารา ทุกวันนี้สื่อประโคมข่าวอย่างนี้มากมาย มีสื่อเรื่องคุณธรรม ธรรมะน้อยมาก มีแต่เอาเวลาแรงงานทุนรอนเอาไปส่งเสริมส่ิงเละเทะที่มากเกินแล้ว

 

            ถ้าไม่หลงตัว เราเริ่มต้นปฏิบัติธรรมตั้งแต่ต้น อย่างคนที่มีบารมีแล้ว เรียนก.ไก่ก่อนเลย ถ้ามีบารมีจะพาสชั้นไหม? ก็จะได้เลยพาสชั้น แต่ถ้าไม่มีบารมีก็สมควรแล้ว อย่าหลงตนว่าตนเรียนพาสชั้นได้ ทุกวันนี้คนคิดเช่นนี้ ทุกวันนี้คนมีโอกาสเรียนจบป.โท จบดร.มาแล้วมาตั้งราคาค่าตำแหน่งสูงเลย แต่คนที่เขาตั้งคือคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว คุณเองมีโอกาสดี มีทุนรอนให้ลูกหลานไปเรียนได้เปรียบเขาแล้ว ยังมาตั้งตำแหน่งให้สูงส่งกว่าคนอื่น แล้วไปควบคุมเอาเปรียบคนที่เขาทำมาเป็นรากฐานแล้ว แต่คุณไม่ได้ทำจริงเลยแต่เอาเปรียบเขามาก สังคมเลยเหลื่อมล้ำเดือดร้อน ถ้าคุณมีความรู้มากกว่าเขาแล้ว ถ้าสตาร์ทเร่ิมต้นเท่ากัน ถ้าคุณมีของจริงคุณจะพาสชั้นเอง แต่นี่เร่ิมต้นสตาร์ทก็ไม่เท่ากัน ยกให้พวกเรียนสูงได้เปรียบก่อนเลย

 

            เช่นคนเรียนทหารนี่ ต้องให้มาเร่ิมต้นที่พลทหารเท่ากันเลย เพราะคุณได้ความรู้ได้เปรียบแล้ว คนอื่นเขาอยากเรียนแต่ไม่ได้เรียน อย่างน้อยคุณสมองดีกว่าเขานะ คุณสอบได้ได้เรียน แล้วคุณก็มีอิทธิพลอีก ก็ต้องให้เร่ิมต้นสตาร์ทเท่ากันสิ แล้วจะดีด้วย ถ้าคุณมาทำพื้นฐานเท่ากันแล้วคุณขึ้นไปได้เขาก็จะยอมรับคุณด้วย อาตมาไม่ได้จะมาล้มล้างนะแต่ว่าเจตนาให้แก้ไข ทุกวันนี้คนยอมรับกันทั่วโลกว่าเป็นความเสมอภาคกันแล้ว เป็นสิ่งที่ผิด

 

            นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 1 ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ (พระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 109)  

 

            ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่ง ฉันใด สาวก ทั้งหลายของเรา

ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่ล่วงสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต ดูกรปหาราทะ ข้อที่

สาวกทั้งหลายของเราไม่ล่วงสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต นี้เป็นธรรมที่น่า

อัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 2 ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ

            อย่างเรื่องเนื้อสัตว์ พระพุทธเจ้าให้กินได้แค่สองอย่างคือสัตว์ตายเองกับเดนสัตว์กิน แต่สัตว์ที่ถูกคนฆ่าโดยครบองค์ 5 คือมีเจตนาฆ่า รู้ว่าสัตว์มีชีวิต มีเจตนาฆ่า ลงมือพยายามฆ่าแล้วสัตว์ตายลง ก็คือเจตนา นี่คืออุทิสมังสะ คือเจาะจง มุ่งหมาย จงใจ ที่จะฆ่า แต่เขาไปเบี้ยวบาลีว่า เจาะจงบุคคล ที่จริงคือเจาะจงฆ่าสัตว์ ถ้าใครชัดเจนแล้ว ไม่ใช่เดนสัตว์ที่คนฆ่า

            จะได้ไม่มีวิบากเวรภัยกับสัตว์ แต่ทุกวันนี้พระเลี้ยงสัตว์ป่า เลี้ยงเสือ เลี้ยงหมีควาย เป็นเรื่องนอกรีตพระพุทธเจ้าแล้วทำเบ่งใหญ่ โวยวาย เห็นแล้วน่าสังเวช คนเราไม่รู้กี่ชาติแล้ว ให้ตัดวิบากกันบ้าง พยายามตัดอย่างเมตตา อย่าให้สัตว์มานัวนัง เฉพาะวิบากกับคนนี่ก็มาแล้วนะ

            พระพุทธเจ้าว่าน่าประหลาดว่าลูกศิษย์พระพุทธเจ้านี้ แม้ชีวิตจะตายก็ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ละเมิดศีล ไม่ละเมิดธรรมวินัย ท่านก็ไม่ได้บังคับนะ

            ไม่ผิดผัวเขาเมียใคร ไม่พูดปด ตายก็ไม่ทำ ไม่โกหกสีขาว หรืออบายมุขไม่เอาแล้ว

            การปฏิบัติธรรมไปตามลำดับ จะได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่งฌาน 4

            พวกคุณนี่มาอยู่กันเป็นชุมชนแต่ไม่ฆ่าสัตว์กันทั้งชุมชนเลย เด็กถึงคนแก่ไม่ฆ่าสัตว์เลย ตอนนี้เรามีลำธารแล้ว ก็มาคอยดูแลกัน เราถือว่านี่ไม่ใช่ลำธารสาธารณะนะ เป็นคลองส่วนตัวนะ คนก็จะมาจับสัตว์น้ำแน่นอน ก็ไม่มีปัญหาอะไร

            คลองนี้ชื่อคลองถอยหลังเข้า จะใช้ทำอะไรในการศึกษาหลายอย่าง ก็จะให้พวกคุณปฏิบัติเอง หลายคนก็รู้สึกว่าไม่ชอบ เดินออกเดินเข้าก็ยาก ดีแล้ว เราจะทำสิ่งที่ทำได้ยาก อย่าบ่น

            อาตมาพาทำอะไรก็ประมาณ คือชาตินี้ ก็แปลกเหมือนกันว่าตั้งแต่เป็นหนุ่มออกมาสร้างบ้านเรือน อาตมาก็สร้างหิน สร้างน้ำตก แล้ว แต่ทำเล็กๆ พอมาเป็นหมู่บ้านแรกที่ปฐมอโศกก็ทำน้ำตก มาที่นี่ก็ค่อยขยายไปตามลำดับ พวกเราเข้าใจก็ไม่มีปัญหามาก จะเป็นสังคมชีวิตที่เป็นโมเดลเล็กๆ ที่คนมาเห็นจะเป็นสังคมสิ่งแวดล้อมดี

 

            เรามีน้อยคน แต่มีคุณภาพ การค้าเรามีระบบบุญนิยม การกสิกรรม สื่อสาร การศึกษา และอื่นๆเราก็จะประกอบกัมมันตะ เป็นองค์รวมพฤติกรรมของแต่ละคน ที่อาตมาย้ำเสมอว่าเรามีสาธารณโภคี ก็ได้จากคนจำนวนนี้ ถ้าสาธารณโภคี เกิดเป็นชุมชนระดับอำเภอ หรือจังหวัด คุณคิดดูว่าจะมีพลังรูปธรรมนามธรรมสะพัดสู่สังคมได้ขนาดไหน จะน่าทึ่งน่าอัศจรรย์ได้ขนาดไหน แต่ทำไมคนไปอัศจรรย์คนไปรวย ไม่มาอัศจรรย์คนมุ่งมาจน เห็นไหมว่าคนยังไม่เกิดปฏิภาณปัญญาว่าสิ่งน่าอัศจรรย์คืออะไร?

 

การไปรวยนี่มันทำร้ายเดือดร้อนแค่ไหนเขาก็ไม่รู้ ไม่มาเอาแบบนี้แบบคนจน คนมามีคุณค่าต่อสังคม แบบคนจนนี่เรื่องอัศจรรย์กว่าแบบคนรวยนะ เพราะเราเล็กไป ต้องมาทำให้ใหญ่กว่านี้ (เราไม่ได้อยากใหญ่นะ) แต่เราต้องทำให้มากจนคนตาบอดเห็นได้...จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:12:12 )

580407

รายละเอียด

580407_ทวช.ปลุกเสกฯ บ้านราชฯ โลกหรืออัตตาอธิปไตยที่เป็นธรรม 2

พ่อครูว่า...วันนี้วันที่ 7 เมษายน 1558 เป็นวันแรม สี่ค่ำ เดือนห้า ปีมะเม วันที่ สามของงาน เราก็มาปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธครั้งที่ 39กัน อาตมาบรรยายเรื่องโลกหรืออัตตาอธิปไตยที่เป็นธรรมต่อ

 

คำว่าโลก กับคำว่า อัตตา สองคำนี้อยู่ในอธิปไตย 3 ที่แปลว่ากำลัง ฤทธิ์แรงหรือพลังงาน ไม่ใช่พลังงานสสาร ฟิสิกส์ แต่เป็นพลังงานเกิดจากกายกรรม วจีกรรม โดยเฉพาะพลังงานทางใจ ที่จะพาให้กาย วาจา เกิดพฤติกรรม โดยเกิดจากใจ เป็นองค์รวมพฤติกรรมของมนุษย์ที่มีนัจจะ คีตะ วาทิตะ

 

นัจจะคือกิริยาทางกาย ท่าทาง ออกไปที่แขนขา เนื้อตัว ขับเคลื่อนเป็นกิริยาต่างๆ ไม่ว่าจะกระพริบตา เอี้ยวแขนไกวขา มีอิริยาบถ ทั้งหมดเกิดจากจิต แล้วออกไป สัตว์เดรัจฉานก็เคลื่อนไหว คนก็เคลื่อนไหว แล้วคนก็จับอาการกิริยา ของ กาย

 

คำว่า กาย คำนี้ลึกซึ้ง ซึ่งคำว่ากายนี้ ปัจจุบันเขาหมายถึงแค่รูปธรรม ไม่เชื่อมต่อกับนามธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดพลาดอย่างมาก อันที่จริง กายก็เกี่ยวข้องกับภายนอกด้วย พหิทา รูปานิ เกี่ยวแม้เรากระทบสัมผัสทางทวาร 5 สัมผัสแล้วเกิด กาย โดยมีเงื่อนไขว่าต้องมีจิตเข้าประกอบ

 

เช่นตาเห็นพระอาทิตย์ เมื่อมีนามธรรมมาร่วมด้วย พระอาทิตย์ก็คือกายของเราด้วย เมื่อเรามีนามธรรมสัมผัสเห็น สิ่งนั้นก็เป็นองค์รวม ของสิ่งที่รวมกันอยู่ และสำคัญต้องมีนามธรรมเข้าร่วมด้วย แต่ถ้ามีแต่พระอาทิตย์ก็ไม่เรียกว่ากาย แม้แต่ตัวเราก็ไม่เรียกว่ากาย ถ้าไม่มีนามธรรมประกอบ ที่เรียกว่า จิตบ้าง มโน บ้าง วิญญาณบ้าง ถ้าไม่มีนามธรรมไปประกอบกับมหาภูตรูป 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่เป็นธาตุสสาร ก็ไม่เรียกว่ากาย กายต้องมีนามธรรมประกอบไปกับรูปธรรมเสมอ

 

แม้สิ่งที่อยู่ไกลแค่ไหน แต่เราสัมผัสได้ด้วย กายข้างนอกที่เรียกว่า รูปกาย ถ้ามีนามไปร่วมด้วย คำว่า กาย คำนั้น คือ จิต คือมโน คือวิญญาณ ในพระไตรฯล.16 ข.230 พระพุทธเจ้าตรัสว่า กาย คือจิตบ้างมโนบ้างวิญญาณบ้าง

 

อันนี้เป็นความผิดพลาด ของนักปฏิบัติที่แยกส่วนปฏิบัติ เช่นเข้าใจคำว่า กายคือ ร่างภายนอก เวลาปฏิบัติกาย ก็ย่างหนอเดินหนอก้าวหนอ นั่งหนอ เดินหนอ ยุบหนอ พองหนออยู่ข้างนอกไม่ได้เข้าถึงจิต ที่พระพุทธเจ้าว่าให้พิจารณาอย่างสำคัญด้วยซ้ำไป แต่ก็ต้องมีสำเร็จอิริยาบถอยู่คือให้รู้ข้างนอกด้วย อย่างในวิโมกข์ 8

1.รูปีรูปานิปัสสติ คือให้รู้รูป

2.คืออัชฌัตตังอรูปสัญญีเอโก พหิทารูปานิปัสสติ คือมีทั้งนอกและในร่วมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ต่อเนื่องสัมพันธ์เป็นองค์รวมจากนอกถึงใน รูปถึงนาม มีสัญญากำหนด และโดยตนไม่เกี่ยวกับคนอื่น แต่ไม่ได้หมายถึงคนเดียว ไปผู้เดียวมาผู้เดียว แต่รวมเป็นหนึ่ง ตั้งแต่ภายนอกมาถึงภายใน รวมทั้งภายนอกและภายใน เราก็สัญญา ตั้งแต่กามโลก เข้าถึงภายในเป็นรูปโลก อรูปโลก ต้องสัมผัสอยู่ อย่างวิโมกข์ 8 เป็นองค์รวมทั้งหมดเป็นวิโมกข์ ต้องไม่ขาดกันในทุกขณะ ประชุมรวมกันไม่ขาดตั้งแต่ข้อ 1 ถึงข้อ 8 ของวิโมกข์ 8

 

ในข้อ 8 เป็น สัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะว่าล่วงพ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ ด้วยประการทั้งปวง แล้วเป็นผู้พ้นอวิชชาด้วย เป็นนิโรธ มีโลกนิโรธ ด้วยมีสัญญา ไม่ได้ดับสัญญา สัมผัสอยู่รู้อยู่ด้วยสัญญา ไม่ได้ดับสัญญาเป็นอสัญญีสัตว์ ใครไปดับสัญญาก็เรียกว่าอสัญญีสัตว์แต่ของพระพุทธเจ้าให้มีอายตนะของสัญญา จึงเป็น อสัญญีสัตตายตนะ ที่ต่างกับ อสัญญีสัตว์

 

กายคือ หมวดแห่งเจตสิก 3 คือ เวทนา สัญญา สังขาร ก็ไม่ได้ดับสัญญา แต่มีอาตนะอยู่ แม้ปฏิบัติจนถึงปลายสุดก็มีอสัญญีสัตตายตนะ กับ เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นการนิโรธ อย่างแจ้ง อย่างมี จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง(อาโลกา) มีสติตื่นเต็มรับรู้ ต่างกับนิโรธแบบดับสัญญาดับเวทนา เป็นพรหมมิจฉาทิฏฐิเรียกว่าสุภกิณหา แล้วนึกว่าเป็นสิ่งน่าได้น่าเป็นในความดับดำนั้น เรียกว่า กายอย่างเดียวกันแต่สัญญาอย่างเดียวกัน ในวิญญาณฐีติข้อที่ 4 นี้ มีรูปและนามเหมือนกันไม่ได้หายไปไหน แต่มิจฉาทิฏฐิ สัญญาว่านิโรธนั้นคือดับ หมายเอาว่าดับทุกข์ดับสุข

 

นิโรธฤาษี เขานั่งหลับตามสมาธิดับปี๋ไปเลย แบบอาฬารอาบส และอุทกดาบส ในเมืองไทยถ้าพูดถึงนิโรธ จะเข้าใจว่าต้องไปนั่งหลับตาดับปี๋ ไม่รับรู้สึกอะไร คำว่านิโรธจึงคือความดำดับ แล้วไปเห็นว่าเป็นสุภะ คือสิ่งที่น่าได้น่ามีน่าเป็น เป็นโชคที่น่าได้น่ามีของมนุษย์ที่ไปกำหนดหมายเช่นนั้น

 

แต่สิ่งที่น่าได้น่ามีคือ ความไม่ทุกข์ไม่สุข แต่เขาไม่รู้เรื่องอะไร ไม่รู้สุขทุกข์เลย นี่คือมิจฉาทิฏฐิ กายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียกวัน อันหนึ่งนอกของเขตพุทธ ของพุทธไม่เอาแบบนี้ แต่เรียนรู้ได้ เป็น Meditation ต่างกัน Concentration ที่เป็นสมาธิลืมตา เป็นมนุษย์ชมพูทวีปเป็นชาคริยาบุคคลตื่นเต็มไม่ใช่คนนอนหลับ

 

คำว่าโลก กับคำว่าอัตตา

โลกคือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตเรา แล้วเราไปจำ ไปยึดเป็นเราเป็นของเรา ส่วนธรรมะของพระพุทธเจ้าสอนให้จำได้ ว่าอะไรคือสัญญาตัวแรก และอะไรเป็นสัญญาตัวสุดท้าย เป็นอรหันต์แล้วกำหนดรู้นิโรธเป็นเช่นไร ของพระพุทธเจ้า รู้เห็นนิโรธเป็นสัจฉิกตวา ทำได้แล้ว ก็รู้ เห็นแล้ว เสร็จแล้วก็รู้เห็นแจ้งๆ เรียกว่าสัจฉิ ไม่ใช่ว่าอย่างไม่รู้

 

ผู้สามารถรู้โลกสมุทัย รู้โลกนิโรธ ก็ยังมีโลก เรียกว่า อาโลกา คือเห็นๆสว่างแจ้ง ไม่ได้ดับ ไม่ใช่ว่านิโรธคือไปดับโลก อย่างอโลกา อย่างนั้นไม่ใช่ แต่ต้องเป็น อาโลกาหรืออาโลกสัญญาคือกำหนดรู้โลกที่สว่าง จึงเห็นแจ้งในความเป็นโลก รู้จักโลก เรียกว่า อาโลกา  ในขณะดับก็เห็นแจ้งโลกด้วย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลกา

 

อัตตานี้เป็นนามธรรม ลึกไป คนในโลกไม่ได้เรียนเป็นสามัญ หรือเรียนเผินๆ ถ้าไม่ผ่านหลักสูตรพระพุทธเจ้าจะไม่ได้เรียนรู้อัตตาอย่างสัมบูรณ์ อัตตานี่เป็นเรื่องใหญ่ เห็นฤทธิ์ของคนชื่อใต้แต่ไปเกิดอยู่เหนือไหม จนทุกวันนี้ยังบงการอาละวาดอยู่ไม่ยอมหยุดไม่ยอมจบ

 

ผู้เรียนรู้ ก็จะรู้อัตตา เช่นเราขัดแย้งกับคนนี้ จะเสียบรรยากาศ หรือเราขัดแย้งกับที่ประชุม เราก็จะยึดว่าของเราถูกๆทั้งที่สัจจะไม่มีในโลก มีแต่ความสมมุติเท่านั้นที่ตกลงรวมกัน เท่านั้น หากนิพพานแล้ว ไม่ยึดมั่นเป็นเราเป็นของเราหรอก เพื่อนเขาเห็นเป็นคะแนนรวมกันหมด แต่เราเห็นต่าง เราก็ไม่ยึด เหลือแต่อัตตาของเรา ถ้าเรายังมีอัตตา นอกนั้นของโลก เราคืออัตตา คะแนนเสียงทั้งหมดคือโลก นั่นคือสมมุติสัจจะ อรหันต์หมดอัตตา ก็ไม่ยึดแต่อยู่กับโลก ผู้ใดยึดอยู่ก็คือมีอัตตา

 

แม้คะแนนเสียงน้อย ใช้เยภุยยสิกา ก็ตัดสินในกรณีขัดแย้งพระพุทธเจ้าให้หลักอธิกรณสมถะ 7 มีข้อหนึ่งคือเยภุยยสิกา คือตัดสินด้วยคะแนนเสียงข้างมากให้ชนะ เมื่อชนะแล้วก็เป็นสัจจะเรียกว่าสมมุติสัจจะ ผู้ใดเห็นแก่ว่าตนถูกไม่เอากับหมู่ก็คือคนมีอัตตาไม่ยอม คือผู้ไม่เรียนรู้อัตตาไม่รู้สมมุติสัจจะ ปรมัตถสัจจะ ถ้าหมู่เห็นร่วมว่าอันนี้ถูกอันนี้คือสัจจะ ถ้าลงคะแนนแล้วเสียงข้างมากชนะแม้ครึ่งคะแนน พระอรหันต์ท่านก็จบ แต่อนาคามีอาจเหลืออรูปอัตตานิดๆ ก็แล้วแต่ แต่อรหันต์ท่านหมดแล้ว ไม่ยึดเลยแม้อรูปอัตตา หรือสังโยชน์ใดๆ ไม่มีตัวเราของเรา ง่ายจะตายไป

 

เมื่ออธิบายประชาธิปไตย ว่าปชช.มีอำนาจ คนก็เลยว่า ตนเองก็ต้องมีอำนาจเท่ากับนายกฯสิ มันต้องเท่ากันสิ ประชาธิปไตยนี่นา หน้าที่สมมุติที่ต่างกัน นายกฯได้รับมติให้เป็นนายกฯ เขามีหน้าที่สิทธิกำหนดต่างกัน จะมีส่วนเท่ากัน คือ ปฏิบัติตนให้เป็นอรหันต์ได้เท่ากับนายกฯ หากคุณเป็นอรหันต์ได้ก่อนนายกฯคุณชนะเลย แม้ขอทานก็มีสิทธิ์ตรงนี้เท่ากับนายกฯ ไม่ใช่ว่าสมมุติใดๆก็ต้องเหมือนกันไม่ใช่ ไม่เหมือนในหน้าที่สิทธิ์

 

สิทธิที่จะปฏิบัติดี ปฏิบัติชั่วได้ เท่ากันทุกคน ผู้ใดยึดว่าเราเป็นปชช.ต้องเท่ากัน แล้วฉันต้องมีอธิปไตย ว่ากูต้องมีพลังแรง แสดงออกได้ จะว่าใครก็ได้ แย้งใครก็ได้ ด่าทอใครก็ได้ คือคนไม่เข้าใจสภาพความจริงอันลึกซึ้งก็ไปยึดว่าประชาธิปไตยคือเราก็มีอำนาจ คือไปยึดว่าเป็นตัวกูของกู ยิ่งเรียนมากรู้มากก็จะว่าตนมีอธิปไตย เป็นระดับนักการเมืองก็ใหญ่ในนักการเมือง จะเป็นนักบวชก็ใหญ่ในนักบวช ก็แล้วแต่อยู่ในองค์กรไหน แล้วไปยึดเอาเปลือกมาเป็นอำนาจ ไม่เอาแก่น

 

แก่นที่ไม่มีตัวตนคือไม่ยึดเปลือก แก่นของพุทธคือวิมุติ คำว่าวิมุติเป็นธาตุรู้เป็นนาม ส่วนนิโรธเป็น รูป คำว่านิโรธเป็นเพศหญิง ส่วนวิมุติเป็นธาตุบุรุษ นิโรธเป็นตัวเป็น ไม่เป็นเอก ส่วนวิมุติคือตัวรู้ เป็นเอก เป็นปัญญา

 

ผู้ใดหลงผิดก็ไปยึดประชาธิปไตยสร้างอัตตาแก่ตัวเอง

 

สภาที่มีแต่อรหันต์จะง่ายมากไม่ถกเถียงเอาเป็นเอาตายแน่ เพราะสมมุติสัจจะนั้นจริงในความเป็นโลกเพราะไม่มีอัตตา ส่วนในปรมัตถ์นั้นอัตตามีจริง แต่อรหันต์นั้นหมดอัตตาแล้ว นโหติ ในพระไตรปิฎก

 

“พระพุทธเจ้าข้า  ที่เรียกว่า  สัมมาทิฐิ  สัมมาทิฐิ  ดังนี้   ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ จึงจะชื่อว่าสัมมาทิฐิ” ฯ

[43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า “ดูกรกัจจานะ  โลกนี้โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง  คือ  ความมี1   ความไม่มี1   

ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก (โลกสมุทยัง) ด้วย-ปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก  ย่อมไม่มี

เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก (โลกนิโรธ) ด้วย- . ปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว  ความมีในโลก  ย่อมไม่มี” (โลเกอัตถิตา  น  โหติ)

โลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วยอุบายอุปาทานและอภินิเวส แต่พระอริยสาวกย่อมไม่เข้าถึง (น  อุเปติ)  ไม่ถือมั่น (น อุปาทิยติ)  ไม่ตั้งไว้ (นาธิฏฐาติ) ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัย  อันเป็นที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อัตตาของเรา (นาธิฏฐาติ  อัตตา  เมติ) ดังนี้

ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่า ทุกข์นั่นแหละ  เมื่อบังเกิดขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น  ทุกข์เมื่อดับ ย่อมดับ  พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย  ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล  กัจจานะ จึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ ฯ     (กัจจานโคตตสูตร  ล.16  ข.43)

 

สรุปแล้วต้องเรียนรู้โลก และอัตตา จนดับโลกดับอัตตาได้ นี่แหละคือธรรมะที่เรียกว่า โลกกับอัตตา สองคำนี้ เราไม่มีโลก(นโหติ) เราไม่มีอัตตา(นโหติ) มีแต่ธรรมะหนึ่งเดียว เพราะธรรมะสอง รวมลงไปในเวทนา เป็นหนึ่งในเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ธรรมะสองจะรวมลงที่เวทนา แต่ยังไงก็ยังมีสองอยู่

 

เราจะมีแต่เนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนาอย่างเดียว อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) มันเป็นเวทนาอุเบกขา แต่ก็รู้โลก เป็นอาโลกา มีโลกวิทู ไม่ได้ดับ อสัญญีสัตว์ มันรู้หมด แต่เป็นหนึ่งเดียว แต่เราก็ยังอยู่กับโลก มีอัตตา ที่ไม่ยึดถือทั้งโลกและอัตตา มีแต่พลังธรรมาธิปไตย

 

ผู้ศึกษาทฤษฎพระพุทธเจ้าเข้าใจโลกและอัตตาและดับโลกดับอัตตาได้ คือผู้มีอธิปไตยอันยิ่งใหญ่ ที่จะทำงานให้กับโลกอย่างดีที่สุด ซึ่งไม่ใช่แค่คนโกนหัวห่มจีวรเท่านั้นที่เป็นได้แต่คนปกตินี่แหละเป็นได้ แล้วไปเป็นผู้บริหาร เป็นนายกฯ จะบริหารประเทศได้อย่างดีที่สุด

 

ถ้าอาตมาอยู่ไปอีก 70 กว่าปี น่าจะเห็นคนมีคุณธรรมของศาสนาพุทธเป็นนายกฯ อาตมาไม่เหมาะหรอก เพราะชาตินี้ไม่ได้มารับหน้าที่จะไปบริหารประเทศ แต่มีหน้าที่มาสอนธรรม

 

มนุษย์ชมพูทวีป มีสติมันโต ตื่นเต็มรู้ทั้งนอกและใน ครบ 6 ทวาร ตอนนี้ไทยเรามีองค์รวมของโลกอย่างไร เมืองไทยตอนนี้เป็นชมพูทวีป แต่ก่อนนี้เป็นอินเดีย แล้วเมืองไทยนี้จะเป็นที่รวมศูนย์ของคุณธรรมในโลก โดยเร่ิมขึ้นในยุคของพระมหาจักรีวงค์ที่ชื่อว่าภูมิพลอดุลยเดช หยั่งลงแล้วเกิดในลำดับ 9 ต่อไปไทยจะเป็นแหล่งชมพูทวีปของโลกไม่ใช่อินเดียเท่านั้น ขณะนี้ไปจนกว่าจะสิ้นกลียุค เมืองไทยจะเป็นศูนย์กลางของคุณธรรม

 

มาเรียนรู้โลกกับอัตตาให้ดี ทุกวันนี้โลกประชาธิปไตย สองร้อยกว่าประเทศในโลกที่เป็นประเทศประชาธิปไตย จะหยั่งลงรู้ทั้งโลกและสังคม อย่างตอนนี้นายกฯจะไม่เน้นเหมือนอาตมา อย่างนายกฯประยุทธ ก็กำลังทำงานที่จะสัปประยุทธโลก กำลังจะประกาศประชาธิปไตยไปให้แก่โลก แล้วจะมีนามธรรมซ้อนมีทั้งในหลวง ขออภัยโพธิรักษ์ก็ยังอยู่ ที่จะนำพาพลังงานนี้ไปให้แก่โลก

 

พระพุทธเจ้าอันเป็นพระบรมศาสดาของโลก ได้ทรงค้นพบ เรียกว่าตรัสรู้ ในศาสนาพุทธ แต่ทุกวันนี้ชาวพุทธ แม้นักปฏิบัติธรรม นักบวช ภิกษุของพุทธ ล้วนไม่สนใจศึกษาอย่างเป็นลำดับ และปฏิบัติให้บรรลุไปตามลำดับกันแล้ว จนกระทั่งสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงโลกและอัตตาบริบูรณ์สัมบูรณ์ ธรรมที่บรรลุเป็นลำดับนี้แลที่เป็นความน่าอัศจรรย์(อัจฉริยัง)  อันไม่เคยมี ไม่เคยได้ยินมาก่อน (อัสสุตตัง อัพภุตธัมโม)

            มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหว ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็

ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง ดูกรปหาราทะ ข้อที่ในธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง

            นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 1 ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ (พระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 109)   มีสิกขา มีกริยา และมีปฏิปทาไปตามลำดับ เรามีสิกขา แล้วจะไปทำกิริยาโดยมีปฏิปทาที่ถูกตรง โดยศึกษาปริยัติ แล้วไปปฏิบัติให้ได้ผลเป็นปฏิเวธ

 

.31 ข.620 ท่านตรัสว่าโลกุตรธรรมมี 46 ไปตามลำดับ ลำดับที่ 1 คือกายในกาย ในสติปัฏฐาน 4 อยู่ในโพธิปักขิยธรรม 37  จะได้คุณธรรมไปตามลำดับ เป็นบุคคล 8 แล้ว มีนิพพานอีก 1 รวมเป็น 9 จะมีการปฏิบัติไปตามลำดับ แต่จะมีปฏิสัมพัทธ์ซับซ้อนไป

            เพียงเท่านี้แหละ เพียงแค่ไม่ศึกษาไปตามลำดับ ไม่กระทำไปตามลำดับ ไม่ปฏิบัติไปตามลำดับ จึงไม่เป็นเบื้องต้น-เบื้องกลาง-เบื้องปลาย ที่ลาด ลุ่ม ลึกไปโดยลำดับกันจริงๆ

            ต้องมีการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยการอย่างมีลำดับ ต้องมาลดโลกลดอัตตา มาอยู่นี่เห็นอัตตากันเยอะ แล้วมาปฏิบัติลดอัตตากัน

 

ชาวอโศกรู้โลกทิ้งโลกมาได้ดี แต่แบกอัตตามาด้วยทำให้อาตมาหนัก อัตตาไม่ได้รู้ง่าย สำนึกให้ดีว่าชาวอโศกต้องรู้อัตตาแล้ววางอัตตาให้ดี อะไรควรทำจะได้ทำ บางคนทำน้อยเกินจริง ตนเองเหมาะจะทำ หมู่ว่าเหมาะจะทำแต่สะดิ้งไม่ทำ

            เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มาก ที่มีการปฏิบัติธรรมเป็นลำดับ ตั้งแต่รู้สักกายะ แล้วละสักกายะ ล้างกิเลสไปสะสมเป็นธรรมะที่ทรงไว้ตั้งในจิตเรา คุณก็ทำไปโดยกาย เวทนา จิต ธรรม ปฏิบัติสัมมัปปธาน 4 ทำจนเกิด เป็น อนุรักขณาปธาน ซึ่งตรงกับ อาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง เป็นอเนญชาภิสังขาร เราก็ทำโดยอิทธิบาท 4 จะเกิด อินทรีย์ 5 พละ 5 อินทรีย์เป็นมรรค พละเป็นผล ทำได้เป็นเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา ที่ต่างกับ เคหสติอุเบกขาเวทนา ต้องรู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส เรียงลำดับ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ไม่ใช่เรียนลัด หากคุณมีบารมีจะพาสชั้นเอง แต่ถ้าหลงตัวมีบารมี แต่ที่แท้คุณก.ไก่ นึกว่าฉันเรียนระดับ ดร. ก็บ้าอยู่เช่นนั้นไม่ได้เรื่องอะไร แต่ถ้าคุณมีบารมีจะไม่ช้าหรอก อย่าไปถือตัวอย่าไปถือดี ทำไปเถอะ ให้ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล ไม่สะดุดอะไร ราบลื่นยิ่งกว่าหน้ากระจก นี่คือความมหัศจรรย์ของธรรมะพระพุทธเจ้า

            ทุกวันนี้สงสารที่ไปนั่งหลับตาทำจะให้บรรลุ ซึ่งต้องระดับอนาคามีจึงทำเตวิชโชรู้ภายในได้อย่างจริง ของพุทธให้อยู่กับสัมผัส ปัจจุบัน เปิดทวาร จิตจะเร็วแววไว มีชวนจิต อย่างอาตมาดูทีวีได้ทีละหลายจอ พิมพ์งาน คนมาปรึกษาอีก คุณพูดนี่กว่าจะถึงหูอาตมา อาตมาคิดอะไรไปหลายอย่างแล้ว คุณประชุมไปสิ อาตมาก็ฟังได้ทำงานได้ ต้องมาฝึกเป็นลำดับอย่าอวดดี อ่อนน้อมถ่อมตนไว้ แล้วจะเร็ว แต่ทุกวันนี้เขาถือว่าข้าใหญ่ข้าดี อัตตาโต เมืองไทยต้องมาลดอัตตากันจะได้เร็วแต่ไม่ใช่ว่าน้อยเกินไป ทั้งที่ควรทำแต่ก็ทำน้อยเกิน เป็นมานะอีกแบบหนึ่ง มันควรนำมาใช้ให้ได้สัดส่วนให้ดี เรายิ่งต้องการคนดี คนมีความรู้ความสามารถ อย่าเห็นแก่ตัว อย่าขี้เกียจ ทำน้อยเกิน เรามีความสามารถทำได้แต่ไม่ทำ มีสองอย่างคือขี้เกียจ หรือว่ากลัวทำได้ไม่ดี จะถูกว่า ต้องทำแล้วให้เขาว่าได้จึงจะได้แก้ไข แต่ไม่ได้ลองความสามารถถึงจะได้แก้ไข จิตเราไม่อยากอวดดีนี่ดีแล้วแต่มาทำเถอะ แล้วมาทำดีให้เต็มที่ ไม่ต้องอยากอวดดี แต่ทำให้เต็มสามารถ ทำไปผิดคนท้วงมา เราก็ตรวจสอบ แม้เราพิจารณาแล้วเราถูก แต่เขาไม่ให้ทำก็หยุดทำไปทำอย่างอื่นมีอะไรให้ทำอีกเยอะ ให้เป็นกอบเป็นกำ

 

มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอไม่ล้นฝั่งฉันใด ธรรมวินัยของเราก็ฉันนั้น บ้านราชฯนี้ก็คงจะไม่เต็มหรอกนะ ไม่เต็มและไม่ล้น ยืดหยุ่นได้เสมอกับความเหมาะสมนี่คือคนไม่มีอัตตา ไม่มีโลกธรรม ไม่มีกามไม่มีอัตตา นี่คือคนมีปัญญา

พระพุทธเจ้าตรัสกับปหาราทะ... มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่งฉันใด สาวกทั้งหลายของเราก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่ล่วงสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้ แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต ปหาราทะ ข้อที่สาวกทั้งหลายของเราไม่ล่วงสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้แม้เพราะเหตุแห่งชีวิตนี้ เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏประการที่ 2 ในพระธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่

แม้แต่คนไม่ละเมิดศีลข้อใดข้อหนึ่งที่เราทำได้แล้ว ถ้ายังทำไม่ได้ก็ต้องมีละเมิดบ้าง แต่ถ้าเราทำได้แล้วก็จะไม่ไปเพ่งคนอื่น จะอนุโลมปฏิโลมคนอื่น จะรู้จักจัดสัดส่วนประมาณ สัปปุริสธรรม 7

 

"ปหาราทะ มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ เพราะในมหาสมุทรคลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่งให้ขึ้นบกฉันใด ปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลผู้ทุศีล มีบาปธรรม มีสมาจารไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน ชุ่มด้วยราคะ เป็นเพียงดังหยากเยื่อ สงฆ์ย่อมไม่อยู่ร่วมกับบุคคลนั้น ประชุมกันยกวัตรเธอ เสียแล้วทันที แม้เขาจะนั่งอยู่ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงกระนั้น เขาก็ชื่อว่าหางไกลจากสงฆ์ พระสงฆ์ก็ห่างไกลจากเขา ปหาราทะ ข้อที่บุคคลผู้ทุศีล มีบาปธรรม มีสมาจารไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปกปิดความชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน ชุ่มด้วยราคะ เป็นเพียงดังหยากเยื่อ สงฆ์ย่อมไม่อยู่ร่วมกับบุคคลนั้น ประชุมกันยกวัตรเธอเสียแล้วทันที แม้เขาจะนั่งอยู่ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงกระนั้นเขาก็ชื่อว่าห่างไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ห่างไกลจากเขานี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏประการที่ 3 ในพระธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่

 

สังคมทุกวันนี้มีผู้ทุศีล มีบาปธรรม มีสมาจารไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปกปิดความชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน ชุ่มด้วยราคะ เป็นเพียงดังหยากเยื่อ สงฆ์ย่อมไม่อยู่ร่วมกับบุคคลนั้น ประชุมกันยกวัตรเธอเสียแล้วทันที แม้เขาจะนั่งอยู่ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงกระนั้นเขาก็ชื่อว่าห่างไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ห่างไกลจากเขานี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏประการที่ 3 ในพระธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ร


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:13:15 )

580408

รายละเอียด

580408_ทวช.ปลุกเสกฯครั้งที่ 39 กามหรืออัตตาอธิปไตยที่เป็นธรรม 3

พ่อครูว่า...วันนี้วันที่สี่ของปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธครั้งที่ 39 แล้ว เราก็ปลุกกันจริงๆ ปลุกกันเรื่อยๆ เพราะว่าคนเรานี่ พระพุทธเจ้าว่าเป็นคนที่ไม่รู้ตื่น แต่ไม่หลับนะ นอกจากไม่หลับแล้วดิ้นด้วย ตาเหลือกตาโพลงด้วยไม่ใช่ลืมตาธรรมดา ดีไม่ดีแยกเขี้ยวยิงฟันด้วยนะคนนี่

 

อย่างโบราณาจารย์ท่านบอกว่าเป็น จาตุมหาราชิกา จะเป็นมหาราชเป็นใหญ่สี่ทิศเลยในโลก ก็มีเท่านั้น ในประดาคนที่ไม่ได้ฟังธรรมอันสัมมาทิฏฐิจะหลงโลกทั้งสี่ทิศ เกิดมายังหลงไม่รู้จริง อวิชชา จะเป็นคนเช่นนั้น โลภ แสวงหา โดยมีจิตเป็นตัวบงการใหญ่เป็นมหาราชสี่ทิศได้มาก็ดีใจเป็นสุขขึ้นสวรรค์ดาวดึงส์แล้วอยากให้อยู่อย่างนั้นนานๆคือยามา แต่จะอย่างไรก็ต้องมีพักคั่น จะดีใจอย่างไรก็ต้องมีเสียใจสลับ แต่ไปตั้งอุปาทานว่าจะต้องได้สมใจตลอด เมื่อไม่ได้ก็จะอกหัก เหมือนแรงที่จะเหวี่ยงไปซ้ายมาก ก็จะกลับมาขวามากเช่นกัน ตั้งความสุขไว้สูง ความทุกข์ก็ต้องสูงไปด้วย แต่มันก็มีจำนนที่เมื่อยก็ต้องพัก พักด้วยจำนนมันเมื่อย เป็นธรรมชาติ แต่แล้วก็กระเหี้ยนกระหือรือ เป็นนิมมานรดี ยิ่งทำยิ่งได้ก็ยิ่งเอาใหญ่ จนลากคนอื่นเข้ามา ปรนิมมิตวสวตี ทำให้คนอื่นหลง คนอื่นก็มาทำมาสร้างให้ใหญ่ เป็นอย่างนี้ทั้งโลก คนอื่นเป็นลิ่วล้อ เสวยภพชาติในโลก

 

ในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยง มีแต่วิบากใช้หนี้กันไปวนเวียน มีอารมณ์ผลักกับดูดสองอย่างหมุนไปมา กระแทกไปมา มีแค่สองพลังงานนี้แหละที่ผลักดันกันในโลก ทำให้คนเดือดร้อนนานนับชาติ ไปตลอดกาลนาน

 

อาตมานำปหาทราทสูตร ซึ่งอาตมาถือว่าเป็นสูตรสำคัญในพระไตรฯล.23 เพราะเป็นความจริงที่ไม่เคยมีมาก่อนในความเป็นคน เป็นสังคม 8หลัก ท่านเรียกว่าความน่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาก่อน อัจฉริยัง อัสสุตัง อัพภูตธรรม คนจะมองไม่ออกว่าน่าอัศจรรย์ อย่างชาวอโศกที่เกิดมาแล้วนี่เป็นคนน่าอัศจรรย์ เราเคยถูกคนดูถูกว่า พวกนี้โง่ทำงานรับใช้โพธิรักษ์ ให้กินกล้วยหวีเดียวทำงานทั้งวัน

 

ชาวอโศก มุ่งมาจน ตั้งใจจน เต็มใจจน มาจนอย่างไม่ถูกหลอกล่อ มันทวนกระแสกับคนในโลกที่มุ่งมารวย คนเป็นพันล้าน คนนี่มุ่งไปรวยสัก สี่พันล้านมั้ง มันทวีคูณ ใครรวยได้มากจะทึ่งกัน อย่างบิลเกตต์นี่ครองตำแหน่งรวยที่สุดในโลกมานานแล้ว ยึดหัวหาดเทคโนโลยี่มา ตอนนี้มีคนอื่นมาต่อสู้ แต่เขาก็พยายามทำต่อ

 

สรุปคนเราทำอะไรที่อวิชชา เรียกว่าโง่ ไปทึ่งอัศจรรย์ความรวย เราอยากเป็นอยากมีอย่างเขา นั่นคือความอัศจรรย์โลกีย์ แต่เรามาจนลดละเสียสละ เอาออกมาให้ส่วนรวม ช่วยกัน แล้วช่วยโลก แทนที่จะดึงดูดเอาจากโลก อาตมาถือว่าแนวคิดนี้เลวร้าย อย่างหลักเศรษฐศาสตร์ที่จะให้ประเทศรวย เราออกแรงสร้างสรรผลิต ทำได้มาก เกิดผลมากก็ถือว่ารวยได้ และสอง อันที่รวยของตนนี่ที่สร้างผลผลิตมาด้วยตนเองนี่ไม่ได้เบียดเบียนเดือดร้อนใคร อย่างชาวอโศกนี่สร้างเองส่วนมาก ทำเองส่วนมาก บางอย่างก็ต้องซื้อเขา แต่อะไรทำได้เองเราก็ทำ เรายึดหัวหาดกสิกรรม เพราะเป็นสิ่งจำเป็น ถ้าชาวอโศกเป็นชาวไร่ชาวนา ผลิตกันอย่างเป็นอาริยบุคคล 4 เลย เราจะมีสิ่งประเสริฐ มีอาริยทรัพย์ เราผลิตได้มากก็ไม่ได้เอาสินค้านี้ไปเอาเปรียบโลก

 

เราจะมีมากสมบูรณ์ได้คือ เราสร้างผลิตได้มาก ถ้าเราจะกักตุนอีกมันก็ได้มาก แล้วเอาไปออกดอกผล ขายให้ได้กำไรมากเป็นแบบเศรษฐศาสตร์โลก maximize profit แล้วเอาไปขูดรีดชาวโลก ประเทศก็รวย แต่รวยแบบนี้อาตมาขอแช่งว่า รวยฉิบหาย เป็นเศรษฐศาสตร์ที่เลว เราทำได้ดีได้มาก็ดีแล้ว ทำไมเราไม่เกื้อกูลแจกจ่ายคนอื่น ลดราคาได้ เรามีสมรรถนะสร้างสรรได้วิเศษเช่นนี้

 

การสร้างที่เลวร้ายที่สุดคือสร้างอาวุธ อาวุธที่วิเศษทำลายได้มาก แล้วไปขายแพงๆ คนก็จำนนเพราะว่าสร้างเองไม่ได้ ก็ต้องซื้อราคาแพง คนทำแบบนี้บาปมาก เราอย่าคิดทำ อย่าคิดสร้าง เพราะสังคมโหดร้ายเช่นนี้มากแล้ว คนถูกยิงตาย ถูกอาวุธตายมากมาย อย่าคิดทำ

 

คนไม่คิดสร้างสิ่งเป็นโทษ สร้างแต่สิ่งเป็นประโยชน์ อย่างอาตมาพาพวกเราทำ น่าอัศจรรย์โดยตั้งใจจน เต็มใจจน ไม่ได้ครอบงำความคิดด้วย ชาวโลกสอนให้เอาเปรียบ เอาเปรียบได้แล้วดีใจ เชิดชูกันอีก อย่างดาราก็มีสารพัดลามกอนาจาร ท่าเต้นทุกวันนี้ลามกขึ้นทุกวัน บ้าบอขึ้นทุกวัน แล้วบอกว่าเป็นท่าฮิตมาแรง หลงกัน ก็ได้เงิน หลงเสพอุปาทาน ว่ามัน อร่อย ต้องเสพสัมผัส ดู ฟัง ดม ต้องทำเอง ถ้าเรียนรู้ธรรมะจะรู้ว่าคืออบายมุข ผลาญเปลืองเปล่า ตอนนี้ก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมแข่งขัน เป็นกีฬา ต้องฝึกฝน เอาแรงงานไปสร้าง ไปทำ แย่งชิงกัน เตะบอลเข้าโกล ทั้งชีวิตทำเช่นนั้น แล้วได้ความเด่นดังสรรเสริญ ได้ยศตำแหน่ง บางคนได้ทั้งที่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไร บางคนเตะบอลเก่งก็ได้เป็นนายร้อยอย่างนี้ไม่ใช่ปัญญาประเทือง เป็นปัญญาหายนะ เขาไม่ค่อยเข้าใจสัจธรรม ว่าอะไรไม่ใช่สิ่งควรส่งเสริม อะไรควรส่งเสริม

 

ในสังคมประเทศ สำนักที่ยุคนไปรวย หลอกคนไปรวยให้จิตมีอุปาทานยึดคนไปรวย กับสำนักที่ยุแหย่ให้คนไปจน มาจน ครอบงำมอมเมาให้คนมาจน อาตมาก็จะทำให้สำเร็จ ใครอยากมาก็มา มาจนนี่ง่ายกว่าลัดกว่า แล้วมีประโยชน์คุณค่ากว่าเพราะจนมหัศจรรย์ไม่สิ้นไร้ไม้ตอก เป็นคนมีจิตอันประเสริฐ เราพูดนี่ไม่ได้หลงยกตนเองอะไรนะ

 

คำว่าน่าอัศจรรย์สองทิศ คนไปรวยหลงฟู่ฟ่าโลกีย์แย่งชิงกัน แต่พวกเราไม่แย่งชิงมีแต่สร้างสรรเกื้อกูลเจือจาน แต่ทางโน้นมีแต่ดูดเอาไป ไม่แจกจ่าย มันก็ชัดเจนนะว่าอะไรดี แต่คนก็ไปหลงอันโน้น โลกจะเรืองดำรงก็เพราะเราทั้งหลาย อย่ามัวหลับมัวหลงเราก็คงมลาย

 

อาตมาพาพวกเรามาศึกษาอย่างมีลำดับ

อนุปุพสิกขา แล้วมีอนุปุพกิริยา แล้วมี อนุปุพปฏิปทา มีการศึกษามีการปฏิบัติแล้วมีการดำเนินไปตามลำดับ คือความอัศจรรย์ที่มีการบรรลุไปตามลำดับ มันก็ไม่ช้านะไปได้ตามลำดับ ไม่ขรุขระ ตั้งใจดีๆเริ่มต้น ใครยังไม่เริ่มก็ไม่สาย วินาทีข้างหน้าก็เริ่มได้แล้วไม่สาย ถ้าไปรอวัน เดือน ปีข้างหน้ายิ่งสายไปใหญ่เลย เร่งลงมือ ทุกคนทำได้ ถ้ามีบารมีก็จะไปได้เร็ว ถ้ามีบารมีอาจเร็วกว่าพระยสะ พระพาหิยทารุจริยะ ฟังธรรม สี่วลีก็บรรลุอรหันต์ แต่เราอย่าไปฝันหวังเลย เราทำไปตามลำดับ มีจุดเริ่มต้นให้ทุกคน

 

เราเริ่มต้นตามปฏิปทาของพระพุทธเจ้า เริ่มที่ศีล

 

ข้อสองในความมหัศจรรย์ของธรรมวินัยพระพุทธเจ้าว่า "ปหาราทะ มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่งฉันใด สาวกทั้งหลายของเราก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่ล่วงสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้ แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต ปหาราทะ ข้อที่สาวกทั้งหลายของเราไม่ล่วงสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้แม้เพราะเหตุแห่งชีวิตนี้ เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏประการที่ 2 ในพระธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่

 

เรามีศีล ข้อหนึ่งเราไม่ฆ่าสัตว์ ข้อสองเราไม่เอาของที่ไม่ใช่ของเรา ข้อสามเราเริ่มศีล 5 แต่ถ้าเรามีบารมีจะเป็นศีล 8 ได้อย่างได้โดยไม่ยากได้โดยไม่ลำบากซึ่งฌาน 4 ทำได้แล้วไม่ละเมิดศีลจริงๆ ก็จะได้ดีของตนเอง ระวังอย่าให้เกินตัว ก็มาเริ่มตั้งต้น ความหมายง่ายๆศีล 5 ไม่ฆ่าสัตว์ไม่เอาของคนอื่นที่ไม่ใช่ของเรา ไม่ละเมิดในกามผัวเดียวเมียเดียว เราตีกรอบกามคุณแค่นี้ ก็ตั้งของตนเองไม่พูดปด ยังไงก็ไม่พูดปด แม้จะเสียชีวิตก็ไม่พูดปด เป็นความน่าอัศจรรย์ ไม่เอาแล้วอบายมุข คือความต่ำเสื่อมขนาดนี้เราไม่เอา แม้แต่บันเทิงเริงรมย์จัดจ้านมอมเมากันมาก โกงกันระดับแสนล้านนี่ระดับอภิมหาอบายมุข คำว่าอบายนี่มันเป็นความเกินจัดจ้านที่เลวมาก ศีลข้อ 4 ไม่ให้โกหก แต่ว่ารัฐมนตรีบอกว่าโกหกสีขาวได้ นี่คือความตอแหลของคน

 

สิ่งที่เป็นเรื่องไม่ยาก เป็นเรื่องง่ายแต่ทำไมโง่ ไม่มาทำอีก พระพุทธเจ้าสอนให้เรามี อนุปุพสิกขา แล้วก็ไปทำอนุปุพกิริยา แล้วพัฒนาไปตามอนุปุพปฏิปาทา ไปตามลำดับ แล้วจะพิสูจน์ความมหัศจรรย์นี้ อาตมาได้พูดว่าชาวอโศกได้หยั่งลงเป็นชมพูทวีปแล้ว แล้วจะนำกระบวนไปเป็นมนุษย์อุตรกุรุทวีป เป็นแดนแห่งมนุษย์ที่เจริญ อุตระเป็นปัญญา ส่วนสติเป็นอธิปไตย ที่ผู้ศึกษาปฏิบัติจะเกิดมรรคผลไปตามลำดับ อย่างมูลสูตรของพระพุทธเจ้าตรัสไปเป็นลำดับสวยงามมาก คนจะมาที่นี่หากไม่ยินดีพอใจจะมา ก็มาเป็นไส้ศึกเท่านั้น เข้ามาสอดแนมเท่านั้นจะมาจับผิด ยิ่งถ้าเขามีจิตคิดร้ายเลยนะ จะไม่เห็นสิ่งดีงาม เขาจะเห็นแต่สิ่งตรงข้าม เช่นอาตมาพาคนมาจน เขาจะหาว่าหลอกคนเก่งฉิบหาย ให้ทำงานทน กลางแดดร้อนก็ทำ ไม่ให้กินอะไรตามใจชอบไม่เอาเนื้อนมไข่มาโด๊ปกันเลยไม่หรูหราเลย เขาจะมองแง่ลบตามอุปาทานเขา แต่ถ้าคนมีฉันทะมีปัญญาเป็นอุตตระ เป็นปัญญาที่เหนือโลกธรรม เหนือสาธารณปุถุชน เป็นปัญญาอุตตระ จะเห็นว่านี่แปลกนะน่าสนใจ ถ้ามีแง่นี้ก็ยินดี welcome ยินดีต้อนรับ

 

เมื่อมีฉันทะแล้วมาศึกษา การทำใจในใจ นี่แหละเป็นแดนเกิดมนุษย์ชมพูทวีป แดนอโศกนี่แหละคือแดนเกิดมนุษย์อุตรกุรุทวีป ซึ่งมีมนุษย์ชมพูทวีปเท่านั้นที่อยู่ได้ เรากำลังสร้างยานให้คนออกนอกโลกได้ คืออปรโคยาน เป็นพาหนะที่จะนำพาไปสู่สวรรค์ชั้นนิพพาน คำพูดนี้อาตมาไม่ได้พูดเองเป็นวาทกรรมแต่เราทำได้อย่างเป็นจริง

 

รู้ทิศทางของสวรรค์จริง ไม่เอาสวรรค์ลวง รู้ว่ามามักน้อยสันโดษมีใจวิเวกที่เป็นพลังงานสร้างสรรก่อนไม่ใช่วิเวกแบบหนีหายไม่เห็นหัวเลย แต่วิเวกอย่างอบอุ่นเกื้อกูลกันสร้างสรรในโลก แม้วิเวกก็เข้าใจ มีอสังสัคคะ ไม่หลงสวรรค์ ในอนุปุพพิกถา รู้อาทีนวะ เขาไม่รู้ก็สร้างวิมานหลอกกัน เสียเวลาแรงงานทุนรอน เสียโอกาส เรามาเรียนรู้ของพระพุทธเจ้าทานให้เป็นอัตถิทินนัง ทำยัญพิธีก็มีอัตถิยิตถัง อ่านจิตเป็นอัตถิหุตัง เมื่อเราทำทาน ทำศีล แล้วจิตเราเกิดผลเป็นอัตถิหุตังหรือไม่ เพราะเราทำใจในใจได้ อย่างมีผัสสะเป็นสมุทัย เรารู้จัก เจตสิก 3 เวทนา สัญญา สังขาร แตกสังขารออกเป็น เจตนา ผัสสะ มนสิการ รู้จักสมุทัยอาริยสัจแล้วกำจัดได้ รวมลงเป็นเวทนา คือ ธรรมะสอง รวมลงไปในเวทนา เป็นหนึ่งในเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ทำให้เวทนาสองคือสุขทุกข์ เคหสิตะ รวมลงเหลือแต่เนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา ทำเวทนาได้จึงสั่งสมเป็นสมาธิ เป็นประมุข ได้แล้วเจริญเป็นอินทรีย์ 5 เจริญเป็นอุตระ จนจบมีวิมุติเป็นแก่นสารได้แล้วเป็นอมตบุคคล ในชุมชนอโศกจะสั่งสมคนอมตะ เป็นคนที่ไม่ตาย ไม่เกิด เพราะฆ่ากิเลสให้ตายหมด

 

ความมหัศจรรย์คนเรามีศีลได้อย่างตถตา ไม่ฆ่าสัตว์ไม่ลักทรัพย์ไม่ผิดผัวเขาเมียใครไม่พูดปดไม่มีอบายมุขได้อย่างปกติ ถ้าเราจะไปผิดศีลมันกลับสะดุดเลย จะไม่ทำ มันมีสติสัมปชัญญะ เนียนใน มีสติเป็นใหญ่ อธิปไตยเป็นยิ่ง แต่คนทั่วไปฆ่าสัตว์ได้เฉยๆ แล้วมันอีกต่างหาก เราทำไม่ไหวหรอก ของไม่ใช่ของเราแล้วเอามาทำไม เราเป็นคนทวนกระแสโลกเช่นนี้

 

ข้อสาม  "ปหาราทะ มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ เพราะในมหาสมุทร คลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่งให้ขึ้นบกฉันใด ปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลผู้ทุศีล มีบาปธรรม มีสมาจารไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน ชุ่มด้วยราคะ เป็นเพียงดังหยากเยื่อ สงฆ์ย่อมไม่อยู่ร่วมกับบุคคลนั้น ประชุมกันยกวัตรเธอ เสียแล้วทันที แม้เขาจะนั่งอยู่ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงกระนั้น เขาก็ชื่อว่าห่างไกลจากสงฆ์ พระสงฆ์ก็ห่างไกลจากเขา ปหาราทะ ข้อที่บุคคลผู้ทุศีล มีบาปธรรม มีสมาจารไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปกปิดความชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน ชุ่มด้วยราคะ เป็นเพียงดังหยากเยื่อ สงฆ์ย่อมไม่อยู่ร่วมกับบุคคลนั้น ประชุมกันยกวัตรเธอเสียแล้วทันที แม้เขาจะนั่งอยู่ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงกระนั้นเขาก็ชื่อว่าห่างไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ห่างไกลจากเขานี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏประการที่ 3 ในพระธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่

 

เราเห็นแล้วก็ได้ทำใจว่าโลกก็มีคนอย่างนี้อยู่ ทุกวันนี้ เราจะรู้ว่าที่ปลอมตัวเป็นสงฆ์ชาวพุทธนี่มีทั้งระดับ อสังวาส เป็นนิกายก็มีแล้ว ไม่ใช่องค์รวมที่จะมาร่วมกันได้แล้ว ถ้าจะร่วมก็ต้องเปลี่ยนนิกาย แต่ถ้าระดังนานาสังวาสบางอย่างก็รวมกันได้เข้ากันได้ อะไรร่วมกันไม่ได้ก็มี จนเห็นว่ามาอยู่ที่นี่แล้วร่วมกันได้ก็ประกาศว่าเรารับเข้าหมู่นะ มารับจากสังวาสโน้นมาสังวาสนี้ แต่ถ้าเป็นนิกายแล้วก็ต้องมาสึกก่อนแล้วมาบวชใหม่ แต่นานาสังวาสไม่ต้องสึก หมู่สงฆ์เห็นว่าเข้ากันได้แล้วก็รับเข้าหมู่ได้

 

แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่สงฆ์ก็ว่า ตนเป็นสงฆ์ ตนเองเป็นสมีแล้ว ก็ไม่ยอมรับวิบาก ซึ่งคนเป็นสมีชาตินี้ก็ต้องยอมรับวิบากไปหนึ่งชาติเลย เราเรียนรู้ก็จะรู้ว่าผู้อสังวาสคือขนาดไหน ผู้นิกายคือขนาดไหน ระดับนานาสังวาสคืออย่างไร ระดับสังวาสคืออย่างไร? พระพุทธเจ้าท่านตราไว้แล้ว แล้วอธิกรณ์ขนาดไหน มีปฏิกโกสนาได้อย่างไร จะอุกโกฏนาได้หรือไม่?

 

ทุกวันนี้อาตมาต้องปฏิกโกสนาแรง เพราะเขาหนา แต่ก็ยังดูไม่กระเทือนเหมือนเอาสำลีเช็ดหนามทุเรียน แต่ธรรมวินัยคือมหาสมุทร ที่จะซัดซากศพเข้าฝั่ง อย่างพวกคุณเป็นฆราวาสก็เป็นสมณะ 4 เหล่าได้ คือผู้มีคุณธรรมในจิตวิญญาณแท้จริง มหาสมุทรจะซัดซากศพเข้าหาฝั่ง แม้จะแต่งชุดสมณะมาที่นี่ มาเจอมหาสมุทรก็จะถูกซัดซากศพเข้าฝั่ง ก็ระวังอย่าซัดแรงนัก คงจะไม่แรงจัด เพราะมีศิลปะกัน แล้ว ซากศพก็จะไม่ค่อยเข้ามา เพราะว่าอาจเจอสึนามินะ เป็นสัจจะเราต้องมีอนุโลมปฏิโลม มีมารยาทสังคม มีศิลป์และศาสตร์

 

 

"ปหาราทะ แม่น้ำสายใหญ่ ๆ บางสาย คือแม่น้ำคงคา แม่น้ำยมุนา แม่น้ำอจิรวดี แม่น้ำสรภู แม่น้ำมหี แม่น้ำเหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้วย่อมละนามและโคตรเดิมหมด ถึงความนับว่า มหาสมุทรนั่นเอง ฉันใด ปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน วรรณะ 4 เหล่านี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ออกบวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมเสีย ถึงความนับว่าเป็นสมณะศากยบุตรทั้งนั้น ปหาราทะ ข้อที่วรรณะ 4 เหล่านี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ออกบวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมเสีย ถึงความนับว่าเป็นสมณะศากยบุตรทั้งนั้นนี้ เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏประการที่ 4 ในพระธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่

 

คนที่ดีที่เจริญมีประโยชน์คุณค่าเราเคารพ แต่ไม่จำเป็นต้องอวดดีอะไร เราเป็นคนทำตัวเล็กๆ แต่ไม่ได้ไปทำเล่น ไม่เล่นกับหมาหมาเลียปาก ทำตนไว้ตัวบ้างปรับให้พอเหมาะ อันนี้ก็ต้องประมาณให้ดีให้มีจังหวะ สรุปแล้วพวกเรานี่คนจะเก่ง รวย มีวรรณะอะไรมาก็แล้วแต่ เราก็ล้วนแล้วแต่ไม่มีวรรณะศักดินา  คือมันรู้ความเหมาะสม ความควร ปโหติ เราก็รู้เหมาะควร กัมมนิยะ คือมรรค ส่วนกัมมัญญตาคือผล

 

พระพุทธเจ้าท่านไม่มีพลเมืองของท่าน แต่ท่านก็มีพลเมือง ท่านไปรัฐต่างๆ แล้วก็มีพลเมืองของรัฐนั้นมาเป็นพลเมืองของรัฐท่านโดยเจ้าเมืองนั้นๆยอมอย่างเต็มใจด้วย พระพุทธเจ้าประกาศปชต.ยอดเยี่ยมที่สุด ประกาศความเสมอภาคตั้งแต่สองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว

(คนแสวงหาปชต.ก็มาศึกษาให้ดี เขาเรียกร้องปชต.กันเย้วๆ ก็หยุดเห่าได้แล้ว ตนไม่รู้สัญชาติตนเลย เขารู้กันทั้งบ้านทั้งเมืองก็ยังเห่าอยู่ได้ )

 

"ปหาราทะ แม่น้ำทุกสายในโลก ย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทรและสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฏว่าพร่องหรือเต็ม เพราะน้ำนั้น ๆ ฉันใด ปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน ถึงแม้ภิกษุเป็นอันมากจะปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุก็มิได้ปรากฏว่าพร่องหรือเต็มด้วยภิกษุนั้น ปหาราทะ ข้อที่ถึงแม้ภิกษุเป็นอันมากจะปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุก็มิได้ปรากฏว่าพร่องหรือเต็ม ด้วยภิกษุนั้นนี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏประการที่ 5 ในพระธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่

 

พระพุทธเจ้าว่าตราบใดโลกยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบโลกไม่ว่างจากอรหันต์ ถ้าพวกเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแม้ยุคนี้ก็มีอรหันต์ ข้อสำคัญคือปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหรือไม่? ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ นิพพานธาตุต้องปรากฏ มหาสมุทรไม่มีพร่อง ในโลกนี้หุ้มด้วยน้ำ น้ำก็ไม่พร่องไปไหนก็ไหลไปไหลมา มีแรงดึงดูดน้ำไว้ในโลกอยู่ไม่ได้ระเหยไปหมดหรอก จริงๆน้ำในโลกนี้มีได้ทั้งมันดูดเพิ่มในโลกได้ ในวาระหนึ่งโลกหมดแรงดึงดูด น้ำจะระเหยไปหมดโลก โลกพร่องน้ำได้ โลกลูกใด เกิดมาน้ำถูกดูดเข้าหาโลก อย่างรถที่เอาน้ำไปที่โน่นที่นี่ รถนั้นคือดาวหาง ดาวหางบางอัน มีหางที่เป็นก้อนน้ำ กระจายน้ำไปให้โลกลูกต่างๆ โลกลูกไหนมีพลังดูดมาก็ดูดน้ำมามาก แต่ถ้าโลกลูกไหนแรงดูดหมดไปก็จะกระจายน้ำสู่โลกลูกอื่น

 

อนุปาทิเสสนิพพาน กับ สอุปาทิเสสนิพพาน

 

อนุปาทิเสสนิพพาน คือ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน

สอุปาทิเสสนิพพาน คือ อรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่หรือตั้งจิตจะต่อภพภูมิโพธิสัตว์

 

ชาวอโศกเป็นแผ่นดินพุทธ ใครจะมาจากไหน เหมือนแม่น้ำสายไหนชื่ออะไรก็ตาม มาที่นี่ชื่อว่าพุทธเป็นอโศกชื่อเดียวเท่านั้น บางคนได้ชื่ออาตมาตั้งให้แล้วก็ไม่มา ขายชื่อหมด

 

พวกเราก็จะมาหลอมรวมเป็นมนุษย์ชมพูทวีป แม้บางคนมาอยู่แล้วจะแสบเผ็ดนะ แต่อยู่ทางโลกนั้น แสบเผ็ดมากกว่าพวกเรานะ ทำไมไม่หยุดดิ้น ใช้ศัพท์คำว่าแสบ เรามาที่นี่ทนไม่ไหวก็แสบเผ็ด แต่ควรจะทนแสบเผ็ดในที่ไหน?.... แน่นอนว่าคนทนไม่ไหวก็ไม่ไหวออกไป เราก็ไม่บังคับใคร แต่ถ้าทนได้ก็ควรอยู่ พระพุทธเจ้าว่าปฏิบัติธรรมหน้านองน้ำตาอยู่คนนั้นเป็นคนน่าเคารพ

 

"ปหาราทะ มหาสมุทรมีรสเดียว คือรสเค็ม ฉันใด ปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน พระธรรมวินัยนี้มีรสเดียว คือ วิมุตติรส ปหาราทะ ข้อที่พระธรรมวินัยมีรสเดียว คือ วิมุตติรสนี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏประการที่ 6 ในพระธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่

 

อย่างมะยงชิดนี่เปรี้ยว แตะเข้าไป คนไทยว่าเปรี้ยว คนจีนว่า ซึง ฝรั่งว่า ซาว แต่รสเดียวกัน พยัญชนะต่างกันเท่านั้น แปลว่ากิเลสที่คุณชอบ นั่นแหละไม่ใช่รสมหาสมุทร ส่วนรสมหาสมุทรนั้นมีรสเดียวกันหมด ไม่ว่าไทย จีน แขกมาแตะก็รสเดียว สัจจะ แต่ว่าปรมัตถ์นั้นมี ชอบมีชัง สองอย่าง แล้วมากน้อยต่างกันไป

 

บางอย่างเหม็น ไม่มากเราก็รู้ว่าพอทนได้ แต่บางอย่างทนไม่ได้ ทนได้ยากเพราะมันมากไป ถ้าอย่างแสงนี่มากไปเราก็แพ้ได้ กลิ่นอันนี้ สัมผัสอันนี้เราแพ้ก็ได้ ต้องสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา อย่างอาตมาก็ตอนนี้แพ้พริก แต่ก่อนนี้ไม่กลัว กินพริกได้ แต่เดี๋ยวนี้สรีระไม่รับ ก็ไม่ค่อยดี ก็พยายามอยู่ แต่เราไม่มีรสผลัก ไม่มีรสมัน มีแต่รสวิมุติ ในปรมัตถ์ บางคนทนได้มาก อยู่กับอากาศหนาวก็ทำได้ บางคนซดน้ำร้อนได้เฉย นี่คือพลังจิต

 

"ปหาราทะ มหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในมหาสมุทรนั้นมีดังนี้ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม มรกต ฉันใด ปหาราทะ ฉันนั้นเหมอนกัน พระธรรมวินัยนี้มีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในพระธรรมวินัยนั้นมีดังนี้ คือ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8 ปหาราทะ ข้อที่พระธรรมวินัยนี้มีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในพระธรรมวินัยนั้นมีดังนี้ คือ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8 นี้ เป็นธรรมนี้น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏประการที่ 7 ในพระธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่

 

ในชาวอโศกนี่น่าอภิรมย์ไหม? มี สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8ไหม? เราไม่ได้พูดแต่พยัญชนะ แต่เรามีอย่างสัมมาทิฏฐิ รู้จัก กายในกาย เวทนาในเวทนา มีpsychoanalysis หรือไม่ แยกแยะเวทนาในเวนาออกหรือไม่ ในเวทนา 108 จนสามารถสั่งสมเวทนา 36 ทุกปัจจุบันให้เกิดอดีต ในอวิชชาข้อ 7 จนอดีตกับอนาคตเป็นตถตา สูญหมดกิเลสเลย พ้นอวิชชาสวะก็จบ เราก็ปฏิบัติสมาธิหลับตาได้ เป็นอุปการะไม่มิจฉาทิฏฐิไม่ตีทิ้ง เป็นได้ทั้งเจโตสมถะและโลกุตระ แต่แท้จริงคนมีแต่เจโตสมถะไม่มีโลกุตระเป็นอรหันต์ไม่ได้แต่ถ้ามีแต่โลกุตระก็เป็นอรหันต์ได้อยู่

 

ปฏิบัติธรรมไปตามลำดับ ของพุทธทำจรณะ 15 อยู่ในชีวิตประจำวันเลย จะได้ฌาน 4 โดยไม่ยากไม่ลำบากแต่ของฤาษีต้องไปทำนั่งสมาธิทำฌาน อย่างนั้นได้โดยยากได้โดยลำบาก ไม่ใช่ฌานพุทธ

 

โพชฌงค์คือขา มรรคคือทางปฏิบัติ ต้องมีทั้งขา และทางจึงไปได้ พระพุทธเจ้าเกิดมรรคองค์ 8 โพชฌงค์ 7 จึงเกิดได้

 

"ปหาราทะ มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของสิ่งที่มีชีวิตใหญ่ ๆ และสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรนั้นมีดังนี้ คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคละ ปลาติมิรมิงคละ พวกอสูร นาค คนธรรพ์ แม้ที่มีร่างกายประมาณ 100 โยชน์ 200 โยชน์ 300 โยชน์ 400 โยชน์ 500 โยชน์ มีอยู่ฉันใด ปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน พระธรรมวินัยนี้ก็เป็นที่พำนักอาศัยของสิ่งมีชีวิตใหญ่ ๆ สิ่งมีชีวิตในพระธรรมวินัยนี้มีดังนี้ คือ พระโสดาบัน ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล พระสกทาคามี ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล พระอนาคามี ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล พระอรหันต์ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ ปหาราทะ ข้อที่พระธรรมวินัยนี้เป็นที่พำนักอาศัยแห่งสิ่งที่มีชีวิตใหญ่ ๆ สิ่งที่มีชีวิตในพระธรรมวินัยนี้ มีดังนี้ คือ พระโสดาบัน ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล พระสกทาคามี ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล พระอนาคามี ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอนาคามีผล พระอรหันต์ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์นี้ เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏประการที่ 8 ในพระธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่"

 

พวกอสูรคือไม่กล้าทำดี พวกนาคคือขี้เกียจเอาแต่นอนแต่หลบ คนธรรพ์คือแอบแฝงเสพกาม มีไหมในนี้ ...ที่เราบอกว่าพวกเราก็มีอสูรมี นาค เพราะว่าพวกเรามีตาทิพย์ พวกที่เขาดูเหมือนว่าทำทีเป็นไม่ได้โลภ ไม่ได้อยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ แต่ตนเองหลอกจะเอา นี่คือคนธรรพ์แฝงในขนพญาครุฑ เขาเป็นจริงๆเขาไม่รู้ตัว เขาเป็นคนธรรพ์เป็นอสูรกันจริงๆนะ ตอนนี้จะดูว่า อสูรนี่จะเป็นผู้ที่จะเข้าใจเห็นจริงกล้าฟันไหม? ถ้าเขากล้าหาญก็จะทำ ผู้นั้นรู้ตัวแล้วกล้า แต่ถ้าไม่กล้า เป็นอสูรก็แม้มีดาบอาญาสิทธิ์ก็ไม่ลงดาบ กับตัวกวน ไม่ลงดาบตนเองจะตายก่อนจะตกมาคอหักคอเอียงพิการก่อน

สิ่งที่เป็นเพชร เป็นทองเป็นสิ่งมีค่า เป็นสัตว์ใหญ่คือ โสดาฯสกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ส่วนแก้วมณีรัตนะคือมรรค ข้อที่ 8 นั้นคือบุคคล 8 นี่คือความน่าอัศจรรย์ในศาสนาพุทธ ของพระพุทธเจ้า ที่อาตมาพูดนี่มีสิ่งจริงไหม? อยู่ที่ไหน?.... มันเป็นสัจจะที่ต้องการพิสูจน์ เชิญมาดูว่าที่นี่มีปลาติมิ ปลาติมิงคละ ปลาติมิรมิงคละ พวกอสูร นาค คนธรรพ์ ...จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:14:28 )

580409

รายละเอียด

580409_ตอบปัญหาฆ่ากิเลสให้บริสุทธิ์ 1 งานปลุกเสกฯ ปี2558

ตอนนี้เป็นวาระของการตอบปัญหา ฆ่า กิเลสให้บริสุทธิ์ ในงานปลุกเสกฯครั้งที่ 39 ก็มีนักศึกษาปริญญาโท มาถามปัญหา

คำถาม จาก นศ.ปโท ถามพ่อครูในงานปลุกเสกฯ

นมัสการ กราบเรียน หลวงปู่

            ข้าพเจ้า นางสาวอุรินธา เฉลิมช่วง เป็นนักศึกษาระดับปริญญาโท ภาควิชาการพัฒนาชุมชน คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นับถือศาสนาพุทธตามทะเบียนบ้าน และมีโอกาสได้เข้าร่วมโครงการอบรมศีล 8 ที่สันติอโศก เพื่อเรียนรู้วิถีปฏิบัติของชาวอโศกในเบื้องต้น

            ขณะนี้สนใจทำวิทยานิพนธ์เรื่อง กระบวนการตลาดอาริยะของชาวอโศก  เนื่องจากตลาดอาริยะเป็นตลาดที่มีแนวคิดและการปฏิบัติที่ขัดแย้งกับตลาดที่เป็นอยู่ในปัจจุบันที่เน้นในเรื่องของกำไรที่เป็นตัวเงินเพียงอย่างเดียว อีกทั้งวิถีปฏิบัติของชาวอโศกนั้นยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งขณะนี้เริ่มมีผู้ศึกษาและนำไปปฏิบัติอยู่จำนวนไม่น้อย แต่กิจกรรมของชาวอโศกนั้นสามารถสะท้อนภาพของเศรษฐกิจพอเพียง และการพึ่งพาอาศัยกันได้อย่างเป็นรูปธรรม

            ก่อนที่จะทำความเข้าใจในเรื่องของกระบวนการตลาดอาริยะนั้น ควรที่จะทำความเข้าใจถึง ประวัติความเป็นมา แนวคิด หลักธรรม วิถีปฏิบัติ โครงสร้างและการจัดการองค์กรของชาวอโศกในภาพรวมกว้างๆ ก่อน เพื่อเชื่อมโยงรายละเอียดไปถึงเรื่องการศึกษาตลาดอาริยะต่อไป

            ทั้งนี้ขอกราบเรียนถามหลวงปู่ ในประเด็นที่หนึ่ง คือ ภาพรวมของความเป็นอโศก ดังนี้

 

  1. เท่าที่ศึกษาจากเอกสารที่เกี่ยวกับอโศก ในเรื่องของนโยบายพรรค 19 ด้าน จะถือว่าเป็นยุทธศาสตร์ของชาวอโศกในการทำงานกับสังคมได้หรือไม่ อย่างไร

พ่อครูก็ตอบว่าได้ .. .

  1. นโยบายด้าน การเมือง
  2. นโยบายด้าน การบริหาร
  3. นโยบายด้าน กฎหมาย
  4. นโยบายด้าน กระบวนการยุติธรรม
  5. นโยบายด้าน เศรษฐกิจ
  6. นโยบายด้าน การเงิน
  7. นโยบายด้าน กสิกรรม
  8. นโยบายด้าน อุตสาหกรรม
  9. นโยบายด้าน วิทยาศาสตร์
  10. นโยบายด้าน การสื่อสาร
  11. นโยบายด้าน สิ่งแวดล้อม
  12. นโยบายด้าน สังคม
  13. นโยบายด้าน ศาสนา
  14. นโยบายด้าน การศึกษา
  15. นโยบายด้าน ศิลปะ
  16. นโยบายด้าน วัฒนธรรม
  17. นโยบายด้าน สาธารณสุข
  18. นโยบายด้าน บริโภค
  19. นโยบายด้าน ความสัมพันธ์ระหว่างชาติ

นโยบายทั้ง 19 ด้านเราทำตามธรรม ไม่ได้เอาไปข่มเบ่งใคร เอาตามปัจจุบันธรรมว่า ขณะนั้น ในยุคนั้นๆ สังคมมีค่านิยม หรือมีสิ่งที่เขารับรู้ เขากำลังฮิตหรือสนใจกันอยู่ก็ต้องรู้ว่าสังคมเขามีเช่นนั้น เราก็เข้าใจ

1.นโยบายด้านการเมือง

การทำงานของเรา ตั้งพรรคเพื่อฟ้าดินตั้งแต่ปี 2543 แม้เราจะมีพรรคการเมือง

1.เราก็ไม่ได้คิดอยากตั้งพรรคการเมือง และเราก็ไม่คิดว่าเราจะไปร่วมการเมืองได้ และ 2. เราประกาศตนเองว่าเราเป็นนักธรรมะ

และ3.เรารู้ว่าค่านิยมการศาสนากับการเมืองเขาแยกกัน  เราจะเข้าไปก็ไม่ได้ เรารู้ว่าเขายึดถือกัน ตัวเราก็เท่านั้น เราก็เลยไม่ได้เข้าไปไม่ยุ่งเกี่ยว ทั้งที่เห็นว่าบางกาละเราก็น่าจะไปแสดงความคิดเห็น

ส่วนตั้งพรรคการเมืองก็จำนนว่า มีคนตั้งพรรคไม่สำเร็จ ก็เลยมายกให้เรา เขาว่าต้องมีสมาชิกห้าพันคนเป็นพื้น จึงตั้งพรรคได้ เขาเห็นว่าเราน่าจะตั้งพรรคได้ แนวคิดใกล้เคียงกับเขาด้วย เขาเลยพยายามจะให้ตั้ง เขาตั้งชื่อ มีโลโก้มาเสร็จเลย เขาชื่อพรรค    “สหกรณ์” เราก็ใช้โลโก้นี้ เขาว่าขอแล้ว ตั้งไม่สำเร็จ ก็เลยโอนมาให้เราหมดเลย ให้เราดำเนินการรับมา เขายัดเยียดเซ้าซี้มา เราก็เลยว่าตั้งก็ตั้ง เป็นพรรคสหกรณ์ พอตั้งแล้ว พวกสหกรณ์ก็มาบอกว่าเอาชื่อเขามาตั้งชื่อพรรคได้อย่างไร เราก็เลยต้องคิดชื่อใหม่ พอได้ชื่อว่า “เพื่อฟ้าดิน”

ต่อมามีกลุ่มประชาชนออกประท้วง ตอนคุณสนธิ พันธมิตรประท้วง เราก็พามวลชนเราออกไปร่วมเรารู้ว่า เขาจะว่าว่าการศาสนาไปยุ่งทำไม เราก็รู้ แต่เราก็จำเป็นต้องไปช่วย เพราะว่ามีแต่การเมืองที่เละเทะ การเมืองขาดธรรมะไม่ได้ เราก็เลยตัดสินใจทำตามแบบพวกเรา ไปให้เกิดความสงบ ไม่ให้เกิดความเดือดร้อนรุนแรง เราไม่ได้ทำเพื่อโลกธรรม เราทำงานการเมืองภาคประชาชน ตั้งแต่ปี 2549 เข้าไปครั้งแรก ที่สนามหลวง ธรรมยาตรา อาตมานำหน้าทัพ เดินนำขบวนแดดร้อนเปรี้ยงพื้นถนนราชดำเนิน เดินไปถึงสนามหลวง เริ่มต้น จนต่อเนื่องมาเรื่อยๆ คำว่า นโยบายการเมืองคือเราจะทำเพื่อมวลประชาชน เราไม่ได้ทำเพื่อแย่งอามิสอะไร เราจริงใจ ก็พิสูจน์ตนเองมา

2.นโยบายด้านการบริหาร

คือการทำประโยชน์เพื่อสังคม ทั้งรัฐศาสตร์และเอกชนคนทั่วไป เราศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าให้ได้แล้วเราใช้ สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 มาใช้ เราประกาศเลยว่าเราทำงานการเมืองภาคประชาชน ในฐานะเราเป็นพลเมืองไทย เราก็ร่วมทำการเมืองภาคประชาชนไม่เคยคิดว่าเราจะไปสมัครส.ส. หรือไปรับตำแหน่งหน้าที่ของภาครัฐ เราไม่เคยคิด เพราะเรารู้ดีว่า นโยบายการเมืองเรา ประชาธิปไตยคือ การทำเพื่อประชาชน โดยไม่ได้หาอามิส เราถือว่าการหาเสียงไม่ใช่ประชาธิปไตย เพราะประชาธิปไตยนั้นประชาชนต้องไม่ถูกครอบงำความคิดมาเลือกเรา แต่ให้เขาเห็นตามภูมิเขาว่าเราเป็นอย่างไร เหมาะจะไปทำหน้าที่ภาครัฐได้ ให้ประชาชนเลือกจริงๆ เราไม่หาเสียง แต่เราทำงานเพื่อประชาชนจริงๆ ถ้าประชาชนเขาเชื่อถือ จะมาเลือกเราไป ก็จะไตร่ตรองดู แม้เขาจะบอกว่าคุณเหมาะจะไปรับตำแหน่ง แม้จะเลือกเราก็ต้องมาขอคิดว่า มองเราผิดหรือไม่ เราไม่ถึงอย่างนั้นด้วย เราไม่ได้อยากไปเป็น เราทำตามประมาณตน ให้เหมาะสม การบริหาร เราจึงจะทำในภาคประชาชน และตั้งใจทำไปเรื่อยๆ

ด้านการเมืองเรามีทั้งภาครัฐและภาคประชาชน อาตมายังติดหูอยู่เลยที่ คุณชวน หลีกภัย ว่า การเมืองต้องมีในรัฐสภาเท่านั้น ไม่มีนอกสภา อาตมาก็ว่า ต่างกับเรานะ เราก็เข้าใจการเมืองรัฐสภา หรือแม้ข้าราชการก็คือนักการเมืองตัวสำคัญ แต่ข้าราชการเขาไม่เข้าใจการเมือง ว่าการเมืองคือผู้ได้ตำแหน่งหน้าที่ แล้วใช้อำนาจนั้น เขาไม่คิดว่าการเมืองคือการรับใช้ประชาชน

ข้าราชการที่สมัครแล้วได้รับเป็นข้าราชการ ก็ต้องไปทำเพื่อประชาชน รับใช้ประชาชน แล้วต้องทำให้ดีเพราะคุณรับค่าจ้างจากประชาชน อาตมานิยามว่า นักการเมืองคือผู้อาสาเสียสละ โดยไม่รับสิ่งตอบแทน สมัครใจช่วยประชาชนด้วยใจจริง ไม่ได้เอาอะไรจากประชาชนเลย อาตมาจึงร่างนโยบายการเมืองไว้ 4 ข้อ

ไม่ว่าจะการเมืองระบอบประชาธิปไตย ระบอบคอมมิวนิสต์หรือเผด็จการหรือราชาธิปไตย ก็ตาม แต่ถ้าทำเพื่อประชาชนจริงไม่เห็นแก่ตัวแก่หมู่พวกตน ทำเสียสละจริงอย่างบริสุทธิ์ใจเต็มความสามารถเขาก็คือนักประชาธิปไตยเพราะเขาทำงานเพื่อประชาชน แม้จะมีคนเดียวหรือกลุ่มคณะเล็กๆก็ตาม ถ้าเขาเจตนาทำเพื่อประชาชนอย่างจริงใจซื่อสัตย์ไม่คอรัปชั่น นี่แหละคือนักประชาธิปไตย ในความหมายของอาตมา

ผู้ที่ประกาศว่าตนเป็นประชาธิปไตย แต่เล่นพรรคเล่นพวก ใช้กลยุทธเพื่อให้ได้อำนาจ ดีไม่ดีก็มีหัวหน้าบริษัทถือเป็นใหญ่ ให้บริวารทำงาน แล้วเสแสร้งเรียกว่าประชาธิปไตย จะด้วยการซื้อหรือใช้วิธีหลอกล่อ ใช้อำนาจลาภยศมาใช้เป็นเครื่องล่อ ก็ไม่บริสุทธิ์ใจ ต้องให้เป็นว่าประชาชนเขานับถือคุณอย่างจริงใจ ไม่ต้องหาเสียงเลย แต่ถ้ามีความสามารถมากด้วย ก็ยิ่งทำเพื่อประชาชน

3.นโยบายด้านกฎหมาย.......​อาตมาเรียนรู้จากพระพุทธเจ้า ในสังคมที่หลากหลาย ก็ต้องมีกฎเกณฑ์ห้ามปรามหรือป้องกันไว้ หรือเป็นการส่งเสริม (อภิสมาจาร) เป็นศีลธรรมจรรยา ก็ไม่มีโทษทางกฎหมาย ใครทำก็ดี ใครไม่ทำก็ไม่ดี เป็นอิสรเสรีภาพ มีวิธีตัดสินด้วย อธิกรณสมถะ 7 เหมือนกับทางกฎหมายเขาเรียนกัน เช่น สัมมุขาวินัย คือพิจารณาความพร้อมโจทก์จำเลย มีข้อมูล พยานครบ

อธิกรณสมถะ 7

            1.  สัมมุขาวินัย ตัดสินในที่พร้อมหน้าทั้ง โจทย์และจำเลยพร้อมพยาน ตามพยานหลักฐาน

            2.   สติวินัย ถือสติเป็นหลัก การยกเลิกความผิดเพราะเป็นพระอรหันต์หรืออริยบุคคลที่จะไม่ทำผิดวินัยในข้อนั้นได้

            3.  อมูฬหวินัย ผู้หายจากเป็นบ้า การเลิกความผิดเพราะผู้กระทำผิดนั้นวิกลจริตหรือเป็นบ้า

            4. ปฏิญญาติกรณะ ทำตามที่รับ การตัดสินตามการยอมรับผิด คำสารภาพของผู้กระทำผิด

            5.  ตัสสปาปิยสิกา ลงโทษแก่ผู้ผิดที่ไม่รับ การลงโทษพยานผู้ที่ไม่ยอมพูดในการสอบสวนของคณะสงฆ์

 6.  เยภุยเยสิกา การตัดสินตามมติเสียงข้างมาก

             7. ติณวัตถารกวินัย ดุจกลบไว้ด้วยหญ้า วิธีประนีประนอม การตัดสินยกฟ้อง เลิกแล้วต่อกัน(ในกรณีทะเลาะกัน)

4.นโยบายด้านกระบวนการยุติธรรม

5. นโยบายด้านเศรษฐกิจ

 เราทำสอดคล้องกันกับของพระพุทธเจ้าและของในหลวง เรามุ่งทำสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 และวรรณะ 9  เรารู้ว่าคนจะมาจนนั้นมีน้อย แต่เรามั่นใจว่าทำถูกทาง ไม่เป็นหนี้ พึ่งตนเองรอด ทำให้มากให้เหลือแล้ว เผื่อแผ่แบ่งปันคนอื่น นี่คือเศรษฐศาสตร์บุญนิยม ที่ตรงข้ามกับ เศรษฐศาสตร์ทุนนิยม

 

6. นโยบายด้านการเงิน

เราถือว่าเงินคือ เครื่องใช้อันหนึ่ง เหมือนโต๊ะเก้าอี้ แต่เงินคือเครื่องแลกเปลี่ยน หรือตั๋วแลกเงิน ใช้เหมือนวัตถุอุปกรณ์สังคม ไม่ใช่แก้วสารพัดนึกเอาไปฟาดหัวคนหรือจ้างผีโม่แป้ง จ้างเทวดามาล้างส้วม ไม่ใช่เลย แต่เราใช้เป็นเพียงอุปกรณ์ แล้วเราซื่อสัตย์สุจริต เราบังคับไม่ได้ แต่คนจะซื่อสัตย์จะต้องล้างกิเลสได้ ถ้าล้างได้เขาก็ไม่โกงจริง การเงินต้องซื่อสัตย์ และเงินคืออุปกรณ์ใช้งานหนึ่งเท่านั้น  บางทีคนเห็นของทิ้งไว้ เป็นสิ่งของราคาอาจเป็นพันเป็นหมื่น แต่ก็ไม่ดูแล ไม่เอาใจใส่ แต่ธนบัตรใบละ 10บาท หรือ 100 บาท ก็เก็บเลย ไม่ให้เปียกด้วย ถ้าเห็นตกอยู่ จะเก็บทันที ทั้งที่ค่าน้อยกว่าข้าวของทิ้งไว้อีก คนนี้เห็นเงินเป็นพระเจ้า

7. นโยบายด้านกสิกรรม

เราก็ทำการกสิกรรมให้มีประโยชน์ที่สุด ให้มีคุณค่าทางอาหาร ให้เป็นเครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค โดยให้สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีพิษภัย แล้วเอามาแจกจ่ายเจือจานกัน แม้แต่นโยบาย ข้าวไม่ใช่สินค้า แต่ข้าวคืออาหาร ที่ต้องแบ่งปันกันกิน คำว่าแบ่งปันกัน อาจแลกเปลี่ยนบ้าง ให้ได้ทุน แต่ว่าไม่ใช่เอาไปใช้เอาเปรียบคนอื่น เพราะพระพุทธเจ้าว่า ข้าวเปลือกคือทรัพย์อย่างยิ่ง ที่เราต้องแบ่งปันกันกิน เป็นอาหารชั้นหนึ่งสร้างให้มาก ไล่แจกกันไป ใครเดือดร้อนก็แจก อาตมาถึงออกหลักเกณฑ์ 3 อาชีพกู้ชาติคือ การกสิกรรมธรรมชาติ-ปุ๋ยสะอาด-ขยะวิทยา เราก็ทำให้มากให้คุ้ม พึ่งตนเองรอด เหลือก็แจกจ่ายสังคม อย่างน้อยเรามีกินก่อนพึ่งตนเองได้ มีเหลือก็แจกจ่าย

 

8.นโยบายด้านอุตสาหกรรม.....

เราไม่เก่งแต่ก็ทำเท่าที่ได้ อย่างโรงปุ๋ยเราก็ไม่มีเงินมากไปซื้อเครื่องมือมาก แต่เราก็พัฒนาตนไป แต่ก่อนเราต้องใช้ฟืนเผาเพื่ออบปุ๋ย ก็เสียทรัพยากร แต่ต่อมาเราก็ใช้วิธีใช้ลมพัดให้เย็นแทน ปรากฏว่า ทำให้จุลินทรีย์มีชีวิตได้ดีกว่าใช้ความร้อน ก็ได้วิธีใหม่ โดยใช้พัดลมให้ความเย็น ง่ายๆก็สำเร็จแล้ว ตอนนี้ปุ๋ยเราจุลินทรีย์ดีมาก

อีกอย่างของเรามีเรือมาก บางลำลงน้ำได้ก็เรียกว่า “เรือเรือน” ส่วนลำที่ลงน้ำไม่ได้ก็เอาไปเป็น “เรือนเรือ” อาตมาตั้งชื่อไว้หลายลำเช่น เฮือนเฮือเอิ้นขาน วานดั้ย   ใซ่ดี  มีมา อย่ามี ดีโฮ

9. นโยบายด้านวิทยาศาสตร์

เราก็ใช้ ไม่ปฏิเสธ ทุกวันนี้วิทยาศาสตร์มันเฟ้อ เอาไปใช้เป็นโทษภัยเยอะ เราก็เข้าใจ แม้อุตสาหกรรมทำอาวุธ หรือเทคโนโลยีไปช่วยคนผิด ไม่น่าส่งเสริม เป็นสินค้าที่ขายไปแต่เป็นภัยต่อสังคมเป็นสิ่งเลวร้าย แม้สิ่งมอมเมาอีกเยอะ 

10. นโยบายด้านการสื่อสาร

ธรรมะของพระพุทธเจ้าต้องสื่อสารสู่สังคม โดยบริสุทธิ์ไม่ใช้เป็นงานแลกอามิส แต่ก่อนเราทำสื่อหนังสือ แต่ต่อมามีเทป ซีดี ดีวีดี ต่อมามีคอมพิวเตอร์ มีโทรทัศน์ เราก็พอทำได้เท่าที่ทำได้ อยู่ที่นโยบายว่า “สื่อสารเพื่อสื่อสาระ” ที่จะให้แก่ประชาชนไม่ใช้เป็นเครื่องมือแลกเปลี่ยนอามิส แม้แต่โทรทัศน์เราก็ไม่ใช้ไปหาเงินทอง หรือไปเรี่ยไรให้คนมาบริจาค ไม่ประกาศทั่วไป นอกจากประชาชนทั่วไป เป็นญาติธรรมจึงจะบริจาคได้ แต่คนนอกไม่ได้ จะมาขายสินค้าไม่ได้ ไม่เรี่ยไรด้วย เราก็ตั้งคณะสื่อสาร ทางด้านโทรทัศน์วิทยุ ก็จะค่อยสอนกันไปให้เป็นนิเทศศาสตร์ออกไปทำงานให้สังคม ไม่ใช่ไปรีดนาทาเร้นสังคม เราเข้าใจสื่อสารเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติเช่นนี้

11.นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม

เราพยายามทำให้สิ่งแวดล้อมไร้มลพิษ พึ่งพากัน น้ำพึ่งดิน ดินพึ่งไฟ ไฟพึ่งลม หมุนเวียนให้เหมาะสม สถานที่ชุมชนเราจะ มีน้ำ มีดิน มีต้นไม้ ธรรมชาติที่ควรมี อย่างบ้านราชฯมีแต่น้ำกับดิน แต่ก่อนไม่มีหิน เราก็เหน็ดเหนื่อยขนหินมา ต้นไม้ใหญ่ก็ไม่ค่อยมี เราก็ทำให้มีต้นไม้ แม้การเคลื่อนไหวของน้ำก็เป็นพลังงาน เราก็ทำไป ทุกแห่ง ตั้งแต่อาตมาพาตั้งชุมชน อาตมาพาสร้างคลอง น้ำ ป่า เขา แม้แต่สันติอโศกมีน้ำตกมีลำธารไหล เขาก็สงสัยเวลาเข้าไปว่า อยู่กลางกรุงได้อย่างไร ที่ปฐมอโศก ศีรษะอโศกจนมาถึงราชธานีอโศก เราพยายามทำตามพระพุทธเจ้าให้มีสัปปายะ 4 คือ

1.เสนาสนสัปปายะ 2.บุคคลสัปปายะ ซึ่งสำคัญ คนนี่แหละคือ มิตรดี  มีจิตใจร่วมกัน สหายดี(รู้จักสิ่งที่ควรได้ เรียกว่าประโยชน์ร่วมกัน) สังคมสิ่งแวดล้อมดี กัลยาณสัมปวังโก นอกจากนั้นก็มี 3.อาหารสัปปายะ ก็ให้เหมาะสมพอเหมาะ สำคัญคือ 4.ธรรมสัปปายะ มีธรรมะไม่ใช้พวกอธรรม ในนี้ นี่คือสัปปายะ 4

 

12.ด้านสังคม

ก็นับเนื่องมาทุกด้านมาประกอบกัน และจะรวมไปตั้งแต่ ข้อ 13 - 19

13.ด้านศาสนา

 เน้นจริยธรรมคุณธรรม ถึงโลกุตรธรรมเลย

14.นโยบายด้านการศึกษา

อาตมาเห็นความล้มเหลวของการศึกษาทั่วไป เลยมาตั้งการศึกษาสัมมาสิกขาเอง มีปรัชญาการศึกษา ศีลเด่น 40% เป็นงาน 35% ชาญวิชา 25% แต่ในวิชาการ 25 ส่วนของเรา ก็ทำให้ได้เต็มร้อย เท่าเขาได้ ไม่ให้ด้อยกว่าเขา แล้วก็ทำหลักเกณฑ์การศึกษา

15. นโยบายด้านศิลปะ

เดี๋ยวนี้ศิลปะเป็นอนาจารเยอะ และก็มอมเมาหลอกล่อ เอาเงินเอาทองจากประชาชน อาตมาจบอนุปริญญาด้านศิลปะ เรียนเพาะช่างอยู่ 5 ปี การศิลปะเราต้องทำเพื่อให้เกิดมงคลอันอุดม

16.ด้านวัฒนธรรม

คือศิลป์และศาสตร์ คือพฤติกรรมมนุษย์ และสังคม ถ้าทำเป็นหายนะ ไม่ดีก็คือหายนธรรม ไม่ใช่วัฒนธรรม ยกตัวอย่างง่ายๆ บางประเทศเขาทำจิตวิทยาเพื่อกลบเกลื่อนการเปลือยกาย เขารู้นะ แต่มาหลอกดูกัน เขาถือวัฒนธรรม ว่าไม่ถือกัน นอนเปลือยกายอาบแดด ไม่ถือกันแต่แท้จริงกิเลสมันสั่งให้ทำ อันนี้เรารู้ทัน ศาสนาถึงไม่ให้ทำ ศาสนาอิสลามเอาหนักให้คลุมหมดเลย แต่ทางอีกด้านให้เปลือยกายเลย มันคนละความคิด แต่จริงๆคือ บ่อแห่งความเสื่อมในทางกาม ศาสนาพระพุทธเจ้ารู้ดี จึงไม่เอา

17. นโยบายด้านสาธารณสุข

18.นโยบายด้านการบริโภค

พระพุทธเจ้าสอนไว้หมด จะเป็นบริโภคอาหารหรือยา ท่านถือว่าเป็น บริโภคเป็นอาหารภายใน ส่วนอุปโภคคืออาหารภายนอก อย่างเราทำตลาดอาริยะก็ทำอย่างไม่มอมเมา

19.นโยบายด้านความสัมพันธ์ระหว่างชาติ

เราจะไม่ถือว่าต่างชาติเป็นเหยื่อในการเอาเปรียบ แต่เราคบด้วยจริงใจ แม้การค้าเราก็ทำอย่างขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เราทำไม่ได้ก็ทำในประเทศก่อน จนผลผลิตเรามากพอก็จะส่งไปต่างประเทศ หรือว่าผลผลิตเราดี เขาขอร้องมา เราก็จะช่วยเขา เราไม่ได้ตั้งราคาขูดรีดเขา และถ้าเขามีทุนรอนดีพอจะให้เราได้ ก็เอาเกินทุนได้  แต่ถ้าเขาไม่มีทุนพอเราก็ให้เขาอย่างขาดทุนได้หรือให้เขาฟรีได้ เราจะคบอย่างมีมิตรสหายไม่ใช่ไปล่าเอาประโยชน์จากประเทศอื่น เรามีทูตไปประเทศอื่นให้ไปดูว่าเรามีอะไรจะช่วยเขาได้ ไม่ใช่ทูตที่จะไปเอาเปรียบเขา

 

  1. บุญญาวุธหมายเลขต่างๆ คืออะไร มีความสัมพันธ์อย่างไร หรือไม่กับนโยบายของพรรค หรือ มีความสัมพันธ์อย่างไรในการทำงานกับสังคม

บุญญาวุธ ตอนนี้เรามี 7 ด้าน  หมายเลข 1 ตลาดอาริยะ 2.อาหารมังสวิรัติ     3.กสิกรรมไร้สารพิษ 4.สุขภาพบุญนิยม 5.การศึกษาบุญนิยม 6.การสื่อสารบุญนิยม  7.การเมืองบุญนิยม

1.อาหารมังสวิรัติ คืออาหารไม่มีโทษภัย มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ สุขภาพ และด้านศาสนาก็สร้างจิตเมตตาไม่สร้างบาปด้วย

2.ตลาดอาริยะ คือผู้ประเสริฐ  ส่งเสริมการผลิตให้เพียงพอแก่การใช้ บริโภค ในชุมชน ส่วนเหลือ แจกจ่ายสะพัดสู่ชุมชนอื่น ในรูปการซื้อขาย แลกเปลี่ยน ด้วยลักษณะเกื้อกูลตามหลักบุญนิยม

หลักการแจกจ่าย และแลกเปลี่ยน หรือซื้อขาย ของบุญนิยม มีเจตนาตั้งใจเสียสละให้ได้มากที่สุดยิ่งๆ ขึ้นเสมอ

ขั้นที่ 1 ขายในราคาพยายามให้ต่ำกว่าราคาตลาดให้ได้มากที่สุดเท่าที่สามารถ

ขั้นที่ 2 ขายในราคาเท่าทุน

ขั้นที่ 3 ขายในราคาต่ำกว่าทุนให้ได้มากเท่าที่สามารถ

ขั้นที่ 4 แจกฟรี หรือให้เปล่า

ตลาดอาริยะนี่เป็นบุญนิยม ขั้นที่ 3 ถึง ขั้นที่ 4

 

มีคำถามเพิ่มเติมค่ะ

อยากให้หลวงปู่ช่วยประเมินผลการดำเนินการตลาดอาริยะในรอบ 35 ปีที่ผ่านมาว่าประสบผลสำเร็จแค่ไหน อย่างไร มีข้อบกพร่องที่ควรแก้ไข อย่างไรบ้าง และสัมพันธ์กับสัมมาทิฏฐิ 10 ใน 3 ข้อแรก (ทินนัง ยิฏฐัง หุตัง)  อย่างไรบ้าง

พ่อครูตอบว่า...มีผลแน่ ปีนี้ สินค้ามากกว่าเก่า โดยเฉลี่ย เวลาขายก็ขายเต็มที่ บางทีวันที่ 3 ก็หมดแล้ว สรุปผลแล้วมีผลเจริญงอกงาม เป็นผลดีให้แก่สังคม ส่วนข้อบกพร่องก็มีบ้าง มันกว้างขึ้น ยากขึ้น สำเร็จแค่ไหนก็น่าพอใจ มีการชนะรายทาง จะให้คำนวณเป็นคณิตศาสตร์ อาตมาไม่สามารถคิดได้ละเอียด แต่เราเจริญตามประสาเรา กลุ่มเล็กๆทำด้วยใจ ถ้ารัฐบาลเอาไปทำบ้างจะดี ขออย่าให้ประชานิยมมาแฝงรับรองว่าจะเป็นงานช่วยประชาชนได้จริง อย่างแนวคิดตลาดอาริยะนี่แหละ รัฐมีหน้าที่เสียสละให้ประเทศชาติอยู่แล้ว รัฐมีหน้าที่ตอบแทนประชาชนอยู่แล้ว นี่คือพาณิชย์บุญนิยม แต่เขาก็ไม่ค่อยกระเตื้องเท่าไหร่ ปีนี้ทางราชการเขาก็จะมาเชื่อมต่อ เราก็ไม่สามารถไปชี้ได้ แต่ก็ให้เขาเห็นเราทำไปเอง อาตมาไม่มีหลักฐานให้พวกเราเรื่องตัวเลข

เราจะทำตลาดอาริยะได้จริง เพราะกิเลสคนน้อยลงได้จริง ถ้าลดไม่ได้ก็จะเป็นการหลอกลวงเท่านั้น ถ้าลดกิเลสจริงจะเป็นผู้รับใช้สังคม ถ้าเป็นข้าราชการประจำหรือข้าราชการการเมือง ก็สามารถทำนโยบายสร้างนักค้าขายที่กิเลสลดแล้วเป็นจริง จะเกิดปัญญาความเข้าใจ เป็นสัจจะ ถ้าเขาทำได้จะทำอย่างจริงใจ เพราะเขารู้ว่าทำกุศลก็ทำ แต่ถ้าเขาสอนให้รวยๆ ก็ต้องไปเอาจากคนอื่นก็เป็นอกุศลสิ ครอบงำกันไป ใครเชื่อก็เป็นเหยื่อพากันตกนรกหมกไหม้ เรายิ่งพยายามเร่งรัดให้มาจน เขาก็ยิ่งเร่งรัดให้ไปรวย ก็แล้วแต่ภูมิปัญญาของคน

 

ต่อไปตอบปัญหาอื่นๆจากคนอื่น

 

1.พระภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิกแล้วจะสามารถเป็นพระอาริยะระดับที่ 1-4 ได้หรือไม่

ตอบ...ก็ปิดประตู เลย โดยหลักการคือปฏิบัติธรรม ข้อแรกคือต้องมี มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี คนปาราชิกแล้วจะเข้าสู่หมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีไม่ได้ นี่คือปิดประตูนิพพานเลย ขนาดคุณอยู่ในนี้ แล้วพากเพียรขยันยังยากเลย แล้วเขาจะได้อย่างไร? แต่ตอนนี้ ไม่เชื่อคำสอนพระพุทธเจ้า สมีอุ้มสมีก็พากันลงนรกทั้งคู่ เป็นเรื่องชัดเจน

 

2. เรียนถามว่า ผู้มีสภาวะแต่ไม่รู้บาลีจะมีหรือไม่?

ตอบ...ได้ ขอให้คุณพยายามฟังธรรม แม้จำภาษาเทคนิคไม่ได้ก็ต้องเข้าใจ เข้าใจลีลาอาการ ลิงคนิมิต ให้ได้ว่าอาการแบบนี้เป็นอย่างไร เป็นการยึดถือ อ่านให้ออก แล้วจะรู้กิเลสเห็นแก่ตัว โลภ โกรธหลง เห็นว่ามันไม่เที่ยง พาทุกข์ เป็นโทษภัย แล้วคุณมีปัญญาทำให้กิเลสห่อเหี่ยวสลายไป กิเลสไม่กล้าตอแยเลย กิเลสออกจากชีวิตเราเลย นี่คือปัญญาและเจโตแข็งแรง คุณรู้ลักษณะนามรูปอย่างถูกตัวตน นามธรรม แต่ถ้ารู้ภาษาด้วยก็ใช้ได้สะดวก ถูกจังหวะสภาวะเหตุการณ์ แต่แม้ไม่รู้จักชื่อแต่ใช้ได้ถูกต้องก็บรรลุอรหันต์ได้เหมือนกัน

 

3. ดิฉันคนข้างวัด มีเรื่องร้องเรียนพ่อท่าน ถึงสิ่งที่ประสพมาจากปะ ผู้น่าจะมีศีล เพราะทั้งกิริยาและคำพูดหยาบมาก จนดิฉันตกใจว่านี่หรือผู้มีศีล รู้ว่าปะท่านนี้ย้ายมาจากหลายพุทธสถาน เขียนมาครั้งนี้เพื่อว่าจะได้ไม่พบเจออีกต่อไปใช่ไหมคะ

ตอบ...เอา..ก็ไปตรวจตัวเองก็แล้วกัน ในขุมทรัพย์ที่เขาให้มา

 

4.จากเพลงกลับบ้านเถิดลูก พ่อปลูกอโศกให้เจ้า...ถ้าลูกกลับบ้านแล้วทำอโศกเจ๊ง พ่อจะฆ่าลูกไหม?

ตอบ...เห็นอาตมาเป็นมือประหารขนาดนั้นหรือ? ขออภัยตอบตามโจทย์ ถ้าลูกกลับบ้านแล้ว ทำอโศกเจ๊งก็อาจใช้ไม้เรียวหวด ไม่ถึงกับฆ่าหรอก อาตมาก็ไม่เก่งจะใช้หอกปากเสียด้วย แต่ถ้ารู้ว่าจะมาแล้วทำเสียก็อย่าเพิ่งมาก็แล้วกัน

5.ถ้าสมบัติของพ่อ พี่ๆเขาไม่แบ่งจะทำอย่างไร?

ตอบ...ก็จะไปหวงทำไม มาแบกเป็นเราเป็นของเรา มันหนักนะ คุณอาจหมายว่า มาอยู่แล้วจะใช้อะไรที่นี่บ้างเขาไม่ให้ เราก็ถือว่าเราไม่ดีพอ ไม่มีน้ำหนัก ก็ทำอย่างบริสุทธิ์ใจต่อไป มันหัดให้เราเจียมตัว ลดตัวตน มันได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ถ้าไม่เสียสุขภาพ ก็ทนเถอะ หากทนไม่ไหวก็ออกไปก่อน ถ้าเดือดร้อนยังไงก็บอกผู้ใหญ่ได้

 

6.อยู่กับสังคมภายนอก 22 ปี อยู่กับเนื้อสัตว์มา 22 ปี แต่ก็สัมผัสแล้วรู้สึกว่าหอมน่ากิน แต่ก็ไม่ได้อยากกิน สภาวะจิตเช่นนี้เป็นอย่างไร?

ตอบ...ก็บอกว่าหอมน่ากิน แล้วจะรู้ว่าจิตคุณไม่ได้อยาก มันก็แค่รู้ว่าน่ากิน แต่คุณไม่อยาก แน่นะ ก็สมมุติว่า จิตคุณจำได้ แต่คุณไม่ได้อยากแล้วก็ชนะใช้ได้ อ่านว่าไม่ได้อยากมาบำเรอตนบำเรอใจ ว่าน่านะ อันนี้ หรืออันนี้ไม่น่านะ แต่ใจคุณไม่ได้อยากมาให้แก่ตัวก็ใช้ได้นะ

7.อยากถามว่าทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่ญาติพี่น้อง บิดามารดาที่ตายแล้วเขาจะได้รับไหม?

ตอบ... ไม่ได้ พระพุทธเจ้าสอนว่า กัมมัสโกมหิ แปลว่ากรรมเป็นของๆตน ใครทำก็เป็นของๆคนนั้น ทำแล้วใส่อัตภาพเป็นวิบากเรา แม่ทำตั้งแต่เป็นๆทำเองแม่ก็ได้ จะเป็นกุศลหรือบาปก็แล้วแต่ แต่ไม่ใช่บุญ บุญคือการล้างกิเลส ล้างแล้วบุญก็หมดไป ถ้าล้างกิเลสหมดก็หมดบุญ คำว่าจะอุทิศบุญแก่กัน เป็นๆก็ทำไม่ได้เลย ใครทำก็เป็นของตน กรรมทายาโท ตายไปเราก็รับมรดกกรรมของตน เป็นของตนไม่หกตกหล่น ไม่ระเหยระเหิด ไม่หายไปไหน สะสมเป็นของเราหมด กุศลอกุศล แต่อะไรมากกว่าก็ออกฤทธิ์  กุศลเหมือนคนใจดี ไม่ค่อยตามไล่ แต่ว่าอกุศลเหมือนหมาไล่เนื้อ คอยไล่ตามไป วิธีการพระพุทธเจ้าคือให้หยุดทำบาป ทำแต่กุศล หมาไล่เนื้อจะวิ่งไล่ไม่ทัน

อุทิศไม่ได้แปลว่าส่งไปให้ แต่แปลว่า การเจาะจง

อุทิศมังสะ เขาก็ไปหมายว่า ฆ่าสัตว์มาให้ผู้นั้นๆจะกินไม่ได้... เป็นเรื่องตลก

ที่จริง การเจาะจง ท่านหมายความว่า มีคนฆ่าที่ครบองค์ 5 ปานาติบาต คือ สัตว์มีชีวิตก็รู้ว่ามีชีวิต เจตนา จงใจเจตนาฆ่า พยายามฆ่าสัตว์ตายลง ก็ครบเลย อุทิศ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:15:41 )

580409

รายละเอียด

580409_ทวช.ปลุกเสกฯ ครั้งที่ 39 โลกหรืออัตตาอธิปไตยที่เป็นธรรม 4

พ่อครูว่า.... วันนี้วันที่ 9 เมษายน 2558 เป็นวันที่ 5 ของงานแล้ว ตอนบ่ายก็มีการตอบปัญหาในงานด้วย ซึ่งวันนี้ตอนบ่ายจะตอบประเด็นของ นักศึกษาป.โท มาสัมภาษณ์ จะได้ความรู้เกี่ยวกับชาวอโศก และการพัฒนาการศึกษาด้วย

 

เมื่อวานนี้ เราได้พูดถึงเรื่องธรรมะอันน่าอัศจรรย์ 8 ข้อ อันไม่เคยมีมาก่อน คำว่า ธรรมะอันน่าอัศจรรย์ไม่ใช่ภาษาพูดโก้ๆ แต่เป็นคำตรัสจริงที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งอาตมาว่าสังคมใกล้กลียุคยิ่งเห็นได้ชัดเจนมาก มันน่าอัศจรรย์ ว่าคนมองไม่ออกง่าย มันทวนกระแส ไม่น่าเป็นไปได้ มนุษย์ไม่น่าทำได้ อย่างพวกเราทำกันอยู่ น่าทึ่ง น่างึด น่ามหัศจรรย์ เป็นได้อย่างไร พากันตั้งหน้าตั้งตา พากันลดละ สละออก มาไม่มีตัวมีตน ซึ่งเป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่จะมาแกล้งทำ หรือเล่นละคร มาเอาใจอาตมา มาทำให้อาตมาหลง

 

แต่ก่อนต้องหรูหราฟู่ฟ่าแก่งแย่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ กามคุณ แย่งเบ่งข่ม อัตตา ยิ่งใหญ่ รู้ไหมว่าข้าใคร ข้าลูกใคร เราไม่ได้ทำ เราทำตรงกันข้าม ว่ามาทางนี้กันจริงๆ ไม่ใช่แค่ ปีเดียว แต่นี่ร่วมสี่สิบปี ถ้าเราได้พากเพียรปฏิบัติจริง ...ก็เห็นใจ ว่าไม่ใช่จะตรงสัมมาทิฏฐิทีเดียว แต่พวกเรานี้ถูกดัดมาเรื่อยๆ ดังอานิสงค์ของการฟังธรรม 5 ประการ เช่นได้ฟัง ได้ยินในสิ่งที่ไม่เคยได้ฟังได้ยินมาก่อน อัสสุตังสุนาติ  อย่างที่เขาคิดกันทั่วโลก ไม่ได้คิดละหน่ายคลายออกจากโลกีย์ แต่สายฤาษีดาบสก็คิดจะออก เป็นวิธีการสามัญ ไปนั่งสะกดจิต หนีออกไป คนฉลาดอย่างธรรมกายใช้วิธีสะกดจิตแล้วไม่หนีโลก ซับซ้อนเอามาหลอกคน การหนีไปเป็นการสร้างอัตตา และการเข้าไปปล้นโลก มีสองทิศทาง

 

หนีไปก็ไปสร้างรูปภพ อรูปภพ ไม่เข้าใจอัตตา เพราะไม่มีจิตวิเคราะห์ ภาษาอภิธรรมคือ จิตวิเคราะห์ แต่ถ้าไม่เข้าใจกาย ที่คืองค์ประชุมของรูป นาม ที่เป็นเหตุปัจจัยกันแล้ว ว่ารูป และ นาม คืออย่างไร

 

พระพุทธเจ้าตรัส รูป 28 นี้สมบูรณ์แล้ว แต่ไม่ชัดกัน ก็น่าเห็นใจ เพราะไม่ใช่สิ่งจะรู้ได้เอง จะต้องอาศัยสัตบุรุษเสริมให้ จะถ่ายทอดให้ไปตามลำดับ แล้วไปถ่ายทอดกันต่อๆ ตามลำดับ เป็นธัมมกถึก แล้วเป็นปุโรหิตา แล้วเป็นคุรุ ถ่ายทอดกันไป

 

ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็น สัมมาสัมพุทโธ ที่ต้องมีผู้สั่งสมต้นตอ ส่งต่อกันมา เป็นตระกูลพุทธะ มาผสมไม่ได้เลย เป็น DNA ตายตัว ก็ต้องเอาเชื้อเดิมเข้าไป เชื้อพุทธหมดเลย มาเป็นผู้สืบสานศาสนา เมื่อหมดลงก็ต้องอาศัยพระพุทธเจ้าองค์ใหม่มาหยั่งลงสร้างศาสนาอีก พระพุทธเจ้าตรัสรู้เอง ตรัสรู้ชอบ เป็นเรื่องจริง อาตมาได้รับการถ่ายทอดมา แต่เขาไม่เชื่อง่ายๆ เพราะเป็นยุคใกล้กลียุค จะมีอเวไนยสัตว์มากขึ้นๆ ผู้พอมีภูมิปัญญามีเชื้อบ้างจะได้ ค่อยๆสะสมธุลีละอองของเชื้อมาได้ เพราะมันเป็นเรื่อง

 

1.    คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.    ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.    ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.    สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) .

5.    ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.    อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.    นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.    ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)  

 

(พระไตรปิฎก เล่ม 9  ข้อ 34)

 

เป็น ธรรมะสอง รวมลงไปในเวทนา เป็นหนึ่งในเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ธรรมะสองนี่แหละจะรวมที่สัมโมสรณา คือเวทนา ที่เป็นจุดสำคัญในขันธ์ 5 ของเรา ถ้าไม่เรียนรู้เวทนา 108 แยก โลกุตระคือ เนกขัมสิตเวทนา ออกจาก เคหสิตเวทนา อ่านเวทนาในเวทนา จิตในจิต ตั้งแต่สังขารปรุงแต่งเป็นเวทนา ต้องอ่านเวทนาให้ออกแล้ววิเคราะห์เวทนาในเวทนา ที่มีจิต

 

ที่มีราคะโทสะ โมหะ ที่เป็นตัวตั้งของอวิชชา สราค สโทส สโมห แล้วพากเพียรให้มันลด เป็นวีตราค วีตโทส วีตโมหะ ด้วยโพธิปักขิยธรรม 37 แล้วกำจัด มันก็จะลดละ ทรงธรรมเพิ่มขึ้น ต้องเรียนอย่างสติปัฏฐาน 4 ถ้าไม่เรียน ปฏิบัติธรรมไม่สำเร็จ

 

แม้คำว่ากาย ถ้าไม่มีสัมผัส เอาแต่ในจิตๆ ก็ไปสร้างภพชาติ เป็นอาตมัน ส่วนทางโลกไปสร้างแต่ความฉลาด เป็นเฉกตา รู้โลก รู้เหลี่ยมโลก ที่จะมาเอาโลกธรรม คนหนึ่งก็สร้างโลก คนหนึ่งก็สร้างอัตตา เราต้องมาล้างอัตตาล้างโลก ล้างได้ก็ยิ่งมีอธิปไตย ยิ่งมีอำนาจ มีพลังธรรม เรียกว่าธรรมะ เกิดคุณสมบัตินี้

 

ถ้าเรียนรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าตามลำดับ ปฏิบัติไปตามลำดับ อนุปุพสิกขา ทำไปตามลำดับ อนุปุพกิริยา แล้วมีหลักเกณฑ์กระทำจริง ตามหลักมีปริยัติ ปฏิบัติจะเกิดปฏิเวธ เรียกว่า อนุปุพปฏิปทา เป็นเรื่องอัศจรรย์จริงๆ ที่มีการปฏิบัติไปตามลำดับ ฉันใด มหาสมุทรก็ลาดลุ่มลึกไปตามลำดับไม่โกรกชันเหมือนเหว ไม่สะดุดอะไร ฉันนั้น เป็นธรรมะที่น่าอัศจรรย์ที่ไม่เคยมีมาก่อน

 

ชาวอโศก เราเกิดกลุ่มพฤติกรรมมนุษย์เป็น สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ มีการคิด การพูดสำนวนโวหาร อย่างชาวอโศกนี่ พอคุยๆกับชาวบ้านเขา คุยๆไปเขาก็จะบอกว่านี่ชาวอโศกนี่ มันจะรู้เลย การพูดการคิด มันทิฏฐิสามัญตา เป็น DNA เดียวกันเลย เกิดแล้วชาวอโศกมีการหยั่งลง อย่างถาวรยั่งยืน อย่างไม่เสแสร้ง ถึงต้นราก ถึงมูลกา ของจิตวิญญาณ ถาวร ยั่งยืน ก็ตั้งอกตั้งใจสะสมพากเพียร

 

ปีนี้พวกเรา ชาคริยา ตื่นขึ้นเยอะ จิตมันพอเข้าใจ แต่แน่นอนกิเลสไม่ได้ล้าง เราพอสำนึก ก็อย่าได้ช้า นี่มีเหตุปัจจัยที่มีพื้นที่แดนของราชธานีอโศกก็ดูแน่นศาลาอยู่ ถ้ามารวมกันได้ขนาดนี้ (งานเรามีมากลูกรัก หมู่เราเล็กนักสุดเอ่ย) เราเป็นจุดใสเล็กๆท่ามกลางขอบฟ้ากว้าง พระพุทธเจ้าเตือนแล้วว่าเมื่อเรามาพบสิ่งที่เชื่อว่า ใช่แล้วอย่าเสียชาติเกิดตายเปล่า การได้สุขด้วยกามด้วยอัตตา คุณยังสงสัยอะไรอีก สงสัยก็พิจารณาไตร่ตรองซ้ำๆ ขนาดเรารู้แล้วพากเพียรทำยังยากเลย วิบากเหมือนหมาไล่เนื้อ คนเราตายไปแล้ว ก็ต้องไปรับวิบาก นานเท่าไหร่ กว่าจะได้เกิดมามีร่างมนุษย์ เป็นพันๆหมื่นๆแสนๆปี ไม่ง่ายหรอก อาตมาไม่ได้พูดเดาส่งเดชนะ พูดอย่างไตร่ตรอง ว่าจะพูดกับพวกเราที่พอมีพื้นฟังได้

 

ความมหัศจรรย์ของธรรมวินัย ข้อแรกนี่แหละ ตัวเราเองน่าจะมาจัดลำดับ ทั้งที่น่าจะเป็นคิวของเรา แต่เราถูกโลกดึงไป เราไม่ได้มาแทรกหรอก ที่จริงมันคิวของเรา คนในโลกมี เจ็ดพันกว่าล้าน นี่ เราเผยแพร่บุญนิยมทีวีออกไป เราสู้หลายๆช่องของธรรมะเขาไม่ได้ เพราะเราปรุงอย่างจืด ดีไม่ดีขมเผ็ดด้วย ไม่เหมือนเขา คนดูไม่เท่าไหร่หรอก ก็จะได้รู้น้อย แต่เราก็ทำ เรารู้เหตุ องค์ประกอบว่าต้องเป็นเช่นนี้ ไม่ได้งงสงสัย ไม่ได้กลัวเรื่องน้อย แต่กลัวไม่จริง ที่พูดให้พวกคุณนี่ก็อยากให้พวกคุณจริง แล้วที่นี่จริงไหม? ...จริง! ถ้าจริงแล้วจะมาเอาไหม?

 

พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องน่าอัศจรรย์ 8 ข้อนี้เป็นจริง อย่างข้อสองนี้

ปหาราทะ มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่งฉันใด สาวกทั้งหลายของเราก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่ล่วงสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้ แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต ปหาราทะ ข้อที่สาวกทั้งหลายของเราไม่ล่วงสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้แม้เพราะเหตุแห่งชีวิตนี้ เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏประการที่ 2 ในพระธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่” 

 

คำว่า ภิกษุเห็นแล้วอภิรมย์อยู่ ท่านอยู่ต่อหน้าภิกษุ ก็อันเดียวกับที่อาตมาพูดต่อหน้าพวกคุณ ภิกษุก็เข้าไปแสวงหาพัฒนาตน ว่าต้องเอาชีวิตไปใช้ตรงนี้ พวกเราก็นัยเดียว แต่ของพระพุทธเจ้านี้เข้มกว่า ของพวกเรานี่หลวมกว่า แล้วพวกเราฟังแล้วอภิรมย์อยู่ไหม? คำว่าอภิรมย์คือมีอารมณ์รื่นเริงในธรรม ซาบซึ้งเป็นธรรมรส มีรสชาติน่าลิ้มเล็ม  ได้ยินได้ฟังความน่าอัศจรรย์นี้ไหม?

 

แม้ข้อแรก เป็นไปตามลำดับก็น่าอัศจรรย์ แต่ทุกวันนี้เขาไม่ไปตามลำดับ มันลัด มันเลอะ อย่างพวกนั่งหลับตานี่สูญเลย อีกพวกก็เลอะ โลกเลย มีสองแบบ หลงและเลอะ การไปตามลำดับเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายนี่ต้องตามลำดับ เริ่มต้นก่อนเลย อย่าคิดว่าตนมีบารมีเหมือนพระยสะ แต่ถ้าเรามีบารมีจะพาสชั้นได้เลย ถ้าเริ่มต้นสูงชั้นสูงก็ตายไปเยอะแล้ว ชั้นสูงเกาะอะไรไม่อยู่ ก็ตกมาตาย แต่ถ้าเรามีบารมีจะไต่ขึ้นไปเร็ว

 

ที่พระพุทธเจ้าว่า ทั้งน่าประหลาดอัศจรรย์คือ คนมาปฏิบัติไม่ละเมิดศีล 5 แม้เหตุแห่งชีวิต คนที่ปฏิบัติธรรมหน้านองน้ำตาอยู่ ไม่สำเร็จก็ต้องทน สู้ทนไม่ยอมละเมิดศีล ตายเป็นตาย ยิ่งคนได้แล้วจะไม่เปลี่ยนแปลง มีความถาวรมั่นคง

 

"ปหาราทะ มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ เพราะในมหาสมุทรคลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่งให้ขึ้นบกฉันใด ปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลผู้ทุศีล มีบาปธรรม มีสมาจารไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน ชุ่มด้วยราคะ เป็นเพียงดังหยากเยื่อ สงฆ์ย่อมไม่อยู่ร่วมกับบุคคลนั้น ประชุมกันยกวัตรเธอ เสียแล้วทันที แม้เขาจะนั่งอยู่ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงกระนั้น เขาก็ชื่อว่าหางไกลจากสงฆ์ พระสงฆ์ก็ห่างไกลจากเขา ปหาราทะ ข้อที่บุคคลผู้ทุศีล มีบาปธรรม มีสมาจารไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปกปิดความชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน ชุ่มด้วยราคะ เป็นเพียงดังหยากเยื่อ สงฆ์ย่อมไม่อยู่ร่วมกับบุคคลนั้น ประชุมกันยกวัตรเธอเสียแล้วทันที แม้เขาจะนั่งอยู่ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงกระนั้นเขาก็ชื่อว่าห่างไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ห่างไกลจากเขานี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏประการที่ 3 ในพระธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่

 

คนหลงยุคก็จะหลงใหญ่ ถ้าคนรู้จักยุค ว่าส่วนน้อยที่เป็นเนื้อเพชรเนื้อทอง ต้องเอาอันนี้ อย่าไปหลงโฟม พวกโฟมไม่มีน้ำหนักดู่ฟ่าม คนมีดวงตาจะมองอะไรชัดเจนออก จะไม่ช้า

 

"ปหาราทะ แม่น้ำสายใหญ่ ๆ บางสาย คือแม่น้ำคงคา แม่น้ำยมุนา แม่น้ำอจิรวดี แม่น้ำสรภู แม่น้ำมหี แม่น้ำเหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้วย่อมละนามและโคตรเดิมหมด ถึงความนับว่า มหาสมุทรนั่นเอง ฉันใด ปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน วรรณะ 4 เหล่านี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ออกบวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมเสีย ถึงความนับว่าเป็นสมณะศากยบุตรทั้งนั้น ปหาราทะ ข้อที่วรรณะ 4 เหล่านี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ออกบวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมเสีย ถึงความนับว่าเป็นสมณะศากยบุตรทั้งนั้นนี้ เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏประการที่ 4 ในพระธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่

 

ใครอยู่ทางโลกจะมีอะไรมา แต่มาในธรรมวินัยนี้จะเสมอกัน จิตผู้สูงแล้วจะสำนึกไม่หลงสูง จิตสามัญสำนึกของคนสูงจริง จะมีความรู้สึกว่าตนต้องทำตนให้ต่ำกว่าคนต่ำ เพราะคนต่ำเขาไม่รู้จักว่าตนต่ำ เขาจะนึกว่าตนสูงไปตามสำนึก เราต้องทำให้ตนต่ำกว่าเขาหรือเสมอเขา ถ้าเสมอเขาอาจไม่รู้ เราต้องทำให้ต่ำกว่าเขา เราต้องมีพฤติให้รู้สึกว่า เราต่ำกว่าเขาเสมอ คือในสำนวนโลก คือ โง่ให้เป็น ผู้สูงแล้วโง่ไม่เป็นทำงานใหญ่ไม่สำเร็จ อันนี้เป็นภาษิตจีน อย่างเราไปกับลูกก็จะทำเหมือนต่ำกว่าลูกเป็นต้น

 

ปหาราทะ แม่น้ำทุกสายในโลก ย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทร และสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฏว่าพร่องหรือเต็ม เพราะน้ำนั้น ๆ ฉันใด ปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน

ถึงแม้ภิกษุเป็นอันมากจะปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุก็มิได้ปรากฏว่าพร่องหรือเต็มด้วยภิกษุนั้น ปหาราทะ

ข้อที่ถึงแม้ภิกษุเป็นอันมากจะปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุก็มิได้ปรากฏว่าพร่องหรือเต็ม ด้วยภิกษุนั้น

นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏประการที่ 5 ในพระธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่

 

ถ้ายังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ โลกไม่ว่างจากอรหันต์ หากไม่มีเชื้อก็ไม่ได้ แต่ขอยืนยันว่าศาสนาพุทธยังมีเชื้อ ยังสัมมาทิฏฐิได้ พากเพียรเถอะ มีโอกาสอย่าปล่อยโอกาส

 

ปหาราทะ มหาสมุทรมีรสเดียว คือรสเค็ม ฉันใด ปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน พระธรรมวินัยนี้มีรสเดียว คือ วิมุตติรส ปหาราทะ ข้อที่พระธรรมวินัยมีรสเดียว คือ วิมุตติรสนี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏประการที่ 6 ในพระธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่

 

รสนี้เป็นสุขสงบแท้จริงรสเดียว แต่ก่อนเรานึกว่าเราสนุกกับอบาย น่ามีน่าได้น่าเป็นนึกว่าดี แต่พอเรามาลดละได้ เขามีอยู่ในโลกเต็มไปหมด สมัยก่อนที่อาตมาทำงานบันเทิง ก็ไม่ได้เต้นแร้งเต้นกาจัดจ้าน อย่างสมัยนี้มันลามกอนาจาร พิกลพิการ พิลึกพิลั่น วิตถาร แต่ก่อนอาตมายังไม่เต้นทวิสต์เลย แต่เดี๋ยวนี้มันอะไรมากมาย จัดจ้านมาก คนจึงออกมายากมาก คนออกมาได้นี่กราบตนเองร้อยครั้งเลย

 

"ปหาราทะ มหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในมหาสมุทรนั้นมีดังนี้ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม มรกต ฉันใด ปหาราทะ ฉันนั้นเหมืงอนกัน พระธรรมวินัยนี้มีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในพระธรรมวินัยนั้นมีดังนี้ คือ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8 ปหาราทะ ข้อที่พระธรรมวินัยนี้มีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในพระธรรมวินัยนั้นมีดังนี้ คือ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8 นี้ เป็นธรรมนี้น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏประการที่ 7 ในพระธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่

 

เวทนาในเวทนา เข้าไปสู่จิตในจิต ในสุดเป็นเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา ก็สั่งสมเป็นอเนญชาภิสังขาร สั่งสมคุณสมบัตินี้จิตจะยิ่งมุทุภูเต เชิงปัญญาเร็วไว จิตเจโตเกิดดับได้ง่าย จะเอาหรือไม่เอาก็ได้ง่าย มุทุภูตธาตุ ปริสุทธา ปริโยธาตา  มุทุกัมมัญญา ประภัสสรา  ข้อ 7 ของความมหัศจรรย์ธรรมวินัยคือมรรค ส่วนข้อ 8 คือผล

 

อย่านึกว่าโลกไม่มีฤทธิ์นะ มันดึงคนได้เก่งกว่าธรรมะนะ อาตมาเอาพวกคุณออกมาได้ ก็ชักคะเย่อแพ้ทุกวัน แต่ไม่เคยถอยสักวัน ได้แค่ไหนก็เอา อาตมาเปรยกันมาหลายปีว่าถ้าบ้านราชฯนี่ได้สักพันคนนะ... นี่ก็จองที่ดินกันจัง แต่จะมาอยู่ไหมนี่ ได้แต่จองจำ ถูกจองจำอยู่ข้างนอก เรื่องมหาสมุทรลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเลนี่สำคัญ อย่าหลงตน...ตรวจไปตั้งแต่ศีล 5 แล้วจะเพิ่มการศึกษากามาวจร ไปสู่ รูปาวจร ต่อไป เราตรวจสอบได้ว่าเราล้างอบายได้ไหม สิ้นอาสวะไหม? อาสวะบางอย่างสิ้นแล้วก็ต้องมาหาสังคม มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ไม่เช่นนั้นก็ต้องวนกับกายเก่า มีเหตุปัจจัยเดิมๆ ทำไมถ้าจะเข้ามาใกล้ ...ถ้าอาตมาเป็นแกน แล้วจะเข้ามาใกล้อาตมามากไม่ได้ กลัวกิเลสหายหรือไง จะมารักอาตมามากกว่ากิเลสไม่ได้หรือ... นี่พูดนี่ง้อมากนะ พูดอย่างอิตถีภาวะมากแล้วนะ

 

เราก็มาทำตัวเล็กๆน้อยๆนี่แหละ แล้วถ้ามีบารมีจะพาสชั้นเอง แต่ถ้าเราไม่สูงจริงนี่แหละ ระวังจะถูกอีด่าง โลกธรรม คาบไปเสีย เรามีอุปกิเลสอยู่ แค่ข้อ 1 ที่ไม่ปฏิบัติตามลำดับ จึงไม่เป็นเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ที่ลาดลุ่มไปตามลำดับ แต่เพราะสังคมพุทธหลงผิดไปนั่งหลับตา ทำใจในใจอย่างหลงผิด เป็นฌานสมาธิหลับตากัน หรือย่างหนอก้าวหนอ แล้วคนบรรยายก็ไม่ได้ฟังอาตมาเลยท่านจมกับโลกเก่า อาตมาเห็นแล้วน่าสงสาร

 

มีคนท้วงว่าอาตมาใช้ศัพท์ meditation กับ concentration ผิด ..ใช่.. แต่อาตมาว่า ของพุทธนี่เป็น Supra concentration คือการอยู่ในชีวิตประจำวันนี่แหละ แต่มีการทำใจในใจได้อย่างพิเศษ คือมันไม่ได้หนีไปนั่งหลับตา แต่อยู่กับชีวิตประจำวัน ไม่เสียเวลา เสียอิริยาบถสามัญ จึงได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌาน 4 เป็นธรรมดา สั่งสมธรรมะทรงอยู่ตลอดเวลา พอเข้าที่แล้วเป็นธรรมดาเลย ทรงอยู่ถาวรแน่นอน จะอิริยาบถไหนก็มี ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสสรา

 

ดูตื้นๆเหมือนนิ่ง แต่ในภายในมีพลังภายในเป็น kinetic energy  ดูเหมือนไม่มีอะไรแต่มีอะไรอย่างยิ่ง...ดูเหมือนมีอะไรมากมายแต่ไม่มีอะไรเลย ฟังแล้วงามไหม? ไม่งง

 

นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 1 ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ (พระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 109

       เพียงเท่านี้แหละ เพียงแค่ไม่ศึกษาไปตามลำดับ ไม่กระทำไปตามลำดับ ไม่ปฏิบัติไปตามลำดับ จึงไม่เป็นเบื้องต้น-เบื้องกลาง-เบื้องปลาย ที่ลาด ลุ่ม ลึกไปโดยลำดับกันจริงๆ

       แต่เพราะหลงผิดมัวไปนั่งหลับตาทำใจในใจ(มนสิกโรติ)ให้เกิดฌานเกิดสมาธิอยู่ในภวังค์กัน โดยไม่รู้ว่านั่นคือการสร้างรูปภพ-อรูปภพใส่ใจตน แล้วเชื่อว่า การทำสมาธิต้องวิธีนี้อย่างนี้เท่านี้แหละ นั่งเข้าไปแล้วศีลก็จะบริสุทธิ์เอง ศีลจะสูงเป็นอธิศีลเอง จากการบรรลุสมาธิหลับตานี่แหละ สมาธิก็จะบริสุทธิ์ได้เอง จากการนั่งสะกดจิตทำสมาธินี่แหละจะเจริญ ศีล-สมาธิ-ปัญญา ได้จากในภวังค์นี้แหละ

       เอาแต่ใจนี่แหละ ให้เป็นสมาธิอยู่ข้างใน อย่าไปหาเรื่อง หรือหารู้อะไรภายนอก หลับตาสร้างสมาธิให้แกร่งกล้า แน่วแน่แบบในภายในเท่านั้น แล้วจะรู้อะไรต่ออะไรในโลกในเรื่องทั้งหลายทั้งหมดได้เอง สอนกันอย่างนี้จริงๆ 

       แม้ปัญญาที่หยั่งรู้โลกเป็นโลกวิทูได้ ก็จะเกิดเอง จากการนั่งสะกดจิตเข้าไปๆๆๆ แล้วจากสมาธินี่เอง จะเก่งวิเศษหยั่งรู้อะไรต่ออะไรได้อย่างลึกลับมหัศจรรย์...ว่างั้นเลย

       ไม่ต้องมี อธิศีลสิกขา-อธิจิตสิกขา-อธิปัญญาสิกขา จากศีล 5ได้ผลเป็นสัมมาสมาธิ-สัมมาวิมุติเป็นขั้นต้น แล้วจึงสมาทานศีล 8 เป็นขั้นกลาง ปฏิบัติเจริญสมาธิ-ปัญญาได้ผลต่อไป อย่างรู้โลกรู้สังคมอยู่ พร้อมทั้งจักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา แสงสว่างตามพระวจนะ

       จึงไม่ใช่บรรลุสมาธิ-วิมุติแล้วอธิบายได้ว่า สมาธิและวิมุติของศีล 5เป็นอย่างไร?

มีบริบทแค่ไหน? สมาธิและวิมุติของศีล 8เป็นอย่างไร? มีบริบทแค่ไหน? ศีลที่สูงกว่านั้น บริบทที่กว้าง ที่ลึกกว่านั้นยังไม่ต้องพูดถึงก็ได้   ทำแล้วได้ส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ได้อย่างไร?

 

บุญ คือ เครื่องมือของพระพุทธเจ้าให้ไว้ในการใช้ชำระกิเลส ใช้ไปแล้วก็จะแหลมคมไปเรื่อยๆ เล็กลงไปเรื่อยๆ สุดท้ายเมื่อกิเลสอาสวะอนุสัยหมด บุญก็หมดไปด้วย เป็นปุญญปาปริกขีโณ จะรู้ส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ หมดแล้วก็สิ้นบุญสิ้นบาป เราไม่ทำบาปอีกแล้ว บุญก็ไม่ทำอีกแล้ว เหมือนเราเอามีดไปตัดเชือก พอตัดเชือกขาดแล้ว ก็วางมีด ของพระพุทธเจ้านี่ขาดแล้วจริง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

       ซึ่งเห็นได้ว่า การปฏิบัติที่หลับตานิ่งเป็นสมาธิ นั้นไม่ใช่การปฏิบัติที่สมาทานศีล ตามฐานะของแต่ละคนอย่างเหมาะสมกับตน โดยเริ่มจากศีล 5 แล้วปฏิบัติมรรค 7 องค์จนกระทั่งเกิดสัมมาสมาธิ มีเอกัคคตาจิตในศีล 5 ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหาจัตตารีสกสูตร(พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 252-281)ไปเป็นลำดับ ตามจรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งมีศีลเป็นอาริยะ มีสำรวมอินทรีย์เป็นอาริยะ มีสติสัมปชัญญะเป็นอาริยะ มีสันโดษเป็นอาริยะ และมีฌาน 4 เป็นสมาธิ มีปัญญาเป็นวิชชา 8 ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 9 จากสูตรที่ 1 พรหมชาลสูตร ไปทีเดียว ที่ตรัสถึง ความเป็นโลกและเป็นอัตตา และสูตรอื่นอีก 12 สูตรล้วนเป็นสูตรที่บรรยายถึงการปฏิบัติแบบพุทธแท้ๆที่มีแบบฉบับเป็นของพุทธเอง ทั้ง 12 สูตร ต่อจากพรหมชาลสูตรได้ผลเพียงพอแล้ว จากศีล 5ได้แล้วจึงจะสมาทานศีล 8 และปฏิบัติต่อไปเป็นลำดับต่อเมื่อเจริญไตรสิกขาได้ดีพออีก แล้วจึงสมาทานศีล        

       การปฏิบัติที่เป็นลำดับนี้ ถ้าสัมมาทิฏฐิจริง จะเป็นที่น่าอัศจรรย์ ที่ไม่เคยมีมาก่อนแน่แท้

       แต่ศาสนาพุทธทุกวันนี้เพี้ยนไปแล้ว ก็จริงแสนจริง

       เพราะไม่เป็นเบื้องต้น-เบื้องกลาง-เบื้องปลายนี้แหละที่ไม่สามารถบรรลุพุทธธรรมอย่างน่าอัศจรรย์ ของพระพุทธเจ้า ได้สะดวก และเรียบร้อยราบรื่น เหมือนมหาสมุทร ลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ แต่กลายเป็น ปฏิบัติไปแล้วหนักหนาเหน็ดเหนื่อย ไม่บรรลุ หรือโกรกชันเหมือนเหว อีโหลกโขลกเขลก ขลุกขลัก หรือขรุขระ หรือไม่ก็สะดุด สุดยาก งมๆ คลำๆ

       เช่น ไม่ปฏิบัติตามจรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งเริ่มด้วยศีล แล้วปฏิบัติอปัณณกปฏิปทา 3 คือ สำรวมอินทรีย์ 6 อันเป็นการสำรวมทั้งตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ แล้วมีสติปัฏฐาน 4 อ่านกายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรม ในธรรมไปทุกอิริยาบถ แล้วก็มีโยนิโสมนสิการไปตลอดเวลา โดยมีจิตวิเคราะห์(psychoanalysis)ได้อย่างพิเศษวิเศษจริงๆ

       สามารถจัดการกับสังกัปปะ 7 ดำเนินการทำใจในใจ(มนสิกโรติ)ให้เกิดสัมมาผลไปตามลำดับทุกกายคตาสติ-อานาปานสติ อย่างเป็นลำดับได้จริงๆ

       เพราะสามารถวิเคราะห์วิจัยความเป็นกายและในความเป็นจิตอย่างสัมมาทิฏฐิ และสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงจิต-เจตสิกเคหสิตเวทนาที่เป็นมโนปวิจาร 18 โลกียะแล้วผู้ปฏิบัติก็สามารถทำให้เกิดผลเนกขัมมสิตเวทนาที่เป็นมโนปวิจาร 18 โลกุตระได้สำเร็จ

       ความเป็นฌานที่ได้ที่เป็นฌานแบบพุทธนี้จึงต่างจากฌานแบบหลับตาเข้าไปเป็นฌานที่อยู่ในภวังค์อย่างชัดเจนว่า เป็นการได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบากในฌานทั้ง 4 นั้นคือ ฌานโลกุตระที่ได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบากจริงอย่างไร? ต่างจากฌานโลกียะที่ได้โดยยาก ได้โดยลำบาก อย่างไร?

 

จะชัดเจน เราลืมตาเราก็ทำฌาน เขาต้องหาที่หลับตาทำฌาน มันก็ง่ายกว่ากันอย่างไร? ของพระพุทธเจ้าจะทำฌานก็มี กายมุทุตา กายปาคุญญตา ปรับกายได้อย่างรวดเร็วทันที คำว่ากาย คือหมวดของเจตสิก 3 เวทนาสัญญาสังขาร แล้วเจตสิก 3 นี้ เป็นกายปาคุญญตา คือไวเร็วเป็นชวนจิต รู้เร็วปรับเร็ว ทั้งเจโตและปัญญา นี่คือกายมุทุตา องค์ประชุมของความหัวอ่อนของจิต

 

       ยิ่งผู้ใดที่เคยได้เรียนรู้ หรือได้ฝึกทำฌานแบบหลับตาเข้าไปเป็นฌานก็ยิ่งจะรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริงในนัยสำคัญ ว่าความแตกต่างกันของฌานแบบพุทธกับฌานแบบหลับตา ตามที่เป็นจริง

       ซึ่งรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่าไม่เหมือนกัน เพราะสัมผัสทั้งมรรคทั้งผลของทั้งโลกียธรรมและทั้งโลกุตรธรรมในตนแล้ว รู้ความจริงตามความเป็นจริงของตนๆ(ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ) เป็นการสร้างจิตให้แข็งแรงชนะกิเลสได้อย่างถาวร กับชีวิตจริง อย่างไม่ข่มเบ่งใครด้วย ทุกวันนี้อาตมาให้เขาดูถูก ข่มเบ่งได้ ...ก็เข้าใจเขา ไม่ถือสาคนบ้า คนเบ่ง คนเมา ...ก็เข้าใจเขา

       คำว่าวิตกซึ่งเป็นภาวะของความเป็นจิต-เจตสิกอย่างหนึ่งก็ดี หรือวิจารซึ่งก็เป็นภาวะของความเป็นจิต-เจตสิกอีกอย่างหนึ่งก็ดี เป็นปีติก็ดี เป็นสุขก็ดี เป็นเอกัคคตาก็ตาม ก็จะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงปรมัตถธรรมเหล่านั้นได้จริง แม้แต่ความเป็นจิต-เจตสิกที่เป็นอุเบกขา ในภาวะเคหสิตเวทนา ว่าแตกต่างกับอุเบกขาในภาวะเนกขัมมสิตเวทนาอย่างไร ไฉน  ทำให้เกิดความเป็นปุริสภาวะ คนที่ถึงอุตมปุริสสะก็จะใช้อิตถีภาวะมาอนุโลมช่วยคนได้ เป็นช้างเท้าหน้าเท้าหลังก็ให้พากันไปสู่ความเจริญ แต่ไม่ใช่ว่าชี้โพรงให้กระรอกสำหรับคนหัวใจสีชมพู ให้เป็นโสดนี่แหละดีกว่า

       ด้วยการสัมผัสอาการของจิต-เจตสิกนั้นๆ เห็นนัยที่แตกต่างกัน(ลิงคะ)ของอาการจิต-เจตสิก นั้นๆ โดยกำหนดเครื่องหมาย(นิมิต)จิต-เจตสิกต่างๆเอาได้ ตามที่ได้รู้ได้ฟังคำชี้แจง

คำอธิบายจากสัตบุรุษมา(อุเทศ) ซึ่งพระวจนะมีว่า เป็นการรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นนามรูป(พระไตรปิฎก เล่ม 10 ข้อ 60)

และจะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นรูปคืออย่างนั้น ความเป็น

นามคืออย่างนี้ เช่น รู้จักรู้แจ้งรู้จริงรูป 28(มหาภูตรูป 4 กับอุปาทายรูป 24) เป็นอย่างนั้น

รู้จักรู้แจ้งรู้จริงนาม 5(เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ) ตามที่พระวจนะในพระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 14 เป็นอย่างนี้ เป็นต้น หรือนามในปรมัตถธรรม ซึ่งได้แก่ จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน

 

       ซึ่งการปฏิบัติแบบพุทธจะสามารถวิเคราะห์จิต(psycho analyses)เป็น อ่านจิต-เจตสิกออก เห็นได้แยกออกจริงๆ แม้จะจำชื่อของรูป ชื่อของนามนั้น เป็นภาษาบาลีไม่ได้ ก็จะรู้อาการหรือนิมิตต่างๆตามคำอธิบายชี้แจงที่ได้รู้ได้ฟังมาจากสัตบุรุษ(อุเทศ)ถึงสภาวะต่างๆนั้นได้จริงๆ

       ไม่ใช่มีแต่สะกดจิตเป็น กดข่มเป็น ลืมๆ ทิ้งๆไปดื้อๆเป็น แต่วิเคราะห์จิตไม่เป็น อ่านจิต-เจตสิก-รูป ต่างๆตามพระวจนะของพระพุทธเจ้าหรือของสัตบุรุษไม่ออก ...จะไม่ใช่แบบนั้น

       การอ่านจิต-เจตสิก-รูป-นิพพานออกนี้ ผู้ปฏิบัติแบบพุทธที่สัมมาทิฏฐิ จะสามารถอ่านได้ อ่านเป็น เริ่มจากผู้ปฏิบัติจะรู้จักความเป็นนามรูปของ กายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรม ซึ่งเป็นความสามารถขั้นสติปัฏฐาน 4 อันเป็นโลกุตรธรรมข้อที่ 1 ใหญ่ข้อหนึ่งใน 7 ข้อ ของโพธิปักขิยธรรม ตามที่พระวจนะ ในพระไตรปิฎก เล่ม 31 ข้อ 620 ตรัสว่า สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรมีองค์ 8 อริยมรรค 4 สามัญผล 4 และนิพพาน ธรรมเหล่านี้เป็นโลกุตระฯ [จึงมีโลกุตระ คือ โพธิปักขิยธรรม 37 + อาริยบุคคล 8 และนิพพาน 1 = โลกุตระ 46 ซึ่งเริ่มจากกายในกายเป็นข้อ 1 ในโลกุตรธรรม 46 เป็นต้น ไปถึง นิพพานท้ายสุด]

       ผู้ที่โยนิโสมนสิการ หรือมีจิตวิเคราะห์จนกระทั่งสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงตั้งแต่ความเป็นกาย ซึ่งผู้ปฏิบัติสัมผัสวิโมกข์8 อันมีพร้อมทั้งองค์ประกอบของรูปกับนาม(กายและความเป็นวิโมกข์ตั้งแต่ข้อ 1 ถึงข้อ 3

       ข้อ 1 บัญญัติไว้ว่า รูปี รูปานิ ปัสสติ อันคนผู้ปฏิบัติขั้นต้น ก็จะต้องมีรูป(รูปี) ก็ต้องเห็น(ปัสสติ)รูปทั้งหลาย(รูปานิ)นั้นๆอยู่ในขณะปฏิบัติ

       ถ้าไม่มีรูป(น รูปัง) คนผู้นั้นปิดทวารภายนอกทั้งหมด แม้แต่ผิวหนังภายนอกก็ไม่รับรู้สึกแล้ว ผู้นี้รู้อยู่แต่กับนามภายในเท่านั้น ก็เท่ากับผู้นี้ ไม่มีรูปที่เป็นรูปกาย มีแต่นามกายคือ รับรู้อยู่แต่ในภายในเท่านั้น

       และในภายในนี้ ถ้ายังปรากฏมีรูปมีภาพหรือมีแสงมีสีอะไรก็ตามที่เรารู้อยู่รูปนั้นคือมโนมยอัตตา คือ รูปที่สำเร็จด้วยจิต เป็นอัตตาในระดับรูปาวจร ซึ่งไม่ใช่ความจริงของกามาวจร อันเป็นความรู้ร่วมกับคนอื่นๆในโลกที่เป็นโลกอันคนตาดี หรือตาไม่บอด ร่วมเห็นกันได้กันแล้ว มันมีแต่ตัวเองคนเดียวที่รู้เป็นความจริงภายในส่วนตัวเท่านั้น ซึ่งจะปั้นอะไรจะเป็นอะไร ก็เป็นเรื่องของตนที่เนรมิตขึ้นให้แก่ตนเองได้ จะพิลึกอย่างไรแค่ไหนก็เรื่องของตน มีแต่เรื่องมโน ซึ่งเป็นศัพท์ที่ทันสมัยเข้ากับเหตุการณ์บ้านเมืองมาก

       ผู้รู้คนนี้จึงรู้อยู่ในโลกแห่งสัญญาของตนเท่านั้น มิใช่คนอยู่ในโลกแห่งปัญญาสามัญ อันเป็นการรู้ที่ทุกคนในโลกรู้ร่วมได้เป็นปกติธรรมดาและรู้ได้อย่างเดียวกัน

       ถ้าตนเองผู้นี้ดับสัญญาไปเสีย ไม่รับรู้อะไรเลยแม้ในจิตตน ดับมืดดำไปหมด(กิณหะ) จนเวทนา(ความรู้สึก)ก็ไม่สามารถรับรู้ด้วย อะไรจะมีอย่างไรก็ไม่รับรู้เลย คนผู้นี้แหละอยู่ในโลก อากิญจัญญะ(ความไม่มีอะไรสักนิด)เป็นภพของสัตว์โอปปาติกะ ซึ่งเป็นพวกเดียวแบบเดียวกัน

กับฤาษีอาฬารดาบส เพราะดับทั้งสัญญาและดับทั้งเวทนา รับรู้ไม่ได้ทั้งสัญญาทั้งเวทนา

       ส่วนคนผู้สามารถดับธาตุรู้ให้ไม่รู้อะไรเลย เป็นสัตว์ผู้ดับจิตไม่รู้อะไรแล้ว นิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่รู้อะไร เป็นผู้ปฏิบัติถึงขั้นอากิญจัญญะได้แล้ว แต่ยังมีภูมิรู้สามารถรู้ต่อภาวะที่แว็บขึ้น

มาให้รู้ ได้อีก จึงรู้สึกว่าธาตุรู้นั้นแม้จะกดข่มมันไว้ให้มันไม่รู้ เก่งขั้นถึงไหนมันก็จะต้องโผล่รู้แว็บขึ้นมาอีกจนได้ ไม่ช่วงใดก็ช่วงหนึ่ง ข่มไว้ได้นานก็นาน ข่มไว้ได้ไม่นาน ก็ไม่นาน

       เพราะธาตุรู้ที่ถูกสะกดไว้นั้นมันจะต้องแสดงความจริงของมัน คือมันต้องทำหน้าที่รู้ แต่เมื่อรู้ขึ้นมาทีใดแม้แต่แค่เพียงแว็บน้อยนิดผู้สะกดที่สามารถรู้ทันในแว็บนิดน้อยนั้น ก็จะรีบสะกดมันลงไปทันทีเป็นความดับให้แก่ตนอีก จนผู้นี้ก็ดับดำ(กิณหะ)เช่นเคย ผู้นี้ก็คือผู้ยังมีเวทนาเกิดในจิตที่มีเพียงแค่แว็บนั้น และแล้วก็ถูกดับแว็บนั้นต่อไปอีกทันทีที่รู้สึกว่ามีรู้ ตามที่ยึดมั่นถือมั่นว่า ต้องทำความดับ จึงจะชื่อว่ามีนิโรธ  เมื่อดับลงไปได้ ก็ถือว่า อาการอย่างนั้นแหละคือ การบรรลุนิโรธของผู้ปฏิบัติหลับตาเข้าภวังค์

       ที่จริงสายหลับตาที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ ทำไม่ถึงอาฬารดาบส อุทกดาบสด้วยซ้ำไป อย่างมหาบัวนี่ก็ทำไม่ถึงหรอก

       นิโรธหรือความดับของผู้นี้จึงยังมีสัญญากำหนดรู้ภาวะที่รู้ได้น้อยนิดนี้ต่อจากอากิญจัญญะ ซึ่งเป็นพวกเดียวกันกับอุทกดาบส ผู้ปฏิบัติเช่นนี้คือ ผู้ดับเวทนา แต่ยังมีอรูปสัญญาขั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะปลายสุดท้ายหลอกหลอนอยู่  เป็นการได้โดยยาก ได้โดยลำบากในฌาน แล้วเป็นฌานไม่ใช่พุทธด้วย  จะเข้าก็ยาก จะออกก็ยาก

       แต่สุดท้ายก็ยึดมั่นถือมั่นอยู่กับความดับที่เป็นการดับแบบทำให้จิตตกอยู่ในภาวะดำมืด(กิณห) อยู่นั่นเอง ซึ่งเป็นภาวะของธรรมะที่ไม่ประเสริฐ(นาลมริยา ธัมมา

       ผู้นี้จึงอยู่ในภูมิคนที่เป็นผู้ดับเวทนาที่จะว่ารู้ก็รู้แค่แว็บนั่นแหละ ไม่ใช่รู้อะไรจะว่าไม่รู้มัน ก็มีแว็บรู้อยู่สำหรับผู้มีภูมิ ผู้นี้แหละคือผู้มีภูมิเนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ ซึ่งคือผู้ยังอุตส่าห์รู้อาการแว็บของเวทนาที่เกินกว่าภูมิ แค่อากิญจัญญไปอีกอยู่ แต่ก็ยังเข้าถึงภาวะนิโรธในรูปของการดับสัญญาและดับเวทนาให้เกิดเป็นภาวะนิโรธดำ(กิณหะ)อยู่

       เพราะหลงผิด ไม่มีกาย และไม่ใช่การปฏิบัติในขณะมี วิญญาณฐีติ 7 ให้ศึกษาอบรม

       นักปฏิบัติหลับตาเข้าไปอยู่ในภวังค์ไม่มีกาย(รูปกาย)ใดๆมาให้เรียนรู้ประพฤติกันเลย

       แม้มีรูปในภายในก็ไม่ใช่กาย ยิ่งหลงผิดไปทำแต่อสัญญีสัตว์ก็ยิ่งทำความเป็นสัตว์ที่ไม่มีสัญญา-ไม่มีเวทนาทำหน้าที่รู้อะไรเลย สัญญาและเวทนาเป็นภาวะดำ(นิโรธแบบ สุภกิณห)ไปทั้งจิต แล้วหลงผิดว่าการได้ภาวะนิโรธดำนี้ในจิตเป็นภาวะที่น่าพึงใจ(สุภกิณหปฏิลาโภ)

       ความเป็นนิโรธดำจึงแตกต่างกับนิโรธแบบพุทธที่สัมมาทิฏฐิ(สัญญาเวทยิตนิโรธ)ยิ่งนัก

       เพราะภาวะนี้ไม่ใช่บาทฐานการเรียนรู้ของพุทธ ที่จะดำเนินไปตามลำดับลาด ลุ่ม ลึกเหมือนมหาสมุทร ไม่โกรกชันเหมือนเหว ไม่ใช่ทางปฏิบัติอันเอก(เอกายนมัคโค)ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ให้ศึกษากายศึกษาจิตต่างๆ ที่จะสามารถศึกษาจนเห็นแจ้งแทงทะลุไปถึงกายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรม

 

วันนี้บรรยายสองสภาพสัมมาทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิ เขาก็ว่าอาตมาหลงผิด อาตมาก็สงสารเขา เขาก็สงสารอาตมาก็ดี ...จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:17:27 )

580410

รายละเอียด

580410_ตอบปัญหาฆ่ากิเลสให้บริสุทธิ์-2-งานปลุกเสกฯ-ปี2558

พ่อครูว่า....ถึงเวลาตอบปัญหาฆ่ากิเลสให้บริสุทธิ์ อีกไม่กี่วันก็ตลาดอาริยะ งานของทางจังหวัดเริ่มตั้งแต่วันที่ 12 อาตมาเห็นว่าเป็นนิมิตดีมากเลย ที่ทางจังหวัดมาร่วม ที่จะได้ช่วยกันพัฒนา เรามีสมรรถนะ เขาก็เจตนาดีร่วมมือประสาน เป็นโอกาสดีที่จะช่วยกันทำคนละเรี่ยวแรง จะได้สร้างบ้านแปลงเมือง คสช.เขาก็พยายาม เราก็ทำตามประสาเรา

 

ปัญหาที่คุณอุรินทา ถามมา

เอาประเด็นที่ถามมาเลย

 

ประเด็นที่สอง เกี่ยวกับราชธานีอโศก

1. เพราะเหตุใดจึงเลือกตั้งพุทธสถานและชุมชน ณ ที่แห่งนี้

2. การประกาศให้ที่แห่งนี้เป็นชมพูทวีป เป็นแผ่นดินแห่งพระพุทธศาสนา เพราะเหตุใด มีที่มา หรือองค์ประกอบใด

สุดท้ายแล้วในประเด็นเรื่องของตลาดอาริยะนั้นคืออะไร หากจะให้หลวงปู่ได้อธิบายถึงรายละเอียดต่างๆ ของที่มา และแนวคิดการเกิดตลาดอาริยะ หรือประเด็นอื่นๆที่เกี่ยวข้องค่ะ

หากสิ่งที่พ่อครูได้ให้ความกรุณาที่จะตอบ มีความครบถ้วนสมบูรณ์พอที่จะทำให้เห็นภาพรวมความเป็นมาของชาวอโศก ข้าพเจ้าจะจัดทำเป็นเอกสารเพื่อใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นให้แก่ผู้ที่สนใจจะศึกษาเกี่ยวกับเรื่องราวของชาวอโศกทำความเข้าใจเบื้องต้นเพื่อศึกษาในรายละเอียดเรื่องอื่นๆต่อไป และเป็นการทำประโยชน์ให้กับชุมชนอีกทางหนึ่ง

ขอขอบพระคุณค่ะ

 

ทั้งนี้ขอกราบเรียนถามหลวงปู่ ในประเด็นที่หนึ่ง คือ ภาพรวมของความเป็นอโศก ดังนี้

1. จากการที่ได้ฟังหลวงปู่เทศน์เมื่อวันที่ 31 มีนาคม เกี่ยวกับการที่หลวงปู่ต่ออายุไขถึงอายุ 151 ปี นั้น ได้มีการแบ่งออกเป็น 4 ช่วง คือ

36 ปีแรก ดำรงชีวิต อยู่ในฆราวาส

36 ปีต่อมา ถือได้ว่าไปช่วงเริ่มแรกของอโศกได้หรือไม่ และหากมองย้อนไป หลวงปู่คิดว่า อโศกในช่วง 36 ปีแรกนั้นเป็นอย่างไร

                                    36 ปี ต่อมานับเป็นช่วงปัจจุบันของชาวอโศก หลวงปู่จะมีแนวทางหรือวางแนวทางอย่างไรให้กับอโศก

                                    และ 36 ปีช่วงสุดท้าย หลวงปู่คิดหวังว่าอโศกจะเป็นอย่างไร ถ้าเป็นไปได้หลวงปู่หวังจะให้ไปถึงระดับไหน โดยการแบ่งในลักษณะนี้จะทำให้เห็นภาพรวมของอโศกตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและอนาคต

 

ตอบคำถาม 1. เพราะเหตุใดจึงเลือกตั้งพุทธสถานและชุมชน ณ ที่แห่งนี้ ...อาตมาเองไม่ได้เจตนาจะตั้งเสียทีเดียว อาตมาก็ตั้งชุมชนอื่นก่อนที่นี่หลายพุทธสถาน ตั้งแต่ลาออกจากมหาเถรสมาคม พศ.2518 ไปอยู่แดนอโศกก็ไม่ใช่ที่ของเรา เมื่อได้บวชเป็นภิกษุแล้ว ก็ต้องมีอารามเป็นที่อาศัย เราได้จาริกมาที่ศีรษะอโศกและศาลีอโศก เป็นป่าช้า สมณะเราก็มาปักหลัก ที่ไพศาลี ที่ศีรษะอโศกก็ท่านดินดี กับท่าน อัคควัณโน มาคู่กันที่ศรีสะเกษ ยึดหัวหาดป่าช้า พอเราประกาศนานาสังวาส ก็มาที่ป่าช้าก่อน จากนั้นก็มี คุณสันติยา บริจาคที่ให้สร้างวัด ที่สันติอโศก เราตั้งชื่อว่าสันติอโศก แต่ก่อนนี้มันไกลนะ มันเปลี่ยว แท็กซี่ไม่ยอมไปเลย ตอนพ.ศ. 2519 จากนั้นก็ตั้งหลายพุทธสถาน และหลายชุมชน

 

ที่บ้านราชฯ ที่ดินของหนึ่งฟ้าเขา อาตมาก็นึกไม่ออกว่าแปลงไหน? ประมาณ 20 กว่าไร่ เขาก็ยกให้ ยกให้เป็นปีแล้ว อาตมาก็ไม่สนใจ เขาก็เซ้าซี้ให้มาเอา ..เป็นที่น้ำท่วม แล้วมันก็ไม่น่าสนใจอะไร เขาก็เซ้าซี้ อาตมามาดูแล้ว เขาก็ตั้งใจอยากจะให้นะ อาตมาก็รับไว้ แล้วก็ทิ้งไป จนอาตมาอายุ 60 ปี ก่อนถึง 60 ปี อาตมาก็เปรยๆกับพวกเรา ก็มีคน 7 คน ชื่อนำหน้าดาว เรียกว่า 7 ดาว มาตั้งรกราก ที่ใต้ต้นฉำฉาใหญ่ เขาก็ตั้งกระต๊อบ ใส่ตู้คอนเทนเนอร์ใหญ่ พออาตมาอายุ 60 ปีเขาก็จะจัดงาน สมาธิสมโพช ให้อาตมา ตอนศีลสมโภช ก็ที่สวนลุมพินี ฉลองใหญ่ แต่มาสมาธิสมโภช ก็มาฉลองที่บ้านราชฯ ตอนนั้นฝนตกเลอะไปหมด ใครไม่ลื่นล้มไม่มี สนุกสนานกันใหญ่เลย ก็มีเวทีทำอะไรกันไป มีดอกไม้ไฟ จุดพลุด้วย .. พอเขาฉลองแล้ว อาตมาก็ขึ้นมาถึงที่ข้างบนไปดูที่ทาง พอดูเสร็จ ก็หยั่งลง พยายามทำให้เป็นราชธานีอโศก ก็ลองดู พยายามให้เป็นหลักเป็นฐาน จนทำในลักษณะที่เราจะสร้างสังคมชุมชน แต่ก่อนโบราณเขามีหัวหน้าเผ่าแล้วมีลูกบ้าน มีชีวิตองค์รวม ขยาย เป็นรัฐ เป็นประเทศ อันนี้ก็นัยเดียวกัน เรามีจิตวิญญาณเป็นตัวประธาน เป็นตัวหลัก พอคนอย่างพวกเรามารวมกัน มีทิฏฐิสามัญตา ระลึกอย่างอาริยะ เจริญสูงสุด จนเป็นอรหันต์ เรามีความคิดตรงกันและมี ศีลสามัญตา หลักเกณฑ์ที่จะไปสู่เป้าหมาย เป็นปฏิปทาก็เสมอสมานกัน ก็เกิดความจริงขึ้นมา

 

เจตนาตอนแรก ตั้งที่นี่ก็ไม่คิดจะให้เป็นสาธารณโภคี เราทำสาธารณโภคีที่อื่นมาก่อน มันก็อืดก็ช้า ก็เลยอนุโลมให้ที่นี่ มีทำงานได้รายได้ ไม่ได้เจตนาทำสาธารณโภคีอย่างชุมชนอื่นๆ แต่ทำไปทำมาก็เป็นสาธารณโภคี แล้วชุมชนเราอยู่ที่ไหนก็เกื้อกูลชุมชนรอบข้าง เช่นที่นี่เราทำถนนเข้ามา ให้หมู่บ้านอื่นด้วย เราจะทำประปาแต่เขาก็ระแวงไม่ให้ทำ ก็ไม่เป็นไร ทุกวันนี้บ้านกุดระงุม เรื่องน้ำ เรื่องไฟฟ้า เรื่องถนน เรื่องเจ็บป่วย ก็ให้เราไปช่วย เราก็ไปทำให้ เป็นงานการเมืองภาคประชาชนแท้ๆ อาตมาเห็นพฤติกรรมสังคมพวกเราที่ปฏิบัติจริง ก็เห็นว่าถูกสัจธรรม เป็นไปได้ อาตมาก็เลยคิดว่าแหล่งนี้เป็นแหล่งรวม

 

สรุปว่าเหตุใด?. ก็เหตุไม่เจตนา มัน Born to be อะไรจะเกิดมันก็เกิด Whatever will be will be. ไม่ได้เจตนาอะไรมากมาย บางทีห้ามไม่อยู่ด้วยนะ เหตุใจจึงเลือก ไม่ได้เลือก ถูกยัดเยียด แล้วไม่ได้อยากตั้ง มันจะเกิดขึ้นมาเอง

  1. การประกาศให้ที่แห่งนี้เป็นชมพูทวีป เป็นแผ่นดินแห่งพระพุทธศาสนา เพราะเหตุใด มีที่มา หรือองค์ประกอบใด....

เพราะเหตุใด?...การประกาศแผ่นดินแห่งนี้ บ้านราชฯให้เป็นชมพูทวีป อาตมาไม่ได้ประกาศว่าที่นี่เป็นชมพูทวีป แต่อาตมาประกาศยิ่งกว่านั้น ประกาศว่าประเทศไทยเป็นชมพูทวีป ชมพูทวีปย้ายจากอินเดียมาไทยแล้ว เพราะเหตุว่า มันเป็นชมพูทวีปก็ต้องมีสิ่งยืนยัน จะเป็นทวีปชมพู ก็ต้องมีคนที่เป็นมนุษย์ชมพูทวีป ต้องมีสุรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส ที่นี่จะมีสัปปายะ 4 (เสนาสนะ บุคคล อาหาร ธรรมะ) คนต้องมีสัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติสติ สัมปชัญญะ สัมปชาโน สัมปชลติ ... เป็นพฤติกรรมมีหมู่มวล เกิดมาจากทฤษฎีสัมมาทิฏฐิ เกิดจากมนุษย์มีดวงตาเห็นได้ก็มาร่วมกันแล้วทำให้เกิด มีพฤติกรรมสังคมพอสมควรจนอาตมาเห็นว่าหยั่งลงแล้ว เกิดนิยตะ เที่ยงแท้ มี นิจจัง ธุวัง แล้วจะสัสตัง หรือไม่ก็ต้องต่อไป แต่ตอนนี้อาตมาเห็นว่า ยั่งยืนยาวนานไปได้ หรือว่าตลอดกาลไป จะจริงหรือไม่ อาตมาก็ว่าจากเที่ยงแท้ ยั่งยืนก็จะก่อไปนานเท่านาน แล้วไม่มีอะไรหักล้าง ตายแล้วไม่มีฟื้น อสังกุปปัง ยังไม่ถึง กับพิสูจน์อสังกุปปังก็ตาม แต่ว่ามีนิจจัง ธุวัง สัสตังอยู่ อาตมาก็จะนำพาไป

 

ก็คือมาวันนี้แล้ว มันก็เป็นรูปร่างไม่ใช่ป่าดิบ ไม่ใช่ป่าบุ่งป่าทาม ที่เขาอ้างว่าออกโฉนดไม่ได้ ตอนนี้สัจธรรมเกิดจริง เพราะองค์ประกอบอันสัปปายะ 4 เสนาสนะ-บุคคล-อาหาร-ธรรมะสัปปายะ อาตมาจึงประกาศชมพูทวีป ไม่ได้พูดเพ้อเจ้อหลอกลวงนะ และอาตมามั่นใจว่าจริง ยิ่งอาตมาประกาศว่าประเทศไทยเป็นชมพูทวีปด้วย ไม่ใช่แต่ที่นี่ และที่นี่เป็นหลัก แล้วจะก่อเป็นเครือแหชาวอโศก ที่มีอยู่แล้ว ช่วยกันสร้างราชธานีอโศก

 

ทั้งนี้ขอกราบเรียนถามหลวงปู่ ในประเด็นที่หนึ่ง คือ ภาพรวมของความเป็นอโศก ดังนี้

  1. จากการที่ได้ฟังหลวงปู่เทศน์เมื่อวันที่ 31 มีนาคม เกี่ยวกับการที่หลวงปู่ต่ออายุไขถึงอายุ 151 ปี นั้น ได้มีการแบ่งออกเป็น 4 ช่วง คือ

 

36 ปีแรก ดำรงชีวิต อยู่ในฆราวาส

36 ปีต่อมา ถือได้ว่าไปช่วงเริ่มแรกของอโศกได้หรือไม่ และหากมองย้อนไป หลวงปู่คิดว่า อโศกในช่วง 36 ปีแรกนั้นเป็นอย่างไร

36 ปี ต่อมานับเป็นช่วงปัจจุบันของชาวอโศก หลวงปู่จะมีแนวทางหรือวางแนวทางอย่างไรให้กับอโศก

และ 36 ปีช่วงสุดท้าย หลวงปู่คิดหวังว่าอโศกจะเป็นอย่างไร ถ้าเป็นไปได้หลวงปู่หวังจะให้ไปถึงระดับไหน โดยการแบ่งในลักษณะนี้จะทำให้เห็นภาพรวมของอโศกตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและอนาคต

 

ช่วง 36 ปีแรกนั้น สมัยฆราวาส อาตมาไม่รู้ตัว ไม่มีใครพยากรณ์ว่าเป็นโพธิสัตว์ด้วย แต่พระพุทธเจ้าท่านมีคนพยากรณ์ไว้ อาตมาศึกษาทั้งไสยศาสตร์และวิทยาศาสตร์ แต่วิทยาศาสตร์มีเหตุมีผลพิสูจน์ได้แต่ไสยศาสตร์ ได้เก่งกว่าแต่พิสูจน์ไม่ได้ สรุปว่าทุกอย่างอยู่ที่ใจ มาจากจิต แล้วจิตอันไหนถูก ระหว่างวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์ก็ไม่รู้  ก็เลยมาศึกษาของพุทธ อาตมามีบารมี เอง  ไม่ได้ไปศึกษาสำนักไหนเป็นเรื่องเป็นราว ก็ไปดูบ้างแต่ไม่ได้ศึกษาเข้าไปจริงจัง มีบารมีรู้ได้เอง จากนั้นก็ออกจากทางโลกมาสู่ทางธรรม ตอนอายุ 36 ปี ถ้าอยู่ทางโลกก็ต้องรุ่งเรืองทางโลกได้ อาตมาไม่ได้ด้อยสามารถอะไร ถ้าอาตมาทำ..อาตมาเกิดก่อนอากู๋ แกรมมี่หรืออาร์เอสได้นะ แต่มันถึงเวลาต้องออกมา ก็ไปอยู่วัดอโศการาม ก็ไม่ได้คิดจะบวช เพราะคิดเลยว่าสงฆ์หมู่ใหญ่ไม่เอาถ่าน แต่ไม่มีทางเลือก็ต้องเอาทางนี้ จนจะไม่บวชนะ ไปอยู่ตามฐานะของเรา เป็นดาราแล้วใส่เสื้อผ้าอย่างนี้ เดินทั่วไป คนบางพวกเข้าใจก็เอาไปนั่งบรรยายกับวิทยากรที่ใส่เนคไท เสื้อนอก คนไม่เข้าใจก็หาว่าบ้า คนไม่นับถือก็ลบหลู่ ก็เลยบอกท่านเจ้าคุณที่วัดอโศการาม ว่าจะบวช (ตอนแรกว่าอีก 10 ปีจะบวชแต่อยู่ไปไม่ถึงก็ขอบวชแล้ว) เพราะว่าต้องมีรูปแบบองค์ประกอบเป็นพระ คนก็จะเข้าใจง่าย รับได้ดีกว่า ก็เลยขอบวช ทั้งที่เป็นคนเดิม แต่เอาจีวรมาห่มเท่านั้นเป็นพระเลย ไปไหนคนก็โอ้โห ศรัทธา ได้เรื่อง ตั้งแต่บวช พศ.2513 จนมาถึงปี 2549 เราก็ได้เดินทางเข้าสู่สนามการเมือง เพราะฉะนั้นใน 36 ปีที่สองก็ได้ฟูมฟักตัว

 

อโศกในช่วง 36 ปีแรก หากจากปี 13 + 36 = 49 ช่วงนั้นเรายังไม่ออกไปทางการเมือง เราก็ฟักตัวซ่องสุมพลพรรค แต่มีการเมืองไหม? ก็มี ฟ้าก็ส่งคุณจำลองมา ซึ่งเป็นนักการเมืองมาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่เป็นทหารยังเติร์ก

ตั้งแต่พศ. 2522 ก็โผล่มาที่อโศก เราก็ทำงานทางศาสนา อาตมาก็ไม่ได้คิดไปทางการเมือง เราก็คิดจะให้พัฒนาการทางศาสนาเพิ่มขึ้น จนมาบวช

พศ.2518 ก็ขอแยกจากมหาเถรสมาคม เพราะคิดว่าสงฆ์กระแสหลักไม่ใช่ทางที่ถูก จนเราทำมาอยู่ได้อย่างที่มีความแน่นใน มีแก่นแกน หนักพอที่จะถ่วงสิ่งที่เราจะอนุโลมกับโลกได้ ก็อนุโลมไปได้ แต่ไม่ใช่ว่าเราเสื่อมลงนะ อนุโลมคือถ้าสิ่งที่โลกเป็น เราไปร่วมกับเขาไม่ได้เขาจะฉุดเราลง  เราก็ไปร่วมไม่ได้แต่ถ้าเราแข็งแรงเราก็จะดึงเขาขึ้นมาได้ เราไปร่วมกับการเมืองตั้งแต่ปี 49 เราไม่ได้ตกร่วงนะมีแต่เราดึงเขาเข้ามา ใครหลายคนก็มาจากพธม. มีที่เข้ามาไม่ได้ก็ออกไป ..เรามีแก่นแกนแล้ว ที่ข้างนอกสลายเราไม่ได้ แต่เรากลับไปได้มิตรดีสหายดีมาร่วมด้วย เมื่อเราทำตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าแล้วสิ่งที่อาตมาพูดนี้เป็นไปโดยธรรม

 

ถามว่ามีแผนหรือไม่? อาตมาก็ตอบทันทีว่า No project No planning อาตมาไม่ได้วางแผนไว้เลย รู้แต่ว่าตอนนี้มีโลโก้ของ บ.เดินหน้าฝ่ามหาสมุทร

 

หลายคนว่า อาตมาตายแล้ว หมู่กลุ่มนี้จะสูญ แต่อาตมาว่า มันมีลักษณะของความยั่งยืนถาวร คือสาวกแต่ละคนมีความยั่งยืน แล้วจะนำพากันไปได้อีก เหมือนสมัยพระพุทธเจ้าก็ไม่มีใครเก่งเท่าพระพุทธเจ้าแต่ก็นำพากันไปได้ ตอนนี้อโศกเริ่ม 36 ปีที่สองแล้ว จะเห็นพัฒนการของสังคมอโศก ก็เกิดจากชาวอโศกนี่แหละ ผู้ใดมีปฏิภาณปัญญา อาตมาก็เทศน์ไปแล้วว่า เกิดมาจะเอาอะไรเอาให้ชัด จะเอาธรรมะก็ให้ชัด ถ้าแน่ใจว่าที่นี่คือหมู่กลุ่มที่ชัดก็มาเอา แต่ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ต้องมาเอา แต่ถ้าใช่ชัดก็ควรมา จะเป็นผลดีต่อตนเอง ต่อหมู่กลุ่ม และต่อประเทศ ต่อโลกเลยนะ

 

ตอนนี้อยู่ในช่วงสร้างสรร อาตมาแน่ใจ ว่าความไม่เที่ยงก็มีอยู่จริง อาตมาพยายามให้เข้มแข็งทุกด้าน แต่ความไม่เที่ยงก็คือความไม่เที่ยงนะ ถ้าโพธิรักษ์ตายแล้ว เป็นอะไรตาย ก็หัวใจล้มเหลว ก็ตอบกำปั้นทุบดินนี่หว่า

 

แล้วช่วง ต่อไปเริ่ม 2550-2585 นี่คือช่วงที่สอง ถามว่าเกี่ยวกับนโยบาย 19 ด้านพรรคเพื่อฟ้าดินอย่างไร และมีความเป็นบวรอย่างไร (บ้าน วัด โรงเรียน) ...ก็เกี่ยวแน่ สังคมส่วนใหญ่มี บ้าน วัด โรงเรียน แต่แยกกัน แล้ว โรงเรียนล้มเหลว แย่งเอาความเด่นไปหมด แล้ววัดก็เป็นอภิสิทธิ์ชนมาก แต่ประสิทธิภาพไม่พอที่จะให้ประชาชนเขายกไว้ เขาพึ่งพระตอนประโลมใจ ตอนตาย หรือทำงานมงคลอะไร เป็นสีลพตุปาทาน ศีลธรรมก็แย่ แล้วการศึกษาเองไม่ได้ทำให้บ้านสัมพันธ์กัน แต่ทำให้บ้านแตกแยก ทุกวันนี้ยิ่งสังคมในเมืองก็บ้านใครบ้านมัน อย่าข้ามเขตกันนะ อาตมาสร้างชุมชน คุณมีสิทธิ์กะให้ 50 ตร.วา แต่อย่าทำรั้วนะ ตั้งแต่เริ่มจนถึงทุกวันนี้ คนจะฝ่าฝืนก็มีบ้างแต่ไม่เต็มที่เราไม่ให้ทำ แล้วเรามีวัดอยู่ในนี้ มีโรงเรียนในนี้ จะให้ศึกษากันในนี้ มาเป็นครูก็มาเป็นนักเรียนด้วย นักเรียนที่จะต้องฝึกให้มีระบอบระบบวิธีการ ให้มาเข้าสู่หลักเกณฑ์พวกนี้ อาตมาทำมาตั้งแต่ มวช. ว.สว. ว.บบบ. ว.นบ. ตั้งหลายอย่าง

 

อาตมาก็ขอบอกว่าชาวบ้านราชฯ ที่เขามาเรียนว.นบ.กัน เขาเรียนกันทุกวัน แม้คุณไม่ได้สมัคร ว.นบ. คุณก็เข้ามาร่วมกับเขาได้ ไม่มีใครห้ามกั้นคุณ แต่ก็ไม่ทำไม่ขวนขวาย คิดว่าตนไม่เป็นว.นบ.ก็ไม่มาอันนี้ไม่มีปฏิภาณ ถ้าคุณมาก็ได้ประโยชน์

 

แล้ว บ้าน วัด โรงเรียนขาดกันไม่ได้ สามสภาพนี้

 

แล้วมีพรรคเพื่อฟ้าดินเกิด อาตมาก็พาพวกเราทำการเมืองภาคประชาชน เขียนรายงานส่ง กกต. จนกกต.เขาว่าไม่อยากอ่านเลยของพรรคเพื่อฟ้าดิน มันมีมากกว่าพรรคเขาเลย

 

บ้าน เป็นลักษณะของความสัมพันธ์ เห็นได้ว่าเด็กผู้ใหญ่ผู้แก่ของที่นี่ก็ร่วมกันอยู่ไม่ได้แยกส่วน บางอย่างอาจเหมาะกับแต่ละวัยก็เป็นบ้าง แต่ไม่ขาดกันเสียทีเดียว ไม่แบ่งแยก นี่คือพฤติกรรมที่เกิดจากทฤษฎีเปลี่ยนจิตใจของพระพุทธเจ้า บ้านหมายถึงสังคม ที่ประสานกันกับวัดและโรงเรียนไม่ได้แยกส่วนเหมือนในเมืองเขา แล้วเขาก็แยกกันอย่างแตะกันไม่ได้นี่คือความล้มเหลวของบ้านของสังคม แม้แต่การศึกษาที่ต่างคนต่างแข่งขันกันใครฉลาดมากก็เอาไปเอาเปรียบเอาโลกธรรมมาก เพื่อให้ตระกูลกู กับบริวารกูเท่านั้น ซ้ำศาสนาก็ลอกเลียนทำแบบโลกเห็นแก่ตัว ล้มเหลว

 

เรามาทำแล้วเป็นลักษณะของบวร สัมพันธ์กัน หรือจะแยกรายละเอียดของ 19ด้านบุญนิยม ในนโยบายพรรคเพื่อฟ้าดินก็สัมพันธ์กันหมดทุกด้าน  อาตมายังไม่เอื้อมไปต่างประเทศ เราไม่อยากให้กว้างมากแต่ไม่จริง เราแม้เล็กแต่ขอให้จริงดีกว่า 

ถามว่า 36 ปี ต่อมานับเป็นช่วงปัจจุบันของชาวอโศก หลวงปู่จะมีแนวทางหรือวางแนวทางอย่างไรให้กับอโศก ...

 

อาตมาตอบเลยว่าไม่ได้วางแนวทางอะไร มีคนเขาถามว่าสอนคนอย่างไรมีหลักสูตรอย่างไรคนถึงมาเป็นแบบนี้ได้ อาตมาบอกว่าไม่รู้ อาตมาบอกแต่ว่าอาตมามีความจริงอะไรก็บอกไปเรื่อยๆ มีเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายอย่างไรก็บอก จะมีหลักสูตรอย่างไรก็บอกไม่ได้หรอก ถามอนาคตจะเป็นอย่างไรมันมืด 16 ด้านเลย แต่ไม่กลัว อนาคตจะเป็นอย่างไรไม่กลัว อาตมามั่นใจว่าชาวอโศกจะเดินหน้าต่อ จะได้ไกลหรือไม่ก็อยู่ที่พวกคุณ อาตมามั่นใจว่าถ้าอาตมาอยู่ พวกคุณก็หาว่าอาตมาเป็นแกนหลัก แต่ถ้าอาตมาตาย พวกคุณก็ต้องทำตนเป็นแกนหลัก หากไม่ทำตนเป็นแกน น้ำหรือลมพัดมาก็พังล้ม

 

ถ้าหัวหน้าล้มแล้ว พวกคุณต้องรวมตัวกันโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าล้มแล้ว แยกวง ต่างคนต่างใหญ่ก็จะแยกไป แต่ถ้าไม่มีความคิดว่าใครใหญ่ ก็รวมกันได้แต่ถ้าคิดว่าใครใหญ่ๆ ก็แยกเป็นร้อยก๊กเลย พระพุทธเจ้าว่าอย่าทำ สังฆเภท เป็นการทำลายศาสนา เป็นอนันตริยกรรม มันพัง โดยสัจจะ ถ้าแตกกันแล้วศาสนาพัง ต่างคนต่างทำคนละไม้คนละมือทำศาสนาแตก บาปก็ตกอยู่ที่คนทำ พยายามพากเพียรอย่าให้แตกกัน รักษาความร่วมกันให้ได้

 

ทุกวันนี้เราพูดแต่ปากกันก็เยอะ เราพูดว่า ทุกอย่างต้องทำ ต้องฟังต้องเอาตามมติส่วนรวม แต่ภาคปฏิบัติสั่งเองทำเอง แล้วทำแค่ว่าให้ส่วนกลางรับทราบ อย่างนี้ไม่ได้ เป็นเผด็จการส่วนตัว ทำเสร็จแล้วก็มารายงานส่วนกลางให้เขาจำนนยอมรับ เราควรทำให้ส่วนกลางรับทราบ มีลายลักษณ์อักษรได้ก็ยิ่งดี ให้คนรับรู้ด้วยกัน ทำเป็นหมู่ ศาสนาพุทธคือศาสนาสงฆ์เป็นหมู่ พระพุทธเจ้าตอนปรินิพพาน มีผู้ไปถามว่าจะตั้งใครแทนพระพุทธเจ้า ท่านก็ว่าไม่ตั้ง ท่านวางระบบไว้หมดแล้ว ให้ร่วมกันทำ คณะทำงานสังฆกรรม ก็เลือกไปตามเหมาะสม สงฆ์มี 4 รูปก็ทำตามนั้น เอาคนที่เหมาะที่จะมาเข้าประชุมเป็นบัณฑิต กิจนี้สงฆ์ 4 รูป กิจนี้สงฆ์ 5 รูป กิจนี้ 10 รูป กิจนี้ 20 รูป แต่มากกว่านั้นก็ได้ นี่คือวิธีการบริหารของท่าน นี่คือยิ่งกว่าปชต. ไม่ไปตั้งใครมีอำนาจเป็นหนึ่ง ถ้าตั้งใครเป็นหัวหน้าศาสนาเท่ากับการทำลายศาสนา เห็นไหมว่าตอนนี้แตกไปเรื่อยๆ เพราะไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ทำไม่ลงร่องลงรอยก็เสื่อม อย่าให้ใครเป็นใหญ่ฝ่ายเดียวต้องใช้หมู่กลุ่มทำตามธรรมวินัยท่านตราไว้ดีแล้ว

 

ที่ถามว่า ชาวอโศกจะมีแนวทางอย่างไร ก็เป็นตามต้นทุนและปัจจุบันมีเหตุปัจจัยอย่างไร ตอนนี้กำลังพัฒนาขึ้นไปไม่ถึงยอดสุด... ตอนนี้เป็นช่วงที่สาม

 

ต่อจากพศ. 2550 – 2585 แล้ว ช่วงสุดท่าย 2586-2621 หลวงปู่คิดหวังว่าอโศกจะเป็นอย่างไร?....อาตมาไม่คิดหวังเลย หากถึงพศ.2621แล้ว จะตายก็ตายไป แต่ถ้าทำได้ดีก็จะพักอีก 7 ปี

 

ต่อไปตอบปัญหา...?

_การระลึกชาติ เป็นแนวทางศาสนาพุทธไหม? เป็นหลักในแนวทางไหน?

ตอบ...การระลึกชาติเป็นแนวทางของศาสนาพุทธ แต่เราเข้าใจการระลึกชาติผิดไป คำว่าบุพเพนิวาสานุสติญาณ คือการะลึกถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้ว คือบุพเพ มีมาแล้วอะไรที่ตั้งอยู่ (นิวาส) จะเป็นกรรมกิริยาพฤติกรรมเรื่องราว มีเหตุนิทานสมุทัยปัจจัยนั่นคือสิ่งที่เราระลึก คำว่าชาติไม่ใช่ว่าแค่ระลึกเป็นตัวเป็นตนชาติไหนๆเป็นอย่างไร มีประโยชน์อยู่ถ้ามีภูมิถึง แต่ที่พระพุทธเจ้าให้ระลึกถึงคือ คุณได้มีกิเลส แล้วลดกิเลสอย่างไร มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดกิเลสอย่างไร แล้วเราทำให้ลดอย่างไร คุณต้องมี จุตูปปาตญาณ ให้รู้ ชาติ 5 อย่าง ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ

 

การระลึกชาติเป็นแนวทางศาสนาพุทธ และต้องทำเตวิชโช เหมือนลงบัญชี จะได้รู้ว่าเราเจริญหรือไม่ไปรอดไหม ได้รู้ความก้าวหน้าของเรา ไม่ยากเลย ตรวจสอบแต่ละคน เมื่อวานนี้เกิดอะไร สอบตกไหม? หรือเราชนะ

 

_เคยได้ยินมาว่าพ่อท่านเวลาจะวางอะไรก็วางได้รวดเร็ว จะนอนก็กำหนดจิตหลับภายในไม่ถึงสองนาที

ตอบ...จริง บางทีไม่ถึงนาทีก็หลับ แต่บางทีมีเรื่องให้คิดก็นานกว่านั้น อาตมาฝึกมา ให้ไม่ติดหลับติดนอน การนอนนี่ติดมลำมะเลือง ต้องฝึกให้ตื่นแล้วจิตใจใสเลย ถ้าจิตใสแล้วสบาย แต่ถ้าจิตไปติดมลำมะเลืองนี่คือถีนมิทธะ นอกจากจะฝึกให้ตื่นแล้วก็ให้จิตสดชื่น หลับคือหลับ ตื่นคือตื่น ตัดตัวเชื่อมต่อให้ได้ อาตมามีเพื่อนชื่อปรีชา นอนแล้วกำลังอร่อย แต่ก็ปวดฉี่ ก็เลยพยายามรักษาอารมณ์อร่อย ค่อยๆคลำทางไปห้องน้ำแล้วก็รักษาอารมณ์นั้นได้ ประคองรสอร่อยนี้ได้นะติดหลับมาก คุณฝึกตื่นมาแล้วทำใจให้สว่างจ้าเลย จนฝึกตีระฆังทุก ชั่วโมงได้ สมมุติมันจะถึงตีสอง เราตื่นมาตีหนึ่งสี่สิบแปด ก็ยังไม่ถึงตีสอง จะนอนไปมันก็จะต้องตื่นให้ทัน ก็ต้องฝึกอีก ถ้าก่อนหรือหลัง 10 นาทีก็ตีได้ แต่ถ้าเลยเป็น 11 นาทีจะตีไม่ได้ นอนมาตื่นตีหนึ่งสี่สิบแปดก็ต้องนอนอีก สองนาที แล้วตื่น ฝึกจนนอนกี่นาที่ก็ตื่นได้ตามที่จัดไว้ได้  ฝึกจนเราไม่ทำอาการงัวเงีย มันไม่เสียพลังงานด้วย แล้วทุกชั่วโมงตีระฆังก็ไม่เพลียเหมือนคนธรรมดาตื่น

 

_เอกพีชีโสดาบัน มีนัยต่างกับ อนาคามีอย่างไร

ตอบ...เอกพีชีโสดาบันคือการเกิดอีกหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายถึงชาติทางร่างกาย แต่เป็นชาติทางธรรมะ เช่นสังโยชน์ 10 คุณเป็นโสดาบันพ้นสังโยชน์ 3 คุณก็เป็นสัตตักขัตตุปรมโสดาบัน ก็ต้องฆ่าความเป็นสัตว์อีก 7 สัตว์จึงถึงอรหันต์ เหลืออีกเชื้อเดียวก็เป็นอรหันต์คือเอกพีชี

 

อนาคามีนั้นไม่ต้องมาเกิดในชาติที่มีร่างกาย สุรภาโว สติมันโตอีก ตายแล้วไม่เวียนมาเกิดมีร่างอีก ได้ แล้วจะปรินิพพานไปตามฐานะ 5 ของอนาคามี แล้วแต่มีภูมิ อาตมาไม่ขอขยายความนั่นคือผู้ไม่เกิดอีกได้แต่สกิทาคามีไม่ได้ ต้องมาเกิดอีกในร่างที่มีสุรภาโว สติมันโต ต้องมาเกิดอีก เรียกว่าสกิทาคามี คือเกิดอีก 1 ครั้ง อนาคามีหมดกิเลสกามาวจรจริง  แต่พระพุทธเจ้าเองก็ไม่เกิดในสุทธาวาสนั้น มาเกิดเป็นมนุษย์

 

_กายปาคุญญตา ต่างกับกายมุทุตาอย่างไร?

ตอบ...มุทุแปลว่าจิตหัวอ่อน มันอ่อนไว สามารถปรับเปลี่ยนได้เร็ว เชิงปฏิภาณปัญญาก็เร็วไว เชิงจิตก็เร็วไว เป็นคุณสมบัติเจโต มีมุทุตา ส่วนกายปาคุญญตา เป็นเชิงปัญญา เป็นความเจริญของจิตทั้งคู่ กายคือองค์รวมของรูป นามของเรา มันเจริญขึ้นเป็นเชิงปัญญาใช้กับสังคม ท่านแปลว่าความคล่องแคล่วแววไว ของกองเวทนา สัญญา สังขาร ที่เป็นตัวทำงานสำคัญ มีนัยความคล่องแคล่วด้วยกันทั้งคู่

 

_ผู้มีมุทุภูเต ต้องได้ภูมิขั้นอนาคามีขึ้นไปใช่ไหม?

ตอบ...ไม่ใช่!.. มันไปตามลำดับ จิตจะเร็วแววไวเร็วขึ้นไปตามลำดับไม่ไประบุว่าอนาคามีเท่านั้น

 

_คำว่าปริวัติ 3 อาการ 32 ของอาริยสัจ 4 หมายถึงอะไร?

ตอบ... ปริวัติ 3 คือ สัจญาณ กิจญาณ กตญาณ

สัจจะก็ต้องทำให้จริงถูกตรง คืออาริยสัจ 4 ต้องรู้อาการ แล้วพยายามทำกิจนี้ เมื่อทำเสร็จเรียกกตญาณ มีญาณรู้ จนมั่นใจปฏิญาณตนว่าเป็นอรหันต์ได้ คุณพิพากษาเอง  ต้องตามหาสมุทัยแห่งทุกข์ แล้วจัดการสมุทัยให้ได้ กำจัดให้แล้วกตญาณ  เป็นนิโรธที่เป็นนิโรธพุทธ

 

_อยากให้อธิบายอรูปฌาน 4 แบบพุทธ สัญญาเวทยิตนิโรธ แบบย่อ

ตอบ... อรูปฌาน 4 หากนั่งหลับตาอธิบายไม่ได้ ขาดจิตวิเคราะห์ ไม่มีรายละเอียด อาตมาอธิบายได้เพราะมีอรูปฌานพุทธ จึงอธิบายได้

อรูปแบบพุทธก็ยังลืมตา อ่านจิตว่าง เช่นว่างจากติดกาแฟ ว่างจากติดอบายมุข เรามี เตวิชโช ตรวจสอบ อ่านจำได้เหตุการณ์นั้น จิตใจเราเกิดอาการอย่างไร มีกิเลสแทรกอย่างไร คุณได้ปฏิบัติให้กิเลสลดอย่างไร จนแคล่วคล่องเป็นนิสรณปหานสมบูรณ์ไหม ก็ตรวจได้ว่าอาการจิตว่างเป็นอย่างไร เป็นอากาสาฯ แล้วตรวจวิญญาณตัวรู้ว่าเราว่างมันสะอาดไหม เป็น วิญญานัญจาฯ แล้วมีธุลีละอองนิดหนึ่งน้อยหนึ่งมีไหมที่จิตไม่สะอาดก็คืออากิญจัญญะ เป็นเศษ ส่วนเนวสัญญาฯ คุณต้องรู้สามอันแรกให้สมบูรณ์พ้นความไม่รู้ กำหนดหมายให้ครบ ต้องรู้ ไม่ใช่ว่า รู้หรือไม่รู้ก็ไม่ได้ อ่านให้ครบ อากาศก็ครบ อนันโต อากาสโสติ ไม่มีสะดุดสิ้นสุด วิญญาณก็ไม่สะดุด อนันโตวิญญานันติ ส่วนอากิญจัญก็ไม่มีเศษธุลีละอองเหลือ ที่ด่างพร้อยก็ไม่มี อาการอารมณ์ไม่สบายก็ไม่มีเลย เมื่อรู้หมดแล้วพ้นเนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ ก็เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธเคล้าเคลียอารมณ์ อ่านเวทนา 108 ครบ 3 กาละ สมบูรณ์แบบ พ้นอรูปฌาน ที่ 4 ขึ้นถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ

 

_อ.คึกฤทธิ์ว่า...คำว่า อรูปฌาน ไม่มีในคำที่พระพุทธเจ้าตรัส  พระพุทธเจ้าไม่ใช้คำนี้ ใช้แค่คำว่า อรูปสัญญา ฟังดูก็น่าจะจริง เพราะอรูปฌานนั้นหมายถึงว่าต้องทำลายกิเลส แต่รูปฌานนั้นก็ทำลายกิเลสแล้ว เหลือแต่การตรวจสอบ ก็ใช้แค่สัญญามาตรวจสอบเพราะพลังงานจิจะสูงพอรู้ว่ามีอีกนิดหน่อยก็ง่ายทำให้หายได้ง่าย แต่กิเลสมันตอแยนะ ต้องทำให้แข็งแรงก็จะง่าย


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:19:58 )

580410

รายละเอียด

580410_ทวช.ปลุกเสกฯ ครั้งที่ 39 โลกหรืออัตตาอธิปไตยที่เป็นธรรม 5

พ่อครูว่า....วันนี้วันที่ 10 เมษายน 2558 วันแรม 7 ค่ำ เดือน 5 มีมะแม เป็นวันโกน เป็นวันที่ 6 ของงานแล้ว พรุ่งนี้วันสุดท้ายแล้ว ทำไมไว เราได้บรรยายเรื่องโลกหรืออัตตา อธิปไตยที่เป็นธรรม อาตมาอธิบาย เรื่องอธิปไตยที่เป็นแรงพลัง ที่ในโลกเขาทำเพื่อเกิดอำนาจแรงฤทธิ์นี้ เขาทำแล้วก็ไม่เข้าใจว่า ฤทธิ์แรงนี้คืออะไรแล้วเขาก็ไปศึกษาแต่แรงฟิสิกส์ แต่ฤทธิ์แรงที่อยู่ในสังคมโลกนั้น โลกทั่วไปเข้าใจแค่เรื่องลูกโลก แต่ของพระพุทธเจ้านี้โลกคือความหมุนวน แล้วพระพุทธเจ้าเห็นว่า พฤติของมนุษย์นี่มีความหมุนวนเร็ว แล้วซับซ้อน ต้องเอามาแยกแยะนัยสำคัญ

 

โลกที่เรียกว่าโลกียะกับโลกุตระเป็นอย่างไร? โลกสมุทัยที่เป็นเหตุให้หมุนวน ท่านก็ดับได้ ดับได้ก็เป็นพลังใหม่ เหตุที่ทำให้หมุนวนก็ทำให้เกิดพลังแรงเช่นกัน แต่เป็นโทษภัย ต่อผู้อื่นต่อส่วนรวม ไม่เป็นคุณประโยชน์แก่ส่วนรวม เพราะเราไม่รู้จักตนเองแล้วสั่งสมแรงแบบนั้น ได้แล้วก็ทำให้เกิดการหมุนวนทำร้ายคนอื่น ดูดแย่งชิงเอาจากคนอื่น อาการเช่นนี้คือสัตว์โลก ที่มีอัตตา มีพลังของตน สั่งสมความรู้ เข้าใจ นึกคิด ความเห็นของตน ที่ไม่ได้ศึกษา ก็ไม่รู้ว่า เห็นแก่ตัว แย่งชิงทำร้ายผู้อื่น หยาบคาย แฝงเล่ห์หลอกว่าไปช่วยคนอื่น แต่แท้จริงล้วงตับกินไส้ ทำให้คนอื่นแย่ลง กลายเป็นคนเสื่อมทรุด บางทีถึงตายเลย แต่ตนเองได้แต่รวยเอาๆ กอบโกยเป็นตนใหญ่มากหรูหรา

 

พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้ว ว่าน่าศึกษากว่าความรู้เทคนิค ที่เขาทำเพื่อสร้างสรร กินใช้ อาศัย เลี้ยงชีพ สัตว์โลกทุกตัวก็พาตนรอดเลี้ยงชีพก็ทำ สัตว์ที่เป็นคนก็ทำ แต่ความไม่รู้ แล้วมีสมอง มีจิตวิญญาณ จิตนิยาม ที่สูง เก่ง วิจิตร พิลึกกว่าสัตว์โลกอื่น ก็เลยเอาความเก่งนี้ทำร้ายทำลายเบียดเบียนผู้อื่น เป็นพลังงานทำร้ายสังคม เพราะไม่รู้จักตัวเองที่เรียกว่าอัตตา ไม่รู้ตนว่าคือสัตว์โหดร้าย แต่ปฏิภาณคนรู้ว่าอะไรดี แต่รู้เพียงสำนึกเผิน แล้วเอามาเป็นการอำพรางหลอก ว่าตนไม่เห็นแก่ตัว ช่วยคนอื่นด้วย ซับซ้อนซ่อนพราง บังไว้ไม่ให้รู้ว่าเราทำเพื่อตัวเอง นี่ฉลาดเฉโกมาก

 

ความเป็นสัตว์ที่ทรงไว้ในจิตเรา พระพุทธเจ้าแบ่งเป็นสัตตาวาส 9 ถ้าทำสัตว์ให้สิ้นเกลี้ยง พ้นเนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ เป็นสัตว์ตัวสุดท้ายที่เป็นเชื้ออกุศลตัวสุดท้ายแล้ว สัตว์ก็คือตัวตน จิตวิญญาณตัวต้นทางจิตวิญญาณเรียกว่า สัตว์โอปปาติกะ ให้เรียนรู้จิตวิญญาณที่ก่อเกิด ผู้เรียนรู้คำสอนพระพุทธเจ้าจะเข้าใจความเป็นโลกที่หมุนวนเป็นโลกียะล้างให้กลายเป็นโลกโลกุตระให้หมด

 

พระพุทธเจ้าแบ่งโลกอีก 6 อย่าง

1.โลกอบาย

2.มนุสโลก

3.เทวโลก

4.ขันธ์โลก

5.ธาตุโลก

6.อายตนโลก

 

6 โลกนี้มนุษย์จะต้องศึกษา คำว่า

1. โลกอบาย มันหมุนวนในโลกต่ำเสื่อมเลวร้าย ต้องพยายามเรียนรู้ ความหลงเสพ ติดยึดหลงว่าน่าได้น่ามีน่าเป็น ก็วนในนั้น มีพฤติแย่งเอามาเสพ ไม่ได้ก็ทำร้ายเขา

 

2.ในโลกมนุษย์ เป็นโลกระดับกลาง มีอาการ 32 พร้อม สุรภาโว มีสติพร้อมนอกและใน รู้ตื่น สติมันโต เรียนรู้ได้ อย่างครบ เรื่องโลกและอัตตา จนบรรลุพรหมจรรย์สูงสุด อิธพรหมจริยวาโส มีสติพร้อม ในขณะเรียนรู้โลกและอัตตา

 

อัตตาพระพุทธเจ้าแบ่ง 3 อย่างง่ายๆ โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา แล้วเรียนรู้กำจัดอัตตาตั้งแต่หยาบไป ไม่เรียนวนหรือกระโดดไปมา แต่เรียนเป็นลำดับๆ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าน่าอัศจรรย์ในการเรียนลำดับ เป็นหลักสูตรยิ่งใหญ่ที่จะไม่มีใครคิดได้นอกจากพระพุทธเจ้า รู้ว่าโลกวนอย่างไร แล้วดับเหตุที่ทำให้วนอย่างไร ให้หมดเหตุปัจจัยที่เป็นภัยเป็นโทษ เหลือแต่จิตวิญญาณสะอาดบริสุทธิ์เป็นประธานใหญ่ เป็นมนุษย์จิตสูงมีคุณค่าต่อโลก แม้ไม่ปรินิพพานหรือจะปรินิพพานก็ได้

 

3. เทวโลกที่หลอกลวงคือสมมุติเทพหลงเสพสุขบำเรออัตภาพตน ก็มาเรียนรู้ที่มันเอามาบำเรอตน ก็ล้างกิเลสที่ทำให้สุขทุกข์นี้ ก็ดับโลก มีโลกนิโรธไปตามลำดับ ดับโลกอบาย ก็เกิดเป็นเทวดาอุบัติเทพ ไม่ใช่เทวดาโลกีย์กามเทพ หลอกลวง ให้เป็น

 

4.ขันธโลก 5.ธาตุโลก และ6.อายตนโลก ที่เป็นก็เรียนรู้ในขณะต้องมีอายตนะ ขันธ์คือองค์ประชุมรวมกัน ส่วนธาตุ คือสิ่งที่ได้สร้างอย่างลงตัวเป็นลำดับแล้ว เมื่อเรียนรู้ก็ทำการสร้างธาตุให้เรียงตัวได้อย่างไร สังขตธาตุคือธาตุที่ปรุงแต่ง ให้ลงตัว เป็นธาตุที่ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เป็นอสังขตธาตุ ให้ทรงไว้อย่างยั่งยืนถาวร เป็นอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ไม่เหลือเศษแห่งอุปาทิแล้ว ก็ทรงไว้ซึ่งนิพพานธาตุ จะศึกษาได้ต้องมีโลกที่มีอายตนะ แต่ถ้าไม่มีอายตนะเช่นไปนั่งดับหลับตา ไม่เกิดอายตนะที่เกิดจากตากระทบรูป หูกระทบเสียง ส่ิงสองสิ่งของนามและรูปสัมผัสกันเมื่อไหร่ มีจิตนิยามก็เกิดอายตนะ จะเรียนรู้สมุทัยก็ต้องมีอายตนะ

 

ทุกวันนี้วงการศาสนาพุทธนั้นเพี้ยนไปมากแล้วไปนั่งหลับตาสมาธิ เป็นการดับอายตนะ ตาไม่รับรูป หูไม่รับเสียง ลิ้นไม่รับรส สัมผัสใดๆก็ให้ตัดให้ดับ ก็กลายเป็นอสัญญีสัตว์

 

ในสัตตาวาส 9 เป็นสัตว์ตัวที่ 5 เป็นอสัญญีสัตว์ ซึ่งต่างกับ อสัญญีสัตตายตนะ คำว่าสัญญาเป็นตัวกำหนดรู้ เป็นตัวจำ เป็นตัวทั้งตัวฉายภาพ และฮาร์ดดิสก์ ให้เรารู้เห็นทุกอย่าง จะรู้อะไรก็สัมผัสออกมา จะเป็นเครื่องมือใดๆก็สัมผัสออกมาก็ให้รู้สิ่งที่อยู่ในฮาร์ดดิสก์ แต่ถ้าไม่มีจะไปกดอย่างไรก็ไม่รู้ นอกจากจะกำหนดใหม่แล้วใส่เข้าไปในฮาร์ดดิสก์ สัญญาเป็นตัวสำคัญมาก เป็นทั้งตัวสะสมแล้วจะพัฒนาหรือเสื่อมก็ได้ จะโง่หรืออวิชชาก็ทำใส่ตน เสียเวลาแรงงาน เสียความเป็นคน เราเลิกทุกพลังงานที่เร่ิมตั้งแต่ตักกะ จนปรุงเป็นกรรมหยาบขนาดไหนก็เรียนรู้ควบคุมกรรมทุกอย่างที่จะเป็นอกุศล  แต่ไม่มีอายตนะศึกษาไม่ได้

 

พระพุทธเจ้าว่าการเรียนรู้อัตตา รู้โลกต้องเรียนขณะมีวิญญาณรับรู้ มีวิญญาณฐีติ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ต้องมีสัมผัสแล้วเกิดวิญญาณ ถ้าไม่มีนามรูปสัมผัสกัน จะไม่มีความจริงให้รู้ จึงต้องเรียนรู้ขณะมีอายตนะ 6 ผัสสะ 6 เวทนา 6 แล้วศึกษาขณะมีอายตนะ แต่ถ้าดับสัญญา อายตนะก็ไม่มี ในผัสสะนั้นๆ ส่ิงที่เกิดมันเป็นเวทนาหรือสังขาร เป็นกายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร

 

เวทนา 108 คนก็ไม่รู้ แล้วโง่สร้างสุขทุกข์แต่พระพุทธเจ้าท่านกำหนดหลักให้คนปฏิบัติ แต่ถ้าตกหล่นคำว่าอายตนะ น้ันไม่บริบูรณ์ ในขณะเรามีวิญญาณฐีติ 7 ที่จะเรียนรู้องค์ประชุมของสองสิ่ง เทวธัมมา ที่จะประชุมหยั่งลงที่เวทนาเป็นหลัก จนแปรรูปเป็นสุขทุกข์ให้คนหลง พระพุทธเจ้าตามเหตุที่ทำให้ยึดเป็นโลกและอัตตา จนล้างเหตุคือสมุทัยได้ จึงรู้ว่าจิตวิญญาณเป็นการยึดมั่นถือมั่นเป็นเราเป็นอัตตา เมื่อทำได้สูงสุดจะรู้เองเป็นตถตาว่าธาตุจิตวิญญาณของตน เมื่อมีนิโรธ(ของพระพุทธเจ้า)วิมุติแล้ว

 

คนที่หลับตาแล้วควรมืดสนิท แต่ว่าคนที่เห็นแสงสีขณะหลับตาก็คือปั้นเอาเป็นมโนมยอัตตา หลับตาก็คือความมืด ใครเห็นแสงสี ไปสร้าง สว่างใน แล้วบอกว่าเป็นโสดาฯ สกิทาฯ นี่คือความไม่รู้ว่าอะไรมืดอะไรสว่าง ที่ดับมืดไปเรียกว่ากิณหะ มันคือความจริง แต่คุณกลับไปสร้างความสว่างใส่แทน นี่คือส่ิงที่สมมุติเป็นมโนมยอัตตา เป็นภพชาติทั้งสิ้น จะไม่หมดในส่ิงที่ไม่จริง หลับตาเข้าไปแล้วจะไปเห็นภาพ ซึ่งแม้แต่แสงนิดหนึ่งน้อยหนึ่งเป็น เนวสัญญานาสัญญายตนะ แสงแวบก็ยังเหลือความเป็นโลก เรียกว่าเนวสัญญานาสัญญายตนภพ หรือเนวสัญญานาสัญญายตนโลก โลกสุดท้ายที่ไม่ดับก็คือเนวสัญญานาสัญญายตนโลก

 

โลกและอัตตานั้นจะสร้างยอดนิยายของความเป็นมนุษย์ในโลกเราต้องเรียนรู้ให้ชัดเจน จนมีความรู้ที่พระพุทธเจ้าถ่ายทอด มีได้เป็นได้จนสำเร็จสมบูรณ์จึงจะถึงที่สุดแห่งที่สุด พระพุทธเจ้าสอนให้เรียนรู้แล้วจะยิ่งรู้จักโลก แล้วก็สร้างหรือทำส่ิงที่เกิดคือโลกให้อาศัยอย่างเป็นคุณ ไม่เอาแบบเป็นโทษ เป็นพระเจ้า คือจิตวิญญาณยิ่งใหญ่ ไม่ทำกรรมที่เป็นภัยต่อใคร มีแต่ช่วยคนอื่น นี่คือหลักสูตรวิชาการยิ่งใหญ่แห่งความเป็นมนุษย์ จะเกิดอีกกี่ชาติ ไปรู้วิชาไหนๆก็ไม่สู้วิชาน่ี้

 

การหนีไปเข้าป่าเขาถ้ำนี้เป็นเรื่องเห็นแก่ตัวเป็นอัตตา แต่ของพระพุทธเจ้าให้อยู่กับโลกนี่แหละแล้วล้างอัตตาให้หมดโลกหมดอัตตา เป็นอรหัตตาแล้วช่วยเหลือโลก มีหลักประกันแล้ว ได้แล้วเป็นอมตบุคคล เป็นมนุษย์ที่ถ้าไม่ตายก็ไม่ตาย ไม่มีใครทำให้ตายได้ ตนเองเท่านั้นที่จะทำให้ตนตาย แม้จะอาศัยขันธ์ 5 นี้ไม่ได้แล้วตายแล้วก็เกิดใหม่ได้ แต่หลักประกันอาริยทรัพย์เป็นอรหันต์แล้ว คือไม่ลึกลับสูงสุดแล้ว กี่ชาติก็ได้อรหันต์ตลอดกาลนาน มีหลักประกัน แล้วจะไม่เป็นภัยกับใครอีกแล้วมีแต่คุณค่าประโยชน์  แล้วจะเลิกไปปรินิพพานก็ได้ เหมือนมะม่วงหล่นจากขั้ว จะต่ออีกไม่ได้ แตกกระจายออกไปไม่เหลืออัตภาพอีกได้ เหมือนพระพุทธเจ้าท่านปรินิพพาน ก็เหลือแต่ความรู้นี้สืบสานกันไปให้แก่คนต้องการมาทำให้ได้

 

ผู้สามารถเรียนรู้ขันธ์ ธาตุ อายตนะ จึงจะสร้างให้เกิดขันธ์โลก ธาตุโลก เรียนรู้จากอายตนโลก จนสูงสุดพ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ สู่สัญญาเวทยิตนิโรธ สูงสุดได้ก็ทำนิพพานธาตุได้ แม้จะเหลือขันธ์อยู่ แต่ก็เป็นขันธ์ที่สะอาดบริสุทธิ์หมดอุปาทานแล้ว ก็อาศัยขันธ์โลกทำงานแก่โลก เป็นนิพพานธาตุที่อยู่กับตนถาวร ในจิตใจ เป็นตัวขับเคลื่อนอาศัยทำกรรมการงานในโลกเป็นโลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก) ตามบารมี จึงเป็นผู้มีธรรมาธิปไตย มีอำนาจที่เป็นธรรมเพราะไม่มีโลกไม่มีอัตตา มีนิพพานธาตุรู้ขันธ์โลก รู้โลกอบาย รู้มนุสโลก รู้อบายโลก

 

อบายคือคนสัตว์นรก ร่างเป็นคนแต่จิตอบาย

มนุสโลกคือโลกกลางๆ สามารถเป็นมนุษย์ชมพูทวีป เป็นมนุษย์อุตรกุรุทวีปได้ ส่วนมนุษย์ดางดึงส์ยังหลงสมมุติเทพก็ต้องมาทำให้เกิดเป็นอุบัติเทพ เป็นเทพหยุดเสพกาม ลดลงๆ จนเป็นวิสุทธิเทพก็รู้จักอบายโลกสร้างตนเป็นมนุสโลก มีจิตสูงไม่มีอบายไม่หลงเทวดา ไม่เป็นเทวดาปลอม มีDNA เทวดาแท้ไม่เป็นเทวดากามาวจร ก็รู้ว่าโลกเขาเป็นเทวดาปลอมเป็นพระหรหมหลอก เป็นพระพรหมงมงายมืด ก็พูดกันไม่รู้เรื่อง

 

อาตมาบรรยายนี่สายปัญญา สายแสงสว่างจะรู้ได้ ส่วนสายไปหาความดับจิต ในภพลึก สายลืมตาจะฟังอาตมาง่าย ส่วนสายหลับตาจะจมฟังไม่เข้า แล้วไม่ฟังด้วย อาตมาจะบอกให้... ในผู้ที่อยู่ในวงการศาสนามีโทรทัศน์หลายช่องของศาสนา จอที่หลงมืดดับหนีเข้าป่าจะไม่ดูจอของเรา กับจอที่เอาแต่สว่างจนเกินก็จะไม่ดูของเรา ดูแต่ช่องเขาช่องเดียว จริตนิสัยเหมือนพวกแดง แต่ผู้ที่กลางๆจะดูช่องเรา

 

เราจะต้องมาเป็นมนุสโลกเป็นมนุษย์ชมพูทวีปที่เป็นมนุษย์อุตรกุรุปทวีปได้ แล้วมีเทวธัมมา รู้ส่วนสามของเวทนาในอดีต ปัจจุบัน อนาคต จนหมดเวทนาเคหสิตในส่วนอดีตและอนาคต ข้อที่ 7 ของอวิชชา 8 อย่าง สั่งสมเป็นอดีตให้แน่นหนา จนเป็นความจริงส่ิงเดียวไม่เป็นอื่นอีก เป็นสภาพทรงไว้ซึ่งนิพพานธาตุที่ยั่งยืน เป็นหลักประกันว่าทุกปัจจุบันทำให้กิเลสสูญหมด เป็นธาตุที่ทรงไว้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ แล้วปัจจุบันจึงหมดหน้าที่เป็นอัตโนมัติของพลังงานปัจจุบันแล้ว เหลือแต่อดีตกับอนาคต ที่เป็นสูญตลอด ไม่มีสิ่งเป็นบาปเกิดอีกเลย จากวิญญาณธาตุของผู้บรรลุอรหันต์แล้ว นี่คือวิชชาที่ย่ิงใหญ่ของโลก

 

 เราจะพยายามสร้างสังคมแบบนี้ เช่นการพาณิชย์แบบขาดทุนของเราคือกำไรของเรา แล้วอยู่ได้เพราะเรามีค่าตัวค่าแรงงานอยู่ ของทางโลกนั้นราคาแพงนะ แต่เราทำเพื่อบอกค่าความดี ของวิสุทธิเทพนี่โดยสัจจะค่าตัวแพงมากนะ เพราะท่านไม่เอาค่าตัว คนไม่เอาค่าตัวเลยอย่างจริงใจนะ ท่านจะค่าตัวแพงมากเลย ท่านสร้างสรรเสียสละทำได้ดีด้วย ก็ราคาแพง อย่างในหลวงเรานี่ ค่าตัวหาค่า บ่ มิได้ ทรงงานตลอดชีพ แม้ขันธ์ชราภาพก็ทรงงานอยู่ พูดเป็นภาษาคนว่า ท่านตายไม่ลง เพราะท่านห่วงลูก ลูกคือใคร? นี่คือเรื่องของจิตโพธิสัตว์ที่รู้จิตโพธิสัตว์ อาตมาก็ยืดอายุอาตมานัยคล้ายกัน ก็ไม่รู้ว่าอายุถึงขนาดนั้นจะเป็นอย่างไร? แต่ท่านทำงานเพื่อประชาชนมาก แต่อาตมาไม่ได้ทำขนาดท่าน เป็นสิ่งที่เข้าใจไม่ง่าย

 

ผู้มีนิพพานธาตุ ก็ทำกรรมกิริยากับคนอื่น เมื่อท่านมีอสังขตธาตุแก่ตน ท่านก็ทำสังขตธาตุให้แก่คนอื่น เป็นนักสร้างเป็นพระเจ้า ส่วนตนมีธาตุที่สูญ ไม่มีโทษภัยไร้อกุศล นี่คือผู้สมบูรณ์แบบแล้วทรงไว้ซึ่งนิพพานธาตุ คนที่จะดับส่ิงที่จะให้ดับได้ ไม่ใช่ดับไปหมดทั้งเวทนาและสัญญา ถ้าตนเองผู้นี้ดับสัญญาไปเสีย ไม่รับรู้อะไรเลยแม้ในจิตตน ดับมืดดำไปหมด(กิณหะ)จนเวทนา(ความรู้สึก)ก็ไม่สามารถรับรู้ด้วย อะไรจะมีอย่างไรก็ไม่รับรู้เลย คนผู้นี้แหละอยู่ในโลกอากิญจัญญะ(ความไม่มีอะไรสักนิด)เป็นภพของสัตว์โอปปาติกะ ซึ่งเป็นพวกเดียวแบบเดียวกันกับฤาษีอาฬารดาบส เพราะดับทั้งสัญญาและดับทั้งเวทนา รับรู้ไม่ได้ทั้งสัญญาทั้งเวทนา

            ส่วนคนผู้สามารถดับธาตุรู้ให้ไม่รู้อะไรเลย เป็นสัตว์ผู้ดับจิตไม่รู้อะไรแล้ว นิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่รู้อะไร เป็นผู้ปฏิบัติถึงขั้นอากิญจัญญะได้แล้ว แต่ยังมีภูมิรู้สามารถรู้ต่อภาวะที่แว็บขึ้น

มาให้รู้ ได้อีก จึงรู้สึกว่าธาตุรู้นั้นแม้จะกดข่มมันไว้ให้มันไม่รู้เก่งขั้นถึงไหนมันก็จะต้องโผล่รู้แว็บขึ้นมาอีกจนได้ ไม่ช่วงใดก็ช่วงหนึ่ง ข่มไว้ได้นานก็นาน ข่มไว้ได้ไม่นาน ก็ไม่นาน

            เพราะธาตุรู้ที่ถูกสะกดไว้นั้นมันจะต้องแสดงความจริงของมัน คือมันต้องทำหน้าที่รู้

แต่เมื่อรู้ขึ้นมาทีใดแม้แต่แค่เพียงแว็บน้อยนิดผู้สะกดที่สามารถรู้ทันในแว็บนิดน้อยนั้น ก็จะรีบสะกดมันลงไปทันทีเป็นความดับให้แก่ตนอีก จนผู้นี้ก็ดับดำ(กิณหะ)เช่นเคย ผู้นี้ก็คือผู้ยังมีเวทนาเกิดในจิตที่มีเพียงแค่แว็บนั้น และแล้วก็ถูกดับแว็บนั้นต่อไปอีกทันทีที่รู้สึกว่ามีรู้ ตามที่ยึดมั่นถือมั่นว่า ต้องทำความดับ จึงจะชื่อว่ามีนิโรธ  เมื่อดับลงไปได้ ก็ถือว่า อาการอย่างนั้นแหละคือ การบรรลุนิโรธของผู้ปฏิบัติหลับตาเข้าภวังค์

            นิโรธหรือความดับของผู้นี้จึงยังมีสัญญากำหนดรู้ภาวะที่รู้ได้น้อยนิ้ดนี้ต่อจากอากิญจัญญะ ซึ่งเป็นพวกเดียวกันกับอุทกดาบส ผู้ปฏิบัติเช่นนี้คือ ผู้ดับเวทนา แต่ยังมีอรูปสัญญาขั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะปลายสุดท้ายหลอกหลอนอยู่

            แต่สุดท้ายก็ยึดมั่นถือมั่นอยู่กับความดับที่เป็นการดับแบบทำให้จิตตกอยู่ในภาวะดำมืด(กิณห) อยู่นั่นเอง ซึ่งเป็นภาวะของธรรมะที่ไม่ประเสริฐ(นาลมริยา ธัมมา) 

            ผู้นี้จึงอยู่ในภูมิคนที่เป็นผู้ดับเวทนาที่จะว่ารู้ก็รู้แค่แว็บนั่นแหละ ไม่ใช่รู้อะไรจะว่า

ไม่รู้มันก็มีแว็บรู้อยู่สำหรับผู้มีภูมิ ผู้นี้แหละคือผู้มีภูมิเนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ ซึ่งคือผู้ยังอุตส่าห์รู้อาการแว็บของเวทนาที่เกินกว่าภูมิแค่อากิญจัญญไปอีกอยู่ แต่ก็ยังเข้าถึงภาวะนิโรธในรูปของการดับสัญญาและดับเวทนาให้เกิดเป็นภาวะนิโรธดำ(กิณหะ)อยู่

            เพราะหลงผิด ไม่มีกายและไม่ใช่การปฏิบัติในขณะมีวิญญาณฐีติ 7ให้ศึกษาอบรม

วิธีนั่งหลับตา ทำไปจะเหลือแต่ลมหายใจที่ถูกรับรู้ แม้แต่ความรู้สึกทางผิวหนังก็ไม่รับรู้ได้ เอาไฟจี้ก็ไม่รู้สึกได้ แต่เหลือแต่รู้ลมหายใจได้ แต่ถ้าขาดจากการรู้ลมหายใจก็ไม่ใช่กายแล้ว ก็ไม่ใช่หลักเรียนรู้ศาสนาพุทธแล้ว ซึ่งพุทธต้องเรียนรู้สัตตาวาส ปฏิบัติขณะเป็นมนุษย์ชมพูทวีป ให้มีจิตเป็นอุตรกุรุปทวี เป็นกุรุ หรือเป็นครูชนิดโลกุตระ คือจิตมนุสโส

            นักปฏิบัติหลับตาเข้าไปอยู่ในภวังค์ไม่มีกาย(รูปกาย)ใดๆมาให้เรียนรู้ประพฤติกันเลย

            แม้มีรูปในภายในก็ไม่ใช่กาย ยิ่งหลงผิดไปทำแต่อสัญญีสัตว์ก็ยิ่งทำความเป็นสัตว์ที่ไม่มีสัญญา-ไม่มีเวทนาทำหน้าที่รู้อะไรเลย สัญญาและเวทนาเป็นภาวะดำ(นิโรธแบบสุภกิณห)ไปทั้งจิต แล้วหลงผิดว่าการได้ภาวะนิโรธดำนี้ในจิตเป็นภาวะที่น่าพึงใจ(สุภกิณหปฏิลาโภ)           

            ความเป็นนิโรธดำจึงแตกต่างกับนิโรธแบบพุทธที่สัมมาทิฏฐิ(สัญญาเวทยิตนิโรธ)ยิ่งนัก

            เพราะภาวะนี้ไม่ใช่บาทฐานการเรียนรู้ของพุทธที่จะดำเนินไปตามลำดับลาด ลุ่ม ลึกเหมือนมหาสมุทร ไม่โกรกชันเหมือนเหว จึงไม่ใช่ทางปฏิบัติอันเอก(เอกายนมัคโค)ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ให้ศึกษากายศึกษาจิตต่างๆ ที่จะสามารถศึกษาจนเห็นแจ้งแทงทะลุไปถึงอธิศีลสิกขา-อธิจิต

สิกขา-อธิปัญญาสิกขา เป็นอาริยธรรม เป็นโลกุตรธรรม บรรลุนิพพานได้จริง 

            หรือสามารถจะศึกษาจนเห็นแจ้งแทงทะลุไปถึงกายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรมซึ่งเป็นสติปัฏฐาน 4 ตลอดไปถึงสัมมัปปธาน 4 -อิทธิบาท 4 - อินทรีย์ 5 -พละ 5 -โพชฌงค์ 7 -มรรคอริยะอันมีองค์ 8 เป็นอาริยธรรม เป็นโลกุตรธรรม บรรลุนิพพานได้แท้  

            สติปัฏฐาน 4 กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นตัวตั้งปัฏฐานเลย ถ้าไม่เรียนรู้ตั้งแต่ กายในกาย เป็นลำดับหนึ่งแล้วทำลาดลุ่มไปเหมือนฝั่งทะเล เป็นสัมมัปธาน 4 มี สังวรปธาน ปหานปธาน ภาวนปธาน อนุรักขณาปธาน แล้วทำอย่างมีอิทธิบาท 4 ทำให้เกิดอินทรย์ 5 พละ 5 มีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา นี่คือความมหัศจรรย์ในศาสนาพุทธ มีปลาใหญ่ปลาน้อย พวกคุณนี่มาอยู่นี่ก็เป็นสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆต่างๆที่มาอยู่กัน ตาเปียกๆโปๆ นี่ อย่างนี้หรือโสดาฯหรือสกิทาฯ ไม่เห็นงดงามสวยงามเลย เราก็ไม่สงสัยไม่ริสยา นี่แหละคือมหาสมุทรใหญ่ที่มีปลาใหญ่ มีแก้วแหวนเงินทองเยอะ อัศจรรย์จริงๆ เราไม่มีแก้วแหวนเงินทองเป็นเม็ดหรอกมาสร้างบ้าน แต่เรามีหินมีทรายมีกรวดมาสร้างสรรสถานที่เรา

 

            สามารถจะศึกษาจนเห็นแจ้งแทงทะลุไปถึงสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่ (คำนี้สำคัญ เพราะมาจากจิตให้เรามีพฤติอย่างนั้นๆ โดยผ่านสังกัปปะ 7 ที่เป็นธรรมจักรในจิตเรา (ผ่านอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นต้นกลหรือช่างเครื่อง เป็นเจโต ส่วน ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะเป็นต้นหน เป็นกัปตัน ที่ดูแนวดูทางพาไปให้ถูกทางเป็นปัญญา ทำงานรวมกัน สังขารออกมาเป็นพฤติกรรทางโลก สำเร็จอิริยาบถอยู่) ทั้งอาสวะของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา(พระไตรปิฎก เล่ม 36 ข้อ 40,41,42)  คำว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สายธัมมานุสารี ไม่ต้องไปกล่าวถึงว่าสัมผัสวิโมกข์8 (นเหว) เพราะท่านสัมมาทิฏฐิแล้ว ทำอย่างสัมผัสวิโมกข์ 8 อยู่แล้ว ต่างกับสายสัทธานุสารี ที่จะไม่มีสัมมาทิฏฐิเพียงพอก็เลยต้องกำกับว่า ต้องสัมผัสวิโมกข์ 7 ด้วยกาย

 

[41] บุคคลบางคนในโลกนี้ มิได้ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่  แต่อาสวะของผู้นั้นสิ้นไปแล้ว  เพราะเห็นด้วยปัญญา   บุคคลนี้เรียกว่า “ปัญญาวิมุติ”

(กตโม   จ   ปุคฺคโล   ปญญาวิมุตฺโต  อิเธกจฺโจ  ปุคฺคโล  น  เหว โข  อฏฺฐ  วิโมกฺเข  กาเยน  ผุสิตฺวา  วิหรติ  ปญญาย  จสฺส  ทิสฺวา  อาสวา  ปริกฺขีณา  โหนฺติ   อย  วุจฺจติ  ปุคฺคโล   ปญญาวิมุตฺโต ฯ) สายปัญญานี้เปรียบเหมือนปลาไม่ต้องหัดว่ายน้ำแล้ว ว่ายเป็นมาแต่แรกเริ่มเลย คือทำสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายนี้ได้อยู่แล้ว และทำอยู่ตลอดแต่เริ่มต่างจากสายศรัทธาที่ไม่ได้สัมมาทิฏฐิแต่ต้น

           

            หรือสามารถจะศึกษาจนเห็นแจ้งแทงทะลุไปถึงวิญญาณฐิติ 7 -อายตนะ 2 และวิโมกข์ 8 (พระไตรปิฎก เล่ม 10 ข้อ 65-66)

            ซึ่งในวงการศาสนาพุทธทุกวันนี้ ไม่รู้ไม่เรียนวิญญาณฐิติ 7 อายตนะ 2กันแล้ว ไม่ชัดเจนในวิโมกข์ 8 แม้แต่กายก็ไม่เป็นสัมมาทิฏฐิกันแล้ว

            เพราะองค์ประกอบของรูปกับนามคือ กายนั้น เป็นอย่างไร ผู้ที่ยังไม่เข้าใจก็ยังไม่สัมมาทิฏฐิ

            ดังนั้น กายภายนอก-กายภายในก็ดี กายในกายก็ดี กายคตาสติก็ดี กายานุปัสสนาก็ดี แม้แต่สักกาย ก็ดี และกายอีกต่างๆมากมาย เช่น กายสังขาร(การปรุงแต่งของความเป็นรูปกับนาม) กายวิญญาณ(ธาตุรู้ที่รู้ความเป็นรูปและนาม) กายกลิ(กิเลส) กายมุทุตา(ความหัวอ่อนของจิตที่ปรับได้เร็วไวทั้งเจโตและปัญญา) กายภาวนา(การเกิดผลขององค์ประชุมแห่งนามรูป) กายวิการ(การเปลี่ยนแปลงความเป็นนามรูป) กายวูปกาส(การแยกตนออกจากอกุศลจิต) กายกัมมัญญตา(กายที่มีคุณสมบัติอุเบกขา 5) ฯลฯ ย่อมเข้าใจผิดแน่นอน เพราะกายต้องมีทั้งภายนอกและภายใน แล้วเน้นภายในด้วย พระพุทธเจ้าว่ากายคือ จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง

            ที่สุดสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่ ทั้งอาสวะของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญาที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 36 ข้อ 40 ข้อ 41 ข้อ 42 ก็สับสน และเข้าใจในสภาวะของปรมัตถธรรมไม่ได้แน่ๆ    

            เพราะไม่มีวิญญาณฐีติ(ไม่มีธาตุรู้ทำงานอยู่ในขณะนั้น = วิญญาณไม่มีอยู่ในขณะนั้น หรือวิญญาณไม่ตั้งอยู่ในขณะที่ปฏิบัตินั้น) จึงไม่ใช่ภาวะที่จะสามารถบรรลุการศึกษาแบบพุทธได้สัมบูรณ์ เพราะไม่มีความจริงอันเป็นสมมุติสัจจะ(ความจริงซึ่งทุกคนสามารถจะเข้ามาร่วมรู้ได้ด้วย) ที่ยอมรับนับถือกันเป็นสัจจภาวะที่เชิญให้ดูกันได้อยู่ทั่วโลก

            พระพุทธเจ้าตรัสถึงความเป็นวิญญาณจะมีเป็นความจริง(สัจจะ=สมมุติสัจจะ)ปรากฏอยู่นั้น ต้องมีผัสสะ 3คือ มีรูปกับจักษุสัมผัสกันอยู่แล้วจึงจะเกิดวิญญาณเป็นต้น หรือมีหูกับเสียงสัมผัสกันอยู่แล้วจึงจะเกิดวิญญาณ ฯลฯ เกิดธาตุรู้ที่จะรับรู้ แล้วเรียนรู้อะไรต่ออะไรได้ไปจนถึงที่สุดแห่งที่สุดสัมบูรณ์จริง

            แต่ทฤษฎีที่ไม่ใช่พุทธกลับไปสะกดจิตตนเอง ไม่ให้จิตทำหน้าที่รับรู้ไปทั้งสัญญา ไปทั้งเวทนา สะกดจิตให้ดับเป็นภาวะดำปี๋(กิณหะ)อยู่ในจิตนั้นเอง ก็กลายเป็นอสัญญีสัตว์ คือ สัตว์ไม่มีสัญญา ไม่มีเวทนา จึงไม่มีทางที่จะเรียนรู้ความเป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณหรือไม่มีทางรู้ความเป็นสัตว์โอปปาติกะอื่นๆต่างๆได้ ด้วยประการฉะนี้

            จบ...           


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:21:16 )

580411

รายละเอียด

580411_ทวช.ปลุกเสกฯครั้งที่ 39 โลกหรืออัตตาอธิปไตยที่เป็นธรรม 6

พ่อครูว่า ...วันนี้วันสุดท้ายของงาน วันเสาร์ที่ 11 เมษายน 2558 เป็นวันแรม 8 ค่ำเดือน5 ปีมะแมแล้ว อีกไม่กี่วันก็จัดตลาดอาริยะแล้ว ซึ่งเป็นงานที่เราทำทั้งปีนะเพราะว่าต้องสั่งของทำผลผลิต เกิดการสร้างงาน และผลผลิต เอาไปแจกจ่ายสู่สังคมให้เกิดอุปโภค บริโภคกัน เราถือว่า วันที่ 13-15 เมษายน เป็นวันจัดตลาดอาริยะ แต่ก่อนเราใช้ปีใหม่สากล แต่ก็มาเปลี่ยนเป็นปีใหม่ไทย เพราะมีงานโพชฌังคาฯ ไปยึดหัวหาดปีใหม่แล้ว

 

เป็นการกระตุ้นให้พวกเราปฏิบัติธรรม เหมือนสอบ มาปฏิบัติมรรคองค์ 8 ได้ครบ ที่เราทำประจำชีวิตอยู่แต่ละปีๆต่อกันไป เป็นวงจรกิจการชาวอโศก แต่ละงานๆ ผ่านไปวนเวียนแต่ละปี แล้วพวกเราก็วนเวียนสร้างสรรกันไป เป็นคุณสมบัติสัจธรรม นะ คนเขาจัดงานทางโลกเขาได้ แต่เขาเสีย ของเราจัดงาน เราเสีย แต่เราได้ 

 

คนทางโลกเขาได้แต่เขาเสีย อย่างเขาจัดขายสินค้า เขาได้กำไร ได้เปรียบ แต่แท้จริงเขาเสีย กิเลสบาน ที่จะร่ำรวย เขารวยที่นายทุน ไม่ได้เกิดสะพัดนะ แต่ของเราเกิดการสะพัดสร้างสรร แล้วเราให้ เราไม่ได้เอากำไร มาแจกจ่ายเจือจาน อันนี้เป็นเศรษฐกิจสองชนิด เราทำนี่ไม่น้อยนะ ถ้ามีคนเห็นดีงามเพ่ิมขึ้นอีก ดูไม่หรูหรา ฟู่ฟ่าเหมือนโลกๆเขา

 

ถ้ามีการทำตลาดอาริยะแพร่ไป ประชาชนจะได้รับการดูแลอบอุ่น ได้ประโยชน์มาก หากรัฐบาลเข้าใจแล้วทำลักษณะนี้ใช้ชื่ออื่นก็ได้ ที่เราทำได้เพราะเรารวย แต่แท้จริงเราไม่ได้รวยเลย คนรวยเขากลับไม่ทำ กลับกักตุน แต่ของเรากลับสะพัด เราทำตลาดอาริยะแต่ละปีก็เพ่ิมยอดเงิน เพิ่มยอดงาน โตขึ้นเจริญขึ้น ก้าวหน้าขึ้น เรารวยจริงที่เราแจก แต่คนที่มีเยอะแต่ไม่เอาออกมา นี่คือขอทาน เอาจากเขาทุกวินาที คือสัจจะที่ย้อนความนึกคิด รู้สึกของคน

 

คนปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจึงมีความเข้าใจมีชีวิตเช่นนี้ ของเขาอยู่ในโลกียะ เราอยู่ในโลกุตระ มีชีวิตหมุนเวียนแต่วัน แต่ละวินาที มันคนละกระแสเลย กระแสความนึดคิดพฤติกรรม กระแสแห่งความสุขสงบ กับกระแสแห่งความสุขเท็จ สุขขัลลิกะ ของเราวูปสโมสุข อันเป็นสุขมีประโยชน์สุขสงบ ไม่ใช่สุขเพราะอามิสบำเรอกิเลสอ้วนแล้วค่อยสุข แต่สุขอย่างไม่แย่งชิงไม่โลภไม่เห็นแก่ตัว ไม่โกง

 

พลังงานแย่งชิงเล่เหลี่ยมเอาเปรียบแรงๆมากๆทำลายกัน เป็นพลังงานร้อน สร้างพฤติมนุษยชาติที่เลวร้าย แล้วคนก็ชินกับพฤติกรรมเช่นนั้น แต่ละคนรวมเป็นสังคม กลายเป็นพฤติร้อน ไม่สงบแย่งชิง คิดทุกอย่างเพื่อเอาเปรียบ เอาชนะ รบกัน แต่กระแสโลกุตระกลับคือการลดละ อภัย ทุกคนเย็นลง มีแต่สร้างสรร

 

สัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า ยิ่งสงบยิ่งสร้างสรร ยิ่งสงบย่ิงอุดมสมบูรณ์ นอกจากสร้างมาแล้ว มันก็มากขึ้น แทนที่จะกักตุนผลผลิตเรา เขาก็ไปเอาเปรียบตีราคา มีวิธีทุนนิยมทำเป้ากำไรอย่างไร maximize profit เอาเปรียบให้มากขึ้นเป็นกระแสเศรษฐกิจเลวร้ายดุเดือด

 

ทบทวนดีๆ จะเห็นว่าชีวิตคนหากเราทำตามทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาถึงวันนี้จะชัดเจน ว่ามีรูปธรรม ปรากฏการณ์เกิดแล้ว มีรูปร่างมากพอ ที่จะอ่านออก ว่าคนกลุ่มนี้เป็นคนอย่างไร อาตมาบอกตามที่พระพุทธเจ้าว่า เป็นมนุษย์ชมพูทวีป เป็นมนุษย์อุตรกุรุทวีป ที่รู้เท่าทันเทวดาดาวดึงส์ ใน 6 ภูมิ

 

จาตุมหาราชิก ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรินิมมิตตวสวัตตี

 

ดาวดึงส์คือเสพรสสุขกามมาวจร จตุมหาราชิกาคือนักล่า นักแย่งชิง เป็นยักษ์มาร ท่านโบราณก็ทำเป็นยักษ์แยกเขี้ยวเฝ้าวัด ถืออาวุธ แย่งล่า คนไม่เข้าใจส่ิงสื่อนามธรรมนี้ ต่างคนต่างกระเหี้ยนกระหือรือเป็นยักษ์ ถ้าได้มาก็เป็นดาวดึงส์ ได้โลกธรรมสมใจ ได้บำเรอกามหรืออัตตาสมใจ ก็ได้ขึ้นสวรรค์ดาวดึงส์ แล้วก็อยากให้ได้มากได้นานก็เป็นยามา แล้วมันก็มีการพักเป็นดุสิต แต่โลกีย์เป็นเคหสิตอุเบกขา ว่างพักยกตามธรรมชาติ แต่เราจะทำให้เกิดธรรมะที่ไม่มีการเกิด ไม่มีชาติ สัญชาติที่จะหยั่งลงเป็นกิเลสสะสม โอกกันตะ สามารถทำให้กิเลสลดได้ตามลำดับ รู้ต้นทางเร่ิมเช่นนี้ ทำไปตามลำดับ ลดได้เป็นเทวดาอุบัติเทพ เกิดใหม่ เป็นการเกิดที่ทำให้กิเลสลด ไม่ใช่เกิดเทวดากิเลสอ้วน แต่เป็นเทวดาที่มีนิพพัตติ อภินิพพัตติเป็นอุบัติเทพ วิสุทธิ์เทพ นี่คือ การเกิด 5 อย่าง ในพระไตรฯล.16 ข้อ 7

 

เราได้บรรยายงานนี้ ถึงเรื่องโลกกับอัตตา  ต่อเป็นการอ่านข้อเขียนต่อจากวานนี้

 

            พระพุทธเจ้าตรัสถึงความเป็นวิญญาณจะมีเป็นความจริง(สัจจะ=สมมุติสัจจะ)ปรากฏอยู่นั้น ต้องมีผัสสะ 3คือ มีรูปกับจักษุสัมผัสกันอยู่แล้วจึงจะเกิดวิญญาณเป็นต้น หรือมีหูกับเสียงสัมผัสกันอยู่แล้วจึงจะเกิดวิญญาณ ฯลฯ เกิดธาตุรู้ที่จะรับรู้ แล้วเรียนรู้อะไรต่ออะไรได้ไปจนถึงที่สุดแห่งที่สุดสัมบูรณ์จริง

            แต่ทฤษฎีที่ไม่ใช่พุทธกลับไปสะกดจิตตนเอง ไม่ให้จิตทำหน้าที่รับรู้ไปทั้งสัญญา ไปทั้งเวทนา สะกดจิตให้ดับเป็นภาวะดำปี๋(กิณหะ)อยู่ในจิตนั้นเอง ก็กลายเป็นอสัญญีสัตว์ คือ สัตว์ไม่มีสัญญา ไม่มีเวทนา จึงไม่มีทางที่จะเรียนรู้ความเป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณหรือไม่มีทางรู้ความเป็นสัตว์โอปปาติกะอื่นๆต่างๆได้ ด้วยประการฉะนี้

            อาตมาก็กล่าวอยางอาสโภ อาจหาญ ว่าไม่ได้เป็นการกล่าวร้ายกล่าวแรง แต่กล่าวอย่างกล้า จริงใจ ถึงเวลาที่ต้องบอกว่าที่ไปศรัทธาเชื่อถือสมาธิหลับตาเป็นของเดียรถีย์ ฤาษี ไม่ใช่ทางเอกของพุทธ บอกให้รู้ให้เข้าใจเพื่อตรวจสอบ ไม่เช่นนั้นอาตมาโดนหนัก ทั้งที่อาตมาพูดนิคคหะ พูดตำหนิแรง ว่าอันนั้นเลวชั่วผิด นอกรีต อาตมาก็รู้สึกว่าทำไมอาตมาต้องพูดขนาดนี้ รู้ไหม?...เพราะมันหนา มันหยาบแล้วมันไม่สำนึก เอาสำลีไปเช็ดหนังทุเรียนก็เสียสำลี

            สัญญาและเวทนานั้น เป็นเจตสิกของวิญญาณ หรือเป็นอาการต่างๆที่ทำหน้าที่อยู่

ในจิต แต่เมื่อไปสะกดสัญญาและสะกดเวทนาให้มันไม่รับรู้ ไม่ทำหน้าที่รู้ วิญญาณจึงพลอยเป็นภาวะที่ไม่รู้อะไรไปตามสัญญาตามเวทนาด้วย เพราะเวทนา-สัญญา-สังขารเป็นหมวดแห่งเจตสิก 3ของวิญญาณ หรือวิญญาณต้องมีเจตสิก 3คือ เวทนา-สัญญา-สังขาร เป็นองค์ประกอบ(กาย)อยู่ 

            อาตมาเจอฏีกาของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก ว่า กายคือจิตคือมโนคือวิญญาณ และถ้าคุณจะแยกกายแยกจิตนั้นไม่ง่ายเลย เพราะว่า กายคือจิตคือมโนคือวิญญาณ 

            องค์ประกอบคือความเป็นกายนี้หมายถึงหมวดแห่งเจตสิกธรรมได้แก่ เวทนา-สัญญา-สังขาร เมื่อเวทนา-สัญญา-สังขาร คือจิตหรือเจตสิก(นาม) พระพุทธเจ้าจึงทรงเรียกกายว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง (พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 230) ด้วยประการฉะนี้

            ผู้ใดยังเข้าใจกายคือ จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ไม่ได้ ผู้นั้นจึงไม่สามารถจะได้รู้ได้เรียนปรมัตถธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งต่างๆอันใด เพราะมีแต่สะกดจิตให้ไม่รับรู้อยู่แต่ประตูเดียว

            และสำคัญมั่นหมายแต่ดับจิตไปหมด แล้วหลงว่า นี่คือ นิโรธของพุทธ ซึ่งไม่ใช่เลย 

            จะไม่เข้าใจครบ เพราะไม่มีลักษณะ สุรภาโว สติมันโต สัมผัสเห็นอยู่รู้อยู่ทั้งในและนอก จนกำหนดหมายทั้งนอกและใน กามภพ รูปภพ อรูปภพ อย่างปัสสติ เห็นๆ และสามารถอ่านในได้ด้วย มีทั้งนอกและใน ปัสสติอยู่ ถ้าเราเข้าใจสภาวธรรม จะเข้าใจบัญญัติต่างๆนี้ร้อยเรียง จิต มโน วิญญาณ

            นิโรธของพุทธนั้นคือ สัญญาเวทยิตนิโรธ ซึ่งเป็นนิโรธที่มีสัญญาทำงานกำหนด

รู้อยู่เต็มสภาพ รู้ความเกิด รู้ความดับ รู้คุณ รู้โทษ เป็นสัญญาที่ทำหน้าที่อยู่อย่างรู้แจ้ง(สัจฉิ)

ไม่ใช่สัญญาถูกสะกดให้ดับดำปี๋ไปหมด จนมีสภาพไม่รู้อะรเลย(พระไตรปิฎก เล่ม 10 ข้อ 65)

            สัญญาที่กำหนดรู้ว่า นิโรธคือความดับซึ่งเป็นสัญญาอย่างเดียวกัน(เอกัตตสัญญิโน) คือ กำหนดหมายรู้ความเป็นนิโรธเหมือนกัน และกายคือองค์ประชุมของนามกับรูปก็อย่างเดียวกัน(เอกัตตกายา) คือรูปดับ-นามดับเหมือนกัน แต่ทิฏฐิที่มิจฉาทิฏฐิ กับสัมมาทิฏฐินั้น ได้ความเป็นนิโรธที่มีภพและชาติแตกต่างกันคนละขั้ว ชนิดที่มีนัยสำคัญอันยากยิ่ง

ในการสาธยายเป็นภาษาสู่กันฟัง ตั้งใจไตร่ตรองตามกันดีๆเถิด

            นั่นคือ มิจฉาทิฏฐิ มีความเข้าใจความดับกายในกาย ความดับเวทนาในเวทนา ความดับ

จิตในจิต ความดับธรรมในธรรมคนละทิฏฐิกับสัมมาทิฐิ แต่เขาก็ได้กายที่ดับ และสัญญาว่าดับตรงตามทิฏฐิของเขาที่เขามิจฉาทิฏฐิ

            ส่วนสัมมาทิฏฐิ ก็มีความเข้าใจความดับกายในกาย ความดับเวทนาในเวทนา ความดับจิตในจิต ความดับธรรมในธรรมคนละทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งจะได้กายที่ดับ และสัญญาว่าดับ ตรงตามทิฏฐิของผู้ที่สัมมาทิฏฐิ

            แม้กายดับตามที่ผู้มิจฉาทิฏฐิทำได้ก็ดี  และสัญญาว่าดับก็ตรงทิฏฐิว่าดับตามทิฏฐิที่มิจฉาของตน กายก็ดีสัญญาก็ดี ทั้งของผู้สัมมาทิฏฐิและผู้มิจฉาทิฏฐิ ต่างมีผลได้

สมกับความเข้าใจ(ทิฏฐิ)ของตนแต่ละฝ่าย ต่างสมใจตนทั้งสองฝ่าย

            แต่แน่นอนว่า มิจฉาทิฏฐิต้องได้ผลอย่างหนึ่ง สัมมาทิฏฐิก็ต้องได้ผลอีกอย่างหนึ่ง แม้ ว่าภาวะกายก็ดี สัญญาก็ดี ต่างฝ่ายต่างได้นิโรธเหมือนกันก็ตาม

            ดังนั้น กายที่มีความดับ(นิโรธ)ต้องเป็นอย่างนี้ๆ กับสัญญาที่เป็นการกำหนดหมายรู้ของตนว่าความดับ(นิโรธ)ต้องเป็นอย่างนี้ๆ มันก็ต้องคนละภาวะกันตามทิฏฐิที่ต่างกันแน่ 

            นั่นคือ ฝ่ายสัมมาทิฏฐิได้ความดับ(นิโรธ)อย่างรู้แจ้งเป็นภาวะที่มีจักษุ-ปัญญา-ญาณ-วิชชา-แสงสว่าง เพราะความเป็นสัตว์มีอายตนะที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในอสัญญีสัตตายตนะและเนวสัญญานาสัญญายตนะ จึงสามารถเป็นผู้ก้าวล่วง(สมติกฺกมติ)หรือหลุดพ้น(วิมุติ)จากภพหรือภาวะเนวสัญญานาสัญญยตนสัตว์และภพหรือภาวะความเป็นสัตตาวาส 9บริบูรณ์ เป็นผู้สัมบูรณ์ในความเป็นอสัญญี

            ส่วนฝ่ายมิจฉาทิฏฐิได้ความดับอย่างไม่มีจักษุ-ปัญญา-ญาณ-วิชชา-แสงสว่าง มีแต่ความดับที่เป็นภาววะดำ(กิณหะ)อยู่ในจิต เพราะไม่มีอายตนะในความเป็นสัตว์ที่จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในอสัญญีสัตตายตนะและเนวสัญญานาสัญญายตนะ จึงไม่ใช่เป็นผู้ก้าวล่วง(สมติกฺกมติ)หรือหลุดพ้น(วิมุติ)จากภพหรือภาวะเนวสัญญานาสัญญยตนสัตว์และภพหรือภาวะความเป็นสัตตาวาส 9บริบูรณ์ เป็นผู้สัมบูรณ์ในความเป็นอสัญญี 

            ส่วนฝ่ายมิจฉาทิฏฐิก็ได้ความดับแต่เป็นความดับชนิดที่จิตดับมืดดำไม่รู้อะไรเลย

แม้แต่สักนิดน้อย เป็นภาวะที่มีธาตุรู้ดับดำปี๋ไปหมด แต่ก็มีความดับของกายและของ

สัญญาเหมือนกัน ซึ่งเป็นไปตามทิฏฐิที่มิจฉาทิฏฐิของตน ตนก็มีความพึงใจ(สุภกิณหะ)

            ภาวะของผลทางปรมัตถธรรมของทิฏฐิที่ต่างกันจึงไม่เหมือนกันอย่างมีนัยสำคัญ

                        คนหลับตาถ้ามีเห็นแสงอะไรแวบมานี่แหละคือเนวสัญญานาสัญญายตนะ แต่ผู้มีวิชชาจะรู้ว่าหลับตาแล้วก็จะดับมืดไม่มีแสงแต่คนอวิชชาจะเห็นแสงเป็นอุปาทาน หากเป็นอรหันต์หลับตาก็ไม่เห็นอะไร ดับดำมืดที่ตา  แต่ที่เขาเห็นกันเป็นรูปร่างสีสันเรื่องราวอะไรคือมโนมยอัตตา ทุกๆฝันคือมโนมยอัตตา  

            ผู้มิจฉาทิฏฐิแตกต่างไปจากสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้าแน่ ดังนั้นผู้ ทิฏฐิยังมิจฉาทิฏฐิอยู่ จึงไม่รู้จักสัตว์โอปปาติกะก็กำจัดความเป็นสัตว์ที่เป็นสัตตาวาส 9ไม่ได้สัมบูรณ์ 

            สัญญาหรือสัญญีของฝ่ายหนึ่งจึงเป็นสัญญาที่มีทิฏฐิว่า ไม่มีอายตนะ

            ส่วนสัญญาหรือสัญญีของอีกฝ่ายจึงเป็นสัญญาที่มีทิฏฐิว่า มีอายตนะ

            เพราะฉะนั้น อสัญญีสัตว์กับอสัญญีสัตตายตนะจึงเป็นสัตว์คนละอสัญญี

             อสัญญีสัตว์ คือ ผู้ปฏิบัติไม่มีความรู้จักความเป็นกาย จึงยังเป็นสัตว์อยู่ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงความเป็นสัตว์ไว้ถึง 9 ชั้น ในพระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 228 ว่า สัตว์ ชั้นที่ 5 คือ สัตว์พวกหนึ่งไม่มีสัญญา ไม่เสวยเวทนา เหมือนเทวดาผู้เป็นอสัญญีสัตว์

            สัตตาวาส ชั้นที่ 5นี้แหละ อสัญญีสัตว์ ที่ไม่มีสัญญา ไม่เสวยเวทนา เพราะได้ดับสัญญาตัวเองจนธาตุรู้ตัวนี้ไม่รู้อะไร ได้ดับเวทนาตัวเองจนธาตุรู้ตัวนี้ไม่รู้อะไร กลายเป็นสัตว์ที่ไม่มีความรับรู้หรือไม่รู้สึก ไม่รู้อะไรเลย จิตใจดำมืดสนิทอย่าว่าแต่ไม่เห็นเลย ไม่รู้สึกอะไรเลยสนิททุกประสาท

            และพระไตรปิฎก เล่ม 11 ข้อ 457 พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ธรรม 9 อย่างที่ควรกำหนดรู้ ระบุไว้ชัดเช่นกันว่า สัตว์พวกหนึ่งไม่มีสัญญา ไม่เสวยเวทนา เช่น พวกเหล่าเทพอสัญญีสัตว์ นี้เป็นสัตตาวาสข้อที่ 5 ก็ชี้ชัดยืนยันความเป็นสัตว์เป็นเทพชนิดนี้ คือไม่มีสัญญา ไม่เสวยเวทนา

            ซึ่งคนจะกำหนดรู้ความเป็นสัตว์ได้ และจะกำจัดความเป็นสัตว์ในจิตตนมีผลสำเร็จก็ต้องมีสัญญาที่สัมมาทิฏฐิ และต้องกำหนดรู้กายที่มันยังเป็นสัตว์ถึง 9 ชั้นได้ทั้งหมดด้วย แล้วศึกษาฝึกฝนจิตวิเคราะห์(psychoanalysis)หรือเรียกในศัพท์ทางพุทธธรรมว่า วิตกวิจารหรือโยนิโสมนสิการ หรืออภิสังขาร หรือก็คือสติปัฏฐาน 4 -สัมมัปปธาน 4 -อิทธิบาท 4นั้นแล ที่ถ้าเข้าใจในหลักธรรมต่างๆนี้แล้ว จะไม่งง ไม่สับสน ไม่สงสัยแต่อย่างใด

            เงื่อนไขสำคัญ ก็คือ การปฏิบัติแบบพุทธที่จะมีผลบริบูรณ์ได้นั้นต้องมีทั้งภายนอกและภายใน

สัมผัสสัมพันธ์กันอยู่เป็นปัจจัยสำเร็จอิริยาบถอยู่ จึงจะครบเหตุปัจจัยในการปฏิบัติแบบพุทธ

            แต่เมื่อไปดับธาตุรู้ตัวสำคัญคือ สัญญาและเวทนาไม่ให้มันทำหน้าที่ กลับไปทำให้มันเหมือนสลบหรือตายไปชั่วคราว จึงไม่สามารถเรียนรู้จิตวิเคราะห์ใดๆที่ละเอียด ลาด ลุ่ม ลึก เป็นลำดับไป เหมือนมหาสมุทร จนทำให้กิเลสลดลงๆๆ เหลือน้อย และที่สุดกิเลสในสันดานสะอาดหมดสิ้นเกลี้ยง อย่างรู้จักรู้แจ้งรู้จริง ได้เลย

            และต้องปฏิบัติในขณะที่มีวิญญาณฐิติ 7 และอายตนะ 2 ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหานิทานสูตรพระไตรปิฎก เล่ม 10 ข้อ 65 จึงจะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นสัตว์ที่มีอายตนะคือ สัตว์ที่มีความเกิด(ชาติ)ให้ผู้ปฏิบัติรู้จักรู้แจ้งรู้จริงอยู่ว่าเรายังมีความเป็นสัตว์ ยังไม่พ้นสังโยชน์ 10สูงสุดครบบริบูรณ์ เพราะยังดับความเกิดของความเป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณ(สัตว์โอปปาติกะ) ยังไม่สิ้นเกลี้ยงจนกระทั่งพ้นสังโยชน์ข้อ 10 คือพ้นอวิชชาสวะ

            ผู้ปฏิบัติต้องมีสัมมาทิฏฐิ 10มาก่อน จึงจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณ

คือสัตตา โอปปาติกาอันเป็นสัมมาทิฏฐข้อที่ 9 ของสัมมาทิฏฐิ 10 ตามพระวจนะที่ตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 257 

            สัตว์ที่มีความเกิด(ชาติ)อยู่ จึงจะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นสัตว์ที่ชื่อว่าอสัญญี

สัตตายตนะ และต้องมีความเป็นสัญญาที่ชื่อว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ได้จริงแท้

            และก่อนจะถึงขั้นรู้จักรู้แจ้งรู้จริงภาวะอายตนะ 2อันได้แก่ อสัญญีสัตตายตนะและ

เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็จะต้องปฏิบัติผ่านอายตนะ 10ซึ่งเป็นอายตนะระดับหยาบที่เกิดจากเหตุภายนอก 5 คือ รูปายตนะ-สัททายตนะ-คันธายตนะ-รสายตนะ-โผฏฐัพพายตนะกับจากเหตุภายใน 5 คือ จักขายตนะ-โสตายตนะ-ฆานายตนะ-ชิวหายตนะ-กายายตนะให้บรรลุผลก่อนก่อน โดยปฏิบัติเป็นลำดับมาตามวิญญาณฐิติ 7 เมื่อได้บรรลุมาตามลำดับแล้วจึงจะถึงอายตนะ 2 คือ มนายตนะกับธรรมายตนะขั้นรูจักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นสัตว์ในภาวะอสัญญีสัตตายตนะ และต้องมีความเป็นสัญญาที่ชื่อว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ได้จริงแท้

            เมื่อรู้จักรู้แจ้งรู้จริงภาวรูป 2(อิตถีภาวะกับปุริสภาวะ)แล้วจึงจะสามารถเรียนรู้ชีวิตรูปที่มี

ชีวิติินทรีย์ของความเป็นสัตตาวาส 9ทุกระดับได้จริง แล้วจึงจะดับความเป็นชีวิตของความเป็นสัตว์นั้นๆดับสนิทสิ้นเกลี้ยงได้บริบูรณ์สัมบูรณ์แท้

            ถ้าเริ่มอ่านพระไตรปิฎก เล่ม 10 ตั้งแต่ข้อ 57 เป็นต้นไป พอข้อ 58 พระศาสดาก็ตรัสไว้ชัดว่า ก็เพราะยังมีความเกิดคือยังมีชาติอยู่ จึงมีความเป็นเทพแห่งพวกเทพ มีความเป็นคนธรรพ์แห่งพวกคนธรรพ์ มีความเป็นยักษ์แห่งพวกยักษ์ มีความเป็นภูตแห่งพวกภูต มีความเป็นมนุษย์แห่งพวกมนุษย์ มีความเป็นสัตว์สี่เท้าแห่งพวกสัตว์สี่เท้า มีความเป็นปักษีแห่งพวกปักษี มีความเป็นสัตว์เลื้อยคลานแห่งพวกสัตว์เลื้อยคลาน

            ผู้ปฏิบัติก็จะได้จัดการกับชีวิตสัตว์ที่เป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณ(สัตว์โอปปาติกะ)นั้นๆได้อย่างมีภาวะจริงสัมผัสอยู่ และกำจัดถูกตัวตน(อัตตา)ของมันไปจนดับสิ้นตัวตน(อัตตา)ของสัตว์แต่ละขั้นไปได้ เป็นการทำอนัตตาหรือทำให้มันดับสิ้นความเป็นอัตตาไปเป็นอนัตตาได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ได้แต่รู้เป็นตรรกะ เป็นแค่เหตุแค่ผล หรือรู้แค่เป็นปรัชญากันอยู่เท่านั้น

            อนัตตาจึงจะแจ้ง(สัจฉิ)ชัดยืนยันความจริงที่ดับอัตตาจนไม่มีตัวตนได้จริงด้วยความเป็นนิโรธ (ดับความเป็นสัตว์)อย่างมีกายสักขี มีของจริงสัมผัสความเป็นอนัตตาของชีวิตินทรีย์แท้ๆ ผู้ปฏิบัติต้องมีของจริงปรากฏเป็นภาวะอนัตตา กันอย่างนี้

            ซึ่งชีวิตของความเป็นสัตว์นั้น ผู้ปฏิบัติแบบพุทธที่สัมมาทิฏฐิจะสามารถเห็น(ปัสสติ)ภาวะที่เป็นชีวิตินทรีย์(อาการที่ยังมีพลังแห่งความเป็นชีวิต)ของสัตตาวาส 9 คือชีวิตของความเป็นสัตว์ 9 ชั้นนั้น เป็นชีวิตรูปให้รู้ให้เห็น(ปัสสติ)กันจริงๆ และสามารถดับ(นิโรธ)ความเป็นชีวิตสัตว์นั้นๆจนกระทั่งหมดสิ้นชีวิตของความเป็นสัตตาวาส 9 บริบูรณ์สัมบูรณ์

            นี้คือนิโรธของพุทธที่เรียกว่าสัญญาเวทยิตนิโรธซึ่งสามารถสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่ ทั้งอาสวะของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา จนสูงสุดขั้นสัญญาเวทยิตนิโรธคือ นิโรธที่มีจักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา แสงสว่าง เห็นจริงอย่างแจ้ง(สัจฉิ)       

            ส่วนผู้ปฏิบัติแบบหลับตาเข้าไปเรียนรู้อยู่ในภวังค์แล้วไปได้นิโรธ ได้ความดับกัน

นั้น เขาก็ได้จริง แต่ไม่เกิดการรู้ความจริงของความเป็นอัตตาหรือตัวตนแต่อย่างใดเลย

            และเป็นนิโรธที่ไม่มีจักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา แสงสว่าง ไม่เห็นจริงอย่างแจ้ง(สัจฉิ) แต่ได้นิโรธที่เป็นภาวะดำ(กิณหะ)ดับอยู่ ไม่เห็นจริงอย่างแจ้งตรงตามพระวจนะเลย 

            หวังว่าท่านที่อยู่ในศาสนาทั้งฝ่ายดับกับฝ่ายสว่าง ฟังหน่อยได้ไหมจะได้โยนิโสมนสิการเป็น ทุกวันนี้ มันเลยเถิด ฝ่ายดับก็ดับดำจมไปลึก ส่วนฝ่ายสว่างก็ปั้นวิมานมาหลอกกันมากมาย ว่าอย่างนี้ยังไม่ค่อยกระเตื้อง ไม่เปลี่ยนแปลง แล้วจะเสียเวลาจมเสียเวลาไปมิจฉาทิฏฐิกันอีกนานเท่าไหร่

            ความเกิดเป็นอัตตาของสัตว์ หรือชีวิตินทรีย์ของสัตว์ชนิดใดๆก็ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง เพราะการปฏิบัติไม่ได้เห็น(ปัสสติ)กายของความเป็นสัตว์ ไม่ได้เห็น(ปัสสติ)กายที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง อย่างสัมมาทิฏฐิ

            กายและจิตของความเป็นสัตตาวาส 9 ผู้ปฏิบัติแบบพุทธสามารถทำให้ดับไปจนเป็นอนัตตา จนกระทั่งถึงที่สุดดับได้ถึงขั้นสูงสุดพ้นเนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ บรรลุ ถึงนิโรธที่ชัดเจนเป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ ด้วยการรู้จักรู้แจ้งรู้จริงอย่างมีรูปที่ประกอบกันเป็นกาย ประกอบกันเป็นจิต ซึ่งมีสิ่งที่ถูกรู้(รูป)ได้ด้วยการสัมผัส มิใช่ไร้สัมผัส    

            ส่วนการปฏิบัติแบบที่ไม่ใช่พุทธ เช่น หลับตาเข้าไปอยู่ในภวังค์ เข้าไปอยู่ในขณะใดก็จะมีแต่เพียงรูปที่มีอยู่ภายในเท่านั้น จึงไม่ครบการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ ตามที่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ซึ่งครบทั้งรูปกายและนามกาย ทั้งภายนอกและภายในบริบูรณ์

            การปฏิบัติด้วยวิธีหลับตาเข้าไปอยู่ในภวังค์จึงไม่บริบูรณ์ตามพระวจนะของพระพุทธเจ้า ดังที่ได้สาธยายอธิบายมานี้    

            ต้องสัมมาทิฏฐิ และปฏิบัติได้ถึงขั้นดังที่ได้อธิบายมา จึงจะเป็นผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น

อัตตา และความเป็นโลก(ความหมุนวนที่เกิดตาย-ตายเกิดของสัตว์ทางโอปปาติกะ) แล้วดับความเป็นโลกและอัตตาได้แท้จริง ดับโลก-ดับอัตตาได้เท่าใดๆ ก็เกิดธรรมาธิปไตยในตนขึ้นมาตามสัจธรรมเท่านั้นๆ โดยไม่ต้องอยากได้อำนาจ(อธิปไตย) ซึ่งเป็นอำนาจที่ได้โดยธรรม

            ไม่ใช่ใช้ความเป็นโลกธรรมเป็นอำนาจ หรือข่มผู้อื่นได้ด้วยอำนาจโลกธรรม  ใช้การมีลาภมาก ใช้การมียศที่สูง ใช้การมีสรรเสริญโด่งดัง ใช้การมีรูปสวยจนทำให้คนต้องตกอยู่ในอำนาจ ใช้เสียงเพราะจนทำให้คนต้องตกอยู่ในอำนาจ มีกลิ่นหอมจนทำให้คนต้องตกอยู่ในอำนาจ มีรสที่สัมผัสด้วยลิ้นจนทำให้คนตกอยู่ใต้อำนาจ มีทุกส่วนในกายที่ทำให้คนผู้ได้สัมผัสเสียดสีแล้วต้องตกอยู่ใต้อำนาจ  มีตัวตนที่เป็นโอฬาริกอัตตา เป็นมโนมยอัตตา เป็นอรูปอัตตา ซึ่งผู้มีตัวตนก็สร้างตัวตน(อัตตา 3)ด้วยอวิชชา ที่คนผู้ต่างก็อวิชชาด้วยกันหลงยอมรับนับถือ กลายเป็นอำนาจบาตรใหญ่ ที่ปุถุชนล้วนต่างก็หลงใช้อำนาจนี้กันอยู่เต็มโลก นี้คืออำนาจโลกีย์ 

            ส่วนอำนาจของพุทธนั้น เป็นอำนาจแบบโลกุตระ ที่เป็นไปๆได้สัมบูรณถึงที่สุดนิพพานนั้น ก็เพราะปฏิบัติวิโมกข์ 8ได้ ทั้งวิโมกข์ข้อที่ 1 ก็สัมมาทิฏฐิ บัญญัติที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้คือ รูปี รูปานิ ปัสสติ ก็ปฏิบัติโดยมีรูปบริบูรณ์ครบทั้ง 28

            วิโมกข์ข้อ 2 ก็สัมมาทิฏฐิ  อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทธารูปานิ ปัสสติ ภาวะภายนอก(พหิทธา)กับภาวะภายใน(อัชฌัตตา) โลกุตระที่ 1 คือ กายในกาย สักกายอันเป็นสังโยชน์ข้อที่ 1 ของสังโยชน์ 10 ผู้อ่านจิต-เจตสิก-รูปที่เป็นทุกขสมุทัยอริยสัจ เรียกว่าพ้นสักกายทิฏฐิสังโยชน์ ซึ่งเป็นสังโยชน์ข้อที่ 1 ของสังโยชน์ 10 และพ้นสังโยชน์ข้ออื่นๆไปจนครบหมดสิ้นสังโยชน์ 10บริบูรณ์  

            โดยเฉพาะจะเห็นแจ้งความเป็นศีลที่เป็นบาทฐานของสมาธิ และบาทฐานของปัญญา และเป็นวิมุติไปตามลำดับ    

            หากไม่ปฏิบัติตามศีล-สมาธิ-ปัญญา ไม่สมาทานศีลตามฐานานุฐานะแล้วก็สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะอันเป็นการปฏิบัติที่ไม่ผิด(อปัณณกปฏิปทา) ด้วยการปฏิบัติกายคตาสติ และอานาปานสติ

            ซึ่งผู้สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะเท่าที่ผู้นั้นสมาทานศีลตามฐานานุฐานะ แล้วก็มีการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4พิจารณากายในกายที่สัมมาทิฏฐิ เริ่มข้อแรกโลกุตรธรรมเป็นภาวะที่ 1 ของโพธิปักขิยธรรม 37

            ผู้ปฏิบัติจะสามารถพ้นสังโยชน์ 10ข้อ 1 ก็ต่อเมื่อหยั่งรู้จักรู้แจ้งรู้จริงด้วยการสัมผัส ซึ่ง

สัมพันธ์อยู่ในขณะที่มีทั้งภายนอกและภายในครบธรรม 2(เทฺว ธัมมา) อันมีทั้งองค์ประกอบของรูปและนาม(กาย) และรวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง(ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวันติ = พตปฎ. เล่ม 10 ข้อ 60)  ความเป็นสักกายตามทิฏฐิด้วยญาณหรือวิชชา(วิปัสสนาญาณ) ที่ได้ศึกษาปริยัติมาก่อน

            ธรรมอันเป็นพุทธธรรมที่ทรงอำนาจวิเศษ ที่เรียกว่าคุณวิเศษ หรืออุตตริมนุสสธรรม

‘ อันตคาหิกทิฏฐิ 10 [ความเห็นอันถือเอาที่สุด, ความเห็นผิดที่แล่นไปสุดโต่งข้างใดข้างหนึ่ง]

          โลกเที่ยง-โลกไม่เที่ยง-โลกมีที่สุด-โลกไม่มีที่สุด

          ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น-ชีวะก็อย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง

          อัตตา(สัตว์,ตถาคต)เบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก(ย่อมมีอยู่)

          อัตตา(สัตว์,ตถาคต)เบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมไม่เป็นอีก(ย่อมไม่มีอยู่)

          อัตตา(ตถาคต,สัตว์)เบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก(มีอยู่)ก็ใช่(ก็มี) ไม่เป็นอีก(ไม่มีอยู่)ก็ใช่(ก็มี)

          อัตตา(สัตว์,ตถาคต)เบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก(มีอยู่)ก็มิใช่(ก็หามิได้) ย่อมไม่เป็นอีก(ไม่มี

อยู่)ก็มิใช่(ก็หามิได้)

          [คำว่า อัตตาในที่นี้ อรรถกถาบางแห่งหมายถึง สัตว์ ก็มี ว่า ตถาคตหรืออาตมัน ก็มี ว่า พระพุทธเจ้า ก็มี]

          โลกและอัตตา เป็นเรื่องถกเถียงกันมาแต่ไหนแต่ไร 

          พระพุทธเจ้าตรัสว่า (1) ดูกรมาลุงกยบุตร เพราะเหตุไร ข้อนั้นเราจึงไม่พยากรณ์ เพราะข้อนั้น ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน เหตุนั้นเราจึงไม่พยากรณ์ ข้อนั้น ดูกรมาลุงกยบุตร อะไรเล่าที่เราพยากรณ์ ดูกรมาลุงกยบุตรความเห็นว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ดังนี้

(พตปฎ. เล่ม 13 ข้อ 152)

          (2) ดูกรวัจฉะ พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นย่อมตามเห็นจักษุว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นย่อมตามเห็น หู... จมูก... ลิ้น... กาย... ใจ ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา เพราะเหตุนั้น เมื่อพวกปริพาชก ผู้ถือลัทธิอื่นถูกถามอย่างนั้นแล้ว จึงพยากรณ์อย่างนี้ ว่า โลกเที่ยงบ้าง ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้บ้าง

          ดูกรวัจฉะ ส่วนพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมทรงพิจารณาเห็นจักษุว่านั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ย่อมทรงพิจารณาเห็น หู... จมูก... ลิ้น... กาย... ใจ ว่านั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เพราะเหตุนั้นเมื่อตถาคตถูกถามอย่างนั้นแล้ว จึงไม่ทรงพยากรณ์อย่างนี้ว่า โลกเที่ยงก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี ฯ(พตปฎ. เล่ม 18 ข้อ 792)    

           

          โลก 2 ได้แก่ เอกภพ(หนึ่งเดียวของทุกสรรพสิ่ง) และโลกจักรวาล(ทุกสรรพสิ่งในโลก หนึ่งเดียว)

          โลก 2 ได้แก่ โลกที่ไม่มีภาวะของชีวะ(อชีวิตินทรีย์) และโลกที่มีภาวะของชีวะ(ชีวิตินทรีย์)

          โลก 2 ได้แก่ โลกชีวะที่ยังไม่ถึงขั้นวิญญาณ มีแค่ รูป,สัญญาและสังขาร(พีชนิยาม) และโลกชีวะที่ถึงขั้นวิญญาณ มีรูป,เวทนา,สัญญา,สังขารและวิญญาณ(จิตนิยาม)

          โลก 2 ได้แก่ โลกียะ(ปุถุชน,กัลยาณชน) และโลกุตระ(อาริยชน)     

          โลก 2 ได้แก่ โลกนี้(อิธโลก,อยังโลก,อิมัญจ โลกัง) และโลกหน้า(ปรโลก,ปโรโลโก,ปรัญจ โลกัง, สัมปรายิกะ)   

          โลก 2 ได้แก่ โลกสมุทัย(มีเหตุแห่งทุกข์) และโลกนิโรธ(ดับเหตุแห่งทุกข์)

          โลก 2 ได้แก่ โลกที่ไม่สุขไม่ทุกข์แบบปุถุชน(เคหสิตอุเบกขา) และโลกที่ไม่สุขไม่ทุกข์แบบอาริยชน(เนกขัมมสิตอุเบกขา)

          โลก 2 ได้แก่ กามโลก,กามภพ(โลกภายนอก) และภวโลก(โลกภายใน) = รูปโลก,

อรูปโลก

          โลก 3 ได้แก่ 1.กามโลก  2.รูปโลก  3.อรูปโลก

          โลก 3 ได้แก่ 1.สังขารโลก 2.สัตวโลก 3.โอกาสโลก(โลกอันมีในอวกาส,จักรวาล,โลกอันกำหนดด้วยโอกาส ซึ่งได้แก่โอกาสที่เป็นสังขารอันมีวิญญาณครอง หรือได้แก่โอกาสที่เป็นสังขารอันไม่มีวิญญาณครอง) 

          โลก 3 ได้แก่ 1.มนุษยโลก 2.เทวโลก 3.พรหมโลก

          โลกที่เป็นวัฏฏะ 3 ได้แก่ 1.โลกที่วนเวียนอยู่ด้วยกิเลสวัฏฏะ(วงจรกิเลส) 2.โลกที่วนเวียนอยู่ด้วยกรรมวัฏฏะ(วงจรกรรม) 3.โลกที่วนเวียนอยู่ด้วยวิปากวัฏฏะ(วงจรวิบาก)

          โลกที่มีญาณ 3 ได้แก่ 1.โลกที่สามารถระลึกรู้ภาวะอันเคยอาศัยอยู่มาก่อนได้(ปุพเพ

นิวาสานุสติญาณ) 2.โลกที่สามารถกำหนดรู้การตาย(จุติ)และการเกิด(อุบัติ)ได้(จุตูปปาตญาณ)

3.โลกที่สามารถหยั่งตรวจสอบรู้แจ้งความหมดสิ้นอาสวะในจิตตนได้(อาสวักขยญาณ)

          โลก 6 ได้แก่ 1.อบายโลก 2.มนุษยโลก 3.เทวโลก 4.ขันธโลก 5.ธาตุโลก 6.อายตนโลก(พระไตรปิฎก เล่ม 29 ข้อ 14)

          1. อบายโลก คือ ภาวะที่ชีวิตินทรีย์ในจิตยังเป็นรสสุขรสทุกข์เวียนวนอยู่ กับอบายมุข หยาบสูงสุดสำหรับตน และอบายที่หยาบรองลงไปเป็นลำดับได้แก่ ความต่ำทราม ความทุจริตอกุศล

ความโกง ความหลอกลวง การพนัน ความเสื่อมเสีย ความเสียหาย ความหยาบ ความรุนแรง ความจัดจ้าน ความมากความใหญ่ความหรูหราเกินเหมาะเกินควร ที่เสียมากกว่าได้

          2. มนุษยโลก คือ ภาวะที่ชีวิตินทรีย์ในจิตยังเป็นมนุษย์ชมพูทวีป และสามารถทำใจในใจ(มนสิการ)ของตนให้ลดความเป็นเทวดาดาวดึงส์หรือเทวดาเสพกามไปจากจิตได้เป็นลำดับ

จนเป็นที่สุดดับได้สำเร็จบริบูรณ์เป็นมนุษย์อุตตรกุรุทวีปสำเร็จสูงสุด

          3.เทวโลก คือ ภาวะที่ชีวิตินทรีย์ในจิตยังเป็นมนุษย์ชมพูทวีปอยู่ ทั้งที่เป็นปุถุชน เสพโลกียสุข ก็ยังเป็นสมมุติเทพ ต่อเมื่อมีสัมมาทิฏฐิ และปฏิบัติเกิดมรรคผลก็ก้าวขึ้นมีความเป็น มนุษย์อุตตรกุรกทวีป เป็นอาริยชนไปตามลำดับ ลดละโลกียสุข เกิดเป็นอุบัติเทพ จนกระทั่งถึงที่สุดเป็นวิสุทธิเทพหรือพรหมสูงสุด

          4.ขันธโลก คือ กอง กลุ่ม ภาวะที่รวมตัวกันของส่วนต่างๆ เช่น  รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เป็นต้น หรือกอง กลุ่มของธาตุต่างๆอื่นๆอีก ก็เป็นขันธ์

          5.ธาตุโลก คือ ธรรมชาติที่ผสมส่วนกันลงตัวยึดกันอยู่สนิท ซึ่งยังวนเวียนไปเกิดใหม่อีกอยู่ เช่น ปฐมธาตุ มหาภูต 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นต้น แม้แต่ อากาศ วิญญาณ ซึ่งเกิดเป็นรูปธาตุ

ก็มี นามธาตุก็มี แยกไปอีกเป็น กามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ ก็ได้ แม้ที่สุดไม่เวียนไปเกิดอีกคือ นิพพานธาตุ สุญญธาตุ อมตธาตุ

          6.อายตนโลก คือ ภาวะที่เกิดเป็นอวจรหรือวงจรของรูปกับนาม ในขณะที่มีรูปกับนามกระทบกัน แล้วภาวะที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมต่อของรูปกับนามนี้แหละชื่อว่าอายตนะ ต้องมีนามร่วมด้วยจึงจะเกิดอายตนะ ถ้าไม่มีนามร่วมด้วย มีแต่รูปกระทบกัน ก็ไม่มีอายตนะเกิดขึ้น  และนัยสำคัญคือ อายตนะไม่ตั้งอยู่เป็นธาตุ อายตนะเกิดขึ้นในชั่วระยะที่มีการกระทบสัมผัสกันของรูปกับนาม หรือนามกับนามในภายในเท่านั้น เมื่อขาดการกระทบสัมผัสกันลงไป อายตนะก็หายไป ไม่ตั้งอยู่ ณ ที่ใดๆเลย

          อายตนะจึงไม่ใช่ธาตุที่ตั้งอยู่ในที่ใดๆ นานเกินการ หรือนอกจากที่มีการสัมผัสสัมพันธ์กันอยู่ หากขาดการสัมผัส หรือไม่มีการสัมพันธ์กัน ณ บัดใด บัดนั้นอายตนะนั้นก็หายไป อายตนะไม่เหลืออยู่ในที่ใดๆ (อสัญญีสัตตายตนะนั้นรู็สัญญาดีแล้วดับกิเลสในสัญญาได้สิ้นเกลี้ยง) แต่ อสัญญีสัตว์ไปดับสัญญา ซึ่งต่างกัน

          ผู้ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นโลกต่างๆนั้น และเข้าถึงความเป็นโลกต่างๆนั้นได้จริงแล้ว ก็จะไม่สงสัย ไม่สับสน ไม่อวิชชาในความว่า โลกเที่ยง-โลกไม่เที่ยง-โลกมีที่สุด-โลกไม่มีที่สุด

          จะมีโลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งรู้จริงในความเป็นโลกว่า อะไรเที่ยง หรือไม่เที่ยง อะไรมีที่สุด และอะไรไม่มีทีสุด โลกเที่ยง-โลกไม่เที่ยงคืออะไรแท้จริง โลกมีที่สุด โลกไม่มีทีสุดคืออย่างไรอย่างจริงแท้   

          แม้แต่ ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น-ชีวะก็อย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง

          ตถาคตเบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก(ย่อมมีอยู่)

          ตถาคตเบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมไม่เป็นอีก(ย่อมไม่มีอยู่)

          ตถาคตเบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก(มีอยู่)ก็ใช่(ก็มี) ไม่เป็นอีก(ไม่มีอยู่)ก็ใช่(ก็มี)

          ตถาคตเบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก(มีอยู่)ก็มิใช่(ก็หามิได้) ย่อมไม่เป็นอีก(ไม่มีอยู่)ก็มิใช่

(ก็หามิได้) ก็สามารถรู้แจ้งรู้จริงได้แจ่มแจ้งชัดเจนบริบูรณ์

          หากยังไม่สัมมาทิฏฐิ และยังไม่สามารถปฏิบัติจนกระทั่งสามารถมีการบรรลุผลบ้างแล้ว จึงยากมากที่จะพูดกันเข้าใจ พระพุทธเจ้าจึงไม่พยากรณ์ก่อน จนกว่าจะได้อธิบายสัมมาทิฏฐิเบื้องต้น แล้วให้ไปเริ่มปฏิบัติจนสามารถมีสภาวะรองรับ เมื่อนั้นแหละจึงสมควรที่จะพยากรณ์ตามสมควร หรือพูดอธิบายถึงภาวะที่เหมาะควรสู่ฟังไปตามลำดับฟ

          พุทธศาสนานั้น เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์ ด้วยขั้นต้น-ข้นกลาง-ขั้นปลาย เป็นลำดับ ลาดลุ่ม ลึกเหมือนมหาสมุทร์ ด้วยประการฉะนี้เอง

          โลก คือ โลกธรรม 8 นั้นแหละที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยในโลกที่ผู้ยังอวิชชาหลงติดยึด และวนเวียนเป็นโลก ไม่หยุดวน จนเป็นหนึ่ง แต่ยังมีภาวะ 2 ที่จะมีสังขารเป็นอารมณ์สุข-อารมณ์ทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์แบบพักยกเท่านั้น ที่ยังไม่พ้นอวิชชา ซึ่งยังไมได้ปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิกระทั่งเป็นอารมณ์ไม่ทุกข์-อารมณ์ไม่สุขที่ไม่มีสุขไม่ทุกข์หรืออุเบกขาแบบสิ้นเหตุแห่งทุกข์แห่งสุขอย่างเที่ยงแท้ยั่งยืนตลอดไปไม่เปลี่ยนแปลงอีก ไม่มีอะไรหักล้างได้ ไม่กลับกำเริบ สัมบูรณ์แท้จริง

          ก็ยังไม่หมดโลกในตน ยังไม่สิ้นความเป็นโลกจนเป็นผู้ประเสริฐสุดสิ้นทุกข์สิ้นภัยในโลก...จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:22:52 )

580411

รายละเอียด

580411_ทวช.ปลุกเสกฯครั้งที่ 39 โลกหรืออัตตาอธิปไตยที่เป็นธรรม 6

พ่อครูว่า ...วันนี้วันสุดท้ายของงาน วันเสาร์ที่ 11 เมษายน 2558 เป็นวันแรม 8 ค่ำเดือน5 ปีมะแมแล้ว อีกไม่กี่วันก็จัดตลาดอาริยะแล้ว ซึ่งเป็นงานที่เราทำทั้งปีนะเพราะว่าต้องสั่งของทำผลผลิต เกิดการสร้างงาน และผลผลิต เอาไปแจกจ่ายสู่สังคมให้เกิดอุปโภค บริโภคกัน เราถือว่า วันที่ 13-15 เมษายน เป็นวันจัดตลาดอาริยะ แต่ก่อนเราใช้ปีใหม่สากล แต่ก็มาเปลี่ยนเป็นปีใหม่ไทย เพราะมีงานโพชฌังคาฯ ไปยึดหัวหาดปีใหม่แล้ว

 

เป็นการกระตุ้นให้พวกเราปฏิบัติธรรม เหมือนสอบ มาปฏิบัติมรรคองค์ 8 ได้ครบ ที่เราทำประจำชีวิตอยู่แต่ละปีๆต่อกันไป เป็นวงจรกิจการชาวอโศก แต่ละงานๆ ผ่านไปวนเวียนแต่ละปี แล้วพวกเราก็วนเวียนสร้างสรรกันไป เป็นคุณสมบัติสัจธรรม นะ คนเขาจัดงานทางโลกเขาได้ แต่เขาเสีย ของเราจัดงาน เราเสีย แต่เราได้ 

 

คนทางโลกเขาได้แต่เขาเสีย อย่างเขาจัดขายสินค้า เขาได้กำไร ได้เปรียบ แต่แท้จริงเขาเสีย กิเลสบาน ที่จะร่ำรวย เขารวยที่นายทุน ไม่ได้เกิดสะพัดนะ แต่ของเราเกิดการสะพัดสร้างสรร แล้วเราให้ เราไม่ได้เอากำไร มาแจกจ่ายเจือจาน อันนี้เป็นเศรษฐกิจสองชนิด เราทำนี่ไม่น้อยนะ ถ้ามีคนเห็นดีงามเพ่ิมขึ้นอีก ดูไม่หรูหรา ฟู่ฟ่าเหมือนโลกๆเขา

 

ถ้ามีการทำตลาดอาริยะแพร่ไป ประชาชนจะได้รับการดูแลอบอุ่น ได้ประโยชน์มาก หากรัฐบาลเข้าใจแล้วทำลักษณะนี้ใช้ชื่ออื่นก็ได้ ที่เราทำได้เพราะเรารวย แต่แท้จริงเราไม่ได้รวยเลย คนรวยเขากลับไม่ทำ กลับกักตุน แต่ของเรากลับสะพัด เราทำตลาดอาริยะแต่ละปีก็เพ่ิมยอดเงิน เพิ่มยอดงาน โตขึ้นเจริญขึ้น ก้าวหน้าขึ้น เรารวยจริงที่เราแจก แต่คนที่มีเยอะแต่ไม่เอาออกมา นี่คือขอทาน เอาจากเขาทุกวินาที คือสัจจะที่ย้อนความนึกคิด รู้สึกของคน

 

คนปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจึงมีความเข้าใจมีชีวิตเช่นนี้ ของเขาอยู่ในโลกียะ เราอยู่ในโลกุตระ มีชีวิตหมุนเวียนแต่วัน แต่ละวินาที มันคนละกระแสเลย กระแสความนึดคิดพฤติกรรม กระแสแห่งความสุขสงบ กับกระแสแห่งความสุขเท็จ สุขขัลลิกะ ของเราวูปสโมสุข อันเป็นสุขมีประโยชน์สุขสงบ ไม่ใช่สุขเพราะอามิสบำเรอกิเลสอ้วนแล้วค่อยสุข แต่สุขอย่างไม่แย่งชิงไม่โลภไม่เห็นแก่ตัว ไม่โกง

 

พลังงานแย่งชิงเล่เหลี่ยมเอาเปรียบแรงๆมากๆทำลายกัน เป็นพลังงานร้อน สร้างพฤติมนุษยชาติที่เลวร้าย แล้วคนก็ชินกับพฤติกรรมเช่นนั้น แต่ละคนรวมเป็นสังคม กลายเป็นพฤติร้อน ไม่สงบแย่งชิง คิดทุกอย่างเพื่อเอาเปรียบ เอาชนะ รบกัน แต่กระแสโลกุตระกลับคือการลดละ อภัย ทุกคนเย็นลง มีแต่สร้างสรร

 

สัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า ยิ่งสงบยิ่งสร้างสรร ยิ่งสงบย่ิงอุดมสมบูรณ์ นอกจากสร้างมาแล้ว มันก็มากขึ้น แทนที่จะกักตุนผลผลิตเรา เขาก็ไปเอาเปรียบตีราคา มีวิธีทุนนิยมทำเป้ากำไรอย่างไร maximize profit เอาเปรียบให้มากขึ้นเป็นกระแสเศรษฐกิจเลวร้ายดุเดือด

 

ทบทวนดีๆ จะเห็นว่าชีวิตคนหากเราทำตามทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาถึงวันนี้จะชัดเจน ว่ามีรูปธรรม ปรากฏการณ์เกิดแล้ว มีรูปร่างมากพอ ที่จะอ่านออก ว่าคนกลุ่มนี้เป็นคนอย่างไร อาตมาบอกตามที่พระพุทธเจ้าว่า เป็นมนุษย์ชมพูทวีป เป็นมนุษย์อุตรกุรุทวีป ที่รู้เท่าทันเทวดาดาวดึงส์ ใน 6 ภูมิ

 

จาตุมหาราชิก ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรินิมมิตตวสวัตตี

 

ดาวดึงส์คือเสพรสสุขกามมาวจร จตุมหาราชิกาคือนักล่า นักแย่งชิง เป็นยักษ์มาร ท่านโบราณก็ทำเป็นยักษ์แยกเขี้ยวเฝ้าวัด ถืออาวุธ แย่งล่า คนไม่เข้าใจส่ิงสื่อนามธรรมนี้ ต่างคนต่างกระเหี้ยนกระหือรือเป็นยักษ์ ถ้าได้มาก็เป็นดาวดึงส์ ได้โลกธรรมสมใจ ได้บำเรอกามหรืออัตตาสมใจ ก็ได้ขึ้นสวรรค์ดาวดึงส์ แล้วก็อยากให้ได้มากได้นานก็เป็นยามา แล้วมันก็มีการพักเป็นดุสิต แต่โลกีย์เป็นเคหสิตอุเบกขา ว่างพักยกตามธรรมชาติ แต่เราจะทำให้เกิดธรรมะที่ไม่มีการเกิด ไม่มีชาติ สัญชาติที่จะหยั่งลงเป็นกิเลสสะสม โอกกันตะ สามารถทำให้กิเลสลดได้ตามลำดับ รู้ต้นทางเร่ิมเช่นนี้ ทำไปตามลำดับ ลดได้เป็นเทวดาอุบัติเทพ เกิดใหม่ เป็นการเกิดที่ทำให้กิเลสลด ไม่ใช่เกิดเทวดากิเลสอ้วน แต่เป็นเทวดาที่มีนิพพัตติ อภินิพพัตติเป็นอุบัติเทพ วิสุทธิ์เทพ นี่คือ การเกิด 5 อย่าง ในพระไตรฯล.16 ข้อ 7

 

เราได้บรรยายงานนี้ ถึงเรื่องโลกกับอัตตา  ต่อเป็นการอ่านข้อเขียนต่อจากวานนี้

 

            พระพุทธเจ้าตรัสถึงความเป็นวิญญาณจะมีเป็นความจริง(สัจจะ=สมมุติสัจจะ)ปรากฏอยู่นั้น ต้องมีผัสสะ 3คือ มีรูปกับจักษุสัมผัสกันอยู่แล้วจึงจะเกิดวิญญาณเป็นต้น หรือมีหูกับเสียงสัมผัสกันอยู่แล้วจึงจะเกิดวิญญาณ ฯลฯ เกิดธาตุรู้ที่จะรับรู้ แล้วเรียนรู้อะไรต่ออะไรได้ไปจนถึงที่สุดแห่งที่สุดสัมบูรณ์จริง

            แต่ทฤษฎีที่ไม่ใช่พุทธกลับไปสะกดจิตตนเอง ไม่ให้จิตทำหน้าที่รับรู้ไปทั้งสัญญา ไปทั้งเวทนา สะกดจิตให้ดับเป็นภาวะดำปี๋(กิณหะ)อยู่ในจิตนั้นเอง ก็กลายเป็นอสัญญีสัตว์ คือ สัตว์ไม่มีสัญญา ไม่มีเวทนา จึงไม่มีทางที่จะเรียนรู้ความเป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณหรือไม่มีทางรู้ความเป็นสัตว์โอปปาติกะอื่นๆต่างๆได้ ด้วยประการฉะนี้

            อาตมาก็กล่าวอยางอาสโภ อาจหาญ ว่าไม่ได้เป็นการกล่าวร้ายกล่าวแรง แต่กล่าวอย่างกล้า จริงใจ ถึงเวลาที่ต้องบอกว่าที่ไปศรัทธาเชื่อถือสมาธิหลับตาเป็นของเดียรถีย์ ฤาษี ไม่ใช่ทางเอกของพุทธ บอกให้รู้ให้เข้าใจเพื่อตรวจสอบ ไม่เช่นนั้นอาตมาโดนหนัก ทั้งที่อาตมาพูดนิคคหะ พูดตำหนิแรง ว่าอันนั้นเลวชั่วผิด นอกรีต อาตมาก็รู้สึกว่าทำไมอาตมาต้องพูดขนาดนี้ รู้ไหม?...เพราะมันหนา มันหยาบแล้วมันไม่สำนึก เอาสำลีไปเช็ดหนังทุเรียนก็เสียสำลี

            สัญญาและเวทนานั้น เป็นเจตสิกของวิญญาณ หรือเป็นอาการต่างๆที่ทำหน้าที่อยู่

ในจิต แต่เมื่อไปสะกดสัญญาและสะกดเวทนาให้มันไม่รับรู้ ไม่ทำหน้าที่รู้ วิญญาณจึงพลอยเป็นภาวะที่ไม่รู้อะไรไปตามสัญญาตามเวทนาด้วย เพราะเวทนา-สัญญา-สังขารเป็นหมวดแห่งเจตสิก 3ของวิญญาณ หรือวิญญาณต้องมีเจตสิก 3คือ เวทนา-สัญญา-สังขาร เป็นองค์ประกอบ(กาย)อยู่ 

            อาตมาเจอฏีกาของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก ว่า กายคือจิตคือมโนคือวิญญาณ และถ้าคุณจะแยกกายแยกจิตนั้นไม่ง่ายเลย เพราะว่า กายคือจิตคือมโนคือวิญญาณ 

            องค์ประกอบคือความเป็นกายนี้หมายถึงหมวดแห่งเจตสิกธรรมได้แก่ เวทนา-สัญญา-สังขาร เมื่อเวทนา-สัญญา-สังขาร คือจิตหรือเจตสิก(นาม) พระพุทธเจ้าจึงทรงเรียกกายว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง (พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 230) ด้วยประการฉะนี้

            ผู้ใดยังเข้าใจกายคือ จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ไม่ได้ ผู้นั้นจึงไม่สามารถจะได้รู้ได้เรียนปรมัตถธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งต่างๆอันใด เพราะมีแต่สะกดจิตให้ไม่รับรู้อยู่แต่ประตูเดียว

            และสำคัญมั่นหมายแต่ดับจิตไปหมด แล้วหลงว่า นี่คือ นิโรธของพุทธ ซึ่งไม่ใช่เลย 

            จะไม่เข้าใจครบ เพราะไม่มีลักษณะ สุรภาโว สติมันโต สัมผัสเห็นอยู่รู้อยู่ทั้งในและนอก จนกำหนดหมายทั้งนอกและใน กามภพ รูปภพ อรูปภพ อย่างปัสสติ เห็นๆ และสามารถอ่านในได้ด้วย มีทั้งนอกและใน ปัสสติอยู่ ถ้าเราเข้าใจสภาวธรรม จะเข้าใจบัญญัติต่างๆนี้ร้อยเรียง จิต มโน วิญญาณ

            นิโรธของพุทธนั้นคือ สัญญาเวทยิตนิโรธ ซึ่งเป็นนิโรธที่มีสัญญาทำงานกำหนด

รู้อยู่เต็มสภาพ รู้ความเกิด รู้ความดับ รู้คุณ รู้โทษ เป็นสัญญาที่ทำหน้าที่อยู่อย่างรู้แจ้ง(สัจฉิ)

ไม่ใช่สัญญาถูกสะกดให้ดับดำปี๋ไปหมด จนมีสภาพไม่รู้อะรเลย(พระไตรปิฎก เล่ม 10 ข้อ 65)

            สัญญาที่กำหนดรู้ว่า นิโรธคือความดับซึ่งเป็นสัญญาอย่างเดียวกัน(เอกัตตสัญญิโน) คือ กำหนดหมายรู้ความเป็นนิโรธเหมือนกัน และกายคือองค์ประชุมของนามกับรูปก็อย่างเดียวกัน(เอกัตตกายา) คือรูปดับ-นามดับเหมือนกัน แต่ทิฏฐิที่มิจฉาทิฏฐิ กับสัมมาทิฏฐินั้น ได้ความเป็นนิโรธที่มีภพและชาติแตกต่างกันคนละขั้ว ชนิดที่มีนัยสำคัญอันยากยิ่ง

ในการสาธยายเป็นภาษาสู่กันฟัง ตั้งใจไตร่ตรองตามกันดีๆเถิด

            นั่นคือ มิจฉาทิฏฐิ มีความเข้าใจความดับกายในกาย ความดับเวทนาในเวทนา ความดับ

จิตในจิต ความดับธรรมในธรรมคนละทิฏฐิกับสัมมาทิฐิ แต่เขาก็ได้กายที่ดับ และสัญญาว่าดับตรงตามทิฏฐิของเขาที่เขามิจฉาทิฏฐิ

            ส่วนสัมมาทิฏฐิ ก็มีความเข้าใจความดับกายในกาย ความดับเวทนาในเวทนา ความดับจิตในจิต ความดับธรรมในธรรมคนละทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งจะได้กายที่ดับ และสัญญาว่าดับ ตรงตามทิฏฐิของผู้ที่สัมมาทิฏฐิ

            แม้กายดับตามที่ผู้มิจฉาทิฏฐิทำได้ก็ดี  และสัญญาว่าดับก็ตรงทิฏฐิว่าดับตามทิฏฐิที่มิจฉาของตน กายก็ดีสัญญาก็ดี ทั้งของผู้สัมมาทิฏฐิและผู้มิจฉาทิฏฐิ ต่างมีผลได้

สมกับความเข้าใจ(ทิฏฐิ)ของตนแต่ละฝ่าย ต่างสมใจตนทั้งสองฝ่าย

            แต่แน่นอนว่า มิจฉาทิฏฐิต้องได้ผลอย่างหนึ่ง สัมมาทิฏฐิก็ต้องได้ผลอีกอย่างหนึ่ง แม้ ว่าภาวะกายก็ดี สัญญาก็ดี ต่างฝ่ายต่างได้นิโรธเหมือนกันก็ตาม

            ดังนั้น กายที่มีความดับ(นิโรธ)ต้องเป็นอย่างนี้ๆ กับสัญญาที่เป็นการกำหนดหมายรู้ของตนว่าความดับ(นิโรธ)ต้องเป็นอย่างนี้ๆ มันก็ต้องคนละภาวะกันตามทิฏฐิที่ต่างกันแน่ 

            นั่นคือ ฝ่ายสัมมาทิฏฐิได้ความดับ(นิโรธ)อย่างรู้แจ้งเป็นภาวะที่มีจักษุ-ปัญญา-ญาณ-วิชชา-แสงสว่าง เพราะความเป็นสัตว์มีอายตนะที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในอสัญญีสัตตายตนะและเนวสัญญานาสัญญายตนะ จึงสามารถเป็นผู้ก้าวล่วง(สมติกฺกมติ)หรือหลุดพ้น(วิมุติ)จากภพหรือภาวะเนวสัญญานาสัญญยตนสัตว์และภพหรือภาวะความเป็นสัตตาวาส 9บริบูรณ์ เป็นผู้สัมบูรณ์ในความเป็นอสัญญี

            ส่วนฝ่ายมิจฉาทิฏฐิได้ความดับอย่างไม่มีจักษุ-ปัญญา-ญาณ-วิชชา-แสงสว่าง มีแต่ความดับที่เป็นภาววะดำ(กิณหะ)อยู่ในจิต เพราะไม่มีอายตนะในความเป็นสัตว์ที่จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในอสัญญีสัตตายตนะและเนวสัญญานาสัญญายตนะ จึงไม่ใช่เป็นผู้ก้าวล่วง(สมติกฺกมติ)หรือหลุดพ้น(วิมุติ)จากภพหรือภาวะเนวสัญญานาสัญญยตนสัตว์และภพหรือภาวะความเป็นสัตตาวาส 9บริบูรณ์ เป็นผู้สัมบูรณ์ในความเป็นอสัญญี 

            ส่วนฝ่ายมิจฉาทิฏฐิก็ได้ความดับแต่เป็นความดับชนิดที่จิตดับมืดดำไม่รู้อะไรเลย

แม้แต่สักนิดน้อย เป็นภาวะที่มีธาตุรู้ดับดำปี๋ไปหมด แต่ก็มีความดับของกายและของ

สัญญาเหมือนกัน ซึ่งเป็นไปตามทิฏฐิที่มิจฉาทิฏฐิของตน ตนก็มีความพึงใจ(สุภกิณหะ)

            ภาวะของผลทางปรมัตถธรรมของทิฏฐิที่ต่างกันจึงไม่เหมือนกันอย่างมีนัยสำคัญ

                        คนหลับตาถ้ามีเห็นแสงอะไรแวบมานี่แหละคือเนวสัญญานาสัญญายตนะ แต่ผู้มีวิชชาจะรู้ว่าหลับตาแล้วก็จะดับมืดไม่มีแสงแต่คนอวิชชาจะเห็นแสงเป็นอุปาทาน หากเป็นอรหันต์หลับตาก็ไม่เห็นอะไร ดับดำมืดที่ตา  แต่ที่เขาเห็นกันเป็นรูปร่างสีสันเรื่องราวอะไรคือมโนมยอัตตา ทุกๆฝันคือมโนมยอัตตา  

            ผู้มิจฉาทิฏฐิแตกต่างไปจากสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้าแน่ ดังนั้นผู้ ทิฏฐิยังมิจฉาทิฏฐิอยู่ จึงไม่รู้จักสัตว์โอปปาติกะก็กำจัดความเป็นสัตว์ที่เป็นสัตตาวาส 9ไม่ได้สัมบูรณ์ 

            สัญญาหรือสัญญีของฝ่ายหนึ่งจึงเป็นสัญญาที่มีทิฏฐิว่า ไม่มีอายตนะ

            ส่วนสัญญาหรือสัญญีของอีกฝ่ายจึงเป็นสัญญาที่มีทิฏฐิว่า มีอายตนะ

            เพราะฉะนั้น อสัญญีสัตว์กับอสัญญีสัตตายตนะจึงเป็นสัตว์คนละอสัญญี

             อสัญญีสัตว์ คือ ผู้ปฏิบัติไม่มีความรู้จักความเป็นกาย จึงยังเป็นสัตว์อยู่ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงความเป็นสัตว์ไว้ถึง 9 ชั้น ในพระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 228 ว่า สัตว์ ชั้นที่ 5 คือ สัตว์พวกหนึ่งไม่มีสัญญา ไม่เสวยเวทนา เหมือนเทวดาผู้เป็นอสัญญีสัตว์

            สัตตาวาส ชั้นที่ 5นี้แหละ อสัญญีสัตว์ ที่ไม่มีสัญญา ไม่เสวยเวทนา เพราะได้ดับสัญญาตัวเองจนธาตุรู้ตัวนี้ไม่รู้อะไร ได้ดับเวทนาตัวเองจนธาตุรู้ตัวนี้ไม่รู้อะไร กลายเป็นสัตว์ที่ไม่มีความรับรู้หรือไม่รู้สึก ไม่รู้อะไรเลย จิตใจดำมืดสนิทอย่าว่าแต่ไม่เห็นเลย ไม่รู้สึกอะไรเลยสนิททุกประสาท

            และพระไตรปิฎก เล่ม 11 ข้อ 457 พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ธรรม 9 อย่างที่ควรกำหนดรู้ ระบุไว้ชัดเช่นกันว่า สัตว์พวกหนึ่งไม่มีสัญญา ไม่เสวยเวทนา เช่น พวกเหล่าเทพอสัญญีสัตว์ นี้เป็นสัตตาวาสข้อที่ 5 ก็ชี้ชัดยืนยันความเป็นสัตว์เป็นเทพชนิดนี้ คือไม่มีสัญญา ไม่เสวยเวทนา

            ซึ่งคนจะกำหนดรู้ความเป็นสัตว์ได้ และจะกำจัดความเป็นสัตว์ในจิตตนมีผลสำเร็จก็ต้องมีสัญญาที่สัมมาทิฏฐิ และต้องกำหนดรู้กายที่มันยังเป็นสัตว์ถึง 9 ชั้นได้ทั้งหมดด้วย แล้วศึกษาฝึกฝนจิตวิเคราะห์(psychoanalysis)หรือเรียกในศัพท์ทางพุทธธรรมว่า วิตกวิจารหรือโยนิโสมนสิการ หรืออภิสังขาร หรือก็คือสติปัฏฐาน 4 -สัมมัปปธาน 4 -อิทธิบาท 4นั้นแล ที่ถ้าเข้าใจในหลักธรรมต่างๆนี้แล้ว จะไม่งง ไม่สับสน ไม่สงสัยแต่อย่างใด

            เงื่อนไขสำคัญ ก็คือ การปฏิบัติแบบพุทธที่จะมีผลบริบูรณ์ได้นั้นต้องมีทั้งภายนอกและภายใน

สัมผัสสัมพันธ์กันอยู่เป็นปัจจัยสำเร็จอิริยาบถอยู่ จึงจะครบเหตุปัจจัยในการปฏิบัติแบบพุทธ

            แต่เมื่อไปดับธาตุรู้ตัวสำคัญคือ สัญญาและเวทนาไม่ให้มันทำหน้าที่ กลับไปทำให้มันเหมือนสลบหรือตายไปชั่วคราว จึงไม่สามารถเรียนรู้จิตวิเคราะห์ใดๆที่ละเอียด ลาด ลุ่ม ลึก เป็นลำดับไป เหมือนมหาสมุทร จนทำให้กิเลสลดลงๆๆ เหลือน้อย และที่สุดกิเลสในสันดานสะอาดหมดสิ้นเกลี้ยง อย่างรู้จักรู้แจ้งรู้จริง ได้เลย

            และต้องปฏิบัติในขณะที่มีวิญญาณฐิติ 7 และอายตนะ 2 ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหานิทานสูตรพระไตรปิฎก เล่ม 10 ข้อ 65 จึงจะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นสัตว์ที่มีอายตนะคือ สัตว์ที่มีความเกิด(ชาติ)ให้ผู้ปฏิบัติรู้จักรู้แจ้งรู้จริงอยู่ว่าเรายังมีความเป็นสัตว์ ยังไม่พ้นสังโยชน์ 10สูงสุดครบบริบูรณ์ เพราะยังดับความเกิดของความเป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณ(สัตว์โอปปาติกะ) ยังไม่สิ้นเกลี้ยงจนกระทั่งพ้นสังโยชน์ข้อ 10 คือพ้นอวิชชาสวะ

            ผู้ปฏิบัติต้องมีสัมมาทิฏฐิ 10มาก่อน จึงจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณ

คือสัตตา โอปปาติกาอันเป็นสัมมาทิฏฐข้อที่ 9 ของสัมมาทิฏฐิ 10 ตามพระวจนะที่ตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 257 

            สัตว์ที่มีความเกิด(ชาติ)อยู่ จึงจะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นสัตว์ที่ชื่อว่าอสัญญี

สัตตายตนะ และต้องมีความเป็นสัญญาที่ชื่อว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ได้จริงแท้

            และก่อนจะถึงขั้นรู้จักรู้แจ้งรู้จริงภาวะอายตนะ 2อันได้แก่ อสัญญีสัตตายตนะและ

เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็จะต้องปฏิบัติผ่านอายตนะ 10ซึ่งเป็นอายตนะระดับหยาบที่เกิดจากเหตุภายนอก 5 คือ รูปายตนะ-สัททายตนะ-คันธายตนะ-รสายตนะ-โผฏฐัพพายตนะกับจากเหตุภายใน 5 คือ จักขายตนะ-โสตายตนะ-ฆานายตนะ-ชิวหายตนะ-กายายตนะให้บรรลุผลก่อนก่อน โดยปฏิบัติเป็นลำดับมาตามวิญญาณฐิติ 7 เมื่อได้บรรลุมาตามลำดับแล้วจึงจะถึงอายตนะ 2 คือ มนายตนะกับธรรมายตนะขั้นรูจักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นสัตว์ในภาวะอสัญญีสัตตายตนะ และต้องมีความเป็นสัญญาที่ชื่อว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ได้จริงแท้

            เมื่อรู้จักรู้แจ้งรู้จริงภาวรูป 2(อิตถีภาวะกับปุริสภาวะ)แล้วจึงจะสามารถเรียนรู้ชีวิตรูปที่มี

ชีวิติินทรีย์ของความเป็นสัตตาวาส 9ทุกระดับได้จริง แล้วจึงจะดับความเป็นชีวิตของความเป็นสัตว์นั้นๆดับสนิทสิ้นเกลี้ยงได้บริบูรณ์สัมบูรณ์แท้

            ถ้าเริ่มอ่านพระไตรปิฎก เล่ม 10 ตั้งแต่ข้อ 57 เป็นต้นไป พอข้อ 58 พระศาสดาก็ตรัสไว้ชัดว่า ก็เพราะยังมีความเกิดคือยังมีชาติอยู่ จึงมีความเป็นเทพแห่งพวกเทพ มีความเป็นคนธรรพ์แห่งพวกคนธรรพ์ มีความเป็นยักษ์แห่งพวกยักษ์ มีความเป็นภูตแห่งพวกภูต มีความเป็นมนุษย์แห่งพวกมนุษย์ มีความเป็นสัตว์สี่เท้าแห่งพวกสัตว์สี่เท้า มีความเป็นปักษีแห่งพวกปักษี มีความเป็นสัตว์เลื้อยคลานแห่งพวกสัตว์เลื้อยคลาน

            ผู้ปฏิบัติก็จะได้จัดการกับชีวิตสัตว์ที่เป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณ(สัตว์โอปปาติกะ)นั้นๆได้อย่างมีภาวะจริงสัมผัสอยู่ และกำจัดถูกตัวตน(อัตตา)ของมันไปจนดับสิ้นตัวตน(อัตตา)ของสัตว์แต่ละขั้นไปได้ เป็นการทำอนัตตาหรือทำให้มันดับสิ้นความเป็นอัตตาไปเป็นอนัตตาได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ได้แต่รู้เป็นตรรกะ เป็นแค่เหตุแค่ผล หรือรู้แค่เป็นปรัชญากันอยู่เท่านั้น

            อนัตตาจึงจะแจ้ง(สัจฉิ)ชัดยืนยันความจริงที่ดับอัตตาจนไม่มีตัวตนได้จริงด้วยความเป็นนิโรธ (ดับความเป็นสัตว์)อย่างมีกายสักขี มีของจริงสัมผัสความเป็นอนัตตาของชีวิตินทรีย์แท้ๆ ผู้ปฏิบัติต้องมีของจริงปรากฏเป็นภาวะอนัตตา กันอย่างนี้

            ซึ่งชีวิตของความเป็นสัตว์นั้น ผู้ปฏิบัติแบบพุทธที่สัมมาทิฏฐิจะสามารถเห็น(ปัสสติ)ภาวะที่เป็นชีวิตินทรีย์(อาการที่ยังมีพลังแห่งความเป็นชีวิต)ของสัตตาวาส 9 คือชีวิตของความเป็นสัตว์ 9 ชั้นนั้น เป็นชีวิตรูปให้รู้ให้เห็น(ปัสสติ)กันจริงๆ และสามารถดับ(นิโรธ)ความเป็นชีวิตสัตว์นั้นๆจนกระทั่งหมดสิ้นชีวิตของความเป็นสัตตาวาส 9 บริบูรณ์สัมบูรณ์

            นี้คือนิโรธของพุทธที่เรียกว่าสัญญาเวทยิตนิโรธซึ่งสามารถสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่ ทั้งอาสวะของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา จนสูงสุดขั้นสัญญาเวทยิตนิโรธคือ นิโรธที่มีจักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา แสงสว่าง เห็นจริงอย่างแจ้ง(สัจฉิ)       

            ส่วนผู้ปฏิบัติแบบหลับตาเข้าไปเรียนรู้อยู่ในภวังค์แล้วไปได้นิโรธ ได้ความดับกัน

นั้น เขาก็ได้จริง แต่ไม่เกิดการรู้ความจริงของความเป็นอัตตาหรือตัวตนแต่อย่างใดเลย

            และเป็นนิโรธที่ไม่มีจักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา แสงสว่าง ไม่เห็นจริงอย่างแจ้ง(สัจฉิ) แต่ได้นิโรธที่เป็นภาวะดำ(กิณหะ)ดับอยู่ ไม่เห็นจริงอย่างแจ้งตรงตามพระวจนะเลย 

            หวังว่าท่านที่อยู่ในศาสนาทั้งฝ่ายดับกับฝ่ายสว่าง ฟังหน่อยได้ไหมจะได้โยนิโสมนสิการเป็น ทุกวันนี้ มันเลยเถิด ฝ่ายดับก็ดับดำจมไปลึก ส่วนฝ่ายสว่างก็ปั้นวิมานมาหลอกกันมากมาย ว่าอย่างนี้ยังไม่ค่อยกระเตื้อง ไม่เปลี่ยนแปลง แล้วจะเสียเวลาจมเสียเวลาไปมิจฉาทิฏฐิกันอีกนานเท่าไหร่

            ความเกิดเป็นอัตตาของสัตว์ หรือชีวิตินทรีย์ของสัตว์ชนิดใดๆก็ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง เพราะการปฏิบัติไม่ได้เห็น(ปัสสติ)กายของความเป็นสัตว์ ไม่ได้เห็น(ปัสสติ)กายที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง อย่างสัมมาทิฏฐิ

            กายและจิตของความเป็นสัตตาวาส 9 ผู้ปฏิบัติแบบพุทธสามารถทำให้ดับไปจนเป็นอนัตตา จนกระทั่งถึงที่สุดดับได้ถึงขั้นสูงสุดพ้นเนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ บรรลุ ถึงนิโรธที่ชัดเจนเป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ ด้วยการรู้จักรู้แจ้งรู้จริงอย่างมีรูปที่ประกอบกันเป็นกาย ประกอบกันเป็นจิต ซึ่งมีสิ่งที่ถูกรู้(รูป)ได้ด้วยการสัมผัส มิใช่ไร้สัมผัส    

            ส่วนการปฏิบัติแบบที่ไม่ใช่พุทธ เช่น หลับตาเข้าไปอยู่ในภวังค์ เข้าไปอยู่ในขณะใดก็จะมีแต่เพียงรูปที่มีอยู่ภายในเท่านั้น จึงไม่ครบการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ ตามที่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ซึ่งครบทั้งรูปกายและนามกาย ทั้งภายนอกและภายในบริบูรณ์

            การปฏิบัติด้วยวิธีหลับตาเข้าไปอยู่ในภวังค์จึงไม่บริบูรณ์ตามพระวจนะของพระพุทธเจ้า ดังที่ได้สาธยายอธิบายมานี้    

            ต้องสัมมาทิฏฐิ และปฏิบัติได้ถึงขั้นดังที่ได้อธิบายมา จึงจะเป็นผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น

อัตตา และความเป็นโลก(ความหมุนวนที่เกิดตาย-ตายเกิดของสัตว์ทางโอปปาติกะ) แล้วดับความเป็นโลกและอัตตาได้แท้จริง ดับโลก-ดับอัตตาได้เท่าใดๆ ก็เกิดธรรมาธิปไตยในตนขึ้นมาตามสัจธรรมเท่านั้นๆ โดยไม่ต้องอยากได้อำนาจ(อธิปไตย) ซึ่งเป็นอำนาจที่ได้โดยธรรม

            ไม่ใช่ใช้ความเป็นโลกธรรมเป็นอำนาจ หรือข่มผู้อื่นได้ด้วยอำนาจโลกธรรม  ใช้การมีลาภมาก ใช้การมียศที่สูง ใช้การมีสรรเสริญโด่งดัง ใช้การมีรูปสวยจนทำให้คนต้องตกอยู่ในอำนาจ ใช้เสียงเพราะจนทำให้คนต้องตกอยู่ในอำนาจ มีกลิ่นหอมจนทำให้คนต้องตกอยู่ในอำนาจ มีรสที่สัมผัสด้วยลิ้นจนทำให้คนตกอยู่ใต้อำนาจ มีทุกส่วนในกายที่ทำให้คนผู้ได้สัมผัสเสียดสีแล้วต้องตกอยู่ใต้อำนาจ  มีตัวตนที่เป็นโอฬาริกอัตตา เป็นมโนมยอัตตา เป็นอรูปอัตตา ซึ่งผู้มีตัวตนก็สร้างตัวตน(อัตตา 3)ด้วยอวิชชา ที่คนผู้ต่างก็อวิชชาด้วยกันหลงยอมรับนับถือ กลายเป็นอำนาจบาตรใหญ่ ที่ปุถุชนล้วนต่างก็หลงใช้อำนาจนี้กันอยู่เต็มโลก นี้คืออำนาจโลกีย์ 

            ส่วนอำนาจของพุทธนั้น เป็นอำนาจแบบโลกุตระ ที่เป็นไปๆได้สัมบูรณถึงที่สุดนิพพานนั้น ก็เพราะปฏิบัติวิโมกข์ 8ได้ ทั้งวิโมกข์ข้อที่ 1 ก็สัมมาทิฏฐิ บัญญัติที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้คือ รูปี รูปานิ ปัสสติ ก็ปฏิบัติโดยมีรูปบริบูรณ์ครบทั้ง 28

            วิโมกข์ข้อ 2 ก็สัมมาทิฏฐิ  อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทธารูปานิ ปัสสติ ภาวะภายนอก(พหิทธา)กับภาวะภายใน(อัชฌัตตา) โลกุตระที่ 1 คือ กายในกาย สักกายอันเป็นสังโยชน์ข้อที่ 1 ของสังโยชน์ 10 ผู้อ่านจิต-เจตสิก-รูปที่เป็นทุกขสมุทัยอริยสัจ เรียกว่าพ้นสักกายทิฏฐิสังโยชน์ ซึ่งเป็นสังโยชน์ข้อที่ 1 ของสังโยชน์ 10 และพ้นสังโยชน์ข้ออื่นๆไปจนครบหมดสิ้นสังโยชน์ 10บริบูรณ์  

            โดยเฉพาะจะเห็นแจ้งความเป็นศีลที่เป็นบาทฐานของสมาธิ และบาทฐานของปัญญา และเป็นวิมุติไปตามลำดับ    

            หากไม่ปฏิบัติตามศีล-สมาธิ-ปัญญา ไม่สมาทานศีลตามฐานานุฐานะแล้วก็สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะอันเป็นการปฏิบัติที่ไม่ผิด(อปัณณกปฏิปทา) ด้วยการปฏิบัติกายคตาสติ และอานาปานสติ

            ซึ่งผู้สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะเท่าที่ผู้นั้นสมาทานศีลตามฐานานุฐานะ แล้วก็มีการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4พิจารณากายในกายที่สัมมาทิฏฐิ เริ่มข้อแรกโลกุตรธรรมเป็นภาวะที่ 1 ของโพธิปักขิยธรรม 37

            ผู้ปฏิบัติจะสามารถพ้นสังโยชน์ 10ข้อ 1 ก็ต่อเมื่อหยั่งรู้จักรู้แจ้งรู้จริงด้วยการสัมผัส ซึ่ง

สัมพันธ์อยู่ในขณะที่มีทั้งภายนอกและภายในครบธรรม 2(เทฺว ธัมมา) อันมีทั้งองค์ประกอบของรูปและนาม(กาย) และรวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง(ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวันติ = พตปฎ. เล่ม 10 ข้อ 60)  ความเป็นสักกายตามทิฏฐิด้วยญาณหรือวิชชา(วิปัสสนาญาณ) ที่ได้ศึกษาปริยัติมาก่อน

            ธรรมอันเป็นพุทธธรรมที่ทรงอำนาจวิเศษ ที่เรียกว่าคุณวิเศษ หรืออุตตริมนุสสธรรม

‘ อันตคาหิกทิฏฐิ 10 [ความเห็นอันถือเอาที่สุด, ความเห็นผิดที่แล่นไปสุดโต่งข้างใดข้างหนึ่ง]

          โลกเที่ยง-โลกไม่เที่ยง-โลกมีที่สุด-โลกไม่มีที่สุด

          ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น-ชีวะก็อย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง

          อัตตา(สัตว์,ตถาคต)เบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก(ย่อมมีอยู่)

          อัตตา(สัตว์,ตถาคต)เบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมไม่เป็นอีก(ย่อมไม่มีอยู่)

          อัตตา(ตถาคต,สัตว์)เบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก(มีอยู่)ก็ใช่(ก็มี) ไม่เป็นอีก(ไม่มีอยู่)ก็ใช่(ก็มี)

          อัตตา(สัตว์,ตถาคต)เบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก(มีอยู่)ก็มิใช่(ก็หามิได้) ย่อมไม่เป็นอีก(ไม่มี

อยู่)ก็มิใช่(ก็หามิได้)

          [คำว่า อัตตาในที่นี้ อรรถกถาบางแห่งหมายถึง สัตว์ ก็มี ว่า ตถาคตหรืออาตมัน ก็มี ว่า พระพุทธเจ้า ก็มี]

          โลกและอัตตา เป็นเรื่องถกเถียงกันมาแต่ไหนแต่ไร 

          พระพุทธเจ้าตรัสว่า (1) ดูกรมาลุงกยบุตร เพราะเหตุไร ข้อนั้นเราจึงไม่พยากรณ์ เพราะข้อนั้น ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน เหตุนั้นเราจึงไม่พยากรณ์ ข้อนั้น ดูกรมาลุงกยบุตร อะไรเล่าที่เราพยากรณ์ ดูกรมาลุงกยบุตรความเห็นว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ดังนี้

(พตปฎ. เล่ม 13 ข้อ 152)

          (2) ดูกรวัจฉะ พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นย่อมตามเห็นจักษุว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นย่อมตามเห็น หู... จมูก... ลิ้น... กาย... ใจ ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา เพราะเหตุนั้น เมื่อพวกปริพาชก ผู้ถือลัทธิอื่นถูกถามอย่างนั้นแล้ว จึงพยากรณ์อย่างนี้ ว่า โลกเที่ยงบ้าง ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้บ้าง

          ดูกรวัจฉะ ส่วนพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมทรงพิจารณาเห็นจักษุว่านั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ย่อมทรงพิจารณาเห็น หู... จมูก... ลิ้น... กาย... ใจ ว่านั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เพราะเหตุนั้นเมื่อตถาคตถูกถามอย่างนั้นแล้ว จึงไม่ทรงพยากรณ์อย่างนี้ว่า โลกเที่ยงก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี ฯ(พตปฎ. เล่ม 18 ข้อ 792)    

           

          โลก 2 ได้แก่ เอกภพ(หนึ่งเดียวของทุกสรรพสิ่ง) และโลกจักรวาล(ทุกสรรพสิ่งในโลก หนึ่งเดียว)

          โลก 2 ได้แก่ โลกที่ไม่มีภาวะของชีวะ(อชีวิตินทรีย์) และโลกที่มีภาวะของชีวะ(ชีวิตินทรีย์)

          โลก 2 ได้แก่ โลกชีวะที่ยังไม่ถึงขั้นวิญญาณ มีแค่ รูป,สัญญาและสังขาร(พีชนิยาม) และโลกชีวะที่ถึงขั้นวิญญาณ มีรูป,เวทนา,สัญญา,สังขารและวิญญาณ(จิตนิยาม)

          โลก 2 ได้แก่ โลกียะ(ปุถุชน,กัลยาณชน) และโลกุตระ(อาริยชน)     

          โลก 2 ได้แก่ โลกนี้(อิธโลก,อยังโลก,อิมัญจ โลกัง) และโลกหน้า(ปรโลก,ปโรโลโก,ปรัญจ โลกัง, สัมปรายิกะ)   

          โลก 2 ได้แก่ โลกสมุทัย(มีเหตุแห่งทุกข์) และโลกนิโรธ(ดับเหตุแห่งทุกข์)

          โลก 2 ได้แก่ โลกที่ไม่สุขไม่ทุกข์แบบปุถุชน(เคหสิตอุเบกขา) และโลกที่ไม่สุขไม่ทุกข์แบบอาริยชน(เนกขัมมสิตอุเบกขา)

          โลก 2 ได้แก่ กามโลก,กามภพ(โลกภายนอก) และภวโลก(โลกภายใน) = รูปโลก,

อรูปโลก

          โลก 3 ได้แก่ 1.กามโลก  2.รูปโลก  3.อรูปโลก

          โลก 3 ได้แก่ 1.สังขารโลก 2.สัตวโลก 3.โอกาสโลก(โลกอันมีในอวกาส,จักรวาล,โลกอันกำหนดด้วยโอกาส ซึ่งได้แก่โอกาสที่เป็นสังขารอันมีวิญญาณครอง หรือได้แก่โอกาสที่เป็นสังขารอันไม่มีวิญญาณครอง) 

          โลก 3 ได้แก่ 1.มนุษยโลก 2.เทวโลก 3.พรหมโลก

          โลกที่เป็นวัฏฏะ 3 ได้แก่ 1.โลกที่วนเวียนอยู่ด้วยกิเลสวัฏฏะ(วงจรกิเลส) 2.โลกที่วนเวียนอยู่ด้วยกรรมวัฏฏะ(วงจรกรรม) 3.โลกที่วนเวียนอยู่ด้วยวิปากวัฏฏะ(วงจรวิบาก)

          โลกที่มีญาณ 3 ได้แก่ 1.โลกที่สามารถระลึกรู้ภาวะอันเคยอาศัยอยู่มาก่อนได้(ปุพเพ

นิวาสานุสติญาณ) 2.โลกที่สามารถกำหนดรู้การตาย(จุติ)และการเกิด(อุบัติ)ได้(จุตูปปาตญาณ)

3.โลกที่สามารถหยั่งตรวจสอบรู้แจ้งความหมดสิ้นอาสวะในจิตตนได้(อาสวักขยญาณ)

          โลก 6 ได้แก่ 1.อบายโลก 2.มนุษยโลก 3.เทวโลก 4.ขันธโลก 5.ธาตุโลก 6.อายตนโลก(พระไตรปิฎก เล่ม 29 ข้อ 14)

          1. อบายโลก คือ ภาวะที่ชีวิตินทรีย์ในจิตยังเป็นรสสุขรสทุกข์เวียนวนอยู่ กับอบายมุข หยาบสูงสุดสำหรับตน และอบายที่หยาบรองลงไปเป็นลำดับได้แก่ ความต่ำทราม ความทุจริตอกุศล

ความโกง ความหลอกลวง การพนัน ความเสื่อมเสีย ความเสียหาย ความหยาบ ความรุนแรง ความจัดจ้าน ความมากความใหญ่ความหรูหราเกินเหมาะเกินควร ที่เสียมากกว่าได้

          2. มนุษยโลก คือ ภาวะที่ชีวิตินทรีย์ในจิตยังเป็นมนุษย์ชมพูทวีป และสามารถทำใจในใจ(มนสิการ)ของตนให้ลดความเป็นเทวดาดาวดึงส์หรือเทวดาเสพกามไปจากจิตได้เป็นลำดับ

จนเป็นที่สุดดับได้สำเร็จบริบูรณ์เป็นมนุษย์อุตตรกุรุทวีปสำเร็จสูงสุด

          3.เทวโลก คือ ภาวะที่ชีวิตินทรีย์ในจิตยังเป็นมนุษย์ชมพูทวีปอยู่ ทั้งที่เป็นปุถุชน เสพโลกียสุข ก็ยังเป็นสมมุติเทพ ต่อเมื่อมีสัมมาทิฏฐิ และปฏิบัติเกิดมรรคผลก็ก้าวขึ้นมีความเป็น มนุษย์อุตตรกุรกทวีป เป็นอาริยชนไปตามลำดับ ลดละโลกียสุข เกิดเป็นอุบัติเทพ จนกระทั่งถึงที่สุดเป็นวิสุทธิเทพหรือพรหมสูงสุด

          4.ขันธโลก คือ กอง กลุ่ม ภาวะที่รวมตัวกันของส่วนต่างๆ เช่น  รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เป็นต้น หรือกอง กลุ่มของธาตุต่างๆอื่นๆอีก ก็เป็นขันธ์

          5.ธาตุโลก คือ ธรรมชาติที่ผสมส่วนกันลงตัวยึดกันอยู่สนิท ซึ่งยังวนเวียนไปเกิดใหม่อีกอยู่ เช่น ปฐมธาตุ มหาภูต 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นต้น แม้แต่ อากาศ วิญญาณ ซึ่งเกิดเป็นรูปธาตุ

ก็มี นามธาตุก็มี แยกไปอีกเป็น กามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ ก็ได้ แม้ที่สุดไม่เวียนไปเกิดอีกคือ นิพพานธาตุ สุญญธาตุ อมตธาตุ

          6.อายตนโลก คือ ภาวะที่เกิดเป็นอวจรหรือวงจรของรูปกับนาม ในขณะที่มีรูปกับนามกระทบกัน แล้วภาวะที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมต่อของรูปกับนามนี้แหละชื่อว่าอายตนะ ต้องมีนามร่วมด้วยจึงจะเกิดอายตนะ ถ้าไม่มีนามร่วมด้วย มีแต่รูปกระทบกัน ก็ไม่มีอายตนะเกิดขึ้น  และนัยสำคัญคือ อายตนะไม่ตั้งอยู่เป็นธาตุ อายตนะเกิดขึ้นในชั่วระยะที่มีการกระทบสัมผัสกันของรูปกับนาม หรือนามกับนามในภายในเท่านั้น เมื่อขาดการกระทบสัมผัสกันลงไป อายตนะก็หายไป ไม่ตั้งอยู่ ณ ที่ใดๆเลย

          อายตนะจึงไม่ใช่ธาตุที่ตั้งอยู่ในที่ใดๆ นานเกินการ หรือนอกจากที่มีการสัมผัสสัมพันธ์กันอยู่ หากขาดการสัมผัส หรือไม่มีการสัมพันธ์กัน ณ บัดใด บัดนั้นอายตนะนั้นก็หายไป อายตนะไม่เหลืออยู่ในที่ใดๆ (อสัญญีสัตตายตนะนั้นรู็สัญญาดีแล้วดับกิเลสในสัญญาได้สิ้นเกลี้ยง) แต่ อสัญญีสัตว์ไปดับสัญญา ซึ่งต่างกัน

          ผู้ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นโลกต่างๆนั้น และเข้าถึงความเป็นโลกต่างๆนั้นได้จริงแล้ว ก็จะไม่สงสัย ไม่สับสน ไม่อวิชชาในความว่า โลกเที่ยง-โลกไม่เที่ยง-โลกมีที่สุด-โลกไม่มีที่สุด

          จะมีโลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งรู้จริงในความเป็นโลกว่า อะไรเที่ยง หรือไม่เที่ยง อะไรมีที่สุด และอะไรไม่มีทีสุด โลกเที่ยง-โลกไม่เที่ยงคืออะไรแท้จริง โลกมีที่สุด โลกไม่มีทีสุดคืออย่างไรอย่างจริงแท้   

          แม้แต่ ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น-ชีวะก็อย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง

          ตถาคตเบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก(ย่อมมีอยู่)

          ตถาคตเบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมไม่เป็นอีก(ย่อมไม่มีอยู่)

          ตถาคตเบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก(มีอยู่)ก็ใช่(ก็มี) ไม่เป็นอีก(ไม่มีอยู่)ก็ใช่(ก็มี)

          ตถาคตเบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก(มีอยู่)ก็มิใช่(ก็หามิได้) ย่อมไม่เป็นอีก(ไม่มีอยู่)ก็มิใช่

(ก็หามิได้) ก็สามารถรู้แจ้งรู้จริงได้แจ่มแจ้งชัดเจนบริบูรณ์

          หากยังไม่สัมมาทิฏฐิ และยังไม่สามารถปฏิบัติจนกระทั่งสามารถมีการบรรลุผลบ้างแล้ว จึงยากมากที่จะพูดกันเข้าใจ พระพุทธเจ้าจึงไม่พยากรณ์ก่อน จนกว่าจะได้อธิบายสัมมาทิฏฐิเบื้องต้น แล้วให้ไปเริ่มปฏิบัติจนสามารถมีสภาวะรองรับ เมื่อนั้นแหละจึงสมควรที่จะพยากรณ์ตามสมควร หรือพูดอธิบายถึงภาวะที่เหมาะควรสู่ฟังไปตามลำดับฟ

          พุทธศาสนานั้น เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์ ด้วยขั้นต้น-ข้นกลาง-ขั้นปลาย เป็นลำดับ ลาดลุ่ม ลึกเหมือนมหาสมุทร์ ด้วยประการฉะนี้เอง

          โลก คือ โลกธรรม 8 นั้นแหละที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยในโลกที่ผู้ยังอวิชชาหลงติดยึด และวนเวียนเป็นโลก ไม่หยุดวน จนเป็นหนึ่ง แต่ยังมีภาวะ 2 ที่จะมีสังขารเป็นอารมณ์สุข-อารมณ์ทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์แบบพักยกเท่านั้น ที่ยังไม่พ้นอวิชชา ซึ่งยังไมได้ปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิกระทั่งเป็นอารมณ์ไม่ทุกข์-อารมณ์ไม่สุขที่ไม่มีสุขไม่ทุกข์หรืออุเบกขาแบบสิ้นเหตุแห่งทุกข์แห่งสุขอย่างเที่ยงแท้ยั่งยืนตลอดไปไม่เปลี่ยนแปลงอีก ไม่มีอะไรหักล้างได้ ไม่กลับกำเริบ สัมบูรณ์แท้จริง

          ก็ยังไม่หมดโลกในตน ยังไม่สิ้นความเป็นโลกจนเป็นผู้ประเสริฐสุดสิ้นทุกข์สิ้นภัยในโลก...จบ


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2563 ( 15:08:34 )

580412

รายละเอียด

580412_พ่อครูให้พรปีใหม่ไทย พศ.2558 

พ่อครูยืนหน้าต้นธารของ ลำธารถอยหลังเข้า....

 

ปีนี้ถ้าจะเอาตัวเลขทางพุทธศาสนาก็เป็นปี 2558 เป็นปีใหม่ของไทย เขาก็มาขอให้อาตมากล่าวคำมงคล ...

 

ไทยปีนี้อาตมาดูแล้วเป็นปีที่มีเหตุการณ์ปรากฏการณ์สังคม มนุษยชาติ โดยเฉพาะจิตวิญญาณมนุษย์ ...ที่จิตวิญญาณอสูรกำลังอ่อนแรง ยังเหลือแต่ว่า ตอนนี้ผู้ที่ทำงานให้แก่สังคมประเทศชาติ ศาสนา ก็น่าจะเผด็จศึกได้ อาตมาว่า เพราะว่าเป็นปีพศ.2558 เลข 8 เป็นเลขบ่งบอกถึงความมีพลังมีอำนาจ มีประสิทธิภาพ มีฤทธิ์ เป็นเลขที่เป็นปางมีฤทธิ์ ปาง 8 และเป็นปีที่เป็นเลขปราบ อย่างไรๆก็ปราบได้ เพราะยิ่งมีเลข 5 อีก 2 ตัวก็แสดงถึงความเป็นจริงทางสัจธรรม

 

อาตมาไม่ใช่หมอดู แต่ว่ารู้ความเป็นจริงของสัจธรรม รู้ว่าตัวเลข 1 ถึง 10 คืออะไร ลักษณะสัจธรรม ก็ขอให้สัญญาณกัน (พ่อครูไอสองที)

มาบอกกัน ให้ได้เข้าใจได้รู้โอกาสวาระที่ควรเป็น ถ้าคิดว่าเป็นจริงดังอาตมาว่า ก็มาช่วยกันทำงานให้เต็มที่ (พ่อครูไออีก 2ที)

เป็นโอกาสดีงามที่สุดแล้ว อย่างไรๆก็ชนะ อย่างไรๆก็เป็นเหตุการณ์มีเหตุปัจจัยลงตัวแล้ว เป็นแต่อสูรจะดิ้นเฮือกสุดท้ายแล้ว ก็ขอให้พวกเราพากเพียรอุตสาหวิริยะ ไม่ต้องโหดร้ายรุนแรง แต่ทำให้ถูกต้องตามสัจธรรม

 

ตามสัจธรรมคือ เราทำอย่างมีเจตนามุ่งหมาย แต่ไม่ต้องตั้งความหวัง ไม่ต้องให้มีความอยากใดๆ ทำอย่างเรามีเป้าหมายอย่างไร แล้วเราก็ทำตามนี้เต็มที่แข็งแรง มีเจตนาแต่อย่าอยาก ให้ทำความบริสุทธิ์ ทำให้เต็มบริสุทธิ์คือไม่ต้องใช้วิธีการเหลี่ยมคู ไม่ตรงใดๆ ไม่ซื่อสัตย์ แต่ทำให้ซื่อสัตย์ตรงเต็มที่ไม่ต้องรีบร้อน ทำให้สบายๆใจ ทำโดยมีเจตนา แต่อย่าอยาก จงพากเพียรให้เต็มบริสุทธิ์ แล้วความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก...ในที่สุด

 

พวกเราชาวประชาชน แม้แต่พวกอาตมาที่ทำงานเพื่อประเทศชาติ ก็ส่งเสริมเต็มเรี่ยวเต็มแรง เท่าที่เราจะทำได้ เราทำในลักษณะที่เป็นนโยบายบุญนิยม คือทำเพื่อลดละหน่ายคลายตามธรรมะของพระพุทธเจ้าลดกิเลสความเห็นแก่ตัวตนเองเป็นสำคัญ ผลงานจะออกมาตามที่พระพุทธเจ้าพาทำ เราทำแล้วเราทำลดกิเลสได้ จึงเรียกว่าบุญ เรียกว่าบุญนิยม คือไม่ได้ทำเพื่อล่าลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุขอย่างโลกๆเขา แต่เราลดกิเลสแล้วไม่ได้อยู่เฉยๆ แต่ว่าเราทำเพื่อประโยชน์แก่โลกอย่างเต็มใจ แล้วเราก็สามารถที่จะทำงานเกิดผล เกิดบุญ บุญไม่ใช่เรื่องเอาวิมานมาหลอกคน หลายคนก็สร้างวิมานลึกลับ บุญคือรู้จิตเจตสิกรูป จนถึงนิพพาน

 

ประเทศไทยเราเป็นเมืองพุทธ ต้องทำบุญให้ได้ มันเป็นวาระที่เห็นได้ว่ามีคณะที่ตั้งใจทำงานให้เกิดผลดีแก่ชาติ เราสนับสนุนเต็มที่ ขอให้ทุกคนตั้งอกตั้งใจเต็มที่ ขออนุโมทนา ขอเป็นแรงใจอย่างเต็มกำลัง ขอให้ทุกคนประสพผลสำเร็จในปีใหม่ปีนี้อย่างถ้วนทั่วทุกคนเทอญ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:24:06 )

580412

รายละเอียด

580412_วิถีอาริยธรรม ริมมูน บ้านราชฯ เรื่อง ความเป็นมาของตลาดอาริยะ

.ฟ้าไทว่า....วันนี้ 12 เมษายน 2558 เป็นวัน แรม 9 ค่ำ เดือน 5 ปีมะแม วันนี้รายการวิถีอาริยธรรม ก็ได้สัญจรมาที่ริมมูน สถานที่นี้ก็ได้เป็นที่จัดงานตลาดอาริยะมา 30 กว่าปีแล้ว มีทั้งตลาดอาหาร ราคาจานละบาท ขายราคาต่ำกว่าทุน มีทั้งหม้อกะละมังเสื่อสาด อะไรอีกหลายอย่างไม้กวาด ของตลาดนี้อาตมาว่าไม่มีของคนโลกีย์อร่อยมาซื้อ แต่เป็นของจำเป็นที่คนต้องใช้ ไม่มีของมอมเมาฟุ่มเฟือย คนมาที่นี่จะมาซื้อของกินของใช้จำเป็น เป็นอาหารมังสวิรัติ เป็นงานกุศล เป็นงานบุญที่คนจะได้มาลดความเห็นแก่ตัว ปีนี้ต้องขอขอบคุณฟ้าดิน ที่ฝนตกให้เราเล็กน้อยให้เราเย็นสบาย

 

เราทำตลาดอาริยะริมแม่น้ำมูนมานาน แต่ว่าเห็นคนใช้แม่น้ำมูนมาก ไม่ได้ใช้ประโยชน์มาก พ่อครูเห็นว่าน่าจะได้ใช้ประโยชน์มาก ก็เลยพาเรามาทำตลาดอาริยะริมมูนกัน ทำให้พวกเราได้ตั้งตนบนความลำบาก อาจมีลมพัดเต็นท์ไปได้ และเราก็จัดตลาดที่ฝั่งเมืองด้วย เป็นสองฝั่ง เขายกเวทีฝั่งเมืองเราตั้งแต่บายสามถึงสองทุ่มเลย ให้เราไปจัดการแสดงได้

 

ที่โรงปุ๋ยเราเตรียมปุ๋ยไว้ 40,000 กระสอบ รับสมัครไปมีสมณะไป 9 รูป มีโยมสองคน แต่ว่าปุ๋ยจะขายกันทั้งวันเลย ตั้งแต่ หกโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น ใครจะบริจาคแรงงานก็ได้เลยนะ งานนี้ไม่ใช่แค่ขายปุ๋ยขายของหรือกินอาหารจานละบาท แต่ว่าเป็นงานการกุศลของโลก  เคยไปขายที่ร้อยเอ็ด มีห้องแอร์ชาวบ้านเขาไม่เชื่อนะว่าจะขายขาดทุน เขาว่าชาวอโศกถูกหลอก แต่ถ้ามาแบบนี้เสร็จบ้างไม่เสร็จบ้าง ลูกทุ่งเต็มที่อย่างนี้ของแท้ ถ้าไม่แท้นี่จะดูเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน แต่ของแท้จะเป็นแบบนี้

 

แล้วขาดทุนนี่มาสนุกสนานด้วย เป็นเรื่องมหัศจรรย์ไม่มีใครทำได้ ทำได้เฉพาะพระโพธิสัตว์พาทำ จะมีอะไรที่ดีเกิดในสังคมมาก

 

พ่อครูว่า...วันนี้เป็นวันฤกษ์ดีปีใหม่ไทย เขานับกันตั้งแต่พรุ่งนี้ แต่พวกเราปีนี้ได้รับการดุนดันให้ขึ้นมาจัดเอาวันที่ 12 ที่เราได้สมทบกับทางจังหวัดอุบลฯร่วมมือกันจัดงานนี้ แล้วเจตนาของทางราชการ เอกชนก็ตาม ก็ตั้งใจว่า พยายามจะทำงานนี้ จะเป็นงานที่อาตมาเจตนาปลุกแม่น้ำมูน แม่น้ำมูนนี่เราได้มาฟรีๆ ไม่แห้งเหือดตลอดปี ไม่เหมือนที่อื่น  ที่อุบลฯนี่เป็นแม่มูนที่เรียบร้อยดี มีแก่งสะพือที่อยู่อ.พิบูลมังสาหารกั้นไว้ให้  เป็นแหล่งแม่มูนช่วงสุดท้าย ถ้าจะแห้งก็เป็นแหล่งสุดท้ายที่จะแห้ง

 

การปลุกชีวิตแม่มูนนี่ จะเป็นแหล่งที่มีด้านสังคมศาสตร์ เราเข้าใจโดยปัญญาของเขา เช่นเขามีงานแห่เทียนพรรษา อาตมาเกิดมาที่ศรีสะเกษ แล้วมาอยู่อุบลแต่เล็กจนโต ก็เห็นเขาทำเทียนพรรษาตั้งแต่ ห้าสิบปีกว่านี้ เทียนพรรษาก็ไม่มีอะไรมาก แต่พออาตมาไปอยู่ทางโน้นแล้วก็มีพิธีกรรมทางศาสนา เป็นสังคมศาสตร์(แต่นอกรีตศาสนาพุทธ) งานนี้ของเราก็จะพยายามผลักดันให้เป็นงานของสังคม อย่างงานเทียนพรรษานี่ก็ทำให้คนเข้ามาสู่จุดร่วม เป็นงานท่องเที่ยว ต่างประเทศก็มา เกิดผลทางเศรษฐกิจสังคม เป็นเรื่องมนุษยชาติ แต่เฟ้อเกินไปมากสาระศิลป์หายไปมากกลายเป็นมีแต่สุนทรียศิลป์ เมื่อเลยเถิด มีแต่สุนทรีย์คนเลยไปติดตรงนี้ไม่เข้าถึงแก่น สาระของศิลปะจะหายไปกลายเป็นมอมเมา ไม่เข้าใจกันไม่เข้าใจเขตขีดของศิลปะหรืออนาจาร เขานึกว่าเจริญ

 

คนนิยมอบายมุขมากพวกเต้นแร้งเต้นกา การละเล่น เต้นร้องฟ้อนรำกลายเป็นอบายมุขไปแล้วได้บาป ราคาผีแพง ราคาดารา กีฬา  แพง นี่คือความเสื่อมของศิลปะ ที่ไม่มีความรู้ว่าเป็นศิลปะหรืออนาจาร เป็นข้าศึกแก่กุศลไม่ใช่มงคลอันอุดม เราจะไปยับยั้งได้ยาก เราจะหักด้ามพร้าด้วยเข่าไม่ได้ เราจะต้องดูแลงานเราไม่เลยเถิดเป็นข้าศึกแก่กุศล เราจะทำให้เป็นมงคลอันอุดมให้ได้ นี่คือความรู้ทางศิลปะที่เขาขาด คำว่าวิสูกทัสสนากับเอตัมมังคลมุตตมังอย่างไร คำว่าอนาจารเป็นวิสูกทัสสนา เป็นข้าศึกแก่กุศล

 

ตอนนี้ทางจัดหวัดมาประสานเราให้ไปร่วมกัน ก็เกิดเป็นปีที่เป็นยุคเปลี่ยน พศ. 2558 จะเป็นยุคเปลี่ยนประเทศไทย เป็นวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาที่คนไทยเคารพรัก ก็เป็นปีที่ลงตัว

 

.เป็นต้น นาประโคนก็ขอส่งกวีมา เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ

ชื่อบทกวีว่า "หยาดฟ้ามาดิน"

 

พระนามพระเทพไท้                        อุบัติ มาแฮ

ราชกุมารีรัตน์                                   คู่หล้า

พระจริยาวัตร                                    งามสง่า ยิ่งเฮย

ทรงศักดิ์สมเจ้าฟ้า                เฟื้องฟุ้ง ขจรขจาย

 

พิศพระพักตร ธ พร้ิม                      แย้มพราย

น้ำพระทัยทรงหมาย                        สุขให้

ทั่วทุ่งราบดอยราย                ร่มรื่น  สราญเฮย

ฤาพิรุณหลั่งให้                                 ดับแห้ง แล้งหาย

 

ดนตรีไทยเพราะพริ้ง                       พราวแพรว

ซอ ระนาดส่อแวว                เสนาะพร้อง

มโนสำนึกนำแนว                สืบชาติ บรรพชน

พระเกียรติกังวานก้อง                     ก่อเกื้อกิจการ

 

ธ อยู่สรวงเทียบให้                           เวหา

ยังเสด็จสู่ท้องนา                              ไร่นั้น

อาหารหนึ่งโลกา                              ก่อเกิด  กสิกรรม

ความเก่งฟ้าบ่กั้น                              โลกก้าวเกินฝัน

 

ทรงจารึก ทุกถ้อย                             บันทึก

วิริยะ ธ ฝึก                                         สถิตย์ฟ้า

ทรงเป็นเลิศลำรึก                             ฝากโลก สูเอย

ทวยราษฏร์ทุกถ้วนหน้า                  มนัสน้อม คะนึงถึง

 

กาสร พฤกษภผู้                                คู่นา

เคยชุบเลี้ยงชีวา                                มนุษย์ไว้

กาสรกสิวิทย์ตรา                              ตั้งชื่อ โรงเรียน

ฝึกระบือโคให้                                              สู่ห้วงอดีตกาล

 

พระปรีชาปราชญ์แท้                                   ถึงธรรม

ก่อเกิดกุศลกรรม                              แด่ไท้

มีคุณค่าควรจำ                                              จารึก ราษฏร์เฮย

ทรงสดับภาษาได้                             มากด้วยบารมี

 

สองเมษา สื่อคล้าย                           สมภพ

หกสิบปีบรรจบ                                เจิดจ้า

ความทุกข์ บ่กระทบ                                    ทั้่งสี่ทิศเฮย

ขอ ธ อยู่คู่หล้า                                              เลิศล้วนเลอสยาม

 

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ อ.เป็นต้น นาประโคน ประพันธ์ถวายเนื่องวโรกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เม.ย. 2558

 

 

พ่อครูว่า...ปีนี้เป็นปีที่มีนิมิตหมาย อาตมารู้สึกว่าเป็นจริง มีนามธรรมบรรจบถ้วนที่จะเป็นมโนบุพพัง คมาธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยาย เกิดจากจิตได้ ถึงวาระที่ผนวกอะไรกันเข้า เราก็ทำมาหลายสิบปี ที่จะเป็นองค์ประกอบของสังคมมนุษย์พึงทำ เช่นการพาณิชย์เราก็ทำตลาดอาริยะ การเมืองเราก็ไปช่วยกันมา ด้านสังคมเราก็ทำจนถึงปี 2558 อาตมาก็ได้ขายความเลข 2 เลข 5 เลข 8 ว่ามี เลข 5 สองตัว

 

เลข 8 คือเลขชนะ อาตมาปาง 7 ต้องสู้หนัก ทางฮินดู เลข 7 นี่คือฐานะพระราม ส่วนเลข 8 เป็นพระกฤษณะเป็นผู้ชนะทุกอย่าง ส่วนเลข 9เป็นเลขของพระพุทธเจ้า

 

แล้วเลข 5 คือเลขเจริญแล้วมี เลข 2 กำกับว่าคราวนี้ชนะแน่ มีเลข 5 ถึงสองตัว

 

ถ้ามีจุดหนึ่งเดียวจะไม่เคลื่อน แต่ถ้ามีสองก็จะมีการเคลื่อนไปหาสอง แล้วถ้ามีจุดอีกอันหนึ่งจะเป็นสาม เป็นสามเหลี่ยม ที่องศาน้อยๆ จนถึงสามเหลี่ยมองศามากขึ้น แล้วจนกลายเป็นสามเหลี่ยมมุม 60 องศา เท่ากันหมด เป็นวงจรเกิดขึ้น แต่ถ้ามุมสามเหลี่ยมแคบมากก็จะเป็นสามเหลี่ยมแคบแบน จนพอมีเหลี่ยมมากขึ้นจะเป็นองศา 60 องศาสมดุล คือหมุนวนครบ แล้วพอมีเพ่ิมเส้าที่สองต่อมาก็เป็น 6 เร่ิมอีกอันเป็น 7 นี่จะมารวมกันเมื่อสามเส้านี้มีครบสองอัน เกิดองศาซ้อน ตัว 7 นี่เป็นความเจริญของเส้าที่สอง ส่วน 4 กับ 5 เป็นความเจริญของเส้าที่สอง ที่จะเจริญสู่ 6 เป็นเส้าที่สอง

 

เลข 8 เป็นความเจริญที่ชนะแน่ แต่เลข 7 ยังลูกผีลูกคน มีเสียบ้างชนะบ้าง ต้องใช้อุตสาหะเต็มที่เลย ใครมาเป็นลูกโพธิรักษ์หนักนะ แต่เรายอมรับ เราสู้ตายเป็นตาย

 

 

เลข 2558 เข้าใจแล้วนะ 2 นี่ยืนยันว่า 55 สองตัว ย้ำอีกว่า 8 นี่ชนะแน่นอน บอกสัญญาณว่ายักษ์มารผีทั้งหลาย ยอมเสียเถอะ ตายฟรีนะ จะหมดเนื้อหมดตัวแพ้หมดรูปนะ อาตมาอธิบายตามธรรมพระพุทธเจ้าเป็นเหตุปัจจัยของรูปนามในมหาจักรวาล ผู้มีปัญญาจะพอเข้าใจ

 

.ฟ้าไทว่า...เกิดจากเหตุปัจจัยที่เราสั่งสมมาเต็มที่ เพราะองค์ประกอบคนทำดีนี่ครบถ้วน ยังไงๆ ก็แพ้อยู่ดีพวกมาน่ะ เสียเวลาต่อสู้

 

พ่อครูว่า..อาตมามีโศลกว่า ถ้าเราทำดียังไม่ได้ดีเพราะทำดียังไม่มากพอ ให้ทำดีไปจนครบเหตุปัจจัย เราพากเพียรมาทั้งรูปธรรมนามธรรม เราลดกิเลสจริง เราเรียนรู้ศึกษากิเลสจริงๆ แม้นามธรรมเราก็รู้ได้ จะเป็นสัตตาโอปปาติกาเราก็เห็นได้ ดับได้แท้จริง

 

จะยกตัวอย่างแค่ตลาดอาริยะ เราเริ่มต้น 2523 ที่สันติอโศก เราจัดอยู่ ห้าปีที่สันติอโศก แล้วเราก็ไปจัดที่ปฐมอโศกด้วยปี 2524 นั้นจัดทั้งสันติอโศกและปฐมอโศก  พอปี 2528(ครั้งที่6) เราก็เลยจัดที่ปฐมอโศกเต็มรูปเลย

 

ปี 2523 มีชื่อปกหนังสือสารอโศกว่า คลื่นแห่งรุ่งอรุณ ปี 2524 ชื่อเอกลักษณ์ไทย/ธรรมยาตรา ปี 2525 ชื่อ ตะวันธรรม /  สันติอโศก'25     ปี 2526 ไม่ได้มีชื่อ ก็จัดที่สันติอโศก พอปี 2527 ก็จัดที่สันติอโศก พอปี 2528 ตั้งชื่อหนังสือว่า วัวแห่งการงาน ก็เลยหยุดจัดตลาดอาริยะที่สันติอโศก ไปจัดที่ปฐมอโศก

 

.ศ.2538 เราตั้งชื่องานว่าปีใหม่อโศก'38    พอปี 2539 เราก็ยังกลับไปใช้ชื่องานวา่ อโศก'39  พอปี 2540 เป็นปีใหม่อโศก'40  แล้วพอปี 2541 ก็ย้ายมาจัดที่ราชธานีอโศก เป็นปีเร่ิมจัดที่ราชธานีอโศก

 

พอปี 2543 ก็มีคำว่าตลาดอาริยะปีใหม่ 43 พอปี 44 ก็เป็นตลาดอาริยะปีใหม่ พอปี 2545 ใช้ชื่อว่าปีใหม่ตลาดอาริยะ จากนั้นก็เรียกปีใหม่ตลาดอาริยะมาเรื่อยๆ จนถึงปี 2554 มีวิกฤติก็เลยจัดตลาดอาริยะไปสัญจร 3 ชุมชน ไปที่ร้อยเอ็ด สีมาอโศก (1-2 ม.ค.) แล้วที่หาดใหญ่(9-10 ม.ค.)ด้วย

 

พอปี 2555 เราก็กลับมาจัดที่บ้านราชฯ จากนั้นก็เร่ิมจัดเลื่อนจากปีใหม่สากลมาเป็นปีใหม่ไทยในปี 2555 เอาวันที่ 13-15 เม.ย. เราเรียกว่าตลาดอาริยะปีใหม่สงกรานต์

 

พอปี 2556 ตั้งชื่อว่าตลาดนำ้อาริยะคืนชีวิตแม่มูน จัดระหว่าง ริมมูนบ้านราชฯกับ ท่าเรือกรมเจ้าท่าฝั่งเมือง

 

พอปี 2557 เราก็จัดควบคู่กันเลย เราจัดที่สะพานผ่านฟ้า แต่ที่ราชธานีอโศกเราก็จัดควบคู่กันเราจึงมีตลาดอาริยะสองแห่งเลย ที่กทม.สะพานผ่านฟ้าและที่ราชธานีอโศก

 

ปี 2558 กำลังจะเริ่มขึ้น ปีนี้เราเลื่อนจากหน้ากรมเจ้าท่าไปท่าอุบลฯเลย เรือจากสองลำเป็นเจ็ดลำเลย มีแพให้เดินไปบนเรือเลย เหมือนเราทำเอาไว้เลย มีแพสองแพเราไม่ได้เตรียมไว้สำหรับงานนี้เลยแต่ว่าเป็นไปเอง Whatever will be will be เป็น Born to be เลย มันจะเป็นของมันเอง เขาจะจัดห้าวัน แต่เราจัดสามวัน ของเขาเลยเป็นวันที่ 12 - 16 แต่ขอเราไปร่วมด้วย จะเป็นอย่างไรไม่รู้ วันนี้เขาก็เปิดงานแล้วทางฝั่งเมือง มันเชื่อมกันสองแห่ง ได้ข่าวว่าทางโน้น ผู้ใหญ่จะมาทางนี้ ตอนสาย เรือเราจะไปรับมาเลย เราจะมีโรงเรียนต่อเรือ อาจตั้งชื่อว่า โรงเรียนนาวาบุญนิยม

 

ปีนี้ อบจ.อุบลฯตั้งชื่อให้ว่า... ท่องเที่ยววิถีชาวอุบล ยลตลาดน้ำอาริยะ นี่เป็นชื่องาน ก็ชวนคนมาล่องเรือชมวิวแม่น้ำมูนด้วย นี่เป็นเรื่องเหตุปัจจัย เพียงแต่เรามีวิสัยทัศน์เรามีความตั้งใจจริง แล้วสำคัญคือเราลดความเห็นแก่ตัว เห็นว่าการเสียสละเป็นสิ่งควรทำเป็นสิ่งประเสริฐ เราเต็มใจมาเสียสละต่อมวลมนุษยชาติ แม้กิเลสเราเหลือเราก็ฝืนมันได้ กิเลสมันจะดึงดันไม่ให้เราทำเราก็สู้มัน ถ้ามีสัมมาทิฏฐิเราก็ทำ เราจึงเจริญพัฒนามาได้ถึงปานนี้ อาตมามั่นใจคือไม่มีถอย และภูมิใจที่มีส่ิงดีงามเกิดขึ้น และพวกเราเป็นคนที่ยังมีธุลีในดวงตาน้อย มาเสียสละลดความเห็นแก่ตัว เห็นเลยว่า จนนี่ดีกว่ารวย มีแต่กิเลสเราที่ต้องสู้ พระพุทธเจ้าว่าให้จิตวิญญาณเราไม่มีเห็นแก่ตัวเลย อัตตาตัวจนเราไม่เหลือเลยนั้นทำได้ ที่อาตมาพูดตอบไปนั้น เพราะว่าอาตมาทำได้ แม้แต่ขั้นสุดท้ายของอาริยะอาตมาก็ประกาศตัวตนแล้ว ว่าหมดตัวตน อาตมาประกาศไปไม่ได้ประกาศเล่น เป็นตถาการี ยถาวาที ทำได้แล้วจึงพูด ไม่ใช่พูดพล่อยตามปฏิภาณปัญญาเท่านั้น อาตมายืนยันว่า เราเชื้อเชิญให้คนพิสูจน์ เป็นของสูงที่ให้คนมาพิสูจน์ได้ โอปนยิโก ที่ต้องเอื้อมมาให้ตนได้

 

ใครทำได้ก็เชื้อเชิญให้คนมาพิสูจน์ได้ เราก็พยายามทำจนได้จนเป็น พระพุทธเจ้าว่า ตราบใดมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตราบนั้นโลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมได้มรรคได้ผลแน่นอน

 

อาตมาพาออกมา เกือบ 45 ปีแล้ว พระพุทธเจ้าทำงาน 45 ปีก็ปรินิพพานแล้วแต่อาตมาจะต้องทำงานไปกี่อสงไขย์กัปป์ ก็ไม่ท้อ

 

.ฟ้าไทว่า...พระโพธิสัตว์จะรู้ไหมว่าเราทำมากี่อสงไขย

พ่อครูว่า..ถ้าภูมิถึงจะรู้ แต่ว่า ตอนนี้ผมไม่รู้ได้ ก็รู้เท่าที่รู้ ผมคำนวณยังไม่ได้ประมาณไม่ได้ กำหนดเอาตามสังขยาเลข ไม่ได้ ผมก็รู้แค่ว่าปางแปดก็เร่ิมรู้แต่ปางเก้านี่รู้ได้แน่ พระพุทธเจ้าท่านรู้ นี่คือสัจจะที่อาตมาพูดตรงๆ อย่างไม่บาป อาตมาไม่เอาบาป พระพุทธเจ้าว่าอกุศลหรือบาปแม้น้อยอย่าทำ ทำแล้วเป็นของเราไปตลอดกาลนาน สิ่งที่เราได้ทำเป็นยุคสมัย ขออภัยที่ต้องพูดอวดตัวตน

 

งานที่อาตมาทำในปาง 7 อาตมาต้องมากอบกู้ อาตมารู้ว่าอาตมาเป็นสยังอภิญญาผู้มาประกาศอันนี้ แต่อาตมารู้ว่าไม่ถึงวาระก็ไม่กล้าพูด แต่มันนานมาแล้ว ผู้มีปฏิภาณก็เข้าใจได้ ตามบริบท แต่คนไม่เชื่อก็หาว่าอวดตัว มาถึงวันนี้อาตมาขอย้ำ ว่าในทิฏฐิ 10 ข้อที่10 ที่ว่า สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)  มาถึงกาละนี้เหตุปัจจัยครบพร้อมแล้ว ตั้งแต่ พศ.2514 ไปบรรยายที่วัดมหาธาตุ ว่า อาตมาจะบรรยายสัจธรรมแล้วให้อาตมาตายภายใน 7 วันก็ได้ อาตมาจึงประมาณค่อยเผยเปิดตัวทำอะไรมาเรื่อยๆ จนถึงวันนี้วินาทีนี้ก็เปิดชัดเจนว่า อาตมาคือ อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ ผู้นั้น เพราะจริงๆแล้วมันไม่มีผู้อื่นที่เป็นตัวตนเต็มตัว แต่ก็ค่อยๆเผย แม้แต่ในหลวงก็เป็นแต่อย่าเปรียบในหลวงกับอาตมา เพราะต้องทำหน้าที่ต่างกัน ท่านทำหน้าที่ทางรูปธรรม อาตมาทำหน้าที่ในด้านนามธรรม ทำงานไปก็ต้องเกิดคลื่น แม้คลื่นในใจก็เป็นบาป

 

ถึงวาระอาตมาก็พูดสู่ฟัง อาตมาได้พิสูจน์มาแล้ว แม้สัมมาทิฏฐิ 10

เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา)  ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา).

 

1.        ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง)

2.       ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง)

3.        สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง)

4.        ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่   

(อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก) 

5.        โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ

6.        โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ 

กรรมนี่และคือ God ซึ่งพิสูจน์ได้ แล้วเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า เร่ิมตั้งแต่อรหันต์เลยคือผู้เป็นพระเจ้า แต่เริ่มเป็นลูกพระพุทธเจ้าเป็น DNA ของพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นอรหันต์ก็เป็นDNA พระเจ้าเต็มรูป ยิ่งเป็นโพธิสัตว์ก็ยิ่งเป็นเพิ่มขึ้น จนเต็มรูปเป็นพระพุทธเจ้า  ถ้าจะเรียกว่า พระบุตรคือมนุษย์ ก็คือพระพุทธเจ้านั่นแหละที่เป็นทั้งพระบุตรและพระเจ้าด้วย

 

_พระพุทธเจ้าตอบพระกัจจายตโคตรว่า พระไตรปิฎกล. 16 ข. (43) พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมี  1 ความไม่มี  1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความมีในโลก ย่อมไม่มี

 

คำถามคือปัญญาอันชอบคือเจโตปริยญาณ 16 หรือไม่?

ตอบ...ใช่ จริงๆแล้ว เจโตปริยญาณ 16 เป็นส่วนหนึ่งของญาณปัญญาที่เป็นมาตรวัดการปฏิบัติ

คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) .

รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆในจิตอาริยของตน(ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์.

            1. สราคจิต  (จิตมีราคะ)

            2. วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ)

            3. สโทสจิต  (จิตมีโทสะ)

            4. วี ตโทสจิต  (จิตไม่มีโทสะ)

            5. สโมหจิต  (จิตมีโมหะ)

            6. วีตโมหจิต  (จิตไม่มีโมหะ)

พอทำลดกิเลสได้ใหม่ๆ ยังเคร่งคุมอยู่ เหมือนหัดรถจักรยานใหม่ๆ  แล้วจะแยกจริตกันได้สองแบบ

            7. สังขิตฺตํจิตตํ (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่ เป็นก้อน ตีไม่แตกอ่านไม่ค่อยออก) 

            8. วิกขิตฺตํจิตตํ  (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด )

            09. มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น) 

            10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น)

            11. สอุตตรจิต          (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)

            12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า)

            13. สมาหิตจิต         (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)

            14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)

            15. วิมุตตจิต            (จิตหลุดพ้น)

            16. อวิมุตตจิต          (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง)

                                                                                    (พตปฎ. เล่ม 9   ข้อ 135)

 

.ฟ้าไทว่า..​คำว่าอวิมุติคืออะไรคือตัวค้างคามีเศษหรือไม่


พ่อครูว่า..ใช่ คือตรวจด้วยอรูปฌาน อากาศเป็นความว่างโล่ง ส่วนวิญญานัญจาฯคือตัวรู้ อากิญจัญญาคือมีนิดหนึ่งน้อยหนึ่งเหลืออยู่ไหม มีธุลีละอองไหม? (อากิญจัญฯคือรูป ส่วนเนวสัญญาฯคือนาม) ต้องตรวจอย่าง มีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโกลา (แสงสว่าง) ไม่ใช่ไปดับความรับรู้ดับสัญญาไปหมด

 

สังโยชน์ มานะ นั้นท่านหมดแล้ว ก็ตรวจ อุทธัจจะ ว่ายังมีเหลืออีกไหม?ท่านไม่ถือตัวแล้วท่านก็ตรวจดู ว่ามีส่วนเหลือไหม?  ถ้าท่านมีก็ยอมรับว่ามี เพราะท่านหมดมานะแล้ว แล้วท่านจะไม่ถือตัวถือดีอะไร อย่าง อ.แสง จันทร์งามมาถามอาตมา อาตมาก็พิจารณาแล้ว ว่าควรบอกท่านคงเอาไปใช้ประโยชน์ อาตมาก็ไม่บอกใครพร่ำเพรื่อ ก็เพ่ิงมาเปิดเมื่องานพุทธาฯ ว่าอาตมาเป็นอรหันต์ กว่าจะเปิดเผยก็นานหลายสิบปี ซึ่งอาตมาไม่ได้อึดอัดอะไรนะที่ไม่ได้บอก คือถ้าคนมีกิเลสมีแล้วต้องอยากบอก ก็อึดอัด แต่อาตมาไม่ได้อยากบอก อยากบอกก็ไม่มี ไม่อยากบอกก็ไม่มี ถึงวาระควรบอกก็บอก ที่บอกไปในพุทธาภิเษกฯ อาตมาก็ไม่ได้นึกถึง 2558 แต่เห็นว่ากาละควรเปิดเผย เป็นอัตโนมัตินะ แล้วบอกไปก็เจอว่ามีตัวเลข 2558 อาตมาไม่ได้เรียนรู้ตัวเลขอย่างสู่แดนธรรมนะ แต่ตัวเลขที่อาตมาเรียนรู้มานี่ละเอียดกว่านะ

 

พอประกาศก็สบายใจ โล่ง สบม.ทมด.ปกต.หห.จจ.

 

.ฟ้าไทว่า...การประกาศพ่อครูก็ว่า บริษัทนี้รับได้

พ่อครูว่า...มีพวกคุณรับรองไง ถ้าประกาศโดดๆก็ไม่ได้ ทำมา 45 ปีมีผลงานปรากฏเป็นสิ่งยืนยันให้ยอมรับได้ อาตมาก็ได้นำเสนอขยายอธิบายได้ นอกจากเขามีกิเลสมากจะต้าน แต่ถ้าคนกิเลสไม่มากก็ไม่มีปัญหาหรอก

 

ที่ถามว่า ความเกิดในโลก (โลกสมุทัย) อันนี้เมื่อรู้ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงท่านก็สรุปว่า นัตถิโลเก ย่อมไม่มีในโลกย่อมไม่มี (นโหติ) คือเมื่อรู้โลกสมุทัย ถ้าผู้ใดทำของตนเองให้หมดกิเลสแล้วเราก็สามารถรู้อัตถิโลเก ทำโลกแห่งความเป็นสัตว์ของเราให้หมดชีวะ ไม่มีพลังชีวิตของสัตว์ของกิเลส มันตายสิ้นเกลี้ยงแล้วเราก็อ่านแล้วอ่านอีก เดี๋ยวนี้มันไม่เกิด แม้จะมาแรงหนักกว่าเก่าก็ไม่เกิด ญาณปัญญาที่รู้ เห็นความเกิดความดับ ของตัวโทษภัยมันไม่เกิดจริง มีแต่จิตว่างจิตดีจิตกุศลมีคุณค่าเกิด เราต้องมีปัญญาญาณอ่านรู้ แยกออก แต่เราไม่ได้หนีจากโลกที่กระทบเราแรงอย่างไรเราก็ไม่เกิดกิเลส มี (ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ) ถูกกระแทกด้วยโลกธรรม 8 เราก็ไม่เกิดกิเลส อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

เหมือนเราไปเดินในน้ำที่มีปลิง เราก็เอายาหม่องทาขา พอปลิงมาแตะขาเราก็ถูกยาหม่องผลอยๆเองโดยไม่ต้องทำอะไร นั่นคือพลังอุตตระ พลังธรรมะ มีฤทธิ์ของมันเองเลย ไม่ต้องทำอะไร?

 

เราก็เห็นว่าเขามีกิเลสอยู่ เราก็เลยเป็นพระมาลัยโปรดสัตว์ และเราก็คือคนไม่มี แต่ถ้าคุณยังไม่มีมรรคผลของการดับโลก ก็มี นัตถิทินนัง นัตถิยิตถัง นัตถิหุตตัง ไม่มีผลของการปฏิบัติธรรม ก็เป็นคนไม่มี (นโหติ) ไม่มีผลนิพพาน แต่ถ้าผู้ทำให้มีผล เป็นอัตถิโลกนะ ทำเกิดผลบรรลุธรรมได้ จนหมดเลยเป็นโลกนิโรธ ก็เป็นผู้ ไม่มีโลก (นโหติ) เป็นนัตถิโลเก ไม่มีนิพพาน ส่วนผู้มีนิพพานคือ อัตถิโลเก ก็เป็นผู้ไม่มี นโหติ  คนก็อาศัยสองสิ่งคือความมีและความไม่มีในโลก ในพระไตรฯล.16 ข.43

 

“พระพุทธเจ้าข้า  ที่เรียกว่า  สัมมาทิฐิ  สัมมาทิฐิ  ดังนี้   ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ จึงจะชื่อว่าสัมมาทิฐิ” ฯ

[43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า “ดูกรกัจจานะ  โลกนี้โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง  คือ  ความมี1   ความไม่มี1   

ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก (โลกสมุทยัง) ด้วย-ปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก  ย่อมไม่มี

เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก (โลกนิโรธ) ด้วย- . ปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว  ความมีในโลก  ย่อมไม่มี” (โลเกอัตถิตา  น  โหติ)

โลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วยอุบายอุปาทานและอภินิเวส แต่พระอริยสาวกย่อมไม่เข้าถึง (น  อุเปติ)  ไม่ถือมั่น (น อุปาทิยติ)  ไม่ตั้งไว้ (นาธิฏฐาติ) ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัย  อันเป็นที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อัตตาของเรา (นาธิฏฐาติ  อัตตา  เมติ) ดังนี้

ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่า ทุกข์นั่นแหละ  เมื่อบังเกิดขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น  ทุกข์เมื่อดับ ย่อมดับ  พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย  ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล  กัจจานะ จึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ ฯ 

(กัจจานโคตตสูตร  ล.16  ข.43)

 

 

มีคำถามว่า ขอให้พ่อครูยกตัวอย่างธรรมะโดยส่วนสองให้ฟัง และอีกคนว่า ก็ให้ยกตัวอย่างธรรมะสองรวามเป็นหนึ่งรวมลงที่เวทนา

 

พ่อครูว่า... อันที่ 1 เขาบอกว่า เวทนาอาศัยผัสสะเป็นตัวปัจจัย แล้วเกิดวิญญาณ ในวิญญาณ มี เวทนา สัญญา สังขาร ในวิญญาณ ตัวใช้กำหนดคือสัญญา ก็เอาสัญญา ไปอ่านวิจัย ว่าอารมณ์ความรู้สึกเกิดจากการกระทบแล้วมี จิตที่มีอะไรอยู่ในนั้นเป็นจิตในจิต เช่นเห็นฟักข้าวนี่เราอยากไหม? จะสัมผัสก็สัมผัสแต่เราอ่านความอยาก มันอยากแล้วเราไม่ให้มันมันจะยิ่งเห็นชัด เราอ่านเข้าใจแล้วว่าไม่กินมันก็ไม่ตาย ดีไม่ดีอย่างอื่นดีกว่าอีก

 

.ฟ้าไทว่า....มีคนบอกว่า อยากกินอะไรก็กินให้เข็ดเลยผมว่าไม่น่าจะถูก

พ่อครูว่า...ไม่ถูก เราต้องอ่านให้เห็นกิเลส ที่มันไม่มีตัวจริงหรอก มันอยู่ที่ใจคุณเป็นผีหลอกเป็นอาคันตุกะมายึดใจเรา ไม่มีจริง ถ้าคุณทำให้เกิดฤทธ์แรงว่างจากอาการนี้เลยทันที มันก็ว่างโล่งเลย ไม่ต้องไปรับใช้มัน เป็นทาสมันต่อไป คนเข้าใจแล้ว กิเลสไม่มี คุณเอาไว้นั่นมันคุณโง่ ก็คุณจะโง่ไปทำไม? (ส.ฟ้าไทว่ามันห้ามความโง่ไม่ได้ครับ ก็ต้องพยายามทำ) มันถึงยากที่เห็นไตรลักษณ์  มันไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวเราโง่พาเราทุกข์อีก

 

.ฟ้าไทว่า... บางอย่างเราก็ทำได้ แต่ส่ิงที่เราต้องสู้ก็ต้องมี ทำได้แต่บางทีมันก็วนมาอีก ก็ต้องพยายามอยู่

 

พ่อครูว่า..ที่เรียกว่าธรรมะสอง ก็มีเวทนากับผัสสะเป็นปัจจัย หากไม่มีผัสสะ เวทนาไม่เกิด วิญญาณไม่เกิด เม่ีอมีผัสสมันก็เกิด เป็นเวทนา  3 สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์  ความว่าง แบบพักยกชั่วคราวมันเบื่อแล้วก็คือเคหสิตอุเบกขา จนกว่าคุณจะดับชาติจนไม่เกิดอีก เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขาที่ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

ผัสสะอยู่ เรารู้ความจริงตามความเป็นจริง นี่กระทบสีแดง ของฟักข้าวนี่ แต่ก่อนเราติดมันยั่วยวนอยากได้แต่ตอนนี้ก็กระทบมันสีอย่างเก่า แต่เราไม่เกิดอยากได้เลย พระพุทธเจ้าให้พิสูจน์ทั้ง 3 กาละ อดีต ปัจจุบัน อนาคต อย่างละ 36 เวทนามันก็ยืนยันว่าสูญๆๆๆๆ จนตนเองตัดสินได้ว่าอย่างนี้ในอนาคตไม่เกิดกิเลสอีก

 

เราดับส่วนที่ควรดับ เวทนาก็เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา จิตเราไม่แกว่งเลย แม้ผัสสะ แต่ก่อนผัสสะมากิเลสก็เกิด ไม่ผัสสะกิเลสไม่เกิด แต่ว่าตอนนี้ผัสสะมากิเลสก็ไม่เกิด ทำให้กิเลสไม่มีได้ คือคุณมีอัตถิโลเก เป็นผู้ไม่มี(นโหติ)  เวทนาก็ยังมี เป็น เนกขัมสิตอุเบกขา ,ตัณหาก็มี เป็นวิภวตัณหา, อุปาทานก็กลายเป็นสมาทาน ,ภพก็เป็นวิภวภพ, เราเหนือธรรมชาติ เป็นชาติอาริยชนไม่ใช่ชาติปุถุชน เรายังมีส่ิงที่มีอยู่แต่เราทำให้ส่ิงที่ไม่ให้มีไม่มีได้ แต่เราก็ยังมีอยู่

 

คำว่าธรรมะสองนี้ ตั้งแต่ วิญญาณคู่กับนามรูป, นามรูปกับผัสสะ,ก็เกิดอายตนะ หากไม่มีผัสสะนามก็อยู่กับนาม รูปอยู่กับรูป ต้องมีผัสสะจึงเกิดวิญญาณ

 

อันใดที่ไม่ประชุมลงในเวทนาแล้ว ก็เรียนรู้ในเวทนานั้นก็จะบรรลุผล แต่ถ้าไม่เรียนรู้เวทนาในเวทนาก็จะไม่มีที่เรียน แต่ถ้าคุณเรียนในเวทนา 108 นี้ ถ้าไม่เรียนเวทนาก็ไม่ได้เรียน ไปนั่งหลับตาดับมันสุญโญ

 

_พ่อท่านเคยพูดว่า ผู้ถึงธรรมจะ แต่ทำไมลูกหลายคนของพ่อท่านถึงทำผิดศีลข้อ 2 อยู่บ่อยๆถ้าได้รับผิดชอบเรื่องเงิน มันทำให้นักปฏิบัติธรรมหวั่นไหวได้จริงหรือ?

ตอบ...จริง ถ้า 1 ล้านไม่หวั่นไหว ก็ 10 ล้านก็สู้ได้แต่ถ้า 100 ล้านหวั่นไหว แล้วพันบ้านหมื่นล้านแสนล้านล่ะ ถ้าไม่ได้คุณสมบัติถึงอสังหิรัง อสังกุปปังก็หวั่นไหว สู้แรงโลกีย์ไม่ได้ไม่ว่าจะโลกธรรม

 

_การที่คนได้อยู่ในอโศกบ้าง 5 ปี 10 ปีแต่มีวิบากต้องออกไปหาเงินหาสามี หาภรรยา ท่านเหล่านี้ไม่เต็มรอบไม่ถึงรอบใช่ไหม?

ตอบ...ใช่ แล้วรอบมันหาเก็บได้ที่ไหน อย่ามาอ้างว่าไม่ถึงรอบ รอบต้องทำเอง หาซื้อไม่ได้ที่ไหน แต่ที่ไปนี่เป็นรอบซวย ไปหาความซวย คุณพอมีปฏิภาณรู้ดี สู้มันได้ดี เชื่อไหม?กิเลสตายคุณไม่ตาย แต่ถ้าไม่พ้นทุกข์มันก็ไม่ตายตัดได้แค่ชั่วคราว

 

_บางคนตั้งใจมักน้อยสันโดษตั้งใจจนแต่ว่าพอทำไปกลับรวยขึ้นไม่รู้จักพอ

ตอบ...ต้องตัดกรอบให้ตนเองรู้จัดพอ การกินวันละไม่มีมื้อก็ให้สู้ตายกินวันละสามมื้อ แต่มาให้สองมื้อ จนเหลือมื้อเดียว จนสองวันมื้อก็ลองได้แต่อย่าเก่งกว่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าให้มื้อเดียวต่อวัน

 

_ข้อสอบปลุกเสกฯ ถามว่า ระหว่างความมีกับความไม่มีในโลก ผู้มีปัญญาอันชอบจะเกิดลักษณะใด ?

 

. เห็นความมีเป็นหลัก                               ข. เห็นความไม่มีเป็นหลัก

. เห็นทั้งความมีและความไม่มีพอ ๆ กัน            ง. ไม่เห็นทั้งความมีและความไม่มี

พ่อครูว่า... ถ้าเอาความไม่มี เป็นหลักนี่ มันมีความไม่มีอยู่หลายตัว นัตถิโลเก นโหติ  ความไม่มี มีมากกว่า

 

_ชาวอโศกมีอยู่ที่ไหนบ้าง?

ตอบ...อยู่ที่ในมนุษย์ชมพูทวีป แล้วต้องทำให้ถึงมนุษย์อุตรกุรุปทวีปใน มนุษย์ชมพูทวีป ที่นั่นคือชาวอโศก

 

เอวัง....


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:25:09 )

580412

รายละเอียด

580412_พ่อครูให้พรปีใหม่ไทย พศ.2558 

พ่อครูยืนหน้าต้นธารของ ลำธารถอยหลังเข้า....

 

ปีนี้ถ้าจะเอาตัวเลขทางพุทธศาสนาก็เป็นปี 2558 เป็นปีใหม่ของไทย เขาก็มาขอให้อาตมากล่าวคำมงคล ...

 

ไทยปีนี้อาตมาดูแล้วเป็นปีที่มีเหตุการณ์ปรากฏการณ์สังคม มนุษยชาติ โดยเฉพาะจิตวิญญาณมนุษย์ ...ที่จิตวิญญาณอสูรกำลังอ่อนแรง ยังเหลือแต่ว่า ตอนนี้ผู้ที่ทำงานให้แก่สังคมประเทศชาติ ศาสนา ก็น่าจะเผด็จศึกได้ อาตมาว่า เพราะว่าเป็นปีพศ.2558 เลข 8 เป็นเลขบ่งบอกถึงความมีพลังมีอำนาจ มีประสิทธิภาพ มีฤทธิ์ เป็นเลขที่เป็นปางมีฤทธิ์ ปาง 8 และเป็นปีที่เป็นเลขปราบ อย่างไรๆก็ปราบได้ เพราะยิ่งมีเลข 5 อีก 2 ตัวก็แสดงถึงความเป็นจริงทางสัจธรรม

 

อาตมาไม่ใช่หมอดู แต่ว่ารู้ความเป็นจริงของสัจธรรม รู้ว่าตัวเลข 1 ถึง 10 คืออะไร ลักษณะสัจธรรม ก็ขอให้สัญญาณกัน (พ่อครูไอสองที)

มาบอกกัน ให้ได้เข้าใจได้รู้โอกาสวาระที่ควรเป็น ถ้าคิดว่าเป็นจริงดังอาตมาว่า ก็มาช่วยกันทำงานให้เต็มที่ (พ่อครูไออีก 2ที)

เป็นโอกาสดีงามที่สุดแล้ว อย่างไรๆก็ชนะ อย่างไรๆก็เป็นเหตุการณ์มีเหตุปัจจัยลงตัวแล้ว เป็นแต่อสูรจะดิ้นเฮือกสุดท้ายแล้ว ก็ขอให้พวกเราพากเพียรอุตสาหวิริยะ ไม่ต้องโหดร้ายรุนแรง แต่ทำให้ถูกต้องตามสัจธรรม

 

ตามสัจธรรมคือ เราทำอย่างมีเจตนามุ่งหมาย แต่ไม่ต้องตั้งความหวัง ไม่ต้องให้มีความอยากใดๆ ทำอย่างเรามีเป้าหมายอย่างไร แล้วเราก็ทำตามนี้เต็มที่แข็งแรง มีเจตนาแต่อย่าอยาก ให้ทำความบริสุทธิ์ ทำให้เต็มบริสุทธิ์คือไม่ต้องใช้วิธีการเหลี่ยมคู ไม่ตรงใดๆ ไม่ซื่อสัตย์ แต่ทำให้ซื่อสัตย์ตรงเต็มที่ไม่ต้องรีบร้อน ทำให้สบายๆใจ ทำโดยมีเจตนา แต่อย่าอยาก จงพากเพียรให้เต็มบริสุทธิ์ แล้วความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก...ในที่สุด

 

พวกเราชาวประชาชน แม้แต่พวกอาตมาที่ทำงานเพื่อประเทศชาติ ก็ส่งเสริมเต็มเรี่ยวเต็มแรง เท่าที่เราจะทำได้ เราทำในลักษณะที่เป็นนโยบายบุญนิยม คือทำเพื่อลดละหน่ายคลายตามธรรมะของพระพุทธเจ้าลดกิเลสความเห็นแก่ตัวตนเองเป็นสำคัญ ผลงานจะออกมาตามที่พระพุทธเจ้าพาทำ เราทำแล้วเราทำลดกิเลสได้ จึงเรียกว่าบุญ เรียกว่าบุญนิยม คือไม่ได้ทำเพื่อล่าลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุขอย่างโลกๆเขา แต่เราลดกิเลสแล้วไม่ได้อยู่เฉยๆ แต่ว่าเราทำเพื่อประโยชน์แก่โลกอย่างเต็มใจ แล้วเราก็สามารถที่จะทำงานเกิดผล เกิดบุญ บุญไม่ใช่เรื่องเอาวิมานมาหลอกคน หลายคนก็สร้างวิมานลึกลับ บุญคือรู้จิตเจตสิกรูป จนถึงนิพพาน

 

ประเทศไทยเราเป็นเมืองพุทธ ต้องทำบุญให้ได้ มันเป็นวาระที่เห็นได้ว่ามีคณะที่ตั้งใจทำงานให้เกิดผลดีแก่ชาติ เราสนับสนุนเต็มที่ ขอให้ทุกคนตั้งอกตั้งใจเต็มที่ ขออนุโมทนา ขอเป็นแรงใจอย่างเต็มกำลัง ขอให้ทุกคนประสพผลสำเร็จในปีใหม่ปีนี้อย่างถ้วนทั่วทุกคนเทอญ


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2563 ( 15:09:21 )

580412

รายละเอียด

580412_วิถีอาริยธรรม ริมมูน บ้านราชฯ เรื่อง ความเป็นมาของตลาดอาริยะ

.ฟ้าไทว่า....วันนี้ 12 เมษายน 2558 เป็นวัน แรม 9 ค่ำ เดือน 5 ปีมะแม วันนี้รายการวิถีอาริยธรรม ก็ได้สัญจรมาที่ริมมูน สถานที่นี้ก็ได้เป็นที่จัดงานตลาดอาริยะมา 30 กว่าปีแล้ว มีทั้งตลาดอาหาร ราคาจานละบาท ขายราคาต่ำกว่าทุน มีทั้งหม้อกะละมังเสื่อสาด อะไรอีกหลายอย่างไม้กวาด ของตลาดนี้อาตมาว่าไม่มีของคนโลกีย์อร่อยมาซื้อ แต่เป็นของจำเป็นที่คนต้องใช้ ไม่มีของมอมเมาฟุ่มเฟือย คนมาที่นี่จะมาซื้อของกินของใช้จำเป็น เป็นอาหารมังสวิรัติ เป็นงานกุศล เป็นงานบุญที่คนจะได้มาลดความเห็นแก่ตัว ปีนี้ต้องขอขอบคุณฟ้าดิน ที่ฝนตกให้เราเล็กน้อยให้เราเย็นสบาย

 

เราทำตลาดอาริยะริมแม่น้ำมูนมานาน แต่ว่าเห็นคนใช้แม่น้ำมูนมาก ไม่ได้ใช้ประโยชน์มาก พ่อครูเห็นว่าน่าจะได้ใช้ประโยชน์มาก ก็เลยพาเรามาทำตลาดอาริยะริมมูนกัน ทำให้พวกเราได้ตั้งตนบนความลำบาก อาจมีลมพัดเต็นท์ไปได้ และเราก็จัดตลาดที่ฝั่งเมืองด้วย เป็นสองฝั่ง เขายกเวทีฝั่งเมืองเราตั้งแต่บายสามถึงสองทุ่มเลย ให้เราไปจัดการแสดงได้

 

ที่โรงปุ๋ยเราเตรียมปุ๋ยไว้ 40,000 กระสอบ รับสมัครไปมีสมณะไป 9 รูป มีโยมสองคน แต่ว่าปุ๋ยจะขายกันทั้งวันเลย ตั้งแต่ หกโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น ใครจะบริจาคแรงงานก็ได้เลยนะ งานนี้ไม่ใช่แค่ขายปุ๋ยขายของหรือกินอาหารจานละบาท แต่ว่าเป็นงานการกุศลของโลก  เคยไปขายที่ร้อยเอ็ด มีห้องแอร์ชาวบ้านเขาไม่เชื่อนะว่าจะขายขาดทุน เขาว่าชาวอโศกถูกหลอก แต่ถ้ามาแบบนี้เสร็จบ้างไม่เสร็จบ้าง ลูกทุ่งเต็มที่อย่างนี้ของแท้ ถ้าไม่แท้นี่จะดูเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน แต่ของแท้จะเป็นแบบนี้

 

แล้วขาดทุนนี่มาสนุกสนานด้วย เป็นเรื่องมหัศจรรย์ไม่มีใครทำได้ ทำได้เฉพาะพระโพธิสัตว์พาทำ จะมีอะไรที่ดีเกิดในสังคมมาก

 

พ่อครูว่า...วันนี้เป็นวันฤกษ์ดีปีใหม่ไทย เขานับกันตั้งแต่พรุ่งนี้ แต่พวกเราปีนี้ได้รับการดุนดันให้ขึ้นมาจัดเอาวันที่ 12 ที่เราได้สมทบกับทางจังหวัดอุบลฯร่วมมือกันจัดงานนี้ แล้วเจตนาของทางราชการ เอกชนก็ตาม ก็ตั้งใจว่า พยายามจะทำงานนี้ จะเป็นงานที่อาตมาเจตนาปลุกแม่น้ำมูน แม่น้ำมูนนี่เราได้มาฟรีๆ ไม่แห้งเหือดตลอดปี ไม่เหมือนที่อื่น  ที่อุบลฯนี่เป็นแม่มูนที่เรียบร้อยดี มีแก่งสะพือที่อยู่อ.พิบูลมังสาหารกั้นไว้ให้  เป็นแหล่งแม่มูนช่วงสุดท้าย ถ้าจะแห้งก็เป็นแหล่งสุดท้ายที่จะแห้ง

 

การปลุกชีวิตแม่มูนนี่ จะเป็นแหล่งที่มีด้านสังคมศาสตร์ เราเข้าใจโดยปัญญาของเขา เช่นเขามีงานแห่เทียนพรรษา อาตมาเกิดมาที่ศรีสะเกษ แล้วมาอยู่อุบลแต่เล็กจนโต ก็เห็นเขาทำเทียนพรรษาตั้งแต่ ห้าสิบปีกว่านี้ เทียนพรรษาก็ไม่มีอะไรมาก แต่พออาตมาไปอยู่ทางโน้นแล้วก็มีพิธีกรรมทางศาสนา เป็นสังคมศาสตร์(แต่นอกรีตศาสนาพุทธ) งานนี้ของเราก็จะพยายามผลักดันให้เป็นงานของสังคม อย่างงานเทียนพรรษานี่ก็ทำให้คนเข้ามาสู่จุดร่วม เป็นงานท่องเที่ยว ต่างประเทศก็มา เกิดผลทางเศรษฐกิจสังคม เป็นเรื่องมนุษยชาติ แต่เฟ้อเกินไปมากสาระศิลป์หายไปมากกลายเป็นมีแต่สุนทรียศิลป์ เมื่อเลยเถิด มีแต่สุนทรีย์คนเลยไปติดตรงนี้ไม่เข้าถึงแก่น สาระของศิลปะจะหายไปกลายเป็นมอมเมา ไม่เข้าใจกันไม่เข้าใจเขตขีดของศิลปะหรืออนาจาร เขานึกว่าเจริญ

 

คนนิยมอบายมุขมากพวกเต้นแร้งเต้นกา การละเล่น เต้นร้องฟ้อนรำกลายเป็นอบายมุขไปแล้วได้บาป ราคาผีแพง ราคาดารา กีฬา  แพง นี่คือความเสื่อมของศิลปะ ที่ไม่มีความรู้ว่าเป็นศิลปะหรืออนาจาร เป็นข้าศึกแก่กุศลไม่ใช่มงคลอันอุดม เราจะไปยับยั้งได้ยาก เราจะหักด้ามพร้าด้วยเข่าไม่ได้ เราจะต้องดูแลงานเราไม่เลยเถิดเป็นข้าศึกแก่กุศล เราจะทำให้เป็นมงคลอันอุดมให้ได้ นี่คือความรู้ทางศิลปะที่เขาขาด คำว่าวิสูกทัสสนากับเอตัมมังคลมุตตมังอย่างไร คำว่าอนาจารเป็นวิสูกทัสสนา เป็นข้าศึกแก่กุศล

 

ตอนนี้ทางจัดหวัดมาประสานเราให้ไปร่วมกัน ก็เกิดเป็นปีที่เป็นยุคเปลี่ยน พศ. 2558 จะเป็นยุคเปลี่ยนประเทศไทย เป็นวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาที่คนไทยเคารพรัก ก็เป็นปีที่ลงตัว

 

.เป็นต้น นาประโคนก็ขอส่งกวีมา เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ

ชื่อบทกวีว่า "หยาดฟ้ามาดิน"

 

พระนามพระเทพไท้                        อุบัติ มาแฮ

ราชกุมารีรัตน์                                   คู่หล้า

พระจริยาวัตร                                    งามสง่า ยิ่งเฮย

ทรงศักดิ์สมเจ้าฟ้า                เฟื้องฟุ้ง ขจรขจาย

 

พิศพระพักตร ธ พร้ิม                      แย้มพราย

น้ำพระทัยทรงหมาย                        สุขให้

ทั่วทุ่งราบดอยราย                ร่มรื่น  สราญเฮย

ฤาพิรุณหลั่งให้                                 ดับแห้ง แล้งหาย

 

ดนตรีไทยเพราะพริ้ง                       พราวแพรว

ซอ ระนาดส่อแวว                เสนาะพร้อง

มโนสำนึกนำแนว                สืบชาติ บรรพชน

พระเกียรติกังวานก้อง                     ก่อเกื้อกิจการ

 

ธ อยู่สรวงเทียบให้                           เวหา

ยังเสด็จสู่ท้องนา                              ไร่นั้น

อาหารหนึ่งโลกา                              ก่อเกิด  กสิกรรม

ความเก่งฟ้าบ่กั้น                              โลกก้าวเกินฝัน

 

ทรงจารึก ทุกถ้อย                             บันทึก

วิริยะ ธ ฝึก                                         สถิตย์ฟ้า

ทรงเป็นเลิศลำรึก                             ฝากโลก สูเอย

ทวยราษฏร์ทุกถ้วนหน้า                  มนัสน้อม คะนึงถึง

 

กาสร พฤกษภผู้                                คู่นา

เคยชุบเลี้ยงชีวา                                มนุษย์ไว้

กาสรกสิวิทย์ตรา                              ตั้งชื่อ โรงเรียน

ฝึกระบือโคให้                                              สู่ห้วงอดีตกาล

 

พระปรีชาปราชญ์แท้                                   ถึงธรรม

ก่อเกิดกุศลกรรม                              แด่ไท้

มีคุณค่าควรจำ                                              จารึก ราษฏร์เฮย

ทรงสดับภาษาได้                             มากด้วยบารมี

 

สองเมษา สื่อคล้าย                           สมภพ

หกสิบปีบรรจบ                                เจิดจ้า

ความทุกข์ บ่กระทบ                                    ทั้่งสี่ทิศเฮย

ขอ ธ อยู่คู่หล้า                                              เลิศล้วนเลอสยาม

 

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ อ.เป็นต้น นาประโคน ประพันธ์ถวายเนื่องวโรกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เม.ย. 2558

 

 

พ่อครูว่า...ปีนี้เป็นปีที่มีนิมิตหมาย อาตมารู้สึกว่าเป็นจริง มีนามธรรมบรรจบถ้วนที่จะเป็นมโนบุพพัง คมาธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยาย เกิดจากจิตได้ ถึงวาระที่ผนวกอะไรกันเข้า เราก็ทำมาหลายสิบปี ที่จะเป็นองค์ประกอบของสังคมมนุษย์พึงทำ เช่นการพาณิชย์เราก็ทำตลาดอาริยะ การเมืองเราก็ไปช่วยกันมา ด้านสังคมเราก็ทำจนถึงปี 2558 อาตมาก็ได้ขายความเลข 2 เลข 5 เลข 8 ว่ามี เลข 5 สองตัว

 

เลข 8 คือเลขชนะ อาตมาปาง 7 ต้องสู้หนัก ทางฮินดู เลข 7 นี่คือฐานะพระราม ส่วนเลข 8 เป็นพระกฤษณะเป็นผู้ชนะทุกอย่าง ส่วนเลข 9เป็นเลขของพระพุทธเจ้า

 

แล้วเลข 5 คือเลขเจริญแล้วมี เลข 2 กำกับว่าคราวนี้ชนะแน่ มีเลข 5 ถึงสองตัว

 

ถ้ามีจุดหนึ่งเดียวจะไม่เคลื่อน แต่ถ้ามีสองก็จะมีการเคลื่อนไปหาสอง แล้วถ้ามีจุดอีกอันหนึ่งจะเป็นสาม เป็นสามเหลี่ยม ที่องศาน้อยๆ จนถึงสามเหลี่ยมองศามากขึ้น แล้วจนกลายเป็นสามเหลี่ยมมุม 60 องศา เท่ากันหมด เป็นวงจรเกิดขึ้น แต่ถ้ามุมสามเหลี่ยมแคบมากก็จะเป็นสามเหลี่ยมแคบแบน จนพอมีเหลี่ยมมากขึ้นจะเป็นองศา 60 องศาสมดุล คือหมุนวนครบ แล้วพอมีเพ่ิมเส้าที่สองต่อมาก็เป็น 6 เร่ิมอีกอันเป็น 7 นี่จะมารวมกันเมื่อสามเส้านี้มีครบสองอัน เกิดองศาซ้อน ตัว 7 นี่เป็นความเจริญของเส้าที่สอง ส่วน 4 กับ 5 เป็นความเจริญของเส้าที่สอง ที่จะเจริญสู่ 6 เป็นเส้าที่สอง

 

เลข 8 เป็นความเจริญที่ชนะแน่ แต่เลข 7 ยังลูกผีลูกคน มีเสียบ้างชนะบ้าง ต้องใช้อุตสาหะเต็มที่เลย ใครมาเป็นลูกโพธิรักษ์หนักนะ แต่เรายอมรับ เราสู้ตายเป็นตาย

 

 

เลข 2558 เข้าใจแล้วนะ 2 นี่ยืนยันว่า 55 สองตัว ย้ำอีกว่า 8 นี่ชนะแน่นอน บอกสัญญาณว่ายักษ์มารผีทั้งหลาย ยอมเสียเถอะ ตายฟรีนะ จะหมดเนื้อหมดตัวแพ้หมดรูปนะ อาตมาอธิบายตามธรรมพระพุทธเจ้าเป็นเหตุปัจจัยของรูปนามในมหาจักรวาล ผู้มีปัญญาจะพอเข้าใจ

 

.ฟ้าไทว่า...เกิดจากเหตุปัจจัยที่เราสั่งสมมาเต็มที่ เพราะองค์ประกอบคนทำดีนี่ครบถ้วน ยังไงๆ ก็แพ้อยู่ดีพวกมาน่ะ เสียเวลาต่อสู้

 

พ่อครูว่า..อาตมามีโศลกว่า ถ้าเราทำดียังไม่ได้ดีเพราะทำดียังไม่มากพอ ให้ทำดีไปจนครบเหตุปัจจัย เราพากเพียรมาทั้งรูปธรรมนามธรรม เราลดกิเลสจริง เราเรียนรู้ศึกษากิเลสจริงๆ แม้นามธรรมเราก็รู้ได้ จะเป็นสัตตาโอปปาติกาเราก็เห็นได้ ดับได้แท้จริง

 

จะยกตัวอย่างแค่ตลาดอาริยะ เราเริ่มต้น 2523 ที่สันติอโศก เราจัดอยู่ ห้าปีที่สันติอโศก แล้วเราก็ไปจัดที่ปฐมอโศกด้วยปี 2524 นั้นจัดทั้งสันติอโศกและปฐมอโศก  พอปี 2528(ครั้งที่6) เราก็เลยจัดที่ปฐมอโศกเต็มรูปเลย

 

ปี 2523 มีชื่อปกหนังสือสารอโศกว่า คลื่นแห่งรุ่งอรุณ ปี 2524 ชื่อเอกลักษณ์ไทย/ธรรมยาตรา ปี 2525 ชื่อ ตะวันธรรม /  สันติอโศก'25     ปี 2526 ไม่ได้มีชื่อ ก็จัดที่สันติอโศก พอปี 2527 ก็จัดที่สันติอโศก พอปี 2528 ตั้งชื่อหนังสือว่า วัวแห่งการงาน ก็เลยหยุดจัดตลาดอาริยะที่สันติอโศก ไปจัดที่ปฐมอโศก

 

.ศ.2538 เราตั้งชื่องานว่าปีใหม่อโศก'38    พอปี 2539 เราก็ยังกลับไปใช้ชื่องานวา่ อโศก'39  พอปี 2540 เป็นปีใหม่อโศก'40  แล้วพอปี 2541 ก็ย้ายมาจัดที่ราชธานีอโศก เป็นปีเร่ิมจัดที่ราชธานีอโศก

 

พอปี 2543 ก็มีคำว่าตลาดอาริยะปีใหม่ 43 พอปี 44 ก็เป็นตลาดอาริยะปีใหม่ พอปี 2545 ใช้ชื่อว่าปีใหม่ตลาดอาริยะ จากนั้นก็เรียกปีใหม่ตลาดอาริยะมาเรื่อยๆ จนถึงปี 2554 มีวิกฤติก็เลยจัดตลาดอาริยะไปสัญจร 3 ชุมชน ไปที่ร้อยเอ็ด สีมาอโศก (1-2 ม.ค.) แล้วที่หาดใหญ่(9-10 ม.ค.)ด้วย

 

พอปี 2555 เราก็กลับมาจัดที่บ้านราชฯ จากนั้นก็เร่ิมจัดเลื่อนจากปีใหม่สากลมาเป็นปีใหม่ไทยในปี 2555 เอาวันที่ 13-15 เม.ย. เราเรียกว่าตลาดอาริยะปีใหม่สงกรานต์

 

พอปี 2556 ตั้งชื่อว่าตลาดนำ้อาริยะคืนชีวิตแม่มูน จัดระหว่าง ริมมูนบ้านราชฯกับ ท่าเรือกรมเจ้าท่าฝั่งเมือง

 

พอปี 2557 เราก็จัดควบคู่กันเลย เราจัดที่สะพานผ่านฟ้า แต่ที่ราชธานีอโศกเราก็จัดควบคู่กันเราจึงมีตลาดอาริยะสองแห่งเลย ที่กทม.สะพานผ่านฟ้าและที่ราชธานีอโศก

 

ปี 2558 กำลังจะเริ่มขึ้น ปีนี้เราเลื่อนจากหน้ากรมเจ้าท่าไปท่าอุบลฯเลย เรือจากสองลำเป็นเจ็ดลำเลย มีแพให้เดินไปบนเรือเลย เหมือนเราทำเอาไว้เลย มีแพสองแพเราไม่ได้เตรียมไว้สำหรับงานนี้เลยแต่ว่าเป็นไปเอง Whatever will be will be เป็น Born to be เลย มันจะเป็นของมันเอง เขาจะจัดห้าวัน แต่เราจัดสามวัน ของเขาเลยเป็นวันที่ 12 - 16 แต่ขอเราไปร่วมด้วย จะเป็นอย่างไรไม่รู้ วันนี้เขาก็เปิดงานแล้วทางฝั่งเมือง มันเชื่อมกันสองแห่ง ได้ข่าวว่าทางโน้น ผู้ใหญ่จะมาทางนี้ ตอนสาย เรือเราจะไปรับมาเลย เราจะมีโรงเรียนต่อเรือ อาจตั้งชื่อว่า โรงเรียนนาวาบุญนิยม

 

ปีนี้ อบจ.อุบลฯตั้งชื่อให้ว่า... ท่องเที่ยววิถีชาวอุบล ยลตลาดน้ำอาริยะ นี่เป็นชื่องาน ก็ชวนคนมาล่องเรือชมวิวแม่น้ำมูนด้วย นี่เป็นเรื่องเหตุปัจจัย เพียงแต่เรามีวิสัยทัศน์เรามีความตั้งใจจริง แล้วสำคัญคือเราลดความเห็นแก่ตัว เห็นว่าการเสียสละเป็นสิ่งควรทำเป็นสิ่งประเสริฐ เราเต็มใจมาเสียสละต่อมวลมนุษยชาติ แม้กิเลสเราเหลือเราก็ฝืนมันได้ กิเลสมันจะดึงดันไม่ให้เราทำเราก็สู้มัน ถ้ามีสัมมาทิฏฐิเราก็ทำ เราจึงเจริญพัฒนามาได้ถึงปานนี้ อาตมามั่นใจคือไม่มีถอย และภูมิใจที่มีส่ิงดีงามเกิดขึ้น และพวกเราเป็นคนที่ยังมีธุลีในดวงตาน้อย มาเสียสละลดความเห็นแก่ตัว เห็นเลยว่า จนนี่ดีกว่ารวย มีแต่กิเลสเราที่ต้องสู้ พระพุทธเจ้าว่าให้จิตวิญญาณเราไม่มีเห็นแก่ตัวเลย อัตตาตัวจนเราไม่เหลือเลยนั้นทำได้ ที่อาตมาพูดตอบไปนั้น เพราะว่าอาตมาทำได้ แม้แต่ขั้นสุดท้ายของอาริยะอาตมาก็ประกาศตัวตนแล้ว ว่าหมดตัวตน อาตมาประกาศไปไม่ได้ประกาศเล่น เป็นตถาการี ยถาวาที ทำได้แล้วจึงพูด ไม่ใช่พูดพล่อยตามปฏิภาณปัญญาเท่านั้น อาตมายืนยันว่า เราเชื้อเชิญให้คนพิสูจน์ เป็นของสูงที่ให้คนมาพิสูจน์ได้ โอปนยิโก ที่ต้องเอื้อมมาให้ตนได้

 

ใครทำได้ก็เชื้อเชิญให้คนมาพิสูจน์ได้ เราก็พยายามทำจนได้จนเป็น พระพุทธเจ้าว่า ตราบใดมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตราบนั้นโลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมได้มรรคได้ผลแน่นอน

 

อาตมาพาออกมา เกือบ 45 ปีแล้ว พระพุทธเจ้าทำงาน 45 ปีก็ปรินิพพานแล้วแต่อาตมาจะต้องทำงานไปกี่อสงไขย์กัปป์ ก็ไม่ท้อ

 

.ฟ้าไทว่า...พระโพธิสัตว์จะรู้ไหมว่าเราทำมากี่อสงไขย

พ่อครูว่า..ถ้าภูมิถึงจะรู้ แต่ว่า ตอนนี้ผมไม่รู้ได้ ก็รู้เท่าที่รู้ ผมคำนวณยังไม่ได้ประมาณไม่ได้ กำหนดเอาตามสังขยาเลข ไม่ได้ ผมก็รู้แค่ว่าปางแปดก็เร่ิมรู้แต่ปางเก้านี่รู้ได้แน่ พระพุทธเจ้าท่านรู้ นี่คือสัจจะที่อาตมาพูดตรงๆ อย่างไม่บาป อาตมาไม่เอาบาป พระพุทธเจ้าว่าอกุศลหรือบาปแม้น้อยอย่าทำ ทำแล้วเป็นของเราไปตลอดกาลนาน สิ่งที่เราได้ทำเป็นยุคสมัย ขออภัยที่ต้องพูดอวดตัวตน

 

งานที่อาตมาทำในปาง 7 อาตมาต้องมากอบกู้ อาตมารู้ว่าอาตมาเป็นสยังอภิญญาผู้มาประกาศอันนี้ แต่อาตมารู้ว่าไม่ถึงวาระก็ไม่กล้าพูด แต่มันนานมาแล้ว ผู้มีปฏิภาณก็เข้าใจได้ ตามบริบท แต่คนไม่เชื่อก็หาว่าอวดตัว มาถึงวันนี้อาตมาขอย้ำ ว่าในทิฏฐิ 10 ข้อที่10 ที่ว่า สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)  มาถึงกาละนี้เหตุปัจจัยครบพร้อมแล้ว ตั้งแต่ พศ.2514 ไปบรรยายที่วัดมหาธาตุ ว่า อาตมาจะบรรยายสัจธรรมแล้วให้อาตมาตายภายใน 7 วันก็ได้ อาตมาจึงประมาณค่อยเผยเปิดตัวทำอะไรมาเรื่อยๆ จนถึงวันนี้วินาทีนี้ก็เปิดชัดเจนว่า อาตมาคือ อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ ผู้นั้น เพราะจริงๆแล้วมันไม่มีผู้อื่นที่เป็นตัวตนเต็มตัว แต่ก็ค่อยๆเผย แม้แต่ในหลวงก็เป็นแต่อย่าเปรียบในหลวงกับอาตมา เพราะต้องทำหน้าที่ต่างกัน ท่านทำหน้าที่ทางรูปธรรม อาตมาทำหน้าที่ในด้านนามธรรม ทำงานไปก็ต้องเกิดคลื่น แม้คลื่นในใจก็เป็นบาป

 

ถึงวาระอาตมาก็พูดสู่ฟัง อาตมาได้พิสูจน์มาแล้ว แม้สัมมาทิฏฐิ 10

เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา)  ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา).

 

1.        ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง)

2.       ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง)

3.        สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง)

4.        ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่   

(อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก) 

5.        โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ

6.        โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ 

กรรมนี่และคือ God ซึ่งพิสูจน์ได้ แล้วเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า เร่ิมตั้งแต่อรหันต์เลยคือผู้เป็นพระเจ้า แต่เริ่มเป็นลูกพระพุทธเจ้าเป็น DNA ของพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นอรหันต์ก็เป็นDNA พระเจ้าเต็มรูป ยิ่งเป็นโพธิสัตว์ก็ยิ่งเป็นเพิ่มขึ้น จนเต็มรูปเป็นพระพุทธเจ้า  ถ้าจะเรียกว่า พระบุตรคือมนุษย์ ก็คือพระพุทธเจ้านั่นแหละที่เป็นทั้งพระบุตรและพระเจ้าด้วย

 

_พระพุทธเจ้าตอบพระกัจจายตโคตรว่า พระไตรปิฎกล. 16 ข. (43) พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมี  1 ความไม่มี  1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความมีในโลก ย่อมไม่มี

 

คำถามคือปัญญาอันชอบคือเจโตปริยญาณ 16 หรือไม่?

ตอบ...ใช่ จริงๆแล้ว เจโตปริยญาณ 16 เป็นส่วนหนึ่งของญาณปัญญาที่เป็นมาตรวัดการปฏิบัติ

คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) .

รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆในจิตอาริยของตน(ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์.

            1. สราคจิต  (จิตมีราคะ)

            2. วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ)

            3. สโทสจิต  (จิตมีโทสะ)

            4. วี ตโทสจิต  (จิตไม่มีโทสะ)

            5. สโมหจิต  (จิตมีโมหะ)

            6. วีตโมหจิต  (จิตไม่มีโมหะ)

พอทำลดกิเลสได้ใหม่ๆ ยังเคร่งคุมอยู่ เหมือนหัดรถจักรยานใหม่ๆ  แล้วจะแยกจริตกันได้สองแบบ

            7. สังขิตฺตํจิตตํ (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่ เป็นก้อน ตีไม่แตกอ่านไม่ค่อยออก) 

            8. วิกขิตฺตํจิตตํ  (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด )

            09. มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น) 

            10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น)

            11. สอุตตรจิต          (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)

            12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า)

            13. สมาหิตจิต         (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)

            14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)

            15. วิมุตตจิต            (จิตหลุดพ้น)

            16. อวิมุตตจิต          (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง)

                                                                                    (พตปฎ. เล่ม 9   ข้อ 135)

 

.ฟ้าไทว่า..​คำว่าอวิมุติคืออะไรคือตัวค้างคามีเศษหรือไม่


พ่อครูว่า..ใช่ คือตรวจด้วยอรูปฌาน อากาศเป็นความว่างโล่ง ส่วนวิญญานัญจาฯคือตัวรู้ อากิญจัญญาคือมีนิดหนึ่งน้อยหนึ่งเหลืออยู่ไหม มีธุลีละอองไหม? (อากิญจัญฯคือรูป ส่วนเนวสัญญาฯคือนาม) ต้องตรวจอย่าง มีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโกลา (แสงสว่าง) ไม่ใช่ไปดับความรับรู้ดับสัญญาไปหมด

 

สังโยชน์ มานะ นั้นท่านหมดแล้ว ก็ตรวจ อุทธัจจะ ว่ายังมีเหลืออีกไหม?ท่านไม่ถือตัวแล้วท่านก็ตรวจดู ว่ามีส่วนเหลือไหม?  ถ้าท่านมีก็ยอมรับว่ามี เพราะท่านหมดมานะแล้ว แล้วท่านจะไม่ถือตัวถือดีอะไร อย่าง อ.แสง จันทร์งามมาถามอาตมา อาตมาก็พิจารณาแล้ว ว่าควรบอกท่านคงเอาไปใช้ประโยชน์ อาตมาก็ไม่บอกใครพร่ำเพรื่อ ก็เพ่ิงมาเปิดเมื่องานพุทธาฯ ว่าอาตมาเป็นอรหันต์ กว่าจะเปิดเผยก็นานหลายสิบปี ซึ่งอาตมาไม่ได้อึดอัดอะไรนะที่ไม่ได้บอก คือถ้าคนมีกิเลสมีแล้วต้องอยากบอก ก็อึดอัด แต่อาตมาไม่ได้อยากบอก อยากบอกก็ไม่มี ไม่อยากบอกก็ไม่มี ถึงวาระควรบอกก็บอก ที่บอกไปในพุทธาภิเษกฯ อาตมาก็ไม่ได้นึกถึง 2558 แต่เห็นว่ากาละควรเปิดเผย เป็นอัตโนมัตินะ แล้วบอกไปก็เจอว่ามีตัวเลข 2558 อาตมาไม่ได้เรียนรู้ตัวเลขอย่างสู่แดนธรรมนะ แต่ตัวเลขที่อาตมาเรียนรู้มานี่ละเอียดกว่านะ

 

พอประกาศก็สบายใจ โล่ง สบม.ทมด.ปกต.หห.จจ.

 

.ฟ้าไทว่า...การประกาศพ่อครูก็ว่า บริษัทนี้รับได้

พ่อครูว่า...มีพวกคุณรับรองไง ถ้าประกาศโดดๆก็ไม่ได้ ทำมา 45 ปีมีผลงานปรากฏเป็นสิ่งยืนยันให้ยอมรับได้ อาตมาก็ได้นำเสนอขยายอธิบายได้ นอกจากเขามีกิเลสมากจะต้าน แต่ถ้าคนกิเลสไม่มากก็ไม่มีปัญหาหรอก

 

ที่ถามว่า ความเกิดในโลก (โลกสมุทัย) อันนี้เมื่อรู้ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงท่านก็สรุปว่า นัตถิโลเก ย่อมไม่มีในโลกย่อมไม่มี (นโหติ) คือเมื่อรู้โลกสมุทัย ถ้าผู้ใดทำของตนเองให้หมดกิเลสแล้วเราก็สามารถรู้อัตถิโลเก ทำโลกแห่งความเป็นสัตว์ของเราให้หมดชีวะ ไม่มีพลังชีวิตของสัตว์ของกิเลส มันตายสิ้นเกลี้ยงแล้วเราก็อ่านแล้วอ่านอีก เดี๋ยวนี้มันไม่เกิด แม้จะมาแรงหนักกว่าเก่าก็ไม่เกิด ญาณปัญญาที่รู้ เห็นความเกิดความดับ ของตัวโทษภัยมันไม่เกิดจริง มีแต่จิตว่างจิตดีจิตกุศลมีคุณค่าเกิด เราต้องมีปัญญาญาณอ่านรู้ แยกออก แต่เราไม่ได้หนีจากโลกที่กระทบเราแรงอย่างไรเราก็ไม่เกิดกิเลส มี (ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ) ถูกกระแทกด้วยโลกธรรม 8 เราก็ไม่เกิดกิเลส อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

เหมือนเราไปเดินในน้ำที่มีปลิง เราก็เอายาหม่องทาขา พอปลิงมาแตะขาเราก็ถูกยาหม่องผลอยๆเองโดยไม่ต้องทำอะไร นั่นคือพลังอุตตระ พลังธรรมะ มีฤทธิ์ของมันเองเลย ไม่ต้องทำอะไร?

 

เราก็เห็นว่าเขามีกิเลสอยู่ เราก็เลยเป็นพระมาลัยโปรดสัตว์ และเราก็คือคนไม่มี แต่ถ้าคุณยังไม่มีมรรคผลของการดับโลก ก็มี นัตถิทินนัง นัตถิยิตถัง นัตถิหุตตัง ไม่มีผลของการปฏิบัติธรรม ก็เป็นคนไม่มี (นโหติ) ไม่มีผลนิพพาน แต่ถ้าผู้ทำให้มีผล เป็นอัตถิโลกนะ ทำเกิดผลบรรลุธรรมได้ จนหมดเลยเป็นโลกนิโรธ ก็เป็นผู้ ไม่มีโลก (นโหติ) เป็นนัตถิโลเก ไม่มีนิพพาน ส่วนผู้มีนิพพานคือ อัตถิโลเก ก็เป็นผู้ไม่มี นโหติ  คนก็อาศัยสองสิ่งคือความมีและความไม่มีในโลก ในพระไตรฯล.16 ข.43

 

“พระพุทธเจ้าข้า  ที่เรียกว่า  สัมมาทิฐิ  สัมมาทิฐิ  ดังนี้   ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ จึงจะชื่อว่าสัมมาทิฐิ” ฯ

[43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า “ดูกรกัจจานะ  โลกนี้โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง  คือ  ความมี1   ความไม่มี1   

ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก (โลกสมุทยัง) ด้วย-ปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก  ย่อมไม่มี

เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก (โลกนิโรธ) ด้วย- . ปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว  ความมีในโลก  ย่อมไม่มี” (โลเกอัตถิตา  น  โหติ)

โลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วยอุบายอุปาทานและอภินิเวส แต่พระอริยสาวกย่อมไม่เข้าถึง (น  อุเปติ)  ไม่ถือมั่น (น อุปาทิยติ)  ไม่ตั้งไว้ (นาธิฏฐาติ) ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัย  อันเป็นที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อัตตาของเรา (นาธิฏฐาติ  อัตตา  เมติ) ดังนี้

ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่า ทุกข์นั่นแหละ  เมื่อบังเกิดขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น  ทุกข์เมื่อดับ ย่อมดับ  พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย  ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล  กัจจานะ จึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ ฯ 

(กัจจานโคตตสูตร  ล.16  ข.43)

 

 

มีคำถามว่า ขอให้พ่อครูยกตัวอย่างธรรมะโดยส่วนสองให้ฟัง และอีกคนว่า ก็ให้ยกตัวอย่างธรรมะสองรวามเป็นหนึ่งรวมลงที่เวทนา

 

พ่อครูว่า... อันที่ 1 เขาบอกว่า เวทนาอาศัยผัสสะเป็นตัวปัจจัย แล้วเกิดวิญญาณ ในวิญญาณ มี เวทนา สัญญา สังขาร ในวิญญาณ ตัวใช้กำหนดคือสัญญา ก็เอาสัญญา ไปอ่านวิจัย ว่าอารมณ์ความรู้สึกเกิดจากการกระทบแล้วมี จิตที่มีอะไรอยู่ในนั้นเป็นจิตในจิต เช่นเห็นฟักข้าวนี่เราอยากไหม? จะสัมผัสก็สัมผัสแต่เราอ่านความอยาก มันอยากแล้วเราไม่ให้มันมันจะยิ่งเห็นชัด เราอ่านเข้าใจแล้วว่าไม่กินมันก็ไม่ตาย ดีไม่ดีอย่างอื่นดีกว่าอีก

 

.ฟ้าไทว่า....มีคนบอกว่า อยากกินอะไรก็กินให้เข็ดเลยผมว่าไม่น่าจะถูก

พ่อครูว่า...ไม่ถูก เราต้องอ่านให้เห็นกิเลส ที่มันไม่มีตัวจริงหรอก มันอยู่ที่ใจคุณเป็นผีหลอกเป็นอาคันตุกะมายึดใจเรา ไม่มีจริง ถ้าคุณทำให้เกิดฤทธ์แรงว่างจากอาการนี้เลยทันที มันก็ว่างโล่งเลย ไม่ต้องไปรับใช้มัน เป็นทาสมันต่อไป คนเข้าใจแล้ว กิเลสไม่มี คุณเอาไว้นั่นมันคุณโง่ ก็คุณจะโง่ไปทำไม? (ส.ฟ้าไทว่ามันห้ามความโง่ไม่ได้ครับ ก็ต้องพยายามทำ) มันถึงยากที่เห็นไตรลักษณ์  มันไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวเราโง่พาเราทุกข์อีก

 

.ฟ้าไทว่า... บางอย่างเราก็ทำได้ แต่ส่ิงที่เราต้องสู้ก็ต้องมี ทำได้แต่บางทีมันก็วนมาอีก ก็ต้องพยายามอยู่

 

พ่อครูว่า..ที่เรียกว่าธรรมะสอง ก็มีเวทนากับผัสสะเป็นปัจจัย หากไม่มีผัสสะ เวทนาไม่เกิด วิญญาณไม่เกิด เม่ีอมีผัสสมันก็เกิด เป็นเวทนา  3 สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์  ความว่าง แบบพักยกชั่วคราวมันเบื่อแล้วก็คือเคหสิตอุเบกขา จนกว่าคุณจะดับชาติจนไม่เกิดอีก เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขาที่ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

ผัสสะอยู่ เรารู้ความจริงตามความเป็นจริง นี่กระทบสีแดง ของฟักข้าวนี่ แต่ก่อนเราติดมันยั่วยวนอยากได้แต่ตอนนี้ก็กระทบมันสีอย่างเก่า แต่เราไม่เกิดอยากได้เลย พระพุทธเจ้าให้พิสูจน์ทั้ง 3 กาละ อดีต ปัจจุบัน อนาคต อย่างละ 36 เวทนามันก็ยืนยันว่าสูญๆๆๆๆ จนตนเองตัดสินได้ว่าอย่างนี้ในอนาคตไม่เกิดกิเลสอีก

 

เราดับส่วนที่ควรดับ เวทนาก็เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา จิตเราไม่แกว่งเลย แม้ผัสสะ แต่ก่อนผัสสะมากิเลสก็เกิด ไม่ผัสสะกิเลสไม่เกิด แต่ว่าตอนนี้ผัสสะมากิเลสก็ไม่เกิด ทำให้กิเลสไม่มีได้ คือคุณมีอัตถิโลเก เป็นผู้ไม่มี(นโหติ)  เวทนาก็ยังมี เป็น เนกขัมสิตอุเบกขา ,ตัณหาก็มี เป็นวิภวตัณหา, อุปาทานก็กลายเป็นสมาทาน ,ภพก็เป็นวิภวภพ, เราเหนือธรรมชาติ เป็นชาติอาริยชนไม่ใช่ชาติปุถุชน เรายังมีส่ิงที่มีอยู่แต่เราทำให้ส่ิงที่ไม่ให้มีไม่มีได้ แต่เราก็ยังมีอยู่

 

คำว่าธรรมะสองนี้ ตั้งแต่ วิญญาณคู่กับนามรูป, นามรูปกับผัสสะ,ก็เกิดอายตนะ หากไม่มีผัสสะนามก็อยู่กับนาม รูปอยู่กับรูป ต้องมีผัสสะจึงเกิดวิญญาณ

 

อันใดที่ไม่ประชุมลงในเวทนาแล้ว ก็เรียนรู้ในเวทนานั้นก็จะบรรลุผล แต่ถ้าไม่เรียนรู้เวทนาในเวทนาก็จะไม่มีที่เรียน แต่ถ้าคุณเรียนในเวทนา 108 นี้ ถ้าไม่เรียนเวทนาก็ไม่ได้เรียน ไปนั่งหลับตาดับมันสุญโญ

 

_พ่อท่านเคยพูดว่า ผู้ถึงธรรมจะ แต่ทำไมลูกหลายคนของพ่อท่านถึงทำผิดศีลข้อ 2 อยู่บ่อยๆถ้าได้รับผิดชอบเรื่องเงิน มันทำให้นักปฏิบัติธรรมหวั่นไหวได้จริงหรือ?

ตอบ...จริง ถ้า 1 ล้านไม่หวั่นไหว ก็ 10 ล้านก็สู้ได้แต่ถ้า 100 ล้านหวั่นไหว แล้วพันบ้านหมื่นล้านแสนล้านล่ะ ถ้าไม่ได้คุณสมบัติถึงอสังหิรัง อสังกุปปังก็หวั่นไหว สู้แรงโลกีย์ไม่ได้ไม่ว่าจะโลกธรรม

 

_การที่คนได้อยู่ในอโศกบ้าง 5 ปี 10 ปีแต่มีวิบากต้องออกไปหาเงินหาสามี หาภรรยา ท่านเหล่านี้ไม่เต็มรอบไม่ถึงรอบใช่ไหม?

ตอบ...ใช่ แล้วรอบมันหาเก็บได้ที่ไหน อย่ามาอ้างว่าไม่ถึงรอบ รอบต้องทำเอง หาซื้อไม่ได้ที่ไหน แต่ที่ไปนี่เป็นรอบซวย ไปหาความซวย คุณพอมีปฏิภาณรู้ดี สู้มันได้ดี เชื่อไหม?กิเลสตายคุณไม่ตาย แต่ถ้าไม่พ้นทุกข์มันก็ไม่ตายตัดได้แค่ชั่วคราว

 

_บางคนตั้งใจมักน้อยสันโดษตั้งใจจนแต่ว่าพอทำไปกลับรวยขึ้นไม่รู้จักพอ

ตอบ...ต้องตัดกรอบให้ตนเองรู้จัดพอ การกินวันละไม่มีมื้อก็ให้สู้ตายกินวันละสามมื้อ แต่มาให้สองมื้อ จนเหลือมื้อเดียว จนสองวันมื้อก็ลองได้แต่อย่าเก่งกว่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าให้มื้อเดียวต่อวัน

 

_ข้อสอบปลุกเสกฯ ถามว่า ระหว่างความมีกับความไม่มีในโลก ผู้มีปัญญาอันชอบจะเกิดลักษณะใด ?

 

. เห็นความมีเป็นหลัก                               ข. เห็นความไม่มีเป็นหลัก

. เห็นทั้งความมีและความไม่มีพอ ๆ กัน            ง. ไม่เห็นทั้งความมีและความไม่มี

พ่อครูว่า... ถ้าเอาความไม่มี เป็นหลักนี่ มันมีความไม่มีอยู่หลายตัว นัตถิโลเก นโหติ  ความไม่มี มีมากกว่า

 

_ชาวอโศกมีอยู่ที่ไหนบ้าง?

ตอบ...อยู่ที่ในมนุษย์ชมพูทวีป แล้วต้องทำให้ถึงมนุษย์อุตรกุรุปทวีปใน มนุษย์ชมพูทวีป ที่นั่นคือชาวอโศก

 

เอวัง....


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2563 ( 15:10:13 )

580413

รายละเอียด

580413_พ่อครูเทศน์เปิดงานตลาดน้ำอาริยะฯปี 2558 ที่ ริมมูน ราชธานีอโศก

พ่อครูว่า...ณ บัดนี้ก็เป็นวาระของงานตลาดอาริยะครั้งที่ 36 เราทำตลาดอาริยะย่อยๆอีก บางปีพร้อมกันหลายที่ด้วย หรือที่ไม่ได้นับย่อยอีก มันก็กว่า 40 ครั้งแล้ว ถ้าจะว่าไป การพาณิชย์ซื้อขาย ถ้าสังคมใดที่มีการซื้อขายอย่างทวนกระแสสังคมปุถุชน ทวนกระแสทุนนิยม ที่เราเรียกว่าบุญนิยม ทวนกระแสอย่างไร คือเป็นการซื้อขายที่ผู้ขาย พยายามขายให้ขาดทุน การค้าขายมีอยู่ 4 ระดับ

 

ระดัยที่ 1 การค้าขายต่ำกว่าราคาตลาด เพราะตลาดพยายามเพ่ิมราคาสินค้าให้สูงเท่าที่เขาจะทำได้เพื่อให้ได้เปรียบ เป็นเรื่องโลภสามัญธรรมดา แต่ผู้ที่ลดโลภ ตั้งใจเสียสละให้แก่ผู้อื่น คนเช่นนี้จะมาทำทวนกระแส ราคาตลาดเขาเฉลี่ยเท่าไหร่? เราไม่เอาแบบลัทธิขายตรงที่จะเอาเปรียบให้ได้มากที่สุด ทำให้สังคมไปไม่รอด สรุปคือขั้นที่ 1 นี้แย่ที่สุดแต่ก็ได้พยายามแล้ว ใครละได้มากเท่าไหร่คนนั้นเจริญ ไม่ใช่ว่าให้ได้ราคาสูงเท่าไหร่จะดี เราทำให้เท่าทุนได้ก็ดีเป็นบุญนิยมระดับที่ 2

 

การคิดต้นทุนนั้น คิดตามหลักเศรษฐศาสตร์ บวกค่าโสหุ้ย ต่างๆ แม้แค่คิดค่าตัวค่าแรงงาน ก็บวกไปด้วย เมื่อบวกไปหมดแล้ว เรามาขายก็ต้องขายให้ต่ำกวาทุน ถ้าเท่าทุนก็คือเจ๊าไม่มีบาปไม่มีบุญอะไร ก็ยังดี นี่เป็นขั้นที่ 2 คือเท่าทุน และบุญนิยมระดับที่ 3 คือต้องทำให้ต่ำกว่าราคาตลาดนี่คือขั้นของตลาดอาริยะ

 

ของแลกของ เราก็ไม่ใช่ของแลกของ แต่เป็นของแลกเงิน เราก็พยายามให้ถูกที่สุด เช่นเราขายอาหาร ที่จริงก็น่าจะแจกฟรี แต่เราขายจานละบาท เอาแค่บาทเดียวก็ต่ำสุดแล้ว เพราะเดี๋ยวนี้ตลาดชั้นสูงเขาชามละ 50 บาทแล้ว เราก็เข้าใจการกำหนดหมายว่า การพาณิชย์บุญนิยมมี 4 ระดับ เราจะทำระดับ 3 ต่ำกว่าราคาทุนได้เท่าไหร่ก็คือตลาดอาริยะ ใครราคาต่ำได้มากที่สุดเท่าไหร่ก็คือเจตนารมย์การสร้างตลาดอาริยะ เช่นว่าเราขายตลาดอาริยะ จบงาน ไม่เอากลับบ้านก็แจกเลยได้ สุดท้ายหากขายไม่หมด ก็เป็นการแจกไม่ใช่การค้าขาย นี่คือแนวคิดบุญนิยม

 

ตลาดเราเปิดมา 36 ปี ถ้าเราทำตลาดอาริยะได้จริง ราคาตลาดจะลดซับซ้อนลงไปอีกหลายชั้น จะได้มากเท่าใดก็อยู่ที่ส่วนรวมของตลาดโลก ตลาดสังคมจะทำราคาลดได้เฉลี่ยเท่าไหร่ ถ้าราคาตลาดกลางลดได้เท่าไหร่นั้นคือความสำเร็จของพาณิชย์บุญนิยม มีดร.เศรษฐศาสตร์มาก็เอาไปแพร่ให้เกิดผลต่อไป

 

เราเอาหลักเกณฑ์เศรษฐกิจพอเพียง ต่อมาก็เป็นแบบคนจน ที่ต้องมีปัญญารู้ว่าแบบคนจนที่ต้องมาเสียสละไม่กักตุน คนรวยนี่เอาเปรียบให้มากกักตุนให้เก่ง แล้วจะรวย เก่งฉลาดซับซ้อนเอาเปรียบสูงๆกักตุนสะสมไม่ยอมแจกจ่ายก็กอบกองไปเรื่อยๆ แต่คนที่เจตนาไม่สะสมกอบโกยไม่เอาเปรียบแล้วหมุนเวียนให้เราไม่ขาดตอนเราก็พยายามทำให้ได้อย่างนั้น แต่ลัทธิทุนนิยมไม่ใช่

 

ส่ิงเหล่านี้ถ้าคนไม่เห็นไม่เข้าใจไม่รู้โทษภัย แล้วโลภเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวก็ไม่หยุด แต่ผู้มีน้ำใจเข้าใจก็พยายามมาลดกิเลสตนเองแล้วพยายามมาใช้วิธีพระพุทธเจ้าหรือในหลวงของเรา มาทำแบบเศรษฐกิจพอเพียงหรือแบบคนจน หรือ Our loss is Our gain ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เราสามารถขาดทุนได้นี่แหละคือกำไรของเรา เราเสียนี่แหละเราได้ ไม่ใช่เรื่องหลอกลวงเหลวไหล แต่เป็นกุศลวิบากแท้จริง เป็นอาริยทรัพย์เป็นปรมัตถธรรม ผู้เห็นจริงจะมาปฏิบัติตาม ผู้ไม่เห็นก็ไม่มา เขาเข้าใจไม่ได้ก็แล้วไป

 

ผู้เห็นจริงก็มาช่วยกันทำ เราทำแล้วเราพึ่งตนอยู่ได้ เราทำตลาดอาริยะเรามีแนวคิดเช่นนี้ ปีนี้ปีที่ 36 ปีนี้เราได้รับความร่วมมือจากจังหวัด เขาทำป้ายโฆษณาให้เลย ปีนี้อบอุ่นใจมาก ในระดับ อบจ. จังหวัดจัดให้เลย เป็นนิมิตหมายที่ดีของประเทศชาติ เป็นนิมิตวิเศษย่ิง

 

อาตมาก็สรุปว่า...ผู้มางานนี้อาตมาได้ยินเสียงรถมาตั้งแต่ตีสี่ ตีห้า ปีนี้เราจัดที่จอดรถไว้เยอะ ยินดีต้อนรับเต็มที่เลย จะมาจากจังหวัดไหนก็เชิญ ยินดีต้อนรับทุกคน ก็พยายามดูใจตน แม้เราจะมาซื้อของถูกก็พยายามดูใจตนเอง ว่าอย่าให้โลภมาก ให้เผื่อแผ่แก่คนอื่น มีใจกว้างไปตามลำดับ อาตมาเห็นชัดเจนว่าพวกเราอดทน รอคอยให้ได้ส่ิงที่เราประสงค์ก็ควรจะเอาจะทำ ไม่มีของมอมเมาเป็นพิษ มีสิ่งที่มีคุณค่าประโยชน์เผื่อแผ่กัน โดยเฉพาะอาหาร เราทำอย่างดี มีความปลอดภัยมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

 

ปีนี้เราได้รับความร่วมมือจากทางจังหวัดให้ไปจัดตลาดร่วมด้วยที่ฝั่งเมืองก็ขอขอบคุณอย่างยิ่ง

 

ณ บัดนี้เวลา 08.00 น.เป็นเวลาเปิดตลาดอาริยะได้ ณ บัดนี้

 

ต่อจากนี้อาตมาจะเทศน์อีก 10 นาที.... งานที่เราทำส่วนมาก ก็คืออาชีพ หรืออาชีวะ พระพุทธเจ้าท่านแบ่งเป็น 5 อย่าง ที่ถือว่าเป็นบาป เป็นความเสียหาย

 

1.กุหนา 2.ลปนา 3.เนมิตกตา 4.นิเปสิกตา 5.ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา 5 หลักนี้คือไม่พ้นมิจฉาชีพทั้งสิ้น ข้อที่ 5 คือยังไม่แจกฟรี แต่ผู้ที่ ทำงานฟรี แรงงาน ความคิดให้ฟรี ชีวิตนี้ทำงานฟรีแก่โลก ผู้นั้นพ้นมิจฉาอาชีวะ

 

คนฟังเช่นนี้อาจคิดว่าคนทำงานฟรี ไม่มีหรอกในโลกแต่ถึงบัดนี้ มีหมู่มวลชุมชนที่มีคนทำงานฟรีตลอดชีวิต เมื่อเข้ามาในเขตนี้ทำงานฟรี ส่วนออกไปข้างนอกก็แล้วแต่ แต่บางคนทำงานข้างนอกได้มาก็เอามาให้ภายในก็มีซับซ้อน คนทำงานฟรีจะอยู่ในระบบสาธารณโภคี

 

อาชีพ 5 นี้สูงสุดคือทำงานฟรี อยู่ในระบบบุญนิยมสาธารณโภคี ฝากชีวิตไว้ได้เลย เกิด แก่ เจ็บ ตายอยู่ในสังคมนี้ได้เลย พวกคอมมิวนิสต์ก็พยายามทำเฉลี่ยให้ทั่วกัน แต่เขาทำไม่สำเร็จเพราะเขาไม่ได้ล้างกิเลส ไม่มีหลักทฤษฎีจัดการล้างกิเลส ของพุทธหลักการเดียวกับ คอมมิวนิสต์ หรือประชาธิปไตย เจตนาเฉลี่ยแจกจ่ายทรัพยากร แต่ของพุทธมีการล้างความเห็นแก่ตัวได้จริง

 

พ้นลาเภนลาภัง นิชิงคิงสนตา คือทำงานไม่เอาลาภแลกลาภ ไม่รับเลยแม้รูปธรรม นามธรรม เราอาศัยกินใช้อยู่กับส่วนกลาง เป็นระบบใหม่ของโลกเป็นสาธารณโภคี เราทำได้หลายสังคมก็จะสานกันเป็นเครือแห สานกันเป็น pyramidal web ถ้าถึงสาธารณโภคีจะเป็นส่วนกลางที่ช่วยเหลือกัน เรามีระบบส่วนกลางแม้เงินก็เกื้อกันได้คือยืมกันได้ไม่เรียกว่ากู้ เพราะไม่มีดอกเบี้ย ไม่ชักดาบด้วย แล้วเอามาเฉลี่ยใช้กัน ใครลำบากใครสมควรให้ก็ให้ เป็นวิธีสะพัดเศรษฐศาสตร์ของพุทธ

 

อีก 4 ข้อ เมื่อทำงานถึงพ้นมิจฉาชีพได้คืออาริยชน แม้จิตเราจะไม่ถึงอรหัตตผล แต่ถ้าทำได้ในพฤติกรรม ก็เข้าเกณฑ์แล้วเราก็ล้างกิเลสเราให้ได้ทั้งนอกและใน

 

นิปเปสิกตา คือมอบตนในทางผิด คือจิตใจเราไม่อยากได้แล้ว แต่เรายังไปทำงานกับหมู่กลุ่มที่ผิด แม้แต่องค์กรที่เราทำด้วยไม่โกงแต่ก็ยังเอาเปรียบสังคมอยู่ ถ้าเราไม่ไปอยู่ในหมู่กลุ่มที่เอาเปรียบสังคมแล้ว ก็พ้นนิปเปสิกตา

 

เนมิตกตา คือผู้ปฏิบัติตามขั้นตอน คือทำอาชีพสุจริต แล้วก็เร่ิมเสียสละ ให้มากขึ้นๆ จนขาดทุนได้ นี่คือเกณฑ์กลางๆ ยังไม่แน่นอน เป็นฐานที่พึงปฏิบัติ

 

ลปนา คืออาชีพชั่ว ใช้วาจา เชิงชั้นเล่ห์เหลี่ยม ยังอยู่ในขั้นไม่หยาบสูงสุด แต่หยาบสูงสุดคือ กุหนา คือพวกคอรัปชั่นโหดร้ายซับซ้อน หลอกลวงเขา แล้วบอกว่าไม่ได้หลอก เช่นวิธีคิดแบบเล่นหุ้น เหมือนกับไม่ได้หลอกนะ แต่ดูดแรงมาก นี่คือเลวร้าย ทั้งกุหนา ลปนาคือคนชั่วครบแบบ ระบบทุนนิยมทำแบบนี้

 

พวกเราปฏิบัติธรรมตั้งใจเลยไม่เอากุหนา ลปนา แล้วทำเนมิตตกตา ลดกิเลสจนบริสุทธิ์ส่วนตัว จนไม่มอบตนในทางผิด แล้วมาอยู่กับหมู่กลุ่มที่ดี แล้วมาทำงานฟรีได้ แต่ถ้าส่วนตัวยังเอาอยู่มันก็ไม่พ้น ลาเภนลาภัง นิชิคิงสนตา แต่ถ้าเรามีหน้าที่ทำอย่างเดียวให้ผลผลิตรายได้ของเราให้กองกลางจัดการไปเลยเราก็พ้นมิจฉาอาชีวะ

 

นี่คือบทใหม่ของเศรษฐศาสตร์ของโลก ในหลวงเราได้รับรางวัลจากสหประชาชาติแล้ว ประกาศไปทั่วโลกแล้ว ประเทศไทยจึงได้รับการตราไว้ว่า เป็นผู้ทำเศรษฐศาสตร์บทใหม่ของพระพุทธเจ้าโดยในหลวงพาทำ ....​เอวัง


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:26:20 )

580413

รายละเอียด

580413_พ่อครูเทศน์เปิดงานตลาดน้ำอาริยะฯปี 2558 ที่ ริมมูน ราชธานีอโศก

พ่อครูว่า...ณ บัดนี้ก็เป็นวาระของงานตลาดอาริยะครั้งที่ 36 เราทำตลาดอาริยะย่อยๆอีก บางปีพร้อมกันหลายที่ด้วย หรือที่ไม่ได้นับย่อยอีก มันก็กว่า 40 ครั้งแล้ว ถ้าจะว่าไป การพาณิชย์ซื้อขาย ถ้าสังคมใดที่มีการซื้อขายอย่างทวนกระแสสังคมปุถุชน ทวนกระแสทุนนิยม ที่เราเรียกว่าบุญนิยม ทวนกระแสอย่างไร คือเป็นการซื้อขายที่ผู้ขาย พยายามขายให้ขาดทุน การค้าขายมีอยู่ 4 ระดับ

 

ระดัยที่ 1 การค้าขายต่ำกว่าราคาตลาด เพราะตลาดพยายามเพ่ิมราคาสินค้าให้สูงเท่าที่เขาจะทำได้เพื่อให้ได้เปรียบ เป็นเรื่องโลภสามัญธรรมดา แต่ผู้ที่ลดโลภ ตั้งใจเสียสละให้แก่ผู้อื่น คนเช่นนี้จะมาทำทวนกระแส ราคาตลาดเขาเฉลี่ยเท่าไหร่? เราไม่เอาแบบลัทธิขายตรงที่จะเอาเปรียบให้ได้มากที่สุด ทำให้สังคมไปไม่รอด สรุปคือขั้นที่ 1 นี้แย่ที่สุดแต่ก็ได้พยายามแล้ว ใครละได้มากเท่าไหร่คนนั้นเจริญ ไม่ใช่ว่าให้ได้ราคาสูงเท่าไหร่จะดี เราทำให้เท่าทุนได้ก็ดีเป็นบุญนิยมระดับที่ 2

 

การคิดต้นทุนนั้น คิดตามหลักเศรษฐศาสตร์ บวกค่าโสหุ้ย ต่างๆ แม้แค่คิดค่าตัวค่าแรงงาน ก็บวกไปด้วย เมื่อบวกไปหมดแล้ว เรามาขายก็ต้องขายให้ต่ำกวาทุน ถ้าเท่าทุนก็คือเจ๊าไม่มีบาปไม่มีบุญอะไร ก็ยังดี นี่เป็นขั้นที่ 2 คือเท่าทุน และบุญนิยมระดับที่ 3 คือต้องทำให้ต่ำกว่าราคาตลาดนี่คือขั้นของตลาดอาริยะ

 

ของแลกของ เราก็ไม่ใช่ของแลกของ แต่เป็นของแลกเงิน เราก็พยายามให้ถูกที่สุด เช่นเราขายอาหาร ที่จริงก็น่าจะแจกฟรี แต่เราขายจานละบาท เอาแค่บาทเดียวก็ต่ำสุดแล้ว เพราะเดี๋ยวนี้ตลาดชั้นสูงเขาชามละ 50 บาทแล้ว เราก็เข้าใจการกำหนดหมายว่า การพาณิชย์บุญนิยมมี 4 ระดับ เราจะทำระดับ 3 ต่ำกว่าราคาทุนได้เท่าไหร่ก็คือตลาดอาริยะ ใครราคาต่ำได้มากที่สุดเท่าไหร่ก็คือเจตนารมย์การสร้างตลาดอาริยะ เช่นว่าเราขายตลาดอาริยะ จบงาน ไม่เอากลับบ้านก็แจกเลยได้ สุดท้ายหากขายไม่หมด ก็เป็นการแจกไม่ใช่การค้าขาย นี่คือแนวคิดบุญนิยม

 

ตลาดเราเปิดมา 36 ปี ถ้าเราทำตลาดอาริยะได้จริง ราคาตลาดจะลดซับซ้อนลงไปอีกหลายชั้น จะได้มากเท่าใดก็อยู่ที่ส่วนรวมของตลาดโลก ตลาดสังคมจะทำราคาลดได้เฉลี่ยเท่าไหร่ ถ้าราคาตลาดกลางลดได้เท่าไหร่นั้นคือความสำเร็จของพาณิชย์บุญนิยม มีดร.เศรษฐศาสตร์มาก็เอาไปแพร่ให้เกิดผลต่อไป

 

เราเอาหลักเกณฑ์เศรษฐกิจพอเพียง ต่อมาก็เป็นแบบคนจน ที่ต้องมีปัญญารู้ว่าแบบคนจนที่ต้องมาเสียสละไม่กักตุน คนรวยนี่เอาเปรียบให้มากกักตุนให้เก่ง แล้วจะรวย เก่งฉลาดซับซ้อนเอาเปรียบสูงๆกักตุนสะสมไม่ยอมแจกจ่ายก็กอบกองไปเรื่อยๆ แต่คนที่เจตนาไม่สะสมกอบโกยไม่เอาเปรียบแล้วหมุนเวียนให้เราไม่ขาดตอนเราก็พยายามทำให้ได้อย่างนั้น แต่ลัทธิทุนนิยมไม่ใช่

 

ส่ิงเหล่านี้ถ้าคนไม่เห็นไม่เข้าใจไม่รู้โทษภัย แล้วโลภเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวก็ไม่หยุด แต่ผู้มีน้ำใจเข้าใจก็พยายามมาลดกิเลสตนเองแล้วพยายามมาใช้วิธีพระพุทธเจ้าหรือในหลวงของเรา มาทำแบบเศรษฐกิจพอเพียงหรือแบบคนจน หรือ Our loss is Our gain ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เราสามารถขาดทุนได้นี่แหละคือกำไรของเรา เราเสียนี่แหละเราได้ ไม่ใช่เรื่องหลอกลวงเหลวไหล แต่เป็นกุศลวิบากแท้จริง เป็นอาริยทรัพย์เป็นปรมัตถธรรม ผู้เห็นจริงจะมาปฏิบัติตาม ผู้ไม่เห็นก็ไม่มา เขาเข้าใจไม่ได้ก็แล้วไป

 

ผู้เห็นจริงก็มาช่วยกันทำ เราทำแล้วเราพึ่งตนอยู่ได้ เราทำตลาดอาริยะเรามีแนวคิดเช่นนี้ ปีนี้ปีที่ 36 ปีนี้เราได้รับความร่วมมือจากจังหวัด เขาทำป้ายโฆษณาให้เลย ปีนี้อบอุ่นใจมาก ในระดับ อบจ. จังหวัดจัดให้เลย เป็นนิมิตหมายที่ดีของประเทศชาติ เป็นนิมิตวิเศษย่ิง

 

อาตมาก็สรุปว่า...ผู้มางานนี้อาตมาได้ยินเสียงรถมาตั้งแต่ตีสี่ ตีห้า ปีนี้เราจัดที่จอดรถไว้เยอะ ยินดีต้อนรับเต็มที่เลย จะมาจากจังหวัดไหนก็เชิญ ยินดีต้อนรับทุกคน ก็พยายามดูใจตน แม้เราจะมาซื้อของถูกก็พยายามดูใจตนเอง ว่าอย่าให้โลภมาก ให้เผื่อแผ่แก่คนอื่น มีใจกว้างไปตามลำดับ อาตมาเห็นชัดเจนว่าพวกเราอดทน รอคอยให้ได้ส่ิงที่เราประสงค์ก็ควรจะเอาจะทำ ไม่มีของมอมเมาเป็นพิษ มีสิ่งที่มีคุณค่าประโยชน์เผื่อแผ่กัน โดยเฉพาะอาหาร เราทำอย่างดี มีความปลอดภัยมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

 

ปีนี้เราได้รับความร่วมมือจากทางจังหวัดให้ไปจัดตลาดร่วมด้วยที่ฝั่งเมืองก็ขอขอบคุณอย่างยิ่ง

 

ณ บัดนี้เวลา 08.00 น.เป็นเวลาเปิดตลาดอาริยะได้ ณ บัดนี้

 

ต่อจากนี้อาตมาจะเทศน์อีก 10 นาที.... งานที่เราทำส่วนมาก ก็คืออาชีพ หรืออาชีวะ พระพุทธเจ้าท่านแบ่งเป็น 5 อย่าง ที่ถือว่าเป็นบาป เป็นความเสียหาย

 

1.กุหนา 2.ลปนา 3.เนมิตกตา 4.นิเปสิกตา 5.ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา 5 หลักนี้คือไม่พ้นมิจฉาชีพทั้งสิ้น ข้อที่ 5 คือยังไม่แจกฟรี แต่ผู้ที่ ทำงานฟรี แรงงาน ความคิดให้ฟรี ชีวิตนี้ทำงานฟรีแก่โลก ผู้นั้นพ้นมิจฉาอาชีวะ

 

คนฟังเช่นนี้อาจคิดว่าคนทำงานฟรี ไม่มีหรอกในโลกแต่ถึงบัดนี้ มีหมู่มวลชุมชนที่มีคนทำงานฟรีตลอดชีวิต เมื่อเข้ามาในเขตนี้ทำงานฟรี ส่วนออกไปข้างนอกก็แล้วแต่ แต่บางคนทำงานข้างนอกได้มาก็เอามาให้ภายในก็มีซับซ้อน คนทำงานฟรีจะอยู่ในระบบสาธารณโภคี

 

อาชีพ 5 นี้สูงสุดคือทำงานฟรี อยู่ในระบบบุญนิยมสาธารณโภคี ฝากชีวิตไว้ได้เลย เกิด แก่ เจ็บ ตายอยู่ในสังคมนี้ได้เลย พวกคอมมิวนิสต์ก็พยายามทำเฉลี่ยให้ทั่วกัน แต่เขาทำไม่สำเร็จเพราะเขาไม่ได้ล้างกิเลส ไม่มีหลักทฤษฎีจัดการล้างกิเลส ของพุทธหลักการเดียวกับ คอมมิวนิสต์ หรือประชาธิปไตย เจตนาเฉลี่ยแจกจ่ายทรัพยากร แต่ของพุทธมีการล้างความเห็นแก่ตัวได้จริง

 

พ้นลาเภนลาภัง นิชิงคิงสนตา คือทำงานไม่เอาลาภแลกลาภ ไม่รับเลยแม้รูปธรรม นามธรรม เราอาศัยกินใช้อยู่กับส่วนกลาง เป็นระบบใหม่ของโลกเป็นสาธารณโภคี เราทำได้หลายสังคมก็จะสานกันเป็นเครือแห สานกันเป็น pyramidal web ถ้าถึงสาธารณโภคีจะเป็นส่วนกลางที่ช่วยเหลือกัน เรามีระบบส่วนกลางแม้เงินก็เกื้อกันได้คือยืมกันได้ไม่เรียกว่ากู้ เพราะไม่มีดอกเบี้ย ไม่ชักดาบด้วย แล้วเอามาเฉลี่ยใช้กัน ใครลำบากใครสมควรให้ก็ให้ เป็นวิธีสะพัดเศรษฐศาสตร์ของพุทธ

 

อีก 4 ข้อ เมื่อทำงานถึงพ้นมิจฉาชีพได้คืออาริยชน แม้จิตเราจะไม่ถึงอรหัตตผล แต่ถ้าทำได้ในพฤติกรรม ก็เข้าเกณฑ์แล้วเราก็ล้างกิเลสเราให้ได้ทั้งนอกและใน

 

นิปเปสิกตา คือมอบตนในทางผิด คือจิตใจเราไม่อยากได้แล้ว แต่เรายังไปทำงานกับหมู่กลุ่มที่ผิด แม้แต่องค์กรที่เราทำด้วยไม่โกงแต่ก็ยังเอาเปรียบสังคมอยู่ ถ้าเราไม่ไปอยู่ในหมู่กลุ่มที่เอาเปรียบสังคมแล้ว ก็พ้นนิปเปสิกตา

 

เนมิตกตา คือผู้ปฏิบัติตามขั้นตอน คือทำอาชีพสุจริต แล้วก็เร่ิมเสียสละ ให้มากขึ้นๆ จนขาดทุนได้ นี่คือเกณฑ์กลางๆ ยังไม่แน่นอน เป็นฐานที่พึงปฏิบัติ

 

ลปนา คืออาชีพชั่ว ใช้วาจา เชิงชั้นเล่ห์เหลี่ยม ยังอยู่ในขั้นไม่หยาบสูงสุด แต่หยาบสูงสุดคือ กุหนา คือพวกคอรัปชั่นโหดร้ายซับซ้อน หลอกลวงเขา แล้วบอกว่าไม่ได้หลอก เช่นวิธีคิดแบบเล่นหุ้น เหมือนกับไม่ได้หลอกนะ แต่ดูดแรงมาก นี่คือเลวร้าย ทั้งกุหนา ลปนาคือคนชั่วครบแบบ ระบบทุนนิยมทำแบบนี้

 

พวกเราปฏิบัติธรรมตั้งใจเลยไม่เอากุหนา ลปนา แล้วทำเนมิตตกตา ลดกิเลสจนบริสุทธิ์ส่วนตัว จนไม่มอบตนในทางผิด แล้วมาอยู่กับหมู่กลุ่มที่ดี แล้วมาทำงานฟรีได้ แต่ถ้าส่วนตัวยังเอาอยู่มันก็ไม่พ้น ลาเภนลาภัง นิชิคิงสนตา แต่ถ้าเรามีหน้าที่ทำอย่างเดียวให้ผลผลิตรายได้ของเราให้กองกลางจัดการไปเลยเราก็พ้นมิจฉาอาชีวะ

 

นี่คือบทใหม่ของเศรษฐศาสตร์ของโลก ในหลวงเราได้รับรางวัลจากสหประชาชาติแล้ว ประกาศไปทั่วโลกแล้ว ประเทศไทยจึงได้รับการตราไว้ว่า เป็นผู้ทำเศรษฐศาสตร์บทใหม่ของพระพุทธเจ้าโดยในหลวงพาทำ ....​เอวัง


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2563 ( 15:11:29 )

580416

รายละเอียด

580416_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ ผลสำเร็จของตลาดอาริยะ-พุทธศาสนาจะไม่เสื่อมถ้า

พ่อครูว่า วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 16 แรม 13​ค่ำ เดือน 5 มีมะแม วันงานปีใหม่เรา 3 วันเสร็จไปแล้ว ต่างคนต่างบอกตรงกันว่าเหนื่อย มันงานดี แต่ก็ดีอยู่อย่างหนึ่งว่า แม้จะเหนื่อยก็ประสพผลสำเร็จ ต่างคนต่างรู้สึกอย่างนั้น ปีนี้อาตมาก็ว่า เมษายน ก็ร้อนนะ แต่ปีนี้แปลกนะอากาศเย็น ถึงหนาวเลย กลางคืนหนาว กลางวันไม่ร้อนเท่าไหร่ ดีเหมือนกัน เสร็จงานเรียบร้อยสวยงาม ลานจอดรถของเรางามมากเลย แล้วก็มากันดี เสร็จงานอาตมาก็ดูลานจอดรถไม่มีขยะเลย เรียบเกลี้ยง มันมีบ้างเล็กน้อยไม่ถึงตัน แต่ปรากฏว่าเสร็จงานสงกรานต์ที่สีลม ได้ข่าวว่าขยะ 200 ตัน แต่ของบ้านราชฯเรานี่อาตมาว่ามันจะมากกว่าสีลมนะ คนมางาน เพราะสีลมที่ไม่กว้าง แต่ของเราที่กว้างเป็นร้อยๆไร่

 

ผ่านไปมีส่ิงเปรียบเทียบ งานเราเก็บขยะไม่ได้ถึงตัน แต่ที่สีลมขยะ 200 ตัน แล้วงานของเราไม่มีสาดน้ำกันเลย ทั้งที่น้ำเรามีเยอะเลย เราก็เล่นน้ำ เสร็จแล้วที่เราเย็นมากคือเราเย็นใจ สบายใจ งานอย่างนี้ แล้วเกิดผลต่อมนุษยชาติ ซื้อหาข้าวของที่จำเป็นต่อชีวิต แต่งานของเขา ไม่มีสิ่งจำเป็นต่อชีวิต เราพูดเหมือนข่มเขาดูถูกเขา แต่ก็พูดส่ิงจริง ซึ่งคนเขาถูกมอมเมาว่า สิ่งนั้นน่ามีน่าได้น่าเป็น เราก็เป็นคนอย่างเขา แต่เราก็ว่าเรามีชีวิตเป็นสุข เจริญ และก็ยังเป็นชีวิตประเสริฐคืออาริยะ

 

โดยเฉพาะเรายืนอยู่บนฐานของธรรมะ ทางโน้นจะเอาพระไปรดน้ำบ้าง แต่เขาจะรู้สึกอยู่กับธรรมะที่แท้จริง ธรรมะที่แท้จริงคือสังวรกิริยา กายวาจา และจิต เพื่อที่จะละหน่ายคลาย นี่คือประเด็นสำคัญ เขาก็ระวังมารยาทสังคมเช่นกัน ตามความเห็นของเขาและมีเจตนา อย่างพวกเรามีเจตนาลดละหน่ายคลาย เจตนาปรับกิริยา กาย วาจา ใจ ให้เป็นอาริยะ ลดละหน่ายคลาย จะเห็นได้ว่าปชช.ที่มาร่วมงานก็สังวรระวังตามที่เราพาทำ

 

ปรากฏว่า มีมิจฉาชีพ ที่มาหากินบ้างก็มีบ้างแต่ก็ดูไม่จัดจ้าน เขาอาจเห็นว่าที่นี่ไม่มีเพชรพลอย แต่งเนื้อแต่งตัวก็เช่นนี้ ก็จริงด้วยที่เราไม่มีสิ่งที่ให้เขามารุกรานตามอาชีพเขา แต่ก็มีบ้างที่มาหลอกลวง ซึ่งน้อย แต่น้อยก็ว่าถ้าเราสัมพันธ์กับทางจังหวัดก็น่าจะบอกไปว่าเราขอตำรวจ มาช่วยบ้าง จะกี่คนก็แล้วแต่ ที่สำคัญก็คือว่า เรานี่ไม่ได้จ่ายเบี้ยเลี้ยง ตำรวจมานี่ถือว่ามาตามหน้าที่ แต่ถ้าไปที่อื่นเขาได้เงินพิเศษนะ ถ้าไปทางนายทุนใหญ่ก็จะได้เบี้ยเลี้ยง แต่เราไม่มีเบี้ยเลี้ยง แต่เราก็ให้หนังสือไปอ่าน น้ำยาซักผ้า อาหาร เป็นต้น เราก็ทำ แต่ก็อาจไม่เป็นสิ่งชื่นใจต่อเขาเหมือนธนบัตร เราก็ไม่อยากจะสร้างค่านิยมเช่นนั้นจึงไม่ทำ

 

เราก็ทำไปกับสังคม คนเขาไม่ชอบใจบ้าง คนเขาเห็นดีเห็นงามบ้างก็ทำไป ที่ได้ความหมายและความรู้เอามากระทำ จนเราทำตัวเราประพฤติแล้วร่วมกับสังคมได้ เราก็ทำตามปัญญาหรือภูมิธรรมเราจากการปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า สัมมาทิฏฐิตามที่เรามั่นใจว่า ถูกต้อง เราก็ได้ทิฏฐิแล้วได้ผลตามทิฏฐินั้น มันก็ออกมา กี่ปีๆ เราก็พัฒนาตนเอง จนกลายเป็นคนกลุ่มหนึ่งของประเทศ

 

ผ่านงานไปแล้วอาตมาก็ยิ่งเห็นผลว่ามีประสิทธิผล ของการเรียนรู้ฝึกฝนแล้วมาช่วยกันทำ ไม่ว่าเด็กผู้ใหญ่ ต่างคนต่างลงแรงกัน น่าชื่มชม อาตมาก็ยิ่งมีกำลังใจจะอยู่ให้ยืนยาว เพื่อพากเพียรนำทฤษฎีเนื้อแท้ เท่าที่อาตมาเห็นว่าดีจริง นำมาเสนอมต่อสังคม ให้พัฒนาก้าวหน้ามีผลดีจริง อาตมาไม่ได้มีความมุ่งร้าย มีแต่หวังดีจริงใจ

 

เพราะศาสนาพุทธทุกวันนี้เสื่อมไปไกลมาก อย่างที่มันเป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็นานปีมาแล้ว ก็คงเห็นว่าแย่ลงทุกปี แสดงถึง พลังงานทางธรรมะที่เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แล้วได้ความรู้จากระแสหลักที่ได้ถ่ายทอดธรรมะสู่สังคมประเทศ เป็นเช่นนี้ตั้งแต่เผ่าเล็กๆ ที่มีความรู้ทางจิตวิญญาณ​สายศรัทธา หัวหน้าเผ่าก็ต้องนำพา มีหมอผี นำพาไป แล้วปชช.ในเผ่าก็เข้าใจตามหัวหน้าเผ่า หมอผี ที่ถ่ายทอดกันมา ยึดถือให้สังคมเป็นเช่นน้ัน เจริญมา จะเรียกว่าศาสนา ลัทธิ หรือเนื้อแท้ธรรมะจะเป็นระดับไหนก็แล้วแต่  จะเป็นศาสนาหรือพลังทางจิตวิญญาณตามหลักเกณฑ์ยึดถือก็พัฒนา เจริญ แล้วเสื่อม อาตมว่าธรรมะของพุทธในไทยเคยเจริญกว่านี้นะ อาตมาว่าเดี๋ยวนี้คนได้พึ่งพาศาสนาตรงที่ทำพิธีกรรม ตายแล้วก็ต้องไปเผา หรือจะนับถือแบบโบราณ แบบจีนก็ได้เอาไปทำแบบฮวงซุ้ย

 

ชาวพุทธไปวัดก็ไม่ได้ไปศึกษาหรือไปเอาอะไรจากพระด้วย แต่ไปใหญ่ ไปทำทาน ไปบริจาค ซึ่งมันกลับตาลปัตกับสัจธรรมที่ควรเป็น ศาสนาไม่ได้อะไรจากเขาเลย ยิ่งคนได้ฐานะลาภ ยศ สรรเสริญ​วัดก็ต้องพึ่งพาคนเหล่านี้ที่จะนำพาวัดไป  นอกจากผู้เห็นใหญ่เป็นโตในประเทศก็จะไปวัด ที่เขารู้สึกว่าวัดเป็นพลังงานลึกลับที่จะทำให้เขาเจริญโลกีย์ สรุปคือไม่เป็นโลกุตระเลย มันเป็นโลกียะที่เสริมซ้อน หนักเข้าก็เป็นไสยศาสตร์ รดน้ำมนต์เจิมอะไรนี่ นอกรีตไปหมด

 

อาตมาว่าศาสนาพุทธนี่ย่ิงใหญ่ เราปฏิบัติมาได้อาริยธรมของพระพุทธเจ้ามาบ้างไม่ได้มากมาย แล้วกลุ่มเล็กนิดเดียว อาตมายืนยันว่าเรามีพลังงานเป็นประโยชน์เสียสละต่อสังคมจริงๆ ยกตัวอย่างทำไมคนมาตลาดอาริยะ ส่วนใหญ่เป็นคนพื้นบ้านคนชนบท แต่ทำไมเขาปฏิบัติตามที่เราขอร้อง เล็กๆน้อยๆก็พยายามทำ จนเกิดผล แค่ประเด็นเดียวคือสะอาดสะอ้าน เหมือนเล็กนะ แต่จิตวิทยาสูง อาตมาว่า คนระดับหลายหมื่นคน อาจถึงแสนคนก็ไม่รู้ ขนาดนี้เราทำงานอยู่ในหมู่บ้านไกลปืนเที่ยง ในเมืองเราก็ไปจัด แล้วในเมืองก็ไม่เป็นจริงจังเท่าที่นี่ ฉาบฉวย แต่ที่นี่เป็นจริงเป็นจัง แต่ไม่เคร่งเครียดนะ เขาก็บันเทิงใจ แม้จะต้องรอนานไม่ต้องมีห้องแอร์เย็น แต่ก็สบายใจกว่าไปปิคนิค มองในเนื้อหาลึกๆแล้ว คุณค่าทางสังคมนี้อาตมาให้คะแนน ใครจะว่าอาตมาหลงก็ได้ อาตมาว่าคุ้ม

 

คนมีเงินก็ไม่มากนะ บางคนก็บอกว่ามีเงินร้อยหนึ่งพันหนึ่ง โอ้โห แบกข้าวของไป หาบไป บางคนเอารถเข็นไป ถามว่าไม่หนักหรือ?...เขาก็หัวเราะชอบใจต่างกับมุมทางโลกที่มอมเมา เปลืองผลาญ หรูหร่าฟู่ฟ่า

 

ก็ขออนุโมทนาพวกเราที่ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ก็ให้เจริญในทิศทางเช่นนี้แหละ อย่างเจตคติมุ่งหมายเช่นนี้ องค์รวมเช่นนี้ ก็พากเพียรทำไปเถอะ อาตมามีกำลังใจ สรุปแล้วเห็นว่าศาสนาพุทธเราต้องพยายาม ใครเห็นว่าอาตมาพาทำนี่ถูกต้องหรือเปล่า? อาตมาก็มั่นใจว่าถูกต้องแล้วเราก็ต้องพัฒนาให้งอกงามเกิดในประเทศไทย เราไม่อ้าขาผวาปีกไปต่างประเทศ เราไม่มีองค์ประกอบพอจะทำได้

 

ถ้าเรามีองค์ประกอบไปได้เราก็ไป เราไม่คิดว่าเราจะไม่ไปช่วย ได้ก็เอา แต่ไม่ได้ก็เอาตามเหตุปัจจัย

 

สรุปว่าพุทธศาสนามาถึง 2558 + 45 ปี = 2603 ปีแล้ว ที่ศาสนาพุทธเกิดมา แล้วเข้ามาเมืองไทย ตั้งแต่พศ.ยังไม่ถึง 1000 ดี ประเทศไทยนี่ไม่ถึงพันปี มาก่อนเกิดประเทศไทยอีก ศาสนาพุทธมาปักลงหยั่งลงแทนที่ศาสนาผีกับศาสนาพราหมณ์ พอถึงวันนี้ศาสนาผีก็ลดลง เหลือศาสนาพราหมณ์ ก็น้อยลง แต่ยังเหลือเชื้อลึกๆทั้งพราหมณ์และผี ส่วนศาสนาที่มาแทนที่คือศาสนาทุนนิยม หรือศาสนาโลกีย์ ซึ่งแรงมากเสื่อมมาก มันเสื่อมเพราะอะไร อาตมาได้พยายามประมวลไว้ว่าความเสื่อมในศาสนาพุทธ ..ถ้าจะไม่เสื่อม ใน สรรค่าสร้างคนหน้า 34 บอกไว้ว่า พุทธศาสนาจะไม่เสื่อมถ้า

1. ถ้าไม่แต่งตั้งบุคคลขึ้นมามีอำนาจจนกลายเป็นรวมศูนย์อำนาจอยู่ที่ตัวบุคคล

แต่ถ้าแต่งตั้งบุคคลมามีอำนาจ แทนที่จะเป็นธรรมะเป็นอำนาจ ถ้ากำหนดเป็นธรรมเป็นใหญ่จะมีองค์ประกอบเคลื่อนไหวไปตามกาล เท่าที่มีเหตุปัจจัยเป็นองค์ประกอบจริง ไม่ว่าที่ไหนเวลาใดก็แล้วแต่ แต่ถ้าไปแต่งตั้งตายตัวแล้ว ยิ่งรวมอำนาจไว้ทั้งประเทศเลย ก็ลบล้างบัญญัติที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ ว่าพระพุทธเจ้าไม่แต่งตั้งใคร พระพุทธเจ้าให้ธรรมะเป็นศาสดา มันค้านแย้งคำสอนของพระพุทธเจ้าบทแรกเลย พระพุทธเจ้ายังอยู่ พระพุทธเจ้าเป็นใหญ่ ทุกคนก็ยอมยกให้ท่านจริงๆ ถ้าจะเลือกตั้งทุกปี พระพุทธเจ้าจะได้ทุกปี ทุก 5 ปี ไม่มีปัญหาเลย เป็นไปโดยธรรม แต่ถ้าพระพุทธเจ้าไม่อยู่แล้วอย่าไปตั้งใครแทน เป็นเรื่องย่ิงใหญ่มาก

 

อย่างพวกเราในอโศก ขณะนี้พวกเรายกให้อาตมา อาตมาก็ต้องระวังอย่างยิ่งไม่ให้เกิดเป็นอำนาจใหญ่ แล้วพวกเราจะเข้าใจว่าไม่แต่งตั้งใครเป็นใหญ่ แต่ยกให้แต่ละองค์ที่เก่งสามารถด้านต่างๆ เหมือนในสมัยพระพุทธเจ้า ตามเอตทัคคะทุกคนก็เข้าใจ แล้วก็ใช้งานอย่างเหมาะสมกับงาน ใช้คนให้เหมาะกับงาน แต่เดี๋ยวนี้เพี้ยนไป ออกนอกรีตศาสนาพุทธเด็ดขาดเลย นี่คือเสื่อมสำเร็จผลแล้ว

2.ธรรมเนียมและพิธีบวชต้องถูกต้องตามธรรมวินัย และต้องบวชเพื่อนิพพาน แต่เดี๋ยวนี้บวชกัน แม้แต่ภาษาก็เพี้ยน นัตถิภันเต อามะภันเตกันไปเหมือนลิเกท่องบท เป็นนกแก้วนกขุนทองไป มันไปไกลมากเลย ถ้าไม่บวชเพื่อนิพพานอย่ามาบวชเลย เป็นการทำลายศาสนา ไปบวชเพื่ออาศัยเรียน บวชเพราะแก่ เพราะไม่อะไรทำ และบวชเล่นบวชหัว บวชเณรบวชพระแสนรูป นี่เอาของดีมาเล่น เพราะได้สวมชุดนี้เป็นธงชัยพระอรหันต์ พ่อแม่ก็ต้องยกมือไหว้ต้องกราบ แม้ในหลวงก็เคารพกราบด้วย เป็นเรื่องย่ิงใหญ่แต่ทุกวันนี้เป็นเรื่องเล่นไปหมด แล้วก็ถือว่าเป็นการส่งเสริมรักษาศาสนาด้วย โดยไม่เข้าใจว่านี่คือการทำลายศาสนา คิดตื้นๆ เอาเด็กเล็กมาบวช บวชหาเงิน สรุปว่าต้องบวชเพื่อนิพพาน หากไม่บวชเพื่อนิพพานอย่ามาบวชเลย บวชแล้วทำลายศาสนา แล้วเขาว่า เป็นไปไม่ได้ แต่อาตมาก็พาทำอยู่ในยุคเดียวกันนี้ก็ยังได้เลย

ไม่มีการบวชเล่นบวชลอง การบวช

 

3. การฟังสวดทบทวนปาฏิโมกข์ต้องฟังกันรู้ความ เอาจริง แล้วผู้มีอาบัติต้องสำนึกจริง ต้องตรวจสอบปาฏิโมกข์ แต่ทุกวันนี้ท่องกันไม่รู้เรื่อง ผู้ท่องก็ท่องให้เร็ว ฟังไม่ทันเลย จบเร็ว เสร็จแล้วก็มีญาติโยมมาแย่งกันบริจาคทาน น้ำหวานเลี้ยง ถือว่าทำคุณอันยิ่งใหญ่ แต่ที่จริงยิ่งใหญ่ เพราะเป็นการตรวจสอบตนเอง แล้วก็เป็นการทบทวนคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ให้ผิดเพี้ยนไป แต่ทุกวันนี้ปาฏิโมกข์ก็เล่นไปเป็นพิธีการไม่รู้เนื้อแท้

 

การยังชีพของภิกษุ สามเณรต้องไม่ผิดศีลผิดวินัย โดยเฉพาะจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ท่านตราธรรมนูญบทนี้เพราะให้เป็นจารีตของศาสนาของท่าน ต้องเว้นขาดจากอะไรบ้าง... นี้คือศีลของเธอประการหนึ่งสำหรับผู้มาเป็นภิกษุ แต่เดี๋ยวนี้ไม่รู้ศีลกันแล้ว รู้แต่วินัย 227 แล้วก็มาเถียงกันว่าวินัยของพระพุทธเจ้ามีแต่ 150 ส่วนอื่นไม่ใช่ ก็เถียงกัน แต่วินัยก็ต้องเอา แล้วต้องมีศีล แต่ทุกวันนี้ ไม่รู้กันแล้ว ศีล 5 ศีล 8 ก็ของฆราวาส ศีล 10 ของเณร แต่ศีลพระนี่ เขารู้ว่า 227 นี่รู้ที่ไหน จุลศีล 26  มัชฌิมศีล 10 มหาศีลอีก 7 ก็ไม่รู้เรื่อง มันหมดแล้วศาสนาพุทธ

 

พระพุทธเจ้าว่าไว้ในมหาศีล ปชช.เขาให้โภชนะที่เขาเลี้ยงไว้แล้ว อาตมาแปลว่า ยังมีหน้าละเมิดศีลอีก ยังประพฤติเดรัจฉานวิชาอีก ก็หลักเกณฑ์จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลนี่คือข้อปฏิบัติเพื่อให้เขาเลี้ยงไว้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่รู้แล้ว แล้วไม่ให้ปชช.รู้ด้วยถ้าขืนปชช.รู้จะคว่ำบาตร เสียดายสิ่งประเสริฐแล้วไม่ช่วยกันบูรณะจะไปไหวหรือ? อาตมาก็พากเพียรต่อไป

 

6.ทรัพยสินส่วนกลางสงฆ์6้องีมีไวยาวจกรณ์จัดการ พระภิกษูและสามเณรต้องไม่มีเงินทองเป็นของส่วนตัว ของพวกเรานี่ชัดแม้สิกขมาตุก็ไม่ต้องใช้เงินไม่มีเงินก็อยู่มาได้ 30 หรือ 40 ปีแล้ว ก็อยู่ต่อไปจนแก่เลยนะ ไม่ต้องร่ำร้องหรอกว่าจะไปจะมา ต้องขึ้นรถรา หรอก เราก็ได้ขึ้น ยิ่งมาถูกอย่างสาธารณโภคี อย่างพระพุทธเจ้าพาทำจะลงตัว ยุคสมัยพระพุทธเจ้าฆราวาสไม่มีสาธารณโภคี เขาไม่ต้องนั่งรถก็ไม่ต้องร่ำร้อง แต่ยุคโน้นเดินไปเขาก็ไม่ร่ำร้อง เครื่องใช้ไม้สอยก็ไม่ร่ำร้อง แต่ยุคนี้ไม่ต้องร้องเลย ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วเขาจะเลี้ยงไว้เลย ขนาดเขาไม่เข้าใจไม่นับถือสมณะอโศกเท่าไหร่นะ  แต่ทางโลกเขานับถือกันมากนะพระนี่ ก็ขาดเหลืออะไรเขาก็นำมาให้มากมาย

 

อาตมาวางหลักเกณฑ์เลยว่าจะบริจาคได้อย่างน้อยต้องเข้าใจ ต้องเป็นสมาชิก ต้องให้เข้าใจเนื้อแท้อโศกว่าเป็นอย่างไรต่างกับของเขาไหม เราจึงยอมรับเงินทองบริจาค นอกนั้นก็พึ่งพาอาศัยเป็นสังคมพุทธบริษัท 4 มีอุบาสก อุบาสิกาที่เป็นสมาชิกแท้ พุทธบริษัทคืออาริยชน บุคคล 4 บุคคล 8 ส่วนพุทธมามากะคือคนสนใจมาศึกษาพุทธ ส่วนพุทธศาสนิกชนก็มีชื่อว่าเป็นคนนับถือพุทธ แต่ไม่ได้เนื้อหาสาระของพุทธนอกจากพึ่งประเพณีหรืออาศัยเพื่อโลกียะ ได้โลกธรรมเท่านั้น ทางพลังงานลึกลับ ที่ถือว่าศาสนามีให้ มันค้านแย้งกับศาสนาหมดเลย

 

ต้องเรียนรู้กามคุณกับอัตตาและลดล้างได้จริง สองอย่างนี้ก็ต้องลดได้คือเนื้อแท้ของพุทธ พระพุทธเจ้าประกาศในธรรมะบทแรกคือ ธัมมจักกัปปวัตนสูตร มันเป็นโลกกาม โลกอัตตา ถ้าหมดสองโลกนี้ก็เป็นมัชฌิมา ไม่เอียงไปข้างในเลยไม่มี อันตา กามนี่หยาบกว่าอัตตาก็ลดก่อน ไล่ไปก่อน ลดกามได้ก็ลดอัตตา พึ่งพากันไปเรื่อยๆ กามหมดก่อนแล้วก็เหลือแต่อัตตา เป็นอนาคามี จนหมดอัตตาก็คืออรหันต์ พระพุทธเจ้าสอนให้ทำกาม ทำอัตตาให้หมดไป

 

กามหรือโลกคืออำนาจ โลกาธิปไตย

อัตตาคือยึด ก็เป็นอัตตาธิปไตย

 

ผู้เรียนรู้ลดโลกและอัตตาก็ได้ธรรมะ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดได้ธรรมะก็ได้ความเป็นพระพุทธเจ้า มีDNA พุทธเป็นอนุพุทธะไปตามลำดับ จนเป็นพระพุทธเจ้า ต้องรู้ตั้งแต่พุทธองค์เล็ก ธรรมะของพระพุทธเจ้าว่าโลกุตรบุคคลเป็นเช่นนี้ก็คือลดกาม ที่หยาบก่อนคืออบาย ต้องเข้าใจโลกกามและโลกอัตตา ถ้าไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็นสภาวะที่ปรุงแต่งเป็นรูปนาม คืออะไรภายนอกกับจิตวิญญาณที่ไปติดยึดว่าเป็นของต้องได้ต้องมีต้องเป็น แล้วมันก็มีสิ่งที่ควรได้อาศัยเลี้ยงชีพ เป็นบริขารที่จะทำงานไม่ได้มีไว้เพื่ออวดอ้างเบ่งข่มหรือฟาดหัวใครต่อใครไม่ใช่ มีไว้เพื่ออาศัยทำประโยชน์ให้ตน ถ้าตนมักน้อยติดยึดน้อยก็ไม่ใช้มาก แต่ไม่ได้ลดสมรรถนะขยัน มีเราก็สร้างสรรให้มากขึ้น อย่างเป็นของสำคัญที่ควรได้ควรมีในสังคมที่จำเป็น ตามลำดับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นการโลกวิทู ไม่ได้หนีโลกอย่างที่เป็น

 

ความเสื่อมในโลกคือกามคือโลกๆ สำหรับอัตตา คือพวกไม่เข้าใจอัตตาเป็นอัตตวาทุปาทาน ได้แค่อัตตาเป็นคำพูด แต่เนื้อแท้ไม่ได้ แล้วยอมรับอัตตาว่าคือปรมาตมัน เหมือนพระเจ้าตามศาสนาที่ไม่รู้อัตตาก็เป็นเช่นนั้น แล้ววิธีการคือทิ้งโลกคือกาม ก็คือศาสนาลัทธิง่ายๆ เข้าใจไม่ยากเขาทิ้งหนีเลย คนที่เท่ๆก็ทิ้งไปเข้าป่าเขาถ้ำเลย สะกดจิต นั่งสมาธิ แล้วสั่งจิตว่าเอ็งต้องทิ้ง อย่าไปดิ้น สะกดข่มจิต โดยไม่รู้ว่าคือวิธีสะกดจิตของตน

 

ส่วนทางโลกทางกามก็หาเรื่องบันเทิงครื้นเครง ส่วนทางที่เอาทั้งกามและอัตตามาหลอกคนก็เลวมากอย่างธรรมกายนี่เลวมาก ขอพูดตรงๆ เพราะหนามากพูดไปมีแต่ดันทุรังประชดประชัน เราบอกให้มาจนๆๆ เขาก็บอกว่าไปรวยๆๆๆ ยิ่งประชด อาตมาว่าเขาไม่เชื่อกรรมหรืออย่างไร สอนคนอื่นเท่มาก แต่ตนเองไม่ทำ ตนรู้หรือไม่กว่า กุหนาหลอกคน ลปนา ก็ไม่รู้

 

สายลืมตาก็เอากามกับอัตตามาหลอกคนให้นั่งหลับตา เอาแสงสว่างอาภัสสรา เขาก็สอนอบายมุขเหมือนกันทั้งทางนั่งหลับตาสองแบบ จริงๆชวนให้รวยจัดนี่ยอดมหาอบายมุขคุณก็ไม่รู้จัก ทางนั่งหลับตาก็สอนให้ขลัง แต่ขลังนี่และคือยอดอบายมุข เขาสอนให้ปลุกเสกเก่งมีเวทย์มนต์เก่งไปโน่น ทางหลับตานี่ยังรู้ง่าย มันโจ่งแจ้ง ไม่มอมเมาเท่าไหร่ เพราะมีมักน้อยสันโดษไปในตัวก็ทำลายไปทางจิตวิญญาณ แล้วทางนี้ก็พร่าสว่างจิตวิญญาณแล้วยังหลอกให้ติดวัตถุอีก นี่คือความเสื่อมทางส่วนกลางที่ควบคุมอยู่ก็ผสมโลกกับอัตตา ตามสัดส่วนแต่ละวัด จะมีเนื้อหาธรรมะบ้างไหม คุณงามความดี สร้างสรรเสียสละกตัญญูเป็นกัลยาณธรรม ซึ่งทุกลัทธิในโลกสอนกัลยาณธรรมทั้งสิ้น สอนอย่าเห็นแก่ตัว อย่ามีกิเลส แต่ไม่ได้มีจิตวิเคราะห์เรียนรู้กิเลส แบบพระพุทธเจ้าพาทำ

 

ทางสายอภิธรรมของพุทธเก่งในทางวิเคราะห์ภาษาอภิธรรม ไม่ใช่วิเคราะห์จิตนะ แต่วิเคราะห์ภาษาเก่ง แล้วเป้าเขาอยู่ที่ธรรมะ ไม่ใช่สภาวะจริง คำอธิบายของพระพุทธเจ้า ภาษาทุกตัวคือธรรมะ เพราะธรรมะคือทุกสิ่งทุกอย่างผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา พวกอภิธรรมก็อธิบายเข้าธรรมะเขาท่องเหตุปัจจัยว่าเพราะ มีส่ิงนั้นจึงมีสิ่งนี้ได้ครบ แต่ไม่เป็นสภาวะจิตจริง นี่คืออัตตวาทุปาทาน ถ้าอยากจะฟังแบบนี้ต้องฟัง อ.สุจินต์ บริหารวณเขต นักรู้อภิธรรม เขาเผยแพร่กันทั่ว เขารู้อบายมุขทั้งสิ้น แต่ไม่รู้รวยหรูหราที่เป็นอบายมุขหรือว่าหลงจิตลึกลับก็คืออบายมุข เขาไม่รู้ การไปหลงอาเทสนาปาฏิหาริย์ อิทธิปาฏิหาริย์นี่คืออบายมุข มีมาเพื่อตัวกูของกู แล้วอยากได้ ถ้าคุณเองคุณเหาะได้ คุณจะได้อะไรไหม ก็รวยเละเลย อย่างแม่ชีที่ทำหยั่งรู้ใจคนก็รวยเละเลย ที่พูดนี่ไม่ได้ริสยาและไม่อยากแข่ง ไม่ได้อยากเป็นอย่างที่พวกท่านเป็นนะ

 

เป็นเรื่องศาสนาที่ต้องแก้กลับ แล้วมาเรียนรู้ให้ดีเราทำงานมาจะเห็นว่าเราทำงานหนักและเยอะขึ้น คนเข้าใจเพิ่มขึ้น เพราะอาตมาถูกตรา ตั้งแต่เกิดเรื่องเขาจะล้มให้อาตมาหายไปจากศาสนา อาตมาก็ยอมแพ้หมด แต่แพ้แล้วก็ไม่ตาย ดิ้นมาอยู่เรื่อย จนมาถึงวันนี้เห็นผลแล้วว่า คนที่แสวงหาจริงๆเร่ิมเข้าใจแล้ว ที่เขาประกาศเพื่อตีทิ้งอาตมาหนักก็หมดฤทธิ์ไปเรื่อยๆ คนแสวงหามีปัญญาหรือคนไม่แสวงหาแต่มีปัญญาพอก็ค่อยเข้าใจดีขึ้นเรื่อยๆ แมม้คนที่ไม่มีปัญญานัก แต่อาตมานำเอาพระไตรฯหลักฐานพระพุทธเจ้าอ้างอิง จึงพออยู่ได้ และเราปฏิบัติจริง เกิดความเป็นจริงของกลุ่มหมู่บุคคล จนมีพฤติกรรมแสดงไปในสังคม มีเหตุปัจจัยให้เขาไม่กล้าแย้งเพราะเรามีสิ่งยืนยัน ทั้งหลักการพระพุทธเจ้าและพวกเราเป็นได้จริง ก็เลย พอไปรอดอยู่ได้

 

ยังเหลือแต่ว่าเราต้องมาพากเพียรหากแน่ใจว่าดี ถูกต้องก็มาช่วยกัน ปีนี้อาตมาบรรยายปรมัตถธรรมเพ่ิมขึ้นเยอะเลย แล้วจะไปเรื่อยๆ ส่ิงที่เปิดไปเรื่อยๆจะเป็นอุตริมนุสธรรม มีคุณวิเศษของพระพุทธเจ้า คนจะยิ่งเห็นว่า โพธิรักษ์มันบ้า อวดอุตริ อวดตนเองทุกวัน อาตมาก็เข้าใจเขา แต่คนที่เขาศึกษาติดตาม รหือมีหลักฐาน ตามสื่อสารออกไป ไม่มีอะไรห้ามกันแล้ว ไม่มีอะไรปิดบัง เป็นสารสนเทศที่กระจายไปทั่วแล้ว อาตมาเคยเขียนเพลงอาริยะที่บอกว่าแม้จะปิดทวารทุกทวาร คุณก็รู้เรื่อง คุณก็เห็น_ได้ยิน_ได้กลิ่น_รับรส_สัมผัส_รู้ในจิตวิญญาณ

 

เรื่องอุตริมนุสธรรม คนเข้าใจว่า ผู้มีอุตริมนุสธรรมแล้วอวดไม่ได้เลย อุตริมนุสธรรมคืออะไร ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดผัวเขาเมียใคร ก็มีอุตริมนุสธรรม ในอาริยธรรมขั้นต้น มีตั้งแต่เร่ิมต้นทางกาย แม้ใจจะอย่าทำร้ายแต่กายวาจาไม่ทำ ก็ได้อุตริมนุสธรรมภายนอก ก็อวดได้ จะบอกว่าผมไม่ฆ่าสัตว์แล้วอวดไม่ได้ ปาราชิกนะ ยิ่งใจเราไม่มีเจตนาอยากฆ่าเลย แม้สัตว์จะมาทำร้ายเรา เราจะตายก็ตาม นั้นคือคุณมีอุตริมนุสธรรมแท้ในศีลข้อ 1 ถ้าคุณไปบอกใครว่าฉันไม่ฆ่าสัตว์แล้วเป็นการอวด แล้วบอกว่าอวดไม่ได้มันจะแคบไปไหม? หรือว่าเราบอกว่าไม่ใช่ของเราเราไม่เอา แล้วเราเป็นจริงด้วย จริงใจเลย ก็ว่าอวดอุตริมนุสธรรมนะ เข้าใจอุตริมนุสธรรมแค่ไหน เราไม่พูดปดเราก็มีอุตริมนุสธรรม เราไม่มีอบายมุข ก็อุตริมนุสธรรม ยิ่งสูงไปกว่านั้น ศีล 8 ที่นี่ไม่เล่นดอกไม้ ไม่เอามาเป็นของขลังบูชาอะไร แม้ศีล 8 ก็มีเกณฑ์ของมัน เป็นรายละเอียดลึกซึ้ง เจตนาเราก็ทำเช่นนี้

 

เช่นที่โต๊ะนี้ คนจัดก็ไม่ได้เรียนศิลปะอะไรมาจัดให้อาตมา คือเราก็รู้ว่านี่คือการประกอบกัน ถ้าเราจะมองว่าเกลี้ยงๆราบๆก็ดีอีกชนิดหนึ่ง อย่างประดับก็ดีอีกชนิดหนึ่ง อาตมาเรียนศิลปะมาก็รู้ สรุปแล้วความเข้าใจคุณวิเศษเข้าใจไม่ได้อวดไม่ได้ยิ่งเป็นฌาน สมาธิ ความสงบของจิตอวดไม่ได้ ไม่อวดด้วยภาษาแล้วแสดงถึงเหตุแห่งการเกิดสภาวะก็คืออวดอุตริฯทั้งนั้น มีทิฏฐิเพื่อให้เกิดผล มันก็ต้องอธิบายทิฏฐิเพื่อถึงผล ยิ่งอาตมาอธิบายว่านั่งหลับตานี้ผิดทาง มันต้องอย่างนี้ๆๆๆ นอกจากอวดแล้วยังข่มเขาอีก ว่าอย่างนั้นผิดอย่างนี้ถูก คนไม่เข้าใจก็ว่าไปตู่ไป คนเข้าใจว่าแม้มีในตนก็อย่าอวด หากไม่มีในตนแล้วอวดก็ปาราชิกเลย ก็เลยว่าอวดไม่ได้เลย ในอุตริมนุสธรรม ถ้าคุณมีแล้วต้องหุบปากเลย บอกทางเหตุผลหรือทิฏฐิความรู้เพื่อเป็นผลเป็นมรรคก็ไม่ได้ อวดทางปฏิบัติไม่ได้ อวดผลก็ไม่ได้ แม้บรรลุแล้วก็ตาม มันจะหายไปไหม...สูญไปไหมในโลกคือความคิดบ้าๆเช่นนี้คิดออกได้อย่างไร แล้วประกาศว่าผู้บรรลุธรรมแล้วอวดไม่ได้เลย ใช้ภาษาว่าถ้าอวดแล้วไม่ใช่ผู้บรรลุธรรม

 

แล้วผู้หลงว่าตนมี อันนี้พระพุทธเจ้าไม่ถือว่าผิด เขาหลงว่าเขามีแล้วเขาก็อวดก็ได้แต่ถ้าเขาหลงแล้วไม่อวดก็ไม่เป็นไรแต่อวดแล้วพระพุทธเจ้าก็ไม่เอาผิด แต่หลงได้ครั้งแรกครั้งเดียวแล้วเขาจับได้บอกคุณ แล้วต่อไปคุณจะไปอวดอีกบอกว่าหลงอีกทีไม่ได้สองหลงไม่ได้

 

แล้วผู้มีอุตริมนุสธรรม เมื่อมีจะแสดงจะอวด คุณต้องอ่านใจตนว่าคุณอยากอวดหรือไม่ ถ้าอยากอวดแล้วอย่าแสดง เพราะคุณมีอยากไม่ดี ถ้าอยากแล้วจะเหลิงติดลม ต้องดูใจตนเอง นี่อยากอวดไม่เอาแต่ถ้าเราไม่อยากอวด ว่านี่ฌาน สมาธิ ผลนะ ถ้าตรวจใจตนว่าอยากต้องไม่แสดง แต่ถ้ารู้ใจตนว่าอยาก ต้องตั้งกำหนดให้ตนว่าอย่าเกินนะ เพราะมันจำเป็นต้องแสดง ถ้าประมาณตนถ่อมตน รู้สึกตนก็ไม่เสียหลาย ข้อสำคัญต้องรู้ใจตนว่าอย่ามีสาเฐยจิต อย่ามีใจอยากอวด การดูใจจึงสำคัญมาก สรุปแล้วคุณวิเศษนี่ ถ้ามีจริงก็ค่อยๆศึกษาเผยแพร่ส่งเสริมกันไป และเนื้อแท้ธรรมะพระพุทธเจ้าคืออุตริมนุสธรรม

 

เพราะถ้าเข้าใจว่าแม้มรรคหรือผลก็อวดไม่ได้ คนนั้นเป็นอุจเฉททิฏฐิในระดับปิดประตูมรรคผลนิพพานแล้วปิดกั้นคนอื่นด้วย หนักไหม? แล้วยิ่งอวดส่ิงที่ไม่ใช่เนื้อแท้ธรรมะเป็นเดรัจฉานวิชาก็เป็นบาปวิบากนอกศาสนาพุทธไปมากมาย

 

ถ้าได้จริงแล้วห้ามแสดง แล้วที่ออกไปเป็นธรรมฑูตเอาอะไรไปแสดง อาตมาจึงบอกว่าของพระพุทธเจ้าคือโลกุตรธรรม นอกนั้นเป็นกัลยาณธรรม

 

โลหิจจสูตร 
(ผู้บรรลุธรรมแล้วควรบอกผู้อื่นหรือไม่)

 

            โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น  เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป  เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว   กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่... ฯลฯ ”  .

            พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ  ย่อมมีคติ 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน  อย่างใดอย่างหนึ่ง (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 358)

 

อาตมาว่า ตอนนี้ศาสนาพุทธได้ฟื้นคืนชีพขึ้นแล้วในประเทศไทย แต่ก่อนนี้มันเกิดหรือ แล้วสังคมประเทศไทยเป็นอย่างนี้ได้อย่างไรกัน ปฏิวัติไม่รู้กี่ครั้ง แต่ถ้าปฏิวัติคราวนี้เสียของ ตั้งต้นไม่ได้ อาตมาว่าประเทศไทยคงไปไม่ออกแล้ว ขนาดคอมมิวนิสต์ 72 ปีก็ยอมแพ้ไปแล้วเหลือไม่กี่ประเทศที่ร่อยหรออ่อนแอจำนนไป แท้จริงก็มาเอาปชต. แล้วปชต.ที่ไหนไม่ดีเท่าของพระพุทธเจ้า ท่านล้างความเป็นทาสเป็นวรรณะได้เด็ดขาดเลย ทุกแคว้นยอมให้ท่านหมดแล้วท่านก็ล้างศาสนาที่ยึดติดในยุคนั้นว่าศาสนาต้องออกป่า ท่านก็ให้อรหันต์ 60​องค์แรกเข้าสู่เมืองแม้ตัวท่านก็เข้าสู่เมือง ท่านทวนกระแสให้เห็นเลย ยุคโน้นท่านก็เคยเข้าป่า 6 ปีก็รู้ว่าเป็นทางผิด ท่านพาทวนกระแสโลกยุคโน้นเลย แล้วท่านก็สอนในอัมพัฏฐสูตรเลยว่า เข้าป่าไปหาอาจารย์ในป่านี้เสื่อม ต้องเข้าเมือง เขาก็หาว่าอาตมาสอนนี้บ้าแล้ว อาตมาไม่เคยสอนธรรมะในป่าแล้วมั่นใจไหมว่าพวกเรามีบรรลุบ้างไหม?

 

ความเข้าใจของคนนี่มันกลับไม่รู้จะกลับอย่างไรเลย มันยากตรงที่เป็นคณะใหญ่ แล้วเชื่อถือกันมานานแล้ว แล้วชาตินี้อาตมาก็อาภัพ รูปไม่หล่อ พ่อไม่รวย ไม่มีอาจารย์สำนักไหน ไม่มีศิษย์พี่ศิษย์น้องไม่มีเครื่องแสดงว่ามีธรรมะเลย แล้วเอามาจากไหน? อาตมาก็บอกจริงว่าเอามาจากชาติก่อน ก็ยิ่งหนักเขาว่าบ้าเลย อวดตัวเป็นพระพุทธเจ้า อาตมาก็ไม่เคยอวดเป็นพระพุทธเจ้า พออวดว่าเป็นโพธิสัตว์อีกเขาก็ไม่เข้าใจ ที่พูดนี่ไม่ได้น้อยใจนะ แต่ให้รู้ว่าชีวิตที่ทำงานศาสนานี่มันยากอย่างมหาศาลเลย

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

 

_สู่แดนธรรม...พูดเรื่องความมีและความไม่มี

ในทิฏฐิ 62 หมู่ที่เป็นสัสตทิฏฐิคือเอาอดีตมาเป็นสิ่งมี อดีต 18 ทิฏฐิ

ส่วนอีกพวกก็ด้นเดาไปในอนาคต มีจริงบ้างไม่จริงบ้าง ปั้นสร้างมาใส่ตนเอง อีก 44 ทิฏฐิ และใน 44 นี้ยังรวมเอาพวกเอานิพพานอีก 5 (18+44= 62)

 

ใน 44 ทิฏฐิ มีอีก 5 ซึ่ง 5 อย่างนี้มีผู้ปฏิบัติที่เอาปัจจุบัน ถ้าไม่ศึกษาเลยจะเอากามเป็นนิพพาน

1.เอากามเป็นนิพพาน

2-5 เป็นฌาน แบ่งเป็นฌานมิจฉาทิฏฐิ ยึดเอา ฌาน1-ฌาน 4 เป็นนิพพาน

ส่วนพวกสัมมาทิฏฐิ ไม่ยึดเอากาม เอาฌาน 1-4 เป็นนิพพาน

ยึดเอาฌาน 1 เป็นนิพพาน

ฌานที่ 2 เป็นสกิทาคามี

ฌานที่ 3 เป็นอนาคามี

ฌานที่ 4 เป็นอรหันต์แม้ที่สุดยึดฌานที่ 4 เป็นนิพพานก็ไม่ใช่อรหันต์สมบูรณ์ ไม่นิพพานสมบูรณ์ 

 

ส่วนพวกที่ยึดว่าตายแล้วไปไหน? ซึ่งตายแล้วอธิบายยากมากเลย แม้พอรู้ก็ไม่ง่าย คนจะอธิบายตายแล้วเป็นวิบากอย่างไรก็น้อยมากเลย สมัยพระพุทธเจ้าก็มีแต่พระพุทธเจ้าที่รู้รอบ อธิบายตามควรเท่านั้น ท่านอื่นไม่อวดดีอย่างใด เหมือนอย่างปัจจุบันที่อวดมาก ใครดูช่องธรรมกายจะเห็นว่าเก่งมากนะเขาทำ ซึ่งมันอวดสิ่งที่ไม่น่าอวดเลย ไม่น่ากระทำสิ่งที่ไม่ควรทำ

 

ในธรรมะขณะนี้ แสดงต่ออุปสัมปัน คือผู้ที่เข้าใจได้ ไม่ใช่ว่าเอารูปแบบเท่านั้น แล้วเขาก็ตีอาตมาว่า ถ้าจะอวดก็อวดกับพวกคุณสิ ไม่ควรออกอากาศให้คนอื่นดู ซึ่งของเรานี่เรตติ้งน้อยกว่าเขามาก เราระดับหมื่นแต่ของเขาระดับล้านคน ไม่ต้องกลัวหรอก ว่าเราจะไปแสดงให้อนุปสัมปันดู เทศน์ให้ตายก็ไม่ดู หรือเขาจะดูแบบตั้งใจจับผิดอาตมานี่อาตมาถือว่าเป็นอุปสัมปันนะ แต่ถ้าพวกไม่อยากฟังเขาไม่ฟังหรอก ไม่ต้องกลัวหรอกว่าอาตมาจะอวดกับอนุปสัมปัน อาตมาอวดกับพวกนี้ไม่สำเร็จหรอก อันนี้เป็นการเทศน์ให้แก่ผู้ที่เผื่อจะได้จริงๆ จะมีบ้างอนุสัมปันที่ผ่านๆมาก็เล็กน้อย แต่ประโยชน์ที่ได้เยอะ ที่จะเป็นแก่นแกนก็จะมา พวกอนุสัมปันเขาไม่มาดูหรอก มีโทรทัศน์เป็นร้อยๆช่องเลย ไม่ต้องกลัวหรอก

 

มีอยู่สูตรหนึ่ง ท่านตรัสว่า คนที่ตายไปแล้ว ทุกคน แล้วอวิชชาอยู่ คนนั้นมีกายทั้งนั้น .... พระพุทธเจ้าให้ศึกษากาย ในขณะมีปัจจุบันมี ทวาร 6 ครบ แต่ท่านตรัสในสูตรนี้(พาลบัณฑิตสูตร) อีกว่า คนที่มิจฉาทิฏฐินี้ ตายไปแล้วมีกาย

 

พาลคือผู้โง่ ผู้เยาว์ ผู้ไม่เดียงสา คือผู้ไม่รู้อะไร เรียกว่าพาลทั้งนั้น คำว่ากาย จึงเป็นคำที่ย่ิงใหญ่มากที่เราต้องศึกษาเรียนรู้

 

ถ้าเข้าใจคำว่ากายไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่บริบูรณ์ ไม่ได้เป็นอรหันต์ พระพุทธเจ้าเน้นว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิแล้ว ไม่มีทางจะบรรลุสมบูรณ์ พระพุทธเจ้าว่าวิโมกข์ข้อ 2 ต้องมีสัมผัสทั้งนอกและใน ผู้บรรลุอรหันต์แล้วเป็นคนไม่มีกาย แต่ขณะปฏิบัติต้องเห็นกาย บรรลุกาย คนสมบูรณ์แล้วตายไปไม่มีกาย คนไม่หมดกิเลส ตายไปแล้วมีกาย ถ้าปฏิบัติหมดกายก็ไม่มีกาย

 

คนปฏิบัติธรรมต้องมีกาย รู้จักกาย ในวิญญาณฐีติ 7 ให้ศึกษารู้กาย กับสัญญา พอศึกษาหมด 4 ข้อแรกของวิญญาณฐิติก็ไม่มีคำว่ากายแล้ว มีแต่อายตนะ ผู้บรรลุวิญญาณฐีติก็คืออนาคามีเป็นต้นไปแล้วเรียนรู้อายตนะ จนพ้น อสัญญีสัตตายนะกับเนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็เป็นอรหันต์

 

อายตนะคือเครื่องเชื่อมต่อ เพื่อรู้ความจริงตามความเป็นจริง สัมผัสก็สัมผัสธรรมดา สัมผัสแล้วอายตนะมีอยู่ องค์ประชุมรูปนามของกายมีอยู่ แต่กายของสัตว์ไม่มี พ้นสัตตาวาส 9 พ้นสังโยชน์ 10 แล้ว ผู้ที่เป็นผู้ปฏิบัติอยู่ต้องปฏิบัติในขณะมีกาย ถ้าคุณยังไม่หมดกายเป็นอรหันต์ เป็นๆนี้ คุณตายไปยังมีกายอยู่ทั้งนั้น แม้เป็นอนาคามีตายไปก็มีกาย ยิ่งพาลชนตายไปก็มีกายแน่นอน 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:27:41 )

580416

รายละเอียด

580416_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ ผลสำเร็จของตลาดอาริยะ-พุทธศาสนาจะไม่เสื่อมถ้า

พ่อครูว่า วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 16 แรม 13​ค่ำ เดือน 5 มีมะแม วันงานปีใหม่เรา 3 วันเสร็จไปแล้ว ต่างคนต่างบอกตรงกันว่าเหนื่อย มันงานดี แต่ก็ดีอยู่อย่างหนึ่งว่า แม้จะเหนื่อยก็ประสพผลสำเร็จ ต่างคนต่างรู้สึกอย่างนั้น ปีนี้อาตมาก็ว่า เมษายน ก็ร้อนนะ แต่ปีนี้แปลกนะอากาศเย็น ถึงหนาวเลย กลางคืนหนาว กลางวันไม่ร้อนเท่าไหร่ ดีเหมือนกัน เสร็จงานเรียบร้อยสวยงาม ลานจอดรถของเรางามมากเลย แล้วก็มากันดี เสร็จงานอาตมาก็ดูลานจอดรถไม่มีขยะเลย เรียบเกลี้ยง มันมีบ้างเล็กน้อยไม่ถึงตัน แต่ปรากฏว่าเสร็จงานสงกรานต์ที่สีลม ได้ข่าวว่าขยะ 200 ตัน แต่ของบ้านราชฯเรานี่อาตมาว่ามันจะมากกว่าสีลมนะ คนมางาน เพราะสีลมที่ไม่กว้าง แต่ของเราที่กว้างเป็นร้อยๆไร่

 

ผ่านไปมีส่ิงเปรียบเทียบ งานเราเก็บขยะไม่ได้ถึงตัน แต่ที่สีลมขยะ 200 ตัน แล้วงานของเราไม่มีสาดน้ำกันเลย ทั้งที่น้ำเรามีเยอะเลย เราก็เล่นน้ำ เสร็จแล้วที่เราเย็นมากคือเราเย็นใจ สบายใจ งานอย่างนี้ แล้วเกิดผลต่อมนุษยชาติ ซื้อหาข้าวของที่จำเป็นต่อชีวิต แต่งานของเขา ไม่มีสิ่งจำเป็นต่อชีวิต เราพูดเหมือนข่มเขาดูถูกเขา แต่ก็พูดส่ิงจริง ซึ่งคนเขาถูกมอมเมาว่า สิ่งนั้นน่ามีน่าได้น่าเป็น เราก็เป็นคนอย่างเขา แต่เราก็ว่าเรามีชีวิตเป็นสุข เจริญ และก็ยังเป็นชีวิตประเสริฐคืออาริยะ

 

โดยเฉพาะเรายืนอยู่บนฐานของธรรมะ ทางโน้นจะเอาพระไปรดน้ำบ้าง แต่เขาจะรู้สึกอยู่กับธรรมะที่แท้จริง ธรรมะที่แท้จริงคือสังวรกิริยา กายวาจา และจิต เพื่อที่จะละหน่ายคลาย นี่คือประเด็นสำคัญ เขาก็ระวังมารยาทสังคมเช่นกัน ตามความเห็นของเขาและมีเจตนา อย่างพวกเรามีเจตนาลดละหน่ายคลาย เจตนาปรับกิริยา กาย วาจา ใจ ให้เป็นอาริยะ ลดละหน่ายคลาย จะเห็นได้ว่าปชช.ที่มาร่วมงานก็สังวรระวังตามที่เราพาทำ

 

ปรากฏว่า มีมิจฉาชีพ ที่มาหากินบ้างก็มีบ้างแต่ก็ดูไม่จัดจ้าน เขาอาจเห็นว่าที่นี่ไม่มีเพชรพลอย แต่งเนื้อแต่งตัวก็เช่นนี้ ก็จริงด้วยที่เราไม่มีสิ่งที่ให้เขามารุกรานตามอาชีพเขา แต่ก็มีบ้างที่มาหลอกลวง ซึ่งน้อย แต่น้อยก็ว่าถ้าเราสัมพันธ์กับทางจังหวัดก็น่าจะบอกไปว่าเราขอตำรวจ มาช่วยบ้าง จะกี่คนก็แล้วแต่ ที่สำคัญก็คือว่า เรานี่ไม่ได้จ่ายเบี้ยเลี้ยง ตำรวจมานี่ถือว่ามาตามหน้าที่ แต่ถ้าไปที่อื่นเขาได้เงินพิเศษนะ ถ้าไปทางนายทุนใหญ่ก็จะได้เบี้ยเลี้ยง แต่เราไม่มีเบี้ยเลี้ยง แต่เราก็ให้หนังสือไปอ่าน น้ำยาซักผ้า อาหาร เป็นต้น เราก็ทำ แต่ก็อาจไม่เป็นสิ่งชื่นใจต่อเขาเหมือนธนบัตร เราก็ไม่อยากจะสร้างค่านิยมเช่นนั้นจึงไม่ทำ

 

เราก็ทำไปกับสังคม คนเขาไม่ชอบใจบ้าง คนเขาเห็นดีเห็นงามบ้างก็ทำไป ที่ได้ความหมายและความรู้เอามากระทำ จนเราทำตัวเราประพฤติแล้วร่วมกับสังคมได้ เราก็ทำตามปัญญาหรือภูมิธรรมเราจากการปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า สัมมาทิฏฐิตามที่เรามั่นใจว่า ถูกต้อง เราก็ได้ทิฏฐิแล้วได้ผลตามทิฏฐินั้น มันก็ออกมา กี่ปีๆ เราก็พัฒนาตนเอง จนกลายเป็นคนกลุ่มหนึ่งของประเทศ

 

ผ่านงานไปแล้วอาตมาก็ยิ่งเห็นผลว่ามีประสิทธิผล ของการเรียนรู้ฝึกฝนแล้วมาช่วยกันทำ ไม่ว่าเด็กผู้ใหญ่ ต่างคนต่างลงแรงกัน น่าชื่มชม อาตมาก็ยิ่งมีกำลังใจจะอยู่ให้ยืนยาว เพื่อพากเพียรนำทฤษฎีเนื้อแท้ เท่าที่อาตมาเห็นว่าดีจริง นำมาเสนอมต่อสังคม ให้พัฒนาก้าวหน้ามีผลดีจริง อาตมาไม่ได้มีความมุ่งร้าย มีแต่หวังดีจริงใจ

 

เพราะศาสนาพุทธทุกวันนี้เสื่อมไปไกลมาก อย่างที่มันเป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็นานปีมาแล้ว ก็คงเห็นว่าแย่ลงทุกปี แสดงถึง พลังงานทางธรรมะที่เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แล้วได้ความรู้จากระแสหลักที่ได้ถ่ายทอดธรรมะสู่สังคมประเทศ เป็นเช่นนี้ตั้งแต่เผ่าเล็กๆ ที่มีความรู้ทางจิตวิญญาณ​สายศรัทธา หัวหน้าเผ่าก็ต้องนำพา มีหมอผี นำพาไป แล้วปชช.ในเผ่าก็เข้าใจตามหัวหน้าเผ่า หมอผี ที่ถ่ายทอดกันมา ยึดถือให้สังคมเป็นเช่นน้ัน เจริญมา จะเรียกว่าศาสนา ลัทธิ หรือเนื้อแท้ธรรมะจะเป็นระดับไหนก็แล้วแต่  จะเป็นศาสนาหรือพลังทางจิตวิญญาณตามหลักเกณฑ์ยึดถือก็พัฒนา เจริญ แล้วเสื่อม อาตมว่าธรรมะของพุทธในไทยเคยเจริญกว่านี้นะ อาตมาว่าเดี๋ยวนี้คนได้พึ่งพาศาสนาตรงที่ทำพิธีกรรม ตายแล้วก็ต้องไปเผา หรือจะนับถือแบบโบราณ แบบจีนก็ได้เอาไปทำแบบฮวงซุ้ย

 

ชาวพุทธไปวัดก็ไม่ได้ไปศึกษาหรือไปเอาอะไรจากพระด้วย แต่ไปใหญ่ ไปทำทาน ไปบริจาค ซึ่งมันกลับตาลปัตกับสัจธรรมที่ควรเป็น ศาสนาไม่ได้อะไรจากเขาเลย ยิ่งคนได้ฐานะลาภ ยศ สรรเสริญ​วัดก็ต้องพึ่งพาคนเหล่านี้ที่จะนำพาวัดไป  นอกจากผู้เห็นใหญ่เป็นโตในประเทศก็จะไปวัด ที่เขารู้สึกว่าวัดเป็นพลังงานลึกลับที่จะทำให้เขาเจริญโลกีย์ สรุปคือไม่เป็นโลกุตระเลย มันเป็นโลกียะที่เสริมซ้อน หนักเข้าก็เป็นไสยศาสตร์ รดน้ำมนต์เจิมอะไรนี่ นอกรีตไปหมด

 

อาตมาว่าศาสนาพุทธนี่ย่ิงใหญ่ เราปฏิบัติมาได้อาริยธรมของพระพุทธเจ้ามาบ้างไม่ได้มากมาย แล้วกลุ่มเล็กนิดเดียว อาตมายืนยันว่าเรามีพลังงานเป็นประโยชน์เสียสละต่อสังคมจริงๆ ยกตัวอย่างทำไมคนมาตลาดอาริยะ ส่วนใหญ่เป็นคนพื้นบ้านคนชนบท แต่ทำไมเขาปฏิบัติตามที่เราขอร้อง เล็กๆน้อยๆก็พยายามทำ จนเกิดผล แค่ประเด็นเดียวคือสะอาดสะอ้าน เหมือนเล็กนะ แต่จิตวิทยาสูง อาตมาว่า คนระดับหลายหมื่นคน อาจถึงแสนคนก็ไม่รู้ ขนาดนี้เราทำงานอยู่ในหมู่บ้านไกลปืนเที่ยง ในเมืองเราก็ไปจัด แล้วในเมืองก็ไม่เป็นจริงจังเท่าที่นี่ ฉาบฉวย แต่ที่นี่เป็นจริงเป็นจัง แต่ไม่เคร่งเครียดนะ เขาก็บันเทิงใจ แม้จะต้องรอนานไม่ต้องมีห้องแอร์เย็น แต่ก็สบายใจกว่าไปปิคนิค มองในเนื้อหาลึกๆแล้ว คุณค่าทางสังคมนี้อาตมาให้คะแนน ใครจะว่าอาตมาหลงก็ได้ อาตมาว่าคุ้ม

 

คนมีเงินก็ไม่มากนะ บางคนก็บอกว่ามีเงินร้อยหนึ่งพันหนึ่ง โอ้โห แบกข้าวของไป หาบไป บางคนเอารถเข็นไป ถามว่าไม่หนักหรือ?...เขาก็หัวเราะชอบใจต่างกับมุมทางโลกที่มอมเมา เปลืองผลาญ หรูหร่าฟู่ฟ่า

 

ก็ขออนุโมทนาพวกเราที่ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ก็ให้เจริญในทิศทางเช่นนี้แหละ อย่างเจตคติมุ่งหมายเช่นนี้ องค์รวมเช่นนี้ ก็พากเพียรทำไปเถอะ อาตมามีกำลังใจ สรุปแล้วเห็นว่าศาสนาพุทธเราต้องพยายาม ใครเห็นว่าอาตมาพาทำนี่ถูกต้องหรือเปล่า? อาตมาก็มั่นใจว่าถูกต้องแล้วเราก็ต้องพัฒนาให้งอกงามเกิดในประเทศไทย เราไม่อ้าขาผวาปีกไปต่างประเทศ เราไม่มีองค์ประกอบพอจะทำได้

 

ถ้าเรามีองค์ประกอบไปได้เราก็ไป เราไม่คิดว่าเราจะไม่ไปช่วย ได้ก็เอา แต่ไม่ได้ก็เอาตามเหตุปัจจัย

 

สรุปว่าพุทธศาสนามาถึง 2558 + 45 ปี = 2603 ปีแล้ว ที่ศาสนาพุทธเกิดมา แล้วเข้ามาเมืองไทย ตั้งแต่พศ.ยังไม่ถึง 1000 ดี ประเทศไทยนี่ไม่ถึงพันปี มาก่อนเกิดประเทศไทยอีก ศาสนาพุทธมาปักลงหยั่งลงแทนที่ศาสนาผีกับศาสนาพราหมณ์ พอถึงวันนี้ศาสนาผีก็ลดลง เหลือศาสนาพราหมณ์ ก็น้อยลง แต่ยังเหลือเชื้อลึกๆทั้งพราหมณ์และผี ส่วนศาสนาที่มาแทนที่คือศาสนาทุนนิยม หรือศาสนาโลกีย์ ซึ่งแรงมากเสื่อมมาก มันเสื่อมเพราะอะไร อาตมาได้พยายามประมวลไว้ว่าความเสื่อมในศาสนาพุทธ ..ถ้าจะไม่เสื่อม ใน สรรค่าสร้างคนหน้า 34 บอกไว้ว่า พุทธศาสนาจะไม่เสื่อมถ้า

1. ถ้าไม่แต่งตั้งบุคคลขึ้นมามีอำนาจจนกลายเป็นรวมศูนย์อำนาจอยู่ที่ตัวบุคคล

แต่ถ้าแต่งตั้งบุคคลมามีอำนาจ แทนที่จะเป็นธรรมะเป็นอำนาจ ถ้ากำหนดเป็นธรรมเป็นใหญ่จะมีองค์ประกอบเคลื่อนไหวไปตามกาล เท่าที่มีเหตุปัจจัยเป็นองค์ประกอบจริง ไม่ว่าที่ไหนเวลาใดก็แล้วแต่ แต่ถ้าไปแต่งตั้งตายตัวแล้ว ยิ่งรวมอำนาจไว้ทั้งประเทศเลย ก็ลบล้างบัญญัติที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ ว่าพระพุทธเจ้าไม่แต่งตั้งใคร พระพุทธเจ้าให้ธรรมะเป็นศาสดา มันค้านแย้งคำสอนของพระพุทธเจ้าบทแรกเลย พระพุทธเจ้ายังอยู่ พระพุทธเจ้าเป็นใหญ่ ทุกคนก็ยอมยกให้ท่านจริงๆ ถ้าจะเลือกตั้งทุกปี พระพุทธเจ้าจะได้ทุกปี ทุก 5 ปี ไม่มีปัญหาเลย เป็นไปโดยธรรม แต่ถ้าพระพุทธเจ้าไม่อยู่แล้วอย่าไปตั้งใครแทน เป็นเรื่องย่ิงใหญ่มาก

 

อย่างพวกเราในอโศก ขณะนี้พวกเรายกให้อาตมา อาตมาก็ต้องระวังอย่างยิ่งไม่ให้เกิดเป็นอำนาจใหญ่ แล้วพวกเราจะเข้าใจว่าไม่แต่งตั้งใครเป็นใหญ่ แต่ยกให้แต่ละองค์ที่เก่งสามารถด้านต่างๆ เหมือนในสมัยพระพุทธเจ้า ตามเอตทัคคะทุกคนก็เข้าใจ แล้วก็ใช้งานอย่างเหมาะสมกับงาน ใช้คนให้เหมาะกับงาน แต่เดี๋ยวนี้เพี้ยนไป ออกนอกรีตศาสนาพุทธเด็ดขาดเลย นี่คือเสื่อมสำเร็จผลแล้ว

2.ธรรมเนียมและพิธีบวชต้องถูกต้องตามธรรมวินัย และต้องบวชเพื่อนิพพาน แต่เดี๋ยวนี้บวชกัน แม้แต่ภาษาก็เพี้ยน นัตถิภันเต อามะภันเตกันไปเหมือนลิเกท่องบท เป็นนกแก้วนกขุนทองไป มันไปไกลมากเลย ถ้าไม่บวชเพื่อนิพพานอย่ามาบวชเลย เป็นการทำลายศาสนา ไปบวชเพื่ออาศัยเรียน บวชเพราะแก่ เพราะไม่อะไรทำ และบวชเล่นบวชหัว บวชเณรบวชพระแสนรูป นี่เอาของดีมาเล่น เพราะได้สวมชุดนี้เป็นธงชัยพระอรหันต์ พ่อแม่ก็ต้องยกมือไหว้ต้องกราบ แม้ในหลวงก็เคารพกราบด้วย เป็นเรื่องย่ิงใหญ่แต่ทุกวันนี้เป็นเรื่องเล่นไปหมด แล้วก็ถือว่าเป็นการส่งเสริมรักษาศาสนาด้วย โดยไม่เข้าใจว่านี่คือการทำลายศาสนา คิดตื้นๆ เอาเด็กเล็กมาบวช บวชหาเงิน สรุปว่าต้องบวชเพื่อนิพพาน หากไม่บวชเพื่อนิพพานอย่ามาบวชเลย บวชแล้วทำลายศาสนา แล้วเขาว่า เป็นไปไม่ได้ แต่อาตมาก็พาทำอยู่ในยุคเดียวกันนี้ก็ยังได้เลย

ไม่มีการบวชเล่นบวชลอง การบวช

 

3. การฟังสวดทบทวนปาฏิโมกข์ต้องฟังกันรู้ความ เอาจริง แล้วผู้มีอาบัติต้องสำนึกจริง ต้องตรวจสอบปาฏิโมกข์ แต่ทุกวันนี้ท่องกันไม่รู้เรื่อง ผู้ท่องก็ท่องให้เร็ว ฟังไม่ทันเลย จบเร็ว เสร็จแล้วก็มีญาติโยมมาแย่งกันบริจาคทาน น้ำหวานเลี้ยง ถือว่าทำคุณอันยิ่งใหญ่ แต่ที่จริงยิ่งใหญ่ เพราะเป็นการตรวจสอบตนเอง แล้วก็เป็นการทบทวนคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ให้ผิดเพี้ยนไป แต่ทุกวันนี้ปาฏิโมกข์ก็เล่นไปเป็นพิธีการไม่รู้เนื้อแท้

 

การยังชีพของภิกษุ สามเณรต้องไม่ผิดศีลผิดวินัย โดยเฉพาะจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ท่านตราธรรมนูญบทนี้เพราะให้เป็นจารีตของศาสนาของท่าน ต้องเว้นขาดจากอะไรบ้าง... นี้คือศีลของเธอประการหนึ่งสำหรับผู้มาเป็นภิกษุ แต่เดี๋ยวนี้ไม่รู้ศีลกันแล้ว รู้แต่วินัย 227 แล้วก็มาเถียงกันว่าวินัยของพระพุทธเจ้ามีแต่ 150 ส่วนอื่นไม่ใช่ ก็เถียงกัน แต่วินัยก็ต้องเอา แล้วต้องมีศีล แต่ทุกวันนี้ ไม่รู้กันแล้ว ศีล 5 ศีล 8 ก็ของฆราวาส ศีล 10 ของเณร แต่ศีลพระนี่ เขารู้ว่า 227 นี่รู้ที่ไหน จุลศีล 26  มัชฌิมศีล 10 มหาศีลอีก 7 ก็ไม่รู้เรื่อง มันหมดแล้วศาสนาพุทธ

 

พระพุทธเจ้าว่าไว้ในมหาศีล ปชช.เขาให้โภชนะที่เขาเลี้ยงไว้แล้ว อาตมาแปลว่า ยังมีหน้าละเมิดศีลอีก ยังประพฤติเดรัจฉานวิชาอีก ก็หลักเกณฑ์จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลนี่คือข้อปฏิบัติเพื่อให้เขาเลี้ยงไว้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่รู้แล้ว แล้วไม่ให้ปชช.รู้ด้วยถ้าขืนปชช.รู้จะคว่ำบาตร เสียดายสิ่งประเสริฐแล้วไม่ช่วยกันบูรณะจะไปไหวหรือ? อาตมาก็พากเพียรต่อไป

 

6.ทรัพยสินส่วนกลางสงฆ์6้องีมีไวยาวจกรณ์จัดการ พระภิกษูและสามเณรต้องไม่มีเงินทองเป็นของส่วนตัว ของพวกเรานี่ชัดแม้สิกขมาตุก็ไม่ต้องใช้เงินไม่มีเงินก็อยู่มาได้ 30 หรือ 40 ปีแล้ว ก็อยู่ต่อไปจนแก่เลยนะ ไม่ต้องร่ำร้องหรอกว่าจะไปจะมา ต้องขึ้นรถรา หรอก เราก็ได้ขึ้น ยิ่งมาถูกอย่างสาธารณโภคี อย่างพระพุทธเจ้าพาทำจะลงตัว ยุคสมัยพระพุทธเจ้าฆราวาสไม่มีสาธารณโภคี เขาไม่ต้องนั่งรถก็ไม่ต้องร่ำร้อง แต่ยุคโน้นเดินไปเขาก็ไม่ร่ำร้อง เครื่องใช้ไม้สอยก็ไม่ร่ำร้อง แต่ยุคนี้ไม่ต้องร้องเลย ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วเขาจะเลี้ยงไว้เลย ขนาดเขาไม่เข้าใจไม่นับถือสมณะอโศกเท่าไหร่นะ  แต่ทางโลกเขานับถือกันมากนะพระนี่ ก็ขาดเหลืออะไรเขาก็นำมาให้มากมาย

 

อาตมาวางหลักเกณฑ์เลยว่าจะบริจาคได้อย่างน้อยต้องเข้าใจ ต้องเป็นสมาชิก ต้องให้เข้าใจเนื้อแท้อโศกว่าเป็นอย่างไรต่างกับของเขาไหม เราจึงยอมรับเงินทองบริจาค นอกนั้นก็พึ่งพาอาศัยเป็นสังคมพุทธบริษัท 4 มีอุบาสก อุบาสิกาที่เป็นสมาชิกแท้ พุทธบริษัทคืออาริยชน บุคคล 4 บุคคล 8 ส่วนพุทธมามากะคือคนสนใจมาศึกษาพุทธ ส่วนพุทธศาสนิกชนก็มีชื่อว่าเป็นคนนับถือพุทธ แต่ไม่ได้เนื้อหาสาระของพุทธนอกจากพึ่งประเพณีหรืออาศัยเพื่อโลกียะ ได้โลกธรรมเท่านั้น ทางพลังงานลึกลับ ที่ถือว่าศาสนามีให้ มันค้านแย้งกับศาสนาหมดเลย

 

ต้องเรียนรู้กามคุณกับอัตตาและลดล้างได้จริง สองอย่างนี้ก็ต้องลดได้คือเนื้อแท้ของพุทธ พระพุทธเจ้าประกาศในธรรมะบทแรกคือ ธัมมจักกัปปวัตนสูตร มันเป็นโลกกาม โลกอัตตา ถ้าหมดสองโลกนี้ก็เป็นมัชฌิมา ไม่เอียงไปข้างในเลยไม่มี อันตา กามนี่หยาบกว่าอัตตาก็ลดก่อน ไล่ไปก่อน ลดกามได้ก็ลดอัตตา พึ่งพากันไปเรื่อยๆ กามหมดก่อนแล้วก็เหลือแต่อัตตา เป็นอนาคามี จนหมดอัตตาก็คืออรหันต์ พระพุทธเจ้าสอนให้ทำกาม ทำอัตตาให้หมดไป

 

กามหรือโลกคืออำนาจ โลกาธิปไตย

อัตตาคือยึด ก็เป็นอัตตาธิปไตย

 

ผู้เรียนรู้ลดโลกและอัตตาก็ได้ธรรมะ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดได้ธรรมะก็ได้ความเป็นพระพุทธเจ้า มีDNA พุทธเป็นอนุพุทธะไปตามลำดับ จนเป็นพระพุทธเจ้า ต้องรู้ตั้งแต่พุทธองค์เล็ก ธรรมะของพระพุทธเจ้าว่าโลกุตรบุคคลเป็นเช่นนี้ก็คือลดกาม ที่หยาบก่อนคืออบาย ต้องเข้าใจโลกกามและโลกอัตตา ถ้าไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็นสภาวะที่ปรุงแต่งเป็นรูปนาม คืออะไรภายนอกกับจิตวิญญาณที่ไปติดยึดว่าเป็นของต้องได้ต้องมีต้องเป็น แล้วมันก็มีสิ่งที่ควรได้อาศัยเลี้ยงชีพ เป็นบริขารที่จะทำงานไม่ได้มีไว้เพื่ออวดอ้างเบ่งข่มหรือฟาดหัวใครต่อใครไม่ใช่ มีไว้เพื่ออาศัยทำประโยชน์ให้ตน ถ้าตนมักน้อยติดยึดน้อยก็ไม่ใช้มาก แต่ไม่ได้ลดสมรรถนะขยัน มีเราก็สร้างสรรให้มากขึ้น อย่างเป็นของสำคัญที่ควรได้ควรมีในสังคมที่จำเป็น ตามลำดับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นการโลกวิทู ไม่ได้หนีโลกอย่างที่เป็น

 

ความเสื่อมในโลกคือกามคือโลกๆ สำหรับอัตตา คือพวกไม่เข้าใจอัตตาเป็นอัตตวาทุปาทาน ได้แค่อัตตาเป็นคำพูด แต่เนื้อแท้ไม่ได้ แล้วยอมรับอัตตาว่าคือปรมาตมัน เหมือนพระเจ้าตามศาสนาที่ไม่รู้อัตตาก็เป็นเช่นนั้น แล้ววิธีการคือทิ้งโลกคือกาม ก็คือศาสนาลัทธิง่ายๆ เข้าใจไม่ยากเขาทิ้งหนีเลย คนที่เท่ๆก็ทิ้งไปเข้าป่าเขาถ้ำเลย สะกดจิต นั่งสมาธิ แล้วสั่งจิตว่าเอ็งต้องทิ้ง อย่าไปดิ้น สะกดข่มจิต โดยไม่รู้ว่าคือวิธีสะกดจิตของตน

 

ส่วนทางโลกทางกามก็หาเรื่องบันเทิงครื้นเครง ส่วนทางที่เอาทั้งกามและอัตตามาหลอกคนก็เลวมากอย่างธรรมกายนี่เลวมาก ขอพูดตรงๆ เพราะหนามากพูดไปมีแต่ดันทุรังประชดประชัน เราบอกให้มาจนๆๆ เขาก็บอกว่าไปรวยๆๆๆ ยิ่งประชด อาตมาว่าเขาไม่เชื่อกรรมหรืออย่างไร สอนคนอื่นเท่มาก แต่ตนเองไม่ทำ ตนรู้หรือไม่กว่า กุหนาหลอกคน ลปนา ก็ไม่รู้

 

สายลืมตาก็เอากามกับอัตตามาหลอกคนให้นั่งหลับตา เอาแสงสว่างอาภัสสรา เขาก็สอนอบายมุขเหมือนกันทั้งทางนั่งหลับตาสองแบบ จริงๆชวนให้รวยจัดนี่ยอดมหาอบายมุขคุณก็ไม่รู้จัก ทางนั่งหลับตาก็สอนให้ขลัง แต่ขลังนี่และคือยอดอบายมุข เขาสอนให้ปลุกเสกเก่งมีเวทย์มนต์เก่งไปโน่น ทางหลับตานี่ยังรู้ง่าย มันโจ่งแจ้ง ไม่มอมเมาเท่าไหร่ เพราะมีมักน้อยสันโดษไปในตัวก็ทำลายไปทางจิตวิญญาณ แล้วทางนี้ก็พร่าสว่างจิตวิญญาณแล้วยังหลอกให้ติดวัตถุอีก นี่คือความเสื่อมทางส่วนกลางที่ควบคุมอยู่ก็ผสมโลกกับอัตตา ตามสัดส่วนแต่ละวัด จะมีเนื้อหาธรรมะบ้างไหม คุณงามความดี สร้างสรรเสียสละกตัญญูเป็นกัลยาณธรรม ซึ่งทุกลัทธิในโลกสอนกัลยาณธรรมทั้งสิ้น สอนอย่าเห็นแก่ตัว อย่ามีกิเลส แต่ไม่ได้มีจิตวิเคราะห์เรียนรู้กิเลส แบบพระพุทธเจ้าพาทำ

 

ทางสายอภิธรรมของพุทธเก่งในทางวิเคราะห์ภาษาอภิธรรม ไม่ใช่วิเคราะห์จิตนะ แต่วิเคราะห์ภาษาเก่ง แล้วเป้าเขาอยู่ที่ธรรมะ ไม่ใช่สภาวะจริง คำอธิบายของพระพุทธเจ้า ภาษาทุกตัวคือธรรมะ เพราะธรรมะคือทุกสิ่งทุกอย่างผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา พวกอภิธรรมก็อธิบายเข้าธรรมะเขาท่องเหตุปัจจัยว่าเพราะ มีส่ิงนั้นจึงมีสิ่งนี้ได้ครบ แต่ไม่เป็นสภาวะจิตจริง นี่คืออัตตวาทุปาทาน ถ้าอยากจะฟังแบบนี้ต้องฟัง อ.สุจินต์ บริหารวณเขต นักรู้อภิธรรม เขาเผยแพร่กันทั่ว เขารู้อบายมุขทั้งสิ้น แต่ไม่รู้รวยหรูหราที่เป็นอบายมุขหรือว่าหลงจิตลึกลับก็คืออบายมุข เขาไม่รู้ การไปหลงอาเทสนาปาฏิหาริย์ อิทธิปาฏิหาริย์นี่คืออบายมุข มีมาเพื่อตัวกูของกู แล้วอยากได้ ถ้าคุณเองคุณเหาะได้ คุณจะได้อะไรไหม ก็รวยเละเลย อย่างแม่ชีที่ทำหยั่งรู้ใจคนก็รวยเละเลย ที่พูดนี่ไม่ได้ริสยาและไม่อยากแข่ง ไม่ได้อยากเป็นอย่างที่พวกท่านเป็นนะ

 

เป็นเรื่องศาสนาที่ต้องแก้กลับ แล้วมาเรียนรู้ให้ดีเราทำงานมาจะเห็นว่าเราทำงานหนักและเยอะขึ้น คนเข้าใจเพิ่มขึ้น เพราะอาตมาถูกตรา ตั้งแต่เกิดเรื่องเขาจะล้มให้อาตมาหายไปจากศาสนา อาตมาก็ยอมแพ้หมด แต่แพ้แล้วก็ไม่ตาย ดิ้นมาอยู่เรื่อย จนมาถึงวันนี้เห็นผลแล้วว่า คนที่แสวงหาจริงๆเร่ิมเข้าใจแล้ว ที่เขาประกาศเพื่อตีทิ้งอาตมาหนักก็หมดฤทธิ์ไปเรื่อยๆ คนแสวงหามีปัญญาหรือคนไม่แสวงหาแต่มีปัญญาพอก็ค่อยเข้าใจดีขึ้นเรื่อยๆ แมม้คนที่ไม่มีปัญญานัก แต่อาตมานำเอาพระไตรฯหลักฐานพระพุทธเจ้าอ้างอิง จึงพออยู่ได้ และเราปฏิบัติจริง เกิดความเป็นจริงของกลุ่มหมู่บุคคล จนมีพฤติกรรมแสดงไปในสังคม มีเหตุปัจจัยให้เขาไม่กล้าแย้งเพราะเรามีสิ่งยืนยัน ทั้งหลักการพระพุทธเจ้าและพวกเราเป็นได้จริง ก็เลย พอไปรอดอยู่ได้

 

ยังเหลือแต่ว่าเราต้องมาพากเพียรหากแน่ใจว่าดี ถูกต้องก็มาช่วยกัน ปีนี้อาตมาบรรยายปรมัตถธรรมเพ่ิมขึ้นเยอะเลย แล้วจะไปเรื่อยๆ ส่ิงที่เปิดไปเรื่อยๆจะเป็นอุตริมนุสธรรม มีคุณวิเศษของพระพุทธเจ้า คนจะยิ่งเห็นว่า โพธิรักษ์มันบ้า อวดอุตริ อวดตนเองทุกวัน อาตมาก็เข้าใจเขา แต่คนที่เขาศึกษาติดตาม รหือมีหลักฐาน ตามสื่อสารออกไป ไม่มีอะไรห้ามกันแล้ว ไม่มีอะไรปิดบัง เป็นสารสนเทศที่กระจายไปทั่วแล้ว อาตมาเคยเขียนเพลงอาริยะที่บอกว่าแม้จะปิดทวารทุกทวาร คุณก็รู้เรื่อง คุณก็เห็น_ได้ยิน_ได้กลิ่น_รับรส_สัมผัส_รู้ในจิตวิญญาณ

 

เรื่องอุตริมนุสธรรม คนเข้าใจว่า ผู้มีอุตริมนุสธรรมแล้วอวดไม่ได้เลย อุตริมนุสธรรมคืออะไร ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดผัวเขาเมียใคร ก็มีอุตริมนุสธรรม ในอาริยธรรมขั้นต้น มีตั้งแต่เร่ิมต้นทางกาย แม้ใจจะอย่าทำร้ายแต่กายวาจาไม่ทำ ก็ได้อุตริมนุสธรรมภายนอก ก็อวดได้ จะบอกว่าผมไม่ฆ่าสัตว์แล้วอวดไม่ได้ ปาราชิกนะ ยิ่งใจเราไม่มีเจตนาอยากฆ่าเลย แม้สัตว์จะมาทำร้ายเรา เราจะตายก็ตาม นั้นคือคุณมีอุตริมนุสธรรมแท้ในศีลข้อ 1 ถ้าคุณไปบอกใครว่าฉันไม่ฆ่าสัตว์แล้วเป็นการอวด แล้วบอกว่าอวดไม่ได้มันจะแคบไปไหม? หรือว่าเราบอกว่าไม่ใช่ของเราเราไม่เอา แล้วเราเป็นจริงด้วย จริงใจเลย ก็ว่าอวดอุตริมนุสธรรมนะ เข้าใจอุตริมนุสธรรมแค่ไหน เราไม่พูดปดเราก็มีอุตริมนุสธรรม เราไม่มีอบายมุข ก็อุตริมนุสธรรม ยิ่งสูงไปกว่านั้น ศีล 8 ที่นี่ไม่เล่นดอกไม้ ไม่เอามาเป็นของขลังบูชาอะไร แม้ศีล 8 ก็มีเกณฑ์ของมัน เป็นรายละเอียดลึกซึ้ง เจตนาเราก็ทำเช่นนี้

 

เช่นที่โต๊ะนี้ คนจัดก็ไม่ได้เรียนศิลปะอะไรมาจัดให้อาตมา คือเราก็รู้ว่านี่คือการประกอบกัน ถ้าเราจะมองว่าเกลี้ยงๆราบๆก็ดีอีกชนิดหนึ่ง อย่างประดับก็ดีอีกชนิดหนึ่ง อาตมาเรียนศิลปะมาก็รู้ สรุปแล้วความเข้าใจคุณวิเศษเข้าใจไม่ได้อวดไม่ได้ยิ่งเป็นฌาน สมาธิ ความสงบของจิตอวดไม่ได้ ไม่อวดด้วยภาษาแล้วแสดงถึงเหตุแห่งการเกิดสภาวะก็คืออวดอุตริฯทั้งนั้น มีทิฏฐิเพื่อให้เกิดผล มันก็ต้องอธิบายทิฏฐิเพื่อถึงผล ยิ่งอาตมาอธิบายว่านั่งหลับตานี้ผิดทาง มันต้องอย่างนี้ๆๆๆ นอกจากอวดแล้วยังข่มเขาอีก ว่าอย่างนั้นผิดอย่างนี้ถูก คนไม่เข้าใจก็ว่าไปตู่ไป คนเข้าใจว่าแม้มีในตนก็อย่าอวด หากไม่มีในตนแล้วอวดก็ปาราชิกเลย ก็เลยว่าอวดไม่ได้เลย ในอุตริมนุสธรรม ถ้าคุณมีแล้วต้องหุบปากเลย บอกทางเหตุผลหรือทิฏฐิความรู้เพื่อเป็นผลเป็นมรรคก็ไม่ได้ อวดทางปฏิบัติไม่ได้ อวดผลก็ไม่ได้ แม้บรรลุแล้วก็ตาม มันจะหายไปไหม...สูญไปไหมในโลกคือความคิดบ้าๆเช่นนี้คิดออกได้อย่างไร แล้วประกาศว่าผู้บรรลุธรรมแล้วอวดไม่ได้เลย ใช้ภาษาว่าถ้าอวดแล้วไม่ใช่ผู้บรรลุธรรม

 

แล้วผู้หลงว่าตนมี อันนี้พระพุทธเจ้าไม่ถือว่าผิด เขาหลงว่าเขามีแล้วเขาก็อวดก็ได้แต่ถ้าเขาหลงแล้วไม่อวดก็ไม่เป็นไรแต่อวดแล้วพระพุทธเจ้าก็ไม่เอาผิด แต่หลงได้ครั้งแรกครั้งเดียวแล้วเขาจับได้บอกคุณ แล้วต่อไปคุณจะไปอวดอีกบอกว่าหลงอีกทีไม่ได้สองหลงไม่ได้

 

แล้วผู้มีอุตริมนุสธรรม เมื่อมีจะแสดงจะอวด คุณต้องอ่านใจตนว่าคุณอยากอวดหรือไม่ ถ้าอยากอวดแล้วอย่าแสดง เพราะคุณมีอยากไม่ดี ถ้าอยากแล้วจะเหลิงติดลม ต้องดูใจตนเอง นี่อยากอวดไม่เอาแต่ถ้าเราไม่อยากอวด ว่านี่ฌาน สมาธิ ผลนะ ถ้าตรวจใจตนว่าอยากต้องไม่แสดง แต่ถ้ารู้ใจตนว่าอยาก ต้องตั้งกำหนดให้ตนว่าอย่าเกินนะ เพราะมันจำเป็นต้องแสดง ถ้าประมาณตนถ่อมตน รู้สึกตนก็ไม่เสียหลาย ข้อสำคัญต้องรู้ใจตนว่าอย่ามีสาเฐยจิต อย่ามีใจอยากอวด การดูใจจึงสำคัญมาก สรุปแล้วคุณวิเศษนี่ ถ้ามีจริงก็ค่อยๆศึกษาเผยแพร่ส่งเสริมกันไป และเนื้อแท้ธรรมะพระพุทธเจ้าคืออุตริมนุสธรรม

 

เพราะถ้าเข้าใจว่าแม้มรรคหรือผลก็อวดไม่ได้ คนนั้นเป็นอุจเฉททิฏฐิในระดับปิดประตูมรรคผลนิพพานแล้วปิดกั้นคนอื่นด้วย หนักไหม? แล้วยิ่งอวดส่ิงที่ไม่ใช่เนื้อแท้ธรรมะเป็นเดรัจฉานวิชาก็เป็นบาปวิบากนอกศาสนาพุทธไปมากมาย

 

ถ้าได้จริงแล้วห้ามแสดง แล้วที่ออกไปเป็นธรรมฑูตเอาอะไรไปแสดง อาตมาจึงบอกว่าของพระพุทธเจ้าคือโลกุตรธรรม นอกนั้นเป็นกัลยาณธรรม

 

โลหิจจสูตร 
(ผู้บรรลุธรรมแล้วควรบอกผู้อื่นหรือไม่)

 

            โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น  เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป  เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว   กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่... ฯลฯ ”  .

            พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ  ย่อมมีคติ 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน  อย่างใดอย่างหนึ่ง (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 358)

 

อาตมาว่า ตอนนี้ศาสนาพุทธได้ฟื้นคืนชีพขึ้นแล้วในประเทศไทย แต่ก่อนนี้มันเกิดหรือ แล้วสังคมประเทศไทยเป็นอย่างนี้ได้อย่างไรกัน ปฏิวัติไม่รู้กี่ครั้ง แต่ถ้าปฏิวัติคราวนี้เสียของ ตั้งต้นไม่ได้ อาตมาว่าประเทศไทยคงไปไม่ออกแล้ว ขนาดคอมมิวนิสต์ 72 ปีก็ยอมแพ้ไปแล้วเหลือไม่กี่ประเทศที่ร่อยหรออ่อนแอจำนนไป แท้จริงก็มาเอาปชต. แล้วปชต.ที่ไหนไม่ดีเท่าของพระพุทธเจ้า ท่านล้างความเป็นทาสเป็นวรรณะได้เด็ดขาดเลย ทุกแคว้นยอมให้ท่านหมดแล้วท่านก็ล้างศาสนาที่ยึดติดในยุคนั้นว่าศาสนาต้องออกป่า ท่านก็ให้อรหันต์ 60​องค์แรกเข้าสู่เมืองแม้ตัวท่านก็เข้าสู่เมือง ท่านทวนกระแสให้เห็นเลย ยุคโน้นท่านก็เคยเข้าป่า 6 ปีก็รู้ว่าเป็นทางผิด ท่านพาทวนกระแสโลกยุคโน้นเลย แล้วท่านก็สอนในอัมพัฏฐสูตรเลยว่า เข้าป่าไปหาอาจารย์ในป่านี้เสื่อม ต้องเข้าเมือง เขาก็หาว่าอาตมาสอนนี้บ้าแล้ว อาตมาไม่เคยสอนธรรมะในป่าแล้วมั่นใจไหมว่าพวกเรามีบรรลุบ้างไหม?

 

ความเข้าใจของคนนี่มันกลับไม่รู้จะกลับอย่างไรเลย มันยากตรงที่เป็นคณะใหญ่ แล้วเชื่อถือกันมานานแล้ว แล้วชาตินี้อาตมาก็อาภัพ รูปไม่หล่อ พ่อไม่รวย ไม่มีอาจารย์สำนักไหน ไม่มีศิษย์พี่ศิษย์น้องไม่มีเครื่องแสดงว่ามีธรรมะเลย แล้วเอามาจากไหน? อาตมาก็บอกจริงว่าเอามาจากชาติก่อน ก็ยิ่งหนักเขาว่าบ้าเลย อวดตัวเป็นพระพุทธเจ้า อาตมาก็ไม่เคยอวดเป็นพระพุทธเจ้า พออวดว่าเป็นโพธิสัตว์อีกเขาก็ไม่เข้าใจ ที่พูดนี่ไม่ได้น้อยใจนะ แต่ให้รู้ว่าชีวิตที่ทำงานศาสนานี่มันยากอย่างมหาศาลเลย

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

 

_สู่แดนธรรม...พูดเรื่องความมีและความไม่มี

ในทิฏฐิ 62 หมู่ที่เป็นสัสตทิฏฐิคือเอาอดีตมาเป็นสิ่งมี อดีต 18 ทิฏฐิ

ส่วนอีกพวกก็ด้นเดาไปในอนาคต มีจริงบ้างไม่จริงบ้าง ปั้นสร้างมาใส่ตนเอง อีก 44 ทิฏฐิ และใน 44 นี้ยังรวมเอาพวกเอานิพพานอีก 5 (18+44= 62)

 

ใน 44 ทิฏฐิ มีอีก 5 ซึ่ง 5 อย่างนี้มีผู้ปฏิบัติที่เอาปัจจุบัน ถ้าไม่ศึกษาเลยจะเอากามเป็นนิพพาน

1.เอากามเป็นนิพพาน

2-5 เป็นฌาน แบ่งเป็นฌานมิจฉาทิฏฐิ ยึดเอา ฌาน1-ฌาน 4 เป็นนิพพาน

ส่วนพวกสัมมาทิฏฐิ ไม่ยึดเอากาม เอาฌาน 1-4 เป็นนิพพาน

ยึดเอาฌาน 1 เป็นนิพพาน

ฌานที่ 2 เป็นสกิทาคามี

ฌานที่ 3 เป็นอนาคามี

ฌานที่ 4 เป็นอรหันต์แม้ที่สุดยึดฌานที่ 4 เป็นนิพพานก็ไม่ใช่อรหันต์สมบูรณ์ ไม่นิพพานสมบูรณ์ 

 

ส่วนพวกที่ยึดว่าตายแล้วไปไหน? ซึ่งตายแล้วอธิบายยากมากเลย แม้พอรู้ก็ไม่ง่าย คนจะอธิบายตายแล้วเป็นวิบากอย่างไรก็น้อยมากเลย สมัยพระพุทธเจ้าก็มีแต่พระพุทธเจ้าที่รู้รอบ อธิบายตามควรเท่านั้น ท่านอื่นไม่อวดดีอย่างใด เหมือนอย่างปัจจุบันที่อวดมาก ใครดูช่องธรรมกายจะเห็นว่าเก่งมากนะเขาทำ ซึ่งมันอวดสิ่งที่ไม่น่าอวดเลย ไม่น่ากระทำสิ่งที่ไม่ควรทำ

 

ในธรรมะขณะนี้ แสดงต่ออุปสัมปัน คือผู้ที่เข้าใจได้ ไม่ใช่ว่าเอารูปแบบเท่านั้น แล้วเขาก็ตีอาตมาว่า ถ้าจะอวดก็อวดกับพวกคุณสิ ไม่ควรออกอากาศให้คนอื่นดู ซึ่งของเรานี่เรตติ้งน้อยกว่าเขามาก เราระดับหมื่นแต่ของเขาระดับล้านคน ไม่ต้องกลัวหรอก ว่าเราจะไปแสดงให้อนุปสัมปันดู เทศน์ให้ตายก็ไม่ดู หรือเขาจะดูแบบตั้งใจจับผิดอาตมานี่อาตมาถือว่าเป็นอุปสัมปันนะ แต่ถ้าพวกไม่อยากฟังเขาไม่ฟังหรอก ไม่ต้องกลัวหรอกว่าอาตมาจะอวดกับอนุปสัมปัน อาตมาอวดกับพวกนี้ไม่สำเร็จหรอก อันนี้เป็นการเทศน์ให้แก่ผู้ที่เผื่อจะได้จริงๆ จะมีบ้างอนุสัมปันที่ผ่านๆมาก็เล็กน้อย แต่ประโยชน์ที่ได้เยอะ ที่จะเป็นแก่นแกนก็จะมา พวกอนุสัมปันเขาไม่มาดูหรอก มีโทรทัศน์เป็นร้อยๆช่องเลย ไม่ต้องกลัวหรอก

 

มีอยู่สูตรหนึ่ง ท่านตรัสว่า คนที่ตายไปแล้ว ทุกคน แล้วอวิชชาอยู่ คนนั้นมีกายทั้งนั้น .... พระพุทธเจ้าให้ศึกษากาย ในขณะมีปัจจุบันมี ทวาร 6 ครบ แต่ท่านตรัสในสูตรนี้(พาลบัณฑิตสูตร) อีกว่า คนที่มิจฉาทิฏฐินี้ ตายไปแล้วมีกาย

 

พาลคือผู้โง่ ผู้เยาว์ ผู้ไม่เดียงสา คือผู้ไม่รู้อะไร เรียกว่าพาลทั้งนั้น คำว่ากาย จึงเป็นคำที่ย่ิงใหญ่มากที่เราต้องศึกษาเรียนรู้

 

ถ้าเข้าใจคำว่ากายไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่บริบูรณ์ ไม่ได้เป็นอรหันต์ พระพุทธเจ้าเน้นว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิแล้ว ไม่มีทางจะบรรลุสมบูรณ์ พระพุทธเจ้าว่าวิโมกข์ข้อ 2 ต้องมีสัมผัสทั้งนอกและใน ผู้บรรลุอรหันต์แล้วเป็นคนไม่มีกาย แต่ขณะปฏิบัติต้องเห็นกาย บรรลุกาย คนสมบูรณ์แล้วตายไปไม่มีกาย คนไม่หมดกิเลส ตายไปแล้วมีกาย ถ้าปฏิบัติหมดกายก็ไม่มีกาย

 

คนปฏิบัติธรรมต้องมีกาย รู้จักกาย ในวิญญาณฐีติ 7 ให้ศึกษารู้กาย กับสัญญา พอศึกษาหมด 4 ข้อแรกของวิญญาณฐิติก็ไม่มีคำว่ากายแล้ว มีแต่อายตนะ ผู้บรรลุวิญญาณฐีติก็คืออนาคามีเป็นต้นไปแล้วเรียนรู้อายตนะ จนพ้น อสัญญีสัตตายนะกับเนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็เป็นอรหันต์

 

อายตนะคือเครื่องเชื่อมต่อ เพื่อรู้ความจริงตามความเป็นจริง สัมผัสก็สัมผัสธรรมดา สัมผัสแล้วอายตนะมีอยู่ องค์ประชุมรูปนามของกายมีอยู่ แต่กายของสัตว์ไม่มี พ้นสัตตาวาส 9 พ้นสังโยชน์ 10 แล้ว ผู้ที่เป็นผู้ปฏิบัติอยู่ต้องปฏิบัติในขณะมีกาย ถ้าคุณยังไม่หมดกายเป็นอรหันต์ เป็นๆนี้ คุณตายไปยังมีกายอยู่ทั้งนั้น แม้เป็นอนาคามีตายไปก็มีกาย ยิ่งพาลชนตายไปก็มีกายแน่นอน 


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2563 ( 15:12:29 )

580417

รายละเอียด

580417_ธรรมธรรมะสงคราม บ้านราชฯ กายของบัณฑิตกับพาลเป็นไฉน

พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 17 เม.. 2558 แรม 14 ค่ำ เดือน 5 ปีมะแม วันนี้เป็นวันพระ วันนี้เราก็จะว่าไปเรื่อยๆ เรื่องธรรมะ อธิบาย ซ้ำ เจาะลึก วนไปได้ตลอดเวลา เพราะเป็นเรื่องที่คัมภีรา ทุทสา

1.    คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.    ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.    ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.    สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) สงบเพราะกิเลสดับ  

ตัวกายกลิดับไป

5.    ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.    อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.    นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.    ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

 

กายกลิ คือองค์ประชุมรูปนามที่เป็นภัยในตัวเรา ก็คือกิเลสตัวแท้โดยตรงเลย ตัวนี้ดับไป จิตก็เลยยิ่งมีพลังงานสร้างสรร รู้เร็วไว เปลี่ยนแปลงในทิศทางดีได้ง่ายไม่แข็งทื่อพาซื่อ ความสงบ ที่สอนกัน ความสงบเป็นสุขอย่างยิ่ง เขาก็คิดว่า คือการหลับตานิ่งเฉย แข็งทื่อทั้งกายและใจไปเลย นี่คือสภาพที่เขาเรียกว่าสงบ เป็นสุขอย่างยิ่ง ที่จริงมันก็เบาดีไม่ต้องออกแรงใดๆ พวกจริตไม่ชอบทำการงานประโยชน์ก็ได้ แต่ไม่ถูก มันมิติระนาบเดียว ไม่ใช่เรื่องปรมัตถธรรมที่วิเศษ คำว่าสันตาหรือสันตินี่แหละที่เข้าใจต่างกัน

 

อตักกาวจรา ผู้ที่เข้าไม่ถึงจะอ่านเดาคุณธรรมพุทธไม่ได้ จะคิดแต่เหตุผลทางโลกีย์ ถ้าไม่มีมรรคผลแท้ จะไม่เข้าถึงได้ เพราะมโนทัศน์พื้นฐานทั่วไปความสงบคือ นิ่งไม่กระดุกกระดิก แต่นี่สงบจากความไม่ดีงาม แต่กลับมีความคล่องแคล่ว ของจิตเจตสิก เป็นกายปาคุญญตา สังขารปรุงแต่งเต็มที่เป็น วิสังขาร นัยหนึ่งไม่มีตัวเลยไปร่วม ส่วนวิ อีกนัยคือ วิเศษเลย เป็นความยอดเยี่ยมที่เข้าใจได้ยากมาก

 

ลักษณะของสัจธรรมที่อธิบาย นิปุณา คือละเอียดลึกซึ้งขั้นนิพพาน แล้วมี ปัณฑิตเวทนียา คือบัณฑิตเท่านั้นจะรู้ได้

 

ในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์วันนี้ เขาว่าเมืองไทยนี่เคร่งศาสนาที่สุดในโลก

 

ไทยแลนด์ เคร่งศาสนาที่สุดในโลก นสพ. โพสต์ทูเดย์ 16 เมษายน 2558

 

ผลสำรวจชี้ไทยเป็นประเทศที่มีผู้คนเคร่งศาสนามากที่สุดในโลก สะท้อนศาสนามีอิทธิพลทุกมิติชีวิตของคนไทย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าประเทศที่แสนจะ ฟรีสไตล์ทำอะไรตามใจคือไทยแท้อย่างสยามเมืองยิ้มของเราจะเป็นประเทศที่ผู้คนเคร่ง ศาสนาหรือระบุตัวเองว่านับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งมากที่สุดในโลก จากการสำรวจล่าสุดโดยกัลลัพ (Gallup) และวีไอ (WI ) ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่สร้างความเซอร์ไพร์สให้กับชาวโลกเป็นอย่างยิ่ง เพราะภาพลักษณ์ของไทยแทบไม่ส่อไปในทางนั้นเลย อีกทั้งหลายฝ่ายยังมองว่าภูมิภาคตะวันออกลางน่าจะเคร่งศาสนามากกว่า ด้วยซ้ำ จากผลการสำรวจครั้งนี้ทำขึ้นโดยสัมภาษณ์ชาวโลกถึง 63,898 คน ใน 65 ประเทศ พบว่า คนไทยถึง 94% ยืนยันว่าตัวเองเป็นคนเคร่งศาสนา มีเพียง1% เท่านั้นที่ไม่มีศาสนา และอีก 1% ไม่เชื่อถือในศาสนาใดๆ ส่วนอีก 3% ไม่ตอบหรือไม่มีคำตอบที่ชัดเจน ตัวเลขที่ออกมานี้ แสดงให้เห็นว่า ศาสนายังคงมีอิทธิพลทุกมิติชีวิตของคนไทย โดยเฉพาะในวิถีชีวิตประจำวัน

 

นอกจากนี้ จากการสำรวจ ยังพบแนวโน้มด้วยว่าคนรุ่นใหม่จะนับถือศาสนากันมากขึ้น โดยกลุ่มคนอายุต่ำกว่า 25 ปี มีสัดส่วนที่นับถือศาสนาถึง 65% อายุระหว่าง 25-34 ปี มีถึง 67% และยังพบด้วยว่า ผู้ที่นับถือศาสนามีระดับการศึกษาที่หลากหลายคละกันไปในอัตราส่วนใกล้เคียง กัน ทว่า หากลงในรายละเอียด จะพบว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับการศึกษามีศรัทธาในเรื่องนี้มากที่สุด ก่อนหน้านี้ ยังมีการสำรวจโดยพิว รีเสิร์ช เซ็นเตอร์ (Pew Research Center) พบว่า ยิ่งประเทศมีความมั่งคั่งทางวัตถุมากเท่าไร ระดับความเคร่งศาสนาก็ยิ่งจะน้อยลงเป็นเงาตามตัว สำหรับประเทศที่เคร่งศาสนาเป็นอันดับ 2 รองจากไทย คือ อาร์เมเนีย ในสัดส่วน 93% ตามด้วยบังกลาเทศ 93% จอร์เจีย 93% โมร็อกโก 93% เท่ากัน อย่างไรก็ตามเมื่อแบ่งตามทวีปแล้ว แอฟริกาจะมีผู้เคร่งศาสนามากที่สุด ตามด้วยภูมิภาคตะวันออกกลาง ส่วนเอเชียอยู่ในอันดับที่ 6 และยุโรปตะวันตกอยู่ในอันดับท้ายสุด....

 

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะประเทศที่เคร่งศาสนาน้อยที่สุดล้วนแต่อยู่ใน 2 ภูมิภาคหลัง คือ จีน มีผู้เคร่งศาสนาน้อยที่สุดเพียง 7% ตามด้วยญี่ปุ่น 13% สวีเดน 19% สาธารณรัฐเช็ก 23% และเนเธอร์แลนด์ 26% ขณะที่ฮ่องกงมีผู้ที่ไม่เชื่อในศาสนาใดๆ มากที่สุดในโลก ถึง 70%....

 

พ่อครูว่า...ก็น่าภูมิใจ ที่ยังมีอยู่ แม้ว่าจะมิจฉาทิฏฐิ ออกนอกรีตไปบ้าง โดยความหมายกว้างๆก็พอรู้เบื้องต้น แต่เจาะไปในเบื้องกลางและปลายแล้วกลายเป็นศาสนาอื่นมาปน ที่เรียกว่า ออกนอกขอบเขตพุทธหรือแสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ  บุญคือการชำระจิตสันดานให้หมดจด ก็พากเพียรไป

 

มีคำถามมา ในวันที่ 17 เมษายน 2558

 

กราบถามพ่อท่าน จาก ศิษย์ขอบจอ...ที่รู้สึกหงุดหงิด

 

เขาถามว่า...เพราะเหตุใด ? ทำให้ คนบางคน ความเห็นบางความเห็น ตลอดจนคนทำสื่อบางสื่อ... มองเห็น เรื่องราวอะไร ๆ ต่าง ๆ ก็เห็นเป็นเกมส์ ไปหมด... ไม่ว่า ใคร จะทำอะไร ยังไง...

 

สมมุติฐานคนที่คิดแบบนี้ เป็นอย่างไร ? ครับ

 

ที่มาคำถาม.. ของเขาคือหัวข้อข่าวที่ว่า ....เตือนไทยเล่นเกมเสี่ยง!!หันผูกมิตรรัสเซีย-จีน กระทบสัมพันธ์สหรัฐฯระยะยาว

 

พ่อครูว่า... นี่คือเรื่องของธรรมาธรรมะสงคราม ดูแล้วก็เบื่อไม่ลง มีอะไรตลกๆ แล้วทีนี้ คนที่ถามก็มองว่า อันนี้เขาเห็นว่าเป็นเกม ค่ือท่าทีลีลาของคนที่ทำอะไรไม่จริงใจ ก็เหมือนเกม แต่พวกเรานี่ทำงานไปแล้วเราก็รู้เป้าหมายว่าทำเพื่ออะไร เราก็ทำไปอย่างจริงใจ ไม่ได้คิดว่าทำไปแล้วเราจะได้อะไรกลับมา เราก็ทำไปเพื่อเสียสละ ทุนรอนแรงงานความคิด ทำให้สำเร็จผล เรื่องดีที่เราทำ แล้วมันจะดี ชนะ สำเร็จ โดยสามัญสำนึกคนก็บอกว่าต้องได้ต้องสำเร็จต้องชนะ แต่เราก็ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นเราก็ทำเต็มที่เท่าที่ทำได้ ดีที่สุด เป็นผลอย่างไรก็ว่าไป แล้วเราก็ไม่เคยว่า ทำได้แล้วก็ดีใจ แล้วไปทับถมเขา เราไม่ได้ไปขูดรีดเขา เราเพียงแต่ว่า ให้คุณหยุดเถอะ สิ่งที่คุณทำนี่มันผิด เราก็ทำเช่นนี้ส่วนใหญ่ ส่วนทางวัตถุ เราไม่ได้ไปแย่งกับใคร เราทำงานสังคมเพื่อให้คุณหยุดทำสิ่งผิด ถ้าไม่มีงานนี้เราก็ทำงานสร้างผลผลิต ทำงานไว้อาศัยกินใช้ มีเหลือมีเกินเราก็แจกจ่ายเจือจานสังคมไป นี่คืองานของเรา เราไม่ได้ไปทำเพื่อชนะแล้วเราก็ไม่ได้ไปเอาอะไรจากเขา ไม่ได้เอาโลกธรรม ลาภ  ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แม้แต่อารมณ์เสพ ชนะชื่นใจเหมือนคนเตะบอลเข้าโกล เราก็ไม่ทำแบบนั้น ที่แบบดีใจมาก สะสมเป็นกิเลสอนุสัย กลายเป็นอัตตาตัวตนที่จะต้องได้ต้องมีต้องเป็นอย่างนี้ ที่จริงคุณปั้นสร้างมาเองแล้วก็ยึดเองว่าเป็นสุข

 

อาตมาต้องการอธิบายตรงนี้แหละ ที่คนเราจะบรรลุธรรม หรือตรัสรู้ หรือการที่จะทำใจไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ได้สำเร็จเสียที เพราะไม่รู้ตรงนี้ ตรงที่ว่าสิ่งนี้มันอนัตตา สุญญาตา แต่คนก็ไปยึดว่ามันเป็นมันมี มันยากมากเหลือเกิน ละเอียดเหลือเกิน อาตมายกตัวอย่างง่ายๆ รสอร่อย คุณกินส้มโอ มะละกอ พอกินเข้าไปแล้วมันถูกกับอุปาทาน รส กลิ่น กามคุณ 5 แล้วแถมอัตตาเป็นอุปาทาน แล้วเอาเหตุสัมผัสภายนอกเป็นปัจจัยแล้วตรงกับที่เรากำหนด สมมุติไว้ คุณได้สัมผัสแล้วก็เกิดสุข ชื่นใจ อร่อย อันนั้นแหละมันเป็นตัวปลอม ของไม่จริง มันเป็นรสชาติที่ไปเสริม เราแตะมะละกอก็รสนี้ ส้มโอก็รสนี้ ต่างกัน แต่คุณสมมุติยึดไว้ในจิตว่า มะละกอรสนี้ ส้มโอรสนี้ ฟักข้าวรสนี้แหละชอบ คุณยึดสมมุตินี้ไว้ พอได้ตามสมมุติก็เกิดรส เป็นรสปลอมรสเท็จ นี่คือตัวปลอมตัวที่ไม่มีจริง  ส่วนรสเดิมของมัน ใครสัมผัสก็เหมือนกันทุกคน จะเรียกภาษาไหนก็แล้วแต่ แต่สัจจะอันเดียวกันหมด แต่ที่ไม่เหมือนคือคนชอบก็สุข ดูด คนไม่ชอบก็ผลัก ทุกข์ อันนี้แหละเท็จ ใครทำอันนี้ออกได้นั่นแหละคุณบรรลุธรรม คุณวิมุติ

 

อาตมาไปบรรยายที่วัดมหาธาตุ บรรยายเสร็จ ลงมา ไอ้หนุ่มก็มาบอกว่ามันชิบหายเลยหลวงพี่ แต่พูดช้าหน่อยฟังไม่ทัน พูดถึงประเด็นที่กินอาหารแล้วอาตมาก็ว่า อาตมาไม่ได้อร่อยแล้ว กินอาหารไม่มีอร่อย อร่อยมันไม่มีหรอก เขาก็งง อาหารไม่อร่อย ที่ชอบนี่เรากินได้สมใจก็ต้องอร่อยสิ แต่มันไม่มีได้อย่างไร เขาก็งงงง อาตมาก็เลยไม่รู้จะอธิบายให้เขาฟังอย่างไร ว่ามันไม่มีรสนี้แล้ว อาตมาอธิบายไม่ออก มีสภาวะแต่ไม่มีนิรุตติปฏิภาณ บอกไปแล้วเขาก็งง ว่ากินแล้วไม่อร่อยลิ้นประสาทเสียหรือเปล่า อาตมาก็ว่าลิ้นปกติดี ประสาทดี หวาน ขม เปรี้ยว เผ็ดก็รู้ทุกอย่าง ตอนนั้นอธิบายไม่ออก อาตมาไม่ได้มีพยัญชนะสุขขัลลิกะที่คือ สุขเท็จ เขาก็แปลไม่ออกว่าสุขเท็จ เขาว่าไม่ใช่ อาตมาก็มารู้ว่า ทางโน้นเขาไม่ได้มีสภาวะ อย่างแปลสัญญาเวทยิตนิโรธคือ ดับสัญญากับเวทนา เขาก็ดับหมด แต่ว่าที่จริงมันก็ดับ สัญญา เวทนา มันลึกซึ้ง มันดับเวทนากับสัญญาจริง แต่ก็ยังมีสัญญาเวทนา มันดับธรรมะสอง ให้เหลือธรรมะรวมลงที่เวทนา โดยส่วนสองด้วย

 

ผู้ที่แยกออกชัดเจนในเวทนา แล้วรู้จักเหตุแห่งสุขทุกข์ จนทำให้เป็นเอกัคคตาได้ ให้เวทนาสอง รวมเป็นเวทนาหนึ่ง เพราะเวทนาที่มีอวิชชามีอยู่ แต่เราได้ล้างไปหมดแล้วดับไป ก็เหลือหนึ่ง จึงรู้ทั้งเคหสิตเวทนา รู้ทั้งเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา แต่ก่อน มันแม้จะไม่สุขไม่ทุกข์ก็เป็นเคหสิตะ แต่พอเราเอากิเลสออกหมด ก็เป็น เนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา คนไม่มีสภาวะจะไม่รู้ กินทีไรก็อร่อยทุกที แต่พวกเราปฏิบัติไป ก็จะรู้ว่า อร่อยหมดไป จะไม่ดูดดึง จืดจางลงไปหรือใครปฏิบัติจนเฉย ถึงเวลากิเลสขึ้นมาต้องอยากอันนี้ แต่ตอนนี้ไม่อยากไม่นึกถึง แต่พอได้พบสัมผัสก็จำได้ว่าอร่อย แต่ไม่ต้องไปกินไปสัมผัสมันก็ได้ ไม่มีความเดือดร้อนที่จะต้องไปสัมผัส สัมผัสแล้วก็จำได้ว่ารสอร่อยอย่างนี้จำได้ มันเคยอร่อย จำความจำได้ ของรสอร่อย แต่ถ้าไม่มีมันไม่ต้องกินไม่ต้องสัมผัสเลย ทางทวาร 5 แต่เราก็ไม่ถึงกับต้องมาสัมผัสลิ้น ก็ผ่านไปไม่ต้องเอามาสัมผัสก็ได้ แต่ถ้าเราติดเราต้องเอามาสัมผัสให้ได้ อย่างที่เราติดยึด อาตมาเคยเล่าว่าคนฆ่าคนด้วยขนมหม้อแกงแค่ชิ้นเดียว สิ่งเหล่านี้เป็นทุกข์เลวร้าย หากเข้าใจว่านี่คือ กามคุณ คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ ก็คืออาการ พอได้ลาภมาก็ดีใจ

 

นี่มีคนที่ซื้อตัวเลข 60 แล้วถูกล็อตเตอรี่ 36 ล้าน นี่เขาก็ว่าขลัง แล้วเขาก็ถามเชิงว่า การซื้อหวยนี่ มันเป็นเชิงกุศลบุญบาปอย่างไร? ...

อาตมาว่ามันเป็นได้ทั้งวิบากกุศลเก่าของเขา หรือเป็นเรื่องความแสวงหาใหม่ ถ้าแสวงหาใหม่ ไม่ใช่กุศลเก่า คุณก็เป็นหนี้เพราะได้สิ่งที่ไม่ใช่ของตน แต่ถ้าได้มาตามกุศลเก่า ก็กินกุศลเก่าเท่านั้นเอง แต่ถ้าเผื่อว่าไม่ใช่กุศลเก่า แต่เป็นกรรมใหม่คุณก็เป็นหนี้มันไม่ใช่ของเรา แต่คนไม่ได้เรียนรู้เขาก็เอา เอาไปใช้อะไรก็เรื่องของเขา ทุกวันนี้มันมีเรื่องใหม่ เหมือนกับก่อสินเชื่อ สร้างกรรมวิธีสารพัดอย่าง คล้ายกันกับวิบากใหม่ ที่แต่ละคนไปได้แฝงจากการซื้อหวย หรือได้จากกิจนั้นกิจนี้หากไม่ใช่กุศลเก่าของคุณ

 

แต่ถ้าผู้ที่ไม่ได้เอาไปผลาญพล่าอะไรก็ไม่ต้องเอากุศลเก่า ให้สร้างแต่กุศลใหม่ สรุปว่าคนมีกุศลเก่าก็ไม่จำเป็นต้องเอามาใช้ สร้างแต่กุศลใหม่ คนเข้าใจแล้วไม่ต้องไปกินกุศลเก่า ถ้ากุศลเก่ามี คุณไม่ต้องอยากได้มาหรอก ที่จะต้องไปแสวงหา มันก็ลดค่าไปสองชั้นแล้ว อยากและแสวงหาแล้วก็ไปต่อสู้ก็ลดค่าอีก ยิ่งไปทุจริต โกงอีกก็คือติดลบไป เพราะฉะนั้น คุณไม่กินกุศลเก่า แต่สร้างแต่กุศลใหม่ กุศลเก่าจะมาตอบแทนคุณเอง คุณไม่ต้องเสียเลย ไม่ต้องเสียอะไร ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยที่อยาก หรือแสวงหาไปโกง ไปทุจริตอีก เหมือนของเรา เราเบิกจากธนาคารที่ไม่มีดอกเบี้ย

 

เรื่องวิบากกรรม เป็นอจินไตยที่อธิบายยากมาก เรามีกุศลเป็นกำแพงกั้นไม่ให้วิบากบาปมาตามทัน

อกุศล หรือบาป นี่มันวิ่งไล่ตามเราตลอดเวลาไม่เคยหยุดพัก แต่กุศลมันไม่เคยตามไล่เราเหมือนหมาล่าเนื้อ

ถึงเวลาก็มาช่วย แต่อกุศลไม่เคยพัก ถ้าเราไม่สร้างกำแพงมากั้นมันก็ตามทัน แล้วยิ่งกินกุศลเก่าอีก เหมือนกระต่ายวิ่งหนีเสือไปในพุ่มไม้ แต่กระต่ายก็กินใบไม้ไปเรื่อยๆ สุดท้ายใบไม้ร่อยหรอก เสือก็เห็นกระต่ายในที่สุด

 

เช่น พระพุทธเจ้าท่านเล่าว่าบาปของท่าน ท่านไปฆ่าน้องชายต่างมารดาตาย ท่านบำเพ็ญกุศลจนมันมีอกุศลเบาบาง แต่เศษแห่งวิบากก็ตามมาเล่นงานท่านได้ มันมีอำนาจทุกขณะ อธิบายยากมากว่าจะออกมาในรูปไหน? ไม่ต้องอธิบายเรื่องแก้แค้นพยาบาท คุณฆ่ากันไปกันมา มันมีเหมือนกัน แต่ไม่ได้ตายตัวอย่างนั้น แต่มันมีที่ต้องไปฆ่ากันไปมา หรือร้ายแรงขึ้นหนักกว่าฆ่ากัน หรือเบาลงได้ เปลี่ยนแปลงได้ นี่คืออจินไตยที่รู้ยาก ถ้าเข้าใจดีแล้ว บาปอย่าทำ อกุศลอย่าทำ ต่อไปเราไม่ก่อกิเลสอีก หยุดเลย มีแต่กุศลสูปสัมปทา มีแต่กำแพงกุศล ไม่มีอกุศลไปบวก หมาไล่เนื้อจะตามไม่ทัน ไม่มีโอกาสที่อกุศลเก่าที่แรงไม่พอจะตามทัน ขนาดพระพุทธเจ้าอกุศลเก่ายังตามมาทันเลย น่ากลัวไหม? แล้วคุณเป็นใคร? อย่าทำเป็นเล่น ถ้าใครกั้นได้หยุดได้ดีที่สุด

 

กายและนามรูปนี้ เกิดผัสสะขึ้นมา กายก็คือสังขาร แล้วประชุมกันขึ้นมา เพราะผัสะ เกิด ผัสสะ สฬายตนะ ใน ทวารทั้ง 6 ทั้งสองอย่างนั้นหรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง สัมผัสกับคนพาล เป็นเหตุให้เกิดสุขทุกข์

 

ในพระไตรปิฎก [เล่ม16 ข้อ57]

พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี

เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้ของคนพาล ผู้อัน

อวิชชาหุ้มห่อแล้ว ประกอบด้วยตัณหา เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ กายนี้ด้วย นามรูปในภายนอกด้วย

ย่อมมีด้วยประการดังนี้ เพราะอาศัยกายและนามรูปทั้งสองนี้ จึงเกิดผัสสะ สฬายตนะ ซึ่งทั้ง

สองอย่างนั้นหรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ถูกต้องคนพาล เป็นเหตุให้เสวยสุขและทุกข์ กายนี้ของ

บัณฑิตผู้อันอวิชชาหุ้มห่อแล้วประกอบด้วยตัณหา เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ กายนี้ด้วย นามรูป

ในภายนอกด้วย ย่อมมีด้วยประการดังนี้ เพราะอาศัยกายและนามรูปทั้งสองนี้   จึงเกิดผัสสะ

สฬายตนะ ซึ่งทั้งสองอย่างนั้นหรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ถูกต้องบัณฑิต เป็นเหตุให้เสวยสุข

และทุกข์ ฯ

 

 

[58] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องนั้น จะแปลกกันอย่างไร จะมีอธิบายอย่างไร

จะต่างกันอย่างไร  ระหว่างบัณฑิตกับพาล พวกภิกษุกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ธรรมของพวก

ข้าพระองค์มีพระผู้มีพระภาคเป็นเดิม มีพระผู้มีพระภาคเป็นผู้นำ มีพระผู้มีพระภาคเป็นที่พึ่งอาศัย

ขอประทานพระวโรกาส เนื้อความแห่งพระภาษิตนี้ แจ่มแจ้งแก่พระผู้มีพระภาคพระองค์เดียว

ภิกษุทั้งหลายได้ฟังแต่พระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้ ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้นพวกเธอจงฟัง   จงใส่ใจให้ดีเถิด

เราจักกล่าว ภิกษุพวกนั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ

 

 

[59] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้ของคนพาลผู้ถูกอวิชชาใด

หุ้มห่อแล้ว และประกอบแล้วด้วยตัณหาใด เกิดขึ้นแล้ว อวิชชานั้น   คนพาลยังละไม่ได้ และ

ตัณหานั้นยังไม่สิ้นไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะคนพาลไม่ได้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความ

สิ้นทุกข์โดยชอบ เหตุนั้น เมื่อตายไปคนพาลย่อมเข้าถึงกาย เมื่อเขาเข้าถึงกายชื่อว่ายังไม่พ้น

จากชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส เรากล่าวว่า ยังไม่พ้นไปจากทุกข์

กายนี้ของบัณฑิตผู้ถูกอวิชชาใดหุ้มห่อแล้ว และประกอบด้วยตัณหาใด เกิดขึ้นแล้ว อวิชชานั้น

บัณฑิตละได้แล้วและตัณหานั้นสิ้นไปแล้ว ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าบัณฑิตได้ประพฤติ

พรหมจรรย์ เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ เหตุนั้น เมื่อตายไป บัณฑิตย่อมไม่เข้าถึงกาย เมื่อเขา

ไม่เข้าถึงกาย ชื่อว่าย่อมพ้นจากชาติ ชรา มรณะ  โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส เรากล่าว

ว่า ย่อมพ้นจากทุกข์ อันนี้เป็นความแปลกกัน อันนี้เป็นอธิบาย อันนี้เป็นความต่างกันของ

บัณฑิตกับคนพาล กล่าวคือการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ฯ

จบสูตรที่ 9

 

พ่อครูว่าสรุปแล้วทุกข์สุข เกิดมาแต่เหตุ เป็นอิทัปปจยตา เหตุใหญ่มาจากผู้ที่ไม่ได้สดับธรรมพระพุทธเจ้าไม่ได้ประพฤติธรรมพระพุทธเจ้าไม่ได้ประพฤติจนกำจัดเหตุมันหมด จนเหตุหมดแล้ว กายดับ กายของอะไร?

 

กายของสัตว์ สัตตาวาส 9

 

กาย คือองค์รวมของตัณหากับอวิชชา สำหรับคนพาลคนไม่เดียงสา ก็ยังอยากอยู่ ก็ยังโง่อยู่ไม่ได้ละล้างให้หมดไปจากจิต จึงมีวิบากจิต คืออนุสัยที่มันยังฝังความโง่กับความอยากอยู่ อวิชชากับตัณหา ก็ยังไม่รู้จักความจริงของกามตัณหา ภวตัณหาอยู่  จึงยังมีกาย อันเป็นองค์ประชุมของธรรมะสองที่ปรุงแต่งกันอยู่ มันทำปฏิกิริยาสังขาร ก็คือกายของเทวดาหรือผีนรก องค์ประชุมของธรรมะสองที่ปรุงแต่งสังขาร สังขารคือ สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ คือเวทนา

 

คนไม่รู้จักตัณหา ไม่ว่ากามหรือภวตัณหาก็ปรุงไป เป็นกายเป็นเวทนา แต่ถ้าตายแล้ว จึงยังมีกาย เพราะเวทนาที่คุณ มีอวิชชา มีตัณหา มันก็ให้คุณปรุงแต่ง แม้ตายไป กายก็ยังมีสำหรับคนพาล

 

แต่ผู้บัณฑิต ได้ศึกษาจริง ถูกต้องตามพระพุทธเจ้าสอน แล้วหาเหตุแล้วล้างเหตุได้ จับได้ตั้งแต่สังโยชน์ข้อ 1 คือสักกาย ของตน แล้ว พิจารณาอ่าน กายในกาย ที่จริง กายในกายก็คือเวทนา จริงแล้วเวทนามีเหตุ คือจิต เจตสิก เหตุเป็นราคะ โทสะ

 

กาย คือองค์ประชุมธรรมะสอง แล้วรวมลงเป็นอันเดียวคือ เวทนา ดังนั้นกาย กับเวทนาจึงคือ จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง กายกับเวทนาจึงเป็นปัจจยการกัน เป็นจิต มโน วิญญาณ ที่เดินทางไปกับการกระทำกับกาละ และทุกอารมณ์ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ จึงเกิดจากสังขารคือการปรุงแต่งของธรรมะสอง ถ้ายังมีเหตุเหลือ เหตุแห่งอุปาทาน คือตัณหาอยู่เท่าใดก็คือเกิดสุข ทุกข์เท่านั้น มันยังไม่มีปัญญา

 

พลังปัญญา ไม่มากพอจะไปสลายอุปาทาน พลังไฟฌาน อินทรีย์พละ ไม่ว่าจะกำลังระดับไหน เป็นปัญญินทรีย์ที่เกิดจากสั่งสม อินทรีย์ 5 พละ 5 ไม่มากพอที่จะไปสลาย ไฟราคะ ไฟโทสะ มันก็เหลือ หรือทำลายไปเท่าไหร่ก็เหลือเท่านั้น ถ้าไฟปัญญามากก็จะสลายได้

 

ต่อเมื่อหมดสิ้นเหตุ คือกามตัณหาและภวตัณหา ล้างรูปาวจร เหลืออรูปาวจร จนล้างต่ออีก ก็หมดความยึดถือสิ้นเกลี้ยง องค์ประชุมหรือกายของ สุขทุกข์จึงไม่มี บัณฑิตกับพาล จึงมีกายและไม่มีกายด้วยประการฉะนี้

 

บัณฑิต ปฏิบัติกายได้ตั้งแต่ตอนเป็นๆ รู้ว่าสัตว์มีอยู่เท่าไหร่ ในสัตตาวาส 9 ตั้งแต่ข้อแรกคือ

1. กายต่างกัน สัญญาต่างกัน ต่างคนหลากหลายไม่เหมือนกัน ต่างคนต่างว่า อย่างนี้สุข ทุกข์ของตนเอง แม้สัมผัสอย่างเดียวกันก็สุข ทุกข์ต่างกันไปทั้งขนาดและปริมาณ ที่ต่างกัน จึงต่างหลากหลายนับประมาณมิได้

จะเรียกสุขว่าเทวดา หรือทุกข์คือนรก หรือมนุษย์คือกลางๆหรือใจสูง ใจเจริญ มีทั้งแบบโลกีย์หรือโลกุตระ

 

สรุปชัดๆ ผู้ที่สามารถปฏิบัติธรรม กายข้อที่1 กายข้อที่ 2 ... ในวิญญาณฐีติ หรือสัตตาวาส9

 

ข้อ 2 กายต่างกัน สัญญาอย่างเดียว คือสัญญาว่าคุณจะต้องได้สภาพของจิตไม่มีนิวรณ์ แต่จิตที่ไม่มีนิวรณ์ันั้นแบบฤาษีก็ได้ กายไม่มีนิวรณ์ แต่หลับตา แต่แบบพระพุทธเจ้านั้นไม่มีนิวรณ์แต่แบบลืมตา กายที่ได้จึงต่างกัน องค์ประชุมของรูป นามไม่เหมือนกัน ของหลับตาไม่มีการสัมผัสทวาร 6 ครบ แต่ของพุทธ สัมผัสครบทวาร ลืมตาอยู่ แต่จิตไม่มีนิวรณ์เหมือนกัน สัญญาเหมือนกัน แต่ทิฏฐินั้นต่างกัน คุณไปสัญญากำหนดหมายว่าอาการไม่มีนิวรณ์เป็นเช่นนี้ แต่องค์ประชุมรูปนามต่างกัน

 

ฌานที่คุณได้ ในข้อที่ 2 เป็นปฐมฌาน คนที่ได้อย่างหลับตาจะได้โดยยากได้โดยลำบาก แต่ของพุทธนี่ได้โดยไม่ยากได้โดยไม่ลำบาก เพราะไม่ต้องเสียเวลาไปหาสถานที่ แต่ของพุทธทำได้ทุกที่ทุกเวลา แต่อาจต้องเคร่งคุมอยู่ในระยะแรก ยิ่งไปฌาน 2 ฌาน 3 ฌาน 4 ก็เคร่งคุมลดลง มีปีติ มีสุข อุเบกขา จนชินชาวางเฉยได้ จนเก่งในการวางเฉย เป็น ปริสุทธาปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสสนา มี นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ได้แล้วจะอนุโลม ปรุงไปกับเขาได้เหมือนแม่เล่นหม้อข้าวหม้อแกงกับลูกได้ แต่ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌานทั้ง 4 ซึ่งง่ายกว่าแบบไปนั่งหลับตาที่กว่าจะเข้าจะออกกว่าจะได้ก็ยาก

 

ผู้ที่ทำแบบเป็นๆของพระพุทธเจ้า ตอนเป็นๆกายไม่มีแล้ว ตายไปก็ไม่มีกาย ยิ่งได้อย่างนิจจัง แล้วก็ไม่มีสุขทุกข์ ไม่มีสวรรค์นรก ยืนยันได้ตอนเป็นๆ มาดูได้ เหมือนราชรถ ได้นั่งเสวยสุขสงบนิพพานแล้วเป็นแล้ว คนจะมาบอกว่าสุขอย่างไร?ก็สุขมันไม่มี เป็นๆนี่แหละพิสูจน์ได้ ตอนตายแล้วพิสูจน์ไม่ได้

 

คนนั่งหลับตาสมาธิ เขาจะรู้ไหมว่า กาย หมายถึงอะไร? เขาไม่รู้ แล้วเขานั่งหลับตานะ เขาเป็นอย่างไร เขาก็ว่าเขาไม่มีกาย ก็ถูกอีก เพราะกายต้องมีดินน้ำไฟลม ในอานาปานสติสูตร บอกว่าต้องมีลมหายใจเข้าออก จึงมีกาย

 

อานาปานสติจึงต้องมีกาย กายคตาสติกับอานาปานสติไม่ได้แยกกัน อานาปานสติ 16 อย่าง ต้องปฏิบัติขณะมีกายคตาสติ เดินยืนนั่งนอนเอี้ยวแขนไกวขา ต้องอ่านตามเห็น อนุปัสสี 4 แล้วทำให้เกิดเป็นปฏินิสสัคคานุปัสสี ต้องทำขณะลืมตา ในขณะปฏิบัติกายคตาสติ คนไม่เข้าใจจะแยกส่วนปฏิบัติ ไปนั่งหลับตาเข้าภพ

 

พระพุทธเจ้าสำทับว่า ต่อให้อาสวะบางอย่างสิ้นแล้ว มีองค์ประชุมของกายเป็นพยาน ของคุณคนใดนั่งหลับตาหากคุณยืนยันว่ามีแล้ว ก็ต้องปฏิบัติวิโมกข์ 8 ให้ครบ ทั้งภายนอกและภายใน โดย วิโมกข์ 8 ข้อ 2 คืออัชฌัตตังอรูปสัญญี เอโก พหิทารูปานิปัสสติ คือต้องเห็นสัมผัสทั้งนอกถึงใน อย่างมีญาณปัญญาด้วยนะ

 

เห็นภายนอก รูปทั้งหลาย รูปีรูปานิ แล้วเห็นเข้าไปภายใน อัชฌัตตัง แล้วเห็นถึงอรูปด้วย อรูปสัญญี ใช้สัญญากำหนดรู้ทั้งภายนอกและภายใน จึงครบกายเสมอ 

 

ทำดับตั้งแต่กิเลสอบาย กามาวจร จนหมดกามมาวจร ก็มีองค์ประชุมในกามาวจร แต่องค์ประชุมของกามคือกายไม่มี เพราะดับเหตุ คือราคะที่เป็นกามราคะหมดแล้ว เหลือแต่รูปราคะ อรูปราคะ กายนอกหมดแล้ว ภพกามดับแล้ว ก็เหลือแต่กายของรูป และกายของอรูปที่เป็นสัตว์

 

ในสัตตาวาสข้อ 3 และ4 ที่ต่างกันหรืออย่างเดียวกันคือ สัมมากับมิจฉาทิฏฐิ

 

สัตตาวาสข้อ 3 กายอย่างเดียวกันสัญญาต่างกัน ได้จิตสว่างอาภัสสรา กายสว่างเหมือนกัน สายธรรมกายเขานั่งหลับตาได้สว่าง แต่เขานั่งหลับตา กายของเขาได้แต่ในภพ แต่ของพุทธสว่างเหมือนกัน แต่ของพุทธลืมตา สัญญาอันหนึ่งสว่างไปใส นี่สายใส ไปสว่างอนันโตอากาโสติ เขาก็ว่าเป็นภพ เป็นเทวดา วิมานของเขา จนโสดาฯ สกิทาฯ ก็ใส จนเป็นพระพุทธเจ้าก็ใส ได้แต่ภพใส แล้วไม่มีใครไปวัดค่าได้ ของใครของมันจึงเรียกว่าใส ต่อให้ธรรมกายก็วัดของคนอื่นไม่ได้ ต่อให้ธรรมกายเหมือนกันก็ตาม บอกกันได้คร่าวๆแต่ไปรู้ว่าของใครใสอย่างไรไม่ได้

 

เหมือนสายดับดำที่นั่งหลับตาได้อากาสาฯ ในขณะได้ฌาน 4 ก็สมมุติว่ารูปจะต้องหนากว่าอรูปนะ ภพรูปมันเหมือนเราอยู่ในโลก ส่วนภพอรูปเหมือนเราอยู่นอกโลก มันต้องเบาว่างลอยไป จากแรงดึงดูดโลก ถ้าจะออกไปอรูปโลกต้องหลุดจากแรงดึงดูดโลก ก็หลุดปึ๊ง อาตมาก็มีสัญญาแบบนั้นหลุดปึ๊งไป โอ้โห สว่าง จะมีสภาวะที่เรากำหนดหมายจากที่เรายึดอยู่ เหมือนหลุดจากแรงดึงดูดโลก ไม่ต้องอยู่กับพื้นมันลอยเบาว่างเลย แต่วัดไม่ได้ว่าเบาต่างอย่างไร แต่หลุดปึ๊ง

 

สายสว่างก็กำหนดให้กันไม่ได้ กำหนดได้แต่ของตน ก็ว่าได้แล้ว เพราะฉะนั้นสำเร็จทุกคนเพราะปั้นเอาเองทุกคน น่าสงสาร ถูกครอบงำด้วยมโนมยอัตตา

 

อันที่ 4 สายหลับตา ในรูปฌานก็ไม่ได้ดับมืด แต่รู้ว่าไม่มีนิวรณ์ ใครนั่งหลับตาไปก็ได้อทุกขมสุข แต่ก็มีสัญญาว่าตนต้องหลุดในรูปฌาน ไปหาอรูปฌานก็หลุดปึ๊ง ได้อากาสาฯ เหมือนเราหลุดออกจากโลก ตนเองก็ไม่รู้ตัวมันมีแต่รสความว่าง ไม่รู้ว่าเราคือใครด้วยซ้ำ นี่คืออากาสานัญจายตนภพ หรืออากาสานัญจายตนสัตว์ จนกว่าเราจะรู้ตัวว่าเราคือเรา อยู่ในความว่างก็คือ วิญญานัญจายตนภพ(สัตว์) แม้สายสมาธิหลับก็ได้เรียนมาว่าความสว่างไม่ได้สูง ต้องดับสิมันถึงสูงส่งกว่า ก็ทำการดับให้ดำมืด ไม่มีอะไรก็คืออากิญจัญญายตนภพ(สัตว์) ก็คือไม่มีจิตรับรู้อะไร เขาก็ได้ความดับเบื้องต้น ดับดำ ไม่ใช่ดับสว่าง แต่ดับมืดให้จิตไม่รับรู้อะไรเหมือนอาฬารดาบส นี้แหละคือสุภกิณหา เขาได้สำเร็จก็ว่าได้โชค คือนิโรธแบบดับ

 

อันที่ 4 นี้เขาได้กายแล้วคือ กายดับ แต่ทิฏฐิเขานี่เขาทิฏฐิว่า ดับจิตให้มันดำ ให้ไม่มีสัญญาไม่มีเวทนา เขามีทิฏฐิเช่นนี้ แต่ทิฏฐิของพระพุทธเจ้านั้นให้ดับตัวกิเลส ให้หมดความเป็นสัตว์ หมดชีวิตินทรีย์ของสัตว์เลย  อากาสาฯ นั้นคือฐานสว่าง ก็ซ้อนไปหาอากาสานัญจายตนะ เป็นข้อที่ 5 ของสัตตาวาส

 

อากาสานัญจายตนะ ของพุทธได้อุเบกขาแล้วก็ทำความว่างให้ ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุกัมมัญญา ประภัสสราเพิ่มขึ้น ตรวจว่าความว่างนั้นมีอะไรอยู่ ของพุทธนั้นอากิญฯต้องตรวจสอบว่าสิ่งที่ไม่ให้มีเหลือเศษส่วนธุลีละอองอีกเท่าไหร่ จิตต้องอ่าน มีมุทุ หากมีเศษธุลีต้องเอาออก จิตก็ยิ่งทำการงานได้เจริญยิ่งขึ้น ของพุทธ แต่ของฤาษีไม่มีการงานไม่มีมุทุเลย ดับนิ่งเลย

 

ในวิญญาณฐีติ 4 ได้สุภกิณหา แล้วไปวิญญาณฐีติ 5 เป็นอสัญญีสัตว์ที่ไม่มีอายตนะ สำหรับทิฏฐิเดียรถีย์ที่ผิด เขาก็ไปดับสัญญา เป็นอสัญญีสัตว์ แต่อสัญญีของพุทธนั้นก็มี แต่ไม่ได้ดับสัญญา แต่ก็ไม่ได้ดับสัญญา

 

ดับสัญญาที่มันเหลืออีกคือ เนวสัญญานาสัญญา สัญญาตัวสุดท้ายนี้ คือจะรู้ก็ไม่ใช่ ไม่รู้ก็ไม่ใช่ เหมือนอุทกดาบส รู้ตรงนี้แล้วดับ ส่วนทิฏฐิของพระพุทธเจ้า ตรวจอากาสาฯ แล้วตรวจ วิญญานัญญา ตรวจกรอบ ปริตตัง จนเป็นอนันตัง จนสุดหาที่สุดมิได้ ไกลจนแต่ละคนก็สะอาดไปหมด ว่างสว่างสะอาดแล้วท่านก็ให้ซ้ำตัวอากิญจัญ ไม่ให้มีธุลีละอองเลย

แล้วตรวจเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน(ภพ,ภูมิ) ความรู้สุดท้ายที่ตรวจสอบ อย่างมีอายตนะ ไม่ใช่อสัญญีสัตว์ แต่ถ้าจะอสัญญีก็คือ อสัญญีสัตตายตนะไม่ใช่อสัญญีสัตว์ แต่เป็นสัตว์ที่ดับสัญญาในสัญญา

 

สัญญาใดที่เป็นสัญญุปาทานักขันโธ มีอุปาทานในขันธ์ หรือตรวจสอบอุปาทานในเวทนา ในสังขาร ในรูป ก็ตรวจ ว่ามีรูปูปาทานักขันโธ ตรวจเศษเหลือ สัญญากำหนดทวนแล้วทวนอีก สังขารูปานักขันโธ วิญญูปาทานักขันโธ หมดอุปาทานในขันธ์สิ้น ผ่านสมติกมะ หลุดพ้น หรือจะเรียกว่าวุฒฐานะออกจากฌานก็ได้ หมายถึงสู่ สัญญาเวทยิตนิโรธ สัญญานี้ทำงานเคล้าเคลียเวทนา ได้ตรวจสอบสัญญา เวทนาในเวทนา ละเอียดหมด ซ้ำทั้งเวทนา 108 จนอดีตมั่นคงไม่ต้องพยากรณ์ว่าอนาคตก็สูญแน่นอนเด็ดขาด คุณเป็นผู้ตัดสินได้เลยว่าจบกิจ กตญาณครบเวทนา 108 สั่งสมเป็นอดีต ทุกปัจจุบัน จนครบ 3 กาละเลย มีอุเบกขา ตลอดกาลนาน  อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา จนเป็นสมาหิตังจิตตัง เป็นสมาธิตั้งมั่นวิมุติถาวรแล้ว

 

แล้วได้นิโรธเห็นชัดๆลืมตาโต้งๆอยู่กับสามัญปกติ ไม่ได้หนีไปไม่รู้เรื่อง แม้ความเป็นสัตว์ตัวสุดท้าย คือ พ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะแล้ว จึงเป็นสัตว์ที่ไม่มีสัญญา เพราะได้ตัดตัวยึดมั่นในขันธ์ 5 นี้แล้วหมดอุปาทานแล้ว พระพุทธเจ้าจึงถามว่าถ้าไม่ยึดขันธ์ 5 แล้ว พวกเธอยังยึดอะไรอีก...ภิกษุก็จะตอบว่าไม่พะยะค่ะ เหลืออายตนะ 2 ที่เป็นธรรมายตนะกับมนายตนะแล้ว

 

อธิบายว่ากายคือจิตคือมโนคือวิญญาณก็ไม่งง มาอธิบายว่ากายของคนพาลตายไปแล้วก็ยังมีนะ ก็ไม่งง แต่ถ้าคุณดับสัญญาตัวที่คุณกำหนดหมายว่าจะไม่ให้มี แต่ดับได้แล้วคุณก็ยังมีขันธ์ 5 มีตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ไม่มีโลกีย์แล้ว อรหันต์เป็นต้นไปก็มี ขันธ์ 5 แต่สะอาดหมด อาศัยเพื่อทำประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ อย่างจริงใจซื่อสัตย์สะอาดบริสุทธิ์ท่านไม่ทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่ใครเป็นหลักประกันความเป็นมนุษย์เจริญ อาริยมนุษย์เป็นได้แล้วสุดยอด

 

แล้วคนเช่นนี้ไม่ได้ต้องมาบวชแล้วเข้าป่า แต่อยู่กับโลกอย่างมี โลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก) นี่คือของพระพุทธเจ้าสุดวิเศษเช่นนี้

 

 บัณฑิตย่อมไม่เข้าถึงกาย คือพ้นจากชาติ ชรา มรณะ

ภิกฺขเว   ปณฺฑิโต   พฺรหฺมจริย   สมฺมา   ทุกฺขกฺขยาย   ตสฺมา  ปณฺฑิโต

กายสฺส    เภทา   น   กายูปโค   โหติ   โส   อกายูปโค   สมาโน

ปริมุจฺจติ   ชาติยา   ชราย   มรเณน   โสเกหิ   ปริเทเวหิ   ทุกฺเขหิ

โทมนสฺเสหิ    อุปายาเสหิ   ปริมุจฺจติ   ทุกฺขสฺมาติ   วทามิ   ฯ   อยํ

 

พระพุทธเจ้าว่า ตราบใดยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ โลกไม่ว่างจากอรหันต์ พวกเราไม่ต้องตอบ รู้ด้วยตนเอง อย่าหลอกตนเอง แล้วไม่หลอกใคร แต่ช่วยมนุษย์โลกแท้จริง ไม่หนีโลกแต่อยู่กับโลกอย่างเหนือโลก แม้โลกธรรมกระแทกอย่างไรก็ มีโลกุตรจิต อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

คุณมีโลกทัศน์ต่างกัน ก็มีโลกวิทู แต่อยู่กับโลกอย่างเราเหนือโลก มีโลกุตรจิต แล้วเราก็ได้ช่วยโลกอย่างใจบริสุทธิ์ อย่างที่เราได้ออกไป คือจิตมนุสโส ที่จะมาพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) เมืองไทยต้องมีให้ได้ อาตมาก็จะพยายามอายุยืนยาวเพื่อดูว่าพวกคุณจะเป็นได้อย่างอาตมาว่า .....เอวัง


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:28:58 )

580417

รายละเอียด

580417_ธรรมธรรมะสงคราม บ้านราชฯ กายของบัณฑิตกับพาลเป็นไฉน

พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 17 เม.. 2558 แรม 14 ค่ำ เดือน 5 ปีมะแม วันนี้เป็นวันพระ วันนี้เราก็จะว่าไปเรื่อยๆ เรื่องธรรมะ อธิบาย ซ้ำ เจาะลึก วนไปได้ตลอดเวลา เพราะเป็นเรื่องที่คัมภีรา ทุทสา

1.    คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.    ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.    ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.    สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) สงบเพราะกิเลสดับ  

ตัวกายกลิดับไป

5.    ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.    อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.    นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.    ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

 

กายกลิ คือองค์ประชุมรูปนามที่เป็นภัยในตัวเรา ก็คือกิเลสตัวแท้โดยตรงเลย ตัวนี้ดับไป จิตก็เลยยิ่งมีพลังงานสร้างสรร รู้เร็วไว เปลี่ยนแปลงในทิศทางดีได้ง่ายไม่แข็งทื่อพาซื่อ ความสงบ ที่สอนกัน ความสงบเป็นสุขอย่างยิ่ง เขาก็คิดว่า คือการหลับตานิ่งเฉย แข็งทื่อทั้งกายและใจไปเลย นี่คือสภาพที่เขาเรียกว่าสงบ เป็นสุขอย่างยิ่ง ที่จริงมันก็เบาดีไม่ต้องออกแรงใดๆ พวกจริตไม่ชอบทำการงานประโยชน์ก็ได้ แต่ไม่ถูก มันมิติระนาบเดียว ไม่ใช่เรื่องปรมัตถธรรมที่วิเศษ คำว่าสันตาหรือสันตินี่แหละที่เข้าใจต่างกัน

 

อตักกาวจรา ผู้ที่เข้าไม่ถึงจะอ่านเดาคุณธรรมพุทธไม่ได้ จะคิดแต่เหตุผลทางโลกีย์ ถ้าไม่มีมรรคผลแท้ จะไม่เข้าถึงได้ เพราะมโนทัศน์พื้นฐานทั่วไปความสงบคือ นิ่งไม่กระดุกกระดิก แต่นี่สงบจากความไม่ดีงาม แต่กลับมีความคล่องแคล่ว ของจิตเจตสิก เป็นกายปาคุญญตา สังขารปรุงแต่งเต็มที่เป็น วิสังขาร นัยหนึ่งไม่มีตัวเลยไปร่วม ส่วนวิ อีกนัยคือ วิเศษเลย เป็นความยอดเยี่ยมที่เข้าใจได้ยากมาก

 

ลักษณะของสัจธรรมที่อธิบาย นิปุณา คือละเอียดลึกซึ้งขั้นนิพพาน แล้วมี ปัณฑิตเวทนียา คือบัณฑิตเท่านั้นจะรู้ได้

 

ในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์วันนี้ เขาว่าเมืองไทยนี่เคร่งศาสนาที่สุดในโลก

 

ไทยแลนด์ เคร่งศาสนาที่สุดในโลก นสพ. โพสต์ทูเดย์ 16 เมษายน 2558

 

ผลสำรวจชี้ไทยเป็นประเทศที่มีผู้คนเคร่งศาสนามากที่สุดในโลก สะท้อนศาสนามีอิทธิพลทุกมิติชีวิตของคนไทย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าประเทศที่แสนจะ ฟรีสไตล์ทำอะไรตามใจคือไทยแท้อย่างสยามเมืองยิ้มของเราจะเป็นประเทศที่ผู้คนเคร่ง ศาสนาหรือระบุตัวเองว่านับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งมากที่สุดในโลก จากการสำรวจล่าสุดโดยกัลลัพ (Gallup) และวีไอ (WI ) ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่สร้างความเซอร์ไพร์สให้กับชาวโลกเป็นอย่างยิ่ง เพราะภาพลักษณ์ของไทยแทบไม่ส่อไปในทางนั้นเลย อีกทั้งหลายฝ่ายยังมองว่าภูมิภาคตะวันออกลางน่าจะเคร่งศาสนามากกว่า ด้วยซ้ำ จากผลการสำรวจครั้งนี้ทำขึ้นโดยสัมภาษณ์ชาวโลกถึง 63,898 คน ใน 65 ประเทศ พบว่า คนไทยถึง 94% ยืนยันว่าตัวเองเป็นคนเคร่งศาสนา มีเพียง1% เท่านั้นที่ไม่มีศาสนา และอีก 1% ไม่เชื่อถือในศาสนาใดๆ ส่วนอีก 3% ไม่ตอบหรือไม่มีคำตอบที่ชัดเจน ตัวเลขที่ออกมานี้ แสดงให้เห็นว่า ศาสนายังคงมีอิทธิพลทุกมิติชีวิตของคนไทย โดยเฉพาะในวิถีชีวิตประจำวัน

 

นอกจากนี้ จากการสำรวจ ยังพบแนวโน้มด้วยว่าคนรุ่นใหม่จะนับถือศาสนากันมากขึ้น โดยกลุ่มคนอายุต่ำกว่า 25 ปี มีสัดส่วนที่นับถือศาสนาถึง 65% อายุระหว่าง 25-34 ปี มีถึง 67% และยังพบด้วยว่า ผู้ที่นับถือศาสนามีระดับการศึกษาที่หลากหลายคละกันไปในอัตราส่วนใกล้เคียง กัน ทว่า หากลงในรายละเอียด จะพบว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับการศึกษามีศรัทธาในเรื่องนี้มากที่สุด ก่อนหน้านี้ ยังมีการสำรวจโดยพิว รีเสิร์ช เซ็นเตอร์ (Pew Research Center) พบว่า ยิ่งประเทศมีความมั่งคั่งทางวัตถุมากเท่าไร ระดับความเคร่งศาสนาก็ยิ่งจะน้อยลงเป็นเงาตามตัว สำหรับประเทศที่เคร่งศาสนาเป็นอันดับ 2 รองจากไทย คือ อาร์เมเนีย ในสัดส่วน 93% ตามด้วยบังกลาเทศ 93% จอร์เจีย 93% โมร็อกโก 93% เท่ากัน อย่างไรก็ตามเมื่อแบ่งตามทวีปแล้ว แอฟริกาจะมีผู้เคร่งศาสนามากที่สุด ตามด้วยภูมิภาคตะวันออกกลาง ส่วนเอเชียอยู่ในอันดับที่ 6 และยุโรปตะวันตกอยู่ในอันดับท้ายสุด....

 

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะประเทศที่เคร่งศาสนาน้อยที่สุดล้วนแต่อยู่ใน 2 ภูมิภาคหลัง คือ จีน มีผู้เคร่งศาสนาน้อยที่สุดเพียง 7% ตามด้วยญี่ปุ่น 13% สวีเดน 19% สาธารณรัฐเช็ก 23% และเนเธอร์แลนด์ 26% ขณะที่ฮ่องกงมีผู้ที่ไม่เชื่อในศาสนาใดๆ มากที่สุดในโลก ถึง 70%....

 

พ่อครูว่า...ก็น่าภูมิใจ ที่ยังมีอยู่ แม้ว่าจะมิจฉาทิฏฐิ ออกนอกรีตไปบ้าง โดยความหมายกว้างๆก็พอรู้เบื้องต้น แต่เจาะไปในเบื้องกลางและปลายแล้วกลายเป็นศาสนาอื่นมาปน ที่เรียกว่า ออกนอกขอบเขตพุทธหรือแสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ  บุญคือการชำระจิตสันดานให้หมดจด ก็พากเพียรไป

 

มีคำถามมา ในวันที่ 17 เมษายน 2558

 

กราบถามพ่อท่าน จาก ศิษย์ขอบจอ...ที่รู้สึกหงุดหงิด

 

เขาถามว่า...เพราะเหตุใด ? ทำให้ คนบางคน ความเห็นบางความเห็น ตลอดจนคนทำสื่อบางสื่อ... มองเห็น เรื่องราวอะไร ๆ ต่าง ๆ ก็เห็นเป็นเกมส์ ไปหมด... ไม่ว่า ใคร จะทำอะไร ยังไง...

 

สมมุติฐานคนที่คิดแบบนี้ เป็นอย่างไร ? ครับ

 

ที่มาคำถาม.. ของเขาคือหัวข้อข่าวที่ว่า ....เตือนไทยเล่นเกมเสี่ยง!!หันผูกมิตรรัสเซีย-จีน กระทบสัมพันธ์สหรัฐฯระยะยาว

 

พ่อครูว่า... นี่คือเรื่องของธรรมาธรรมะสงคราม ดูแล้วก็เบื่อไม่ลง มีอะไรตลกๆ แล้วทีนี้ คนที่ถามก็มองว่า อันนี้เขาเห็นว่าเป็นเกม ค่ือท่าทีลีลาของคนที่ทำอะไรไม่จริงใจ ก็เหมือนเกม แต่พวกเรานี่ทำงานไปแล้วเราก็รู้เป้าหมายว่าทำเพื่ออะไร เราก็ทำไปอย่างจริงใจ ไม่ได้คิดว่าทำไปแล้วเราจะได้อะไรกลับมา เราก็ทำไปเพื่อเสียสละ ทุนรอนแรงงานความคิด ทำให้สำเร็จผล เรื่องดีที่เราทำ แล้วมันจะดี ชนะ สำเร็จ โดยสามัญสำนึกคนก็บอกว่าต้องได้ต้องสำเร็จต้องชนะ แต่เราก็ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นเราก็ทำเต็มที่เท่าที่ทำได้ ดีที่สุด เป็นผลอย่างไรก็ว่าไป แล้วเราก็ไม่เคยว่า ทำได้แล้วก็ดีใจ แล้วไปทับถมเขา เราไม่ได้ไปขูดรีดเขา เราเพียงแต่ว่า ให้คุณหยุดเถอะ สิ่งที่คุณทำนี่มันผิด เราก็ทำเช่นนี้ส่วนใหญ่ ส่วนทางวัตถุ เราไม่ได้ไปแย่งกับใคร เราทำงานสังคมเพื่อให้คุณหยุดทำสิ่งผิด ถ้าไม่มีงานนี้เราก็ทำงานสร้างผลผลิต ทำงานไว้อาศัยกินใช้ มีเหลือมีเกินเราก็แจกจ่ายเจือจานสังคมไป นี่คืองานของเรา เราไม่ได้ไปทำเพื่อชนะแล้วเราก็ไม่ได้ไปเอาอะไรจากเขา ไม่ได้เอาโลกธรรม ลาภ  ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แม้แต่อารมณ์เสพ ชนะชื่นใจเหมือนคนเตะบอลเข้าโกล เราก็ไม่ทำแบบนั้น ที่แบบดีใจมาก สะสมเป็นกิเลสอนุสัย กลายเป็นอัตตาตัวตนที่จะต้องได้ต้องมีต้องเป็นอย่างนี้ ที่จริงคุณปั้นสร้างมาเองแล้วก็ยึดเองว่าเป็นสุข

 

อาตมาต้องการอธิบายตรงนี้แหละ ที่คนเราจะบรรลุธรรม หรือตรัสรู้ หรือการที่จะทำใจไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ได้สำเร็จเสียที เพราะไม่รู้ตรงนี้ ตรงที่ว่าสิ่งนี้มันอนัตตา สุญญาตา แต่คนก็ไปยึดว่ามันเป็นมันมี มันยากมากเหลือเกิน ละเอียดเหลือเกิน อาตมายกตัวอย่างง่ายๆ รสอร่อย คุณกินส้มโอ มะละกอ พอกินเข้าไปแล้วมันถูกกับอุปาทาน รส กลิ่น กามคุณ 5 แล้วแถมอัตตาเป็นอุปาทาน แล้วเอาเหตุสัมผัสภายนอกเป็นปัจจัยแล้วตรงกับที่เรากำหนด สมมุติไว้ คุณได้สัมผัสแล้วก็เกิดสุข ชื่นใจ อร่อย อันนั้นแหละมันเป็นตัวปลอม ของไม่จริง มันเป็นรสชาติที่ไปเสริม เราแตะมะละกอก็รสนี้ ส้มโอก็รสนี้ ต่างกัน แต่คุณสมมุติยึดไว้ในจิตว่า มะละกอรสนี้ ส้มโอรสนี้ ฟักข้าวรสนี้แหละชอบ คุณยึดสมมุตินี้ไว้ พอได้ตามสมมุติก็เกิดรส เป็นรสปลอมรสเท็จ นี่คือตัวปลอมตัวที่ไม่มีจริง  ส่วนรสเดิมของมัน ใครสัมผัสก็เหมือนกันทุกคน จะเรียกภาษาไหนก็แล้วแต่ แต่สัจจะอันเดียวกันหมด แต่ที่ไม่เหมือนคือคนชอบก็สุข ดูด คนไม่ชอบก็ผลัก ทุกข์ อันนี้แหละเท็จ ใครทำอันนี้ออกได้นั่นแหละคุณบรรลุธรรม คุณวิมุติ

 

อาตมาไปบรรยายที่วัดมหาธาตุ บรรยายเสร็จ ลงมา ไอ้หนุ่มก็มาบอกว่ามันชิบหายเลยหลวงพี่ แต่พูดช้าหน่อยฟังไม่ทัน พูดถึงประเด็นที่กินอาหารแล้วอาตมาก็ว่า อาตมาไม่ได้อร่อยแล้ว กินอาหารไม่มีอร่อย อร่อยมันไม่มีหรอก เขาก็งง อาหารไม่อร่อย ที่ชอบนี่เรากินได้สมใจก็ต้องอร่อยสิ แต่มันไม่มีได้อย่างไร เขาก็งงงง อาตมาก็เลยไม่รู้จะอธิบายให้เขาฟังอย่างไร ว่ามันไม่มีรสนี้แล้ว อาตมาอธิบายไม่ออก มีสภาวะแต่ไม่มีนิรุตติปฏิภาณ บอกไปแล้วเขาก็งง ว่ากินแล้วไม่อร่อยลิ้นประสาทเสียหรือเปล่า อาตมาก็ว่าลิ้นปกติดี ประสาทดี หวาน ขม เปรี้ยว เผ็ดก็รู้ทุกอย่าง ตอนนั้นอธิบายไม่ออก อาตมาไม่ได้มีพยัญชนะสุขขัลลิกะที่คือ สุขเท็จ เขาก็แปลไม่ออกว่าสุขเท็จ เขาว่าไม่ใช่ อาตมาก็มารู้ว่า ทางโน้นเขาไม่ได้มีสภาวะ อย่างแปลสัญญาเวทยิตนิโรธคือ ดับสัญญากับเวทนา เขาก็ดับหมด แต่ว่าที่จริงมันก็ดับ สัญญา เวทนา มันลึกซึ้ง มันดับเวทนากับสัญญาจริง แต่ก็ยังมีสัญญาเวทนา มันดับธรรมะสอง ให้เหลือธรรมะรวมลงที่เวทนา โดยส่วนสองด้วย

 

ผู้ที่แยกออกชัดเจนในเวทนา แล้วรู้จักเหตุแห่งสุขทุกข์ จนทำให้เป็นเอกัคคตาได้ ให้เวทนาสอง รวมเป็นเวทนาหนึ่ง เพราะเวทนาที่มีอวิชชามีอยู่ แต่เราได้ล้างไปหมดแล้วดับไป ก็เหลือหนึ่ง จึงรู้ทั้งเคหสิตเวทนา รู้ทั้งเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา แต่ก่อน มันแม้จะไม่สุขไม่ทุกข์ก็เป็นเคหสิตะ แต่พอเราเอากิเลสออกหมด ก็เป็น เนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา คนไม่มีสภาวะจะไม่รู้ กินทีไรก็อร่อยทุกที แต่พวกเราปฏิบัติไป ก็จะรู้ว่า อร่อยหมดไป จะไม่ดูดดึง จืดจางลงไปหรือใครปฏิบัติจนเฉย ถึงเวลากิเลสขึ้นมาต้องอยากอันนี้ แต่ตอนนี้ไม่อยากไม่นึกถึง แต่พอได้พบสัมผัสก็จำได้ว่าอร่อย แต่ไม่ต้องไปกินไปสัมผัสมันก็ได้ ไม่มีความเดือดร้อนที่จะต้องไปสัมผัส สัมผัสแล้วก็จำได้ว่ารสอร่อยอย่างนี้จำได้ มันเคยอร่อย จำความจำได้ ของรสอร่อย แต่ถ้าไม่มีมันไม่ต้องกินไม่ต้องสัมผัสเลย ทางทวาร 5 แต่เราก็ไม่ถึงกับต้องมาสัมผัสลิ้น ก็ผ่านไปไม่ต้องเอามาสัมผัสก็ได้ แต่ถ้าเราติดเราต้องเอามาสัมผัสให้ได้ อย่างที่เราติดยึด อาตมาเคยเล่าว่าคนฆ่าคนด้วยขนมหม้อแกงแค่ชิ้นเดียว สิ่งเหล่านี้เป็นทุกข์เลวร้าย หากเข้าใจว่านี่คือ กามคุณ คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ ก็คืออาการ พอได้ลาภมาก็ดีใจ

 

นี่มีคนที่ซื้อตัวเลข 60 แล้วถูกล็อตเตอรี่ 36 ล้าน นี่เขาก็ว่าขลัง แล้วเขาก็ถามเชิงว่า การซื้อหวยนี่ มันเป็นเชิงกุศลบุญบาปอย่างไร? ...

อาตมาว่ามันเป็นได้ทั้งวิบากกุศลเก่าของเขา หรือเป็นเรื่องความแสวงหาใหม่ ถ้าแสวงหาใหม่ ไม่ใช่กุศลเก่า คุณก็เป็นหนี้เพราะได้สิ่งที่ไม่ใช่ของตน แต่ถ้าได้มาตามกุศลเก่า ก็กินกุศลเก่าเท่านั้นเอง แต่ถ้าเผื่อว่าไม่ใช่กุศลเก่า แต่เป็นกรรมใหม่คุณก็เป็นหนี้มันไม่ใช่ของเรา แต่คนไม่ได้เรียนรู้เขาก็เอา เอาไปใช้อะไรก็เรื่องของเขา ทุกวันนี้มันมีเรื่องใหม่ เหมือนกับก่อสินเชื่อ สร้างกรรมวิธีสารพัดอย่าง คล้ายกันกับวิบากใหม่ ที่แต่ละคนไปได้แฝงจากการซื้อหวย หรือได้จากกิจนั้นกิจนี้หากไม่ใช่กุศลเก่าของคุณ

 

แต่ถ้าผู้ที่ไม่ได้เอาไปผลาญพล่าอะไรก็ไม่ต้องเอากุศลเก่า ให้สร้างแต่กุศลใหม่ สรุปว่าคนมีกุศลเก่าก็ไม่จำเป็นต้องเอามาใช้ สร้างแต่กุศลใหม่ คนเข้าใจแล้วไม่ต้องไปกินกุศลเก่า ถ้ากุศลเก่ามี คุณไม่ต้องอยากได้มาหรอก ที่จะต้องไปแสวงหา มันก็ลดค่าไปสองชั้นแล้ว อยากและแสวงหาแล้วก็ไปต่อสู้ก็ลดค่าอีก ยิ่งไปทุจริต โกงอีกก็คือติดลบไป เพราะฉะนั้น คุณไม่กินกุศลเก่า แต่สร้างแต่กุศลใหม่ กุศลเก่าจะมาตอบแทนคุณเอง คุณไม่ต้องเสียเลย ไม่ต้องเสียอะไร ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยที่อยาก หรือแสวงหาไปโกง ไปทุจริตอีก เหมือนของเรา เราเบิกจากธนาคารที่ไม่มีดอกเบี้ย

 

เรื่องวิบากกรรม เป็นอจินไตยที่อธิบายยากมาก เรามีกุศลเป็นกำแพงกั้นไม่ให้วิบากบาปมาตามทัน

อกุศล หรือบาป นี่มันวิ่งไล่ตามเราตลอดเวลาไม่เคยหยุดพัก แต่กุศลมันไม่เคยตามไล่เราเหมือนหมาล่าเนื้อ

ถึงเวลาก็มาช่วย แต่อกุศลไม่เคยพัก ถ้าเราไม่สร้างกำแพงมากั้นมันก็ตามทัน แล้วยิ่งกินกุศลเก่าอีก เหมือนกระต่ายวิ่งหนีเสือไปในพุ่มไม้ แต่กระต่ายก็กินใบไม้ไปเรื่อยๆ สุดท้ายใบไม้ร่อยหรอก เสือก็เห็นกระต่ายในที่สุด

 

เช่น พระพุทธเจ้าท่านเล่าว่าบาปของท่าน ท่านไปฆ่าน้องชายต่างมารดาตาย ท่านบำเพ็ญกุศลจนมันมีอกุศลเบาบาง แต่เศษแห่งวิบากก็ตามมาเล่นงานท่านได้ มันมีอำนาจทุกขณะ อธิบายยากมากว่าจะออกมาในรูปไหน? ไม่ต้องอธิบายเรื่องแก้แค้นพยาบาท คุณฆ่ากันไปกันมา มันมีเหมือนกัน แต่ไม่ได้ตายตัวอย่างนั้น แต่มันมีที่ต้องไปฆ่ากันไปมา หรือร้ายแรงขึ้นหนักกว่าฆ่ากัน หรือเบาลงได้ เปลี่ยนแปลงได้ นี่คืออจินไตยที่รู้ยาก ถ้าเข้าใจดีแล้ว บาปอย่าทำ อกุศลอย่าทำ ต่อไปเราไม่ก่อกิเลสอีก หยุดเลย มีแต่กุศลสูปสัมปทา มีแต่กำแพงกุศล ไม่มีอกุศลไปบวก หมาไล่เนื้อจะตามไม่ทัน ไม่มีโอกาสที่อกุศลเก่าที่แรงไม่พอจะตามทัน ขนาดพระพุทธเจ้าอกุศลเก่ายังตามมาทันเลย น่ากลัวไหม? แล้วคุณเป็นใคร? อย่าทำเป็นเล่น ถ้าใครกั้นได้หยุดได้ดีที่สุด

 

กายและนามรูปนี้ เกิดผัสสะขึ้นมา กายก็คือสังขาร แล้วประชุมกันขึ้นมา เพราะผัสะ เกิด ผัสสะ สฬายตนะ ใน ทวารทั้ง 6 ทั้งสองอย่างนั้นหรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง สัมผัสกับคนพาล เป็นเหตุให้เกิดสุขทุกข์

 

ในพระไตรปิฎก [เล่ม16 ข้อ57]

พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี

เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้ของคนพาล ผู้อัน

อวิชชาหุ้มห่อแล้ว ประกอบด้วยตัณหา เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ กายนี้ด้วย นามรูปในภายนอกด้วย

ย่อมมีด้วยประการดังนี้ เพราะอาศัยกายและนามรูปทั้งสองนี้ จึงเกิดผัสสะ สฬายตนะ ซึ่งทั้ง

สองอย่างนั้นหรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ถูกต้องคนพาล เป็นเหตุให้เสวยสุขและทุกข์ กายนี้ของ

บัณฑิตผู้อันอวิชชาหุ้มห่อแล้วประกอบด้วยตัณหา เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ กายนี้ด้วย นามรูป

ในภายนอกด้วย ย่อมมีด้วยประการดังนี้ เพราะอาศัยกายและนามรูปทั้งสองนี้   จึงเกิดผัสสะ

สฬายตนะ ซึ่งทั้งสองอย่างนั้นหรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ถูกต้องบัณฑิต เป็นเหตุให้เสวยสุข

และทุกข์ ฯ

 

 

[58] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องนั้น จะแปลกกันอย่างไร จะมีอธิบายอย่างไร

จะต่างกันอย่างไร  ระหว่างบัณฑิตกับพาล พวกภิกษุกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ธรรมของพวก

ข้าพระองค์มีพระผู้มีพระภาคเป็นเดิม มีพระผู้มีพระภาคเป็นผู้นำ มีพระผู้มีพระภาคเป็นที่พึ่งอาศัย

ขอประทานพระวโรกาส เนื้อความแห่งพระภาษิตนี้ แจ่มแจ้งแก่พระผู้มีพระภาคพระองค์เดียว

ภิกษุทั้งหลายได้ฟังแต่พระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้ ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้นพวกเธอจงฟัง   จงใส่ใจให้ดีเถิด

เราจักกล่าว ภิกษุพวกนั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ

 

 

[59] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้ของคนพาลผู้ถูกอวิชชาใด

หุ้มห่อแล้ว และประกอบแล้วด้วยตัณหาใด เกิดขึ้นแล้ว อวิชชานั้น   คนพาลยังละไม่ได้ และ

ตัณหานั้นยังไม่สิ้นไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะคนพาลไม่ได้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความ

สิ้นทุกข์โดยชอบ เหตุนั้น เมื่อตายไปคนพาลย่อมเข้าถึงกาย เมื่อเขาเข้าถึงกายชื่อว่ายังไม่พ้น

จากชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส เรากล่าวว่า ยังไม่พ้นไปจากทุกข์

กายนี้ของบัณฑิตผู้ถูกอวิชชาใดหุ้มห่อแล้ว และประกอบด้วยตัณหาใด เกิดขึ้นแล้ว อวิชชานั้น

บัณฑิตละได้แล้วและตัณหานั้นสิ้นไปแล้ว ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าบัณฑิตได้ประพฤติ

พรหมจรรย์ เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ เหตุนั้น เมื่อตายไป บัณฑิตย่อมไม่เข้าถึงกาย เมื่อเขา

ไม่เข้าถึงกาย ชื่อว่าย่อมพ้นจากชาติ ชรา มรณะ  โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส เรากล่าว

ว่า ย่อมพ้นจากทุกข์ อันนี้เป็นความแปลกกัน อันนี้เป็นอธิบาย อันนี้เป็นความต่างกันของ

บัณฑิตกับคนพาล กล่าวคือการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ฯ

จบสูตรที่ 9

 

พ่อครูว่าสรุปแล้วทุกข์สุข เกิดมาแต่เหตุ เป็นอิทัปปจยตา เหตุใหญ่มาจากผู้ที่ไม่ได้สดับธรรมพระพุทธเจ้าไม่ได้ประพฤติธรรมพระพุทธเจ้าไม่ได้ประพฤติจนกำจัดเหตุมันหมด จนเหตุหมดแล้ว กายดับ กายของอะไร?

 

กายของสัตว์ สัตตาวาส 9

 

กาย คือองค์รวมของตัณหากับอวิชชา สำหรับคนพาลคนไม่เดียงสา ก็ยังอยากอยู่ ก็ยังโง่อยู่ไม่ได้ละล้างให้หมดไปจากจิต จึงมีวิบากจิต คืออนุสัยที่มันยังฝังความโง่กับความอยากอยู่ อวิชชากับตัณหา ก็ยังไม่รู้จักความจริงของกามตัณหา ภวตัณหาอยู่  จึงยังมีกาย อันเป็นองค์ประชุมของธรรมะสองที่ปรุงแต่งกันอยู่ มันทำปฏิกิริยาสังขาร ก็คือกายของเทวดาหรือผีนรก องค์ประชุมของธรรมะสองที่ปรุงแต่งสังขาร สังขารคือ สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ คือเวทนา

 

คนไม่รู้จักตัณหา ไม่ว่ากามหรือภวตัณหาก็ปรุงไป เป็นกายเป็นเวทนา แต่ถ้าตายแล้ว จึงยังมีกาย เพราะเวทนาที่คุณ มีอวิชชา มีตัณหา มันก็ให้คุณปรุงแต่ง แม้ตายไป กายก็ยังมีสำหรับคนพาล

 

แต่ผู้บัณฑิต ได้ศึกษาจริง ถูกต้องตามพระพุทธเจ้าสอน แล้วหาเหตุแล้วล้างเหตุได้ จับได้ตั้งแต่สังโยชน์ข้อ 1 คือสักกาย ของตน แล้ว พิจารณาอ่าน กายในกาย ที่จริง กายในกายก็คือเวทนา จริงแล้วเวทนามีเหตุ คือจิต เจตสิก เหตุเป็นราคะ โทสะ

 

กาย คือองค์ประชุมธรรมะสอง แล้วรวมลงเป็นอันเดียวคือ เวทนา ดังนั้นกาย กับเวทนาจึงคือ จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง กายกับเวทนาจึงเป็นปัจจยการกัน เป็นจิต มโน วิญญาณ ที่เดินทางไปกับการกระทำกับกาละ และทุกอารมณ์ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ จึงเกิดจากสังขารคือการปรุงแต่งของธรรมะสอง ถ้ายังมีเหตุเหลือ เหตุแห่งอุปาทาน คือตัณหาอยู่เท่าใดก็คือเกิดสุข ทุกข์เท่านั้น มันยังไม่มีปัญญา

 

พลังปัญญา ไม่มากพอจะไปสลายอุปาทาน พลังไฟฌาน อินทรีย์พละ ไม่ว่าจะกำลังระดับไหน เป็นปัญญินทรีย์ที่เกิดจากสั่งสม อินทรีย์ 5 พละ 5 ไม่มากพอที่จะไปสลาย ไฟราคะ ไฟโทสะ มันก็เหลือ หรือทำลายไปเท่าไหร่ก็เหลือเท่านั้น ถ้าไฟปัญญามากก็จะสลายได้

 

ต่อเมื่อหมดสิ้นเหตุ คือกามตัณหาและภวตัณหา ล้างรูปาวจร เหลืออรูปาวจร จนล้างต่ออีก ก็หมดความยึดถือสิ้นเกลี้ยง องค์ประชุมหรือกายของ สุขทุกข์จึงไม่มี บัณฑิตกับพาล จึงมีกายและไม่มีกายด้วยประการฉะนี้

 

บัณฑิต ปฏิบัติกายได้ตั้งแต่ตอนเป็นๆ รู้ว่าสัตว์มีอยู่เท่าไหร่ ในสัตตาวาส 9 ตั้งแต่ข้อแรกคือ

1. กายต่างกัน สัญญาต่างกัน ต่างคนหลากหลายไม่เหมือนกัน ต่างคนต่างว่า อย่างนี้สุข ทุกข์ของตนเอง แม้สัมผัสอย่างเดียวกันก็สุข ทุกข์ต่างกันไปทั้งขนาดและปริมาณ ที่ต่างกัน จึงต่างหลากหลายนับประมาณมิได้

จะเรียกสุขว่าเทวดา หรือทุกข์คือนรก หรือมนุษย์คือกลางๆหรือใจสูง ใจเจริญ มีทั้งแบบโลกีย์หรือโลกุตระ

 

สรุปชัดๆ ผู้ที่สามารถปฏิบัติธรรม กายข้อที่1 กายข้อที่ 2 ... ในวิญญาณฐีติ หรือสัตตาวาส9

 

ข้อ 2 กายต่างกัน สัญญาอย่างเดียว คือสัญญาว่าคุณจะต้องได้สภาพของจิตไม่มีนิวรณ์ แต่จิตที่ไม่มีนิวรณ์ันั้นแบบฤาษีก็ได้ กายไม่มีนิวรณ์ แต่หลับตา แต่แบบพระพุทธเจ้านั้นไม่มีนิวรณ์แต่แบบลืมตา กายที่ได้จึงต่างกัน องค์ประชุมของรูป นามไม่เหมือนกัน ของหลับตาไม่มีการสัมผัสทวาร 6 ครบ แต่ของพุทธ สัมผัสครบทวาร ลืมตาอยู่ แต่จิตไม่มีนิวรณ์เหมือนกัน สัญญาเหมือนกัน แต่ทิฏฐินั้นต่างกัน คุณไปสัญญากำหนดหมายว่าอาการไม่มีนิวรณ์เป็นเช่นนี้ แต่องค์ประชุมรูปนามต่างกัน

 

ฌานที่คุณได้ ในข้อที่ 2 เป็นปฐมฌาน คนที่ได้อย่างหลับตาจะได้โดยยากได้โดยลำบาก แต่ของพุทธนี่ได้โดยไม่ยากได้โดยไม่ลำบาก เพราะไม่ต้องเสียเวลาไปหาสถานที่ แต่ของพุทธทำได้ทุกที่ทุกเวลา แต่อาจต้องเคร่งคุมอยู่ในระยะแรก ยิ่งไปฌาน 2 ฌาน 3 ฌาน 4 ก็เคร่งคุมลดลง มีปีติ มีสุข อุเบกขา จนชินชาวางเฉยได้ จนเก่งในการวางเฉย เป็น ปริสุทธาปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสสนา มี นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ได้แล้วจะอนุโลม ปรุงไปกับเขาได้เหมือนแม่เล่นหม้อข้าวหม้อแกงกับลูกได้ แต่ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌานทั้ง 4 ซึ่งง่ายกว่าแบบไปนั่งหลับตาที่กว่าจะเข้าจะออกกว่าจะได้ก็ยาก

 

ผู้ที่ทำแบบเป็นๆของพระพุทธเจ้า ตอนเป็นๆกายไม่มีแล้ว ตายไปก็ไม่มีกาย ยิ่งได้อย่างนิจจัง แล้วก็ไม่มีสุขทุกข์ ไม่มีสวรรค์นรก ยืนยันได้ตอนเป็นๆ มาดูได้ เหมือนราชรถ ได้นั่งเสวยสุขสงบนิพพานแล้วเป็นแล้ว คนจะมาบอกว่าสุขอย่างไร?ก็สุขมันไม่มี เป็นๆนี่แหละพิสูจน์ได้ ตอนตายแล้วพิสูจน์ไม่ได้

 

คนนั่งหลับตาสมาธิ เขาจะรู้ไหมว่า กาย หมายถึงอะไร? เขาไม่รู้ แล้วเขานั่งหลับตานะ เขาเป็นอย่างไร เขาก็ว่าเขาไม่มีกาย ก็ถูกอีก เพราะกายต้องมีดินน้ำไฟลม ในอานาปานสติสูตร บอกว่าต้องมีลมหายใจเข้าออก จึงมีกาย

 

อานาปานสติจึงต้องมีกาย กายคตาสติกับอานาปานสติไม่ได้แยกกัน อานาปานสติ 16 อย่าง ต้องปฏิบัติขณะมีกายคตาสติ เดินยืนนั่งนอนเอี้ยวแขนไกวขา ต้องอ่านตามเห็น อนุปัสสี 4 แล้วทำให้เกิดเป็นปฏินิสสัคคานุปัสสี ต้องทำขณะลืมตา ในขณะปฏิบัติกายคตาสติ คนไม่เข้าใจจะแยกส่วนปฏิบัติ ไปนั่งหลับตาเข้าภพ

 

พระพุทธเจ้าสำทับว่า ต่อให้อาสวะบางอย่างสิ้นแล้ว มีองค์ประชุมของกายเป็นพยาน ของคุณคนใดนั่งหลับตาหากคุณยืนยันว่ามีแล้ว ก็ต้องปฏิบัติวิโมกข์ 8 ให้ครบ ทั้งภายนอกและภายใน โดย วิโมกข์ 8 ข้อ 2 คืออัชฌัตตังอรูปสัญญี เอโก พหิทารูปานิปัสสติ คือต้องเห็นสัมผัสทั้งนอกถึงใน อย่างมีญาณปัญญาด้วยนะ

 

เห็นภายนอก รูปทั้งหลาย รูปีรูปานิ แล้วเห็นเข้าไปภายใน อัชฌัตตัง แล้วเห็นถึงอรูปด้วย อรูปสัญญี ใช้สัญญากำหนดรู้ทั้งภายนอกและภายใน จึงครบกายเสมอ 

 

ทำดับตั้งแต่กิเลสอบาย กามาวจร จนหมดกามมาวจร ก็มีองค์ประชุมในกามาวจร แต่องค์ประชุมของกามคือกายไม่มี เพราะดับเหตุ คือราคะที่เป็นกามราคะหมดแล้ว เหลือแต่รูปราคะ อรูปราคะ กายนอกหมดแล้ว ภพกามดับแล้ว ก็เหลือแต่กายของรูป และกายของอรูปที่เป็นสัตว์

 

ในสัตตาวาสข้อ 3 และ4 ที่ต่างกันหรืออย่างเดียวกันคือ สัมมากับมิจฉาทิฏฐิ

 

สัตตาวาสข้อ 3 กายอย่างเดียวกันสัญญาต่างกัน ได้จิตสว่างอาภัสสรา กายสว่างเหมือนกัน สายธรรมกายเขานั่งหลับตาได้สว่าง แต่เขานั่งหลับตา กายของเขาได้แต่ในภพ แต่ของพุทธสว่างเหมือนกัน แต่ของพุทธลืมตา สัญญาอันหนึ่งสว่างไปใส นี่สายใส ไปสว่างอนันโตอากาโสติ เขาก็ว่าเป็นภพ เป็นเทวดา วิมานของเขา จนโสดาฯ สกิทาฯ ก็ใส จนเป็นพระพุทธเจ้าก็ใส ได้แต่ภพใส แล้วไม่มีใครไปวัดค่าได้ ของใครของมันจึงเรียกว่าใส ต่อให้ธรรมกายก็วัดของคนอื่นไม่ได้ ต่อให้ธรรมกายเหมือนกันก็ตาม บอกกันได้คร่าวๆแต่ไปรู้ว่าของใครใสอย่างไรไม่ได้

 

เหมือนสายดับดำที่นั่งหลับตาได้อากาสาฯ ในขณะได้ฌาน 4 ก็สมมุติว่ารูปจะต้องหนากว่าอรูปนะ ภพรูปมันเหมือนเราอยู่ในโลก ส่วนภพอรูปเหมือนเราอยู่นอกโลก มันต้องเบาว่างลอยไป จากแรงดึงดูดโลก ถ้าจะออกไปอรูปโลกต้องหลุดจากแรงดึงดูดโลก ก็หลุดปึ๊ง อาตมาก็มีสัญญาแบบนั้นหลุดปึ๊งไป โอ้โห สว่าง จะมีสภาวะที่เรากำหนดหมายจากที่เรายึดอยู่ เหมือนหลุดจากแรงดึงดูดโลก ไม่ต้องอยู่กับพื้นมันลอยเบาว่างเลย แต่วัดไม่ได้ว่าเบาต่างอย่างไร แต่หลุดปึ๊ง

 

สายสว่างก็กำหนดให้กันไม่ได้ กำหนดได้แต่ของตน ก็ว่าได้แล้ว เพราะฉะนั้นสำเร็จทุกคนเพราะปั้นเอาเองทุกคน น่าสงสาร ถูกครอบงำด้วยมโนมยอัตตา

 

อันที่ 4 สายหลับตา ในรูปฌานก็ไม่ได้ดับมืด แต่รู้ว่าไม่มีนิวรณ์ ใครนั่งหลับตาไปก็ได้อทุกขมสุข แต่ก็มีสัญญาว่าตนต้องหลุดในรูปฌาน ไปหาอรูปฌานก็หลุดปึ๊ง ได้อากาสาฯ เหมือนเราหลุดออกจากโลก ตนเองก็ไม่รู้ตัวมันมีแต่รสความว่าง ไม่รู้ว่าเราคือใครด้วยซ้ำ นี่คืออากาสานัญจายตนภพ หรืออากาสานัญจายตนสัตว์ จนกว่าเราจะรู้ตัวว่าเราคือเรา อยู่ในความว่างก็คือ วิญญานัญจายตนภพ(สัตว์) แม้สายสมาธิหลับก็ได้เรียนมาว่าความสว่างไม่ได้สูง ต้องดับสิมันถึงสูงส่งกว่า ก็ทำการดับให้ดำมืด ไม่มีอะไรก็คืออากิญจัญญายตนภพ(สัตว์) ก็คือไม่มีจิตรับรู้อะไร เขาก็ได้ความดับเบื้องต้น ดับดำ ไม่ใช่ดับสว่าง แต่ดับมืดให้จิตไม่รับรู้อะไรเหมือนอาฬารดาบส นี้แหละคือสุภกิณหา เขาได้สำเร็จก็ว่าได้โชค คือนิโรธแบบดับ

 

อันที่ 4 นี้เขาได้กายแล้วคือ กายดับ แต่ทิฏฐิเขานี่เขาทิฏฐิว่า ดับจิตให้มันดำ ให้ไม่มีสัญญาไม่มีเวทนา เขามีทิฏฐิเช่นนี้ แต่ทิฏฐิของพระพุทธเจ้านั้นให้ดับตัวกิเลส ให้หมดความเป็นสัตว์ หมดชีวิตินทรีย์ของสัตว์เลย  อากาสาฯ นั้นคือฐานสว่าง ก็ซ้อนไปหาอากาสานัญจายตนะ เป็นข้อที่ 5 ของสัตตาวาส

 

อากาสานัญจายตนะ ของพุทธได้อุเบกขาแล้วก็ทำความว่างให้ ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุกัมมัญญา ประภัสสราเพิ่มขึ้น ตรวจว่าความว่างนั้นมีอะไรอยู่ ของพุทธนั้นอากิญฯต้องตรวจสอบว่าสิ่งที่ไม่ให้มีเหลือเศษส่วนธุลีละอองอีกเท่าไหร่ จิตต้องอ่าน มีมุทุ หากมีเศษธุลีต้องเอาออก จิตก็ยิ่งทำการงานได้เจริญยิ่งขึ้น ของพุทธ แต่ของฤาษีไม่มีการงานไม่มีมุทุเลย ดับนิ่งเลย

 

ในวิญญาณฐีติ 4 ได้สุภกิณหา แล้วไปวิญญาณฐีติ 5 เป็นอสัญญีสัตว์ที่ไม่มีอายตนะ สำหรับทิฏฐิเดียรถีย์ที่ผิด เขาก็ไปดับสัญญา เป็นอสัญญีสัตว์ แต่อสัญญีของพุทธนั้นก็มี แต่ไม่ได้ดับสัญญา แต่ก็ไม่ได้ดับสัญญา

 

ดับสัญญาที่มันเหลืออีกคือ เนวสัญญานาสัญญา สัญญาตัวสุดท้ายนี้ คือจะรู้ก็ไม่ใช่ ไม่รู้ก็ไม่ใช่ เหมือนอุทกดาบส รู้ตรงนี้แล้วดับ ส่วนทิฏฐิของพระพุทธเจ้า ตรวจอากาสาฯ แล้วตรวจ วิญญานัญญา ตรวจกรอบ ปริตตัง จนเป็นอนันตัง จนสุดหาที่สุดมิได้ ไกลจนแต่ละคนก็สะอาดไปหมด ว่างสว่างสะอาดแล้วท่านก็ให้ซ้ำตัวอากิญจัญ ไม่ให้มีธุลีละอองเลย

แล้วตรวจเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน(ภพ,ภูมิ) ความรู้สุดท้ายที่ตรวจสอบ อย่างมีอายตนะ ไม่ใช่อสัญญีสัตว์ แต่ถ้าจะอสัญญีก็คือ อสัญญีสัตตายตนะไม่ใช่อสัญญีสัตว์ แต่เป็นสัตว์ที่ดับสัญญาในสัญญา

 

สัญญาใดที่เป็นสัญญุปาทานักขันโธ มีอุปาทานในขันธ์ หรือตรวจสอบอุปาทานในเวทนา ในสังขาร ในรูป ก็ตรวจ ว่ามีรูปูปาทานักขันโธ ตรวจเศษเหลือ สัญญากำหนดทวนแล้วทวนอีก สังขารูปานักขันโธ วิญญูปาทานักขันโธ หมดอุปาทานในขันธ์สิ้น ผ่านสมติกมะ หลุดพ้น หรือจะเรียกว่าวุฒฐานะออกจากฌานก็ได้ หมายถึงสู่ สัญญาเวทยิตนิโรธ สัญญานี้ทำงานเคล้าเคลียเวทนา ได้ตรวจสอบสัญญา เวทนาในเวทนา ละเอียดหมด ซ้ำทั้งเวทนา 108 จนอดีตมั่นคงไม่ต้องพยากรณ์ว่าอนาคตก็สูญแน่นอนเด็ดขาด คุณเป็นผู้ตัดสินได้เลยว่าจบกิจ กตญาณครบเวทนา 108 สั่งสมเป็นอดีต ทุกปัจจุบัน จนครบ 3 กาละเลย มีอุเบกขา ตลอดกาลนาน  อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา จนเป็นสมาหิตังจิตตัง เป็นสมาธิตั้งมั่นวิมุติถาวรแล้ว

 

แล้วได้นิโรธเห็นชัดๆลืมตาโต้งๆอยู่กับสามัญปกติ ไม่ได้หนีไปไม่รู้เรื่อง แม้ความเป็นสัตว์ตัวสุดท้าย คือ พ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะแล้ว จึงเป็นสัตว์ที่ไม่มีสัญญา เพราะได้ตัดตัวยึดมั่นในขันธ์ 5 นี้แล้วหมดอุปาทานแล้ว พระพุทธเจ้าจึงถามว่าถ้าไม่ยึดขันธ์ 5 แล้ว พวกเธอยังยึดอะไรอีก...ภิกษุก็จะตอบว่าไม่พะยะค่ะ เหลืออายตนะ 2 ที่เป็นธรรมายตนะกับมนายตนะแล้ว

 

อธิบายว่ากายคือจิตคือมโนคือวิญญาณก็ไม่งง มาอธิบายว่ากายของคนพาลตายไปแล้วก็ยังมีนะ ก็ไม่งง แต่ถ้าคุณดับสัญญาตัวที่คุณกำหนดหมายว่าจะไม่ให้มี แต่ดับได้แล้วคุณก็ยังมีขันธ์ 5 มีตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ไม่มีโลกีย์แล้ว อรหันต์เป็นต้นไปก็มี ขันธ์ 5 แต่สะอาดหมด อาศัยเพื่อทำประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ อย่างจริงใจซื่อสัตย์สะอาดบริสุทธิ์ท่านไม่ทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่ใครเป็นหลักประกันความเป็นมนุษย์เจริญ อาริยมนุษย์เป็นได้แล้วสุดยอด

 

แล้วคนเช่นนี้ไม่ได้ต้องมาบวชแล้วเข้าป่า แต่อยู่กับโลกอย่างมี โลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก) นี่คือของพระพุทธเจ้าสุดวิเศษเช่นนี้

 

 บัณฑิตย่อมไม่เข้าถึงกาย คือพ้นจากชาติ ชรา มรณะ

ภิกฺขเว   ปณฺฑิโต   พฺรหฺมจริย   สมฺมา   ทุกฺขกฺขยาย   ตสฺมา  ปณฺฑิโต

กายสฺส    เภทา   น   กายูปโค   โหติ   โส   อกายูปโค   สมาโน

ปริมุจฺจติ   ชาติยา   ชราย   มรเณน   โสเกหิ   ปริเทเวหิ   ทุกฺเขหิ

โทมนสฺเสหิ    อุปายาเสหิ   ปริมุจฺจติ   ทุกฺขสฺมาติ   วทามิ   ฯ   อยํ

 

พระพุทธเจ้าว่า ตราบใดยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ โลกไม่ว่างจากอรหันต์ พวกเราไม่ต้องตอบ รู้ด้วยตนเอง อย่าหลอกตนเอง แล้วไม่หลอกใคร แต่ช่วยมนุษย์โลกแท้จริง ไม่หนีโลกแต่อยู่กับโลกอย่างเหนือโลก แม้โลกธรรมกระแทกอย่างไรก็ มีโลกุตรจิต อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

คุณมีโลกทัศน์ต่างกัน ก็มีโลกวิทู แต่อยู่กับโลกอย่างเราเหนือโลก มีโลกุตรจิต แล้วเราก็ได้ช่วยโลกอย่างใจบริสุทธิ์ อย่างที่เราได้ออกไป คือจิตมนุสโส ที่จะมาพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) เมืองไทยต้องมีให้ได้ อาตมาก็จะพยายามอายุยืนยาวเพื่อดูว่าพวกคุณจะเป็นได้อย่างอาตมาว่า .....เอวัง


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2563 ( 15:13:28 )

580419

รายละเอียด

580419_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก ชมพูทวีป-อมรโคยาน-อุตรกุรุทวีป

.เพาะพุทธว่า....ช่วงนี้พ่อครูกลับมาจากการไปร่วมงานที่บ้านราชฯ วันนี้พ่อครูจะนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับชมพูทวีป ... เป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณที่มีความหลากลาย ในพระไตรปิฎก ล. 20 ซึ่งมีสูตรที่เกี่ยวกับอะไรที่ควรเปิดเผยหรือควรปิดบัง...

          ปฏิจฉันนสูตร   [571]

 ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่ง 3 อย่างนี้ ปิดบังไว้จึงเจริญ เปิดเผยไม่เจริญ 3 อย่างเป็นไฉน คือ มาตุคาม ปิดบังเอาไว้จึงจะงดงาม เปิดเผยไม่งดงาม 1 มนต์ของพราหมณ์ ปิดบังเข้าไว้จึงรุ่งเรือง เปิดเผยไม่รุ่งเรือง 1มิจฉาทิฐิ ปิดบังไว้จึงเจริญ เปิดเผยไม่เจริญ 1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่ง 3 อย่าง

นี้แล ปิดบังไว้จึงเจริญ เปิดเผยไม่เจริญ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่ง 3 อย่างนี้เปิดเผยจึงรุ่งเรือง ปิดบังไม่รุ่งเรือง 3 อย่างเป็นไฉน คือ ดวงจันทร์ เปิดเผยจึงรุ่งเรือง ปิดบังไม่รุ่งเรือง 1 ดวงอาทิตย์ เปิดเผยจึงรุ่งเรือง ปิดบังไม่รุ่งเรือง 1ธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศไว้แล้ว เปิดเผยจึงรุ่งเรือง ปิดบังไม่รุ่งเรือง 1ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่ง 3 อย่างนี้แล เปิดเผยจึงรุ่งเรือง ปิดบังไม่รุ่งเรือง ฯ

 

และมีเรื่องรอยขีด 3 แบบ บนแผนหิน_บนแผ่นดิน_บนแผ่นน้ำ คือใครห้ามโกรธไม่ได้ให้โกรธแบบเหมือนรอยขีดบนแผ่นน้ำ

 

และมีบุคคลหาได้ยาก 3 ประเภท คืออรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า_ผู้แสดงธรรมของตถาคต_และกตัญญุกตเวทีบุคคล

 

และว่าด้วยบุคคลที่หาไม่ได้ 3 ประเภท  [555]

 ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล 3 จำพวกนี้มีปรากฏอยู่ในโลก3 จำพวกเป็นไฉน คือ สุปปเมยยบุคคล 1 ทุปปเมยยบุคคล 1 อัปปเมยย-

 

*บุคคล 1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สุปปเมยยบุคคลเป็นไฉน คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฟุ้งซ่าน ถือตัว โลเล ปากกล้า พูดพร่ำเพรื่อ หลงลืมสติไม่มีสัมปชัญญะ มีจิตไม่ตั้งมั่น มีจิตไม่แน่นอน ไม่สำรวมอินทรีย์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า สุปปเมยยบุคคล ผู้พึงประมาณได้โดยง่าย

 

ดูกรภิกษุทั้งหลายก็ทุปปเมยยบุคคลเป็นไฉน คือบุคคลบางคนบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน

ไม่ถือตัว ไม่โลเล ปากไม่กล้า ไม่พูดพร่ำเพรื่อ ดำรงสติมั่น มีสัมปชัญญะมีจิตตั้งมั่น มีจิตแน่วแน่ สำรวมอินทรีย์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ทุปปเมยย-*บุคคลผู้พึงประมาณได้โดยยาก

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อัปปเมยยบุคคลเป็นไฉนคือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันตขีณาสพ นี้เรียกว่า อัปปเมยยบุคคลผู้พึงประมาณไม่ได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล 3 จำพวกนี้แล มีปรากฏ

อยู่ในโลก ฯ

 

พ่อครูว่า...วันนี้อาตมาจะเอาคำว่ามนุษย์มาขยายความให้ฟัง ในพระไตรฯ ท่านจะกล่าวถึงสัตว์เป็นจิตนิยาม ในมนุษย์นี่แหละมียอดนิยายของโลก ที่อาตมากำลังจะตั้งใจเขียนหนังสือเล่มนี้ เพราะคนเราไม่ได้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าอย่างสัมมาทิฏฐิ ที่จะเข้าถึง จิตเจตสิก รูปนิพพาน ถ้าไม่เข้าใจ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ไม่เข้าใจนามธรรมที่อย่างนี้จัดเข้าโลกีย์ ระดับต่ำมาก อบาย นี่ในระดับต่ำกามภูมิ

 

กามภูมิเป็นภูมิของมนุสโลก มนุษย์ทั่วไป เราเรียกกามภูมินี้ว่าชมพูทวีป ที่จะต้องประกอบไปด้วย อาการ 32(ทวัตติงสาการ) แล้วก็มามีอีกอาการหนึ่งคือ อาการ 33

 

อาการ 32 ท่านประมวลตั้งแต่ผมขนเล็บฟันหนัง ภายนอก จนถึงอวัยวะภายใน ที่รวมเป็นร่างกายมนุษย์เรียก อาการ 32 ว่าสุรภาโว ส่วนนามธรรม ท่านตรัสไว้คำเดียวว่า ตาวติงสาการ (อาการที่ 33) หรือเรียกภาษาไทยว่าชั้นดาวดึงส์ อยู่ในคนนี่แหละเป็นภพนามธรรม แล้วคนก็หลงดาวดึงส์นี่แหละเป็นอารมณ์สุข ที่เป็นอารมณ์ปลอม มันได้ก็เป็นสุข หากไม่ได้ก็เป็นทุกข์ มันก็เป็นเช่นนี้ทั้งนั้น

 

เราจะไขเรื่องนี้แหละ ที่เรามามีร่างกายที่รู้ร่วมกันหมด เป็นสมมุติที่มีองค์ประกอบครบ อาการ 32 และอาการ 33 นี้ และจะเรียนรู้ได้ทั้งแบบดีและเลว แต่ถ้า คุณขาดอาการ 32 คุณจะกำหนดอาการสุขที่ว่านี้ไม่ได้ เพราะมันจะไปตามวิบาก

 

ที่นั่งกันอยู่ที่นี่หรือทางบ้านนี้เป็นมนุษย์ชมพูทวีปทั้งนั้น ที่จะสามารถมีภูมิเข้าถึงนิพพานได้ ตอนนี้เลื่อนมาอยู่ในเมืองไทยแล้ว แต่ก่อนอยู่ในอินเดีย แต่ตอนนี้ที่อินเดียเสื่อมไปแล้ว มีแต่ในเมืองไทยนี่แหละ

 

มนุษย์ชมพูทวีปคือความมีเหตุปัจจัยที่จะเรียนอะไรได้ครบ แต่คนไม่ค่อยเรียนรู้กลับไปเรียนรู้ความรู้เทคนิคโลกมากมาย แต่ความรู้ที่เป็นโลกุตระไม่มีแล้ว มีแต่ในอโศก

ซึ่งที่อื่นเขากำหนดหมายว่า โลกุตระ แต่เขาก็กำหนดเนื้อหาสาระเป็นอีกแบบ เช่นทานนี่สัมมาทิฏฐิเป็นอย่างไร ที่จะพาบรรลุโลกุตรธรรมเขาไม่รู้ในทิฏฐิ 10 จิตที่จะได้รับผล หุตัง ก็ไม่ได้แล้ว จิตที่จะบรรลุโลกุตระเขาก็ไม่ได้ เขาจะเข้าสู่โลกใหม่ก็ไม่ได้ เขาจะจมในโลกียะ เขาจะได้แค่ปรโลก แบบตายไปแล้วปรับใหม่ คนเราตายทีก็ปรับวิบากใหม่ได้ร่างสุรภาโว สติมันโตใหม่ แดนนี้แหละที่จะเรียนรู้ได้ทุกอย่าง จะเป็นมนุษย์ดาวดึงส์ มนุษย์อุตรกุรุทวีป มนุษย์บุพพวิเทหทวีป หรือมนุษย์อมรโคยาน หรือโลกดาวดึงส์ หรือโลกพรหม ก็ได้หมด

 

ในมนุษย์ชมพูทวีปนี่จะได้เรียนรู้ครบในแดนนี้แหละ แดนอื่นเรียนรู้ไม่ได้ ซึ่ง อาการ 32 มันก็ทำอาการมันตามเหตุปัจจัย แล้วมันก็มีธาตุรู้หรือวิญญาณเข้าไปเกี่ยวข้อง จนบางอย่างเกี่ยวข้องไม่ได้ อย่างเล็บ ผม ขน ฟัน หนัง ที่ไม่รู้สึกได้แล้ว ส่วนลึกเข้าไปที่มีส่วนเชื่อมต่อก็รู้สึกได้ มันอาศัยธาตุน้ำเป็นเหตุปัจจัย น้ำเป็นสื่อให้ไปได้ แล้วธาตุน้ำนี่เดาไม่ได้ บางโลหะหรือธาตุบางอย่าง ไฟฟ้าวิ่งไปได้ เหมือนไม่มีน้ำ แต่พลังงานไฟฟ้าวิ่งไปได้ กระแสบางอย่างเราเรียกว่าคลื่นวิทยุบางอย่างไปได้ บางอย่างไปไม่ได้

 

สรุปก่อน มนุษย์ชมพูทวีปคือเป็นที่ๆอื่นนอกจากแดนนี้ไม่มีเหตุปัจจัยที่จะเอาอะไรมาให้ศึกษาสมบูรณ์ได้ ใครจะมาศึกษาได้ก็ต้องอาศัยอาการ 32 พร้อม นี่แหละ ใครเกิดมามีอาการครบ 32 (ทวัตติงสาการ)และมีธาตุของนามคืออาการจิตที่มีความรู้สึกได้ทั้งภายในและภายนอก สัมผัสกันอยู่ แล้วมีอายตนะด้วย เป็นเครื่องเชื่อมต่อ เป็นสะพาน ถ้าขาดอายตนะไม่มีการรับรู้ได้ อย่างมือนี่แตะของแล้ว แต่ถ้าอายตนะไม่เกิดก็ไม่รู้ว่าเย็นร้อน อ่อนแข็งแต่อย่างใด แต่ถ้ามีอายตนะก็จะรับรู้สึกได้

ดาวดึงส์ (33)

จิต ก็มีทางออกทางสัมผัสรวมเรียก อายตนะ 6 ทั้งภายนอกและภายใน ไม่ขาดขณะ จะใช้เมื่อไหร่ก็ใช้อันนั้น ในสมัยใดใช้อันใดก็มีอันนั้น มีอันอื่นไม่ได้ แต่เรารู้เร็วได้ จนเหมือนรู้สองอัน ถ้าจิตคุณเร็วจะรู้เร็วกว่าอันอื่น อย่างแสงกับเสียงนี่คุณรู้ได้เร็วกว่ามันเลย จิตคุณเร็วก็รู้ได้ ทั้งภายนอกภายในไม่ขาดสาย ภาวะที่รู้อยู่ทั้งภายนอกภายในไม่ขาดสายนี่เรียกว่า สติมันโต จะเร็วหรือช้าก็อยู่ที่คุณฝึกเอา แล้วก็ปรุงแต่งกันอยู่ทั้งสองภาค คือทั้งภาครูปและภาคนาม

 

รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือตัวรู้ แม้ตัวรู้นี้จะไปรู้นามด้วยกันเอง นามนั้นก็คือตัวที่ถูกรู้ เป็นรูปอย่างหนึ่ง

 

นามคือจิต แต่พอพูดถึง นามที่ถูกรู้ ก็คือรูป อันนี้เขาไม่ได้เรียนรู้กันเลย  ในพระไตรฯพระพุทธเจ้า ล.14 ว่า นามมี 5 อย่างที่จะให้เรียนรู้ ในปฏิจจสมุปบาทคือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ (สังขารแจกเป็น เจตนา ผัสสะ มนสิการ)

 

ใครไม่เข้าใจ เจตตา แล้วมีผัสสะก็เกิดนิทานเป็นมนสิการ ที่เกิดในโลก เป็นนิทานนิยายในโลก มีเรื่องเดียวคือเรื่องโลภ โกรธ หลง แต่ถ้าใครไม่มีโลภ โกรธ หลง นิยายเขามีเรื่องเดียวคือ อุเบกขา

 

เราคิดอะไรที่ว่า ทำไมสื่อไม่สื่อคนดีออกมาเลย เขาสื่อแต่คนชั่ว นิยายโลกจะสื่อแต่โลภ โกรธ หลง แต่นิยายที่มีคนดี คนมีเมตตานี่เขาไม่สื่อหรอก เพราะไม่ใช่นิยายที่เขามันส์ เขาไม่มันส์ด้วย เขาจะสื่อแต่เรื่องของเขา 

 

ก็มีรูปกับนามปรุงแต่ง เมื่อยังมีอวิชชา องค์รวมของรูปกับนามที่เรียกว่า กาย ที่เป็นสัตว์โอปปาติกะ สัตว์ทางจิตวิญญาณนามธรรม แล้วหลงปรุงแต่งรสชาติของสัตว์ขึ้นมาเป็นนามธรรมนั้น หาที่สุดมิได้ ไป บ่ ฮู้ ทีป(ทวีป) เลย ทวีปคือแดน แต่นี่ไปหาแดนหาทวีปไม่ได้เลย แล้วสร้างทวีปเองเป็นแดนบ้าๆบอๆของคุณเอง คุณยึดคนเดียวก็สร้างคนเดียว แต่นี่พากันหลงยึดก็เป็นกันเต็มบ้านเต็มเมืองอย่างที่มี ปรุงแต่งไปหาที่สุดมิได้ ติดยึดเป็นโลกียรส ผู้ใดมีอยู่ก็มีอยู่ แต่อรหันต์ท่านไม่มีรส แต่ว่าจำรสได้ มีสัญญารู้ได้

 

หรือรสปุถุชน กัลป์ยาณชนก็เป็นรส.. ไม่หมดหรอก เพราะว่ารสนั้นเป็นอาการที่ 33 ชื่อว่า ดาวดึงส์ ซึ่งอาศัยอาการ 32 นี้แหละ คุณอย่านึกว่าน้ำเหลืองไม่ช่วยให้เกิดวิญญาณนะ อุจจาระของคุณถ้าอยู่ในตัวคุณมันมีส่วนช่วยให้เกิดอาการ 33 นะ แต่ถ้าถ่ายออกไปแล้วมันไม่ช่วยนะ ผม ขน เล็บ ฟัน หนังนี่ เป็นส่วนนอกที่ถ้าติดอยู่กับคุณนี่ทำให้เกิดอาการ 33 ได้แต่ถ้าตัดออกไปแล้วไม่เกิดอาการ 33 ได้นะ

 

ตอนนี้เราเรียนธรรมะมีผู้เข้าใจได้เพิ่มขึ้นในภาษาธรรม อาตมาก็กำลังตามหาญาติ ลูกหลานตลอดเวลา ผู้แสวงหาก็ยังมี ก็ต้องเผยแพร่ไป ในสื่อโทรทัศน์ก็เป็นสื่อที่อาตมาใช้เผยแพร่ เป็นสื่อสำคัญหนังสือก็เผยแพร่แต่ออกไม่ไกล แต่ว่าโทรทัศน์นี่ออกได้ถึงกว่าแล้วก็เวียนซ้ำได้อีก

 

อาตมาว่า อาตมาได้อวดอุตรมนุสธรรมพอสมควร คำว่าอุตริ คืออุตระ คือเหนือสามัญของโลก มันเป็นโลกนามธรรมจิตวิญญาณ อาตมาทำงานมา 40 กว่าปี มีกลุ่มบุคคลเป็นปึกแผ่น จนตราว่าเป็นแผ่นดินพุทธที่ราชธานีอโศก เป็นบ้าราชฯเมืองเรือ แล้วมีเรือเป็นกระสัยเป็นสื่อเป็นเครื่องนำ แล้วจะอาศัยน้ำ เป็นบ้านราชเมืองเรือ บ้านไม้เมืองหิน จะอาศัย ไม้ ต้นไม้ที่เป็นพีชะ เป็นไม้แห้งไม้สดก็ตาม บ้านดินเมืองน้ำ บ้านงามเมืองพุทธ คำว่างามนี้งามในภาษาธรรมนะ บ้านพิสุทธิ์เมืองอมตะ สะอาดจากอกุศล จากบาป จากทุจริต จากความไม่ดีไม่งามของมนุษยชาติ จะเจริญแต่กุศล เกื้อกว้างต่อมวลมนุษยชาติ แต่จะมีคนที่บริสุทธิ์ถึงอรหันต์ได้เป็นบ้านพิสุทธิ์ เมืองอมตะ คำว่าอมตะคือไม่ตาย คำว่าอมตะหรืออมระ (อมร แปลว่า ไม่ตาย)

 

คำว่า อมระ ถ้าประกอบกับคำว่า โคยาน เรียกว่า อมรโคยานหรือเรียกเพี้ยนไปเป็น อปรโคยานก็ ผู้ปฏิบัติธรรมถ้าถึงวิมุติ ก็คืออมตบุคคล ใน มูลสูตร 10 ที่มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) บางคนบางศาสนาอื่นเขามีฉันทะต่อศาสนาตนเองอย่างเดียว ไม่มีการเปิดจิตต่อศาสนาอื่นเลย แม้บางคนเป็นศาสนิกอื่นแต่มาศึกษาบัญญัติศาสนาพุทธได้เก่ง รู้มาก แต่ก็เพื่อเอาไว้พูดหรือเก่งเท่านั้น ไม่ได้ศึกษาแบบเข้าถึงอ่านจิตเป็นได้เลย 

 

[225] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีป ประเสริฐกว่าเทวดาชั้นดาวดึงส์

และพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีป ด้วยฐานะ 3 ประการ 3 ประการเป็นไฉน คือไม่มีทุกข์ 1 ไม่มีความหวงแหน 1 มีอายุแน่นอน 1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปประเสริฐกว่าพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ และพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีปด้วยฐานะ 3 ประการนี้แล

 

พ่อครูว่า นี่คือสิ่งที่เป็นคุณสมบัติวิเศษที่มนุษญ์อุตระกุรุทวีปเหนือกว่าอันอื่น แต่ มนุษย์อุตรกุรุปทวีป นั้นเป็นคุณสมบัติที่จะมีอยู่แต่ในมนุษย์ชมพูทวีปเท่านั้น ตายไปแล้วไม่มีมนุษย์อุตรกุรุทวีป แล้วมนุษย์อุตรกุรุปทวีปนั้นท่านจะต่อหรือจะตัดก็ได้ ตายหรืออยู่ต่อก็ได้ ท่านจะสูญเลย เลิกเลยก็ได้ แต่ถ้าจะอยู่ต่อภพภูมิก็ได้)

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาชั้นดาวดึงส์ ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและ

พวกมนุษย์ชาวชมพูทวีป ด้วยฐานะ 3 ประการ 3 ประการเป็นไฉน  คือ   อายุทิพย์ 1

วรรณะทิพย์ 1 สุขทิพย์ 1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาชั้นดาวดึงส์ ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีปด้วยฐานะ 3 ประการนี้แล ฯ

    

พ่อครูว่า...อายุทิพย์ คือ ยามา  มีสุขทิพย์คือสุขเท็จ  พวกอวิชชาต้องการไปเป็นมนุษย์ดาวดึงส์เท่านั้น แต่ต้องเป็นๆเท่านั้นจึงไปได้สร้างให้เป็นมนุษย์ดาวดึงได้เป็นพรหมก็ได้ด้วย

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีป ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและ

เทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยฐานะ 3 ประการ 3 ประการเป็นไฉนคือเป็นผู้กล้า 1 เป็นผู้มีสติ 1  เป็นผู้อยู่ประพฤติพรหมจรรย์อันเยี่ยม 1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีปประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยฐานะ 3 ประการนี้แล ฯ

                          จบสูตรที่ 1

พ่อครูว่า...อาการที่ 33 คือ จิต คือนามธรรม ตั้งแต่มีสติมันโต สัมปชาโน จนมีปัญญาแจ้งว่าอะไรควรมี อะไรไม่ควรมี จะสมาทานอย่างไหนก็รู้ ต้องถึงขีดที่จะรู้ได้ด้วย สรุปคือ มนุษย์ชมพูทวีป สามารถปฏบัติเป็นมนุษย์อุตรกุรุทวีปได้ หรือจะหลงเป็นมนุษย์ดาวดึงส์ก็ได้ แม้ไม่อยากหลงแต่ก็หลงอยู่ มันยากจริงๆ

 

ผู้ถึงอรหันต์ท่านเสแสร้งให้เป็นเหมือนดาวดึงส์ได้ แต่คุณต้องหมดจริงๆนะ แล้วจึงมีสัจจานุโลมมิกญาณ คนที่ผ่านมุญจิตตุกัมมยตญาณ ก็ทำสั่งสมให้เป็นอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา จนเป็นญาณอุเบกขาที่ทนทาน สังขารุเปกขาญาณ สามารถปรุงร่วมอนุโลมให้เขาได้ แต่ก็จะประมาณให้พอเหมาะไม่หัวทิ่มบ่อไปด้วยกับเขา ท่านไม่ได้อยากได้อะไรแล้วท่านก็จะประมาณได้ดีไม่ให้เสียได้ แต่คนโลกๆไม่ประมาณหรอก..จะประมาท แต่อรหันต์แล้วท่านไม่ประมาท แต่ท่านจะประมาณ คนทั่วไปนิยมชื่อประมาณแต่เขาประมาท

 

ในมนุษย์ ...สามอย่างนี้มีสิ่งที่เหนือชั้นกว่ากันได้อย่างนี้ สรุปว่ามนุษย์ชมพูทวีปนี้แหละเป็นได้หมดทุกอย่าง เป็นอรหันต์ก็ได้ เป็นดาวดึงส์ก็ได้ เป็นมนุษย์อุตรกุรุทวีปก็ได้ เป็นอรหันต์แล้วจะตั้งจิตต่อก็ได้หรือจะปรินิพพานก็ได้ แยกธาตุน้ำเป็นออกซิเจนกับไฮโดรเจน พระพุทธเจ้าว่าเหมือนมะม่วงหล่นจากขั้วแล้ว แตกกระจายเอามาต่ออีกไม่ได้

 

  ล 20 ข 520

   พ.  ดูกรอานนท์ นั้นเป็นสาวก ส่วนพระตถาคตนับไม่ถ้วน

     ท่านพระอานนท์ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคแม้เป็นครั้งที่ 3 ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ

 ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่าดูกรอานนท์ สาวกของพระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่า อภิภู สถิตอยู่ในพรหมโลก ทำให้พันแห่งโลกธาตุรู้แจ้งได้

ด้วยเสียง พระเจ้าข้า ส่วนพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเล่า ทรงสามารถที่จะทำโลกธาตุเท่าไรให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง ฯ

     พ.  ดูกรอานนท์ เธอได้ฟังเรื่องพันโลกธาตุ เพียงเล็กน้อย ฯ

     อา. ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าแต่พระสุคต บัดนี้เป็นกาลเวลาแห่งเทศนาที่พระองค์

จะพึงตรัส ภิกษุทั้งหลายได้สดับธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้ ฯ

     พ.  ดูกรอานนท์ ถ้าอย่างนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวท่านพระอานนท์

ทูลรับสนองพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรอานนท์ จักรวาลหนึ่ง

มีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์พระอาทิตย์โคจร ทั่วทิศสว่างไสวรุ่งโรจน์ โลกมีอยู่พันจักรวาลก่อน ในโลกพันจักรวาลนั้น มีพระจันทร์พันดวง มีอาทิตย์พันดวง มีขุนเขา

สิเนรุพันหนึ่ง มีชมพูทวีปพันหนึ่ง มีอปรโคยานทวีปพันหนึ่ง มีอุตตรกุรุทวีปพันหนึ่ง

มีปุพพวิเทหทวีปพันหนึ่ง มีมหาสมุทรสี่พัน มีท้าวมหาราชสี่พัน มีเทวโลกชั้นจาตุ

มหาราชิกาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดาวดึงส์พันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นยามาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้น

ดุสิตพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นนิมมานรดีพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัสตีพันหนึ่ง

 มีพรหมโลกพันหนึ่ง ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างเล็กมีพันจักรวาล โลกคูณ

โดยส่วนพันแห่งโลกธาตุ อย่างกลางมีล้านจักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล ดูกรอานนท์ตถาคตมุ่งหมายอยู่ พึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่มุ่งหมาย ฯ

     อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคพึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสน

โกฏิจักรวาล ให้รู้แจ้งด้วยพระสุรเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมายอย่างไร ฯ

     พ.  ดูกรอานนท์ พระตถาคตในโลกนี้ พึงแผ่รัศมีไปทั่วโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณ

แสนโกฏิจักรวาล เมื่อใด หมู่สัตว์พึงจำแสงสว่างนั้นได้ เมื่อนั้นพระตถาคตพึงเปล่งพระสุรเสียงให้สัตว์เหล่านั้นได้ยิน พระตถาคตพึงทำให้โลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง หรือพึงทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมาย ด้วยอาการเช่นนี้แล ฯ

     เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสดังนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ ได้กราบทูลว่า เป็นลาภของ

ข้าพระองค์หนอ ข้าพระองค์ได้ดีแล้วหนอที่ข้าพระองค์มีพระศาสดาผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนี้

 

เมื่อท่านพระอานนท์กราบทูลอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุทายีได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ในข้อนี้ท่านจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าศาสดาของท่านมีฤทธิ์ มีอานุภาพมากอย่างนี้ เมื่อท่านพระอุทายีกล่าวอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระอุทายีว่า ดูกรอุทายี เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้ ถ้าอานนท์ยังไม่หมดราคะเช่นนี้ พึงทำกาละไป เธอพึงเป็นเจ้าแห่งเทวดาในหมู่เทวดา7 ครั้งพึงเป็นเจ้าจักพรรดิในชมพูทวีปนี้แหละ 7 ครั้ง เพราะจิตที่เลื่อมใสนั้น ดูกรอุทายีก็แต่ว่าอานนท์จักปรินิพพานในอัตภาพนี้เอง ฯ

                         จบอานันทวรรคที่ 3   

 

 

พ่อครูว่า ...ที่พวกคุณฟังเป็น ปรมัตถธรรม แต่ถ้าทั่วไปฟังก็จะเป็นบุคคลาธิษฐาน เป็นตัวตนแท่งก้อน บุคคล เราเขา มีรูปร่าง แต่เอาไปปฏิบัติไม่ได้ แต่ถ้าพวกคุณฟังนี่จะเอาไปปฏิบัติได้ ฟังเป็นธรรมาธิษฐาน

 

มนุษย์ชมพูทวีปคือมนุษย์ที่มีร่างกายครบอาการ 32 พร้อมสติมันโต แล้วได้รวมทั้งอาการ 33 ที่เป็นดาวดึงส์ด้วย ที่คุณไปหลงความสุข เป็นอาการที่ 33  อย่างที่เขาตั้งหน้าตั้งตาหลอกกัน จนเป็นหนี้ก็เพื่อที่จะได้อาการ 33 ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีจริง เป็นวิมานหลอกคน หลอกให้าเงินมาให้เขาอย่างหลงใหล แม้ถึงยอมเป็นหนี้ก็ยอมทำ ทุกคนแบบนี้ก็ตั้งจิตไปดาวดึงส์ทั้งนั้น เพราะอวิชชา

 

ถ้าศึกษาให้ดี จะพ้นอมรโคยาน กับ อุตรกุรุทวีป คำว่าอมรโคยาน คือผู้มีการดำเนินไปสู่อมร หรืออมตะ ก็คือมนุษย์อุตรกุรุทวีป คือผู้ผ่านมนุษย์แล้ว

 

ในมูลสูตร หากใครศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแต่ทำมนสิการไม่เป็น ทำใจในใจไม่เป็น ต้องทำจิตเป็น ทำให้หยุด ทำให้อ่อนจาง แข็งแรงขึ้น หนา แรง หรือเบาได้ หรือทำให้หยุดไม่เกิดเลยตลอดกาลก็ได้

 

มนุษย์ที่มีอุตระได้ และเป็นกุรุ เป็นครูเขาได้แล้วนี่คืออุตรกุรุทวีป คือเป็นตัวเป็นคือรูป ส่วนอมรโคยานคือตัวรู้เป็น นาม

 

แล้วก็มี บุพพวิเทหทวีป คืออดีต เป็นก้อนเป็นแท่ง เป็นเทวหวัตถุแท่งทึบ รวมอวกาศหมด ทั้งพลังงานและสสารทั้งหมด คำว่า วิ มีสองนัยคือวิเศษกับโง่ รวมแล้วในนี้หมด บุพพวิเทหทวีป คนไม่เรียนรู้อดีตตนว่าสั่งสมเป็นอนุสัยเท่าไหร่ สั่งสมแล้วเป็นของจริงในแดนจิตตน คุณเอาไปทิ้งไหนก็ไม่ได้เหมือนทุกวันนี้แค่กัมมันตรังสีก็ไม่รู้จะไปทิ้งไหนเลย เอาใส่ที่กักไว้แล้วไม่ให้ระเบิดออกมาเท่านั้น แต่อนุสัยก็คือระเบิดปรมาณูที่ไม่ระเหิดระเหยไปไหม ทำอย่างไรก็ต้องมีตัวกั้น ไม่ให้อยู่ใกล้ ให้ไกลออกไปในที่ไหนๆเลยก็พ้นได้ จนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยานก็พ้นได้ คุณปฏิบัติมนสิการได้ ที่แดนเกิด เป็นสมุทัย ต้องมีผัสสะ ถ้าไม่มีผัสสะปฏิบัติไม่ได้ พร้อมอาการ 32 ที่มีสัมผัส แล้วเกิดการรับรู้ แล้วจะพัฒนาให้ดีหรือทำให้หายนะก็ได้

 

ต้องมีสมุทัย คือ ผัสสะ แต่ถ้าออกป่าเขาถ้ำก็ไม่เข้าทางพุทธแต่ถ้าของพุทธจะไปศึกษาบ้างในป่าก็ได้แต่ก็ไม่ใช่ทางเอก ในสิ่งที่สะสมไปแล้วแก้ไม่ได้แต่สั่งสมกรรมใหม่เป็นมนุษย์อมรโคยานและอุตรกุรุทวีปได้ อมรโคยานเหมือนตนหน เป็นนามเป็น kinetic energy แต่อุตรกุรุทวีปเหมือนรูป เป็นต้นกล เป็น potential energy   แต่ต้องปฏิบัติที่ชมพูทวีปนี้เท่านั้น ต้องมี สุรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโสนี้เท่านั้น ปฏิบัติมีผัสสะเป็นปัจจัยแล้วจะรวมลงที่เวทนา เป็นธรรมะสอง ที่รวมลงเป็นหนึ่ง ทำทีละคู่ จนแล้วเป็นหนึ่ง แล้วก็มีส่วนสองอยู่

 

จะมีอาการ 32 อยู่ พร้อมวิญญาณ คุณก็จะสามารถรู้ทั้งเคหสิตเวทนและเนกขัมสิตเวทนา แล้วทำให้เป็น อุเบกขา เนกขัมมะอย่าง ที่เรียกว่า นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เป็นอมตบุคคล ทำได้ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคตก็ตัดสินได้ว่า กิเลสสูญ ตัดสินเอง

 

เมื่อคนปฏิบัติธรรมจะทำให้เกิดสั่งสมเป็นสมาธิ เป็นประมุขเป็นฌานมีกิเลสลด ตั้งมั่นเป็นมาหิตัง จิตตัง ตั้งมั่นแล้ว จะมีสติเป็นใหญ่ มีปัญญาเป็นยิ่งในตน เป็นสติของมนุษย์อุตรกุรุทวีป ไม่ใช่ว่าจะรู้เร็วไว ตลอดเวลาเลย ขึ้นอยู่กับชวนจิตของใคร ถ้าจะเร็วที่สุดต้องยกให้พระพุทธเจ้า หรือให้อรหันตสาวกใหญ่ท่าน อาตมาไม่เร็วต้องแบ่งมาใช้ทางเร็วและทางแข็งแรง เอาอันไหนมาใช้ก็จะพร่องอีกอัน นี่ไม่ได้พูดเพื่อโก้เก๋อะไรนะ

 

สั่งสมเกิดสติเป็นใหญ่ มีปัญญาเป็นอุตระ อยู่เหนือ ผู้ครบสมบูรณ์ด้วยขั้นนี้ในมูลสูตร

1.      มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา)

2.      มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ)

3.      มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย)

4.      มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา)

5.      มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ)

6.  มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ)

7.  มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) กัปตันรู้ยิ่งยอด 

8.  มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง

9.  มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา) = สอุปาทิเสสนิพพาน. 

10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน

(พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 58)

 

ผู้มีวิมุติคืออมตบุคคล นี่คือ อมรโคยาน หรืออุตรกุรุทวีป ที่จะเป็นธัมมกถึกต่อไป แล้วเป็นผู้เผยแพร่ธรรม สอนธรรม เปิดเผยธรรมะของพระพุทธเจ้า ..

แต่ผู้เป็นธัมกถึกที่ไปสอนคนตอนนี้ ไม่มีคุณอันสมควรก่อนแล้วสอนคนอื่น จึงมัวหมอง

 

ผู้อมตะคือต้องอาศัยมนุษย์ชมพูทวีปนี้ศึกษา จึงจะเป็นอมตบุคคลได้ หรืออรโคยาน และอุตรกุรุทวีป

 

เราเป็นโสดาบันก็สอนแค่โสดาบัน แต่ถ้าไม่มีเลยแม้แค่โสดาบันก็อย่าสอนเลย สอนแล้วไม่มีใครได้หรอก ได้บาปคือคุณได้บาปนั่นแหละ อย่าสอนเลย แต่นี่เผยแพร่กันไปในโลกเลย ไม่ควรทำ เมื่อผู้เป็นอมตบุคคล สุดท้ายก็นิพพาน เป็นที่สุด ท่านจะปรินิพพานหรือไม่ก็เรื่องของท่านอย่าไปยุ่งกับท่าน

 

สายเถรวาทไม่เข้าใจเรื่องนี้และยากมาก ที่อาตมาเปิดเผยนี้เป็นโอปปาติกสัตว์ทั้งสิ้น อาตมามีหน้าที่จะมาอธิบายสิ่งเหล่านี้ ถ้าอาตมาไม่มาจะรู้กันไหมนี่ แล้วขณะที่อธิบายไปนี่รู้กันเท่าไหร่? ...ส่วนใหญ่ก็พอรู้ได้ อาตมาก็ไม่สูญเปล่า อาตมาก็ทั้งเคี่ยวเข็นเคี่ยวข้นให้ปฏิบัติ ฟังแล้วเอาไปปฏิบัติให้ได้ เพราะโลกต้องการ

 

อาตมาประกาศไปแล้วว่ามนุษย์ชมพูทวีปนั้นได้เกิดแล้วในเมืองไทย ที่จริงก็คือแดน แต่มันไล่เสพแต่ดาวดึงส์ ไม่มาเรียนมนุษย์อุตรกุรุปทวีป มันเอาแต่ดาวดึงส์จะเอาแต่โลกีย์ แต่ขณะนี้มีคนมาเรียนอุตรกุรุปทวีปบ้างแล้ว ได้บ้างแล้ว มีอมรโคยานแล้ว บางคนมียานล้ำหน้าอาตมาก็มี แล้วแยกตัวไป การแยกตัวนี้พระพุทธเจ้าว่าอนันตริยกรรมข้อที่ 6 เคยสัมมาทิฏฐิแล้วหนีไปอยู่กับใครหรือตั้งตนเองใหม่ มาขัดแย้งกับสิ่งสัมมาทิฏฐิ เป็นอนันตริยกรรม น่าสงสาร

 

ลักษณะมนุสโสคือเขาเจตนาให้จิตสูง ใครเข้าใจก็จะรู้ว่ามนุษย์ดาวดึงส์ก็อยู่ในชมพูทวีป ซึ่งถ้าตายไปแล้วก็จะไปอยู่ดาวดึงส์ ดาวดึงส์นี่คือของเท็จ มันจึงมีอนิจจังเร็ว แต่อยากได้นี่มันฝังในอนุสัย ฟังให้ดี อยากได้นี่แหละเป็นแกนหลักของชีวิต คืออยากได้เป็นตัวจิต เป็นอนุสัย ส่วนเสพนั้นได้ตามเหตุปัจจัย คุณตายไปแล้วเป็นดาวดึงส์นั้นไม่มีจริง คุณสุขได้แต่บำเรอกาม ได้อัตตา แต่ว่าตายไปแล้วไม่มีโอฬาริกอัตตา ตายไปแล้วไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายไว้เสพนะ แต่ความอยากได้คุณก็ยังมีอยู่ คุณก็ไม่ได้เสพ แล้วก็ยิ่งอยากได้ก็ยิ่งดิ้นรนไปหา ไปเอา เมื่อไม่ได้ก็ยิ่งดิ้นไป นี่คือนิรยภูมิ คือภูมิร้อน เป็นความร้อนที่ยิ่งกว่าพระอาทิตย์กี่ลูกก็ตาม ใครอยากได้อยากร้อนก็เอาเลย อยากเข้าไป...มาศึกษาให้ลดความอยากความเสพนี่แหละจะบรรเทาได้

 

ดาวดึงส์เป็นความหลงในสัญญาแวบเดียว แต่ตัวจริงที่ได้คือนรก ทั้งนั้น ดาวดึงส์ได้แค่สัญญาแต่ละแวบที่สุข แต่อุตรกุรทวีปคือผู้พ้นแล้ว อย่างอนาคามีก็พ้นกามคุณแล้วมีส่วนเหลือแต่ รูปราคะ อรูปราคะ มีมานะที่ใหญ่แต่กับตนเองไม่ไปใหญ่กับใครแล้ว โอฬาริกอัตตารู้แล้ว ถ้าถึงมนะแล้วเหลือแต่อรูปอัตตา บางรูปเป็นอนาคามีจึงไม่มาเกิดแล้ว อยู่ในสุธาวาส ก็นานมากไม่มีอุปกรณ์ในการฝึกฝน แต่ท่านก็ไม่ทุกข์อะไร อยู่ในสุทธาวาสไปอีกนานเท่านาน

 

ผู้ที่ต้องการสิ่งประเสริฐต้องกล้าทิ้งดาวดึงส์ ทิ้งลาภ ยศ สรรเสริญ ทิ้งรูป รส กลิ่น เสียงสัมผัสที่เสพ แต่ก็อยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ จอมจักพรรดิ์ท่านก็อยู่กับโลกธรรมแต่จิตท่านไม่เสพแล้วนอกนั้นท่านก็ทำเพื่อมวลมนุษยชาติ ตามเหมาะควร คนต้องยึดถือสิ่งสัมผัสได้ ให้เขาไม่ดูถูกจะได้ไม่บาป มันซับซ้อนหลายชั้น

 

มนุษย์ชมพูทวีปคือมีสุรภาโว สติมันโต คือธาตุรู้ที่เชื่อมโยงได้ทั้งนอกและใน รู้วิโมกข์ข้อที่ 2 อัชฌัตตังอรูปสัญญี เอโก พหิทารูปานิปัสสติ คือทำจากนอกมาใน ให้มีลำดับ จะงาม เมื่อทำได้ก็เข้าสู่ อมรโคยาน อุตรกุรุทวีป ส่วนบุพพวิเทหะ เราเป็นโสดาบันก็ลดการสั่งสมสิ่งไม่ดีแล้วในฮาร์ดดิสก์ พอเป็นอรหันต์ บุพพวิเทหะเราปิดฉากไม่เพิ่มสิ่งเลว แล้วมีแต่จะเพิ่มกุศล ไม่ให้อดีต บุพพวิเทหะ วิ่งตามไล่ทันได้ ขนาดเป็นพระพุทธเจ้ายังมีวิบากมาเล่นงานได้เลย เป็นอจินไตยที่ยากจะเข้าใจมากเลย

 

ชมพูทวีป อมรโคยาน อุตรกุรุทวีป บุพพวิเทหทวีป ดาวดึงส์  ถ้าเข้าใจความหมายทางจิตวิญญาณ เป็นสัตว์ดาวดึงส์สะสมเป็นจิตไม่ดีเป็นบุพพวิเทหะ ทำแล้วเป็นกรรมทายาโท ที่ตนต้องรับผลของตน จนกว่าจะหยุด กัมมัสโกมหิ กัมมทายาดท

 

จนหมดดาวดึงก็เป็นพรหมโลก คือโลกสะอาดเป็นลำดับ ตั้งแต่โสดาบัน ไปถึงอรหันต์ได้สะอาดที่สุด เป็นผู้มี พระปัญญาธิคุณ กรุณาธิคุณ บริสุทธิ์คุณ อยู่ช่วยโลก เป็นพรหมโลก

 

สำหรับพรหมโลกดำ กับพรหมโลกสว่างจ้า มีสองทาง ทางมืดกดข่มดับดำลึก แต่ทางสว่างก็ปั้นสร้างสว่างไปไกลมาก ทางสว่างนี้ไปไกลไม่รู้จบ แต่ทางมืดนี่ไปยากกว่า มีแต่ลึกจมดับ แต่สว่างนี้ไปหาอนันตัง ประมาณไม่ได้เลย ไม่ใช่อัปปมัญญา คือประมาณไม่ได้ พวกนี้คือโลกันตะ คือนรกโลกันต์

 

เราเข้าใจแล้วเราก็ไม่เอาโลกันตะ ก็ต้องจัดขอบเขต เป็นพรหม

พรหม ปริตตัง เป็นลำดับแรก

พรหม 3 ชุดแรกคือ

ปริสัชชา กับปุโรหิตาพรหม ก็สองอย่างนี้ คือศิษย์กับครู ยังเป็นบริวารก็ศึกษาไปจนเป็นครู ผู้ใดใหญ่ก็เป็นมหาพรหม ถ้าสัมมาทิฏฐิจะเป็นพรหมจริง แต่ถ้ามิจฉาทิฏฐิ ก็เป็นพรหม เป็นศาสดาก็ได้ ทำความดีอย่างจริงใจ ก็ช่วยโลกไว้ต้องเคารพเขานะ อย่าดูถูก เขาพาทำความดี ให้โลกนี้อยู่ได้ ถ้าไม่มีเขานี่แย่นะ เพราะคนเข้าใจอย่างนั้นได้ง่ายกว่าแบบโลกุตระ

 

ปริตตาภา กับ อัปปมาณาภา คำว่าปริตตาคือกำหนดกรอบขอบเขตได้ ส่วนอัปปมาณาภาคือกำหนดกรอบไม่ได้ เราก็เอาปริตตาก่อน เท่าที่เรามีได้ทำได้ ก็เป็นอัปปมาณาภา มีแสงสว่างสูงขึ้นตามกรอบเรากำหนดไปตามลำดับ จะเกิดอาภัสสรา

 

อาภัสสราคือแสงสว่างเป็นปัญญา ปัญญาสมาอาภา ส่วนคนที่เขาสว่างไปตามเรื่องเขาก็มีปัญญาเป็นกัลยาณชน เขาก็ทำไป สายเจโตไม่ใช่สายปัญญา สายศรัทธาเขาก็เชื่อมาก แต่ไม่เข้าปรมัตถ์

 

ปริตตาสุภา กับอัปปมาณาสุภา ก็กำหนดสุภาก็ดีขึ้นกว่าเดิม เจริญขึ้นอีก แล้วเป็นสุภกิณหา คำว่ากิณหาคือดับดำหรือชั่ว ถ้าไม่ชั่วก็เป็นสุภะที่ถูกต้องแต่ดับดำมืด สายมิจฉาทิฏฐิจะได้ดับดำดิ่ง เขาก็มักน้อยไม่แย่งโลกนะ นั่งสมาธิไปจนกว่าจะตาย แล้วพวกนี้อายุยืนด้วยนะ ปริตตาสุภาต้องรู้กายที่เป็นกิณหะกับกายที่เป็นประภัสสรา เป็นผู้สว่างสะอาดถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ เขาได้กายนิโรธ แต่ต่างทิฏฐิ นิโรธเขาดับดำ แต่นิโรธของพระพุทธเจ้านั้น หมดแล้วได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก (นิกามลาภี กิจฉลาภี กสิรลาภี) แต่ถ้าพวกฤาษีจะได้โดยยากได้โดยลำบากในฌานทั้ง 4 คือ(อกสิรลาภี) คนพวกนี้ต้องนั่งหลับตา กว่าจะเข้าฌาน 4 ก็ใช้เวลา ส่วนจะออกฌานก็ใช้เวลาอีก ก็ได้แต่ได้แต่ตอนนั่งด้วย เอามาใช้กับตอนปัจจุบันในชีวิตไม่ได้ด้วย แต่ของพระพุทธเจ้าใช้ได้กับทุกขณะชีวิตด้วย แล้วใช้ได้อย่างกายกัมมัญญตา แคล่วคล่องว่องไวด้วย


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:31:23 )

580419

รายละเอียด

580419_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก ชมพูทวีป-อมรโคยาน-อุตรกุรุทวีป

.เพาะพุทธว่า....ช่วงนี้พ่อครูกลับมาจากการไปร่วมงานที่บ้านราชฯ วันนี้พ่อครูจะนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับชมพูทวีป ... เป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณที่มีความหลากลาย ในพระไตรปิฎก ล. 20 ซึ่งมีสูตรที่เกี่ยวกับอะไรที่ควรเปิดเผยหรือควรปิดบัง...

          ปฏิจฉันนสูตร   [571]

 ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่ง 3 อย่างนี้ ปิดบังไว้จึงเจริญ เปิดเผยไม่เจริญ 3 อย่างเป็นไฉน คือ มาตุคาม ปิดบังเอาไว้จึงจะงดงาม เปิดเผยไม่งดงาม 1 มนต์ของพราหมณ์ ปิดบังเข้าไว้จึงรุ่งเรือง เปิดเผยไม่รุ่งเรือง 1มิจฉาทิฐิ ปิดบังไว้จึงเจริญ เปิดเผยไม่เจริญ 1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่ง 3 อย่าง

นี้แล ปิดบังไว้จึงเจริญ เปิดเผยไม่เจริญ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่ง 3 อย่างนี้เปิดเผยจึงรุ่งเรือง ปิดบังไม่รุ่งเรือง 3 อย่างเป็นไฉน คือ ดวงจันทร์ เปิดเผยจึงรุ่งเรือง ปิดบังไม่รุ่งเรือง 1 ดวงอาทิตย์ เปิดเผยจึงรุ่งเรือง ปิดบังไม่รุ่งเรือง 1ธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศไว้แล้ว เปิดเผยจึงรุ่งเรือง ปิดบังไม่รุ่งเรือง 1ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่ง 3 อย่างนี้แล เปิดเผยจึงรุ่งเรือง ปิดบังไม่รุ่งเรือง ฯ

 

และมีเรื่องรอยขีด 3 แบบ บนแผนหิน_บนแผ่นดิน_บนแผ่นน้ำ คือใครห้ามโกรธไม่ได้ให้โกรธแบบเหมือนรอยขีดบนแผ่นน้ำ

 

และมีบุคคลหาได้ยาก 3 ประเภท คืออรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า_ผู้แสดงธรรมของตถาคต_และกตัญญุกตเวทีบุคคล

 

และว่าด้วยบุคคลที่หาไม่ได้ 3 ประเภท  [555]

 ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล 3 จำพวกนี้มีปรากฏอยู่ในโลก3 จำพวกเป็นไฉน คือ สุปปเมยยบุคคล 1 ทุปปเมยยบุคคล 1 อัปปเมยย-

 

*บุคคล 1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สุปปเมยยบุคคลเป็นไฉน คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฟุ้งซ่าน ถือตัว โลเล ปากกล้า พูดพร่ำเพรื่อ หลงลืมสติไม่มีสัมปชัญญะ มีจิตไม่ตั้งมั่น มีจิตไม่แน่นอน ไม่สำรวมอินทรีย์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า สุปปเมยยบุคคล ผู้พึงประมาณได้โดยง่าย

 

ดูกรภิกษุทั้งหลายก็ทุปปเมยยบุคคลเป็นไฉน คือบุคคลบางคนบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน

ไม่ถือตัว ไม่โลเล ปากไม่กล้า ไม่พูดพร่ำเพรื่อ ดำรงสติมั่น มีสัมปชัญญะมีจิตตั้งมั่น มีจิตแน่วแน่ สำรวมอินทรีย์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ทุปปเมยย-*บุคคลผู้พึงประมาณได้โดยยาก

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อัปปเมยยบุคคลเป็นไฉนคือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันตขีณาสพ นี้เรียกว่า อัปปเมยยบุคคลผู้พึงประมาณไม่ได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล 3 จำพวกนี้แล มีปรากฏ

อยู่ในโลก ฯ

 

พ่อครูว่า...วันนี้อาตมาจะเอาคำว่ามนุษย์มาขยายความให้ฟัง ในพระไตรฯ ท่านจะกล่าวถึงสัตว์เป็นจิตนิยาม ในมนุษย์นี่แหละมียอดนิยายของโลก ที่อาตมากำลังจะตั้งใจเขียนหนังสือเล่มนี้ เพราะคนเราไม่ได้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าอย่างสัมมาทิฏฐิ ที่จะเข้าถึง จิตเจตสิก รูปนิพพาน ถ้าไม่เข้าใจ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ไม่เข้าใจนามธรรมที่อย่างนี้จัดเข้าโลกีย์ ระดับต่ำมาก อบาย นี่ในระดับต่ำกามภูมิ

 

กามภูมิเป็นภูมิของมนุสโลก มนุษย์ทั่วไป เราเรียกกามภูมินี้ว่าชมพูทวีป ที่จะต้องประกอบไปด้วย อาการ 32(ทวัตติงสาการ) แล้วก็มามีอีกอาการหนึ่งคือ อาการ 33

 

อาการ 32 ท่านประมวลตั้งแต่ผมขนเล็บฟันหนัง ภายนอก จนถึงอวัยวะภายใน ที่รวมเป็นร่างกายมนุษย์เรียก อาการ 32 ว่าสุรภาโว ส่วนนามธรรม ท่านตรัสไว้คำเดียวว่า ตาวติงสาการ (อาการที่ 33) หรือเรียกภาษาไทยว่าชั้นดาวดึงส์ อยู่ในคนนี่แหละเป็นภพนามธรรม แล้วคนก็หลงดาวดึงส์นี่แหละเป็นอารมณ์สุข ที่เป็นอารมณ์ปลอม มันได้ก็เป็นสุข หากไม่ได้ก็เป็นทุกข์ มันก็เป็นเช่นนี้ทั้งนั้น

 

เราจะไขเรื่องนี้แหละ ที่เรามามีร่างกายที่รู้ร่วมกันหมด เป็นสมมุติที่มีองค์ประกอบครบ อาการ 32 และอาการ 33 นี้ และจะเรียนรู้ได้ทั้งแบบดีและเลว แต่ถ้า คุณขาดอาการ 32 คุณจะกำหนดอาการสุขที่ว่านี้ไม่ได้ เพราะมันจะไปตามวิบาก

 

ที่นั่งกันอยู่ที่นี่หรือทางบ้านนี้เป็นมนุษย์ชมพูทวีปทั้งนั้น ที่จะสามารถมีภูมิเข้าถึงนิพพานได้ ตอนนี้เลื่อนมาอยู่ในเมืองไทยแล้ว แต่ก่อนอยู่ในอินเดีย แต่ตอนนี้ที่อินเดียเสื่อมไปแล้ว มีแต่ในเมืองไทยนี่แหละ

 

มนุษย์ชมพูทวีปคือความมีเหตุปัจจัยที่จะเรียนอะไรได้ครบ แต่คนไม่ค่อยเรียนรู้กลับไปเรียนรู้ความรู้เทคนิคโลกมากมาย แต่ความรู้ที่เป็นโลกุตระไม่มีแล้ว มีแต่ในอโศก

ซึ่งที่อื่นเขากำหนดหมายว่า โลกุตระ แต่เขาก็กำหนดเนื้อหาสาระเป็นอีกแบบ เช่นทานนี่สัมมาทิฏฐิเป็นอย่างไร ที่จะพาบรรลุโลกุตรธรรมเขาไม่รู้ในทิฏฐิ 10 จิตที่จะได้รับผล หุตัง ก็ไม่ได้แล้ว จิตที่จะบรรลุโลกุตระเขาก็ไม่ได้ เขาจะเข้าสู่โลกใหม่ก็ไม่ได้ เขาจะจมในโลกียะ เขาจะได้แค่ปรโลก แบบตายไปแล้วปรับใหม่ คนเราตายทีก็ปรับวิบากใหม่ได้ร่างสุรภาโว สติมันโตใหม่ แดนนี้แหละที่จะเรียนรู้ได้ทุกอย่าง จะเป็นมนุษย์ดาวดึงส์ มนุษย์อุตรกุรุทวีป มนุษย์บุพพวิเทหทวีป หรือมนุษย์อมรโคยาน หรือโลกดาวดึงส์ หรือโลกพรหม ก็ได้หมด

 

ในมนุษย์ชมพูทวีปนี่จะได้เรียนรู้ครบในแดนนี้แหละ แดนอื่นเรียนรู้ไม่ได้ ซึ่ง อาการ 32 มันก็ทำอาการมันตามเหตุปัจจัย แล้วมันก็มีธาตุรู้หรือวิญญาณเข้าไปเกี่ยวข้อง จนบางอย่างเกี่ยวข้องไม่ได้ อย่างเล็บ ผม ขน ฟัน หนัง ที่ไม่รู้สึกได้แล้ว ส่วนลึกเข้าไปที่มีส่วนเชื่อมต่อก็รู้สึกได้ มันอาศัยธาตุน้ำเป็นเหตุปัจจัย น้ำเป็นสื่อให้ไปได้ แล้วธาตุน้ำนี่เดาไม่ได้ บางโลหะหรือธาตุบางอย่าง ไฟฟ้าวิ่งไปได้ เหมือนไม่มีน้ำ แต่พลังงานไฟฟ้าวิ่งไปได้ กระแสบางอย่างเราเรียกว่าคลื่นวิทยุบางอย่างไปได้ บางอย่างไปไม่ได้

 

สรุปก่อน มนุษย์ชมพูทวีปคือเป็นที่ๆอื่นนอกจากแดนนี้ไม่มีเหตุปัจจัยที่จะเอาอะไรมาให้ศึกษาสมบูรณ์ได้ ใครจะมาศึกษาได้ก็ต้องอาศัยอาการ 32 พร้อม นี่แหละ ใครเกิดมามีอาการครบ 32 (ทวัตติงสาการ)และมีธาตุของนามคืออาการจิตที่มีความรู้สึกได้ทั้งภายในและภายนอก สัมผัสกันอยู่ แล้วมีอายตนะด้วย เป็นเครื่องเชื่อมต่อ เป็นสะพาน ถ้าขาดอายตนะไม่มีการรับรู้ได้ อย่างมือนี่แตะของแล้ว แต่ถ้าอายตนะไม่เกิดก็ไม่รู้ว่าเย็นร้อน อ่อนแข็งแต่อย่างใด แต่ถ้ามีอายตนะก็จะรับรู้สึกได้

ดาวดึงส์ (33)

จิต ก็มีทางออกทางสัมผัสรวมเรียก อายตนะ 6 ทั้งภายนอกและภายใน ไม่ขาดขณะ จะใช้เมื่อไหร่ก็ใช้อันนั้น ในสมัยใดใช้อันใดก็มีอันนั้น มีอันอื่นไม่ได้ แต่เรารู้เร็วได้ จนเหมือนรู้สองอัน ถ้าจิตคุณเร็วจะรู้เร็วกว่าอันอื่น อย่างแสงกับเสียงนี่คุณรู้ได้เร็วกว่ามันเลย จิตคุณเร็วก็รู้ได้ ทั้งภายนอกภายในไม่ขาดสาย ภาวะที่รู้อยู่ทั้งภายนอกภายในไม่ขาดสายนี่เรียกว่า สติมันโต จะเร็วหรือช้าก็อยู่ที่คุณฝึกเอา แล้วก็ปรุงแต่งกันอยู่ทั้งสองภาค คือทั้งภาครูปและภาคนาม

 

รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือตัวรู้ แม้ตัวรู้นี้จะไปรู้นามด้วยกันเอง นามนั้นก็คือตัวที่ถูกรู้ เป็นรูปอย่างหนึ่ง

 

นามคือจิต แต่พอพูดถึง นามที่ถูกรู้ ก็คือรูป อันนี้เขาไม่ได้เรียนรู้กันเลย  ในพระไตรฯพระพุทธเจ้า ล.14 ว่า นามมี 5 อย่างที่จะให้เรียนรู้ ในปฏิจจสมุปบาทคือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ (สังขารแจกเป็น เจตนา ผัสสะ มนสิการ)

 

ใครไม่เข้าใจ เจตตา แล้วมีผัสสะก็เกิดนิทานเป็นมนสิการ ที่เกิดในโลก เป็นนิทานนิยายในโลก มีเรื่องเดียวคือเรื่องโลภ โกรธ หลง แต่ถ้าใครไม่มีโลภ โกรธ หลง นิยายเขามีเรื่องเดียวคือ อุเบกขา

 

เราคิดอะไรที่ว่า ทำไมสื่อไม่สื่อคนดีออกมาเลย เขาสื่อแต่คนชั่ว นิยายโลกจะสื่อแต่โลภ โกรธ หลง แต่นิยายที่มีคนดี คนมีเมตตานี่เขาไม่สื่อหรอก เพราะไม่ใช่นิยายที่เขามันส์ เขาไม่มันส์ด้วย เขาจะสื่อแต่เรื่องของเขา 

 

ก็มีรูปกับนามปรุงแต่ง เมื่อยังมีอวิชชา องค์รวมของรูปกับนามที่เรียกว่า กาย ที่เป็นสัตว์โอปปาติกะ สัตว์ทางจิตวิญญาณนามธรรม แล้วหลงปรุงแต่งรสชาติของสัตว์ขึ้นมาเป็นนามธรรมนั้น หาที่สุดมิได้ ไป บ่ ฮู้ ทีป(ทวีป) เลย ทวีปคือแดน แต่นี่ไปหาแดนหาทวีปไม่ได้เลย แล้วสร้างทวีปเองเป็นแดนบ้าๆบอๆของคุณเอง คุณยึดคนเดียวก็สร้างคนเดียว แต่นี่พากันหลงยึดก็เป็นกันเต็มบ้านเต็มเมืองอย่างที่มี ปรุงแต่งไปหาที่สุดมิได้ ติดยึดเป็นโลกียรส ผู้ใดมีอยู่ก็มีอยู่ แต่อรหันต์ท่านไม่มีรส แต่ว่าจำรสได้ มีสัญญารู้ได้

 

หรือรสปุถุชน กัลป์ยาณชนก็เป็นรส.. ไม่หมดหรอก เพราะว่ารสนั้นเป็นอาการที่ 33 ชื่อว่า ดาวดึงส์ ซึ่งอาศัยอาการ 32 นี้แหละ คุณอย่านึกว่าน้ำเหลืองไม่ช่วยให้เกิดวิญญาณนะ อุจจาระของคุณถ้าอยู่ในตัวคุณมันมีส่วนช่วยให้เกิดอาการ 33 นะ แต่ถ้าถ่ายออกไปแล้วมันไม่ช่วยนะ ผม ขน เล็บ ฟัน หนังนี่ เป็นส่วนนอกที่ถ้าติดอยู่กับคุณนี่ทำให้เกิดอาการ 33 ได้แต่ถ้าตัดออกไปแล้วไม่เกิดอาการ 33 ได้นะ

 

ตอนนี้เราเรียนธรรมะมีผู้เข้าใจได้เพิ่มขึ้นในภาษาธรรม อาตมาก็กำลังตามหาญาติ ลูกหลานตลอดเวลา ผู้แสวงหาก็ยังมี ก็ต้องเผยแพร่ไป ในสื่อโทรทัศน์ก็เป็นสื่อที่อาตมาใช้เผยแพร่ เป็นสื่อสำคัญหนังสือก็เผยแพร่แต่ออกไม่ไกล แต่ว่าโทรทัศน์นี่ออกได้ถึงกว่าแล้วก็เวียนซ้ำได้อีก

 

อาตมาว่า อาตมาได้อวดอุตรมนุสธรรมพอสมควร คำว่าอุตริ คืออุตระ คือเหนือสามัญของโลก มันเป็นโลกนามธรรมจิตวิญญาณ อาตมาทำงานมา 40 กว่าปี มีกลุ่มบุคคลเป็นปึกแผ่น จนตราว่าเป็นแผ่นดินพุทธที่ราชธานีอโศก เป็นบ้าราชฯเมืองเรือ แล้วมีเรือเป็นกระสัยเป็นสื่อเป็นเครื่องนำ แล้วจะอาศัยน้ำ เป็นบ้านราชเมืองเรือ บ้านไม้เมืองหิน จะอาศัย ไม้ ต้นไม้ที่เป็นพีชะ เป็นไม้แห้งไม้สดก็ตาม บ้านดินเมืองน้ำ บ้านงามเมืองพุทธ คำว่างามนี้งามในภาษาธรรมนะ บ้านพิสุทธิ์เมืองอมตะ สะอาดจากอกุศล จากบาป จากทุจริต จากความไม่ดีไม่งามของมนุษยชาติ จะเจริญแต่กุศล เกื้อกว้างต่อมวลมนุษยชาติ แต่จะมีคนที่บริสุทธิ์ถึงอรหันต์ได้เป็นบ้านพิสุทธิ์ เมืองอมตะ คำว่าอมตะคือไม่ตาย คำว่าอมตะหรืออมระ (อมร แปลว่า ไม่ตาย)

 

คำว่า อมระ ถ้าประกอบกับคำว่า โคยาน เรียกว่า อมรโคยานหรือเรียกเพี้ยนไปเป็น อปรโคยานก็ ผู้ปฏิบัติธรรมถ้าถึงวิมุติ ก็คืออมตบุคคล ใน มูลสูตร 10 ที่มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) บางคนบางศาสนาอื่นเขามีฉันทะต่อศาสนาตนเองอย่างเดียว ไม่มีการเปิดจิตต่อศาสนาอื่นเลย แม้บางคนเป็นศาสนิกอื่นแต่มาศึกษาบัญญัติศาสนาพุทธได้เก่ง รู้มาก แต่ก็เพื่อเอาไว้พูดหรือเก่งเท่านั้น ไม่ได้ศึกษาแบบเข้าถึงอ่านจิตเป็นได้เลย 

 

[225] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีป ประเสริฐกว่าเทวดาชั้นดาวดึงส์

และพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีป ด้วยฐานะ 3 ประการ 3 ประการเป็นไฉน คือไม่มีทุกข์ 1 ไม่มีความหวงแหน 1 มีอายุแน่นอน 1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปประเสริฐกว่าพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ และพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีปด้วยฐานะ 3 ประการนี้แล

 

พ่อครูว่า นี่คือสิ่งที่เป็นคุณสมบัติวิเศษที่มนุษญ์อุตระกุรุทวีปเหนือกว่าอันอื่น แต่ มนุษย์อุตรกุรุปทวีป นั้นเป็นคุณสมบัติที่จะมีอยู่แต่ในมนุษย์ชมพูทวีปเท่านั้น ตายไปแล้วไม่มีมนุษย์อุตรกุรุทวีป แล้วมนุษย์อุตรกุรุปทวีปนั้นท่านจะต่อหรือจะตัดก็ได้ ตายหรืออยู่ต่อก็ได้ ท่านจะสูญเลย เลิกเลยก็ได้ แต่ถ้าจะอยู่ต่อภพภูมิก็ได้)

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาชั้นดาวดึงส์ ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและ

พวกมนุษย์ชาวชมพูทวีป ด้วยฐานะ 3 ประการ 3 ประการเป็นไฉน  คือ   อายุทิพย์ 1

วรรณะทิพย์ 1 สุขทิพย์ 1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาชั้นดาวดึงส์ ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีปด้วยฐานะ 3 ประการนี้แล ฯ

    

พ่อครูว่า...อายุทิพย์ คือ ยามา  มีสุขทิพย์คือสุขเท็จ  พวกอวิชชาต้องการไปเป็นมนุษย์ดาวดึงส์เท่านั้น แต่ต้องเป็นๆเท่านั้นจึงไปได้สร้างให้เป็นมนุษย์ดาวดึงได้เป็นพรหมก็ได้ด้วย

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีป ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและ

เทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยฐานะ 3 ประการ 3 ประการเป็นไฉนคือเป็นผู้กล้า 1 เป็นผู้มีสติ 1  เป็นผู้อยู่ประพฤติพรหมจรรย์อันเยี่ยม 1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีปประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยฐานะ 3 ประการนี้แล ฯ

                          จบสูตรที่ 1

พ่อครูว่า...อาการที่ 33 คือ จิต คือนามธรรม ตั้งแต่มีสติมันโต สัมปชาโน จนมีปัญญาแจ้งว่าอะไรควรมี อะไรไม่ควรมี จะสมาทานอย่างไหนก็รู้ ต้องถึงขีดที่จะรู้ได้ด้วย สรุปคือ มนุษย์ชมพูทวีป สามารถปฏบัติเป็นมนุษย์อุตรกุรุทวีปได้ หรือจะหลงเป็นมนุษย์ดาวดึงส์ก็ได้ แม้ไม่อยากหลงแต่ก็หลงอยู่ มันยากจริงๆ

 

ผู้ถึงอรหันต์ท่านเสแสร้งให้เป็นเหมือนดาวดึงส์ได้ แต่คุณต้องหมดจริงๆนะ แล้วจึงมีสัจจานุโลมมิกญาณ คนที่ผ่านมุญจิตตุกัมมยตญาณ ก็ทำสั่งสมให้เป็นอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา จนเป็นญาณอุเบกขาที่ทนทาน สังขารุเปกขาญาณ สามารถปรุงร่วมอนุโลมให้เขาได้ แต่ก็จะประมาณให้พอเหมาะไม่หัวทิ่มบ่อไปด้วยกับเขา ท่านไม่ได้อยากได้อะไรแล้วท่านก็จะประมาณได้ดีไม่ให้เสียได้ แต่คนโลกๆไม่ประมาณหรอก..จะประมาท แต่อรหันต์แล้วท่านไม่ประมาท แต่ท่านจะประมาณ คนทั่วไปนิยมชื่อประมาณแต่เขาประมาท

 

ในมนุษย์ ...สามอย่างนี้มีสิ่งที่เหนือชั้นกว่ากันได้อย่างนี้ สรุปว่ามนุษย์ชมพูทวีปนี้แหละเป็นได้หมดทุกอย่าง เป็นอรหันต์ก็ได้ เป็นดาวดึงส์ก็ได้ เป็นมนุษย์อุตรกุรุทวีปก็ได้ เป็นอรหันต์แล้วจะตั้งจิตต่อก็ได้หรือจะปรินิพพานก็ได้ แยกธาตุน้ำเป็นออกซิเจนกับไฮโดรเจน พระพุทธเจ้าว่าเหมือนมะม่วงหล่นจากขั้วแล้ว แตกกระจายเอามาต่ออีกไม่ได้

 

  ล 20 ข 520

   พ.  ดูกรอานนท์ นั้นเป็นสาวก ส่วนพระตถาคตนับไม่ถ้วน

     ท่านพระอานนท์ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคแม้เป็นครั้งที่ 3 ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ

 ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่าดูกรอานนท์ สาวกของพระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่า อภิภู สถิตอยู่ในพรหมโลก ทำให้พันแห่งโลกธาตุรู้แจ้งได้

ด้วยเสียง พระเจ้าข้า ส่วนพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเล่า ทรงสามารถที่จะทำโลกธาตุเท่าไรให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง ฯ

     พ.  ดูกรอานนท์ เธอได้ฟังเรื่องพันโลกธาตุ เพียงเล็กน้อย ฯ

     อา. ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าแต่พระสุคต บัดนี้เป็นกาลเวลาแห่งเทศนาที่พระองค์

จะพึงตรัส ภิกษุทั้งหลายได้สดับธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้ ฯ

     พ.  ดูกรอานนท์ ถ้าอย่างนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวท่านพระอานนท์

ทูลรับสนองพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรอานนท์ จักรวาลหนึ่ง

มีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์พระอาทิตย์โคจร ทั่วทิศสว่างไสวรุ่งโรจน์ โลกมีอยู่พันจักรวาลก่อน ในโลกพันจักรวาลนั้น มีพระจันทร์พันดวง มีอาทิตย์พันดวง มีขุนเขา

สิเนรุพันหนึ่ง มีชมพูทวีปพันหนึ่ง มีอปรโคยานทวีปพันหนึ่ง มีอุตตรกุรุทวีปพันหนึ่ง

มีปุพพวิเทหทวีปพันหนึ่ง มีมหาสมุทรสี่พัน มีท้าวมหาราชสี่พัน มีเทวโลกชั้นจาตุ

มหาราชิกาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดาวดึงส์พันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นยามาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้น

ดุสิตพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นนิมมานรดีพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัสตีพันหนึ่ง

 มีพรหมโลกพันหนึ่ง ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างเล็กมีพันจักรวาล โลกคูณ

โดยส่วนพันแห่งโลกธาตุ อย่างกลางมีล้านจักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล ดูกรอานนท์ตถาคตมุ่งหมายอยู่ พึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่มุ่งหมาย ฯ

     อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคพึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสน

โกฏิจักรวาล ให้รู้แจ้งด้วยพระสุรเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมายอย่างไร ฯ

     พ.  ดูกรอานนท์ พระตถาคตในโลกนี้ พึงแผ่รัศมีไปทั่วโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณ

แสนโกฏิจักรวาล เมื่อใด หมู่สัตว์พึงจำแสงสว่างนั้นได้ เมื่อนั้นพระตถาคตพึงเปล่งพระสุรเสียงให้สัตว์เหล่านั้นได้ยิน พระตถาคตพึงทำให้โลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง หรือพึงทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมาย ด้วยอาการเช่นนี้แล ฯ

     เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสดังนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ ได้กราบทูลว่า เป็นลาภของ

ข้าพระองค์หนอ ข้าพระองค์ได้ดีแล้วหนอที่ข้าพระองค์มีพระศาสดาผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนี้

 

เมื่อท่านพระอานนท์กราบทูลอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุทายีได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ในข้อนี้ท่านจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าศาสดาของท่านมีฤทธิ์ มีอานุภาพมากอย่างนี้ เมื่อท่านพระอุทายีกล่าวอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระอุทายีว่า ดูกรอุทายี เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้ ถ้าอานนท์ยังไม่หมดราคะเช่นนี้ พึงทำกาละไป เธอพึงเป็นเจ้าแห่งเทวดาในหมู่เทวดา7 ครั้งพึงเป็นเจ้าจักพรรดิในชมพูทวีปนี้แหละ 7 ครั้ง เพราะจิตที่เลื่อมใสนั้น ดูกรอุทายีก็แต่ว่าอานนท์จักปรินิพพานในอัตภาพนี้เอง ฯ

                         จบอานันทวรรคที่ 3   

 

 

พ่อครูว่า ...ที่พวกคุณฟังเป็น ปรมัตถธรรม แต่ถ้าทั่วไปฟังก็จะเป็นบุคคลาธิษฐาน เป็นตัวตนแท่งก้อน บุคคล เราเขา มีรูปร่าง แต่เอาไปปฏิบัติไม่ได้ แต่ถ้าพวกคุณฟังนี่จะเอาไปปฏิบัติได้ ฟังเป็นธรรมาธิษฐาน

 

มนุษย์ชมพูทวีปคือมนุษย์ที่มีร่างกายครบอาการ 32 พร้อมสติมันโต แล้วได้รวมทั้งอาการ 33 ที่เป็นดาวดึงส์ด้วย ที่คุณไปหลงความสุข เป็นอาการที่ 33  อย่างที่เขาตั้งหน้าตั้งตาหลอกกัน จนเป็นหนี้ก็เพื่อที่จะได้อาการ 33 ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีจริง เป็นวิมานหลอกคน หลอกให้าเงินมาให้เขาอย่างหลงใหล แม้ถึงยอมเป็นหนี้ก็ยอมทำ ทุกคนแบบนี้ก็ตั้งจิตไปดาวดึงส์ทั้งนั้น เพราะอวิชชา

 

ถ้าศึกษาให้ดี จะพ้นอมรโคยาน กับ อุตรกุรุทวีป คำว่าอมรโคยาน คือผู้มีการดำเนินไปสู่อมร หรืออมตะ ก็คือมนุษย์อุตรกุรุทวีป คือผู้ผ่านมนุษย์แล้ว

 

ในมูลสูตร หากใครศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแต่ทำมนสิการไม่เป็น ทำใจในใจไม่เป็น ต้องทำจิตเป็น ทำให้หยุด ทำให้อ่อนจาง แข็งแรงขึ้น หนา แรง หรือเบาได้ หรือทำให้หยุดไม่เกิดเลยตลอดกาลก็ได้

 

มนุษย์ที่มีอุตระได้ และเป็นกุรุ เป็นครูเขาได้แล้วนี่คืออุตรกุรุทวีป คือเป็นตัวเป็นคือรูป ส่วนอมรโคยานคือตัวรู้เป็น นาม

 

แล้วก็มี บุพพวิเทหทวีป คืออดีต เป็นก้อนเป็นแท่ง เป็นเทวหวัตถุแท่งทึบ รวมอวกาศหมด ทั้งพลังงานและสสารทั้งหมด คำว่า วิ มีสองนัยคือวิเศษกับโง่ รวมแล้วในนี้หมด บุพพวิเทหทวีป คนไม่เรียนรู้อดีตตนว่าสั่งสมเป็นอนุสัยเท่าไหร่ สั่งสมแล้วเป็นของจริงในแดนจิตตน คุณเอาไปทิ้งไหนก็ไม่ได้เหมือนทุกวันนี้แค่กัมมันตรังสีก็ไม่รู้จะไปทิ้งไหนเลย เอาใส่ที่กักไว้แล้วไม่ให้ระเบิดออกมาเท่านั้น แต่อนุสัยก็คือระเบิดปรมาณูที่ไม่ระเหิดระเหยไปไหม ทำอย่างไรก็ต้องมีตัวกั้น ไม่ให้อยู่ใกล้ ให้ไกลออกไปในที่ไหนๆเลยก็พ้นได้ จนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยานก็พ้นได้ คุณปฏิบัติมนสิการได้ ที่แดนเกิด เป็นสมุทัย ต้องมีผัสสะ ถ้าไม่มีผัสสะปฏิบัติไม่ได้ พร้อมอาการ 32 ที่มีสัมผัส แล้วเกิดการรับรู้ แล้วจะพัฒนาให้ดีหรือทำให้หายนะก็ได้

 

ต้องมีสมุทัย คือ ผัสสะ แต่ถ้าออกป่าเขาถ้ำก็ไม่เข้าทางพุทธแต่ถ้าของพุทธจะไปศึกษาบ้างในป่าก็ได้แต่ก็ไม่ใช่ทางเอก ในสิ่งที่สะสมไปแล้วแก้ไม่ได้แต่สั่งสมกรรมใหม่เป็นมนุษย์อมรโคยานและอุตรกุรุทวีปได้ อมรโคยานเหมือนตนหน เป็นนามเป็น kinetic energy แต่อุตรกุรุทวีปเหมือนรูป เป็นต้นกล เป็น potential energy   แต่ต้องปฏิบัติที่ชมพูทวีปนี้เท่านั้น ต้องมี สุรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโสนี้เท่านั้น ปฏิบัติมีผัสสะเป็นปัจจัยแล้วจะรวมลงที่เวทนา เป็นธรรมะสอง ที่รวมลงเป็นหนึ่ง ทำทีละคู่ จนแล้วเป็นหนึ่ง แล้วก็มีส่วนสองอยู่

 

จะมีอาการ 32 อยู่ พร้อมวิญญาณ คุณก็จะสามารถรู้ทั้งเคหสิตเวทนและเนกขัมสิตเวทนา แล้วทำให้เป็น อุเบกขา เนกขัมมะอย่าง ที่เรียกว่า นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เป็นอมตบุคคล ทำได้ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคตก็ตัดสินได้ว่า กิเลสสูญ ตัดสินเอง

 

เมื่อคนปฏิบัติธรรมจะทำให้เกิดสั่งสมเป็นสมาธิ เป็นประมุขเป็นฌานมีกิเลสลด ตั้งมั่นเป็นมาหิตัง จิตตัง ตั้งมั่นแล้ว จะมีสติเป็นใหญ่ มีปัญญาเป็นยิ่งในตน เป็นสติของมนุษย์อุตรกุรุทวีป ไม่ใช่ว่าจะรู้เร็วไว ตลอดเวลาเลย ขึ้นอยู่กับชวนจิตของใคร ถ้าจะเร็วที่สุดต้องยกให้พระพุทธเจ้า หรือให้อรหันตสาวกใหญ่ท่าน อาตมาไม่เร็วต้องแบ่งมาใช้ทางเร็วและทางแข็งแรง เอาอันไหนมาใช้ก็จะพร่องอีกอัน นี่ไม่ได้พูดเพื่อโก้เก๋อะไรนะ

 

สั่งสมเกิดสติเป็นใหญ่ มีปัญญาเป็นอุตระ อยู่เหนือ ผู้ครบสมบูรณ์ด้วยขั้นนี้ในมูลสูตร

1.      มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา)

2.      มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ)

3.      มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย)

4.      มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา)

5.      มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ)

6.  มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ)

7.  มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) กัปตันรู้ยิ่งยอด 

8.  มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง

9.  มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา) = สอุปาทิเสสนิพพาน. 

10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน

(พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 58)

 

ผู้มีวิมุติคืออมตบุคคล นี่คือ อมรโคยาน หรืออุตรกุรุทวีป ที่จะเป็นธัมมกถึกต่อไป แล้วเป็นผู้เผยแพร่ธรรม สอนธรรม เปิดเผยธรรมะของพระพุทธเจ้า ..

แต่ผู้เป็นธัมกถึกที่ไปสอนคนตอนนี้ ไม่มีคุณอันสมควรก่อนแล้วสอนคนอื่น จึงมัวหมอง

 

ผู้อมตะคือต้องอาศัยมนุษย์ชมพูทวีปนี้ศึกษา จึงจะเป็นอมตบุคคลได้ หรืออรโคยาน และอุตรกุรุทวีป

 

เราเป็นโสดาบันก็สอนแค่โสดาบัน แต่ถ้าไม่มีเลยแม้แค่โสดาบันก็อย่าสอนเลย สอนแล้วไม่มีใครได้หรอก ได้บาปคือคุณได้บาปนั่นแหละ อย่าสอนเลย แต่นี่เผยแพร่กันไปในโลกเลย ไม่ควรทำ เมื่อผู้เป็นอมตบุคคล สุดท้ายก็นิพพาน เป็นที่สุด ท่านจะปรินิพพานหรือไม่ก็เรื่องของท่านอย่าไปยุ่งกับท่าน

 

สายเถรวาทไม่เข้าใจเรื่องนี้และยากมาก ที่อาตมาเปิดเผยนี้เป็นโอปปาติกสัตว์ทั้งสิ้น อาตมามีหน้าที่จะมาอธิบายสิ่งเหล่านี้ ถ้าอาตมาไม่มาจะรู้กันไหมนี่ แล้วขณะที่อธิบายไปนี่รู้กันเท่าไหร่? ...ส่วนใหญ่ก็พอรู้ได้ อาตมาก็ไม่สูญเปล่า อาตมาก็ทั้งเคี่ยวเข็นเคี่ยวข้นให้ปฏิบัติ ฟังแล้วเอาไปปฏิบัติให้ได้ เพราะโลกต้องการ

 

อาตมาประกาศไปแล้วว่ามนุษย์ชมพูทวีปนั้นได้เกิดแล้วในเมืองไทย ที่จริงก็คือแดน แต่มันไล่เสพแต่ดาวดึงส์ ไม่มาเรียนมนุษย์อุตรกุรุปทวีป มันเอาแต่ดาวดึงส์จะเอาแต่โลกีย์ แต่ขณะนี้มีคนมาเรียนอุตรกุรุปทวีปบ้างแล้ว ได้บ้างแล้ว มีอมรโคยานแล้ว บางคนมียานล้ำหน้าอาตมาก็มี แล้วแยกตัวไป การแยกตัวนี้พระพุทธเจ้าว่าอนันตริยกรรมข้อที่ 6 เคยสัมมาทิฏฐิแล้วหนีไปอยู่กับใครหรือตั้งตนเองใหม่ มาขัดแย้งกับสิ่งสัมมาทิฏฐิ เป็นอนันตริยกรรม น่าสงสาร

 

ลักษณะมนุสโสคือเขาเจตนาให้จิตสูง ใครเข้าใจก็จะรู้ว่ามนุษย์ดาวดึงส์ก็อยู่ในชมพูทวีป ซึ่งถ้าตายไปแล้วก็จะไปอยู่ดาวดึงส์ ดาวดึงส์นี่คือของเท็จ มันจึงมีอนิจจังเร็ว แต่อยากได้นี่มันฝังในอนุสัย ฟังให้ดี อยากได้นี่แหละเป็นแกนหลักของชีวิต คืออยากได้เป็นตัวจิต เป็นอนุสัย ส่วนเสพนั้นได้ตามเหตุปัจจัย คุณตายไปแล้วเป็นดาวดึงส์นั้นไม่มีจริง คุณสุขได้แต่บำเรอกาม ได้อัตตา แต่ว่าตายไปแล้วไม่มีโอฬาริกอัตตา ตายไปแล้วไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายไว้เสพนะ แต่ความอยากได้คุณก็ยังมีอยู่ คุณก็ไม่ได้เสพ แล้วก็ยิ่งอยากได้ก็ยิ่งดิ้นรนไปหา ไปเอา เมื่อไม่ได้ก็ยิ่งดิ้นไป นี่คือนิรยภูมิ คือภูมิร้อน เป็นความร้อนที่ยิ่งกว่าพระอาทิตย์กี่ลูกก็ตาม ใครอยากได้อยากร้อนก็เอาเลย อยากเข้าไป...มาศึกษาให้ลดความอยากความเสพนี่แหละจะบรรเทาได้

 

ดาวดึงส์เป็นความหลงในสัญญาแวบเดียว แต่ตัวจริงที่ได้คือนรก ทั้งนั้น ดาวดึงส์ได้แค่สัญญาแต่ละแวบที่สุข แต่อุตรกุรทวีปคือผู้พ้นแล้ว อย่างอนาคามีก็พ้นกามคุณแล้วมีส่วนเหลือแต่ รูปราคะ อรูปราคะ มีมานะที่ใหญ่แต่กับตนเองไม่ไปใหญ่กับใครแล้ว โอฬาริกอัตตารู้แล้ว ถ้าถึงมนะแล้วเหลือแต่อรูปอัตตา บางรูปเป็นอนาคามีจึงไม่มาเกิดแล้ว อยู่ในสุธาวาส ก็นานมากไม่มีอุปกรณ์ในการฝึกฝน แต่ท่านก็ไม่ทุกข์อะไร อยู่ในสุทธาวาสไปอีกนานเท่านาน

 

ผู้ที่ต้องการสิ่งประเสริฐต้องกล้าทิ้งดาวดึงส์ ทิ้งลาภ ยศ สรรเสริญ ทิ้งรูป รส กลิ่น เสียงสัมผัสที่เสพ แต่ก็อยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ จอมจักพรรดิ์ท่านก็อยู่กับโลกธรรมแต่จิตท่านไม่เสพแล้วนอกนั้นท่านก็ทำเพื่อมวลมนุษยชาติ ตามเหมาะควร คนต้องยึดถือสิ่งสัมผัสได้ ให้เขาไม่ดูถูกจะได้ไม่บาป มันซับซ้อนหลายชั้น

 

มนุษย์ชมพูทวีปคือมีสุรภาโว สติมันโต คือธาตุรู้ที่เชื่อมโยงได้ทั้งนอกและใน รู้วิโมกข์ข้อที่ 2 อัชฌัตตังอรูปสัญญี เอโก พหิทารูปานิปัสสติ คือทำจากนอกมาใน ให้มีลำดับ จะงาม เมื่อทำได้ก็เข้าสู่ อมรโคยาน อุตรกุรุทวีป ส่วนบุพพวิเทหะ เราเป็นโสดาบันก็ลดการสั่งสมสิ่งไม่ดีแล้วในฮาร์ดดิสก์ พอเป็นอรหันต์ บุพพวิเทหะเราปิดฉากไม่เพิ่มสิ่งเลว แล้วมีแต่จะเพิ่มกุศล ไม่ให้อดีต บุพพวิเทหะ วิ่งตามไล่ทันได้ ขนาดเป็นพระพุทธเจ้ายังมีวิบากมาเล่นงานได้เลย เป็นอจินไตยที่ยากจะเข้าใจมากเลย

 

ชมพูทวีป อมรโคยาน อุตรกุรุทวีป บุพพวิเทหทวีป ดาวดึงส์  ถ้าเข้าใจความหมายทางจิตวิญญาณ เป็นสัตว์ดาวดึงส์สะสมเป็นจิตไม่ดีเป็นบุพพวิเทหะ ทำแล้วเป็นกรรมทายาโท ที่ตนต้องรับผลของตน จนกว่าจะหยุด กัมมัสโกมหิ กัมมทายาดท

 

จนหมดดาวดึงก็เป็นพรหมโลก คือโลกสะอาดเป็นลำดับ ตั้งแต่โสดาบัน ไปถึงอรหันต์ได้สะอาดที่สุด เป็นผู้มี พระปัญญาธิคุณ กรุณาธิคุณ บริสุทธิ์คุณ อยู่ช่วยโลก เป็นพรหมโลก

 

สำหรับพรหมโลกดำ กับพรหมโลกสว่างจ้า มีสองทาง ทางมืดกดข่มดับดำลึก แต่ทางสว่างก็ปั้นสร้างสว่างไปไกลมาก ทางสว่างนี้ไปไกลไม่รู้จบ แต่ทางมืดนี่ไปยากกว่า มีแต่ลึกจมดับ แต่สว่างนี้ไปหาอนันตัง ประมาณไม่ได้เลย ไม่ใช่อัปปมัญญา คือประมาณไม่ได้ พวกนี้คือโลกันตะ คือนรกโลกันต์

 

เราเข้าใจแล้วเราก็ไม่เอาโลกันตะ ก็ต้องจัดขอบเขต เป็นพรหม

พรหม ปริตตัง เป็นลำดับแรก

พรหม 3 ชุดแรกคือ

ปริสัชชา กับปุโรหิตาพรหม ก็สองอย่างนี้ คือศิษย์กับครู ยังเป็นบริวารก็ศึกษาไปจนเป็นครู ผู้ใดใหญ่ก็เป็นมหาพรหม ถ้าสัมมาทิฏฐิจะเป็นพรหมจริง แต่ถ้ามิจฉาทิฏฐิ ก็เป็นพรหม เป็นศาสดาก็ได้ ทำความดีอย่างจริงใจ ก็ช่วยโลกไว้ต้องเคารพเขานะ อย่าดูถูก เขาพาทำความดี ให้โลกนี้อยู่ได้ ถ้าไม่มีเขานี่แย่นะ เพราะคนเข้าใจอย่างนั้นได้ง่ายกว่าแบบโลกุตระ

 

ปริตตาภา กับ อัปปมาณาภา คำว่าปริตตาคือกำหนดกรอบขอบเขตได้ ส่วนอัปปมาณาภาคือกำหนดกรอบไม่ได้ เราก็เอาปริตตาก่อน เท่าที่เรามีได้ทำได้ ก็เป็นอัปปมาณาภา มีแสงสว่างสูงขึ้นตามกรอบเรากำหนดไปตามลำดับ จะเกิดอาภัสสรา

 

อาภัสสราคือแสงสว่างเป็นปัญญา ปัญญาสมาอาภา ส่วนคนที่เขาสว่างไปตามเรื่องเขาก็มีปัญญาเป็นกัลยาณชน เขาก็ทำไป สายเจโตไม่ใช่สายปัญญา สายศรัทธาเขาก็เชื่อมาก แต่ไม่เข้าปรมัตถ์

 

ปริตตาสุภา กับอัปปมาณาสุภา ก็กำหนดสุภาก็ดีขึ้นกว่าเดิม เจริญขึ้นอีก แล้วเป็นสุภกิณหา คำว่ากิณหาคือดับดำหรือชั่ว ถ้าไม่ชั่วก็เป็นสุภะที่ถูกต้องแต่ดับดำมืด สายมิจฉาทิฏฐิจะได้ดับดำดิ่ง เขาก็มักน้อยไม่แย่งโลกนะ นั่งสมาธิไปจนกว่าจะตาย แล้วพวกนี้อายุยืนด้วยนะ ปริตตาสุภาต้องรู้กายที่เป็นกิณหะกับกายที่เป็นประภัสสรา เป็นผู้สว่างสะอาดถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ เขาได้กายนิโรธ แต่ต่างทิฏฐิ นิโรธเขาดับดำ แต่นิโรธของพระพุทธเจ้านั้น หมดแล้วได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก (นิกามลาภี กิจฉลาภี กสิรลาภี) แต่ถ้าพวกฤาษีจะได้โดยยากได้โดยลำบากในฌานทั้ง 4 คือ(อกสิรลาภี) คนพวกนี้ต้องนั่งหลับตา กว่าจะเข้าฌาน 4 ก็ใช้เวลา ส่วนจะออกฌานก็ใช้เวลาอีก ก็ได้แต่ได้แต่ตอนนั่งด้วย เอามาใช้กับตอนปัจจุบันในชีวิตไม่ได้ด้วย แต่ของพระพุทธเจ้าใช้ได้กับทุกขณะชีวิตด้วย แล้วใช้ได้อย่างกายกัมมัญญตา แคล่วคล่องว่องไวด้วย


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2563 ( 15:14:35 )

580420

รายละเอียด

580420_ธรรมาธรรมะสงคราม ปฐมอโศก มนุษย์ประเสริฐพัฒนาคือเช่นใด

.กฤษฎาว่า..เป็นที่รู้กันว่า ช่วงปีใหม่ไทยนี้ชาวอโศกจะจัดงานตลาดอาริยะ ซึ่งผมก็มันจะนำประเด็นจากตลาดอาริยะมาถามพ่อครู ปีนี้ผมดูข่าว อื่นๆ ที่อีสานจะมีงานบุญผะเหวด คืองานฉลองพระเวสสันดรกลับเข้าเมือง ผมดูว่า ทั้งสองงานเป็นสิ่งเดียวกันไหม? คือพระเวสสันดรเป็นชาติสุดท้ายใน ทศชาติของพระพุทธเจ้า ทำให้ผมคิดว่างานตลาดอาริยะคืองานที่ให้เราไปฝึกฝนการให้ใช่หรือไม่?

 

ปีนี้มันแปลกคืองานตลาดอาริยะใหญ่ขึ้นมีถึงสองฝั่ง ภาครัฐ ภาคท้องถิ่นก็มาร่วมกับเรา เราภูมิใจว่างานใหญ่ขึ้น มีคนมาร่วมมากขึ้น แล้วทำอย่างไรจะให้เป็นความภูมิใจที่เป็นธรรมะไม่ใช่แบบโลกีย์ที่แค่ดีใจว่ามีคนยอมรับเรามากขึ้น แล้วการให้อย่างไรจะนำไปสู่บุญหรือกุศล

 

ช่วงประเพณีไทย แต่ละบ้านก็ไปทำทานทำบุญแล้วนำภาพแชร์ไปในเฟสบุค แล้วการทานหรือการทำบุญแท้จริงควรเป็นอย่างไร แล้วจะเป็นการขจัดตัวตนได้อย่างไร?

 

พ่อครูว่า...ฟังคำถามแล้วถ้าเราจะไปพูดถึงเรื่องความสำคัญทางสังคม เรื่องของที่เราจัดงานแล้วเกี่ยวกับประชาชน ก็คือเขาก็ควรได้รับการเกื้อกูลช่วยเหลือ จนโยงใยถึงทางจังหวัด ทางรัฐก็อยากจะมาเห็นว่า ดีเหมือนกัน มาร่วมมือ ซึ่งพฤติกรรมสังคมนั้น สำหรับชาวบ้านเขาดีใจพอใจนะเราก็ได้ช่วยเหลือเขาเท่าที่เราทำได้ มันก็ได้มากขึ้น เติมงานมากขึ้น ปีนี้สินค้าแทบจะเพิ่มกว่าปีที่ผ่านมาถึงสองเท่า หนักเหน็ดเหนื่อย ทางพระ ทางจังหวัดก็เข้าใจเชื่อมโยงมา

 

อาตมาจะอธิบายภาคของจิตก่อน เราทำตลาดอาริยะมา 36 ครั้งแล้ว เรานับปี อาตมาจำปีแรกได้คือปี 2523 แล้วก็ทำมาเรื่อยๆ แล้วปี 2524 ก็จัดที่ราชธานีอโศก เราทำตลาดอาริยะเพื่อจะขัดเกลาจิตใจของพวกเราอันนี้เป็นประเด็นหลัก แต่ส่วนที่จะช่วยประชาชนเป็นประเด็นรอง ประเด็นหลักคือทำให้เกิดบุญ เราทำทานนี้ให้เกิดบุญ บุญกับทานไม่เหมือนกัน บุญกับกุศลก็ไม่เหมือนกัน

 

ทาน คือการให้ออกไปจะเป็นแรงงานวัตถุ ความคิด อัตตาตัวตนก็ให้ออกไป

 

บุญ คือการชำระกิเลส อันนี้เขาเข้าใจคำว่าบุญผิดเพี้ยนไปนานมาก ไม่ได้เข้าใจคำว่าบุญคือการชำระกิเลส แต่ไปเข้าใจว่าบุญคือทาน แล้วได้ผลเป็นกุศล การให้อะไรก็แล้วแต่เขาก็ให้ไปแต่ไม่ได้ให้อัตตา ไม่ได้เอากิเลสออกไปจากตัวเอง นี่คือการทำบุญ การจะมีปัญญาแล้วสามารถทำได้ว่า เราสามารถทำทานแล้วเอากิเลสออกได้ ทานนั้นเกิดบุญ แต่ทานนั้นถ้าไม่เอากิเลสออกก็เป็นกุศล แต่ถ้าทานแล้วไม่เอากิเลสออกไม่เป็นบุญ จะทานมากมายขนาดไหนก็แล้วแต่ ที่เขาบอกว่าทำบุญใหญ่ ยิ่งมากทำทานเป็นร้อยล้านพันล้านนั้นเขาทำทานวัตถุแพงขึ้น แต่ใจเขาไม่ได้สละออกใจไม่ได้ลดโลภ เขาไม่ได้ทำจิตของเขาให้ลดโลภลง คนทำทาน 10 บาทแต่ตั้งจิตเอาแสนเอาล้าน อย่างเจ้าสัวที่เขาว่าไปทำทานกับธรรมกายแล้วจะได้วิมานชั้นฟ้าใหญ่มาก สูงกว่านี้ จิตเขาโลภเพิ่มแน่ ตะกละเพิ่ม ไม่ได้ทำทานเพื่อเสียสละ ลดโลภ เป็นการลงทุนทางจิต ส่วนวิมานนั้นเขาไม่รู้จริง เขาหวังวิมานก็คือเขาได้นรกไปด้วย นรกกับวิมานคืออันเดียวกัน ยิ่งทานมากเท่าไหร่จิตเขายิ่งหวังมากเท่านั้นโลภมากกว่าเก่าอีก ได้แต่บาปคือกิเลสหนาขึ้น เขาทำทานจึงไม่ได้บุญ ไม่มีผลละละหน่ายคลายจางกิเลส เพราะผู้สอนมิจฉาทิฏฐิ ไม่รู้แม้แต่ทานที่สัมมาทิฏฐิ

พระพุทธเจ้าตรัสถึงทานว่าต้องมีผลลดกิเลสจึงสัมมาทิฏฐิ แล้วถ้าทำทานแล้วทำใจในใจ หรือมนสิการ ให้ลดอาการโลภ หรือตั้งให้ถูก อฐิษฐาน ว่าให้นะ ตั้งจิตว่าให้นะ แล้วถ้ายิ่งรู้ว่าใจเรามีอาการเอามาเป็นเราไว้หรือเอาออกไปถ้าเข้าใจอาการใจแล้วทำได้ถูกก็โยนิโสมนสิการถูก แต่ไม่ได้สอนให้ทำใจให้ถูก ก็จะทำทานแล้วได้บาปหนักกว่าเก่า ทานทีไรบาปเพิ่ม ชาติหน้าเราต้องได้ อนาคตเราต้องได้มาก กิเลสก็ยิ่งหนาหนักตกผลึกเพิ่ม คือนัตถทินนัง มิจฉาทิฏฐิข้อที่ 1

 

.กฤษฎาว่า...เขาก็มักคิดว่า ยิ่งให้ก็ยิ่งรวยขึ้น เจ้าสัวรวยขึ้นเพราะได้ให้ แล้วความเจริญคืออย่างไร?

 

พ่อครูว่า...การเจริญคือการได้ลดกิเลส แล้วการให้แล้วรวยขึ้นไม่ได้บ่งชี้ความเจริญ ถ้าให้แล้วเจริญคือรวยขึ้น พระพุทธเจ้าก็โง่สิที่ทิ้งทรัพย์สมบัติหมดสิ พระเวสสันดรก็โง่สิที่ให้หมดแม้แต่ลูกเมียก็ให้ไปหมด ดังนั้นสมบัติวัตถุไม่ใช่เครื่องบ่งชี้ความเจริญ

 

ความเจริญทางวัตถุไม่ใช่ความเจริญที่แท้จริง ขอกล่าวถึงในหลวงว่าท่านบอกให้เอาแบบคนจน อย่าไปเป็นมหาอำนาจทางเบ่งข่มด้วยวัตถุ ก้าวหน้าอย่างนั้นในหลวงว่าคือการถอยหลังอย่างน่ากลัว เราไม่เอา ในหลวงเราตรัสตามพระปัญญาธิคุณ เป็นเรื่องที่คนเข้าไม่ถึง โลกแห่งความมีวัตถุสมบัติ ไม่ใช่การชี้บ่งความเจริญก้าวหน้าพัฒนาอะไรเลย

 

คนที่จะพัฒนาคือต้องมีคุณสมบัติ เช่นนี้

1. คนไม่เป็นหนี้ใดๆได้เลย สัตว์เดรัจฉานกู้หนี้ยืมสินไม่เป็น คนที่เป็นหนี้เป็นสินโง่กว่าเดรัจฉานทุกคน

2. พึ่งตนเองรอด คือเราขยันหมั่นเพียร สุจริต เลี้ยงตนรอด โดยไม่กู้ไม่ยืมของใครมา

3. สร้างผลิตให้เหลือมากกว่าตนกินตนใช้ ได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี

4. สะพัดสิ่งที่เกินที่เหลือให้คนอื่น

 

จะขายก็ขายต่ำกว่าทุน การขายมากกว่าทุนเป็นเชิงเอาเปรียบ เราขายขาดทุนได้ เพราะมันเป็นส่วนเกินจากที่เรากินใช้ เราผลิตได้มาก ไม่ต้องคิดราคาตลาด เราจะขายให้ต่ำลง ให้ฟรีได้ยิ่งดี

 

.กฤษฎา...ว่า ตอนนี้มะนาวลูกละ 10 บาท เกิดผมปลูกมะนาวได้มาก ก็นำไปให้เขา เขาจะดีใจมาก ความโลภกับจินตนาการคือตัวหลอก

 

พ่อครูว่า...ความเจริญประเสริฐของมนุษย์ไม่ได้บ่งชี้ด้วยความรวย  แต่คนรวยแล้วก็เอาเงินไปออกดอกออกผลให้ได้กลับมามากที่สุด Maximize profit ก็คือได้บาป คนคิดทฤษฎีนี้ก็บาปแต่ต้น แล้วคนเอาไปใช้ทำบาปเพิ่มอีก

 

คนถ้าไม่งอมืองอเท้า พึ่งตนรอด แล้วไม่เป็นหนี้ ก็คือคนเจริญแล้ว

 

.กฤษฎาว่า...วันนี้คนถูกหลอกด้วย ภาษาคือ GDP

 

พ่อครูว่า...อันนี้บาปมาก เพราะว่า มันเป็นผลผลิตมวลรวมของประเทศ คือคุณผลิตอะไรได้ก็แล้วแต่ เสร็จแล้ว แม้ว่า GDP จะได้มากแล้วแบ่งกินแบ่งใช้ทั่วประเทศไทยอันนี้เจริญแท้ แต่เขาไม่คิดเช่นนี้ เขาเอาว่า ผลิตได้มากเท่าใดแล้วเอาไปขายประเทศอื่นเพื่อได้กำไรมากขึ้น นี่คือได้ GDP เพิ่ม อาตมาว่าการไปได้เปรียบเขามากเท่าใดแล้วคิดว่าเจริญคือมิจฉาทิฏฐิ

 

ถ้าสร้างผลผลิตมวลรวมประเทศไทยได้มากๆแล้ว ก็เผื่อแผ่สู่ประเทศที่เขาขาดแคลน เราก็ให้ฑูตเราไปดูว่าประเทศไหนขาด เราก็เอาไปขายขาดทุนหรือแจกให้ เราไปขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เราเสียนี่แหละคือเราได้นี่คือ GDP แท้

 

.กฤษฎาว่า...ผมนึกถึงเหตุการณ์ซึนามิในญี่ปุ่น ที่คนไทยมีน้ำใจให้คนญี่ปุ่น ทำให้เกิดมิตรภาพมากมาก

 

พ่อครูว่า...ที่ไหนก็เป็นเช่นนั้น การได้เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันคือสิ่งที่ควรทำ ควรสร้างคนให้เป็นเช่นนี้ ในหลวงว่าเราก็ไม่ต้องไปแข่งรวยกับเขา เราก็พึ่งตนเองรอด มีเหลือกินเหลือใช้ แนวคิดนี้คนถึงรับได้แล้วให้รางวัลในหลวงเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง เราต้องศึกษาเรื่องนี้ ไทยเรามีต้นขั้วของศาสนาที่ดี ในหลวงก็มีพระราชconcept ของท่านเช่นนี้สุดยอดแล้ว แต่คนรับสนองพระบรมราชโองการ ทำไม่ขึ้น เพราะศาสนาพุทธไม่เป็นโลกุตระ เป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้แต่ทานข้อแรกของสัมมาทิฏฐิก็ไม่ลดโลภ ก็เลยล้มเหลว ไม่ว่าทางรัฐหรือธุรกิจก็ล้มเหลวทั้งประเทศไปเป็นทาสทุนนิยม แล้วไปยินดีกับการได้มาก เอาเปรียบได้มาก จนรวยก็ไปยกย่องเชิดชูกันแต่คนรวย คนจนที่ซื่อสัตย์ไม่เอาเปรียบ กลับไม่ยกย่องเชิดชู กลับไปยกย่องอบายมุข บันเทิงกีฬา นี่คืออบายมุขจัดจ้านแรง แล้วนายทุนส่งเสริม เพราะคนเสพมีมาก ไปขูดรีดเงินได้มาก สังคมก็จมด้วยอวิชชา

 

เขาหลงรวย หลงอบายมุข สนุกเพลิดเพลินว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์ควรได้ กระหน่ำเพื่อครอบงำความคิดมอมเมาอารมณ์ความคิดหนัก พูดไปแล้วเขาชังนะ ที่อาตมาพูดนี่ อาตมาก็ชัดเจนว่าโลกล้มเหลวใกล้กลียุคทั้งโลกเราจะไปตามทำไม เราต้องทำแบบพระพุทธเจ้า แบบในหลวง สอน แม้แต่วงการศาสนาเถรสมาคมก็ไม่ได้พัฒนาโลกุตระ อาตมาเปิดเผยโลกุตระกลับถูกเหยียบย่ำ อาตมาทุกวันนี้ยืนหยัดสัจธรรมแล้วอยู่ได้ด้วยธรรมรักษา แต่เขาไม่กล้าเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เขายึด ด้วยสีลัพพตุปาทาน มีแต่อัตตวาทุปาทาน ไม่สามารถตามเห็นอัตตา ไม่พ้นอัตตาได้

 

.กฤษฎาว่า..การรับอย่างไร จึงถือว่าเป็นการรับที่ได้บุญ คนจะสอนกันว่า เวลาเขาให้อะไรเราเราก็ควรรับอย่างจริงใจบริสุทธิ์ใจ เช่นเวลาพ่อแม่สอนลูก ลูกก็ควรตั้งใจรับ

พ่อครูว่า...คำว่าตั้งใจรับนี่ต้องมีปัญญาร่วม ว่าเราเป็นผู้ได้มานี่ เขาให้มานี่ เราเป็นผู้เอานะ เราจะต้องเป็นหนี้นะ นี่ถืงเรียกว่า หนี้บุญคุณ  เราต้องระลึกถึง หนี้บุญคุณ แล้วอีกอย่าง ถ้าเราทำจิตใจเราเป็น ถ้าเขาให้มาแล้วเราก็ดีใจพองใจย่ามใจ ชอบใจ หวงแหนขี้เหนียวโดยไม่สำนึกว่าเขาให้เรา เราควรละอายว่าเราควรให้เขาบ้าง การตอบแทนคืนเราก็ควรทำ และที่ดีเราก็ควรตอบแทนเขากลับไปให้มากกว่าอีก เราต้องรู้ว่าเราเป็นผู้รับนี่เรายังไม่ประเสริฐนะ เราจะต้องเป็นผู้ให้บ้าง แต่ถ้าตอนนี้คุณยังให้วัตถุไม่ได้ คุณต้องทำใจให้ โดยเอาความโลภออกไป เรารับมานี่ใจเราควรนึกถึงว่าเราควรให้เขาคืน หรือเราก็เอาสิ่งที่เขาให้ไปให้ต่อในเนื้อนาบุญ ถ้าทำใจอย่างนี้ก็คือเราทำกุศลเพิ่ม

 

เช่น การจัดตลาดอาริยะ เขาก็ว่าเป็นการทำให้คนโลภมากขึ้นหรือไม่? อันนี้ลึกซึ้งมาก เราทำมา 36 ปี เราสามารถตอบคำถามนี้ได้ ว่าไม่เกิดกิเลสโลภเพิ่ม เพราะจำนวนคนมารับบริการ ไม่ได้มีพฤติกรรมโลภมากขึ้น แต่เป็นการทับทวี ปฏิภาคทวีที่เขามีสำนึกมากขึ้น เขาลดความโลภของเขาบ้างเป็นปีแต่ละปีผ่านไป แต่ถ้าคนโลภมากขึ้นๆ ทำมา 36 ปีเราจะรับไม่ไหวหรอก แต่นี่เราก็จัดได้ดีมากขึ้น เขาซื่อสัตย์สุจริตมากขึ้น

 

มันเป็นเช่นนี้เพราะอะไร ? เพราะเรามีมวลแห่งพฤติกรรมต้นทุน คือผู้เป็นพ่อค้าแม่ค้า แสดงความเสียสละด้วยจริงใจทั้งวัตถุและพฤติกรรม คนมารับก็พอรู้ได้ คือเราเสียสละทั้งกาย วาจา ใจ แล้วมวลกลุ่มเรามีสนามแม่เหล็กแห่งการเสียสละ รูปธรรมอันนี้มากพอที่เขาจะรับได้ แต่ถ้ากลุ่มอโศกมีน้อยกว่านี้ ผลก็จะไม่ชัด รูปก็จะไม่ชัด หรือชาวอโศกเส่ียสละจริงเล็กน้อย แต่ว่าอันอื่นไม่เส่ียสละจริงมาหลอก คนก็จะรับรู้ได้ แต่ไม่ใช่ เพราะชาวอโศกเสียสสละจริงทางกาย วาจา ใจ ก็เกิดพฤติกรรมสังคมที่เกิดการให้ เราให้แบบไม่ใช่ประชานิยม

คือเราทำจริง และเวลานานแล้ว 36 ปีแล้ว ปีไหนเราจะเอาคืนก็ไม่มี เขาก็ยิ่งมั่นใจ ยิ่งนานปีเราก็มั่นคงเพิ่มขึ้น เรามีการรวบรวมไปเสียสละได้มากขึ้นอีก แล้วคนรับก็มีน้ำใจมากขึ้น

 

นี่คือพฤติกรรมสังคมที่เราเก็บข้อมูลได้ ถ้าใครมาเก็บข้อมูลตลาดอาริยะของเรา ทำไป 5 ปีเลย ได้วิทยานิพนธ์เศรษฐศาสตร์สำคัญเลย แล้วเรามีตัวอย่างให้เก็บข้อมูลได้เลย แล้วตลาดอาริยะเรามีแบบย่อยอีกหลายที

 

พูดไปไม่ใช่เราคุยตัว แต่พูดถึงลักษณะจริงของสังคม เช็คได้เลยว่าเราเสียสละจริงหรือว่าหลอกล่อ  ปีนี้นิมิตดีทางจังหวัดร่วมด้วย แต่เขาก็บอกว่าให้เราทำสัปดาห์ละครั้งได้ไหม? เราก็ว่าไม่ไหวหรอก เราคนจน ไม่ได้สะสมเอาไว้ ในลักษณะที่เราทำจึงเป็นปรัชญา ทฤษฎี ของสังคมที่ยิ่งใหญ่

 

.กฤษฎาว่า... ตลาดอาริยะคือ CSR ที่แท้จริง คือการตอบแทนสังคมที่แท้จริง เพราะตัวสินค้าตลาดคือสินค้าที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ก็คือการตอบแทนสังคม ไม่เหมือนกับที่เขาเอาผ้าห่มไปแจกแล้วออกข่าว

 

พ่อครูว่า...นี่คุณได้รับความนิยมเกินกว่าทุนที่ลงไปแล้ว แต่เรานำสิ่งที่เป็นจริง ไม่มอมเมาไม่เอาผลตอบแทนจากเขาเลย ไม่โฆษณาชวนเชื่อด้วย ของเราที่บอกออกไปไม่ถึงกับโฆษณา เราแค่บอกไปว่าเรามีงานแค่นี้ แค่นี้ก็เพียงพอกับจำนวนคนที่มางานเรา เราไม่จำเป็นต้องโฆษณาปรุงแต่งด้วยวิธีสารพัดให้คนหลงว่า น่าจะได้น่าจะไปรับบริการ แบบนั้นเราก็เข้าใจ แต่เราไม่ทำ เราก็แค่บอกไปว่าเรามีงานวันไหนเวลาไหน ลึกไปถึงจิต คือเราไม่ได้ต้องการเรียกเขามาเชือด แต่เราบอกไปว่าสิ่งนี้คุณควรได้ควรเอาไหม? ถ้าควรก็มาเอา เราจะช่วยให้ เรามีเจตนาแค่นี้ คนไม่เข้าใจมองผิวเผินว่าเราสร้างโทรทัศน์เพื่อโฆษณาตนเองเพื่อให้ตนเองได้โก้หรู เราไม่ใช่เลยแม้มอตโต้หลักคือ ทุกบรรยากาศคือการรายงานความจริง คนมองในแง่ร้ายก็ไม่มองหยั่งถึงสัจธรรม เขาจะไม่เห็นค่าของสัจธรรม

 

งานที่เราทำแต่ละปีเป็นงานสังคมนะ คนมารับบริการเกิดคุณค่ามากว่างานที่สนุกสนานบันเทิงอีกนะ แต่นักข่าวไม่เคยแยแสเลย กลับไปทำข่าวตลิ๊ดติ๊ดชึ่งมากว่า นี่คือภูมิปัญญาของคนทำข่าว

 

 

 

              ฤาข่าวอบายมุขน่าสื่อ  กว่าข่าวความดีของคนดี

 

                     (1) ขออภัยอย่างยิ่งด้วย   จริงใจ

                     จักกล่าวต่อนี้ไป           ซึ่งถ้อย

                     เป็นคำตำหนิไข           จากเจต- นาแฮ

                     หวังเพื่อเพียงถักร้อย             หนึ่งน้อยความเห็น              

                     (2) เพราะเป็นยุคสื่อ     แท้    เรืองฤทธิ์          

                     ทำมนุษย์ให้วิปริต         ซับซ้อน

                     หลงอบายว่าวิศิษฎ์        วิเศษค่า

                     สุดโต่งแต่ลึกย้อน          ยั่วย้อมคนหลง

                     (3) ก็คงมิใช่เชื้อ         เจตนา

                     แต่เพราะสังคมพา         แน่แท้

                     ใกล้กลี      ยุคยิ่งหนา          ด้วยกิเลส   

                     จมอบายแอ่นแอ้           ยากล้นจะทนจะทาน                   

                     (4) แต่งานสื่อจักต้อง    พึงทำ

                     หน้าที่ของสื่อจำ-         กัดแล้             

                     ว่าสารใช่อื่นสำ-           คัญกว่า  

                     สารนั่นคือแก่นแท้         อย่าย้อมมอมเมา

                     (5) หลงเอาแต่โลกตื้น   ตามคน

                     จมกับอบายมุขจน         ทุกข์ซ้ำ

                     เอากิเลสเป็นกล           กลบแก่น

                     ช่วยขย่มสังคมขย้ำ         เพื่อขม้ำประโยชน์ตน

                     (6) ข่าวคนมีให้เลือก     นานา

                     ข่าวกิเลสเต็มอัตรา        ชอบย้ำ

                     ข่าวชั่วก็เสาะหา           มาสื่อ นักเฮย      

                     อบายมุขก็กระหน่ำปล้ำ    ข่าวให้หวือหวา

                     (7) แต่หาข่าวที่ย้ำ        ความดี

                     ให้ข่าวคนดีทวี                   ยากแท้

                     ไทยด้อยส่วนเสริมศรี             ดังกล่าว 

                     อบายชนะความดีแพ้             ก็ฉะนี้แลนา.

      

 

                                         สไมย์ จำปาแพง                

                                                1 ก.. 2558

              [นัยปก เราคิดอะไร ฉบับ 296 ประจำเดือน มีนาคม 2558]                                                    

                    

เขาไม่รู้จักเวทนาในเวทนา ไม่รู้จักมโนปวิจาร 18 ที่เป็นเคหสิตเวทนา ก็จะไม่รู้จักเนกขัมมสิตเวทนา เขาแยกไม่ออก เขาท่อง กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมได้ แต่ปฏิบัติไม่เข้าถึงสภาวะจริง ไม่เข้าใจจิตเจตสิก โดยเฉพาะคำว่า "กาย" ก็ไม่รู้ "เวทนา" ก็ไม่รู้ "จิต" ก็ไม่รู้ แม้เขาท่องได้ก็ตาม แต่ก็ไม่ชัด ไม่รู้สัญญา ไม่รู้ว่าปฏิบัติวิญญาณฐีติ 7 ต้องปฏิบัติโดยกายกับสัญญาก็ไม่รู้ กายสังขารคือองค์ประกอบขนาดไหน ต้องอ่านทั้งนอกและใน อ่านรู้ว่าอารมณ์เคหสิตเวทนาคืออย่างไร ในกามารมณ์ หรืออบายารมณ์ก็ไม่รู้ตัวเองเลย มันไม่ได้เรื่องอะไร เมื่อไม่เข้าใจ พูดกันไม่รู้เรื่อง เลย

 

แม้เนกขัมมะเขาก็รู้แค่โกนหัวออกบวช แต่ไม่รู้จิตเจตสิก รูปนิพพาน ต้องอ่านรูปกาย นามกายให้ชัดก็ไม่รู้ นอกจากไม่รู้แล้วไม่เรียนด้วย สอนให้นั่งหลับตาอย่าไปคิดอย่าไปรับรู้อะไร นี่คือสอนกันผิดๆ เขาจะยอมรับตนเองว่า ไม่ถูกต้องเขาจะยอมรีบได้ไหม? เพราะถ้าทำถูกต้องประเทศไทยต้องมีอรหันต์ ที่ออกมาสอนคนได้ แม้ลูกศิษย์ลูกหาที่เป็นฆราวาสก็เป็นอาริยะ แล้วไปบริหารประเทศให้ดีได้ ไม่ใช่ว่าอาริยะมีแต่นักบวช แท้แล้วฆราวาสมีอาริยะมากกว่านักบวช แม้อรหันต์ในฆราวาสก็มีมากกว่านักบวชแต่เขาไม่พูดกัน สังคมจึงร่มเย็น แต่ทุกวันนี้หลอกกันจนไม่รู้ว่าอะไรจริงหรือเท็จ

 

ก็ยังดีมีพระไตรฯฉบับสยามรัฐนี้ยังใช้ได้ ถ้าทำได้ตามพระพุทธเจ้า ในหลวงจะสบายพระทัยมากขึ้นนะ ถ้าแก้ปัญหาให้เข้าทางพุทธทางที่ในหลวงตรัส ตั้งแต่เศรษฐกิจพอเพียง หรือแบบคนจน หรือ Our loss in Our gain. ยิ่งชัดเจน แต่คนไทยกลับไม่เอางงๆ แต่อาตมาเห็นว่าประเสริฐก็พาทำ มันต้องแก้ตรงนี้

 

.กฤษฎาว่า...สิ่งที่ผมเห็นล่าสุด ผมมีโอกาสเดินตามพระระดับปกครอง เดินบิณฑบาตในตลาดก็ไม่ค่อยพอใจกับสถานภาพที่เปลี่ยนไปมาก แต่ก่อนคนจะหลบหลีกให้ แต่เดี๋ยวนี้ คนเหมือนดูถูกว่าเป็นคนเดินตลาด ไม่ได้รับการเคารพที่พึงมี ผมเห็นแล้วก็วิตกกังวลกับกระแสหลักตรงนี้ สังคมจะเกิดการแก่งแย่งแข่งขันกันมาก กิเลสจัดจ้านมาก

 

พ่อครูว่า...อาตมาว่าตอนนี้ เราทำพฤติกรรมพยายามส่งเสริม ช่วยคนมาจน ช่วยคนจน แม้แตคนจนเราก็สอนให้เขามาจนอย่างมีสุขอย่างมีชีวิตที่ดี ไม่ได้ส่งเสริมให้ไปรวย แต่อีกฝ่ายที่ส่งเสริม แม้ผิดก็ไม่จัดการ สมยอมกันอีก แล้วก็ส่งเสริมให้รวย เหมือนประชดเรา ที่เราพามาจน แต่เขาก็ให้รวยๆๆ เหมือนแกล้งประชด แต่ก่อนเขาก็ไม่พูดแรงขนาดนี้นะ อาตมาว่าแต่ก่อนเขาไม่ประโคมหนักนะ อาตมาว่าอย่างน้อยก็น่าจะมีปฏิภาณว่า ส่งเสริมคนมารวยนี่ขัดแย้งกับในหลวงตรัสหรือเปล่า? เราไม่ได้มองว่าคุณไม่เคารพในหลวงนะ แต่ว่ามันทำไปทำไม? เอาเถอะแม้คุณจะไม่รู้ว่าไปรวยนี่มันเป็นความเลวร้าย ทำให้คนมอมเมายึดติดกูจะรวย สังคมก็แย่งชิงกัน ก็ไปไม่รอด เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่า ถ้าปล่อยให้ลัทธิเช่นนี้อยู่ในสังคม โดยเฉพาะในศาสนา อาตมาว่าประเทศไทยฉิบหายแน่

 

.กฤษฎาว่า...สิ่งที่ผมเห็นวัดวาอาราม ผมตั้งคำถาม เวลาเห็นปู่ย่าตายยายสละที่ให้วัด สร้างวัด สร้างโรงเรียน อำเภอ ผมก็ว่าท่านไม่คิดถึงลูกหลานตนหรืออย่างไร? แต่เราก็รู้ว่าเขาทำกันมา แต่มาผมได้เรียนรู้เรื่องบุญ คือการเสียสละแต่ตอนนี้วัดกลับกลายเป็นที่ขายของเป็นพุทธพาณิชย์ไปเสียแล้ว

 

พ่อครูว่า... จริงไปแล้ว ที่ท่านมีพฤติการกันออกมา ไม่ว่าทางการจะปฏิรูปอะไรออกมา ก็เป็นคลื่นร้อนขึ้นมา มันก็คือ ตัวความล้มเหลวของความเป็นสถาบัน แม้ในสถาบันก็ไม่ห้ามปราม กลับเห็นดีด้วย เห็นว่าใครเสนอมาก็ว่านำหน้า อาตมาว่า ถ้าเผื่อว่าผู้ที่เป็นสมณะมีจิตสงบ ประเสริฐ มีภูมิธรรมเป็นสมณะจริงบ้าง จะยินดีให้ทางผู้จะปฏิรูปที่เป็นธรรมะ ยิ่งขึ้นเลย ถ้าจะปฏิรูปอะไรที่ดีควรก็ให้ทำสิ แต่ถ้าอันไหนเกินบัญญัติพระพุทธเจ้าก็ค่อยปรับติงกันจะดีมากเลย แต่ว่านี่ถือตัวถือดีว่า ศาสนาข้าใครอย่าแตะ และเขาก็ดูถูกว่าฆราวาสไม่มีภูมิธรรมเหนือตน ขออภัยอาตมาว่าฆราวาสที่มีภูมิธรรมมากกว่าพระก็มีนะ อาตมาดูตามภูมิอาตมา เขาเจตนาพากเพียรทำดีอยู่แล้ว แต่นี่แตะก็ไม่ได้ ก็น่าเห็นใจนายกฯประยุทธ พูดแต่ละวันๆ เหนื่อยแทนเลย อาตมาก็เห็นนายกฯมา อาตมาก็ว่ารู้ไม่ทันนายกฯคนที่ 1หรือ 2 แค่นั้น แต่ตั้งแต่จอมพล..มาก็รู้เห็นพฤติกรรมมาทั้งนั้น ไม่มีนายกฯคนไหนเลยเหมือนนายกฯประยุทธ จันทร์โอชา อาตมาก็วัดตามภูมิอาตมา อาตมาให้คะแนนความจริงใจเลยว่ามีมาพอ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะม่ีความรู้ความสามารถนะ อาตมาให้คะแนนว่าความรู้ สามารถพอนะ เขามีมากจนอาตมาเห็นเลยว่า อาตมานึกไม่ทันไม่ถึงเลย เขารู้ทันรู้กว้างพอเพียง แล้วเจตนาตั้งใจจริงในการทำเลย เหน็ดเหนื่อย แล้วเอามาพูดนี่ ถ้าไม่รู้เรื่องก็ยิ่งกว่าปูนะ อ่านโพยก็ไม่รู้เรื่อง แต่นี่แสดงวิสัยทัศน์ก็ยิ่งดี

 

ถ้าไม่มาส่งเสริมกันก็แย่เลย คนที่จะต่อต้านก็มีตามธรรมชาติ แต่อาตมาว่า คนที่ต้องการให้ปรับปรุงแก้ไขมีเยอะนะ คนก็ส่งเสริมก็ทำให้เต็มที่เลยไม่ต้องเล่นแง่

 

ต่อไปตอบประเด็น...

 

_กว่าหลวงปู่จะบวชผ่านอะไรมาครับ

ตอบ...ตั้งแต่เด็กอาตมาหารายได้เอง ไม่ขอเงินแม่ตั้งแต่ไม่ถึง 10 ขวบ ทำงานเป็นกุลี ทำขายของอะไรมากมาย หลวงปู่ผ่านสิ่งที่ดีๆมาตั้งแต่เด็ก สิ่งไม่ดี หลวงปู่ไม่เป็นแต่ถูกครอบงำตามโลกบ้าง เช่นเขาว่าดื่มเหล้าเบียร์สูบบุหรี่ดี จีบผู้หญิงดี เล่นไพ่ดี ก็ไปหัดตามเขา แต่ก็ทำไม่เก่ง สู้เขาไม่ได้เป็นหมูสนาม ทำเรื่องไม่ดีสู้เขาไม่ได้ ทำชั่วไม่ขึ้น จริงๆแล้วหลวงปู่รู้ว่า ชาติปางก่อนผ่านมาหมด แต่ชาตินี้หลงไปตามเขาหลอก เป็นลิงลมอมข้าวพอง (เป็นการละเล่นที่ให้คนผูกตาแล้วจับตัวเขย่าให้เมาแล้วให้ไล่จับคน จับใครได้ให้เป็นลิงลมคนใหม่) สรปว่าชีวิตหลวงปู่ผ่านแต่สิ่งดีไม่ได้พ่ายแพ้ทางโลกด้วย ชนะด้วย ก่อนบวชนี่ อายุ 36 แต่มาปฏิบัติธรรมก็ไม่กี่ปีก็รู้แล้วว่าตนเคยผ่านอะไรมา ก็รู้ว่าตนไม่ได้ติดอะไร ก็เลยมาบวช ผ่านโลกมาก็รู้ว่าโลกไม่มีอะไรเลย มีแต่จะไปแย่งลาภ ยศ หลวงปู่เคยแย่งกับเขาแล้วแย่งได้ด้วย ไม่ได้ด้วยการได้เปรียบใช้แรงงานความสามารถตนเอง อย่างเป็นดารา ได้ค่าตัว 80 บาทหรือ 100 บาทก็ยาก แต่กำธรนี่ได้แพงกว่าทั้งที่ทำน้อยกว่าเราอีก เขาเป็นดาราดัง อาตมาอยู่หลังฉากทำงานสาระมากกว่า  อาตมาต้องเก็บเบี้ยใต้ถุนร้าย แต่ก่อนนายกฯเงินเดือน 8500 บาท แต่อาตมาได้เดือนละสองหมื่นนะ

 

_ความสุขโลกุตระคืออย่างไร?

ตอบ... คือความสุขที่ตรงกันข้ามกับที่โลกเขามี แล้วความสุขโลกุตระสูงสุดคือจิตไม่สุขไม่ทุกข์ ต้องมาฝึกปฏิบัติจึงได้ จะรู้ว่าสุขโลกีย์คือสุขเท็จ สุขขัลลิกะ แต่ความสุขโลกุตระคือสุขสงบ สุขที่รู้ความจริงตามความเป็นจริง เป็นปรมังสุขัง

 

_การทำใจในใจ ทำอย่างไรครับ

ตอบ...ต้องอ่านใจรู้ใจตนเอง ใจตนเป็นอย่างไร? มันไม่มีรูปร่างเส้นสีแสง มันมีแต่อาการดีใจ ใครรู้จักใจตนตอนดีใจ อ่านออกไหม? มันไม่มีสีสันรูปร่าง มีแต่อาการเรียกว่าวิญญัติเป็นอาการไหว เราต้องรู้ว่าการไหวเป็นโกรธเป็นอย่างไร มันเคลื่อนไหว แล้วโลภเป็นอย่างไร ถ้าเราอ่านใจรู้ชัดว่านี่คือโลภ แล้วทำใจให้โลภเปลี่ยนไปลดลง จนไม่โลภ อุเบกขา เฉยๆกลางๆ นั่นแหละคือการทำใจในใจ นี่อธิบายง่ายที่สุดแล้วนะ เราไปกระทบสัมผัสทางตา เห็นอันนี้โอโหอยากได้แต่ไม่ใช่ของเรา เราคิดขโมยดีไหมนี่ต้องอ่านใจให้ออก แล้วอย่าให้อาการใจนี้เกิด เปลี่ยนใจที่อยากได้ของคนอื่น ไปสร้างเองทำเอง หาเงินซื้อเองไม่ใช่ไปขโมยของเขา หรือโกรธอยากชกหน้าเขาก็อ่านรู้แล้วเปลี่ยนจิตจากอยากชกเขาเป็นไหว้เขาดีกว่า นี่คือเปลี่ยนกายวาจาใจ นี่คือวิธีปฏิบัติไม่ลึกลับอะไร มนสิกโรติ แต่เขาไม่รู้กันแล้วแบบนี้ การทำใจในใจคือทำใจให้ลดโลภ จนเกิดเสียสละ ผู้ใดทำได้ถาวรไม่เกิดโลภอีกเลยมีแต่ใจเสียสละให้เขานี่จึงประเสริฐ

 

_ทำไมเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ทั้งที่พุทธเกิดที่อินเดีย

ตอบ...เพราะว่าสมัยก่อนศาสนาพุทธเข้ามาตั้งหลักฐานในแคว้นสุวรรณภูมิ ศาสนพุทธเข้ามาในเมืองไทยก่อน สองพันปีอีก แต่เมืองไทยนี่ตั้งมาไม่กี่ร้อยปีหรอก เพิ่งเริ่มตั้งเมืองไทย คนก็เป็นไทยพุทธเลย เพราะคนพื้นเดิมเป็นพุทธเกิดก่อนประเทศไทยเกิดอีก

 

_ถ้าเราโมโห แล้วปรับใจตนได้เรียกว่าอะไร?

ตอบ... ดีมาก แล้วปรับไปทุกทีอย่าให้มันเกิดให้ได้นั่นคือการทำใจในใจ คือปฏิบัติธรรมเข้าขั้นโลกุตระเลย

 

_หลวงปู่บอกว่าหลวงปู่บรรลุธรรมตอนเข้าห้องน้ำ แล้วอะไรเป็นตัวที่บอกว่าบรรลุ แล้วความรู้สึกเป็นอย่างไร?

ตอบ... หลวงปู่ได้เปิดเผยไปนานแล้ว แล้วเปิดว่าเป็นโพธิสัตว์ แต่เขาก็ไม่ค่อยรู้นัย เถรวาทว่าคนเป็นโพธิสัตว์ต้องไม่บรรลุธรรมแม้โสดาบันก็ตาม แล้วเชื่อว่าเป็นโสดาบันแล้วอีก 7 ชาติจะเป็นอรหันต์ แล้วเป็นอรหันต์แล้วตายสูญ ก็เลยว่า ใครจะไปเป็นพระพุทธเจ้าต้องเป็นปุถุชนตลอดกาล จะเป็นอาริยะแม้โสดาบันไม่ได้ สรุปคือหลวงปู่ได้อธิบายมาตลอดแล้วอะไรเป็นตัวบอก ก็คือญาณปัญญา ความรู้ที่รู้จิตตัวเอง อย่างที่บอกว่ารู้จิตโลภ โกรธของตน รู้ในกามภูมิ รู้ในรูปภูมิ อรูปภูมิ หมดตัวสุดท้ายแล้วก็ตรวจด้วยอรูปฌานอีก ด้วยเวทนา 108 ทุกปัจจุบัน จนรู้ว่าอารมณ์นี้มันเต็มแล้ว รู้ทุกข์เป็นเช่นนี้ แก้เหตุแห่งทุกข์ ดับเหตุแห่งทุกข์ได้ก็ตรวจทุกข์ละเอียดอีกที่เป็นกิลมถะ แล้วก็เหลือแต่ ทรถะ ก็รู้ได้ด้วยสภาวจิต ศาสนาพุทธต้องรู้แจ้งเห็นจริงอย่างรู้จิตในจิตอย่างแท้จริง จิตวิมุติจิตจริง

 

ความรู้สึกในตอนนั้นก็รู้สึกถึงความโล่งโปร่งสะอาดบริสุทธิ์ มีตัวรู้ ว่าโลกที่เราอยู่กับมันมาตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียด ที่ปฏิบัติมาก็รู้ว่าเป็นอย่างนี้ บอกแทนกันไม่ได้ บอกไม่ได้ง่ายเปรียบกับอะไรไม่ได้ นัตถิอุปมา แรกที่รู้สึกว่าเราบรรลุมันมีปีติเหมือนกันแต่ไม่แรง ไม่บอกใครด้วยแต่ก็บันทึกไว้ เขียนเป็นหนังสือไว้ ความรู้สึกไม่หวือหวา

 

_ทำไมสังคมวัฒนธรรมสงกรานต์เดี๋ยวนี้จึงมีคนเต้นแร้งเต้นกา ฉีดน้ำใส่กันอย่างไม่อายเลย แต่งตัวโป๊ด้วย

ตอบ...คือความเสื่อมของสังคม การสาดน้ำนี่ทุกวันนี้เป็นเรื่องผิดไปจากประเพณีเดิม การสาดน้ำในหน้าร้อนถือว่าน้ำเป็นสิ่งขาดแคลนกันถือว่าทำความฉิบหาย สมัยก่อนหน้าแล้งถือว่าน้ำหายาก เราจะตอบแทนผู้ใหญ่ที่เราเคารพก็อยากให้ท่านเย็น ควรได้อาบน้ำ เพราะหาน้ำยาก ก็เลยมีการคิดด้วยวิธีแชร์ แบ่งกันเอาน้ำมากันคนละน้อยคนละจอก แล้วมาเทรวมกันในตุ่ม เพื่อให้ผู้ใหญ่ที่เราเคารพได้อาบหรือไม่ก็รดกัน นี่คือการรดน้ำดำหัว ใครได้รับการรดน้ำดำหัวคือผู้ใหญ่มีเกียรติมีค่าในสังคม ต่อมาคนก็มีกิเลสมาก อยากให้ตนได้รับความเป็นคนมีเกียรติบ้าง เราก็อยากให้คนรดตนเองบ้าง คนได้รับการรดน้ำถือว่าเป็นเกียรติ เขาก็แย่งกันสิ แย่งกันต่อมาก็กลายเป็นการเล่น เป็นการสาดกัน เล่นก็เลยลามกขึ้น น้ำก็ยิ่งเสียมาก เป็นเรื่องฟุ่มเฟือย ทุกวันนี้ก็ยังมีเชื้อของการรดน้ำดำหัวกันแต่ไปเล่นฉิบหายกันได้มากกว่า แล้วลามกอนาจาร มีวิธีการนายทุนไปหาเงินอีก กิเลสกามก็เข้ามา ทุนนิยมเข้ามา การรดน้ำสงกรานต์ทุกวันนี้จึงกลายเป็นประเพณีหายนะ จะดึงให้สุภาพขึ้นมาปีนี้ดีขึ้นมาแล้ว ปีหน้าจับเข้าคุกเลยใครมาโป๊มาเปลือยกัน ปีหน้าเอาเลย เอาให้ได้อาตมาว่า มันไม่ได้เป็นสิ่งดีอะไรเอากามเอาทุนนิยมมาพอก เพื่อความสนุกเท่านั้น แต่พฤติกรรมเสียหาย วัฒนธรรมก็เสียไม่คุ้มเลย แล้วพวกท่องเที่ยวต่างประเทศก็จะเอาอบายมุข ก็จะเอาอบายมุขหายนธรรมไปบ้านเขา เขานึกว่าแปลก ก็เลยเอาไป เรื่องสาดน้ำเล่นน้ำเป็นหายนะ เราจัดตลาดอาริยะ เวลาเดียวกันไม่มีการสาดน้ำกันเลย มีน้ำให้อาบด้วย เพราะอยู่ข้างแม่น้ำมูน มีน้ำตกให้เด็กเล่นด้วย ไม่มีลามกอนาจาร คือความสำเร็จที่เราปลูกฝังกันมา

 

_การพิจารณากายในกาย ต่างจาก เวทนาในเวทนา จิตในจิต อย่างไร เพราะกายคือจิต มโน วิญญาณ

ตอบ...กายต้องมีทวารที่มีการกระทบภายนอกแล้วมีวิญญาณประกอบด้วย มีประสาทรับรู้มีจิตไปรับรู้ จึงเกิดองค์ประกอบที่เรียกว่า กาย ขาดนามไม่ได้ มีแต่รูปไม่เรียกว่ากาย ถ้ามีแต่ตา กับรูป ก็ไม่เรียกว่ากาย กายต้องครบ 3 อย่าง แต่ 3อย่างนี้ พระพุทธเจ้าเรียกว่า จิต มโน วิญญาณ คือพระพุทธเจ้าให้รู้ว่ามีนอกด้วย แล้วกระทบเกิดกิเลส ใน จิต มโน วิญญาณ เราก็ต้องไปล้างกิเลสที่อยู่ภายใน กายไม่ใช่แค่ภายนอกหรือเอาแต่ภายในอย่างเดียว

 

จิตมันเกิดหลังเวทนา มันเกิดอารมณ์ก่อน มันชอบ แล้วมันมีจิตอย่างไรก็ไปวิเคราะห์จิตในจิต อีกที ในจิตมีเหตุ มันชอบ มันอยากได้ก็อ่านตัวชอบตัวอยากได้ จนเจอตัวอยากได้ในจิต เป็นตัณหานี่คือจิตในจิต แล้วมันก็คือสมุทัยที่ต้องกำจัดออก แล้วต้องมีกายครบด้วยทั้งภายนอกและภายใน อัชฌัตตัง อรูปสัญญี รูปานิปัสสติ ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริบาบถอยู่ ด้วยปัญญาอันยิ่ง ...จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:32:16 )

580420

รายละเอียด

580420_ธรรมาธรรมะสงคราม ปฐมอโศก มนุษย์ประเสริฐพัฒนาคือเช่นใด

.กฤษฎาว่า..เป็นที่รู้กันว่า ช่วงปีใหม่ไทยนี้ชาวอโศกจะจัดงานตลาดอาริยะ ซึ่งผมก็มันจะนำประเด็นจากตลาดอาริยะมาถามพ่อครู ปีนี้ผมดูข่าว อื่นๆ ที่อีสานจะมีงานบุญผะเหวด คืองานฉลองพระเวสสันดรกลับเข้าเมือง ผมดูว่า ทั้งสองงานเป็นสิ่งเดียวกันไหม? คือพระเวสสันดรเป็นชาติสุดท้ายใน ทศชาติของพระพุทธเจ้า ทำให้ผมคิดว่างานตลาดอาริยะคืองานที่ให้เราไปฝึกฝนการให้ใช่หรือไม่?

 

ปีนี้มันแปลกคืองานตลาดอาริยะใหญ่ขึ้นมีถึงสองฝั่ง ภาครัฐ ภาคท้องถิ่นก็มาร่วมกับเรา เราภูมิใจว่างานใหญ่ขึ้น มีคนมาร่วมมากขึ้น แล้วทำอย่างไรจะให้เป็นความภูมิใจที่เป็นธรรมะไม่ใช่แบบโลกีย์ที่แค่ดีใจว่ามีคนยอมรับเรามากขึ้น แล้วการให้อย่างไรจะนำไปสู่บุญหรือกุศล

 

ช่วงประเพณีไทย แต่ละบ้านก็ไปทำทานทำบุญแล้วนำภาพแชร์ไปในเฟสบุค แล้วการทานหรือการทำบุญแท้จริงควรเป็นอย่างไร แล้วจะเป็นการขจัดตัวตนได้อย่างไร?

 

พ่อครูว่า...ฟังคำถามแล้วถ้าเราจะไปพูดถึงเรื่องความสำคัญทางสังคม เรื่องของที่เราจัดงานแล้วเกี่ยวกับประชาชน ก็คือเขาก็ควรได้รับการเกื้อกูลช่วยเหลือ จนโยงใยถึงทางจังหวัด ทางรัฐก็อยากจะมาเห็นว่า ดีเหมือนกัน มาร่วมมือ ซึ่งพฤติกรรมสังคมนั้น สำหรับชาวบ้านเขาดีใจพอใจนะเราก็ได้ช่วยเหลือเขาเท่าที่เราทำได้ มันก็ได้มากขึ้น เติมงานมากขึ้น ปีนี้สินค้าแทบจะเพิ่มกว่าปีที่ผ่านมาถึงสองเท่า หนักเหน็ดเหนื่อย ทางพระ ทางจังหวัดก็เข้าใจเชื่อมโยงมา

 

อาตมาจะอธิบายภาคของจิตก่อน เราทำตลาดอาริยะมา 36 ครั้งแล้ว เรานับปี อาตมาจำปีแรกได้คือปี 2523 แล้วก็ทำมาเรื่อยๆ แล้วปี 2524 ก็จัดที่ราชธานีอโศก เราทำตลาดอาริยะเพื่อจะขัดเกลาจิตใจของพวกเราอันนี้เป็นประเด็นหลัก แต่ส่วนที่จะช่วยประชาชนเป็นประเด็นรอง ประเด็นหลักคือทำให้เกิดบุญ เราทำทานนี้ให้เกิดบุญ บุญกับทานไม่เหมือนกัน บุญกับกุศลก็ไม่เหมือนกัน

 

ทาน คือการให้ออกไปจะเป็นแรงงานวัตถุ ความคิด อัตตาตัวตนก็ให้ออกไป

 

บุญ คือการชำระกิเลส อันนี้เขาเข้าใจคำว่าบุญผิดเพี้ยนไปนานมาก ไม่ได้เข้าใจคำว่าบุญคือการชำระกิเลส แต่ไปเข้าใจว่าบุญคือทาน แล้วได้ผลเป็นกุศล การให้อะไรก็แล้วแต่เขาก็ให้ไปแต่ไม่ได้ให้อัตตา ไม่ได้เอากิเลสออกไปจากตัวเอง นี่คือการทำบุญ การจะมีปัญญาแล้วสามารถทำได้ว่า เราสามารถทำทานแล้วเอากิเลสออกได้ ทานนั้นเกิดบุญ แต่ทานนั้นถ้าไม่เอากิเลสออกก็เป็นกุศล แต่ถ้าทานแล้วไม่เอากิเลสออกไม่เป็นบุญ จะทานมากมายขนาดไหนก็แล้วแต่ ที่เขาบอกว่าทำบุญใหญ่ ยิ่งมากทำทานเป็นร้อยล้านพันล้านนั้นเขาทำทานวัตถุแพงขึ้น แต่ใจเขาไม่ได้สละออกใจไม่ได้ลดโลภ เขาไม่ได้ทำจิตของเขาให้ลดโลภลง คนทำทาน 10 บาทแต่ตั้งจิตเอาแสนเอาล้าน อย่างเจ้าสัวที่เขาว่าไปทำทานกับธรรมกายแล้วจะได้วิมานชั้นฟ้าใหญ่มาก สูงกว่านี้ จิตเขาโลภเพิ่มแน่ ตะกละเพิ่ม ไม่ได้ทำทานเพื่อเสียสละ ลดโลภ เป็นการลงทุนทางจิต ส่วนวิมานนั้นเขาไม่รู้จริง เขาหวังวิมานก็คือเขาได้นรกไปด้วย นรกกับวิมานคืออันเดียวกัน ยิ่งทานมากเท่าไหร่จิตเขายิ่งหวังมากเท่านั้นโลภมากกว่าเก่าอีก ได้แต่บาปคือกิเลสหนาขึ้น เขาทำทานจึงไม่ได้บุญ ไม่มีผลละละหน่ายคลายจางกิเลส เพราะผู้สอนมิจฉาทิฏฐิ ไม่รู้แม้แต่ทานที่สัมมาทิฏฐิ

พระพุทธเจ้าตรัสถึงทานว่าต้องมีผลลดกิเลสจึงสัมมาทิฏฐิ แล้วถ้าทำทานแล้วทำใจในใจ หรือมนสิการ ให้ลดอาการโลภ หรือตั้งให้ถูก อฐิษฐาน ว่าให้นะ ตั้งจิตว่าให้นะ แล้วถ้ายิ่งรู้ว่าใจเรามีอาการเอามาเป็นเราไว้หรือเอาออกไปถ้าเข้าใจอาการใจแล้วทำได้ถูกก็โยนิโสมนสิการถูก แต่ไม่ได้สอนให้ทำใจให้ถูก ก็จะทำทานแล้วได้บาปหนักกว่าเก่า ทานทีไรบาปเพิ่ม ชาติหน้าเราต้องได้ อนาคตเราต้องได้มาก กิเลสก็ยิ่งหนาหนักตกผลึกเพิ่ม คือนัตถทินนัง มิจฉาทิฏฐิข้อที่ 1

 

.กฤษฎาว่า...เขาก็มักคิดว่า ยิ่งให้ก็ยิ่งรวยขึ้น เจ้าสัวรวยขึ้นเพราะได้ให้ แล้วความเจริญคืออย่างไร?

 

พ่อครูว่า...การเจริญคือการได้ลดกิเลส แล้วการให้แล้วรวยขึ้นไม่ได้บ่งชี้ความเจริญ ถ้าให้แล้วเจริญคือรวยขึ้น พระพุทธเจ้าก็โง่สิที่ทิ้งทรัพย์สมบัติหมดสิ พระเวสสันดรก็โง่สิที่ให้หมดแม้แต่ลูกเมียก็ให้ไปหมด ดังนั้นสมบัติวัตถุไม่ใช่เครื่องบ่งชี้ความเจริญ

 

ความเจริญทางวัตถุไม่ใช่ความเจริญที่แท้จริง ขอกล่าวถึงในหลวงว่าท่านบอกให้เอาแบบคนจน อย่าไปเป็นมหาอำนาจทางเบ่งข่มด้วยวัตถุ ก้าวหน้าอย่างนั้นในหลวงว่าคือการถอยหลังอย่างน่ากลัว เราไม่เอา ในหลวงเราตรัสตามพระปัญญาธิคุณ เป็นเรื่องที่คนเข้าไม่ถึง โลกแห่งความมีวัตถุสมบัติ ไม่ใช่การชี้บ่งความเจริญก้าวหน้าพัฒนาอะไรเลย

 

คนที่จะพัฒนาคือต้องมีคุณสมบัติ เช่นนี้

1. คนไม่เป็นหนี้ใดๆได้เลย สัตว์เดรัจฉานกู้หนี้ยืมสินไม่เป็น คนที่เป็นหนี้เป็นสินโง่กว่าเดรัจฉานทุกคน

2. พึ่งตนเองรอด คือเราขยันหมั่นเพียร สุจริต เลี้ยงตนรอด โดยไม่กู้ไม่ยืมของใครมา

3. สร้างผลิตให้เหลือมากกว่าตนกินตนใช้ ได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี

4. สะพัดสิ่งที่เกินที่เหลือให้คนอื่น

 

จะขายก็ขายต่ำกว่าทุน การขายมากกว่าทุนเป็นเชิงเอาเปรียบ เราขายขาดทุนได้ เพราะมันเป็นส่วนเกินจากที่เรากินใช้ เราผลิตได้มาก ไม่ต้องคิดราคาตลาด เราจะขายให้ต่ำลง ให้ฟรีได้ยิ่งดี

 

.กฤษฎา...ว่า ตอนนี้มะนาวลูกละ 10 บาท เกิดผมปลูกมะนาวได้มาก ก็นำไปให้เขา เขาจะดีใจมาก ความโลภกับจินตนาการคือตัวหลอก

 

พ่อครูว่า...ความเจริญประเสริฐของมนุษย์ไม่ได้บ่งชี้ด้วยความรวย  แต่คนรวยแล้วก็เอาเงินไปออกดอกออกผลให้ได้กลับมามากที่สุด Maximize profit ก็คือได้บาป คนคิดทฤษฎีนี้ก็บาปแต่ต้น แล้วคนเอาไปใช้ทำบาปเพิ่มอีก

 

คนถ้าไม่งอมืองอเท้า พึ่งตนรอด แล้วไม่เป็นหนี้ ก็คือคนเจริญแล้ว

 

.กฤษฎาว่า...วันนี้คนถูกหลอกด้วย ภาษาคือ GDP

 

พ่อครูว่า...อันนี้บาปมาก เพราะว่า มันเป็นผลผลิตมวลรวมของประเทศ คือคุณผลิตอะไรได้ก็แล้วแต่ เสร็จแล้ว แม้ว่า GDP จะได้มากแล้วแบ่งกินแบ่งใช้ทั่วประเทศไทยอันนี้เจริญแท้ แต่เขาไม่คิดเช่นนี้ เขาเอาว่า ผลิตได้มากเท่าใดแล้วเอาไปขายประเทศอื่นเพื่อได้กำไรมากขึ้น นี่คือได้ GDP เพิ่ม อาตมาว่าการไปได้เปรียบเขามากเท่าใดแล้วคิดว่าเจริญคือมิจฉาทิฏฐิ

 

ถ้าสร้างผลผลิตมวลรวมประเทศไทยได้มากๆแล้ว ก็เผื่อแผ่สู่ประเทศที่เขาขาดแคลน เราก็ให้ฑูตเราไปดูว่าประเทศไหนขาด เราก็เอาไปขายขาดทุนหรือแจกให้ เราไปขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เราเสียนี่แหละคือเราได้นี่คือ GDP แท้

 

.กฤษฎาว่า...ผมนึกถึงเหตุการณ์ซึนามิในญี่ปุ่น ที่คนไทยมีน้ำใจให้คนญี่ปุ่น ทำให้เกิดมิตรภาพมากมาก

 

พ่อครูว่า...ที่ไหนก็เป็นเช่นนั้น การได้เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันคือสิ่งที่ควรทำ ควรสร้างคนให้เป็นเช่นนี้ ในหลวงว่าเราก็ไม่ต้องไปแข่งรวยกับเขา เราก็พึ่งตนเองรอด มีเหลือกินเหลือใช้ แนวคิดนี้คนถึงรับได้แล้วให้รางวัลในหลวงเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง เราต้องศึกษาเรื่องนี้ ไทยเรามีต้นขั้วของศาสนาที่ดี ในหลวงก็มีพระราชconcept ของท่านเช่นนี้สุดยอดแล้ว แต่คนรับสนองพระบรมราชโองการ ทำไม่ขึ้น เพราะศาสนาพุทธไม่เป็นโลกุตระ เป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้แต่ทานข้อแรกของสัมมาทิฏฐิก็ไม่ลดโลภ ก็เลยล้มเหลว ไม่ว่าทางรัฐหรือธุรกิจก็ล้มเหลวทั้งประเทศไปเป็นทาสทุนนิยม แล้วไปยินดีกับการได้มาก เอาเปรียบได้มาก จนรวยก็ไปยกย่องเชิดชูกันแต่คนรวย คนจนที่ซื่อสัตย์ไม่เอาเปรียบ กลับไม่ยกย่องเชิดชู กลับไปยกย่องอบายมุข บันเทิงกีฬา นี่คืออบายมุขจัดจ้านแรง แล้วนายทุนส่งเสริม เพราะคนเสพมีมาก ไปขูดรีดเงินได้มาก สังคมก็จมด้วยอวิชชา

 

เขาหลงรวย หลงอบายมุข สนุกเพลิดเพลินว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์ควรได้ กระหน่ำเพื่อครอบงำความคิดมอมเมาอารมณ์ความคิดหนัก พูดไปแล้วเขาชังนะ ที่อาตมาพูดนี่ อาตมาก็ชัดเจนว่าโลกล้มเหลวใกล้กลียุคทั้งโลกเราจะไปตามทำไม เราต้องทำแบบพระพุทธเจ้า แบบในหลวง สอน แม้แต่วงการศาสนาเถรสมาคมก็ไม่ได้พัฒนาโลกุตระ อาตมาเปิดเผยโลกุตระกลับถูกเหยียบย่ำ อาตมาทุกวันนี้ยืนหยัดสัจธรรมแล้วอยู่ได้ด้วยธรรมรักษา แต่เขาไม่กล้าเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เขายึด ด้วยสีลัพพตุปาทาน มีแต่อัตตวาทุปาทาน ไม่สามารถตามเห็นอัตตา ไม่พ้นอัตตาได้

 

.กฤษฎาว่า..การรับอย่างไร จึงถือว่าเป็นการรับที่ได้บุญ คนจะสอนกันว่า เวลาเขาให้อะไรเราเราก็ควรรับอย่างจริงใจบริสุทธิ์ใจ เช่นเวลาพ่อแม่สอนลูก ลูกก็ควรตั้งใจรับ

พ่อครูว่า...คำว่าตั้งใจรับนี่ต้องมีปัญญาร่วม ว่าเราเป็นผู้ได้มานี่ เขาให้มานี่ เราเป็นผู้เอานะ เราจะต้องเป็นหนี้นะ นี่ถืงเรียกว่า หนี้บุญคุณ  เราต้องระลึกถึง หนี้บุญคุณ แล้วอีกอย่าง ถ้าเราทำจิตใจเราเป็น ถ้าเขาให้มาแล้วเราก็ดีใจพองใจย่ามใจ ชอบใจ หวงแหนขี้เหนียวโดยไม่สำนึกว่าเขาให้เรา เราควรละอายว่าเราควรให้เขาบ้าง การตอบแทนคืนเราก็ควรทำ และที่ดีเราก็ควรตอบแทนเขากลับไปให้มากกว่าอีก เราต้องรู้ว่าเราเป็นผู้รับนี่เรายังไม่ประเสริฐนะ เราจะต้องเป็นผู้ให้บ้าง แต่ถ้าตอนนี้คุณยังให้วัตถุไม่ได้ คุณต้องทำใจให้ โดยเอาความโลภออกไป เรารับมานี่ใจเราควรนึกถึงว่าเราควรให้เขาคืน หรือเราก็เอาสิ่งที่เขาให้ไปให้ต่อในเนื้อนาบุญ ถ้าทำใจอย่างนี้ก็คือเราทำกุศลเพิ่ม

 

เช่น การจัดตลาดอาริยะ เขาก็ว่าเป็นการทำให้คนโลภมากขึ้นหรือไม่? อันนี้ลึกซึ้งมาก เราทำมา 36 ปี เราสามารถตอบคำถามนี้ได้ ว่าไม่เกิดกิเลสโลภเพิ่ม เพราะจำนวนคนมารับบริการ ไม่ได้มีพฤติกรรมโลภมากขึ้น แต่เป็นการทับทวี ปฏิภาคทวีที่เขามีสำนึกมากขึ้น เขาลดความโลภของเขาบ้างเป็นปีแต่ละปีผ่านไป แต่ถ้าคนโลภมากขึ้นๆ ทำมา 36 ปีเราจะรับไม่ไหวหรอก แต่นี่เราก็จัดได้ดีมากขึ้น เขาซื่อสัตย์สุจริตมากขึ้น

 

มันเป็นเช่นนี้เพราะอะไร ? เพราะเรามีมวลแห่งพฤติกรรมต้นทุน คือผู้เป็นพ่อค้าแม่ค้า แสดงความเสียสละด้วยจริงใจทั้งวัตถุและพฤติกรรม คนมารับก็พอรู้ได้ คือเราเสียสละทั้งกาย วาจา ใจ แล้วมวลกลุ่มเรามีสนามแม่เหล็กแห่งการเสียสละ รูปธรรมอันนี้มากพอที่เขาจะรับได้ แต่ถ้ากลุ่มอโศกมีน้อยกว่านี้ ผลก็จะไม่ชัด รูปก็จะไม่ชัด หรือชาวอโศกเส่ียสละจริงเล็กน้อย แต่ว่าอันอื่นไม่เส่ียสละจริงมาหลอก คนก็จะรับรู้ได้ แต่ไม่ใช่ เพราะชาวอโศกเสียสสละจริงทางกาย วาจา ใจ ก็เกิดพฤติกรรมสังคมที่เกิดการให้ เราให้แบบไม่ใช่ประชานิยม

คือเราทำจริง และเวลานานแล้ว 36 ปีแล้ว ปีไหนเราจะเอาคืนก็ไม่มี เขาก็ยิ่งมั่นใจ ยิ่งนานปีเราก็มั่นคงเพิ่มขึ้น เรามีการรวบรวมไปเสียสละได้มากขึ้นอีก แล้วคนรับก็มีน้ำใจมากขึ้น

 

นี่คือพฤติกรรมสังคมที่เราเก็บข้อมูลได้ ถ้าใครมาเก็บข้อมูลตลาดอาริยะของเรา ทำไป 5 ปีเลย ได้วิทยานิพนธ์เศรษฐศาสตร์สำคัญเลย แล้วเรามีตัวอย่างให้เก็บข้อมูลได้เลย แล้วตลาดอาริยะเรามีแบบย่อยอีกหลายที

 

พูดไปไม่ใช่เราคุยตัว แต่พูดถึงลักษณะจริงของสังคม เช็คได้เลยว่าเราเสียสละจริงหรือว่าหลอกล่อ  ปีนี้นิมิตดีทางจังหวัดร่วมด้วย แต่เขาก็บอกว่าให้เราทำสัปดาห์ละครั้งได้ไหม? เราก็ว่าไม่ไหวหรอก เราคนจน ไม่ได้สะสมเอาไว้ ในลักษณะที่เราทำจึงเป็นปรัชญา ทฤษฎี ของสังคมที่ยิ่งใหญ่

 

.กฤษฎาว่า... ตลาดอาริยะคือ CSR ที่แท้จริง คือการตอบแทนสังคมที่แท้จริง เพราะตัวสินค้าตลาดคือสินค้าที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ก็คือการตอบแทนสังคม ไม่เหมือนกับที่เขาเอาผ้าห่มไปแจกแล้วออกข่าว

 

พ่อครูว่า...นี่คุณได้รับความนิยมเกินกว่าทุนที่ลงไปแล้ว แต่เรานำสิ่งที่เป็นจริง ไม่มอมเมาไม่เอาผลตอบแทนจากเขาเลย ไม่โฆษณาชวนเชื่อด้วย ของเราที่บอกออกไปไม่ถึงกับโฆษณา เราแค่บอกไปว่าเรามีงานแค่นี้ แค่นี้ก็เพียงพอกับจำนวนคนที่มางานเรา เราไม่จำเป็นต้องโฆษณาปรุงแต่งด้วยวิธีสารพัดให้คนหลงว่า น่าจะได้น่าจะไปรับบริการ แบบนั้นเราก็เข้าใจ แต่เราไม่ทำ เราก็แค่บอกไปว่าเรามีงานวันไหนเวลาไหน ลึกไปถึงจิต คือเราไม่ได้ต้องการเรียกเขามาเชือด แต่เราบอกไปว่าสิ่งนี้คุณควรได้ควรเอาไหม? ถ้าควรก็มาเอา เราจะช่วยให้ เรามีเจตนาแค่นี้ คนไม่เข้าใจมองผิวเผินว่าเราสร้างโทรทัศน์เพื่อโฆษณาตนเองเพื่อให้ตนเองได้โก้หรู เราไม่ใช่เลยแม้มอตโต้หลักคือ ทุกบรรยากาศคือการรายงานความจริง คนมองในแง่ร้ายก็ไม่มองหยั่งถึงสัจธรรม เขาจะไม่เห็นค่าของสัจธรรม

 

งานที่เราทำแต่ละปีเป็นงานสังคมนะ คนมารับบริการเกิดคุณค่ามากว่างานที่สนุกสนานบันเทิงอีกนะ แต่นักข่าวไม่เคยแยแสเลย กลับไปทำข่าวตลิ๊ดติ๊ดชึ่งมากว่า นี่คือภูมิปัญญาของคนทำข่าว

 

 

 

              ฤาข่าวอบายมุขน่าสื่อ  กว่าข่าวความดีของคนดี

 

                     (1) ขออภัยอย่างยิ่งด้วย   จริงใจ

                     จักกล่าวต่อนี้ไป           ซึ่งถ้อย

                     เป็นคำตำหนิไข           จากเจต- นาแฮ

                     หวังเพื่อเพียงถักร้อย             หนึ่งน้อยความเห็น              

                     (2) เพราะเป็นยุคสื่อ     แท้    เรืองฤทธิ์          

                     ทำมนุษย์ให้วิปริต         ซับซ้อน

                     หลงอบายว่าวิศิษฎ์        วิเศษค่า

                     สุดโต่งแต่ลึกย้อน          ยั่วย้อมคนหลง

                     (3) ก็คงมิใช่เชื้อ         เจตนา

                     แต่เพราะสังคมพา         แน่แท้

                     ใกล้กลี      ยุคยิ่งหนา          ด้วยกิเลส   

                     จมอบายแอ่นแอ้           ยากล้นจะทนจะทาน                   

                     (4) แต่งานสื่อจักต้อง    พึงทำ

                     หน้าที่ของสื่อจำ-         กัดแล้             

                     ว่าสารใช่อื่นสำ-           คัญกว่า  

                     สารนั่นคือแก่นแท้         อย่าย้อมมอมเมา

                     (5) หลงเอาแต่โลกตื้น   ตามคน

                     จมกับอบายมุขจน         ทุกข์ซ้ำ

                     เอากิเลสเป็นกล           กลบแก่น

                     ช่วยขย่มสังคมขย้ำ         เพื่อขม้ำประโยชน์ตน

                     (6) ข่าวคนมีให้เลือก     นานา

                     ข่าวกิเลสเต็มอัตรา        ชอบย้ำ

                     ข่าวชั่วก็เสาะหา           มาสื่อ นักเฮย      

                     อบายมุขก็กระหน่ำปล้ำ    ข่าวให้หวือหวา

                     (7) แต่หาข่าวที่ย้ำ        ความดี

                     ให้ข่าวคนดีทวี                   ยากแท้

                     ไทยด้อยส่วนเสริมศรี             ดังกล่าว 

                     อบายชนะความดีแพ้             ก็ฉะนี้แลนา.

      

 

                                         สไมย์ จำปาแพง                

                                                1 ก.. 2558

              [นัยปก เราคิดอะไร ฉบับ 296 ประจำเดือน มีนาคม 2558]                                                    

                    

เขาไม่รู้จักเวทนาในเวทนา ไม่รู้จักมโนปวิจาร 18 ที่เป็นเคหสิตเวทนา ก็จะไม่รู้จักเนกขัมมสิตเวทนา เขาแยกไม่ออก เขาท่อง กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมได้ แต่ปฏิบัติไม่เข้าถึงสภาวะจริง ไม่เข้าใจจิตเจตสิก โดยเฉพาะคำว่า "กาย" ก็ไม่รู้ "เวทนา" ก็ไม่รู้ "จิต" ก็ไม่รู้ แม้เขาท่องได้ก็ตาม แต่ก็ไม่ชัด ไม่รู้สัญญา ไม่รู้ว่าปฏิบัติวิญญาณฐีติ 7 ต้องปฏิบัติโดยกายกับสัญญาก็ไม่รู้ กายสังขารคือองค์ประกอบขนาดไหน ต้องอ่านทั้งนอกและใน อ่านรู้ว่าอารมณ์เคหสิตเวทนาคืออย่างไร ในกามารมณ์ หรืออบายารมณ์ก็ไม่รู้ตัวเองเลย มันไม่ได้เรื่องอะไร เมื่อไม่เข้าใจ พูดกันไม่รู้เรื่อง เลย

 

แม้เนกขัมมะเขาก็รู้แค่โกนหัวออกบวช แต่ไม่รู้จิตเจตสิก รูปนิพพาน ต้องอ่านรูปกาย นามกายให้ชัดก็ไม่รู้ นอกจากไม่รู้แล้วไม่เรียนด้วย สอนให้นั่งหลับตาอย่าไปคิดอย่าไปรับรู้อะไร นี่คือสอนกันผิดๆ เขาจะยอมรับตนเองว่า ไม่ถูกต้องเขาจะยอมรีบได้ไหม? เพราะถ้าทำถูกต้องประเทศไทยต้องมีอรหันต์ ที่ออกมาสอนคนได้ แม้ลูกศิษย์ลูกหาที่เป็นฆราวาสก็เป็นอาริยะ แล้วไปบริหารประเทศให้ดีได้ ไม่ใช่ว่าอาริยะมีแต่นักบวช แท้แล้วฆราวาสมีอาริยะมากกว่านักบวช แม้อรหันต์ในฆราวาสก็มีมากกว่านักบวชแต่เขาไม่พูดกัน สังคมจึงร่มเย็น แต่ทุกวันนี้หลอกกันจนไม่รู้ว่าอะไรจริงหรือเท็จ

 

ก็ยังดีมีพระไตรฯฉบับสยามรัฐนี้ยังใช้ได้ ถ้าทำได้ตามพระพุทธเจ้า ในหลวงจะสบายพระทัยมากขึ้นนะ ถ้าแก้ปัญหาให้เข้าทางพุทธทางที่ในหลวงตรัส ตั้งแต่เศรษฐกิจพอเพียง หรือแบบคนจน หรือ Our loss in Our gain. ยิ่งชัดเจน แต่คนไทยกลับไม่เอางงๆ แต่อาตมาเห็นว่าประเสริฐก็พาทำ มันต้องแก้ตรงนี้

 

.กฤษฎาว่า...สิ่งที่ผมเห็นล่าสุด ผมมีโอกาสเดินตามพระระดับปกครอง เดินบิณฑบาตในตลาดก็ไม่ค่อยพอใจกับสถานภาพที่เปลี่ยนไปมาก แต่ก่อนคนจะหลบหลีกให้ แต่เดี๋ยวนี้ คนเหมือนดูถูกว่าเป็นคนเดินตลาด ไม่ได้รับการเคารพที่พึงมี ผมเห็นแล้วก็วิตกกังวลกับกระแสหลักตรงนี้ สังคมจะเกิดการแก่งแย่งแข่งขันกันมาก กิเลสจัดจ้านมาก

 

พ่อครูว่า...อาตมาว่าตอนนี้ เราทำพฤติกรรมพยายามส่งเสริม ช่วยคนมาจน ช่วยคนจน แม้แตคนจนเราก็สอนให้เขามาจนอย่างมีสุขอย่างมีชีวิตที่ดี ไม่ได้ส่งเสริมให้ไปรวย แต่อีกฝ่ายที่ส่งเสริม แม้ผิดก็ไม่จัดการ สมยอมกันอีก แล้วก็ส่งเสริมให้รวย เหมือนประชดเรา ที่เราพามาจน แต่เขาก็ให้รวยๆๆ เหมือนแกล้งประชด แต่ก่อนเขาก็ไม่พูดแรงขนาดนี้นะ อาตมาว่าแต่ก่อนเขาไม่ประโคมหนักนะ อาตมาว่าอย่างน้อยก็น่าจะมีปฏิภาณว่า ส่งเสริมคนมารวยนี่ขัดแย้งกับในหลวงตรัสหรือเปล่า? เราไม่ได้มองว่าคุณไม่เคารพในหลวงนะ แต่ว่ามันทำไปทำไม? เอาเถอะแม้คุณจะไม่รู้ว่าไปรวยนี่มันเป็นความเลวร้าย ทำให้คนมอมเมายึดติดกูจะรวย สังคมก็แย่งชิงกัน ก็ไปไม่รอด เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่า ถ้าปล่อยให้ลัทธิเช่นนี้อยู่ในสังคม โดยเฉพาะในศาสนา อาตมาว่าประเทศไทยฉิบหายแน่

 

.กฤษฎาว่า...สิ่งที่ผมเห็นวัดวาอาราม ผมตั้งคำถาม เวลาเห็นปู่ย่าตายยายสละที่ให้วัด สร้างวัด สร้างโรงเรียน อำเภอ ผมก็ว่าท่านไม่คิดถึงลูกหลานตนหรืออย่างไร? แต่เราก็รู้ว่าเขาทำกันมา แต่มาผมได้เรียนรู้เรื่องบุญ คือการเสียสละแต่ตอนนี้วัดกลับกลายเป็นที่ขายของเป็นพุทธพาณิชย์ไปเสียแล้ว

 

พ่อครูว่า... จริงไปแล้ว ที่ท่านมีพฤติการกันออกมา ไม่ว่าทางการจะปฏิรูปอะไรออกมา ก็เป็นคลื่นร้อนขึ้นมา มันก็คือ ตัวความล้มเหลวของความเป็นสถาบัน แม้ในสถาบันก็ไม่ห้ามปราม กลับเห็นดีด้วย เห็นว่าใครเสนอมาก็ว่านำหน้า อาตมาว่า ถ้าเผื่อว่าผู้ที่เป็นสมณะมีจิตสงบ ประเสริฐ มีภูมิธรรมเป็นสมณะจริงบ้าง จะยินดีให้ทางผู้จะปฏิรูปที่เป็นธรรมะ ยิ่งขึ้นเลย ถ้าจะปฏิรูปอะไรที่ดีควรก็ให้ทำสิ แต่ถ้าอันไหนเกินบัญญัติพระพุทธเจ้าก็ค่อยปรับติงกันจะดีมากเลย แต่ว่านี่ถือตัวถือดีว่า ศาสนาข้าใครอย่าแตะ และเขาก็ดูถูกว่าฆราวาสไม่มีภูมิธรรมเหนือตน ขออภัยอาตมาว่าฆราวาสที่มีภูมิธรรมมากกว่าพระก็มีนะ อาตมาดูตามภูมิอาตมา เขาเจตนาพากเพียรทำดีอยู่แล้ว แต่นี่แตะก็ไม่ได้ ก็น่าเห็นใจนายกฯประยุทธ พูดแต่ละวันๆ เหนื่อยแทนเลย อาตมาก็เห็นนายกฯมา อาตมาก็ว่ารู้ไม่ทันนายกฯคนที่ 1หรือ 2 แค่นั้น แต่ตั้งแต่จอมพล..มาก็รู้เห็นพฤติกรรมมาทั้งนั้น ไม่มีนายกฯคนไหนเลยเหมือนนายกฯประยุทธ จันทร์โอชา อาตมาก็วัดตามภูมิอาตมา อาตมาให้คะแนนความจริงใจเลยว่ามีมาพอ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะม่ีความรู้ความสามารถนะ อาตมาให้คะแนนว่าความรู้ สามารถพอนะ เขามีมากจนอาตมาเห็นเลยว่า อาตมานึกไม่ทันไม่ถึงเลย เขารู้ทันรู้กว้างพอเพียง แล้วเจตนาตั้งใจจริงในการทำเลย เหน็ดเหนื่อย แล้วเอามาพูดนี่ ถ้าไม่รู้เรื่องก็ยิ่งกว่าปูนะ อ่านโพยก็ไม่รู้เรื่อง แต่นี่แสดงวิสัยทัศน์ก็ยิ่งดี

 

ถ้าไม่มาส่งเสริมกันก็แย่เลย คนที่จะต่อต้านก็มีตามธรรมชาติ แต่อาตมาว่า คนที่ต้องการให้ปรับปรุงแก้ไขมีเยอะนะ คนก็ส่งเสริมก็ทำให้เต็มที่เลยไม่ต้องเล่นแง่

 

ต่อไปตอบประเด็น...

 

_กว่าหลวงปู่จะบวชผ่านอะไรมาครับ

ตอบ...ตั้งแต่เด็กอาตมาหารายได้เอง ไม่ขอเงินแม่ตั้งแต่ไม่ถึง 10 ขวบ ทำงานเป็นกุลี ทำขายของอะไรมากมาย หลวงปู่ผ่านสิ่งที่ดีๆมาตั้งแต่เด็ก สิ่งไม่ดี หลวงปู่ไม่เป็นแต่ถูกครอบงำตามโลกบ้าง เช่นเขาว่าดื่มเหล้าเบียร์สูบบุหรี่ดี จีบผู้หญิงดี เล่นไพ่ดี ก็ไปหัดตามเขา แต่ก็ทำไม่เก่ง สู้เขาไม่ได้เป็นหมูสนาม ทำเรื่องไม่ดีสู้เขาไม่ได้ ทำชั่วไม่ขึ้น จริงๆแล้วหลวงปู่รู้ว่า ชาติปางก่อนผ่านมาหมด แต่ชาตินี้หลงไปตามเขาหลอก เป็นลิงลมอมข้าวพอง (เป็นการละเล่นที่ให้คนผูกตาแล้วจับตัวเขย่าให้เมาแล้วให้ไล่จับคน จับใครได้ให้เป็นลิงลมคนใหม่) สรปว่าชีวิตหลวงปู่ผ่านแต่สิ่งดีไม่ได้พ่ายแพ้ทางโลกด้วย ชนะด้วย ก่อนบวชนี่ อายุ 36 แต่มาปฏิบัติธรรมก็ไม่กี่ปีก็รู้แล้วว่าตนเคยผ่านอะไรมา ก็รู้ว่าตนไม่ได้ติดอะไร ก็เลยมาบวช ผ่านโลกมาก็รู้ว่าโลกไม่มีอะไรเลย มีแต่จะไปแย่งลาภ ยศ หลวงปู่เคยแย่งกับเขาแล้วแย่งได้ด้วย ไม่ได้ด้วยการได้เปรียบใช้แรงงานความสามารถตนเอง อย่างเป็นดารา ได้ค่าตัว 80 บาทหรือ 100 บาทก็ยาก แต่กำธรนี่ได้แพงกว่าทั้งที่ทำน้อยกว่าเราอีก เขาเป็นดาราดัง อาตมาอยู่หลังฉากทำงานสาระมากกว่า  อาตมาต้องเก็บเบี้ยใต้ถุนร้าย แต่ก่อนนายกฯเงินเดือน 8500 บาท แต่อาตมาได้เดือนละสองหมื่นนะ

 

_ความสุขโลกุตระคืออย่างไร?

ตอบ... คือความสุขที่ตรงกันข้ามกับที่โลกเขามี แล้วความสุขโลกุตระสูงสุดคือจิตไม่สุขไม่ทุกข์ ต้องมาฝึกปฏิบัติจึงได้ จะรู้ว่าสุขโลกีย์คือสุขเท็จ สุขขัลลิกะ แต่ความสุขโลกุตระคือสุขสงบ สุขที่รู้ความจริงตามความเป็นจริง เป็นปรมังสุขัง

 

_การทำใจในใจ ทำอย่างไรครับ

ตอบ...ต้องอ่านใจรู้ใจตนเอง ใจตนเป็นอย่างไร? มันไม่มีรูปร่างเส้นสีแสง มันมีแต่อาการดีใจ ใครรู้จักใจตนตอนดีใจ อ่านออกไหม? มันไม่มีสีสันรูปร่าง มีแต่อาการเรียกว่าวิญญัติเป็นอาการไหว เราต้องรู้ว่าการไหวเป็นโกรธเป็นอย่างไร มันเคลื่อนไหว แล้วโลภเป็นอย่างไร ถ้าเราอ่านใจรู้ชัดว่านี่คือโลภ แล้วทำใจให้โลภเปลี่ยนไปลดลง จนไม่โลภ อุเบกขา เฉยๆกลางๆ นั่นแหละคือการทำใจในใจ นี่อธิบายง่ายที่สุดแล้วนะ เราไปกระทบสัมผัสทางตา เห็นอันนี้โอโหอยากได้แต่ไม่ใช่ของเรา เราคิดขโมยดีไหมนี่ต้องอ่านใจให้ออก แล้วอย่าให้อาการใจนี้เกิด เปลี่ยนใจที่อยากได้ของคนอื่น ไปสร้างเองทำเอง หาเงินซื้อเองไม่ใช่ไปขโมยของเขา หรือโกรธอยากชกหน้าเขาก็อ่านรู้แล้วเปลี่ยนจิตจากอยากชกเขาเป็นไหว้เขาดีกว่า นี่คือเปลี่ยนกายวาจาใจ นี่คือวิธีปฏิบัติไม่ลึกลับอะไร มนสิกโรติ แต่เขาไม่รู้กันแล้วแบบนี้ การทำใจในใจคือทำใจให้ลดโลภ จนเกิดเสียสละ ผู้ใดทำได้ถาวรไม่เกิดโลภอีกเลยมีแต่ใจเสียสละให้เขานี่จึงประเสริฐ

 

_ทำไมเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ทั้งที่พุทธเกิดที่อินเดีย

ตอบ...เพราะว่าสมัยก่อนศาสนาพุทธเข้ามาตั้งหลักฐานในแคว้นสุวรรณภูมิ ศาสนพุทธเข้ามาในเมืองไทยก่อน สองพันปีอีก แต่เมืองไทยนี่ตั้งมาไม่กี่ร้อยปีหรอก เพิ่งเริ่มตั้งเมืองไทย คนก็เป็นไทยพุทธเลย เพราะคนพื้นเดิมเป็นพุทธเกิดก่อนประเทศไทยเกิดอีก

 

_ถ้าเราโมโห แล้วปรับใจตนได้เรียกว่าอะไร?

ตอบ... ดีมาก แล้วปรับไปทุกทีอย่าให้มันเกิดให้ได้นั่นคือการทำใจในใจ คือปฏิบัติธรรมเข้าขั้นโลกุตระเลย

 

_หลวงปู่บอกว่าหลวงปู่บรรลุธรรมตอนเข้าห้องน้ำ แล้วอะไรเป็นตัวที่บอกว่าบรรลุ แล้วความรู้สึกเป็นอย่างไร?

ตอบ... หลวงปู่ได้เปิดเผยไปนานแล้ว แล้วเปิดว่าเป็นโพธิสัตว์ แต่เขาก็ไม่ค่อยรู้นัย เถรวาทว่าคนเป็นโพธิสัตว์ต้องไม่บรรลุธรรมแม้โสดาบันก็ตาม แล้วเชื่อว่าเป็นโสดาบันแล้วอีก 7 ชาติจะเป็นอรหันต์ แล้วเป็นอรหันต์แล้วตายสูญ ก็เลยว่า ใครจะไปเป็นพระพุทธเจ้าต้องเป็นปุถุชนตลอดกาล จะเป็นอาริยะแม้โสดาบันไม่ได้ สรุปคือหลวงปู่ได้อธิบายมาตลอดแล้วอะไรเป็นตัวบอก ก็คือญาณปัญญา ความรู้ที่รู้จิตตัวเอง อย่างที่บอกว่ารู้จิตโลภ โกรธของตน รู้ในกามภูมิ รู้ในรูปภูมิ อรูปภูมิ หมดตัวสุดท้ายแล้วก็ตรวจด้วยอรูปฌานอีก ด้วยเวทนา 108 ทุกปัจจุบัน จนรู้ว่าอารมณ์นี้มันเต็มแล้ว รู้ทุกข์เป็นเช่นนี้ แก้เหตุแห่งทุกข์ ดับเหตุแห่งทุกข์ได้ก็ตรวจทุกข์ละเอียดอีกที่เป็นกิลมถะ แล้วก็เหลือแต่ ทรถะ ก็รู้ได้ด้วยสภาวจิต ศาสนาพุทธต้องรู้แจ้งเห็นจริงอย่างรู้จิตในจิตอย่างแท้จริง จิตวิมุติจิตจริง

 

ความรู้สึกในตอนนั้นก็รู้สึกถึงความโล่งโปร่งสะอาดบริสุทธิ์ มีตัวรู้ ว่าโลกที่เราอยู่กับมันมาตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียด ที่ปฏิบัติมาก็รู้ว่าเป็นอย่างนี้ บอกแทนกันไม่ได้ บอกไม่ได้ง่ายเปรียบกับอะไรไม่ได้ นัตถิอุปมา แรกที่รู้สึกว่าเราบรรลุมันมีปีติเหมือนกันแต่ไม่แรง ไม่บอกใครด้วยแต่ก็บันทึกไว้ เขียนเป็นหนังสือไว้ ความรู้สึกไม่หวือหวา

 

_ทำไมสังคมวัฒนธรรมสงกรานต์เดี๋ยวนี้จึงมีคนเต้นแร้งเต้นกา ฉีดน้ำใส่กันอย่างไม่อายเลย แต่งตัวโป๊ด้วย

ตอบ...คือความเสื่อมของสังคม การสาดน้ำนี่ทุกวันนี้เป็นเรื่องผิดไปจากประเพณีเดิม การสาดน้ำในหน้าร้อนถือว่าน้ำเป็นสิ่งขาดแคลนกันถือว่าทำความฉิบหาย สมัยก่อนหน้าแล้งถือว่าน้ำหายาก เราจะตอบแทนผู้ใหญ่ที่เราเคารพก็อยากให้ท่านเย็น ควรได้อาบน้ำ เพราะหาน้ำยาก ก็เลยมีการคิดด้วยวิธีแชร์ แบ่งกันเอาน้ำมากันคนละน้อยคนละจอก แล้วมาเทรวมกันในตุ่ม เพื่อให้ผู้ใหญ่ที่เราเคารพได้อาบหรือไม่ก็รดกัน นี่คือการรดน้ำดำหัว ใครได้รับการรดน้ำดำหัวคือผู้ใหญ่มีเกียรติมีค่าในสังคม ต่อมาคนก็มีกิเลสมาก อยากให้ตนได้รับความเป็นคนมีเกียรติบ้าง เราก็อยากให้คนรดตนเองบ้าง คนได้รับการรดน้ำถือว่าเป็นเกียรติ เขาก็แย่งกันสิ แย่งกันต่อมาก็กลายเป็นการเล่น เป็นการสาดกัน เล่นก็เลยลามกขึ้น น้ำก็ยิ่งเสียมาก เป็นเรื่องฟุ่มเฟือย ทุกวันนี้ก็ยังมีเชื้อของการรดน้ำดำหัวกันแต่ไปเล่นฉิบหายกันได้มากกว่า แล้วลามกอนาจาร มีวิธีการนายทุนไปหาเงินอีก กิเลสกามก็เข้ามา ทุนนิยมเข้ามา การรดน้ำสงกรานต์ทุกวันนี้จึงกลายเป็นประเพณีหายนะ จะดึงให้สุภาพขึ้นมาปีนี้ดีขึ้นมาแล้ว ปีหน้าจับเข้าคุกเลยใครมาโป๊มาเปลือยกัน ปีหน้าเอาเลย เอาให้ได้อาตมาว่า มันไม่ได้เป็นสิ่งดีอะไรเอากามเอาทุนนิยมมาพอก เพื่อความสนุกเท่านั้น แต่พฤติกรรมเสียหาย วัฒนธรรมก็เสียไม่คุ้มเลย แล้วพวกท่องเที่ยวต่างประเทศก็จะเอาอบายมุข ก็จะเอาอบายมุขหายนธรรมไปบ้านเขา เขานึกว่าแปลก ก็เลยเอาไป เรื่องสาดน้ำเล่นน้ำเป็นหายนะ เราจัดตลาดอาริยะ เวลาเดียวกันไม่มีการสาดน้ำกันเลย มีน้ำให้อาบด้วย เพราะอยู่ข้างแม่น้ำมูน มีน้ำตกให้เด็กเล่นด้วย ไม่มีลามกอนาจาร คือความสำเร็จที่เราปลูกฝังกันมา

 

_การพิจารณากายในกาย ต่างจาก เวทนาในเวทนา จิตในจิต อย่างไร เพราะกายคือจิต มโน วิญญาณ

ตอบ...กายต้องมีทวารที่มีการกระทบภายนอกแล้วมีวิญญาณประกอบด้วย มีประสาทรับรู้มีจิตไปรับรู้ จึงเกิดองค์ประกอบที่เรียกว่า กาย ขาดนามไม่ได้ มีแต่รูปไม่เรียกว่ากาย ถ้ามีแต่ตา กับรูป ก็ไม่เรียกว่ากาย กายต้องครบ 3 อย่าง แต่ 3อย่างนี้ พระพุทธเจ้าเรียกว่า จิต มโน วิญญาณ คือพระพุทธเจ้าให้รู้ว่ามีนอกด้วย แล้วกระทบเกิดกิเลส ใน จิต มโน วิญญาณ เราก็ต้องไปล้างกิเลสที่อยู่ภายใน กายไม่ใช่แค่ภายนอกหรือเอาแต่ภายในอย่างเดียว

 

จิตมันเกิดหลังเวทนา มันเกิดอารมณ์ก่อน มันชอบ แล้วมันมีจิตอย่างไรก็ไปวิเคราะห์จิตในจิต อีกที ในจิตมีเหตุ มันชอบ มันอยากได้ก็อ่านตัวชอบตัวอยากได้ จนเจอตัวอยากได้ในจิต เป็นตัณหานี่คือจิตในจิต แล้วมันก็คือสมุทัยที่ต้องกำจัดออก แล้วต้องมีกายครบด้วยทั้งภายนอกและภายใน อัชฌัตตัง อรูปสัญญี รูปานิปัสสติ ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริบาบถอยู่ ด้วยปัญญาอันยิ่ง ...จบ


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2563 ( 15:16:25 )

580421

รายละเอียด

580421ธรรมาธรรมะสงคราม สันติฯ เรื่อง ความแตกต่างระหว่างฌานกับสมาธิ

พ่อครูว่า วันนี้ วันอังคารที่ 21 เมษายน 2558 แล้ว ไม่กี่วันก็หมดเดือนแล้ว อาตมาก็เร่งงานเครื่องร้อน จะไปรอดหรือไม่? จะไอกลางทาง จะบรรยายไปตลอดรอดฝั่งหรือไม่ก็ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร อาตมาก็ทำเป็นชีทไว้แล้ว 

 

วันนี้จะพูดถึงเรื่อง ความแตกต่างระหว่าง ฌาน กับ สมาธิ ......เรากำลังพูดถึงประเด็นที่สำคัญมีนัยะลึก มันละเอียดซับซ้อนอย่างยิ่ง นั่นคือ ประเด็นที่ว่า "ฌาน 4 "ที่ "ได้โดยความยาก" (กิจฉะ) “ได้โดยความลำบาก" (กสิระ) กับ "ฌาน 4 อีกชนิดหนึ่งที่เป็น "ฌาน 4" ของพระพุทธเจ้าที่ทรงยืนยันว่า "ได้โดยไม่ยาก" (อกิจฉลาภี) “ได้โดยไม่ลำบาก" (อกสิรลาภี)”

 

ถ้า "ฌาน" ที่แพร่หลายกันอยู่ทั่วไป ซึ่งปฏิบัติในแบบ meditation หลับตาสะกดจิตเข้าไปอยู่ในภวังค์กันอยู่นั้น นั่นแหละเป็น "ฌาน4" ที่มิจฉาทิฏฐิ คือมีความเห็นไม่ตรงตามพุทธศาสนา จึงเป็น "ฌาน 4" ที่ได้โดยยาก(กิจฉะ) ได้โดยลำบาก (กสิระ) ซึ่งต่างกันอย่างมีนัยสำคัญยิ่งกับ "ฌาน 4" ที่ปฏิบัติอย่าง "สัมมาทิฏฐิ" ของพุทธ ซึ่งเป็นฌาน 4 ที่ได้โดยไม่ยาก (อกิจฉลาภี) ได้โดยไม่ลำบาก(อกสิรลาภี) ซึ่งเป็น Supra concentration

 

Supra concentration ย่อมมิใช่ meditation แน่นอน ซึ่งเป็นภาวะจิตที่มี "ทิฏฐิ" คนละอย่างหนึ่งจึงเรียกว่า "มิจฉาทิฏฐิ" ส่วนอีกอย่างหนึ่งจึงเรียกว่า "สัมมาทิฏฐิ"

 

แม้จะเป็นชาวพุทธด้วยกัน แต่ก็มี "ทิฏฐิ" แตกต่างออกไปจาก "สัมมาทิฏฐิ" ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้แต่เดิม เพี้ยนผิดออกไปเป็นมิจฉาทิฏฐิ ได้แน่นอน และได้เป็นมิจฉาทิฏฐิ กันจริงมากกว่ามาก แทบจะหมดวงการศาสนาพุทธไปปานนั้นเลย

 

การปฏิบัติเพื่อเกิด "ฌาน" ก็ดี หรือเกิด "สมาธิ" ก็ดี ตามวิธี meditation คือแบบหลับตาสะกดจิตเข้าไปอยู่ในภวังค์แล้วก็ "ทำใจในใจ" (มนสิกโรติ) ตามทฤษฎีของตนๆ ซึ่งแม้ "มิจฉาทิฏฐิ" นี้ก็ยังมีแตกต่างกันออกไปอีกหลากหลายสำนักอาจารย์

 

ส่วนการปฏิบัติเพื่อเกิด "สัมมาฌาน" ก็ดี หรือเกิด "สัมมาสมาธิ" ก็ดี ตามวิธี Supra concentration คือแบบลืมตาเปิดจิตอยู่กับ "ภพ" ทุกภพ (กามภพ_รูปภพ_อรูปภพ) ไม่ต้อง"ปิดภพ" หรือ "หนีภพ_หลบภพ_หลับภพ" แต่มีวิธีวิเศษที่สามารถดับ "ภพ" เฉพาะส่วนของตนในตนได้โดยอยู่กับ "ภพ 3" นั้นอย่างรู้เท่าทัน "ภพ" นั้นด้วย "ทฤษฎีพิเศษ" (สัมมาทิฏฐิ)

 

สามารถรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง ของ "กาย" ที่เป็น "กายในกาย" อีกที รู้จักรู้แจ้งรู้จริงของ "เวทนา" ที่เป็น "เวทนาในเวทนา" อีกที รู้จักรู้แจ้งรู้จริงของ "จิต" ที่เป็น"จิตในจิต" อีกที รู้จักรู้แจ้งรู้จริงของ "ธรรม" ที่เป็น "ธรรมในธรรม" อีกที

 

จนกระทั่งสามารถ "ดับกายในกาย_ดับเวทนาในเวทนา_ดับจิตในจิต_ดับธรรมในธรรม" ได้อย่างวิเศษวิสุทธิ์ยิ่งเยี่ยมจริงๆ

 

ซึ่งไม่ใช่ "ดับเวทนา_ดับจิต" กันชนิดที่ "ดับเวทนาหรือดับจิต" ก็พาซื่อพาลไป "ดับเวทนา_ดับจิต" ให้หมดสิ้นความรับรู้ทั้งเวทนา_ทั้งจิตอย่างไม่ให้เหลือ "ความรู้สึก "เลย

 

 

แล้วหลงว่า "ความดับเวทนาทั้งเวทนา" (ไม่ใช่ดับจิตในจิต) กันในขณะแต่ละขณะนั้นคือ "นิโรธ" (ความดับ) ที่หลงเลยเถิดผิดเพี้ยนไปว่า เป็น"สัญญาเวทยิตนิโรธ" ไปโน่นเลย

 

ซึ่งทฤษฎีเฉพาะของพระพุทธเจ้านั้นคนที่เป็นชาวพุทธด้วยกันเองแท้ๆ ก็ยังมี "มิจฉาทิฏฐิ" ได้หลายแบบเลย

 

มีทั้ง "วิธีปฏิบัติ" ที่ผิดเพี้ยนแตกต่างออกไป มีทั้ง "ผล" ที่ผิดเพี้ยนแตกต่างออกไป เพราะปฏิบัติ "การทำใจในใจ" (มนสิการ) แบบพุทธไม่เป็น หรือแม้จะหลงผิดว่า ตนทำเป็นเช่น แบบหลับตาเข้าไปในภวังค์ "ทำใจในใจ" ตนอยู่ในนั้น แต่ไม่มี "กาย" ให้ศึกษา ก็ไม่เป็น "ฌาน" ไม่เป็น "สมาธิ" ที่ถูกต้องตรงตามพระวจนะของพระศาสดา

 

ดังนั้น จึงต้องศึกษากันอย่างสำคัญจริงๆ พระพุทธเจ้าตรัสว่า "พุทธธรรม" ของพระองค์นั้น "คัมภีรา(ลึกซึ้งยิ่ง)_ทุทฺทสา(เห็นตามได้ยาก)_ทุรนุโพธา(รู้ตามได้ยาก)_สันตา(สงบอย่างพิเศษ)_ปณีตา(สุขุมยิ่งเยี่ยม)_อตักกาวจรา(รู้ด้วยเหตุผลหรือจากการขบคิดไม่ได้_นิปุนา(ละเอียดขั้นนิพพาน)_ปัญฑิตเวทนียา(บัณฑิตแท้เท่านั้นจะรู้ได้)

 

จะกำหนดรู้แค่ผ่านๆไม่ถ้วนรอบเต็มไม่ได้ เนวสัญญาไม่ได้ ไม่รู้ไม่ได้ต้องรู้หมด ใน นาสัญญา ไม่ว่าสัญญาใดๆ ทุกอัน จึงพ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ มีการปฏิฆสัมผัสโส แม้บางทีสัมผัสกัน แต่อายตนะไม่เกิด ถ้าอายตนะไม่เกิดไม่มีนามรูป

 

ปรมัตถธรรมต่างๆ อตตริมนุสสธรรมทั้งหลายจึงไม่ใช่เรื่องตื้นๆ แต่ลึกยิ่ง(ลึก_ลาด_ลุ่มเรียบเป็นลำดับเหมือนมหาสมุทร) ไม่ใช่หยาบๆ แต่ละเอียดยิ่ง ไม่ใช่ผิวๆแค่ชั้นเดียวหรือแค่สองชั้น แต่มีการเลิกละสูงขึ้นไปตามลำดับ หลายชั้นทวนไปทวนมาซับซ้อนเป็นชั้นๆหมุนรอบเชิงซ้อน(ปฏินิสสัคคะ) จนถึงที่สุด

เหมือนก้นหอยวนแล้วมีรอบสูงขึ้นๆ ไม่ใช่ว่าวนไปวนมาแค่ชั้น มันไม่ใช่สวรรค์แต่สูงกว่าสวรรค์อีก นิสสัคคะ เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนลึกซึ้ง

 

ผู้สัมมาทิฏฐิได้ปฏิบัติมีมรรคมีผลเอง จึงจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า "ฌาน"หรือ "สมาธิ" แบบ "มิจฉาทิฏฐิ" ปฏิบัติหลับตา "เข้าฌาน" ได้สมาธิ กับแบบ "สัมมาทิฏฐิ" ปฏิบัติ "มรรค 7 องค์" “ลืมตา" เข้าฌาน  ได้สัมมาสมาธินั้น มันมีความเป็น "กาย" (องค์ประชุมของรูปกับนาม) กันคนละอย่าง เพราะมี "สัญญา" (การกำหนดรู้หรือการสำคัญมั่นหมาย)กันคนละอย่าง

 

เพราะ "ทิฏฐิ" (ความเห็น,ความเข้าใจ) แตกต่าง การได้ "กาย" หรือการมี "สัญญา" จึงแตกต่างกัน เช่น กำหนดหมาย(สัญญา) ความเป็น "โลก" ต่างกัน กำหนดหมายความเป็น "อัตตา" ก็รู้จักรู้แจ้งรู้จริงต่างกัน

 

ซึ่งความเป็น "โลก" ก็ดี ความเป็น "อัตตา" ก็ดี ต่างก็คือ "สังขาร" ทั้งนั้น ที่ผู้ยัง "อวิชชา" ย่อมไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงแน่

 

หลายคนพาซื่อว่า พระอรหันต์ดับสังขารแล้วทำไมยังมีสังขาร ขันธ์ 5 ก็มี แต่อุปาทานในขันธ์หมดสิ้นแล้ว เป็น รูปที่สะอาด เวทนาที่สะอาด สัญญาที่สะอาด สังขารก็สะอาด วิญญาณก็สะอาด

 

ความเป็น "สังขาร 3" ได้แก่ "กายสังขาร_จิตสังขาร_วจีสังขาร" นั้น ทั้งโลก_ทั้งอัตตา ของความเป็นเป็น "มนุษย์" ต่างก็มีความเป็น "กาย" เป็น "จิต" ที่ผู้ศึกษาปฏิบัติต้องรู้จักรู้แจ้ง รู้จริง และต้องศึกษาปฏิบัติแยก "กาย แยก "จิต" ได้ ด้วยฌานทัสสนะวิเศษ ซึ่งจะสามารถ "กำหนดรู้" ความเป็น "กาย" เป็น "จิต" ได้ด้วยสัญญา กระทั่งเป็นปัญญาขั้นญาณทัสสนะวิเศษ

 

การแยกกายแยกจิตของพระพุทธเจ้าคือการแยกกุศลจิตออกจากอกุศลจิต ดับอกุศลจิต เหลือแต่กุศลจิต แล้วก็ยังมีรูป นามขันธ์ 5 อยู่

 

พระพุทธเจ้าตรัสความเป็น "กาย" กับ ความเป็น "สัญญา" ไว้ใน "สัตตาวาส 9" ซึ่งจะต้องศึกษาความเป็น "สัตว์" ที่เป็น "โอปปาติกะสัตว์" นี้ ในขณะมี "วิญญาณฐีติ 7 อายตนะ 2" โดย "การสัมผัสวิโมกข์8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่" จึงจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง ในความสิ้นอาสวะด้วยปัญญาสัมบูรณ์

 

ความเห็นอันถือเอาที่สุด , ความเห็นผิดที่แล่นไปสุดโต่งข้างใดข้างหนึ่ง ที่บาลีว่า "อันตคาหิกทิฏฐิ" นั้นมี 10 เรื่องได้แก่

 

โลกเที่ยง_โลกไม่เที่ยง_โลกมีที่สุด_โลกไม่มีที่สุด

 

ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น ชีวะก็อย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง

 

อัตตา(สัตว์,ตถาคต) เบื้องหน้าแต่ตายย่อมเป็นอีก(ย่อมมีอยู่)

 

อัตตา(สัตว์,ตถาคต) เบื้องหน้าแต่ตายย่อไม่เป็นอีก(ย่อมไม่มีอยู่)

 

อัตตา(ตถาคต,สัตว์) เบื้องหน้าแต่ตายย่อมเป็นอีก(มีอยู่)ก็ใช่(ก็มี) ไม่เป็นอีก(ไม่มีอยู่)ก็ใช่(ก็มี)

 

อัตตา(ตถาคต,สัตว์) เบื้องหน้าแต่ตายย่อมเป็นอีก(มีอยู่)ก็มิใช่(ก็หามิได้) ย่อมไม่เป็นอีก(ไม่มีอยู่) ก็มิใช่(ก็หามิได้) (ในพระไตรปิฎกมีอยู่มากแห่ง เช่น เล่ม 13 ข้อ 147 , เล่ม 18/88, เล่ม 24/193 , เล่ม 31/337 ,เล่ม 35/1032)

(และคำว่า "อัตตา" ในที่นี้ อรรถกถาบางแห่ง หมายถึง สัตว์ก็มี ว่า "ตถาคตหรืออาตมัน" ก็มีว่า พระพุทธเจ้าก็มี)

 

เรื่อง "โลก" และ "อัตตา" นี้ เป็นเรื่องถกเถียงมาแต่ไหนแต่ไร เรามาอ่านที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้กันดูอีกที

 

พระพุทธเจ้าตรัสว่า

(1) ดูกรมาลุงกยบุตร ก็เพราะเหตุไร ข้อนั้นเราจึงไม่พยากรณ์

เพราะข้อนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย

เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อ

นิพพาน เหตุนั้นเราจึงไม่พยากรณ์ข้อนั้น. ดูกรมาลุงกยบุตร อะไรเล่า ที่เราพยากรณ์ ดูกร

มาลุงกยบุตร ความเห็นว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความ

ดับทุกข์ ดังนี้

(2) 792] พ. ดูกรวัจฉะ พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นย่อมตามเห็นจักษุว่า  นั่นของเรา

นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นย่อมตามเห็น หู... จมูก... ลิ้น...

กาย... ใจว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา เพราะเหตุนั้น เมื่อพวกปริพาชก

ผู้ถือลัทธิอื่นถูกถามอย่างนั้นแล้ว จึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า โลกเที่ยงบ้าง ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่

ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้บ้าง ดูกรวัจฉะ ส่วนพระตถาคตอรหันต

สัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมทรงพิจารณาเห็นจักษุว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตน

ของเรา ย่อมทรงพิจารณาเห็น หู... จมูก... ลิ้น... กาย... ใจว่า นั่นไม่ใช่ของเรา

นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เพราะเหตุนั้นเมื่อตถาคตถูกถามอย่างนั้นแล้ว จึงไม่ทรง

พยากรณ์อย่างนี้ว่า โลกเที่ยงก็ดี ฯลฯสัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่

เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี ฯ

 

ที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงพยากรณ์นั้นก็เพราะข้อนั้น ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

 

แต่ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ศึกษาปฏิบัตินั้น คือ จะต้องมาเรียนรู้ "ตา_หู_จมูก_ลิ้น_กาย_ใจ"ของเรานี่เลย ที่จะต้อง "สัมผัส" สัมพันธ์กับ "โลก" แล้วมี "เหตุ_นิทาน_สมุทัย_ปัจจัย" เกิดทุกข์ เกิดสุขกันอยู่ใน "วัฏฏะ" ก็เพราะไม่รู้ "โลก" ไม่รู้ "อัตตา" นี้แล

 

ก็ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ...ย่อมพิจารณาเห็นจักษุว่านั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา...เห็นคำว่า  "เป็นเรา_ตัวตนของเรา" มั้ยล่ะ?

 

ก็นี่แหละเรื่อง "อัตตา" แท้ๆใช่มั้ย? จึงต้องเรียนรู้ความเป็น "อัตตา" ตั้งแต่เริ่มกำหนดให้มาเรียนรู้ "กาย" เรียนรู้ "จิต" หรือ "โลก" หรือ "สังขาร" ฯลฯ ที่อยู่ในตัวเรา จริงๆนี้ ไปตามลำดับ

 

มาเรียนรู้ใน "ขนาดจำกัด ทีละขนาด เริ่มทีละน้อย ไม่ต้องมากเกินที่ควรแก่เราเองไปตามลำดับ (ขนาดจำกัด นี้พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯท่านแปลมาจากคำว่า "ปริตตัง")

 

หรือมาเรียนรู้ใน "กามมาวจร" ของเราเองตั้งแต่ขั้นต้นไปตามลำดับ (“กามมาวจร" นี้ในพระไตรฯฉบับหลวง ท่านก็แปลจากคำว่า "ปริตตัง))

 

ก็คือเรื่อง "โลก" กับเรื่อง "อัตตา" นี้เอง

 

มิใช่ว่า "โลก" ไม่มีให้ศึกษา "อัตตา" ไม่มีให้ศึกษา หรือว่าไม่ต้องศึกษาความเป็น "โลก" และความเป็น  "อัตตา" ก็หาไม่

 

ก็ความเป็นโลก กับความเป็นอัตตา นี้แหละ คือตัวแท้ที่ประกอบด้วยประโยชน์เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ที่เป็นไปเพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่งเพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

 

ที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ นั้น คือไม่ไปเสียเวลาอธิบายอยู่แต่ว่า "โลก" คืออะไร "อัตตา" คืออะไร เที่ยงหรือไม่เที่ยง ใช่หรือไม่ใช่ ตายไปแล้วจะมีหรือไม่มี ตายแล้วจะเกิดอีกหรือไม่เกิดอีก อะไรต่างๆนั้น

 

ถ้าศึกษาอย่างสัมมาทิฏฐิ และศึกษาอย่างเป็นลำดับ ก็จะเริ่มรู้จักรู้แจ้ง รู้จริง ความเป็นโลก ตามเป็นจริง และความเป็น "อัตตา" ตามเป็นจริงอย่างชัดแจ้งบริบูรณ์

 

“อัตตา" ที่พระพุทธเจ้าทรงให้เราเรียนคือ อัตตา 3 (โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา) พระไตรฯล.9ข้อ 302

 

มิใช่ว่า พอไปได้เข้าใจได้อย่างซาบซึ้งว่า "ทุกสรรพสิ่ง ไม่ใช่ตัว" (สัพเพธัมมา อนัตตา) แล้วก็เห็นไปว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสแล้วไงว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่อัตตา ตัวตนไม่มี ไม่มีตัวตนในที่ไหนทุกสรรพสิ่ง" แล้วจะยังไปมัว เห็นว่า เป็นตัวตนกันอยู่ที่ไหนกันอีก ก็ในเมื่อ มันไม่ใช่ตัวตน จะไปงมหาตัวตนมาจากไหนกันเล่า?

 

ที่จริงแล้วความเป็น ตัวตน นี่แหละ คือตัวการใหญ่ที่มันยังมีทุกข์ มีสุข มีกิเลส ไม่จบ ต้องเรียนรู้ จึงต้องละล้างโดยการปฏิบัติกำจัด "ตัวตน" ให้หมดสิ้นไป จาก"ตน" ให้เกลี้ยงสนิทสัมบูรณ์ให้ได้

 

ไม่ใช่ไปหลงสุดโต่งว่า อัตตาไม่มี ให้เป็นอุจเฉทิฏฐิ" หรือเลยเถิดไปอีกทางหนึ่งว่า "อัตตาหรืออาตมันหรือปรมาตมัน" มีอยู่นิรันดร นั่นก็ สัสสตทิฏฐิ สุดโต่งอีกฝ่าย

 

ทีนี้ความเป็น "โลก" บ้าง ก็ยิ่งมากมาย หลากหลาย ที่ต้องศึกษา

 

ตั้งแต่ "โลก2" ได้แก่ 1. เอกภพ(หนึ่งเดียวของทุกสรรพส่ิง) 2. โลกจักรวาล(ทุกสรรพสิ่งในโลกหนึ่งเดียว)

 

“โลก 2" ได้แก่ 1. โลกที่ไม่มีภาวะของชีวะ(อชีวิตินทรีย์) 2.โลกที่มีภาวะของชีวะ(ชีวิตินทรีย์)

 

“โลก2" ได้แก่ 1. โลกชีวะที่ยังไม่ถึงขั้นวิญญาณ มีแค่ รูป สัญญาและสังขาร(พีชนิยาม) 2. โลกชีวะ ที่ถึงขั้นวิญญาณ มีรูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ (จิตนิยาม)

 

 

“โลก2" ได้แก่ 1.โลกียชน(ปุถุชน,กัลยาณชน)  2. โลกุตรชน(อาริยชน)

 

“โลก2" ได้แก่ 1. โลกนี้(อิธโลก,อยังโลก,อิมัญจ โลกัง)  2.โลกหน้า (ปรโลก,ปโรโลโก,ปรัญจโลกัง, สัมปรายิกะ)

 

“โลก2" ได้แก่ 1. โลกสมุทัย(มีเหตุแแห่งทุกข์)  2. โลกนิโรธ(ดับเหตุแห่งทุกข์)

 

“โลก2" ได้แก่ 1. โลกที่ไม่สุขไม่ทุกข์แบบปุถุชน(เคหสิตอุเบกขา)  2. โลกที่ไม่สุขไม่ทุกข์แบบโลกุตระชน(เนกขัมสิตอุเบกขา)

 

“โลก2" ได้แก่ 1. “กามโลก" กามภพ(โลกภายนอก)  2. “ภวโลก(โลกภายใน)= รูปโลก ,อรูปโลก

 

“โลก 3" ได้แก่ 1. กามโลก  2.รูปโลก   3.อรูปโลก

 

 “โลก 3" ได้แก่ 1. สังขารโลก  2.สัตว์โลก  3.โอกาสโลก(โลกอันมีในอวกาศ,จักรวาล,โลกอันกำหนดด้วยโอกาส ซึ่งได้แก่โอกาสที่เป็นสังขารอันมีวิญญาณครอง หรือได้แก่โอกาสที่เป็นสังขารอันไม่มีวิญญาณครอง)

 

“โลก 3" ได้แก่ 1. มนุษยโลก(โลกที่มีร่างกายของสัตว์คนและจิตวิญญาณ) 2.เทวโลก(โลกโดยเฉพาะของจิตวิญญาณที่เป็นสุขโลกีย์หรือสุขโลกุตระ)  3.พรหมโลก (โลกโดยเฉพาะของจิตที่ทำให้ไม่มีกิเลสได้ ทั้งที่เป็นโลกียะ และทั้งแบบโลกุตระซึ่งมีลำดับหรือขนาดต่างๆหรือแบบต่างๆ)

 

“โลกที่เป็นวัฏฏะ 3"ได้แก่ 1.โลกที่วนเวียนอยู่ด้วยกิเลสวัฏฏะ (วงจรกิเลส) 2.โลกที่วนเวียนอยู่ด้วยกรรมวัฏฏะ(วงจรกรรม)  3.โลกที่วนเวียนอยู่ด้วยวิปากวัฏฏะ(วงจรวิบาก)

 

“โลกที่มีญาณ 3" ได้แก่ 1.โลกที่สามารถระลึกรู้ภาวะอันเคยอาศัยอยู่มาก่อนได้(ปุพเพนิวาสานุสติญาณ) 2.โลกที่สามารถกำหนดรู้ "การตาย" (จุติ) และ "การเกิด"(อุบัติ) ได้ (จุตูปปาตญาณ) 3.โลกที่สามารถหยั่งตรวจสอบรู้แจ้ง ความหมดสิ้นอาสวะในจิตตนได้(อาสวักขยญาณ)

 

“โลก 6" ได้แก่ 1.อบายโลก 2.มนุษยโลก 3.เทวโลก 4.ขันธโลก 5.ธาตุโลก  6. อายตนโลก (พระไตรฯล. 29 ข้อ 14)

 

1.อบายโลก คือ ภาวะที่ชีวิตินทรีย์ ในจิตยังเป็นรสสุขรสทุกข์เวียนวนอยู่ กับอบายมุข หรืออบายอื่นๆ หยาบสูงสุดสำหรับตนและอบายที่หยาบรองลงไปเป็นลำดับได้แก่ ความต่ำทราม ความทุจริตอกุศล ความโกง ความหลอกลวง การพนัน ความเสื่อมเสีย ความเสียหาย ความหยาบ ความรุนแรง ความจัดจ้าน ความมากความใหญ่ ความหรูหราเกินเหมาะเกินควร ความหลงในทรัพย์สมบัติมาก หลงในความมีอำนาจบาตรใหญ่ที่เสียมากกว่าได้

 

2. มนุษยโลก คือ ภาวะที่เป็นคนมีชีวิตอยู่บนโลก ชีวิตินทรีย์อยู่นั้นยังเป็น "มนุษย์โลกีย์" อยู่ ทั้งที่เป็นปุถุชน และเป็นกัลยาณชน หลงเสพ "สุขขัลลิกะ" (สุขเท็จ) ซึ่งเป็นสุขโลกีย์ เป็น "เทวดาดาวดึงส์" และเสพทุกข์โลกีย์เป็นสามัญ หลงสร้างอุปาทานของตนเป็นวิมานขึ้นได้สำเร็จ และใฝ่เสพภูมิความเป็น "มนุษย์ชั้นสูง" หรือได้เสพ "โลก" เสพ "อัตตา" ที่หลงว่ามาก ว่าใหญ่ว่าสูง เป็นลำดับ จนที่สุดได้เป็น "มนุษย์อารยะและมนุษย์อริยะ" (ยังมิใช่อาริยะ) ตามทิฏฐิของแต่ละสำนัก สำเร็จสูงสุดตามทิฏฐิที่ตนยึดว่าจริง และประพฤติได้ผลนั้นๆ ให้ชีวิตอาศัยเป็นอยู่ไปจนตาย แล้วมีวิบากเป็นนรกกันมากกว่ามาก

 

หากเป็นคนที่มี "สูรภาโว_สติมันโต" ก็จัดเป็น "มนุษย์ชมพูทวีป" เพียงแต่ว่า ไม่สามารถใช้ความเป็น "มนุษยโลก" ที่ตนมีความเป็น "โลก" ที่ได้ "สูรภาโว_สติมันโต" นี้(อิธ) ให้ปฏิบัติตนให้บรรลุ "พรหมจรรย์"

 

เพราะผู้มีความเป็น"มนุษยโลก"ที่มี "สูรภาโว_สติมันโต" ครบพร้อม ก็ในความเป็น "โลกนี้" (อิธ)แหละ ไม่มี "โลกอื่น" ที่สามารถจะปฏิบัติให้บรรลุถึงที่สุดแห่งพรหมจรรย์ได้(อิธ พรหมจริยวาโส) (พระไตรฯ ล. 23 ข.225)

 

แต่ถ้ายังไม่สามารถพัฒนาตนให้จิตใจมีภูมิบรรลุ "อาริยธรรม" ได้ ก็ชื่อว่าเป็น "มนุษย์โลกีย์" อยู่ เพียงแต่บรรลุ "กัลยาณธรรม " ได้

 

“มนุษย์โลกีย์" ระดับนี้ ยังไม่รู้(อวิชชา) ความเป็นมนุษย์หรือเป็นเทวดาดาวดึงส์ ถ้าผู้ใดอวิชชาก็เสพแต่อาการที่ 33 เสพสบาย เพลิดเพลิน เสพสุขอย่างจัดจ้าน สุขจริงๆ อย่างไปดูชกมวยนี่เสียเงินเป็นหมื่นๆ ซื้อตั๋วดูมวย อย่างเจ้าปาเกียว ตั๋วมันใบหนึ่งเป็นเงินไทยไม่รู้เท่าไหร่ชกไฟท์เดียวนะเขาได้เท่าไหร?

 

ดาวดึงส์เรียกว่านรกปหาสะ ชื่นใจสนุกสนาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการละเล่น ดารา บันเทิงเริงรมย์ หรือเสพสุขใดๆ กินอาหารอร่อย พวกอวิชชานี้น่าสงสาร น่าเสียดายที่เกิดมามีร่างครบ 32 อาตมาแปลว่า ชิงหมาเกิด เสียดายร่าง ก็ขออภัยที่เหมือนพูดด่าเขา

 

เขาได้ดาวดึงก็คือเขาได้รับสัมผัสทางทวาร 6 แล้วเป็นสุข บัดใดก็บัดนั้น เขาก็จะหลงตัวรสอร่อย เป็นเทวดาดาวดึงส์ที่เป็นอาการที่ 33(ดาวดึงส์) เขาไม่รู้จักโลก ความวนที่ต้องเสพอันนี้เป็นกามภพ เขาจะไม่รู้ความเป็นเทวดาและสัตว์นรก ในตน ซึ่งเทวดากับสัตว์นรกนั้นตัวเดียวกัน สัตว์นรกแปลงเป็นเทวดา ได้เสพแล้วก็จำไว้อีก จะเอาอีกทีหลัง คนติดดาราคนไหนก็ติดตาม เขาเตะเข้าโกลก็ดีใจ ก็ดาราคนนั้นแหละ ก็สุขทุกข์วนเวียนเช่นนั้น แล้วปรุงแต่งมอมเมากันไป เดี๋ยวนี้มากมาย กว่ายุคก่อนๆ พวกนี้ไม่รู้จักสัตว์นรก หรือสัตว์เทวดาเก๊

 

เรามารู้สัตว์เบื้องต้นตั้งแต่กายในกาย เราจำกัดของเขตปฏิบัติของตน เป็นปริตตังของใครก็ของมัน ว่าเราควรเลิกละอะไรตามของเขตที่ตนทำได้ ให้พ้นสังโยชน์ข้อที่1 ในความเป็นสัตว์ที่ถูกผูกไว้คือสังโยชน์ แม้แต่สังโยชน์ข้อแรกก็ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงอย่างสัมมาทิฏฐิ

 

มนุษย์โลก ที่เป็นโลกุตรภูมิก็จะสามารถเข้าสู่อาริยภูมิ ลดกามลดอัตตาไปตามลำดับ เป็นอาริยะสูงขึ้นจนเป็นอรหันต์

 

เทวโลก คือภาวะที่ชีวิตินทรีย์ เป็นเทวดาดาวดึงส์ ทั้งที่เป็นปุถุชนที่เสพโลกีย์ทางจิต ถ้าสัมมาทิฏฐิปฏิบัติมีผลก็จะเป็นมนุษย์อุตรกุรุทวีปเป็นอาริยะชนไปตามลำดับ ลดละโลกียสุขเกิดอุบัติเทพ จนเป็นวิสุทธิเทพ ก็เป็นเช่นนั้น มนุษย์โลกที่เป็นเทวดาเสพดาวดึงส์ก็เป็นอวิชชาไปตลอด

 

4.ขันธ์โลกคือภาวะที่รวมตัวกันของ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือกลุ่มกองที่รวมกันของธาตุต่างๆที่เป็นสมุทัย ที่ต้องศึกษาแล้วดับสมุทัยก็จะเข้าสู่โลกนิโรธไปตามลำดับ

 

5.ธาตุโลก คือธรรมชาติที่แยกไม่ได้แล้ว สิ่งที่เป็นธรรมชาติสมส่วนที่ยึดอย่างแยกไม่ได้แล้ว เช่นดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ หรือแม้แต่วิญญาณ ที่เกิดเป็นรูปธาตุก็มี เป็นกามธาตุหรืออรูปธาตุก็ได้แม้จะเป็นนิพพานธาตุก็มี เป็นธาตุที่เที่ยงแล้ว ยิ่งเป็นอรหันต์มีอมตธาตุก็มี

 

6. อายตนโลก คือภาวะวงจรของรูปและนาม ในขณะมีรูปกับนามกระทบกัน ปฏิฆสัมผัสโส สัมผัสโดยมีการกระทบกันแตะกัน แล้วภาวะที่เกิดจากการเชื่อมต่อ ต้องมีนามร่วมด้วยนะ ถ้าไม่มีนามร่วมด้วยไม่เกิดอายตนะ และนัยสำคัญคืออายตนะไม่ตั้งอยู่เป็นธาตุ อายตนะจะเกิดขึ้นในช่วงที่เกิดการกระทบกันของรูปกับนามหรือนามกับนามในภายใน เมื่อหมดการกระทบสัมผัส อายตนะก็หายไป อายตนะไม่เป็นธาตุที่ตั้งอยู่นานเกินกาลกว่าการสัมผัส หากขาดสัมผัส ณ สมัยใด อายตนะนั้นก็หายไป อายตนะไม่เหลืออยู่ในที่ใดไม่ตั้งอยู่ในที่ใด ผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นโลกและเข้าถึงความเป็นโลกได้จริงก็จะไม่สงสัยไม่สับสนอวิชชาในว่าโลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง โลกมีที่สุดหรือไม่มีที่สุด เราทำโลกอบายของเราหมดแล้ว สูงสุดแล้วหรือยัง เป็นอรหันต์ก็สูงสุด ผู้ทำได้แล้วก็ไม่สงสัยหรอก เหมือนที่ว่า คนถูกศรเสียบมา บอกว่าไม่ให้ผ่าต้องรู้ก่อนว่าใครยิง เป็นลูกใคร ฯ อย่างนี้ตายก่อนแล้ว พระพุทธเจ้าก็ว่าไม่ต้องพอพยากรณ์หรอกว่าโลกเที่ยงหรือไม่ โลกมีที่สิ้นสุดหรือไม่?ก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องอธิบาย

 

ผู้บรรลุธรรม ทำสมุทัยในโลกได้หมด จึงมีโลกนิโรธ จึงรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นโลกด้วยสัจธรรมของความเป็นโลกุตระแท้  จะแจ้งชัดได้ดี ไม่หลงผิด แม้แต่ชีวะก็อันนั้น ชีวะก็อย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่งเราจะรู้ชีวิตินทรีย์ของสัตว์อบาย สัตว์รูปโลก สัตว์อรูปโลก เหลือนิดหนึ่งน้อยหนึ่งเป็นอากิญจัญฯก็ทำให้สิ้นเกลี้ยง

 

อัตตา(ตถาคต,สัตว์) เบื้องหน้าแต่ตายย่อมเป็นอีก(มีอยู่)ก็ใช่(ก็มี) ไม่เป็นอีก(ไม่มีอยู่)ก็ใช่(ก็มี)

 

อัตตา(ตถาคต,สัตว์) เบื้องหน้าแต่ตายย่อมเป็นอีก(มีอยู่)ก็มิใช่(ก็หามิได้) ย่อมไม่เป็นอีก(ไม่มีอยู่) ก็มิใช่(ก็หามิได้)

 

เราก็จะรู้แจ้งรู้จริงได้ แต่หากไม่ได้ปฏิบัติจนมีผลเพียงพอก็ยากจะพูดกันรู้เรื่อง พระพุทธเจ้าจึงให้ไปปฏิบัติก่อน แล้วค่อยพยากรณ์ตามสมควร หรือพูดภาวะที่เหมาะควรสู่ฟังตามลำดับ พระพุทธศาสนานั้นมีการปฏิบัติลาดลุ่มลึกเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายไปตามลำดับ

 

โลกธรรมคือโลกที่คนติดหลงวนเวียนไม่มีภาวะเป็นหนึ่ง(เอกัคคตา) จึงยังมีภาวะสอง ที่มีอารมณ์สุข ทุกข์ หากจะไม่สุขไม่ทุกข์ก็แค่ชั่วคราว เป็นเคหสิตอุเบกขาเวทนา หากจะให้เป็นแบบไม่สุขไม่ทุกข์แบบสิ้นเหตุแห่งทุกข์อย่างไม่เปลี่ยนแปลงอีก ไม่มีอะไรหักล้างได้อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เราจะรู้โลกรู้อัตตา รู้ฌาน รู้สมาธิ ทำได้อย่างถาวรแบบปฏิบัติมรรค 7 องค์ลืมตาปฏิบัติ รู้ว่าฌานแบบพุทธ กับฌานแบบหลับตานี่ต่างกัน

 

อาตมาไม่ได้ตอบว่า ได้โดยยากได้โดยลำบาก กับได้โดยไม่ยากไม่ลำบากนั้นต่างกันอย่างไร? จิตที่ได้ฌาน 4 ไม่มีกิเลส แล้วจะอนุโลม มีสัจจานุโลมมิกญาณ ได้อย่างไร เราจะยินดีด้วยกับเขาอย่างไรได้ ปรุงไปกับเขาได้อย่างไร ขนาดไหน เราจะเอื้อไปเป็นตุ๊กตาท้องกับเขาได้ขนาดไหน คนที่ทำได้โดย


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:33:53 )

580421

รายละเอียด

580421_ธรรมาธรรมะสงคราม สันติฯ เรื่อง ความแตกต่างระหว่างฌานกับสมาธิ

พ่อครูว่า วันนี้ วันอังคารที่ 21 เมษายน 2558 แล้ว ไม่กี่วันก็หมดเดือนแล้ว อาตมาก็เร่งงานเครื่องร้อน จะไปรอดหรือไม่? จะไอกลางทาง จะบรรยายไปตลอดรอดฝั่งหรือไม่ก็ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร อาตมาก็ทำเป็นชีทไว้แล้ว 

 

วันนี้จะพูดถึงเรื่อง ความแตกต่างระหว่าง ฌาน กับ สมาธิ ......เรากำลังพูดถึงประเด็นที่สำคัญมีนัยะลึก มันละเอียดซับซ้อนอย่างยิ่ง นั่นคือ ประเด็นที่ว่า "ฌาน 4 "ที่ "ได้โดยความยาก" (กิจฉะ) “ได้โดยความลำบาก" (กสิระ) กับ "ฌาน 4 อีกชนิดหนึ่งที่เป็น "ฌาน 4" ของพระพุทธเจ้าที่ทรงยืนยันว่า "ได้โดยไม่ยาก" (อกิจฉลาภี) “ได้โดยไม่ลำบาก" (อกสิรลาภี)”

 

ถ้า "ฌาน" ที่แพร่หลายกันอยู่ทั่วไป ซึ่งปฏิบัติในแบบ meditation หลับตาสะกดจิตเข้าไปอยู่ในภวังค์กันอยู่นั้น นั่นแหละเป็น "ฌาน4" ที่มิจฉาทิฏฐิ คือมีความเห็นไม่ตรงตามพุทธศาสนา จึงเป็น "ฌาน 4" ที่ได้โดยยาก(กิจฉะ) ได้โดยลำบาก (กสิระ) ซึ่งต่างกันอย่างมีนัยสำคัญยิ่งกับ "ฌาน 4" ที่ปฏิบัติอย่าง "สัมมาทิฏฐิ" ของพุทธ ซึ่งเป็นฌาน 4 ที่ได้โดยไม่ยาก (อกิจฉลาภี) ได้โดยไม่ลำบาก(อกสิรลาภี) ซึ่งเป็น Supra concentration

 

Supra concentration ย่อมมิใช่ meditation แน่นอน ซึ่งเป็นภาวะจิตที่มี "ทิฏฐิ" คนละอย่างหนึ่งจึงเรียกว่า "มิจฉาทิฏฐิ" ส่วนอีกอย่างหนึ่งจึงเรียกว่า "สัมมาทิฏฐิ"

 

แม้จะเป็นชาวพุทธด้วยกัน แต่ก็มี "ทิฏฐิ" แตกต่างออกไปจาก "สัมมาทิฏฐิ" ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้แต่เดิม เพี้ยนผิดออกไปเป็นมิจฉาทิฏฐิ ได้แน่นอน และได้เป็นมิจฉาทิฏฐิ กันจริงมากกว่ามาก แทบจะหมดวงการศาสนาพุทธไปปานนั้นเลย

 

การปฏิบัติเพื่อเกิด "ฌาน" ก็ดี หรือเกิด "สมาธิ" ก็ดี ตามวิธี meditation คือแบบหลับตาสะกดจิตเข้าไปอยู่ในภวังค์แล้วก็ "ทำใจในใจ" (มนสิกโรติ) ตามทฤษฎีของตนๆ ซึ่งแม้ "มิจฉาทิฏฐิ" นี้ก็ยังมีแตกต่างกันออกไปอีกหลากหลายสำนักอาจารย์

 

ส่วนการปฏิบัติเพื่อเกิด "สัมมาฌาน" ก็ดี หรือเกิด "สัมมาสมาธิ" ก็ดี ตามวิธี Supra concentration คือแบบลืมตาเปิดจิตอยู่กับ "ภพ" ทุกภพ (กามภพ_รูปภพ_อรูปภพ) ไม่ต้อง"ปิดภพ" หรือ "หนีภพ_หลบภพ_หลับภพ" แต่มีวิธีวิเศษที่สามารถดับ "ภพ" เฉพาะส่วนของตนในตนได้โดยอยู่กับ "ภพ 3" นั้นอย่างรู้เท่าทัน "ภพ" นั้นด้วย "ทฤษฎีพิเศษ" (สัมมาทิฏฐิ)

 

สามารถรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง ของ "กาย" ที่เป็น "กายในกาย" อีกที รู้จักรู้แจ้งรู้จริงของ "เวทนา" ที่เป็น "เวทนาในเวทนา" อีกที รู้จักรู้แจ้งรู้จริงของ "จิต" ที่เป็น"จิตในจิต" อีกที รู้จักรู้แจ้งรู้จริงของ "ธรรม" ที่เป็น "ธรรมในธรรม" อีกที

 

จนกระทั่งสามารถ "ดับกายในกาย_ดับเวทนาในเวทนา_ดับจิตในจิต_ดับธรรมในธรรม" ได้อย่างวิเศษวิสุทธิ์ยิ่งเยี่ยมจริงๆ

 

ซึ่งไม่ใช่ "ดับเวทนา_ดับจิต" กันชนิดที่ "ดับเวทนาหรือดับจิต" ก็พาซื่อพาลไป "ดับเวทนา_ดับจิต" ให้หมดสิ้นความรับรู้ทั้งเวทนา_ทั้งจิตอย่างไม่ให้เหลือ "ความรู้สึก "เลย

 

 

แล้วหลงว่า "ความดับเวทนาทั้งเวทนา" (ไม่ใช่ดับจิตในจิต) กันในขณะแต่ละขณะนั้นคือ "นิโรธ" (ความดับ) ที่หลงเลยเถิดผิดเพี้ยนไปว่า เป็น"สัญญาเวทยิตนิโรธ" ไปโน่นเลย

 

ซึ่งทฤษฎีเฉพาะของพระพุทธเจ้านั้นคนที่เป็นชาวพุทธด้วยกันเองแท้ๆ ก็ยังมี "มิจฉาทิฏฐิ" ได้หลายแบบเลย

 

มีทั้ง "วิธีปฏิบัติ" ที่ผิดเพี้ยนแตกต่างออกไป มีทั้ง "ผล" ที่ผิดเพี้ยนแตกต่างออกไป เพราะปฏิบัติ "การทำใจในใจ" (มนสิการ) แบบพุทธไม่เป็น หรือแม้จะหลงผิดว่า ตนทำเป็นเช่น แบบหลับตาเข้าไปในภวังค์ "ทำใจในใจ" ตนอยู่ในนั้น แต่ไม่มี "กาย" ให้ศึกษา ก็ไม่เป็น "ฌาน" ไม่เป็น "สมาธิ" ที่ถูกต้องตรงตามพระวจนะของพระศาสดา

 

ดังนั้น จึงต้องศึกษากันอย่างสำคัญจริงๆ พระพุทธเจ้าตรัสว่า "พุทธธรรม" ของพระองค์นั้น "คัมภีรา(ลึกซึ้งยิ่ง)_ทุทฺทสา(เห็นตามได้ยาก)_ทุรนุโพธา(รู้ตามได้ยาก)_สันตา(สงบอย่างพิเศษ)_ปณีตา(สุขุมยิ่งเยี่ยม)_อตักกาวจรา(รู้ด้วยเหตุผลหรือจากการขบคิดไม่ได้_นิปุนา(ละเอียดขั้นนิพพาน)_ปัญฑิตเวทนียา(บัณฑิตแท้เท่านั้นจะรู้ได้)

 

จะกำหนดรู้แค่ผ่านๆไม่ถ้วนรอบเต็มไม่ได้ เนวสัญญาไม่ได้ ไม่รู้ไม่ได้ต้องรู้หมด ใน นาสัญญา ไม่ว่าสัญญาใดๆ ทุกอัน จึงพ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ มีการปฏิฆสัมผัสโส แม้บางทีสัมผัสกัน แต่อายตนะไม่เกิด ถ้าอายตนะไม่เกิดไม่มีนามรูป

 

ปรมัตถธรรมต่างๆ อตตริมนุสสธรรมทั้งหลายจึงไม่ใช่เรื่องตื้นๆ แต่ลึกยิ่ง(ลึก_ลาด_ลุ่มเรียบเป็นลำดับเหมือนมหาสมุทร) ไม่ใช่หยาบๆ แต่ละเอียดยิ่ง ไม่ใช่ผิวๆแค่ชั้นเดียวหรือแค่สองชั้น แต่มีการเลิกละสูงขึ้นไปตามลำดับ หลายชั้นทวนไปทวนมาซับซ้อนเป็นชั้นๆหมุนรอบเชิงซ้อน(ปฏินิสสัคคะ) จนถึงที่สุด

เหมือนก้นหอยวนแล้วมีรอบสูงขึ้นๆ ไม่ใช่ว่าวนไปวนมาแค่ชั้น มันไม่ใช่สวรรค์แต่สูงกว่าสวรรค์อีก นิสสัคคะ เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนลึกซึ้ง

 

ผู้สัมมาทิฏฐิได้ปฏิบัติมีมรรคมีผลเอง จึงจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า "ฌาน"หรือ "สมาธิ" แบบ "มิจฉาทิฏฐิ" ปฏิบัติหลับตา "เข้าฌาน" ได้สมาธิ กับแบบ "สัมมาทิฏฐิ" ปฏิบัติ "มรรค 7 องค์" “ลืมตา" เข้าฌาน  ได้สัมมาสมาธินั้น มันมีความเป็น "กาย" (องค์ประชุมของรูปกับนาม) กันคนละอย่าง เพราะมี "สัญญา" (การกำหนดรู้หรือการสำคัญมั่นหมาย)กันคนละอย่าง

 

เพราะ "ทิฏฐิ" (ความเห็น,ความเข้าใจ) แตกต่าง การได้ "กาย" หรือการมี "สัญญา" จึงแตกต่างกัน เช่น กำหนดหมาย(สัญญา) ความเป็น "โลก" ต่างกัน กำหนดหมายความเป็น "อัตตา" ก็รู้จักรู้แจ้งรู้จริงต่างกัน

 

ซึ่งความเป็น "โลก" ก็ดี ความเป็น "อัตตา" ก็ดี ต่างก็คือ "สังขาร" ทั้งนั้น ที่ผู้ยัง "อวิชชา" ย่อมไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงแน่

 

หลายคนพาซื่อว่า พระอรหันต์ดับสังขารแล้วทำไมยังมีสังขาร ขันธ์ 5 ก็มี แต่อุปาทานในขันธ์หมดสิ้นแล้ว เป็น รูปที่สะอาด เวทนาที่สะอาด สัญญาที่สะอาด สังขารก็สะอาด วิญญาณก็สะอาด

 

ความเป็น "สังขาร 3" ได้แก่ "กายสังขาร_จิตสังขาร_วจีสังขาร" นั้น ทั้งโลก_ทั้งอัตตา ของความเป็นเป็น "มนุษย์" ต่างก็มีความเป็น "กาย" เป็น "จิต" ที่ผู้ศึกษาปฏิบัติต้องรู้จักรู้แจ้ง รู้จริง และต้องศึกษาปฏิบัติแยก "กาย แยก "จิต" ได้ ด้วยฌานทัสสนะวิเศษ ซึ่งจะสามารถ "กำหนดรู้" ความเป็น "กาย" เป็น "จิต" ได้ด้วยสัญญา กระทั่งเป็นปัญญาขั้นญาณทัสสนะวิเศษ

 

การแยกกายแยกจิตของพระพุทธเจ้าคือการแยกกุศลจิตออกจากอกุศลจิต ดับอกุศลจิต เหลือแต่กุศลจิต แล้วก็ยังมีรูป นามขันธ์ 5 อยู่

 

พระพุทธเจ้าตรัสความเป็น "กาย" กับ ความเป็น "สัญญา" ไว้ใน "สัตตาวาส 9" ซึ่งจะต้องศึกษาความเป็น "สัตว์" ที่เป็น "โอปปาติกะสัตว์" นี้ ในขณะมี "วิญญาณฐีติ 7 อายตนะ 2" โดย "การสัมผัสวิโมกข์8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่" จึงจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง ในความสิ้นอาสวะด้วยปัญญาสัมบูรณ์

 

ความเห็นอันถือเอาที่สุด , ความเห็นผิดที่แล่นไปสุดโต่งข้างใดข้างหนึ่ง ที่บาลีว่า "อันตคาหิกทิฏฐิ" นั้นมี 10 เรื่องได้แก่

 

โลกเที่ยง_โลกไม่เที่ยง_โลกมีที่สุด_โลกไม่มีที่สุด

 

ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น ชีวะก็อย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง

 

อัตตา(สัตว์,ตถาคต) เบื้องหน้าแต่ตายย่อมเป็นอีก(ย่อมมีอยู่)

 

อัตตา(สัตว์,ตถาคต) เบื้องหน้าแต่ตายย่อไม่เป็นอีก(ย่อมไม่มีอยู่)

 

อัตตา(ตถาคต,สัตว์) เบื้องหน้าแต่ตายย่อมเป็นอีก(มีอยู่)ก็ใช่(ก็มี) ไม่เป็นอีก(ไม่มีอยู่)ก็ใช่(ก็มี)

 

อัตตา(ตถาคต,สัตว์) เบื้องหน้าแต่ตายย่อมเป็นอีก(มีอยู่)ก็มิใช่(ก็หามิได้) ย่อมไม่เป็นอีก(ไม่มีอยู่) ก็มิใช่(ก็หามิได้) (ในพระไตรปิฎกมีอยู่มากแห่ง เช่น เล่ม 13 ข้อ 147 , เล่ม 18/88, เล่ม 24/193 , เล่ม 31/337 ,เล่ม 35/1032)

(และคำว่า "อัตตา" ในที่นี้ อรรถกถาบางแห่ง หมายถึง สัตว์ก็มี ว่า "ตถาคตหรืออาตมัน" ก็มีว่า พระพุทธเจ้าก็มี)

 

เรื่อง "โลก" และ "อัตตา" นี้ เป็นเรื่องถกเถียงมาแต่ไหนแต่ไร เรามาอ่านที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้กันดูอีกที

 

พระพุทธเจ้าตรัสว่า

(1) ดูกรมาลุงกยบุตร ก็เพราะเหตุไร ข้อนั้นเราจึงไม่พยากรณ์

เพราะข้อนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย

เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อ

นิพพาน เหตุนั้นเราจึงไม่พยากรณ์ข้อนั้น. ดูกรมาลุงกยบุตร อะไรเล่า ที่เราพยากรณ์ ดูกร

มาลุงกยบุตร ความเห็นว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความ

ดับทุกข์ ดังนี้

(2) 792] พ. ดูกรวัจฉะ พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นย่อมตามเห็นจักษุว่า  นั่นของเรา

นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นย่อมตามเห็น หู... จมูก... ลิ้น...

กาย... ใจว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา เพราะเหตุนั้น เมื่อพวกปริพาชก

ผู้ถือลัทธิอื่นถูกถามอย่างนั้นแล้ว จึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า โลกเที่ยงบ้าง ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่

ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้บ้าง ดูกรวัจฉะ ส่วนพระตถาคตอรหันต

สัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมทรงพิจารณาเห็นจักษุว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตน

ของเรา ย่อมทรงพิจารณาเห็น หู... จมูก... ลิ้น... กาย... ใจว่า นั่นไม่ใช่ของเรา

นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เพราะเหตุนั้นเมื่อตถาคตถูกถามอย่างนั้นแล้ว จึงไม่ทรง

พยากรณ์อย่างนี้ว่า โลกเที่ยงก็ดี ฯลฯสัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่

เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี ฯ

 

ที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงพยากรณ์นั้นก็เพราะข้อนั้น ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

 

แต่ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ศึกษาปฏิบัตินั้น คือ จะต้องมาเรียนรู้ "ตา_หู_จมูก_ลิ้น_กาย_ใจ"ของเรานี่เลย ที่จะต้อง "สัมผัส" สัมพันธ์กับ "โลก" แล้วมี "เหตุ_นิทาน_สมุทัย_ปัจจัย" เกิดทุกข์ เกิดสุขกันอยู่ใน "วัฏฏะ" ก็เพราะไม่รู้ "โลก" ไม่รู้ "อัตตา" นี้แล

 

ก็ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ...ย่อมพิจารณาเห็นจักษุว่านั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา...เห็นคำว่า  "เป็นเรา_ตัวตนของเรา" มั้ยล่ะ?

 

ก็นี่แหละเรื่อง "อัตตา" แท้ๆใช่มั้ย? จึงต้องเรียนรู้ความเป็น "อัตตา" ตั้งแต่เริ่มกำหนดให้มาเรียนรู้ "กาย" เรียนรู้ "จิต" หรือ "โลก" หรือ "สังขาร" ฯลฯ ที่อยู่ในตัวเรา จริงๆนี้ ไปตามลำดับ

 

มาเรียนรู้ใน "ขนาดจำกัด ทีละขนาด เริ่มทีละน้อย ไม่ต้องมากเกินที่ควรแก่เราเองไปตามลำดับ (ขนาดจำกัด นี้พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯท่านแปลมาจากคำว่า "ปริตตัง")

 

หรือมาเรียนรู้ใน "กามมาวจร" ของเราเองตั้งแต่ขั้นต้นไปตามลำดับ (“กามมาวจร" นี้ในพระไตรฯฉบับหลวง ท่านก็แปลจากคำว่า "ปริตตัง))

 

ก็คือเรื่อง "โลก" กับเรื่อง "อัตตา" นี้เอง

 

มิใช่ว่า "โลก" ไม่มีให้ศึกษา "อัตตา" ไม่มีให้ศึกษา หรือว่าไม่ต้องศึกษาความเป็น "โลก" และความเป็น  "อัตตา" ก็หาไม่

 

ก็ความเป็นโลก กับความเป็นอัตตา นี้แหละ คือตัวแท้ที่ประกอบด้วยประโยชน์เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ที่เป็นไปเพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่งเพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

 

ที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ นั้น คือไม่ไปเสียเวลาอธิบายอยู่แต่ว่า "โลก" คืออะไร "อัตตา" คืออะไร เที่ยงหรือไม่เที่ยง ใช่หรือไม่ใช่ ตายไปแล้วจะมีหรือไม่มี ตายแล้วจะเกิดอีกหรือไม่เกิดอีก อะไรต่างๆนั้น

 

ถ้าศึกษาอย่างสัมมาทิฏฐิ และศึกษาอย่างเป็นลำดับ ก็จะเริ่มรู้จักรู้แจ้ง รู้จริง ความเป็นโลก ตามเป็นจริง และความเป็น "อัตตา" ตามเป็นจริงอย่างชัดแจ้งบริบูรณ์

 

“อัตตา" ที่พระพุทธเจ้าทรงให้เราเรียนคือ อัตตา 3 (โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา) พระไตรฯล.9ข้อ 302

 

มิใช่ว่า พอไปได้เข้าใจได้อย่างซาบซึ้งว่า "ทุกสรรพสิ่ง ไม่ใช่ตัว" (สัพเพธัมมา อนัตตา) แล้วก็เห็นไปว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสแล้วไงว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่อัตตา ตัวตนไม่มี ไม่มีตัวตนในที่ไหนทุกสรรพสิ่ง" แล้วจะยังไปมัว เห็นว่า เป็นตัวตนกันอยู่ที่ไหนกันอีก ก็ในเมื่อ มันไม่ใช่ตัวตน จะไปงมหาตัวตนมาจากไหนกันเล่า?

 

ที่จริงแล้วความเป็น ตัวตน นี่แหละ คือตัวการใหญ่ที่มันยังมีทุกข์ มีสุข มีกิเลส ไม่จบ ต้องเรียนรู้ จึงต้องละล้างโดยการปฏิบัติกำจัด "ตัวตน" ให้หมดสิ้นไป จาก"ตน" ให้เกลี้ยงสนิทสัมบูรณ์ให้ได้

 

ไม่ใช่ไปหลงสุดโต่งว่า อัตตาไม่มี ให้เป็นอุจเฉทิฏฐิ" หรือเลยเถิดไปอีกทางหนึ่งว่า "อัตตาหรืออาตมันหรือปรมาตมัน" มีอยู่นิรันดร นั่นก็ สัสสตทิฏฐิ สุดโต่งอีกฝ่าย

 

ทีนี้ความเป็น "โลก" บ้าง ก็ยิ่งมากมาย หลากหลาย ที่ต้องศึกษา

 

ตั้งแต่ "โลก2" ได้แก่ 1. เอกภพ(หนึ่งเดียวของทุกสรรพส่ิง) 2. โลกจักรวาล(ทุกสรรพสิ่งในโลกหนึ่งเดียว)

 

“โลก 2" ได้แก่ 1. โลกที่ไม่มีภาวะของชีวะ(อชีวิตินทรีย์) 2.โลกที่มีภาวะของชีวะ(ชีวิตินทรีย์)

 

“โลก2" ได้แก่ 1. โลกชีวะที่ยังไม่ถึงขั้นวิญญาณ มีแค่ รูป สัญญาและสังขาร(พีชนิยาม) 2. โลกชีวะ ที่ถึงขั้นวิญญาณ มีรูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ (จิตนิยาม)

 

 

“โลก2" ได้แก่ 1.โลกียชน(ปุถุชน,กัลยาณชน)  2. โลกุตรชน(อาริยชน)

 

“โลก2" ได้แก่ 1. โลกนี้(อิธโลก,อยังโลก,อิมัญจ โลกัง)  2.โลกหน้า (ปรโลก,ปโรโลโก,ปรัญจโลกัง, สัมปรายิกะ)

 

“โลก2" ได้แก่ 1. โลกสมุทัย(มีเหตุแแห่งทุกข์)  2. โลกนิโรธ(ดับเหตุแห่งทุกข์)

 

“โลก2" ได้แก่ 1. โลกที่ไม่สุขไม่ทุกข์แบบปุถุชน(เคหสิตอุเบกขา)  2. โลกที่ไม่สุขไม่ทุกข์แบบโลกุตระชน(เนกขัมสิตอุเบกขา)

 

“โลก2" ได้แก่ 1. “กามโลก" กามภพ(โลกภายนอก)  2. “ภวโลก(โลกภายใน)= รูปโลก ,อรูปโลก

 

“โลก 3" ได้แก่ 1. กามโลก  2.รูปโลก   3.อรูปโลก

 

 “โลก 3" ได้แก่ 1. สังขารโลก  2.สัตว์โลก  3.โอกาสโลก(โลกอันมีในอวกาศ,จักรวาล,โลกอันกำหนดด้วยโอกาส ซึ่งได้แก่โอกาสที่เป็นสังขารอันมีวิญญาณครอง หรือได้แก่โอกาสที่เป็นสังขารอันไม่มีวิญญาณครอง)

 

“โลก 3" ได้แก่ 1. มนุษยโลก(โลกที่มีร่างกายของสัตว์คนและจิตวิญญาณ) 2.เทวโลก(โลกโดยเฉพาะของจิตวิญญาณที่เป็นสุขโลกีย์หรือสุขโลกุตระ)  3.พรหมโลก (โลกโดยเฉพาะของจิตที่ทำให้ไม่มีกิเลสได้ ทั้งที่เป็นโลกียะ และทั้งแบบโลกุตระซึ่งมีลำดับหรือขนาดต่างๆหรือแบบต่างๆ)

 

“โลกที่เป็นวัฏฏะ 3"ได้แก่ 1.โลกที่วนเวียนอยู่ด้วยกิเลสวัฏฏะ (วงจรกิเลส) 2.โลกที่วนเวียนอยู่ด้วยกรรมวัฏฏะ(วงจรกรรม)  3.โลกที่วนเวียนอยู่ด้วยวิปากวัฏฏะ(วงจรวิบาก)

 

“โลกที่มีญาณ 3" ได้แก่ 1.โลกที่สามารถระลึกรู้ภาวะอันเคยอาศัยอยู่มาก่อนได้(ปุพเพนิวาสานุสติญาณ) 2.โลกที่สามารถกำหนดรู้ "การตาย" (จุติ) และ "การเกิด"(อุบัติ) ได้ (จุตูปปาตญาณ) 3.โลกที่สามารถหยั่งตรวจสอบรู้แจ้ง ความหมดสิ้นอาสวะในจิตตนได้(อาสวักขยญาณ)

 

“โลก 6" ได้แก่ 1.อบายโลก 2.มนุษยโลก 3.เทวโลก 4.ขันธโลก 5.ธาตุโลก  6. อายตนโลก (พระไตรฯล. 29 ข้อ 14)

 

1.อบายโลก คือ ภาวะที่ชีวิตินทรีย์ ในจิตยังเป็นรสสุขรสทุกข์เวียนวนอยู่ กับอบายมุข หรืออบายอื่นๆ หยาบสูงสุดสำหรับตนและอบายที่หยาบรองลงไปเป็นลำดับได้แก่ ความต่ำทราม ความทุจริตอกุศล ความโกง ความหลอกลวง การพนัน ความเสื่อมเสีย ความเสียหาย ความหยาบ ความรุนแรง ความจัดจ้าน ความมากความใหญ่ ความหรูหราเกินเหมาะเกินควร ความหลงในทรัพย์สมบัติมาก หลงในความมีอำนาจบาตรใหญ่ที่เสียมากกว่าได้

 

2. มนุษยโลก คือ ภาวะที่เป็นคนมีชีวิตอยู่บนโลก ชีวิตินทรีย์อยู่นั้นยังเป็น "มนุษย์โลกีย์" อยู่ ทั้งที่เป็นปุถุชน และเป็นกัลยาณชน หลงเสพ "สุขขัลลิกะ" (สุขเท็จ) ซึ่งเป็นสุขโลกีย์ เป็น "เทวดาดาวดึงส์" และเสพทุกข์โลกีย์เป็นสามัญ หลงสร้างอุปาทานของตนเป็นวิมานขึ้นได้สำเร็จ และใฝ่เสพภูมิความเป็น "มนุษย์ชั้นสูง" หรือได้เสพ "โลก" เสพ "อัตตา" ที่หลงว่ามาก ว่าใหญ่ว่าสูง เป็นลำดับ จนที่สุดได้เป็น "มนุษย์อารยะและมนุษย์อริยะ" (ยังมิใช่อาริยะ) ตามทิฏฐิของแต่ละสำนัก สำเร็จสูงสุดตามทิฏฐิที่ตนยึดว่าจริง และประพฤติได้ผลนั้นๆ ให้ชีวิตอาศัยเป็นอยู่ไปจนตาย แล้วมีวิบากเป็นนรกกันมากกว่ามาก

 

หากเป็นคนที่มี "สูรภาโว_สติมันโต" ก็จัดเป็น "มนุษย์ชมพูทวีป" เพียงแต่ว่า ไม่สามารถใช้ความเป็น "มนุษยโลก" ที่ตนมีความเป็น "โลก" ที่ได้ "สูรภาโว_สติมันโต" นี้(อิธ) ให้ปฏิบัติตนให้บรรลุ "พรหมจรรย์"

 

เพราะผู้มีความเป็น"มนุษยโลก"ที่มี "สูรภาโว_สติมันโต" ครบพร้อม ก็ในความเป็น "โลกนี้" (อิธ)แหละ ไม่มี "โลกอื่น" ที่สามารถจะปฏิบัติให้บรรลุถึงที่สุดแห่งพรหมจรรย์ได้(อิธ พรหมจริยวาโส) (พระไตรฯ ล. 23 ข.225)

 

แต่ถ้ายังไม่สามารถพัฒนาตนให้จิตใจมีภูมิบรรลุ "อาริยธรรม" ได้ ก็ชื่อว่าเป็น "มนุษย์โลกีย์" อยู่ เพียงแต่บรรลุ "กัลยาณธรรม " ได้

 

“มนุษย์โลกีย์" ระดับนี้ ยังไม่รู้(อวิชชา) ความเป็นมนุษย์หรือเป็นเทวดาดาวดึงส์ ถ้าผู้ใดอวิชชาก็เสพแต่อาการที่ 33 เสพสบาย เพลิดเพลิน เสพสุขอย่างจัดจ้าน สุขจริงๆ อย่างไปดูชกมวยนี่เสียเงินเป็นหมื่นๆ ซื้อตั๋วดูมวย อย่างเจ้าปาเกียว ตั๋วมันใบหนึ่งเป็นเงินไทยไม่รู้เท่าไหร่ชกไฟท์เดียวนะเขาได้เท่าไหร?

 

ดาวดึงส์เรียกว่านรกปหาสะ ชื่นใจสนุกสนาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการละเล่น ดารา บันเทิงเริงรมย์ หรือเสพสุขใดๆ กินอาหารอร่อย พวกอวิชชานี้น่าสงสาร น่าเสียดายที่เกิดมามีร่างครบ 32 อาตมาแปลว่า ชิงหมาเกิด เสียดายร่าง ก็ขออภัยที่เหมือนพูดด่าเขา

 

เขาได้ดาวดึงก็คือเขาได้รับสัมผัสทางทวาร 6 แล้วเป็นสุข บัดใดก็บัดนั้น เขาก็จะหลงตัวรสอร่อย เป็นเทวดาดาวดึงส์ที่เป็นอาการที่ 33(ดาวดึงส์) เขาไม่รู้จักโลก ความวนที่ต้องเสพอันนี้เป็นกามภพ เขาจะไม่รู้ความเป็นเทวดาและสัตว์นรก ในตน ซึ่งเทวดากับสัตว์นรกนั้นตัวเดียวกัน สัตว์นรกแปลงเป็นเทวดา ได้เสพแล้วก็จำไว้อีก จะเอาอีกทีหลัง คนติดดาราคนไหนก็ติดตาม เขาเตะเข้าโกลก็ดีใจ ก็ดาราคนนั้นแหละ ก็สุขทุกข์วนเวียนเช่นนั้น แล้วปรุงแต่งมอมเมากันไป เดี๋ยวนี้มากมาย กว่ายุคก่อนๆ พวกนี้ไม่รู้จักสัตว์นรก หรือสัตว์เทวดาเก๊

 

เรามารู้สัตว์เบื้องต้นตั้งแต่กายในกาย เราจำกัดของเขตปฏิบัติของตน เป็นปริตตังของใครก็ของมัน ว่าเราควรเลิกละอะไรตามของเขตที่ตนทำได้ ให้พ้นสังโยชน์ข้อที่1 ในความเป็นสัตว์ที่ถูกผูกไว้คือสังโยชน์ แม้แต่สังโยชน์ข้อแรกก็ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงอย่างสัมมาทิฏฐิ

 

มนุษย์โลก ที่เป็นโลกุตรภูมิก็จะสามารถเข้าสู่อาริยภูมิ ลดกามลดอัตตาไปตามลำดับ เป็นอาริยะสูงขึ้นจนเป็นอรหันต์

 

เทวโลก คือภาวะที่ชีวิตินทรีย์ เป็นเทวดาดาวดึงส์ ทั้งที่เป็นปุถุชนที่เสพโลกีย์ทางจิต ถ้าสัมมาทิฏฐิปฏิบัติมีผลก็จะเป็นมนุษย์อุตรกุรุทวีปเป็นอาริยะชนไปตามลำดับ ลดละโลกียสุขเกิดอุบัติเทพ จนเป็นวิสุทธิเทพ ก็เป็นเช่นนั้น มนุษย์โลกที่เป็นเทวดาเสพดาวดึงส์ก็เป็นอวิชชาไปตลอด

 

4.ขันธ์โลกคือภาวะที่รวมตัวกันของ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือกลุ่มกองที่รวมกันของธาตุต่างๆที่เป็นสมุทัย ที่ต้องศึกษาแล้วดับสมุทัยก็จะเข้าสู่โลกนิโรธไปตามลำดับ

 

5.ธาตุโลก คือธรรมชาติที่แยกไม่ได้แล้ว สิ่งที่เป็นธรรมชาติสมส่วนที่ยึดอย่างแยกไม่ได้แล้ว เช่นดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ หรือแม้แต่วิญญาณ ที่เกิดเป็นรูปธาตุก็มี เป็นกามธาตุหรืออรูปธาตุก็ได้แม้จะเป็นนิพพานธาตุก็มี เป็นธาตุที่เที่ยงแล้ว ยิ่งเป็นอรหันต์มีอมตธาตุก็มี

 

6. อายตนโลก คือภาวะวงจรของรูปและนาม ในขณะมีรูปกับนามกระทบกัน ปฏิฆสัมผัสโส สัมผัสโดยมีการกระทบกันแตะกัน แล้วภาวะที่เกิดจากการเชื่อมต่อ ต้องมีนามร่วมด้วยนะ ถ้าไม่มีนามร่วมด้วยไม่เกิดอายตนะ และนัยสำคัญคืออายตนะไม่ตั้งอยู่เป็นธาตุ อายตนะจะเกิดขึ้นในช่วงที่เกิดการกระทบกันของรูปกับนามหรือนามกับนามในภายใน เมื่อหมดการกระทบสัมผัส อายตนะก็หายไป อายตนะไม่เป็นธาตุที่ตั้งอยู่นานเกินกาลกว่าการสัมผัส หากขาดสัมผัส ณ สมัยใด อายตนะนั้นก็หายไป อายตนะไม่เหลืออยู่ในที่ใดไม่ตั้งอยู่ในที่ใด ผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นโลกและเข้าถึงความเป็นโลกได้จริงก็จะไม่สงสัยไม่สับสนอวิชชาในว่าโลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง โลกมีที่สุดหรือไม่มีที่สุด เราทำโลกอบายของเราหมดแล้ว สูงสุดแล้วหรือยัง เป็นอรหันต์ก็สูงสุด ผู้ทำได้แล้วก็ไม่สงสัยหรอก เหมือนที่ว่า คนถูกศรเสียบมา บอกว่าไม่ให้ผ่าต้องรู้ก่อนว่าใครยิง เป็นลูกใคร ฯ อย่างนี้ตายก่อนแล้ว พระพุทธเจ้าก็ว่าไม่ต้องพอพยากรณ์หรอกว่าโลกเที่ยงหรือไม่ โลกมีที่สิ้นสุดหรือไม่?ก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องอธิบาย

 

ผู้บรรลุธรรม ทำสมุทัยในโลกได้หมด จึงมีโลกนิโรธ จึงรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นโลกด้วยสัจธรรมของความเป็นโลกุตระแท้  จะแจ้งชัดได้ดี ไม่หลงผิด แม้แต่ชีวะก็อันนั้น ชีวะก็อย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่งเราจะรู้ชีวิตินทรีย์ของสัตว์อบาย สัตว์รูปโลก สัตว์อรูปโลก เหลือนิดหนึ่งน้อยหนึ่งเป็นอากิญจัญฯก็ทำให้สิ้นเกลี้ยง

 

อัตตา(ตถาคต,สัตว์) เบื้องหน้าแต่ตายย่อมเป็นอีก(มีอยู่)ก็ใช่(ก็มี) ไม่เป็นอีก(ไม่มีอยู่)ก็ใช่(ก็มี)

 

อัตตา(ตถาคต,สัตว์) เบื้องหน้าแต่ตายย่อมเป็นอีก(มีอยู่)ก็มิใช่(ก็หามิได้) ย่อมไม่เป็นอีก(ไม่มีอยู่) ก็มิใช่(ก็หามิได้)

 

เราก็จะรู้แจ้งรู้จริงได้ แต่หากไม่ได้ปฏิบัติจนมีผลเพียงพอก็ยากจะพูดกันรู้เรื่อง พระพุทธเจ้าจึงให้ไปปฏิบัติก่อน แล้วค่อยพยากรณ์ตามสมควร หรือพูดภาวะที่เหมาะควรสู่ฟังตามลำดับ พระพุทธศาสนานั้นมีการปฏิบัติลาดลุ่มลึกเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายไปตามลำดับ

 

โลกธรรมคือโลกที่คนติดหลงวนเวียนไม่มีภาวะเป็นหนึ่ง(เอกัคคตา) จึงยังมีภาวะสอง ที่มีอารมณ์สุข ทุกข์ หากจะไม่สุขไม่ทุกข์ก็แค่ชั่วคราว เป็นเคหสิตอุเบกขาเวทนา หากจะให้เป็นแบบไม่สุขไม่ทุกข์แบบสิ้นเหตุแห่งทุกข์อย่างไม่เปลี่ยนแปลงอีก ไม่มีอะไรหักล้างได้อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เราจะรู้โลกรู้อัตตา รู้ฌาน รู้สมาธิ ทำได้อย่างถาวรแบบปฏิบัติมรรค 7 องค์ลืมตาปฏิบัติ รู้ว่าฌานแบบพุทธ กับฌานแบบหลับตานี่ต่างกัน

 

อาตมาไม่ได้ตอบว่า ได้โดยยากได้โดยลำบาก กับได้โดยไม่ยากไม่ลำบากนั้นต่างกันอย่างไร? จิตที่ได้ฌาน 4 ไม่มีกิเลส แล้วจะอนุโลม มีสัจจานุโลมมิกญาณ ได้อย่างไร เราจะยินดีด้วยกับเขาอย่างไรได้ ปรุงไปกับเขาได้อย่างไร ขนาดไหน เราจะเอื้อไปเป็นตุ๊กตาท้องกับเขาได้ขนาดไหน คนที่ทำได้โดย


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2563 ( 15:17:49 )

580422

รายละเอียด

580422_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ  สมาธิพุทธกับสมาธิทั่วไปต่างกันอย่างไร

พ่อครูว่า... วันนี้ วัน พุธ ที่ 22  เมษายน 2558ขึ้น 5 ค่ำเดือนหก(6)ปีมะแม รายการธรรมาธรรมะสงคราม จากบ้านราชฯ

 

ไม่มีวินาทีใดที่ไม่ควรเปิดเผยธรรม ทุกวินาทีเป็นวินาทีแห่งธรรม อาตมากล่าวคำนี้มานานแล้ว เพราะว่าธรรมะ ยิ่งใหญ่ ธรรมาธิปไตย เราก็พยายามที่จะให้เกิดธรรมาธิปไตยในมนุษยชาติอย่างแท้จริง เมื่อวานนี้อาตมาก็ได้ชี้แจงอะไรหลายอย่าง วันนี้มีผู้ช่วยอาตมาด้วย ตอนนี้ก็ให้ท่านเดินดินที่ได้ฟังมาแล้วเมื่อวานนี้ สรุปได้อะไรบ้าง มีอะไรซาบซึ้งใจก็ลองพูดขึ้นมาก่อน แล้วอาตมาก็ค่อยเสริม

 

.เดินดิน เมื่อเช้าตอนนั่งเครื่องบินมาจากสนามบินดอนเมือง พอมาถึงสนามบินอุบลฯ เขาบอกว่า ตอนนี้กัปตันและผู้ช่วยกัปตันได้พามาถึงจุดหมายปลายทางโดยสวัสดิภาพเรียบร้อยแล้ว วันนี้ก็คงจะไปถึงสวัสดิภาพ อาตมาก็คอยต่อรองให้พ่อครูได้พัก

 

เมื่อวานนี้ก็เป็นเนื้อหาที่สำคัญ เห็นพ่อครูเร่งงานมาตั้งแต่อโศกรำลึก ขนาดสมณะหนุ่มๆยังเป็นหวัด แต่พ่อครูทั้งเขียนหนังสือ ทั้งออกไปดูงานตากแดด ประชุมอีก เดินทางอีก แต่พ่อครูบอกว่ามันมีเรื่องที่ต้องรีบเขียนต้องบอกพวกเรา แม้อากาศร้อนแต่ก็เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ สำหรับมวลมนุษยชาติ

 

พ่อครูได้แยกแยะระหว่าง สมาธิพุทธ supra concentration กับ สมาธิทั่วไปคือ meditation ...อาตมาก็ได้ทบทวนตัวเองไปด้วย ซึ่งคนเราทั่วไปโดยปกติก็จะพยายามสะกดจิตตน ไม่ต้องไปรับรู้เรื่องวุ่นวายต่างๆให้มาอยู่กับตัวเอง ยิ่งเราไม่ต้องรับรู้ยิ่งดับไปได้เลย ใครทำได้ไม่ต้องส่งออกเลย ก็จะยิ่งวิเศษ ถ้าลืมตาขึ้นมาได้เมื่อไหร่ เข้านิโรธได้ 7 วันถือว่าเป็นผู้วิเศษ มหาบุญมหากุศลเลย อันนี้เป็นพื้นฐานความเข้าใจชาวพุทธทั่วไปหรือคนปฏิบัติธรรมทั่วไป แม้แต่ตัวอาตมาเอง คิดว่าพ่อครูจะล้างมิจฉาทิฏฐิไปได้หมด แต่ก็ล้างไม่หมด แต่ทุกวันนี้เราก็ยอมรับได้สมบูรณ์ได้มากขึ้น เพราะมันมีข้อความในพระไตรฯ มีหลักฐานในพระสูตรต่างๆ และรวมกันหลายเรื่อง ที่อาตมาอยู่กับพ่อครูมาก็ฟังได้ แต่ฟังได้ทั้งหมดหรือเปล่า แต่ว่าอันนี้ก็พอฟังได้ แต่จะไปด้วยทั้งหมดไหม เราก็ฟังไว้ก่อน แต่พอพ่อครูเอาพระไตรฯยืนยัน เราก็ปลดทิฏฐิ ปลดล็อคตนเองก็ได้มากขึ้น แต่ก็เป็นความช้าของตน ที่เรามีทิฏฐิของตน เคยฝังใจของตนมา กว่าที่พ่อครูจะเอาฎีกาแต่ละเรื่องมายืนยัน จนเราเห็นตามก็ต้องใช้เวลา

 

จิตเรามีความวิเศษ ที่สามารถรับรู้อะไรได้อย่างวิเศษ อย่างอาตมาอยู่กับพ่อครู เห็นเลยว่าพ่อครูทำงานอะไรได้หลายอย่างมากเลย แต่เราหนุ่มกว่ากลับทำอะไรไม่ค่อยได้เท่ากับพ่อครู จะออกกำลังกายก็ไม่มีเวลา จะเขียนหนังสือ พ่อครูก็เขียนมากกว่าเราอีก ไปดูงานก็ไม่ได้เท่าไหร่ เวลาชีวิตเท่ากันแต่พ่อครูทำได้มากกว่า จะเห็นขีดจำกัดเราคือ อยู่กับความชอบไม่ชอบ

พ่อครูอยู่กับโทรทัศน์หลายช่องทีเดียว แต่อาตมาแต่ก่อนนี้ ไม่ได้เลยถ้าจะเขียนหนังสือก็ต้องอยู่กับเรื่องที่เขียนหากมีอะไรปนมาก็เขียนไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้ก็ได้เพิ่มขึ้น แต่พ่อครูสามารถฟังไปด้วยเขียนไปด้วย ดีไม่ดี มีงานแทรกด้วยท่านก็ทำได้ ยกตัวอย่างนี้คือความวิเศษของจิตที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความชอบไม่ชอบ แต่จิตมีชวนจิตเร็วไวจะไปอยู่กับอะไรก็ได้ แต่ของเราสูญเสียพลังงานไปกับความชอบหรือไม่ชอบ

 

ถ้าเราเอาจิตมาเรียนรู้เราก็จะทำอะไรได้หลายอย่างกว่านี้ ตัวอาตมาก็มีจิตที่สั่งสมแบบพุทธเถรวาทในเมืองไทยมายาวนาน เราก็จะถูกปลูกฝังให้ดับดิ่งไม่รับรู้ เรามารับรู้แต่ตัวตนของเราก็พอ เราพ้นทุกข์ก่อนให้ได้ แต่พอเราได้ฟังพ่อครูที่เอาหลักฐานอ้างอิง จากพระไตรฯ ที่ว่า สมาธิพุทธ supra concentration มีความต่างกันกับ meditation คือสมาธิทั่วไปแตกต่างกันอย่างไร แม้สายพุทธวจนะก็น่าจะเข้าใจ เพราะ พ่อครูเอาคำตรัสของพระพุทธเจ้ามาอ่านให้ฟัง

 

พ่อครูเมื่อวานนี้ เน้นฌานของพุทธที่ว่า ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากเป็นอย่างไร แต่อาตมาเห็นเลยว่าเมื่อก่อน กว่าจะสะกดจิตตนเองให้ดับได้นี่ยากนะ ต้องหาสถานที่องค์ประกอบไปนั่งสมาธิกัน แต่ก็เอาไม่อยู่สักเท่าไหร่ พวกเราสมถะไม่ค่อยแข็ง บางคนบอกว่าต้องหมดตัวหมดตน ไปนั่งปากเหวได้เลยยิ่งยอด พ่อครูว่าตกเหวตายไปไม่รู้เท่าไหร่ สมาธิเช่นนั้นได้โดยยากได้โดยลำบาก กว่าจะได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย

 

พ่อครูแทรกว่า...คำว่าได้โดยยาก กับได้โดยไม่ยาก กับได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบาก ประเด็นที่ว่า “ฌาน 4 “ที่ “ได้โดยความยาก” (กิจฉะ) “ได้โดยความลำบาก” (กสิระ) กับ “ฌาน 4 อีกชนิดหนึ่งที่เป็น “ฌาน 4” ของพระพุทธเจ้าที่ทรงยืนยันว่า “ได้โดยไม่ยาก” (อกิจฉลาภี) “ได้โดยไม่บำบาก” (อกสิรลาภี)”

 

หรือว่าได้โดยปรารถนา (นิกามลาภี) ผู้ได้ฌานของพระพุทธเจ้าสมบูรณ์แล้วเป็นอัตโนมัติ ไม่ต้องไปนั่งเลย มันเป็นฌานในตัวเลย ฌาน 1_4 คล่องแคล่ว ติดตัวติดตนไปเลย เป็นตถตา เราจะใช้จิตเป็นฌาน 1 คือมีวิตกวิจาร ตรวจสอบ ไม่ว่าจะตรวจสอบภายนอกหรือภายใน มีวิตกวิจัยวิจาร จิตสัมผัสแล้วเอามาวิเคราะห์วิจัย โดยไม่มีกิเลส ไม่มีนิวรณ์ ฌาน 1 ก็ไม่มีนิวรณ์แล้ว หรือวิจัยแล้วไม่มีสิ่งไม่ดีไม่งามเลย เป็นฌานที่มีโลกวิทู มีโลกุตระ ทำงานสัมผัสสัมพันธ์กับโลก แล้วก็รู้ว่าเราจะร่วมคิดร่วมทำกับโลก โดยไม่ทำให้เกิดนิวรณ์เข้าไปแทรก เพราะการสัมผัสกับภายนอกมีทั้ง โลกธรรม มีกาม มีโกรธ พยาบาทได้ มีทั้งราคมูล โทสมูล เราก็อยู่ได้แข็งแรงไม่มีหวั่นไหว น กัมปติ เราก็คิดร่วมด้วยได้ ทุกคนก็มีเกิด แล้วใช้ความคิดร่วมด้วย เรียกว่า สัจจานุโลมมิกญาณ เป็นพลังงานเหนือ มีปัญญาเป็นอุตระ มีสติเปิดจิตรับรู้ภายนอกภายใน มีสติเป็นใหญ่ เป็นอธิปไตย มีปัญญาเป็นอุตตระ อย่างนักเลงนี่ใช้อำนาจอัตตาเบ่งข่ม แต่อย่างนั้นชาวโลกเขาว่าไม่ดี ก็เลยใช้อำนาจที่เป็นการช่วยเหลือ ใช้การเป็นหนี้บุญคุณมาเป็นอำนาจ แต่ธรรมะของพระพุทธเจ้าเรียนรู้โลก อยู่กับโลก โลกวิทู แล้วล้างอัตตา ตัวตนที่จะใช้อำนาจ โลกธรรม หรือผู้หญิงก็ใช้กามเป็นอำนาจ ในการอยู่เหนือผู้ชาย ให้อยู่ใต้อำนาจกาม อำนาจอัตตา

 

อัตตา เป็นอำนาจในตัวเรา สามารถเบ่งอำนาจได้ว่า อย่ามาเข้าใกล้นะ ข้ามีความสามารถชกต่อยเก่งนะ นี่ก็เป็นอำนาจภายนอกง่ายๆ แต่ที่ลึกซึ้งคืออำนาจโดยธรรม เราล้างโลก ล้างอัตตา ล้างได้บ้างก็มีธรรมาธิปไตยไปตามลำดับ จนไม่ติดโลกเลย โดยเฉพาะโลกธรรม สุขด้วยกาม สุขด้วยอัตตา ไม่ได้เป็นทาส เพราะฉะนั้นอัตตาที่จะมาบำเรอตน ยึดเป็นตนก็ไม่มี

 

การได้ฌานคือการล้างโลก ล้างอัตตา เป็นตัวมรรค เป็นภาคปฏิบัติที่จะเผากิเลส ฌานคือไฟกองใหญ่ พลังงานที่สูงส่ง ดับพลังงานไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ มันล้างได้จริงๆ เมื่อผู้นั้นมีอำนาจ มีความยิ่งความใหญ่เหนือโลกกับอัตตาแล้ว จิตทำฌานอยู่

 

ฌานหลับตาเอามาใช้ไม่ได้กับภายนอก จะใช้ก็ยาก ความยากมันจึงยากมาก แต่ของพุทธทำได้แล้วมีฌานแล้วเอามาใช้เป็นธรรมาวุธเลย เป็น ฌาน 1_4 ขณะนี้อาตมากำลังใช้ ฌาน 2 ฌาน 3 ฌาน 4 ไม่ปรุงแรงเป็นฌาน 1 ประเดี๋ยวจะเดือด ถ้าปรุงมากเดี๋ยวทำงานไม่ได้ ก็ปรุงแค่ ฌาน 2 ฌาน 3 ฌาน 3 ให้มีปีติเลี้ยงสุขเลี้ยงอยู่พอสมควร ไม่ได้จืดชืดและไม่ได้เสพ ปีติ ก็อาศัย สุขก็อาศัย วิตกวิจารก็อาศัย ในโลกมีวิตกวิจารเพื่อเอามาเป็นตัวกูของกู ส่วนผู้บรรลุแล้วเอาวิตก(ไตร่ตรอง) วิจาร(พฤติกรรมนามธรรม ของจิตที่สรุปผลแล้ว) เอามาใช้เพื่อประโยชน์ผู้อื่น มีพรหมวิหารอย่างไร มีพลังปรุงแต่ง อภิสังขารเท่านี้ นี่คือพลังงานจิตที่จะใช้มาได้เท่าที่มีบารมี เท่าที่ผู้บรรลุธรรม มีบารมี ใช้สร้างสรรทำเพื่อโลก เพื่อมนุษยชาติ

 

คำว่าได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก จึงเป็นอัตโนมัติกับไม่เป็นอัตโนมัติ และมีความถ้วนทั่วทั้งนอกและใน ส่วนฌานหลับตานั้นได้แต่ภายใน และต้องหาสถานที่หาเวลาทำ เอามาใช้กับชีวิตประจำวันไม่ได้ เป็นการได้โดยยากได้โดยลำบาก และก็มีส่วนที่มีประโยชน์ได้ยากกว่าฌานแบบลืมตา

 

ฌานลืมตามีประโยชน์ทันทีโดยหลัดๆ ฌานหลับตาไม่มีประโยชน์ตน แต่ไปสร้างรูปภพอรูปภพ ในปฏิจจสมุปบาทเขาไม่ได้เดินเลย ผัสสะเขาไม่มี ตัวผัสสะตัวเดียวเขาไม่มีก็เจ๊งแล้ว ฌานของพุทธหากไม่มีสัมผัสภายนอก เท่านี้เขาก็เจ๊งแล้ว จึงไม่มีประโยชน์มาก จะได้เป็นประโยชน์คนอื่นก็ไม่เสริมกันไม่เป็นไปโดยองค์รวมไม่เป็นไปโดยร่วมสหาย ร่วมความรู้ คำว่าได้โดยยากได้โดยลำบาก จึงคือยากในการเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นด้วย ไม่เป็น โลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก)

 

.เดินดินว่า...ฌานของพุทธกับฌานหลับตา มีทิศทางปฏิบัติต่างกัน ผลที่ได้รับมีความแตกต่างกันอย่างไร อาตมาตอนงานปลุกเสกฯ ได้ฟังศิษย์เก่าที่อยู่ข้างนอก แล้วถูกหลอกให้กินเนื้อสัตว์พอกินแล้วจิตเขาเริ่มฟุ้ง ไม่สงบ อยู่อย่างนั้นไม่ได้ทำงานอะไรมากน่าจะสงบ กินเนื้อสัตว์อยู่ในป่า แต่พอกลับมากับหมู่กลุ่มกินมังสวิรัติทำงานหนักเตรียมงานร่วมกับหมู่จิตกลับสงบกว่า ความสงบคือจิตเขาไม่ไปหานิวรณ์

 

เรามาปฏิบัติธรรมใหม่ๆก็มุ่งแต่หาที่ให้จิตตนสงบ แต่ก็ไม่ได้เท่าไหร่ เหมือนพระพุทธเจ้าตรัสที่ว่าเธอไม่ได้สมาธิแล้วออกป่า ไม่ลอยก็จม เพราะติดหูมาหลายสูตรเลยที่ว่า พระภิกษุออกจากหมู่อยู่แต่ผู้เดียวไม่ช้าไม่นานก็บรรลุอรหันต์ จนพ่อครูก็บอกให้ไปเลย... แต่พอพวกเราหลายคนเมื่อก่อนออกไปแล้ว ก็ต้องมาอยู่กรรมเพราะไปต้องอาบัติ กามเข้า แต่อาตมาก็ได้ไปอยู่ที่ๆหนึ่งเหมือนกัน แต่ก็สังเกตว่า เรานั่งไปนี่หลับกับตื่นมาแยกออกจากกันยากแล้ว แต่ถ้าเราอยู่กับหมู่ เราอาศัยผัสสะภายนอกได้ แต่อยู่คนเดียวนี่มันเงียบ ไม่รู้เลยว่าเราตื่นหรือหลับ แต่อยู่ๆไปแล้วรู้สึกว่านิวรณ์ลากไปกินแล้วก็รีบกลับมาดีกว่า

 

พ่อครูว่า...คำว่าอยู่แต่ผู้เดียวนี่ ในบาลี ยิ่งใหญ่มาก คือคำว่า เอกะ หรือเอโก

 

ผู้ใดได้เอกัคคตา คือความเป็นหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิจะไม่เข้าใจ ธรรมะสอง รวมลงไปในเวทนา เป็นหนึ่งในเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ถ้าไม่เข้าใจเวทนา 108 แล้วไม่เข้าใจ เวทนาในเวทนา ในเวทนา 108 แยกแยะ เนกขัมมะกับเคหสิตเวทนาได้

 

ความเป็นอยู่แต่ผู้เดียวนี้ถ้าแปลว่าไม่มีเพื่อนสองแล้วอยู่เดี่ยวๆคือแปลแย่มาก แต่ควรแปลว่า ไม่มีเพื่อนสองคือไม่มีกิเลสเป็นเพื่อนสอง

 

ในวิโมกข์ 8 ข้อ  2. *ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)   ย่อมเห็น   รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี .   เอโก  พหิทธา รูปานิ  ปัสสติ) . (*พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)

 

คำว่า อัชฌัตตังคือภายใน คำว่าพหิทธา คือภายนอก ก็ต้องใช้สัญญากำหนดรู้ ให้เป็นเอโก คือไม่มีเพื่อนสอง (ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา) แต่เป็นปรมัตถ์ที่หมดกิเลส ท่านได้เป็นเอกะ เป็นเอกบุรุษ เป็นเอกปุริสสะ ในภาคของภาวะสุดท้าย เป็นอุตตมปุริสสะ เป็นเพศชาย แต่แท้จริงคือเพศของผู้สูงสุด แม้ว่าเขาจะร่างเป็นหญิง แต่เขาปฏิบัติได้อรหันต์ก็มีอุตตมปุริสสะได้ ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา ผู้หญิงก็เป็นเอกบุรุษ เป็นอุตตมปุริสสะ มีเอกัคคตาจิตได้ สูงสุด

 

คำว่าเอโก ที่ฤาษีแปลว่า หนีออกป่า อยู่แต่ผู้เดียว ปลีกเดี่ยว ซึ่งพระพุทธเจ้าว่าเข้าป่าไป ไม่จมก็ลอย ถ้าไม่มีภูมิที่เพียงพอ แต่ถ้าภูมิเพียงพอ จะอยู่ไหนก็ดี อยู่ป่าก็ดี อยู่ที่แจ้งลอมฟางก็ดี(อยู่ข้างบ้าน) สมัยพระพุทธเจ้าต้องอนุโลมปฏิโลมกับโลกมาก เขาเป็นลัทธิศาสนายิ่งใหญ่กว่ามาก ท่านมาปลูกฝังลัทธิใหม่ ท่านเอาของท่านประกาศท่ามกลางแล้วให้ได้ชนะได้มวลพอสมควรก็ไม่ใช่เล่น ตอนนี้เราอยู่ในยุคที่ใช้พระไตรฯเล่มเดียวกัน แต่อาตมามาประกาศทิฏฐิที่ถูกต้องท่ามกลางหลายสำนัก ในไทยนี่ยกสำนักที่ยิ่งใหญ่นี้ว่า กระแสหลัก ต้องเป็นเช่นนี้ นับถือกันตั้งแต่เบื้องบนถึงล่าง แล้วอาตมาก็ไม่ได้ยั้งมือเลย ทำมา 45 ปีแล้ว ก็ขอไม่บันยะบันยังนะ สมัยก่อนพระโมคคัลลานะก็ถูกทำร้ายถึงตายเลย อาตมาก็หยิบพระสูตรมาอธิบายแล้วก็ปฏิบัติให้เกิดผลเป็นหมูกลุ่ม ก็เลยเป็นเหตุปัจจัยให้เขามีแนวสัญญาฯขึ้นมาว่าใช่หรือไม่ใช่นะ แต่ก็ดีนะ อาตมาไม่โดนเหยียบ ถ้าเขามั่นใจว่าอาตมาผิด อาตมาโดนเหยียบไปแล้ว นี่คือธัมโม หเวรักขติ ธัมมจาริง ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม

 

คำว่าเอกะ นี่คือเอกัคคตา สุดท้ายเป็นเอกปุริสสะ ทำมาตั้งแต่มีเวทนาเป็นสัมโมสรณา ต้องมีผัสสะ จึงมีเวทนา แต่พระไตรฯฉบับเถรวาทที่เราใช้กัน ผู้สังคายนาคือพระมหากัสสปะคือพระค่อนไปสายพระป่าอาการหนักแล้วก็ค่อนไปทางเจโต แต่เจโตนี้ดี ไม่ฟุ้งซ่าน ถึงรักษาความควบแน่นเสถียรได้นาน อาตมาก็มีหน้าที่ไขความ

 

.เดินดินว่า...อาตมาอยู่กับพ่อครูมาหลาย 10 ปี ก็ยังตั้งจิตอยากเป็นพระกัสสปะ เรียกว่าทิฏฐินี้ล้างไม่ได้ง่ายเลย ส่วนใหญ่ในไตรปิฎก ว่าไว้ เธอหลีกออกอยู่แต่ผู้เดียว ไม่ช้าไม่นานก็บรรลุอรหันต์

 

พ่อครูว่า คำว่าหลีกออกจากหมู่ คำว่าหมู่นี้ บาลีคือ สัคคะ หรือคณิกะ คือกอง คำว่ากองนี้คือกองของนามธรรม ซึ่งนามธรรมรวมของปุถุชนคือโลกีย์ สรุปคำว่าคณิกะคือกองโลกีย์ ไม่ได้ให้หนีไปจากมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี หรือสัคคะ คือสวรรค์เท็จ ท่านก็แปลว่าให้หลีกออกจากหมู่

 

คำว่าหลีกเร้น บาลีว่าคือสัลลีนะ ไม่ได้หมายถึงเอาร่างนี้หนีไปแต่หมายถึงทำจิตให้หลีกเร้นไม่มีกิเลส ออกจากกองกิเลสต่างหาก

 

ถ้าไม่เข้าใจปรมัตถ์ ก็เข้าใจเป็นตัวตนบุคคลเราเขา คำว่าสัคคะ คือหมู่กอง แท้จริงคือนามธรรม คือกองกิเลสที่เป็นสวรรค์โลกีย์ ให้ทำการหลีกเร้นจนเป็นสวรรค์โลกุตระจริงๆคือไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก จึงพูดกับคนอื่นที่เขาเชื่อเป็นตัวตนบุคคลเราเขายาก บางอาจารย์ก็พูดบ้างตามวิชาการแต่อาตมาไม่เชื่อว่าจะมีสภาวะ

 

.เดินดินว่า...พวกเรานั่งกันอยู่อย่างนี้ ถ้าแต่ละคนอยากเป็นอรหันต์แล้ว ก็ออกไปปลีกเดียวก็จะเป็นอย่างไรนะ

 

อยู่สงัดแต่มีเพื่อนสอง

 

ภิกษุผู้มีปกติอยู่ด้วยอาการอย่างนี้คือ รูปที่พึงรู้แจ้งด้วยตาอันน่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ ให้เกิดความรัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่  เสียง… กลิ่น... จนถึง ธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้งด้วยใจ อันน่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ ให้เกิดความรัก ชักให้ใคร่  ชวนให้กำหนัด มีอยู่  (มโนวิญเญยยา ธัมมา  อิฏฺฐา กันตา มนาปา ปิยรูปา  กามูปสัญหิตา  รชนิยา)  ถ้าภิกษุยินดี กล่าวสรรเสริญ  หมกมุ่นในธรรมารมณ์นั้นอยู่ ฯลฯ   ย่อมเกิดความเพลิดเพลิน  เมื่อมีความเพลิดเพลิน  ก็มีความกำหนัดกล้า  เมื่อมีความกำหนัดกล้า  ก็มีความเกี่ยวข้อง (นันทิสัญโญชนสัง)

ถึงจะเสพเสนาสนะอันสงัด คือป่าหญ้าและป่าไม้ เงียบเสียง ไม่อื้ออึง ปราศจากลม แต่ชนเดินเข้าออก  ควรเป็นที่ประกอบกิจของมนุษย์ผู้ต้องการสงัด  สมควรเป็นที่หลีกเร้นอยู่ ก็จริง   ถึงอย่างนั้น ก็ยังเรียกว่ามีปกติอยู่ด้วยเพื่อน 2  ข้อนั้นเพราะเหตุไร  เพราะผู้นั้นยังมีตัณหาเป็นเพื่อน 2 เขายังละตัณหานั้นไม่ได้  ฉะนั้นจึงเรียกว่า มีปกติอยู่ด้วยเพื่อน 2 (สทุติยวิหารีติ)  มิคชาลสูตร ล.18  ข.66

 

พ่อครูว่า..คำว่าเอกะไม่ได้แปลว่าปลีกหลีกอยู่แต่ผู้เดียวไปอยู่แม้ที่ลมไม่พัด ก็ยังมีเพื่อนสอง คำว่าเพื่อนสองนี่ไม่ได้มีกิเลสอันเดียวตัวเดียวนะ เพราะคุณมีกิเลสเป็นกอง ไม่รู้กี่ตัว กิเลสนี่คือเพื่อนสอง กิเลสเหลือเท่าไหร่ก็คือเพื่อนสอง จนกว่าจะหมดกิเลสก็ไม่มีเพื่อนสองเป็นเอกัคคตา

 

การอยู่สงัด ไม่ต้องไปอยู่คนเดียว แต่อยู่กับท่ามกลางหมู่ชนได้ เพราะว่า มีสูตรที่ว่า อยู่แต่ผู้เดียวไม่มีเพื่อนสอง .... ภิกษุมีปกติอยู่ด้วยรูปที่พึงรู้แจ้งด้วยตา อันน่าปรารถนา น่าใคร่  น่าพอใจ  ให้เกิดความรัก  ชักให้ใคร่  ชวนให้กำหนัด มีอยู่   เสียง... กลิ่น... รส... ธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้งด้วยใจ (มโนวิญเญยยา)  อันน่าปรารถนา น่าใคร่  น่าพอใจ  ให้เกิดความรัก  ชักให้ใคร่  ชวนให้กำหนัด  มีอยู่  

ถ้าภิกษุไม่ยินดี ไม่กล่าวสรรเสริญ ไม่หมกมุ่นในธรรมารมณ์นั้นอยู่ ฯลฯ  เมื่อไม่ยินดี  ความเพลิดเพลินย่อมดับ  เมื่อไม่มีความเพลิดเพลิน  ก็ไม่มีความกำหนัด   เมื่อไม่มีความกำหนัด  ก็ไม่มีความเกี่ยวข้อง  (น โหติ  นันทสัญโยชนสัง)

แม้จะอยู่ปะปนกับภิกษุ  ภิกษุณี  อุบาสก  อุบาสิกา  พระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชา  เดียรถีย์  สาวกของเดียรถีย์  ในที่สุด-บ้านก็จริง ถึงอย่างนั้นก็ยังเรียกว่า มีปกติอยู่ผู้เดียว (เอกวิหารีติ)

มิคชาลสูตร ล.18  ข.67

 

.เดินดินว่า...สิ่งที่อาตมาได้อยู่กับพ่อครูได้มาคือ เราได้ออกจากป่า จากเดิมที่เราคิดว่าจะบรรลุธรรมจะต้องไปอยู่ป่า เร็วๆนี้อาตมาไปเจอญาติธรรมที่บอกว่าเกษียรแล้วจะไปอ่านพระไตรฯ แต่ไปอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง ไปอ่านกับคนอื่นก็ไม่รู้เรื่อง จนไปหาอาจารย์ในป่า ก็เลยจมกับป่า จนมาพบพ่อครูได้ฟังธรรมก็เลยบอกว่าอันนี้แหละใช่ อาตมาก็ได้ประโยชน์จากพ่อครูที่ทำให้รู้ว่า ชีวิตควรเป็นไปเพื่อประโยชน์ตนประโยชน์ท่านได้อย่างไร

 

อีกประเด็นคือสิ่งที่ยากคือการที่เราจะอยู่กับผัสสะ แล้วอยู่เหนือผัสสะได้ จะรู้ว่าใครแน่ก็ตอนมีผัสสะ ตอนมีคนมาด่าว่าเราสดๆ  การอยู่นั่งฟังธรรมนี้ยังไม่ใช่ของจริง แต่เตรียมตัวไว้ก่อน แล้วเวลาคนมาด่าว่าเราแล้วใจเราเป็นอย่างไร

 

พื้นฐานคนเราก็จะไปทางดับไม่รับรู้ไม่ยุ่งวุ่นวาย แต่พอไปเจอของจริง เป็นอย่างไร? เคยเจอญาติธรรมบอกว่านั่งสมาธิ แล้วลูกมาเคาะประตู เลยโกรธ ก็ออกมาตบลูกเลย ลูกเลยบอกว่าแม่ไม่ได้สมาธิ ส่วนใหญ่ก็จะไปปฏิบัติแบบนี้ทำให้จิตอ่อนแอ แล้วก็มีพวกสุดโต่งไปให้ปฏิบัติไม่เอาภายนอกเลย อยู่แต่กับจิต ให้จิตดับดิ่งลึกเข้าสู่ภวังค์ ไม่เจอองค์ประกอบภายนอกเลย พอมาเจอผัสสะก็หลุดอีก คือองค์ประกอบชีวิตไม่ครบ ไม่มีจิตที่เข้มแข็งต่อผัสสะ

 

แต่ก่อนอาตมามาอยู่กับพ่อครู พอพ่อครูไม่อยู่ รุ่นพี่ก็พานั่ง บอกว่าวันนี้จะพาเข้านิโรธ แต่นั่งต่อไปจะเห็นว่าคอเริ่มเอียง บางคนก็หลับไปเลย บอกอีกว่าดีๆๆ ซึ่งทำให้จิตอ่อนแอ พอมาเจอผัสสะก็หลุด คืออย่างที่พระพุทธเจ้าว่า มีฤๅษี ที่ไปเข้าฌานแล้วออกมาเจอผู้หญิงอาบน้ำก็ร่วงผล็อยเลย

 

พ่อครูว่า...คนที่ไม่รู้จักกาย ก็จะเห็นว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี่เป็นของเรา ทั้งที่เราจะตัดผม ตัดเล็บ ก็ทำได้ไม่เจ็บ หรือให้คนกรอฟันออกไปไม่ถึงประสาทก็ทำได้ หรือขัดผิวออก อาตมาอธิบายไว้แล้วว่า ผม ขน ฟัน เล็บ ผิวหนัง ไม่ใช่กาย ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราตัดออกไปได้ นามเอื้อมไม่ถึง อันนี้ไม่ใช่กาย แต่ถ้านามเอื้อมไปถึงก็คือกาย

 

ตาอาตมากระทบผลแตงกวา แตงกวามาเป็นกายของอาตมานะ ถ้าอาตมายึดว่าน่ากิน น่าเอามาเป็นของเรา แต่ถ้าเราสัมผัสแล้วไม่ได้ยึดถือ ใครจะเอาไปก็ได้ เหมือเราตัดเล็บออก ก็ไม่มีเวทนาเลย เราขัดผิวออกไปก็ไม่เจ็บ นี่เป็นวัตถุที่ไม่ใช่เรา ยิ่งสัมผัสธนบัตรกองใหญ่ก็ยิ่งไม่ใช่ของเรา

 

แม้แต่อยู่ในกายเรา เมื่อเราสามารถรู้ได้ว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนังไม่ใช่ของเรา เราจะแยกกายแยกจิตได้ แต่คนที่ไม่ได้เรียนจากครูบาอาจารย์สัมมาทิฏฐิ เขาแยกไม่ได้ว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนังไม่ใช่กายเป็นอย่างไร? ความเป็นกายภายนอกที่เราไม่ได้สัมผัสสัมพันธ์เลย จะเป็นข้าวของภายนอกมันไม่ใช่เรายิ่งกว่า คนแยกกายแยกจิตได้จึงไม่ใช่คนธรรมดา

 

.เดินดินว่า... คนทั่วไปแยกกายแยกจิตคือ เห็นจิตออกจากร่างแล้วมองเห็นตนเองนั่งแข็งอยู่

 

พ่อครูว่า... มีคนที่มาถามพวกเราแต่ก่อนว่าแยกกายแยกจิตได้ไหม? พวกเราบางคนก็ว่า คุณลองไปถอดเกือกออกจากเท้าให้ได้ก่อนแยกกายแยกจิตก็แล้วกัน

 

ถ้าไม่เข้าใจว่า กาย คือองค์ประชุมรูปนาม แต่ไปเข้าใจกว่า กายคือ ร่างภายนอก อันนี้ผมก็ว่าไม่ใช่ ผม ขนเล็บ ฟันหนังไม่ใช่กาย เขาก็จะฟังแล้วงง เพราะพระพุทธเจ้า ว่า กายคือจิตบ้างมโนบ้าง วิญญาณบ้าง

 

.เดินดินว่า..เมื่อไม่เข้าใจกาย ทำให้เราไม่ชำนาญในการเจอผัสสะ เมื่อเราผัสสะอ่อนต่อผัสสะ เราก็ยึดเป็นเราเป็นของเราทันที อันนี้เป็นสัมมาทิฏฐิ ที่ถ้าไม่ชัดเจน จะไปอีกทางเลย ก็ต้องค่อยมาเรียนรู้ความยึดโลก ยึดอัตตาของเราไปตามลำดับ

 

พ่อครูว่า... มันมีเวลาอีกไม่ถึงชั่วโมงดี .. ตอนนี้มาพูดถึงเรื่อง

 

ความเห็นอันถือเอาที่สุด , ความเห็นผิดที่แล่นไปสุดโต่งข้างใดข้างหนึ่ง ที่บาลีว่า “อันตคาหิกทิฏฐิ” นั้นมี 10 เรื่องได้แก่

โลกเที่ยง_โลกไม่เที่ยง_โลกมีที่สุด_โลกไม่มีที่สุด

ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น ชีวะก็อย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง

อัตตา(สัตว์,ตถาคต) เบื้องหน้าแต่ตายย่อมเป็นอีก(ย่อมมีอยู่)

อัตตา(สัตว์,ตถาคต) เบื้องหน้าแต่ตายย่อไม่เป็นอีก(ย่อมไม่มีอยู่)

อัตตา(ตถาคต,สัตว์) เบื้องหน้าแต่ตายย่อมเป็นอีก(มีอยู่)ก็ใช่(ก็มี) ไม่เป็นอีก(ไม่มีอยู่)ก็ใช่(ก็มี)

อัตตา(ตถาคต,สัตว์) เบื้องหน้าแต่ตายย่อมเป็นอีก(มีอยู่)ก็มิใช่(ก็หามิได้) ย่อมไม่เป็นอีก(ไม่มีอยู่) ก็มิใช่(ก็หามิได้) (ในพระไตรปิฎกมีอยู่มากแห่ง เช่น เล่ม 13 ข้อ 147 , เล่ม 18/88, เล่ม 24/193 , เล่ม 31/337 ,เล่ม 35/1032)

(และคำว่า “อัตตา” ในที่นี้ อรรถกถาบางแห่ง หมายถึง สัตว์ก็มี ว่า “ตถาคตหรืออาตมัน” ก็มีว่า พระพุทธเจ้าก็มี)

เรื่อง “โลก” และ “อัตตา” นี้ เป็นเรื่องถกเถียงมาแต่ไหนแต่ไร เรามาอ่านที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้กันดูอีกที

พระพุทธเจ้าตรัสว่า

(1) ดูกรมาลุงกยบุตร ก็เพราะเหตุไร ข้อนั้นเราจึงไม่พยากรณ์

เพราะข้อนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย

เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน เหตุนั้นเราจึงไม่พยากรณ์ข้อนั้น

 

ซึ่ง อาตมาได้พูดกับพวกเรา ว่า พระพุทธเจ้าท่านให้เราเรียนรู้โลก กับอัตตา เรียนรู้โลกโลกียะ โลกโลกุตระ อย่างเรื่อง เวทนา ที่เล็บนี่ เราตัดออกตรงปลายเล็บมันก็ไม่รู้สึกเจ็บอะไร บางคนก็

 

อะไรคือชีวะ แม้แต่นามธรรม ที่เป็นชีวะของโอปปาติกะสัตว์ ก็จะรู้ได้ แม้พลังงานระดับพีชะก็ไม่มีเวทนา เอาเล็บไปแตะถ้าแต่ตัวเล็บมันไม่รู้สึก แต่ที่รู้สึกเพราะว่า เล็บมันต่อกับนิ้ว เอาผมไปแตะกับแตงโมผมมันไม่รู้สึก แต่มือเรารับรู้สึกได้ เอาปลายผมไปเผาไฟมันก็ไม่รู้สึก เราจะเข้าใจความเป็นชีวะ ว่าเบื้องหน้าแต่ตายแตกไปจะเป็นอีกไหม? ของพระพุทธเจ้าว่าเมื่อเราหมดความยึดเป็นตัวตนเป็นเราเป็นของเราจากอะไรได้ มันก็ไม่เกิดอีก หรือจะเกิดอีกจะเข้าใจแล้ว หากทำความตายความดับได้ อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ปฏิบัติได้แล้วจะรู้ได้ ไม่ต้องอธิบายกันเลย คุณจะรู้ว่าโลกเที่ยงหรือไม่เทียง หากเราทำได้อย่างนิจจัง ทุวัง สัสสตังแล้วมันเที่ยง ในความไม่มีโลกนั้น เราดับโลกสมุทัยแล้ว มีโลกนิโรธที่เที่ยงแท้แล้ว ปฏิบัติได้แล้วจะรู้ว่าโลกเที่ยงหรือไม่เที่ยง

 

ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นสรีระ ไม่ใช่ชีวะ ตกลงที่ว่า สรีระก็อย่างหนึ่ง ชีวะก็อย่างหนึ่ง อาตมาพูดกับพวกคุณตอนนี้ คนที่มีภูมิถึงพอเข้าใจไหมว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ไม่ใช่สรีระ ไม่ใช่กายเรา

 

พวกที่นั่งสมาธิบางคนที่ตายไปแล้ว ผมก็ยังงอก ขนก็ยังยาว แล้วเขาก็ไปกราบไหว้กันว่านี่เป็นพระแท้ มีฤทธิ์ตายแล้วไม่ยอมตาย หนังไม่แห้งง่ายเลย ไม่เน่า นี่คือพลังงานที่หลงเหลือจากความยึดถือแรง แล้วทำให้ร่างนี้ต่ออยู่ไปได้อีก

 

สรุปตรงที่ว่า อันตคาหิกทิฏฐิ คือ เรื่องที่ไม่เข้าใจความรู้สูงสุด ที่ไม่ใช่ว่าเบื้องต้นจะเข้าใจได้เลย แต่ต้องปฏิบัติไปตามลำดับ จึงจะเข้าใจได้ไปตามลำดับ อย่างเรื่องกาย ใครเข้าใจว่า กายคือ ร่างสรีระอย่างเดียวนี้ผู้นี้น่าสงสาร

 

เรื่องลึกซึ้งถ้าสามารถรู้ โลกเที่ยงหรือไม่เที่ยง โลกมีที่สุดหรือไม่มีที่สุด คือเรามีโลกุตระแต่เราอยู่กับโลกีย์ เราก็รู้จักโลกทุกอย่าง มี โลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก)  จิตมีสติเป็นอธิปไตย มีปัญญาเป็นอุตตระ ที่พูดนี้ไม่ได้พูดแต่บัญญัติภาษา แต่พูดถึงกายถึงจิต ถึงรูป ถึงนาม เป็นปรมัตถสัจจะ อันสมบูรณ์แบบทั้งสิ้น คำสอนของพระพุทธเจ้า จึงขอยืนยันว่า “คัมภีรา(ลึกซึ้งยิ่ง)_ทุทฺทสา(เห็นตามได้ยาก)_ทุรนุโพธา(รู้ตามได้ยาก)_สันตา(สงบอย่างพิเศษ)_ปณีตา(สุขุมยิ่งเยี่ยม)_อตักกาวจรา(รู้ด้วยเหตุผลหรือจากการขบคิดไม่ได้_นิปุนา(ละเอียดขั้นนิพพาน)_ปัญฑิตเวทนียา(บัณฑิตแท้เท่านั้นจะรู้ได้)   จึงขอให้พวกเราพยายามศึกษาให้รู้ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม

 

.เดินดินว่า... พระพุทธเจ้าบอกว่า ปกติพระอาริยะท่านจะไม่แสวงหากาม แสวงหาภพ อยู่จบพรหมจรรย์ และเป็นผู้มี ปัจเจกสัจจบรรเทา ฟังพ่อครูแล้วเราก็ไม่สงสัยว่าโลกจะมีที่สิ้นสุดไหมหรืออย่างไร เราก็มีที่บรรเทา แต่ก่อนนี้มืดแปดด้าน แต่ก่อนอ่านพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าตรัสถึงบุคคลาธิษฐานว่ามีนรก สวรรค์ เป็นตัวตน เราก็สงสัยว่ามีไหม? ก็ไปถามพ่อครู แต่ตอนนี้เราคลายสงสัย มีปัจเจกสัจจะบรรเทา

 

พ่อครูว่า... ธรรมะของพระพุทธเจ้าหากปฏิบัติไปจะเหมือน มหาสมุทรต่ำไปโดยลำดับ ลาดไปโดยลำดับ ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่ลึกชันดิ่งไปทันที เมื่อเรามีปฏิฆผัสโส จะรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง ในความเป็นโลก ที่จะต้องมีทั้งนอกและใน และความเป็นอัตตา อย่างสัมมาทิฏฐิแท้จริง จึงสามารถเกิดสติที่เป็นอธิปไตย เกิดปัญญา เป็นอุตตระ คือเป็นยิ่ง โดยมีสติเป็นใหญ่(อธิปไตย) ดังมูลสูตร

1.        มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา)

2.       มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ)

3.        มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) มีปฏิฆสัมผัสโส อ่านรู้ รูป 24 ที่เกิด ตรงไหน มี ชีวิตของกิเลส เป็นชีวิตินทรีย์เกิดก็คือ หทยรูป มีภาวรูป 2 เราดับชีวิตของกิเลสได้ ก็จะรู้จักเครื่องอาศัยคืออาหารรูป แล้วก็จะตัดกรอบขอบเขตได้ เป็นปริเฉทรูป ที่จะสามารถแสดงชีวิต แสดงร่วมกับโลก เป็นอมตบุคคลที่จะเอื้อมเอื้อเกื้อกว้างไปช่วยเขาได้ จะทำงานกับโลกอย่าง มี อุเบกขา 5 สภาวะ เราก็กำหนดกายวิญญัติ วจีวิญญัติได้ อย่างรู้กำหนดแรงเบาอย่างไรได้ มีการงานอันเหมาะควร  มีกายกัมมัญญตา แล้วสัจจะสุดท้าย เป็นลักขณรูป ก็จะรู้ว่าจะต่อ สันตติ ขนาดไหน อะไรเสื่อมไปเพราะเราไม่ต่อก็รู้ แล้วอะไรก็แล้วแต่ก็จะเสื่อมก็จะไม่เที่ยง แต่เรามีหน้าที่ทำให้เจริญ ไม่ได้มีหน้าที่ทำให้เสื่อม จบ...


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:35:25 )

580423

รายละเอียด

580423_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ  สรีระกับชีวะ โลกกับอัตตา ต่างกันอย่างไร

พ่อครูว่า...อาตมาก็บ่นแต่เรื่องเวลา ว่าทำงานไม่ทัน มันเร็วจริงๆ เดี๋ยววันๆ ...ท่านว่ากันว่าคนอยู่สวรรค์นี้มันเร็ว แต่ว่าคนอยู่สภาพนรกนี้มันดูเหมือนนานเหลือเกิน อาตมาไม่ได้คิดถึงสวรรค์สบายหรือไม่สบาย ก็คิดถึงแต่งานน่ะ ขณะนี้ก็ไม่ค่อยสบาย ก่อนมาก็โด๊ปยากัน ชีวิตอาตมาก็พอเป็นไป ไม่ได้ใช้เงินใช้ทองจ้างมาก มีผู้ดูผู้แล ไม่มีลุกมีเต้า แต่ก็มีผู้คอยอุปถัมภ์ค้ำชูให้บ้าง

 

ความเป็นจริงมนุษย์ผู้รู้ เห็น ว่า ชีวิตของคนที่มีคุณค่าประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติจริงๆ เขาก็ต้องการให้มีชีวิตแข็งแรง สบาย สะดวกก็เพื่อมวลมนุษยชาติ เขาก็จะเต็มใจช่วย คนละไม้คนละมือ คนทำกับข้าวให้กินก็เต็มใจทำ คนปัดกวาดเช็ดถูก็เต็มใจทำให้ ไม่ได้จ่ายสตังค์ให้เลย แม้ไม่ได้จ้างได้วานเขาก็มาช่วย พยาบาลก็มี หมอก็มี หมอดูอยู่ทางบ้าน ถ้าไม่สบายเขาก็โทรมาถามแล้ว ไลน์มาถามแล้ว สำนวนอีสานว่า เป็นจังบุญ คือมีกุศล เพราะคำว่าบุญมันเพี้ยนไปแล้ว

 

บุญคือการชำระกิเลสออกไปจากจิตได้ ผู้ทำกิเลสออกไปจากจิตได้ เราจะใช้คำว่าบุญนี้ถูกต้องที่สุด แล้วเกิดเป็นความดีงาม กุศลได้ไหมก็เป็น ยิ่งเอากิเลสออกได้เกลี้ยงก็เป็นอรหันต์ ก็หมดบุญไปด้วยนะ นั่นล่ะบุญเต็ม ผู้บุญเต็มแล้วสูญแล้วก็คือไม่ต้องทำบุญอีก ครบสมบูรณ์แล้ว ชำระกิเลสเสร็จสิ้นจบกิจแล้ว แต่คำว่าบุญเดี๋ยวนี้เพี้ยนไปไกลแล้ว เป็นการแสวงบุญนอกขอบเขตพุทธไปหมดแล้ว

 

ก็เห็นใจกระแสหลักที่ท่านเข้าใจ สืบทอดกันมารู้กันมา แต่ทิฏฐินั้นมันมิจฉาไปแล้ว เขาก็ยึดมาตลอดเวลา นานไกล จนกระทั่ง อาตมานำทิฏฐิที่อาตมาเห็นว่านี่คือสัมมาทิฏฐิมานำเสนอ ยืนยันว่า อย่างนี้ถูกนะ ยืนยันอย่างไรๆก็ยากมากทั้งๆที่อาตมาก็ยังดี มีโชค คือมีพระไตรปิฎกเป็นหลักฐาน อย่างคำว่าสิ้นบุญ สิ้นบาป หรือได้ส่วนแห่งบุญ ปุญญาภาคิยา

 

ได้ส่วนบุญหมายความว่า ได้ส่วนที่เราชำระกิเลสไปตามควร เป็นผลแก่ขันธ์ (อุปธิเวปักกา) ขันธ์เราก็สะอาดไปตามลำดับ พระพุทธเจ้ายืนยันในมหาจัตตารีสกสูตร

 

ในทิฏฐิที่หลากหลาย ในอัน

พระพุทธเจ้าว่าเราไม่พยากรณ์โลกเที่ยงหรือไม่เที่ยง โลกมีสิ้นสุดหรือไม่? เพราะตอบไปแล้วไม่ได้อะไร แต่ท่านให้มาเรียนรู้โลกที่ละขั้นตอน จะตอบว่า เที่ยงหรือไม่ อัตตา มีหรือไม่ไม่ ตอบไปทำไม ตอบแล้วคุณก็ไม่ได้อะไร ขึ้นมา แล้วอัตตาในตัวคุณเป็นอย่างไรทำให้มันตายได้หรือไม่? ก็ไม่มีเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายไม่เป็นไปเพื่อละหน่ายคลาย แต่เป็นการถกปัญญาเพื่อหาคำตอบเท่านั้น อย่างพวกเซนนี่ มีมุมตอบเก๋ๆเท่ๆเยอะ แต่ได้แต่ความเท่เก๋ แต่ไม่รู้ความจริงเรื่องที่พึงละล้างลด

 

คนไม่เข้าใจว่า พระพุทธเจ้ายังไม่พยากรณ์เลย ทำไมโพธิรักษ์พยากรณ์ อาตมาว่าอาตมาไปพยากรณ์ที่ไหน อาตมาก็ได้แต่บอกทางให้ลดละไปตามลำดับ

 

วันนี้จะอธิบาย ชีวะ สรีระ ในความเห็นจริง อย่างพระพุทธเจ้าวิปัสสี ชื่อท่านแปลว่าเห็นอย่างยิ่ง สูญ ก็เห็น นิพพานก็เห็น ว่ามีองค์ประกอบ มีสภาพอย่างไร

ท่านเดินดินจะมีอะไรว่าไปก่อนไหม?

 

สด.ว่า... พ่อท่านเดินเครื่องไปก่อนเลยครับ

 

พ่อครูว่า...อาตมาจะขยายคำว่า ชีวะ กับ สรีระ ใน อันตคาหิกทิฏฐินั้นมี 10 เรื่อง ต้อง มีสัมมาทิฏฐิ 10 เป็นประธาน หากประธานผิด วายามะความเพียร หรือสติ ก็ผิด แม้สติ คุณจะพากเพียรปฏิบัติ แต่ก็ไปตามทิฏทางที่คุณเห็น มันออกนอกทาง เพราะมันเห็นผิด เข้าใจทิศทางผิดแล้วก็ไม่ได้เลย ต้องเข้าใจสัมมาทิฏฐิแจ่มแจ้งดี ในคำว่า ชีวะ หรือสรีระ จะเข้าใจได้ด้วยความเป็นกาย หมายความว่า แยกกายแยกจิตให้ชัดเจน ถ้าแยกกายแยกจิตไม่ชัดเจน ก็ปนเปไป ชีวะกับสรีระ

 

 

สรีระ เป็น รูป คำว่าสรีระ ไม่เกี่ยวข้องกับนามธรรม ไม่มีนามธรรมเข้าไปร่วมด้วย เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน ผิวหนัง มันไม่มีความรู้สึก ที่เรียนรู้ให้พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน ผิวหนัง ให้เป็นอนัตตา ก็เห็นได้เข้าใจได้ แต่ไม่เข้าเป้า ตรงที่ไม่รู้ว่ามันไม่ใช่กาย มันเป็นส่วนนอกกาย (พหิทา รูปานิ) คือรูปภายนอก เราต้องอ่านรู้เข้ามาสู่รูปภายใน (อัชฌัตตัง) มันซ้อนที่ รูปภายในขั้น กามาวจร เป็นสภาพภายนอก ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส จมูกได้กลิ่น กายใน ตับไต ไส้พุงก็เป็นสรีระ เป็นกายของเรา แต่ผม ขน เล็บ ฟันหนัง ไม่ใช่กาย จนกระทั่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า กาย คือ จิต คือมโน คือวิญญาณ

 

ถ้าไปถาม สาวไฮโซ เขารักเล็บไหม? เล็บของฉัน ต้องไว้ยาวทั้งที่ตัดทิ้งไปก็ไม่รู้สึก แต่เขาว่าของฉัน เขารักผมเขานะ แล้วแต่เขายึด ของข้าใครอย่าแตะ ดีไม่ดีก็ประกันไว้ ประกันผิวหนัง ประกันส่วนต่างๆ อย่างไมเคิล แจคสัน เขาทำสำเร็จเลย จนผิวตนเองขาว มีลูกก็ผิวขาวด้วย

 

คนเราแม้แต่ผม ขนเล็บฟัน ผิวหนังก็หวงแหน เขาได้กาม ได้โลกธรรมมาบำเรอชีวิต ก็คือคนโลกีย์ธรรมดาๆ คำว่า ชีวะ สรีระ อัตตา อนัตตา เขาก็ไม่รู้ กายเขาก็ไม่รู้ ถ้าไม่รู้กาย จะไปปฏิบัติกายคตาสติก็ได้แต่ย่างหนอเดินหนอ ก้าวหนอ แค่นั้น แม้ที่สุด ปฏิบัติธรรมต้องไม่ขาดกาย จะเข้าภวังค์อานาปานสติ เขาก็ไปนั่งดูหายใจเข้าออก เท่านั้น

 

สด.ว่า...ปรัชญาเมื่อวานนี้ที่พระพุทธเจ้าว่า เราต้องถอดเกือกออกจากเท้าให้ได้ก่อนถอดกายออกจากจิต เวลาอาตมาจะไปที่อื่น เอารองเท้าไปด้วย แต่พอจะลงแล้วก็รองเท้าหายทุกที เพราะไม่คุ้นกับรองเท้า ไม่สำคัญมั่นหมายว่ารองเท้านี้จะสวยหรือไม่สวย เราไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นว่ามันเป็นกาย พ่อครูอธิบายว่า ความเป็นกาย เกิดเมื่อนามธรรมเข้าไปเกี่ยว เอื้อมไปถึง เหมือนกับรองเท้าที่ไม่ได้มีความเป็นเราเป็นของเรา สักแต่ว่าใส่ เราไม่ได้สำคัญมั่นหมายไม่หวงแหนยึดถือ รองเท้าก็สักแต่ว่ารองเท้า แต่ว่า เมื่อไหร่ นามธรรมเราไปยึดว่ารองเท้านี้  ถูกสเปค ก็จะมีความเป็นเจ้าของ คำว่ากาย คำว่าชีวะก็เกิดขึ้น แต่ว่าถ้าสักแต่ว่ารองเท้าก็ไม่เกี่ยวกับชีวะ เหมือนเวลาจะไปวัด จะขอนิพพาน แต่ว่าก็ขออะไรอย่างอื่นมาก ขอให้ร่ำรวยได้ลาภยศ ไปด้วย ซึ่งมันไปไม่ได้กับนิพพานเลย

 

พ่อครูอธิบายนิพพานจากปัจจัยเล็กๆเช่นนิพพานจากบุหรี่ เราก็จะไปทำนิพพานกับปัจจัยอื่นๆด้วย อย่างวิญญาณที่เสียงมากระทบหู นี่คือวิญญาณที่ควรทำความเข้าใจ ไม่ต้องไปรู้วิญญาณหลังตาย เช่นถามว่าตอนนี้คุณมีวิญญาณหรือไม่ แล้ววิญญาณคุณอยู่ตรงไหน ? เขาก็ตอบไม่ได้ แล้วตอนตายไปจะหาได้อย่างไร? พ่อครูพยายามให้เราเข้าใจกาย เป็นตัวที่ถอดรหัสกายจึงจะเข้าใจอย่างอื่น

 

พ่อครูว่า...คำว่า ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น-ชีวะก็อย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง

 จริงๆ พระพุทธเจ้าตอบได้แน่ แต่คนเราเข้าใจคำว่า กาย ไม่ได้ ท่านจึงต้องมาสอนเรื่องกาย แล้วให้ปฏิบัติกาย จึงจะเข้าใจชีวะ กับสรีระ

 

แม้ดินน้ำไฟลม หรือผมขนฟันหนังเล็บ เพชรนิลจินดาก็ไม่ใช่กาย เราจะแยกชีวะ สรีระก็ได้จะตอบทันทีก็ได้ แต่คุณจบหรือไม่ ได้อะไรขึ้นมา  สรีระหรือชีวะ จึงต้องพิจารณาจากคำว่า กาย ทั้งหมด

 

เริ่มต้นพระพุทธเจ้าให้รู้จักสักกาย ให้ปฏิบัติกายคตาสติ ปฏิบัติ รู้ กายสังขารรังปฏิสังเวที ก็ทำให้สงบรำงับ พวกหลับตาปฏิบัติเข้าใจกายผิด พอไปนั่ง ทำอานาปานสติ ก็ทำกายสังขารัง ปัสสัมภยัง(ทำให้สงบรำงับ) เขาก็ทำให้กายสงบ อย่างที่เขาเข้าใจ แล้วจะดับชีวะก็ทำให้ชีวิตนี้ตาย เมื่อดับชีวะได้ก็หยุด  ก็ไม่มีความเกิดในโลก ก็หยุดหมุน แต่ถ้าดับความเกิดของจิตวิญญาณได้แล้ว แล้วจิตวิญญาณร่วมอยู่กับกาย เบื้องต้นที่สุดแห่งพรหมจรรย์คือโลกอบาย โลกต่ำที่สุด ที่รู้จักความจริงด้วยความเป็นจริง เราจะดับชีวะที่ทำให้หมุนเวียนในโลกอบาย คุณดับกิเลส จนกิเลสดับ โลกมันก็ยังมีวนอยู่ แต่โลกนิโรธ คุณดับกิเลสในชีวะของความเป็นโลกได้ เพราะดับสมุทัยได้ แล้วโลกนิโรธก็ยังมี แต่โลกก็ยังมี เป็นโลกสะอาด เป็นโลกโลกุตระ เหนือโลก โลกอบายทำอะไรคุณไม่ได้ คุณก็เห็น เกี่ยวข้องได้

 

ต่อจากโลกอบายมีโลกต่อๆมา คุณก็ลืมตาในกามาวจรนี่แหละก็ดับต่อมาอีก เป็นลำดับ ดับอบายหมดแล้ว จนหมดกามมาวจร สิ่งต่ำคืออบายหมดไป คุณก็ยังอยู่กับโลก แต่สัตว์อบายเราตายเกลี้ยงแล้ว คุณมีโลกนิโรธ แล้ว คุณไม่มีแล้ว ย่อมไม่มี แต่คุณก็ยังมี เราดับชีวะของสัตว์อบายได้ เราต้องมีปัญญารู้สัตตาโอปปาติกา ที่มีชีวะ ไม่ใช่ไปหลงในสัตว์นรกที่เป็นตัวตน แต่เข้าไม่ถึงนามธรรม ก็เลยกำจัดความเป็นสัตว์ไม่ได้

 

เบื้องหน้าแต่ตายแล้วมีอีกไหม? หรือไม่มีอีกไม่เป็นอีก ถ้าเราดับสัตว์นั้นได้ เราจะไม่สงสัยเลย ไม่หลงเลยว่า ชีวะ เป็นร่าง ก็ไม่ใช่ หรือจะไปศึกษาแต่สัญญาภายในก็ไม่ใช่ความจริง เป็นแต่ความจำ ความจริงนั้นต้องมีสัมผัสภายนอก แล้วต่อเนื่องอ่านถึงสัตว์ภายใน เราทำลายสัตว์ภายในได้ ให้มันตาย ตอนเราเป็นๆมีชีวิตอยู่นี่แหละ ความตายนั้นเป็นความตายที่เป็นได้ยาก แต่คุณทำให้มันตายได้

 

แต่ถ้าไปนั่งหลับตาให้จิตคุณตาย ดับ แล้วคุณจะไม่รู้จิตเมื่อกระทบภายนอกแล้ว กิเลสตายหรือไม่? แต่ถ้าปฏิบัติอย่างสมาธิลืมตาตอนเป็นๆ ก็จะรู้ได้ทันที อย่างปัจจุบันธรรม แต่ถ้าเอาแต่หลับตาไม่มีผัสสะ จะไม่รู้ได้เลยว่า มันตายจริงหรือไม่ พระพุทธเจ้าให้รู้จากความจริงไม่ใช่เดาตามตรรกะ คาดว่า มันต้องตาย สิ เราสะกดมันได้ขนาดนี้ ไม่ใช่ เราต้องทำให้ตายอย่างวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ 3 กาละ ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคตก็สูญ จะสัมผัส โลกธรรมแรงขนาดไหนก็ตาม ก็ยืนยันได้ว่าตายแน่ๆไม่มีการฟื้น อันนี้เป็นคำตอบที่จริงที่สุด แล้วคนอื่นจะรู้ได้ง่าย แต่ว่าถ้าเอาแต่ตนเองไม่เกี่ยวกับใคร ใครจะรู้จะเห็นได้ด้วย

 

เราก็รู้ว่า ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อย่างนั้น เราก็อ่านรู้ชีวะของสัตว์ว่ามันตายลงไปหมดหรือไม่ เราอ่านที่เวทนา ในธรรมะสอง  ธรรมะสอง รวมลงไปในเวทนา เป็นหนึ่งในเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) คำว่า ภวันติคือทำให้เกิดผล ดับเวทนาที่เป็นส่วนที่ควรตัด ควรดับ ให้ไม่มีเพื่อนสองให้ได้ คุณก็จะรู้ว่าชีวะก็อย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง เราดับชีวะที่ควรดับได้ก็จะรู้เลย

 

(1) ดูกรมาลุงกยบุตร เพราะเหตุไร ข้อนั้นเราจึงไม่พยากรณ์ เพราะข้อนั้น

ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน เหตุนั้นเราจึงไม่พยากรณ์

ข้อนั้น ดูกรมาลุงกยบุตร อะไรเล่าที่เราพยากรณ์ ดูกรมาลุงกยบุตรความเห็นว่า นี้ทุกข์  นี้เหตุให้เกิดทุกข์  นี้ความดับ

ทุกข์  นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

ดังนี้(พระไตรปิฎก เล่ม 13 ข้อ 152)

(2) ดูกรวัจฉะ พวกปริพาชกผู้ถือ

ลัทธิอื่นย่อมตามเห็นจักษุว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา พวก

ปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นย่อมตามเห็น หู...

จมูก... ลิ้น... กาย... ใจ ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา

เพราะเหตุนั้น เมื่อพวกปริพาชก

ผู้ถือลัทธิอื่นถูกถามอย่างนั้นแล้ว จึง

พยากรณ์อย่างนี้ ว่า โลกเที่ยงบ้าง ฯลฯ

สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็

หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้บ้าง

ดูกรวัจฉะ ส่วนพระตถาคตอรหันต

สัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมทรงพิจารณาเห็น

จักษุว่านั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ย่อมทรงพิจารณาเห็น

หู... จมูก... ลิ้น... กาย... ใจ ว่านั่นไม่ใช่

ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เพราะเหตุนั้น เมื่อตถาคตถูกถามอย่าง

นั้นแล้ว จึงไม่ทรงพยากรณ์อย่างนี้ ว่า

โลกเที่ยงก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตาย

แล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็

หามิได้ก็ดี ฯ(พระไตรปิฎก เล่ม 18 ข้อ 792)   

 

พ่อครูว่า เขาไม่ได้ศึกษาปฏิบัติอย่างมีผัสสะ ตากระทบรูป ชอบไม่ชอบ หูกระทบเสียง ชอบไม่ชอบ ลิ้น จมูก กาย กระทบแล้วเกิดอารมณ์หรือเวทนาสองอย่างไร เขาไม่ได้สัมผัส ซึ่งใครก็สัมผัสเหมือนกัน เขาก็รับรู้สึกเหมือนกัน และมีที่ไม่เหมือนกันก็ตรงชอบไม่ชอบ คุณไม่ได้อยากได้สี รูป กลิ่นของมันนะ แต่คุณอยากได้ให้สมอุปาทานว่า มันหอม อร่อยดี ตามอุปาทาน ไม่ใช่เนื้อแท้เลย คุณไม่ได้ต้องการ ที่มีเนื้อหนังนี้ คุณเห็นฟักข้าว เห็นว่ามันแดงดีนะ คุณอยากได้แดงนี้ ที่ผิวมัน แต่เมื่อผ่าเอาไปกินก็ไม่รู้ผิวที่มันแดงแล้ว

 

เวทนาหนึ่งเป็นทิพย์ อีกอย่างเป็นของมนุษย์ คุณไปหลงทิพย์โลกีย์ดาวดึงส์ที่ความจริงมันไม่มี อาการ 32 สัมผัสแล้วก็เกิดความจริงตามจริง ไม่ได้มีอันที่ 33 หรือจะมีก็ได้ คือธาตุรู้ที่ไม่มีอุปาทาน ไม่ได้มีสิ่งที่หลงสิ่งที่ติดยึดนั้น แต่ถ้าไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา

 

พระพุทธเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ก็..

เพราะข้อนั้น ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน พระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติเบื้องต้นท่ามกลาง บั้นปลาย ถ้าแม้คุณมีบารมี ปฏิบัติขั้นต้นก็จะได้เร็ว พาสชั้นเอง แต่ว่าพวกไม่มีบารมี จะปฏิบัติเบื้องกลาง ปลายเลย อยากได้เร็วลัด มันไม่ได้หรอก คุณเกิดมายุคไหนก็ตาม ไม่ต้องหลงตนว่าบรรลุ ถ้าคุณเก่ง มีบารมีก็จะได้เร็วเอง อาตมาปฏิบัติมาตามลำดับทั้งนั้น

 

โลกกับอัตตา ต้องมาศึกษา จำกัดขนาด ปริตตัง  จึงต้องเรียนรู้ความเป็นอัตตาตั้งแต่เริ่มกำหนดให้มาเรียนรู้กายเรียนรู้จิตหรือโลกหรือสังขาร ฯลฯ ที่อยู่ในตัวเราจริงๆนี้ ไปตามลำดับ

มาเรียนรู้ในขนาดจำกัดทีละขนาด เริ่มทีละน้อย ไม่ต้องมากเกินที่ควรแก่เราเองไปตามลำดับ [ขนาดจำกัดนี้พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯท่านแปลมาจากคำว่า ปริตตัง]หรือมาเรียนรู้ในกามมาวจรของเรา

เองตั้งแต่ขั้นต้นไปตามลำดับ[กามาวจรนี้ใน พระไตรปิฎกฉบับหลวง ท่านก็แปลจากคำว่า ปริตตัง]

 

ต้องกำหนดรู้ว่า เอาขนาดจำกัดต่ำๆก่อน เอาศีล 5 จำกัดที่โลกอบายก่อน อย่างพามาไม่กินเนื้อสัตว์นี่ จะมีความลึกซึ้ง ไม่ต้องเอาชีวิตอื่นมาเป็นชีวิตเราก็จะไม่ก่อวิบากแก่กันและกัน พวกเราก็เข้าใจไม่ทำ ก็อื่นๆที่จะมาเป็นอาหารมีมากมาย เยอะแยะไป จะเอาเนื้อสัตว์ ที่มีวิญญาณ ถูกฆ่าโดยคน โดยครบองค์ 5 ในการทำบุญแต่ได้บาป 5 ลำดับ ในชีวกสูตร

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส

5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต  ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ   ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา   ตถาคตสาวกํ  วา   อุทฺทิสฺส   ปาณํ   อารภติ   โส  อิเมหิ    ปญฺจหิ   ฐาเนหิ  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)     ชีวกสูตร  ล.13   ข.60

 

 

อาตมาพยายามจะขยายความ แต่ยังไม่ถึง ที่ว่า โลก คือความหมุนวนของรูปกับนาม เรื่อง สรีระกับชีวะนี่แหละ มันก็ปรุงแต่งเป็นชีวะ เป็นเหตุ สมุทัย ปัจจัย หมุนวนเวียน ขึ้นสวรรค์ลงนรกไม่รู้จบ ทำอย่างไรเราจะไม่ให้มันหมุนวนไปกับโลก เราจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นโลก

ต่างๆนั้น และเข้าถึงความเป็นโลกต่างๆนั้นได้จริงแล้ว ก็จะไม่สงสัย ไม่สับสน ไม่อวิชชาในความว่า โลกเที่ยง-โลกไม่เที่ยง-โลกมีที่สุด-โลกไม่มีที่สุด

 

จะมีโลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งรู้จริงในความเป็นโลกว่า อะไรเที่ยง หรือไม่เที่ยง อะไรมีที่สุด และอะไรไม่มีที่สุด โลกเที่ยง-โลกไม่เที่ยงคืออะไรแท้จริง โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุดคืออย่างไรอย่างจริงแท้ 

 

เพราะสามารถทำสมุทัยในความเป็นโลกให้ดับ(นิโรธ)ไปได้ จนกระทั่งเป็นโลก

นิโรธสำเร็จ จึงรู้จักรู้แจ้งความมี(โหติ,อัตถิ)-ความไม่มี(น โหติ,นัตถิ)ในความเป็นโลก

ต่างๆได้ด้วยสัจธรรมแห่งโลกุตระแท้(พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 43) 

 

แม้แต่ ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น-ชีวะก็อย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง

ตถาคตหรือสัตว์หรืออัตตาเบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก(ย่อมมีอยู่)

ตถาคตหรือสัตว์หรืออัตตาเบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมไม่เป็นอีก(ย่อมไม่มีอยู่)

ตถาคตหรือสัตว์หรืออัตตาเบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก(มีอยู่)ก็ใช่(ก็มี) ไม่เป็นอีก(ไม่มีอยู่)ก็ใช่(ก็มี)

ตถาคตหรือสัตว์หรืออัตตาเบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก(มีอยู่)ก็มิใช่(ก็หามิได้) ย่อมไม่เป็นอีก(ไม่มีอยู่)ก็มิใช่(ก็หามิได้) ก็สามารถรู้แจ้งรู้จริงได้แจ่มแจ้งชัดเจนพร้อมกันไปด้วย จนถึงที่สุดบริบูรณ์

เช่น โลก 2คือ เอกภพ นั้น 1 กับโลกจักรวาล นั้นอีก 1

 

1.เอกภพ หมายถึง หนึ่งเดียวของทุกสรรพสิ่ง ก็จะเข้าใจได้ทันทีว่า ในมหาเอกภพ(A universe) นั้นคือ หนึ่งเดียวของสรรพสิ่ง หมายความว่า ทุกสรรพสิ่งที่เป็นความมีทั้งหลายทั้งหมดของมหาจักรวาลรวมกันอยู่ เป็นหนึ่งเดียว..ไม่มีสอง

และถ้ามี 2 ภาวะ 1 ก็คือ สูญ กับอีกภาวะ 1 นั่นคือ เกิดหนึ่งขึ้นมาในความมี

ดังนั้น สูญก็คือ ภาวะไม่มีนิรันดร

 

2.โลกจักรวาล หมายถึง ทุกสรรพสิ่งในโลกหนึ่งเดียว ก็จะเข้าใจได้ทันทีว่า ใน

โลกจักรวาล(Universal) นั้นคือ ในภาวะหนึ่งเดียวของสรรพสิ่งนั้น หมุนไป เวียนไป เป็นจักรวาล ซึ่งมีทั้งยึดกันอยู่-แยกกันไป มีภาวะทั้งหลายทั้งหมดที่เกี่ยวเกาะวนเวียนสัมพันธ์กันอยู่ด้วยความรวม และความพรากห่าง หรือจากกันไปเป็นความไม่มีในกันและกันที่สุด แม้ความรับรู้หรือธาตุรู้ที่เก่งวิเศษใดๆก็ไม่สามารถเห็นหรือไม่สามารถรู้จัก(รับรู้)ได้เลย 

หรือโลก 2คือ โลกที่ไม่มีภาวะของชีวะ(อชีวิตินทรีย์) นั้น 1 กับโลกที่มีภาวะของ

ชีวะ(ชีวิตินทรีย์) นั้นอีก 1

 

โลกที่ไม่มีภาวะของชีวะ หรือที่ภาษา

บาลีว่า อชีวิตินฺทฺริย์ นั้น ก็เข้าใจได้ทันทีว่า ในความเป็นโลกหรือองค์ประชุมของสิ่งตั้งแต่ 2 สิ่งขึ้นไป เคลื่อนตัวเองได้ หรือตั้งแต่ 3 สิ่งขึ้นไป หมุนรอบตัวเองได้ พาตัวเองวนเวียนไปอยู่ในมหาเอกภพ(unit,unification) คือ ในองค์รวมของสรรพสิ่งทั้งหลายอันนั้น ที่ปรุงแต่งกันอยู่เป็นสัดส่วนมีความเป็นตนเป็นของตนแล้ว และพากันหมุนเวียนไปอยู่นั้น ภาวะนี้ยังไม่มีความเป็นชีวะประกอบอยู่ด้วย มีแค่องค์รวมหรือองค์ประชุมของธาตุที่ไม่เป็นชีวะ(อุตุนนิยาม)เป็นอยู่เท่านั้น

 

ภาวะของอชีวิตินทรีย์นี้ แม้จะมีความร้อนความแรงความมีพลังมีอิทธิเดช มีอิทธิฤทธิ์ในด้านไหนสุดแรงสุดฤทธิ์ปานใดก็ตาม ทว่ายังไม่มีพลังงานของความเป็นชีวิตเลย ในภาวะขององค์ประกอบที่ยิ่งใหญ่นี้ แม้แต่เศษธุลีของละอองอินทรีย์นี่แหละคือ อชีวิตินทรีย์ เป็นอุตุนิยาม

ทีนี้โลกที่มีชีวิตินทรีย์บ้าง คือ

โลกที่มีภาวะของชีวะ หรือที่ภาษาบาลีว่า ชีวิตินฺทฺริย นั้น ก็เข้าใจได้ทันทีว่า ในความเป็นโลกหรือองค์ประชุม ถ้ารวมกันตั้งแต่ 2 สิ่งขึ้นไป หากเคลื่อนตัวเองได้ในระนาบเดียวก็เป็นชีวะขั้นหนึ่ง เคลื่อนตัวไปมาได้แค่ในแนวระนาบ 2 มิติเท่านั้น ที่เคลื่อนตัวได้ในชนิดนั้น แต่ถ้าแม้นมีองศาแห่งมิติที่ 3 คือเริ่มมีภาวะที่ 3 เป็น 3 มิติขึ้นไป เริ่มแยกตัวออกเป็นมุม เริ่มมีองศาจาก 2 มิติ ก็จะเริ่มเคลื่อนเป็นวงวนเพิ่มจากความเคลื่อนที่เป็นแนวระนาบขึ้นมา หมุนรอบตัวเองได้ จะเริ่มเป็นวงรี พาตัวเองวนเวียนไปอยู่ในมหาเอกภพนี้ กล่าวคือ เป็นสิ่งหนึ่งในองค์รวมของสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่ปรุงแต่งกันอยู่ ซึ่งเป็นสัดส่วน และมีความเป็นตนเป็นของตนแล้ว พากันหมุนเวียนไปอยู่ ภาวะนี้มีความเป็นชีวะประกอบอยู่ด้วย เป็นองค์รวมหรือเป็นองค์ประชุมของธาตุที่มีชีวะนับเป็นชีวะขั้นพืช(พีชนิยาม) ถ้าชีวะขั้นสูง

ขึ้นไปอีกถึงขีดหนึ่ง ก็เป็นสัตว์(จิตนิยามที่มีวิญญาณครอง และมีกรรมครอง) 

วิญญาณครองหรือกรรมครองนั้น หมายความว่า แม้จะตายสิ้นชีวิตผ่านแต่ละชาติไป วิญญาณคือพลังงานของความเป็นชีวิตที่ต้องรับสุขรับทุกข์ รับลำบากรับสบายกันไปอีกของแต่ละชีวิตหรือวิบากกรรมของแต่ละชาติก็จะยังอวิชชาหรือโมหะในคนที่ยังไม่หมดสิ้นอวิชชาหรือโมหะ จึงจะโง่จะหลงสะสมติดยึดกันข้ามชาติต่อเนื่องไปมีผลต่อตนเองหรือต่ออัตตาของสัตว์นั้นๆต่อไป ยังไม่สิ้นสุดลงได้ง่ายๆ

 

ในตัวเลข 1 ถึง 10 นั้น ถ้าเลข 3  สามเส้า จะเป็นแค่พีชะ แต่ถ้าเป็นเลข  4 เมื่อไหร่เริ่มเป็น จิตนิยามแล้ว

 

ส่วนโลก 2ที่ได้แก่ โลกชีวะที่ยังไม่ถึงขั้นวิญญาณ มีแค่ รูป,สัญญาและสังขาร

(พีชนิยาม) กับโลกชีวะที่ถึงขั้นวิญญาณ มีรูป,เวทนา,สัญญา,สังขารและวิญญาณ(จิตนิยาม)

โลกชีวะที่ยังไม่ถึงขั้นวิญญาณ มีแค่ รูป,สัญญาและสังขาร ที่บาลีว่า พีชนิยาม นั้น มีแค่รูป-สัญญา-สังขารรูปคือ มันมีภาวะองค์ประกอบของดิน,น้ำ,ไฟ,ลมหมู่หนึ่ง ที่มีพลังงานชีวะระดับปรุงแต่งหรือสังขารกันอยู่ ชื่อว่าพีชนิยาม เป็นพืชพันธุ์ชนิดหนึ่ง มันก็จะต้องดำรงเผ่าพันธุ์ของมันเองให้เป็นไปได้ รูปเป็นวัตถุธรรม เป็นภาวะที่ให้นามธรรมอาศัยได้ หรือเป็นภาวะที่ให้นามธรรมสัมผัสรู้จักรู้แจ้งได้ แต่รูปเองไม่สามารถรู้อะไรได้ แม้จะเป็นนามรูปก็เป็นแค่เป็นนามธาตุอยู่ในตนเองที่ให้ธาตุรู้อื่นเข้ามารู้เอาได้เท่านั้น

 

มีคนถามว่า ทำไมห้ามพระขุดดิน ตัดพืช....พ่อครูตอบว่า มันเป็นสังคมศาสตร์ คนเป็นสัตว์โขลงต้องพึ่งพากัน นักบวชศาสนาพุทธอยู่กับสังคม แต่ถ้าขุดดินได้ พรากพืชได้ก็จะอยู่กับป่า แต่ถ้าคุณต้องมีชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น คนอื่นเขาเลี้ยงคุณไว้ คุณจะอกตัญญูเขาไม่ได้ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของมนุษยชาติไม่ใช่ศาสนาฤาษี มีเงื่อนไขที่คุณเอาจากเขาแต่น้อยแต่ทำประโยชน์ต่อเขาให้มากกว่า คุณก็มีแต่กุศลไม่เป็นอกุศล

 

ในอัมพัฏฐสูตรว่า ไว้ ว่าไม่ให้หาอาจารย์ในป่า มันเป็นเรื่องสังคมศาสตร์ เป็นทางเพื่อประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน และเป็นทางเร็วที่สุดเพราะมีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีด้วย แต่ถ้าอยู่แล้วคุณไม่ขี้เกียจ ขยันทำให้เขามาก เขาก็ยกย่องบูชาคุณ  แต่ถ้าไม่อยู่กับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีก็ไม่บริบูรณ์ และคนก็เป็นประโยชน์ต่อคนนี่แหละยอดที่สุด จะไปมีประโยชน์ต่อป่ามันก็ไม่ได้ประโยชน์เท่าการอยู่กับคน เพราะคนเป็นตัวทำลายป่า เรามาช่วยคนไม่ให้ทำลายป่าดีกว่า  คนนี่ทำลายอย่างอื่นอีกมากมาย พวกเราสอนไม่ให้ทำลายสัตว์ก็ช่วยได้มากเลย เป็นเรื่องจริงเรื่องสูงเลย ถ้าไม่ทำลายชีวิตสัตว์สังคมก็ไม่เดือดร้อน

 

พุทธเป็นศาสนาสังคม ต้องอาศัยผัสสะ ในเมืองมีผู้หญิง ผู้ชาย มีจริตจก้านมากกว่าเสือสิงห์กระทิงแรดในป่าเยอะ จึงทำให้เราขุดกิเลสออกมาล้างให้สิ้นเกลี้ยงได้ หมดกิเลสแล้วก็อยู่ในสังคมต่อช่วยเขาต่อ

 

สด.ว่า... เราฟังเรื่องโลกต่างๆ สิ่งที่เราจะต้องมาปฏิบัติ ฌานของพุทธ ต้องมาเรียนโลก และอัตตา ที่ต้องล้างโลก ล้างอัตตาที่อยู่ในโลกนี่แหละ อย่างพวกสายปฏิบัตินั่งมาเก่งๆ มาอยู่กับเราก็เห็นว่านั่งพลิกไปพลิกมา แต่พวกเรานั่งฟังธรรมสองชั่วโมง บางคนไม่พลิกเลย นี่คือการมีฌานมีสมาธิลืมตา แต่อย่างสมาธิหลับตา เขาไม่สามารถมาจดจ่อกับอะไรได้ เพราะเขาต้องไปนั่งหลับตาจึงจะได้ฌานฤาษี แต่ที่พ่อครูสอนนี้มาทำไปตามลำดับขั้น ล้างโลก ที่มีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายไปตามลำดับ ส่วนอัตตานั้น พวกเราลดโอฬาริกอัตตามาแล้ว แต่อรูปอัตตา เช่นการยึดดีนั้นยากที่เราจะเข้าใจจะเห็นได้ แต่ก็พอรู้เลาๆว่าถ้าไม่ยึดตรงนี้มันสบายกว่า ก็ค่อยมาเรียนล้างโลกล้างอัตตากันไป อยู่กับของจริงไม่ต้องมานั่งเดาเอา เราคิดว่าเราดีนี่แหละ แต่คนมาว่าเราไม่ดี นี่เราก็จะได้เรียนรู้ลดอัตตา


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:37:00 )

580426

รายละเอียด

580426_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ยอดนิยายของความเป็นมนุษย์

.ฟ้าไทว่า....วันนี้ต้องขอกราบนมัสการพ่อครูมาอธิบายยอดนิยายของโลก ....

 

พ่อครูว่า...อาตมาเริ่มต้นเขียนหนังสือเล่มใหม่ ที่กำหนดจะออก เดือนตุลาคมนี้ อาตมาใช้เวลาอีก

 

ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ ซึ่งอาตมาก็ เอามาจากที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใน มหานิทานสูตร  ในพระไตรฯล. 10 ตั้งแต่ข้อ 50 ไป ถึงข้อ 66 จะขยายความให้เห็นนิทาน หรือนิยาย เรื่องราวที่เป็นไปของแต่ละชีวิต มนุษย์ ตั้งแต่เกิดจนถึงตาย ตายแล้ว ยังไม่จบนิยายด้วย ยังจะเวียนวนในโลกอีกในศาสนาพุทธ แต่ศาสนาอื่นอาจไม่มีชาติต่อไป บางศาสนาก็อาจมีชาติต่อไป แต่ก็ไม่ครบ เล่าได้รายละเอียดเหมือนของพุทธ พระพุทธเจ้าท่านเล่ารายละเอียดไว้ อย่างฮินดูเป็นเทวนิยม แต่ก็อธิบายเทวะไม่ครบ แต่ของพระพุทธเจ้าท่านอธิบายเทวดาไว้พบ ตั้งแต่จิตวิญญาณเป็นสัตว์อบาย ไปเป็นมนุษย์ ไปเป็นจิตเทวดา เป็นพรหม

 

จิตวิญญาณต่างๆที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ท่านเรียกว่า มนุษย์ หรือเทวดา ก็เป็นจิตวิญญาณ ไม่ได้เอาร่างกายเป็นตัวตั้ง  แล้วพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้วิธีที่จะทำให้ไม่วนเวียนในวัฏฏะสงสารนี้อีก หรือจะกลับมาเกิดอีกก็เป็นมนุษย์ที่อยู่เหนือโลก มาเป็นครูคน ไม่มีความเลว ชั่ว แล้ว สัพพปาปสอกรณัง เพราะทำเหตุแห่งความเลวร้ายได้สิ้นเกลี้ยงหมดแล้ว เป็นศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้อัตภาพของมนุษย์นี้ ที่ศาสนาเทวนิยมเขาว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างผู้กำหนดเท่านั้น แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้วว่า แต่ละคนสร้างเองกำหนดเอง แล้วมีสิทธิ์มีอำนาจในตนเอง (ธรรมาธิปไตย) เป็นอำนาจเต็มในตนเอง ไม่มีอัตตาที่เป็นอาตมันหรือปรมาตมันใหญ่ขนาดไหนมาสั่งได้ แล้วก็อยู่ในโลกต่างๆนานา ที่ปรุงแต่งเป็นสังขารโลก มีดิน น้ำ ไฟ ลม ที่ว่าง และชีวะ ที่ปรุงแต่งกันอยู่ รวมทั้งสัตว์โลก จิตนิยาม พระพุทธเจ้าท่านค้นคว้าตรัสรู้ศึกษา จนรู้วิญญาณ  และทำให้หมดวิญญาณได้เลยไม่ต้องไปอยู่กับพระเจ้า

 

ผู้สามารถทำจิตวิญญาณให้ถึงเป็นมนุษย์อุตรกุรุทวีป หากไม่ปรินิพพานไปก็จะมีจิตวิญญาณมนุษย์อุตรกุรุทวีป จะอยู่ในร่างคนนี่แหละก็มีจิตที่ได้สร้างให้เป็น อุตรกุรุปทวีปแล้ว และมีอปรโคยาน คือเป็นความรู้อื่น เป็นปรโลก โลกโลกุตระของพระพุทธเจ้าเป็นอีกโลกหนึ่ง ไม่ใช่โลกของศาสนาอื่นๆ แต่เป็นโลกของพระพุทธเจ้าอีกต่างหาก แต่ถ้าไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็จะมียานที่จะดำเนินไปอย่างอมตบุคคล สามารถทำความเป็นหรือตายให้ตนเองได้ ก็คือเป็นผู้นำพา เป็นพาหนะสำคัญที่จะพากันไป เป็นเรื่องยิ่งใหญ่

 

 

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความเป็นมนุษย์ อาตมาก็เอาความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ามาไขความเป็นมนุษย์ เราก็จะได้รู้นิยายของมนุษย์ เราก็จะเป็นตัวละครในนิยายของโลก ที่มีผู้กำกับ ถ้าเขาไม่รู้ก็ว่า พระเจ้าเป็นผู้กำกับ แต่พระพุทธเจ้านี้ท่านตรัสรู้สุดยอดที่ว่า มนุษย์กำกับตนเองได้ แล้วไม่ได้ขัดแย้งกับพระเจ้า เพราะพระเจ้าจะพาคนดำเนินชีวิตไป ก็ให้คนไปเจริญ แต่พระเจ้าเองทำไมถึงแกล้งมนุษย์ให้ตกต่ำเลวได้ ทั้งที่ถ้าท่านทำได้สร้างได้ ท่านก็น่าจะทำให้เจริญได้หมด พระเจ้าปรารถนาดีต่อมนุษย์แล้วทำไมต้องแกล้ง ก็บอกว่ามารแย่งไป นี่ก็เพราะว่าพระเจ้ายังไม่มีอำนาจเต็ม ยังให้มารแย่งไปได้ และแย่งไปเยอะด้วย

 

พระพุทธเจ้าท่านไม่สามารถกำหนดมนุษย์ทุกคนได้ แต่สามารถทำให้มนุษย์ทุกคนมีอิสรเสรีเต็มได้ สามารถเป็นมนุษย์ อปรโคยาน และไม่หลงเทวดาดาวดึงส์ รู้จักปุพพวิเทหทวีปด้วย ไม่หลงในความเป็นปุพพวิเทหทวีป และที่ชัดที่สุด เมื่อเป็นมนุษย์ชมพูทวีป มีอาการ 32 พร้อมกับใจ จิตใจนี้เป็นอาการอีกหนึ่ง คืออาการที่ 33 แต่คนอวิชชาจะไม่สามารถควบคุมใจให้เป็นไปตามต้องการ ถูกมารครอบงำควบคุม แม้ใจอยากเป็นสุข แต่ถูกมารหลอกว่า ให้มีโลกธรรมเยอะๆ จะเป็นสุข ได้สมใจเสพกาม สัมผัสทางทวาร 5 ก็เป็นสุข หรือแต่ใจตนเอง แม้พ้นจากกามาวจร มีแต่ใจปั้นวิมานในใจตนเป็นสุข คนที่ช่างหลอกก็เลยสร้างวิมานมาหลอกคน ว่าเป็นแดนวิจิตรพิสดาร หรูหรา หลอกไป คนก็ไม่มีปัญญารู้ทัน คนก็ถูกหลอกมากมาย สร้างโรงเรียนในฝันวิทยา หลอกคน ให้กู้เงินไปทำบุญ แล้วเสียดอกเบี้ยก็ได้ ทำได้เพราะเขาสะกดจิตคนเก่ง

 

อาตมาถึงหนักที่จะทำงาน คือสงสารโลก สงสารมนุษยชาติ ทำไมต้มจนเปื่อยเน่า คนถูกต้มก็ยอมให้ต้มอีก เอาอะไรมาหลอกกันมากมาย

 

พระพุทธเจ้าไขความเป็นโลก และจักรวาล ในเอกภพที่ทุกสิ่งอยู่ในนั้น โลกจักรวาลอยู่ในเอกภพ คือทุกสิ่งอยู่ในนั้น เอกภพคือ potential energy นิ่งไม่มีใครขยับได้ แต่ในนั้นมีสิ่งแฝงอยู่คือจักวาลน้อยใหญ่ ที่หมุนอยู่ในนั้น เอกภพมีหนึ่งเดียว ในนั้นมีจักรวาลอยู่นับไม่ถ้วน มีพลังงานมากมายหลายอย่าง จนพลังงานปรับตัวจากพลังงานอุตุ เจริญมาเป็นพลังงานชีวะ คือสัตว์กับพืช แล้วสัตว์ก็มีจิตนิยาม แล้วสามารถพัฒนาขึ้นมารู้จักกรรม แล้วพยายามพัฒนากรรมของตน เป็นชีวะที่เกาะกุมเป็นธาตุ เป็นแต่ละอาตมัน ที่จับตัวกันแน่น ซึ่งถ้าไม่มีความรู้เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่จะสามารถแยกไม่ให้มันรวมตัวกันเป็นมโนธาตุหรือวิญญาณธาตุ จิตธาตุของคนได้ ไม่ให้ทรงอยู่ ผู้ที่สามารถแยกได้ต้องเป็นผู้มีความรู้สูงสุด เหนือกว่าอันนั้น ผู้จะแยกธาตุอัตตาได้นั้นพระเจ้ายังไม่เคยแยกเลย มีแต่ให้ไปนรกกับสวรรค์เท่านั้น แล้วแต่พระเจ้าจะส่งไปขึ้นสวรรค์ลงนรก เป็นธาตุนิรันดรไม่มีดับ ของเทวนิยม

 

ส่วนของพระพุทธเจ้าสามารถแยกธาตุได้สูญเลย แต่ศาสนาเทวนิยมไม่รู้จักสูญ ไม่รู้จักอัตตา ก็มีผู้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วสั่งสมความรู้สายเทวนิยม สามารถกดข่มความชั่วได้ ทำแต่ดีได้สำเร็จก็เป็นศาสดาแต่ก็ยังตกใต้อำนาจพระเจ้า ศาสดาคือพระบุตรที่พระเจ้าส่งมา ไม่รู้จักอัตตา ไม่รู้อธิปไตย กำลังงานของอัตตา  แต่พระพุทธเจ้าเรียนรู้ความเป็นพลังงานได้สมบูรณ์แบบจึงแยกพลังงานได้ยิ่ง กว่าไอสไตน์ แต่ไอสไตน์สามารถแยกพลังงานได้เล็กละเอียดมาก แต่ทำให้สูญไม่ได้ แล้วก็ไม่สามารถควบคุมไม่ให้พลังงานเป็นโทษได้ ก็เลยเกิดปรมาณู

 

โลกจักรวาล มาเป็น 1.โลกที่ไม่มีภาวของชีวะ(อชีวิตินทรีย์) กับ 2.โลกที่ มีพลังงานของชีวะ คือ(ชีวิตินทรีย์) พีชะนิยาม คือมีแค่ รูป สัญญา สังขาร ส่วนโลกชีวะนี้ถึงขั้นมีวิญญาณครอง มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

 

พระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้อีกว่า โลกมี 1.โลกโลกียะ กับ 2.โลกโลกุตระ

โลกโลกียะคือกัลยาณชน ไม่รู้จักจิตวิญญาณพอ ก็จะได้แค่ทำความดี เป็นสุข เป็นพรหมโลกีย์ ทำคุณงามความดี อยู่ในกามาวจร หรือแม้จะไม่เสพกามก็กดข่มหลับหูหลับตาอยู่ในโลก จะไม่เอาอะไรเลยในโลก

 

พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้วิญญาณ เรียนรู้ตอนตากระทบรูป เกิดเวทนา เพราะติดยึดอะไร? ทั้งที่มันหยาบต่ำ อบาย พาทุกข์ควรเลิก อย่างไปโกงเขาทีละ เจ็ดแสนล้านนี่ ก็ให้มาสารภาพเสีย แต่ก็ไม่มา ไม่รู้ว่าตนทำนี่เบียดเบียนคนอื่นนะ จิตวิญญาณเขายึดติดว่า จะต้องได้ต้องมีต้องเป็นอย่างนี้ ต้องไปรวยแบบเขา แต่จะให้มาอย่างโพธิรักษ์พามานี่มาจนนี่เขาว่าโง่มาก เขาเหยียดหยามเลย ซึ่งเขาไม่รู้ทุกข์ แม้แต่เขาจะเจ็บใจเจียนตายเขาก็ไม่ยอมรับว่าเขาทุกข์หรอก จิตวิญญาณเขาเสแสร้งกลบเกลื่อน เป็นวิธีการของสัตว์นรกที่แม้เขาจะเจ็บเจียนตายเขาก็ว่า เขาไม่ทุกข์ เขาร้องไห้อยู่ต่อหน้าธารกำนัน แต่เขาก็ยิ้มต่อหน้าธารกำนันได้เปลี่ยนได้แป๊บเดียว เป็นโรค Bipolar แม้เขาจะทำได้ไม่ทุกข์ แต่เขาทำกรรมที่เป็นบาป

 

เขาไม่รู้จักโลกโลกุตระเขาจะไม่รู้โลกสมุทัย ไม่รู้โลกนิโรธ มันซ้อน ชั่วหนักซับซ้อน หลอกจนคนนึกว่าเขาดี เขาไม่รู้จักเหตุ ไม่รู้โลกสมุทัย ก็ไม่มีวันรู้โลกโลกุตระ

 

พระพุทธเจ้าสอนให้เรียนรู้โลกโลกุตระตั้งแต่เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายให้ เรียนตั้งแต่อาการ 32 ที่มันจะปรุงแต่ง อยู่ในมนุษย์นี่แหละที่มีเซลล์ถึงขนาดปรุงแต่งเป็นอาการ 32 แต่สัตว์ไม่ถึงอาการ 32 นี้ แล้วอาการ 32 ผนวกกับอาการทางจิตก็เป็นอาการ 33  เรียกรวมว่า "กาย" คือองค์ประชุมของรูปและนาม ทุกวันนี้ไม่รู้กาย ก็เลยเอากายไปเป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม ตัดขาด พลังงานจิตวิญญาณออก จึงศึกษาคำว่ากายไม่ได้ ถ้าเข้าใจอันนี้ไม่ได้ก็ไม่มีมนุษย์ชมพูทวีปให้ศึกษา

 

ซึ่งก็แบ่งเป็นสัตว์ที่สอนให้รู้โลกุตระไม่ได้ เป็น อเวไนยสัตว์ แม้จะเก่งขนาดไหน ฉลาดขนาดไหน หรือจะเป็นคนดีมาก เก่ง จนเป็นศาสดาที่สอนให้คนทำดี เสียสละ ตนเองเอาน้อยสุด ไม่เบียดเบียนใครก็เป็นศาสนาเทวนิยม ที่ไม่รู้เทวดา 6 ชั้น ที่พระพุทธเจ้าสอนให้เรียนรู้เทวดาแล้วสอนให้ไม่ติดเทวดา ไม่มีพรหมอีกได้ จนเป็นเทวดาโลกุตระที่อยู่ในกามภพ แต่ก็ไม่ติดกามภพ ไม่เบียดเบียนใครเลย อย่างใจบริสุทธิ์ได้จริงได้ถาวรด้วย อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) อยู่ช่วยคนไป เป็นพรหมที่สะอาด แม้เป็นพรหมก็ต้องล้างความติดดี ยึดดีอีก ไม่เอาดีเป็นของตน มีแต่ช่วยคนอื่นไป แม้อุปกิเลสระดับถือดี เป็นมานะ ยึดดี หรือยังมีส่วนหลง มีเศษธุลีเล็กน้อยท่านก็เกลี้ยงสนิทครบหมด ไม่มีอะไรเหลือ มีแต่อยู่ช่วยโลก ที่เขายังวนเวียนอยู่ แต่อยู่ช่วยเขารู้ว่าเขาอยู่ขั้นไหน เป็นหมอรักษา รู้ว่าเขามีโรคอะไร แต่เราต้องพอจะรักษาเขาได้ ไม่ไปหลอกเขาด้วย ให้เขาเชื่อด้วยความจริงว่าเรามีฝีมือเท่านี้

 

ผู้จะรู้โลกสมุทัยแล้วดับสมุทัยต้องรู้โลกกาม โลกอัตตา ซึ่งมีสุขแบบบำเรอกามคือกามสุขขัลลิกะ กับ การลำเรอกามเป็นอัตตทัตถสุข จนล้างกามล้างอัตตาได้ ก็จะรู้ว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ แม้ล้างทุกข์ได้สิ้นเกลี้ยงในทุกข์ที่เป็นสมุทัย ก็ยังมี ขันธ์5 เป็นภาระอีก เป็นภาราหเวปัญขันธา แต่มันก็เป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ ซึ่งก็ง่ายต่อการบำบัด จะมียากก็วิปากทุกข์ แม้เป็นพระพุทธเจ้าก็มาถึงได้ อย่างพยาธิทุกข์ก็เลี่ยงได้ อย่าไปหาพยาธิใส่ตน นอกนั้นก็ทุกข์ที่อยู่กับตน เป็นนิพัทธ์ทุกข์ ก็เลี่ยงไม่พ้น ก็ทำงานช่วยโลกต่อไป

 

เมื่อเราไม่สุขไม่ทุกข์แบบโลกแล้ว ไม่สุขไม่ทุกข์แบบพักยกเราก็รู้ทัน จะเป็นเนกขัมสิตอุเบกขา เป็นฐานนิพพาน จนหมดจนครบ มีโลกที่เราต้องเรียนคือโลกภายนอกและโลกภายใน

 

พระพุทธเจ้าให้ล้างตั้งแต่อบาย คืออัตตาตั้งแต่อบาย เมื่อล้างอบายได้จะอยู่กับโลกอย่างมีหลักประกัน แล้วก็มาล้างกามาวจร ก็ อยู่กับโลกต่อไป ล้างอัตตา  อยู่เป็นมนุษย์อุตรกุรุทวีป  แล้วเป็นมนุษย์อมรโคยาน คือไม่ตายไม่เกิดอีกแล้ว เป็นอมตบุคคล ก็อยู่ช่วยคนรื้อขนสัตว์ เป็นโพธิสัตว์ ส่วนมนุษย์อุตรกุรุทวีปคืออรหันต์ ก็ทำงานอยู่กับโลก รู้โลกนอก โลกใน จนพ้นกามภพ หมดกิเลสก็อยู่กับโลกกาม ก็ช่วยมนุษย์ที่มีอาการ 32 ให้พ้นมาตามลำดับด้วย หมดกามภพก็เป็นอนาคามี ก็ล้างส่วนเหลือไปอีก อันหยาบเราก็ทำได้ อย่างละเอียดก็ทำเอาต่อไป เป็นรูปราคะ อรูปราคะ ก็ทำต่อไป แม้มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ก็ล้างต่อ

 

ในอบายก็มีอัตตา ในกามภูมิก็มีอัตตา จนหมดโลกหยาบ โอฬาริกอัตตาแล้วก็มี ขั้น รูปราคะ เป็นมโนมยอัตตา เป็นของภายในของตน แต่ข้างนอกสะอาดบริสุทธิ์แล้ว ทำประโยชน์ช่วยคนอื่นไป ให้มาเป็นอย่างเราได้ จนหมดมานะอุทธัจจะ จนสิ้นอวิชชาสวะ สุดท้ายก็เป็นพระอรหันต์สูงสุดตามหลักสูตรของพระพุทธเจ้า หลักสูตรนี้น่าเรียนมากนะ

 

มาเรียนรู้โลก 3 คือ 1.กามโลก 2.รูปโลก 3.อรูปโลก

 

เราสบายแล้วในกามโลก ก็อยู่กับโลก ช่วยโลก ล้างรูปโลก กับ อรูปโลกต่อไป ในสามโลกนี้

 

โลก 3 ที่แบ่งเป็น 1.สังขารโลก 2.สัตวโลก 3.โอกาสโลก

 

คือโลกปรุงแต่งสังขาร เป็นนิยายอยู่ สังขารคือ ความเป็นสัตว์โลก สัตว์อบาย สัตว์กามาวจร สัตว์พรหม จนหมดความเป็นสัตว์ที่เรียกว่า โอกาส หรืออากาศ คือความว่าง ใครทำอัตตา จิตวิญญาณตนมาเป็นผู้ที่อาศัยโอกาส(เวลาที่มีอยู่)ที่เป็นช่วงเวลาที่ตนจะทำงาน คือโอกาส เมื่อเป็นธาตุที่เป็นมนุษย์อุตรกุรุทวีป มนุษย์อมรโคยานก็อาศัยโอกาส ความว่าง ของตนที่มีช่วยโลกต่อไป

 

เรียกแบบเทวนิยมคือเป็นพระบุตรที่จะมาช่วยโลก หรือพุทธสอนให้เป็นได้แม้เป็นพระเจ้าก็มีสิทธิ์ทำได้ ต่างกับเทวนิยมที่พระเจ้าสั่งให้พระบุตรอีกทีไปช่วยคนตามพระเจ้าสั่ง

.................

มนุษย์ที่ยังอยู่ในโลกอวิชชาก็เล่นละคนไปตามพระเจ้ากำกับ มนุษย์ก็คือตัวละคนในนิยายของตนที่ไปเกี่ยวกับคนอื่น ในมนุษยโลก ก็คือตัวละครของโลก โลกคือละคนโรงใหญ่ ชีวิตก็คือละคน แสดงในโลกนี้ ละครก็คือนิยาย โลกคือละคร อีกภาษาหนึ่งเรียกว่านิทาน สมัยใหม่เรียก นวนิยาย โลกก็ดี ชีวิตก็ดีคือนิยายทั้งนั้น

 

ละครคืออะไร นิยายคืออะไร?

 

สรุปง่ายๆ นิยายก็คือ ชีวิตมนุษย์ที่เป็นเรื่องเป็นราวดำเนินไปในโลก ชีวิตอาตมาก็เล่นละครของอาตมาไปแต่อาตมากำกับบทเองได้ทั้งหมด ส่วนคนไม่อิสรเสรีภาพ คุณกำกับบทเองไม่ได้ คุณถูกกำกับอยู่ ด้วย กิเลส มันบังคับคุณอยู่

 

เราก็ต้องมาเรียนรู้ว่าใครเขียนบทกำกับให้มนุษย์แต่ละคนดำเนินไป ถ้าเป็นเทวนิยมก็โยนให้พระเจ้า ท่านให้ไปนรกสวรรค์ก็เพราะพระเจ้าหมด พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกและกำกับชีวิตมนุษย์ทั้งหมด ตามที่เป็นพระประสงค์ความต้องการของพระเจ้า ใครบงการพระเจ้าไม่ได้ อำนาจสูงสุดเป็นของพระเจ้านิรันดร มนุษย์มีสิทธิ์แค่ทำตามพระเจ้าเท่านั้น นิยายของโลก ใครๆในโลกจึงหมดสิทธิ์แปรเปลี่ยนชีวิตได้ เพราะอำนาจเป็นของพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีใครแทรกแซงได้ นิยายของโลกที่จะไขความเป็นมนุษย์จึงไม่มีใครแก้ไขได้ แม้แต่ของตนเอง อิสระเป็นของพระเจ้าเท่านั้น อำนาจอธิปไตยเป็นของพระเจ้า พระเจ้านี้ไม่มีใครเข้าถึงความเป็นจริงได้ นอกจากพระบุตรองค์เดียวที่รับจากพระเจ้ามาบอกมนุษย์ โลกพระเจ้าสร้าง ชีวิตอัตตาของตน พระเจ้าก็กำหนดทั้งหมด มีอธิปไตยเหนือมนุษย์ทั้งหมด

 

โลกกับชีวิต (ชีวิตคืออัตตาของเรา) ศาสนาพระพุทธเจ้าให้เรียนรู้อัตตาตน แล้วกำหนดชีวิตตนได้ รู้จักโลกตั้งแต่เอกภพ จนถึงจักรวาล แล้วโลกแต่ละลูกก็มี นิยามทั้ง 5 อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ เรื่องลึกซึ้งนี้ศาสนาพุทธเท่านั้นที่ค้นพบ พระพุทธเจ้าค้นพบธรรมนิยาม แล้วได้บัญญัติให้แก่คนได้รู้ นอกจากพระบรมศาสดาของศาสนาพุทธ ไม่มีใครจะบัญญัติความจริงอันยิ่งใหญ่ลึกล้ำนี้ได้ (นิยามคือจำกัดความที่แน่นอน ส่วนธรรมะคือทุกสิ่งทุกอย่างที่มี หรือสิ่งที่ทรงอยู่) หากเป็นบัญญัติของความไม่ใช่ธรรม ก็คือ อธรรม

 

พระพุทธเจ้าสอนนิยามหรือบัญญัติ ของทุกอย่างในเอกภพ แล้วให้ศึกษาตามบัญญัติคือชื่อเรียก(อธิวจนะ) อย่างเรียกกระดาษ ปากกา คน ไมโครโฟนก็คืออธิวจนะ กำหนดรู้อันนี้ พระพุทธเจ้าสอนให้รู้บัญญัติแล้วหยั่งถึงความจริงตั้งแต่ ดิน น้ำ ไฟ ลม จนถึง อรูป หรือรูป ข้างในก็หัดอ่านเรียนรู้ จะอ่านข้างในที่ปั้นคิดเอา มันไม่จริงยิ่งกว่าข้างนอกในความเป็นมนุษย์ร่วมโลกที่ต้องมีสมมุติร่วมกันได้ยืนยันกันได้ ในความคิด ใครจะปั้นอะไรก็ได้ ไม่มีจริงก็ปั้นได้บ้าบออย่างไรก็ได้ ปั้นวิมานได้หมด ของไม่มีก็สมมุติว่ามีได้

 

พระพุทธเจ้ารับรองความจริงคือสิ่งที่ ทวาร นอก ทั้ง 5 สัมผัสได้ แล้วดึงเอาที่อยู่ภายในออกมาให้รู้ แล้วล้างสิ่งที่จะให้ไม่มีได้ คือเป็นผู้ไม่มี นโหติ คือคนทำให้สิ่งที่มีให้ไม่มีได้ มันก็มีของมันตามปกติ แต่ตนเองมีธรรมะที่ทรงไว้แล้วไม่มีความยึดเป็นเราเป็นของเรา แต่ก็ยังอยู่กับความมีในโลก  (โลเก น อัตตถิตา) เป็นคนดีที่จริงสุดยอด

 

เจริญมาเป็นลำดับ ตั้งแต่ อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ

มนุษย์ที่มีจิตเดรัจฉานก็ไม่รู้กรรม  แต่เมื่อพัฒนามาก็เรียนรู้กรรมได้ ว่ากรรมเป็นของๆตน กรรมสโกมหิ ทำกรรมเมื่อใดมันเป็นสมบัติของเราทันที นิดนึงก็ของเรานิดนึง ทำเท่าไหร่ได้ทั้งหมด  แล้วต้องรับเป็นวิบากของตน ไม่ว่าจะพาทุกข์พาสุขตนต้องรับวิบาก เป็นกรรมทายาโท ต้องเป็นทายาทของกรรม ไม่เอาไม่ได้ อย่างพระพุทธเจ้าตรัสรู้ให้หยุดทำบาปทั้งปวง ทำแต่ดี จิตรู้ว่าอะไรเป็นกิเลส จึงทำแต่กุศล บาปบุญที่เป็นปุพพวิเทหทวีป ไม่เคยสูญหาย เป็นทวีปที่ใหญ่กว่ามหาเอกภพนี้อีกไม่หายไปไหน

 

ในอวกาศเรียกเทหวัตถุแท่งทึบ แม้จะมีโปร่งอวกาศด้วย แต่อวิชชาจะทึบหมด แต่ผู้รู้จะไม่ทึบ โปรง นี่คือวัตถุ มาในตนก็จะรู้ปุพพวิเทหะของตนได้รู้ส่วนอดีตของตนได้ เป็นสิ่งที่สะสม ในปุพพวิเทหะไม่ต้องใส่คำว่ามนุษย์เพราะเป็นกองสมบัติมหาศาล วิธีของพระพุทธเจ้าคือให้หยุดทำชั่ว แล้วทำแต่ดี ให้เป็นเครื่องกั้นเป็นกุศล ซึ่งในปุพพวิเทหะนี้มีทั้งกองกุศล อกุศล แต่หมาไล่เนื้อจะเป็นตัวอกุศล แต่ถ้าเรามีแท่งกุศล ในปุพพวิเทหะนี้ให้กั้นหมาไล่เนื้อให้ไกลออกไปให้มากที่สุด ก็ชนะได้

 

คำว่าล้างบาปนี่ล้างไม่ได้ แต่บุญนี่ชำระกิเลสได้ ตัวกิเลสนี่คือชีวะ หมดชีวะก็หมดกิเลส

 

.ฟ้าไทว่า..อย่างพระพุทธเจ้าปรินิพพานก็สร้างปุพพวิเทหะไว้มากก่อนปรินิพพาน

 

พ่อครูว่า...ท่านสร้างกุศลไว้มหาศาล หมาไล่เนื้อยังตามมาทันได้ แต่ท่านปรินิพพานแล้วก็ไม่มีอีก ของใครก็ของใคร

 

.ฟ้าไทว่า... อย่างศาสนาพุทธก็เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสร้างไว้

 

พ่อครูว่า...ของใครของมัน ฮาร์ดดิสก์ของใครก็กดเอาเองให้คนอื่นมากดก็ไม่เข้า ศาสนาได้เป็นสะพานเชื่อมต่อให้เท่านั้น อาตมาได้พยายามเอาสิ่งลึกซึ้งละเอียดลออ เป็นเรื่องที่ยากมาก

 

ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ไม่มีสิ่งที่จะโคจรไปถึง ไม่มีปสาทรูป ไม่มีองค์ประกอบของกาย แต่เมื่อเข้าใจไม่ได้ในศาสนาพุทธ แม้แต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ยังยึดเป็นเรา ไม่ต้องพูดถึงตับไต ไส้พุงเรา ก็ต้องยึดเป็นเราแน่นอน กลัวมันจะเสียหาย กลัวคนจะเอาไป ถูกตัดออกไป นอกจากเป็นว่าเป็นภัยก็จะเอาออก นึกดูคนเราก็บ้าดีเดือดหามาเติมอีก

 

พระพุทธเจ้าท่านสอนคำว่า กาย คือสิ่งที่ประชุมระหว่างรูปกับนาม ก็ต้องมีสิ่งที่เป็นตัวรู้ แม้เวทนา ถ้ามันไม่ทำหน้าที่รู้ แต่มันเป็นตัวถูกรู้ คือเรามีตัวปัญญาที่เข้าไปรู้ ทั้งที่มันก็อยู่ในตัวเรา มันเกิด แล้วเราก็ไปอ่านมันให้ออก มันมาจากเหตุ เราก็ต้องพยายามเรียนรู้เหตุ จนจับตัวเหตุได้ ซึ่งเป็นของจริงในตัวเรา ศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ปรัชญา แล้วกาย หรือสักกายตัวไหนที่จะต้องเรียนรู้ ก็คือเหตุ ซึ่งถ้าไม่รู้จักสักกายะ จะไปพิจารณากายในกาย ซึ่งคือสัตว์ร้ายที่พาทุกข์ แต่คุณรู้กายไม่ได้ แล้วต้องรู้ในขณะปัจจุบันที่สัมผัส มีอาการนะ แต่ถ้าจะไปกำหนดให้หยุดๆๆ ก็ไม่รู้มันสิ เราต้องดูในขณะมันเคลื่อนไหว มีอาการ คำว่าอาการคือการเคลื่อนไหว แต่ลัทธิที่ไปดับไม่ให้เคลื่อน ไม่ให้รู้อาการคือลัทธิที่มิจฉาทิฏฐิ เขาสอนให้หยุดคิดนึก มันทำได้แต่หมดทางรู้

 

พระพุทธเจ้าให้มารู้ขณะมีวิญญาณเกิด มีวิญญาณฐีติ ไม่ใช่ดับธาตุรู้ ต้องมีอาการเคลื่อนไหวถึงรู้ตัวตนมันได้ แต่ไปหลงเสพสุขว่าเป็นของเท็จ สุขสงบอยู่นิ่งๆ จริงคือสุขชนิดตายไม่ชัก ตายนิ่ง ไม่ตายชัก แต่ตายนิ่งเลย อย่างอุทกดาบส อาฬารดาบสนี่แหละตายนิ่งไม่ตายชัก

 

.ฟ้าไทว่า.... ตอนเรียนรู้ เห็นเขาปฏิบัติธรรมแต่แต่งตัวสวย ก็คิดว่าทำไม? ก็เพราะเขาไปเรียนดับแต่ออกมาก็เสพโลกีย์ หนักกว่าเก่าอีก

 

พ่อครูว่า... ของพระพุทธเจ้านี่ยิ่งขยายความยิ่งชัดว่า ท่านรู้ทาง รู้วิธี ทำให้เกิดหรือทำให้ดับได้ ของจิตวิญญาณ ไม่ใช่ความเน่าเปื่อย ความดับของแค่ร่างเนื้อนะ แต่ว่าที่จิตเลย จิตที่ยึดของเหม็นเน่า แต่ตายแล้วตนเองก็ยังยึด ตายแล้วเหลือความเป็นชีวะของตนเป็นพลังงานเหลือ หล่อเลี้ยงร่างนี้ต่อไปได้ สายหลับตาสะกดจิต นั่งหลับตาตาย ก็ดูสงบมากเลย เป็นการตายแบบหลับ พระพุทธเจ้าว่าให้ตายในความตื่น ไม่ให้ตายในความหลับ หากตายในความหลับจะจม แล้วสุดท้ายมันจะดิ้นจนระเบิดอัดอั้นแรง 

 

กรรม คือบทบาทลีลาของนิยาย คนกำหนดกรรมได้ จะรู้กรรมชั่วกรรมดี แล้วพระพุทธเจ้าให้เรียนรู้เหตุแห่งความชั่ว คือตัวสัตว์ เป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณ

 

คือมีตัวเลข 1ถึง 7  ตัวที่ 7 คือตัวเกิด แต่ถ้า 6 นี้ยังไม่ออกไปอาละวาด อยู่ในระนาย แต่ถ้า 3 นี่ไม่ไปไหน วนเวียนในตน แต่ 4 นี่มีระนาบยื่นออกมาจากตนเอง แต่พอ 5 หรือ6 ก็เป็นสองเส้า แต่เมื่อเริ่มมีตัวที่ 7 เป็นเส้าที่ 3 นี่จะไปอาละวาดคนอื่นได้ คือพลังงานกรรม สุดท้ายคนรู้จักกรรมขั้นโลกุตรธรรม สามารถดับเหตุ แล้วทำให้ทรงไว้ซึ่งธรรมะ

 

ศาสนาเทวนิยมพยายามทรงไว้ซึ่งความดี แต่ไม่ได้รู้พลังงานต้นเหตุแห่งทุกข์ แม้พลังงานจุดที่ 7 ที่เป็นความเป็นสัตว์ คนที่รู้สัตว์ 3 ตัวแรก ในสังโยชน์ 10 ก็ยังเหลืออีก 7 คือความเป็นสัตว์ แต่ถ้าดับ 7 ตัวนี้ไปตามลำดับอย่างไม่ฟื้นนี่ได้ก็คืออนาคามี ถ้าทำตามลำดับมาจะไม่เวียนกับ เหมือนเขื่อน อย่าให้มีรอยแยกแม้นิดนะ เขื่อนแตกได้ เหมือนอนาคามี 

 

พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้กรรมนิยาม ที่จะสั่งสมสิ่งดีเป็นปุพพวิเทหะได้ อะไรสั่งสมเป็นของตนจะอยู่ไปตลอดกาลนาน จนกว่าจะสลายตัวตน สลาย น้ำ จาก H20 ถ้าสลายน้ำแล้ว น้ำก็หายไป เหมือนอัตภาพเรา หากสลายได้ก็หมดความเป็นสัตว์ทำได้เลย ถ้าจะเหลือเชื้อก็คือฆ่าสัตว์ที่ชั่วออกไปหมด มีแต่สัตว์ที่ดี มีแต่  สิ่งดี สิ่งจริง สิ่งที่ชอบด้วยเหตุด้วยผล สิ่งที่ถูกต้องเป็นภาวะที่ต้องปฏิบัติตาม 

 

.ฟ้าไทว่า....วันนี้ได้เรียนรู้ทั้งโลกกว้าง โลกลึก ไปถึงจักรวาล ไปจนถึงเป็นพระพุทธเจ้าได้เลย วันนี้ไม่ไอด้วย...


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:38:24 )

580429

รายละเอียด

580429_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ ตอบปัญหาผู้อบรม สสส.

พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธ ที่ 29 เมษายน 2558 วันนี้ปกติอาตมาก็จะมาบรรยายธรรมะให้ฟัง เว้นบางวันบ้าง มาบรรยายธรรมะ อาตมานี่เลิกงานทางโลก เลิกหาเงินทองแข่งเขา เลิกอยากเด่นดังหรูหรา อย่างสามัญเหมือนกับเขา จนปฏิบัติธรรมเห็นจริงก็มาเลิกแย่งเขาก็เลิกออกมาตั้งแต่อายุ 36 ปี ออกมาอย่างรู้ธรรมะ ออกมาอย่างได้ธรรมะหรือพูดให้ชัดคืออย่างบรรลุธรรม ออกมาอย่างรู้ว่าธรรมะเป็นเช่นนี้ ที่ว่าธรรมะคือภูมิโลกุตระคืออาริยบุคคล ที่รู้ว่าโลกที่คนปุถุชนเป็นกัน คือต้องมามีความสุข แย่ง โลกธรรมแย่งกาม แย่งอัตตา ได้มาสมใจก็เป็นสุข ชื่นใจเสพสุขในจิต เป็นจิตที่ไม่รู้ความจริงว่า เป็นชีวิตวนเวียน สุขๆทุกข์ๆ แล้วก็มีวิบาก ถ้ามีวิบากชั่วเกิดจากกิเลสก็ตกต่ำได้รับทุกข์ พอได้รับความดีก็ได้วิบากดี สุขใจบ้างโดยอวิชชาไม่แน่ใจว่าอันนี้เป็นสุขถาวรหรือไม่ สุข ทุกข์จริงๆคืออย่างไร

 

เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แต่ไม่แยแสพุทธ เป็นพุทธตามปู่ย่าตายาย มาแต่ไม่มีเนื้อหาพุทธ ที่เป็นสิ่งวิเศษสุดประเสริฐ กว่าเพชรกว่าทองทั้งหลาย แต่คนพุทธทุกวันนี้ไม่แยแสศาสนา เอาชีวิตไปมุ่นกับการหลงเสพสุขสมใจ ตามอุปาทาน ได้นั่ง ได้เดิน ได้นอน ได้เต้นเช่นนี้ก็สุข ได้เสพกามคุณ 5 ทางทวาร 5 ก็สุข ตามที่เราติดยึดถูกหลอกไว้ ตรงตามที่เรายึดถือไว้ ซึ่งไม่ตรงกันหรอก บางคนสัมผัสแล้วก็ว่าสุข บางคนก็ว่าทุกข์ เหมือนกับบ้างต่างกันบ้าง แล้วก็ไล่เสพสุข แย่งชิงกัน ฆ่ากัน นานนับชาติ เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดนานนับชาติ พระพุทธเจ้าตรัสรู้วิธีการหยุดวนเวียน จะเลิกเลยก็ได้ ปรินิพพานไปเลยก็ได้ ละลายตนเองสูญไปเลยได้

 

แต่คนทุกวันนี้ไม่รู้ค่า ว่า ชีวิตเกิดมา บางคน อายุไม่ถึง 100 ปีก็ตาย แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่มีอยู่ในสังคมไทยเมืองพุทธ มีความรู้ให้ศึกษาปฏิบัติ มาเอาอันนี้ ธรรมะนี้ แต่เขาไม่เอา พลเมืองไทย 67 ล้านคนแล้ว จะมาสนใจเอานี่สักล้านคนจะถึงไหม? ขนาดมาบวช ก็มาบวชหากินเยอะ ที่ตั้งใจมาบวชจริงๆจะถึงแสนคนไหม ซึ่งพระมาบวชในไทยนี่กว่า สามแสนคน มีที่จะมาเอาอาริยธรรม นิพพานกี่คน และแม้จะเอาจริงถึงแสนคน ก็ไม่ได้ เพราะพากันหลงทิศ ผิดทางหมดแล้ว

 

เพราะถ้าเผื่อว่าถูกต้อง ผลต้องเกิดขึ้น เกิดขึ้นที่ไหนเมื่อไหร่ ก็จะนับวันโตขึ้น ในระยะแรก ยังไม่ถึงความสูญ แต่อาตมายังไม่เห็นเกิด อาตมาเกิดมาอายุ 80 กว่าแล้วก็ยังไม่เห็น จนตนเองต้องมาทำงานนี้โดยตรง ออกมาทำงานทางนี้ 45 ปีแล้ว ก็ไม่เห็น แล้วก็เห็นตรงกันข้ามที่อาตมาเห็น คือทำผิดแบบเดิม อาตมาก็ว่าอาตมาเห็นถูก คนเห็นต่างก็ต้องผิด มันก็เป็นความจริงอย่างที่อาตมาเข้าใจ

 

อาตมาก็พาทำแบบที่อาตมาเห็นว่าถูก จนเกิดเป็นหมู่กลุ่มสาธารณโภคี มีสาราณียธรรม 6

1.        เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง .

2.       เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง

3.        เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง

4.        แบ่งปันลาภผลให้กับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย   (ลาภา ธัมมิกา - มีลาภตามธรรมแห่งสาธารณโภคี) . .

5.        มีศีลเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย

            (สีลสามัญญตา)

6.        มีความเห็นเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย .  (ทิฏฐิสามัญญตา) . . (ล.22  ข. 282-283)

 

 

และมีผลของสาราณียธรรม 6 เป็นพุทธพจน์7

1.        สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)

2.       ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) .

3.        ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)

4.        สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) . . .

5.        อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) .

6.        สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) .

7.        เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)

(โกสัมพีสูตร พตปฎ. ล.22  ข.282-283)

 

ชีวิตอย่างชาวอโศกอยู่ในนี้ระบบสาธารณโภคี

มีความระลึกถึงกัน อย่างไม่เป็นภัยเป็นโทษต่อใคร จิตวิญญาณประเสริฐ เป็นสารณียะ

มีความรักกัน ไม่ใช่รักทางกาม ทางเพศ และไม่ใช่ความรักเป็นตัวกูของกู แต่เป็นความรักเอื้อเฟื้อเจือจาน ช่วยเหลือกัน นี่คือปิยกรณะ

มีคุณธรรมคุณสมบัติที่จะไปหายอดเพชรยอดทองที่ไหนก็ไม่เท่าสมบัตินี้ ยิ่งกว่าสมบัติวัตถุ ยศชั้น สรรเสริญเยินยอ ยิ่งกว่า รสสัมผัสกามคุณ 5 ยิ่งกว่าอะไรจะเป็นตัวเป็นตนที่ไปติดยึด ผู้ที่ไม่ไปแย่งใครแล้ว  ถ้าเห็นคนไหนใครยังแย่งอยู่ก็จะบอกเขาว่า อย่าไปแย่งชิงกันเลย สมบัติผลัดกันชม แย่งกันไปอย่างนั้นไม่รู้จักจบสิ้น

มีสังคหวัตถุ 4 (ทาน เปยยวัชชะ อัตถจริยา สมานนัตตา) มีทานคือการให้ เปยยวัชชะคือ ตำหนิให้คนอื่นดื่มได้ อัตถจริยา คือความประพฤติที่เป็นประโยชน์คุณค่า เป็นสิ่งควรอย่างยิ่ง

 

อวิวาทะ ไม่ทะเลาะกัน ชาวบ้านราชฯเถียงกันได้ แต่ไม่ทะเลาะกัน มีน้อยมากที่ทะเลาะกัน มีบ้าง เถียงกัน ก็ทะเลาะไม่พูดกัน ใน 20 กว่าปีนี้มีต่อยตีกัน สักครั้งหรือสองครั้งเอง เป็นคุณธรรมที่เกิดจากคนได้ธรรมะพระพุทธเจ้าจริง เพราะไม่ต้องมาแย่งโลกธรรม แย่งกามกันแล้วจะไปทะเลาะกันทำไม เราขยันหมั่นเพียรทำงาน ไม่ถูกหลอกก็สูญเสีย

 

สังคมพุทธไทย มีแต่ชื่อ แต่เนื้อหาไม่ใช่พุทธแล้ว อย่างเราอยู่นี่ชีวิตไม่ต้องไปสะสมอะไร ทุกคนเป็นญาติธรรม พึ่งเกิด แก่ เจ็บตายกันได้จริงๆ มีอยู่มีกิน เจ็บป่วยรักษาดูแลช่วยกัน ตายก็ช่วยกันเผา ฝากผีฝากไข้กันได้ นี่คือสังคมไทยน่าจะเป็นแบบนี้เมืองพุทธ แต่ว่า น่าเสียดายที่ไม่เป็น พวกเรามาอบรมกันนี่จะมีไหมที่เอาไปปฏิบัติ ทั้งที่มันดีขนาดนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้กี่คน

 

มีคนอยากบรรลุธรรม เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ มีคนอยากและพยายามทำ แต่อาตมาบอกได้เลยว่าไม่ได้ผล เพราะทำมิจฉาทิฏฐิ ไม่เกิดผลทางปฏิบัติได้อาริยบุคคล เมืองไทยจึงมีคนโกงที่โกงได้ถึง เจ็ดแสนล้านบาท เลวร้ายถึงขนาดนั้น ผลาญพร่าทำลาย ให้คนเดือดร้อน ก็เป็นหนี้กันหมด เพราะฝีมือเขาทำลาย เหตุเพราะอะไร เหตุเพราะธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ในชีวิต ไม่ได้อยู่ในวิญญาณคนเหล่านั้นเลย ทำไม? ก็เพราะครูบาอาจารย์เขาสอนไม่ได้ สอนให้เขามีธรรมะไม่ได้ แล้วพวกนี้ก็ไปบริหารบ้านเมือง ก็เลยล้มเหลว จนต้องออกกฎหมาย ทำอย่างไรจะกันคนทุจริตได้ คนเสียประโยชน์ก็แย้งสิไม่ยอมให้รัฐธรรมนูญออกมา ก็ไม่เป็นไร ไม่ยอม นายกฯตู่ก็อยู่ไปอีก 3 ปี 5 ปี 8 ปี เดี๋ยวเขาก็รู้ ไม่ยอมก็ร่างใหม่อีก เขาบอกว่าไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แต่ทำสิ่งที่กฎหมายห้าม แล้วเขาก็สารพัดจะทำออกมา ตอนนี้ก็ระงับความเลวร้ายลงไปบ้าง ให้ประเทศดีขึ้นมาบ้าง คนเสียอำนาจ ประโยชน์ก็ดึงทึ้งเอาไว้

 

ถึงจะแก้กติกา กฎหมายอย่างไร คนก็เลี่ยงหลบ หรือเอาเผด็จการมาใช้เลย ไม่สนกฎหมาย มันเห็นแก่ตัว ถ้าไม่มาปฏิบัติธรรมะที่สำรอกกิเลส ลดกิเลสจริง ไม่มีทางแก้ไขได้ อาตมาตั้งใจลากสังขารให้ไปถึง 151 ปี ไม่ได้พูดเล่น แต่จะพยายามลากไป ตอนนี้ จะเต็ม 81 แล้ว ยังแจ๋วเลย พยายามอยู่เพื่อทำให้สังคมเป็นสังคมอาริยธรรม โลกุตรธรรม อย่างสังคมเราเป็นนี่แหละ เอาอย่างในหลวงที่ให้มาเป็นแบบคนจน หรือขาดทุนของเราคือกำไรของเรา หรือเศรษฐกิจพอเพียง ท่านก็สอน แต่คนไม่มีภูมิรับท่านไม่ได้ เอามาขยายผลไม่ได้ พวกเราเอามาขยายผลได้จริงก็เลยมุ่งมาจน ตั้งใจจน เต็มใจจน ชื่นใจจน

 

ไม่ได้หลอกให้มาทำทาน ให้ไปรวย อย่างบางวัดที่ให้กู้เงินมาทำบุญ แล้วจ่ายดอกเบี้ยด้วย แล้วจะรวยในอนาคต แต่ตอนนี้จนลงนะเป็นหนี้ด้วย หลอกกันได้ขนาดนี้ ทำไมอำมหิตนัก หน้าเลือดกันขนาดนั้น ทำได้ขนาดนั้นนะคน คิดแล้ว มนุษย์เป็นได้ขนาดนั้น เขาไม่มีเงินก็หลอกให้กู้เงินมาทำทานกับตน โดยใช้วิมานบุญมาหลอก

 

การทำทาน พระพุทธเจ้าสอนทำทานให้ลดกิเลส แต่ทุกวันนี้ วงการพุทธสอนทำทานกันไม่ได้บุญหรอก ได้แต่บาป ได้กิเลสเพิ่ม ทานเป็นสัมมาทิฏฐิข้อที่ 1 คืออัตถิทินนัง ทานที่สัมมาย่อมมีผลในการลดกิเลส เดี๋ยวนี้สอนทำสมาธิก็ไปนั่งหลับตา เป็นการสอนนอกศาสนาพุทธไปแล้ว

 

ทานคือการให้ เช่นให้วัตถุ ทานไป 10  บาท ใจเราก็ต้องลดความโลภ 10 บาท แต่เขาทานไป 10 บาทขอให้ได้คืนมา 10 ล้าน ตั้งใจจริงๆนะ แล้วมันลดกิเลสตรงไหน นี่คือทานไม่มีผล คือนัตถิ ทินนัง ถ้าวัดไหนวาไหนสอนอย่างนี้ ใส่ข้าวทัพพีเดียวก็สาธุ ขอหมดบ้านหมดเมือง พระก็ยืนขาแข้งไป ข้าวทัพพีหนึ่งไม่ถึง 5 บาทแต่ตั้งจิตโลภ จะเอา ไม่ใช่ลดโลภเลย จะได้บุญตรงไหน เพราะบุญคือการชำระกิเลส ไม่ใช่เรื่องได้สวรรค์วิมานอะไร บุญคือสันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ คือการชำระจิตสันดานให้หมดจด บุญคือเครื่องมือชำระกิเลส ทำบุญเสร็จแล้วก็ไม่ต้องใช้เครื่องมือต่ออีก ถ้าหมดกิเลสก็หมดบุญด้วย จะแบ่งบุญกันไม่ได้ บุญนี่ ยิ่ง กว่ากุศล เป็นยอดกุศลเลยนะ

 

เราทำทาน 10 บาท จิตเราก็สละไป 10 เราไม่อยากได้อะไรคืน ไม่ต้องการอะไรคืน ทานคือการให้ เราก็ทำใจว่างสบาย ได้ทานไป 10 บาทเราก็ได้กุศล ได้เสียสละ ใจเราก็ได้สละด้วย จึงเป็นประโยชน์สองส่วน คือให้คนอื่นได้ทานและใจเราก็ได้ลดกิเลสด้วย การทำบุญถูกต้องจึงได้กุศลได้ด้วย บุญคือการชำระกิเลส แต่ผู้ทำถูกต้องปฏิบัติถูกต้องเป็นผู้ได้ประโยชน์คือการลดกิเลส และได้กุศลที่ได้ช่วยคนอื่น พระพุทธเจ้าก็สอนไม่ให้ยึดเป็นเราเป็นของเรา แม้พระพุทธเจ้าชาติก่อนเป็นพระพุทธเจ้าท่านก็ทานได้แม้ลูกแม้เมีย ก็สละออกได้ไม่หวงเป็นเราเป็นของเรา

 

ข้อแรกคือทานก็เป็นนัตถิทินนัง ทำทานแล้วได้กิเลสด้วยซ้ำ มิจฉาทิฏฐิกันทั้ง10 ข้อ ซึ่งก็จะไม่มีมรรคผล ไม่มีนิพพานแล้ว ก็เพราะมิจฉาทิฏฐิ ทำทานก็ทำไม่ถูกแล้ว แม้ ยิฏฐังก็เป็นพิธีกรรม ที่ไปสู่นิพพานแต่ก็เพี้ยนไปจนเป็นสีลลัพพตุปาทานไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องกรรมวิบากเลย ไม่รู้เรื่อง ยิ่งไปพูดถึงโลกนี้โลกหน้าก็ไม่รู้เรื่องเลย โลกโลกุตระ เป็นอย่างไรไม่รู้เรื่องแล้ว

 

ต่อไปเป็นการตอบปัญหา

 

ตั้งแต่มาอยู่ทีนี่ ไม่ได้ยินพระให้พรเลย

ตอบ...ที่พูดมาตั้งแต่ต้นก็คือคำพร คือทำที่จะพาให้ลดละกิเลสให้ถึงนิพพานเลย ที่นี่พูดกันจนน่าเบื่อ คุณว่าไม่ได้พร แปลว่า คุณรู้ว่า พรคือ ยถาวารีวหา... แล้วคุณรู้เรื่องหรือ พรคือความหมายจากภาษาที่พูดออกไปให้ฟังแล้วทำให้เจริญ ประเสริฐนี่คือคำพร แต่คำบาลี ยถาวารีวหาฯ คุณฟังมาเป็นร้อยเที่ยวแต่ไม่รู้เรื่องเลย คือคำหูหนวก ฟังแล้วไม่ได้เอาไปทำให้ประเสริฐได้อย่างไร คำพรต้องสอนแล้วให้ได้เจริญ

 

ที่นี่ไม่เห็นมีจุดธูปเทียนบูชาพระ

ตอบ... ที่เขาทำกันนั้นเพราะศาสนาพุทธผิดเพี้ยน ใช้ดอกไม้ ใช้ธูปเทียนก็ผิดจากพุทธ อยู่ในพระไตรปิฎกห้ามทำ แต่พระทำนี่ผิดศีล เป็นศีลของเธอประการหนึ่งในพระไตรปิฎกเล่ม 9 ไปหาอ่านดู ท่านห้ามไว้หมด รดน้ำมนต์ก็ไม่ได้ ใช้ธูปเทียนก็ไม่ได้ แต่พระทำผิด ละเมิดหมด ขออภัยที่อาตมาตอบตรงตอบผ่าตอบชัด

 

ทำไมวัดนี้ไม่มีโต๊ะหมู่บูชา

ตอบ...เรามีพระองค์โต แล้ว มีองค์อื่นอีก เราไม่ได้ทำเล่น แบบงมงาย กราบบูชาพระพุทธรูปไม่งมงาย

 

ดิฉันทำบุญให้ตายาย จะไปถึงท่านไหม?

ตอบ...บุญคือเครื่องชำระกิเลสแบ่งให้ใครไม่ได้ บุญคือเครื่องมือตัดกิเลส ให้ใครไม่ได้ ไม่ใช่ข้าวของ แม้ข้าวของก็ตาม หลอกกันมานานเสียแล้ว ตื่นเสียที แบ่งไม่ได้

1. กัมมัสสโกมหิ (มีกรรมเป็นสมบัติแท้ของตน) 

2. กัมมทายาโท (มีกรรมเป็นทายาทรับมรดกของตน)

3. กัมมโยนิ (มีกรรมเป็นแดนเกิด-หรือพากำเนิด) 

4. กัมมพันธุ (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, พันธุ์เทพ,พันธุ์มาร) 

5. กัมมปฏิสรโณ (มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแท้ๆ) 

(พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 581)

 

แบ่งให้คนเป็นๆก็ไม่ได้ แล้วแบ่งให้คนตาย ถามพระดูสิว่า คนตายไปอยู่ที่บ้านเลขที่เท่าไหร่ ซอยไหน จะไปส่งให้ได้ไหม? ก็ไม่ได้ หรือว่าวันนี้ได้ปลาช่อนมา มีไข่พร้อมมันย่อง ได้มาก็ทำแกงอ่อม เอาไปถวายพระ คือพ่อชอบแกงปลาช่อน ก็ส่งให้พระ พระก็หยาดน้ำ ให้ ถามว่า แกงปลานี้ออกจากท้องพระไปหาพ่อหาแม่ไหม? ....สอนกันงมงายมากแล้ว หลอกกันมาก ให้เอาเงินไปถวายพระ เรายังไม่รู้เลยว่า ในสวรรค์ใช้ธนบัตรอะไร ดอลล่าหรือเงินไทย แล้วธนบัตรก็อยู่ในพระเป๋าพระ พระก็เอาไปใช้เสีย คนจีน ฉลาดหน่อย เผาแบงค์กงเต็ก ให้ เผาเป็นขี้เถ้าแล้วคนตายจะเอาไปใช้ได้อย่างไร? มันงมงายมาก

 

ตอบชัดๆ ถ้าคุณว่าบุญแบ่งได้ อาตมานี่ทำงานศาสนามาตั้ง 45 ปีคงเป็นคนมีบุญบ้าง อาตมาแบ่งให้คุณไปเดี๋ยวนี้ให้จริงๆ มาเอาไปเลยจะได้ไหม? แบ่งเอาอย่างไร นี่คือการพิสูจน์หลัดๆว่าแบ่งบุญ บาปกันไม่ได้

 

 

ดิฉันไปทำงานโรงทาน ได้บุญไหม?

ตอบ...ส่วนมากได้บาป เพราะทำทานข้อที่ 1 ไม่ถูกต้อง ทำทานแล้วมีแต่กิเลสหนาขึ้น ต้องทำแล้วกิเลสลดลงจึงจะได้

 

เรียนถาม ให้ผู้อบรม สสส.มีหลักการทำงานอย่างไร? จึงเป็นผู้นำที่ประสพผลสำเร็จ

ตอบ...คุณเองแต่ละคนที่มาปฏิบัติ ทำให้ได้ก่อนแล้วเอาความจริงที่ได้ไปสอน ไม่ต้องถามอาตมา นี่คุณเองยังไม่รู้เลย จะเอาอะไรไปให้เขา รู้แต่ผิดๆ ทำทานก็ไปสอนเขาทำผิดๆอีก ให้เรียนรู้ให้ดี แล้วค่อยไปสอนเขา พระพุทธเจ้าสอนว่า ทำคุณอันสมควรก่อนแล้วพร่ำสอนคนอื่นจึงไม่มัวหมอง ทุกวันนี้ไม่ได้มีคุณของตนแล้วไปสอนคนอื่นจึงมัวหมอง การเป็นผู้นำทำงานสำเร็จเมื่อเราทำความจริงความดีให้ได้ก่อน เช่นเราจะพาเขาทำดี เราต้องทำดีก่อน เราจะบอกเขาได้จริง ยกตัวอย่าง เรากินเหล้าอยู่ จะไปบอกเขาว่าเลิกเหล้าได้อย่างไร? สอนเขาเลิกหวย แต่ตนเองเล่นหวยอยู่ก็สอนไม่ได้หรอก ยถาวาที ตถาการี พูดอย่างไรทำได้อย่างนั้น คุณมางานนี้แล้วได้อะไรดีขึ้นมาบ้าง ก็นำอันนั้นไปสอนเขา จะไม่มีฤทธิ์มีอำนาจหรอกเพราะเรายังทำไม่ได้ หากเราทำได้จริง ก็จะมีฤทธิ์ เอาง่ายๆ คุณทำศีล 5 ให้ได้ แล้วไปบอกเขา คนที่ได้ศีล 5 แม้แต่อบายมุขไม่มี จะเจริญ คนมาอบรมกับเรา เลิกอบายมุข เขากลับบ้านไปเลิกอบายมุขจริง ฐานะเขาดีขึ้นทันที ลูกเมียบอกว่าได้พ่อคนใหม่ ได้สามีคนใหม่  เอาแค่ลดเลิกอบายมุขให้ได้ก่อน

 

อยากทราบว่า สมณะ กับพระสงฆ์ รักษาศีล ครบ 227 ข้อเหมือนกันไหม มีใบสุทธิเหมือนกันไหม?

ตอบ...พระสงฆ์ เป็นภาษาไทยมาจากคำว่า วร แปลว่าผู้ประเสริฐ คือคณะผู้ประเสริฐ ส่วนสมณะนั้นเป็นคำเรียนนักบวชของศาสนาพุทธมาแต่โบราณ ก็เหมือนกับพระ แล้วรักษาศีลครบ 227  ไหม เราก็สวดปาติโมกข์ ทุกปักษ์ เราก็นับถือ 227 เหมือนกัน ปฏิบัติจริง เรามี จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แต่พระส่วนใหญ่ในประเทศไทยไม่มีศีลแล้ว ถือแต่วินัย 227 ข้อ แล้วท่องโอวาทปาติโมกข์กัน จุลศีล 26 ข้อ มีศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ในนั้น พระเดี๋ยวนี้ไม่พูดเรื่องศีล พูดแต่วินัย ในวินัย 227 ไม่มีงดฆ่าสัตว์นะ

 

ศีล นี่พระพุทธเจ้าท่านตั้งขึ้นมาเพื่อสร้างศาสนาพุทธ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล คือกฎหมายหลัก เหมือนรัฐธรรมนูญ แต่วินัยนี่คือกฎหมายลูก เป็นกฎหมายอาญาทำผิดแล้วมีโทษ ของเรามีทั้งศีลและวินัย ส่วนของข้างนอกไม่มีศีล ในศีลธรรมนูญ ห้ามรดน้ำมนต์ ห้ามเจิม ห้ามใช้ธูปเทียนบูชา ห้ามติรัจฉานกถาทั้งหลายแต่เขาทำหมดข้างนอก ศีลมาก่อนวินัย

 

มีใบสุทธิ แต่ไม่เหมือนพระสงฆ์ 6 มีนาคม 25518 เราประกาศแยกตัวเป็นนานาสังวาสกับมหาเถรสมาคมเรารับไม่ได้ ของเขาสมีอุ้มสมียังได้เลย เราก็ปฏิบัติด้วยไม่ได้ก็เลยขอแยกตัว มีใบสุทธิของเรา

 

ทำไมพระถึงฉันข้าวพร้อมโยม

ตอบ...ก็ประหยัดเวลา แต่ฉันกันคนละที่

 

อยากทราบว่า 08.00 น. มีการเคารพธงชาติไหม?

ตอบ...ทำ แต่ตอนนี้ปิดเทอม

 

พระสงฆ์ที่มียศชั้น มีในคำสอนหรือพระธรรมวินัยหรือไม่

ตอบ...ไม่มี นอกรีตทั้งนั้น

 

การปกครองสงฆ์ไทย ลอกเลียน บ้านเมืองหรือไม่?

ตอบ...ก็พระมาลอกเขา ของเขามีมาก่อน

 

พระแหล่ ผิดกฎสงฆ์หรือไม่?

ตอบ...ผิด การกล่าวคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยเสียงอันยาว ใส่ทำนองผิดหมด พระพุทธเจ้าสอนไว้ อย่างสรภัญญะ ให้เป็นจังหวะมีทำนองนิดหน่อยได้พอเป็นกระษัย แต่ถ้าใส่เสียงอันยาว และสวดเป็นหมู่ให้ฆราวาสฟังตั้งแต่สองคนขั้นไป ถ้าเอาบทพระธรรมของพระพุทธเจ้า จะเป็นพระสูตรก็ตาม ไปสวดเป็นหมู่ตั้งแต่สองรูปสวดพร้อมกันให้ฆราวาสฟัง ผิดพระวินัยหมด แต่การสวดเป็นหมู่ เพื่อให้จดจำได้ เป็นสังคีติ จะได้ช่วยกันจำ ไม่ใช่ให้ท่องให้ฆราวาสฟัง หรือเอาไปสวดหากินไม่ได้ หรือสวดองค์เดียว อย่างปาติโมกข์ แล้วทุกคนก็ฟัง ถ้าสวดผิดก็ท้วงกัน ว่าที่ถูกคืออย่างไร ก็ให้แก้ไขให้ถูกต้องเรียกว่าสวดสังคายนา สวดเพื่อรักษาให้ถูกต้อง ส่วนสวดสังคีติคือให้จำกันได้ สมัยก่อนไม่มีเครื่องบันทึกจึงต้องสวดสังคีติ เพื่อให้จำกันแต่อย่าเอามาสวดต่อหน้าฆราวาส จะสวดได้คือประณามคาถา คือคำยกย่องบูชารัตนตรัย สวดได้ พร้อมกันได้ แม้แต่ฆราวาสจะสวดพร้อมไปก็ได้ หรือบทที่พระสวดสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า มีบทมหากรุณาธิคุณ หรือพาหุง 8 ก็เป็นบทสรรเสริญคุณไม่ใช่ธรรมบทคำสอนพระพุทธเจ้า ยิ่งสวดพระอภิธรรมนี่ผิดหมดเลย

 

ถ้าประชาชนในราชธานีอโศกเสียชีวิตทำอย่างไร?

ตอบ...ก็ช่วยกันหามไปเผาที่เมรุ ของศาสนาพุทธมีแต่เผาไม่ฝัง

 

มีคนทำให้เราทุกข์บ่อยๆ ทำอย่างไรดี ?

ตอบ...คุณก็ไปโทษเขา ทุกข์มันไม่ได้เกิดที่เขา ทุกข์เกิดที่คุณ พระโมคคัลลานะ มีคนมาฆ่าท่านท่านก็ไม่โทษเขา เขาทำทุกข์ให้เราไม่ได้ เราทำทุกข์ให้แก่ตนเอง แม้แต่คุณจะตีหัวอาตมา เจ็บแตกนะ แต่ไม่ทุกข์ ไม่โกรธ อาตมามั่นใจว่าอาตมาไม่โกรธ มันอยู่ที่เรา จะไปโทษคนอื่นว่าทำให้เราทุกข์บ่อย คนก็ทำสิ่งที่ไม่ตรงกับที่เราต้องการ เราทุกข์เพราะไม่ตรงกับที่เราต้องการ เราไม่ชอบ ยิ่งลูกเต้านี่ทำไม่ตรงใจเรา เราก็ทุกข์ คุณต่างหากไปกำหนดใจตนเอง คนอื่นเขาก็ทำของเขา

 

 

การแก้กรรม แก้อย่างไร?

ตอบ... อาตมาขอตอบอย่างสรุป การแก้กรรมเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ แก้ได้หมดเป็นอรหันต์ เราทำชั่วอะไรเราก็แก้ของเราได้หมด พระพุทธเจ้าบอกให้แก้เอง เราเลิกกายกรรม วจีกรรมที่ไม่ดี คิดไม่ดี นั่นแหละตัวสำคัญ ทุกอย่างมาแต่ใจ ใจสั่งการทุกอย่าง แก้ที่ใจ ฆ่ากิเลสในใจให้หมดได้ก็ไม่มีตัวการให้คิดชั่ว การกระทำ วาจาก็ไม่ชั่ว นี่คือการแก้กรรม คนไหนจะมาอาสาแก้กรรมให้คนนั้นโกหก พระพุทธเจ้าก็แก้กรรมไม่ได้ คนทำได้นี่เก่งกว่าพระพุทธเจ้า จะแก้กรรมได้ต้องมีร่างกาย ครบ ชมพูทวีป ปฏิบัติอย่างมีอาการ 32 ให้รู้อาการ 33 คือดาวดึงส์ คือสวรรค์ ที่คนก็จะเอาอาการนี้แหละ ในใจ เราต้องมาปฏิบัติให้ไม่เอาทั้งดาวดึงสิและนรก ส่วนอาการ 32 คืออาการที่เกิดแก่รางเนื้อ

 

ในศาสนาสถานนี้ มีการทำโรงปุ๋ย ส่งขายเป็นรายได้ และมีเครื่องจักรครบทุกอย่างไม่ผิดหลักศาสนาหรือ?

ตอบ...ยิ่งประเสริฐด้วย เพราะศาสนาไม่ได้สอนให้คนงอมืองอเท้า สิ่งใดไม่ผิดธรรมวินัยก็ทำได้ทั้งนั้น ที่ผิดธรรมวินัย เช่นขุดดิน ฟันหญ้าไม่ได้ พระไปซื้อไปขายไม่ได้ ก็ไม่ต้องทำ แต่พระไปทำปุ๋ยได้ แต่ซื้อขายให้ฆราวาสทำ พระบอกวิธีปลูกพืชได้ แต่พระไม่ได้ปลูกพืช จริงๆท่านห้ามแต่พระพรากพืชเท่านั้น แต่ไม่ได้ห้ามพระปลูกพืช การปลูกนี่ทำได้ แต่อย่าไปถอน อย่าไปพราก อย่าไปเด็ด ในมหาปเทส มันควรปลูกก็ปลูก แต่อย่าไปถอน

 

 

อยากทราบว่า ทุกวันนี้คนทำบุญทำทานเพื่ออะไร?

ตอบ...เพื่อเห็นแก่ตัว เพราะสอนกันไม่ถูก

 

อยากรู้ว่า ประพฤติปฏิบัติแบบท่านอย่างนี้หรือ ถึงจะถือว่าเป็นพุทธแท้

ตอบ...ให้ตอบก็ต้องตอบว่าใช่ เราเปิดพระไตรปิฎกสอนเลย เอาเลยเปิดพระไตรปิฎกกันเลย ที่นี่ทำตามพระไตรปิฎก ผิดพระไตรปิฎกไม่ทำ

 

อยากรู้ว่า เราจะตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ทำอย่างไร?

ตอบ... เราหาเงินหาทองเลี้ยงดูพ่อแม่ก็ควรทำ หรือทำอย่างยิ่งเลย ให้พ่อแม่อยู่บนบ่าเลย ก็ยังไม่ถือว่าได้ทดแทนบุญคุณที่สุด แต่ที่จะดีกว่าคือให้พ่อแม่ ได้ ทาน ศีล จาคะ ปัญญา คือทรัพย์แท้ เป็นอาริยทรัพย์ อย่างสงเคราะห์ช่วยเหลือพ่อแม่ในทางที่ผิด ให้ติดอบายมุขเพิ่มขึ้น

 

ในราชธานีอโศกมีงานบุญประจำปีไหม? เช่นงานบุญผะเหวด ฯลฯ

ตอบ...พวกที่ทำได้บาปกันเยอะ เป็นวิธีหาเงิน ผู้เทศน์ผะเหวดกัณฑ์ไหนเก่งๆ ก็ได้เงินมาก มันนอกรีตหมดแล้วได้บาปกันทั้งนั้น แต่เราก็มีงานประจำปี เช่นที่ผ่านมา มีตลาดอาริยะ เป็นการทาน เป็นการขายสินค้าราคาต่ำกว่าทุน ไม่ได้หลอก เราทำมา 36 ปีแล้ว หรืองานพุทธาภิเษกฯ งานปลุกเสกฯ เราตั้งชื่อล้อเลียนเขา แต่เราปลุกเสกฯคนให้เป็นคนดีมีศีลธรรม ไม่ได้ปลุกเสกพระเครื่อง ส่วนงานทอดกฐินเราไม่ทำแล้ว เพราะทุกวันนี้เป็นงานบาป ที่จริงผ้าป่าเป็นผ้าบังสุกุล ผ้าไม่มีเจ้าของ ไม่มีใครรู้เห็นแล้ว ก็บังสุกุลมา แต่ทุกวันนี้ไปนัดแนะกับฆราวาส รู้กันว่าใครนำมาทอดก็ผิดวินัย แต่การทอดกฐินก็คือทอดผ้าไม่เกี่ยวกับเงินทอง เงินทองพระพุทธเจ้าท่านว่าไม่ต้องเอามาให้พระ เพราะพระนี่ต้องสละเงินทองก่อนบวช บวชแล้วก็ไม่ให้มีเงินนะ ผิดวินัย ทุกวันนี้ทอดได้เงินกัน อาตมาเรียกว่าทอดกะทะทองแดง ที่นี่ไม่ทำ แต่ที่อื่นทำก็ไม่ถูกธรรมวินัยก็ไม่ถูกต้อง ควรเลิก

 

คุณไปตรวจสอบสิ่งที่อาตมาพูดนะว่าจริงหรือไม่ตรงตามพระไตรปิฎก อย่าไปถามพระ ถามก็ว่าอาตมาผิดสิ แต่ว่าเราถือตามพระไตรปิฏก... ขอให้ทุกคนฟังธรรมแล้วเอาไปทำ ทำทีละส่วน ทำอย่างปริตตัง ทำทีละน้อยๆ อย่าตะกละ ไม่อนันตัง เลอะเทอะ ทำเป็นส่วนๆ ฟังแล้ว อาตมาก็ขอฝากไว้ ถ้าไปเลิกอบายมุขได้ เป็นพรอันประเสริฐแล้ว ทำศีล 5 ให้ได้ ถ้าศีลข้อ 1 ไม่กินเนื้อสัตว์ได้จะทำให้เกิดจิตเมตตา คุณถือศีลข้อ 1 แต่กินเนื้อสัตว์จิตคุณไม่เกิดเมตตาง่าย แต่ถ้าคุณเลิกเนื้อสัตว์ จะเกิดจิตเมตตา


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:39:29 )

580501

รายละเอียด

580501_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ มนุษย์ชนิดไหนเลิศยอดที่สุด

พ่อครูว่า ...วันนี้วันเมย์เดย์ วัน ศุกร์ ที่ 1  พฤษภาคม 2558 ขึ้น 14 ค่ำเดือน 6 ปีมะแม

รายการธรรมาธรรมะสงคราม  จากบ้านราชฯ ...วันนี้เป็นวันแรงงาน วันของชาวชนใช้แรงงานหรือเรียกว่า กรรมกร ก็ให้เกียรติแก่คนระดับล่างกัน

 

คำว่ากรรมกร แรงงาน จริงๆแล้วมนุษย์เรา เป็นมนุษย์มีความฉลาดมากว่าสัตว์ใดๆทั้งปวง สัตว์เดรัจฉานทุกชนิดใช้แรงงานเป็นหลัก เลี้ยงชีวิต ทำมาหากิน เขาจะใช้กรรมกิริยาต่างๆ ก็ทำตามประสา คนเราก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ถ้าคำว่าเดรัจฉาน โดยเนื้อหาสาระของความหมาย คำแปล เดรัจฉานแปลว่า สิ่งที่ขวางทางนิพพาน ที่มันไปสู่นรก แม้จะได้สุข กุศล ก็ได้ชั่วคราว เป็นของเท็จ สวรรค์ไม่มีจริง เป็นเพียงอารมณ์เสพสมใจ

 

สัตว์มันก็ทำงานดูแลตนเอง หรือว่า ดูแลโขลง มีหน้าที่รับผิดชอบอย่างปลวกมันมีระบบระเบียบของมัน คนยังสู้ไม่ได้เลยในเรื่องซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีคอรัปชั่น แต่คนเรา คำว่าแรงงาน นั้น ถ้าคนเราขี้เกียจ ไม่ใช้แรงงาน ใช้แต่มันสมอง ความคิด แล้วความคิดก็พาให้ตกต่ำได้ พาให้เจริญได้ แต่ถ้ามิจฉาทิฏฐิพาให้ตกต่ำ พาให้สร้างนรกแก่ตนได้

 

คนที่เขาว่าประสพผลสำเร็จในโลกคือ ได้โลกธรรม ได้เสพกาม ได้สมอัตตาของเขาเต็มเหนี่ยว เขาก็ดีใจที่ได้ประสพผลสำเร็จ เป็นเรื่องที่เขาไม่รู้ตัว เพราะไม่ได้ศึกษาสัจธรรมให้บริบูรณ์ เขาจะได้ก็ตอนหลงเสพในภพนี้ว่าเขาเองได้เป็นสุข แต่แท้จริงเขาสะสมวิบากบาป เขาได้เปรียบมาตลอด เพราะเขาใช้วิธีที่ซับซ้อน ใช้ค่ายกลที่ทุนนิยมเขาทำกัน น่าสงสารใช้ระบบวิธีคิดที่เอาเปรียบ จนคนระดับล่างจำนน แล้วต้องเป็นข้าทาส แล้วเสียเปรียบ (คนที่ได้เปรียบ เป็นผู้ได้อกุศลหรือบาป ที่จะต้องไปใช้หนี้หรือตายไปก็มีนรก เขาไม่ได้สบายเพราะเป็นหนี้) เอาเปรียบเขาอย่างมหาศาล มีกลยุทธ์มากมาย สมัยพระพุทธเจ้าก็ยังไม่มีมากขนาดนี้

 

ถ้าใครเอาหลักทุนนิยมตั้งแต่สมัยก่อนมาถึงปัจจุบัน อัตราการเอาเปรียบแบบทุนนิยมมันซับซ้อนไม่รู้กี่ต่อกี่ชั้นมหาศาล แล้วคนใช้แรงงาน คนที่ใช้มันสมองสู้ไม่ได้ แต่มีกำลัง มีการใช้แรงงานสร้างสรรแล้วเลี้ยงโลก แรงงานเหล่านี้ทำให้สังคมมนุษย์อยู่ได้ เพราะแรงงานเหล่านี้ ส่วนมันสมองมีแค่เอาเปรียบ ในหลายตระกูล เกิดมามีแต่ได้เปรียบ เอาเปรียบตลอดกาลนาน  เขาเสียเปรียบทางธรรมแต่ได้เปรียบทางโลก ได้เปรียบเอามากๆด้วย ไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้นแล้วก็ตั้งกฎ ตั้งหลัก เด็กเกิดใหม่มาก็จำนน รุ่นแล้วรุ่นเล่า สิ่งเหล่านี้เป็นพฤติกรรมสังคม

 

พวกเรานี่หลุดรอดจากการที่จะต้องไปทำอย่างเขา เรามาใช้ชีวิตในนี้ ก็ไม่ได้อยู่ในวงจรบาปพวกนี้ ที่ทั้งโลกเป็น คำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า คนที่เกิดมาแล้วตายไปจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์อีกน้อยกว่าน้อยนัก เท่ากับเอามือจิ้มดินแล้วดินติดเล็บมาคือคนที่จะเกิดเป็นมนุษย์ นอกนั้นตายแล้วตกนรกหมด อาตมาเห็นจริงเช่นนั้น ว่าตกนรกส่วนมาก

 

พวกเราชาวอโศกที่ได้มามีชีวิตเช่นนี้ หลายคนกว่าจะมาก็สะสมบาปไม่รู้เท่าไหร่ กว่าจะได้มาทำในระบบที่อาตมาไม่ได้พาสร้างหนี้วิบาก คิดดู ซึ่งมันน่าสงสาร คิดดูว่าทั่วประเทศ จะมีถึงหมื่นคนไหม ที่ได้มานี่ ที่มาอยู่ในสาธารณโภคีจริงๆไม่ถึงหมื่นคนดี คนในโลก เจ็ดพันล้านคน

 

แรงงานพวกเรานี่ไม่ได้เอาไปทำบาป คนใช้แรงงานแล้วก็เอาเปรียบคนด้วยก็มีเยอะ คนที่ใช้แรงงานอย่างเสียเปรียบ อย่างในหลวงว่า ขาดทุนคือกำไร อันนี้คือสัจจะ ผู้เสียนั่นแหละคือผู้ได้ พระโพธิสัตว์ได้ตรัสความจริงนี้ขึ้นมา คนไม่รู้หรอกว่าตนเองอยู่ในข่ายที่ในหลวงตรัส คือเป็นผู้ได้ แต่คือผู้เสีย แล้วเขาไม่เคยคิดว่า จะต้องมาเสียทำไม เขาไม่ได้คิดไม่ได้สะดุดใจ ว่าในหลวงตรัสอะไร เขานึกไม่ออก ที่อาตมาใช้ศัพท์ว่า นึกไม่ออก คือเขาไม่นึกเลย แต่ถ้าเขานึกไม่ออกนี่เขานึกนะ แต่นี่เขาไม่นึกเลย จะไปออกได้อย่างไร เขาไม่สะดุด ไม่เสียเวลานึกนะ อาจเคยได้ยิน แต่ไม่สะดุด เขาว่าเป็นเรื่องไม่จริง เป็นไปไม่ได้ จะเห็นได้ว่า ไม่มีใครนำที่ในหลวงตรัสนี้ออกสื่อเลย มีแต่ช่องนี้ช่องเดียว บุญนิยมทีวีนี่แหละ

 

พวกคุณนี่รู้สึกเฉย มาเป็นคนจนได้แล้วไม่ต้องสะสมเงินทองแล้ว เป็นคนไม่มีอนาคต ว่าจะต้องไปมีลาภยศเท่านี้หยุดคิดไปเลย มีแต่อนาคตคิดว่า เมื่อไหร่กิเลสเราจะลดหมด เมื่อไหร่เราจะเป็นอรหันต์ แต่พวกเรานี่ไม่รู้ตัวหรอกว่าสุขสบาย จนกลายเป็นซับซ้อน คือไม่ขวนขวาย มันสบาย รู้สึกไหมว่าไม่ค่อยขวนขวาย ความขวนขวายคือเหมือนอย่างโลกเขาเป็นเงินเป็นทองก็จะทำกัน แต่นี่หมู่พาทำก็ทำไป หมู่พักก็พัก แทนที่เราจะขวนขวายกระตือรือร้น เพราะมาทางนี้แต่ละวันๆก็สบาย ผู้พาทำก็ให้ก้าวหน้าก็ว่า อะไรกันนักหนานะ มีความรู้สึกนี้ในใจไหม อะไรกันนักหนา มันก็สบายดีอยู่แล้ว

 

จริงๆแล้วเรายังมีแรง มีโอกาสที่จะทำได้มากกว่านี้ ความกระตือรืนร้น ขวนขยายเราจะมีมากกว่านี้ แต่เพราะเราไม่มีอามิสเหมือนเขา ตอนนี้จะเข้าสู่ระบบที่ว่า คนเรามัวแต่วิ่งเสพสุข

 

อาตมาจะไขถึงเรื่องมนุษย์หรือจิตวิญญาณ คำว่ามนุษย์นี่เอานามธรรมเป็นหลัก พระพุทธเจ้าสอน มโนปุพพัง คมาธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา ตัวนี้คือตัวการคือสภาวะหรือตัวจริง ของความเป็นมนุษย์ชมพูทวีป แล้วก็ไม่ได้เข้าใจว่าตนเป็นมนุษย์ ที่แปลว่า ผู้มีจิตสูง โดยเฉพาะ มนุษย์ที่มี สุรภาโว หรือสูรกาโย

 

คำว่าสูระ ไม่ใช่อสูรกาย แต่เป็นสูรกาย กับสติมันโต แล้วใช้สูรกาโย กับสติมันโต เป็นอุปกรณ์ในการปฏิบัติเพื่อให้เกิดเป็นมนุษย์อุตรกุรุทวีป หรือให้เป็นมนุษย์ อมรโคยาน

 

โคยานคือดำเนินไป เลี้ยงชีพไป

 

อมร แปลว่าไม่ตายหรือ อมตบุคคล คำว่าอมร แปลว่าไม่ตาย

 

คนเรามีชีวิตจะให้โคจรไปอย่างไรก็ไม่ได้คิดกัน แต่พระพุทธเจ้าท่านให้สร้างยานหรือโคจรไปที่จะเป็นมนุษย์อุตรกุรุปทวีป คนเรามีความเป็นชมพูทวีป แต่ไม่ได้มีปัญญาก้าวหน้าสู่ ความเป็นมนุษย์อุตรกุรุปทวี คำว่าอุตระคือแดนเหนือ

 

ส่วน อปรโคยาน คำว่า อปร หรือ อปรันตะ แปลว่าอนาคต ส่วน ปุพพันตะ แปลว่า ตะวันออก

 

ปุพพันตะ คืออดีต ส่วนอปรันตะคืออนาคต

ส่วนหนึ่งของมโนคือ ปุพพันตะ คือปุพพะ ไม่ใช่ อปรันตะ มนุษย์อประ คือเดินทางสู่ตะวันตก แทนที่จะเดินไปตะวันออก ไม่เดิน คำว่าตะวันออกคือเกิด คำว่าตะวันตกคือหยุด แต่ไม่ใช่พลังสร้างสรร ก็เลยกลายเป็นคนหลงดาวดึงส์

 

 พ.  ดูกรอานนท์ ถ้าอย่างนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวท่านพระอานนท์

ทูลรับสนองพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรอานนท์ จักรวาลหนึ่ง

มีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์พระอาทิตย์โคจร ทั่วทิศสว่างไสวรุ่งโรจน์ โลกมีอยู่พัน

จักรวาลก่อน ในโลกพันจักรวาลนั้น มีพระจันทร์พันดวง มีอาทิตย์พันดวง มีขุนเขา

สิเนรุพันหนึ่ง มีชมพูทวีปพันหนึ่ง มีอปรโคยานทวีปพันหนึ่ง มีอุตตรกุรุทวีปพันหนึ่ง

มีปุพพวิเทหทวีปพันหนึ่ง มีมหาสมุทรสี่พัน มีท้าวมหาราชสี่พัน มีเทวโลกชั้นจาตุ

มหาราชิกาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดาวดึงส์พันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นยามาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้น

ดุสิตพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นนิมมานรดีพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัสตีพันหนึ่ง

 มีพรหมโลกพันหนึ่ง ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างเล็กมีพันจักรวาล โลกคูณ

โดยส่วนพันแห่งโลกธาตุ อย่างกลางมีล้านจักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณ

แสนโกฏิจักรวาล ดูกรอานนท์ตถาคตมุ่งหมายอยู่ พึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณ

แสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่มุ่งหมาย ฯ

     อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคพึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสน

โกฏิจักรวาล ให้รู้แจ้งด้วยพระสุรเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมายอย่างไร ฯ

     พ.  ดูกรอานนท์ พระตถาคตในโลกนี้ พึงแผ่รัศมีไปทั่วโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณ

แสนโกฏิจักรวาล เมื่อใด หมู่สัตว์พึงจำแสงสว่างนั้นได้ เมื่อนั้นพระตถาคตพึงเปล่งพระสุรเสียงให้สัตว์เหล่านั้นได้ยิน พระตถาคตพึงทำให้โลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล

ให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง หรือพึงทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมาย ด้วยอาการเช่นนี้แล ฯ

     เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสดังนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ ได้กราบทูลว่า เป็นลาภของ

ข้าพระองค์หนอ ข้าพระองค์ได้ดีแล้วหนอที่ข้าพระองค์มีพระศาสดาผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนี้

 เมื่อท่านพระอานนท์กราบทูลอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุทายีได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์

ในข้อนี้ท่านจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าศาสดาของท่านมีฤทธิ์ มีอานุภาพมากอย่างนี้ เมื่อท่าน

พระอุทายีกล่าวอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระอุทายีว่า ดูกรอุทายี เธออย่าได้กล่าว

อย่างนี้ ถ้าอานนท์ยังไม่หมดราคะเช่นนี้ พึงทำกาละไป เธอพึงเป็นเจ้าแห่งเทวดาในหมู่เทวดา

7 ครั้งพึงเป็นเจ้าจักพรรดิในชมพูทวีปนี้แหละ 7 ครั้ง เพราะจิตที่เลื่อมใสนั้น ดูกรอุทายี

ก็แต่ว่าอานนท์จักปรินิพพานในอัตภาพนี้เอง ฯ

                         จบอานันทวรรคที่ 3

 

พระพุทธเจ้าตรัสเป็นปุคคลาธิษฐาน คนสมันก่อนเข้าใจได้ แต่สมัยนี้อาตมาต้องอธิบาย

 

คนเกิดมามีร่างกายครบแล้ว แทนที่จะมีชีวิตมุ่งแต่ไปข้างหน้า ข้างหน้าที่แต่ละคนตั้งไว้คือความสุข มนุษย์ทุกผู้ หายใจเข้าเขาก็ต้องการความสุข โดยที่เขาไม่รู้ว่าสุขคืออะไร คือภพของดาวดึงส์ทั้งสิ้น เป็นอาการที่ 33 ทุกคนจะต้องเป็นให้ได้ ฉันต้องการสุข ไม่มีใครวิ่งหาสัตว์นรก แม้แต่คนซาดิสม์ คนที่ชอบความรุนแรง ชอบความเจ็บปวด แต่ไม่ให้ตนเจ็บปวด แต่ให้ตนได้เห็นคนอื่นเจ็บปวดมันสุข มนุษย์ดาวดึงส์เหมือนกัน อย่านึกว่า แบบโรแมนติกอย่างเดียว แต่ซาดิสม์ก็สุข มาซูคิสม์ก็สุข ให้ตนสุขที่สมมุติขึ้นมาอันเป็นเท็จทั้งนั้น

 

ทุกคนในโลก เกิน 100 % ตั้งจิตไปหาสุขทั้งนั้น แล้วใครไม่หาสุขวะ คนโลกจะย้อนเช่นนี้ นิพพานังปรมังสุขัง เขาก็ว่างั้น แต่เขาไม่รู้ว่า นิพพานคืออย่างไร ปรมังสุขังคืออย่างไร คือสุขอย่างไม่ต้องเสพรส คนจะเอาสุขทุกลมหายใจเข้าออก ทุกคนก็เลยต้องเสพให้บำเรอกิเลส ตลอดเวลา เดินยืน นั่ง ตรงนี้จะสบาย ได้นอนก็สุข ได้เต้นก็สุข ได้ข้าวของ ได้ออกอิริยาบถ แสวงหาสิ่งที่สมอุปาทาน สมใจตั้งภพไว้ เสริมภพตลอดภพนั้นเป็นปุพพวิเทหะ สั่งสมเป็นอดีต ปุพพันตะ ส่วนอปรันตะคือที่สุดของอนาคต ที่สุดของอดีตคือปุพพันตะ คำว่า อปร คืออื่นอีก ๆ อปรโคยานคือดำเนินสู่อื่นๆอีก แล้วสั่งสมเป็นอดีต ปุพพวิเทหทวีป เป็นนรก and the นรก

 

อปรโคยาน ปุพพวิเทหะ ดาวดึงส์ ถ้าไม่ศึกษาปฏิบัติจริงจะไม่มีทางเป็นอมรโคยาน สูงสุดเป็นอมตบุคคลได้หรอก ต้องฝึกฝนศึกษาตั้งแต่กรอบเล็กเป็นปริตตัง เป็นลำดับ ไม่ใช่ไม่มีขั้นตอน แต่ต้องไปตามลำดับ

 

[225] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีป ประเสริฐกว่าเทวดาชั้นดาวดึงส์

และพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีป ด้วยฐานะ 3 ประการ 3 ประการเป็นไฉน คือไม่มีทุกข์ 1

 ไม่มีความหวงแหน 1 มีอายุแน่นอน 1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปประเสริฐกว่า

พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ และพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีปด้วยฐานะ 3 ประการนี้แล ฯ

     ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาชั้นดาวดึงส์ ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและ

พวกมนุษย์ชาวชมพูทวีป ด้วยฐานะ 3 ประการ 3 ประการเป็นไฉน  คือ   อายุทิพย์ 1

วรรณะทิพย์ 1 สุขทิพย์ 1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาชั้นดาวดึงส์ ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์

ชาวอุตรกุรุทวีปและพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีปด้วยฐานะ 3 ประการนี้แล ฯ

     ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีป ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและ

เทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยฐานะ 3 ประการ 3 ประการเป็นไฉนคือเป็นผู้กล้า 1 เป็นผู้มีสติ 1

เป็นผู้อยู่ประพฤติพรหมจรรย์อันเยี่ยม 1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีปประเสริฐกว่า

พวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยฐานะ 3 ประการนี้แล ฯ

                          จบสูตรที่ 1

 

เพราะมนุษย์อุตรกุรุปทวีปคือเป็นที่มโนเป็นผลแล้วจิตได้แล้ว เป็นมนุษย์อมรโคยานเท่าไหร่ก็เดินไปสู่อุตรกุรุปทวีปเท่าไหร่ก็ดำเนินไปเท่านั้น  แต่ถ้าไม่สามารถมีความเป็นชมพูทวีป จะไม่มีทางเป็นอรหันต์ จะไม่มีทางสำเร็จ แม้อนาคามีก็ค้างคาอยู่เช่นนั้น เป็นอีกไม่รู้กี่ชาติ การได้ร่างกาย สูรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส เลิศยอดกว่ามนุษย์อุตรกุรุปทวีปอีก

 

อมโม คำว่า มม หรือมมังการคือจิต คำว่า อมโมคือไม่ยึดถือตัวกูเป็นเราเป็นของเราแล้ว ท่านจะไปแปลว่าว่าเป็นความไม่ทุกข์ไป

 

มนุษย์ชมพูทวีป คือมีอาการครบ 32 ทวัตตังสาการ อวัยวะเจ้าการไม่บกพร่อง สบาย มีเรี่ยวแรงเต็มที่ พร้อมสัญญาและใจ ใครไม่รู้จิตก็เป็นเทวดาดาวดึงส์ที่จะต้องหาสุข ตลอดลมหายใจเข้าออก มันจะเอาแต่สุข นอนมันก็เสพ นั่งมันก็เสพ ยืนมันก็เสพ แต่มันก็ถูกทุกข์มาคั่นตลอด จำนนมันก็เอา แต่ถ้าเอาได้มันก็เอาดาวดึงส์ตลอด

 

ชีวิตปุถุชนจึงวิ่งหาสุขเท็จตลอด วิ่งไปหาเอาเท็จ แล้วเมื่อไหร่จะฉลาด คือโง่ไม่มีอะไรคั่น โง่ไม่มีวินาทีคั่น โง่ตลอดกาลนาน

 

แม้แต่จะมาเป็นพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ยอด เป็นยอดของอุตรกุรุปทวีป เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ปางนั้นก็ต้องอาศัย ชมพูทวีป เป็นที่อื่นไม่ได้ เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ที่ไหนก็เป็นไม่ได้ เป็นได้ต้องมีสูรภาโว แดนชมพูทวีปจึงเหนือชั้นกว่าทุกแดน แม้อุตรกุรุทวีปก็ไม่สู้

 

_อมโม(ไม่มีทุกข์ )คนเป็นโสดาบันจบกิจของโลกอบาย สกิทาคามีก็เก็บกามาวจร สูงไปตามลำดับก็ไม่มีทุกข์ นี่คือผลของมนุษย์ที่บรรลุโลกุตรธรรม ก็เก็บสะสมความไม่ทุกข์ไปเรื่อยๆ

 

_อปริคโห มีความไม่หวงแหน หมดเราหมดของเรา ไม่เป็นเราไม่เป็นของเราไปเรื่อยๆ

 

คนไปเนปาลบางคน แทนที่จะได้อัฏฐิทินนัง ปฏิบัติที่จะได้สะสม อมโม อปริคโห นิยตายุโก หรือสะสม อมรโคยาน สะสมสิ่งที่จะพาสู่อมตะก็ไม่รู้ แต่ได้กุศลนะ ได้กุศลอันนี้แหละเป็นทิพย์ พวกนี้ได้ทิพย์นะ

 

_นิยตายุโก ... คืออมตบุคคลไม่ตายไม่เกิด อายุแน่นอนแล้ว อายุของท่านคืออิทธิบาท เครื่องแสดงอายูหะ คืออิทธิบาท

1.         มีอายุหะ คือ  มีอิทธิบาท เป็นเครื่องแสดง คนไม่มีอิทธิบาทเหมือนคนตายคนสิ้นอายุแล้ว บางคนขี้เกียจ กรนครอก ชีวิตของคนที่อยู่ เป็นอุตรกุรุทวีป เป็นคนประเสริฐในชมพูทวีปจะเห็นได้ว่าเป็นคนขวนขวาย มีเวยยาวัจจมัย มีวิริยารัมภะ เป็นคนทำงานทำการสร้างสรร พักก็ควรพัก ตื่นมาแต่เช้า ก็ขยันหมั่นเพียรสร้างสรร เป็นการแสดงอายุที่แท้จริง นิยตายุโก พระพุทธเจ้าว่า เราไม่พักอยู่  (อัปปติฏฐัง) เท่ากับยังเพียรต่อไป  เราไม่เพียรอยู่  (อนายูหัง) เท่ากับพักหรือไม่ต่ออายุอิทธิบาท  เราเป็นผู้ข้ามโอฆสงสารได้แล้ว  (โอฆมตรินติ) เมื่อใดเรายังพักอยู่ (สันติฏฺฐามิ) เมื่อนั้นเรายังจมอยู่โดยแท้  เมื่อใดเรายังเพียรอยู่ (อายูหามิ) เมื่อนั้นเรายังลอยอยู่โดยแท้ เราไม่พัก เราไม่เพียร  ข้ามโอฆะได้แล้วอย่างนี้แล ฯ 

(พตปฎ. เล่ม 15  ข้อ 2)

2.        มีวรรณะ  คือ  มีศีลผุดผ่อง           ”

3.        มีสุขะ  คือ  มีฌาน 4                   ”

4.        มีโภคะ  คือ  มีพรหมวิหาร 4       ”

5.        มีพละ  คือ  มีวิมุติหลุดพ้นเป็นพลังแสดง .

พตปฎ. เล่ม 11   ข้อ 50

 

ที่ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีป ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและ

เทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยฐานะ 3 ประการ 3 ประการเป็นไฉนคือเป็นผู้กล้า 1 เป็นผู้มีสติ 1

เป็นผู้อยู่ประพฤติพรหมจรรย์อันเยี่ยม 1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีปประเสริฐกว่า

พวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยฐานะ 3 ประการนี้แล ฯ

     

 

มนุษย์ดาวดึงส์นั้นเสพสุข แต่ก็จะได้เดี๋ยวเดียว คุณไปตั้งความพอใจที่สุข อันที่ไม่สุขคุณไม่ตั้งจะเอา ไม่อยากได้ไม่อยากสัมผัส แต่ถ้าคุณไม่มีของหลอกให้คุณตลอด คุณก็จะได้ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แต่ที่สุขนั้นเพราะคุณไปจดจ่อตรงนั้น เดี๋ยวเดิน เดี๋ยวนั่ง ให้สบายตลอด ถ้าไปทำงานก็ยังดี แต่ทำงานแล้วตั้งภพว่าจะเอาเปรียบให้ได้ คิดสารตะ ยิ่งฉลาดเป็นคนชั้นสูง คิดตั้งราคาไว้ ค่าความคิดผลผลิตเวลาค่าอะไรมาหลอกคน จนคนยอมนี่ค่าอะไรก็ตั้งมาไม่ว่าจะเป็นข้าราชการหรือธุรกิจก็ตั้งไว้ ไปเอาเปรียบเขามาก็เป็นวิบากทั้งนั้น 

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาชั้นดาวดึงส์ ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีป ด้วยฐานะ 3 ประการ 3 ประการเป็นไฉน  คือ   อายุทิพย์ 1 วรรณะทิพย์ 1 สุขทิพย์ 1

 

คำว่าอายุ คืออิทธิบาท ขยันที่จะต้องสุขทุกลมหายใจเข้าออก ทุกวินาที ไม่ตาย จะต้องดิ้นรนบำเรออารมณ์ที่ 33 พอใจบำเรอใจที่ต้องการ จะเรียกว่ากามหรือตัณหาก็ตาม ไม่กามก็ภวตัณหาตลอดเวลา นี่คืออายุทิพย์ แต่ก่อนเราก็เป็นคนเช่นนั้น

 

วรรณะทิพย์คือชั้นยศ ซึ่งจริงๆแล้วอีกอันเขาแปลว่า ผิวพรรณ คือเรื่องเปลือกๆ ที่จริงคนเราก็เท่ากัน มีสิทธิ์ไปนิพพานหรือตกนรกเท่ากัน โง่ๆก็มีแต่นรก ถ้าฉลาดจริงก็ไปนิพพานได้ เท่ากันหญิงชาย ผู้ที่มีอายุทิพย์ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร มีอายุคืออิทธิบาท แต่อิทธิบาทของคุณแสวงหาสุข

 

สุขทิพย์ คือสุขบำเรอกิเลส แล้วคุณหลงจริงๆนะ อาการเทวดาดาวดึงส์คุณได้ สุขทิพย์ อายุทิพย์ วรรณะทิพย์ จะเพื่อได้โลกียรสคือสุขทิพย์ ที่คุณหลงว่าเป็นสุข อันเป็นสุขขัลลิกะ ไขว่คว้าหากามตัณหานี่แหละอยากได้กามอยากได้ภพตลอดเวลา ได้มาแล้วก็สุข ทุกลมหายใจเข้าออกที่ยังไม่ตาย แล้วก็ภาคภูมิใจ ถ้าได้เหนือเขาเป็นนิมมานรดี เป็นปรนิมมิตวสวัตตี หรือเป็นจตุมหาราชิกา ก็เพื่อได้วรรณะทิพย์

 

นิมมานรดี คือเนรมิตเองสร้างเอง ล่าได้หมด หรือให้คนอื่นทำให้เป็นปรนิมมัตตวสวัตตี คือสวรรค์กามมาวจร แล้วคนก็จมในดาวดึงส์นี้ตลอดกาลนาน จิตมีมโนสัญเจตนาเช่นนี้ทั้งนั้นทุกลมหายใจเข้าออก คุณได้มนุษย์ชมพูทวีป มีสูรภาโว สติมันโต แต่ไม่ได้ใช้อิทธพรหมจริยวาโสเลย เป็นผู้ใช้ นิรยกายุโก หรือนิรยวาโสคือได้โลกเป็นที่อยู่ของนรก อิทธนิรยวาโส เพราะอวิชชาโดยตรงเลย

 

รู้แล้วเข้าใจแล้วจะได้ละหน่ายคลาย อวิชชา ความโมหะหลงผิด มันหลงเช่นนี้ทั้งนั้น ใครไม่เคยตั้งจิตให้ได้สุขตลอด แต่ไม่รู้ไม่เคยรู้มาก่อน

 

สรุปคือมนุษย์ชมพูทวีป ดีที่สุด เพราะมีสิทธิ์เป็นมนุษย์อุตรกุรุปทวี และไม่ตกเป็นเทวดาดาวดึงส์ได้ เทวดาดาวดึงส์คือมนุษย์มีสุขที่เป็นของเท็จ

 

วันนี้ได้รู้ถึง มนุษย์ชมพูทวีป อรปโคยาน(อมรโคยาน) ปุพพวิเทหทวีป มนุษย์อุตรกุรุปทวีป  เทวดาดาวดึงส์ ก็คงจะได้เข้าใจภาษาของพระพุทธเจ้า ถ้าเราเข้าใจแล้วเป็นประโยชน์ เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดปัญญา แล้วจะทำให้เราเห็นชัดเจนลึกซึ้งเกิดความหน่ายคลาย เกิดความไม่ยึดมั่นถือมันเป็นอมรโคยานไปเรื่อยๆ จนจิตวิญญาณเราเป็นอุตรกุรุทวีป เป็นโลกอุดร เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นต่อไป แทนที่จะหลงเสพเป็นดาวดึงส์และได้อุปาทาน ได้ อสูรกาโย แต่ควรได้กายเป็น สูรกาโย ได้องค์ประชุมรูปนามอย่างกล้าหาญทำให้เจริญ

 

มาดูที่ พระไตรฯล.12 ข.566

 

ภิกษุใดได้กระทบยอดภูเขามหาเนรุด้วยชมพูทวีปด้วย ทวีปของชาวปุพพวิเทหะด้วย พวกนรชนผู้อยู่ในแผ่นดิน

            [ชาวอมรโคยานทวีป และชาวอุตตรกุรุทวีป] ด้วยวิโมกข์ ภิกษุใดเป็น สาวกของพระพุทธเจ้า ย่อมรู้เหตุนั้น มารประทุษร้ายภิกษุเช่นนั้น ย่อมประสบทุกข์อย่างหนัก ก็คนพาลมาเข้ากองไฟที่กำลังลุกโชน ย่อมเดือดร้อนอยู่ว่า ไฟย่อมไม่คิดจะเผาเรา แต่เราย่อมเผาตนผู้เป็นคนพาลเอง

    ดูกรมาร ท่านเบียดเบียนพระตถาคตแล้วจักเผาตัวเอง ดังคนพาลที่ถูกไฟเผา ฉันนั้นเหมือนกัน ดูกรมาร ท่านเบียดเบียนพระตถาคตแล้ว ต้องประสบบาปมิใช่บุญ ท่านอย่าสำคัญว่า บาปไม่ให้ผลแก่เราหรือหนอการกชนที่สั่งสมบาป ย่อมโอดครวญตลอดกาลนาน ดูกรมาร ท่านเบื่อหน่ายพระพุทธเจ้า อย่าได้ทำความหวัง [ซึ่งความพินาศ] ในภิกษุทั้งหลายเลย ภิกษุได้คุกคามมารในเภสกลาวัน ด้วยประการฉะนี้ ลำดับนั้น มารนั้นมีความเสียใจได้หายไปในที่นั้น ฉะนี้แล.

                             จบมารตัชชนียสูตร ที่ 10

                               จบจูฬยมกวรรคที่ 5

 

สูตรนี้ มีคนน้อยคนจะรู้เรื่อง แต่ยิ่งใหญ่ เป็นค่าที่หา บ่ มิได้ที่จะมีคนเอาความจริงมาเปิดเผย เป็นการกล่าวสัจจะที่ว่า ผู้เบียดเบียน ตถถาคตเท่ากับเผาตนเอง ผู้ใดไม่ใส่ใจฟัง สัตบุรุษแม้พระพุทธเจ้าก็ไม่ใส่ใจ ผู้นั้นไม่มีทางเจริญเลย

 

ผู้ที่ว่า ได้แอบข้างเขาสิเนรุ ว่าพระพุทธเจ้าสอนผู้ที่เป็นมารดา นั้น ท่านถือว่าทุกคนคือมารดา คือผู้ให้กำเนิด สงฆ์สาวกทุกคนคือมารดา แต่อย่างพระสารบุตรและท่านโมคคัลลานะคือแม่นม เขาสิเนรุมันกั้นแต่ก็ยังมีคนได้รับได้ฟังคือได้รับสาระของพระพุทธเจ้า

 

ในสูตรนี้ยกเว้น ดาวดึงส์ ที่งมงายในอาการที่ 33 ไม่ได้เรื่อง มนุษย์ที่ได้กระทบสัมผัสตรงนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น[ชาวอมรโคยานทวีป และชาวอุตตรกุรุทวีป] ด้วยวิโมกข์ ผู้เหล่านี้ มารประทุษร้ายภิกษุเช่นนั้นก็จะประสพทุกข์หนัก มารผู้ใดที่มาละลาบละล้วงว่ายิ่งว่า พระพุทธเจ้าด้วย เบื่อหน่ายพระพุทธเจ้าด้วย คนๆนี้ไม่ต้องพูดเลย แม้แต่ไปประทุษร้ายภิกษุผู้ประพฤติดีประพฤติชอบก็เท่ากับเผาตนเอง

 

 

อาตมาอ่านสูตรนี้แล้ว ใครว่าอาตมามากๆเข้าก็เข้าข่ายสูตรนี้ ขออภัยไม่ได้ว่าเพื่อกันตัวเองนะ

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

 

_ดญ.เมย... อายุแน่นอนเป็นอย่างไร?

ตอบ...ผู้มีอายุคือคนไม่ตาย ยังมีชีวิต ผู้มีชีวิตไม่เกิดไม่ตายคืออมตบุคคล ไม่เกิดไม่ตายนี่แน่นอนนะ คือผู้นี้รู้จักความเกิดความตายของชีวิต โดยเฉพาะจิตใจที่มีกิเลสเป็นชีวิตินทรีย์ ของจิตชั่วที่มันตายไปสนิทแล้ว ตายจนไม่เกิด เที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผู้นี้จึงเป็นผู้มีชีวิตที่มีสิ่งที่จะทำให้ตายนั้นตายหมดแล้ว ชีวิตินทรีย์ของสัตว์ชั่วตายหมดแล้ว สรุปคือ จิตใจเราไม่คิดชั่วอีกแล้ว การคิดชั่วตายไปจากจิตแล้ว เราเป็นคนมีจิตใจที่ไม่ตาย จิตใจดี จิตชั่วตายไม่เกิดอีก มีแต่จิตใจดี

 

_ดญ.เพชรเพียงพุทธ นิยมพุทธ...​กรรมกรศาสนา กับปุถุชนอย่างไหนดีกว่า?

ตอบ...กรรมกรศาสนาคืออะไร? ปุถุชนคืออะไร? 

 

กรรมกรศาสนา นั้นมีความหมายคือคนทำงานรับใช้ศาสนา ถ้าคำว่ากรรมกร ผู้รับใช้อย่างพาซื่อ ไม่มีปัญญา หรือรับจ้างทางศาสนา รับสิ่งแลกเปลี่ยนอามิส ตลอดชีวิตเรียกกรรมกรศาสนา มีอวิชชา โง่ๆ ไม่มีปัญญา ถ้ากรรมกรอย่างนี้ก็เลวกว่าปุถุชน โง่กว่าปุถุชน มารับใช้ศาสนาเฉย เท่ากับ ทัพพีไม่รู้รสแกง แช่ในชามแกงไม่รู้รสแกง ไม่ได้อะไรเลย

 

ส่วนปุถุชนคือคนทั่วไป เขาก็มีดีมีชั่ว แต่ปุถุชนบางคน ไม่รู้จักศาสนาก็ไม่ได้อะไร แต่พอได้เจอศาสนา ได้แตะรสแกงเขากลับรู้รสแกงก็มีโอกาสดีกว่า แต่กรรมกรศาสนา แช่อยู่ในหม้อแกงแต่ไม่ได้รับรสอะไรเลย

 

อย่างหลวงปู่เป็นกรรมกรแท้ของศาสนา ไม่ใช่กรรมกรรับจ้างเพื่อได้สิ่งตอบแทน เป็นกรรมกรที่ไม่เอาค่าตอบแทน ทำงานให้ศาสนารับใช้ศาสนาอย่างบริสุทธิ์อันนี้เป็นกรรมกรที่เลิศยอดกว่าปุถุชน

 

อย่างที่พระพุทธเจ้าว่า แม้ภิกษุทำงานรับค่าจ้างจากฆราวาส คือกรรมกรที่ได้รับบาปไปด้วย เพราะไม่รู้ ว่าตนเองทำอะไรที่เป็นความชั่ว


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:40:46 )

580502

รายละเอียด

580502_เทศน์งาน 25 ปีสัมมาสิกขาศีรษะอโศก  DNA พุทธอยู่ในมนุษย์ชมพูทวีป

พ่อครูว่า...วันนี้ 2 พฤษภาคม 2558 วันนี้ที่ศีรษะโศกเป็นวันรวมพลศิษย์เก่า ที่เรามีการศึกษาได้ครับ 25 ปี ใครมาเรียนตอนเริ่มก็ต้อง 10 ปีขึ้นมาเรียนมัธยม ตอนนี้ก็ต้องอายุอย่างน้อย 35 ขึ้น ก็มีลูกมากัน บางคนก็ลูกอยู่ในท้องให้ตั้งชื่อให้แล้ว

 

อาตมาไม่แคร์หรอกที่จะไปมีลูกทางร่างสรีระ แต่อาตมามีลูกทางจิตวิญญาณ มากกว่าพวกเราเยอะ มีลูกเป็นพันเป็นเอนก พวกเราจะมีกันได้กี่คนน่ะ ถึงอย่างไรก็สู้อาตมาไม่ได้ อาตมามีจำนวนพันเป็นเอนก

 

คนจะมาเป็นลูกได้ต้องมี DNAพุทธ ใส่เข้าไป อาตมาก็พยายามใส่เชื้อเข้าไป ทุกคนที่มาผ่านโรงเรียนชาวอโศก สัมมาสิกขา คือคนที่ได้รับการฉีดเชื้อDNA อโศกทั้งนั้น ใครจะต่อต้าน Anti เท่าไหร่ก็แล้วแต่ ใครจะรับไปเท่าไหร่ก็ตัวใครตัวมัน ใครจะรับไปเยอะ จนบางคนอยู่ในชาวอโศกมี พ่อแม่ ปู่ย่า น้าอา อยู่ในระบบสาธารณโภคีเลย อยู่ในครอบครัวใหญ่ เป็นครอบครัวอโศก เป็นชุมชนสาธารณโภคี ไม่ใช่เรื่องสร้างภาพเป็นนิยายหลอกโลก แต่เป็นเรื่องเกิดจากจิตวิญญาณเป็นประธาน มโนปุพพัง คมาธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา

 

อาตมาก็ไม่รู้ว่าแต่ละคน ที่ได้รับเชื้อ เป็นญาติทางจิตวิญญาณเช่นนี้ มีความรู้ความเห็นความเชื่อมั่นมามีชีวิตแบบนี้ มีชีวิตแบบคนจน เข้าใจโลกที่ประกอบด้วย โลกธรรม กามคุณ อัตตา 3 สมเด็จพ่อสอนมาหมด อาตมาก็รับมามาก แทบจะหมดแล้ว อาตมาว่าเหลืออีกเท่าไหร่ก็เก็บกวาดเพิ่มเติม มาเป็นจริงแก่ตนให้มีเชื้อแท้ของพุทธให้ได้แล้วเอามาแพร่เชื้อต่อไป แพร่จริงๆ จนคนที่จะมารับไป จนกลายเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขพุทธเลย มีชีวิตอยู่ตามทฤษฏีระบบแบบพระพุทธเจ้า มาถึงผลของสาราณียธรรม 6

1.        สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)

2.       ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) .

3.        ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)

4.        สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) . . .

5.        อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) .

6.        สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) .

7.        เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)

(โกสัมพีสูตร พตปฎ. ล.22  ข.282-283)

มันก็เป็นรูปธรรมของความเป็นพุทธจริง ชัดเจนในรูปธรรม ขนาดหนึ่ง แต่งามกว่านี้ เนียนกว่านี้ แน่นกว่านี้ได้อีก แข็งแรงเป็นบุญนิยมสาธารณโภคีที่พิสดารกว่านี้ที่มีผลต่อมวลมนุษยชาติได้มากกว่านี้ได้ ทุกวันนี้มีอัตราก้าวหน้าได้มากขึ้น เอื้อเอื้อเกื้อกว้างต่อมวลมนุษยชาติได้มากขึ้น วันนี้จะมีคนระดับ คสช. เรื่องเกี่ยวกับเกษตรจะมาเยี่ยมชม มาสังสรรเสวนา พยายามมารับ DNAแบบเรา เขาจะมาเชื่อมไป ตามลำดับๆ นี่ก็เป็นการก้าวหน้าพัฒนา

 

ผู้ที่มีปัญญารู้แจ้วเห็นจริง อย่างพระพุทธเจ้าท่านสรุปจบเลยสุดยอดในความเป็นมนุษย์ ท่านสรุปลงตรงที่

มนุษย์มีอยู่กี่แบบ

 

อปรโคยาน คือ ชีวิตคนที่ดำเนินไปข้างหน้า อย่างไม่รู้ทิศทางว่าจะดีหรือไม่ดี ไปเรื่อยๆ ส่วนมากหลงจมในดาวดึงส์

 

อมรโคยาน คือชีวิตไปสู่คนอมตะ กิเลสตายไปตามลำดับ แต่มีชีวิตทำประโยชน์ต่อโลก

 

ปุพพวิเทหทวีป คือ กองวิบาก การสั่งสม อดีตใส่ชีวิต ตนไป จะดีหรือไม่ดีก็แล้วแต่

 

อุตรกุรุทวีป คือ จิตใจที่เป็นโลกุตระ อยู่ในมนุษย์ชมพูทวีป แต่ถ้ากายแตกตายไป ก็ไม่มีสิทธิ์เป็นอรหันต์ได้ ต้องมาเป็นมนุษย์ชมพูทวีปจึงจะบรรลุอรหันต์ หรือเป็นพระพุทธเจ้าได้ คือมนุษย์ที่มีจิตใจที่จะเป็นครู เป็นกุรุของโลก

 

ดาวดึงส์ คือ เสพสุขอยู่ในอาการที่ 33 คืออาการจิตที่มนุษย์จมและใฝ่หาอยู่แต่แดนดาวดึงส์ ทุกลมหายใจเข้าออก

 

ชมพูทวีปคือ มี สูรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส ดีที่สุดเพราะเป็นได้ทุกอย่างเลย

 

ทวัตติงสาการ คืออาการ 32 (ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ไปจนถึงทุกอวัยวะ นอกและใน) แต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนังไม่ใช่กาย เป็นส่วนใกล้สุดก็ยังไม่ใช่กาย แล้วนอกจากนั้นไปไม่ใช่กายเลย จะเป็นแตงโม เป็นอะไร เป็นข้างของอะไรก็ไม่ใช่กาย

 

แล้วก็มี  ดาวดึงส์ คือ เสพสุขอยู่ในอาการที่ 33 คืออาการจิตที่มนุษย์จมและใฝ่หาอยู่แต่แดนดาวดึงส์ ทุกลมหายใจเข้าออกที่เราต้องมาเรียนรู้อย่าไปยึดเป็นเราเป็นของเรา เพราะถ้ายึดแล้วก็จะเป็นนิยายของโลกเวียนวนอยู่อย่างนับไม่ถ้วนเลย คนอวิชชาก็จะเป็นเช่นนี้

 

มีอาการ 32 และอาการ 33 วนเวียนกันไม่รู้จบสิ้น พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ในมนุษย์ชมพูทวีป เกิดมามีอาการ 32 ครบ พร้อมอาการ 33 แล้วก็ปรุงแต่งเป็นอปรโคยานไปไม่รู้จบ จนกว่าจะรู้จักวิธี เรียนรู้ตั้งแต่เบื้องต้น เมื่อสัมผัสแล้วมันยึดอะไรเป็นเราเป็นของเรา ทั้งๆที่ไม่น่าได้น่าเอาเลย เช่น อบายมุข จะเป็นอารมณ์ชอบใจอะไร เป็นดาวดึงส์ก็ให้ละล้างไปตามลำดับ ตั้งแต่เบื้องต้น ปริตตังไปตามลำดับ ก็จะหลุดพ้นไปแต่ละส่วนก็เริ่มเป็นผู้มีอมรโคยาน เป็นอุตรกุรุปทวีปไปเรื่อยๆ ปุพพวิเทหะของเราก็มีอยู่ ล้างไม่ได้ ถ้ามันเป็นอกุศลอยู่ใกล้ก็ออกฤทธิ์เร็ว แต่ว่ามีกุศลมาคั่นอยู่ไกลก็ออกฤทธิ์ช้า หมาไล่เนื้อคือบาป อกุศล จะถูกกั้นด้วยก้อนกำแพง เทหวัตถุนี่แหละ ถ้าเราใส่แต่กุศลก็จะเป็นกำแพง เป็นBuffer ให้กั้นพลังงานอกุศล หมาไล่เนื้อให้ไกลออกไปเรื่อยๆ วิธีการของพระพุทธเจ้าจึงให้ สัพพปาปสอรกณัง หยุดบาป ทำแต่กุศล จึงเป็นคนหยุดบาป หมาไล่เนื้อตามไม่ทันไปตลอดกาล นี่คือวิธีการของพระพุทธเจ้าที่อาตมารับมาจากพระพุทธเจ้า เชื่อไหมว่ารับมาจากพระโอษฐ์

 

วิธีปฏิบัติต้องมีทั้งอาการ 32 และ 33 ต้องครบ คุณมีสูรกาย ต้องมีความกล้าเต็ม มีอาการ 32 และอาการ 33 คือจิตวิญญาณครบ คุณก็เรียนรู้อย่าเป็นคนไม่กล้า ไม่กล้านี้เพราะ 1.ไม่กล้าเพราะไม่รู้ว่าอะไรดี 2.ไม่กล้าเพราะแม้รู้ว่าดีแต่ไม่กล้าทำ อันหลังนี้คืออสุรกายแท้ มันสู้พลังกาม โลกธรรม อัตตา 3 ไม่ได้ มันดึงคุณไปโลกีย์ได้ คุณไม่กล้า แม้มีอาการ 32 ครบ แต่ไม่ได้ใช้กาย มาต่อสู้เพื่อกำจัดมาร ฆ่ามาร ที่จริงก็คือจิตวิญญาณตนเอง

 

คุณอยู่ในบุพพวิเทหะ ที่คุณยึดมั่นจมในอนุสัยอย่างรู้ตัวหรือไม่ก็แล้วแต่ จนกว่าจะชัดเจนและปล่อยคลายด้วยพลังปัญญา เป็นไฟฌานที่จะเข้าไปทำลายสลายไฟราคะ ไฟโมหะ ไฟโทสะที่เป็นเชื้อแท้ในอนุสัย ใครทำถูกก็ได้ ไม่ถูกก็ต้องทุกข์ต่อไปไม่รู้จบ ถ้าชาตินี้คุณจะอยู่ไปอีกกี่ปี เอาสัก 100 ปี คุณจะผัดผ่อน ว่าอีก 99 ปี ก่อน ค่อยมา หรือ? ถ้าคุณได้ไปเร็วก็ไม่น่าจะเสียอะไรนะ ถ้ารู้อย่างอาตมาว่า ไม่ว่าชาติไหนๆ ก็เป็นหมาแทะกระดูกทุกชาตินึกว่าเป็นรสอร่อย ดูดเลียไปแต่ละชาติคือไปหลงสุขโลกีย์ทุกชาติ แล้วก็มีคู่วิบากทั้งทางรักและชัง

 

ชังก็ทรมาน แม้รักก็ทรมาน ซับซ้อนด้วยติดหนึบหนับไม่รู้กี่ชาติๆ สรุปแล้วนิยายทุกบทก็มีแค่ความรักความชัง มีแค่ราคะโทสะ ส่วนโมหะคือมุ่นวนเพี้ยนหลงไม่ชัด ถ้าชัดว่า นี่ราคะหรือโทสะก็ล้างจนหมด ใครรู้จักราคะ โทสะอย่างวิจิกิจฉา ผู้นั้นก็หมดโมหะก็กำจัดราคะโทสะให้หมดก็จบ

 

ใครไม่รู้ก็ถูกโลกหลอก ใครรับวัคซีนไป ฉีดให้ทุกคน ใครจะรับหรือanti ไปเท่าไหร่ก็แล้วแต่ ที่ไม่มานี่ตีความว่าไม่เหลือไว้ก่อน ที่มานี่ถือว่าเหลือนะ

 

เรายังอยู่ไม่ตาย และกลุ่มแกน DNA พุทธก็ยังอยู่ ให้คุณมาร่วมได้เสอม ให้มาเข้าเป็นอันนี้ได้ เปิดรับทุกวินาที นอกจากคุณเลวชั่วเกินขนาดเขาไม่รับก็แล้วไป หรือว่ามีเชื้อโรคเกิดขนาดก็ไม่ให้มา แต่ถ้าไม่เลวร้ายเกินก็ให้มาได้ ทุกวันนี้ คุณว่า สังคมต้องการความประเสริฐอย่างที่ทุกคนไม่หวงแหน เกื้อกูลกัน พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้อย่างจริงใจเลย คุณว่าโลกต้องการไหม? ....ก็ต้องการ

 

คุณไม่นึกหรือว่า กระแสหลักส่วนใหญ่เขากำหนดได้หมดนะ ทางสังคมเขาไม่ยอมรับที่อาตมาตั้งมาหลายอย่าง มวช. วสว. วนบ. ว.บบบ. อะไรเขาก็ไม่รับรองให้ แต่พวกคุณก็รับได้เอาไปใช้ไปปฏิบัติ อาตมาก็ว่าอาตมาทำสิ่งที่ถูกก็ทำไป พวกคุณก็ได้มารับซับทราบ และก็มาช่วยกันดึงให้ผู้อื่นมาเป็นพุทธแบบนี้ด้วย เพราะทุกวันนี้ เขาปฏิบัติกันไม่ได้ละล้างกิเลส เขาปฏิบัติแบบลืมกดข่ม แต่ของเราอาตมาพาทำแบบมีผัสสะทำแบบพระพุทธเจ้าสอน ละล้างกิเลสไปตามลำดับ ให้พ้นจากสุขดาวดึงส์แต่ให้มีสุขอย่างสงบจากกิเลส แล้วไม่ได้หนีโลกด้วย เรารู้จักโลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แต่จิตเราอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ได้ แล้วช่วยคนที่ตกเป็นทาสสิ่งเหล่านี้ต่อไป ด้วยจริงใจไม่แอบแฝง

 

เชื้อ DNA พุทธไม่เสื่อม ส่วนผู้หนีโลก ไปนั่งหลับตาปฏิบัติแบบฤๅษีดาบสนั้นช่วยโลกไม่ได้ เขาไม่มีโลกวิทู ไม่รู้จักโลก แต่ของเราไม่หนีโลก แต่อยู่กับโลก รู้โลก ช่วยโลกได้ ทำงานมา 45 ปีแล้วบางคนไปๆมาๆ บางคนไปแล้วไม่มาเลยก็มี เรารู้และอยู่กับโลก ว่าอยู่อย่างนี้แล้วเป็นผู้บรรลุแล้วไม่ต้องสะสมบ้านช่องเรือนชาน แม้แรงงาน ความรู้เราก็ไม่ได้ยึดเป็นเราเป็นของเราอีก เราใช้เพื่อช่วยคนอื่น และใช้กินแค่น้อยๆส่วนที่เราจำเป็นเท่านั้น ไม่ตกงาน งานมีตลอดกาลนาน มีเรี่ยวแรงทำไหม จึงเป็นสิ่งสุดยอดในการสร้างมนุษย์ให้เป็นคนชนิดนี้ แล้วพาทำให้สังคมเกิดสังคมชนิดนี้ สุดยอด

 

มาถึงวันนี้ครบรอบ 25 ปีศีรษะอโศกพวกเรามีเชื้อ DNA บุญนิยมอยู่บ้าง ถ้าเกิดบันดาลให้ชีวิตแต่ละคนระลึกรู้ว่า ถ้าเราไปสะสมโลกียธรรมก็ได้โลกีย์ แต่ถ้ามาทางนี้จะไปโลกุตรธรรม ก็จะเพิ่มโลกุตรธรรมให้แก้ปุพพวิเทหะ หรือกล่องอดีต ฮาร์ดดิสก์ เรา จะลด อปรโคยาน ที่ไปหาอย่างอื่นไปเรื่อยๆ ว่าได้เสพโลกธรรม เสพกามได้พิสดารยิ่งขึ้นหรือบำเรออัตตาได้มากขึ้น ก็จะลดลงๆๆ เป็นอมรโคยานเพิ่มขึ้น สู่ความอมตะไม่เกิดไม่ตายไปตามลำดับ

 

ก็ต้องรู้ทัน ดาวดึงส์ที่เป็นสุขเท็จ สุขหลอกที่ไม่จริง จนเรามาล้างเทวดาโลกีย์ เป็นอุบัติเทพ จนหมดดาวดึงส์ ให้เราเป็นอมตบุคคล เป็นวิสุทธิเทพ เป็นเทวดาสูงสุด

 

ใครมารับได้ก็เป็นกุศลของแต่ละคน ใครจะผัดผ่อนก็แล้วแต่คน ไม่บังคับไม่ง้องอน ใครจะเอาก็แล้วแต่ ช่างศีรษะอโศกใคร ไม่มีปัญหา

 

พฤติกรรมที่เป็นอยู่ตอนนี้ ที่บ้านราชฯกำสร้างปรับปรุงภูมิทัศน์ใหม่ เปลี่ยนแปลงไปมากมาย มีงานใหญ่ๆเกิดขึ้นอีก และกำลังจะดูว่าจะเกิดโครงการราชธานีอโศก 2  คือจะมีที่ดินอีกแห่งหนึ่ง ที่เป็นหมู่บ้านที่สองของเรา ดีกว่าน้ำท่วมน้อยกว่า ที่ราชธานีอโศก 1  ถ้าช่วยกัน แต่ละพุทธสถาน สี่ปี ให้ทุนสองร้อยล้าน น่าลุ้นนะ เป็นเหตุปัจจัยที่มาเอง มาเพราะเราทำปุ๋ย เราได้วัตถุดิบ กากเอธานอลเยอะเลย เราไม่มีที่เก็บ เราจะเอาขยะกลับมาเป็นปุ๋ย มันมีธาตุปุ๋ยอย่างดีเลย เราจะมีสูตรที่ ผสมขึ้นมา เราจะเป็นเจ้าแห่งปุ๋ยที่จะกอบกู้ประเทศ เป็นสามอาชีพกู้ชาติแท้จริง จะทำราชธานีอโศก 2 เป็นย่านอุตสาหกรรมเต็มที่เลย ส่วนราชธานีอโศก 1 เป็นย่านกสิกรรม  ส่วนที่ศีรษะอโศกก็ยังอยู่อย่างนี้แหละ เราระบบสาธารณโภคี ทุกอย่างเป็นของเรา ถ้าเราไม่ยึดว่าเป็นของเรา ทุกอย่างเราก็กินใช้ร่วมกันได้ เด็กที่เข้ามาศึกษาไม่ค่อยรู้หรอก ว่าเป็นสมบัติของพวกเรา เขาก็จะว่าไม่ใช่สมบัติของพ่อแม่ผม แล้วที่จริงสมบัติของพ่อแม่ก็ไม่รู้จะให้คุณหมดหรือไม่ แต่นี่เราจริงใจเลยให้จริงๆ เป็นของคุณ ตายไปก็ให้ทายาทมาสืบต่ออีกได้ คุณอยู่อย่างเศรษฐศาสตร์เป็นสมบัติสร้างสรรสะพัดพร้อมพรักอย่างดี สุดยอมรัฐศาสตร์สุดยอดเศรษฐศาสตร์ ใครเข้าใจก็มาช่วยรังสรรสัจจะ ให้รู้ว่านี่คืออาริยสมบัติของมนุษยชาติที่เราจะสร้างในโลกและรักษาไว้เท่าที่เราจะทำได้

 

ขอบอกให้ความรู้แก่พวกเราที่รวมกันฟังมากพอควร

 

คนเราก็บ้าอยู่กับดาวดึงส์ สุขกับการได้เสพรส ได้สมกาม สมโลกธรรม บำเรอใจที่ต้องการเป็นอัตตา ที่นอกเหนือจากความจริงทางทวาร 5 ก็เป็นสุขเท็จทั้งนั้น เมื่อไม่เรียนรู้ก็มีดาวดึงส์อยู่ทุกลมหายใจเป็นอาการที่ 33 ตลอดเวลา ซึ่งศาสนาเทวนิยมไม่รู้ แม้พุทธทุกวันนี้ก็ไม่รู้ เอาไม่ได้แล้ว แต่อาตมายืนยันว่าเราเอาสัจธรรมที่ไม่เป็นทาสสุขหลอกสุขเท็จนี้ได้จริงๆ

 

คนพ้นสุขเท็จนี้ได้จริง ไม่ใช่คนไม่รู้โลก ไม่มีประโยชน์ต่อโลก แต่มีประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่มีอะไรแฝงด้วย คนโลกๆ ที่ไม่ใช่อรหันต์ก็จะมีแฝงเสมอ แม้อนาคามีก็มีแฝง เป็นเศษสังโยชน์ตน จนกว่าจะเป็นอรหันต์ก็จะหมดสังโยชน์หมดแฝง คุณต้องมีปัญญาอ่านอาการ หรือเวทนา ของสุข ทุกข์ได้ ความรู้สึกสุขอย่างแรง อย่างกลาง เราก็ต้องอ่านรู้ พระพุทธเจ้าสอนให้เราตรวจว่ามีเศษธุลีละอองเหลือเท่าไหร่ เป็นนิปุนา ละเอียดระดับอรูปก็ตามก็ต้องตรวจ ล้างให้หมด โดยกระทบกับโลกอยู่ตลอด

 

อโศกเราก็กระทบกับโลกไปเรื่อยๆ แต่ก่อนเราจะเปิดมูลนิธิ เขาให้มีเงินเริ่มเป็นแสนเราก็รอ เป็นหลายปี ได้แค่พันห้าร้อยบาท ก็ไม่ได้ถึงแสน จนกระทั่งมาเจอหมอโกศล ซึ่งมังสวิรัติเป็นตัวนำมา แกก็ทำบุญมาให้เป็นแสน ก็ตั้งมูลนิธิได้เราก็ค่อยๆทำมา เงินทุนมูลนิธิส่วนใหญ่เขาไม่ใช้ต้นนะ แต่ของอโศกใช้เกลี้ยงเลย แล้วไม่หาดอกเบี้ยด้วย ไม่หาปันผลจากกิจการด้วย ก็ใช้หมด แต่เราก็มีทุนจากอื่น มีคนทำบุญมาจากสมาชิก เข้ามูลนิธิ คนนอกเราไม่รับ เรามีกติกาของเรา มันก็ช้า แต่ก็ก้าวหน้ามาเรื่อย จนมีนิธิ มีคงคลังและหมุนเวียนมากขึ้น ทั้งต้นทุนหมุนเวียนเพิ่ม จนทุกวันนี้เรามีความก้าวหน้า วันนี้พูดกันถึงโครงการ 200 ล้านนะ ทำเป็นเล่น แล้วพอขายความคิดแล้วก็ว่าเป็นไปได้ๆ ไม่ใช่เล่นนะก็จะเป็นไปได้ นี่เป็นเรื่องของในหมู่เรา นะ แต่ก็จะมีกลุ่มรัฐ กลุ่มเอกชนมาร่วมอีก จะเป็นบทบาทพฤติกรรม กิจกรรมที่เกิดจากความเป็นจริงที่เรามีต้นทุนบุญนิยม เป็นธรรมาธิปไตย ที่เราทำด้วยไม่เห็นแก่ตัวทำเพื่อสร้างให้สังคมส่วนรวม

 

เราได้ลดละความเห็นแก่ตัวคือกิเลสได้จริง เราจึงเป็นนักการเมืองตัวแท้ที่ทำงานเพื่อบ้านเพื่อเมือง จึงเป็นปชต.แท้ คือ เป็นการทำโดยพลเมือง เพื่อพลเมืองและของพลเมือง ไม่ใช่เพื่อตัวเพื่อตนใดๆ ตามม็อตโต้ของปธน. ลินคอน ที่ว่าปชต.มีลักษณะ 3 อย่างนี้

 

เราทำร่วมกับปชช. กับรัฐ ทำเพื่อปชช. ของปชช. เราจึงเป็นนักการเมืองตัวแท้ อย่างตลาดอาริยะนี่เราก็ทำให้ปชช. เราทำตามในหลวง ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ทำแบบคนจน ทำแล้วเป็นทางออกของโลกเลยนะไม่ใช่แค่ของคนกลุ่มเดียว ขณะนี้ที่นายกฯ ประกาศว่า ต่อไปในอนาคต อาเซียนจะนำหน้ายุโรป นำหน้าอเมริกา เพราะอาเชี่ยนมีอันนี้ โดยเฉพาะไทยมีอันนี้ อาตมาเห็นสอดคล้องกับนายกฯตู่นะ แต่หลายคนก็หัวเราะ แต่ว่าลัทธิแบบอเมริกา ยุโรป แบบตะวันตกที่ใช้ money talk ก็จบแล้ว ไปไม่รอด

 

ของเรานี่ One for all All for one หนึ่งเดียวเป็นหลากหลาย และหลากหลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การเป็นอันหนึ่งอันเดียวคือทุกคนร่วมกันกินกันใช้ หนักนิดเบาหน่อยไม่ถือสา อยู่กันอย่างสงบ อย่างดี นี่คือสัจจะของมนุษยชาติ ทุกวันนี้มีรูปธรรม พอยืนยันได้บ้าง ถ้าเราทำได้แข็งแรงหน้าแน่นกว่านี้เกิดพลังดึงดูดได้มากก็จะมีพลังสร้างสรรได้สูงขึ้น อาตมามั่นใจว่าปัญญาชนในไทยพอมี แต่ติดที่อัตตา อัตตาของผู้สูงเขาได้ประกาศเสียแล้วว่าอโศกเป็นผู้ผิด อาตมาตอนนี้เอาพระไตรปิฎกมาอธิบาย แล้วพวกเราก็เอาไปปฏิบัติได้ด้วย แต่เขาเอาไปปฏิบัติไม่ได้ ทำแล้วเป็นอปรโคยาน อย่างทำทานนี่ก็ทำแล้วเป็นสวรรค์วิมานใหม่อีก ตะโกนให้คนไปรวยๆ เราเองก็ตะโกนว่าให้คนมาจนๆ ก็เป็นการต่อสู้ ที่จริงเราไม่ไปเจตนาขับเคี่ยวกับเขาหรอก แต่เราเจตนาไม่ให้เขาหลอกคนให้ตกต่ำให้เพ้อพกในวิมาน มันซวยที่ตนโง่ เป็นหนี้แล้วหลอกกันต่อๆๆๆ ตนเองสะสมในสิ่งที่เป็นปุพพวิเทหะที่เป็นของเสียของเน่าเป็นพิษภัย เราไม่อยากให้คุณทำแต่เราไม่มีอำนาจสิทธิไปหยุดคนก็ได้แต่พูดให้คนรู้แล้วเลือกเอา เป็นสองทางที่ชัดเจนมาก

 

ในสายนั่งหลับตาก็ยังดูยาก เขาหนีไม่แย่งโลก ส่วนเราเสียอีก เหมือนเรามาแย่งโลก แย่งโลกธรรมนะ ดูเหมือน แต่จริงๆ เราไม่หรอก เราหลุดพ้นอยู่เหนือมีโลกุตรจิต แต่คนเข้าใจไม่ได้ มันยากจะรู้ ละเอียดเกินกว่าจะเข้าใจ และไม่ได้หลอกล่อด้วย เราแตะอยู่ก็ไม่ซึมซับด้วย ส่วนใครจะเหลือซึมซับก็แล้วแต่ส่วนใครจะตัดขาดได้จริงก็ไม่ซึมซับได้ก็มี เราจึงเป็นคนที่ โลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก)  ไม่ใช่แบบหนีสังคม ที่เขาไปนั่งหลับตา แต่แบบนี้ก็ยังดีที่ไม่ไปหลอกสังคม ไม่ไปเอาเปรียบสังคมมาก แต่ไม่ได้เป็นการปฏิบัติแบบชมพูทวีป ไม่ใช่สูรภาโว ไม่ใช่สูรกาโย แต่เป็นอสูรกาโย

 

เป็นสูตรสำเร็จของพระพุทธเจ้าที่ยิ่งใหญ่ใครฟังแล้วมีปัญญารู้ว่าเราควรมาช่วยกันก็ยินดีต้อนรับ อย่าไปสร้างภาระเพิ่ม หากไปข้างนอกภาระเยอะ คนไม่รู้ภาระ ไม่รู้ด้วยที่จะบานไปสู่โลกธรรม เรามาช่วยกันลดภาระ แม้แต่มีแค่ขันธ์ 5 ก็ภาระมากแล้ว แม้เราล้างอุปาทานหมดแล้วก็ยังมีทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ ยิ่งไปมีภาระที่มากกว่าขันธ์ 5 ภาราหเวปัญจขันธาก็หนักแล้ว แล้วก็ยังไม่พอในโลกธรรม ไม่พอในกาม ไม่พอในอัตตา ไม่รู้จักสัจจะก็ยิ่งไปใหญ่

 

พวกเราได้มารู้สัจธรรม ที่รู้ความเป็นชีวะระดับจิตวิญญาณแล้วก็มาจัดการกับสัตตาวาส 9 หรือลดละกิเลสจนพ้นสังโยชน์ 10 คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าประกาศให้มาปฏิบัติจนเป็นมนุษย์อาริยะโลกมันว่างจากพระอรหันต์มานานแล้วเราต้องกอบกู้ให้ได้

 

อาตมาตั้งตัวเลขไว้ 9 ไม่ใช่จำนวน 9 แต่เป็นสังขยาเลข คำว่าก้าวนี้ หรือ 9 นี่ไม่มีหยุด ก้าวแล้วไปต่อไม่หยุดที่0 ไปที่ 10 แล้วมี 11 ต่อ แต่ถ้าพูดถึง 0 แล้วจะ ก้าวต่อหรือไม่ก็ได้ ไป 10 จะมี 11 ไปต่อเรื่อยๆ อาตมาใช้ตัวเลข 9 เพื่อที่จะให้ก้าวต่อไปอีกเรื่อยๆ คือเป็นหน่วยของการเต็มถ้วนของพลังงานเดินหน้า แม้จะมี 0 แล้ว พลังงาน 9 ยังพัฒนาต่อไปอีกนับไม่ถ้วนเลย การเป็นอรหันต์ไม่ได้หมายถึงแค่ว่าเป็นนักบวช

 

 

คำถาม 1 พฤษภาคม 2558

 

ตามทฤษฎีของพุทธ ที่ว่าชีวิตคนนั้นเวียนว่ายตายเกิดกันมานับไม่ถ้วน ชาติแล้วชาติเล่าที่จิตวิญญาณของเราได้เปลี่ยนกายเพื่อดำรงชีวิต ผมสงสัยว่า ถ้ามันวนอยู่เช่นนี้ จักรวาลในกาลก่อน จนถึงเวลาปัจจุบัน และเลยไปจนถึงในอนาคตที่ยังมาไม่ถึงที่กำลังดำเนินต่อไปอยู่นี้ จิตวิญญาณที่เวียนเกิดเหล่านี้มีจำนวนที่มากขึ้นบ้างหรือไม่ หรือมีแต่จะน้อยลงๆ เพราะปรินิพพานไปเรื่อยๆ หรือมีการลดลงไปเพราะสาเหตุอื่น และในกรณีที่มันมากขึ้น มีเหตุและกระบวนการอย่างไร ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นครับ

 

และถ้ามีเกิดขึ้นใหม่อยู่เรื่อยๆ จิตวิญญาณที่ยังมีอายุน้อยเหล่านั้นจะมีลักษณะที่แตกต่างจากวิญญาณที่มีอายุมากรึเปล่าครับ แบบว่า นิสัยจะแย่เหมือนกันมั้ย และก็จะมีวิบากอะไรให้มาพบกับคนอื่นๆ

 

พ่อครูว่า...ผู้ที่ได้รู้ความจริงบ้าง แต่ไม่มีสภาวะ ก็จะฉงนแล้วจะถามต่อ แต่ถ้าผู้ที่เหมือนคนถูกยิงศร แล้วก็รีบเอาลูกศรออก แล้วค่อยสืบสาวว่าลูกศรมาจากไหน ใครยิง ก็จะเป็นผู้รู้จักกาละ แต่ที่ถามมาอาตมาก็จะตอบให้ แต่บอกไว้ก่อนว่าอย่าไปอยากรู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้ในตอนนี้ พระพุทธเจ้าท่านตัดบทเยอะ อย่างถามว่าโลกเที่ยงหรือไม่? ก็ให้ปฏิบัติไปก็จะรู้เอง คุณทำให้โลกที่หมุนเวียนจบหรือยัง? อย่างโลกอบาย คุณทำให้จบไหม? จบอย่างเที่ยงหรือไม่ หรืออย่างอะไรเที่ยงแล้ว เที่ยงบ้างไม่เที่ยงบ้าง นึกว่ามันเที่ยง แต่มันก็ยังมีอีกจะรู้โดยตน พระพุทธเจ้าจึงไม่อธิบายให้เสียเวลา

 

ที่ถามว่า ....ที่ว่าชีวิตคนนั้นเวียนว่ายตายเกิดกันมานับไม่ถ้วน ชาติแล้วชาติเล่าที่จิตวิญญาณของเราได้เปลี่ยนกายเพื่อดำรงชีวิต ผมสงสัยว่า ถ้ามันวนอยู่เช่นนี้ จักรวาลในกาลก่อน จนถึงเวลาปัจจุบัน และเลยไปจนถึงในอนาคตที่ยังมาไม่ถึงที่กำลังดำเนินต่อไปอยู่นี้ จิตวิญญาณที่เวียนเกิดเหล่านี้มีจำนวนที่มากขึ้นบ้างหรือไม่ หรือมีแต่จะน้อยลงๆ เพราะปรินิพพานไปเรื่อยๆ หรือมีการลดลงไปเพราะสาเหตุอื่น และในกรณีที่มันมากขึ้น มีเหตุและกระบวนการอย่างไร ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นครับ ... คุณจะไปกังวลว่ามากหรือน้อยลงไปทำไม คุณเป็นคนที่ถูกศรเสียบอกอยู่ จะมาถามทำไม ต้องเอาศรออกก่อน ปฏิบัติเพื่อรู้ก่อน เพื่อละก่อน จะตอบว่า น้อยหรือมากขึ้นก็ไม่ได้ เพราะใครจะกำหนดให้ว่าน้อยหรือมากขึ้น จะบอกว่าพระเจ้าหรือ?

 

ตอนนี้อาตมากำลังเขียนหนังสือ มีเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า ว่าพระเจ้าทำไมไม่แน่จริงให้คนทำชั่วอีก ให้ซาตานออกฤทธิ์มาแย่งเอามวลของตนไปได้ พระเจ้าไม่แน่จริงหรือ? ก็ต้องขออภัยไว้ก่อนที่ต้องพูดถึง

 

เรื่องวิญญาณจะน้อยหรือมากขึ้น....ตอบไม่ได้.... มันก็หมุนเวียนไป เป็นธรรมดาธรรมชาติ มันก็มีน้อยหรือมากขึ้น เป็นอนิจจัง คำตอบสูงสุดคืออนิจจัง ไม่เที่ยง อาตมาไม่สงสัยว่า เอกภพอยู่อย่างไร ก็แล้วแต่เหตุปัจจัย มีเหตุปัจจัยน้อยลงก็น้อยลง มีเหตุปัจจัยมากขึ้นก็มากขึ้น เราเรียนรูป 28 รูปตัวสุดท้ายคืออนิจจัง ความไม่เที่ยง ท่านรวมลักขณรูป 4 คือ

21)อุปจยะ ความเกิดอยู่เจริญขึ้นไป เรากำหนดของเราเองนะ ว่าจะให้เกิดหรือไม่ เกิดแล้วจะต่อก็มีสันตติ จะให้จบก็ได้ มันก็เกิดแล้วก็เสื่อม จะอยู่ต่อหรือไม่ต่อก็ได้  

22)สันตติ ความเชื่อมต่อสืบเนื่อง  ผู้ดับความต่อได้ก็คืออรหันต์

23)ชรตา เคลื่อนไปสู่ความเสื่อม

24)อนิจจตา เคลื่อนไปเสื่อม>เจริญ

ถ้าจะปรินิพพานก็ไม่มีเกิดไม่มีตายไม่มีเสื่อมไม่มีต่อ ไม่มีอนิจจัง

 

อาตมาก็ฉีดวัคซีน แล้วพยายามสร้างเนื้อแท้DNA นี้ให้แข็งแรง เป็นพ่อพันธ์ แม่พันธ์ เป็นปู่พันธ์ เป็นตาพันธ์ที่แท้จริง เอามาเผยแพร่ไม่ได้บังคับนะ จริงๆทำอย่างหยิ่งด้วยนะ ถ้ามาไม่ดีไล่ออกด้วยนะ ถ้ามาดีก็อยู่ด้วยกันไป อาตมามั่นใจในความจริงแท้ ที่ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอื่นไม่มีอะไรหักล้างได้ อสังหิรัง อาตมาตั้งแต่ออกบวชมาไม่เคยเกิดสักแวบว่าจะสึกเลย  มีแต่ว่าเล่นเราหนักนะ แต่ก็สู้ได้ไม่หนักเกินการณ์ แล้วจะทำต่อ จะเข็นตัวเองให้อายุยืนยาว ตอนนี้จะครบ 81 ขึ้น 82 แล้วจะอยู่ไปอีก 70 ปี อยู่ได้เท่าไหร่ก็เอา ไม่ได้อยู่เพื่อได้โลกธรรมอะไร แต่อยู่เพื่อสืบสาน DNA พุทธนี้ไป

 

ที่นายกฯตู่ว่าเอเชียจะเจริญ ตอนนี้เอเชียจะจับมือกัน แต่ยุโรปก็จะจับมือกัน แต่เขาจะรวมกันไม่ได้นาน ไม่ได้แท้ เพราะเขามีตัวกูของกูเยอะ แต่ของเอเชียจะมีเนื้อแท้ โดยเฉพาะมีเนื้อแท้ในเมืองไทยนี่แหละ ของพม่ามีชเวดากอง ของเราก็อดใจไว้ก่อน จะมีให้ชื่นชมอย่างนี้บ้าง มันอาจเกิดที่เฟส 2 ที่จุลราชธานีหรือเกิดที่เฟส 1 ที่รัตนราชธานีก็ได้ ไม่แน่ดอกนาย ฟังแล้วถ้าเห็นดีก็อย่าช้า จะช้าไปอีกกี่ชาติ

 

เป็นกุศลของเราที่ยังเหลือพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐนี้ เชื่อมั่นว่าฉบับนี้บริบูรณ์พอ แต่ไม่มีปัญหา เนื้อหายังมีมากพอที่จะพาไปสู่นิพพาน ที่ผิดไปก็มีบ้างเป็นที่เปลือกๆผิวๆ ไม่มากเท่าไหร่ไม่เหมือนท่านพุทธทาสที่ว่าเพี้ยนไปถึง60 % ฉีกทิ้งไปได้เลย อย่างนี้อาตมาว่าไม่ไหว เอาเนื้อเอาเปลือกไปหมด อาตมากลับเห็นว่าเป็นเนื้อเป็นเปลือกที่ต้องมีหุ้ม แม้แต่สะเก็ดคือศีลก็ต้องเอาไว้ เปลือกคือสมาธิ กระพี้คือปัญญา ส่วนแก่นคือวิมุติ เราต้องเอาไว้หมดตั้งแต่ศีล ถ้าตัดออกไปก็อยู่ไม่รอด ตนเองก็ตาย ไม่มีเนื้อไม่มีเปลือกกระพี้ แก่นไม่มีอย่างอื่นหุ้มก็ตาย ก็น่าเห็นใจว่าท่านรู้อย่างจริงใจของท่าน ท่านเข้าใจไม่ได้ก็ว่าไม่ใช่ โดยเฉพาะท่านว่าอภิธรรมนี่เม็ดมะขามให้ทิ้งหมด

 

ในพระไตรฯฉบับสยามรัฐ ไทยเรามีนี่สมบูรณ์ที่สุด มีตกหล่นบ้าง แต่ไม่ทำให้เสีย สะเก็ดยังอยู่ครบ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ซึ่งเป็นสะเก็ด ก็ไม่เอากันแล้วในพุทธไทยตอนนี้ ที่จริงก็คือศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 แล้วขยายไป แล้วบอกว่าศีลพระคือโอวาทปาติโมกข์ ที่จริงก็คือจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลนี่แหละ คือธรรมนูญหลักของศาสนาพุทธ ในโลกเขาก็มีพิธีกรรมต่างๆ เดรัจฉานวิชา รดน้ำมนต์ แม้ที่สุดหลายศาสนาก็มีศีลของเขา ที่มีซ้ำกันของพุทธบ้าง แต่สิ่งที่พุทธไม่เอาคือไม่มีรดน้ำมนต์ไม่เอาเดรัจฉานวิชาไม่เอาหลายอย่าง ท่านว่าผู้แสวงหาโมกขธรรมจะไม่เอาสิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้าท่านตราไว้หมด แล้วท่านทำอย่างไม่ต้องประชามติด้วย ท่านเผด็จการร่างรธน.นี้เอง แล้วประกาศว่าจงอย่าแก้ไขด้วย และแน่นอนดีที่สุด ศีลยังอยู่ ชาวอโศกเราไม่รดน้ำมนต์ไม่ดูหมด ทำตามจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล กระแสหลักไม่เอาสะเก็ดนี้แล้ว เขามีแต่วินัย แต่ของอโศกเรามีทั้งศีลและวินัยที่เป็นกฎหมายลูกด้วย ที่มีบทลงโทษ

 

ทุกวันนี้เขาทิ้งธรรมนูญของศาสนาพุทธไปแล้ว ส่วนเปลือกคือสมาธิเขาก็ทำแต่นั่งหลับตาไม่ตรงกับที่พระพุทธเจ้าสอน กระพี้คือปัญญา ปัญญาที่แท้คือต้องทำการลดละอัตตา 3 คือโอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา ผู้ใดทำได้จริงจะชัดเจนว่าการหมดอัตตาแล้วอยู่ในโลก พระพุทธเจ้าสอนเรื่องโลกและอัตตา ที่แย้งกันว่า โลกก็อย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง ชีวะก็อย่างหนึ่งก็เถียงกันไป แต่พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้โลกและอัตตา

 

อัตตาอยู่ที่ไหน ...พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ขณะมีกาย มีองค์ประชุมครบ ทั้งนอกและในมีผัสสะ แล้วละล้างอัตตาที่เกิด คนดับอัตตาหมด ก็อยู่ในโลก แล้วก็อาศัยอัตตาอยู่เพื่ออาศัย ทำกุศลต่อ สิ้นบุญสิ้นบาปแล้ว จบกิจ อยู่ในโลกช่วยโลกอีก อัตตาไม่เกิด แต่มีอัตตาอาศัย เป็นคนมีหลักประกัน ช่วยโลกอย่างแท้จริงสมบูรณ์แบบ

 

คุณจะไปเรียนวิชาทางโลกขนาดไหนก็ไม่จบ แต่ถ้ามาศึกษาเรียนรู้ทางนี้มี่ทางจบ จบแล้วมีหลักประกัน จะไปเรียนรู้อะไรอย่างอื่นทางโลกก็ได้สบาย ไม่ติดด้วย ต่อไปปริญญาตรี โท เอก ในอโศกจะเดินชนกันแล้วไม่ได้เอาป.ตรี โท เอก มาเพื่อล่าลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขแก่ตนเอง เรามีกำลังพอจะส่งเสียให้ไปเรียนได้ จบออกมาแล้วทำงาน ผู้ใดเราแน่ใจจะส่งเสียให้ก็ส่งเสีย แต่ถ้าคนไหนไม่แน่ใจ ส่งเสียแล้วจะเอาไปล่าโลกธรรมใส่ตนก็ไม่ส่งเสีย แต่โลกเขาก็เอาสิ่งเหล่านี้ไปแย่งชิงโลกีย์กัน

 

ของเราจะก้าวหน้าไปอีก สังคมชาวอโศกเราพัฒนาไปเรื่อยๆ ปรับปรุงตัวไป จะเกิดแผ่นดินไหวบ้างก็ไปช่วยกัน อโศกเราก็เกิดแผ่นดินไหวบ้างเริ่มที่ปฐมอโศก มีตายไปบ้าง คือคัดออก ตอนนี้ก็มาไหวที่ศีรษะอโศก แต่เท่าที่ดูว่าที่นี่คงไม่ถึงกับคัดออก มีการลด มีการปรับท่าทีพอไปได้ ก็เป็นไปตามธรรม จากศีรษะอโศกก็ไม่รู้ว่าแผ่นดินจะไหวที่ไหนอีก อาจเกิดที่สันติอโศกนะ คนทำดีๆไม่มี After shock หากรับมือไม่ดีมี After shock ที่อาจแรงกว่าไหวครั้งแรกด้วยนะไม่อยากให้เกิดเลยอย่าประมาท มันมีอะไรแก้ไข ก็ให้ลดตัวลดตน เป็นยากลางบ้านที่ดีที่สุด ร้อยคนก็ลดตัวลดตน ร้อยคนก็เรียบร้อย แต่ถ้าลดตัวลดตนได้คนเดียวก็จะไม่เรียบร้อยมี After shock แรงกว่าเก่าฉิบหายแน่ นี่คือสัจจะที่พวกเราเข้าใจกันได้ พยายามทำดีๆ เป็นสัจจะที่จะมีบกพร่องบ้าง แต่ถึงวาระก็จะพัฒนาขึ้น

 

โลกียะนี้ดีไม่ดีเปลี่ยนแล้วหาโครงสร้างใหม่ที่ทำเลวร้ายได้มากว่าเก่า แต่โลกุตระจะปรับตัวเพื่อให้เกิดสิ่งดีขึ้นกว่าเก่าอีก ในอโศกเราสิ่งที่อาตมาหยิบมาอธิบาย เป็นเหตุการณ์จริง ปรากฏการณ์จริง จะเข้าใจได้ชัด เพราะวิชาการพระพุทธเจ้าเป็น Phenomenology ไม่ใช่ สถาบัน Philosophyของพระพุทธเจ้าเป็นศาสตร์ที่เรียนรู้ได้ถึงรูปถึงนามถึงอรูปเลย ชาวอโศกเราจะสร้างมหาวิทยาลัยที่ประสาทปริญญา Ph.D เหมือนเขา แต่ P ของเราคนละตัวกับเขา 

 

เราไม่ได้ไปเอาอย่าง แต่อันไหนเป็นรูปธรรมที่ดีเราก็เอามาใช้ เรามีนามธรรมที่คอยเลือกคัดเอา อันไหนไม่ถึงเวลาเราก็ไม่เอา อย่างเราไม่ถึงเวลาต้องเอื้อมเอื้อเกื้อกว้างสู่ต่างประเทศ เพราะพี่น้องเมืองไทยเราก็ยังเดือดร้อนอยู่ ก็ควรเผยแพร่ในเมืองไทยก่อน เราสร้างในให้เป็นแก่นแก่นก่อนออกสู่ข้างนอก เราไม่อ้าขาผวาปีก ก็ค่อยขยายไป ปริตตา ปริตตาภา ปริตตาสุภา เข้าหา อัปปมัญญา ตามพระพุทธเจ้าสอน เราทำอย่างถ่อมตนไม่อ้าขาผวาปีก

 

แต่ตอนนี้เราก็มีคณะทีมงานบุญนิยมทีวีก็ไปที่เนปาลกัน ไปช่วยเหลือที่ๆแตกสลายก็จะกำลังเรียกจิตวิญญาณให้มาร่วมผนึกกัน ทำให้จิตวิญญาณที่แตกสลายคืนมา ก็อาจเรียกว่าเนปาลนั้นลงทุนแพงนะ มันเป็นอะไรที่ต้องเกิด เราไม่ได้คิดอ่านไปร่วมเป็นส่วนหนึ่ง เราไม่ได้หาเรื่องสร้างขึ้น แต่มันเกิดตามเหตุปัจจัย  ส่วนคนบ้าๆบอๆก็สมน้ำหน้า จิตซ้ำเติมก็เป็นได้เราบังคับจิตคนไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่สามัญ คนเจ็ดพันล้าน ไม่มีใครจิตซาดิสม์หรือมาซูคิสม์ ส่วนใหญ่จะเห็นใจกัน มันน่าสงสารต้องช่วยกัน ได้ข่าวว่าเนปาลกล่าวขอบคุณประเทศไทยมากนะ แต่จะขอบคุณประเทศอื่นด้วยก็ยังไม่ได้ยิน แม้ว่าถ้าไม่มีเมืองอื่นมีแต่เมืองไทย เมืองไทยนี่ไม่รวยนะ รัฐบาลไทยให้ร้อยล้าน ในหลวงก็ให้สิบล้าน คนรวยในประเทศไทยนี่จะรวยท็อปเท็นของโลกแล้วนะ ก็ไม่เห็นกล่าวว่านะช่วยเท่าไหร่นะ เขารวยจะตายชักอยู่แล้ว จะกินรวบทุกวงการแล้ว เขาไม่รู้ว่าเขาทำบาปนะ ทำให้สัตว์ทรมานอีกมากมาย ราคาบาป การยึดอิสรเสรีภาพของสัตว์ก็ราคาหนึ่ง แต่คนยึดอิสรเสรีภาพของคนให้คนตกใต้อาณัติ หลงใหลก็จะมีบาปราคาแพงมากนะ

 

 

ในวัฏฏสงสาร ยุคแรกๆไม่มีทุกข์ ไม่มีกิเลสมาก ไม่มีอปรโคยาน ไม่มอมเมากันมาก คนจึงสงบสุขในช่วงต้น ก็เท่ากับเขาปรินิพพาน เขาไม่มีภัยมากศาสนาพุทธจึงยังไม่เกิด แต่ต่อมามีคนมีกิเลสระดับหนึ่งศาสนาพุทธจึงเกิดมาช่วยคนได้มากเพราะคนกิเลสไม่มากมาย จนถึงระดับหนึ่งที่คนชั่วมากกว่าคนดี ศาสนาพุทธก็จะช่วยคนให้ปรินิพพานได้น้อย

 

เมื่อคุณรู้นิพพานส่วนตัวแล้วก็จะไม่สงสัยเรื่องปรินิพพานอื่นๆนอกตัวเลย จึงไม่น่าถามสิ่งที่ไม่ควร


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:42:43 )

580503

รายละเอียด

580503_พ่อครูพบข้าราชการก.เกษตรและสหกรณ์ ที่บ้านราชฯ

ศีลข้อ 2 เราไม่ต้องพูดถึงเรื่องโกงเลย ของเราคนที่นี่ทำงานเสียภาษี 100 % เลย ทำงานแล้วเอาเข้ากองกลางหมด เป็นระบบเศรษฐศาสตร์ที่ดีที่สุด ระบบคอมมิวนิสต์หรือระบอบไหนๆก็สู้ทฤษฎีของพพจ.ไม่ได้ ที่สู้ไม่ได้เพราะพพจ.ท่านมีทฤษฎีเจาะลึกทำลายกิเลส เพราะกิเลสนี่แหละเป็นตัวทำให้คนเปลืองผลาญเกินกว่าความจำเป็น มอมเมาครอบงำกันทั่วโลก เช่นปาเกียวจะชกกับนายฟรอย ค่าดูเป็นหมื่น ชกกันให้ตายจิตเราก็ไม่สนุกด้วย นอกจากน้ันเรายังรู้ว่าพวกนี้หลอกคน ให้ดูชกกันแล้วค้ากำไรเกินควร ไม่เหมาะสมที่จะทำ ไม่ควรจะมีในโลกที่ศิวิไลซ์แล้ว ให้คนหลงใหลชกกันแค่นี้ หรือเต้นชั่วโมงสองชั่วโมงได้ค่าตัวร้อยล้านอย่างนี้ สังคมใดก็ตาม ถ้าค่าตัวของอบายมุขพวกนี้แพงมาก เมืองนั้นอัปปัญญา เป็นส่ิงไร้ค่า แต่เขาไม่เข้าใจ แล้วก็ทำจัดจ้านไปในทางเอาชนะคะคานก็พวกซาดิสม์ แต่ถ้าไปทางบันเทิงรื่นรมย์ ก็เป็นโรแมนติกอิซึ่ม อาตมาอยู่ในวงการบันเทิงคนอายุ เกิน 50 ปีก็คงจะรู้จักอาตมา

 

อาตมานำเอาธรรมะของพพจ.มาเปิดเผย ซึ่งค้านแย้งกับกระแสหลัก ทำให้เขาจะเอาอาตมาตายเลย เหตุการณ์ต้องสู้คดีเป็น 10 ปี เราก็รู้ว่าสู้แล้วแพ้ เพราะคนที่สั่งให้อาตมาสึกคือสมเด็จพระสังฆราช อาตมาจะชนะได้อย่างไรก็ต้องแพ้ แพ้ก็แพ้ ก็ไม่เป็นไรก็ทำงานไป ไม่แพ้อาตมาก็ทำงาน แพ้อาตมาก็ทำงานไป ตัดสินแพ้ติดคุกรอลงอาญา 2 ปี เราก็อิสระ ทุกอย่างตัดสินเสร็จอาตมาก็เป็นตัวของตัวเองเป็นการลงตัวตามธรรมวินัยว่าเป็นนานาสังวาส ก็เรียบร้อย

 

อาตมาทำงานตามทฤษฎีที่ได้ความรู้ตามตำราของพพจ.ทั้งสิ้น อาตมาได้ร่างทฤษฎีการทำงานไว้ในหนังสือสรรค่าสร้างคน

1.มีคนที่ดี

 

ที่นี่เป็นจริงได้ที่จิตต้องลดกิเลส จะลดได้จริงต้องมีทฤษฎีหรือทิฏฐิที่ถูกต้องตรงตามพพจ. ถ้าไม่ตรงไม่ได้หรอก เพราะจิตวิญญาณจะไม่สงบอยู่ไม่นานก็แตก แต่ถ้าได้จะดีอย่างยั่งยืนกว่าทุนนิยมด้วย เพราะทุนนิยมแย่งกัน แต่ลัทธิบุญนิยมไม่แย่งกัน ยิ่งเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ยิ่งจะลดกิเลส ไม่แย่งกันมีแต่แบ่งปันกัน มีแต่จนกระจุกรวยกระจายต่างจากข้างนอกที่รวยกระจุกจนกระจาย

 

เรากระจายสะพัดด้วยความจริงใจมันมีสำนึกที่ว่า เราไม่ควรเห็นแก่ตัว สำนึกในจิตวิญญาณแล้วอันนี้ยั่งยืน จิตจะยินดีไม่ได้ถูกบังคับ เหมือนพวกเสียภาษีนี่ไม่ได้เต็มใจ แต่ถูกบังคับให้เสีย ทฤษฎีที่ไม่จริงจะไปไม่นาน เป็นแต่สมบัติผลัดกันชม

 

อาตมาเคยประกาศ ประกาศว่า ในหลวงนี่เป็นพระโพธิสัตว์ แต่ในประเทศไทยไม่เข้าใจพระโพธิสัตว์แต่อาตมาประกาศตนว่าเป็นพระโพธิสัตว์มานานแล้วคนไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรอาตมามีสิทธิ์พูดความจริง แล้วก็ทำเป็นผลได้จริง เป็นผลได้อย่างนี้ทั้งที่กระแสหลักประกาศทั่วว่าอาตมาเป็นพวกนอกรีตทำลายศาสนา อาตไม่เป็นไรก็พิสูจนฺ์ตนเอง

 

ในสังคมที่อาตมาเห็นก็เชื่อมั่นว่าทฤษฎีพพจ.สามารถกอบกู้ประเทศได้ ยิ่งเดือดร้อนกันทั่วไปเช่นนี้ด้วย เขาแย่งชิงลาภยศสรรเสริญโลกียสุข สนามแม่เหล็กแห่งโลกีย์แรงมีความควบแน่นพลังโลกีย์สูงมาก ของเรานี่เป็นพวกคนละทางกับเขา แต่ไม่ทะเลาะกันนะ ทางโน้นเขาต้องการรวย เราไม่แย่งรวย แต่เราให้มาจน ดูเผินๆเหมือนคนละขั้วกัน ขั้วโน้นเอา แต่ขั้วนี้ให้ ตรงกันข้ามเลย แต่ว่าไปด้วยกันได้ ถ้าต่างคนต่างมาจน แต่ละคนก็ไม่เอาๆเหมือนกัน ไม่ทะเลาะกัน มีแต่จะเอาออกมากองให้กองกลางได้เยอะขึ้นๆ แต่ถ้าแต่ละคนมาเอามาเอาเหมือนกันก็ทะเลาะกัน

 

 

ดูก็ไม่ได้ยากนะ มันเหมือนเส้นผมบังภูเขานิดเดียว สิ่งนี้เป็นส่ิงที่อาตมาเห็นว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ มีตระกูลเทือกเขาเหล่ากอเป็นพุทธ อาตมาจึงหวังว่าน่าจะได้ แต่มันยาก อาตมาเลยจำเป็นจะต้องลากสังขารไปจะอยู่ให้ถึง 151 ปี พวกคุณก็คงหัวเราะ ใครจะอยู่ได้ อาตมาก็ไม่ได้คิดจะอยู่ได้ แต่เอาตัวเลข นี้มาตามเหตุปัจจัย มีหมออารีย์ วชิรมโน อายุแก่แก่กว่าอาตมา แก่บอกจะอยู่ให้ได้ 120 ปี แก่ว่าอย่างนั้น อาตมาได้ยิน ว่าคุณ 120 อาตมาก็ตั้งใจจะอยู่ให้ได้ 121 ปี แกได้ยินเข้า แกก็ว่าผมจะอยู่ 150 ปีให้ได้ อาตมาก็เลยว่า อาตมาจะอยู่ไป 151 ปี แกไม่กล้าต่อไปอีก ก็เลยหยุดตัวเลขแค่นี้

อาตมารู้ว่าอายุขัยอาตมาแค่ 72 ปี แต่ว่าส่ิงที่ทำยังไม่เป็นปึกแผ่นเลยก็เลยพอดีมีเหตุปัจจัยอย่างที่ว่าก็เลยอยู่ต่อมาได้

 

 

อาตมาไม่ได้อยู่เพื่อโลกธรรมหรือเอาอะไรให้แก่ตัวเอง แต่อยู่เพื่อสร้างสังคมอาริยะ ที่มีคนที่เป็นพระอาริยะ มีอรหันต์ จึงเกิดสังคมอย่างที่เห็นนี้

 

คำถามและประเด็น

_อยากให้พ่อท่านเล่าถึงกระบวนการของ 3 อาชีพกู้ชาติ

ตอบ...เราจะตั้งหลักกู้ชาติด้วย 3 อาชีพนี้ คือ ขยะวิทยา ปุ๋ยสะอาด กสิกรรมธรรมชาติ คนที่ได้ยินก็หัวเราะว่า จะเอาขยะมากู้ชาติได้อย่างไร มีนัยสำคัญอยู่

 

เรามีหลักที่ว่า ไม่เป็นหนี้ ซึ่งระบบเงินหมุนเงินเชื่อเป็นระบบที่ทำร้ายคนทำร้ายโลกมาก

2.ทำงานพึ่งตนเองรอด คือหลักเศรษฐกิจพอเพียง สัตว์เดรัจฉานมันเลี้ยงตัวเองรอดทุกตัว แต่คนเรานี่เลี้ยงตนไม่รอดก็ไปตายเสีย

3.ทำให้เกินกินเกินใช้

4.สะพัดแจกจ่าย อย่าเอาส่วนเกินไปหากินหรือเอาเปรียบคนอื่น

 

เรามีมากเกินเราก็จำหน่าย แต่หลักเศรษฐกิจของเรามีว่า

1.ขายต่ำกว่าราคาตลาด

2.ขายเท่าทุน ไม่มีใครได้ใครเสีย ยังไม่เป็นบุญ

3.ขายต่ำกว่าทุน อันนี้เริ่มเป็นบุญแล้ว

4.แจกฟรี

 

_จะมาอยู่ที่นี่ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร

ตอบ... กำหนดที่คุณธรรม 1.ถือศีล 5  2.ละอบายมุข  3.รับประทานอาหารมังสวิรัติ  อายุก็ควรดูแลตนเองได้ ถ้าอายุน้อยต้องมีผู้ใหญ่มาดูแลด้วย ไม่กำหนดความจนความรวย เอาแต่ตัวกับหัวใจบริสุทธิ์มาเลย สำคัญมากอย่ามาหอบหนี้มาด้วยล่ะ เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มก็แบ่งกัน


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:43:59 )

580503

รายละเอียด

580503_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ เรื่อง กายพิสดาร

.ฟ้าไทว่า พ่อครูคงจะต้องพูดเรื่องกายนี้ไปอีกนาน ว่าคือองค์ประชุมของรูปและนามที่เกิดสัมผัสและทำปฏิกิริยากัน มีกายผี กายพระเกิดอีก  ก็มีเรื่องราวอีกมากมาย พ่อครูได้พาเรียนรู้กายอย่างสัมมาทิฏฐิ ดำเนินมรรคองค์ 8 ที่เป็นโลกุตระ ที่เข้าใจกายได้เพิ่มขึ้นอีก และมีกายที่ลึกซึ้งพิสดารขึ้นอีก ที่เราต้องศึกษาเรียนรู้ พ่อครูว่าต้องอธิบายไปตลอดชีวิตเลย ถ้ามีสภาวะจะจำได้แม่นกว่าจำแค่บัญญัติ  ต้องมาเงี่ยโสตสดับฟังพ่อครู

 

พ่อครูว่า... เร่ิมต้นคุณเปรยถึงผู้ที่เห็นผีเป็นตัวเป็นตนรูปร่าง โดยตัวเขาเห็นจริงๆ ลืมตาก็เห็น ก็ต้องพูดกันอีก อาตมาก็พูดจนเมื่อย เมื่อยก็พัก มีแรงก็พูดใหม่ ซ้ำซากไม่ขี้เกียจ ตั้งใจฟังให้ดี การเห็นด้วยตา ที่มีดิน น้ำไฟ ลม ประกอบกันเป็นตัวตนแท่งก้อนรูปร่างที่เราเห็นโดยทั่วไปเราเรียกว่ารูปธรรม สมมุติสัจจะ คือทุกคนเห็นร่วมกันได้ อย่างเป็นคนไม่มีอะไรวิเศษ เห็นได้เหมือนกัน ถ้าทวารทั้ง5 ดีปกติ คนทุกคนไม่ว่าชาติไหนๆ อาจเรียกด้วยภาษาต่างกันบ้าง เช่นเราเจอฟัก เจอบวบ ข้างหน้านี้ คนไหนตาไม่บอดประสาทไม่เสียก็เห็นเหมือนกัน อาจเรียกชื่อต่างกันไปเท่านั้นเอง นี่คือสามัญ

 

แต่วิสามัญ คนที่เห็นได้พิเศษ อย่างหลอก เป็นอัตตาที่ตนเองสร้างเอง เรียกมโนมยอัตตา ผู้เข้าใจปรมัตถธรรมจะเข้าใจเลยว่าเขาเห็นได้อย่างเขามีอุปาทาน ยึดมั่นแล้วเขาเห็นเขารู้สึกจริงๆ หูก็ได้ยินเลย ลิ้นก็รับรส กายก็สัมผัสรูปร่างเลย เขาเห็นเช่นนั้นเป็นอัตตาที่พระพุทธเจ้าว่าคือ มโนมยอัตตา เป็นองค์ประชุมของรูปและนาม ที่เขาปั้นขึ้นเนรมิตเอง เขาก็เห็นของเขาจริง แต่คนอื่นๆไม่เห็นอย่างเขาด้วยตามสมมุติสัจจะ มันเกินสามัญ แต่คนเช่นนี้ที่เห็นได้นั้นมีสองอย่าง

 

คนหนึ่งคือคนอวิชชา อย่างที่บอกว่า นักศึกษาเรียนต่างประเทศกลับมาก็เห็นผีได้ อย่างที่เป็นข่าวตอนนี้เป็นต้น มันเหมือนกับที่คุณยึดมั่นว่านี่มีรสอร่อย รสสุข สนุก คุณได้สัมผัสแล้วก็เป็นสุข สนุก อร่อยจริงๆ นั่นแหละเป็นมโนมยอัตตา คำว่าอร่อยนั่นแหละ ส่วนคนที่เขาไม่ชอบ เขาอุปทานไม่ชอบก็ไม่อร่อยก็มี แต่บางคนอุปาทานว่าชอบก็อร่อย การอร่อยนี่เป็นมโนมยอัตตาของตนเอง อร่อยของตน แต่รสชาติที่เป็นของมัน คนอื่นแตะก็รู้รสเหมือนกัน แต่คนหนึ่งอร่อย สวย อีกคนหนึ่งไม่อร่อย ไม่สวย คนอร่อยสวยนี่แหละมีมโนมยอัตตา

 

คนมีภูมิธรรมพ้นได้ ก็จะรับรู้รสได้ว่า สวยแบบเขา อร่อยแบบเขาก็รับรสได้ แต่อาการสวย เวทนาที่รู้สึกว่าสวยไม่มี แต่เห็นเหมือนกัน รู้ว่าสวยแบบเขารู้ แต่ไม่มีอาการสวย อาการอร่อยเหมือนเขา แต่รสเค็มเปรี้ยวหวาน เห็นสีแสงเหมือนเขาเลย แต่ความอร่อยหรือไม่อร่อย ความสนุกหรือไม่สนุกต่างกัน อย่างคนเห็นคนเตะบอลเข้าโกล มีลีลาต่างๆคนมีอุปาทานก็สนุกจริงๆ แต่คนหมดอุปทานแล้ว หลุดพ้นจากสมมุตินั้นอุปาทานแบบนั้นไม่เกิดในผู้นั้นแล้ว เป็นผู้มีวิชชา คือผู้เห็นความจริงอย่างมีวิชชา ส่วนผู้เห็นความไม่จริงว่ามีจริงเห็นจริงเขาอวิชชาอยู่ เหมือนพวกคุณที่อร่อยที่สนุกสุขกับอะไรอยู่ก็คืออวิชชากับอันนั้น ความจริงแล้วมันไม่มีอร่อย สุข มันเป็นสุขเท็จ อัลลิกะ

 

อาตมาเล่นวิทยาศาสตร์ทางจิต สะกดจิต แล้วสั่งให้เขาเห็น เขาเห็นจริง เราก็สะกดจิตเขาหรือสะกดจิตตนเอง แม้จริงๆมันไม่มีสิ่งนั้นแต่เขาก็เห็น มันจึงลึกซึ้งที่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องนี้ได้จึงหมดเรื่องสนุกเพลิดเพลินอร่อยท่านไม่มี แต่ท่านก็เห็นได้เหมือนกับปุถุชน แต่รู้แล้วว่ามันพาทุกข์ พาเหนื่อยท่านก็ไม่ต้องอร่อยกับเขา ไม่ต้องสุขไปกับเขา แต่ก็ดูได้กินได้เหมือนเขา ไม่มีแต่รสสนุกสนานกับเขา เหมือนเราดูเด็กเล่น เราดูคนเต้นรำ หรือแม้แต่เขาทำทุจริตเขาโกงกันแย่งชิงทำร้ายกัน เราก็ดูเขาได้ เราก็เห็นว่ามันไม่ดี หรือว่าเขากำลังทำดี เขาช่วยเนปาลที่ตกทุกข์ได้ยากเราก็เห็นว่าดี น่าทำ อันไหนไม่น่าทำเราก็ไม่ทำ ไม่มีอะไรมาบังคับเราได้เราก็ไม่ทุกข์ร้อน แต่คนมีกิเลสไปบังคับให้ทำไม่ทำไม่ได้มันร้อน มันอยากจะต้องทำให้ได้ ไม่ทำมันร้อนมันทุกข์นะ นี่เรื่องจริง

 

มาศึกษาดีๆ เรียนรู้ล้างกิเลสจะเห็นทุกข์เห็นภาระ ผู้หมดภาระแล้วก็ไม่ต้องเสียเวลาทุนรอนไปเสียกับมัน จึงเป็นผู้ที่ว่างแต่ไม่ว่างที่จะทำงานช่วยผู้อื่น เวลาพักก็ควรพัก เวลาไม่ควรพักเราก็เพียรทำงานสร้างสรรไป ถ้าอะไรควรพักแล้วถึงเวลามันเมื่อย ป่วยก็ควรพัก แต่เราก็รู้ว่าพักก็เสียเวลาผ่านวันผ่านปีไปสูญเปล่าถ้าเราเอามาสร้างสรรทำงานก็เกิดประโยชน์ ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าขยันหรือไม่ ก็มันต้องทำไป อาตมาก็เห็นท่านฟ้าไท เดี๋ยวก็ทำส่ิงดีๆหมดอันนี้ก็ทำอันนั้น ไปได้ตลอด ก็เห็นว่าพัฒนา ถ้าไม่ได้มาอย่างนี้ก็คงเละเทะ

 

เราขยันหมั่นเพียรทำ เสร็จอันนี้ก็ทำอันนั้นอีก เราไม่ได้โหยหาการสรรเสริญเยินยออะไร เราไม่ต้องทำเพื่ออามิสอะไร ไม่น้อยหน้าน้อยตาใครเลย ทำสร้างสรรประโยชน์ไป ส่ิงเหล่านี้ยากเข้าใจได้เมื่อถูกมารบังตา หลงผิดไป คิดไปอีกข้างหนึ่งที่เสียหายไม่ได้ประโยชน์ดีไม่ดีทำร้ายทุจริตไปอีก นี่คือเรื่องสัจจะที่สำคัญอย่างย่ิง มีความจำเป็นที่มนุษย์ต้องได้ต้องเป็นต้องแก้ไขอันนี้ ถ้าทำได้ก็เรียบร้อย

 

ยิ่งยุคนี้เลวกันมาก หลอกลวงซับซ้อนเหลวไหล เอารัดเอาเปรียบ ขี้โกงฉลาดหลอกกัน เห็นแล้วน่าเวทนาสงสารมนุษยชาติที่ไปถูกเขาหลอก มันน่าช่วย น่าเวทนาน่าสงสาร คนหลอกก็ช่างกระไร ก็เห็นว่าคนหลอกก็ฉลาดมาก แต่ฉลาดแกมโกง ฉลาดเลว แล้วทำอยู่ บางคนก็รู้ว่าไม่ดี เป็นเรื่องเลว เขาโกงแต่ก็หาเล่ห์เหลี่ยมไม่ให้เขาจับได้ คนเช่นนี้ควรถูกลงโทษไป เราไม่ซาดิสม์แต่ก็ควรแล้วมันเลวก็ควรลงโทษ กักไว้ไม่ให้ทำชั่วต่อไป เราไม่ใช่คนใจร้ายนะ แต่เป็นสัจจะ

 

อาตมาทำงานมา 45 ปีแล้ว เสียเวลาในโลกตั้ง 36 ปีเสียดายจัง มาคราวนี้ก็เลยไม่ยอมตายง่ายๆ เราไม่ได้ทำเอาเปรียบหรืออยากได้อะไรกลับมา นี่คือใจจริง ใครจะอุปการะก็เป็นเรื่องปัญญา เต็มใจ เราไม่หลอกเขาด้วย ให้มีปัญญาเห็นเองรู้เองสมัครใจมาเอง ขนาดนั้นเรายังมีกติกาว่าไม่เป็นสมาชิกไม่เอาเงินที่มาบริจาคนะ เราได้คัดเลือกคนที่มีปัญญาจริง ไม่ใช่หลอกคนหรือเห่อกันมาเราไม่เอา คุณต้องมาศึกษาจริงๆให้รู้นะว่าควรจะเอาหรือไม่

 

เรื่องธรรมะพระพุทธเจ้าอาตมากำลังนำเอาเรื่องที่สำคัญๆมาพูด เอาแค่คำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วเขาเข้าใจเพี้ยนไปไกล เช่นคำว่าบุญ ที่เขาเอาบุญไปเป็นวิมานหลอกคนว่าเป็นส่ิงที่ครบพร้อม มีวิมาน น่าได้น่ามีน่าเป็นทุกอย่างปลายเปิดว่าได้ทุกอย่างสุดยอดแห่งแก้วสารพัดนึก แล้วเป็นตัวอย่างไร มีอำนาจอย่างไรไม่รู้นะ เขาก็ว่าทำอันนี้แหละได้บุญ ทำชั่วๆก็ว่าได้บุญ หลอกให้ลำบากอย่างไรก็ว่าได้อันนี้แหละคือบุญที่วิเศษสุดยอด เขาก็คล้อยตามทั้งที่ไม่รู้ว่าคืออะไร เขาว่าดีวิเศษอย่างนี้ก็เอา สวยอย่างนี้หล่ออย่างนี้สุขอย่างนี้เพลิดเพลินอย่างนี้ บรรดากิเลสมอมเมาก็เอามาใช้หมด แล้วเอาคำว่าบุญมาเป็นบัญญัติกลางว่าได้บุญ ทั้งที่คำว่าบุญ ที่พระพุทธเจ้าหมายคือเครื่องมือกำจัดกิเลส อาตมาเก็บความหมายได้จากพจนานุกรม บาลี_ไทย ฉบับ ภูมิพโลภิกขุ บอกว่าท่านธรรมปาละ ให้คำแปลคำว่าบุญได้อย่างนี้... ปุญญะ แปลเป็นภาษาบาลีว่า สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ

 

แปล บาลีมาเป็นไทย อีกที แปลว่า การชำระจิตสันดานให้สะอาดบริสุทธิ์ ก็คือชำระกิเลสที่สั่งสมในจิตสันดานนี่แหละให้สะอาดบริสุทธิ์นี่คือความหมายของคำว่าปุญญะ หรือบุญ และเมื่อใช้เครื่องมือนี้เสร็จ พอใช้เสร็จก็ได้ส่วนแห่งบุญ ที่ละส่วนๆ เรียกว่าปุญญภาค หรือปุญญภาคิยา เมื่อผู้ที่ได้ปฏิบัติถูกทฤษฎีพระพุทธเจ้า บุญก็ทำได้แล้วก็ลดลง จนหมดกิเลส บุญก็ไม่ต้องทำอีก มีพระบาลีกำกับว่าถ้าสิ้นบุญสิ้นบาป หมดกิเลสแล้วก็เป็น ปุญญาปาปริกขีโณ

 

การกินเนื้อสัตว์เป็นบาปมิใช่บุญ พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องนี้ไว้ว่า

 

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส

5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต  ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ   ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา   ตถาคตสาวกํ  วา   อุทฺทิสฺส   ปาณํ   อารภติ   โส  อิเมหิ    ปญฺจหิ   ฐาเนหิ  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)     ชีวกสูตร  ล.13   ข.60

 

สัตว์ที่ตายด้วยคนใดก็แล้วแต่ ใครสั่งการแบบนี้ก็คือผู้ที่ได้บาปมิใช่บุญเป็นอันมาก คือคุณไปต่อเชื่อมกันคนที่ฆ่าสัตว์ ส่วนคนที่ฆ่าเองก็คือครบปาณาติบาติ 5 ประการคือ สัตว์มีชีวิต รู้ว่าสัตว์มีชีวิต เจตนาฆ่า ลงมือฆ่า สัตว์นั้นก็ได้ตายลงไป นี่คือครบองค์ 5 ของศีลข้อที่ 1

 

นี่คือพระพุทธเจ้าท่านสอนให้ไม่ฆ่าไม่กินด้วย แต่คนก็เลี่ยงบาลี หาเหตุผลให้ตนกินเนื้อสัตว์ จริงๆแล้วอาตมาไม่ได้เกี่ยวกับคุณเลย คุณจะกินก็กินเรื่องของคุณ แต่อาตมาสงสารคุณ

 

มาดูเรื่องกายพิสดารที่ได้เรียบเรียงไว้

 

กายพิสดาร

 

            จากพระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 230 พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร

            เพราะเหตุว่า ความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตายก็ดี ของร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ ย่อมปรากฏ

            ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายนั้น คนที่อายุมากหรือเจ็บป่วย ก็เสื่อมในร่างนี้ก็ไม่อยากอยู่ต่อแล้ว จะลุกจะนั่งก็เจ็บ เมื่อไหร่จะตายเสียที คนอย่างนี้ก็ไม่ได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้าก็มีเบื่อหน่ายในร่างนี้ได้

 

            แต่ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง

ถ้าคนไหนไปยึดว่า กาย คือร่าง ดิน น้ำ ไฟ ลม ก็จะว่า พระพุทธเจ้าพูดอะไรก็ไม่รู้ แต่ไม่กล้าลบหลู่ ก็เลยงงๆ ซึ่งผู้ใดที่เข้าใจว่า กาย มีแต่ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่เกี่ยวกับจิต ก็เข้าใจผิดแล้ว อาจหาว่าคนแปลผิดด้วย ก็ไปเอาบาลีมาดู ก็จะเห็นว่าบาลีก็มีเนื้อหาเช่นนี้ เพราะคำว่า กาย นี้

            ปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็นต้นนั้นได้เลย แต่ร่างภายนอกนี้ ถ้าเห็นถ้าเข้าใจ ว่ามันเบื่อมันเสื่อม แต่ไม่รู้จักความเสื่อมความเจริญ ความตาย ความเกิดของจิต คุณไม่รู้ไม่เข้าใจเลย คุณก็จะไม่มีทางเบื่อหน่ายจิตที่ควรเบื่อหน่อย มโนหรือวิญญาณที่ควรเบื่อหน่อย มันต้องเรียนอย่างลึกซึ้ง การเบื่อหน่ายกายนี้เป็นได้แต่ว่าจิตนั้นจะเบื่อหน่ายไม่มีทางเลย ถ้าไม่รู้ก็มีแต่จะฝังลึกในจิต

            ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าจิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชนมิได้สดับ รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฏฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ดังนี้ คนทั่วไปก็อาจเคยได้ฟังประโยคนี้มา แต่ความจริงที่คนยึดถือนี่สิ มันทำให้หมดไปได้ยาก

            ตลอดกาลช้านานฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็นต้นนั้นได้เลย

            นี่คือ กายที่พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง

            ปุถุชนผู้ไม่ได้ฟังพระธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ได้ยินคำอธิบายที่สัมมาทิฏฐิ ก็จะงงแน่ๆ ว่า พระพุทธเจ้าตรัสเรียกกายว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ได้ยังไง?

            ทีนี้ ในพระไตรปิฎก เล่ม 16 นี้แหละ ข้อ 57 พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้ของคนพาล ผู้อันอวิชชาหุ้มห่อแล้ว ประกอบด้วยตัณหา เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ กายนี้ด้วย นามรูปในภายนอกด้วย ย่อมมีด้วยประการฉะนี้ เพราะอาศัยกายและนามรูปทั้งสองนี้ จึงเกิดผัสสะ สฬายตนะ ซึ่งทั้งสองอย่างนั้น หรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ถูกต้องคนพาล เป็นเหตุให้เสวยสุขและทุกข์

            กายนี้ของบัณฑิต ผู้อันอวิชชาหุ้มห่อแล้ว ประกอบด้วยตัณหา เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ กายนี้ด้วย นามรูปในภายนอกด้วย ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้

            เพราะอาศัยกายและนามรูปทั้งสองนี้ จึงเกิดผัสสะ สฬายตนะ ซึ่งทั้งสองอย่างนั้นหรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ถูกต้องบัณฑิต เป็นเหตุให้เสวยสุขและทุกข์

            ข้อ 58 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องนั้น จะแปลกกันอย่างไร จะมีอธิบายอย่างไร จะต่างกันอย่างไร ระหว่างบัณฑิตกับพาล

            พวกภิกษุกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ธรรมของพวกข้าพระองค์มีพระผู้มีพระภาคเป็นเดิม มีพระผู้มีพระภาคเป็นผู้นำ มีพระผู้มีพระภาคเป็นที่พึ่งอาศัย ขอประทาน

พระวโรกาส เนื้อความแห่งพระภาษิตตนี้ แจ่มแจ้งแก่พระผู้มีพระภาคพระองค์เดียว  ภิกษุทั้งหลายได้ฟังแต่พระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้

            พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้นพวกเธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าว ภิกษุพวกนั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ

            ข้อ 59 พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้ของคนพาล ผู้ถูกอวิชชาใดหุ้มห่อแล้ว และประกอบแล้วด้วยตัณหาใด เกิดขึ้นแล้ว อวิชชานั้นคนพาลยังละไม่ได้ และตัณหานั้นยังไม่สิ้นไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร

            เพราะคนพาลไม่ได้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ เหตุนั้น เมื่อตายไป คนพาลย่อมเข้าถึงกาย เมื่อเขาเข้าถึงกายชื่อว่ายังไม่พ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสก ปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส

            เรากล่าวว่า ยังไม่พ้นไปจากทุกข์

            กายนี้ของบัณฑิต ผู้ถูกอวิชชาใดหุ้มห่อแล้ว และประกอบด้วยตัณหาใด เกิดขึ้นแล้ว อวิชชานั้นบัณฑิตละได้แล้ว และตัณหานั้นสิ้นไปแล้ว ข้อนั้นเพราะเหตุไร

            เพราะว่าบัณฑิตได้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความสิ้นทุกข์โดบชอบ เหตุนั้น เมื่อตายไป บัณฑิตย่อมไม่เข้าถึงกาย เมื่อเขาไม่เข้าถึงกาย ชื่อว่าย่อมพ้นชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส

            เรากล่าวว่า ย่อมพ้นจากทุกข์

            อันนี้เป็นความแปลกกัน อันนี้เป็นอธิบาย อันนี้เป็นความแตกต่างกันของบัณฑิตกับคนพาล

            กล่าวคือ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ฯ

            กาย คือ องค์รวมของตัณหากับอวิชชา ยังมีอยู่ เพราะยังอยากกับยังโง่อยู่ ไม่ได้ละล้างให้หมดไปจากจิต จึงมีวิบากจิตคืออนุสัย ที่ฝังความโง่(อวิชชา)กับความอยาก(ตัณหา)อยู่ เป็นปุพพวิเทหทวีป และยังมีอปรโคยานอยู่ ยังไม่ใช่ผู้เข้าสู่อมรโคยาน แล้วสุดท้ายได้เป็นอมตโคยาน (เป็นผู้ที่อุตมปุริสสะแล้ว เป็นนปุงสกลึงค์ ซึ่งถ้าไม่สูงสุดก็ยังเป็นสองส่วนคือ อิตถีลึงค์และปุงลึงค์)

            เพราะยังไม่รู้จักกามตัณหา จึงยังมีกายอันคือ องค์ประชุมของธรรม 2หรือมากกว่านั้นที่ปรุงแต่ง(สังขาร)กันด้วยอวิชชา ก็เป็นกายที่สังขารกันอยู่คือ กายสังขาร

            ผู้อวิชชาอยู่ย่อมไม่รู้ความเป็นสังขาร รูปกับนามย่อมสังขารกันด้วยอวิชชา กายสังขารนี้คือกาย ยังเป็นสุขเป็นทุกข์ ซึ่งความรู้สึกสุขหรือทุกข์นั้นก็คือภาวะเวทนานั่นเองที่เป็นตัวสุขหรือทุกข์โดยแท้ ตายแล้วจึงยังมีกาย

            ผู้เป็นบัณฑิต ผู้ศึกษาสัมมาทิฏฐิจริง จึงสามารถรู้กายและหยั่งรู้เข้าไปถึงกายในกายได้จริง ว่า กายคือ องค์ประชุมของของธรรม 2 ภาวะ(เทฺว ธัมมา) หรือมากกว่านั้นขึ้นไปประกอบกันอยู่ หรือสังขารกันอยู่

            กายคือ องค์ประชุมของธรรม 2(เทฺว ธัมมา) คือรูปกับนามแล้วรวมลงเป็นหนึ่ง กลายเป็นอารมณ์หรือความรู้สึก ก็คือ เวทนา ซึ่งยังมีองค์รวมของธรรม 2 อยู่นั่นเอง(ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวันติ)   [พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 60]

            แท้ๆนั้น ความเป็นกายอันคือ องค์ประอบของรูปกับนาม ที่มีการสัมพันธ์สัมผัสกันอยู่ของ 2 ภาวะหรือมากกว่านั้น เมื่อประชุมกันสังขารกันจิตก็กลายเป็นอารมณ์ซึ่งอารมณ์หรือความรู้สึกก็คือ เวทนานั่นเอง

            การเรียนรู้พิจารณากายในกาย จึงมีปัจจยาการ ต่อไปเป็นเวทนา สายเดียวกัน เมื่อศึกษาเวทนาในเวทนา  ก็คือศึกษาจิตในจิตนั้นแล หรือกายก็คือองค์ประกอบที่มีทั้งเวทนาทั้งจิตอยู่ในนั้น ไม่ได้แยกกันเลย

            พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า กายนี้ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ผู้ศึกษาสัมมาทิฏฐิแล้วย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงได้(พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 230)      

            การศึกษาของพระพุทธเจ้าจึงให้เราศึกษาเวทนาในเวทนาที่ฟระองค์ทรงสอนไว้สัมบูรณ์แล้ว คือ เวทนา 108

            แม้แต่ความเป็นกาย ผู้ศึกษาก็ต้องเรียนรู้ความเป็นสักกายคือ กายของตน ให้ได้กันเป็นเบื้องต้น แล้วเราจึงจะสามารถพิจารณากายในกาย และสามารถปฏิบัติกาย

คตาสติ-อานาปานสติได้อย่างสัมมาทิฏฐิ

            การระงับกายสังขาร(ปัสสัมภยัง กายสังขารัง) จึงจะสัมมาทิฏฐิได้จริง ในขณะที่มีสัมผัสภายนอกอยู่ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอานาปานสติสูตร ซึ่งไม่ใช่การระงับกายสังขารในขณะหลับตาอยู่ในภวังค์เลย

            ผู้เป็นบัณฑิตที่สัมมาทิฏฐิจริงจึงสามารถรู้กายและกายในกายได้จริง

            กายคือ องค์ประชุมของธรรม 2แล้วรวมลงเป็นอันหนึ่งคือเวทนา

            ดังนั้นกายกับเวทนา จึงคือ จิตจบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง กายหรือเวทนาจึงไม่ใช่อื่นไกล เป็นปัจจยาการกัน หรือเป็นอันเดียวกันนั่นเอง เพียงแต่เป็นจิตเป็นมโน เป็นวิญญาณที่เดินทางไปกับกรรมและกาละ และทุกอารมณ์สุขหรือทุกข์ จึงเกิดจากสังขาร (ปรุงแต่ง) ของธรรมสองหรือมากกว่านั้น ถ้ายังมีเหตุหรือเหลือเหตุที่ยังเป็นตัณหาหรืออุปาทานเท่าใดย่อมมีสุขหรือทุกข์อยู่เท่านั้น ต่อเมื่อหมดตัณหาอุปทานเกลี้ยงจริง องค์ประชุมหรือกายที่มีสุขเวทนา ทุกขเวทนา จึงไม่มี บัณฑิตกับพาล จึงมีกาย กับไม่มีกาย ด้วยประการฉะนี้

 

เป็นคนมีร่างคือองค์ประชุม แต่ไม่มีกายในจิต มารจึงมองไม่เห็น วันนี้อาตมาก็พูดเรื่องกายอีก ได้ฟังอะไรใหม่ไหม? ตามอานิสงส์ของการฟังธรรม 5 ประการ

1.        ผู้ฟังย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง (อัสสุตัง  สุณาติ)

2.       ย่อมเข้าใจชัดในสิ่งที่ได้ฟังแล้ว (สุตัง  ปริโยทเปติ)

3.        ย่อมบรรเทาความสงสัยเสียได้ (กังขัง  วิหนติ)

4.        ย่อมทำความเห็นให้ถูกตรง  (ทิฏฐิง อุชุง กโรติ) 

5.        จิตของผู้ฟังย่อมเลื่อมใส (จิตตมัสสะ  ปสีทติ)

(พตปฎ. เล่ม 22   ข้อ 202)

 

ตอนนี้อาตมาก็พูดไม่เกรงใจแล้ว นักปราชญ์ท่านเห็นว่าอะไรบกพร่องไม่ควรก็ติติงมาได้

 

ปุถุชนตายแล้ว ย่อมมีกายอยู่ ... ทุกวันนี้ดาราเขาเป็นกันยึดกันมาก  ยึดดาวดึงส์ เป็นเทวดาดาวดึงส์ มีวรรณะทิพย์ สุขทิพย์ก็คือสุขเท็จ ไปยอมเจ็บปวดเพื่อทำศัลยกรรมกัน แล้วก็จะให้ยืนยาวเป็นอายุทิพย์ชะลออายุ บำรุงเข้าไป เปลืองเท่าไหร่ไม่ว่า คือสภาวะของดาวดึงส์ คือสุขทิพย์คือสุขเท็จ มีวรรณะทิพย์ก็คือวรรณะเท็จ แล้วก็อยากให้อยู่ไปนานเป็นสาวสองพันปีคืออายุทิพย์

 

อปรโคยาน คือ ชีวิตคนที่ดำเนินไปข้างหน้า อย่างไม่รู้ทิศทางว่าจะดีหรือไม่ดี ไปเรื่อยๆ ส่วนมากหลงจมในดาวดึงส์

 

อมรโคยาน คือชีวิตไปสู่คนอมตะ กิเลสตายไปตามลำดับ แต่มีชีวิตทำประโยชน์ต่อโลก

 

ปุพพวิเทหทวีป คือ กองวิบาก การสั่งสม อดีตใส่ชีวิต ตนไป จะดีหรือไม่ดีก็แล้วแต่

 

อุตรกุรุทวีป คือ จิตใจที่เป็นโลกุตระ อยู่ในมนุษย์ชมพูทวีป แต่ถ้ากายแตกตายไป ก็ไม่มีสิทธิ์เป็นอรหันต์ได้ ต้องมาเป็นมนุษย์ชมพูทวีปจึงจะบรรลุอรหันต์ หรือเป็นพระพุทธเจ้าได้

 

ดาวดึงส์ คือ เสพสุขอยู่ในอาการที่ 33 คืออาการจิตที่มนุษย์จมและใฝ่หาอยู่แต่แดนดาวดึงส์ ทุกลมหายใจเข้าออก

 

ชมพูทวีปคือ มี สูรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส ดีที่สุดเพราะเป็นได้ทุกอย่างเลย

 

.หลวง ล.20/520

 

ทุกอย่างเรียนรู้ได้ในมนุษย์ชมพูทวีปนี้ ถ้าสัมมาทิฏฐิ ตราบใดยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ ยืนยันได้ อาตมามั่นใจว่าที่อาตมาพาทำนี้สัมมาทิฏฐิ

 

เจริญสติปัฏฐาน เจ็ดปี..ยกไว้ 
มหาสติปัฏฐานสูตร ที่ 9  พตปฎ. เล่มที่ 10

            [300] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง 4 นี้ อย่างนี้ตลอด 7 ปี เขาพึงหวังผล 2 ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ  พระอรหัตผลในปัจจุบัน  หรือเมื่อยังมี อุปาทิเหลืออยู่  เป็นพระอนาคามี  7 ปี ยกไว้

            ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐาน 4 นี้ อย่างนี้ตลอด 6ปี  5ปี   4ปี   3ปี  2ปี  1ปี เขาพึงหวังผล 2 ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี 1 ปี ยกไว้ 

            ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน 4 นี้ อย่างนี้ตลอด 7 เดือน เขาพึงหวังผล 2 ประการ  อย่างใดอย่างหนึ่ง  คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน   หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่  เป็นพระอนาคามี  7 เดือนยกไว้       ผู้ใดผู้หนึ่งเจริญสติปัฏฐานทั้ง4นี้ อย่างนี้ ตลอด 6 เดือน      5เดือน  4เดือน  3เดือน  2เดือน  1เดือน กึ่งเดือน เขาพึงหวังผล 2 ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน  หรือเมื่อยัง มีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี  กึ่งเดือนยกไว้

            ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน 4 นี้ อย่างนี้  ตลอด 7 วัน  เขาพึงหวังผล 2 ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน  หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ฯ

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก (เอกายน มัคโค) เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์  เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์โทมนัส  เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง  เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน  หนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน 4 ประการ ฉะนี้แล  คำที่เรากล่าวดังพรรณนามาฉะนี้  เราอาศัยเอกายนมรรค กล่าวแล้ว  

 

ชีวิตกี่ชาติก็วนเวียนเช่นนี้ ขนาดอาตมามีภูมิธรรมแล้ว เกิดมายังถูกโลกมอมเมาเลย เป็นลิงลมอมข้าวพอง


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:44:55 )

580504

รายละเอียด

580504_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ เรื่อง กายพิสดาร 2

พ่อครูว่า... วันนี้วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม 2558 ยังอยู่ในช่วงวันหยุดของวันแรงงานแห่งชาติ เป็นวันของชาวกรรมกร ซึ่ง กรรมกรแปลว่า ผู้ลงมือทำ ส่วนกรรมการ ก็กว้างขึ้น แปลว่า คนที่จะสั่งการหรือออกแบบ หรือเป็นคนพาคนอื่นทำ หรือแนะนำ เป็นสายปัญญา ส่วนกรรมกรเป็นสายเจโต หรือผู้ลงมือทำ แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นเรื่องแบ่งชั้นวรรณะ หาว่า คนมีแต่แรงไม่มีปัญญาเหมือนวัวเหมือนควาย ก็เลยกลายเป็นเรื่องไม่ดีงาม เป็นเรื่องข่มเบ่งกันไป

 

สายปัญญาที่คิดได้แต่ทำไม่ได้ ไม่เป็นเหมือนคนทำได้น่าจะยกย่องพวกทำได้นะ คนที่ทำออกมาเป็นชิ้นเป็นอันเป็นงานเป็นการ เขาต้องมีความรู้นะที่เขาทำออกมาได้ คนที่มีความรู้ต้องพิสูจน์ว่าตนทำได้ไหม? หรือแค่รู้มากกว่าเขา แล้วรู้แล้วทำของให้กินได้ไหม?

 

โลกทุกวันนี้ใช้เชิงฉลาดมาเอาเปรียบเขา สายปัญญานี่ส่วนมากได้บาปมาก แต่สายเจโตถูกเอาเปรียบนี่แหละเป็นคนได้ เป็นเจ้าหนี้  คนเอาเปรียบนี่เป็นคนเสีย เป็นลูกหนี้ แต่ตนหลงว่าตนได้เปรียบ นี่คือสัจจะที่ซ้อน นี่คือสัจจะที่คนรู้ไม่ทัน แล้วโดยสัจธรรมตนเองซวย ตนเสีย แต่นึกว่าตนได้ คนทุกวันนี้จึงวนเวียนไม่รู้จักสัจธรรม

 

คนได้เปรียบ คือผู้เสีย ชาตินี้ดูเหมือนได้เปรียบแต่เป็นหนี้ ชาติหน้าต้องเกิดมาใช้หนี้เขา เกิดเป็นวัวเป็นควายให้เขาใช้งาน สัจธรรมเป็นเช่นนี้ ผู้รู้จริงจึงไม่ไปเอาเปรียบเขา แต่จะรับใช้เขา จะชนะเขาก็รับใช้เขาต่อ เรารู้แล้วว่า ผู้ให้นี่แหละคือผู้ได้ เป็นผู้เสียนี่แหละคือผู้ได้

 

สายทุนนิยมจะเข้าใจอันนี้ได้ยาก แต่สายบุญนิยมจะเข้าใจได้ และหมดปัญญาตนหมดปัญหาสังคมด้วย ไม่เดือดร้อนวุ่นวาย สะดวกสบาย

 

จิตวิญญาณที่มีเชิงปัญญานี้ ยังนึกเลยว่า เรานี่ไม่เก่งที่จะอธิบายความจริงนี้ให้ชัดเจน ให้พวกเราจบเลย มันยังทำไม่ได้ไม่เก่ง เพราะเป็นสิ่งน่ารู้ น่าได้น่าเป็นในความเป็นคน เท่าที่อาตมาพอรู้นะเรื่องจิตวิญญาณ ก็รู้มาพอสมควรแล้ว ก็ตั้งใจพากเพียร อธิบายขยายความให้พวกเราได้รู้ จะได้หมดความเป็นหนี้ ที่มารมาหลอกเรา

 

เป็นภาษาบุคคลาธิษฐานที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ตอนนี้อาตมาเปิดเผยความเป็นดินแดน ความเป็นทวีป ความเป็นจิตนิยามของสัตว์โลก จนถึงเป็นมนุษย์แล้วได้ไขความ มา ถึงทวีป หรือแดนที่จิตอยู่ ในความเป็นมนุษย์หรือมนุสโส ก็แปลว่า ใจสูง กับคนที่ใจต่ำ เรียกว่า สัตว์โลกอบาย ก็หมายถึงจิตวิญญาณ พระพุทธเจ้าสอนให้รู้จิตวิญญาณ แล้วทำจิตวิญญาณให้เจริญพัฒนา ถาวร แล้วพ้นทุกข์จริง เป็นมนุสโสจริงๆ เป็นมนุษย์ที่มีจิตวิญญาณสูงเจริญจนจบเป็นอรหันต์ จิตวิญญาณไม่ตกต่ำ สมเป็นสัตว์โลกที่มีจิตนิยาม สูงสุดในนิยามชีวิตทั้ง 5 อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ จะเป็นสัตว์โลกที่มีหลักประกัน สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) จึงเป็นศาสตร์ที่ย่ิงใหญ่ที่สุดในโลก มนุษย์ควรได้ศึกษาได้จิตอันนี้ เป็นจิตสมบูรณ์มนุษย์สูงสุด คือมนุษย์อุตรกุรุปทวีป อยู่ในแดนของสัตว์โลกที่มีจิตเหนือ และเป็นผู้เป็นกุรุ เป็นครูเป็นตัวอย่างของโลกตลอดไป ซึ่งมีความประเสริฐเหนือกว่า มนุษย์ดาวดึงส์ มนุษย์ชมพูทวีป

 

มนุษย์ชมพูทวีป คือผู้มีอาการ 32 ทวัตติงสาการ แต่ถ้าอวิชชาก็หลงในดาวดึงส์ จนกว่าจะล้างกิเลส เลิกติดดาวดึงส์ก็มาเป็นมนุษย์อมรโคยาน แล้วจะมีความเป็น

_ผู้ไม่มีทุกข์ อมโม ไม่มี มม หรือตัวตน ไม่มี มมังการ คือตัวตนความยิ่งใหญ่

_ไม่มีความหวงแหน อปริคโค

_มีอายุที่แน่นอน นิยตายุโก เป็นอมตบุคคลแล้วสั่งเกิดสั่งตายได้ ต่างกับอายุทิพย์ของดาวดึงส์ ความเป็นทิพย์คือความหลง ไม่ว่าจะวรรณะทิพย์ สุขทิพย์ก็คือเทวดาดาวดึงส์ เขาก็ว่าได้เสพรสนี้เหนือกว่ามนุษย์อุตรกุรุทวีปก็ได้คุณก็หลงระริกระรี้กับอันนี้

 

จิตวิญญาณลักษณะดาวดึงส์ อุตรกุรุทวีป หรือจิตวิญญาณอื่นที่อาตมาขยายความให้ฟัง แม้แต่

_อปรโคยาน กับ อมรโคยาน ซึ่งในพระไตรปิฎก ล.20/520 มีอปรโคยาน ซึ่งมีอยู่ที่เดียวในพระไตรฯทุกเล่ม แต่ว่า อมรโคยานก็มีอยู่หลายแห่งในพระไตรฯ

_ปุพพวิเทหทวีป ก็คือ เทหะ เป็นที่ๆบรรจุอะไรไว้ทั้งหมด เหมือนอวกาศ ที่เป็นเทหวัตถุแท่งทึบ ที่บรรจุวิบากไว้ เป็นคลังอัตภาพ เหมือนฮาร์ดดิสก์ของแต่ละคน เป็นผลเป็นวิบากกรรม สุขทุกข์ ดีชั่ว จะทำเล็กทำน้อย ทำหยาบหรือละเอียดก็ไม่ไปไหนก็อยู่ในปุพพวิเทหะนี่แหละ จนกว่าจะปรินิพพาน ไม่มีใครสามารถทำลายได้ จนกว่าตนเองจะเป็นผู้หยุด มีนิยตายุโก เมื่อปรารถนาจะไม่ต่ออายุแล้ว ก็สิ้นสุดจบได้ ไม่มาอยู่ในโลกใดๆได้แล้ว จบอรหันต์แล้วมีสิทธิ์ทำได้ ไม่เวียนวนมาเกิดในโลกอีก แตกสลายความเป็นตัวตนได้

 

สิ่งที่อาตมานำมาเปิดเผยนี้ถ้าเป็นสิ่งดีก็ควรมาเอา แต่นี่พวกเราก็ไม่ค่อยมาเอามาฟังกัน อาตมาว่าจะอยู่ถึง 151 ปีก็ไม่แน่ ถ้าตายวันตายพรุ่งจะมาเสียดายนะ มาร้องห่มร้องไห้อีก

 

อาตมาไขความเรื่องเปรต เปรตอยู่ที่ไหน? ก็อยู่ที่ตัวเรา มันอยู่ในตัวเรา แต่แสดงตัวเป็นเวลาๆ ส่วนมาก ถ้าอวิชชา คนไม่ฉลาดจะแสดงมาก แสดงบ่อย แสดงต่อเนื่อง จะมีก็พักยกบ้าง พักยกน้อยนะสำหรับคนอวิชชา ปุถุชนเต็มๆ จะเป็นมนุษย์อปรโคยาน มันหลงว่าต้องแสดงหาดาวดึงส์ แสดงหาสุขเพราะได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ ได้กาม ได้อัตตา เอาตัวใหม่ตัวอื่นอีกเรื่อยๆ ไปข้างหน้า อปรโคยาน ได้มาก็หลง แล้วสั่งสมใส่เซพ ใส่ฮาร์ดดิสก์ไว้ที่ปุพพวิเทหะ บรรจุเข้าไปๆ จนกว่าจะตื่นมารู้จิตเปรตของตน

 

จิตเปรตไม่สามารถช่วยตนเองได้เลย ต้องอาศัยคนอื่นทั้งสิ้น เขาจึงอธิบายว่าเปรตจะต้องได้ส่วนบุญ คือต้องได้ความรู้ที่เป็นเครื่องชำระให้แก่ตน ภาษาบาลีเรียกว่า ปรทัตตูชีวกเปรต คำว่าทัตตะคือวิญญาณที่ยังโง่ โง่ชนิดที่ว่า ตนเองไม่สามารถช่วยตนเองได้ ต้องอาศัยผู้อื่น ปรทัตตู

 

ชีวิตินทรีย์ผู้ใดก็แล้วแต่ ที่เป็นจิตนิยามแล้ว จะได้เครื่องมือหรือได้บุญ ที่จะเป็นอาวุธหรืออุปกรณ์ชำระกิเลสก็ต้องได้จากผู้เป็นปัจเจก เปรตทุกตัวหรือสาวกภูมิทุกระดับ ตั้งแต่เร่ิมแรกเลย ไม่ใช่ปัจเจก ตนเองไม่มีธาตุหรือDNA พุทธในตนเลย ก็ต้องได้มาจากผู้ที่มีมาก่อนแล้ว ที่เป็นปัจเจกหรือสยังอภิญญา หรือสยัมภูอย่างพระพุทธเจ้าก็ยิ่งยอด แต่เขาอธิบายไม่เข้าปรมัตถ์ก็อธิบายเป็นเปรตที่เป็นตัวตน แล้วอุทิศโลกีย์อีก อุทิศลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข กาม อัตตา ซึ่งไม่ใช่ส่วนบุญ แต่เป็นแค่โลกีย์ ที่เขาว่าอุทิศส่วนบุญกันนี้มันเพี้ยนไม่ถูกสัจจะ  ที่ว่าแบ่งส่วนบุญกันนี่คือทำกันแบบเล่นๆ คำว่า ทัตตะ คือ อัน...เขาให้แล้ว หรือแปลว่าโง่ แปลว่าทึ่ม ทึบ คำว่า อุปชีวกะ แปลว่าชีวิตที่อาศัยผู้อื่น ผู้ขึ้นอยู่กับผู้อื่น อุปชีวกะ

 

นี่คือเรื่องจิตวิญญาณไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา แต่เป็นจิตวิญญาณเปรตที่หิวโหยมีแต่อยากไม่เคยพอ คืออาการจิตที่อยากๆๆๆ ไม่หยุด อาการเช่นนั้นคืออาการทางจิต ถ้าจิตเป็นเช่นนั้นต้องมาได้ยินได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าหรือปัจเจกบุคคลหรือสยังอภิญญา

 

คำว่าปัจเจก หรือสยัมภู หรือสยังอภิญญา คือผู้ที่ต้องถ่ายทอดความจริงนี้ ศาสนาพุทธนั้นเป็นเอง ได้มาเอง เป็นจิตนิยามที่เกิดมาแล้วต่อให้ฉลาดถึงขั้นศาสดา แต่ถ้าไม่ได้รับเชื้อแท้พุทธธรรม จากผู้มีเชื้อพุทธให้ ต่อให้ฉลาดแบบศาสนาหรือกัลยาณชน ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะถอดถอนล้างกิเลสได้ คนอื่นล้างให้ไม่ได้ ลัทธิเทวนิยมเขาเชื่อว่าล้างบาปได้ ให้คนอื่นแก้กรรมบ้างบาปให้ได้ แต่ของพุทธทำไม่ได้ คนอื่นทำให้เราไม่ได้ คนที่ทำวิบากบาปแล้วไม่มีการเปลี่ยนแปลง อยู่ในปุพพวิเทหะนี้ตลอดไป จะออกฤทธิ์มาเล่นงงานเราในอนาคต เราล้างไม่ได้ มีแต่กันวิบากใหม่อย่าให้เกิดอีกๆ จนทุกปัจจุบันไม่ทำบาปอีกแล้ว สัพพปาปสอกรณัง ถ้าเป็นอรหันต์แล้วต่อจากนั้นไปไม่มีบาปไม่มีบุญแล้ว มีแต่กุศลที่่จะขยายต่อไปเจริญต่อไป จะกันอำนาจของเจ้าหนี้ที่มาทวงบาป ล้างไม่ได้ เพราะ

1. กัมมัสสโกมหิ (มีกรรมเป็นสมบัติแท้ของตน) 

2. กัมมทายาโท (มีกรรมเป็นทายาทรับมรดกของตน)

3. กัมมโยนิ (มีกรรมเป็นแดนเกิด-หรือพากำเนิด) 

4. กัมมพันธุ (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, พันธุ์เทพ,พันธุ์มาร) 

5. กัมมปฏิสรโณ (มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแท้ๆ) 

(พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 581)

ศาสนาที่ไม่เป็นอเทวนิยม ก็จะสอนว่าล้างบาปได้ ให้บาตรหลวงไปล้างบาปให้ ที่จริงแค่สารภาพผิด แค่ปลงอาบัติในศาสนาพุทธ ปลงอาบัติคือเปิดเผยความจริงที่ผิดของตนให้คนอื่นเป็นพยาน สารภาพแล้วว่าตนจะไม่ทำอีก พยายามไม่ทำอีก พูดไปไม่ได้ยกตนข่มท่าน แต่ของพุทธเป็นเช่นนี้ กรรมเป็นของๆตน ล้างให้กันไม่ได้ กว่าที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ ว่าสิ่งที่สั่งสมไว้ไม่มีหายไปไหน แล้วออกฤทธิ์อย่างไร? เราได้อาศัยกุศล ส่วนอกุศล มันจะมาเล่นงานเรา แต่ถ้าเราทำกุศลท่วมท้นก็ได้อาศัยกุศล เมื่อเป็นอรหันต์แล้วก็ทำแต่กุศล แต่ขนาดนั้นอกุศลวิบากยังตามทันได้ แม้เป็นพระพุทธเจ้า

 

ดาวดึงส์นั้นในทางโลกีย์เขาถือว่าเลิศยอดแล้ว เป็นคนดีจริงๆ เป็นผู้ไม่ทำชั่วทำแต่ดี แล้วเสพอายุทิพย์ วรรณะทิพย์ นั้น คนจะต้องศรัทธาเลื่อมใสบูชา มีปรินิมมิตวสวัตตี คนอุปถัมภ์ค้ำชูยกย่องมากมาย เรียกว่า เมื่อมีทวัตติงสาการ เป็นมนุษย์ชมพูทวีป จึงเหนือว่า อุตรกุรุทวีป เพราะจะมีคนมาเคารพยกย่องมากว่า เป็นมนุษย์อรหันต์ที่สอนให้ไปเสพสุข เสพหรู รวย ไม่สอนอายุทิพย์ วรรณะทิพย์ สุขทิพย์ แต่สอนเป็นขั้นตอน แค่โสดาบันขั้นต้นก็ต้องมีทิพย์ของคุณพอสมควร อาศัยไปพอสมควร ก็ไม่ใช่เป็นคนใจดำให้หักดิบหมดทุกคนไม่มีทิพย์เลยไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นแบบนั้นแต่อนุโลมมีขั้นต้น เบื้องกลาง บั้นปลาย แต่คนที่ติดสุขทิพย์ นั้นจะติดเพลินอร่อย จะปล่อยง่ายๆที่ไหน ต้องเป็นเราเป็นของเราอยู่ มันไม่่ง่าย ไม่มีคนโลกย์คนใดจะมานิยมอย่างเราทีเดียว ต้องมีภูมิกล้าที่จะตัด แล้วหันทิศทางมาโลกุตระ ไม่เอาโลกีย์อย่างที่เป็นคนดีวิเศษ เป็นเทวดาดาวดึงส์

 

แล้วเขาก็ซ้อน เป็นเทวดาพรหมก็ได้ แต่เป็นพรหมโลกียะ เป็นคนใจบริสุทธิ์นะ ใจไม่เอาของใครมีแต่เสียสละ อย่างแม่ชีเทเราซ่า นะเป็นนักบุญจริงๆเขาเรียกเช่นนั้นซึ่งเพี้ยนไปจากคำว่าบุญของศาสนาพุทธ เขามีบารมีมากมาย มีความดีมากมาย สุดยอดความดีงามเลย เป็นประโยชน์ต่อโลก ต้องกราบเคารพเลย ไม่กราบเคารพไม่ได้หรอก เพียงแต่ว่าตัวท่านเองไม่รู้โลกุตรธรรม ท่านไม่มีทางแยกที่จะมาโลกุตระอย่างเป็นลำดับ เพราะไม่รู้จักจิตเจตสิกต่างๆ

 

จะปฏิบัติกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมไม่ได้ โพธิปักขิยธรรม 37 เร่ิมแต่กายในกาย จะไม่รู้กายในกาย ซึ่งไม่ใช่รู้กันง่าย มันลึกซึ้งมาก มันจึงหลุดแม้แต่ชาวพุทธก็หลุดค่อยๆเลือน จนกลายเพี้ยนไปหมด ในมวลชาวโลกทั้งหลาย ไม่ได้เข้าใจคำว่ากายแล้ว แม้แต่วงการศาสนาพุทธทั้งหลาย ที่จะต้องรู้คำว่ากาย เดี๋ยวนี้ก็เพี้ยนไป เรียกได้ว่าเพี้ยนไปบริบูรณ์แล้ว เข้าใจคำว่ากายไม่ได้

 

เมื่อเข้าใจคำว่ากายไม่ได้ ก็ปฏิบัติธรรมไม่ได้ ไม่สำเร็จ ไปไม่ออก ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า กาย คือจิต คือมโน คือวิญญาณ เขาก็จุกสิ

 

พระพุทธเจ้าตรัสอีกว่า ... เพราะคนพาลหรือแม้แต่บัณฑิตไม่ได้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ เหตุนั้น เมื่อตายไป คนพาลย่อมเข้าถึงกาย เมื่อเขาเข้าถึงกายชื่อว่ายังไม่พ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสก ปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส

            เรากล่าวว่า ยังไม่พ้นไปจากทุกข์

 

            กายนี้ของบัณฑิต ผู้ถูกอวิชชาใดหุ้มห่อแล้ว และประกอบด้วยตัณหาใด เกิดขึ้นแล้ว อวิชชานั้นบัณฑิตละได้แล้ว และตัณหานั้นสิ้นไปแล้ว ข้อนั้นเพราะเหตุไร

            เพราะว่าบัณฑิตได้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ เหตุนั้น เมื่อตายไป บัณฑิตย่อมไม่เข้าถึงกาย เมื่อเขาไม่เข้าถึงกาย ชื่อว่าย่อมพ้นชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส

            เรากล่าวว่า ย่อมพ้นจากทุกข์

 

ความสงบที่เขา ว่าคือความเงียบ นิ่ง หยุด ก็ไม่ผิดนะ แต่ไม่ถูก เพราะสัตตานี้ สงบแบบพระพุทธเจ้านี้คือ กิเลสมันไม่มีชีวิตแล้ว ชีวิตกิเลสตายสนิท ไม่มีพลังงานกิเลสมากวนเลย สงบเพราะไม่มีกิเลสมากวน เป็นอรหันต์แล้วกิเลสตายเกลี้ยงจึงเป็นคนสงบที่สุด แล้วขยันทำงาน จะพูดความจริงอย่างกระทบได้ดี เพราะฉีกหน้ากิเลส คนหลงกิเลสเป็นตัวตนก็ต้องโกรธเคืองเพราะถือเอากิเลสเป็นตน พอท่านด่ากิเลสคนนั้นก็โกรธเข้าให้ เพราะไปยึดกิเลสเป็นตัวตน ก็เป็นสัจจะ อาตมาไม่ฉีกหน้ากิเลส มันไม่ได้ ห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่ได้ ห้ามให้อาตมาฉีกหน้ากิเลส อาตมาตกงานเลย ไม่มีงานทำเลย ต้องไปขนปุ๋ยอย่างเดียว ต้องไปทำงานออกแรงอย่างเดียว ทำงานแบบเดรัจฉาน ทำงานทางเทคนิค แต่ทำงานโลกุตระไม่ได้ ทำได้แต่งานโลกีย์ ไม่ว่าใคร ไม่ฉีกหน้ากิเลส นั่งสงบไปอย่าให้กิเลสขึ้น แล้วพูดแต่ดี อย่าไปกระทบใคร เป็นหลวงพ่อดีเนอะ ดีหมด พูดแต่ดี ก็ช่วนคนมาแต่ดีแล้วให้ลืมชั่วเสียหมด เอาแต่ดี

 

ผู้รู้ต้องพูดทั้งดีและชั่ว ตามกาละโอกาสไปตามลำดับ อาตมาจึงกล้าประกาศเลยตั้งแต่ทำงานศาสนาใหม่ๆที่วัดมหาธาตุว่า อาตมาจะเทศให้อาตมาตายใน 5 วันก็ทำได้ ก็คือพูดฉีกหน้ากิเลสนี่แหละไม่ต้องระมัดระวังเลย แล้วคนที่เขามีกิเลส เขายึดกิเลสเขา เขาหลงว่าตัวนี้เป็นตัวดีสิ่งดี แล้วมาด่ากิเลสที่เขายึดเป็นตัวตน และเขามีอำนาจในสังคมด้วย เขาทำร้ายอาตมาได้เลย ตาย เหมือนพระโมคคัลลานะมีวิบาก แต่อาตมาไม่ได้มีวิบากแบบท่าน อาตมาไม่ได้ศึกษาแนวท่านโมคคัลลานะ ท่านโต่งอยู่สายเจโตต้องใช้หนี้วิบากไป

 

มีคนถามว่า พ่อครูเคยบอกว่า ศาสนาพุทธเน้นหันหน้าเข้าหาชั่ว เข้าหาทุกข์แล้วระดมกันวิเคราะห์วิจารณ์เข่นฆ่าความชั่วความเลวเข่นฆ่ากิเลส จึงชัดเจนว่านี่คือเส้นทางของมนุษย์ชมพูทวีปที่หมดกิเลส...ก็ถูกต้องแล้ว เพราะศาสนาพุทธคือทุกข์นิยม ไม่ใช่สุขนิยม หันหน้าเข้าหาทุกข์ แต่ทำตามลำดับเพราะทุกข์มันเยอะ กิเลสมันเยอะต้องทำไปตามลำดับ ได้แล้วอยู่เหนือมันแล้วไม่หนีโลก แต่โลกอบายทำอะไรเราไม่ได้ กิเลสเหมือนหัวล้าน คนที่ชนะแล้วลูบหัวล้านได้ เคาะหัวล้านได้ หัวล้านทำอะไรเราไม่ได้ เป็นสิ่งสมบูรณ์แบบ รู้แจ้งเห็นจริงเลย กิเลสดับตายถาวรเที่ยงแท้ ถ้าคุณทำต้องทำให้ถูกตรงจึงจะได้จริง  ศาสนาพุทธไม่ค่อยพูดเรื่องชมเชย

 

พระพุทธเจ้าว่า ให้ข่มคนชั่ว ยกคนดี ซึ่งให้ข่มคนชั่วก่อน แต่ถ้ายกคนดีก่อนแล้วคนดีมีอัตตาติดยึด หลงเหลิงได้ จึงน้อยที่จะชม แต่ก็ยกเป็นตัวอย่างว่ามีจริง คนโลกุตระมีจริง อวดได้ยกได้ ประกาศได้ แต่ต้องอ่านจิตว่าอย่ามีสาเฐยจิต ถ้าจะอวดต้องอย่ามีความอยาก ต้องอวดเพื่อให้คนได้รู้เพื่อประโยชน์ยืนยันก็ไม่อาบัติไม่บาป ข้อสำคัญคือรู้จักสาเฐยจิตไหม? มันเผินง่าย ว่าอยากอวดก็เลยอวดไปทั้งที่ตนมีสาเฐยจิตอยู่ด้วย แต่อำนาจกิเลสอยากอวดมีมาก อย่างนี้ไม่ดี ต้องแน่ใจตรวจอย่างไม่มีอคติจริง ก็อวด แต่อวดอย่างไม่ได้อยากได้อะไรคือ ไม่มีจิตอยากอวด แต่ถ้าตนเองอวดอย่างจิตไม่สะอาดไม่ได้ แต่ถ้าจะอวดก็คือแสดงออกบอกได้ ถ้าไม่มีสาเฐยจิต

 

คนเข้าใจไม่ได้ว่า ผู้บรรลุแล้วบอกใครไม่ได้อย่างโลหิจจสูตร ...

 

            โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น  เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป  เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว   กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่... ฯลฯ ”  .

            พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ  ย่อมมีคติ 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน  อย่างใดอย่างหนึ่ง (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 358)

 

คนบรรลุใหม่ๆมันอยากอวดอยากโชว์นะ เหมือนเศรษฐีใหม่ๆ

 

คนที่คิดชั่ว ชังมากถึงขนาดว่าอยากให้อาตมาหยุดเผยแพร่หรือว่าอยากให้ตายเลยก็มี คือคนที่อวิชชาหนักๆ แต่เขาก็ชาตินี้มันไม่มีแรงมากเท่าไหร่หรอก มันมีความซับซ้อนในบารมี วิบากเหมือนกัน ชาตินี้ผู้ที่ทำร้ายก็ทำไม่ค่อยได้ หรือแพ้ภัยตนเองไปก็มี คนที่เพ่งโทสพระอาริยะมีโทษถึง 11 ประการ บางคนก็ว่าจะอะไรนักหนา กันทำไมมากมายอะไร?  ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านว่าถ้าท่านจะพูดต้องเป็นสิ่งที่ เป็นประโยชน์ เป็นความจริง เหมาะสมกับกาละ

 

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาทุกข์นิยม คือมองสิ่งที่พาชั่วพาเลวร้าย แล้วไล่ไปเป็นลำดับ โดยเฉพาะของตน อย่าไปเพ่งคนอื่น เพ่งคนอื่นอาสวะของตนเจริญ เราอย่าไปเพ่งเขา รู้แล้วก็เก็บไว้ ถ้าจริงก็ดูเป็นตัวอย่าง ไม่จำเป็นต้องไปว่าเขา ให้เมตตาเขา เขามีสิ่งไม่ดีถ้าบอกได้ก็บอก บอกไม่ได้ก็น่าจะบอกคนที่น่าจะบอกเขาได้ ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาที่ต่างจากศาสนาอื่นที่ไม่ไปสอนเรื่องความดีเป็นหลักแต่สอนเรื่องความชั่วเป็นหลัก แล้วหาเหตุดับเหตุให้ได้ทำได้แล้วได้จริง จนหมดเหตุชั่ว

 

คนหมดเหตุชั่วจะมีภาวะรู้โลก เพราะจริงๆแล้วมันมีตัวกิเลสกับกรรมความดีงามกับความไม่ดี ซึ่งเป็นกรรมที่จะลงในฮาร์ดดิสก์ ปุพพวิเทหะ ประชุมลงในนั้น ผู้ที่รู้จักบุญ รู้จักบาปคือตัวเหตุพาทุกข์ จึงเรียนรู้จัก 1.ตัวทุกข์ 2.เครื่องมือจัดการทุกข์ คือมรรคมีองค์ 8 คือเครื่องมือบุญ ก็ใช้เครื่องมือนี้กำจัดบาป แล้วบาปจะเกิดได้ในปัจจุบันเท่านั้น วิบากบาปเป็นอกุศลอยู่ในปุพพวิเทหะแก้ไขไม่ได้ รอออกฤทธิ์อย่างเดียว ผู้ลดบาปนั้นอยู่กับโลกจะรู้ว่าอันไหนเป็นบาป แล้วกำจัดบาปไปตามลำดับ จนหมดแล้วทุกปัจจุบัน ตรวจสอบด้วยเวทนา 108 จนส่วน อปรันตะ(อนาคต) และปุพพันตะ (อดีต) ก็ทำให้กิเลสสูญๆได้ทุกปัจจุบันแข็งแรงเป็นพลังตั้งมั่น ที่เป็นอภิสังขารระดับอเนญชา จนเป็นต้นทุนเป็นกำลังในปัจจุบันที่มีกำลังเด็ดขาด เราไม่หนีโลกด้วย จึงรู้โลกต่างๆนานาสารพัด ตั้งแต่โลกธรรม 8 (ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์) มีโลก 3 มีโลก 2 อีก

 

ตอบประเด็น หรือคำถาม

 

_ร่ายกาย จิต มโน วิญญาณ ว่าดิฉัน...มีจิตที่สงบมาก จะคิดว่าจะเป็นฤาษีหรือไม่? แต่ในคืนหนึ่งก็มองไปที่ไฟมันดับ ก็ไม่กลัวมาก เราก็จะเดินไปเพื่อเปิดไฟ จะออกไปทำงาน แต่ว่าก็มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งว่า เป็นเก่งนักหรือจะไปเปิดไฟ แต่จิตเราก็นิ่งได้ อยากถามว่ามันจิตนิ่งหรือมันช็อคไปเองเลย ...ดิฉันก็ฟังต่อไปอีก...ว่าเขาจะพูดอีกหรือไม่?  แต่ต่อมาดิฉันก็เดินไปเปิดไฟ แต่คนนั้นเขาก็ตามไปอีก แล้วบอกว่า จะเอาอย่างไร เอ็งนักเลงนักหรือ?....ดิฉันก็คิดว่าเหมือนเสียงแมวร้อง ไม่ได้คิดอะไร...ดิฉันก็ปิดไฟ แล้วลงมา แต่ดิฉันจำหน้าได้ เป็นคนรู้จักด้วย ดิฉันก็เลยไปบอกผอ.บัวนวล ว่าดิฉันไม่มีอะไรกับเขานะ ดิฉันคิดว่าผัสสะมันไม่ดับ มันก็อยู่กับเรา ....

ตอบ...ผัสสะไม่ดับ มันรู้มันเห็นอยู่ แต่เราอ่านใจเราว่าใจเรานิ่ง เราไม่ได้โกรธตอบ ถ้าเราเองขี้กลัว แล้วไม่เปิดไฟ ก็เดาว่าผีแน่ๆ  แต่พอดีเราเองใจกล้าไม่ได้กลัวอะไร เราก็ไปของเราธรรมดา ก็เป็นผัสสะให้เราได้ดูใจ ว่าใจเราก็นิ่ง แม้ที่สุดเขามาว่า จะเอาอย่างไร เอ็งนักเลงนักหรือ? เราก็ไม่ถือสาก็ดีแล้ว

 

พ่อครูอธิบายต่อ....

 

เมื่อวานนี้อาตมาได้พูดเรื่องกาย ... พระพุทธเจ้าตรัสว่า  กายคือองค์รวม หรือองค์ประชุม ของรูป/นาม

รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ / นามคือธาตุรู้  ...คนตายไปธาตุรู้คือมโนยังอยู่ ตัวธาตุรู้ก็จะมีตัวที่ถูกรู้ได้ ถ้าคุณเรียน สัมมาทิฏฐิ คุณจะอ่านตัวที่ถูกรู้ได้ ทั่วไปหยาบๆก็รู้ได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ส่วนใจก็มีตัวถูกรู้ได้ คนไม่ได้เรียนสัมมาทิฏฐิจะเนรมิตรูปร่างเป็นอัตตาที่สำเร็จด้วยจิต เป็นมโนมยอัตตา ได้ โดยตาเนื้อไม่เห็นได้ก็ เมื่อตายไปก็มีรูปติดไปเป็น รูปาวจร เป็นองค์ประชุมของนามได้อย่างไม่ต้องมีมหาภูตรูป ไม่ต้องมีโผฏฐัพพะ ไม่ต้องใช้ปสาทรูป มีแต่ใจในใจอย่างเดียว อปรโคยาน  ใจที่อวิชชา ไม่รู้ว่า ร่างกายเราไม่มีแล้วนะ เหมือนคนนอนหลับ คุณรู้สึกว่าจริง ฉันใดก็ฉันนั้น คุณตายไปก็จะรู้สึกจริงเช่นนั้น นั่นแหละคือกาย คุณไม่ได้ล้างความติดยึด คนที่ติดอบาย เช่นติดว่างวดนี้ไม่ได้ดูปาเกียวกับฟรอยชกกัน แล้วคนนี้ตายไปจะดิ้นรนหาอปรโคยานเท่าไหร่ มันไม่รู้ว่าตายนะ ก็จะสมมุติกายของตนไปดิ้นรนไปอีกนานนับชาติ นานเท่านาน ต่อให้เป็นบัณฑิตด้วย ก็เป็นเช่นนี้ ตายไปต้องมีกาย มีองค์ประชุมรูป/นามที่อวิชชา ไม่ต้องอาศัยทวาร 5 ก็มีโคยาน ในโลกนามธรรมได้

 

กายตัวนั้นจึงคือ ตัณหากับอวิชชา เป็นธรรมะสอง คือยังอยากและยังโง่ คู่หูคู่นี้ใครอยากได้บ้าง มันทำเราเดือดร้อนทั้งตอนเป็นและตอนตาย มีวิบากคืออนุสัยที่ฝังความโง่และความอยากเป็นปุพพวิเทหะและมีอปรโคยานอยู่ ยังไม่ใช่ผู้เข้าสู่อมรโคยาน หากคุณเป็นโสดาบัน สกิทาคามีก็มีอรมโคยานบ้างก็จะไม่ฝันร้าย ไม่มีนิมิตร้ายมาหลอกตนเอง แต่ถ้าอวิชชาตายไปจะดิ้นอย่างไม่รู้จริงๆ ดิ้นอย่างไม่รู้ว่าตนตายแล้วด้วย จะดิ้นด้วยตัณหาซับซ้อนดิ้นรนเพื่อให้ได้เสพสิ่งที่ตนเคยเสพติด

 

ยังไม่รู้กามตัณหาจึงมีธรรมะสองหรือมากกว่านั้นที่ปรุงแต่งด้วยอวิชชา ผู้อวิชชาไม่รู้สังขาร

 

กายสังขารนี้จะเป็นกาย คือมีความรู้สึก สุข/ทุกข์ กายก็คือเวทนา ตอนตายไปจะดิ้นเพื่อเสพเวทนาให้ได้ แล้วองค์ประชุมกายของเขาคือ ตัณหา กับ อวิชชา ก็มีแต่นรกเป็นที่ไปแน่นอน ตอนตายไม่มีอะไรมาสะกิดให้เปลี่ยนแปลงได้ด้วยนะ ถ้าสมมุติว่าคุณตายขณะที่อยากดูปาเกียวชกแล้วช็อกตายไปเลย เขาจะดิ้นรน อย่างไม่มีอะไรกั้นเลย เหมือนผีอำดิ้นอยากดูคนชกนี้ มันติดจริง อยากมากเท่าไหร่ ก็ดูราคาค่าชก ต่ำที่สุด หกหมื่นบาทหรือไง? ซึ่งการชกนี้มีรายได้จากการชกมากที่สุด เท่าที่เคยมีสถิติมานะ เขาคำนวณว่า 1 วินาทีได้ 1.8 ล้าน

 

นี่คือสังคมที่หลง ติดยึดอารมณ์ที่คือดาวดึงส์ ต้องไปสร้างพลังสมใจอันนี้ มันเสียดาย ทั่วโลกเลย อาตมาพูดแล้วเหมือนคนบ้านะ คนอื่นๆเขาสุขจะตาย แต่อาตมาเห็นแล้วสงสาร แล้วพวกนี้ได้เงินไปก็มีมากมาย ก็ซื้อเละเลย ไร้สาระ เป็นตัวอย่างให้คนโง่ อวิชชาอยากเอาตามว่ามันดูดีเหลือเกิน คนที่จะเข้าใจอารมณ์ที่สนุกรื่นเริงหรือดูคนเจ็บ ก็เป็นซาดิสม์ คนก็อุปาทาน หลงว่ามันมีอาการอารมณ์เช่นนั้นจริง แต่มันไร้สาระ คนที่ล้างได้แล้วก็ไม่ต้องไปเสียเวลาทุนรอนแรงงานกับสิ่งเหล่านี้ แม้เราจะไม่เก่ง แต่เราก็ทำสิ่งที่มีสาระกัน เลี้ยงดูกันไปได้รอด แต่พวกนั้นมันรวยมากแต่เลี้ยงดูกันไม่รอด แล้วปล่อยให้ฆ่าแกงกัน เขาระงับไม่ได้ แต่ของเราไม่ได้มีมากอย่างเขา แต่สงบ สบาย ถ้าสังคมได้อย่างนี้เป็นเครือแหไปทั่วประเทศ อาตมาตั้งใจอยู่ไปอีก 70 ปี  เพื่อจะสร้างสังคมเช่นนี้ ใครจะช่วยอาตมาทำ....

 

สัจจะของพระพุทธเจ้าไม่ว่าบัณฑิต ผู้รู้ทางโลกหรือพาลชน หากไม่เข้าใจเรื่องโลกและอัตตา ซึ่งอาตมาจะมาขยายต่อให้รู้ว่า โลกมีกี่แบบ

 

            โลก 2 ได้แก่ เอกภพ(หนึ่งเดียวของทุกสรรพสิ่ง) และโลกจักรวาล(ทุกสรรพสิ่งในโลก

หนึ่งเดียว)

            โลก 2 ได้แก่ โลกที่ไม่มีภาวะของชีวะ(อชีวิตินทรีย์) และโลกที่มีภาวะของชีวะ

(ชีวิตินทรีย์)

            โลก 2 ได้แก่ โลกชีวะที่ยังไม่ถึงขั้นวิญญาณ มีแค่ รูป,สัญญาและสังขาร(พีชนิยาม) และโลกชีวะที่ถึงขั้นวิญญาณ มีรูป,เวทนา,สัญญา,สังขารและวิญญาณ(จิตนิยาม)

            โลก 2 ได้แก่ โลกียะ(ปุถุชน,กัลยาณชน) และโลกุตระ(อาริยชน)     

            โลก 2 ได้แก่ โลกนี้(อิธโลก,อยังโลก,อิมัญจ โลกัง) และโลกหน้า(ปรโลก,ปโรโลโก,ปรัญจ โลกัง, สัมปรายิกะ)   

            โลก 2 ได้แก่ โลกสมุทัย(มีเหตุแห่งทุกข์) และโลกนิโรธ(ดับเหตุแห่งทุกข์)

            โลก 2 ได้แก่ โลกที่ไม่สุขไม่ทุกข์แบบปุถุชน(เคหสิตอุเบกขา) และโลกที่ไม่สุขไม่ทุกข์แบบอาริยชน(เนกขัมมสิตอุเบกขา)

            โลก 2 ได้แก่ กามโลก,กามภพ(โลกภายนอก) และภวโลก(โลกภายใน) = รูปโลก,

อรูปโลก

            โลก 3 ได้แก่ 1.กามโลก  2.รูปโลก  3.อรูปโลก

            โลก 3 ได้แก่ 1.สังขารโลก 2.สัตวโลก 3.โอกาสโลก(โลกอันมีในอวกาส,จักรวาล,โลกอันกำหนดด้วยโอกาส ซึ่งได้แก่โอกาสที่เป็นสังขารอันมีวิญญาณครอง หรือได้แก่โอกาสที่เป็นสังขารอันไม่มีวิญญาณครอง) 

            โลก 3 ได้แก่ 1.มนุษยโลก 2.เทวโลก 3.พรหมโลก

            โลกที่เป็นวัฏฏะ 3 ได้แก่ 1.โลกที่วนเวียนอยู่ด้วยกิเลสวัฏฏะ(วงจรกิเลส) 2.โลกที่วนเวียนอยู่ด้วยกรรมวัฏฏะ(วงจรกรรม) 3.โลกที่วนเวียนอยู่ด้วยวิปากวัฏฏะ(วงจรวิบาก)

            โลกที่มีญาณ 3 ได้แก่ 1.โลกที่สามารถระลึกรู้ภาวะอันเคยอาศัยอยู่มาก่อนได้(ปุพเพ

นิวาสานุสติญาณ) 2.โลกที่สามารถกำหนดรู้การตาย(จุติ)และการเกิด(อุบัติ)ได้(จุตูปปาตญาณ)

3.โลกที่สามารถหยั่งตรวจสอบรู้แจ้งความหมดสิ้นอาสวะในจิตตนได้(อาสวักขยญาณ)

            โลก 6 ได้แก่ 1.อบายโลก 2.มนุษยโลก 3.เทวโลก 4.ขันธโลก 5.ธาตุโลก 6.อายตนโลก(พระไตรปิฎก เล่ม 29 ข้อ 14)

            ก็จะได้อธิบายเรื่อง อันตคาหิกทิฏฐิ 10 [ความเห็นอันถือเอาที่สุด, ความเห็นผิดที่แล่นไปสุดโต่งข้างใดข้างหนึ่ง]

            โลกเที่ยง-โลกไม่เที่ยง-โลกมีที่สุด-โลกไม่มีที่สุด

            ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น-ชีวะก็อย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง

            อัตตา(สัตว์,ตถาคต)เบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก(ย่อมมีอยู่)

            อัตตา(สัตว์,ตถาคต)เบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมไม่เป็นอีก(ย่อมไม่มีอยู่)

            อัตตา(ตถาคต,สัตว์)เบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก(มีอยู่)ก็ใช่(ก็มี) ไม่เป็นอีก(ไม่มีอยู่)ก็ใช่(ก็มี)

            อัตตา(สัตว์,ตถาคต)เบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก(มีอยู่)ก็มิใช่(ก็หามิได้) ย่อมไม่เป็นอีก(ไม่มี

อยู่)ก็มิใช่(ก็หามิได้)

 

ระวัง เรียนไปอย่าเอาแต่จะเอาไปสอบ ว.บบบ.เท่านั้นนะ ไม่ถูก แต่ถ้าแม้ไม่ได้เข็มแต่ปฏิบัติได้จะจริงกว่า แม้ได้เข็ม 4 เข็ม แต่ปฏิบัติไม่ได้ก็ไม่จริง แต่ถ้าเนื้อแท้ปฏิบัติได้คนจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจเลย ถ้าจิตวิญญาณมีจริง สอบไม่ได้ก็ไม่เดือดร้อน สอบได้ก็ดี สอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไร

 

อาตมาเคยอยู่ในภาวะที่ว่า เราจะไปรู้อะไรอีก มีอะไรที่เราต้องรู้อีกนะ ก็มันรู้หมดแล้ว แต่พวกเราแม้ได้ฟังก็เข้าใจเพิ่มขึ้น ถ้าเข้าใจแล้วจะง่าย จะบรรเทาได้เยอะ จะเร็วขึ้นได้ประโยชน์แท้จริง... จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:46:22 )

580505

รายละเอียด

580505_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ เรื่อง ฉีกหน้ากากศิลปินจอมปลอม

พ่อครูว่า... ขอบคุณทุกคนที่ใส่ใจเรียนรู้ศึกษาฝึกฝน เพื่อจะได้สิ่งที่ควรได้อย่างยิ่งในความเป็นมนุษย์ แม้ว่า พวกเราจะไม่มีอามิสอะไรล่อ เรามานั่งเรียนก็ไม่ได้ปริญญาบัตร หรืออะไรรับรองเลย แต่เราก็มาเรียน ก็เพราะเรารู้ว่าสิ่งที่เราเรียนไปนี้ จริงๆแล้วเราจะได้อะไร ...

 

คนเราหากบอกว่าไปเรียนแล้วไม่ได้อะไร หรือได้สิ่งที่ตนไม่ต้องการ ก็ไม่อยากเรียน ถูกบังคับได้ไม่นานก็เลิก แต่ผู้ที่ยิ่งรู้ว่า ยิ่งเรียนไปก็ได้สิ่งประเสริฐ ก็จะมาเรียนๆๆ ไม่เกี่ยวกับได้เงินทอง ลาภยศ หรือใบรับรองอะไรต่างๆนานา ไม่ต้องเลย แล้วอาตมาก็ตั้งใจจะสอนไปอีก 70 ปีกับอีก 1 เดือน วันนี้วันที่ 5 พฤษภาคม อาตมาเกิด 5 มิถุนายน อีก 1 เดือนพอดีเลย ถ้าไปถึง 151 ปีก็ยังเหลืออีก 70 ปีกับ 1 เดือน อาตมาก็จะสอนให้ถึง ถ้าอายุถึง แล้วยังทำงานได้สอนได้ก็สอน จนกว่าวาระสุดท้าย เพราะอาตมาเห็นว่าการกระทำอันนี้ การสอนหรือบอกสิ่งที่อาตมามั่นใจว่า เป็นความจริง และเป็นความประเสริฐ เป็นสิ่งที่มนุษย์ควรได้อย่างยิ่ง ในชีวิตที่เกิดมาเป็นชีวิต

 

ในมหาจักรวาล ธาตุที่ไม่มีชีวิตก็คือ อุตุธาตุ ยังไม่มีชีวะ อุตุคือ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ เริ่มตั้งแต่พีชะ จะเป็นชีวะแล้ว แต่ยังเป็นพลังงานที่ยังไม่ถึงรอบของจิตนิยาม ซึ่งพีชะ มีแต่รูป สัญญา สังขาร มันปรุงแต่งกันสังเคราะห์กัน อย่างเคมีธาตุที่เขาเรียนกันว่า

 

พีชะมีแค่ รูป สัญญา สังขาร ไม่มีเวทนา ไม่มีสุขทุกข์ ชอบ/ชัง รัก/โกรธ จึงไม่มีบาปเวรภัย ปรุงแต่งของมันอยู่อย่างนั้น

 

พวกศึกษาเคมี ชีวะ ฟิสิกส์ วิทยาศาสตร์ เขาสงสัยว่า ที่ปรุงแต่งกันอยู่ อันหนึ่งเป็นสรีระ อันหนึ่งเป็นชีวะ มันอยู่กันอย่างไร ชีวะก็อย่างหนึ่ง/สรีระก็อย่างหนึ่ง หรืออันเดียวกัน ก็มีคนสงสัย เพราะโลกมีดินน้ำไฟลม เป็นรูปธาตุ แล้วมาเกี่ยวกับนามธาตุคือชีวะอย่างไร? เกี่ยวเข้าไปแล้วมันอยู่อย่างไร? แล้วจะไปจัดการ ไปเรียนรู้อย่างไร?

 

พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องนี้ จากการศึกษาจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ รู้ว่ามันปรุงแต่ง เกิดเป็นชีวะ ซึ่งจะดิ้นไปตามแรงสัญญาความจำ แล้วจะมีการยึด การยึดเป็นภาษาที่ไม่ง่ายที่จะรู้ แต่รู้อย่างตื้นๆได้ง่าย เช่น พืชผัก มันก็มีสัญญา มันรู้ว่าธาตุไหนจะเอาหรือไม่เอา

 

ชีวะมันมีดินน้ำ ไฟลม และมีชีวะอยู่ เมื่อมันแตะสัมผัสกันเข้า มันรู้ว่าอันนี้ใช่มันก็เอา แล้วเกิดวงวนเป็นอันที่สาม มันรู้ว่าอันนี้จะเอาหรือไม่เอา ก็เกิดสภาพสามเหลี่ยม

 

รูป กับ สัญญา แล้วก็เป็นสังขาร ก็เกิดเป็นสามเส้า วงวน เกิดตัวตนของชีวะ แต่แค่พีชะ เราก็ไม่เรียกว่าตัวตน มันก็จะเรียกว่ายึดเกาะกันได้ แต่สลายไปมันก็ไม่ทุกข์ร้อนหวงแหน แต่เกิดวงวนแล้ว เรียกว่า โลกเป็นตัวตนก็เรียกว่า อัตตาพระพุทธเจ้าสอนเรื่องพลังงาน อธิปไตย พลังงานมากขึ้นเรียกว่า มีโลก กับอัตตา แล้วพระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ความหมุนวนของโลก หมุนแล้วยึดเป็นตัวตน อัตตา หากเป็นชีวะระดับพีชะ มันมีแค่รูป สัญญา สังขาร เป็นชีวะวงวนหมุน มีอัตโนมัติของมัน อัตภาพของมัน แต่ไม่ได้บัญญัติเป็นอัตตา เหมือนชีวะระดับจิตวิญญาณ ก็เป็นแค่ รูป สัญญา สังขาร วนอยู่เช่นนั้น ความหมุนวนของมันคือโลก ถ้ามันยังมีความหมุนอยู่ตราบใดก็เป็นชีวิตินทรีย์ ถ้าไม่หมุนแล้วหมดพลังงาน มีแต่จะหลายเป็นอุตุไป

 

ต่อเมื่อมีการแตกหน่อไปเป็น หกหรือ เจ็ด เป็นอื่นไปเป็นอปรโคยานไป เรื่อยๆ เวทนา_สัญญา_สังขาร สามเจตสิก หากทำงานครบก็เป็นวิญญาณเต็ม แต่พีชะไม่มีเวทนาจึงเกิดวิญญาณไม่ได้ จึงเรียกว่า อนุปาทินกสังขาร ไม่มีกรรมเป็นวิบากในพีชนิยาม ชีวะของอันไหนก็เป็นอันนั้นไม่เกี่ยวข้องกัน อันอื่นไม่มีพยาบาท ไม่มีรัก แต่ชีวะระดับจิตขึ้นไปมี กรรมวิบาก มีชัง/รักได้ เช่น รักมะม่วงหรือชังมะม่วงนี้ไป อยู่ในฮาร์ดดิสก์ สั่งสมในคลังสมบัติ เป็นอุปาทาน อนุสัยในนั้น เป็นต้น ซึ่งที่อาตมาเอามาพูดได้ และเรียนมาตามทฤษฎีพระพุทธเจ้าอาตมาก็เอามาอธิบาย พวกคุณฟังแล้ว เห็นความจริงที่ว่า เป็นนามธรรม ระดับจิต วิญญาณ เวทนา ที่ปรุงแต่งกันเป็นกาย ฟังแล้วเห็นของตนเองไหม? ทุกอย่างที่สั่งสมไปไม่หาย แต่บางทีลืมกุญแจ ไขไม่ออก เปิดเก๊ะไม่ได้ แต่สักวันมันก็แสดงฤทธิ์ของมันเอง ไปขังมันไม่อยู่หรอกอนุสัย ถึงเวลามันออกมาเล่นงานเรา มันก็ออกมา พระพุทธเจ้าจึงตรัสรู้ชัดเจน

 

เรื่องที่คนเรายึดติดเป็นอัตตา ยึดจนไม่รู้ว่าเป็นอะไร คนที่อยากรู้ มี อยากรู้โลก และอยากรู้อัตตา และในโลก ในอัตตา มีชีวะ มีสรีระ แล้วชีวะ ที่อาตมาว่า มีชีวะระดับ พีชะ/จิต สรีระก็คือส่วนประกอบ ก็เลยเป็นสิ่งที่มนุษย์อยากรู้ พระพุทธเจ้าอุบัติมา สอนทิ้งไว้ ความรู้เหล่านี้ พราหมณ์ ฮินดู โบราณ ก็สอนเป็นศาสนาหลัก ซึ่งฮินดูกับพุทธนี้อันเดียวกัน พอมันไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจดีก็เป็นฮินดู พอเข้าใจดีก็เป็นพุทธ แต่พอเลือนไปก็กลายเป็นฮินดูหรือพราหมณ์

 

จนมีผู้รู้มาฟื้นความรู้ ที่จริงก็เป็นวิญญาณธาตุอันเดียวกัน แต่มันเลือนเพี้ยนไป จนทุกวันนี้ศาสนาพุทธในเมืองไทยหรือในโลกเพี้ยนไปมาก จนไม่มีคุณสมบัติโลกุตระหรืออาริยะ ที่เป็นประโยชน์ สูงสุด เป็นผู้รู้จักกรรม ที่แยก กุศล/อกุศล ออกแล้ว จนแยก กุศลโลกุตระ/กุศลโลกียะ แล้วทำให้ทรงไว้ในปัจจุบันเป็นวิญญาณธาตุ แล้วเราทำให้อกุศลธาตุที่เป็นชีวะ กระทบสัมผัสส่ิงต่างๆแล้วเกิดชีวิตินทรีย์ จนเรียนรู้อกุศลธาตุทุกปัจจุบันที่สัมผัส ที่สั่งสมเป็นวิบากนั้นก็เป็นแล้ว แล้วจะทำงานของมัน วิบากบาป/บุญ หรือรัก/ชัง อยู่ในปุพพวิเทหะแล้ว แก้ไม่ได้ ต้องเรียนรู้ทุกปัจจุบัน มาล้างอกุศล เมื่อสัมผัสแล้วเกิดอะไร ก็เรียนรู้ล้างเหตุของอกุศล

 

จนเรียนรู้ตัวตนอกุศลในอัตภาพ ตั้งแต่ โอฬาริกอัตตา จนเหลือรูป เป็นมโนมยอัตตา กระทบข้างนอกไม่ปรุงแต่งเป็นอกุศลแล้ว รู้หมดแล้วในอกุศลภายนอก ทำกุศลภายนอก อกุศลภายนอกไม่ทำ เป็นความซื่อสัตย์และมีปัญญาแท้จริง เข้าใจกรรมวิบาก ทำแล้วเป็นอันทำ

 

อย่างพืชมันปรุงแต่งแล้วเป็นอันทำ แต่ไม่มีผลวิบาก จองเวรภัยหรือดูดดึงอะไร มันมีกรรม แต่ไม่มีวิบาก ต้องไปใช้หนี้ มันไม่มีอื่นอีกจากธาตุชีวะของมัน แต่จิตนิยามนี่มีอื่นอีก ไม่รู้กี่พันกี่ล้านชนิด

 

พระพุทธเจ้าเรียนรู้ค้นพบแล้ว มีวิธีปฏิบัติเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ให้มาศึกษาตั้งแต่สัตว์ชั้นต่ำเรียกว่าอบาย จนถึงสมมุติเทพ มาเป็นอุบัติเทพ จนถึงวิสุทธิเทพ เป็นพลังงานหมดบาปหมดบุญได้ เป็นอรหัตตผล ทุกปัจจุบัน จึงพิสูจน์ที่ปัจจุบัน อนาคตไม่เคยมี ไม่เคยมาถึง พอถึงอนาคตก็เป็นปัจจุบัน อนาคตเป็นเพียงภาษาบัญญัติ พอถึงก็เป็นปัจจุบัน อดีตเป็นความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ วิธีที่จะทำให้ไม่ออกฤทธิ์วิธีกัน แม้เอ็งจะมีชีวะอยู่เท่าไหร่ พระพุทธเจ้าก็มีวิธีไม่เติมหมาไล่เนื้อที่จะมา มีแต่สร้างกุศลเติมเข้าไปอีก ใครเผลอประมาทสั่งสมอกุศลกรรมก็ระวังให้ดี หมาไล่เนื้อที่ควบอยู่ก็รอตลอดเวลา ที่ทำกรรมชั่ว พระพุทธเจ้าถึงว่ากรรมชั่วแม้นิดแม้น้อยอย่าทำเสียเลย

 

อรหันต์จริงท่านเชื่อ ไม่ทำบาปเลย ทำแต่กุศล ผู้สำเร็จแล้วทำแต่กุศลท่าเดียวไม่ทำบาปอีกแล้ว มีหลักประกันที่จะทุกข์น้อยลงๆ ขนาดนั้นฤทธิ์ของหมาไล่เนื้อมีมาก ยังควบตามทัน แม้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว หรือเป็นโพธิสัตว์ มันก็ตามมาได้เรื่อยๆ โพธิสัตว์ระดับใหญ่ขนาดหนึ่งวิบากบาปตามไม่ทัน ทันก็เบาบาง แต่ไม่เหมือนพระพุทธเจ้าแน่

 

พวกเราเชื่อกรรม กรรมเป็นของๆตน กัมมัสโกมหิ แล้วกรรมนี่แหละเป็นนิยายที่สร้างเป็น เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยไป เป็นนิทานไม่รู้จบ สร้างกับคนนี้ไม่พอก็สร้างกับคนอื่น สร้างกับสัตว์อีก ก็เล่นนิยายไป เราไม่กินเนื้อสัตว์ เราไม่ฆ่าสัตว์ เราตัดนิยายของชีวิตไปเยอะเลย เบาว่างง่ายมากขึ้นเยอะเลย ใครมากินมังสวิรัติแล้ว ไม่เด็ดขาด ฟังดีๆ ยังอยากจะไปมีนิยายอีกกี่ชาติก็เชิญ อดรนทนไม่ได้ก็ไปกินอีก ถ้ามีปัญญาพอแล้วไปกินทำไม ที่กินเพราะตกเป็นทาสของ กามคุณ5 ของมัน ถ้าไม่ติดแล้วไปกินมันทำไม? แล้วกัมมัสกตา กรรมเป็นของๆตน แบ่งใครไม่ได้ด้วย กัมมพันธุ กัมมโยนิ กัมมปฏิสรโณ กรรมวิบากเป็นอจินไตยบอกไม่ได้หลายอย่าง ซับซ้อน แม้พระพุทธเจ้าก็รู้ได้มาก แต่อาตมารู้บ้างไม่อธิบาย ไม่อวดดีเหมือนบางคนว่า เพราะกรรมนี้จึงเป็นเช่นนี้ อาตมารู้มากกว่าเขาด้วยแต่ไม่เสียเวลาอธิบาย และเยอะที่ไม่รู้ ที่อาตมารู้ปรมัตถ์ รู้ยิ่งกว่ากรรมวิบาก และเป็นประโยชน์กว่าก็ไม่เสียเวลาอธิบายกรรมวิบาก

 

เราเชื่อกรรมเป็นของๆตน ในความเชื่อ 4 อย่าง

1.    กัมมสัทธา (เชื่อกรรมเป็นเหตุ)

2.    วิปากสัทธา (เชื่อผลวิบากของกรรม

3.    กัมมัสสกตาสัทธา (เชื่อความที่สัตว์มีกรรมเป็น  สมบัติแท้ของตน กรรมเป็นพระเจ้าบันดาลแท้)

4.    ตถาคตโพธิสัทธา (เชื่อความตรัสรู้ของตถาคต)

( ข้อ 4 มีใน พระไตรปิฎก เล่ม 23  ข้อ 4

 

เราเชื่อว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้จริง อย่างในพระไตรปิฎก อาตมาอ่านแล้วเชื่อว่าเป็นความจริงของพระพุทธเจ้าจริง เพราะคนธรรมดาไม่บังอาจรู้ได้ แล้วบางทีรู้นะ แต่อธิบายไม่ได้ เป็นฐานะที่คนธรรมดาบัญญัติไม่ได้ ความเชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง จึงยิ่งเชื่อ หมานี่เราไปสอนให้มันรู้ภาษา สะกด ก สระอา กา ไม่ได้ ฉันเดียวกันกับคนไม่มีภูมิปัญญารู้โลกุตรธรรมก็เช่นกัน กับสอนหมาให้รู้ภาษาได้

แม้แต่ผู้ลบหลู่พระอาริยะ มีวิบาก 11 ประการ ก็เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าสอน แม้จบดร.แปดใบ แต่ไม่มีภูมิรู้เรื่องกรรมนิยาม ธรรมนิยามได้ ไม่สามารถเข้าถึง รู้ได้แต่โลกียธรรม รู้กรรมโลกียะได้ แต่ไม่รู้กรรมโลกุตระ แยกโลกสองโลก โลกโลกียะกับโลกโลกุตระ มันแบ่งพลังงานตรงไหน? เขาไม่รู้

 

คนรู้โดยเหตุผลว่าโลกโลกุตระไปทางนี้ ทวนกระแสอย่างนี้ รู้ง่าย ดร.รู้ แต่ว่า ดร.ไม่รู้จักพลังงานจิตที่เป็นเวทนา ไม่รู้กายในกาย เป็นสักกายะที่เป็นเวทนา แล้วเวทนาที่มีอารมณ์เป็นเคหสิตะ แล้วเวทนาที่เป็นเนกขัมมะ อาการที่มันจะออกจากการดูดดึงเสพอารมณ์เคหสิตะ แล้วให้มันลดลง เป็นเนกขัมมะ ลดด้วยกดข่มก็รู้ ลดด้วยปัญญาก็รู้ เห็นความจางคลายเป็นปัญญา ผู้จบดร.ร้อยใบ แต่ไม่เข้าถึงกายในกาย เวทนาในเวทนาก็มีเยอะ แม้ดร.ทางพุทธศาสนบัณฑิต เขาอาจเข้าใจภาษาที่อาตมาพูด แต่ไม่เข้าถึง จิต เจตสิก รูป นิพพาน

 

มีการสัมผัสแล้วเกิดวิญญาณ เป็นกาย คือ เวทนา สัญญา สังขาร เป็นกายวิญญาณ คือ องค์ประชุมของรูปนาม ให้เรียนรู้  เวทนา สัญญา สังขาร แล้วพระพุทธเจ้าแตกเป็น นาม 5 คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

 

เมื่อผัสสะก็เกิดวิญญาณ หรือเกิดใจ พอเกิดธาตุรู้ตัวนี้ เราก็ทำใจในใจ หรือทำจิตในจิต ตัวนี้ รวมเรียกว่าทำใจในใจ (มนสิกโรติ) ทำให้ถูกต้องถ่องแท้ ทำนะไม่ใช่คิดพิจารณา แต่การทำต้องมีพิจารณาด้วยพิจารณาเห็นความจริงตามความเป็นจริง ว่ามีอาการทุกข์ สุข เป็นเวทนา คืออารมณ์

 

สุขเป็นอารมณ์อย่างไร ทุกข์เป็นอารมณ์อย่างไร แต่ถ้าสุขก็เป็นอารมณ์สมใจ เรียกว่า อิฏฐารมย์หรือทุกข์เป็นอารมณ์ที่ไม่สมใจ เรียกว่า อนิฏฐารมย์เราก็ต้องแยกออกได้ อาการอนิฏฐารมย์ท่านบอกว่าเป็นทุกข์ ไม่ชอบ ไม่สมใจ คุณก็ไม่เอา แต่ส่ิงที่คุณชอบใจคุณก็เอา ได้แล้วฝังไว้ในใจ ใส่กุญแจไว้ด้วย ชอบมากก็ใส่กุญแจไว้หลายชั้น ชอบมากขึ้นหนักขึ้นก็ใส่กุญแจไว้เป็นร้อยชั้น แต่มันเป็นพลังงาน potential energy ในนั้น มันก็จะขึ้นมาทำงานเมื่อถึงเวลา ทุกปัจจุบัน คุณดึงมันออกมาแล้วให้มันทำงาน แต่ถ้าคุณไม่จำไว้ ไม่ติดใจเลย จะสัมผัสอีกทุกปัจจุบันก็ไม่เกิดรสนั้น เพราะไม่เกิดรสชอบหรือชัง รสชังคุณทิ้งไปได้เลยไม่ใส่ไว้ในฮาร์ดดิสก์เลย แต่อะไรจำนี่สิ อวิชชาไม่ได้ล้างออกง่ายๆ อวิชชามันจำ แล้วหลงว่าจริง ตัวเหตุที่จะพาให้สมใจ ถ้าขึ้นมาทำงานก็ให้เราไปแสวงหาไปเสพ เสพแล้วก็ตกตะกอนจำไว้ในอนุสัยไปเรื่อยๆแล้วถ้าไม่ได้รสนี้คุณก็ไม่พอใจ แต่ถ้าทุกปัจจุบันคุณทำให้ไม่เกิดสุขทุกข์ได้ ซึ่งการรับรู้นั้น แท้จริงมันก็รับรู้ตามธาตุของมัน เช่นสัมผัสมะม่วงนี้ ก็รู้ว่ามันมีธาตุมีสารอะไรใช้ประโยชน์ได้ ก็เอามาใช้ แต่ใช้ไม่ได้ก็ไม่เอามา แค่นั้นเอง ไม่ได้ชอบหรือชังไม่ได้ผูกพยาบาทเลย แล้ว รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสอื่น เราก็ทำใจให้เหมือนพีชะ คือไม่สุขไม่ทุกข์ มีแต่อุเบกขาตลอด เราก็ไม่เป็นภาระที่ต้องบำเรอให้ได้สิ่งที่ชอบ หรือผลักสิ่งที่ไม่ชอบ ไม่ต้องเลย พลังงานก็ไม่เสีย ไม่ต้องขวนขวายไปบำเรอกิเลส หรือเป็นภาระไปจัดการ

 

พลังงานจิตนิยาม ที่ไม่หลงกับสิ่งที่เขาว่าน่าได้น่ามีน่าเป็น เป็นวรรณะทิพย์ แล้วอยากให้อยู่กับเรานานๆเป็นอายุทิพย์ เป็นตัวเราของเรา ไม่พรากจากกันไปอีกนานเลย เหมือนคู่รักโรมิโอ_จูเลียต หรือ กามนิตย์กับวาสิฏฐี ชาติไหนก็ต้องคู่กันตลอดนิรันดร เขาก็เป็นของเขาจริงเขาสร้างเอง อันนี้ก็เหมือนกันต้องติดมะม่วงระกำ ไปชาติไหนก็ต้องกินมะม่วง ระกำนี้ หรือหนังจีนก่อนจะตายก็บอกให้ลูกศิษย์ แก้แค้นแทน หรือแก้แค้นแทนพ่อหน่อยนะ หนังจีน เขาก็ทำนิยายให้มันสนุก ใครดูหนังจีนมันส์ก็ถูกครอบงำให้มันส์กับรสชาติ เหมือนคนถูกหลอกไปดูฟรอยกับปาเกียวน่ะ ชกกันแล้วคนก็ว่าไม่มันส์ เลยสงสัยว่ามวยล้มต้มคนดู ก็เลยจะมีเกมส์ล้างตา เพราะมันได้เงินมากจากการชก ทำไมมันจะไม่เอา คนเห็นเขาก็ว่าอยากได้ตามเขา

 

แต่ผู้ที่เข้าใจแล้วก็จะเห็นว่าไร้สาระ ยิ่งได้เงินมาแบบนี้ด้วย ไม่เอาแน่ ซึ่งความสนุกเพลิดเพลินพอใจ พระพุทธเจ้าเรียกว่านรกปหาสะ แต่เขาไม่รู้เรื่องหรอก เขาว่าเขาให้ความสุขกับประชาขน ก็มีรสซาดิสม์กับมาซูคิสม์ คือรสนรกปหาสะทั้งสิ้น

 

 อันไหนเรามีปัญญารู้ว่าเราเป็นทาสมันมาก่อน แต่ก่อนมันปรุงแต่งเมื่อสัมผัสเกิดสนุกสนานเพลิดเพลินพอใจ แต่เรารู้ว่ามันเป็นเรื่องปรุงแต่ง อย่างวาดภาพไปหลอกคน ตามที่เขาคิดออกมา ไม่เหมือนใครในโลก ก็ว่าฉันคิดได้ แล้วมีคนหลงไปชอบ เท่าไหร่ก็ซื้อ เอาไปติดบ้านโชว์ โง่คนเดียวไม่พอ หลอกคนอื่นไปติดอีก แล้วเป็นอัตลักษณ์ของศิลปินใหญ่ด้วยนะ  หาอัตลักษณ์ของตนแล้วหลอกให้คนหลงนิยมมาก คนมาหลงมาก็ขายได้ด้วย

 

ก็ให้เรียนรู้ว่ามันเป็นธรรมชาติของมัน ไม่ต้องคิดใหม่ด้วย สิ่งใหม่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนนี่แหละ ให้เรียนรู้อันนี้ เป็นมงคลอันอุดม พาไปเจริญ เป็นศิลปินใหญ่ที่แท้จริง ไม่ใช่ศิลปินหลอกลวงคน อย่างแวนโก๊ะ แกเองก็มีความหลงว่า ต้องมีอัตลักษณ์ของตน ก็ดิ้นรนทำ แต่แท้จริงแกหลงทำแบบนี้มาหลายชาติ แต่พอชาติที่เป็นแวนโก๊ะ แกก็สร้างอัตลักษณ์ของตนสำเร็จ แต่เขาตายไปก่อนที่คนจะนิยม แต่ว่า ต่อมามีคนมาเห็นแล้วก็ว่าเป็นสิ่งที่แปลก แล้วไม่มีอีกแล้ว เป็นของแวนโก๊ะที่ตายไปแล้ว คนก็เห่อไปได้ อย่างเขียนดอกทานตะวันเหี่ยวๆ ขายเป็นพันล้าน ซึ่งแวนโก๊ะไม่ได้บาป เพราะเขาตายไปแล้ว แต่คนที่ปรุงปลุกเร้าออกข่าวจนคนหลงยึดงานแวนโก๊ะคนนั้นบาป แต่แวนโก๊ะไม่บาป แก่ตายไปก่อนคนนิยมด้วย แต่แกก็รับบาปที่ได้ทำงานด้วยความหลง แล้วสร้างสิ่งที่ให้คนเอาไว้หลอกกันอีก

 

อาตมาเรียนมาทางเขียนนะ แต่ไม่มีผลงานเหลืออยู่เรื่องเขียนเลย แต่มีอันหนึ่งที่เก็บมาได้ คุณไม้ร่มเอามาชุบชีพไว้ เหลืออยู่อันเดียว ซึ่งก็ไม่ได้มีเสน่ห์อะไร แต่เป็นหลักฐานงานที่ทำทางจิตรกรรม แล้วไม่ได้อยากให้ใครมาหลง ติดยึด กลายเป็นงานมีราคาเหมือนแวนโก๊ะ ไม่เข้าท่า แต่มีความหมายนะภาพนี้

 

มัชฌิมา คือ จิตที่ แข็งแรง ตั้งมั่น อุเบกขา ตลอด แม้ถูกกระทบกระเทือนอย่างใดก็ตาม ก็ตั้งมั่นไม่เปลี่ยนแปลง แต่จะอนุโลมไปกับโลกได้ ต้องมีสังขารุเปกขาญาณ คุณจะปรุงแต่งกับเขา ต้องมีแกนอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา แข็งแรงตั้งมั่น เหมือนคุณช่วยคนตกบ่อ ต้องแน่ใจว่าน้ำหนักคนในบ่อไม่ดึงคุณตกบ่อ ต้องมีสัจจานุโลมมิกญาณได้ ถ้าคุณอนุโลมปรุงแต่งกับโลกธรรม แต่ถ้าคุณไม่มีแรงอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนาเพียงพอ แรงโลกีย์จะดึงคุณตกบ่อได้ เป็นอันตรายอันแสบเผ็ด แม้พระอรหันต์ ท่านจะอนุโลมช่วยคนอย่างประมาณตน เพราะไม่ยึดในโลกธรรม ไม่อยากได้สิ่งเหล่านี้ตอบแทน แม้จะอวดดีว่าตนเก่งท่านก็ลดได้จริง

 

ในอนาคามีจะฝึกอันนี้มากเลย จะฝึกอนุโลมปฏิโลมช่วยคนมากเลย พระพุทธเจ้าบอกว่าลาภยศสรรเสริญเป็นอันตรายอันแสบเผ็ด แม้พระอรหันต์ นี่คือคำเตือน แต่อรหันต์จริงที่ปฏิบัติตามลำดับ ท่านจะทำไปทำไม เพราะท่านไม่เอาอามิสแล้ว แต่ที่ทำอยู่นี่คือ ตัวไม่จริง ตัวจริงจะไม่ทำ ท่านจะมีสัปปุริสธรรม

 

ความโต่งไม่กลางนั้น มันจะมีตุ่ม หรือแตกออกไปจากกลางไป แม้น้อยเท่าไหร่ก็คือ ไม่กลาง มีจุดทศนิยมก็คือ ไม่กลาง แต่มัชฌิมาคือไม่มีอะไรโต่งออกไปเลย หมดกาม หมดอัตตา ผู้ปฏิบัติจะทำให้หมดกามก่อน แล้วมาล้างอัตตาที่เหลือให้หมด ต่อไป ทำอย่างเที่ยงแท้ถาวร เป็นหลักประกันของมนุษยชาติด้วย แล้วอยู่กับโลกธรรม ได้มีลาภ ยศ สรรเสริญ ได้ แต่ไม่ทำอย่างนายปาเกียว หรือฟรอย ที่ต่อยกัน ไม่สร้างทั้งหนังบู๊กับหนังรัก หรือหนังโมหะมั่ว หลอกกันไป ให้คนติดตามสิ่งที่มั่วๆ หลอกกันไปสร้างความเป็นอะไรวะ? ให้แก่คนก็คือโมหะ นี่คือ นักสร้าง คือทำให้มันไม่รู้นี่แหละ กูเองก็ไม่รู้ แล้วไปหลอกว่านี่คือ ศิลปะ เอาแผ่นกระดาษแล้วให้หมาไปย่ำ หรือทำอะไรก็ตาม เขียนออกมา แล้วได้ราคา เอาช้างมาให้มันจับพู่กันเขียน แล้วที่มันพอเป็นรูปร่างก็ราคาแพงเลย ว่ามันเก่งก็ทึ่งกันหลอกกันสารพัด

 

อาตมาเคยว่า งานศิลปะที่เขาประกวดเหรียญทอง เขาได้เหรียญทองแต่ว่าไม่รู้ว่าที่ตนเขียนสื่ออะไร? นี่คือศิลปิน เยอะที่เป็นเช่นนี้ บางคนเล่นสีเก่ง ก็เป็นศิลปินแห่งชาติไป ทำได้เยี่ยมคนดูแล้วทำไม่ได้อย่างแกทำ อาตมาดีนะที่อาตมาเรียนศิลปะตามระบบกับเขาบ้างก็เลยเข้าใจ แล้วมีภูมิตนที่เข้าใจศิลปะอันอุดม ซึ่งเขาเขียนภาพเขาก็ยังไม่รู้ความหมายเลยแต่กรรมการให้เหรียญทองนะ

 

ของพระพุทธเจ้าให้เป็นหมอที่รักษาคน โดยมีวิธีให้เขามากินยา แต่ใช้สุนทรียศิลป์ แต่เราใส่ยาทิพย์เข้าในนั้น เพื่อให้เขาหายจากโรค คนติดสีก็ใช้สี คนติดน้ำตาลก็ใช้น้ำตาล เพื่อให้คนกินยา แต่ถ้าใส่สีมากใส่น้ำตาลมากเกิน เขาก็ไม่กินยา กินแต่น้ำตาลเสียเลย แต่ทุกวันนี้มีแต่เปลือกของหลอก ไม่มีสาระเลย

 

 

สายธรรมกายหลอกวิมานกันนั่นแหละ คืออปรโคยาน หลอกกันว่าสวยงามใส ใสอย่างนี้โสดาบัน ซึ่งมันก็ใสขนาดนั้นแหละ มันไม่มีอีกหรอก แต่หลอกกันว่าใสกว่าอีก ในแสงนั้น ถ้าจะแยกสเปคตรัมก็จะได้อีกตั้งเยอะแยะเลย เอาไปใช้งานได้ ทุกวันนี้ เช่นรังสีx-ray แต่เดี๋ยวนี้มีมากว่า x-ray แต่แสงสามัญเท่าที่ประสาทมนุษย์จะมีประสาทรับแสงได้ สเปคตรัมหนึ่งเท่านั้น แต่สัตว์หลายชนิดรับแสงได้ไม่เหมือนคน หรือมากกว่าคนอีก ในองค์ประชุมของคนก็จะเห็นได้ในระดับหนึ่ง รับความถี่ได้แค่นี้ เมื่อหลับตาแล้วไม่มีแสง แต่คนหลับตาแล้ว ปั้นแสงในสัญญา เนรมิตแสงขึ้น จนเป็นอุปทานว่าเป็นแสง คนที่หลับตาแล้วมีแสงนั้น อรหันต์ขึ้นไปโดยเฉพาะสายเจโต จะไม่มีแสงหรอก แต่สายปัญญาจะให้มืดสนิท ไม่ง่าย แต่สายเจโตทำได้ ถ้าเป็นอรหันต์สายเจโตจะไม่เห็นแสง แม้อนาคามีก็เห็นมืด แต่ถ้าจะเห็นแสงก็มีในสายปัญญา

 

ตอบประเด็น

_คุณไม้ร่มแสดงทัศนะเรื่องศิลปะว่า ศิลปะของตนเรียนรู้กับพ่อท่าน ก็ไม่ได้หลงไปจนออกนอกขอบเขตเกินกว่าคนจะรู้ตามได้....

พ่อครูว่า...Abstract นั้นสมมุติไปให้อนันตังก็ได้ สรุปไว้ที่ อาภัสสรา กับ สุภกิณหา คือสว่างกับมืดเท่านั้น ซึ่งมืดนั้นไม่มีทางไปแล้วแต่สว่างไปได้อีกเยอะคือ อนันตัง เพราะมืดคือ ดับเวทนา มันสุดดับแล้ว หมดเวทนาก็ทำความต่อไปไม่ได้ แต่ความสว่างจะต่อไปอีกเท่าไหร่ก็ได้ ไม่มีประมาณ อัปปมัญญา หรืออนันตัง ก็ได้นิรันดร Forever , Infinity สารพัด การสมมุติหรือว่าเอาความรู้สึกของเรา แล้วสมมุติให้คนอื่นรับรู้ พระพุทธเจ้าว่าเป็นอปรโคยาน เป็นอปรันตะคือ หาที่สุดมิได้ อนันตะ คือไปในอนาคตเรื่อยๆ แต่ปุพพันตะ มีสิ่งที่คุณทำจริง แล้วสั่งสมเป็นอดีต ส่วนอปรันตะไปไม่มีที่สิ้นสุด ในสิ่งที่สมมุติร่วมกัน พระพุทธเจ้าว่าให้เอาสิ่งที่สมมุติร่วมกันได้ แต่จะไปสมมุติอื่นๆอีกไปจนเป็นอัตลักษณ์ของคุณจนคนอื่นไม่รู้ตามได้ ก็เป็นอัตลักษณ์ของตน ให้คนอื่นบ้าไปตามคุณ ให้คนอื่นยึดติดได้ ก็เป็นอุปาทานตามกันไป สิ่งนั้นมันยิ่งได้ยากได้น้อยคนแล้วก็ประมูลกันให้ราคาสูง ทางทุนนิยมก็ใช้เป็นสิ่งล่อคนก็โง่ตาม เมืองไทยเริ่มโง่ตาม ส่วนเมืองนอกหลอกกันมานานแล้ว

 

อาตมาเคยประทับใจหนังเรื่องหนึ่ง ดูตั้งแต่เด็ก เรื่องมัจจุราชจำแลง เรื่องคือ มีนักบิน บินมาแล้วเครื่องบินเสีย แต่ไม่ตก มันก็ส่งสัญญาณไป ปรากฏว่า นางเอกเป็นพนักงานรับสัญญาณ นักบินก็ระบายมาว่าจะตกแน่ นางเอกก็ซาบซึ้ง จีบกันทางเครื่องบิน แล้วเครื่องบินก็ตกตาย น้ำทะเลซัดเข้าฝั่ง เสร็จแล้ว ตายแล้ววิญญาณพระเอกก็ออกไป มันก็ปฏิพัทธ์กับนางเอก มันก็ไม่ยอมตาย มัจจุราชเอาไปมันก็ไม่ยอม มันก็ลงมาเมืองมนุษย์ แล้วทั้งนางเอกและพระเอกก็ผูกพันกันมาแล้ว ทุกอย่างในโลก นิ่งแข็งไปหมดเลย พอยมบาลลงมาในเมืองมนุษย์ทุกอย่างนิ่งแข็งหมด แต่มีคนกระดุกกระดิกได้คนเดียวคือนางเอก แล้วก็มีนิยายผูกเรื่องแต่ถึงที่สุด มันก็ต้องถูกว่าความ เพราะมันดื้อ ต้องให้ลงนรก มันก็ไปว่าความ ก็เลยว่าจ้างทนายข้างล่างให้ไปว่าความให้ คนว่าความก็ต้องตายก่อน แล้วไปว่าความให้ ตอนไปสวรรค์ก็หยิบหนังสือไปด้วย ตอนจบก็มีภาพหนังสือปลิวมา ...ที่อาตมาประทับใจ ตอนมันจะแพ้ความ ตัวชีวิตของมันลงมาอยู่เมืองมนุษย์ มันสู้ความไม่ได้ มันแพ้ความ มาอยู่ในโลกมนุษย์มันก็ป่วย ให้หมอรักษาที่เมืองมนุษย์ เขาว่าความแพ้ มันก็ยิ่งทรุด หมอก็ผ่าตัดรักษา นางเอกก็สงสารมาเยี่ยม เสร็จแล้วพอพระเอกจะผ่าตัด ถ้าชนะความมันจะหาย แต่ถ้ามันแพ้ความมันจะตาย นางเอกก็มาเฝ้า ยมบาลก็มา จะลงมาเหมือนกัน พอลงมาทุกอย่างจะหยุดนิ่ง พระเอกกำลังจะตาย แต่ที่อาตมาประทับใจคือ ยมบาลลงมาแล้วเห็นใจพระเอกตรงที่ว่า พอลงมาแล้วเจอนางเอกร้องไห้ พอยมบาลมาแล้วทุกอย่างหยุด น้ำตาก็หยุดเป็นก้อนกลม ยมบาลเห็นก็สงสาร เอากลีบกุหลาบมาช้อนเม็ดน้ำตาใส่กลีบกุหลาบ จากแก้มนางเอก อาตมาซาบซึ้งจริงๆเลย ร้องไห้ตามเลย ยมบาลเห็นใจเลยขึ้นไปบอกสภาสวรรค์ ให้ทางโน้น...อาตมาจำไม่ได้แล้วต่อไป เขาสร้างสมมุติได้เก่งมากเลย ที่จริงมันจะมีอะไรก็ร้องไห้มีน้ำตา คนดูถูกน้อมโน้มใจกินใจซะไม่มี อาตมาดูหนังมาไม่รู้กี่เรื่องนะ พระเอกชื่อโรเบิร์ต เทรเลอร์ ...จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:47:33 )

580506

รายละเอียด

580506_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ อบายโลกอย่างพิสดาร

พ่อครูว่า...​วันนี้วัน พุธที่ 6 พฤษภาคม 2558 ก็มีคำถาม จาก ผึ้ง พิมพ์เพชรรุ้ง และ จากผู้ชมรายการพ่อครู

 

ว่า... กรณีชาวโรฮิงญา ที่ต้องเร่ร่อนพลัดถิ่นฐาน ไปไหนก็ถูกเอาเปรียบ ถูกกดขี่ข่มเหง ดูว่าจะได้รับแต่ความทุกข์ทรมาน. พวกเขาเคยทำกรรมหนักแบบนักการเมืองที่โกงกินบ้านเมืองตัวเองมาก่อนหรือคะ ถึงต้องรับกรรมเช่นนี้ ...

 

ตอบ..ถามอย่างนี้อาตมาก็จนปัญญาตอบนะ แต่ว่าเราเรียนมามันก็มีวิบากได้สารพัด สรุปคือ ทำชั่วก็ออกผลชั่ว ทำดีก็ออกผลดี ก็คาดคะเน ตีความไปได้ ซึ่งเป็นจริงได้ หรือไม่ใช่อย่างนั้นอย่างนี้ไม่ตรงเสียทีเดียว ที่ตายแล้วเกิดมารับหนี้วิบากไป อาตมาก็เคยบอกว่าเป็นได้ทั้งนั้น ฆ่ากันไปกันมาก็ได้ แต่อาจไม่ใช่อย่างนั้นทีเดียว ท่านที่มีภูมิธรรมสามารถหยั่งรู้ได้เข้าใจได้จริงก็ตอบได้ ส่วนอาตมาไม่คอยจะตอบสิ่งเหล่านั้นเพราะไม่ได้รู้ชัดแน่จริง

 

แต่จะตอบโดยหลักวิชาว่า ชาวโรฮิงยา นั้น ดูช่างเป็นคนที่ไม่เหมือนคนทั่วไป ดูไม่มีอิสรเสรีภาพเลย เขามีการค้าคน เอาคนมาซื้อขายกันอย่างไร อาตมาก็ไม่ได้ตามข่าวมากนัก คนเหล่านี้อพยพมาเป็นกลุ่มก็อาจไม่ได้ทำวิบากร่วมกันหรือไม่ก็ได้ แต่ช่างรู้สึกเป็นเวรภัยมาก เขาหนีมา คนบริสุทธิ์อยากช่วยก็ไม่ได้อีก ผิดกฎระเบียบของโลกอีก ในชาตินี้เขาคงไม่ใช่คนทำชั่วแล้วหนีหอบกันมาเป็นหมู่กลุ่มนะ แล้วมีหลายหมู่กลุ่มด้วยที่อพยพมานี่ มันเหมือนกับคนไร้ถิ่นฐาน โลกนี้ไม่มีที่ให้เขาอยู่ เกิดมาแล้วนะ ดูแล้วน่าสังเวชใจก็ช่วยกันยาก

 

โดยสัจจะเกิดมาเป็นมนุษย์อย่าไปทำชั่วเลย แต่ใครก็คงไม่อยากไปทำไม่ดี แต่ก็ตัวเองนั่นแหละเป็นผู้ทำ มันก็มีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น ทำอย่างไรจะสู้กับอำนาจที่ทำให้เราทำชั่ว แม้เราไม่อยากทำ เหมือนกับเรามาปฏิบัติธรรม ก็ไม่อยากให้เกิดกิเลสในใจ หรือไม่อยากไปทำกรรมชั่ว มันไม่อยากโดยปฏิภาณ แต่ก็มันก็มีอำนาจที่ซ้อนให้เราต้องทำ ก็มีอาการนี้ทุกคนรู้ดี สำนึกมันรู้ว่าไม่ควรทำ แต่กิเลสมันก็พาทำ เราต้องฝึกเรียนรู้ล้างให้ละเอียดละออจนสิ้นเกลี้ยงเลย

 

พระพุทธเจ้าแบ่งให้เป็นเป็นสองความหมายใหญ่ๆคือ โลก กับ อัตตา อยู่

 

ในชีวิตที่วนเวียนในวัฏฏสงสาร วนเวียนรอบสั้นรอบยาว มีหลายนัย มีเหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย

 

ถ้า 1. เหตุ กับ 2.นิทาน รวมกันปรุงแต่งเป็นสังขารคือ 3 อีกอัน แล้วต่อไป เป็นอประ อื่นอีกไม่จบ เป็น 4 ท่านก็สรุปไว้ว่าเป็น เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย ก็เป็นนิยายนิทานซับซ้อนของโลก ที่อาตมาก็บอกแล้วว่า เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยนี่แหละ อาตมาหยิบมาเขียนเป็นหนังสือธรรมะเล่มใหม่กำลังเขียน ได้ประมาณ 20 หน้าแล้ว

 

โลก 6 ได้แก่ 1.อบายโลก 2.มนุษยโลก 3.เทวโลก 4.ขันธโลก 5.ธาตุโลก 6.อายตนโลก(พระไตรปิฎก เล่ม 29 ข้อ 14)

            1. อบายโลก คือ ภาวะที่ชีวิตินทรีย์ในจิตยังเป็นรสสุขรสทุกข์เวียนวนอยู่ กับอบายมุข หยาบสูงสุดสำหรับตน และอบายที่หยาบรองลงไปเป็นลำดับได้แก่ ความต่ำทราม ความทุจริตอกุศล ความโกง ความหลอกลวง การพนัน ความเสื่อมเสีย ความเสียหาย ความหยาบ ความรุนแรง ความจัดจ้าน ความมากความใหญ่ความหรูหราเกินเหมาะเกินควร ที่เสียมากกว่าได้

            แม้รู้ว่าเป็นสิ่งที่เราไม่ควรเกี่ยวข้อง แต่ก็ยังอดไม่ได้ รู้แล้วแต่อดไม่ได้ ยกตัวอย่าง อบายมุข อาตมาขอเรียกว่า อบายมุข 2 นิทาน

            นิทานเรื่องหนึ่งคือ ดารา เขาก็แสดงเก่ง มีความรู้สามารถจัดจ้านมาก เขามั่นใจว่าเขาให้ความสุขกับปชช. คนนี้อยู่ในโลกอบายสร้างสิ่งมอมเมาให้คนติดยึดในอารมณ์ เป็นนรกปหาสะ เขาหลงจริงว่าเขาให้ความสุขแก่ปชช. เขาไม่รู้นะ ไม่เข้าใจว่าเขาผิดอะไร ทั้งโลกเขายอมรับนับถือนะ เด่นดัง

            อีกอาชีพ  คือ นักการเมืองโกง เขารู้ว่าเขาโกงนะ แต่เขาก็ไม่หยุด และเขาไม่เห็นว่าอันนี้คืออบายมุข เพราะคนทุกวันนี้เข้าใจอบายมุขแค่ เล่นไพ่ กินเหล้า ฟ้อนรำ การพนันสิ่งเสพติด คบคนชั่วเป็นมิตร อย่างเกมการกีฬาเขาก็ไม่รู้ว่าคืออบาย เหมือนพวกดารานะ

            โลกนี้อบายมุขครอง แล้วเขาไม่รู้ อย่างดารา นักกีฬาคนก็นิยม แห่เอาเงินทองไปให้เขา เหมือนไม่รู้ กินเหล้ากินยา คือสิ่งเสพติดก็รู้ว่าตนติด แต่ก็ให้ทำกันอยู่ในประเทศ ไม่รู้ว่าคืออบายมุข ให้ทำสัมปทานกันจนรวยเละ

            ความหมายของคำว่าอบายมุขที่ร้ายแรงมากขณะนี้ ในอบายที่ทำกันในระดับโลก กีฬาโอลิมปิกและกีฬาอื่นๆอีก เอเชี่ยนเกมอีก แล้วถือว่า ภาวะเงินที่หมุนจากกระเป๋าคนไปนั้นเขาว่าเงินสะพัด เศรษฐกิจนั้นมองตื้นๆว่าทำให้เงินหมุน แต่หมุนแล้วทำให้เกิดโทษภัยก็ไม่เห็น โลกอบายเขาไม่รู้ ก็เลยไม่พากเพียรจะให้เลิก

            เขาไม่รู้ ไม่ตั้งใจดับชีวิตินทรีย์กิเลสให้ตายไป เขาไม่ทำ เพราะเขาหลงว่ามันไม่ใช่ แม้เขาไม่หลง เขารู้นะ เขาไม่ตั้งจิตจะล้างชีวิตินทรีย์ที่หมุนวนอยู่เลย ในโลกอบายมุข เขาก็ไม่หยุด เมื่อเขาไม่คิดหยุด โลกอบายอย่างนี้อยู่ในสังคมประเทศใด มันก็ไม่มีทางหมดไป

 

            อาตมาถือว่าอาตมาทำสำเร็จที่พาพวกเราออกจากโลกอบาย ทำมาหลายสิบปีแล้ว ตรวจจิตใจพวกเราก็ไม่ได้โหยหาอาวรณ์ ทั้งที่มันก็มีอยู่ในโลกให้เราเห็นอยู่ เป็นโลกาภิวัฒน์ ชีวิตสัตว์อบายไม่มีในจิตเราแล้ว เรามีโลกสมุทัยที่ดับแล้ว มีแต่โลกนิโรธ นี่คือคนมีนิพพาน ไม่ใช่เรื่องลึกลับ แต่ลึกซึ้งเรียนรู้ได้ ปัจจุบันก็สามารถปฏิบัติได้ เป็นอกาลิโฏ แต่เขาเพ้อฝันว่า นรกอยู่ตอนตาย คำว่าสวรรค์ในอกนรกในใจมันแค่เปรียบเทียบ แต่นรกสวรรค์ต้องไปหลังตาย ทั้งที่พระพุทธเจ้าสอนให้มีอายตนะ 6 มีผัสสะ 6 มีเวทนา 6 มีตัณหา 6 มีอุปาทาน 4

 

            ที่ว่ามี 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คุณเปิดรับอยู่ทุกปัจจุบัน มีสัมผัสเป็นปัจจัย เกิดนรกสวรรค์ เราก็สามารถอ่านได้ อ่านเหตุที่เกิดความเป็นสัตว์ รู้กายของสัตว์นรก เป็นเช่นนี้ เราก็เรียนรู้ได้ เลิกละได้ เมื่อเราละสิ่งหยาบได้ ได้วิธีการนี้แล้วก็ทำต่อในสิ่งที่ละเอียดต่อมากว่าหยาบ อันต่อมาจากอบายก็ทำต่อเป็นลำดับๆ หรือแม้แต่มันจัดจ้านก็เรียกอบาย มันมากใหญ่ หรูหราเกินเหมาะควร หลงในลาภ ยศ หนักจัดจ้าน ก็ต้องรู้ว่ามีชีวิตินทรีย์ ก็ต้องรู้ว่ามีน้ำหนัก อินทรีย์ของความยึดติดเป็นตัวกูของกู เป็นอัตตา เราก็เรียนรู้จนดับโลกอบายได้

 

            โสดาบัน ปิดโลกอบาย คุณแต่ละคนอาตมาว่าตรวจเถอะ เป็นเรื่องๆที่เราเคยติด สิ่งที่เราไม่เคยติดก็คือทำได้แล้วไม่ต้องพิจารณามาก แต่ทบทวนสิ่งที่เราเคยติด มันเคยอยู่กับเรา แต่เดี๋ยวนี้สัมผัสอยู่ เมื่อนั้นเมื่อนี้ มันกระทบสัมผัสมันก็ทำให้เราทบทวนตรวจ จุตูปปาตญาณ แล้วเราใจเราจำได้ไหม ระลึกชาติดูว่า กิเลสเราเกิดไหม? แล้วคุณได้ปฏิบัติให้มันดับไปไหม  เดี๋ยวนี้มันเกิดไหม หลายทีสัมผัสแล้วเดี๋ยวนี้มันไม่เกิด แล้วเรามั่นใจมันหรือยังว่า มันจบ ตัดสินได้เด็ดขาดหรือยัง ตรวจสอบจริงๆ สิ่งเหล่านี้เป็นสัจธรรมตรวจได้ คือเรื่องปรมัตถธรรมของพุทธ พูดกันรู้เรื่อง ปฏิบัติได้ เอาตัวเองมาพิสูจน์ได้ คนใดที่เขาไม่รู้ เป็นของสูง โอปนยิโก เป็นเรื่องสูงส่ง แต่ไปแย่งโลกธรรมได้ วรรณะทิพย์ สุขทิพย์มันไม่ใช่ของสูงหรอก อันนี้ต่างหากมาลดละเลิกได้มันคือความสูงจริง คนเราก็จะเข้าใจกันไม่ได้ มักเข้าใจว่าวรรณะทิพย์ คือความสูงเป็นพวกเริดหรู ยศชั้นวรรณะ เป็นดาวดึงส์

 

แต่เรามาเรียนรู้แล้วกลับว่าไม่ใช่ เราไม่ต้องมีลาภ ยศ มากมายเช่นนั้นก็ได้ แต่ในนัยลึก คนมีภูมิปัญญาในโลกุตระภูมิก็จะนับถือเคารพในคนเช่นนี้ เรานับถือคานธี คานธีตายแล้วมีทรัพย์สมบัติเล็กน้อย ไม่ม่ียศอะไรทางการเมือง ไม่เคยมีตำแหน่ง แต่คนเคารพนับถือ ยกย่องมีเกียรติเป็นยศ  สัจจะมันซ้อน แม้แต่พระพุทธเจ้า ท่านทิ้งลาภยศสรรเสริญ เรากลับเคารพพระองค์ยิ่งกว่าเป็นจอมจักพรรดิ์อีก แม้ว่าจะอยู่ในตำแหน่ง มีปธน.อุรุกวัย ได้เป็นปธน.ยศสูง แต่ไม่ได้ติดในยศ ก็ทำหน้าที่ ไม่ติดในลาภ แสดงชัดเลยว่าไม่เอา รถประจำตำแหน่งก็ไม่ใช้ บ้านก็อยู่กระต้อบของฉัน

 

อย่างอาตมาก็ไม่มียศชั้นอะไรนะ ไม่ได้สักเปรียญเลย แต่เขามีจบป.โทนะ เป็นเปรียญนะ เป็นเจ้าคุณนะ อาตมาก็ไม่ได้โหยหาอาวรณ์อะไรไม่ได้อยากได้นะ

 

            สรุปคืออบายโลกมันซ้อนอยู่ในโลก ที่ดูเหมือนเด่นดังสูงส่ง ทั้งดารา นักการเมือง นักกีฬาก็ตาม ทั้งที่เห็นชัดๆ ก็ไม่เอาผิดกัน บางประเทศเขาสำนึกจนฆ่าตัวตายไปก็มี โลกอบายจึงมากขึ้น นี่คืออบายโลกที่คนไม่เรียนรู้ ไม่รู้วิธีที่จะออกจากโลกอบาย ไม่มีเนกขัมมะ ไม่ได้ทำจิตให้หมดชีวิตสัตว์อบายเลย

 

            กายนี้คือจิตคือมโนคือวิญญาณ ไม่ขาดจากนอกนะ ก็เกี่ยวข้องกับมนุษยชาติกับดิน น้ำไฟลมภายนอกทั้งนั้น แต่ชีวิตรูป ที่เป็นชีวิตสัตว์อบายของเรามันมีอินทรีย์เท่าไหร่ มันยังแรงอยู่ด้วยซ้ำ ถ้าไม่รู้จักกาย ก็ไม่รู้ชีวิตของสัตว์เหล่านี้ นี่คือเขาเรียนกันมาไม่ครบ เขาท่องจำได้เก่งกว่าอาตมาด้วยซ้ำ แต่ไม่สัมมาทิฏฐิก็ปฏิบัติไม่ถูก ไม่สามารถทำให้ชีวิตสัตว์นี้ดับไปได้เลย

 

            2. มนุษยโลก คือ ภาวะที่ชีวิตินทรีย์ในจิตยังเป็นมนุษย์ชมพูทวีป และสามารถทำใจในใจ(มนสิการ)ของตนให้ลดความเป็นเทวดาดาวดึงส์หรือเทวดาเสพกามไปจากจิตได้เป็นลำดับ จนเป็นที่สุดดับได้สำเร็จบริบูรณ์มนุษย์อุตตรกุรุทวีปสำเร็จสูงสุด ก็คือภาวะที่เป็นคน มีชีวิตอยู่บนโลก ชีวิตยังเป็นมนุษย์โลกีย์ หรือต่อๆไป เป็นมนุษย์โลกุตระก็ได้ เป็นคนมีอาการ 32 แล้วเรียนรู้อาการ 33 เป็นได้ทั้ง ปุถุชน กัลยาณชน โลกุตรชน

 

            กัลยาณชนนั้นอาจหยุดทำชั่วได้ พยายามทำแต่ดี แต่ไม่ใช่โลกุตระ เพราะไม่สามารถชัดเจนแยกแยะโลกุตระออกจากโลกียะได้ อาจดีมากก็ได้ สะกดจิตได้ไม่ให้มีอาการจิตที่ชั่วได้ แต่จิตถูกกดข่มไว้เป็นอนุสัย เป็นอาสวะ เหมือนยีสต์ ในอนุสัยเป็นพลังงานฝังลึก potential energy มันมีพลังงานแต่คุณรู้มันไม่ได้ กัลยาณชนหรือปุถุชนทำดีได้ แต่ไม่รู้โลกุตระ ไม่สามารถทำความสุขที่สงบ ชนิดที่ล้างกิเลสออกจริงๆ ได้กำจัดกิเลสให้เกิดจิตสงบสุขอย่างอุบัติเทพ แต่ผู้ไม่ได้ปฏิบัติเขาก็เสพสุขขัลลิกะ สุขหลอก เป็นดาวดึงส์เสพโลกียรส

            ส่วนพวกปฏิบัติธรรมก็สุขแบบกดข่ม ละเอียดกว่า เพราะไม่ได้เสพกามคุณ 5  แต่เสพในภพ นั่งสมาธิหรือจิตกดข่มได้ ดูเหมือนอยู่เหนือลาภ ยศ สรรเสริญ แต่เขาไม่ได้รู้จักกิเลสในจิตที่ล้างมาเป็นลำดับจนหมดอนุสัย เขาไม่รู้ระดับ เวทนา 5 ที่เป็นตามลำดับไม่รู้ เขาไม่ชัดเจน ไม่มีกายสักขีสมบูรณ์ ไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เป็นกายสักขี ตั้งแต่ภพนอก ทั้งกามภพ แล้วก็ทำต่อในรูปภพ อรูปภพต่อไปเป็นไปตามลำดับ จนเสร็จเรียบร้อย สำเร็จอิริยาบถอยู่ สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เขาดูเหมือนดับ เหมือนอรหันต์เลยได้ เจ้าตัวก็หลงง่ายด้วย พฤติกรรมเหมือนอรหันต์ที่เงียบสะอาด พวกนี้จะมองว่าอรหันต์จะมาคลุกกับโลกไม่ได้ คนมาถามอรหันต์ว่าคืออย่างไร อาตมาก็ว่าคือคนปกติ แต่ใครจะรู้กับท่านได้ ท่านก็อนุโลมอยู่กับโลก ไม่จำเป็นต้องบอกคุณด้วยท่านทำงานบริสุทธิ์ใจกับคุณไป คือความซับซ้อนที่เข้าใจยาก อรหันต์จริงจะเข้าใจท่านยาก แต่อรหันต์เต๊ะท่าจะเข้าใจง่าย ดีไม่ดีอรหันต์เก๊ด้วย สารรูปดีมาก สมณสารูปดีมาก สงบเรียบร้อยไม่กระทบใครดูดี อย่างนั้นไม่ใช่อรหันต์หรอก แต่อรหันต์คือผู้หมดตัวหมดตน ก็จะไม่เต๊ะท่าหรอก

 

            จิตคนไม่รู้แม้ดาวดึงส์ ที่เป็น สุขทิพย์ วรรณะทิพย์ อายทิพย์ แท้จริงคือ สุขเท็จ วรรณะเท็จ อายุเท็จ คนก็หลงทิพย์ปั้นสวรรค์วิมาน ที่จริงคือทุกข์โลกีย์เป็นสามัญ ปุถุชนก็จะเอาดาวดึงส์ตลอด เป็นอปรโคยานที่จะไปคว้าดาวดึงส์อยู่ตลอด คุณอยากจะนั่งสบายๆก็คือหาสุขทิพย์ นั่งไม่สบายแล้วก็ลุกเดิน ไปเดินเฉยๆก็ไม่สบายก็เต้นร้องเพลงก็คือไปหาดาวดึงส์ทั้งนั้น แต่คุณไม่รู้ก็เสพก็อาศัยสิ่งเหล่านั้นเป็นองค์ประกอบของชีวิตที่ดำเนินไปอยู่ ทำกรรมกิริยาเพราะต้องการให้เป็นทิพย์ ให้เป็นดาวดึงส์ ให้อาการ 33 อยู่ตรงนี้ จะต้องเป็นอายุทิพย์ทุกขณะที่ไม่ตาย ยังไม่ตายฉันก็ต้องได้ภูมิได้ภพ ได้อาศัยทิพย์คือดาวดึงส์โลกียรสตลอดเวลา บำเรออารมณ์ที่ต้องการน่าได้น่ามีน่าเป็น

 

            จิตคนปุถุชนจะต่อเนื่องต้องการใฝ่หาดาวดึงส์มาอาศัยตลอดเวลา ไม่อยากให้เป็นนรกเลย ไม่อยากให้เป็นสิ่งไม่ชอบใจ จะเอาสิ่งชอบใจทั้งนั้นตลอดไป อิริยาบถเช่นนี้ไม่ชอบใจก็เปลี่ยนไป อันไหนไม่ชอบก็เปลี่ยนไปให้อยู่กับอิฏฐารมย์ตลอดเวลา ต้องเสพอารมณ์ชอบพอใจ คือแดนดาวดึงส์

 

            คนได้ฟังอาจมองว่าอาตมามองโลกในแง่ร้ายเกินไป พูดลงโทษคนเกินไป แต่นี่คือสัจจะไม่ใช่หลอกลวง ในความวนหลอกลวง ก็ต้องหายาน คือพาหะที่อวิชชา พาคุณโคจรไป ก็อประไปเรื่อยๆ ไปหาอื่นๆอีก โดยจะต้องเอาที่ฉันเป็นสุข ฉันน่าได้น่ามีฉันพอใจ ที่ไม่พอใจไม่เอา อันนี้น่าพอใจกว่าก็ไปหาน่าพอใจกว่าอีกแล้วพาคุณหมุนวนต่อไป

 

            คนปฏิบัติ พอปฏิบัติแล้ว วนสูงขึ้นๆ ก็จะเล็กลงๆ แต่คนที่วนแล้วไม่ได้ปฏิบัติถูกต้องก็จะวนแบบบานจากปากหอยไปปากเหวเลย บานไปเรื่อยๆเหวก็ยิ่งลึกด้วย ไม่รู้จบ ออกนอกโลกบานเป็นปากกรวยไป อปรโคยานของอวิชชา มีพาหนะนำพาไป จนกว่าจะมามีจิตมีทิศทางที่จะดับโลก หยุดโลก มาเป็น อมรโคยาน ที่จะทำความเกิดนี้ไม่ให้หยุดเกิด ให้มันตายก็ต้องมารู้จักอัตตาของตนที่เป็นโอปปาติกสัตว์ แล้วกำจัดมันก็จะเป็นอมรโคยาน เป็นยานที่จะพาไปสู่ความไม่ตาย  จนเป็นอุตรกุรุทวีป จนเป็นอรหันต์ก็คือจบในความเป็นโลก เป็นอัตตาได้

 

            สัตว์นั้นมีอบายสัตว์ สัตว์เทวดา มีตั้งแต่ จาตุมหาราชิกา เป็นยักษ์มีเขี้ยวล่าให้แก่ตน ได้ดาวดึงส์ ให้ได้นานๆ เป็นยามา แล้วจำต้องพักยกเป็นดุสิต ไม่ได้เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา แต่ไม่ทุกข์ไม่สุขแบบเคหสิตอุเบกขา แล้วก็สร้างให้ตนสมใจเป็นนิมมานรดี จนเป็นผู้สมบูรณ์แบบด้วยความเป็นใหญ่ในกามคือปรนิมมิตวสวัตตี คือเทวดาสมมุติเทพ

 

            เมื่อไม่เข้าใจสิ่งที่เราต้องไล่เสพตลอด ไม่รู้ไม่เข้าใจก็หลงมัน มีอุปาทานเป็นวิมานเช่นนั้นก็ต้องทำ ถือว่าเป็นชั้นสูงเป็นเทวดาเป็นทิพย์ก็ดิ้นรนเป็นเช่นนี้ เสพโลก เสพอัตตา ก็วนเช่นนี้ ไม่ให้ทุกข์มาคั่น ต้องหลบทุกข์แสวงหาสุขตลอดเวลา นี่คือความอวิชชา วนอยู่อปรโคยานตลอดไป อันไหนน่าได้น่ามีน่าเป็นยิ่งกว่าก็ไขว่คว้าหาไปเรื่อยๆ

 

พุทธทุกวันนี้เป็นศาสนาบรรเทาทุกข์แค่นั้น มีการให้มาสวดมนต์ ปิดปากให้ปากมาพูดแต่มนต์ เป็นมนตรยาน ก็หยุดการสั่งสมบาป ทางกายกับวาจาก็คือมาสวดมนต์เสีย นี่คือหยุดศาสนาพุทธก็ได้แค่นี้ แล้วก็ยังไปสร้างจิตให้ไปได้เดรัจฉานวิชา เขาว่าได้บุญ แล้วจะเป็นพลังช่วยคนได้อีก นี่คือศาสนาพุทธทุกวันนี้ ไม่ได้เป็นศาสนาพุทธที่จะมาลดละหน่ายคลายกิเลส ผู้ทำหน้าที่สืบสานศาสนาคือพาสวดมนต์ แล้วก็ยังหากินกับการสวดมนต์อีก

 

พวกสวดมนต์ก็ยังดีกว่าพวกเดียรัจฉานวิชา แล้วพวกปฏิบัติธรรมก็มีแค่เดินจงกรมกับนั่งสมาธิ ถ้าจะสอนก็สอนอย่างที่ตนเข้าใจ สอนเดรัจฉานกถา พูดสวรรค์วิมานไปเป็นภาษาที่งมงายลึกลับไม่มีจริง นั่งสมาธิมีมโนมยอัตตาก็มาพูดเป็นเดรัจฉานวิชา เละไปหมด นี่คือวงการพุทธที่มีให้คนอาศัย จะเป็นโล้เป็นพายหน่อยก็คือเผา พระก็ไม่เผาเองหรอก มีสัปปะเหร่อเผาให้ พระก็นำไปแค่นั้นแล้วได้ค่ามาสวด

 

สรุปคือศาสนาพุทธทุกวันนี้คือที่พักใจ ได้สวดมนต์กับสั่งสมาธิเดินจงกรมคือได้พักชั่วคราวเขาถือว่าเป็นบุญใหญ่นะ เขาว่าเป็นพรอันประเสริฐ มันก็ซ้อนคือเอาบทคำสอนพระพุทธเจ้าอันยิ่งใหญ่มาสวด แต่พระพุทธเจ้าก็ห้ามไม่ให้แสดงธรรมโดยบท ตั้งแต่สองรูปขึ้นไปนะ ให้โยมฟัง

 

สงสารศาสนามากๆ เพราะมันเพี้ยนไปไกลมา จนไม่ได้ประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ แล้วก็ยังมอมเมากันอีก ดันทุกรังไป อยากจะแก้ไขก็ได้แค่นี้ สงสัยชาตินี้ก็ปรับปวาทะ ดั่งที่พระพุทธเจ้ามอบหมายก็จะได้หรือเปล่า? ก็จะดันทุรังอยู่ไปอีก 70 ปีนะ ยังหวังจะทำได้ จะว่าหลงตนก็ไม่ว่า อาตมาก็จะพากเพียรไป

 

ก็ขอบอกขอเตือนอย่างศาสนาพุทธ ลัทธิ ธิเบต ความสุขของเขาก็คือได้สวดมนต์ โอมมณีปัทเมหุม กราบไปกราบไป อยู่เช่นนั้นเขาก็สงบ เขาไม่เอาเวลาแรงงานไปแย่งชิง เขาก็พออยู่พอกิน มันก็กลบเกลื่อนโลกธรรม เป็นเทวนิยม ก็ทำให้คนสงบพอได้ อินเดีย ธิเบต มีศรัทธาสูง เขาเชื่อบาปบุญ เชื่อลงลึกใน DNA อินเดียเขายอมรับวรรณะ จัณฑาลเขาก็ยอมอยู่ของเขา เขามีมาก แต่ไม่กบฎนะ ส่วนจีนไม่ได้เป็นสายศรัทธาแบบอินเดียต่อไปจะแตกก่อนอินเดีย อินเดียอยู่ได้เพราะมีเจโต

 

ศาสนาพุทธในเมืองไทย ถ้าไม่มีสวดมนต์กับนั่งสมาธินะ รับรองฆ่ากันหมดแล้ว ศาสนาพุทธแท้ที่จะมาลดละกิเลส เป็นลำดับไม่เหลือแล้ว

 

ในโลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย ธรรมาธิปไตย หากเป็นพลังงานแบบโลกๆหมุนวน โลกธรรมแรงระดับอบายก็คืออำนาจโลกาธิปไตย และอัตตาที่โง่จมในอบายก็คือวิชชา ใครมีอธิปไตยเป็นอำนาจมากก็แย่งชิงอำนาจโลก กับอัตตาไปได้มากแม้โกงก็ตาม เขาก็ทำอยู่ CEO ทุกวันนี้ก็คืออัตตาธิปไตย ที่ซ้อนเชิง ว่าคือผู้มีอำนาจเต็ม 

 

เมื่อไม่เข้าใจโลก ไม่เข้าใจอัตตาก็จะเป็นทาสโลกกับอัตตา ต่อเรื่องมาล้างโลก ล้างอัตตาก็มีอธิปไตยที่เป็นธรรมะเท่านั้น สูงสุดคือหมดกามหมดอัตตาก็เป็นธรรมาธิปไตยสูงสุด ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต ผู้มีธรรมาธิปไตยก็คือเป็นพุทธ

 

โลก กับอัตตา จึงเป็นพยัญชนะที่พระพุทธเจ้านำมาสอน เมื่อใครได้เรียนรู้ หยุดเสพโลก หยุดเสพอัตตาที่หลงว่ามากว่าใหญ่ว่าสูง ลดลงมาเป็นลำดับ ที่สุดเป็นมนุษย์อารยะหรืออริยะที่แท้ คืออาริยะ ถ้าเข้าใจแล้วจะไม่หลงไปกับอารยะกับอริยะ

 

มนุษย์โลกทุกวันนี้ก็ได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ​กามเป็นอำนาจ ส่วนพวกนักธรรมะก็นึกว่าได้ธรรมะ แต่ได้อัตตาเป็นอำนาจ ได้นิพพานก็เป็นวิมานทางรูปภพ อรูปภพ มีด้านใสกับด้านดับปี๋ คืออาภัสสรากับสุภกิณหา ที่มีอยู่ทุกวันนี้ พูดนี่เป็นวิชาการการศึกษานะ

 

คนเป็นมนุษย์ชมพูทวีป มีสุรภาโว หรือสูรกาโย มีสติมันโต มีสิ่งที่เป็นทวัตติงสาการ คืออาการ 32 ครบพร้อมสัญญาและใจ เป็นมนุษย์ชมพูทวีป ก็ทำตนให้เป็นอิธพรหมจริยวาโสคือแดนนี้ภพนี้ที่จะปฏิบัติพรหมจรรย์สูงสุดได้ ก็ปฏิบัติให้ได้อย่าเสียความเป็นผู้มนุษย์ชมพูทวีป ถ้าใครล้มล้างอปรโคยานมาเป็นอมรโคยาน จนเป็นมนุษย์ชมพูทวีปจริง เป็นอุตรกุรุปทวีป เท่ากับล้มล้างเทวดาดาวดึงส์ไปได้เรื่อยๆ ก็เป็นมนุษย์อมรโคยาน เป็นมนุษย์อุตรกุรุปทวีปสูงขึ้นไปเรื่อยๆ

 

แล้วสังคมไหนที่เป็น มนุษย์อมรโคยาน เป็นมนุษย์อุตรกุรุทวีปได้ เลิกหลงดาวดึงส์ ถ้ามีมนุษย์เช่นนี้ได้มากเท่าใด แผ่นดินนั้นก็คือแผ่นดินชมพูทวีป คือมนุษย์ที่มีคุณสมบัติอาริยะมากเท่าใด ในประเทศไหน ประเทศนั้นคือชมพูทวีป

 

โสดาบันไม่ได้เก่งกว่าศาสดาของศาสนาเทวนิยมอื่นๆนะ ไม่ได้เก่งเท่ากัลยาณชนที่ทำประโยชน์ได้มากนะ แต่โสดาบันที่เก่งๆก็มี ถ้าปฏิบัติได้สัมมาทิฏฐิ เป็นลำดับจะเป็นประโยชน์มากได้ มนุษย์โลกีย์ระดับที่ไม่เข้าใจจริงๆ จึงหลงทางมาก อย่างเป็นอยู่ทุกวันนี้ กลายเป็นตนเองเป็นตัวก่อเกิดไปเอาวิมานมาหลอกคน ให้หลงวิมานเทวดาดาวดึงส์เป็นบาปซ้ำซ้อนหนักเข้าไป ยิ่งติดยึดหลงเป็นเทวดาดาวดึงส์กลายเป็นอบายภูมิ เพราะเพ้อเจ้อฝันในฝัน เพ้อไป จริงๆ สร้างวิมานให้ติดยึด คนถูกสะกดจิต หลงเชื่อตามแล้วจะสั่งอะไรก็ได้ เก่งกว่ารัสปูตีน ไม่ใช่ใส่ความนะ เรื่องจริง

 

ถ้าเข้าใจสภาพจริงโดยสัจธรรม ไม่รู้จักกาย ไม่รู้สักกายะ ไม่รู้โอปปาติกะ ก็เลยไปเนรมิต สัตว์เป็นอปรโคยานไปเรื่อยๆ เป็นศิลปินสร้างวิมานยิ่งกว่าหิมพานต์ มีสัตว์ที่ยิ่งกว่าหิมพานต์หรือสัตว์ในแดนสุขาวดี คือสร้างใหม่อีก ฟรุ้งฟริ้งยิ่งกว่าที่มันเคยมีอีก คือพวกAbstract ที่ไม่มีจริงเป็นนามธรรม สร้างภพชาติ จินตนาการ โดยอวิชชาแท้ๆ เขาไม่รู้ภพชาติ แต่สร้างภพชาติให้คนหลงนะ เขาเป็นศิลปินที่เก่งนะ ไม่มีใครเหมือน แล้วรวยมากเพราะคนหลงตาม คนเขาหลอกได้ไม่เท่าไหร่แต่นี่เขาหลอกได้หลายนัย รวยได้เป็นแสนล้านเลย

 

ผู้ปฏิบัติธรรมแล้วได้มีสภาวธรรมโลกุตระ จะเห็นว่าโลกีย์เขาก็มีอยู่ เราไปห้ามเขาก็ยาก ถ้าเราจะไปว่าเขา ไปโจมตีเขา เขาก็จะโกรธได้ จะเห็นจะเข้าใจ ว่าสิ่งนั้นหรอ เราบุพเพนิวาสานุสติญาณ ดูว่าที่เราเคยเป็นมาเทียบ จะเกิดโดยอัตโนมัติ เวลาฟังธรรม เราจะรู้ว่าอะไรเกิดหรือดับ หรืออะไรเกิดแล้วไม่ดับ ฝังภพปุพพวิเทหะเราไปเรื่อย ออกมาเป็นอปรโคยานไปเรื่อยๆเลย มนุษย์อวิชชาก็ไปเช่นนี้เขาไม่รู้ตัว แต่พอเข้าใจมาก็จะรู้หยุดระงับ ยิ่งเรียนรู้เห็นโทษภัยชัดเจน ผู้ที่พิจารณาเสมอ แล้วก็ไม่ให้สติตก สัมผัสกับอะไรเราก็อยู่ในสิ่งที่เราเปรียบเทียบ จะได้รู้ว่าอันไหนสัจจะ อันไหนอสัจจะ จะทำให้เราเข้าใจเกิดปัญญา สั่งสมพลังปัญญา ช่วยให้เราเจริญสูงขึ้นๆแท้จริง นี่คือสัจจะที่ อาตมาพาทำ มันเป็นเช่นนี้

 

เราปฏิบัติธรรมสัมมาทิฏฐิไม่ต้องกลัว พากเพียรไป อาตมามั่นใจว่า อรหันต์ 9 รูป ได้แน่ไม่ช้าไม่นาน ก็พากเพียรไป ใครคิดว่าตนเองจะเป็นอรหันต์ 1 ใน 9 ก็พากเพียรไป...จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:48:46 )

580506

รายละเอียด

580506_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ อบายโลกอย่างพิสดาร

พ่อครูว่า...​วันนี้วัน พุธที่ 6 พฤษภาคม 2558 ก็มีคำถาม จาก ผึ้ง พิมพ์เพชรรุ้ง และ จากผู้ชมรายการพ่อครู

 

ว่า... กรณีชาวโรฮิงญา ที่ต้องเร่ร่อนพลัดถิ่นฐาน ไปไหนก็ถูกเอาเปรียบ ถูกกดขี่ข่มเหง ดูว่าจะได้รับแต่ความทุกข์ทรมาน. พวกเขาเคยทำกรรมหนักแบบนักการเมืองที่โกงกินบ้านเมืองตัวเองมาก่อนหรือคะ ถึงต้องรับกรรมเช่นนี้ ...

 

ตอบ..ถามอย่างนี้อาตมาก็จนปัญญาตอบนะ แต่ว่าเราเรียนมามันก็มีวิบากได้สารพัด สรุปคือ ทำชั่วก็ออกผลชั่ว ทำดีก็ออกผลดี ก็คาดคะเน ตีความไปได้ ซึ่งเป็นจริงได้ หรือไม่ใช่อย่างนั้นอย่างนี้ไม่ตรงเสียทีเดียว ที่ตายแล้วเกิดมารับหนี้วิบากไป อาตมาก็เคยบอกว่าเป็นได้ทั้งนั้น ฆ่ากันไปกันมาก็ได้ แต่อาจไม่ใช่อย่างนั้นทีเดียว ท่านที่มีภูมิธรรมสามารถหยั่งรู้ได้เข้าใจได้จริงก็ตอบได้ ส่วนอาตมาไม่คอยจะตอบสิ่งเหล่านั้นเพราะไม่ได้รู้ชัดแน่จริง

 

แต่จะตอบโดยหลักวิชาว่า ชาวโรฮิงยา นั้น ดูช่างเป็นคนที่ไม่เหมือนคนทั่วไป ดูไม่มีอิสรเสรีภาพเลย เขามีการค้าคน เอาคนมาซื้อขายกันอย่างไร อาตมาก็ไม่ได้ตามข่าวมากนัก คนเหล่านี้อพยพมาเป็นกลุ่มก็อาจไม่ได้ทำวิบากร่วมกันหรือไม่ก็ได้ แต่ช่างรู้สึกเป็นเวรภัยมาก เขาหนีมา คนบริสุทธิ์อยากช่วยก็ไม่ได้อีก ผิดกฎระเบียบของโลกอีก ในชาตินี้เขาคงไม่ใช่คนทำชั่วแล้วหนีหอบกันมาเป็นหมู่กลุ่มนะ แล้วมีหลายหมู่กลุ่มด้วยที่อพยพมานี่ มันเหมือนกับคนไร้ถิ่นฐาน โลกนี้ไม่มีที่ให้เขาอยู่ เกิดมาแล้วนะ ดูแล้วน่าสังเวชใจก็ช่วยกันยาก

 

โดยสัจจะเกิดมาเป็นมนุษย์อย่าไปทำชั่วเลย แต่ใครก็คงไม่อยากไปทำไม่ดี แต่ก็ตัวเองนั่นแหละเป็นผู้ทำ มันก็มีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น ทำอย่างไรจะสู้กับอำนาจที่ทำให้เราทำชั่ว แม้เราไม่อยากทำ เหมือนกับเรามาปฏิบัติธรรม ก็ไม่อยากให้เกิดกิเลสในใจ หรือไม่อยากไปทำกรรมชั่ว มันไม่อยากโดยปฏิภาณ แต่ก็มันก็มีอำนาจที่ซ้อนให้เราต้องทำ ก็มีอาการนี้ทุกคนรู้ดี สำนึกมันรู้ว่าไม่ควรทำ แต่กิเลสมันก็พาทำ เราต้องฝึกเรียนรู้ล้างให้ละเอียดละออจนสิ้นเกลี้ยงเลย

 

พระพุทธเจ้าแบ่งให้เป็นเป็นสองความหมายใหญ่ๆคือ โลก กับ อัตตา อยู่

 

ในชีวิตที่วนเวียนในวัฏฏสงสาร วนเวียนรอบสั้นรอบยาว มีหลายนัย มีเหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย

 

ถ้า 1. เหตุ กับ 2.นิทาน รวมกันปรุงแต่งเป็นสังขารคือ 3 อีกอัน แล้วต่อไป เป็นอประ อื่นอีกไม่จบ เป็น 4 ท่านก็สรุปไว้ว่าเป็น เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย ก็เป็นนิยายนิทานซับซ้อนของโลก ที่อาตมาก็บอกแล้วว่า เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยนี่แหละ อาตมาหยิบมาเขียนเป็นหนังสือธรรมะเล่มใหม่กำลังเขียน ได้ประมาณ 20 หน้าแล้ว

 

โลก 6 ได้แก่ 1.อบายโลก 2.มนุษยโลก 3.เทวโลก 4.ขันธโลก 5.ธาตุโลก 6.อายตนโลก(พระไตรปิฎก เล่ม 29 ข้อ 14)

            1. อบายโลก คือ ภาวะที่ชีวิตินทรีย์ในจิตยังเป็นรสสุขรสทุกข์เวียนวนอยู่ กับอบายมุข หยาบสูงสุดสำหรับตน และอบายที่หยาบรองลงไปเป็นลำดับได้แก่ ความต่ำทราม ความทุจริตอกุศล ความโกง ความหลอกลวง การพนัน ความเสื่อมเสีย ความเสียหาย ความหยาบ ความรุนแรง ความจัดจ้าน ความมากความใหญ่ความหรูหราเกินเหมาะเกินควร ที่เสียมากกว่าได้

            แม้รู้ว่าเป็นสิ่งที่เราไม่ควรเกี่ยวข้อง แต่ก็ยังอดไม่ได้ รู้แล้วแต่อดไม่ได้ ยกตัวอย่าง อบายมุข อาตมาขอเรียกว่า อบายมุข 2 นิทาน

            นิทานเรื่องหนึ่งคือ ดารา เขาก็แสดงเก่ง มีความรู้สามารถจัดจ้านมาก เขามั่นใจว่าเขาให้ความสุขกับปชช. คนนี้อยู่ในโลกอบายสร้างสิ่งมอมเมาให้คนติดยึดในอารมณ์ เป็นนรกปหาสะ เขาหลงจริงว่าเขาให้ความสุขแก่ปชช. เขาไม่รู้นะ ไม่เข้าใจว่าเขาผิดอะไร ทั้งโลกเขายอมรับนับถือนะ เด่นดัง

            อีกอาชีพ  คือ นักการเมืองโกง เขารู้ว่าเขาโกงนะ แต่เขาก็ไม่หยุด และเขาไม่เห็นว่าอันนี้คืออบายมุข เพราะคนทุกวันนี้เข้าใจอบายมุขแค่ เล่นไพ่ กินเหล้า ฟ้อนรำ การพนันสิ่งเสพติด คบคนชั่วเป็นมิตร อย่างเกมการกีฬาเขาก็ไม่รู้ว่าคืออบาย เหมือนพวกดารานะ

            โลกนี้อบายมุขครอง แล้วเขาไม่รู้ อย่างดารา นักกีฬาคนก็นิยม แห่เอาเงินทองไปให้เขา เหมือนไม่รู้ กินเหล้ากินยา คือสิ่งเสพติดก็รู้ว่าตนติด แต่ก็ให้ทำกันอยู่ในประเทศ ไม่รู้ว่าคืออบายมุข ให้ทำสัมปทานกันจนรวยเละ

            ความหมายของคำว่าอบายมุขที่ร้ายแรงมากขณะนี้ ในอบายที่ทำกันในระดับโลก กีฬาโอลิมปิกและกีฬาอื่นๆอีก เอเชี่ยนเกมอีก แล้วถือว่า ภาวะเงินที่หมุนจากกระเป๋าคนไปนั้นเขาว่าเงินสะพัด เศรษฐกิจนั้นมองตื้นๆว่าทำให้เงินหมุน แต่หมุนแล้วทำให้เกิดโทษภัยก็ไม่เห็น โลกอบายเขาไม่รู้ ก็เลยไม่พากเพียรจะให้เลิก

            เขาไม่รู้ ไม่ตั้งใจดับชีวิตินทรีย์กิเลสให้ตายไป เขาไม่ทำ เพราะเขาหลงว่ามันไม่ใช่ แม้เขาไม่หลง เขารู้นะ เขาไม่ตั้งจิตจะล้างชีวิตินทรีย์ที่หมุนวนอยู่เลย ในโลกอบายมุข เขาก็ไม่หยุด เมื่อเขาไม่คิดหยุด โลกอบายอย่างนี้อยู่ในสังคมประเทศใด มันก็ไม่มีทางหมดไป

 

            อาตมาถือว่าอาตมาทำสำเร็จที่พาพวกเราออกจากโลกอบาย ทำมาหลายสิบปีแล้ว ตรวจจิตใจพวกเราก็ไม่ได้โหยหาอาวรณ์ ทั้งที่มันก็มีอยู่ในโลกให้เราเห็นอยู่ เป็นโลกาภิวัฒน์ ชีวิตสัตว์อบายไม่มีในจิตเราแล้ว เรามีโลกสมุทัยที่ดับแล้ว มีแต่โลกนิโรธ นี่คือคนมีนิพพาน ไม่ใช่เรื่องลึกลับ แต่ลึกซึ้งเรียนรู้ได้ ปัจจุบันก็สามารถปฏิบัติได้ เป็นอกาลิโฏ แต่เขาเพ้อฝันว่า นรกอยู่ตอนตาย คำว่าสวรรค์ในอกนรกในใจมันแค่เปรียบเทียบ แต่นรกสวรรค์ต้องไปหลังตาย ทั้งที่พระพุทธเจ้าสอนให้มีอายตนะ 6 มีผัสสะ 6 มีเวทนา 6 มีตัณหา 6 มีอุปาทาน 4

 

            ที่ว่ามี 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คุณเปิดรับอยู่ทุกปัจจุบัน มีสัมผัสเป็นปัจจัย เกิดนรกสวรรค์ เราก็สามารถอ่านได้ อ่านเหตุที่เกิดความเป็นสัตว์ รู้กายของสัตว์นรก เป็นเช่นนี้ เราก็เรียนรู้ได้ เลิกละได้ เมื่อเราละสิ่งหยาบได้ ได้วิธีการนี้แล้วก็ทำต่อในสิ่งที่ละเอียดต่อมากว่าหยาบ อันต่อมาจากอบายก็ทำต่อเป็นลำดับๆ หรือแม้แต่มันจัดจ้านก็เรียกอบาย มันมากใหญ่ หรูหราเกินเหมาะควร หลงในลาภ ยศ หนักจัดจ้าน ก็ต้องรู้ว่ามีชีวิตินทรีย์ ก็ต้องรู้ว่ามีน้ำหนัก อินทรีย์ของความยึดติดเป็นตัวกูของกู เป็นอัตตา เราก็เรียนรู้จนดับโลกอบายได้

 

            โสดาบัน ปิดโลกอบาย คุณแต่ละคนอาตมาว่าตรวจเถอะ เป็นเรื่องๆที่เราเคยติด สิ่งที่เราไม่เคยติดก็คือทำได้แล้วไม่ต้องพิจารณามาก แต่ทบทวนสิ่งที่เราเคยติด มันเคยอยู่กับเรา แต่เดี๋ยวนี้สัมผัสอยู่ เมื่อนั้นเมื่อนี้ มันกระทบสัมผัสมันก็ทำให้เราทบทวนตรวจ จุตูปปาตญาณ แล้วเราใจเราจำได้ไหม ระลึกชาติดูว่า กิเลสเราเกิดไหม? แล้วคุณได้ปฏิบัติให้มันดับไปไหม  เดี๋ยวนี้มันเกิดไหม หลายทีสัมผัสแล้วเดี๋ยวนี้มันไม่เกิด แล้วเรามั่นใจมันหรือยังว่า มันจบ ตัดสินได้เด็ดขาดหรือยัง ตรวจสอบจริงๆ สิ่งเหล่านี้เป็นสัจธรรมตรวจได้ คือเรื่องปรมัตถธรรมของพุทธ พูดกันรู้เรื่อง ปฏิบัติได้ เอาตัวเองมาพิสูจน์ได้ คนใดที่เขาไม่รู้ เป็นของสูง โอปนยิโก เป็นเรื่องสูงส่ง แต่ไปแย่งโลกธรรมได้ วรรณะทิพย์ สุขทิพย์มันไม่ใช่ของสูงหรอก อันนี้ต่างหากมาลดละเลิกได้มันคือความสูงจริง คนเราก็จะเข้าใจกันไม่ได้ มักเข้าใจว่าวรรณะทิพย์ คือความสูงเป็นพวกเริดหรู ยศชั้นวรรณะ เป็นดาวดึงส์

 

แต่เรามาเรียนรู้แล้วกลับว่าไม่ใช่ เราไม่ต้องมีลาภ ยศ มากมายเช่นนั้นก็ได้ แต่ในนัยลึก คนมีภูมิปัญญาในโลกุตระภูมิก็จะนับถือเคารพในคนเช่นนี้ เรานับถือคานธี คานธีตายแล้วมีทรัพย์สมบัติเล็กน้อย ไม่ม่ียศอะไรทางการเมือง ไม่เคยมีตำแหน่ง แต่คนเคารพนับถือ ยกย่องมีเกียรติเป็นยศ  สัจจะมันซ้อน แม้แต่พระพุทธเจ้า ท่านทิ้งลาภยศสรรเสริญ เรากลับเคารพพระองค์ยิ่งกว่าเป็นจอมจักพรรดิ์อีก แม้ว่าจะอยู่ในตำแหน่ง มีปธน.อุรุกวัย ได้เป็นปธน.ยศสูง แต่ไม่ได้ติดในยศ ก็ทำหน้าที่ ไม่ติดในลาภ แสดงชัดเลยว่าไม่เอา รถประจำตำแหน่งก็ไม่ใช้ บ้านก็อยู่กระต้อบของฉัน

 

อย่างอาตมาก็ไม่มียศชั้นอะไรนะ ไม่ได้สักเปรียญเลย แต่เขามีจบป.โทนะ เป็นเปรียญนะ เป็นเจ้าคุณนะ อาตมาก็ไม่ได้โหยหาอาวรณ์อะไรไม่ได้อยากได้นะ

 

            สรุปคืออบายโลกมันซ้อนอยู่ในโลก ที่ดูเหมือนเด่นดังสูงส่ง ทั้งดารา นักการเมือง นักกีฬาก็ตาม ทั้งที่เห็นชัดๆ ก็ไม่เอาผิดกัน บางประเทศเขาสำนึกจนฆ่าตัวตายไปก็มี โลกอบายจึงมากขึ้น นี่คืออบายโลกที่คนไม่เรียนรู้ ไม่รู้วิธีที่จะออกจากโลกอบาย ไม่มีเนกขัมมะ ไม่ได้ทำจิตให้หมดชีวิตสัตว์อบายเลย

 

            กายนี้คือจิตคือมโนคือวิญญาณ ไม่ขาดจากนอกนะ ก็เกี่ยวข้องกับมนุษยชาติกับดิน น้ำไฟลมภายนอกทั้งนั้น แต่ชีวิตรูป ที่เป็นชีวิตสัตว์อบายของเรามันมีอินทรีย์เท่าไหร่ มันยังแรงอยู่ด้วยซ้ำ ถ้าไม่รู้จักกาย ก็ไม่รู้ชีวิตของสัตว์เหล่านี้ นี่คือเขาเรียนกันมาไม่ครบ เขาท่องจำได้เก่งกว่าอาตมาด้วยซ้ำ แต่ไม่สัมมาทิฏฐิก็ปฏิบัติไม่ถูก ไม่สามารถทำให้ชีวิตสัตว์นี้ดับไปได้เลย

 

            2. มนุษยโลก คือ ภาวะที่ชีวิตินทรีย์ในจิตยังเป็นมนุษย์ชมพูทวีป และสามารถทำใจในใจ(มนสิการ)ของตนให้ลดความเป็นเทวดาดาวดึงส์หรือเทวดาเสพกามไปจากจิตได้เป็นลำดับ จนเป็นที่สุดดับได้สำเร็จบริบูรณ์มนุษย์อุตตรกุรุทวีปสำเร็จสูงสุด ก็คือภาวะที่เป็นคน มีชีวิตอยู่บนโลก ชีวิตยังเป็นมนุษย์โลกีย์ หรือต่อๆไป เป็นมนุษย์โลกุตระก็ได้ เป็นคนมีอาการ 32 แล้วเรียนรู้อาการ 33 เป็นได้ทั้ง ปุถุชน กัลยาณชน โลกุตรชน

 

            กัลยาณชนนั้นอาจหยุดทำชั่วได้ พยายามทำแต่ดี แต่ไม่ใช่โลกุตระ เพราะไม่สามารถชัดเจนแยกแยะโลกุตระออกจากโลกียะได้ อาจดีมากก็ได้ สะกดจิตได้ไม่ให้มีอาการจิตที่ชั่วได้ แต่จิตถูกกดข่มไว้เป็นอนุสัย เป็นอาสวะ เหมือนยีสต์ ในอนุสัยเป็นพลังงานฝังลึก potential energy มันมีพลังงานแต่คุณรู้มันไม่ได้ กัลยาณชนหรือปุถุชนทำดีได้ แต่ไม่รู้โลกุตระ ไม่สามารถทำความสุขที่สงบ ชนิดที่ล้างกิเลสออกจริงๆ ได้กำจัดกิเลสให้เกิดจิตสงบสุขอย่างอุบัติเทพ แต่ผู้ไม่ได้ปฏิบัติเขาก็เสพสุขขัลลิกะ สุขหลอก เป็นดาวดึงส์เสพโลกียรส

            ส่วนพวกปฏิบัติธรรมก็สุขแบบกดข่ม ละเอียดกว่า เพราะไม่ได้เสพกามคุณ 5  แต่เสพในภพ นั่งสมาธิหรือจิตกดข่มได้ ดูเหมือนอยู่เหนือลาภ ยศ สรรเสริญ แต่เขาไม่ได้รู้จักกิเลสในจิตที่ล้างมาเป็นลำดับจนหมดอนุสัย เขาไม่รู้ระดับ เวทนา 5 ที่เป็นตามลำดับไม่รู้ เขาไม่ชัดเจน ไม่มีกายสักขีสมบูรณ์ ไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เป็นกายสักขี ตั้งแต่ภพนอก ทั้งกามภพ แล้วก็ทำต่อในรูปภพ อรูปภพต่อไปเป็นไปตามลำดับ จนเสร็จเรียบร้อย สำเร็จอิริยาบถอยู่ สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เขาดูเหมือนดับ เหมือนอรหันต์เลยได้ เจ้าตัวก็หลงง่ายด้วย พฤติกรรมเหมือนอรหันต์ที่เงียบสะอาด พวกนี้จะมองว่าอรหันต์จะมาคลุกกับโลกไม่ได้ คนมาถามอรหันต์ว่าคืออย่างไร อาตมาก็ว่าคือคนปกติ แต่ใครจะรู้กับท่านได้ ท่านก็อนุโลมอยู่กับโลก ไม่จำเป็นต้องบอกคุณด้วยท่านทำงานบริสุทธิ์ใจกับคุณไป คือความซับซ้อนที่เข้าใจยาก อรหันต์จริงจะเข้าใจท่านยาก แต่อรหันต์เต๊ะท่าจะเข้าใจง่าย ดีไม่ดีอรหันต์เก๊ด้วย สารรูปดีมาก สมณสารูปดีมาก สงบเรียบร้อยไม่กระทบใครดูดี อย่างนั้นไม่ใช่อรหันต์หรอก แต่อรหันต์คือผู้หมดตัวหมดตน ก็จะไม่เต๊ะท่าหรอก

 

            จิตคนไม่รู้แม้ดาวดึงส์ ที่เป็น สุขทิพย์ วรรณะทิพย์ อายทิพย์ แท้จริงคือ สุขเท็จ วรรณะเท็จ อายุเท็จ คนก็หลงทิพย์ปั้นสวรรค์วิมาน ที่จริงคือทุกข์โลกีย์เป็นสามัญ ปุถุชนก็จะเอาดาวดึงส์ตลอด เป็นอปรโคยานที่จะไปคว้าดาวดึงส์อยู่ตลอด คุณอยากจะนั่งสบายๆก็คือหาสุขทิพย์ นั่งไม่สบายแล้วก็ลุกเดิน ไปเดินเฉยๆก็ไม่สบายก็เต้นร้องเพลงก็คือไปหาดาวดึงส์ทั้งนั้น แต่คุณไม่รู้ก็เสพก็อาศัยสิ่งเหล่านั้นเป็นองค์ประกอบของชีวิตที่ดำเนินไปอยู่ ทำกรรมกิริยาเพราะต้องการให้เป็นทิพย์ ให้เป็นดาวดึงส์ ให้อาการ 33 อยู่ตรงนี้ จะต้องเป็นอายุทิพย์ทุกขณะที่ไม่ตาย ยังไม่ตายฉันก็ต้องได้ภูมิได้ภพ ได้อาศัยทิพย์คือดาวดึงส์โลกียรสตลอดเวลา บำเรออารมณ์ที่ต้องการน่าได้น่ามีน่าเป็น

 

            จิตคนปุถุชนจะต่อเนื่องต้องการใฝ่หาดาวดึงส์มาอาศัยตลอดเวลา ไม่อยากให้เป็นนรกเลย ไม่อยากให้เป็นสิ่งไม่ชอบใจ จะเอาสิ่งชอบใจทั้งนั้นตลอดไป อิริยาบถเช่นนี้ไม่ชอบใจก็เปลี่ยนไป อันไหนไม่ชอบก็เปลี่ยนไปให้อยู่กับอิฏฐารมย์ตลอดเวลา ต้องเสพอารมณ์ชอบพอใจ คือแดนดาวดึงส์

 

            คนได้ฟังอาจมองว่าอาตมามองโลกในแง่ร้ายเกินไป พูดลงโทษคนเกินไป แต่นี่คือสัจจะไม่ใช่หลอกลวง ในความวนหลอกลวง ก็ต้องหายาน คือพาหะที่อวิชชา พาคุณโคจรไป ก็อประไปเรื่อยๆ ไปหาอื่นๆอีก โดยจะต้องเอาที่ฉันเป็นสุข ฉันน่าได้น่ามีฉันพอใจ ที่ไม่พอใจไม่เอา อันนี้น่าพอใจกว่าก็ไปหาน่าพอใจกว่าอีกแล้วพาคุณหมุนวนต่อไป

 

            คนปฏิบัติ พอปฏิบัติแล้ว วนสูงขึ้นๆ ก็จะเล็กลงๆ แต่คนที่วนแล้วไม่ได้ปฏิบัติถูกต้องก็จะวนแบบบานจากปากหอยไปปากเหวเลย บานไปเรื่อยๆเหวก็ยิ่งลึกด้วย ไม่รู้จบ ออกนอกโลกบานเป็นปากกรวยไป อปรโคยานของอวิชชา มีพาหนะนำพาไป จนกว่าจะมามีจิตมีทิศทางที่จะดับโลก หยุดโลก มาเป็น อมรโคยาน ที่จะทำความเกิดนี้ไม่ให้หยุดเกิด ให้มันตายก็ต้องมารู้จักอัตตาของตนที่เป็นโอปปาติกสัตว์ แล้วกำจัดมันก็จะเป็นอมรโคยาน เป็นยานที่จะพาไปสู่ความไม่ตาย  จนเป็นอุตรกุรุทวีป จนเป็นอรหันต์ก็คือจบในความเป็นโลก เป็นอัตตาได้

 

            สัตว์นั้นมีอบายสัตว์ สัตว์เทวดา มีตั้งแต่ จาตุมหาราชิกา เป็นยักษ์มีเขี้ยวล่าให้แก่ตน ได้ดาวดึงส์ ให้ได้นานๆ เป็นยามา แล้วจำต้องพักยกเป็นดุสิต ไม่ได้เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา แต่ไม่ทุกข์ไม่สุขแบบเคหสิตอุเบกขา แล้วก็สร้างให้ตนสมใจเป็นนิมมานรดี จนเป็นผู้สมบูรณ์แบบด้วยความเป็นใหญ่ในกามคือปรนิมมิตวสวัตตี คือเทวดาสมมุติเทพ

 

            เมื่อไม่เข้าใจสิ่งที่เราต้องไล่เสพตลอด ไม่รู้ไม่เข้าใจก็หลงมัน มีอุปาทานเป็นวิมานเช่นนั้นก็ต้องทำ ถือว่าเป็นชั้นสูงเป็นเทวดาเป็นทิพย์ก็ดิ้นรนเป็นเช่นนี้ เสพโลก เสพอัตตา ก็วนเช่นนี้ ไม่ให้ทุกข์มาคั่น ต้องหลบทุกข์แสวงหาสุขตลอดเวลา นี่คือความอวิชชา วนอยู่อปรโคยานตลอดไป อันไหนน่าได้น่ามีน่าเป็นยิ่งกว่าก็ไขว่คว้าหาไปเรื่อยๆ

 

พุทธทุกวันนี้เป็นศาสนาบรรเทาทุกข์แค่นั้น มีการให้มาสวดมนต์ ปิดปากให้ปากมาพูดแต่มนต์ เป็นมนตรยาน ก็หยุดการสั่งสมบาป ทางกายกับวาจาก็คือมาสวดมนต์เสีย นี่คือหยุดศาสนาพุทธก็ได้แค่นี้ แล้วก็ยังไปสร้างจิตให้ไปได้เดรัจฉานวิชา เขาว่าได้บุญ แล้วจะเป็นพลังช่วยคนได้อีก นี่คือศาสนาพุทธทุกวันนี้ ไม่ได้เป็นศาสนาพุทธที่จะมาลดละหน่ายคลายกิเลส ผู้ทำหน้าที่สืบสานศาสนาคือพาสวดมนต์ แล้วก็ยังหากินกับการสวดมนต์อีก

 

พวกสวดมนต์ก็ยังดีกว่าพวกเดียรัจฉานวิชา แล้วพวกปฏิบัติธรรมก็มีแค่เดินจงกรมกับนั่งสมาธิ ถ้าจะสอนก็สอนอย่างที่ตนเข้าใจ สอนเดรัจฉานกถา พูดสวรรค์วิมานไปเป็นภาษาที่งมงายลึกลับไม่มีจริง นั่งสมาธิมีมโนมยอัตตาก็มาพูดเป็นเดรัจฉานวิชา เละไปหมด นี่คือวงการพุทธที่มีให้คนอาศัย จะเป็นโล้เป็นพายหน่อยก็คือเผา พระก็ไม่เผาเองหรอก มีสัปปะเหร่อเผาให้ พระก็นำไปแค่นั้นแล้วได้ค่ามาสวด

 

สรุปคือศาสนาพุทธทุกวันนี้คือที่พักใจ ได้สวดมนต์กับสั่งสมาธิเดินจงกรมคือได้พักชั่วคราวเขาถือว่าเป็นบุญใหญ่นะ เขาว่าเป็นพรอันประเสริฐ มันก็ซ้อนคือเอาบทคำสอนพระพุทธเจ้าอันยิ่งใหญ่มาสวด แต่พระพุทธเจ้าก็ห้ามไม่ให้แสดงธรรมโดยบท ตั้งแต่สองรูปขึ้นไปนะ ให้โยมฟัง

 

สงสารศาสนามากๆ เพราะมันเพี้ยนไปไกลมา จนไม่ได้ประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ แล้วก็ยังมอมเมากันอีก ดันทุกรังไป อยากจะแก้ไขก็ได้แค่นี้ สงสัยชาตินี้ก็ปรับปวาทะ ดั่งที่พระพุทธเจ้ามอบหมายก็จะได้หรือเปล่า? ก็จะดันทุรังอยู่ไปอีก 70 ปีนะ ยังหวังจะทำได้ จะว่าหลงตนก็ไม่ว่า อาตมาก็จะพากเพียรไป

 

ก็ขอบอกขอเตือนอย่างศาสนาพุทธ ลัทธิ ธิเบต ความสุขของเขาก็คือได้สวดมนต์ โอมมณีปัทเมหุม กราบไปกราบไป อยู่เช่นนั้นเขาก็สงบ เขาไม่เอาเวลาแรงงานไปแย่งชิง เขาก็พออยู่พอกิน มันก็กลบเกลื่อนโลกธรรม เป็นเทวนิยม ก็ทำให้คนสงบพอได้ อินเดีย ธิเบต มีศรัทธาสูง เขาเชื่อบาปบุญ เชื่อลงลึกใน DNA อินเดียเขายอมรับวรรณะ จัณฑาลเขาก็ยอมอยู่ของเขา เขามีมาก แต่ไม่กบฎนะ ส่วนจีนไม่ได้เป็นสายศรัทธาแบบอินเดียต่อไปจะแตกก่อนอินเดีย อินเดียอยู่ได้เพราะมีเจโต

 

ศาสนาพุทธในเมืองไทย ถ้าไม่มีสวดมนต์กับนั่งสมาธินะ รับรองฆ่ากันหมดแล้ว ศาสนาพุทธแท้ที่จะมาลดละกิเลส เป็นลำดับไม่เหลือแล้ว

 

1ในโลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย ธรรมาธิปไตย หากเป็นพลังงานแบบโลกๆหมุนวน โลกธรรมแรงระดับอบายก็คืออำนาจโลกาธิปไตย และอัตตาที่โง่จมในอบายก็คือวิชชา ใครมีอธิปไตยเป็นอำนาจมากก็แย่งชิงอำนาจโลก กับอัตตาไปได้มากแม้โกงก็ตาม เขาก็ทำอยู่ CEO ทุกวันนี้ก็คืออัตตาธิปไตย ที่ซ้อนเชิง ว่าคือผู้มีอำนาจเต็ม 

 

เมื่อไม่เข้าใจโลก ไม่เข้าใจอัตตาก็จะเป็นทาสโลกกับอัตตา ต่อเรื่องมาล้างโลก  ล้างอัตตาก็มีอธิปไตยที่เป็นธรรมะเท่านั้น สูงสุดคือหมดกามหมดอัตตาก็เป็นธรรมาธิปไตยสูงสุด ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต ผู้มีธรรมาธิปไตยก็คือเป็นพุทธ

 

โลก กับอัตตา จึงเป็นพยัญชนะที่พระพุทธเจ้านำมาสอน เมื่อใครได้เรียนรู้ หยุดเสพโลก หยุดเสพอัตตาที่หลงว่ามากว่าใหญ่ว่าสูง ลดลงมาเป็นลำดับ ที่สุดเป็นมนุษย์อารยะหรืออริยะที่แท้ คืออาริยะ ถ้าเข้าใจแล้วจะไม่หลงไปกับอารยะกับอริยะ

 

มนุษย์โลกทุกวันนี้ก็ได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ​กามเป็นอำนาจ ส่วนพวกนักธรรมะก็นึกว่าได้ธรรมะ แต่ได้อัตตาเป็นอำนาจ ได้นิพพานก็เป็นวิมานทางรูปภพ อรูปภพ มีด้านใสกับด้านดับปี๋ คืออาภัสสรากับสุภกิณหา ที่มีอยู่ทุกวันนี้ พูดนี่เป็นวิชาการการศึกษานะ

 

            2คนเป็นมนุษย์ชมพูทวีป มีสุรภาโว หรือสูรกาโย มีสติมันโต มีสิ่งที่เป็นทวัตติงสาการ คืออาการ 32 ครบพร้อมสัญญาและใจ เป็นมนุษย์ชมพูทวีป ก็ทำตนให้เป็นอิธพรหมจริยวาโสคือแดนนี้ภพนี้ที่จะปฏิบัติพรหมจรรย์สูงสุดได้ ก็ปฏิบัติให้ได้อย่าเสียความเป็นผู้มนุษย์ชมพูทวีป ถ้าใครล้มล้างอปรโคยานมาเป็นอมรโคยาน จนเป็นมนุษย์ชมพูทวีปจริง เป็นอุตรกุรุปทวีป เท่ากับล้มล้างเทวดาดาวดึงส์ไปได้เรื่อยๆ ก็เป็นมนุษย์อมรโคยาน เป็นมนุษย์อุตรกุรุปทวีปสูงขึ้นไปเรื่อยๆ

 

แล้วสังคมไหนที่เป็น มนุษย์อมรโคยาน เป็นมนุษย์อุตรกุรุทวีปได้ เลิกหลงดาวดึงส์ ถ้ามีมนุษย์เช่นนี้ได้มากเท่าใด แผ่นดินนั้นก็คือแผ่นดินชมพูทวีป คือมนุษย์ที่มีคุณสมบัติอาริยะมากเท่าใด ในประเทศไหน ประเทศนั้นคือชมพูทวีป

 

โสดาบันไม่ได้เก่งกว่าศาสดาของศาสนาเทวนิยมอื่นๆนะ ไม่ได้เก่งเท่ากัลยาณชนที่ทำประโยชน์ได้มากนะ แต่โสดาบันที่เก่งๆก็มี ถ้าปฏิบัติได้สัมมาทิฏฐิ เป็นลำดับจะเป็นประโยชน์มากได้ มนุษย์โลกีย์ระดับที่ไม่เข้าใจจริงๆ จึงหลงทางมาก อย่างเป็นอยู่ทุกวันนี้ กลายเป็นตนเองเป็นตัวก่อเกิดไปเอาวิมานมาหลอกคน ให้หลงวิมานเทวดาดาวดึงส์เป็นบาปซ้ำซ้อนหนักเข้าไป ยิ่งติดยึดหลงเป็นเทวดาดาวดึงส์กลายเป็นอบายภูมิ เพราะเพ้อเจ้อฝันในฝัน เพ้อไป จริงๆ สร้างวิมานให้ติดยึด คนถูกสะกดจิต หลงเชื่อตามแล้วจะสั่งอะไรก็ได้ เก่งกว่ารัสปูตีน ไม่ใช่ใส่ความนะ เรื่องจริง

 

ถ้าเข้าใจสภาพจริงโดยสัจธรรม ไม่รู้จักกาย ไม่รู้สักกายะ ไม่รู้โอปปาติกะ ก็เลยไปเนรมิต สัตว์เป็นอปรโคยานไปเรื่อยๆ เป็นศิลปินสร้างวิมานยิ่งกว่าหิมพานต์ มีสัตว์ที่ยิ่งกว่าหิมพานต์หรือสัตว์ในแดนสุขาวดี คือสร้างใหม่อีก ฟรุ้งฟริ้งยิ่งกว่าที่มันเคยมีอีก คือพวกAbstract ที่ไม่มีจริงเป็นนามธรรม สร้างภพชาติ จินตนาการ โดยอวิชชาแท้ๆ เขาไม่รู้ภพชาติ แต่สร้างภพชาติให้คนหลงนะ เขาเป็นศิลปินที่เก่งนะ ไม่มีใครเหมือน แล้วรวยมากเพราะคนหลงตาม คนเขาหลอกได้ไม่เท่าไหร่แต่นี่เขาหลอกได้หลายนัย รวยได้เป็นแสนล้านเลย

 

ผู้ปฏิบัติธรรมแล้วได้มีสภาวธรรมโลกุตระ จะเห็นว่าโลกีย์เขาก็มีอยู่ เราไปห้ามเขาก็ยาก ถ้าเราจะไปว่าเขา ไปโจมตีเขา เขาก็จะโกรธได้ จะเห็นจะเข้าใจ ว่าสิ่งนั้นหรอ เราบุพเพนิวาสานุสติญาณ ดูว่าที่เราเคยเป็นมาเทียบ จะเกิดโดยอัตโนมัติ เวลาฟังธรรม เราจะรู้ว่าอะไรเกิดหรือดับ หรืออะไรเกิดแล้วไม่ดับ ฝังภพปุพพวิเทหะเราไปเรื่อย ออกมาเป็นอปรโคยานไปเรื่อยๆเลย มนุษย์อวิชชาก็ไปเช่นนี้เขาไม่รู้ตัว แต่พอเข้าใจมาก็จะรู้หยุดระงับ ยิ่งเรียนรู้เห็นโทษภัยชัดเจน ผู้ที่พิจารณาเสมอ แล้วก็ไม่ให้สติตก สัมผัสกับอะไรเราก็อยู่ในสิ่งที่เราเปรียบเทียบ จะได้รู้ว่าอันไหนสัจจะ อันไหนอสัจจะ จะทำให้เราเข้าใจเกิดปัญญา สั่งสมพลังปัญญา ช่วยให้เราเจริญสูงขึ้นๆแท้จริง นี่คือสัจจะที่ อาตมาพาทำ มันเป็นเช่นนี้

 

เราปฏิบัติธรรมสัมมาทิฏฐิไม่ต้องกลัว พากเพียรไป อาตมามั่นใจว่า อรหันต์ 9 รูป ได้แน่ไม่ช้าไม่นาน ก็พากเพียรไป ใครคิดว่าตนเองจะเป็นอรหันต์ 1 ใน 9 ก็พากเพียรไป...จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:50:09 )

580507

รายละเอียด

580507-ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ ญาณ 7 พระโสดาบัน งามโดยลำดับ

พ่อครูว่า....วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 7 แรม 5 ค่ำ เดือน 6 ปีมะแม สิ่งที่มนุษย์ควรจะมี ควรได้ควรเป็นคืออรหันต์ ถ้าประกาศไปคนก็จะหาว่าบ้าเลยนะ แล้วพระอรหันต์เป็นอย่างไร จะได้อย่างไร แล้วขอเป็นไม่ได้ด้วย ได้ยินว่ายากจะตาย เขาคงคิดว่าบ้าแล้ว ทุกวันนี้ในวงการศาสนาพุทธ เมืองไทยมีพุทธศาสนิกชนเกือบหมดประเทศ ในประชาการ 95% ก็ไม่เคยคิดหรอก หรือแม้มีคนคิดว่าอรหันต์น่ามีน่าได้น่าเป็น แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นได้อย่างไรก็ว่าเป็นไม่ได้หรอก จะมีคนเอาจริงเอาจังจะให้ได้จริงๆ ก็จะมีถึง 1 % ไหมนะ ใน 67 ล้านคนนี่  1% เท่ากับ 6700 คนนะ คิดว่าเอาให้ได้ก็ไม่น่าจะถึงนะ

 

สมมุติว่ามีคนเอาจริงถึง 6700 คน  เชื่อว่าจะได้ จะมีสัก 67 คนไหม?ที่ได้อรหันต์... ก็เชื่อว่าไม่น่าจะได้ เชื่อว่าจะได้สัก 67 คนแล้วเอาเข้าจริงๆ จะได้ ถึง 6หรือ 7 คนไหม? แล้วที่ว่าได้ก็ได้อย่างเก๊ด้วย อรหันต์มิจฉาทิฏฐิด้วย ในเมืองไทยเขามีหนังสือทำเนียบบันทึกอรหันต์กันตั้ง หลายสิบคน แต่ขอบอกว่าไม่ใช่อรหันต์ เพราะมันผิดทาง อรหันต์จะไม่เป็นเช่นนั้น

 

ต้องพูดตั้งแต่เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย เพราะถ้าไม่เป็นลำดับไม่ใช่พุทธ แล้วถ้าได้อย่างเป็นลำดับ รู้แจ้งเห็นจริง มีญาณทัศนะ มีศีล สมาธิ ปัญญา มีญาณรู้ ญาณนั้นท่านตรัสไว้ชัดเจน ญาณโสดาบันมี 7 ไม่ต้องถึงอรหันต์ เอาแค่โสดาบันก็ต้องรู้ แล้วได้แล้วต้องอธิบายได้ แล้วพวกที่ว่าเป็นอรหันต์เคยอธิบายโสดาบันชัดๆไหม? ทั้งที่ในพระไตรฯ มีเขียนไว้ บอกญาณ 7 ของความเป็นโสดาบัน

1.        รู้จักปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุม คือกิเลสนิวรณ์5. (ยังวิวาทกันด้วยหอกคือปากเพราะคิดเรื่องโลกนี้/โลกหน้า)  แม้ยังละปริยุฏฐานกิเลสไม่ได้ ก็รู้  ไม่มีที่จะไม่รู้จักปริยุฏนั้น  และย่อมมีทิฐิตั้งปณิธานจิตไว้เพื่อไปสู่การตรัสรู้สัจจะทั้งหลาย

คือเมื่อหลุดพ้นจากกิเลสขั้นต้น คือวีติกมกิเลส ก็จะรู้กิเลสที่ตนยังมีอีก แล้วจะจัดการต่อไปนั่นเอง โสดาบันก็มีจิตถือดีถือตัวเบ่งข่มเขาได้ แต่ถ้าปฏิบัติสัมมาทิฏฐิ จะรู้ตัวแล้วพยายามลด ผู้ที่กิเลสหยาบใหญ่ก็ยังไม่เคยชัดเจน ในสักกายะและได้ลดมันมา เห็นว่ามันจางคลายดับได้ เห็นว่ามันไม่ใช่ตัวตน เห็นว่ามันไม่เที่ยง(ไม่เที่ยงนี้คือกิเลสไม่เที่ยง แต่ก่อนมันมีอินทรีย์ 100 หน่วย มันแรงจนฉุดเราไปได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยมาสัมผัส แล้วนี่ของเราด้วยเรามีสิทธิ์ เราก็ต้องเสพ เพราะมันมีแรงฉุดเรา สมมุติว่าแรงนั้นมันมีกำลัง 100 แต่พอเราปฏิบัติอย่างที่พระพุทธเจ้าสอน ให้เรารู้สัตว์ ที่เป็นสักกายะ รู้ว่าสัตว์ในจิตวิญญาณมันดิ้น อย่างรู้กาย มีองค์ประชุมที่มันมีอาการดิ้นเลย

 

มาดูกันเป็น สังขยาเลข 1-2-3 มันมีครบหมุนวนดิ้นรนไปได้ ถ้ามีแค่ 1 จะไม่มีอะไร มันเดินทางไม่ได้ ซึ่ง 1 นั้นต่างจาก 0 อยู่นิดเดียว

 

1 ก็เริ่มมีตัวตน เคลื่อนไม่ได้ แต่พอมี 2 มันก็เคลื่อนได้ในแนวระนาบ ไม่ว่าจะอะไรก็แล้วแต่ในเอกภพ เคลื่อนที่ได้ก็แนวระนาบ ไม่มีองศา ไม่มีอีกอันที่เป็นอันที่ 3 

 

เมื่อมี 3 มา แรกเริ่มก็เป็นวงรี จนกลายเป็นวงกลม วงวน เป็นสามมิติ มีสัดส่วนนูน แต่ก่อนสองระนาบมีแต่ส่วนแบน เป็นตัวเป็นตนเป็นรูปเป็นร่าง ก็อยู่ในตัวตนนี่แหละ ถ้าเป็นธาตุรู้ก็อยู่เฉพาะตนเอง จนกว่าจะมีอะไรอื่นออกมาจากตัวเองนี้ มีปรักกัมมธาตุ เป็นธาตุที่ 4 เป็น สี่มิติขึ้นมาแล้ว แล้วเป็น 5 เป็น 6 ก็จะเป็นสองมิติใหญ่ เป็นจักรวาล เหมือนสองคน จะคิดนึกอะไรก็ไม่กว้างมาก เป็นหน่วยย่อยก็คือ 6

 

เป็นสองมิติระดับที่สอง ยังไม่เท่าไหร่ แต่พอมีตัวที่ 7 เรียกว่า สัตตะ ก็เป็นเรื่อง เป็นอะไรที่ใหญ่ขึ้นมา เป็นชีวะของจิตนิยาม ถ้าแค่นี้ มี 6 ก็จะเป็นแค่พีชนิยาม แต่ถ้าเริ่ม 7 ก็เป็นจิตนิยามแล้ว  พอเป็น 8 หรือ9 ก็เป็นสัตว์เต็มขึ้นมา แต่ก็ยังไม่ได้มากมายอะไร จนกว่าจะมีวงวนซ้อนมากขึ้น ก็มีการปรุงแต่งกันซับซ้อนมากขึ้น มีปฏิกิริยาต่อกันมากมายก่ายกอง เป็นนิทานของโลกอันมหาศาล แล้วไปติดในความชอบ/ชัง ติดยึด/ทำลาย ไม่ชอบใจจนต้องห้ำกั่นเข่นฆ่า ผูกพยาบาทเข่นฆ่ากัน มีนิยาย กามกับพยาบาทที่ยาวยืดในโลก ที่ซ้อนกันมาอย่างมหาศาล

 

ผู้ใดสามารถเข้าใจ เป็นอรหันต์จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ครบดี แต่โสดาบันก็จะเริ่มรู้ มีปัญญารู้กิเลสของตนเอง อ้อนี่กิเลสแท้ๆ กำจัดกิเลสตนได้ก็จะรู้กิเลสตัวต่อไป เรียกว่าปริยุฏฐานกิเลส นี่คือปัญญาหรือญาณข้อที่ 1 ของโสดาบัน จะเป็นผู้รู้กิเลสจริงๆ และหลุดพ้นจากกิเลสจริงๆ  จึงรู้ลำดับของเบื้องต้นที่ทำเสร็จไปแล้ว ตัวนี้อาการกิเลสเหมือนกันเรารู้แล้ว เหมือนเราเคยเห็น หมาตัวใหญ่ พอต่อมาเราก็เห็นหมาตัวรองต่อมา เราก็จะรู้ว่าใช่หมาแฮะ

        • แต่ก่อนเราไม่เคยรู้จักหมาว่าเป็นอย่างไร? แต่ตอนนี้เรารู้จักแล้วว่าหมาเป็นเช่นนี้เอง อ๋อ หมาตัวนี้เต็มตัวหมาเลย ครบความเป็นหมาเลย รูปร่างลักษณะ ตัวความเป็นหมาชัดเจน รู้นิสัยใจคอมันด้วย แล้วมาเจอหมาตัวต่อไป จะตัวเล็กกว่าก็ตาม นัยเดียวกันกับความเป็นหมา อาจตัวเล็กกว่ามีอะไรแตกต่างไปบ้าง แต่ดูองค์รวมก็คือใช่เลยหมา ตัวต่อมาแน่นอน นี่หมา หมาในเรานี่แหละ สมมุติกิเลสเป็นหมา ให้มันชัดๆหน่อย เลี้ยงหมากันไว้เยอะ หมาคือกิเลสในตัวเรา เราก็ฆ่ามันได้ ตัวต่อมาคือปริยุฏฐานกิเลสเราก็จะรู้ชัดเจน เพราะเรารู้มันจริงๆ เราจึงจะรู้กิเลสตัวต่อไปเป็นลำดับๆได้ ซึ่งจะมีความต่าง ไม่เหมือนกันทีเดียว

 

แต่ถ้าคุณไม่รู้มาเลยตั้งแต่โอฬาริกอัตตา จะไปรู้ มโนมยอัตตา อรูปอัตตาได้อย่างไร คุณก็ไม่มีเบื้องต้นท่ามกลาง บั้นปลายอะไร การปฏิบัตินั่งสมาธิหลับตาไม่ได้มีกายสักขีที่จะรู้ อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิปัสสติ ไม่มี รูปที่เห็นคือรูปี แล้วคุณก็ต้องเป็นผู้เห็นรูปนั้นคือกิเลส คุณไม่ใช่อรหันต์ก็ต้องมีกิเลส คุณก็ต้องเห็นรูปนี้ เห็นอย่างมีปัสสติ มีการกระทบ มีปฏิฆสัมผัสโส เห็นอย่างมีการกระทบ

 

ของพระพุทธเจ้าต้องปฏิบัติครบสัมผัส 6 ตากระทบรูป มีกิเลสให้เห็น แล้วสัตว์ที่เห็นไม่ใช่มีรูปร่างภายนอก แต่เป็นสัตว์ในจิต เป็นสัตว์นรกดิ้นให้เราเห็น อย่างเห็นแตงโมแล้วอยากกินๆๆๆ อย่างของจริงอย่าเดาว่ากิเลสจะเป็นตัวอย่างนี้ๆ แต่กระทบแล้วเห็นตัวจริงเลย มีกายสักขี เป็นองค์ประกอบของรูป-นาม ต้องเห็นทั้งภายนอกภายใน รูปีรูปานิปัสสัติ แล้วสามารถเห็นเข้าไปถึงภายใน โดยการกำหนดรู้ในสัญญา จากกามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร กำหนดจากนอกถึงในจนถึงอรูป

 

แม้อรูปก็ถูกรู้ด้วยสัญญา ด้วยญาณ รู้ทั้งภายนอกและภายในเลย แล้วก็ต้องเห็นว่าเราสามารถทำได้ จิตเราเจริญโน้มไปหาความหลุดพ้น เห็นมันไม่เที่ยง มันจางคลายได้ แรงมันลดลง จาก 100 เป็น 80 เป็น 50 เป็น 30 ตามเห็นความจางคลายอย่างเห็นหลัดๆ เราปฏิบัติฌาน สมาธิตอนนี้เลย กิเลสมันก็ลดลงเห็นๆ หรือว่า แต่ก่อนกิเลสเรามี 100 หน่วย แต่ตอนนี้แทนที่จะสู้มันได้ มัน 108 มัน 110 มันแรงกว่าเก่าคุณก็รู้ว่าปุถุชนแล้ว โลกีย์เพิ่ม ไม่ใช่แล้ว เราต้องลดมัน จนมันไม่เที่ยง มันจางคลาย จนเห็นตัวมันดับ นี่คือเห็นไตรลักษณ์ เห็นกิเลสจางคลาย ดับ กิเลสไม่มีชีวิตินทรีย์ กิเลสตายเลยได้ ตัวไหนที่คุณกำลังเห็นด้วยตาทิพย์ขณะสัมผัสอยู่หลัดๆ มีญาณทัศนะเห็น เลย พูดไปนี่ระลึกตามได้ไหม? มีไหม?

 

พูดกันนี่ ใครจะหาว่าอวดฯก็แล้วแต่ แต่ว่าเราพูดกันอย่างเป็นวิทยาศาสตร์แล้วที่เขาบอกว่าเป็นอรหันต์ เขาไม่เห็นมาพูดอย่างนี้เลย เป็นเรื่องยากที่เพี้ยนไปไกลแล้ว หมาตัวจริงคุณยังไม่เจอเลย แล้วจะเห็นหมาตัวรองได้อย่างไร? หมาก็คือกิเลสในจิตนั่นเอง

 

เหมือนสอนให้คลำช้าง แต่ละคนก็ว่ากันไปตามที่แต่ละคนสัมผัสคลำได้ บางคนว่าช้างเหมือนฝาผนังบ้าน หรือบางคนว่าเหมือนไม้กวาดเพราะคำหางช้าง คุณไม่รู้ช้างก็เหมือนไม่รู้หมาทั้งตัว แล้วจะไปรู้รูปที่รองลงมาจากช้าง ได้อย่างไร

 

ถ้าโครงสร้างอย่างช้างนี่ ช้างตัวต่อไปอาจหางด้วน หรืองวงสั้นลง ตัวเล็กลง แต่ก็คือช้าง แต่ถ้าคุณไม่รู้จักช้างตัวโตตัวแรก คุณจะไปรู้ช้างตัวที่เล็กกว่าได้อย่างไร นี่คือความเป็นลำดับของการศึกษาในศาสนาพุทธ คำว่าลำดับเป็นที่น่าอัศจรรย์จึงไม่ใช่เรื่องธรรมดา

 

คุณต้องรู้โอฬาริกอัตตาหรือสักกายะให้ได้ จึงยืนยันความเป็นโสดาบัน ที่จะรู้กิเลสตัวต่อไปๆ จนสิ้นเกลี้ยงได้ ญาณข้อที่ 1 นี้จึงสำคัญ ว่าตนได้ลดกิเลสได้ในสักกายะ แล้วจะรู้โครงสร้างในการทำการลดกิเลสตัวต่อไปเป็นปริยุฏฐานกิเลส

 

2.       อริยสาวกเมื่อได้ความระงับเฉพาะตน (ลภามิ ปัจจัตตัง สมถัง ลภามิ ปัจจัตตัง นิพพุตตินติ). ย่อมเสพคุ้น(อาเสวนา)  ทำให้มีผลเจริญ.(ภาวนา) ย่อมทำให้มากในทิฐินี้(พหุลีกัมมัง) มันจะรู้เอง มั่นใจ อย่างอาตมาถามพวกคุณนี่ว่าคุณมีของตนไหน มันจะกล้ารับรองของตน มันผ่านวีติกมกิเลสแล้ว ก็จะมีญาณที่ 2 คือมั่นใจ ก็จะทำซ้ำทำทวน เพราะเราทำได้แล้วนี่ ทำอย่างภาวนาให้เกิดผล ทำซ้ำทำให้มาก พหุลีกัมมัง เมื่อคุณทำให้มากก็ยิ่งเกิดผล ถ้าสัมมาทิฏฐิ กิเลสก็ยิ่งจางคลายลดละดับสนิท มันก็จะยิ่งจริง ยิ่งชัดยิ่งแท้เลย จะได้จริงๆ ว่านี่กิเลสมันไม่มีบทบาท ไม่มีชีวิตินทรีย์

แม้คุณจะไม่รู้ภาษาคำว่า ชีวิตินทรีย์ แต่ก็จะรู้ว่าบทบาท อาการกิเลสที่มันหยุด มันจางคลาย จะรู้สภาวธรรม คุณทำได้จริงก็จะได้สภาวะนั้น แม้ว่า ไม่รู้ภาษาคำว่าชีวิตินทรีย์

 

3.        อริยสาวกเชื่อมั่นในทิฐิเช่นนี้ ไม่ทั่วไปกับสาธารณะปุถุชน หรือไม่อาจหาทิฐิเช่นนี้ได้จากลัทธิอื่นนอกธรรมวินัยนี้เลย  เราจะรู้ในตัวเราเลยว่า ใช่เลย การจัดการกิเลสต้องเช่นนี้ แล้วอาตมายิ่งเอาภาษาจากพระไตรฯ มาให้ฟังอีกก็จะยิ่งรอบรัด ฟังครั้งแล้วครั้งเล่าก็จะยิ่งว่าใช่ๆๆๆ เหมือนคนผู้ชายคบกับสาวที่บอกว่ายิ่งคบกันยิ่งใช่เลย อย่างอาตมาเอามาให้พวกคุณทำนี่จะยิ่งใช่เลย ยิ่งเอาพระไตรฯมาอีกก็ยิ่งใช่เลย จะเชื่อมั่นว่านี่ใช่ ยิ่งคุณเคยปฏิบัติสำนักอื่นมาก่อนเขาว่าใช่ สมมุติว่าปฏิบัติมา 5 สำนัก แต่ถ้าคุณมาเจอสัมมาทิฏฐิตัวที่ใช่ ก็จะบอกเลยว่า ที่ไม่ใช่มันไม่อยากฟังแล้ว มันผิวเผินผิดเพี้ยนจะเป็นในตนเองเลย แล้วอย่าดูถูกดูแคลนเขา เขาก็อยากได้แต่เขายึดในศีลพรต ทิฏฐิของเขา ทำให้เขามารู้ไม่ได้ หรือจริงๆแล้ว ชาวพุทธ นักปฏิบัติเขาจะยึดได้แค่อัตวาทุปาทาน ยึดวาทะเป็นอัตตา ตามอาจารย์เขาบอก หรือว่าพวกที่ยึดหลักมาปฏิบัติแล้วได้มิจฉาผล ก็ยึดทั้งอัตตวาทุปาทานแล้วมีสีลัพพตุปาทาน แล้วมีทิฏฐุปาทาน ตามที่เขายึด ถ้าเขาไม่มีปรโตโฆษะ อันอื่นที่ต่างจากเขา เขาจะมีฟัง เขาน่าสงสารเขาจะผิดตลอดกาล แต่ถ้าเขาถูกแล้วเป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว เขาก็ไม่ต้องฟังคนอื่น เขาถูกเขาต้องโยนิโสมนสิการเป็น

 

แต่อาตมาก็ว่าเขาก็ยังไม่รู้คำว่าโยนิโสมนสิการแท้ เขาแปลเพียงว่าพิจารณาให้ถ่องแท้แยบคาย ส่วนมากเขาจะแปลว่าทำไว้ในใจ ก็คือทำวิมานไว้ ทำความเข้าใจอย่างที่เข้าใจไว้ ซึ่งมันไม่ใช่ โยนิโสมนสิการคือจัดการกับใจเรา เข้าไปรู้ตัวกิเลสอย่างถูกตัวตนมันเลย มีรู้เวทนา 2 แล้วเราทำให้เวทนาเป็นหนึ่งได้ เป็นเอกัคคตา แต่ใน 1 นั้นก็ยังมีสองอยู่ ไม่มีเวทนาอย่างสัตว์ แต่จิตเราก็มีเวทนาโดยส่วนสอง แต่เป็นหนึ่งในอารมณ์ที่ยิ่งใหญ่ ที่หลุดพ้นจากสัตว์ได้ เป็นการเกิดผลใหม่ เป็นภวันติแล้ว อันเก่าดับไป

คุณจะเชื่อมั่น แม้จะมาพบสำนักเดียว แล้วก็อาจศึกษาเปรียบเทียบได้ แล้วก็จะรู้ว่าอันนี้ใช่ ยิ่งศึกษามาหลายสำนักจะชัดเจนเลย คือชัดเจนว่า การปฏิบัตินอกธรรมวินัยนี้ไม่สามารถดับกิเลสเป็นโลกุตระได้

 

4.        อริยสาวกผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิ มีธรรมดาของผู้สำนึกรีบออกจากอาบัติ เปรียบเหมือนกุมารอ่อนนอนหงาย  ที่ถูกถ่านไฟด้วยมือหรือด้วยเท้าเข้าแล้ว ก็ชักหนีเร็วโดยฉับพลัน นี้ญาณที่ 4 เป็นอริยะ เป็นโลกุตระ ไม่เป็นของดาษดื่นทั่วไปกับพวกปุถุชน . ผู้ที่ได้แล้ว ถ้าเปื้อนจะรีบแก้กลับ คุณคือเราได้สิ่งประเสริฐแล้ว มันมีญาณปัญญา แต่ก่อนคุณโง่ ไปคว้าได้แต่กรวดแต่ทราย แต่ตอนนี้คุณได้เพชรจริงๆ แล้ว ใครจะเอาอะไรมาสับเปลี่ยนมาแลกไม่ได้เลย ไม่ยอม ฉันเดียวกันได้แล้วก็จะเอาไว้ หรือว่ามันจะลดค่าก็จะรีบแก้กลับ เพราะนี่ต้องให้สะอาด เพชรที่ได้

ถ้าถึงนิยตะ จะมีคุณสมบัติเช่นนี้ เพราะจะรู้ค่าสิ่งที่ได้ มีสัมโพธิปรายนะ ต่อไป

5. อริยสาวกถึงความขวนขวายในกิจใหญ่น้อยที่ควรทำ . ของเพื่อนสพรหมจารีโดยแท้อย่างไร   ถึงอย่างนั้นความเพ่งเล็งกล้าในอธิศีลสิกขา  อธิจิตสิกขา  และอธิปัญญาสิกขาของอาริยสาวกนั้นก็มีอยู่  เปรียบเหมือน แม่โคลูกอ่อนย่อมเล็มหญ้ากินด้วย  ชำเลืองดูลูกด้วย  ฉันนั้น ฯลฯ

สำคัญมากคือโสดาบันไม่ใช่คนอยู่แต่กับตน ไม่ขวนขวายไม่เอาภาระ แต่จะได้ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน จะขวนขวายในกิจน้อยใหญ่ของเพื่อนสหพรหมจรรย์ เขาบอกต้องการแรงงานตอนไหนก็ไปเลย เดี๋ยวต้องกรอกข้าว เดี๋ยวต้องไปกรอกปุ๋ย เดี๋ยวไปช่วยทำกสิกรรม ไม่ใช่คนเกียจคร้าน ไม่เอาภาระ ข้อนี้ไขความเลย ในพวกนั่งหลับตา เขาอยากนั่งอย่างเดียว ไม่อยากรู้เลยไม่เอาเลยใครจะว่าอย่างไร มันจะนั่งสมาธิอย่างเดียว มันเป็นของน่าได้น่ามีน่าเป็น มันสมาธิถึงขีดมันสุขสงบ อย่างไม่มีอะไรเท่าเลย ไม่อยากได้อะไรเลย อาตมาเคยได้ยินได้ฟังพระที่เคยพูด เขาหลงอันนี้ ที่ผิดเลย มันไม่ใช่

 

กิเลสเรามันลดล้างไป มันไม่ได้ทำลายกิริยาที่รู้คุณโทษ ประโยชน์ต่อมนุษยชาติ แม้แต่เดรัจฉานก็ยังรู้ประโยชน์เลย แต่นี่เอาแต่อยู่กับตัวเอง มันไม่ใช่เลย เพราะยิ่งลดความเห็นแก่ตัวก็ต้องยิ่งเห็นแก่คนอื่นเห็นแก่ส่วนรวม เพราะไปอยู่แต่กับตัวเองแท้จริงคือได้บำเรออัตตาตัวเอง

 

ถ้ายังขี้เกียจก็คือไม่อยากทำ ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์คุณค่า นี่คือนัยที่ลึกซึ้งละเอียด สรุปแล้วธรรมะของพระพุทธเจ้า ถ้าปฏิบัติถูกต้องตามธรรมจะยิ่งทำงานกับหมู่ ขวนขวายทำกิจน้อยใหญ่ในสังคมเรา ตรงกันข้ามกับแบบที่ปฏิบัติผิดทาง ไปอยู่แต่ผู้เดียวไม่คลุกคลีเกี่ยวข้อง มันทำให้ชัดเลยว่าศาสนาที่ไม่ชัดเจนจะไปเช่นนี้เลย

 

6. มีพลังทำประโยชน์  ทำไว้ในใจ  กำหนดด้วยจิตทั้งปวง  เงี่ยโสตฟังธรรมวินัยของตถาคต  อันบัณฑิตแสดงอยู่ .รู้จักผลที่ชัด จะยิ่งอยากฟัง ในสิ่งที่ใช่ๆๆ อันบัณฑิตแสดงอยู่ คุณเองแต่ละคนย้ำยืนยันก็จะบอกว่าใช่ๆๆๆ ยิ่งอาตมารู้หลายเหลี่ยมก็จะยิ่งใช่ๆๆ เข้าไปอ่านพระไตรปิฎกก็ยิ่งใช่เลย แต่ก่อนไม่รู้เรื่อง แต่ตอนนี้มีภูมิโสดาบันก็จะรู้ว่าใช่ๆๆ

 

7. ได้ความรู้อัตถะ-รู้ธรรม ปราโมทย์  รู้จริงครบถ้วนธรรม    (เป็นทิฐิที่นำออกซึ่งบุคคลผู้ทำตาม ให้ไกลจากข้าศึก (กิเลส) เป็นนิยายิกธรรม  เป็นญาณมีองค์ 7 เพื่อตรวจสอบดีแล้วแก่ผู้แจ้งในผลโสดาบัน  (โกสัมพีสูตร ล.12  ข. 543 – 550) 

 

นี่คือญาณ 7 ของพระโสดาบัน ที่จะไม่มีคำที่เป็นสั้นๆเลย แต่ต้องอธิบายไปหากไม่มีสภาวะก็จะอธิบายไม่ได้สอดคล้อง ไม่ได้เนื้อหาเลย

ทิฏฐิที่เป็นนิยยานิกธรรม

            พระไตรฯล.12 ข้อ [543] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทิฏฐิอันไกลจากกิเลสเป็นข้าศึก เป็นนิยยานิกธรรม นำออกซึ่งบุคคลผู้ทำตามนั้น เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ เป็นไฉน? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนต้นก็ดี ไปสู่เรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เรามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสใดกลุ้มรุมแล้ว ไม่พึงรู้เห็นตามความเป็นจริง ปริยุฏฐานกิเลสในภายในนั้นที่เรายังละไม่ได้ มีอยู่หรือหนอ? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุมีจิตอันกามราคะกลุ้มรุมก็ชื่อว่ามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุมแล้วเทียว มีจิตอันพยาบาทกลุ้มรุม ก็ชื่อว่ามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุมแล้วเทียว มีจิตอันถีนมิทธะกลุ้มรุม ก็ชื่อว่ามีจิตอันปริยุฏฐาน

กิเลสกลุ้มรุมแล้วเทียว มีจิตอันอุททัจจกุกกุจจะกลุ้มรุม ก็ชื่อว่ามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุม

แล้วเทียวมีจิตอันวิจิกิจฉากลุ้มรุม ก็ชื่อว่ามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุมแล้วเทียว เป็น

ผู้ขวนขวายในการคิดเรื่องโลกนี้ ก็ชื่อว่ามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุมแล้วเทียว เป็นผู้ขวน

ขวายในการคิดเรื่องโลกหน้า ก็ชื่อว่ามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุมแล้วเทียว และเกิด

ขัดใจ ทะเลาะ วิวาท ทิ่มแทงกันและกันด้วยหอกคือปากอยู่ ก็ชื่อว่ามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลส

กลุ้มรุมแล้วเทียว ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า เรามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสใดกลุ้มรุมแล้ว ไม่

พึงรู้เห็นตามความเป็นจริง ปริยุฏฐานกิเลสในภายในนั้นที่เรายังละไม่ได้แล้ว มิได้มีเลย จิตเรา

ตั้งไว้ดีแล้ว เพื่อตรัสรู้สัจจะทั้งหลาย. นี้ญาณที่ 1 เป็นอริยะ เป็นโลกุตระไม่ทั่วไปกับพวก

ปุถุชน อันภิกษุนั้นบรรลุแล้ว.

พ่อครูว่า..คนที่รู้ช้างตัวที่ 1 มา ก็จะรู้ช้างตัวที่ 2 คนไม่ได้ปฏิบัติตามลำดับจะไม่รู้ ไม่มีญาณข้อที่ 1 ไม่ใช่เข้าใจง่ายๆ คนแปลพระไตรฯอาตมาเห็นใจมากเลย เพราะไม่มีสภาวะ แม้ญาณข้อที่ 1

ซึ่งในญาณ 7 ข้อนี้ สรุปยาก ไม่ใช่ง่าย อาตมาถึงเห็นใจคนแปล จากต้นฉบับบาลี ท่านแปลมาให้ก็ขอบคุณแล้ว อาตมายังไม่ได้ดูชัดๆเทียบบาลีเลย ก็น่าจะทำซักที

 

วันนี้มีนักเรียนตัวจ้อย (นร.ม1) ใหม่ซิงๆ freshy มานั่งเรียนด้วย ก็มาเรียนที่นี่เรียนฟรี ดูแลเหมือนลูกหลานไม่ต้องเอาเงินมาให้เลยด้วย จบไปจะใช้เงินเป็นอย่างดี ไม่ต้องกลัว แต่พ่อแม่สงสารลูกก็เลยหาวิธีเอาเงินมาให้ ก็กรุณาอย่าทำเลย อย่าให้เราหนักใจ เพราะเด็กก็มีกิเลสอยู่แล้ว

 

การศึกษาเราตั้งแต่เด็กถึงผู้ใหญ่ก็จะสอนให้ละหน่ายคลายกิเลส ไม่ได้สอนให้ไปจัดจ้านในโลกธรรม ที่ตอนนี้มาก จัด จนพูดกันไม่รู้เรื่องเลย อาตมาก็นำพาพวกเราปฏิบัติลดละออกมาจากโลกีย์ มาได้ 40 กว่าปีก็ถึงเวลาได้เปิดเผยไปอย่างไม่เกรงใจ เปิดเผยไปอย่างไม่มีสาเฐยจิตนะ ไม่ได้อยากอวดอะไร แต่ถึงเวลากาละก็ควรบอก พระพุทธเจ้าเผยแผ่ศาสนา 45 ปีก็จบ แต่อาตมาทำมา 45 ปีก็ค่อยได้ประกาศ ประกาศอรหันต์ไปก็ประกาศตอนงานพุทธาภิเษกฯ

 

อาตมาไม่ได้ประกาศมั่ว แล้วไม่ได้เพิ่งรู้ว่าอาตมาเป็นอรหันต์ มีคนมาถามก็มีหลักฐานบอก ลองไปถามท่านที่เคยถามอาตมาสิ มี อ.แสง จันทร์งาม เคยมาถามอาตมา ก็ไปถามท่านได้

 

อาตมาประกาศโพธิสัตว์ เป็นสัตว์ที่มีโพธิ ไม่ใช่สัตว์ใต้ต้นโพธิ์ อย่างพระพุทธเจ้าท่านบรรลุแล้วก็มาถ่ายทอด มาตรัสมาพูด ก็เป็นความตรัสรู้ คือพูดสิ่งที่ท่านรู้ แบบที่ท่านรู้ เป็นสัมมาสัมพุทโธ ศาสนาไหนก็ไม่มีแบบพุทธ ท่านตรัสรู้โดยชอบของท่าน พระพุทธเจ้าได้เหมือนกันหมด  แต่อาตมาเป็นสัมมาสัมพุทธสาวก เป็นแค่สยังอภิญญา ไม่ใช่สยัมภู

 

ทุกวันนี้อาตมาเห็นพฤติกรรมของสังคมโหดร้าย ตอนนี้มีปฏิกิริยาสังคมกับพวก CP ข่าวตอนนี้ มีการต่อต้าน เพราะแกจะเอาหมดเลย มีวิธีการซับซ้อนมาก จนแม้เจ้าของกิจการที่มีชื่ออื่นแต่ก็หาเงินให้ CP ขออภัยพูดเป็นวิชาการนะ ไม่ได้โกรธเกลียดเขานะ แต่พูดนี่เพราะเหตุเกิดมี ไม่ได้ใส่ความ ไม่ได้ได้ทีขี่แพะไล่ แต่อธิบายเป็นวิชาการให้เห็นสัจจะ คุณทำแบบนี้ก็รวยสิ แต่มันบาป คนฉลาดแบบได้เปรียบมีในโลก ไม่พอไม่หยุด มีมากก็ไม่เผื่อแผ่ แต่มันมองยากนะ เหมือนให้คนอื่นได้กิจการส่วนตัว แต่มีเงื่อนไขซับซ้อนให้คุณได้กินตลอด มีนัยเยอะแยะ แต่ตอนนี้ไปแย่งชิงโชว์ห่วย มันมากเกินไปก็เลยมีการต่อต้านก็ดูไป

           

ยุคนี้คนกิเลสแรงจัด หนามาก เขาไม่รู้ตัวด้วย เขาว่าเขาเจตนาดี ว่าทำเพื่อคนอื่น เขาเพ่งตรงนั้นแต่ส่วนอื่นที่เป็นความได้เปรียบของเขามีเยอะ เขาไม่มอง เขาถือว่าเป็นความชอบธรรม คนที่เสียสละนี้อย่างพวกเรามาขายขาดทุน เสียสละก็คือความชอบธรรม แต่คุณว่าความเอาเปรียบนี้เป็นความชอบธรรม ถามหน่อย คนที่เอาเปรียบแล้วว่าเป็นความชอบธรรม ไม่ผิดกฎหมาย เขาจำนนต้องให้ด้วย แต่ของเรานี่ เอาจากคนอื่นน้อยลง ให้เขามากขึ้น เราก็ว่าเราให้โดยชอบธรรมเหมือนกัน แล้วสองนัยนี้อย่างไหนควรกว่ากัน

 

แล้วนัยไหนที่คนสามัญว่าน่าจะให้ทำกว่ากัน คือนัยขาดทุน หรือนัยยะที่กำไร คุณก็ว่าได้กำไรโดยชอบธรรม ตามสมมุติกันมา แต่เราก็ขายถูกต่ำกว่าอย่างเห็นๆ แล้วเราก็ว่าเราทำโดยชอบธรรม เราก็ว่าเราเสียสละเราเจริญ แล้วความเจริญแบบคนเสียสละกับคนเอาเปรียบอันไหนเจริญ ....ก็คนเสียสละสิ ดีกว่า ฉลาดกว่า ถ้าอย่างนี้ฉลาดแล้ว แต่ทำไมเขานิยมความโง่ ทำไมเขานิยมความเลว ก็เพราะเขาโง่ซ้อนโง่นะ

 

แวบหนึ่งอาตมารู้สึกเหมือนออเซาะตนเอง ว่าเมื่อไหร่คนจะมากรูเกรียวเอาอันนี้นะ รู้สึกแวบมาก็ไม่ดีแล้วก็เลยไม่เอาแบบนั้น รู้สึกแบบนี้มันเหมือนเห็นใจตนเอง ว่าเมื่อไหร่หนอเขาจะเข้าใจกัน แต่คิดแบบนี้ไม่ได้ ก็ต้องว่าที่ตนไม่ได้ทำให้คนอื่นเขาเห็นได้ พยายามหงายของที่คว่ำ ก็ยังดีมีคนเห็น ไม่หงายก็เห็น แต่คนที่เขาบอกว่า อาตมาทำของไม่หงาย ไม่จุดไฟเสียทีก็มี อาตมาก็ว่าจุดจังเลยแต่ทำไมไม่สว่างเสียที ทำดียังไม่ได้ดีก็เพราะทำดียังไม่มากพอ เป็นหลักที่อาตมาถือและทำไป มั่นใจว่าดีนี้ถูกต้อง ไม่ผิดเพี้ยน ถ้าไม่ผิดก็คือทำไม่มากพอ จึงมีหลักที่ว่า ต้องทำดีจนทำให้คนตาบอดเห็นได้ นั่นคือสำนวนอาตมานะ

 

อาตมาจะทำคนตาบอดเห็นได้ จะต้องเป็นนายแพทย์ที่รับรางวัล Noble prize เพราะมีวิธีการรักษาคนตาบอดให้เห็นได้ ทุกวันนี้สบายใจตรงที่ได้ทำงานประเสริฐ ส่วนงานที่ต้องไปแย่งโลกธรรม แย่งกาม แย่งอัตตาหรือสร้างพยาบาท เป็นหนี้กุศล อกุศล กันเท่าไหร่ อาตมาพอแล้ว ไอ้ที่ทำมาก่อนรู้นั้น เป็นวิบากก็มีอยู่ อย่างน้อยก็เล่นงานอาตมา หมอไม่รู้กี่คนก็ช่วยให้อาตมาหายไอไม่ได้เลย ลองมาเท่าไหร่ไม่รู้ จนไม่ต้องลองแล้ว อาตมาถือว่าเป็นโรควิบากมากกว่า

 

ในพฤติกรรมชีวิตได้มีทำงานบทบาทสังคมทุกวันนี้ ยิ่งเห็นว่า อาตมานี่เชื่อพระพุทธเจ้าศึกษาตามพระพุทธเจ้าทำคุณอันสมควรก่อนแล้วพร่ำสอนคนอื่น อาตมาว่าได้สิ่งประเสริฐแล้ว จะกี่ชาติก็จะทำเช่นนี้ แต่ก็จะมีมาร อาตมาชาตินี้ไม่ชอบการสอน ไม่ชอบเป็นครู ตอนเด็กไปเป็นกรรมกร เป็นกุลี ทั้งที่บ้านแม่เป็นร้านใหญ่มีชื่อ ร่ำรวยฐานะดี อาตมาเป็นกรรมกร จนเกือบถูกจับ เพราะเขาเข้าใจผิดว่าลักชะลอมเขา ตำรวจมาตามถึงที่บ้าน ตอนกลับมาก็เห็นตำรวจคนนี้เขาตกข้างทางเล็กน้อยพอดี อาตมาก็มาบ้านก่อน ซึ่งตำรวจเขาบอกเสร็จเลยว่า เป็นอาตมาใส่เสื้อสีนั้นสีนี้เลย แม่มาบอกอาตมาที่อยู่ข้างบน ก็เลยคว้าเสื้อสีอื่นมาให้ใส่ แม่เขาใช้ ปฏิภาณ เขาก็ไม่รู้ว่าขโมยหรือไม่ ก็เลยรีบตัดปัญหา ใส่เสื้อสีอื่นไปก่อน ซึ่งตำรวจก็คงตกใจที่ว่าร้านใหญ่ขนาดนี้ลูกจะเป็นกุลีได้อย่างไร? แม่บอกตำรวจว่า ไม่เคยสอนให้ลูกขโมย ให้ทำสุจริต ตำรวจก็เลยขอโทษแล้วก็กลับไป แม่มีปฏิภาณ และองค์ประกอบร้านก็ทำให้ตำรวจเขาเชื่อ จากนั้นตำรวจกลับไปแม่ก็มาซักถามว่าขโมยหรือไม่? อาตมาก็ว่าเข้าใจผิดกันแค่นั้น อาตมาเกือบถูกตำรวจจับ

 

อาตมาพึ่งตนเองมาตั้งแต่เด็กเล็กๆ แม้มาอยู่พิบูลฯ หลบลูกระเบิด เอาไว้เล่าต่อวันหลัง....จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:51:12 )

580508

รายละเอียด

580508_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ ฌานพุทธได้โดยไม่ยากไม่ลำบากอย่างไร[

พ่อครูว่า... วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม 2558 วันแรม 6 ค่ำเดือน 6 ปีมะแม....วันคืนก็ล่วงๆไปๆ แต่ละวินาทีนี่แหละ ผู้ที่เป็นคนควรตระหนัก พระพุทธเจ้ากล่าวในอภิณหปัจเวกขณ์ ว่า เวลากำลังล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่? เป็นคำถามที่ผู้มีปฏิภาณอย่างดีจะเห็นว่า เวลาที่กำลังผ่านไปๆ กับ เรากำลังทำอะไรนี่แหละ เป็นคำถามที่แทงหัวจิตหัวใจ สำหรับผู้มีจิตสำนึกปฏิภาณ

 

เวลานี่ห้ามไม่ได้ การเคลื่อนตัวของทุกอย่างในเอกภพ มีการเคลื่อนตัวก็เกิดเวลา ถ้าไม่มีการเคลื่อนก็ไม่เกิดเวลา แต่ที่จริงในเอกภพนี้ไม่มีอะไรไม่เป็นเวลา ในเอกภพ มหาเอกภพ universe รวมทุกสรรพสิ่งเข้าเป็นหนึ่งเดียว ทุกอย่างมีภาวะของการเคลื่อนที่ทั้งหมด ในเนื้อที่ๆว่างก็มีสรรพสิ่งซ้อนในเอกภพ องค์แห่งหนึ่งเดียว หนึ่งของต้นตอทุกอย่างก็มีแค่นี้แหละ universe มันไม่มีสอง ถ้าแยกเป็นสองก็จะมีอีกอันหนึ่งขึ้นมาเป็นคู่เทียบ คู่เปรียบ และยิ่งมันเคลื่อนขึ้นมามันก็มีแง่มีเชิงขึ้นมาเป็นเรื่องขึ้นมาอีกเลย จนกระทั่งในองค์ประกอบของทุกอย่างที่เป็นสรรพส่ิงต่างๆตั้งแต่ดินน้ำไฟลม จนเกิดอวกาศ และช่องว่าง ที่ว่าว่างก็มีอะไรในนั้น จะเป็นแสง เราไม่รู้ที่ต้น และที่จะดับ แต่มีผู้ว่าตั้งต้นคือพระเจ้า ส่วนพระพุทธเจ้าว่าที่ต้นท่านไม่รู้ ท่านยอมรับความจริง แต่ศาสนาอื่นว่าพระเจ้าคือตัวต้น ที่สร้างทุกสรรพสิ่ง มีส่ิงมีชีวิตก็ว่าไป

 

ชีวิตก็อยู่กับกรรมและกาละไปเรื่อยๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เมื่อเป็นชีวะระดับจิตวิญญาณ แล้วเรียกว่าจิตนิยาม จะมีความยึดมั่นถือมั่น มีความรักความชัง แล้วก็มีสุขมีทุกข์ขึ้นมาก็เลยเป็นเรื่องเยอะแยะ พระพุทธเจ้าก็มาเอาอันนี้เป็นตัวให้เรียนรู้ จนสามารถให้เป็นชีวะเป็นจิตนิยามที่สูงกว่าพีชนิยาม ถ้าเป็นธาตุรู้ก็สูงว่าพีชนิยาม มีองค์ประกอบ ของ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ส่วนพีชะไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ

 

ตัวแปรที่สำคัญที่สุดคือตัวจิตวิญญาณ เป็นตัวแปรที่มันเลวร้ายขึ้นไปทุกทีๆ เวลามันสั่งสม อวิชชาก็เกิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นธาตุรู้ที่ไม่ฉลาดพอ พระพุทธเจ้าก็พยายามศึกษาค้นคว้า ส่วนทางวิทยาศาสตร์ก็พยายามศึกษา เขาศึกษาได้แค่พลังงาน และสสาร แล้วซอยละเอียดในความเป็นพลังงานต่างๆ จนถึงพลังงานระดับชีวะ ก็ได้ระดับหนึ่ง

 

แต่ไม่รู้ซึ้งถึงเวทนา ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านบอกไว้ถึง เวทนา 108 แยกจากเวทนา 2 เวทนา 3 เวทนา 5 เวทนา 6 เวทนา 18 เวทนา 36 เวทนา 108 สุดท้ายเอาเวลา อดีต ปัจจุบัน อนาคต มาเป็นตัวสรุปท้ายอีก ในพระไตรฯก็ไม่ได้ขยายความ แต่บอกลักษณะเอาไว้ เป็นหัวข้อแน่นๆ แต่อาตมาสัมผัสแล้วเข้าใจ โดยภูมิเดิม ก็บอกตรง ไม่ได้อยากอวด แต่บอกความจริงตามความเป็นจริง ผิดถูกก็อาตมารับผิดชอบ อาตมาก็เอามาให้พวกเราได้เรียนรู้ปฏิบัติ อย่างมโนปวิจาร 18 แล้วแยกเนกขัมมะกับเคหสิตะได้

 

อ่านเวทนาแล้วดับเหตุของสุขทุกข์ได้ ลดความรู้สึก สุข/ทุกข์หรือชอบ/ไม่ชอบ อาการเหล่านั้นเรามีญาณปัญญาอ่านของเราจริงๆ แล้วมันลดลง จางคลายลง ถ้าอาการที่ผูกยึด อยากได้อยากมีอยากเป็น แรงหรือเบา เวทนา 5 ที่ท่านเรียกว่าอินทรีย์

มีสุขินทรีย์ ทุกขินทรีย์ จนมาภายในเป็น โสมนัสขินทรีย์ โทมนัสขินทรีย์ อุเบกขินทรีย์ได้ เราจับตัวมันได้ว่า จิตจริงๆนี่แหละเป็นตัวการต้นทางจริง มันอวิชชาจะต้องเอามาเป็นตัวเป็นตน หรือมันยึดว่าอย่างนี้อย่ามาเป็นตัวเป็นตน อย่ามาใกล้ข้า อย่ามาอยู่ด้วยกัน

 

ลักษณะเอามาเป็นตัวเป็นตนนี่แหละเรียกว่า กาม ลักษณะที่อย่ามาใกล้ อย่ามาอยู่ด้วยกันเรียกว่า พยาบาท มีลักษณะสองอย่างของจิต เพราะอะไร? เป็นต้น

 

แล้วลักษณะของจิตนี่เรียนเข้าไปอีก ว่ากิเลสพวกนี้ท่านก็แยกไว้อีกสองนัย  ลักษณะหนึ่งจิตจับตัวเป็นก้อน ไม่โล่งโปรง เรียกว่า สังขิตตัง หรืออีกลักษณะเรียกว่า ถีนังมิทธัง ส่วนอีกลักษณะกระจายฟุ้ง จับไม่ติด เป็น วิกขิตตจิต หรือเรียกว่า อุทธัจจะกุกกุจจะ

 

เรียกสภาวะนิวรณ์ 5 นี้ ก็ต้องอ่านของจริงให้พ้นวิจิกิจฉา ให้รู้ว่าอย่างนี้ลักษณะกามอย่างหนึ่ง เป็นพยาบาทอย่างหนึ่งผูกมัดไว้เป็นเราเป็นของเราเรียกว่า กาม ส่วนพยาบาท ดูเหมือนว่าไม่เอาเป็นเราเป็นของเราแต่ก็เราเองมีจุดมุ่งหมายในจิตเลยว่า ลักษณะนี้ไม่เอา ลักษณะผลัก หนี ดีไม่ดีทำร้ายเลย มันแรงแต่ถ้าเป็นระดับพีชนิยามมันไม่เอาเหมือนกัน แต่มันก็ผ่านไปเฉย แม้จะอยู่ชิดใกล้อย่างไรมันก็ไม่ทำปฏิกิริยา แต่มันไม่เอาไปสังเคราะห์ในองค์ประกอบของมันเลย สำหรับพีชะ มันไม่เอาปรุงแต่งเป็นตัวมัน มันจะมี ดีไม่ดีมันหุ้มไว้ในต้นไม้เลยก็มี

 

แม้ลักษณะเกาะกุม ถีนมิทธ หรือหดตัว จับตัว เกาะกุม กับลักษณะกระจายออกไป จนกระทั่งตนเองก็คว้าไม่ติด เป็นอุทธัจจะกุกกุจจะ

 

คนปฏิบัติธรรมได้บ้างแล้ว ได้ส่วนหนึ่ง แต่เป็นภาวะของลักษณะเกาะกุม คือสังขิตตังจิตตัง ส่วนอีกลักษณะหนึ่งเป็น วิกขิตตังจิตตัง คือกระจายฟุ้งจับไม่ติด แต่ก็เป็นลักษณะของผู้ปฏิบัติธรรม มีเจโตปริยญาณ นี่คือลักษณะพลังงานจิตที่เราไม่รู้ก็เลยปล่อยให้มันทำงานอยู่ตลอดเวลา อย่าว่าแต่สงสัยเลยไม่รู้เรื่อง ก็ต้องมาเรียนให้พ้นสงสัย วิจิกิจฉา แล้วจัดการลดมันไปตามลำดับ

 

พวกเรามีพื้นฐาน ที่อาตมาได้แนะนำ ให้ปฏิบัติ ก็พอจะเข้าใจได้ สรุปว่า นิวรณ์ 5 นั้นหยาบ กลาง ละเอียด ก็มีลักษณะเช่นนี้แหละ รวมแล้วเป็น เอา หรือไม่เอา / อิฏฐารมย์ก็เอา อนิฏฐารมย์ไม่เอา

 

เอาแล้วก็ชอบใจชื่นใจ มีรส โลกียรส ที่ยึดถือเอง สร้างอารมณ์มาเอง มันไม่มีจริงหรอกในอารมณ์โลกีย์ที่สุข ชอบ ชื่นใจ พอใจ อะไรก็แล้วแต่ไม่มีหรอก มันเป็นการสร้างสมมุตินั้นขึ้นมาเอง สร้างมาจนกระทั่ง ต่างคนต่างก็ยึดว่าต้องมีก็เลยยึด สมมุติว่าจริงจังขึ้นมากเท่านั้น เรียกว่ารู้ร่วมกันแล้วก็จริงจังร่วมกัน รู้ว่าอาการนี้ชอบหรือไม่ชอบ ก็แพร่กันไปทั่วโลก อย่างคนไทยนี่เอาแกงเขียวหวานไปแพร่ให้ฝรั่ง ตอนแรกเขากินก็จะร้อนเผ็ดกินไม่ได้ เดี๋ยวนี้ฝรั่งติดเลย ต้มยำกุ้ง ใส่พริกแดงๆ ใส่ข่าตะไคร้ ก็หลอกกันไป แต่ถ้าไม่ไปครอบงำไปสร้างความคิดเหล่านี้มันก็ไม่เกิด แต่พอสร้างให้เกิดมันก็เกิด เป็นความจริงที่ร่วมกันเป็นโลกของกามาวจร เมื่อจำเข้าไปแล้วก็ไปยึดฝันว่าจริง เกิดรสข้างในก็เป็นรูปาวจร

 

ทีนี้รูปาวจร เป็นอัตตาที่จำได้แล้วก็ปรุงมาอีกที ทั้งที่ไม่มีวัตถุข้างนอกเลย ไม่มีมหาภูตรูปเลย มันสร้างเองในจิตเรียกว่ามโนมยอัตตา คือรูปที่สำเร็จด้วยจิต ถ้าจำได้แล้วสร้างมาก็คือตนเองไม่ได้เนรมิต ก็อยู่ในนิมมานรดี ไม่ใช่ตนเองเป็นคนเนรมิต เมื่อเรานึกขึ้นได้จำได้ เนรมิตมาเป็นรสก็เป็นสวรรค์นิมมานรดี ทีนี้ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่ว่า มันเคยมีเคยจำได้คนอื่นล่วงรู้ แต่คุณเองเป็นจอมเนรมิตเอง ปรุงแต่งเองเป็นสวรรค์นรกใหม่เลย เป็นปรนิมมิตวสวัตตี สร้างมาให้คนอื่นติด สร้างให้มีอำนาจ (ปรินิมมิต) วสวัตตีคือให้เกิดเป็นอำนาจในมนุษย์ มอมเมาโลกไป ทางโลกที่เขาปั้นสร้างกันแต่ก็เป็นโลกของกามภูมิ ที่เขาเรียกว่านักสร้างสรร Creative มันก็มีของใหม่มอมเมาโลกไปเรื่อยๆ คนก็เห็นว่าดี แปลกใหม่ ยึดติดมากขึ้น เป็นอปรโคยาน เป็นอื่นไปเรื่อยๆ หลงเป็นดาวดึงส์สวรรค์วิมาน รับรู้ว่าจริงร่วมกันมาก็คือสวรรค์ลวงทั้งนั้น

 

อย่างสายธรรมกาย สร้างสวรรค์เนรมิต คือจอมปรินิมมิตตวสวัตตี ให้คนติดเพ้อไป สร้างไปไม่รู้จบ สร้างอุปาทานไปเรื่อยๆ พวกนี้ยากที่จะถอยหลังมาพอ เลิกหยุดจบ เขาหลงในทิศทางมี ไม่มาเรียนรู้ทิศทางไม่มี สุดท้ายคำว่า นโหติ ที่พระพุทธเจ้าตรัสในพระไตรฯ ล.16 ข.43 เขาจะไม่ถึงขั้น นโหติ ที่ถึงมรรคผล

 

“พระพุทธเจ้าข้า  ที่เรียกว่า  สัมมาทิฐิ  สัมมาทิฐิ  ดังนี้   ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ จึงจะชื่อว่าสัมมาทิฐิ” ฯ

[43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า “ดูกรกัจจานะ  โลกนี้โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง  คือ  ความมี1   ความไม่มี1   

ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก (โลกสมุทยัง) ด้วย-ปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก  ย่อมไม่มี (โลกเน

เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก (โลกนิโรธ) ด้วย- . ปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว  ความมีในโลก  ย่อมไม่มี” (โลเกอัตถิตา  น  โหติ)

 

ภาวะบางครั้งคุณไม่ทุกข์/สุข อยู่เฉยๆได้พักยกชั่วคราว แต่ไม่ได้มีปัญญารู้ความเป็นจริงว่ามันดับอย่างสามารถไหม มันดับสนิทไหม เป็นนิโรธถาวรไหม พอเริ่มทำแล้ว คุณก็สามารถทำได้ พอทำได้อย่างชำนาญ สามารถสูงขึ้นก็ยิ่งได้เร็ว ได้ง่าย ได้สะดวกจนเป็นได้คล่องจนเป็นเองเป็นถาวร เป็นจริง เป็นนิโรธ เป็นฌาน เป็นวิมุติสมบูรณ์แบบ จนจิตไม่มีกิเลสอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

ทำได้ก็สบาย จะเรียกว่าฌาน สมาธิ จะเรียกว่าจิตบริสุทธิ์ เป็นนิโรธก็ได้ เป็นอย่างอัตโนมัติไม่ต้องทำก็ได้ ทำก็ได้ จะอนุโลมกับคนอื่น มีสัจจานุโลมมิกญาณ กับคนอื่นปรุงแต่งกับเขาไป แต่ไม่ติดปรุงแต่งกับเขา ปรุงสักแต่ว่าอาศัย ทำเพื่อคนอื่นไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเลย อนุโลมไปตนไม่ได้เสพติด ไม่มีโลกียะเลย คนที่จะสังขารปรุงแต่ง ก็เท่าๆกับคล้ายๆกับว่าอยู่ในฌาน 4 เฉยๆกลางๆไม่ปรุงเลย พอฌาน 3 ก็มีสุข มีอาการจิตที่เรียกว่าสุข ก็เป็นอารมณ์พอใจ สบายๆ ก็ยังไม่แรงมาก คุณก็อนุโลมกับเขาได้แล้วก็จะอนุโลมเป็นฌาน 3 ก็ง่าย ไม่ยากไม่ลำบาก สำหรับผู้ปฏิบัติฌานแบบพระพุทธเจ้า จะอนุโลมไปฌาน 2 มีปีติ จะดีใจสนุกสนานไปกับเขามากขึ้นได้ มีเอิ๊กอ๊ากมากขึ้นก็ทำได้ง่าย ตนเองก็ไม่ติด จะปรุงแต่งไปกับเขาก็ง่ายไม่ลำบาก ทำแล้วจะเลิกก็ง่าย หรือจะร่วมปรุงร่วมคิดร่วมสร้างกับเขา มีวิตกวิจาร เป็นฌาน 1 เลยก็ได้ ก็ทำได้ โดยง่าย โดยไม่ลำบากไม่ยาก นี่คือลักษณะที่พระพุทธเจ้าว่าฌานของท่านได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่งฌานทั้ง 4 มีอกิจฉลาภี กับอกสิรลาภี แปลว่าไม่ยากไม่ลำบากเหมือนกัน ภาษาไทยไม่ได้ต่างกันมากนะสองคำนี้

 

ในสำนวนที่ท่านตรัสในพระไตรปิฎกมีเยอะ ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่งฌานทั้ง 4 ก็เคยอ่านกันมา ส่วนฌานนั่งหลับตาไม่ได้ง่ายอย่างนี้หรอก นี่่คือความหมายที่อาตมาเจตนาไขให้ฟัง ถ้าไม่ใช่ฌานพุทธนั้นจะยาก จะเข้าจะออกฌานก็ต้องใช้เวลาคลาย ดีไม่ดีลืมตาทำไม่ได้เลย หลับตาก็พอทำได้แต่ก็ต้องเข้าต้องออกนี่คือได้โดยยากได้โดยลำบากซึ่งฌานทั้ง 4 เขาปฏิบัติกันไปคนละอย่างกัน ฌาน นิโรธ สมาธิ ก็ได้แต่ได้อย่างมิจฉาผล นั่งหลับตาอาตมาก็ทำเป็น อธิบายสู่ฟังแล้ว แต่ฌานแบบลืมตา อาตมาก็มาอธิบายสู่ฟังได้ มันเดาไม่ได้ อตักกาวจรา ขอยืนยันว่าเดาไม่ได้ ใช้เหตุใช้ผลเดาสภาพไม่ได้ คัมภีรา ทุททัสสา ทุรนุโพธา สันตา ปณีตา อตักกาวจรา นิปุณา บัณฑิตเวทนียา

 

ฌานแบบพุทธทำไปเราต้องรู้ว่าเราไม่ได้แอบเสพนะ ต้องล้างให้ได้อย่างจริงๆ อย่าง เที่ยงแท้ยั่งยืนถาวร แล้วค่อยอนุโลมกับเขา ถึงขั้นนั้นค่อยทำ เพราะฉะนั้นคนจะเข้าใจอรหันต์จี้กง หรือพระมาลัยโปรดสัตว์ก็ไม่ง่าย ทุกวันนี้อาตมาก็ใช้การอนุโลมมากไปกับเขา ไม่เช่นนั้นคนก็จะเข้ามาเอาไม่ได้มาชิดไม่ได้

 

sms และ ไลน์

0824039xxx ผู้น้อยเคยเห็นสิ่ง1ในช่วงหัวค่ำกำลังเดินกลับเข้าบ้านในซอยเก่าสิ่ง

นั้นน่าจะเป็นคนที่มิใช่คน!เขามีรูปร่างโปร่งใสดังแก้วแต่งกายเหมือนชายไทย-

โบราณมองหัวจรดขาเขาไม่มีเท้าแต่ลอยจากพื้นถนนแล้วเขาก็เดิน

ทะลุตึกหายไปเลย!สิ่งที่เห็นใช่วิญญาณไหม?

ตอบ...มันเป็นมโนมยอัตตา เป็นวิญญาณของคุณเอง ทางแพทย์เขาก็เรียกว่าภาพหลอน เสียงหลอน เขาก็รักษากันแต่ทางพุทธจะรักษาได้สนิทกว่า ง่ายกว่า สิ่งที่คุณเห็นเป็นมโนมยอัตตา เป็นอัตตาที่คุณปั้นเอง อย่างที่อาตมาเคยอธิบายการสะกดจิตว่าให้เห็นอะไรก็ได้ทั้งที่มันไม่มีจริง อย่างที่คุณเห็นเหมือนคนใสดั่งแก้วก็ปั้นเอาได้ทั้งนั้น เป็นเทวดา ผี ก็เป็นกันไป ให้มันใส จนเป็นรูปพระพุทธเจ้าเขาก็ปั้นกันไป จนเขาว่าเขาได้เขาเห็นก็ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เป็นมโนมยอัตตา เป็นสิ่งไม่มีจริงแล้วยึดว่ามีจริง จะเรียกว่าวิญญาณก็คือธาตุ ทั้งที่ตัวมันเองไม่รู้เรื่องแต่จิตคุณเองนั้นแหละคิดไปเอง ดีไม่ดีจะเสวนาสังสรรกันเป็นอย่างคู่ผัวตัวเมียได้เลย เป็นนางตานี เป็นต้น

 

_คำถาม จาก ผึ้ง พิมพ์เพชรรุ้ง และ จากผู้ชมรายการพ่อครู

ว่า... กรณีชาวโรฮิงญา ที่ต้องเร่ร่อนพลัดถิ่นฐาน ไปไหนก็ถูกเอาเปรียบ ถูกกดขี่ข่มเหง ดูว่าจะได้รับแต่ความทุกข์ทรมาน. พวกเขาเคยทำกรรมหนักแบบนักการเมืองที่โกงกินบ้านเมืองตัวเองมาก่อนหรือคะ ถึงต้องรับกรรมเช่นนี้ ...

ตอบ...ก็จะตอบอีกครั้ง ก็เวลาชาวโรฮิงญาได้รับวิบาก เขาเหมือนหมดความเป็นคน เป็นเหมือนสัตว์สินค้าที่เขาก็จะขายจะฆ่าก็ได้ ทั้งที่เขาเป็นคนแท้ๆ แต่เขาจำนนที่ต้องเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักธุรกิจ นักศาสนาที่หลอกคน ก็จะมีวิบากเช่นนี้เป็นได้ขนาดนั้น ในขีดที่มันหยาบ ว่าน่าสังเวช ไม่มีสิทธิในตนเอง ทรมานอดอยากยากแค้น เหมือนสัตว์เดรัจฉานที่ถูกเขาผูกไปฆ่าจะเล่นอย่างไรก็ได้ นั่นคือวิบากจริงที่คนทำชั่วทำวิบากไว้ มันออกผลกับคนจริงๆให้เห็น

 

ลักษณะอย่างคนอดอยากที่ต้องต่อสู้ชีวิตมีอีกมากมาย แม้แต่ในคนไทยที่เขาเอามาเผยทางสื่อสาร บางทีก็ไม่แก่เฒ่า ก็เป็นแล้ว บางคนแก่เฒ่า ก็ไม่มีคนดูแล น่าสังเวชก็คือคนจริงๆที่อยู่ในโลกนี้ แล้วก็ต้องรับวิบากเช่นนั้น หลายคนทรมานหลายสิบปี คนก็มีไปช่วยบ้างนะ แม้แต่สังคมราชการก็ช่วย แต่ทำไมเขาไม่ได้รับการสงเคราะห์นะ คนนี้ สิ่งเหล่านี้คืออจินไตยที่อธิบายยาก เป็นเพราะวิบากกรรม มันเป็นไปโดยไม่มีเหตุ ทั้งที่เขาก็ไม่ได้ทำบาปในชาตินี้มากมาย หลายคนเป็นคนดีด้วย ทำกรรมดีมาตลอด แต่ก็ต้องมารับกรรมวิบากหนักหนาสาหัส อย่าพึงประมาท ชั่วแม้นิดแม้น้อยอย่าทำ เป็นคำที่อาตมาถือว่ายิ่งใหญ่ คือเครื่องเตือนใจ

 

_0824039xxx ฟังพ่อครูเทศน์เรื่องกายแต่กลับถามเรื่องวิญญาณ!เพราะ

เห็นภาพผู้เสียชีวิตจากแผ่นดินไหว!เมื่อเขาตายในเหตุร้ายแบบปัจจุบัน-

ทันด่วนจิตวิญญาณเขาจะไปดีไหม?

ตอบ...ตอบยากอีกเหมือนกันจะไปตอบแทนเขาก็ไม่ได้ สมมุติว่าคนนี้กว่าจะได้ตายก็ทรมาน  ก็ยังค้นหาไม่หมดเลย บางคนอภินิหารรอดได้แม้หลายวัน หลายคนก็ไม่รอด บางคนก็กระดิกไม่ได้ สลบไปฟื้นมาอีก กว่าจะตายก็หลายนาน ก็มีแน่ เพราะพื้นที่มาก รุนแรงด้วย ทีนี้คนที่รับแล้วมันเป็นวิบากของเขา เขาไม่ได้อยากได้นะ นี่แหละคือการใช้หนี้วิบากไม่ได้วิ่งหานะ คุณไปได้เอง แต่มีบางคนไม่ได้วิ่งหา คนเอามาให้ แต่ส่วนมากเขาวิ่งเอง อันนี้ไม่ได้วิ่งหา แผ่นดินไหวมาทับหัวตาย ก็ใช้วิบากร้ายไป ก็น่าจะเพลาวิบากร้ายไป แล้วถามว่าเขาจะดีขึ้นไหมนี่ถ้าวิบากไม่ดีมาซ้ำอีกก็ได้ เป็นอจินไตยคิดเอาไม่ได้ ข้อสำคัญเรารู้เหตุแล้วไม่ไปสร้างเหตุที่ต้องไปเช่นนั้นสิ ทำแล้วแก้ไขไม่ได้ด้วย วิธีเดียวคือคุณต้องทำกุศลให้มาก ให้มันกั้นไว้ไม่ให้วิบากมาถึงหรือมาก็ลดแรงลง มีวิธีเดียวที่จะบรรเทาได้ แต่แก้ไม่ได้นะ

 

_0824039xxx ไม่มีใครรู้มัจจุราชจะมาเยือนคนเมื่อไร?แต่คนควรจะเป็น

เพชรฆาตสังหารกิเลสในตัวคนให้ตายก่อนที่มัจจุราชตัวจริงจะมา-

รับไปตามวิบากกรรมดีๆที่คนควรจะทำก่อนจากโลกนี้ไป!

ตอบ...อันนี้เป็นความเห็นที่จริง ทำเช่นนั้นแหละ

 

4_หนึ่งดาวถามว่า.... เมื่อมีญาณ7ตรวจสอบความเป็นโสดาบันแล้ว

ความเป็น สกทาคามี, อนาคามี,อรหันต์มีญาณตรวจสอบไหมคะ

ตอบ..ก็ญาณ 7 นี่แหละที่จะมีคุณสมบัติที่สูงขึ้น ตรวจสอบได้ละเอียดขึ้น ฉันเดียวกับสังโยขชน์ 3 โสดาบันพ้นสังโยชน์ 3 แต่สกิทาคามี อนาคามี ก็ต้องใช้ สังโยชน์ 3 เมื่อดับกายที่เป็นกามได้ก็กับกายที่เป็นรูปภพ อรูปภพต่อไปก็ใช้สูตรเดียวกันนี่แหละต้องพ้นสักกายะและพ้นสีลลัพพตปรามาสอย่างพ้นสงสัยเลย แม้เหลือนามกายตัวท้ายก็ต้องใช้อันนี้ พระพุทธเจ้าถึงว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย อย่างมีกายสักขีเลย แม้เป็นอรูปก็มีกาย คนพาลไม่ได้ละกิเลส ตายไปก็มีกาย ไม่ได้ฟังธรรมไม่ได้ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าตายไปก็มีกาย

 

จะเป็นสกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ก็ใช้ญาณที่ลึกซึ้งขึ้นละเอียดขึ้น มีประสิทธิภาพขึ้น

 

 

_50824039xxx ถ้าเราไปตลาดแล้วเห็นเสื้อผ้าลายแปลกตาน่าซื้อแทนที่จะเกิดความอยากได้!แต่ใจกลับเกิดโยโสมนสิการว่าเสื้อตนเองมีพอสมควรแล้วไม่ควรซื้อมากเกินความจำเป็น!จิตคิดว่าควรพอได้แล้ว!อันนี้คือโยโสมนสิการที่ถูกต้องไหม?

ตอบ....ยังไม่ได้โยนิโสมนสิการ เป็นแต่เพียงพิจารณา ตามที่เขาแปลมา เห็นว่าน่าซื้อแต่เราก็มีเหตุมีผล เป็นตักกะ ว่าเราก็มีพอควรแล้ว เราก็มีสันโดษพอควร เราก็พอนะ ไม่ซื้อน่ะ แต่คุณยังไม่ได้อ่านเข้าไปถึงเวทนาในเวทนา แล้วก็ไม่ได้อ่านถึงจิตในจิต ไม่ได้เห็นกายในกาย กายนั่นแหละคือเวทนา แล้วในเวทนาก็มีจิต ในจิตมีราคะโทสะ คุณไม่ได้อ่าน คุณได้แค่รู้ว่าจิตคุณไม่ได้เกิดความอยากได้ แล้วคุณได้อ่านจิตไม่อยากได้จริงไหม? แล้วไม่ได้เห็นความไม่เที่ยง คุณไม่ได้อ่านจิตเจตสิกจริง คุณมีแต่หลักเหตุผลเท่านั้น ที่พูดนี้ ยังไม่ได้เข้าถึงการอ่านจิต คุณว่าแทนที่จะเกิดความอยากได้ มันไม่ได้อ่านความอยากได้เท่าไหร่ ที่ว่าใจคุณอยากซื้อก็ได้แค่เอาเหตุผลที่ได้เรียนรู้มายกกั้นเอาไว้ แล้วก็ยกคำว่าโยนิโส คือใจเราได้จัดการเลย แต่คุณเอาเหตุและผลมาใช้ทั้งหมด มันละเอียดลึกซึ้งตรงที่ว่า ถ้าคุณได้ทำใจถ้าได้เข้าใจว่า ใจของเรามันอยากได้หรือไม่อยากได้พ้นวิจิกิจฉาเลย แต่นี่คุณไม่ชัดเลย ว่าคุณว่าน่าซื้อลายแปลกตา น่าซื้อนี่มันอยากได้หรือไม่อยากได้ แล้วก็ใช้ภาษาว่าแทนที่จะอยากได้แต่ใจกลับเกิดโยนิโสมนสิการ คือคุณเอาคำว่าโยนิโสมาแทนที่ทั้งหมด อาตมาว่าคุณยังไม่ได้อ่านใจทำใจเลย เป็นแต่เพียงยกเหตุผลมายังยั้งได้ แต่คุณไม่ได้เอาเพราะคุณมีสันโดษพอสมควรแล้ว จิตคิดว่าควรพอได้แล้ว ก็คือคุณไม่รู้จิตพอ

 

การพิจารณาด้วยเหตุด้วยผลต้องประกอบไปด้วย แต่ต้องเข้าถึงจิต จิตคุณได้เปลี่ยนแปลงจัดการ โดยเข้าใจเลยว่าจิตคุณอยาก เป็นกามต้องรู้ชัดพ้นวิจิกิจฉาเลย นะจะอยากน้อยนิดอย่างไรก็ต้องอ่านให้ชัด แต่เอาเหตุผลในตักกะมา แต่ถ้าคุณเห็นอาการจะรู้ว่าใจเราอยากหรือไม่นิดหนึ่งน้อยหนึ่ง แต่ถ้าคุณอ่าน รู้ว่ามีอยากนิดหนึ่งน้อยหนึ่ง ถ้ามันยังอยากอีกก็เอาเหตุผลมาบอกมันได้ ถ้ามันยังอยากได้ ถ้าคุณเร็วพอ พอรู้ว่ามันอยากได้แล้วก็มีปฏิภาณปัญญาว่า ตัวที่อยากได้นี่พาทุกข์ ชัดว่าคือสมุทัย คือเหตุแห่งทุกข์ ตัวนี้คุณกลัว เรียกว่ามีโอตตัปปะ จิตตัวนี้เกิดความกลัว มีโอตตัปปะธาตุที่มีพลังงานสูงกว่าหิริ ตัวโอตตัปปะก็จะฆ่ากิเลสเลย แต่ถ้าหิริ ก็จะลังเลว่าน่าได้อยู่นะไม่เห็นไร เงินเราก็มี ดีไม่ดีก็แพ้ได้ ยังยึกยักๆ นั่นคือความไม่เที่ยง แต่ถ้าเที่ยงแล้วจะเร็ว โอตตัปปะเร็ว เหมือนปลิงแตะถูกยาหม่องร่วงผล็อยเลย แต่นี่คุณยังไม่ชัด ผู้ไม่ชัดก็จะถาม แต่ผู้ชัดแล้วจะไม่ถามใครเลย อันนี้เป็นตัวไข เป็นตัวตอบ ถ้าคุณรู้เองชัดจะไม่ถาม แต่ถ้าคุณยังถามอยู่จะถาม ก็ฟังไปแล้วเอาไปปฏิบัติแล้วจะดีขึ้นๆ

 

แต่อย่าไปตั้งว่าพออาตมาว่ารู้ชัดแล้วจะไม่ถาม ก็เลยไม่รู้เลยว่าหมดหรือไม่ แต่ถ้าสงสัยแล้วก็รีบถามเลย ถ้าไม่ถามคืออัตตามันขึ้นมาแทน นี่มันซ้อนเยอะเลย

 

_0824039xxx วันวานพ่อครูเทศน์อปรโคยาน,อมรโคยาน!วันนี้เทศน์โยโสมนสิการ!ผู้น้อยแปลตรงๆไม่ได้ว่าคืออะไรรู้แต่ว่าพระท่านเคยแล้วแต่มุมมอง!

ตอบ....โยนิโสมนสิการ คือการปฏิบัติ ส่วนอปรโคยานคือมันเป็นมันจะไปหาสิ่งที่น่าได้น่ามีน่าเป็นดาวดึงส์ จนกว่าจะทำให้เป็นอมรโคยานได้ ลดละเป็นเนกขัมมะได้ เป็นอมตบุคคล เป็นผู้ไม่ตายสมบูรณ์แล้วมันจึงจะเป็นมนุษย์อุตรกุรุทวีปสมบูรณ์

 

โยนิโสมนสิการคือภาวะฝึกหัด ภาวะกิริยาโดยตรง ส่วนภาวะของอมรโคยาน (อมร คือ ปุงสกลิงค์ ส่วนอมตะ คือ นปุงสกลึงค์) อมตะนี้สำเร็จแล้ว

 

_0824039xxx ขออภัยฟังธรรมท่านแล้วนำธรรมพระอ.รูปอื่นมากล่าวถาม!เคยเห็นท่านจันทร์เคยเทศน์ที่ไหนก็จะมีธรรมะพระอ.รูปอื่นมาสอนเพิ่มเติมเสมอเช่นท่านปอ.ปยุตโตท่านพุทธทาสฯลฯ

ตอบ..อันนี้ไม่เป็นคำถามอะไร?

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

_ฟังแล้วบางวันก็ชัด บางวันก็ไม่ชัด มะลำมะเลือง วันนี้ก็ชัดในความได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌาน 4 แต่ก่อนรู้สึกว่า ไปนั่งเอาก็น่าจะง่ายกว่า แต่ก็ยกให้พ่อครูก่อน แม้บางเรื่องเห็นแย้งก็เอาตามพ่อครูก่อน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นของตนที่ผิด ก็มักจะปรับตามๆ วันนี้ก็ชัดว่ามีแง่มุมที่เราว่าได้โดยไม่ยากไม่ลำบากอย่างไร? เมื่อสองสามวันก่อนก็จะมีเรื่องของพีชะ เป็นรูปเป็นสัญญาเป็นสังขาร เท่านั้น

ตอบ... ผู้ที่ทำได้ถึงพีชะ ไม่มีรสโลกีย์ ไม่มีเวทนาด้วย นี่แหละวิญญาณดับ คนนี้ทำให้วิญญาณสัตว์อบายดับไป มันก็ไม่เกิดอีกเลย มันอุเบกขา มันก็เลย มีแค่รูป กับสัญญา กับสังขาร แต่ถ้าเป็นพืชมันไม่มีปฎิภาณปัญญา มันมีแต่สัญญากับสังขาร มันไม่รู้ธาตุวิญญาณที่เป็นไปได้สารพัดพืชมันไม่รู้ แต่จิตนิยามเช่นคนนั้นมันรู้ได้สารพัดกว่านั้น รู้ติดยึด รู้ทุกข์สุขได้ แต่ว่าก็มีคนที่พ้นจากความติดยึดได้ทั้งที่คนส่วนใหญ่เขาติดกัน

 

คำว่านิมิตคือเครื่องหมายที่กำหนดให้รู้จริงตามจริง ว่าอาการโลภ คืออย่างนี้ มันไม่มีรูปร่างสรีระแต่มันมีอาการไหว อาการนี้คือโลภ อาการนี้คือโกรธ มันมีอาการต่างกัน คำว่าต่างก็ต้องนิมิตคือหมายเอาเองว่าต่างกันอย่างไร? คือลิงค คือเพศ คุณก็นิมิตเอาว่าอันนี้คือโลภ อันนี้คือโกรธ ก็ต้องกำหนดให้ตนเอง อุเทสก็คือฟังไปจากผู้รู้ที่อธิบาย นามธรรมเหล่านี้หากไม่ได้ฟังจากผู้รู้มาอุเทสก็ไม่สามารถรู้ได้เลย ต้องได้ฟังธรรมจากสัตบุรุษที่มีจริงของตนเป็นปัจเจก เป็นปัจจัตตัง เป็นสยังอภิญญา จนเป็นสยัมภู คือเป็นของตนเองแล้ว ไม่ต้องรับจากพระพุทธเจ้าอีก แต่อย่างสยังอภิญญายังต้องศึกษาตามอีกหลายอย่าง

 

ระเด็นโดยไม่ยากไม่ลำบากกับประเด็นได้โดยยากได้โดยลำบาก คือผู้ที่ทำได้แล้วแบบพระพุทธเจ้ามันเป็นอัตโนมัติ ลืมตาทำนี่แหละ ไม่ต้องไปหาสถานที่ไหนทำ แต่ทำได้ทุกเวลา ไม่ต้องปลีกตัวไป ไม่ต้องใช้องค์ประกอบใดๆ แต่ทุกองค์ประกอบ เกี่ยวข้องอยู่ แต่คุณทำการละล้างกิเลส จนเป็นฌาน เป็นสมาธิตั้งมั่น ถ้าถาวรก็สามารถอนุโลมมาใช้ฌาน 1 ฌาน 2 หรือฌาน 3 ได้ จะใช้ปีติ สุข วิตกวิจารได้ วิตกคือเริ่มดำริ วิจารคือทำให้สำเร็จทางกายวาจาใจ การย้อนกลับมาเพื่อประพฤติอนุโลมปฏิโลมกับเขา ผู้ทำฌานพุทธตั้งมั่นแล้วจะมีฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 ฌาน 4 กลับไปกลับมา อนุโลมได้อย่างง่าย ไม่ต้องเสียเวลาทำ แล้วไม่ต้องเข้าต้องออก ไม่ต้องใช้สถานที่หนักหนาสาหัส อย่างนั้นยาก แต่นี่เราได้ง่า ยได้โดยไม่ยากไม่ลำบากเลย

 

_ดิฉันอยู่บ้านราชฯมาหลายเดือน ก็มีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ว่าก็เหมือนมีเส้นบางๆมากั้นไว้ มันเหมือนว่าพ่อท่านมีลูกเยอะ เลยไปฝากไว้ที่ไหนไกลหน่อย แต่พอพ่อท่านมีองค์ประกอบครบจะเรียกลูกๆมา โดยเอาว.นบ.เป็นสื่อกลางให้มา แต่มาแล้วก็เหมือนมีอะไรแบ่งแยกนะ แต่เราไม่ใช่โรฮิงญานะ แต่เป็นแค่ผู้พลัดถิ่น และเราก็คือพี่น้องของท่าน เราอยากให้ท่านเปิดใจรับเรา เราก็รักท่านนะ พวกเราก็รักชาวบ้านราชฯอุตส่าห์ยอมมา ทิ้งบ้านทิ้งพี่น้องและย้ายทะเบียนบ้านมา ก็คิดว่าเราถวายทั้งตัวและใจมาแล้วอยากให้ชาวบ้านราชฯเปิดใจ อย่าแบ่งแยกว่าเป็นพวก ว.นบ. เราอยากเป็นชาวบ้านราชฯเต็มร้อย

ตอบ...ประเด็นนี้ก็ดี มาพูดเพิ่มก็ดีแล้ว

 

_ที่อาตมาพยายามหยิบเอาประเด็นที่ว่าได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่งฌานทั้ง 4 ประเด็นของ กาย ของสมาธิ ของฌาน ของบุญ มันเป็นความลึกซึ้งจริงๆ เป็นความลึกซึ้งที่แม้เราพูดกันไปแล้ว พวกเรามีพื้นฐานกันมากแล้วก็ยังต้องพูดกันขนาดนี้ แต่มีผู้เข้าใจไหม ก็มีจริง มันเข้าใจได้ มีจริง แล้วมีกี่คน... มีมากคน ก็แสดงว่านี่คือสัจจะที่เป็นไปได้ มันเป็นเรื่องละเอียดใหม่ ไม่เคยได้ยินมาก่อน อาตมาเอามาพูดก็ว่าใช่ๆๆ บางคนก็ยาก นั่นคือความลึกซึ้ง คัมภีรา แต่ก่อนเราก็เคยเข้าใจผิดมา ฌานแต่ก่อนก็เข้าใจผิด สมาธิก็เคยเข้าใจผิด แต่มาฟังแล้วก็กลับความเห็น รู้สิ่งที่ถูกว่าใช่ ซึ่งกระแสพุทธมวลใหญ่เขาเพี้ยนไปจริงแล้ว ก็ได้พวกคุณประพฤติปฏิบัติได้มา ยืนยันได้ มีสิ่งรองรับ ถูกต้องยืนยันตามกัน จึงเป็นสิ่งสัจจะ มันไม่ใช่ไม่เคยมีบัญญัติมาก่อน แต่มีมาแล้วของพระพุทธเจ้า บางอันอาตมาเอามาพูดยังไม่เจอในพระไตรฯแต่ตอนหลังเจอในพระไตรฯก็เอามายืนยัน ทำให้อาตมารอดตัว ไม่ใช่อาตมาปั้นวิมานนะ แต่เป็นของจริงมีมาแล้วพระพุทธเจ้าทำมาก่อน แม้บางอย่างไม่มีในพระไตรฯแต่ก็นำมาพูด เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีที่ตรัสไว้ จนหลายอันได้เจอในพระไตรฯทีหลัง ไม่ใช่เรื่องยกเมฆหลอก เหมือนธรรมกายที่สร้างวิมานหลอกคนสารพัด หรือว่าปั้นเป็นตัวเป็นตนแบบฤาษีลิงดำ ว่าได้วิมานชั้นฟ้าเป็นชั้นๆ ซึ่งเป็นอปรโคยาน เป็นมโนมยอัตตา ฤาษีลิงดำนี่นั่งสมาธิแล้วปั้นรูปมโนมยอัตตาจนเห็นเลย

 

อย่างธัมมชโย อาตมาก็ยกประโยชน์ให้ว่าเขาปั้นจนสำเร็จไปถวายข้าวให้พระพุทธเจ้า ยกประโยชน์ให้แต่อาตมาไม่เชื่อว่าจะนั่งเมื่อไหร่ก็ถวายข้าวพระพุทธเจ้าได้ทุกครั้ง เพราะมันไม่ใช่ของจริง ไม่ใช่สิ่งที่เกิดจริง คุณปั้นยกเมฆมามันก็จะไม่เที่ยง จะได้บ้างบางครั้งเท่านั้น ในสิ่งที่มันมีหรือไม่มี พระพุทธเจ้าสรุปไว้ที่ความไม่มี ผู้จบแล้วมีโลกนิโรธ มีผลของการปฏิบัติคือความไม่มี แต่พวกมีนิรันดรนี่นอกรีต แต่ผู้สูญ แล้วไม่รับอะไรอีกปฏิเสธหมดเป็นนัตถิกทิฏฐินี้ก็โต่งไป เพราะในขณะมีรูปนามขันธ์ 5 คุณต้องมีตามสมมุติหรือจะอนุโลมให้เขา คนนี้ไม่โต่งไปทางมีและไม่มี แต่ที่สุดคุณจะปรินิพพานคุณก็ต้องจบที่ความไม่มี ศาสนาพุทธจบที่สุญญตะ ที่ความไม่มี แต่ต้องรู้ภาวะอยู่ในองค์ประกอบไหน

 

อาตมาเคยพูดว่ากินข้าวเพื่อคุณ ก็คือกินข้าวให้ขันธ์มันทำงานเพื่อคุณไง ไม่ได้กินเพื่อบำเรออะไรแก่ตนนะ มีความรู้ว่ากินอย่างไม่ให้พร่องไปมากไปไม่เสียประโยชน์ ถ้าอาตมาไม่เป็นโพธิสัตว์ที่จะทำงานต่อ อาตมาก็จะไม่รับอะไรอีกเยอะ แต่อาตมาต้องให้อุปถัมภ์อะไรไว้ก่อนมากเพื่อจะทำงานต่อไปอีก


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:52:23 )

580510

รายละเอียด

580510_วิถีอาริยธรรม  มโนสัญเจตนาของพ่อครูในงานคารวะบูชาบรรพชน อุบลราชธานี

.ฟ้าไทว่า....วันนี้วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2558 เป็นช่วงฤดูฝนแล้ว มีฝนตกบ้างที่นี่ ชาวอโศกเราปฏิบัติธรรมถือศีลเป็นชีวิตที่มุ่งสู่นิพพาน ส่วนคนโลกมุ่งสู่ดาวดึงส์ สะสมกิเลส หรือเป็นจตุมหาราชิกา มอมเมาประชาชน ในโลกีย์คือหาพวกให้อยู่หมัดให้ได้ ส่วนเทพโลกุตระ มีพระพุทธเจ้านำมาแล้วก็มีพระโพธิสัตว์มาสืบต่อ ให้ศาสนาพุทธคงทนถึง 5,000 ปีต่อไป

 

เมื่อเช้านี้อ่านข่าวของประเทศจีน ว่าเขากินทารกต้ม ทารกอายุ 5-6 เดือน เขาว่าเป็นยาเสริมสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งมันหนักหนาสาหัสมากกับโลกีย์ที่มีแรงมากขึ้น แต่เราอยู่กับพ่อครู ซึ่งก็ไม่รู้ว่าท่านจะอยู่กับเราอีกนานไหม เวลามันสั้นมาก กว่าจะเข้าใจสิ่งที่พ่อครูเทศน์แล้วกว่าจะปฏิบัติได้อีก มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเอานะ กิเลสมันมีและก็ตามตัวเรา เอาออกยากนะ กิเลสมันอยู่ในจิตวิญญาณเราก็ต้องเรียนรู้กะเทาะออก ให้หมู่มิตรดีสหายดีช่วยขัดออกอีก มันต้องทุ่มเทจริงๆจึงจะทำได้ จะได้คุ้มกับชีวิตที่มาพบท่าน เราจะได้ไม่เสียชาติเกิด

 

พ่อครูว่า... มาต่อที่ท่านฟ้าไทได้เกริ่นมาแล้ว ว่าอาตมาขวนขวายพากเพียรที่จะสอนแนะนำ อันนี้หลายคนก็ว่าอาตมานี่ ขยันเกินพิกัด อาตมาก็ว่ายังไม่ขนาดทรมานตนเอง เกินขนาดอะไร แม้จะบอกว่าเทศน์ไปไอไปก็เพราะอวัยวะเจ้าการไม่สมดุล ก็ไอบ้าง ตอนไอก็จะเรียกว่าไม่สมดุล ไม่ปกติ จะเจ็บปวดก็มีเรียกว่าทุกข์ อาตมาก็ยอมรับเรื่องสังขารขันธ์ ก็ยังไม่ได้รู้สาเหตุปรับจริงๆ ก็ต้องยอมรับไป ถือว่าเป็นวิบาก

 

พระพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งประเสริฐ คือการเป็นอรหันต์ การเป็นอรหันต์นี้มีความประเสริฐสองอย่างใหญ่ๆ คือ ผู้บรรลุอรหันต์แล้วสามารถทำลายอัตภาพของตนเป็นสูญในวาระสุดท้าย ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้

 

และสอง แม้จะตรัสรู้เป็นพระอรหันต์แล้ว ถ้าท่านจะมีชีวิตต่อไป จนตายในชาติที่เป็นอรหันต์ แต่ท่านไม่ได้ตั้งจิตที่จะสูญอัตภาพ ท่านยังตั้งภพต่อที่จะเกิดอีกอยู่ ท่านจะเกิดอีกกี่ชาติก็ตาม ท่านจะมีหลักประกันในจิตของท่านเป็นจริง คือไม่ทำบาปทำชั่วอีกแล้ว สัพพปาปสอกรณัง กุสลสูปสัมปทา คือไม่ทำบาป ไม่ทำชั่ว ทำแต่กุศล กรรมที่เป็นกิเลสนี่คือชั่ว พอกิเลสหมดแล้วในทุกปัจจุบันตั้งแต่ท่านตรัสรู้เป็นอรหันต์ กรรมชั่วต่อไปท่านไม่ทำอีก นอกจากที่เลยวิสัย อย่างอรหันต์บางท่านมีกิริยาหยาบ แต่เป็นเรื่องสุดวิสัยได้ แต่เจตนาท่านไม่มีแอบแฝงเด็ดขาดที่จะทำชั่ว ท่านทำแต่ดี จึงเป็นคนไม่มีโทษไม่มีภัยต่อสัตว์หรือคนใดในโลกอีกเลย

 

โลกทุกวันนี้มีแต่มนุษย์อวิชชา เลว ก็เลยทำให้โลกลำบากลำบน ยิ่งฉลาดแกมโกงฉลาดเฉกา ก็ยิ่งก่อเรื่องก่อนเหตุปัจจัยสร้างระบบมาหลอกคน ให้มาร่วมทำกันอีกก็เลยซับซ้อน คนยิ่งอวิชชาไม่ฉลาดทางสัจธรรม ซึ่งสัจธรรมนี้ลึกซึ้ง ลึกล้ำ แต่อวิชชานั้นลึกลับซับซ้อนไปเรื่อยๆ นึกว่าเป็นสิ่งดี แต่แท้จริงคือสิ่งเลว ทำได้ก็นึกว่าดีอีกก็เลยยิ่งทำเข้าไปใหญ่ การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าจึงเป็นวิชชาที่ยิ่งใหญ่และเป็นจริงด้วย  จะเป็นอาการชั่วแม้เล็กแม้น้อย อากาสาฯ วิญญานัญจาฯ อากิญจัญญาฯ หรือเนวสัญญาฯ อย่างไร จะเล็กน้อย ลหุตา กับสุญญาตา ก็ต้องเทียบกัน อาตมาถึงบอกว่า ที่มีน้อยที่สุดใกล้หมดกับหมดแล้วมันยากจะแยกออกได้ ที่มันเหลือนิดน้อยจวนจะหมด กับมันหมด ก็แยกยาก อ่านยาก มันเกือบจะเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วคือ ศูนย์ จึงต้องใช้ญาณปัญญาที่ละเอียด นิปปุณา ละเอียดถึงนิพพานที่จะอ่าน นี่คือนามธรรมที่เป็นอรูปมาก คุณต้องทำถึงขีด ต้องหมดจริงๆจึงจะรู้ว่าเหลือน้อยเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าคุณหนาเปรอะแต่ว่าก็นึกว่าตนเหลือน้อย ยืนยันว่ามีจริง มันมีหรือมันหมดก็ต้องรู้เห็นของจริงของตน

 

อาตมาว่าอาตมาได้ศึกษา ของจริงของพระพุทธเจ้า มาชาตินี้ จนประกาศตนว่าเป็นโพธิสัตว์บอกไปอย่างไม่อยากอวด ขนาดบอกไปอย่างนี้คนไม่เชื่อเขาก็ไม่เชื่อ

 

คนเชื่อด้วยศรัทธาที่เป็นศรัทธินทรีย์ คนเชื่อมีสองแบบ คือเชื่ออย่างมีปัญญาแท้จริง กับเชื่อแบบไม่มีปัญญาแท้จริง ...ซึ่งคนเชื่อแบบไม่มีปัญญาเขาก็เชื่อของเขา เราไปบังคับเขาไม่ได้ ก็ต้องจำนน ภูมิธรรมหรือฐานจิตของใครมันมีขนาดไหน? มีเท่าไหร่ก็เท่านั้น ไปบีบบังคับให้มันโง่แล้วให้ฉลาด ไม่ได้ ทำอย่างไรก็ไม่ได้ อาตมาจึงไม่มีปัญหาพวกนี้เลย ใครจะสงสัยจะแย้งไม่เข้าใจก็เรื่องจริงทั้งนั้น อยากเข้าใจก็เข้าใจ ตามแต่ละคน

 

ทุกวันนี้ทำงานมา 45 ปีก็พยายามเปิดเผย วันนี้ก็พยายามเปิดเผยว่าอาตมาอยู่ทำไม ทำงานอะไร ทำไปทำไม ทำไมไม่ตายซะ แล้วก็มาพูดว่า อยู่ไปไม่ได้ทำเพื่อโลกธรรม ทำเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นไม่ได้เอาอะไรเลย เอามาให้เฉยๆ เขาฟังแล้วก็หมั่นไส้ หาว่าพูดแค่เท่ ใครก็ทำได้พูดได้ ใจเขาไม่เชื่อ ก็ไม่เป็นไร อาตมาก็รู้ว่าไม่มีปัญหา

 

ใครก็ตามที่ได้ยินเขาพูดกันมาว่า อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็อาตมาพูดเองแหละ แล้ว 7 เป็นอย่างไรอาตมาก็อธิบายสังขยาเลขทุกระดับแล้ว

ที่พวกเรามากันนี่แม้ตัวเองมีเชื้อสุขอยู่ แต่ก็ยังยอมมาล้างออก ทั้งที่ใจเสียดาย แต่ก็เข้าใจว่าต้องมาปฏิบัติล้างนะ จนมันออกไปได้จริงเรื่อยๆ หมดได้จริงก็ไม่เสียดายแล้ว จะมีปัญญาเข้าใจ เห็นอวิชชาของตนว่า ไปติดทำไม ไม่เห็นมีสาระอะไร แล้วเห็นชัดว่านี่ของเท็จของปลอม แต่ก่อนเรามีรสสุขเช่นนี้จริง แต่ตอนนี้เราไม่มี จึงยอมรับว่ามันไม่ใช่ของจริง มันเป็นเท็จ เป็นอาการจิตนะ จิตสุข จิตทุกข์ จิตอร่อย อิฏฐารมย์ แต่ตอนนี้มันไม่มีแล้ว มันกลางๆ เฉยๆ ก็จะได้ว่าอร่อยหรือสุขอย่างไร แต่ตอนนี้ไม่มี จำได้อยู่ว่าเคยมี การจำได้กับการไม่มีนี่ต้องแยกให้ละเอียด

 

คุณสัมผัสตอนนี้ คุณกำลังลิ้มเล็มแลบเลียอยู่นะ จะมานั่งเข้าใจผิดนะ ทั้งที่คุณมีแต่ว่าก็บอกว่าเป็นความจำก็ไม่ใช่นะ ต้องอ่านของตนให้ชัดเจน รู้ผิดก็ของตน รู้ถูกก็ของตน แต่จะมีการพิสูจน์โดยเวลา มันนานไปก็ไม่เหลือ สัมผัสทีไรก็ไม่เกิดอีก มันจะเชื่อศรัทธา ทั้งรู้เปรียบเทียบ แต่ก่อนเคยมี แต่ตอนนี้ไม่มี ก็ไม่เสียดายไม่ห่วงหา และมีปัญญาว่าไม่น่าเสียดายไม่น่าห่วงหา มันเป็นอารมณ์ลมๆแล้งๆ ไม่ได้วิเศษวิเสโสอะไร มันเป็นสิ่งที่เราเคยรู้สึกว่าน่าได้น่ามีน่าเป็น แต่ตอนนี้สัมผัสสิ่งที่เคยสุขแต่ไม่สุขแล้วก็ไม่เห็นเลวลงตรงไหน ไม่ต้องเสียพลังงานด้วย มันว่างสบาย สงบ ทุกอย่างเราอยู่ในโลกก็ทำดีได้หมด ไม่ต้องจ่ายพลังงานไปกับกิเลส เราก็เอาพลังงานไปทำสิ่งที่ดีๆ เป็นคุณค่าประโยชน์อื่นได้อีก ไม่ได้เปลืองผลาญเบียดเบียนใคร มันของตนทั้งนั้น เกิดเจริญในตนทั้งนั้น

 

ในสัจธรรมพวกนี้พระพุทธเจ้าค้นพบแล้วเอามาให้คนพิสูจน์ อาตมาว่าอาตมาเป็นลูกทางจิตวิญญาณทางนามธรรมได้ DNA ของศาสนาพุทธมาโดยตรง จนมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 คำว่า 7 นี้เป็นเลขที่ลึกซึ้งมาก จะมีคู่ของเลข

 

เลขคู่ก็มีความจริงระดับหนึ่งพอมี 1 สามตัวก็เป็นตอง พอขึ้นมาอีก 1 ก็เป็น 4 ก็จะมีอะไรเพิ่มมาอีก เป็นความจริงยืนยัน รูปกับนามจะลงตัวกัน อย่าไปสงสัยว่าทำไมพระพุทธเจ้าต้องเกิดตรัสรู้ปรินิพพานวันเดียวกันคือ 15 ค่ำเดือน 6 แล้วเป็นแบบนี้ทุกพระพุทธเจ้าด้วย พระพุทธเจ้าองค์สมณโคดมจะต้องเป็นชื่อเจ้าชายสิทธัตถะ

 

อาตมาเกิดเดือน 7 ปี ​2577​ วันอังคาร (เลข 7) เฉียดนิดเดียวว่าไม่เกิดวันจันทร์ เดือน 7 ปี 77 อาตมานี่หลานเจ้าเหลนเจ้า รุ่น 7 อีก

ใครก็ตามได้ยินจากที่พูดๆกันมา ว่า... อาตมาเป็นเชื้อสายรุ่น 7 ของเจ้าเมืองอุบลฯ เจ้า

คำผง ซึ่งตอนนี้พูดกัน ประกาศกันว่าจะจัดงานนั้น หลายคนอาจจะนึกไปว่า ที่พูดอย่างนี้เป็น

การอวดอ้าง อาตมาอยากจะอวดตัวอวดตน ว่า สืบเชื้อสาย และคงมุ่งหมายอยากให้คนมานับถือ มาเคารพ มายกย่อง อะไรอย่างนั้น แล้วอาตมาก็จะได้โก้ ได้หรูยิ่งใหญ่ เป็นคนสำคัญ อะไรไปอย่างนั้น

            ก็ขอยืนยันว่า จิตใจที่อยาก จะได้อามิสต่างๆอย่างนั้น ไม่มีในจิตใจของอาตมาเลย

            อาตมาพูดขึ้นมาเพื่อเป็นเหตุปัจจัยในการทำงานให้เกิดความสืบต่อที่จะมีเป็นความเกิดใหม่ ซึ่งความเกิดใหม่ที่จะเกิดนี้ก็จะเป็นความดีงาม ความควรเกิดให้แก่ผู้จะมาช่วยกันสร้างความเกิดนี้ขึ้นให้แก่โลก แก่สังคม ก็เท่านั้น

           

            นี้คือ เจตนาของอาตมา ในงานที่จะทำทั้งหมดทั้งหลายที่อาตมาทำอยู่และจะทำต่อไป ในงานที่อาตมาได้ทำมา จนเป็นสาธารณโภคี คือร่วมกินร่วมใช้ในทรัพย์สินส่วนกลาง มีการจัดสรรให้เหมาะสม มีเจ้าหน้าที่ทำการแบ่งแจกกันตามเหมาะควร ซึ่งทุกระบบก็จะมีการจัดสรร แต่อาตมาก็มีเจตนาสร้างคนให้คนได้รับความรู้และเป็นเช่นนี้ได้ อาตมาตั้งใจจะอยู่ให้ถึง 151 ปี ก็จะเหลืออีก 70 ปีเต็มที่จะอยู่ แล้วจะอยู่ทำไม? ก็อยู่เพื่อจะนำพากันทำให้เกิดระบบสังคมพฤติกรรมมนุษย์ที่มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มีการงานที่เราคัดเฟ้นว่าเป็นประโยชน์ไม่เป็นโทษต่อสังคม และเป็นการงานที่ทำแล้วทุกคนทำงานฟรี ทำแล้วไม่เอาค่าแลกเปลี่ยน พ้นมิจฉาอาชีวะระดับ ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา แล้วก็ทำได้จริง อย่าว่าแต่คนที่ทำงานศาสนาพุทธจะทำได้เลย เขาไม่รู้ว่าคืออะไร เขารู้เผินๆกันในศาสนาพุทธทั่วไป เขาแปลว่าลาภแลกลาภ แล้วมันคือทำอย่างไร?เขาก็ไม่รู้

 

ลาภคือสิ่งที่คุณทำงานแล้วได้ผลผลิตออกมา คุณได้คุณเป็นสิทธิของคุณ คุณทำกับมือของคุณ แล้วก็ทำอันนี้ให้คนอื่นไป โดยคุณไม่ต้องการผลตอบแทน นี่คือพ้นลาภแลกลาภ ทำงานฟรี 100% ก็เกิดระบบสาธารณโภคี ทำให้ส่วนกลาง ถึงเวลาจำเป็นใช้ก็ไปเบิก แม้เขาไม่ให้เบิก ส่วนกลางคนที่ดูแลเขาว่าไม่เหมาะสมจะให้ก็ต้องจำนน ระบบแบบนี้เกิดได้ท่ามกลางสังคมทุนนิยมที่ไม่สันโดษไม่พอ ก็ยังเกิดได้ อาตมาพิสูจน์ธรรมะของนี้ของพระพุทธเจ้าได้ว่าพ้นมิจฉาอาชีวะ 5 ข้อนี้ได้ นี่พูดไปนี่ก็ไม่ได้อวดว่าตนยิ่งใหญ่ถึงทำได้นะ

 

โลกทุกวันนี้เขาเจตนาโลภกันเลย ฮั้วกันโลภด้วย อย่างCP เขาทำนี่ไม่สนใจใครเลยว่าจะเป็นจะตายอย่างไร ก็รวบไว้หมด มันน่าจะเอาความรู้ความสามารถมาเจือจานแบ่งปันกันก็ไม่ทำ กลับเอารัดเอาเปรียบ ไม่มีน้ำใจ กินรวบหมด จะให้เป็นหนึ่งในโลกให้ได้ เหมือนบิลเกตต์หรือวอเรน บัฟเฟต ต้องเข้าทำเนียบคนรวยที่สุดในโลกให้ได้

 

 

ขออภัย เป็นอำนาจที่อาตมาขนลุกขนพอง ไม่เอา ถือว่าเป็นพฤติกรรมชีวิตที่เลวร้ายมาก เขาไม่เข้าใจ เขาไม่เห็น อาตมาว่าเขาไม่รู้ ก็ต้องเปิดเผย จำเป็นต้องว่าเขา สาธยายว่าโหดร้ายซับซ้อนอย่างไร?

 

แล้วระบบซับซ้อน เงินที่เราได้ แทนที่จะแจกจ่ายเจือจาน กลับเอาเงินนี้ไปออกดอกออกผล ลงทุนให้ได้กลับมามากๆอีก เขามีทั้งอำนาจทั้งทุน โหดเหี้ยมมาก คนตายเย็นนะ ไม่ได้ตายแบบร้อนหวือหวา แต่ตายเงียบๆตายเนียนตายสนิท ตายเย็นเจี๊ยบเลย อาตมาจำเป็นต้องให้ความรู้สติแก่คนไม่สติปัญญาหนาทึบเกินไป ก็พูดให้คนที่พอรับได้ แล้วเปลี่ยนตัวเอง คนที่ขูดรีดเอาเปรียบสังคมมากเขาไม่ยอมเปลี่ยนตัวเองก็เถอะ แต่คนที่มีบารมีพอรับได้ก็จะให้คนแบบนี้ แล้วถ้าคนแบบนี้มีมากขึ้นก็จะช่วยบรรเทาสังคมได้  

 

ทุกวันนี้มันแรงถูกขูดถูกเอาเปรียบจากทฤษฎีทุนนิยมแต่ทฤษฎีที่จะมาให้ลดละ มาให้พอเพียง มันมีน้อย ตามคำในหลวงตรัสเป็นทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง เราเอามาออกอยู่บ่อย ก็ไม่เห็นมีทีวีช่องไหนเขาขานรับไม่เอาไปออกเสริม ก็เพราะเขาไม่รู้ว่ามีคุณค่ายิ่งใหญ่ก็เลยไม่ขานรับ อาตมาก็ไม่ท้อแท้ต้องทำไปจนคนตาบอดเห็นได้

 

คนจะมามีจิตเข้าใจได้ว่า ถ้าไปหลงรวย จะไม่มีขีดจำกัด อันนั้นคือคนอปรโคยานที่ดุเดือดที่สุด ไปเอาอื่นอีกๆๆ ไม่เคยหยุดเลย ไปหลุดเอกภพเลย

 

พวกเรามาสะพัดออก จนกระทั่งไม่มีของตนเลย ทุกอย่างเอาเข้ากองกลาง กองกลางจะร่ำรวย เหมือนที่ในหลวงเราตรัส ประเทศทั้งประเทศก็ไม่รวย เราก็รวยพอสมควร เราพอเพียงไม่ขัดเขิน หมุนเวียนได้ เท่าที่เราทำสมดุลได้ ไม่กักตุน เป็นเศรษฐศาสตร์ชั้นสูง ท่านตรัสเศรษฐกิจพอเพียงเขาก็ไม่เข้าใจ ก็เลยตรัสว่าเอาแบบคนจน ก็ไม่เข้าใจอีก ไม่เกิดปัญญาที่จะเอาตาม ท่านก็ตรัสอีก ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ก็หนักเข้าไปอีก เขางงกัน ว่าจะอยู่ได้อย่างไร นักเศรษฐศาสตร์ไม่น่าจะพูดเช่นนี้ เขารู้ว่ามีอะไรแฝงอีกมากที่จะตีราคามาให้นายทุนได้ แต่ถ้าตนไม่ต้องการมาก็เอาออกไปได้เลย

 

แม้แต่ท่านจะพูดว่าขาดทุนของเรานี่แหละคือผู้ได้ คือผู้กำไร อาตมาก็ว่าจบแล้วนะ ถ้าจะว่าต่อไปก็คือมาสูญนี่แหละคือสุดยอด ไม่ต้องสะสมของตนเลย ไม่ต้องคิดขาดทุนหรือกำไรเลย ให้เป็นสูญตลอดนี่แหละ ความจริงนี้ไม่ใช่แค่เหตุผลตรรกะแต่เป็นได้จริงและเจริญด้วย เจริญทางวัตถุ วิธีการ สังคม จารีตประเพณีด้วย จะเกิดองค์ประกอบของทั้งวัตถุรูป ที่อาศัยใช้สอย ที่จะมีจะเป็น ไปจนครบทุกด้าน วัตถุถึงพฤติกรรม จนถึงนามธรรม เป็นความรู้สึก คุณค่าประโยชน์หรือแม้ที่สุดจบที่เสียสละ

 

ถ้ามนุษย์เสียสละได้จริง เสียสละจนไม่เหลือตัวตน นี่คือจบแล้ว แล้วก็อยู่กับสาธารณโภคีไป ทำให้มากให้เกินแล้วก็แจกจ่าย แต่ให้ประณีตประหยัดไม่สุรุ่ยสุร่ายฟุ้งเฟ้อ ฝึกหัดแต่ละคนจนเกิดเป็นพฤติกรรมกลุ่ม ที่เป็นเอกภาพไปเรื่อยๆ มั่นใจว่าระบบของพระพุทธเจ้าที่สัมมาทิฏฐิลงตัวนี้ดีมาก จะเกิดผลแก่มนุษย์ที่รู้แล้วก็ทำ

 

โลกทุกวันนี้เอาแต่รู้ แต่ไม่ทำ แล้วตีราคาความรู้สูงมากกว่าทำ เขาฉลาดรู้ก็เลยเอามาเป็นสิ่งที่เอาเปรียบเขาซับซ้อนได้ คนทำได้แต่ไม่เก่งหรือฉลาด ก็ถูกคนรู้คนฉลาดนี่ออกกฎระเบียบมาเพื่อให้คนรู้ได้เปรียบ ให้คนที่ทำเป็นแต่ไม่ฉลาดพอเป็นเบี้ยล่าง ตลอดเวลา ทุกวันนี้คนปลูกข้าวก็ไม่เป็นแล้ว รู้แต่ว่าไปซื้อมาหุงหรือซื้อมากินบางทีจ้างคนมาป้อนให้กินอีก

 

การศึกษาของเราจึงเป็น ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา จะรู้เท่าใดก็ต้องทำให้เป็นก่อน เรียกว่าวิทยาลัยอาชีวะ ไม่ใช่แค่ความรู้มากความคิดมากปฏิบัติไม่เป็น หลงส่งเสริมรู้มากๆไม่ทำเป็นนี่คือค่านิยมที่ผิด

 

คุณได้เรียนดร.นี่คุณได้เปรียบเขาแล้วได้เรียนมา เวลาเริ่มทำงานก็สตาร์ทเงินเดือนมากกว่าเขา ทำไมเอาเปรียบเขามากไป ทั้งที่คุณได้เปรียบเขาที่รู้กว่าเขาแล้ว ซึ่งถ้าคุณมีความสามารถจริงสตาร์ทพร้อมกันเงินเดือนเท่ากันสิ ถ้ามีความสามารถจริงก็จะพาสชั้นเอง แต่ว่าเอาเปรียบได้เปรียบเขาก่อนแล้ว แล้วก็ไปตั้งกฎเกณฑ์สังคม คุมกฎเกณฑ์ไว้แล้วหมด

 

อาตมาว่าสงเสริมอาชีวศึกษาให้เจริญนี่ดีแล้ว อย่าไปส่งเสริมมหาวิทยาลัยที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ พ่นแต่ความรู้แต่ให้ทำจริงไม่เป็นสักเท่าไหร่ ทำได้ไม่เท่าไหร่ ถ้ามีปัญญาเห็นแสงสว่างว่าอาชีวะนี่คือความรู้แท้และไม่เป็นหนี้ด้วย ส่วนพวกนักรู้แล้วเอาเปรียบเขาโดยสัจจะคือเป็นหนี้เป็นบาป พวกที่ทำเป็นตกลงไม่ได้เป็นข้าราชการกับเขา พวกข้าราชการเกษียรแล้วได้บำนาญอีก แต่พวกชาวนาชาวไร่กรรมกรไม่มีบำเหน็จบำนาญ แต่เดี๋ยวนี้มีเบี้ยเลี้ยงให้ผู้สูงอายุเป็นหลักร้อย แต่เขาที่ตั้งกฎเกณฑ์เองได้ก็ตั้งเงินให้เป็นแสนเป็นล้าน ยิ่งเป็นบริษัทตนเองก็ตั้งได้สูงตามใจเลย ถ้าคนประท้วงก็ไล่ออกได้ สรุปคืออาชีวะนี่ดีแล้ว

 

ของเราก็เป็นตามธรรม เราอยากได้มหาวิทยาลัยก็ไม่ได้สักที เราก็ได้แบบอาชีวะ ซึ่งไม่ต้องบอกหรอก อาตมาทำมหาวิทยาลัยก็ทำอาชีวะแน่ เพราะตั้งปรัชญาไว้ ว่า จากศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา ไปเป็น ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชา แล้วมาเป็น ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา

 

ไม่ทิ้งงาน แล้วจะไม่เป็นคนไม่เป็นหนี้ มีแต่กำไรคือได้เสียสละ คนขาดทุนคือคนได้กำไร โดยสัจจะคือคนเสียนี่แหละคือคนได้ มีอะไรให้เขาตั้งแต่วัตถุ จนถึงกำลังแรงงาน จนให้ความรู้ เป็นผู้ให้เขาจริงๆคือนั่นแหละคือผู้ได้ ถ้าไม่ใช่สัจจะโลกุตระแท้ อย่างในหลวง เอาอาตมาด้วยก็ได้ จะเห็นจริงเข้าใจจริงได้ยาก

 

คนเข้าใจจริงเห็นจริง ขีดหนึ่งเรียกว่าศรัทธา ความเชื่อ อาตมาแบ่งเป็น

1.เชื่อถือ(ศรัทธา) คือ คนในไทยนี่ก็เชื่อถือนับถือศาสนาพุทธส่วนใหญ่แต่ไม่เชื่อฟัง

2.เชื่อฟัง(ศรัทธินทรีย์) คือ เชื่อแล้วทำตามด้วย ถ้าเชื่อถึงขีดจะทำตามอย่างพระพุทธเจ้าให้ถือศีล 5 จะทำตามแล้วให้ถือศีล 8 ศีล10 จะทำตามเลย

3.เชื่อมั่น(ศรัทธาพละ) คือทำแล้วได้ผลก็จะเชื่อมั่นเลย

 

สรุปแล้วกว่าคนจะเข้าใจหรือถึงศรัทธินทรีย์ ศรัทธาพละ จึงไม่ใช่เรื่องธรรมดา แล้วพวกเราก็มีความจริงถึงศรัทธากล้าทิ้งทรัพย์สินของตน มาอยู่กับสาธาณโภคี กินน้อยใช้น้อย มีสมรรถภาพก็ทำให้ส่วนกลางหมด แล้วจะเอาไปสะพัดกันก็เอาเลย ยอมรับนับถือพวกเราที่จะทำประโยชน์แก่โลกแก่สังคม ไม่เบียดเบียนใคร ใช้เลือดใช้เนื้อของตน มีน้อยใช้น้อย แต่อย่าให้เกิดขัดข้อง หรือทำไปจนเป็นหนี้ใคร ทำไปจนไม่เป็นหนี้ หรือเป็นหนุน

 

เงินหนุนคือยืมเงินในหมู่พวกเราเองอย่างไม่มีดอกเบี้ยหรือติดหนี้บุญคุณ เราก็เลยเกื้อ ไม่กู้ เพราะการกู้คือมีดอกเบี้ยและมีบุญคุณ การเกื้อไม่มีบุญคุณแต่เป็นบุญคุณโดยสัจจะ เงินที่เกื้อมาเราเรียกว่าเงินหนุน เราจะซื่อสัตย์ไม่ชักดาบ ก็เป็นไปได้มาอยู่ทุกวันนี้ เงินกองกลางไม่มี NPL หรือหนี้เน่า ก็พอมีอยู่เหมือนกัน ขนาดคนคัดมาแล้วในอโศกยังมีหนี้เน่าเลย ก็พยายามคัดเฟ้นไม่ให้มาทำบาป เพราะมาทำหนี้เน่าในนี้ราคาบาปอกุศลมันแพงนะ คุณไปโกงเงินข้างนอกบาประดับหนึ่ง แต่ว่ามาโกงเงินข้างในนี่บาปมากกว่านะ เหมือนคุณฆ่าคนธรรมากับฆ่าพระอาริยะก็บาปต่างกัน ฆ่าโพธิสัตว์ยิ่งบาปมากกว่าอีก เป็นสัจจะ

 

สรุปอีกที ชีวิตมนุษย์นั้นต้องทำ ไม่ใช่เอาแต่รู้ ทุกวันนี้ค้าความรู้แล้วเอาความรู้ไปเอาเปรียบเอารัดกัน เป็นทั้งโลก ให้เลิกได้แล้วมันเป็นหนี้เป็นบาป อย่างเมืองไทยนี่เกิดรู้อย่างนี้ขึ้นมาวิเศษยิ่ง หลายอย่างในประเทศไทยคลีคลายไปเยอะ

 

ตอนนี้เราจะมีงานคารวะบูชาบรรพชนอุบลราชธานี ในวันที่ 5 มิถุนายน 2558 ก็เป็นวันคล้ายวันเกิดของอาตมานะ อาตมาไม่ได้ผลักดันให้เกิดนะ แต่ว่ามันเกิดเพราะเหตุปัจจัย อาตมาพยายามเลี่ยงให้จัดงานอโศกรำลึกตั้งแต่วันที่ 6-10 ซึ่งทำมาก็เป็นหลักค่อนข้างตายตัว แต่งานคารวะบูชาฯนี้มาเติมทีหลังก็เลยต้องมาลงตัวจัดที่วันนี้ ก็เลยได้วันที่ 5 มิถุนายน อาตมาก็ไม่ได้เจตนาแล้วมันเกี่ยวกับสายเชื้อตระกูลเจ้าคำผงอีก

 

เพื่อให้เกิดการรวมตัวของมนุษยชาติ เอาแรงงาน ความเห็น ความรู้มาทำ โดยอาศัยชื่องานนี้เป็นกตัญญูกตเวที ให้มีเหตุปัจจัยจูงนำลูกหลานที่สืบเชื้อ หรือว่าเป็นชาวอุบลฯซึ่งท่านสร้างเมืองอุบลฯมาด้วยเลือดด้วยเนื้อ สมัยก่อนต่อสู้กันไม่รอดก็ตายเลย สมัยนี้ใช้กดปุ่มในห้องทำงานเลย เป็นอำนาจซับซ้อนแต่สมัยโน้นท่านลงแรงออกหน้าจริง สิ่งดีๆอย่างนี้เราก็จะมาเตือนคนว่า อย่ามาใช้อำนาจอย่างคนสมัยใหม่ เราต้องมากตัญญู ท่านที่บุกเบิก มีอะไรดีก็มาสืบทอดกันไป

 

วัดหลวงที่เป็นวัดแรกของจ.อุบลฯ แล้วท่านเป็นผู้สร้าง จนบัดนี้ก็ยังอยู่ แม้อัฏฐิธาตุท่านก็อยู่กับอนุสาวรีย์ของท่าน หรือแม้แต่วัตถุต่างๆที่เนื่องเกี่ยวกับท่าน มีพิพิธภัณฑ์ก็อยู่ที่นี่

 

เป็นงานระดับจังหวัด ถ้าทำได้ดีก็จะเป็นต้นแบบทำต่อไปให้ดีขึ้นอีก ก็จัดให้มีองค์ประกอบศิลป์กันให้ดี ประกอบกัน เรามีเรือก็เลยเอาเรือเป็นองค์ประกอบศิลป์ เรามีแม่น้ำมูนก็เอาใช้เป็นองค์ประกอบ เราจะมีขบวนธรรมยาตรา นาวาบุญนิยม ก็จะมีประดับตกแต่งไปตามสุนทรีย์ แห่เรือจากบ้านราชฯไปวัดหลวง ในวันนั้น แล้วก็ทำพิธีบูชาคารวะ

 

กิจกรรมงาน คารวะบูชา บรรพชนอุบลราชธานี

5 มิถุนายน 2558  ณ วัดหลวง จ.อุบลราชธานี

14.00-15.00 น.  ธรรมยาตรานาวาบุญนิยม จากชุมชนราชธานีอโศก สู่ท่าน้ำวัดหลวง

15.00-15.30 น.  พิธีคารวะบูชาพระประทุมวรราชสุริยวงษ์(เจ้าคำผง) ที่วัดหลวง

15.30-17.00 น.  สนทนาโอภาปราศรัยระหว่างลูกหลานพระประทุมวรราชสุริยวงษ์

17.00-17.15 น.  ฉายวิดีทัศน์ "ประวัติเจ้าคำผง" (ผ่านจอ LED ใหญ่)

17.15-20.00 น.  รายการเสวนา "เหลียวอดีตแลอนาคต"  (บุญนิยมทีวีถ่ายทอดสด)

20.00-21.00 น. การแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย

*** มีโรงบุญมังสวิรัติแจกอาหารฟรีในงาน

 

อาตมานี่สายสุวรรกูฏิ คือ เจ้าคำผงเป็นพ่อของเจ้ากุทองที่ในหลวงพระราชทานนามสกุลให้ว่าเป็นสุวรรกูฎิ ซึ่งก็มีอีกหลายสาย อาตมาเป็น generation ที่ 7 จะมาร่วมกันทำสิ่งที่ดี โดยอาศัยถิ่นที่ จ.อุบลราชธานี นี้

 

เรามุ่งหมายแทรกโอสถทิพย์ให้เกิดคนละหน่ายคลายกิเลส กิเลสเจือจางหรือดับไปให้ได้ แต่เราก็อาศัยสังคมเป็นองค์ประกอบศิลป์ แม้แต่มีบันเทิงก็มีบ้างไม่ให้เลอะเทอะเกินไปก็ทำ

 

            อาตมาเองทำงานนี้ก็ไม่ได้มีเจตนาที่อยากได้อะไรตอบแทนมาให้แก่ตนที่เป็นโลกธรรมเลยแม้แต่น้อย

            อาตมาพูดปฏิเสธอย่างนี้ คนผู้ไม่เชื่อ ก็ย่อมไม่เชื่อเป็นธรรมดา อาตมาบังคับใครให้ไม่เชื่อ หรือให้เชื่อ ไม่ได้หรอก ใครจะเชื่อก็เชื่อเอง ใครจะไม่เชื่อก็ไม่เชื่อเอง ทั้งนั้น

 

อาตมาไม่คิดว่าตนเองใหญ่เลย ก็ทำไปตามเหตุปัจจัย ส่วนคนอื่นเขาจะยกให้ก็เรื่องของเขา เขายกให้เรามีหน้าที่รับหรือปฏิเสธ ไม่มีหน้าที่เรียกร้อง ใครเอามาให้ก็มีหน้าที่รับบ้าง กับปฏิเสธ อาตมาว่าอาตมาประพฤติเช่นนั้นนะ อาตมาไม่เรียกร้องว่าทำไมไม่ให้ฉัน อาตมาไม่แสดงออกเช่นนั้นนะ

 

อาตมาทำงานไม่ได้เก่งแต่ทำอย่างเอาความจริงที่ได้แล้วมาบอกว่าได้อย่างนี้นะ ทำได้อย่างนี้นะ มันมีความจริงที่อาตมายังไม่ได้ก็พากเพียรต่อไป แล้วก็ทำอย่างไม่มีอะไรแอบแฝง เพื่อเอาเปรียบเอารัดนะ เอาความจริงมาบอก อันไหนไม่มีจริงก็ไม่ได้เอาไปบอกนะ

 

            ส่วนผู้เชื่อบ้าง-ไม่เชื่อบ้าง หรือจะเชื่ออย่างเต็มใจ ก็แล้วแต่ความจริงใจของแต่ละคน เท่าที่ภูมิปัญญาของผู้นั้นมี ไม่มีใครบังอาจไปจัดการกับจิตใจของใครๆได้ อาตมาไม่ได้คิดว่า อาตมาจะได้ดีหรือไม่ได้ดี เพราะอาตมาแสดงความจริงของประวัติศาสตร์ของตนเองหรือของผู้เกี่ยวข้องต่างๆ

 

            แต่อาตมาทำงาน อาตมาร่วมทำงานอยู่ โดยนำเอาเรื่องราวประวัติศาสตร์มายืนยันเพื่อเป็นเหตุปัจจัยจะทำงานอันมีที่มาที่จะไปกันต่อไปเท่านั้น

            อาตมาพูดเรื่องเหล่านี้ หรือเปิดเผยความจริงพวกนี้ ก็คือเล่าเรื่องความจริงส่วนหนึ่งของวัฏฏสงสารก็แค่นั้น ซึ่งมันก็เกิดขึ้นแล้ว และดับไปแล้ว มันไม่มีแล้ว ยึดเอาไม่ได้ เหลือเพียงประวัติศาสตร์ ไม่มีความจริงอะไรเหลืออยู่แล้ว ที่กล่าวถึงจึงเป็นแค่ที่เป็นที่มาของเรื่องเท่านั้น

            ความจริงที่คนทั้งหลายจะได้อดีตมาเป็นสมบัติกันอีกนั้นไม่ได้แล้ว จะได้แต่ความรู้ แบบอย่างที่ควรเอามาสร้างให้เกิดให้เป็นขึ้นอีกในปัจจุบันนี้เท่านั้น ที่เป็นความจริง

            ความจริงนั้น ก็จะมีกันในปัจจุบันนี้ และจะเป็นเหตุปัจจัยที่จะต่อเนื่อง สืบเนื่องเป็น

ความจริงได้อีก ก็จะเกิดอีกอย่างนี้ แบบนี้ ในอนาคต และต่อๆๆๆไปในอนาคต

            อาตมาเคยบอกว่า... มีคนถามอาตมาว่า เป็นพระสารีบุตรมาเกิดหรือไม่? อาตมาก็บอกว่าใช่...​คนก็เลยนึกว่าเหมือนตัวตนบุคคล ที่เกิดมาสมัยพุทธกาล มีแม่ชื่อสารี คนนั้นชื่อสารีปุตโต ซึ่งอาตมาก็พิสูจน์เลยว่า ตัวตนอาตมาตอนนี้เป็นพระสารีบุตรไหม?ก็ไม่ใช่ แต่ถ้านามธรรมนั้นสืบต่อมาเป็นสัญญา ก็เป็นความรู้นั้น ความรู้นั้น ก็ไม่ใช่ของใคร แล้วจะบอกว่าเป็นความรู้ของพระสารีบุตร หรือว่าเป็นความรู้ของพระพุทธเจ้า ...​ก็ถ้าพระพุทธเจ้าองค์ไหนยังมีชีวิตอยู่ ก็คือเป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าองค์นั้น แต่ว่าถ้าท่านปรินิพพาน ก็ไม่ใช่ความรู้ของท่านแล้ว แต่มีนัยที่ว่า ความรู้นั้นอันเดียวกันหมดของพระพุทธเจ้าทุกองค์ ซึ่งก็อันเดียวกันกับของพระมหากัสสปะ คุณจะบอกว่าพระสมณโคดม คือพระกัสสปะมาเกิดได้ไหม? ก็ไม่ได้ แล้วจะบอกว่าอาตมาคือพระสารีบุตรมาเกิดได้ไหม?....ก็ไม่ได้ แต่จะบอกว่ามีภูมิเหมือนไหมก็คือเหมือน

 

            ความจริงจึงอยู่กับปัจจุบันนิดเดียว ผ่านปัจจุบันแล้วไม่จริง เราจะอาศัยจริงที่สุด อนาคตคือสิ่งที่เดินทางแล้วยังมาไม่ถึง แต่มีอยู่ ก็เรียกปัจจุบันทุกอัน อนาคตเดินทางอยู่ พอถึงเมื่อไหร่ก็เป็นปัจจุบันทุกตัว ผ่านไปเป็นอดีต แต่อดีตเป็นฐานการศึกษาที่จะให้รู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี ก็ให้เลือกทำสิ่งที่ดี ไม่ดีอย่าทำ

 

            มันมีจริงในปัจจุบัน ถ้ามันยังมีอยู่ในปัจจุบันต่อไปไม่หยุด ไม่ตัดความสืบต่อ(สันตติ) มันก็จะมีจริง ต่อไปในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ เป็นดีหรือชั่ว ในคน ในสังคม ...ที่มีอยู่-เกิดอยู่ ในวัฏฏสงสาร ความเป็นจิตนิยามมันก็จะวนเวียนหมุนต่อไปๆๆๆไปในวัฏฏสงสาร เชื้อนี้เป็นเหตุ-เป็นปัจจัย... มีพลังงานที่สืบต่อ(สันตติ)ไปอีกอยู่ มันก็จะมีต่อไปในอนาคต

            ถ้าคุณไม่ได้ล้างอาการสุข/ทุกข์ในจิตมันก็มีอยู่กับคุณตลอดกาล จนกว่าจะล้างให้จิตเป็นกลางได้นี่คือจิตอรหันต์ ไม่สุขไม่ทุกข์ตลอดกาล ดีหรือชั่วเป็นองค์ประกอบ ส่วนตัวเราเองมีแค่สุขกับทุกข์เท่านั้น เพราะแม้ชั่วเขายังสุขเลยกับคนที่ติด เราต้องเลิกชั่วมาก่อนแล้วแม้แต่ดีที่คุณยึดดี เอาดีเป็นสุขก็ต้องละล้างอีก ถ้าทำได้ก็หมดอนาคต ไม่มีแล้ว อดีตจะเกิดเพราะสุข เพราะทุกข์ก็ไม่สั่งสมอีก อดีตก็ไม่มีเกิดอีก อนาคตไม่เกิดอีก เพราะทุกปัจจุบันไม่เกิดแล้ว เป็นจุดสำคัญที่พระพุทธเจ้าค้นพบสัจธรรมทางนามธรรม

            สุข/ทุกข์ท่านเรียกว่าเวทนา ถ้าอ่านอันนี้ไม่ได้ไม่มีสิทธิ์เป็นอรหันต์ แม้แค่โสดาบันก็ไม่มีสิทธิ์ แต่โสดาบันอ่านได้แค่สุขทุกข์อย่าหยาบ

            อาตมาก็มาทำงานในสภาพนี้สิ่งนี้ ไม่ได้ทำเพื่อให้ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ หรือว่าให้คนมานับถือก็ไม่ ไม่ได้ทำเพื่อสะสมอัตตา 3 ไม่ได้ยึดว่าเราต้องได้ต้องมีต้องเป็นต้องประคบประหงมไว้เกินการณ์

            ดังนั้น เหตุที่ดีจะเป็นปัจจัยสืบต่อไปของคนในอดีต หรือเป็นเชื้อดีที่จะมาต่อเชื้อให้ดี

ยิ่งๆขึ้น มันก็เป็นสิ่งสมควรมิใช่หรือ

            ถ้าภาวะนั้นต้องมีอยู่ต่อไปในโลกเพื่อสัตว์โลกอาศัย

            หากแม้นใครทำให้เหตุหรือเชื้อแท้ของจิตที่เป็นเหตุหรือเชื้อแห่งความไม่ดี หรือเชื้อแห่งทุกข์ ที่เป็นภาวะของจิตดับไปในปัจจุบันนี้ได้เด็ดขาด ไม่เกิดอีกตลอดไป นี่ก็ควรอย่างยิ่งใช่มั้ย?

            ใครได้ทำใจในใจอย่างนั้นจนประสพผลสำเร็จ ภาวะแห่งความไม่ดีนั้นไม่มีอีกในจิตตน พลังงานแบบนั้นก็จะไม่มีสืบต่อ(สันตติ)ไปอีกแล้วตลอดไป

            แม้ส่วนที่เป็นองค์ประกอบที่เป็นกายหรือเป็นส่วนวัตถุรูปของความเป็นร่างของชีวะดับไปผ่านไป...จากปัจจุบัน แต่กายที่เป็นองค์ประกอบส่วนจิตที่เหลือ ซึ่งเชื้อแท้ของจิตที่เป็นเหตุหรือเชื้อแห่งความไม่ดี หรือเชื้อแห่งทุกข์ ที่เป็นภาวะของจิตได้ดับไปแล้วในปัจจุบันนี้เด็ดขาด ไม่เกิดอีกแล้ว จึงมีจิตที่เหลือส่วนที่ดีจะเกิดอีกต่อไป มีร่างมีองค์ประชุมของรูปและนามคือกายอีก มันก็ไม่เสียหายอะไรนี่  

            ความรู้และความจริงที่พึงควรเห็นความสำคัญ ที่จะตัดพลังงานไม่ดีนั้นไม่ให้สืบต่อ ให้มันดับในปัจจุบันนี้ ในความเป็นพลังงานในความเป็นจิตใจ ของคนให้เด็ดขาด

            นี่คือ งานที่ควรช่วยกันทำ ช่วยกันบอกสอนอธิบายให้คนได้รู้ได้ชัดเจน และเอาไปทำกำจัดตัดพลังงานไม่ดีนั้นไม่ให้สืบต่อ ให้มันดับในปัจจุบันนี้เด็ดขาดกันให้ได้มากๆถ้วนทั่วทุกคน

            ให้มีแต่พลังงานที่ควรจะมี เท่านั้นให้สืบต่อๆๆๆไปอยู่ในโลกอนาคต ที่จะเป็นจริงต่อไป

            นี่คือ จุดหมายทำงานของอาตมา ในชีวิตที่มีอยู่ จะอีกกี่ชาติก็ตาม

            ใครเห็นด้วย ก็มาช่วยกัน

            แม้ใครไม่เห็นด้วยก็ตรองดูว่า ควรต้านควรค้านมั้ย?

            ถ้าไม่ควรต้าน ไม่ควรค้าน ก็ปล่อยให้อาตมากับพวกพากันทำเถิด

            เราไม่ได้ทำเพื่อจะหาเหลี่ยม หาเล่ห์ที่จะได้อามิสมาให้ตนหรอก ขอยืนยันว่าที่พูดนี้ จริง

            แต่อีกแหละ อาตมาพูดไปใครจะเชื่อหรือไม่เชื่ออาตมาก็ไปบังคับใครไม่ได้

            แต่อาตมาว่า อาตมามีสิทธิ์พูดความจริง ก็ขอพูดความจริงนี้เถิด

            อาตมาเห็นจริงว่า ชีวิตนี้ถ้าใครดับเวทนาไม่ให้มันหลงยังมีสุขๆ-ทุกข์ๆอยู่ได้สำเร็จอย่างไม่เกิดอีกแล้วจริง ก็จะไม่เป็นภาระ จะไม่กังวล แม้แต่ความขี้เกียจ ความเห็นแก่ตัว ก็ไม่เหลือ

            ชีวิตก็จะไม่มีอะไรถ่วงเราเลย เราจะเห็นชัดว่า มันเบาว่างง่ายที่สุดแล้วชีวิตมนุษย์ เหลืออยู่แต่ความมีเวลาที่จะทำงานให้แก่โลก ให้แก่สังคม ซึ่งเราก็รู้แล้วว่า อะไรดี อะไรชั่ว และเราก็สำเร็จในตนเองมาแล้วว่า ไม่ทำชั่ว ทำแต่ดี เพราะจิตเราได้ทำให้สะอาดจากกิเลสได้สัมบูรณ์แล้ว เราจึงจะทำงานแต่งานดี แม้ความขี้เกียจเราก็ไม่มีแล้ว

            เราไม่พัก(อัปปติฏฐัง)อยู่[ก็คือเพียร] -เราไม่เพียร(อนายูหัง)อยู่[ก็คือพัก] ก็เท่านั้นเองในชีวิตมนุษย์ผู้ข้ามโอฆสงสารได้แล้ว ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 15 ข้อ 2

            อาตมาเห็นจริงอย่างนี้ และทำให้เป็นอย่างนี้ จะได้มากได้น้อยเท่าใด ก็ตามที่อาตมาเป็นได้จริงนั้นๆ เท่านั้นจริงๆ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็แล่วแต่...

 

            คนที่จะมาเป็นครูของโลก (อุตรกุรุทวีป)คืออยู่กับโลกแต่ไม่ได้ติดโลก ไม่ได้วนเวียนติดยึดกับโลกเขาไม่ถือสาไปกับเขา แต่ก็ทำงานอยู่กับโลกช่วยโลกอยู่ แม้ที่อาตมากำลังทำงานเอื้อเอื้อเกื้อกว้างไปกับทางวัดหลวง ไม่ได้ทำงานกับหมู่อโศกทีเดียวก็เพื่อเสริมสร้างให้เกิดมนุษย์อุตรกุรุปทวีปนี้แหละ  


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:53:42 )

580511

รายละเอียด

580511_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ เอกีภาวะเจาะลึกถึงอรูปฌาน

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 11 พ.ค. 2558 เป็นวัน แรม 9 ค่ำ เดือน 6 ปีมะแม...​วันนี้เราจะมาเจาะลึกกันลงไปให้ละเอียด

 

ซึ่ง ความเป็นจริง แต่ละคนที่มาฟังอาตมาบรรยาย อาตมาก็ถามผ่านจอโทรทัศน์ถามผู้อยู่ทางบ้านด้วย ก็ขอถามส่งผ่านไป ว่า ที่อาตมาบรรยาย ในเมืองไทยคงยังไม่เคยมีใครบรรยายแบบนี้ ตั้งแต่อาตมาได้นำเอาความจริงที่อาตมามั่นใจมาเปิดเผย ในเมืองไทย ตั้งแต่เรืองสมาธิที่สอนกันมาผิดๆก็พูดมาตลอด ตอนหลังนี้ก็พูดว่าที่ปฏิบัติพากันทำอยู่มันไม่เข้าทางพระพุทธเจ้าเลย เพราะไม่รู้จักคำว่ากาย หรือคำว่า บุญ เขาก็รู้คำว่ากาย แต่รู้ผิด มิจฉาทิฏฐิ การปฏิบัติธรรมจึงงมงายตลอดเวลา ก็ถามผู้ที่นั่งฟังก็จะตอบต่อหน้าอาตมา ว่าฟังแล้วรู้สึกอย่างไร? อาจฟังแล้วก็อาจว่าพูดทำไม ไปหาเรื่องทำไม เขานับถือกระแสหลักทั้งโลกเลย

 

มีท่านพุทธโกษาจารย์มาเป็นต้น หรือว่าเรียนกันมายืนยันว่า เป็นตำราหลัก แต่อาตมาก็ว่าเพี้ยนไปจากพระพุทธเจ้า และมาถึงวันนี้อาตมาแจกแจงรายละเอียดถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าต่างๆมายืนยันว่า ที่อาตมานำมาอธิบายนั้นมันลงกัน รับกัน ขยายกัน ส่งเสริมกันไปกันได้ ร้อยพวงมาลัยได้แท้จริงเลย

 

และยังอธิบายลึกซึ้งซับซ้อนเข้าไปอีก ถ้าไม่รู้จริงก็จะงงๆ แต่ก็ถามเลยว่าที่นั่งฟังนี่ยิ่งงง หรือยิ่งฟังยิ่งกระจ่าง...ก็ยิ่งกระจ่าง ถือว่าเป็นคำตอบที่ทำให้อาตมามั่นใจว่าคือความจริงที่ถูกต้อง เพราะถ้าอธิบายผิด จับแพะชนแกะไป ถ้าไม่จริง พวกคุณจะไม่กระจ่าง จะมืด งง สงสัยไปใหญ่เลย ส่วนทางบ้าน หรือทางวัดอื่น ถ้าได้ติดตามฟังที่อาตมาได้พูดไป อาตมาว่าถ้าท่านสนใจจริงๆ ไม่ต้องถือว่าตนเป็นผู้รู้มากก็ได้ ยิ่งผู้ที่ได้เรียนมาหากไม่มีจิตต้านเกิน มีปรโตโฆษะบ้าง จะเกิดปัญญาอย่างดี ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา

 

วันนี้จะเจาะลึกลงไปอีก ในคำถามที่ว่า เอกภาพหรือเอกีภาวะ ที่บอกว่า  บ้านราชฯเป็นบ้านราชเมืองเรือ บ้านไม้เมืองหิน บ้านดินเมืองน้ำ บ้านงามเมืองพุทธ บ้านพิสุทธิ์เมืองอมตะ มีนิยามชีวิต 5 อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ  มีสถาบันการศึกษาหลายอย่าง ทั้ง ว.บบบ. วนบ. ว.สว. ฯ ขอฟังทัศนะของพ่อครูในการพัฒนาเอกีภาวะอย่างไร?

ตอบ...อาตมาก็ได้ตอบไปบ้างแล้วก็จะตอบย้ำและลึกไปอีก ให้ชัดเจนว่า คำว่าเอกีภาวะไม่ใช่เอาสภาพต่างกันภายนอกที่หลากหลาย แต่เอกีภาวะหมายถึงจิตที่มีปัญญาแล้วมีคุณลักษณะที่ครบทั้งปัญญาและเจโตพร้อม จึงเป็นเอกีภาวะ แล้วยิ่งเป็นเอกภาพย่ิงเท่าใด ความแตกต่างหลากลายยิ่งมีมากเท่านั้นในภายนอก ดังสำนวนฝรั่งเขาบอกว่า Unity of Diversity คำว่า Unity คือเอกภาพ ของ Diversity คือความหลากหลาย ก็อย่างที่ถามมาว่า บ้านราชฯเป็นบ้านราชเมืองเรือ บ้านไม้เมืองหิน บ้านดินเมืองน้ำ บ้านงามเมืองพุทธ บ้านพิสุทธิ์เมืองอมตะ มีนิยามชีวิต 5 อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ  มีสถาบันการศึกษาหลายอย่าง ทั้ง ว.บบบ. วนบ. ว.สว. ฯ ขอฟังทัศนะของพ่อครูในการพัฒนาเอกีภาวะอย่างไร? นี่ก็เอาหลักฐานตัวตนแท่งก้อนง่ายๆมาถาม แล้วก็ถามว่าจะเป็นเอกภาพกันอย่างไร?

 

ก็ตอบไปบ้างว่าเป็นเอกภาพทางจิตวิญญาณ สิ่งแตกต่างเหล่านั้นเป็นเหตุปัจจัยของมนุษย์ของสังคม เป็นกัมมันตะ อาชีวะ แม้จะเป็นวาจา เป็นคำพูด เป็นการกระทำ แล้วก็ใช้เป็นการเลี้ยงชีพ อาชีวะก็เกิดจากสังกัปปะ

 

การได้ปฏิบัติธรรมจนถึงสัมมาสังกัปปะ อย่างบรรลุผลสำเร็จผล ที่ถึงฌาน ถึงสมาธิ ถึงจิต จนกระทั่ง จิตได้ฌาน 4 โดยไม่ยากไม่ลำบาก และจิตนั้นตั้งมั่นเกิดขึ้น ในตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ ภาคนี้คือจิตเป็นฌาน ส่วนอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนาคือ ภาคสมาธิ คือปัญญาวิมุติ กับ เจโตวิมุติ

 

ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ คือปัญญาวิมุติ ส่วนอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นเจโตสมถะ...

 

ที่อธิบายขยายนี้ก็ไม่มีที่ในตำราใดหรอก ในอรรถกถาจารย์หรือแม้ในพระไตรฯก็ไม่มีอย่างที่อาตมาพูด แต่ก็มั่นใจว่าไม่ได้ออกนอกที่พระพุทธเจ้าตรัส เพราะมั่นใจว่าเอาสภาวะที่เป็นมาพูด อาตมาใช้ฌาน 1 ฌาน2 ฌาน 3 ฌาน 4 ก็แล้วแต่จะใช้ เพราะฌานของอาตมาได้ตลอดเวลา จะอยู่ในฌาน 1 คือต้องปรุงอย่างมาก ถ้าคนมีกิเลสก็ยังเคร่งคุมเป็นวิตก ส่วนวิจารคือทำพฤติกรรมนั้นออกมา พฤติกรรมจิตออกมาเป็นวาจากัมมันตะ จนเป็นอาชีวะ จะออกมาทำในระดับไหนเป็นอนุโลมปฏิโลม ที่ผู้ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌานทั้ง 4 ทำได้ง่าย

 

ไม่ใช่ว่าต้องไปนั่งหลับตาทำฌานในภวังค์ เขาว่าถ้าจะใช้วิปัสสนาต้องถอนจากฌาน 4 ถอนจากอุเบกขา ที่ไม่คิดไม่นึก ออกมาให้มีการปรุงให้นึกคิดให้คลาย แล้วเขาก็ว่าให้เป็นฌาน 3 ฌาน 2 ฌาน 1 มีวิตกวิจารแล้วจึงวิปัสสนา ที่เขาแปลว่า ขบคิด คือคิดอะไรขึ้นมาเพื่อเกิดความเข้าใจเพิ่มขึ้น ซึ่งไม่ใช่วิปัสสนาเลย

 

คำว่าวิปัสสนา มีคำว่า ปัสสติ คือการเห็น เป็นกิริยา เห็นอยู่หลัดๆ มีตาเห็นรูปอยู่ภายนอก เป็นฌานพุทธ ไม่ใช่แบบหลับตาไปเห็นนั่นไม่ใช่ฌานพุทธ ผู้ที่คล่องแคล่วแล้วก็จะทำได้โดยง่ายและเข้าใจ ฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 ฌาน 4 แล้วใช้ได้อย่างชำนาญในชีวิตประจำวัน มีจิตมุทุภูตธาตุ เปลี่ยนแปลงได้เร็วไว เชิงเจโตจะอนุโลมได้ง่าย ปัญญาก็จะเข้าไปร่วมทำงานได้อย่างดี

 

        • ฌาน สมาธิของพระพุทธเจ้าเป็นฌานเป็นสมาธิที่มีการงานด้วย ไม่ใช่เข้าฌานเข้าสมาธิแล้วทำงานไม่ได้ พูดก็ไม่ได้ ยิ่งงานอาชีพก็เลิกพูดกันเลย ถ้าฌานสมาธิเป็นแบบที่เขาทำ ก็เท่ากับทำให้คนสิ้นค่า คือมัวแต่เข้าฌาน สมาธิ ก็คือไม่ต้องทำการงานอาชีพ ทางกาย วาจา ใจไม่ต้องทำ ให้คนอยู่เฉยๆ
        • หรือพูดว่าถ้าให้เลือกระหว่าง ฌาน ชนิดหนึ่งไม่ได้ต้องเสียเวลาหยุดทำกิริยา ไม่เสียเวลาทำงานทำการอาชีพ ทำมาหากินได้แคล่วคล่อง พูดได้ทำงานได้ทำกรรมกิริยาทุกอย่างทำอาชีพเลี้ยงตนได้ กับ ฌานอีกแบบที่เอาแต่หลับตา ไม่ทำมาหากิน ไม่ทำการงาน จะเอาฌานแบบไหน? ไม่ต้องพูดเรื่องผิดหรือถูกก็ได้
        • แล้วที่พูดนี่เป็นจริงไหม เป็นฌานแล้วทำงานได้ ทำอาชีพได้ มันเป็นจริงไหม? พวกเราก็ทำพิสูจน์จนทำได้กันมาแล้ว
        • ฌานหมายความว่าอะไร? ฌาน หมายความว่า จิตเพ่งเผา ซึ่งเขาก็แปลว่าจิตเพ่งเผา แต่เขาเอาแต่เพ่งไม่ค่อยมีเผา เพ่งให้จิตนิ่ง ดังนั้นฌานที่รากศัพท์แปลว่าไฟ จึงเลือนหายไป เขาอธิบายไม่ได้ ยังดีในพจนานุกรมบาลี-ไทยยังแปลว่า ไฟ
        • ที่ ว่า ไฟ คือบัญญัติแทนพลังงานทางจิต ที่กำจัดพลังงานพยาบาท นิวรณ์ พลังไฟ ราคะ โทสะ โมหะได้ คำว่าไฟฌานคือเป็นไฟที่ไปสู้กับ พลังไฟ ราคะ โทสะ โมหะ ได้ เป็นวสี เป็นอำนาจเป็นพลังอย่างแท้จริงเลย มีธรรมฤทธิ์ กำจัดได้

 

.33 ข.137 พระพุทธเจ้าตรัสว่า ...กิเลส

ที่มีกำลังทุรพล อันนอนเนื่องอยู่ในสันดานของเรา ถูกเผาด้วยไฟ

คือญาณแล้วไม่สิ้นไป ข้อนั้นไม่เคยมีเลย ผู้ใดเป็นที่เคารพของ

โลกทั้งปวง เป็นผู้เลิศลอยในโลก และเป็นอาจารย์ของโลก โลก

ย่อมอนุวัตรตามผู้นั้น เราประกาศพระธรรมเทศนาสดุดีพระสัมพุทธ

เจ้า ด้วยคาถามีอาทิดังกล่าวมาตราบเท่าสิ้นชีวิต จุติจากอัตภาพนั้น

แล้วได้ไปสวรรค์ ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ เรากล่าวสดุดีพระพุทธเจ้าใด

เพราะการกล่าวสดุดีนั้น เราไม่รู้สึกทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการกล่าว

สดุดี ครั้งนั้น เราได้เสวยราชสมบัติใหญ่อันเป็นทิพย์ในเทวโลก ได้

เสวยราชสมบัติใหญ่ของพระเจ้าจักรพรรดิก็มากครั้ง เราเกิดแต่ใน

สองภพ คือ ในเทวดาและมนุษย์ คติอื่นไม่รู้จัก นี้เป็นผลแห่งการ

กล่าวสดุดี เราเกิดแต่ในสองตระกูล คือ สกุลกษัตริย์และสกุล

พราหมณ์ หาเกิดในสกุลที่ต่ำทรามไม่ นี้เป็นผลแห่งการกล่าวสดุดี

 

ถ้าไปปฏิบัตินั่งหลับตาแล้ว ญาณปัญญาจะไม่เหมือนกัน ไม่เป็นวิปัสสนาญาณ เป็นแต่สัญญาญาณ เอาความจำมานึกคิด ไม่เป็นฌานลืมตาที่จิตรับวิถี เห็นอยู่รู้อยู่ เป็นปัจจุบันนั่นเทียว มีวิญญาณเกิด แต่อย่างไปนั่งหลับตาทำ ไม่เกิดวิญญาณครบ เอาแต่ในสัญญามาปฏิบัติ แต่แบบลืมตา จะรู้จริงรู้แจ้งตัณหาทั้ง 6 ที่เกิดทางทวารทั้ง 6 กระทบแล้วเกิดกิเลสตัณหาให้เกิดอย่างเห็นอยู่หลัดๆ เป็น Phenomenal ไม่ใช่ไปนึกคิดแต่ในรูปภพ อรูปภพ แต่นี่มีกามาวจรให้เห็นจริงเลย การทำฌานลืมตาจึงเห็นของจริง พูดกันรู้เรื่อง

 

พระพุทธเจ้ายืนยันชัดเจนว่า การปฏิบัติธรรมจะต้องมีสักขี ครบองค์ประชุมของกาย สัมผัสครบกาย คำว่ากายคือองค์ประชุม ซึ่งเขาเข้าใจคำว่ากายเพี้ยนไปว่าคือข้างนอก แต่ก็ดีอย่างคือเขาไม่มีกาย

 

การปฏิบัติต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จิตก็โน้มไปสู่ทิศเจริญ สุภันเตว อธิมุตโตโหติ จิตโน้มไปสู่สิ่งที่น่าได้น่ามีน่าเป็นสูงสุด สุภันเตวะ เกิดเป็นผลเช่นนั้นด้วยการมีพร้อมทั้งวิโมกข์ข้อที่ 1 รูปีรูปานิปัสสติ ทั้งวิโมกข์ข้อ 2 คือ อัชฌัตตังอรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิปัสสติ

 

วิโมกข์ 8 ก็คือทำฌานทำสมาธิ แต่ถ้ามีการเห็นรูปหลัดๆ เห็นอย่างลืมตา ไม่ใช่ไปนึกคิดในรูปภพ อรูปภพ แต่ต้องมีกามาวจร อย่างในพระไตรฯล.10 มหานิทานสูตร ข้อ 60 อธิบายว่า ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามรูปต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ เมื่ออาการ

เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี ผัสสะจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งผัสสะ ก็คือนามรูป

นั่นเอง ฯ

 

นี่ถ้าอาตมาพูดโมเมนะ ก็จะเพี้ยนไป พวกคุณก็จะมึนไปเรื่อยๆ พูดครั้งต่อไปก็จะพูดเพี้ยนไม่เหมือนเดิม แต่นี่พูดไปกี่ครั้งร้อยครั้นพันครั้งก็เหมือนเดิม เพราะมันละเอียดลออมากเลย ไม่มีทางพูดได้เหมือนเดิมหากไม่มีสภาวะจริง แล้วพูดหลอกพวกคุณนี่เดี๋ยวพวกคุณก็จับได้ พวกคุณโง่นักหรือ ไม่ใช่ว่าเหมือนบางสำนักที่หลอกให้คนกู้เงินมาทำบุญ

 

ก็ขอย้ำฝากผู้บริหารประเทศว่าเรื่องนี้อย่าให้หายไปเหมือนสายลมพัด เป็นเรื่องร้ายกาจที่ต้มคนจำนวนมาก ทำให้คนโง่ลง ทำลายศาสนา ทำลายสังคม มนุษยชาติ หากหลักฐานชัดเจน จับได้ไล่ทันขนาดนี้ก็ไม่เด็ดขาด นี่จะเรียกมาให้การก็จะเป็นจะตาย ว่ามีโรคไปไม่ได้ อาจตายวันตายพรุ่งก็ได้นะ ขออภัยไม่ได้แช่งนะ โรครุมร้ายเหลือเกิน อาตมาขอฝากจริงๆด้วยความเห็นแก่ชาติ เห็นแก่ศาสนา เห็นแก่มนุษยชาติ กรุณาเอาภาระทำหน้าที่ให้เรียบร้อย

 

การได้ฌาน สมาธิของพระพุทธเจ้านั้น มันจะมีที่อาตมานำมา ในพระไตรฯล.24 ข. 29  ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญา 4 ประการนี้ 4 ประการเป็นไฉน คือคนหนึ่งย่อมจำ

ปริตตารมณ์  คนหนึ่งย่อมจำมหัคคตารมณ์  คนหนึ่งย่อมจำอัปปมาณารมณ์  คนหนึ่งย่อมจำ

อากิญจัญญายตนะ  ว่า หน่อยหนึ่งไม่มีดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญา 4 ประการ

นี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสัญญา 4 ประการนี้ อากิญจัญญายตนะที่คนหนึ่งจำได้ว่า

หน่อยหนึ่งไม่มี ดังนี้เป็นเลิศ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายแม้ผู้มีสัญญาอย่างนี้แลมีอยู่

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเป็นอย่างอื่นมีอยู่แท้ ความแปรปรวนมีอยู่แก่สัตว์ทั้งหลายแม้ผู้มีสัญญา

อย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหน่ายแม้ในสัญญานั้น

เมื่อหน่ายในสัญญานั้น ย่อมคลายกำหนัดในสิ่งที่เลิศ จะป่วยกล่าวไปไยในสิ่งที่เลวเล่า ฯ

 

ปริตตารมณ์คืออารมณ์ที่ทำได้ขนาดย่อยๆแบ่งส่วนทำ ตั้งแต่กามาวจร จนทำได้ก็เลื่อนไปเป็นรูปาวจร อรูปาวจรไป ทำเพิ่มไปเรื่อยๆ จนเป็นอัปปมาณารมย์ คืออารมณ์ที่มาก เยอะ ครบ สมบูรณ์ถ้วนเต็ม

 

อากิญจัญญายตนะคือความมีอายตนะรู้ว่า หน่อยหนึ่งนิดหนึ่งไม่มี อันนี้เป็นสัญญานะ ท่านใช้ว่า สัญญา 4 เป็นการกำหนดรู้ อันที่ 4 นี้คือกำหนดไม่มีนิดหนึ่งน้อยหนึ่ง นั่นคือการบรรลุ อสัญญีสัตตายตนะ คือธาตุรู้ที่มีอายตนะกำหนดรู้อยู่ ทางตา หู จมูก ลิ้น กายใจ  มีอายตนะครบ แม้ที่สุดสมบูรณ์ด้วยวิญญาณฐีติ 7 ก็ถึงขั้นอายตนะ 2 คืออสัญญีสัตตายตนะ กับ เนวสัญญานาสัญญายตนะ พระพุทธเจ้าตรัสว่าอันนั้นเป็นอายตนะ 2

 

อสัญญีสัตตายตนะคือสัตว์ที่มีอายตนะ แต่มีอสัญญี คือมีธาตุรู้นะอายตนะเป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างรูปกับนาม คือสัตว์ที่ดับสัญญา คำว่าอสัญญีสัตตายตนสัตว์นี้ ตามสัตตาวาส 9 ข้อที่ 5 คือพวกมิจฉาทิฏฐิปฏิบัติ มาผิดเป็นฌาน 4 พอข้อที่ 5 ก็กลายเป็นอสัญญีสัตว์ ไปดับสัญญาเลย แล้วก็แปลเข้าใจไปเช่นนี้ไม่ว่าอาจารย์ไหนๆ สอนกันมาก็กลายเป็นถ้าจะเข้านิโรธต้องดับสัญญาหมด ไม่รู้เรื่องแถมดับเวทนาด้วย เป็นเช่นนั้น ซึ่งมันผิด

 

เนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น คำว่า อสัญญีสัตตายตนะคือสัตว์ที่ดับอสัญญี มีอายตนะ ส่วนเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น คือสัญญากำหนดรู้ การกำหนดรู้ก็คือภาคปฏิบัติ ท่านปฏิบัติผ่านอากิญจัญญายตนะมาขั้นหนึ่งแล้ว ในวิญญาณฐีติข้อที่ 7 ก็ผ่านอากิญจัญญายตนะคือนิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่เหลือแล้ว เป็นฐานนิพพาน แต่มิจฉาทิฏฐิอย่างอาฬารดาบสก็ไปนั่งดับไปหมด

 

คำว่า อสัญญัสัตว์ กับอสัญญีสัตตายตนะ นั้น มีอสัญญีเหมือนกัน แต่มันต่างกัน ซึ่งถ้าเข้าใจว่ามันต่างกันไม่ได้ก็จะปนกันไปหมด แยกจิตละเอียดไม่ได้ ปฏิบัติธรรมไม่บรรลุหรอก

 

ที่อาตมาเอาสัญญา 4 มาพูด เมื่ออากิญจัญญายตนะก็ทำให้กิเลสไม่มีนิวรณ์ได้อย่างลืมตานี่แหละ แล้วข้อที่ 2 ของอายตนะ 2 คือเนวสัญญานาสัญญายตนะ มันต่อจากอากิญจัญญายตนะ ข้อนั้นคือข้อทบทวนตรวจสอบ จะว่ารู้ก็ไม่ใช่ไม่รู้ก็ไม่ใช่ไม่ได้ ต้องกำหนดรู้ สัญญาให้หมด นาสัญญา แม้แต่อากาสานัญจายตนะก็ต้องกำหนดรู้ให้อีกๆๆๆ ให้รู้ในเวทนา 108 ทุกปัจจุบันตรวจสอบอากาสาฯ วิญญานัญจายตนสัญญา ก็ต้องตรวจสอบกำหนดรู้ทุกวิญญาณทุกปัจจุบันที่สัมผัส ที่ว่าวิญญาณสะอาดบริสุทธิ์เป็นอากาสนี่คืออย่างไร ทำไปก็จะชำนาญ ทำเนกขัมมสิตอุเบกขาให้เป็นสังขารุเปกขาญาณ ให้เป็นอเนญขาภิสังขาร ด้วยทำอาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมังแล้วตรวจสอบสัญญาอ่านว่ามันว่าง อากาสาฯ มันเป็นสภาวะว่าง ส่วนวิญญาณธาตุรู้มันเป็นเช่นนี้นะ มันคนละลักษณะนะว่าระหว่างอากาสธาตุกับวิญญาณธาตุ มันต่างกัน วิญญาณสะอาดที่เป็นอุเบกขานะ แล้วธาตุว่างกับธาตุวิญญาณ มันมีธุลีละอองเหลือไหม? แล้วมันจะใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่รู้ไม่ได้ต้องตรวจแล้วตรวจอีกทำแล้วทำอีก จนนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

จนเกิดญาณตัวสุดท้าย คือ กตญาณ คือญาณที่บอกให้รู้ว่า จบ ก็ตรวจ เวทนา 106 ทุกกาละ อดีต ปัจจุบัน อนาคต อย่างละ 36 ก็ตรวจทั้ง อดีต และอนาคต อปรันตะ และปุพพันตะ ก็สูญเหมือนกัน

 

ส่วนอนาคต อปรันตะ ก็คืออปรโคยาน ส่วนปุพพันตะก็คือปุพพวิเทหทวีป

 

อประหรือปรันตะ ก็อื่นอีกๆ จนผู้ปฏิบัติไปข้างหน้าจนสุดแล้ว แล้วที่สุดก็คือ ทำจนกระทั่งมั่นใจว่า เป็นกิจญาณที่สมบูรณ์ตัดสินได้เป็นกตญาณ เป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)แล้ว มีต้นทุนในปุพพวิเทหะคือสูญที่สุดแห่งปุพพันตะก็เป็นฐานสูญ ปัจจุบันก็สูญ เมื่อมั่นใจแน่แล้ว อนาคตก็ต้องไม่มีทางเป็นอื่น เหตุปัจจัยนี้ครบแน่นอน ไม่ใช่การเดาหรือทำนาย แต่มั่นใจในหลักฐานความจริงยืนยัน

 

เวลาจะตัดเสื้อคุณก็ต้องมีรูปแบบของเสื้อ แต่อาตมาพูดถึงเสื้อที่เต็มรูป คุณจะอ๋อ พูดถึงแขนก็จะอ๋อ พูดถึง ตัวก็จะอ๋อหรืออธิบายต่อมีปกเสื้อก็จะอ๋อ แม้จะไม่ถึงเต็มรูปก็จะตามรู้ได้ จนถึงรูปสมบูรณ์แบบ

 

ฌาน กับสมาธิ เช่นนี้จิตที่ได้ปฏิบัติจึงมีคุณสมบัติที่มี พุทธพจน์  7 มาก็ให้พิจารณา 6 อันนี่แหละที่จะบ่งบอกเอกีภาวะ

1.        สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)

2.       ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) 

3.        ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)

4.        สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน)

5.        อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน)

6.        สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่)

7.        เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)

(โกสัมพีสูตร พตปฎ. ล.22  ข.282-283)

 

ไม่ใช่ว่า ไปเอาจิตออกนอกตัว ไม่คิดถึงใครเลย ใครจะเป็นจะตายก็ไม่ดูแลเลย แต่ไม่ใช่ กลับเป็นคนที่มีเมตตา คำนึงถึงมนุษยชาติ รักกัน เคารพกัน แล้วก็ช่วยกัน เกื้อกูลกัน ช่วยเหลือกันไม่ทะเลาะวิวาท

 

ไม่วิวาท แต่มีความหลากหลาย ก็จะเข้าใจอนุโลมปฏิโลมไปตามความหลากหลาย แต่อยู่กันอย่างประสานกัน ยิ่งแข็งแรงยิ่งมากขึ้น ยิ่งหลากหลายยิ่งขัดแย้ง แต่ก็เข้าใจกันว่า คนไหนพออยู่ได้ไม่ถึงกับเสียหายเป็นเชื้อโรคก็อยู่กันไปอนุโลมกันไป บางอย่างไม่เป็นพิษก็อยู่ไป สามัคคีคือความขัดแย้งอันพอเหมาะ แต่อยู่กันได้อย่างสมานัตตตา แล้วก็มีเสมอสมานกัน โสดาบันเสมอโสดาบัน สกิทาฯเสมอสกิทาฯ อนาคาฯเสมออนาคาฯ

 

ลักษณะเอกีภาวะจึงมีลักษณะของ 7 ชนิด รวมเอกีภาวะด้วยหรือมีลักษณะ ทั้ง 6 นี่แหละคือความเป็นเอกภาพคืออยู่กันอย่างช่วยเหลือเกื้อกูล อย่างมีสัมพันธภาพพิเศษ ที่พูดนี่มีจริงไหม? แล้วหลงตัวหลงตนไหม?

 

ขอยืนยันว่าเป็นสัจจะจริง ผู้ไม่มีสภาวะเข้าถึงไม่ได้จะปฏิเสธ ว่าพูดไปเรื่อยเลอะเทอะ แต่ถ้าอาตมาพูดเลอะไป ก็จะไม่มีหลักฐานเกิดเป็นหมู่กลุ่มเช่นนี้จนเขาปฏิเสธไม่ได้ ไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวแล้วนะมีลูกหลาน

 

ทำไมต้องระลึกถึงกันเพราะไม่ได้สอนให้เห็นแก่ตัว หรือให้อสังสัคคะแบบอยู่แต่ผู้เดียวไม่ไม่เกี่ยวกับใคร ไม่มีมิตรดีสหายดีเลย คำว่าอยู่แต่ผู้เดียวคือไม่ใช่ไม่มีหมู่ แต่อยู่อย่างไม่มีตัณหาแล้ว ไม่ใช่ไม่มีหมู่กลุ่ม เขาแปลอสังสัคคะว่าอยู่แต่ผู้เดียวไม่คลุกคลีด้วยหมู่

 

คำว่า สัคคะ คือแปลว่า สวรรค์ คือดาวดึงส์คือจิตที่หลงสวรรค์ สัคคะ ในอนุปุพพิกถา

ทาน ศีล สัคคะ กามาทีนวะ เนกขัมมะ มี 5 อย่างนี้

 

ทาน ก็ต้องสอนกัน ศาสนาไหนก็สอนทาน แต่ทานของพระพุทธเจ้าทานอย่างอัตถิทินนัง ในอนุปุพพิกถาคือคำสอนเบื้องต้น เริ่มแต่ทานเลยก็ทำใจในใจไม่เป็นก็ไม่เกิดผล ทานแล้วเป็นกิเลสโลภมากกว่าเก่า ทำใจในใจไม่เป็น มันก็เลยไม่ได้ผลอะไร เป็นนัตถิทินนังทานแล้วไม่ได้ผล ผู้รู้สภาวะสัมมาทิฏฐิก็อธิบายได้ แล้วก็ต้องสอนก่อนเลย อนุปุพพิกถาข้อที่ 1 ทาน

 

ศีล ก็คือยิฏฐัง ในทานมัย ภานามัย สีลมัย ก็ไม่ต่างกันหรอก  คำว่ายัฏฐังคือยัญพิธี เขาแปลเช่นนี้ว่า ยัญพิธีที่บวงสรวงแล้ว ก็เลยนึกถึงการบูชายัญ เอาคนไปต้มใส่หม้อ ก็ไปโน่นเลย พิธีกรรม ซึ่งไม่ใช่ ที่จริงคือพิธีกรรมที่คุณเริ่มทำเลย เรามาเทศน์กันทุก หกโมงเย็นคือพิธีกรรมชนิดหนึ่งคือการฝึกฝนอบรม ในขณะฟังธรรมปริยัติ คุณได้บุพเพนิวาสานุสติญาณไหม? คุณได้สำนึกแก้ไขไปได้ทันทีบ้าง บางทีแก้ไขได้ดีเลย คำนี้เสียบแรงหลุดจากกิเลสได้เลยนะเรา พูดไปนี่ทิ่มพรวดเลยกิเลสไม่ฟื้นเลยได้ดี มันพอมีไหมนะสักราย

 

อย่าหลงว่าเราได้มากไปนัก ดูให้ชัด หลงง่ายไปจะหลวม เมื่อเวลาเราพูดถึงสูตรต่างๆ มีไวยพจน์ที่แทนกันได้ก็จะชัดขึ้นๆ ในหมวดสังกัปปะ 7 เป็นหมวดของรูปนาม มีเจโตและปัญญาที่สมบูรณ์แบบ การปฏิบัติฌานลืมตาของพระพุทธเจ้าจะต้องมีตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ แล้วสั่งสมเป็นอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ไม่ใช่เจโตสมถะ แต่เป็นเจโตสมาธิคือตั้งมั่นสงบ แต่สมาธิกว้างกว่า สมาธิของพระพุทธเจ้าลืมตา ส่วนสมถะนั้นเป็นเชิงเจโต พระพุทธเจ้าเลยว่า มีบุคคล 4 แบบอยู่

1. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ     แต่ไม่ได้โลกุตระ

2. บุคคลผู้ได้โลกุตระ        แต่ไม่ได้เจโตสมถะ .

3. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ    และได้ทั้งโลกุตระ

4. บุคคลผู้ไม่ได้เจโตสมถะ  และไม่ได้ทั้งโลกุตระ

พตปฎ. เล่ม 36  ข้อ 10,  ข. 137,  ข.525

 

แล้วก็มีพระพุทธเจ้าแบ่งคนที่บรรลุเป็น

1.        สุกขวิปัสสโก (ผู้เห็นแจ้งโดยปัญญาเพรียวๆ)

2.       เตวิชโช (ผู้ใช้วิชชา 3)

3.        ฉฬภิญโญ (ผู้ได้อภิญญา 6 ฝ่ายเจโตสมถะ) 

4.        ปฏิสัมภิทัปปัตโต (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ทั้ง 4 ได้แก่...

_อัตถปฏิสัมภิทา ฉลาดในเนื้อแท้แห่งสัจจะ-เป้าหมาย  

_ธัมมปฏิสัมภิทา ฉลาดในสภาวธรรมต่างๆ ทั้งหมด

_นิรุตติปฏิสัมภิทา ฉลาดในการมีภาษาบอกกล่าว

_ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ฉลาดในเชาวน์ไหวพริบ

(จากคัมภีร์วิสุทธิมรรค)

 

สุขวิปัสสโกคือผู้ได้โลกุตระอย่างเดียว ไม่ได้เจโตสมถะ แต่ท่านก็มีเตวิชโช คุณปฏิบัติธรรมนี่มีเตวิชโชตลอดเวลาได้ เป็นการทบทวนลงบัญชี ว่าอันไหนทำได้อันไหนไม่ได้ ก็รู้ความเกิดความดับของกิเลส อันไหนดับได้ถาวรมั่นคงก็เห็นจากสิ่งที่ปฏิบัติมาจริง ไม่ใช่ตักกะเอา เหมือนนั่งสมาธิหลับตาแล้วจะเกิดปัญญาเอง ไม่ใช่

 

ฉฬภิญโย คือ หก อาตมาก็ไม่เก่งว่าท่านหมายถึงอะไร? ในวิชชามันมีวิชชา 8 ประการ อภิญญา​ 6 นี้ท่านเอาอะไรบ้าง...ก็เอาแต่มโนมยิทธิ ไปถึงจุตูปปาตญาณ ไม่เอาวิปัสสนาญาณกับอาสวักขยญาณ

 

มโนมยิทธิ อิทธิวิธี ทิพยโสต เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ ทั้ง 6 อย่างนี้มันดูเป็นความเก่งเหนือคนแบบโลกีย์ เป็นฤทธิ์เดชที่เป็นตัวตนบุคคลเราเขา เป็นรูปธรรมไปเสีย เป็นการเกิดตายของตัวตนแต่ไม่ใช่อธิบายอย่างกิเลสตาย อย่างละเอียดลงไป ดับสัญญาดับเวทนาไม่ใช่ดับทั้งดุ้น แต่ดับเวทนาในเวทนา ดับสัญญาในสัญญาที่เป็นอุปาทานในขันธ์ 5 ให้หมดไปท่านไม่ได้รู้เช่นนั้นก็เลยถือเป็นฤทธิ์ไปทั้งหมดตั้งแต่ข้อที่ 2 – 8 ของวิชชา 8 ก็เลยออกนอกพุทธ ที่พระพุทธเจ้าว่าท่านรังเกียจ ไม่เอา ระอา ในอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทสนาปาฏิหาริย์ ก็เลยไม่ได้สิ่งที่ควรได้ ท่านแปลกันมาอย่างไม่ถูกต้องชัดเจน เพราะอันนี้เป็นภาษาปรมัตถ์ไม่ใช่ภาษาสมมุติสัจจะตัวตนบุคคลเราเขา

 

แล้วไปแปล อิทธิวิธญาณ เธอบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ  คือ... คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้  หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้  (เอโกปิ  หุตฺวา  พหุธา  โหติ  พหุธาปิ  หุตฺวา  เอโก  โหติ)  ก็ไปแปลเป็นตัวตนบุคคลเราเขาหมด เป็นความหยาบไป มันไม่ตรงตามปรมัตถ์ที่พระพุทธเจ้าหมาย

 

ข้ออื่นๆก็มีนัยปรากฎเหมือนกันได้ อาตมาเคยเอามาอธิบายตลกๆว่า ถ้าท่านเคยแสดงว่า อิทธิวิธญาณ อย่างนี้ทะลุกำแพง ภูเขา เดินบนน้ำ เขาว่ามีนะ ท่านแสดงยมกปาฏิหาริย์ ทำให้ปรากฏก็ได้ทำให้หายก็ได้ ผุดดำดินได้ เดินบนน้ำไม่แตก ยิ่งกว่าแมงมุมเดินบนน้ำ ลูบคลำพระอาทิตย์พระจันทร์ด้วยฝ่ามือได้ อาตมาเคยอธิบายว่า เอามือลูบหัวล้านพระอาทิตย์ได้ ไม่ร้อนเลย

 

คือของพระพุทธเจ้านี่ลูบคลำพลังงานกิเลส ที่ร้อนแรงอย่างไรก็ตามก็อยู่บนไฟนรก แต่ท่านอยู่อย่างเย็นสบายมันไม่ได้ไหม้ท่านเลย มีอานุภาพสูงส่ง นี่คือธรรมาธิษฐานเนื้อแท้

 

แต่พออธิบายเป็นสายโลกีย์ที่คนอ่านแล้วก็ว่า ได้สักอย่างหนึ่งรับรองว่าชีวิตนี้รวย ไปหากินได้ทั่วโลก รวยเละเลย มาดูสิคนเหาะได้ ดำน้ำได้ รวยเละเลย คนละบาทเท่านั้น ฟังแล้วตลก พระพุทธเจ้ายืนยันว่า อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์และอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์

 

ที่อาตมาอธิบาย คืออนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์คือคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เรียนรู้ปฏิบัติได้ แต่ไปทำแบบอิทธิปาฏิหาริย์อาเทสนาปาฏิหาริย์ นั้นทำปฏิบัติไม่ได้หมดหรอก แต่เรียนรู้ให้สัมมาทิฏฐิตามอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์นี้ แล้วปฏิบัติให้ตรง ทำได้แน่

 

 

เรามาเรียนรู้ ความเป็นโสดาบัน มันจะเริ่มต้นกันที่ไหน?

 

ต้องเห็นกายที่เป็นสักกะต้องรู้ตน ต้องเรียนตน แล้วในตนตัวแรกที่จะรู้ก็คือ ความเป็นกาย มันจึงเป็นความสำคัญมาก ถ้าเข้าใจความเป็นกายผิดก็เจ๊งแต่แรกเลย แล้วยิ่งบอกว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เรียนรู้สังขาร 3 คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขารก็เริ่มต้นที่กายสังขาร ก็ต้องทำกายก่อน แล้วก็ทำให้เกิดความสงบรำงับที่กาย ให้กายสังขารเกิดปัสสัมภยัง แต่ถ้าหลับตาไปเสียก็ไม่เกิดกาย ดีไม่ดีตัดลมหายใจไปอยู่ในภพเสียเลย เพราะคำว่ากายแม้แต่ลมหายใจก็คือกายนะ อย่าไปทิ้ง เพราะท่านสอนคนที่ไปหลงปฏิบัตินั่งหลับตาในป่า แม้ปัจจุบันก็ตามท่านเลยสอนให้ต้องไม่ทิ้งกาย อย่างน้อยต้องมีลมหายใจภายนอกด้วยนะ ถ้าความรู้สึกขาดหายจากภายนอกไม่ถือว่ามีกาย เมื่อไม่มีกายก็ไม่รู้สักกายด้วยปัญญาแต่คุณไปรู้ด้วยสัญญาเท่านั้น คุณเห็นกายแค่รูปในภพ เป็นรูปาวจร ก็ระลึกรู้อันนั้นซึ่งไม่เป็นความจริง ไม่ผัสสะ ไม่ครบกระบวนการ ไม่รู้รูปรู้นามสมบูรณ์

 

รูป 28 ดิน น้ำ ไฟ ลม ปสาทรูป โคจรรูป ทำงานร่วมกันปฏิกิริยากันจึงเกิดสิ่งปรากฏ เป็น การเห็นอยู่หลัดๆ ตากระทบรูปให้เห็นผัสสะ ก็เกิดอิตถีภาวะก็ทำให้เป็นปุริสภาวะไปเรื่อยๆ จนปุริสภาวะ ในปุงลิงค์ เป็นนปุงสกลิงค์ ให้เป็นเอกบุรุษ จนเป็นอุตมะ เหนือกว่าอุตมปุริสสะ เป็น นปุงสกลิงค์ หมดเพศเลยสูงสุดให้ได้ นั่นคือรูป อันที่ 7 แล้วคือ ภาวรูป

 

อยู่ที่หทยรูป คือสิ่งที่ถูกรู้อยู่ตรงไหนตรงนั้นแหละ ไม่ใช่รูปธรรม แต่เป็นนามธรรมนะ เมื่อจับลักษณะจิตที่เป็นอาการได้ตรงไหนก็ตรงนั้นแหละ อยู่ในอาการ 32 นี้แหละ บางคนบอกว่าเจ็บใจจริงๆ แล้วมันเจ็บตรงไหน? มันเจ็บที่หัวใจหรือที่หัวปวดไปหมด ก็อันนี้แหละหทยรูป มันมีอาการ มีเครื่องหมายบอกตรงนี้แหละ อาการอย่างที่ว่านี้คือมันมีน้ำหนักอินทรีย์ของมัน แรงเบาชื่อว่าอินทรีย์คือชีวิต ที่เราแยกได้ว่าเป็นอิตถินทรีย์ก็ทำให้เป็นปุริสสินทรีนย์ให้เป็นหนึ่งเดียวเป็นเอกัคคตาไม่มีเพื่อนสองให้ได้ เป็นหนึ่งคือชีวิตไม่คลุกคลีแล้วเป็นหนึ่งแล้ว

 

ผู้ทำได้จะรู้ชัดเจนว่า จิตมันเกิดด้วยเหตุปัจจัยอะไรบ้าง ถ้าไม่มีเหตุอะไรเลย จิตมันไม่มีรู้ได้เลยมีแต่สูญถ้าไปกระทบสัมผัสอะไรมันถึงมี ตากระทบรูป ถึงเป็นปาตุภาวะที่จริง แต่ถ้าไม่สัมผัสไปปั้นเอาก็เป็นมโนมยอัตตา ใช้ความจำหรือจะปั้นเอาใหม่ก็ได้ แล้วแต่ แต่เราก็รู้ว่าแค่ระลึกในใจตามสัญญาเก่า แต่ถ้าเห็นพร้อมกันทุกคนได้ นี่คือของยืนยัน คนรู้ร่วมกันได้ แล้วเป็นของจริงที่ว่า เวลาคุณสุขทุกข์จริงๆก็คืออันนี้แต่เวลาสุขทุกข์โดยไม่มีเหตุปัจจัยภายนอกเรียกว่าเป็นโสมมนัสโทมมนัส อยู่ภายใน

 

ถ้าคนอุปาทานไปยึดว่าเป็นจริงเป็นจังยิ่งกว่าที่ ตากระทบรูป หูกระทบเสียงภายนอกด้วย คนนี้อาการหนักเพราะเอาความจำไปเป็นความจริง คนนี้อาการหนัก ถ้าดับความจริงแล้วความจำดับได้ แต่ถ้าดับที่ความจำก็นึกว่าความจำเป็นความจริง จึงได้แต่ทุกข์หนักในอเวจี

 

ดับแบบพระพุทธเจ้าเมื่อลืมตาดับ ข้างในก็ไม่มี  ตายไปแล้วก็ไม่มีจิต ไม่มีมโน ไม่มีวิญญาณ หมดสัตว์ มีแต่จิตมนุสโส จิตสูงจิตสะอาดบริสุทธิ์

 

โสดาบันต้องอ่านสักกายะได้ หรือเข้าใจสักกายะอย่างพ้นวิจิกิจฉา เข้าใจว่าอกุศลจิต มันเกิดเมื่อมีผัสสะ 3 ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ฯ ...​แล้วเกิดวิญญาณ​ในวิญญาณมีอกุศลจิต มีราคะโทสะโมหะนี่คือตัวเหตุแท้ เช่น เรากระทบมะม่วง ทางตาทางจมูก จิตเกิดเห็นว่ามันงามกลิ่นมันฉุย พันธ์ุนี้ด้วย น้ำดอกไม้ ที่จำได้ว่ารสมันกลิ่นมันฉุยเลย ก็อ่านจิตว่ามันเกิดอะไร ก็จับสักกายะได้ เคยเห็นตัวนี้ของตนไหม? แต่เคยโง่ผ่านมา ก็เลยตามมันยอมเป็นทาสมันให้มันจูงไปได้ ทำแบบ ถ้าเอามาไม่ได้ก็ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา  โหดร้ายมากนะคนเอ๋ย

 

เรารู้สักกายะจึงจะปฏิบัติ กายในกาย ได้ ตากระทบรูป มีกายแล้ว ถ้าคุณจับกิเลสได้สมมุติว่ากระทบมะม่วงน้ำดอกไม้อันนี้ ใจเราก็เกิดความอยากเลย แต่แล้วเราตั้งศีลว่าเราจะไม่กิน ก็จะเห็นว่ากิเลสมันดิ้นพราดๆเลย พอจับว่ามันดิ้นได้ก็คือคุณเลยผ่านเวทนาไปถึงจิตแล้ว จิตตัว ราคะ สราคะ ใคร่อยากแล้ว เป็นจิตในจิตแล้ว จับตัวตนกิเลสได้ มันก็ปรุงแต่งเป็น ทุกขเวทนา ไม่ได้สมใจ ก็อ่านทุกขเวทนาออก  มันเกิดพร้อมกันหมดเลย ถ้าตากระทบรูปก็มีรูปให้เห็นทั้งรูปและนามครบ เป็นกายิกทุกข์ ตาก็เห็นนามก็เห็นครบทั้งรูปและนาม

 

ถ้าคุณหลับตา รูปมะม่วงน้ำดอกไม้ก็เข้ามาอยู่ภายในจำได้ก็เป็นสัญญา เป็นจิตในจิตไป เชื่อมโยงสันตติไป แต่ของพระพุทธเจ้านี่สู้อย่างลืมตาเลย ไม่กินมะม่วงนี่จะตายไหม? ไปกินมะแม่งก็ได้ กินอย่างอื่นแทนไม่ตายหรอก ไม่ตาย แม้จะติดยาเสพติด มันจะแรงอย่างไร ถ้าใจสู้จริงๆก็ไม่ตาย แต่ไปอ่อนแอให้มัน เหมือนที่หมอบอกว่าคนนี้ตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ได้ แต่คนอีกบางคนเละกว่านั้นกลับไม่ยอมตาย ทนได้ หมอผ่าตัดคนที่ทนพิษบาดแผลไม่ได้ เดี๋ยวเดียวก็ตาย แต่คนนี้ผ่าตัดหลายชั่วโมงไม่ตาย คนใจเสาะ นิดหน่อยก็ตายแล้ว ติดยาเสพติดไม่ได้เสพก็ตายได้

 

เมื่อเราไม่เข้าใจคำว่ากายชัด กายสังขารัง ปัสสัมภยัง แล้วถ้ากายเขาว่าสงบก็คือให้นั่งหลับตาสมาธิ แล้วมันปวดขาแข้ง ก็คือไม่สงบ แต่ถ้าไม่เจ็บขาแล้วก็คือมันกายสังขารังปัสสัมภยัง ก็ได้แค่นั้นไม่ได้รู้ว่ากายสังขารังคือรับรู้นอกและในต่อเนื่องกัน อย่างคุณหายใจเข้าออกนี่คุณรู้สึกมีอารมณ์อื่นแทรกเป็นสุข ทุกข์ ไหม? แต่แค่ลมหายใจก็ไม่มีอะไรมาก ต้องอยู่กับคนสิมีอาการลีลาท่าทางหลากหลายสิ จะทำให้กิเลสเราขึ้นได้ อ่านกิเลสได้ชัด หรือจะเอาแค่อ่านว่าลมหายใจเราเหม็นหรือว่ากลิ่นอย่างไรนะ ก็หยุดลมหายใจเสียสิจะได้ไม่เหม็น เหมือนปวดแข้งปวดขา ก็อดทนไปจนกว่าจะหายปวด พวกนี้สรีระเสีย เพราะทนอยู่อย่างนั้น ก็จะแก้ยากอย่างไร ถ้าปวดขาแข้งก็ขยับหน่อยก็หายแล้ว ถ้าเข้าใจกว่ากายแค่นั้นก็หายแล้ว แต่กลัวว่าจะไม่สงบก็เลยสู้ด้วยฤทธิ์อำนาจใจ เพราะเข้าใจว่าปวดขาแข้งนี้คือกิเลสก็สู้กันไปพวกนั่งหลับตาทำแบบนี้จนสุขภาพเสียไปเลย อย่างหลวงพ่อวิริยัง นั่งคอเอียง ขนาดนั้นก็มีวัดสาขาเป็นร้อยแห่งเลยทั่วประเทศ แต่สะกดสรีระไว้ก็สุขภาพเสีย ไม่เข้าใจว่า กายนี่คือองค์ประชุมทั้งภายนอกภายใน กระทบรูปนามเกิด ปฏิกิริยาให้เรียนรู้นาม 5 คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ทำการกับตั้งแต่กามมาวจร รูปาวจร อรูปาวจร ก็ปฏิบัติที่นาม 5 อย่างนี้แหละ ส่วนรูปก็แตกเป็นรูป 28

 

อาหาร 4

1.        กวลิงการาหาร (อาหารคำข้าว  ให้รู้กิเลสเบญจกาม) . .

2.       ผัสสาหาร (อาหาร คือ  ผัสสะกระทบให้เกิดเวทนา) .

3.        มโนสัญเจตนาหาร (อาหารใจที่เจตนามุ่งกับตัณหา) . .

4.        วิญญาณาหาร (อาหารของวิญญาณ กำหนดรู้นาม-รูป . อันเป็นปัจจัยให้ตั้งอยู่แห่งสังขาร เพื่อการเกิดในภพใหม่ คือมีปัจจัยเกิดชาติชรามรณะ ทุกข์ และความคับแค้น) .

(ปุตตมังสสูตร  พตปฎ. เล่ม 16   ข้อ 241-244) .

 

อาศัยอาหารนี่แหละมาปฏิบัติทีละปริเฉท ทีละปริตตังๆ ให้มันเจริญขึ้นๆ จบหรือไม่จบก็จะรู้ จนกว่าจะวิมุติ ตามเจโตปริยญาณ 16

 

ปริเฉทรูป ก็ทำให้เกิดถึงอากาสานัญจายตนะ อากาโสวิญญานันติ ตรวจสอบ ตั้งแต่ กามไปถึงรูป ถึงอรูป มีฐานคืออุเบกขา แล้วไปขึ้นอากาสาฯ

 

วิญญัติรูป มีกายวิญญัติ วจีวิญญัติ คืออาการที่ประชุมอยู่ สมบูรณ์ทั้งกายหรือแค่วาจา ส่วนในจิตนี่ ก็อ่าน ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ ก็จะรู้กายวิญญัติ วจีวิญญัติ พิจารณาให้ลดกิเลสไปจนหมดกิเลส กลายเป็นองค์ประชุมภายใน ถ้าเป็นวจีวิญญัติก็คืออธิวจนะคือสังขารอยู่ในจิต ส่วนกายนี้ของพระพุทธเจ้ารวมทั้งภายนอกสัมผัสอยู่ ถ้าอธิบายเฉพาะจิตก็เป็นจิตสังขารรวมทั้งภายนอกก็เป็นกายสังขาร เราเข้าใจแต่ละสถานะเวลาว่า กายสังขาเอาขนาดไหน จึงอยู่กลางเสมอ มีวจีสังขารกับจิตสังขารอยู่หัวกับท้าย พอปฏิบัติก็ปฏิบัติที่จิต พอปฏิบัติจิตได้แล้วเร็จ

 

เวลาคุณดับ ตามที่สนทนาระหว่างภิกษุณีธัมมทินนากับอุบาสกวิสาขาว่าเวลาจะดับนิโรธ อะไรดับก่อน ก็คือ วจีสังขารดับก่อน  แล้วเวลาจะออกจากนิโรธ ก็อะไรเกิดก่อนก็คือจิตสังขารเกิดก่อน(ที่จริงไม่มีการเข้าหรือออก) แล้วก็ค่อยไปกาย ไปวจีสังขาร

 

เราทำโดยลืมตาสัมผัสก็จะพูดได้ถูกหากไม่ชัดเจนก็พูดไม่ถูก ที่พูดกันระหว่างภิกษุณีธัมมทินนากับอุบาสกวิสาขา ท่านพูดก็คือภาวะสัจธรรมที่ท่านปฏิบัติไม่ใช่พูดด้วยภาษาเอาโก้ ถ้ามีสภาวะก็จะพูดตรงกัน....จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:55:22 )

580512

รายละเอียด

580512_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ อสุรกายคือใจที่ไม่กล้า

พ่อครูว่า....วันนี้วันอังคารที่ 12 พ.ค. 2558 อาตมาว่า วันนี้มาอ่านบทกวีก่อ

 

                        อสุรกายคือใจที่ไม่กล้า

 

                                    (1) อสุรคือจิตแท้                 ของคน

                                    ใจไม่กล้าของตน                  นั่นแท้

                                    ใจตนต่ำลงจน                                   เลวชั่ว ใช่เลย

                                    คือจิตคนผู้แพ้                                   บ่กล้าทำดี

                                    (2) แม้มีโอกาสให้              ตนทำ

                                    แต่เพราะกิเลสจำ                 พ่ายแพ้

                                    อ่อนแอจึ่งไม่สำ-                  เร็จกิจ นั้นนา

                                    ลาภยศสรรเสริญแล้             ฤทธิ์ร้ายทำลายคน

                                    (3) ปุถุชนทั้งหมดล้วน       คืออสูร

                                    เล็กใหญ่ตามกายกูล             แต่ละผู้

                                    นามและรูปคือมูล                ประชุมเกิด กายแฮ

                                    อสุรกายนั้นรู้-                                   จักได้ในตน                          

                                    (4) ทุกคนเรียนอ่านได้        จริงตาม จิตเฮย

                                    องค์ประชุมรูปนาม              เพ่งรู้

                                    เห็นกายเกิดพ่ายกาม                        นั่นแหละ อสูรแล                

                                    จิตอ่อนแอไป่สู้                     บ่กล้าทำดี

                                    (5) ทุกคนมีจิตนี้                  ในตน

                                    พึงฉลาดทำใจจน                 แกร่งกล้า

                                    เอาชนะจิตตนชน                 อุปสรรค

                                    โอกาสดีอย่าช้า                     จักพ้นจิตอบาย

                                    (6) อสุรกายจิตแท้               ตนทำ

                                    จิตถูกกิเลสกำ-                     หนดไว้

                                    จิตจึงอ่อนแอสำ-                  เร็จเสร็จ มารเลย

                                    ต้องกำจัดกิเลสได้                จึ่งพ้นจิตอบาย                                 

                                    (7) อสุรกายดับสิ้น              จากจิต

                                    บริสุทธิ์ให้สนิท                    จึ่งแท้

                                    เผด็จศึกประเสริฐฤทธิ์        กันเถิด                       

                                    จะชนะทุกสิ่งแล้                   อย่าแพ้ภัยตัว.           

           

                                                                        สไมย์ จำปาแพง                             

                                                                                    5 พ.ค. 2558

                        [นัยปก เราคิดอะไร ฉบับ 299 ประจำเดือน มิถุนายน 2558]                                                                                            

                                   

คำว่า อสุรกาย พวกเราได้เรียนรู้มาแล้ว ก็จะมีความรู้ไม่เหมือนเก่า เอาแค่ 10 ปีย้อนหลังก็ได้ คำว่าอสุรกาย ที่เรารู้ตอนนั้นกับตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว เพราะเราเข้าใจคำว่ากายได้ดีขึ้นเยอะ มันจะไกลจากชาวโลกที่ไม่สัมมาทิฏฐิ ที่ไม่สามารถอาริยธรรม ปรมัตถธรรมของพระพุทธเจ้าได้

 

อสุรกายเขาจะคิดออกไปไกลตัว ส่วนมากจะคิดว่าไม่มีในตัวเรา และถ้าเราจะเป็นอสุรกายก็ต้องตายไปตกนรก จริงๆคำว่าอสุรกายเป็นปรมัตถ์ อสุรกายจริงๆไม่ใช่สัตว์ในอบายภูมิ 4

 

1. นิรภูมิ 2.เปรตหรือปิตติวิสยะ 3.ติรัจฉาโยนิ 4.อวินิปาต แต่จริงๆแล้ว 4 ตัวนี้เป็นอสุรกายทั้งสิ้น อสุรกายคือองค์ประชุมที่ยังไม่สามารถมีพลังพิชิตกิเลส เริ่มตั้งแต่คนไม่สัมมาทิฏฐิ เป็นอสุรกายทั้งนั้น พอสัมมาทิฏฐิแล้ว รู้จักกาย เริ่มแต่สักกายะ คือสักกะตัวตนของเรา กายก็คือองค์ประชุมของรูปนาม ที่เป็นตัวตนของเรา

 

เมื่อศึกษาธรรมะเราจะเห็นตัวตนของเรา พวกเรานี่ เรียกได้แล้วว่า เป็น "คนตาทิพย์" มันไม่ใช่เรื่องเหลือวิสัยและประหลาดนะ ไม่ได้รู้สึกมหัศจรรย์อะไร ว่าเราตาทิพย์แล้วภาคภูมิวิเศษอะไร แต่เราจะรู้สึกว่า อสุสาสนีย์ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้จริง ว่าตราบใดโลกมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบโลกไม่ว่างจากอรหันต์ เป็นอรหันต์แล้วท่านไม่ตื่นเต้นสักองค์ เราน่าจะตัดสินใจว่า เราเป็นพระอรหันต์หรือยัง ถ้าเผื่อว่าเราจะเรียกตัวเราเป็นอรหันต์สมบูรณ์ หากแม้จะต้องพูดต้องบอกต้องตอบคน เราจะสามารถตอบได้ไหม? ว่าเราเป็นอรหันต์ ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร พวกเราศึกษาธรรมะขนาดนี้แล้ว ได้อะไร

 

ได้อรหันต์นี่ดูยิ่งใหญ่นะ น่าตื่นเต้น ดูน่าฟูฟ่องนะ กิเลสปีติมากขึ้นไม่ใช่นะ มันก็จะมีความรู้ตั้งแต่ฌาน 1 ก็มีปีติแล้ว แรกๆที่เรารู้สักกายะ ที่เรียนใหม่ก็เจอแล้วก็อ๋อ อาจมีปีติขึ้นได้แรกๆ

 

ผู้จะเป็นโสดาบัน เริ่มเป็นโสดาบัน จนกระทั่งได้เต็มรูป เห็นองค์ประชุมรูป/นาม ก็คือกาย ที่เราจะต้องรู้ก่อนเลย เราปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าก่อนอื่นต้องรู้ "กาย" ก่อน จริงๆก็ต้องรู้สังขาร เพราะอวิชชามีปัจจัยก็เกิดสังขาร เกิดวิญญาณ​เกิดนามรูป เกิดอายตนะ เกิดผัสสะ เกิดเวทนา เกิดตัณหา เป็นลำดับ เราจะต้องรู้ว่า กาย คืออย่างไร หากเข้าใจไม่ได้แต่ต้นก็ไม่มีจุดเริ่มต้นเลย

 

โสดาบันเริ่มต้นจะรู้จักกาย กายจะถูกรู้โดยญาณปัญญาของเรา แม้จะใช้ภาษาเรียกว่าอาริยสัจ 4 ก็ตาม คุณก็ต้องรู้สภาพทุกข์ และทุกข์ก็คือกายของสัตว์นรก ในแรกๆ เราต้องอ่านให้ออก เกิดอาการนั้นในจิตเรา เรามีสัญญากำหนดรู้ทุกข์ เป็นอาริยสัจข้อที่ 4

หรือเป็นสังขารข้อที่ 1 คุณพ้นอวิชชาข้อต้น ก็คือรู้สังขาร สังขารที่จะรู้เบื้องต้นคือ กายสังขาร ซึ่ง กายสังขารก็คือ กายนั้นแหละตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง

           

ปฏิบัติแบบนั่งสมาธิหลับตาทำ จะไม่มีต้น กลาง ปลาย เริ่มต้นไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหนที่ถูกต้องเลย ทฤษฎีพระพุทธเจ้าสอน ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่ง ศีลคือ มีกรอบให้เรา แล้วเราก็ใช้กรอบนั้นศึกษาเพื่อจะได้รู้สัตว์ที่เป็นกาย เป็นสัตตาวาส 9 เริ่มต้น

สัตว์ข้อที่ 1 คือ กายต่างกัน สัญญาต่างกัน เมื่อไม่ได้ศึกษาธรรมะ จะอยากได้สุขทิพย์ วรรณะทิพย์ อายุทิพย์ เป็นเทวดาดาวดึงส์ แสวงหาทุกลมหายใจเข้าออก เป็นสิ่งน่าได้น่ามีน่าเป็นที่อวิชชา มิจฉาทิฏฐิ คนไม่รู้ก็จะเป็นเช่นนี้อยากนั่ง อยากเดิน อยากไปอยากมา อยากมี ตามที่โลกหลอก ก็อยากได้สุขนี่แหละ แม้แต่มันเลว เกลียดชัง ก็อยากให้คนที่เราเกลียดชัง ได้รับทุกข์โทษัยไป หากจิตหยาบเร็วแรงก็ไปเช่นนั้น พอได้สมใจก็ได้สุขทิพย์ ดีใจสมใจ ถ้าฟังธรรมถึงวันนี้แล้ว จะเห็นว่าสุข คำนี้ร้ายกาจ น่าบูชานับถือไหม? ที่จริงมันร้ายมาก มันลวงมนุษยชาติทั้งโลก คนก็ตกหลุมนี้ตลอดชีวิต จะเห็นได้ว่าการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่มาก ขบถต่อความเป็นคน เพราะคนปุถุชนสามัญก็เช่นนั้น

 

กว่าจะเข้าใจว่า เราไปหลงไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้เป็นความหลงที่ผิด เหลวไหลเลอะเทอะ สิ่งที่ยังไม่เข้าใจอันนี้แหละ พระพุทธเจ้าตรัสในมหานิทานสูตรว่า อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย แห่งตัณหาก็คือเวทนา เป็นอารมณ์ทิพย์อารมณ์สุข เป็นวรรณะทิพย์ สุขทิพย์

 

กาย ของตน ก็ส่วนใหญ่พยายามแสวงหาสุขทิพย์ของตนทั้งนั้น เมื่อรู้กายก็ต้องรู้เวทนา รู้จิต รู้ธรรม จริงๆแล้ว กายในกายก็คือจิตในจิต ตัวการที่จะต้องชำระมันอยู่ในเวทนา เป็นอารมณ์ผี อารมณ์หลอก อารมณ์สุข แต่มันมีเวทนาทุกข์หรืออทุกขมสุขในนั้นเท่านั้นเอง ผู้เรียนรู้แล้วจะเข้าใจชัดในลีลาจิตวิญญาณ พระพุทธเจ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางจิต

 

มันจะมียอดนิยายของความเป็นโลก ก็คือ มีเวทนานี่แหละ เรากำลังแสวงหาเวทนาที่เป็นสุขทิพย์ เรากำลัง อสุรกาย เรากำลังเป็นผี เป็นสัตว์นรก

 

ในพระไตรฯล.10 ข.59  ถ้าพูดถึง ทุกข์ ก็คือจิต สุขก็คือจิต กายก็คือจิต แล้วท่านก็มาขยายอาการแห่งความโง่ของคน ว่า....[59] ดูกรอานนท์ ก็ด้วยประการดังนี้แล คำนี้ คือ เพราะอาศัย  เวทนาจึงเกิดตัณหา

เพราะอาศัยตัณหาจึงเกิดการแสวงหา เพราะอาศัยการแสวงหา  จึงเกิดลาภ เพราะอาศัยลาภจึงเกิด

การตกลงใจ เพราะอาศัยการตกลงใจจึงเกิดการ รักใคร่พึงใจ เพราะอาศัยการรักใคร่พึงใจจึงเกิด

การพะวง เพราะอาศัยการพะวง จึงเกิดความยึดถือ เพราะอาศัยความยึดถือจึงเกิดความตระหนี่

เพราะอาศัยความตระหนี่จึงเกิดการป้องกัน เพราะอาศัยการป้องกันจึงเกิดเรื่องในการป้องกันขึ้นอกุศลธรรมอันชั่วช้าลามกมิใช่น้อย คือการถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท

การกล่าวว่า มึง มึง การพูดคำส่อเสียด และการพูดเท็จ ย่อมเกิดขึ้น คำนี้เรากล่าวไว้ด้วย

ประการฉะนี้แล

 

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวว่า

เรื่องในการป้องกันอกุศลธรรม อันชั่วช้าลามกมิใช่น้อย คือการถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ การ

แก่งแย่ง การวิวาท การกล่าวว่า มึง มึง การพูดคำส่อเสียด และการพูดเท็จ ย่อมเกิดขึ้น

 ดูกรอานนท์ ก็ถ้าการป้องกันมิได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีการ

ป้องกันโดยประการทั้งปวง เพราะหมดการป้องกัน อกุศลธรรมอัน  ชั่วช้าลามกมิใช่น้อย คือการ

ถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท การกล่าวว่า มึง มึง การพูดคำส่อเสียด

และการพูดเท็จ จะพึงเกิดขึ้นได้    บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

 

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งการเกิด ขึ้นแห่งอกุศล

ธรรมอันชั่วช้าลามกเหล่านี้ คือ การถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ การ  แก่งแย่ง การวิวาท การ

กล่าวว่า มึง มึง การกล่าวคำส่อเสียด และการพูดเท็จ ก็คือการป้องกันนั่นเอง ฯ

 

     

ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยความตระหนี่จึงเกิดการป้องกัน เรากล่าวอธิบาย  ดังต่อไปนี้

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า

เพราะอาศัยความตระหนี่จึงเกิดการป้องกัน ดูกรอานนท์ ก็ถ้าความ  ตระหนี่มิได้มีแก่ใครๆ ในภพ

ไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีความตระหนี่  โดยประการทั้งปวง เพราะหมดความตระหนี่

การป้องกันจะพึงปรากฏได้    บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

     

 

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งการป้องกัน ก็คือ

ความตระหนี่นั่นเอง ฯก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยความยึดถือจึงเกิดความตระหนี่ เรากล่าวอธิบาย  ดังต่อไปนี้ ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า

เพราะอาศัยความยึดถือจึงเกิดความตระหนี่ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าความยึดถือมิได้มีแก่ใครๆ ในภาพไหนๆ

ทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีความยึดถือโดยประการทั้งปวง เพราะดับความยึดถือเสียได้ ความ

ตระหนี่จะพึงปรากฏ   ได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

 

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งความ  ตระหนี่ ก็คือความยึดถือนั้นเอง ฯ

  ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยการพะวงจึงเกิดความยึดถือ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

  ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้  กล่าวไว้ว่า

เพราะอาศัยการพะวงจึงเกิดความยึดถือ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าการพะวงมิ  ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ

ทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีการพะวงโดยประการ  ทั้งปวง เพราะดับการพะวงเสียได้ ความยึดถือ(ปริคโห)

จะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

    

 

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งความ  ยึดถือ ก็คือ

การพะวงนั่นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยความรักใคร่พึงใจจึงเกิดการพะวง เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะ

อาศัยความรักใคร่พึงใจจึงเกิดการพะวง ดูกรอานนท์ ก็ถ้าความ รักใคร่พึงใจมิได้มีแก่ใครๆ ใน

ภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีความรัก ใคร่พึงใจโดยประการทั้งปวง เพราะดับความ

รักใคร่พึงใจเสียได้ การพะวงจะพึง ปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

     

 

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งการพะวง  ก็คือความรัก

ใคร่พึงใจนั่นเอง ฯ

ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยความตกลงใจจึงเกิดความรักใคร่พึงใจ เรากล่าวอธิบายดังต่อไป

นี้

  ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว  ไว้ว่า เพราะอาศัยความตกลงใจจึงเกิดความรักใคร่พึงใจ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าความ ตกลงใจมิได้มีแก่ใครๆ ใน

ภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีความตกลงใจ โดยประการทั้งปวง เพราะดับความตกลงใจ

เสียได้ ความรักใคร่พึงใจจะพึงปรากฏ  ได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

     

 

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยความรักใคร่    พึงใจ ก็คือ

ความตกลงใจนั่นเอง ฯ ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยลาภจึงเกิดความตกลงใจ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

 ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว ไว้ว่า เพราะ

อาศัยลาภจึงเกิดความตกลงใจ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าลาภมิได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุก

แห่งหน เมื่อไม่มีลาภโดยประการทั้งปวง เพราะหมดลาภ ความตกลงใจจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

 

 

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งความ  ตกลงใจ ก็คือ

ลาภนั่นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยการแสวงหาจึงเกิดลาภ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะ

อาศัยการแสวงหาจึงเกิดลาภ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าการแสวงหา มิได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ

ทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีการแสวงหาโดย  ประการทั้งปวง เพราะหมดการแสวงหาลาภจะพึง

ปรากฏได้บ้างไหม ฯ

     ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

  

พ่อครูแทรกว่า การแสวงหานี่เป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ เช่นแสวงหาอาหารมาเลี้ยงชีพ แม้พระพุทธเจ้าก็ต้องบิณฑบาต เป็นอาหารปริเยติทุกข์ ถ้าเข้าใจไม่ได้ว่า ต้องมีเจตนา แต่อย่าอยาก นี้ ก็จะไม่สามารถปฏิบัติได้เลย ก็คืออย่ามีตัณหา จงทำให้เต็มบริสุทธิ์ก็จบ ให้มีมโนสัญเจตนาได้ ซึ่งเจตนามี 3 อย่างคือกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา คำว่า วิภวตัณหาคือรู้จักตัณหาแล้วได้กำจัดตัณหาสิ้นแล้วก็จบภพชาติ คุณก็มีมโนสัญเจตนาได้ พระอรหันต์มีเจตนา แต่ไม่มีตัณหา

ถ้าจะบอกว่าท่านม่ีตัณหาได้ ก็มีวิภวตัณหานะ อย่างพระพุทธเจ้าท่านก็ต้องการประสงค์สร้างศาสนานี้ 

...หากภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้เป็นสาวกและสาวิกาของเราจักยังไม่เฉียบแหลม  ยังไม่ได้รับคำแนะนำ  ไม่แกล้วกล้า  ไม่เป็นพหูสูต  ไม่ทรงธรรม   ยังปฏิบัติธรรมไม่สมควรแก่ธรรม   ไม่ปฏิบัติชอบ  ไม่ประพฤติตามธรรมที่เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว

            ยังบอกแสดงบัญญัติแต่งตั้ง  เปิดเผย  จำแนก  กระทำให้ง่ายไม่ได้ ยังแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์  และข่มขี่ปรัปปวาทะที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อย โดยสหธรรมไม่ได้เพียงใด   เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น  ฯลฯ .  (มหาปรินิพพานสูตร พตปฎ.เล่ม 10  ข้อ 102)

            ขนาดพระพุทธเจ้าก็ยังต้องมีวิภวตัณหาเลย การแสวงหาอาหารในมโนสัญเจตนาหารของผู้จบกิจก็ต้องอาศัยวิภวตัณหา แล้วก็ต้องมีทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็ต้องสู้กับมาร มารจะเอาให้ตาย แต่พระพุทธเจ้าว่าเราต้องสร้างศาสนาให้ได้ก่อน เป็นทุกข์ที่ต้องแสวงหาหรือปริโยสนัง

 

คนบรรลุแล้วกับคนธรรมดาก็มีตัณหา แต่ของคนบรรลุแล้วเป็นตัณหาที่ไม่มีตัวตนแล้วรับใช้โลกทำงานให้แก่โลกอย่างประเสริฐ ซึ่งมันไม่ได้ต่างกันเลย ก็อยู่ในความเป็นคนเป็นสังคมนี่แหละเหมือนอย่างพวกเรา

 

อาตมาเองพูดกับพวกเราอย่างสบายใจ เห็นพวกเราทำงานทำการสร้างสรรไป ไม่ได้ต้องมีลาภ ยศ สรรเสริญ เป็นอามิสอะไร มีแต่เจตนา อย่างให้พวกเราไปลงแรงกันปลูกพืช เตรียมแปลงใส่ปุ๋ยแล้ว น้ำมีแล้วก็ไปเอาเมล็ดผัก จะปลูกฟักทอง 700 หลุม แล้วก็จะปลูกฟักอีก300 หลุม รวมแล้ว 1000 หลุม ไปช่วยกัน ก็ไปทำ แดดร้อนก็ร้อน ก็ทำได้ คนขยันเอาภาระก็ตั้งใจรับผิดชอบ ถ้าไม่มีคนดีๆอย่างนี้ สังคมชาวอโศกสาธารณโภคีตั้งอยู่ไม่ได้หรอก แล้วก็ทำกันคนละไม้คนละมือ จะมีคิดกันใหม่ก็ช่วยกันบูรณาการไป พูดถึงแล้ว อาตมานี่ประสพผลสำเร็จจริงๆในชีวิต

 

อย่างเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ เขาประสพผลสำเร็จอะไรมากมาย อาตมาว่าถ้าอาตมาหรือให้พวกคุณไปเป็นเจ้าสัวฯ คุณจะเอาไหม?...ไม่เอา ทั้งที่เป็นเศรษฐีติดอันดับโลกนะ ....มันบาป พูดไปพวกเราอาจมีจิตเหยียดๆ ชิงชัง เราก็ต้องดูรายละเอียด จริงอยู่เราไม่ริสยาหรอกไม่อยากเป็นอย่างเขา แต่ว่าอย่าไปมีจิตเชิงข่มเบ่งอะไร

 

จิตมันเกิดปัญญารู้จริงว่าชีวิตคนนี่โลกมันหลอกเราขนาดไหน แล้วคนไม่มีภูมิธรรมที่จะรู้เขาไม่รู้จริงๆนะ ...วันนี้อาตมาอ่านหนังสือพิมพ์ คอลัมน์ของเปลว สีเงินเขาเขียนไว้ เขาก็ว่าคุณธนินท์ไว้มากเลย

พวกเราศึกษาธรรมะจะเห็นถึงกรรมกิริยาที่ไม่น่าทำ แล้วแต่ก่อนพวกเราก็คิดจะมีการกระทำแบบนั้นที่จะล่าโลกธรรม หรือไปเป็นคนมอบตนในทางที่ผิด คนที่คิดด้วยกันเห็นด้วยกันทำบาปร่วมกันไป มันซับซ้อนแต่คนไม่รู้ อวิชชา ไม่เข้าใจสัจจะ

 

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยของลาภ ก็คือ การแสวงหา

นั่นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยตัณหาจึงเกิดการแสวงหา เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยตัณหาจึงเกิดการแสวงหา ดูกรอานนท์ ก็ถ้าตัณหามิได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไป

ทุกแห่งหน คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เมื่อไม่มีตัณหาโดยประการทั้งปวง เพราะ

ดับตัณหาเสียได้ การแสวงหาจะพึงปรากฏ   ได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

     

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยของการแสวงหาก็คือตัณหา

นั่นเอง ฯ

 

อาตมาพยายามขยายความให้เข้าใจว่า มนุษย์มันมีแค่นี้แหละ เพราะมีเวทนาจึงเกิดตัณหา มันต้องการสุข เป็นเทวดาดาวดึงส์ เกิดเรื่องยาวมาเลย จนถึงเกิดการป้องกัน

 

เด็กเราที่จบสัมมาสิกขาไป บางคน มันรวยเกินระดับไป อาตมาก็ยังว่า เขาอยู่ข้างๆสันติอโศกก็แสวงหา กอบโกยไป ซื้อกิจการ ขยายผล ทั้งที่อายุไม่เท่าไหร่นะ เขาพยายามสะสมกอบโกย เห็นแล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ถ้าเผื่อว่า มองลึกๆ เขาก็ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายหรือทุจริต แต่เขาอาศัยระบบทุนนิยม จะบอกว่าเขาอกุศลก็ไม่ แต่มันรวยได้ แต่ละคนมีบารมี มีฐานความจริงแต่ละคนไม่เท่ากัน

 

แทนที่เราน่าจะใช้โอกาสทำเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นแทนที่จะไปกอบโกย หวงแหน จนสุดท้ายตระหนี่หนัก ต้องป้องกันไม่ให้ของตนพร่องลงไป ก็เกิดรุนแรงแน่ แต่พวกเราศึกษาฝึกฝนมาจนบัดนี้ อาตมายิ่งเห็นทางรอดของมนุษยชาติ อาตมาว่ามองไม่เห็นทางอื่นเลย มีทางนี้ทางเดียว อย่างพระพุทธเจ้าท่านตรัส คนเดียวรอดได้ก็วิเศษ แต่ถ้าได้ร้อยคน พันคน หมื่นคน ก็จะพาสังคมประเทศไทยไปรอดแน่

 

ประเทศไทยหากมีคนมีภูมิธรรมอย่างชาวอโศก มีจิตถึงสาธารณโภคี จริงๆแล้วเราทำสาธารณโภคีทุกวันนี้เรารู้ว่ายังดีไม่สุด ยังเอาภาระขยันขวนขวายช่วยเหลือได้มากกว่านี้ มีความซับซ้อนในจิตวิญญาณมากมาย นอกจากเราจะไม่มีตัวกูของกูไม่เห็นแก่ตัวแล้ว เรายังทำงานเสียสละให้ผู้อื่น มันเป็นความเจริญที่ซับซ้อน

 

พฤติกรรมหรือพลังงานคนอาริยะ โลกุตระ จึงเป็นพลังงานแห่งการงานที่ประเสริฐวิเศษ ซับซ้อน พวกโลกยิ่งดูด ยิ่งทำให้สังคมทุกข์เดือดร้อนเท่าไหร่ ทางธรรมนี่ยิ่งทับทวีกว่านั้น อย่างคุณเอง สมมุติเป็นรูปธรรม คนนี้ อยู่ทางโลกทำงานได้เงินเดือนหมื่นหนึ่ง คุณเอง ได้หมื่นหนึ่ง คุณเอาเปรียบเขาไป ถ้าจะให้อาตมาประมาณ แล้วขยายความให้ฟังว่า คุณเอาเปรียบเขาทางโลก ได้บาปสมมุติว่า ได้ บาป 5 หน่วย

 

ถ้าคุณสละเงินหมื่นหนึ่งมาสาธารณโภคีเลย คุณเอง จะไม่ได้แค่พ้นบาป 5 หน่วยเท่านั้น ซึ่งคุณเองก็พ้น บาป 5 หน่วยได้แต่คุณเองจะเป็นผู้สร้างสรรสิ่งประเสริฐทับเท่าทวี 5 เท่า 10 เท่า ยิ่งคุณเอาสมรรถนะที่คุณแต่ก่อนหาให้แก่ตนเอง แต่ตอนนี้เอาสมรรถนะมาทำให้ทางนี้อย่างน้อยเท่ากับทางโลก คุณจะมีสิ่งประเสริฐไม่ใช่แค่ค่าหมื่นหนึ่งเท่านั้น ถ้าคุณขยันเท่ากันมันก็กว่าแล้ว ถ้ายิ่งคุณขยันกว่านั้นอีก มันทับทวีไม่ใช่ 5 เท่านะอาตมาให้ 10 เท่าเลย เพราะค่าของความสะอาดของจิตใจคนนี่ค่าสูงกว่านะ ราคาความสะอาดกับความสกปรกไม่ได้เท่ากันนะ ใครยิ่งมีจิตที่เป็นจิตจริง เช่นคุณมาทำงานที่นี่แต่ยังมีกิเลสก็ฝืนอยู่ ก็ลดค่าลง แต่ถ้ายิ่งจิตบริสุทธิ์ขึ้นก็จะค่าสูงขึ้น ค่าของการทำงานค่าตัวอรหันต์ทำงานนี่ค่าสูงมากนะ มันสูงเกินที่จะพูด

 

อาตมาทำงานให้พวกเราได้มาเป็นคนเช่นนี้ 40 กว่าปี อาตมาเหมือนคนตั้งบริษัท ถ้าอาตมาอยู่ทางโลกทำแบบทุนนิยมเลย แบบคุณธนินท์เลย อาตมาก็จะรวย รับรองว่ารวยกว่าแกรมมี่ อาร์เอสนะ อาจรวยพอๆกับธนินท์ นี่พูดแบบหลงตนใหญ่หน่อย แต่อาตมาจะไม่ภูมิใจเลยเท่าอาตมามาตั้งบริษัทนี้ แต่ถ้าอาตมาทำแบบคุณธนินท์อาจมีคนงานมากเป็นล้านคน แต่อาตมาได้คนงานเท่านี้อาตมาภูมิใจมากเหนือกว่าเขามี ถ้าคิดย้อนไป อาตมาเผลอเป็นแบบคนนั้น อาตมาก็พาคนทำบาปอีกมหาศาล อาตมามาเป็นแบบนี้ ได้พวกคุณมาทำด้วยนี่คือชีวิตที่ไม่ซวย

 

อาตมาหยิบเรื่องโลกมาให้ฟังว่า มันน่าเบื่อหน่ายน่าละเลิกนะ แต่เขาก็ไม่เบื่อกัน คนทุกวันนี้หลงโลกธรรม โลกีย์หนักมากเยอะด้วย จึงน่าสงสารมาก อาตมาเองมีกำลังใจพากเพียรขวนขวายก็มีความจริงที่ว่า มันน่าสงสารแต่ก็เกินมือเกินบารมีจะไปช่วยได้ เป็นต้นว่า อย่างผู้ที่มีอำนาจมีอิทธิพลต่อสังคม เป็นผู้เจตนาดี ปรารถนาดี พูดเต็มๆตั้งแต่ในหลวง จนถึงสถาบันรัฐบาล อาตมาช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย เพราะเขาไม่เชื่อน้ำมนต์อาตมา อาตมาไม่มีเครดิตทางสังคม อาตมาก็ได้แต่ช่วยเหลือพวกคุณนี่แหละ ที่พอจะฟังอาตมารู้ รู้ว่ามีค่ามีประโยชน์

 

พวกที่ในสังคมมีอีกเยอะที่จะรับทฤษฎีของพระพุทธเจ้าไปทำ ที่พูดนี่ขออภัยไม่ได้ไปว่าเขาไม่มีปัญญานะแต่พูดถึงความจริงว่า อาตมาเสนอไป มันก็ลอยหายไปตามลม ไม่ได้เป็นตัวตั้งที่เขาเอาไปใช้จริงจัง อย่าว่าแต่อาตมาเลย แม้ในหลวงเองมีแต่พระราชดำริดีๆ แต่สืบสานกันไม่เป็น รับไม่ติด น่าสงสารประเทศ ชัดๆว่าท่านให้เอาแบบคนจน เศรษฐกิจพอเพียง ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา แต่ก็รับไม่ติดเลย ท่านผู้มีโอกาสมีบารมีทำงานต่อสังคม มีอิทธิพลต่อสังคมจริง กลับทำไม่ได้ นี่มันน่าสงสารประเทศ ถ้าจะว่าไปแล้ว นี่คือความเข้าใจของอาตมานะ อาตมาว่าถึงกระนั้นก็ตาม เมืองไทยก็ยังดีกว่าหลายๆประเทศ ที่เขาไม่มีสิ่งดีๆ ที่จะปรากฏเช่นอย่างพระราชดำรัสในหลวง เศรษฐกิจพอเพียง ท่านตรัสแล้วไปมีผลถึงสหประชาชาติรับได้ เป็นเรื่องไม่ใช่ตื้นๆนะ เหมือนพระพุทธเจ้าว่า ผู้เกิดปัญญาเหมือนชั่วไก่กระดิกหาง งูกระดิกลิ้นก็ประเสริฐแล้ว ฉันเดียวกับพระราชดำรัสในหลวงที่มีอิทธิพลต่อสังคมบ้าง

 

ต่างประเทศเขาต้องการให้ประเทศเขายิ่งใหญ่ในโลกธรรมทั้งนั้น ถ้าแต่ละประเทศในโลก มีความคิดเหมือนพระราชดำริในหลวงเรา ให้มาเอาแบบคนจน แม้จะเป็นความคิดที่เข้าใจเลย ว่าน่าจะทำให้เกิดผล ถ้าแต่ละประเทศเกิดได้ โลกจะสบายขึ้นอย่างมาก น่ามหัศจรรย์ แต่ทำอย่างไรจะให้เขาเข้าใจได้ว่ามาจนนี่ดีกว่ามารวย แค่นี้ อาตมาเองไม่ท้อถอย อาตมามั่นใจว่ามีชีวิตแบบนี้ประเสริฐ อย่าไปแย่งชิง ล่าโลกธรรม เบียดเบียนสังคมอยู่เลย

 

คนๆหนึ่งมีสมรรถนะแรงงาน แล้วก็มาฝึกว่าตนไม่ต้องไปหลงโลก หลงบำเรอตน ทั้งปัจจัยชีวิต ที่เกินเครื่องใช้ในชีวิตก็คือสะสมสมบัติบ้า เต็มบ้านช่อง แล้วก็ไปซื้ออีกหลายบ้าน ที่ดินก็จะเอาให้มีทั่วโลก แล้วเขามีไว้เพื่อค้ากำไรเพิ่มขึ้นนะไม่ได้มีที่ดินไว้เพื่อใช้งานทำงานเหมือนพวกเราที่ทำเพื่อเกื้อกูลคนอื่นไม่ได้ทำเพื่อบำเรอส่วนตัวนะ เขาจะเอามาว่าย้อนพวกเราก็ว่าได้แต่นัยลึกเขาเถียงไม่ได้

 

สัจจะที่โลกเขาเป็นเราก็เป็น โลกเขามีตัณหาเราก็มีตัณหา แต่มีตัณหาคนละตัณหา อย่างพระพุทธเจ้าท่านก็มีตัณหาที่มุ่งมั่นทำงานให้สำเร็จ ฉันเดียวกันอาตมาก็มีเจตนาทำงานให้สำเร็จเช่นกัน พระพุทธเจ้าท่านตั้งพระทัยกับมารว่าจะต้องทำอันนี้ให้สำเร็จถึงจะตาย เมื่อทำสำเร็จ มารมาอาราธนาให้ตายท่านก็ตกลง อีก 3 เดือนจะปรินิพพาน

 

อาตมานั้นมารอย่ามาอาราธนาเลย อย่าว่าแต่ 151 ปีเลย ถ้าถึง 151 แล้วแข็งแรงดีก็จะอยู่ต่ออีกนะ อยู่แล้วทำประโยชน์ต่อโลกได้ก็อยู่ต่อ แต่ตอนนี้แม้ชาวโรฮิงญ่า ก็ช่วยไม่ได้

 

มีคนตั้งข้อสังเกตว่า ชาวโรฮิงญา ที่มานี่ มันสิ้นไร้ไม้ตอก น่าสมเพชเวทนา นี่ฆ่ากันมาฝังกันมา อะไรนักหนา  ร้ายแรงขนาดนี้ มาเกิดที่เมืองไทยเห็นๆ คนเหล่านี้พฤติกรรมเขาไม่กล้าหืออะไรเลย มีแต่นั่งร้องไห้นั่งเศร้า ก็เลยได้ร่างเป็นคนแต่พลังงานชีวะชนิดหนึ่งเป็นอสุรกาย คนเหล่านี้เขาอยากเป็นเทวดาดาวดึงส์นะ คนเหล่านั้นเขาคิดจะอปรโคยานไหม? เขาจะคิดว่าจะต้องไปรวยไหม? เขาไม่คิดหรอก เขาคิดไม่ออก หากเขาคิดออกจะไม่ต้องมาตกในสภาพเช่นนี้นะ

 

คนเรานี่วิบากกรรมมีจริง เขาไม่อยากรับวิบากนั้นหรอก ขออภัยนะที่พูดนี่ไม่ได้ว่าไม่ได้ข่มเขา เขาก็น่าสงสาร แต่พูดเป็นวิชาการ ว่าเขาไม่ได้อยากสิ้นไร้ไม้ตอก น่าสมเพชเวทนาอย่างนั้นแต่เขาต้องเป็น เขาไม่ได้แสวงหาที่จะเป็น จะบอกว่าขี้เกียจไม่เอาถ่าน แล้วทำไมไม่ขยัน จะบอกว่าโง่แล้วทำไมโง่ ไม่ฉลาดล่ะ คนฉลาดแกมโกงยังไม่ได้เป็นแบบนี้เลย เพราะในสภาพวิบากกรรม คนเหล่านี้ก็เหมือนกับไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ให้เขาเอาไปขายไปทำอะไรต่ออะไรเหมือนกันเลย เขาก็อยากฉลาด ไม่อยากตกในสภาพนั้นอยากขยัน อยากฉลาด เป็นสิ่งประเสริฐของมนุษย์ อย่างพวกเรามาฝึกขยัน ฉลาด พ้นทุกข์ก็ต้องสั่งสมเอา แต่เขาไม่สั่งสมใช่ไหม? ถามว่าพวกเราจะอยากเป็นอย่างเขาไหม?ก็ไม่ ก็ต้องสั่งสมวิบากที่ไม่ให้เป็นอย่างพวกเขา คิดออกไหม?

 

ทำไม? คนที่ขยันที่สุดจึงมาเป็นคนที่ขี้เกียจที่สุด คำตอบก็คือ เขาขยันทำบาปในชาติก่อนๆ จึงต้องมาเป็นอย่างชาวโรฮิงญา เหมือนคนที่เป็นเหมือนสัตว์ที่ให้เขาเอาไปขายเอาไปฆ่า ที่พูดนี่เพื่อเตือนให้อย่าคะนองนะ คนที่เอาเปรียบคนอื่นเขามากๆ คุณจะเป็นยิ่งกว่าโรฮิงญานะ ไม่ใช่อาตมาขู่แต่เป็นสัจจะ ถ้าฟังธรรมเข้าใจก็เปลี่ยนแปลงชีวิตเถอะ วิบากมีจริง นี่เป็นตัวอย่างที่อาตมายกมาให้สังวรระวัง

 

คุณจะฝึกฝนความขยันที่ประเสริฐ ดี เสียสละ กับคุณจะขยันทำเลว ขยันเอาเปรียบคน สั่งสมวิบากมากทับถมไว้เยอะ ถ้าคุณขยันเอาเปรียบ คุณก็จะเกิดมาเป็นคนขี้เกียจหนักเหมือนวัวเหมือนควาย เขาไม่ได้อยากเป็นนะ เขาได้ร่างเป็นคน แต่วิบากเขามันน่าสมเพชเวทนาหนัก

 

มนุษย์ชมพูทวีป มนุษย์อปรโคยาน มนุษย์อมรโคยาน มนุษย์อุตรกุรุทวีป มนุษย์ปุพพวิเทหะ กับมนุษย์ดาวดึงส์ ทั้ง 6 คำนี้พวกเราทำความเข้าใจ แล้วสามารถทำความเจริญให้บรรลุได้

 

สภาพ 6 อย่างนี้ ลักษณะพวกนี้คือ สภาวะที่เป็นจริง ปฏิบัติจริงได้ คุณเป็นมนุษย์อปรโคยานมาแล้ว คุณพยายามใฝ่หาเทวดาดาวดึงส์มาแล้ว สั่งสมปุพพวิเทหะไปแล้วแก้ไขไม่ได้แล้ว จนมาเข้าใจอรปโคยาน ดาวดึงส์ ทุกคนเป็นมนุษย์ชมพูทวีปมีอาการ 32 แล้วเรามาเปลี่ยนเทวดาดาวดึงส์แต่ก่อนเป็นอปรโคยานแล้วเราเปลี่ยนเป็นอมรโคยานแล้วเพื่อสู่อุตรกุรุทวีป

 

พวกเราฟังธรรมระดับสารีปุตโต ขนาดเขาสิเนรุขนาดใหญ่บังขนาดนี้ยังฟังธรรมได้ อวิชชาคือเขาสิเนรุใหญ่นะ พระสารีบุตรนี่เป็นผู้นั่งฟังธรรมข้างเขาสิเนรุได้เสมอ แม้พระพุทธเจ้าจะไปสอนพระมารดาเมื่อไหร่ที่ไหน พระสารีบุตรก็ตามฟังธรรมได้ จงเป็นให้ได้อย่างพระสารีบุตร นี่คือภาษาที่ลูกพระพุทธเจ้าพูดกันฟังกัน

 

วันนี้จะถามว่า ใครฟังที่พูดครั้งสุดท้ายนี้ไม่เข้าใจยกมือขึ้น ....​มีน้อยคน ไม่ถึง 10 คน ที่อาตมาพูดว่า พระสารีบุตร ต้องพยายามฟังเสียงทิพย์จากเขาสิเนรุ ที่พระพุทธเจ้าสอนพระมารดา ท่านก็พยายามแอบฟังให้ได้ แล้วอาตมาถามว่าใครไม่เข้าใจก็มีไม่ถึง 10 คน ก็ใช้ได้ เรียกว่าระดับเกียรตินิยมแล้ว

 

สารีบุตรคือผู้ได้สาระเอาสาระ พยายามศึกษาคำสอนพระพุทธเจ้า ซึ่ง พระพุทธเจ้าท่านสอนมารดาตลอดเวลา มารดาคือผู้ให้กำเนิดที่จะแพร่ DNA พุทธนี้ ต่อไป สาวกสังโฆทุกคนคือ มารดา ที่จะสืบต่อไปทั้งนั้น

 

โอ้โห วันนี้พูดภาษาเทพกัน แล้วเทพเข้าใจกันด้วย มีคนไม่เข้าใจบ้าง แต่เชื่อว่าเข้าใจกันส่วนใหญ่ ..จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:56:43 )

580513

รายละเอียด

580513_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ ผู้เห็นธรรมคือผู้เห็นพระพุทธเจ้า

พ่อครูว่า....วันนี้วันพุธที่ 13 พ.ค. 2558 แรม 11 ค่ำ เดือน 6​ปีมะแม อาตมาก็พยายามดูใจตน ที่มาบรรยายธรรมะนี่ แต่ละวันๆ มีเว้นบ้าง มันเบื่อบ้างไหม? อาตมาก็ว่าแม้บางทีบางครั้งมีคนฟังไม่กี่คน บางคราวก็มีคนเยอะ ก็ดีได้ฟังเยอะ แต่ว่าเราได้พูดได้บรรยาย สาธยายสิ่งที่ อาตมาว่าชีวิตนี้ ถ้าไม่ได้ทำอันนี้ อาตมาว่าล้มเหลวไม่มีที่ดีเลย เท่าที่ทำมาอยู่ประจำเป็นหลัก

 

อาตมาอยู่ทางโลก ก็ได้รับโลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ​ ยินดีแบบนั้นๆ แต่พอมาเข้าใจสัจธรรม ทำงานมาก็ยิ่งเป็นความจริงว่า มนุษย์นี่น่าสงสาร หรือน่าเวทนาจริงๆ เราก็เข้าใจโดยปริยายว่า หมายความว่า อะไร? สงสารกับเวทนาก็อันเดียวกัน แต่ถ้าใครไม่มีสัญญาในปรมัตถธรรม ที่แท้จริง ก็จะกำหนดผิด สัญญาคือการกำหนดหมาย กำหนดรู้ ทำได้อย่างนี้ใช่ก็จำ หรือใกล้เคียงก็จำ มีกำหนดรู้ จำไว้ในความจำของเรา

 

คำว่า เวทนา หมายถึงอาการของจิต ส่วนคำว่า สงสาร มันหมายถึงโลก คือความหมุนเวียน สังสารวัฏ แล้วความหมายมาใกล้เคียงกันก็เพราะตัวของคนและคนไม่ได้รู้จักเวทนา ไม่รู้ เวทนาในเวทนา เมื่อวานนี้ เราย้ำอีกว่า เพราะอาศัยเวทนาจึงเกิดตัฯหา แล้วมีการต่อเนื่องวนไป บางคนก็ไปรอบโลก รอบจักรวาล บางคนก็วนรอบเล็กๆ คนที่วนในวัฏฏสงสาร ในโลก ไม่มีจบ แล้วที่วนอยู่ในโลกนี้ ที่สรุปได้ก็ต้องขึ้นสู่สูง คำว่าสูงนี้ก็ขึ้นอยู่กับการกำหนดของแต่ละคน ก็มีขึ้นแล้วก็ลง ไปแล้วก็มา ดีแล้วก็ชั่ว สุข/ทุกข์ อกุศล/อกุศล วนอย่างนับสังสารวัฏไม่ไหว

 

เพราะไม่ได้เรียนรู้เวทนา ที่บอกว่า น่าเวทนา ก็คือ เขาไม่รู้จักเวทนา ดังนั้น เวทนาจึงเป็นเครื่องอาศัย เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย แห่งตัณหา ก็คือ เวทนา เพราะเวทนานี่แหละที่คนไม่เรียนรู้แก้ไขจนจบสมบูรณ์แบบ ตั้งแต่เริ่มต้นเป็น

เวทนา 2 คือ กายิกทุกข์ และเจตสิกทุกข์ ซึ่งตัณหาทำให้เกิดเวทนานั้น สังสารวัฏ กับ เวทนา ที่พระพุทธเจ้าว่ามีเหตุปัจจัยต่างๆก็รวมลงเป็น อัตตา

 

สิ่งที่มนุษย์อาศัย จะต้องแก้ไข มี 4 เท่านั้น ที่ต้องเรียนรู้ คืออาหาร 4

1.กวฬีการาหาร 2.ผัสสหาร 3.มโนสัญเจตนาหาร 4.วิญญาณาหาร

 

ถ้าทำเวทนาตั้งแต่กายิกทุกข์ เจตสิกทุกข์ เป็นทุกข์อาริยสัจจ์ เริ่มต้นเรียน ก็ที่ กายิกทุกข์ คือทุกข์ที่เนื่องไปด้วยกาย ทุกข์จริงๆ อยู่ที่กาย แต่ไม่ใช่อยู่ที่ร่างเนื้อ ที่รูปร่าง อย่างเรานั่งอยู่นี่ ถ้าเมื่อย มันไม่ได้ทุกข์ที่ร่างกายนะ แต่มันอยู่ที่ใจทุกข์ กายิกทุกข์อยู่ที่ใ

 

เมื่อไปปฏิบัติต้องปฏิบัติที่ความจริง อยู่ที่ รูป นาม และวิญญาณ​ต้องมีสามอย่างนี้ และต้องมีภายนอกด้วยจึงจะครบ กายสักขี ยืนยันเป็นรูปธรรม แม้จะเป็นนามธรรมก็ยืนยันได้ต่อหน้ากันนี่ก็ยืนยันได้ ถ้าเข้าใจถึงขีดที่รู้ได้ด้วยปัญญา การรู้นั้นมีสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย และรู้เห็นแจ้งด้วยปัญญา

 

เริ่มต้นเราต้องมีทิฏฐิก่อน มีปริยัติ ที่ได้เรียนรู้ สดับมาก่อน แล้วเข้าใจ แล้วต้องถูกตรง พอถูกตรง สัญญาก็กำหนดถูก ที่ต้องเรียนต้องมี 3 เส้าของกาย มีตากับรูป มีหูกับเสียง มีกลิ่นกับรส ฯ มีครบทั้งนอกและใน อัชฌัตตังอรูปสัญญี เอโก พหิทารูปานิปัสสติ

 

ผู้ศึกษาต้องทำมรรคองค์ 8 เริ่มต้นที่สัมมาทิฏฐิ และต้องสัมมาด้วย มันมีอันเดียวหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ถูกต้องสมบูรณ์ แล้วมันยากตรงนี้แหละที่ว่า หนึ่งเดียวที่ถูกต้องนี่ เพราะสัจจะมีหนึ่งเดียว

 

เริ่มต้นที่ ศรัทธานี่ คือเชื่อถือ ยังไม่ถึงกับไปปฏิบัติ อาตมาทำมา 45 ปีน่าจะมีคนเชื่อถือเป็นล้านนะ แต่ว่าเชื่อถือยังไม่ได้ปฏิบัติตาม แต่ถ้าปฏิบัติตามนี่คือเชื่อฟัง ก็จะมีนิดหน่อย อาจถึงหมื่นคน ไม่อยากพูดว่าถึงแสนคน ที่พูดไล่ไปนี้เพื่อให้รู้ว่า ใครล่ะถูกจริง เพราะสัจจะมีหนึ่งเดียว ใครจะค้นพบสัจจะหนึ่งเดียว พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ในข้อที่ 10 ของสัมมาทิฏฐิ ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างลึกซึ้ง

 

            ชนสองพวกได้กล่าวกันและกันว่า  “เป็นผู้โง่” เพราะทิฐิ  ฯเรา(ตถาคต)ไม่กล่าวทิฐินั้นว่าเป็นสัจจะ    เพราะเหตุว่าสัตว์ยึดทิฐิของตนว่า   “สิ่งนี้เท่านั้นจริง”  (สิ่งอื่นเปล่าดาย ไม่มีจริง)

            สัจจะมีอย่างเดียวเท่านั้นมิได้มีสองอย่าง  สัจจะหลากหลาย ต่างๆ กันนั้น  มิได้มีเลยในโลก   แต่ที่ไปเห็นว่ามีก็เพราะ  ไปสัญญาว่าเที่ยงแท้แน่นอน  เท่านั้น  (น เหวะ  สัจจานิ  พหูนิ นานา  อัญญัตระ  สัญญายะ  นิจจานิ  โลเก) พตปฎ. ล.25/419 ,  ล.29/519 - 599

 

คนจะหลอกคนต้องสร้างสิ่งที่ให้คนเชื่อว่ามี แต่ผู้ที่ลดความมีแล้วก็จะรู้สัจจะว่ามีมากมันเฟ้อเกิน ไม่น่าสนใจ ก็อาศัยเท่าที่ควรมี ชีวิตจะไม่หวงแหนเลย จะไม่เกิดอย่างที่ว่า [59] ดูกรอานนท์ ก็ด้วยประการดังนี้แล คำนี้ คือ เพราะอาศัย  เวทนาจึงเกิดตัณหา

เพราะอาศัยตัณหาจึงเกิดการแสวงหา เพราะอาศัยการแสวงหา  จึงเกิดลาภ เพราะอาศัยลาภจึงเกิดการตกลงใจ เพราะอาศัยการตกลงใจจึงเกิดการ รักใคร่พึงใจ เพราะอาศัยการรั กใคร่พึงใจจึงเกิดการพะวง เพราะอาศัยการพะวง จึงเกิดความยึดถือ เพราะอาศัยความยึดถือจึงเกิดความตระหนี่เพราะอาศัยความตระหนี่จึงเกิดการป้องกัน เพราะอาศัยการป้องกันจึงเกิดเรื่องในการป้องกันขึ้นอกุศลธรรมอันชั่วช้าลามกมิใช่น้อย คือการถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาทการกล่าวว่า มึง มึง การพูดคำส่อเสียด และการพูดเท็จ ย่อมเกิดขึ้น คำนี้เรากล่าวไว้ด้วยประการฉะนี้แล

 

คนไม่รู้ก็จะมีอย่างนี้ไปตลอดโลกแตก จนกว่าจะมีกลุ่มชุมชนที่อยู่กันอย่างไม่มีทะเลาะวิวาท ไม่มีการป้องกัน โดยเฉพาะยิ่งลึกคือ ไม่มีตระหนี่ ไม่มียึดถือ ไม่มีความพะวงหมกมุ่นฝังใจ เพราะว่าเป็นเป็นสิ่งควรได้ แล้วก็ไปแสวงหา เพราะไปได้ฟังมาจึงเกิดตัณหา ก็แสวงหา ได้ลาภมาก็ฝังใจ(วินิจฉโย) คือตัดสินตกลงใจ จึงเกิดความรักใคร่พึงใจ(ฉันทราโค) จึงเกิดการพะวง(อัชโชสานัง) จึงเกิดการยึดถือ(ปริคโห) จึงเกิดตระหนี่(มัจฉริยัง) จึงเกิดการป้องกัน(อารักโข) เกิดการรักษา แล้วใครมาแตะก็เกิดเรื่อง

 

ที่กล่าวมานี้เพื่อให้รู้ว่า มีแต่การกำหนดหมาย จึงมีตระหนี่ยึดถือ เราก็กำหนดหมายว่า ป้องกัน ตระหนี่ ยึดถือคืออย่างไร อาการจิตเราเป็นอย่างนั้นๆเป็นอย่างไร เรามีหรือไม่? มีมากหรือมีน้อย แล้วไปมีกับอะไรบ้างในโลก ถ้าไปมีมากในโลก ที่เขาว่าอะไรก็น่าได้น่ามี เป็นอบายมุข ก็น่าได้น่ามี อันนี้เวรเลย ต้องลดลงมา อบายมุขนี่เลิกที พฤติกรรมที่ไม่ดีอบายทั้งนั้น ก็เรียนรู้แล้วเลิกมาตามลำดับตาม สัญญา 4 นี้  1.ปริตตารมณ์(กำหนดของเขตทีละน้อย) 2.มหัคตารมณ์(กำหนดขอบเขตได้มากขึ้น) 3.อัปปมาณารมณ์(ทำได้มากจนไม่อาจประมาณ) 4.อากิญจัญญายตนะ(ต้องตรวจดูว่านิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่ให้มี)

 

สัญญา 4 นี้ อากิญจัญญายตนะนี่ท่านนับว่าเลิศสุดใน 4 สัญญานี้  แม้อากิญจัญญายตนะ นั้นต้องมีสัมผัสจริง ถ้าไม่มีสัมผัสไม่เกิดอายตนะ ต้องมีสิ่งจริงมีที่มาที่ไปนะ อย่างศาสนาพุทธสอนให้ทำที่กามาวจรก่อน มีสัมผัสทางทวาร 5 ก่อน แล้วกามาวจรที่แย่ที่สุดเรียกว่า อบาย ต้องกำหนดจัดการตรงนี้ก่อน เป็นปริตตารมณ์ จนมีผลได้เพิ่ม เป็น มหัคตารมณ์ เป็น อัปปมาณารมณ์ จนตรวจสอบว่าแม้นิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่ให้มี

 

เริ่มต้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า อาริยสัจ 4 เป็นหัวใจของพุทธศาสนา เริ่มต้นกำหนดรู้ทุกข์ก็พอได้แต่ว่า อันที่ 4 นี่คือ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา คือข้อปฏิบัติที่จะเกิดให้ดับเหตุแห่งทุกข์  ซึ่งข้อปฏิบัติวิธีปฏิบัติทุกวันนี้มันผิด อาตมาก็ยังไม่เห็นว่าที่ถูกที่สมบูรณ์ที่เขาทำมีอยู่ตรงไหน

 

ทางปฏิบัติคือมรรคองค์ 8 ปฏิบัติมรรคองค์ 8 เพื่อให้ได้สัมมาสมาธิ ผู้เรียนรู้ศาสนาพุทธรู้ว่า สมาธิ คือจิตตั้งมั่น แต่จิตตั้งมั่นเขาก็คิดว่าคือจิตที่ไม่วอกแวก จิตเป็นหนึ่งเลย มันก็เพี้ยนจากจิตตั้งมั่นของพระพุทธเจ้า มาเป็นตั้งมั่นแบบโลก แบบเทวนิยม ที่นั่งหลับตาสะกดจิตทำได้ จนสัญญา ย นิจจานิ ว่า นี่แหละ คือฌาน 4 และก็คำว่าตั้งมั่นคือจิตที่เป็นฌาน 4 ได้มั่นแข็งแรงตั้งมั่นตกผลึกเป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา

 

แต่เขาว่าไปนั่งสมาธิแล้วจะเกิดฌาน แต่ที่จริง ทำฌานแล้วจะเกิดสมาธิ ฌานเป็นมรรค สมาธิเป็นผล แต่เขาก็เพี้ยนไปหมด ปางนี้อาตมานำสัจจะมาพูด แล้วอาตมาเป็นคนมีวิบาก ให้มาทดสอบความจริง ถ้าอาตมาไม่ใช่คนที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 อาตมาก็โบกธงลาไปนานแล้ว ถ้าอาตมาไม่มีสมาธิตั้งมั่น ไม่แน่ และก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ได้ ป่านนี้ทำไม่ไม่ได้สักที อาตมาไม่ได้มีปัญหาหรือตัณหาเหล่านั้น อาตมาเคยพูดแล้วว่า แม้จะสอนไปแล้วเหลือคนนั่งฟังเพียงคนเดียว ก็ไม่ประหลาดใจ แม้ที่สุดไม่เหลือใครมาเชื่อเลย อาตมาก็จะทำต่อ เพราะมั่นใจว่า สัจจะมีหนึ่งเดียว

 

แล้วทำไมข้อที่ 10 ของสัมมาทิฏฐิ ทำไมพระพุทธเจ้าต้องตรัสถึง สยังอภิญญา

 

ปัจจัตตัง เป็นการเห็นด้วยตน รู้ด้วยตน เป็น มรรค พอได้ปัจจัตตังก็จะเห็นด้วยตนรู้ด้วยตนเกิดผลด้วยตน แล้วเป็นปัจเจก มีของๆตน แล้วจากปัจเจกจะสูงขึ้นเป็นสยังอภิญญา ซึ่งจากสยังอภิญญา จะแบ่งเป็นปัจเจกของสยัมภู กับปัจเจกของสัมมาสัมพุทธะ แล้วจึงจะเป็น สัมมาสัมพุทธะ เป็นธัมมสามี คือเป็นเจ้าของธรรมะ เด็ดขาด เป็นต้นธาตุต้นธรรมเลย

 

1.ปัจจัตตัง 2.ปัจเจก 3.สยังอภิญญา 4.ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ 5.สยัมภู แล้วท่านตรัสว่า ผู้เป็นสยังอภิญญา ในโลกนี้มีอยู่ด้วย ถ้าเป็นสยังอภิญญาก็เกินครึ่งแล้ว เอนเอียงไปหาจริงแล้ว ถ้าจะแบ่งสัจจะเป็น 4 ส่วน ที่จะถึง วัฏฏะแล้วเผื่ออีกอันหนึ่ง ถ้าแค่ 3 เป็นวงวน ต้องมี 4 จึงเป็นตัวตัดสินให้ไปข้างหน้า อย่างโสดาบัน มี  โสตาปันนะ อวินิปาตธรรม   นิยตะ สัมโพธิปรายนะ ขั้นนิยตะก็เลยครึ่งแล้ว

 

ยุคที่ไม่มีพระพุทธเจ้า ก็ต้องมีผู้มีภูมิรู้อย่างน้อย สยังอภิญญา จึงเชื่อได้ว่ามีความแม่นยำถูกต้องพอเชื่อถือได้ ถ้ายิ่งมีโพธิสัตว์ระดับสูงกว่าอาตมาระดับ 8 ก็ยิ่งดีสิ แต่อาตมาบอกว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 อาตมาก็อยู่ในขีดตัวที่เป็นหลักแล้ว ที่พูดวันนี้เพื่อขยายความว่า อาตมาเป็นอันนั้นจริง แต่คนไม่เชื่อง่ายๆ ฟังก็ฟังไป จะนับว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 5 ก็ได้ คืออนุโพธิสัตว์ จะเชื่อว่า อนุโพธิสัตว์ก็ได้ ไม่ต้องถึง นิยตโพธิสัตว์ก็ได้ พิสูจน์ไปแต่อาตมาว่าอาตมาเป็นนิยตโพธิสัตว์

 

ทุกวันนี้อาตมาแสดงสัจจะของพระพุทธเจ้า นี่คือการพิสูจตนว่าอาตมาจริง ถูกต้องหรือไม่ ทำงานมาผ่านอายุ 72 ปีมา 9 ปีแล้ว มันก็ยังไม่เท่าไหร่นะ อาตมาจึงจะอยู่พิสูจน์ต่อไปอีก ก็ตั้งไว้

 

อาตมาไปเยี่ยมคนป่วย โยมพ่อท่านถักบุญก็พูดวนว่ามันตายได้วันนี้ก็ดี มันเจ็บปวดไปหมด  มันน่าเบื่อ อาตมาก็มานึกถึงตนเอง โยมพ่อท่านถักบุญอายุ 72 ปี อาตมานี่ จะขึ้น 82 ปี อาตมาก็ยังไม่มีอาการเช่นนั้นเลย ความรู้สึกอยากตายของอาตมาไม่เกิด แล้วยังมีเหตุปัจจัยที่อาตมาต้องทำงานอีก มันก็มีอะไรเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ก็ดูคนอายุ 80 คนอื่นสิ เขาก็บ่นนั่นบ่นนี่ไป แต่อาตมานี่ไม่เหมือนเขาไม่ได้บ่นเช่นนั้น

 

ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ) คุณเกิดมาครบอาการ 32 พร้อมสัญญาและใจ ได้พบคนนี้หรือยัง เขาจะได้อธิบายโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้งให้คนเข้าใจได้ แล้วเอาไปปฏิบัติให้คนเข้าสู่โลกุตระได้ โลกุตระคือโลกหน้า โลกุตระมี 1 กายในกาย

 

คำว่ากาย นี้ เขาก็เข้าใจไม่ได้แล้ว รู้ผิดๆ จะเข้าไปสู่ กายในกาย ได้อย่างไร องค์รวมของกาย คุณก็ไปสัญญากำหนดผิด

 

กายในกาย คือองค์ประชุมของรูป/นาม แล้วเรียกว่า วิญญาณ​ คือผัสสะ 3 คำว่า กาย ทิ้งข้างนอกไม่ได้ ต้องมีข้างนอกด้วย สัมผัสดินน้ำไฟลมด้วย มีรูป 28 ครบ มีปสาทรูป โคจรรูป แล้วเกิดวิญญาณ คำว่ากายในกายรวบเลยว่า คืออ่านวิญญาณ ซึ่งเกิดจากเวทนา/สัญญา/สังขาร ซึ่งแตกสังขารออกเป็น เจตนา ผัสสะ มนสิการ ก็คือนาม 5 ก็คือจิต มโน วิญญาณ

 

ส่วนรูป ก็แจกเป็น อุปาทายรูป 24

 

เวทนา สัญญา นี่เป็นตัวหลัก แล้วกำหนดรู้ เจตนา ผัสสะ แล้วให้ทำมนสิการให้สัมมาทิฏฐิ ถ้าใครทำใจในใจไม่โยนิโส ให้ลงไปถึงที่เกิดไม่ได้ จะต้องคู่กับสัมมาทิฏฐิ ถ้าไม่มีสัมมาทิฏฐิจะโยนิโสมนสิการไม่เป็นเลย จะโยสิโสมนสิการอย่างถูกต้องถ่องแท้ต้องมีสัมมาทิฏฐิ ต้องฟังธรรมจากสัตบุรุษ ได้ฟังธรรมอย่างบริบูรณ์

 

อาหารสู่วิชชาและวิมุติ

1.        การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์

2.       การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์

3.        ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์ 

4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้  สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา

5. สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์

6. ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์  คือ  กาย วาจา ใจ  เลิกทำการงานทุจริต

7. สุจริต3 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สติปัฏฐาน4 บริบูรณ์

8. สติปัฏฐาน4 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ .

9. โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์  (อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 61)

 

สัตบุรุษนั้นแหละคือสยังอภิญญา ถ้ายิ่งเจอปัจเจกหรือสยัมภูได้ก็แล้วแต่บารมี ถ้าใครเจอก็มาบอกอาตมาบ้าง อาตมาก็อยากได้ของดีนะ อาตมาไม่เคยหลงตน ว่าตนคือพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปหรือพระศรีอาริย์นะ ไม่ได้เคยหลงตนเช่นนั้นเลย ก็บอกอยู่แต่ว่าตนเป็นโพธิสัตว์ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าแค่บอกว่าอาตมารู้เอง

 

เขาเรียนมาผิดว่า ผู้รู้เองมีแต่สยัมภูคือพระพุทธเจ้าองค์เดียวนี่คือความเพี้ยน แต่ชาตินี้อาตมาไม่ได้รับมาจากใครเลย ไม่ได้มีอาจารย์ไม่มีศิษย์พี่ศิษย์น้องเลย เขาก็ว่า เป็นพระพุทธเจ้าหรือไง อาตมาก็ว่าไม่ใช่ นี่คือความขาดวิ่นขององค์ความรู้ในศาสนาพุทธ เขาตู่อาตมาเองว่าอาตมาเป็นพระพุทธเจ้า อาตมาไม่เคยหลงตนหรือเคยพูดว่าอาตมาเป็นพระพุทธเจ้าเลย มีแต่เขาตู่ว่า

 

สยังอภิญญาก็ต้องรู้สัมมาทิฏฐิ ต้องอธิบายได้อย่างเข้าใจ ปฏิบัติได้มีสิ่งจริงยอมรับ อาตมาก็อธิบาย อธิบายแล้วเขาก็บอกว่าอยากฟังอีกที แต่คนก็ไม่ได้เข้าใจง่ายๆ ก็ต้องอธิบายอีกๆๆ อธิบายตั้งแต่ทาน ทานที่จะมีผลเป็นอัตถิทินนัง ซึ่งก็อธิบายต่างจากเขาอีก เขาไม่เชื่อว่าอาตมาเป็นสัตบุรุษแท้ ถ้าเขาเชื่อเขาจะไม่กล้าติกล้าว่า เขากลัวตกนรก แต่เขาไม่เชื่อจริงๆเขาจึงกล้าว่า กล้าจะเอาเข้าคุกด้วย

 

อาตมาก็บอก ทาน แล้วมีใจโลภ ใจจะเอาเป็นอย่างไร แล้วทำใจในใจทำอย่างไร ก็ต้องมีฉันทะเป็นมูล แล้วมีมนสิการเป็นแดนเกิด ไม่มีสถานที่ แต่เป็นนามธรรม คุณต้องสัญญากำหนดรู้ว่าเวทนาเกิด เวทนาคือองค์ประชุมของรูป/นามที่เกิดจากการกระทบสัมผัส ถ้าสังขารมันก็ปรุงแต่งเป็น จิตสังขาร ที่อยู่ในกายสังขาร แล้วกายนี่ก็คือนาม คือความรู้สึกนะ คือเวทนา

 

ก็จับอ่านอาการทุกข์/สุขก่อน อาตมาก็อธิบายว่า สุข มันคือสุขเท็จ ที่จริงมันคือการบำเรออุปาทาน ตัณหา ถ้าไม่บำเรอ อุปาทาน ตัณหาก็คือไม่มีสุข/ทุกข์ ซึ่งตัณหาก็คือตัวอยาก อุปาทานคือตัวยึด ตัณหาคือdynamic ส่วน อุปาทานคือ static พระพุทธเจ้าสอนให้ฆ่าตัณหา อุปาทานจะดับไปด้วย หลักคือสมุทัยอยู่ที่ตัณหา แล้วในมูลสูตรท่านบอกว่า ต้องมีผัสสะเป็นสมุทัย จะมนสิการต้องมีผัสสะเป็นเหตุนะ จึงจะรู้สมุทัยที่เป็นปรมัตถ์ หากไม่มีผัสสะจะไม่ครบความจริง รู้ได้ยาก

 

เมื่อครบความจริงมีผัสสะ จับกิเลสได้ รู้สมุทัยที่เราจะจัดการกับมัน ก็คือตัวอยาก ตัวตัณหาคือตัวเหตุแห่งทุกข์ เมื่อจับได้ จึงรู้ว่าเพราะโลภ ได้สมโลภก็สุข ก็ต้องมาลดความโลภ คือทำทาน ศีล ภาวนา ทำทานคือสละความยึดของเรา ความโลภของเรา อ่านจับอาการ ลิงค นิมิต รู้นามรูปด้วยอาการ ลิงค นิมิต อุเทส

 

พระไตรฯล.10 ข.60 ว่า  ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว  ไว้ว่า เพราะ

นามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามกาย  ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต

อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุเทศนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อในรูปกายจะพึง

ปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

 

 

ดูกรอานนท์ การบัญญัติรูปกาย ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศเมื่ออาการ

เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสโดยการกระทบ จะพึงปรากฏในนามกายได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

     

 

ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามก็ดี รูปกายก็ดี ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ

เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อก็ดี การสัมผัสโดยการกระทบ

ก็ดี จะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

     

 

ดูกรอานนท์ การบัญญัติ "นามรูป" ต้องพร้อมด้วย อาการ เพศ นิมิต อุเทศ เมื่ออาการ

เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี ผัสสะจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

   ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งผัสสะ ก็คือนามรูป

นั่นเอง ฯ

 

“นาม" คือลักษณะของวิญญาณที่อยู่ภายใน เป็นธาตุรู้ ตัวรู้

"รูป" คือสิ่งที่ถูกรู้

 

และง่ายๆตอนนี้เริ่มต้นก็ต้องเอาภายนอกก่อน นี่ลิ้นจี่ นี่ฟักข้าว นี่สละ แตงโม กล้วย เยอะแยะเลยอุปกรณ์การสอน ...​ตาก็กระทบรูป

 

นามรูปก็มีทั้งนอกและใน มี ปสาทรูปคือ(ตา หู จมูก ลิ้น กาย) เสร็จแล้วก็มีการดำเนินไป คือโคจรรูป(รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส) พอมีปสาทรูปกระทบสัมผัสกับโคจรรูป ก็คือมี "รูป" และ "นาม" กระทบกัน มันก็จะเกิดการกระทบกันระหว่างคู่ เช่น ตากระทบรูป หูกระทบเสียง เป็นต้น พอสัมผัส ก็เกิดภาวะปรากฏ(ปาตุ) เป็นปาตุภาวะ เป็นปาตุสัจจะ ปรากฏทันที ต้องรู้ด้วยธาตุรู้ ว่ามันมีสิ่งปรากฏ ทันทีที่มันเกิดมันก็ปรุงแต่งเป็น ภาวรูป 2 คือ อิตถัตตภาวะ มันปรุงเป็นอิตถัตตะคือตัวเกิดคือภาวะแม่ ส่วนปุริสสะ คือตัวพ่อตัวต้นที่จะให้เป็นหนึ่ง  ก็เกิดลักษณะของเพศ เป็นอิตถีลิงค์ ปุงลิงค์ ทำให้อิตถีลิงค์มาเป็นปุงลิงค์ให้ได้จนเป็นนปุงสกลิงค์ เป็นอุตตมปุริสสะ ไม่มีเพศแล้ว จนทำให้สูงสุด อย่างพวกคุณก็ทำอรหันต์ก่อน อาตมาก็ทำต่อให้เป็นถึงพระพุทธเจ้าได้

 

ฟังอีกครั้งนะ

 

คุณก็เห็นพระพุทธเจ้าได้ แม้ในยุคนี้!!!

 

พระไตรปิฎก ล.10 ข.60 ว่า  ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว  ไว้ว่า เพราะ

นามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามกาย  ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต

อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุเทศนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อในรูปกายจะพึง

ปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

 

 

นามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดมีผัสสะ แล้วมีผัสสะ จึงเป็นปัจจัยเกิดวิญญาณ ส่วนนามกายก็คือองค์ประชุมของนาม ก็คือวิญญาณนั่นเอง คือธาตุรู้ที่ประชุมกันจึงเกิดนามกาย

 

อย่างรูปกาย ของคุณ ถ้าสัมผัสฟักข้าวนี้ จะพึงสัมผัสแต่เพียงชื่อ เอาชื่อมันก่อน รูปกายจะพึงปรากฏไหม? ก็ไม่เลย อย่างพระอานนท์ว่า เพราะว่าคุณไม่ถึงพร้อมด้วย อาการ เพศ นิมิต อุเทส คุณไม่ได้อ่านอาการเลย เพราะไม่มีใครสอนให้คุณรู้จักอ่าน อาการของใจ ไม่ได้สอนให้คุณแยกแยะเพศของอาการ ไม่ได้สอนให้คุณกำหนดเครื่องหมายเป็นนิมิตของอาการใจเลย คุณฟังอาตมาอุเทสไปนี่ ฟังไปแล้วเอาไปปฏิบัติ ปฏิบัติก็ต้องอ่านอาการนี้ 

 

แต่ถ้าคุณปฏิบัติแต่เพียงว่า  กายคือร่างภายนอกเท่านั้น รูปกายของคุณ ก็คือร่างของฟักข้าวนี้ภายนอกนี้เท่านั้น คุณก็จะสมมุติสัมผัสแต่เพียงชื่อรูปกายก็คือว่า ฟักข้าว คุณจะสัมผัสเข้าไปหาสภาพของ กายในกาย ของฟักข้าวก็แค่ว่า มันมีเนื้อ มันมีสีแดง มันมีกลิ่นมันมีรสของมัน แล้วคุณจะเอาอะไร เอาแต่เปลือก หรือว่าเอาเนื้ออะไรลึกเข้าไปอีก โดยเฉพาะมันไม่ได้ถึงแค่รูปเท่านั้น

 

ทีนี้ นามกาย ก็คือ บัญญัติเข้าไปอีกว่า มันมีเนื้อ มีรส มีวิตามิน มีสารที่จะเอาไปเลี้ยงร่าง นอกจากนั้นมันยังมีเวทนา รสมันก็มี แต่รสทิพย์ รสบ้า รสอปรโคยาน ที่คนถูกหลอกว่าเป็น รสอร่อย อิฏฐารมย์ นั่นแหละรสนอกจากรสของตัวฟักข้าว นั่นคือรสผี

 

1.คือ รสจริง กับ 2. คือรสผี ซึ่งรสผีนี้คุณถูกหลอกว่าเป็นรสทิพย์ หลงว่าว่าได้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผส อย่างนี้แหละเป็นทิพย์ เป็นวรรณทิพย์ เป็นอายุทิพย์คืออยากอยู่ต่อไปให้อยู่กับรสทิพย์นี้ตลอดไป เป็นดาวดึงส์ เป็นยามา ให้นานแสนนาน หรือเบื่อสุขนี้แล้วก็หาสุขต่อไปเรื่อยๆๆ สุขนี้มันเบื่อแล้วก็ไปหาสุขใหม่ ดูเหมือนไม่มีทุกข์เลย มีแต่สุข เหมือนพระอนุรุธะที่ว่า ขนมไม่มีก็ไปเอามา คือไม่รู้จักคำว่าไม่มีเลย เคยได้สมใจตลอดเวลา แต่พอเขาบอกว่า ขนมไม่มี ก็บอกว่า ไปเอาขนมที่ชื่อว่า "ขนมไม่มี" มากินอีก  คือไม่รู้ว่า ไม่มี คืออะไร?

 

คุณก็ต่อเนื่องด้วยเทวดาดาวดึงส์ไปตลอด มันลวงพรางคุณ ด้วยความต่อเนื่อง ถ้าคุณไม่สะดุดเพราะมีเหตุปัจจัยพร้อมก็ไม่เห็นทุกข์ แต่ถ้าสะดุดด้วยเหตุปัจจัยไม่ได้ตามอุปาทานก็ทุกข์ มีความอยากแล้วไม่ได้ก็ทุกข์ จะแรงร้ายอย่างไรก็แล้วแต่ว่ายึดมากหรือไม่อย่างไร เข้าใจไหมว่านี่คืออปรโคยาน ที่จะไปหาเทวดาดาวดึงส์อยู่ตลอดกาลนาน มันเป็นเช่นนี้ ได้เป็นกันไหม?

 

พระพุทธเจ้าว่า.... อาการ เพศ นิมิต และอุเทศนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อในรูปกายจะพึง

ปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

 คุณจะสัมผัส ฟักข้าวนี้ ภาษาว่าฟักข้าวนี้ คุณก็เรียกมันไม่ถูกแล้ว เพราะคุณไม่มี "นามรูป" คุณมีแต่รูปก็คือฟักข้าว มันไม่มีนาม มันไม่รู้ด้วยภาษา ว่า อาการ ลิงค นิมิต อุเทส คืออะไร? ก็ไม่เกิดรูป/นาม ไม่เกิดกาย แต่พอคุณเข้าใจว่า พพจ.ให้กำหนดรู้ อาการ ลิงค นิมิตอุเทส นี้  เมื่อตาคุณกระทบรูป คุณก็รู้ทันที ก็กำหนด อาการ เพศ นิมิต ได้ แล้วแม้หลับตาไปก็กำหนดบัญญัติได้ว่า ฟักข้าวเป็นเช่นนี้

 

ถ้าคุณเองไปปฏิบัติในอนาคต สภาพฟักข้าวปรากฏให้คุณรู้เป็นวจีสังขาร ในจิต คุณก็รู้แล้ว ว่าบัญญัติ อุเทสด้วย ว่าเป็นชื่อฟักข้าว ถ้าบัญญัติด้วยฟักข้าว มันก็คือสิ่งข้างนอก แต่ถ้าบัญญัติวจีสังขารว่า สุขเวทนา/ทุกขเวทนา ภาษามันเรียกอย่างนี้ อาการนี้มันเรียกอย่างนี้ เครื่องหมายอย่างนี้คือสุข เครื่องหมายอย่างนี้คือทุกข์ มันเป็นสังขารที่คุณเรียนรู้สังกัปปะ 7 ก็มีอาการนี้ปรากฏเป็นวจีสังขาร มันเป็นอาการที่คุณม่ีสภาวะปรากฏนี้ในใจ คุณรู้ภาษาบาลีก็เรียกว่า เวทนา เป็นวจีสังขารในจิต แล้ววจีสังขารอันนี้ ในผู้ที่ยังเป็นเคหสิตะ มันปรุงแต่งโดยคุณไม่รู้เรื่องเลย สัมผัสปุ๊ปเป็นสุขเวทนา สัมผัสแล้วเป็นทุกขเวทนา มันก็เป็นบัญญัติชื่อเป็นเคหสิตเวทนา  แต่เมื่อคุณปฏิบัติไปจนเป็น เนกขัมสิตเวทนา จนกระทั่ง อาการเป็นสุขหรือเรียกตัวภายในว่า เป็นโสมนัสเวทนา ซึ่งแยกเป็นเคหสิตเวทนากับ เนกขัมมสิตเวทนา ไอ้โสมนัสเคหสิตเวทนา ต่างกับ โสมนัสเนกขัมสิตเวทนาอย่างไร? ก็แยกแยะได้

 

 

จะเป็นสัมผัสมาจากนอกไปหาในหรือปั้นอยู่ภายในเองเลยเป็นมโนมยอัตตา ฟักข้าวข้างใน ก็จำได้ว่ารสเป็นเช่นนี้ รสเราชอบหรือไม่ชอบ เดี๋ยวนี้เราปฏิบัติแล้วลดอาการชอบหรือไม่ชอบ เดี๋ยวนี้อาการติดยึดอร่อยมันจางลงไป มันลดได้ เป็นเนกขัมมะ อาการจางคลายมีหรือสัมผัสเดี๋ยวนี้รสทิพย์ในใจก็ไม่มี คุณก็จะเห็นอาการไม่มีในจิต เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา

 

หากคุณไม่มีภาษาก็มีสภาวะของวจีสังขารนั้น ว่าเป็นอาการเฉยๆกลางๆ ไม่มีสุขไม่มีทุกข์แล้ว แต่ตอนนี้เราเรียนรู้ภาษาแล้ว ว่าอ๋อ อันนี้เนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา โอ้ อย่างนี้เอง ตถตา ความจริงมันเป็นเช่นนี้เอง ใครมีคนนั้นจะเห็นเองรู้เอง ใครเห็นตถตา นี้เป็นปรมัตถธรรม ขั้นฐานนิพพาน ต้นทางนิพพานเลย ใครเห็นก็คือคุณเริ่มเห็นพระพุทธเจ้าองค์โสดาบัน เป็นอนุพุทธองค์โสดาบัน  ใครเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา นี่แหละพระพุทธเจ้าแท้ไม่ต้องเอาข้าวไปถวายพระพุทธเจ้าเลย เพราะเราไม่งมงายขนาดวิญญาณจะกินข้าวด้วย เพราะไม่มีดิน น้ำ ไฟ ลมจะกินข้าวหรือ? คนไม่รู้เรื่องก็งมงาย ว่าเอาข้าวไปถวายพระพุทธเจ้า แต่นี่แหละคือเห็นพระพุทธเจ้า พวกคุณเห็นพระพุทธเจ้าไหม?

 

ลองตั้งใจตอบให้ดีนะ แม้จะเป็นอนุพุทธะคือเราเห็นอุเบกขาตัวใดตัวหนึ่ง แม้อุเบกขานี้จะไม่ตั้งมั่นยืนยัน แม้จะไม่อัปปนา พยัปปนา เท่าไหร่ สัมผัสแล้วก็ยังไม่ตั้งมั่นเท่าไหร่ไม่เป็นไร แต่ว่าพอรู้ว่ามันบริสุทธิ์ขึ้นไหมใครมีของตนลองยกมือหน่อยสิ ...ก็มีพอสมควรนะ นี่คือคุณเห็นพระพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา เป็นตถตาความจริงเลย แม้เป็นได้น้อยๆ

 

เราฟังธรรมแล้วพยายามปฏิบัติให้เกิดสภาวะแท้ให้ได้ ยิ่งมีคุณสมบัติ ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญาประภัสสรา นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)  นั่นคือองค์พระพุทธเจ้าแท้เลย จึงเป็นตถตาแท้เลย ซึ่งตถตา

 

อาตมาแบ่งเป็น 3 อย่าง

 

1.ตถตาแบบยถากรรม คือปล่อยมันไป มันก็เป็นเช่นนั้น มันเรื่องของมัน อย่าไปยุ่งกับมัน ถ้าไปยุ่งกับมันจะไม่สบาย มันก็อาจปล่อยได้วางได้ เป็นตถตาแบบบรรเทาทุกข์ให้ตนชั่วคราว เป็นสมถะคาถาอาคม ว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง อย่าไปเอามาขบคิดวุ่นวาย ปล่อยตามตรรกะเหตุผล เป็นการปล่อยตามคาถา

 

2.ตถตาขั้นมรรค คุณได้สัมผัสสิ่งจริง ปรมัตถ์ ได้สัมผัสสภาวธรรมว่า ลดละจางคลาย ปรมัตถ์เป็นเช่นนี้ เริ่มต้นสัมผัสแรกของสัจธรรม อย่างน้อยที่สุดศึกษาใหม่ๆ ลองอ่านอาการทางจิต อาการโกรธเป็นเช่นไร คุณก็ทำ พอเกิดโกรธก็อ่านอาการออก เริ่มรู้ก็จะบอกว่าเป็นเช่นนี้เอง  อาการโกรธ อาการโลภ อาการกามเป็นเช่นนี้เอง แรกๆจะตื่นเต้นที่รู้ปรมัตถ์ ก็เป็นสัมผัสแรก เป็นปีติยินดีว่า เป็นเช่นนี้เองสัจจะ ปรมัตถ์ สักกายะเป็นเช่นนี้หรือ กิเลสลด กิเลสดับเป็นเช่นนี้หรือ เป็นตถตาไปเรื่อยๆ

 

3.ตถตาขั้นผล เสร็จกิจแล้ว ไม่ต้องทำอะไรอีกมันเป็นเช่นนั้นของมันเอง สมบูรณ์แบบ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) นี่ตถตาตัวสุดท้าย อย่างของพระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า ตถาคตา ท่านทำมาปฏิบัติมาเป็นจริงสุดจริงแล้ว ตถาคต ดำเนินไปจนหมดแล้ว ตถาคตา พวกเราก็เอาแค่ตถตาไปก่อน

 

เราทำอย่างมีกรอบศีล มีปฏิบัติตามพรตนั้น ว่ามีกรอบอย่างไร ลดละกิเลสอย่างไร ทำแล้วเกิดผล หุตัง ก็เกิดผล สังเวยที่บวงสรวงแล้วมีหรือไม่มี คือผลของทานของศีลพรตนั้นทำแล้วเกิดผลลดกิเลสไหม?ก็คือทาน ศีล ภาวนา เกิดผลลดละได้ดับได้นิโรธได้มีไหม? ถ้ามีก็ครบ ทาน ศีล ภาวนา เป็นสุกตทุกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก ถ้าดีแล้วคุณแยกอีกว่า ดีขั้นกัลยาณธรรมหรือขั้นโลกุตรธรรม ส่วนไม่ดีก็มีแบบเดียวเลย

 

คุณจะเป็นกัลยาณธรรมหรือเป็นทุกข์ก็ล้วนเป็นวิบากทั้งนั้น จะทำนรกเป็นทุกข์หรือจะทำสุขกัลยาณธรรมก็เป็นวิบาก สุขโลกุตระก็เป็นวิบาก สั่งสมไป เกิดจากการกระทำทั้งสิ้น คุณมีสัมมาทิฏฐิแค่ไหน สามารถทำกรรมสุกตที่เป็นโลกุตระได้ไหม? สรุปคือกัมมสกตาคือกรรมเป็นของๆตน คุณจะทำทุกข์ก็เป็นวิบากของคุณ เป็นกัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมปฏิสรโณ ใครไม่เชื่อกรรม ไม่เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ไม่เชื่อกรรมก็ทำกรรมไปตามกิเลส คนนั้นก็ซวย ชาตินั้นเป็นโมฆบุรุษแน่นอน

 

คุณทำกรรมแล้วเป็นทรัพย์สั่งสมในฮาร์ดดิสก์แน่นอน ทำลายไม่ได้เลย ยิ่งกว่าไวรัสที่นอนเนื่องอยู่นับล้านๆปีก็อยู่กับคุณไปเป็นของๆคุณ ถ้าคุณทำดีได้ถึงอาริยชน ก็คือกรรมของคุณเป็นโลกุตระได้ จะทำกรรมที่เป็นทาน เป็นการประพฤติศีลพรตอะไร คุณมีสัมมาทิฏฐิ แล้วปฏิบัติจนพ้นสีลัพพตปรามาสก็จะมีผล อัตถิหุตัง

 

 4 ข้อของสัมมาทฺิฏฐิ 10 ถ้าไม่รู้จะอยู่กับโลกนี้ไปอีกตลอดกาลนาน forever จนกว่าจะรู้แล้วมาทำให้เกิดโลกใหม่ ปรโลก อยังโลโก คือโลกปุถุชนโลกีย์ ดีก็แค่กัลยาณชนไม่อาจข้ามเป็นโลกุตระชนได้ แต่ถ้ามาสัมมาทิฏฐิ จึงจะปฏิบัติได้ผลเป็นโลกใหม่ โลกใหม่คือหยุดโลกเก่าแล้วเข้าสู่โลกใหม่ไปตามลำดับ เราเข้าใจอาการหมุนในโลกีย์เป็นเคหสิตเวทนา เราก็หยุดโลกีย์ดับโลกีย์ จนมีโลกนิโรธ เพราะดับโลกสมุทัย ก็จะเห็นการดับโลก ไม่มีโลก คุณก็ดับได้จริง ขณะคุณทำได้เข้าใจอุเทสแล้ว ไปปฏิบัติก็จะรู้โลกนึ้โลกหน้าของตนเอง

 

เหตุปัจจัยที่จะไปสู่โลกหน้าได้มีเหตุผล คำว่าแม่ คำว่าพ่อ คือแม่พ่อของสัตว์โอปปาติกะ เหตุปัจจัยตั้งแต่บุคคล ที่เป็นมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ช่วยกันสร้างลูกส่วนพ่อคือสัตบุรุษต้นเชื้อเป็นหัว พระพุทธเจ้าถึงว่า พระพุทธเจ้าเป็นพ่อ ส่วนสมณะทุกองค์คือแม่ สร้างลูกคือสัตว์โอปปาติกะ จนเปลี่ยนเชื้อเปลี่ยนยีนส์ของโอปปาติกะได้ รายละเอียดของเชื้อต่างๆเป็น จีโนมต่างๆ อาตมากำลังไล่ละเอียดเป็นจีโนมของยีนส์ต่างๆ

 

ไม่ได้รู้แค่บัญญัติแต่จะรู้ทั้งเนื้อหามันด้วย มันไม่มีรูปร่างเนื้อแต่มีนามธรรมให้สัมผัสได้ คนในโลกมีทั้งที่ท่องจำได้แต่ไม่อาจเข้าถึงเนื้อหาสาระไม่อาจสัมผัสโลกุตรธรรมได้ ก็มี

 

ทานแล้วจิตได้รับผลอย่างไร สำเร็จได้เป็นโลกนี้โลกหน้า ชัดเจน ศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อก็รู้ มีปุริสสินทรีย์ อิตถินทรีย์ก็รู้ มีฌานกับปัญญา สองอย่างช่วยกันเหมือนล้างมือด้วยมือ ล้างเท้าด้วยเท้า มี ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา   โดยส่วนสอง

ด้วยประการดังนี้แล ฯ (  เทฺว  ธมฺมา  ทฺวเยน  เวทนาย

เอกสโมสรณา   ภวนฺติ   ฯ) แล้วทำให้เป็นเอกได้ แต่ก็มีสองอยู่นั่นเอง เราทำเป็นหนึ่งได้แล้วก็จะทำสองได้ อันหนึ่งไม่ใช่เรา ก็สักแต่ว่ารู้ ...​จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:58:05 )

580514

รายละเอียด

580514_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ การศึกษาที่เป็นเอกของโลกคือไตรสิกขา

วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2558 เป็นวันเปิดเรียนของนักเรียน ก็มีนร.ใหม่ ที่เป็นลูกหม้อไปจากสมุนพระรามก็มีเยอะ จากข้างนอกก็มี มาจากใต้ เหนือ และภาคกลางก็มี ตั้งใจมาศึกษาที่นี่ก็ดีแล้ว

ชีวิตคน จะต้องศึกษา หลวงปู่เคยนิยาม ชีวิตเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่อศึกษา แล้วศึกษาไปทำไม? ก็ศึกษาไปเพื่อเอาความเจริญประเสริฐของมนุษย์หรือว่า อาริยะ

 

อาริยะคือความเจริญของมนุษย์ จะเกิดมากี่ชาติ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความประเสริฐแท้ของมนุษย์ ได้จากการศึกษาที่เรียกว่า ไตรสิกขา ทุกชีวิตต้องศึกษาอันนี้ที่ถูกต้องแต่คนไม่ค่อยรู้ไม่เข้าใจไม่เชื่อถือ แม้เป็นชาวพุทธเองก็ไม่เชื่อว่า การศึกษาที่มนุษย์ควรได้คือ ไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา

 

ศาสนิกของอิสลาม เขาเชื่อเลยว่าเกิดมาต้องศึกษาศาสนา ต้องเรียนอัลกูรอาน ต้องเข้ารร.ปอเนาะ คือเขายังดำเนินตามพระศาสดา ส่วนจะเรียนทางโลกประกอบก็มี เขาจบดร.ก็เยอะ แต่เรื่องการศึกษาศาสนา ทุกคนต้องเรียนเท่าที่จะทำได้ ได้ธรรมะสูงสุดตามที่เขาจะได้ เขามีข้อจำกัด หลักเกณฑ์เต็มที่ ศาสนาเขาจะยังอยู่และแพร่เร็ว แต่ชาวพุทธนี่เหลวใหลลงทุกวันไม่ได้ศึกษาตามพระพุทธเจ้า เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาอิสรเสรีภาพ ไม่กดข่มกดดัน แล้วก็เป็นธรรมะทวนกระแสด้วย

 

ทวนกระแสคือ ฝืนใจ ใจเรามันชอบกิเลส ศาสนาพุทธนี่สู้กิเลส กำจัดกิเลสก็เลยทวนกระแสใจคน คนก็เลยไม่ค่อยชอบไม่ค่อยอยากเอา ถ้าผู้ไม่มีปัญญาถึงขีด จะไม่เอาไม่ใส่ใจศาสนาพุทธ จึงได้แต่ว่ามีชื่อเป็นชาวพุทธ เขาบอกว่ารักศาสนา แล้วว่าดี แต่ไม่รู้ว่าดีอย่างไร ไม่ได้ใส่ใจฝึกฝน รุ่นแล้วรุ่นเล่า พ่อแม่ ปู่ยาตายายเป็นพุทธก็เสื่อมไป ศาสนาพุทธเป็นศาสนาทวนกระแสโลกธรรม ถ้าไม่เอาใจใส่ กระแสโลกก็กินตัว ไปจนจะหมดแล้ว หลวงปู่เลยพยายามมาพลิกฟื้นศาสนาพุทธ ต้องดึงกลับมา ผู้มีธุลีในดวงตาน้อยก็มาเอา ที่นี่ให้เรียนอยู่ฟรีเลย เป็นโรงเรียนประจำ ให้อยู่เป็นบ้านเลย ให้รับรู้ว่า มาเป็นชาวอโศกมีสาธารณโภคี เป็นการเจริญเป็นอาริยะ มนุษย์ประเสริฐ

 

อโศกเราทำสาธารณโภคี เป็นรูปร่างแล้วแต่เจริญได้อีก ใครจะมาช่วยพัฒนาก็เชิญ หลวงปู่ได้ช่วยกันทำกันมา ตั้งโรงเรียน ตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยม แม้อุดมศึกษาก็พยายามต่อยอด ความรู้แบบโลกเราก็ไม่ให้ด้อยกว่ามาตรฐานที่โลกมี แต่เรื่องศาสนา ธรรมะหลวงปู่ตั้งใจพากเพียรให้ศึกษาให้ได้ความรู้ทางนี้ฟื้นกลับมา เอาธรรมะแท้จริงของพระพุทธเจ้าคืนมาให้มากที่สุดเท่าที่ได้ ก็ต้องขอบคุณหลายผู้หลายท่านที่ได้ช่วยกัน

 

การศึกษาต้องได้ธรรมะเป็นหลัก ส่วนความรู้ที่ใช้เลี้ยงชีพนั้น ทางศาสนาโดยตรงมีอยู่แล้ว แต่ทางโลกเขามามีเทคนิควิธีการหลากหลาย มันใส่เข้ามาหลายอย่างมากมาย ที่มันสูญเปล่า เป็นงานฟุ่มเฟือย เละเทะ ทำลายมนุษยชาติมากกว่ามากซ้อนเข้าไป งานเทคนิคฝีมือ ที่จะสร้างอยู่สร้างกิน อาศัยให้แก่ชีวิตที่จำเป็น หลวงปู่พยายามนำมาให้พวกเราได้เรียนรู้ เท่าที่เราไม่ใช่กลุ่มคนมีเงินทุนมาก ไม่มีอิทธิพลทางสังคมด้วย แล้วก็ยังอยู่ในฐานะที่ด้อยด้วย แม้แต่การสนับสนุนของสังคมวงกว้าง ก็ด้อยด้วย เราพูดไม่ได้ต่อว่านะ แต่เข้าใจ

 

เขากำหนดหลักสูตรมา เราก็ทำให้ได้ไม่ได้ด้อยกว่าเขา  ทำมา 20 กว่าปีแล้ว ปรากฏว่าเด็กของเราที่จบออกไป ตั้งแต่รุ่นแรกก็อายุย่างเข้า 40 แล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะได้ข่าวคราวว่าผู้ที่จบไปจะทำเรื่องเดือดร้อนเสียหาย แต่ว่ามีที่ทำดีมากกว่าอีก สู้สังคมเขาได้ อาจสบายกว่าเขาได้ สบายตรงที่ว่า พวกเรามีธรรมะพอสมควร ไม่ตกเป็นเหยื่อให้โลกมอมเมา ครอบงำให้หลงทางต่ำ ที่เรียกว่าอบาย ก็เลยอยู่ดีกันพอได้ ดูค่ารวม เด็กพวกเรามีจำนวนเท่านี้ จบไปทำงานยังชีพในสังคม และฐานะของเด็กที่จบออกไปจากเรา ดูแล้วเป็นระดับฐานชั้นกลางค่อนจะดีด้วย เท่าที่ตรวจสอบ ถ้าตั้งใจศึกษา พวกเราจะเป็นผู้มีทางรอดพ้นจากสังคมที่แย่งชิง เอาเปรียบเอารัดกัน จะอยู่ได้ดี

 

เมื่อมวลประชากรของประเทศ มีคุณธรรมอย่างที่หลวงปู่พาทำมากขึ้น สังคมก็จะค่อยยังชั่ว แล้วอโศกจะยืนยาวไปอีก หลายร้อยปี ประชาชนจะมีคุณสมบัติเหล่านี้ไปเอง เป็นไปโดยเนื้อแท้ของคุณภาพคุณธรรมของศาสนาพุทธ ที่เป็นอาริยสัจจะ คือเป็นธรรมะที่ประเสริฐ

 

ในตนเองแข็งแรงยั่งยืน แล้วการแพร่สู่สังคม จะยากและช้า แต่โลกียะ นั้นแพร่ได้เร็วและง่าย ทั้งแบบกิเลส หรือศาสนาแบบอื่น เขาก็เร็วและง่ายกว่าพุทธ อัตราก้าวหน้าของพุทธจะช้ากว่าศาสนาอื่น

 

เรารู้ว่าดีก็เลยมาเรียน เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องตั้งใจเอาดีนั้นให้ได้ ตั้งใจศึกษา จะเป็นจากสมณะ สิกขมาตุ พี่ป้าน้าอา ทุกคนเป็นครูสอนเราได้ทั้งนั้นปรารถนาดีต่อเราทั้งนั้น

 

การศึกษาของพระพุทธเจ้าคือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเนื้อแท้ เป็นสูตรวิชาการธรรมะของพุทธโดยตรง หลวงปู่เลยแปลงมาเป็น ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นแหละ

 

ศีลเด่น กับ คำว่าศีลก็ตรงกัน เราต้องปฏิบัติศีล นร.ที่นี่มีอย่างน้อยศีล 5 ใครผิดศีลก็ลงโทษกัน ใครผิดมากเราก็ให้ออก

 

สมาธิ กับคำว่า เป็นงาน ... คำว่าสมาธิ หมายถึง จิตใจ รวมทั้งความรู้ พลังใจด้วย คนที่มีกรรมการกระทำ แต่ละคน นั่นก็คือชีวิต กรรมหรือการกระทำก็คือชีวิต สัตว์ทุกตัวมีการกระทำเป็นชีวิต สัตว์เดรัจฉานทุกตัวก็ทำงาน ทำงานเพื่อยังชีพ แม้แต่มนุษย์ก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่ทำงานยังชีพ คนแท้ๆนี่เลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน ไปเที่ยวเบียดเบียนเกาะคนอื่นกิน ที่ตนเองไม่มีพฤติกรรมคุ้มกับตนกินตนใช้ ถ้าเป็นคนไม่สมประกอบก็แล้วไปมันไม่รู้ไม่บริบูรณ์ พึ่งตนเองไม่รอด เป็นความจำนน แต่ผู้ที่เบียดเบียน โกง ไปเอาเปรียบเอารัดคนอื่น อันนี้ไม่น่าชื่อว่ามนุษย์ เพราะขนาดสัตว์เดรัจฉานแต่ละชนิดมันก็ทำมาหากินของมัน ไม่เห็นจะไปเบียดเบียนเอาเปรียบกัน มันจะมีความรู้ กับกำลัง พลังใจที่จะออกมาเป็นกายกรรม วจีกรรม ไม่มากเท่าคน คนใช้วจีกรรมเยอะกว่าสัตว์มากมาย สัตว์มีน้อยที่จะใช้ภาษา มันก็ต้องทำงานรู้ว่าอะไรจำเป็นต่อชีวิต อะไรอาศัยยังชีพ มันเป็นสัญชาตญาณของสัตว์

 

คนก็เช่นกัน คนที่จะมีความรู้ มีทั้งแรงใจ มีทั้งเจโตและปัญญา ที่แข็งแรง ที่เรียกว่าสมาธิ คือรู้จุดเป้าหมายของงานเลี้ยงชีพตนที่ดี เรียกว่า สัมมาอาชีพ แต่คนทำงานเหลวไหล ผลาญพร่าเยอะ คนมาศึกษาศาสนาพุทธจะรู้ว่างานอะไรควรทำ งานอะไรเกินเลี้ยงชีพแต่ควรทำ ก็จะรู้ เป็นกัมมันตะ อาชีวะ พระพุทธเจ้าวางระบบไว้หมด เช่นว่างานเลี้ยงชีพ แบบกุหนา ลปนา อย่าทำแล้วทำการศึกษาตั้งแต่เนมิตกตา จนจบการศึกษามีความรู้สามารถ พึ่งตนรอด เป็นอาริยะแท้ รู้เหตุที่พาเสื่อมพาโง่

 

ตั้งแต่อบาย จนสามารถมีปัญญารู้แล้วทำตนเป็นผู้เจริญ เป็นอาริยะจริงตามลำดับ จนสูงสุดเป็นคนพ้นมิจฉาอาชีวะข้อที่ 5 เป็นคนทำงานฟรีได้ คนทำได้ขนาดนี้เป็นอาริยะระดับหนึ่งเลย เป็นผู้มีการศึกษาตามหลักสูตรพระพุทธเจ้าแล้ว ส่วนจิตวิญญาณจะมีผลได้ก็แล้วแต่คน ตามจริง

 

แม้แต่สัมมาอาชีพที่ว่า ในศาสนาพุทธ คนก็เป็นสัตว์โลกชนิดหนึ่ง แต่เลี้ยงชีพแบบอาริยะ ทำงานฟรี ไม่เอาอะไรแลกเปลี่ยน อันนี้จึงสมกับความเป็นสัตว์โลก เพราะสัตว์เดรัจฉานไม่ทำงานเพื่อแลกเปลี่ยน คนก็ต้องทำได้ด้วย ยิ่งมนุษย์มีปัญญาฉลาดแท้จริง อย่าว่าแต่ทำงานฟรีเลย แต่ทำแล้วให้เกินเหลือเกินกินใช้ แล้วเผื่อแผ่คนให้ได้มากที่สุด คือผู้ประเสริฐ เป็นมนุษย์ประเสริฐแท้จริง

 

นอกจากงานอาชีพแล้วก็มีงานกัมมันตะ ยุคนี้มีงานเยอะกว่าสมัยก่อน คนมันเยอะก็เลยต้องแบ่งกันทำ แล้วมีส่ิงเกินกินใช้เยอะ ก็เลยต้องไปทำสิ่งเหล่านั้น มันติดจนล้างไม่ได้ง่ายก็เลยต้องทำให้เขา พระพุทธเจ้ามีหลักว่า งานเลี้ยงชีพมี 5 หลัก ส่วนงานทั่วไปมี 3 หลักคือกัมมันตะ

1.อย่าฆ่าสัตว์ 2.อย่าไปเอาของคนอื่น 3.อย่าสำส่อนทางเพศ

 

ธรรมดาสัญชาติญาณสัตว์โลกต้องมีคู่ก็มีผัวเดียวเมียเดียวก็พอ นี่คือไม่ใช่งานเลี้ยงชีพ แต่เป็นงานที่ต้องกระทำทั่วไป คืออย่าให้เป็นโทษภัยต่อสัตว์โลก และ สองไม่ต้องไปเอาเปรียบหรือโกงเขา ถ้าจะให้ลึกซึ้ง ศีลข้อ 2 นอกจากไม่โกงไม่ทุจริตเอาของคนอื่นแล้วก็อย่าเอาเปรียบด้วย การเอาเปรียบคือผิดศีลข้อ 2 ทำงานก็ถ้าเอาส่ิงแลกเปลี่ยนก็เอาแค่เท่าทุนไม่ได้เป็นคนเลวกว่าเดรัจฉาน ก็อยู่ในสังคมได้ เป็นคนเท่าทุน แต่เป็นคนแล้วก็น่าจะเจริญกว่านั้นทำงานเกินกินใช้แล้วเสียสละให้แก่สังคม มากหรือน้อยก็ทำไป

 

นอกจากงานอาชีพแล้วที่เป็นสัมมาอาชีพแล้ว  สัตว์โลกทุกตัวต้องอาศัยอาหาร ต้องกินกวฬีการาหาร มันสูงสุด เป็นหนึ่งในโลก ชาวอโศก ถ้าเอางานอาชีพที่ทำอาหารให้แก่โลกได้ทุกคน หลวงปู่จะดีใจมาก อันอื่นๆเป็นองค์ประกอบ แต่ทุกวันนี้งานก็ต้องแจกแจงไปเยอะกว่าแต่ก่อน ก็ต้องทำ นอกจากปัจจัย 4 แล้ว มันต้องมีเฉลี่ยกันก่อน แต่เดี๋ยวนี้งานมันมีมากกว่าปัจจัย 4 แต่แค่ปัจจัย 4 ก็รอดแล้ว

 

หลักสูตรของท่านมันหยั่งถึงรากของความเป็นสัตว์โลกคือมนุษย์นี่แหละ ที่จะเป็นคนดีที่สุดและร้ายที่สุดได้ คนดีที่สุดคือไม่เบียดเบียนใดๆแก่แผ่นดิน แต่กลับเสียสละให้แก่คนอื่นได้ทั้งชีวิต ไม่ยึดเป็นตนเป็นของตนเลย ตนเองแค่อาศัยใช้สอยให้ชีวิตดำเนินไปแค่นั้น แล้วทำให้คนอื่นไม่เอาให้แก่ตนเลย มนุษย์ผู้ใดสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรพระพุทธเจ้า​จะเป็นมนุษย์มีชีวิตเป็นคุณค่าแก่ตนมากและให้ประโยชน์แก่สังคมอย่างสำคัญ ประโยชน์ที่เป็นอุปสงค์ที่ต้องการของสังคมที่สุดด้วย

 

        • สิ่งที่เป็นอุปสงค์หรือเป็นความต้องการสูงสุดของโลกคือ?

สิ่งที่เป็นที่ต้องการหรืออุปสงค์ในสังคมสูงสุดคือ คุณธรรม ที่จะให้คนไม่เห็นแก่ตัวได้เก่งที่สุด ดีที่สุดจริงที่สุดจนจบความไม่เห็นแก่ตัวเลย มีแต่เห็นแก่คนอื่น นั่นคือสุดยอด เมื่อมีอะไรจำเป็นเราก็ต้องขจัดส่ิงไม่จำเป็นบ้างแล้วเอาส่ิงที่จำเป็นมาก่อน โลกทุกวันนี้ถูกกลบเกลื่อนครอบงำไปไกลมาก  จนหลงผิดไปเห็นว่าอบายเหลวไหลเลวร้ายเป็นสิ่งน่าได้น่ามีน่าเป็นกันทั่วโลก เขาเข้าใจเช่นนั้นจริงๆว่าน่าได้น่ามีน่าเป็๋น

 

เช่นสิ่งที่เขาว่าน่าได้น่ามีน่าเป็นคือ ต้องไปรวย ต้องไปเป็นใหญ่ในสังคม ซึ่งเป็นแบบโลกๆ จนโลกเชื่อ คิด เข้าใจ จะเอาเช่นนี้ให้ได้ จะต้องได้รวย ได้ใหญ่ ก็ต้องหาวิธีที่ซับซ้อนมาก จนสามารถเป็นคนรวย ทุกวันนี้ตรวจสอบสถิติกันตลอดว่าใครจะรวยที่หนึ่งของโลก แล้วก็จะตรวจเพื่อยกย่องเชิดชู ชักจูงให้คนชิงตำแหน่งนี้ให้ได้ อันนั้นแหละเป็นวิธีการของชาวอภิมหาบรมสัตว์นรกทำกัน ที่ไปหาเครื่องเชิดชูกัน เป็นวิธีที่เลวร้ายที่สุด

 

ในหลวงประเทศไทยเราเป็นพระโพธิสัตว์ กล่าว The great word คือต้องมาเอาแบบคนจน อย่าไปเอารวย พูดออกมาแล้วเป็นคำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก แต่ยังไม่มีใครขานรับ แม้แต่ในกระแสของศาสนาพุทธ ที่เป็นศาสนาที่พาคนมาจน ก็ยังงมงายอยู่เลย ถ้าคนไม่โง่เกินไป เปิดใจก็จะรู้ว่าพระพุทธเจ้าพามามักน้อยสันโดษไม่สะสม มีบัญญัติภาษาเก็บไว้ทุกอย่าง แต่ปัญญาหรือความฉลาดความเข้าใจไม่ได้แล้ว มีแต่อวิชชา สุดที่จะไปฝืนบังคับคนให้มีปัญญา บังคับไม่ได้ บังคับคนให้ฉลาดแบบปัญญานะ และก็ล่อหลอกก็ไม่ได้ หากล่อหลอกก็ไม่จริงไม่ตรง มันต้องเปิดเผยความจริงนำพาฝึกฝนอบรมให้เข้าถึงความจริงให้ได้

 

โลกทั้งโลกทุกวันนี้ ลึกๆโดยปัญญาก็เข้าใจว่าคนมักน้อยสันโดษ เสียสละไม่กอบโกยก็ดี คนเข้าใจได้ทั้งนั้น สามัญเข้าใจได้กัน ว่าเป็นคนเสียสละ สุขภาพดี ชีวิตดีเบิกบานร่าเริงแข็งแรง สร้างสรรเสียสละให้โลก คนๆนี้ประเสริฐ เขารู้กันทั่วโลก แต่ก็พอให้เอาจริงๆก็ไม่เอากัน กลับขบถต่อความจริง

 

โลกมันใกล้กลียุค ไปหาทางเสื่อมหนักหนาสาหัส จึงยากมากที่จะทำความเข้าใจหรือพยายามให้เข้าใจ แต่หลวงปู่ไม่เคยท้อที่จะทำ ยากเท่าไหร่ก็จะทำ เพราะได้ตัดสินใจแล้วจะไม่เลือกงานอื่น มีอยู่คือ ถ้าอยู่ก็ได้ทำงานนี้ ถ้าไม่ได้ทำงานนี้ก็ตาย มีอยู่สองอย่างเท่านั้นในชีวิต ตอนนี้มีคนให้ทำงานร่วมด้วย แม้จะมีคนต้านอยู่ มีคนด่าทอ ก็เข้าใจเขา

 

ตั้งแต่ประกาศอรหันต์ไปก็มีคนด่ามากกว่าชม ที่บอกไปก็มีเหตุปัจจัย ก็เคยบอกนัยมาว่าประกาศโพธิสัตว์ ที่จริงก็คือว่าจะเป็นโพธิสัตว์ได้ต้องเป็นอรหันต์ก่อน โพธิสัตว์คือพี่อรหันต์ แต่เขาไม่รู้ก็เลยอยู่ได้มา ขนาดไม่ประกาศโต้งๆเลย ก็ทำงานยืนยัน จนมีผลพอสมควร เขาเลยจะโค่นอาตมาให้ได้ โค่นไม่ให้เผยแพร่ต่อ แต่เขาก็ทำได้สุดฤทธิ์เท่าที่เขาสามารถทำได้แล้ว เสร็จเท่าที่เขาสามารถแล้ว จากวันนั้นอาตมาก็ทำมาเรื่อยๆ จะเห็นได้ว่าอัตราการก้าวหน้าของเราที่จะนำธรรมะสู่สังคมนั้นมีอัตราการก้าวหน้ามาเรื่อยๆ ก็มีผู้มีปัญญาเห็นดีด้วยมากขึ้น ผู้ที่เคยเข้าใจผิดก็คลีคลายมา หรือผู้จองเจรจองกรรมกันก็ตายไปเยอะ ผู้อาฆาตมาดร้ายก็ตายไปบ้าง เหลืออยู่น้อยลงๆ ก็ยิ่งจะน้อยลงเรื่อยๆ ถ้าอาตมาอยู่ถึง 151 ปีก็คงตายไปหมด มันต้องอาศัยเวลา และลูกอึด ไม่งั้นไม่ได้ต้องใช้แบบนี้ ยังไง ๆก็ช่วยอาตมากันบ้างนะ ทุกวันนี้อาตมาอยู่ได้ก็เพราะพวกเราช่วย

 

พ่อครูตอบข้อความมา ไลน์ จากผู้ชมรายการ ธรรมาธรรมะสงคราม 13 พ.ค. 58

ควรกำหนดรู้อะไรก่อนในการปฏิบัติธรรม?

มีคำถาม ถามพ่อครูมาว่า....ผมรู้สึกประทับใจกับคำสอนของพ่อท่านคืนนี้มากครับ เพราะมีรายละเอียดในการปฏิบัติน่าสนใจมาก แต่ผมก็เข้าใจได้แค่ในระดับนึง(คงเพราะไม่มีสภาวะจริงมารองรับ)

เท่าที่ผมซึมซับได้ การเข้าสู่ความเป็นโสดาบันขั้นแรกต้องเข้าใจเรื่อง กาย เป็นพื้นฐานก่อน (ซึ่งผมก็เข้าใจว่าหมายถึง องค์ประชุมของ รูป สิ่งทึ่ถูกรู้ และ นาม ตัวที่เข้าไปรู้)

ทีนี้มาถึงเรื่องที่ผมสงสัยต่อจากนั้นนั่นก็คือ การกำหนดสัญญาว่าจะต้องรู้อะไรก่อนเมื่อเกิดผัสสะขึ้น ผมไม่ทราบว่าควรกำหนดรู้เวทนาก่อนหรือกำหนดรู้อาการของจิตก่อน( เช่น จิตมีโทสะ จิตมีราคะ จิตโลภ จิตอยาก ฯลฯ)

สำหรับการพยายามฝึกในชีวิตจริงของผมจะจับอาการของจิตก่อนเพื่อนเลยเพราะมันชัดกว่าและไม่ต้องผ่านกระบวนการคิด เช่น พอได้อาหารที่สั่งมาแล้วตักเข้าปากด้วยความอยาก(ตะกละ) หรือเห็นความโกรธเมื่อถูกขัดใจ

ส่วนการดูเวทนา( ดูว่าจิตเป็นสุข ทุกข์ หรือ เฉยๆ) ผมจะดูในบางครั้งก็ต่อเมื่อผัสสะมันผ่านไประยะหนึ่ง คือมันต้องผ่านกระบวนการคิดก่อน หรือ ในกรณีผัสสะที่เกิดขึ้นมันค่อยเป็นค่อยไปไม่ได้เกิดอย่างทันทีทันใด เช่น เดินไกลๆแล้วเหนื่อยจึงเห็นว่าจิตเป็นทุกข์

ขอเรียนถามท่านสมณะครับว่า ผมควรจะกำหนดสัญญาการกำหนดรู้อย่างไรจึงจะถูกต้องครับ

(หมายเหตุ ผมตามฟังพ่อท่านมาแต่ไม่เคยมีโอกาสได้สอบทานว่าเราเข้าใจได้ถูกต้องหรือเปล่า)

 

พ่อครูตอบว่า... ถามว่า ประเด็นเขาจับต้นว่า การเข้าสู่โสดาบันต้องรู้เรื่องกายก่อน ก็ถูกต้อง ก็ขอขยายก่อนว่า...พระพุทธเจ้าตรัสว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตระ แล้วก็มีหลักฐานว่าโลกุตระนั้นมี 46 เร่ิมต้นจุดแรกที่จะเริ่มทำงานปฏิบัติ เพื่อจะเดินสู่โลกุตระ 9 เร่ิมที่โสดาปัตติมรรค

 

โลกุตระ 9 คืออธิวจนะ 9ชื่อของผู้มีมรรคผลของพุทธ จาก 9 นี้ท่านก็มีข้อปฏิบัติให้ถึง มี 37 ข้อ เริ่มต้นตั้งแต่ กายในกาย จึงจะเริ่มเป็นโสดาปัตติมรรค ต้องรู้ว่าทางที่จะไปอย่างนี้ได้คือทำอย่างไร? แล้วที่คุณว่า จะต้องกำหนดรู้อะไรก่อน? ที่ถามมานะ

 

อาตมาตอบตรงนี้ก่อน ที่ถามว่าควรกำหนดรู้เวทนาก่อนหรืออาการจิตก่อน คำ บัญญัติว่า เวทนา หรือบัญญัติว่าจิต มีชื่อว่าจิต คำว่าชื่อ ภาษาบาลีคืออธิวจนะ คำว่า เวทนาก็คืออาการหนึ่งของจิต

จิตเป็นธาตุรู้ คำที่เป็นบัญญัตินี้เราก็อาศัยชื่อบัญญัติ ว่า จะรู้เวทนาหรือจิตก่อน ในหลักของโพธิปักขิยธรรม 37 ก็ มี กาย เวทนา จิต ธรรม ก็ต้องรู้ เวทนาก่อนจิต

 

คำว่าเวทนานี่ลึกซึ้ง รวมลงที่เวทนา ในมโนปวิจาร 18 ของเนกขัมมะกับเคหสิตะ อาการของเวทนานี่แหละ ตัวที่จะบ่งบอกว่าก่อน ไม่เช่นนั้นคุณแยกเนกขัมมะกับเคหสิตะไม่ได้ เนกขัมมะคือปฏิบัติออกจากโลกีย์ โลกีย์คือเคหสิตะ ก็ต้องรู้กระแสโลกุตระ โสตาปันนะคือเข้าสู่กระแส ก็ต้องรู้ก่อน รู้เวทนาและอาการที่บ่งบอกเวทนาว่าคือเจตสิกของวิญญาณ ถ้าเราอ่านไม่ออก อ่านไม่เป็น มันไม่มีจุดเริ่มต้นต่อ

 

จริงๆแล้ว เวทนายังเป็นตัวที่ช้าเสียด้วยซ้ำ เราไม่ได้รู้จิตก่อน เรารู้ก่อนจะรู้อันอื่นต้องรู้สังขาร เพราะคความไม่รู้คือไม่รู้สังขาร ตามปฏิจจสมุปบาท ไม่รู้มันเลยปรุงปุ๊บเลย เช่น ที่ว่า จิตมีราคะ โทสะ โมหะนี่มันคือตัณหา อยู่หลังเวทนาด้วยซ้ำ มันปรุงเป็นอารมณ์ แล้วมีเหตุในจิต ก่อนเวทนามันสังขารก่อน สัมผัสปุ๊ปเป็นกายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขารเลย เราแยกไม่ออกเอง

 

ก่อนอื่นต้องรู้กายก่อน กายอะไร? ก็กายสังขาร ต้องรู้สักกายะก็คือรู้กาย ก็คือรู้สังขาร คือสังขารที่เป็นกายก่อน แล้วค่อยเรียนพิจารณา กายในกาย ก็คือ เวทนานั่นเอง จากเวทนาก็มีเหตุคือ สราค สโทส สโมห ในจิต คือเจโตปริยญาณ 16 คำตอบตรงนี้ก็ขยายความแล้ว ไม่ใช่แค่รู้เวทนาก่อน ไม่ใช่รู้จิตก่อนเวทนา ที่จริงต้องรู้สังขารคือกายสังขารก่อน กายคืออะไร? อาตมาก็อธิบายเจาะลึกเลย มีต้นเชื้อของกายอีก เชื้อนี้คืออย่างภาษาbiology คือ gene แล้วก็แจกเป็น Genome อีก

อาตมาว่าศาสนาพุทธจะอยู่ต่อไปอีกสองพันกว่าปี อาตมามีหน้าที่ทำให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะครบได้ อาตมาตายไปจะได้มีสิ่งเหลือสืบต่อไป ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่สยังอภิญญาไม่ใช่ปัจเจกก็จะรู้เองไม่ได้ ศาสนาพุทธต้องมีการฟังจากสัตบุรุษผู้รู้มาก่อน ถ้าไม่มีผู้รู้มาก่อนศาสนาพุทธเกิดเองไม่ได้ มันมีเจ้าของ คือพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์คือ ธรรมสามี เป็นเจ้าของแท้ เป็นสยัมภู แล้วมีผู้รับสืบทอดมา มีของจริงในตนแล้วมาวนเวียนสืบทอดไปนี่ แม้ที่สุดศาสนาพุทธจะหมดเชื้อในยุคนั้นนะ แต่ในมหาจักรวาลไม่หมดหรอก แต่ว่าศาสนาพุทธจะต้องหมดเชื้อในยุคพุทธันดร คือระยะที่ไม่มีพุทธในวัฏสงสารของโลกที่หมุนนี่ มันมีสองช่วงที่ไม่มีศาสนาพุทธคือช่วงที่คนเลวร้ายสุดรับศาสนาพุทธไม่ได้ พระพุทธเจ้าสมณโคดม เป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายในยุคภัทรกัปป์แล้ว เป็นยุคที่มีคนรับศาสนาพุทธได้น้อยที่สุดแล้ว อาตมาก็มารับช่วงต่อ จากนั้นเป็นพุทธันดร จะมีการล้างโลกเลย  และอีกช่วงจะเข้าสู่ยุคที่ไม่มีคนเลวร้ายเลย โลกจะเข้าสู่บูรณปฏิสังขารเอง ธรรมชาติมีเยอะ คนก็น้อยไม่เกิดแย่งชิงกันอีกนาน ก็เป็นพุทธันดร คือช่วงคนดีมากพอ พุทธไม่ต้องมาช่วย

การปฏิบัติของพุทธเร่ิมต้องมีฉันทะ

1. ฉันทะเป็นมูล ไม่มีฉันทะไม่มีทางสำเร็จได้

2. มนสิการเป็นแดนเกิด เมื่อมาเรียนรู้แบบพุทธแล้วต้องรู้การทำใจในใจคือที่ๆจะเปลี่ยนแปลงจิต

3.ผัสสะ เป็นเหตุแห่งการปฏิบัติ หากไม่มีผัสสะไม่ใช่ศาสนาพุทธต้องมี ทวารทั้ง 6 กระทบสัมผัส ที่จริงมีแต่ใจท่านไม่เรียกว่าโผฏฐัพพารมณ์ แต่เรียกว่าธรรมารมณ์ แต่เขาปฏิบัติไปเอาแต่ภายใน ตัดทวารทั้ง 5 ที่จะผัสสะไปหมด เอาแต่ภายใน ทั้งที่ภายในมันอยู่ด้วยกันแล้ว เป็นธรรมายตนะกับมนายตนะ มันสัมผัสกันเองเลย

4.เวทนา เป็นสโมสรณา ทุกอย่างรวมลงที่เวทนาแล้วก็ต้องปฏิบัติตรงนี้ จนเป็นฌานเป็นวิมุติ เป็นสมาธิ เป็นผู้จบก็มีอมโม คือเป็นผู้ได้ฐานของความไม่ตาย ฆ่ากิเลสไปได้ตามลำดับ ได้เอกัคคตาจิตไปตามลำดับ เป็นปุงลิงค์ แล้วก็ทำต่อให้เป็น นปุงสกลิงค์ คือไม่มีเพศ เป็นผู้ไม่มีเพื่อนสอง อมรโคยาน คือไม่มีธุลีละอองกิเลสไปเรื่อยๆ ผู้ใดปฏิบัติเวทนาในเวทนา ตั้งแต่เวทนา 2​จนถึง เวทนา 108

 

เวทนา 2 คือต้องรู้ กายยิกเวทนาก่อน แล้วก็มีเจตสิกเวทนา ก็ต้องรู้กายก่อน ด้วยการกำหนดรู้ นาม/รูป เมื่อสามารถทำเวทนาในเวทนาจบสมบูรณ์​จนถึงขั้น อปรันตะ (อนาคต) กับปุพพวิเทหะ (อดีต) ที่สุดแห่งอมรโคยาน ก็คืออมตะ จนถึงที่สุดคืออดีต ผ่านปัจจุบัน ทั้งอดีตและอนาคต เป็นเอโกธัมโม จากธรรมะสอง แล้วก็ปฏิบัติ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) อาศัยไม่เป็นเพศแล้ว ตนเองไม่เป็นบวกเป็นลบ ไม่ไปไม่มา กลาง ศูนย์แล้ว แต่ต้องอาศัยกับสิ่งที่เป็นหนึ่งที่เรียกว่าเพศ​ก็คือเพศชาย (ปุงลิงค์) เป็นอุตมปุริสะ อยู่อย่างนั้น ถ้าตราบที่ยังอยู่ ก็อยู่อย่างผู้สืบสานก็อาศัยคำว่ามี

 

_ถามว่า ถ้าเราเลิกกับคนหนึ่งแล้วไปคบกับอีกคนหนึ่งจะเรียกว่า เจ้าชู้ไหม ?

ตอบ...ที่ถามแสดงว่ายังมาใหม่อยู่นะ ถ้ามาเก่าไม่กล้าถามหรอก... ตอบ...ใช่ นั่นแหละเจ้าชู้ ถ้าเราคบกันผู้เดียว ไม่สำส่อนไม่มากมาย เกาะคนนั้นไปคนนี้ นั่นแหละคือไม่เจ้าชู้ อย่าทำ อย่าเป็นคนเจ้าชู้มันเป็นบาป ไม่ได้เป็นบุญไม่ได้เก่งอะไรเลย ถ้าจะตอบตรงๆคือเจ้าชู้คือความเลว อย่าปฏิบัติ ถ้ารู้ว่าเราเป็นต้องหยุดให้ได้อย่าทำ ถ้าจะดีกว่านั้นไม่ต้องไปคิดเรื่องเพศ เรื่องพวกนี้เลย ก็อาจยังยากก็ฟังไป อย่างน้อยคู่เดียวก็ดีแล้ว

 

_สมัยคือช่วงแห่งการเรียนรู้ ก็คือปัจจุบัน หากหมดสมัยก็คือหมดปัจจุบัยไม่มีช่วงให้เรียนรู้ได้

 

_ความผูกพันความรัก ระหว่างแม่กับลูก กับความผูกพันระหว่างแม่กับลูก อันไหนมากกว่ากัน ?

ตอบ...ความผูกพันเป็นกิเลส ไม่ใช่สัจจะ คำว่าผูกพันก็แล้วแต่คนแต่ละคน ใครไปยึดมั่นถือมั่นในเชิงไหน ไปยึดมั่นถือมั่นในคู่ก็เพราะมีกิเลสกาม ส่วนความยึดมั่นถือมั่นในพ่อแม่ลูกผูกพัน ที่ ซิกมัน ฟรอย เขาว่า ความรักพ่อ แม่ ลูก ก็คือกาม การที่พ่อแม่ กอดจูบลูกก็คือกาม ที่จริงแก่ก็พูดถึง มันบำเรอการสัมผัส จริงๆแล้ว ความรักของพ่อแม่ ลึกซึ้งกว่า คือเสพอันหนึ่งคือเสพอัตตา ถ้าพ่อแม่ลูกนี่เป็นการผูกพันอย่างอัตตา แต่ถ้าคู่รัก มันผูกพันทางกาม ขั้วของกามกับอัตตา เป็นสองขั้วหลักของธรรมะ

 

ถ้าพ่อแม่กับลูกนี่ ถ้าติดคุกแล้วก็แทบจะไปติดคุกแทนกันได้ แต่ผัวเมียแค่ไม่เห็นด้วยก็แยกกันแล้ว ใครติดกามมากก็รักผัวรักเมียมากกว่า พ่อแม่ด้วย อย่างที่เคยเล่าว่ามันต้องการเสพกามแค่นั้น แต่พอมีลูกมันก็เอาไปทิ้งเลย คนก็โหดร้ายมาก แต่พ่อแม่ลูกไม่ได้จัดจ้านเช่นนั้น แต่อัตตาก็กินลึก

 

ในเรื่องอจินไตย เรื่องคู่ที่จะเป็นผัวเมียกันนี่ มันสืบทอดวิบาก สำสอนได้มาก ส่วนพ่อแม่ลูก มันจำกัด เป็นความสืบต่อยาวและมากกว่ากัน คือคู่ผัวตัวเมีย สำสอนเยอะ ไม่ลงหลักปักแหล่ง แต่พ่อแม่ลูกนี่ผูกกันกันนานกว่า แต่ผัวเมียนี่ผูกพันอย่างเละเทะกว่า ฟังสองอย่างนี้ คือความรักของพ่อ แม่ ลูกนี่จริงกว่าความรัก ผัวเมียนะ

 

สรุปว่า การศึกษา จะเกิดอีกกี่ชาติๆก็ตาม ก็ต้องมาศึกษาเอาสัจธรรมอันนี้ ที่จะทำให้คนเราประเสริฐนี่แหละสูงสุด การศึกษาเทคนิตโลก มันหลอกด้วยโลกธรรมอามิส ก็ไปหลงกัน คนที่รู้แล้วก็ไม่ไปหลงเสพ แต่เอาใช้เป็นประโยชน์ต่อตนต่อผู้อื่น แต่ถ้าเอาเป็นเอกต้องการศึกษาไตรสิกขานี่แหละ แต่ทุกวันนี้เขาไปหลงความหลอกความลวงมาเป็นความรู้เอก ส่วนที่ควรทำเป็นเอกไม่รู้เอาไปไว้ไหน สังคมเลยเดือดร้อน....จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 14:59:57 )

580515

รายละเอียด

580515_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ  ไขรหัสพันธุกรรมของนามธรรม  1

พ่อครูว่า... วันนี้วันศุกร์ที่ 15 พ.ค. 2558 ... ก่อนจะได้บรรยาย วันนี้จะลองเจาะลึก ลงไปในgenome ของธรรมะ รหัสพันธุกรรม ของจิต ของเชื้ออนุสัย จิตในจิตของเราเลย จะมีแง่มีเชิงมีมุมอย่างไร ทางด้านฟิสิกส์ในโลก ก็มีบัญญัติภาษา มีชื่อเรียก แต่ทางธรรมก็มีชื่อเหมือนกัน แต่ว่า คนเขาไม่ค่อยรู้จักชื่อ ก็เลย นำชื่อเขามาใช้ ซึ่งโครงสร้างเหมือนกัน

 

ทางโลกเขาได้รู้ นิวตรอน แต่เขาไม่สามารถได้นิวตรอนด้วยตัวเอง มันเป็นนิวตรอนโดยธรรมชาติ เป็นพลังงานไม่ไปทางไหน ไม่บวกไม่ลบ มันได้ตามธรรมชาติ แต่ของพระพุทธเจ้าทำได้อย่างถาวรเลย อย่างภาษาคำว่า ว่างนี้ของท่านเยอะ ถ้าจะเรียกตามโลก เรียกสภาพของจะเรียกว่า ธาตุที่เป็นธาตุทาง เพศ เขาก็เรียกได้ เป็นเพศชายเพศหญิง ก็เรียก และสุดท้ายทำให้หมดเพศชาย เพศหญิง เป็นนปุงสกลึงค์เขาทำไม่ได้ ไม่บวกไม่ลบเลย กลางๆ สิ่งเหล่านี้ก็คล้ายกัน มันใช้ภาษาฟิสิกส์ทางโลกมาเรียกก็พอเข้าใจกันได้

 

ก่อนจะได้บรรยายก็บอกข่าว คุณวัชราภรณ์​ สุขสวัสดิ์ เป็นโรคไตวายเรื้อรัง มานานเป็น 10 ปี แล้ว ฟอกไตสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ปกติไปฟอกไต รพ.คลองตัน ต่อมามีหลอดเลือดอักเสบ หัวใจวาย ต่อมาก็มีแผลที่เท้า ต้องคว้านเนื้อออก รักษาภาวะหลอดเลือดอักเสบ ที่รพ.ราชวิถี และขณะเดียวกันต้องล้างไตด้วย อยู่ห้องรวม 6 เตียง เขาก็อนุญาตให้เฝ้าได้ เพราะคนป่วยช่วยเหลือตัวเองได้น้อย ผู้ดูแลก็ช่วยเหลือ

 

เขาไม่ได้เอ่ยปากช่วยนะ เขาเกรงใจ แต่ก็ผู้ไปเยี่ยมเห็นว่าน่าช่วยเหลือ ผู้จะช่วยติดต่อได้ที่คุณอ่าน 083-1983102

 

ใครที่พอจะช่วยได้หน่อยบั้นปลายชีวิตแล้ว น่าสงสาร ช่วยบอกต่อด้วย เลขที่บัญชี ออมทรัพย์ สาขาสุขุมวิท101คุณสุวัฒนา สุขสวัสดิ์   ธ.กสิกรไทย เลขที่ 035-2-43475-2 

 

โทรศัพท์ คุณวัชราภรณ์ คุณปิยนาถผู้ดูแลเป็นคนรับสาย083-198-3102,081-918-1925

 

 

 

มาเข้าสู่ธรรมะ วันนี้จะใช้ภาษาใหม่ ที่อาจแปลกหู ... ที่เรากำลังพูดกันเรื่อง รูป/นาม เรื่องกาย อาตมาได้พยายามบอกว่า การศึกษาของพุทธ เมื่อศึกษาอย่างสัมมาทิฏฐิจะรู้ไปตามลำดับ เข้าใจรายละเอียดของจิตเจตสิกรูปนิพพาน ละกิเลสไปตามขั้นตอน เร่ิมต้นที่ ฐานแห่งความจริง คือฐานที่มีทุกอย่างครบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เปิดรับครบทุกทวาร มีสติตื่นรู้รับทั้งนอกและใน ไม่หรี่ ไม่อยู่ในภพไหนๆ อยู่กับกามภพนี่แหละ จะรู้กามภพที่ปรุงแต่งเป็นโลกหมุนวนที่หยาบต่ำที่สุดคือ อบาย มันหยาบ หนักใหญ่ แรงหนัก ก็ควรจะรู้ได้ง่ายกว่า และเรียนให้จริง ว่าเราติดให้แล้ว มีสุข/ทุกข์ เป็นเวทนา

 

ที่จะเจาะลึกคือ เวทนา เป็นหลัก ที่จะประชุมกัน ฌานของพระพุทธเจ้า ได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก ส่วนฌานที่ไม่ใช่สัมมาสมาธิ ได้โดยยากลำบาก ช้า ต้องใช้สถานที่ เป็นเรื่องยาก ไม่อัตโนมัติ แต่ของพุทธเรียนรู้ได้ละได้ก็ได้เลย ได้แล้วก็อยู่กับทุกอย่างเหมือนเดิม โลกอบายก็มีอยู่เราก็อยู่ด้วย แต่เรามีโลกุตรจิต มีจิตเหนืออบายได้

 

เรามีฌานขั้นไหนเราก็รู้ เราจะใช้พลังงานที่เรียกว่า ฌาน 1 ใช้การจัดการ ทำงานปรุงอยู่ลงแรงลงมืออย่างเข้มข้น อย่างคุมเข้ม เราก็ทำการจัดการ สังขาร ปรุงแต่ง เป็นฌาน 1

 

เบากว่านั้นลงมา มีใจแถมเป็นปีติ ยินดี สนุกๆได้ อนุโลมได้ก็มี เป็น ฌาน1 อยู่

 

ฌาน 2 เคร่งคุมอยู่แต่น้อย มีสบายใจ ร่าเริง พระพุทธเจ้าใช้คำว่า อภิปโมทยัง จิตตัง ปราโมทย์หรือปีติ เป็นสภาพอาการจิต เราเองเป็นผู้ที่ทำให้ได้ เป็นฐานพักอาศัย ซึ่งอาการของจิต ลักษณะที่จิตเป็น ที่ใช้บัญญัติมาจับ แล้วแต่ละคนก็ไปทำให้เป็นได้อาการเหมือนบัญญัติ เป็นอภิปโมทยังอย่างไรก็แล้วแต่ใครกำหนด คำจำกัดความอย่างนี้ก็ไปกำหนดเอา เรากำหนดสภาพเรียกว่า นิมิต เป็นเครื่องหมาย

 

แต่ละคนก็จะไม่ตรงกันเป๊ะ ถ้าอย่างหยาบก็อาจตรงกันได้ อย่างเช่น สว่างก็สว่างเหมือนกันแต่ลักษณะที่ต่างกันก็มี ถ้าเป็นแสงจากวัตถุ มันก็รับได้เหมือนกัน แต่ถ้าแสงที่ปั้นในฌาน ในภพ มันไม่เหมือนกันหรอก เขาทำใจสว่างเหมือนกันแต่ไม่เท่ากัน แม้จะนำพากันทำอย่างธรรมกาย ว่าโสดาฯ ใสอย่างนี้ สกิทาฯก็ใสลึกกว่านี้อีก อนาคาฯก็ใสลึกเข้าไปอีก คุณก็ปั้นเข้าไปสิ ไม่มีอะไรยืนยันได้ เป็นมโนมยอัตตา เป็นภพชาติที่ไปปั้นเอง ที่จริงหลับตาแล้วมันไม่มีแสง แต่คนอุปาทานก็จะเห็นแสงมากมายเยอะแยะ

 

สรุปแล้ว ฌาน สมาธิของพระพุทธเจ้า นั้นได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก ไม่ต้องเตรียมตัว เป็นเรื่องสำคัญเรื่องลึก แต่คนเขาฟังเผินๆ ว่าได้โดยไม่ยากได้โดยไม่ลำบาก อกดูดดสิรลาภี(ได้โดยไม่ยาก) อกิจฉลาภี(ได้โดยไม่ลำบาก) แต่ทางที่ไม่ใช่ของพุทธได้โดยยากได้โดยลำบาก ท่านใช้คำว่า นอกิจฉะ นอกสิระ

 

สิ่งที่อาตมาหยิบมาพูด เป็นเรื่องใหญ่นะคือโลก กับอัตตา แล้วมันก็มีชีวะของโลก กับชีวะของอัตตา ถ้าเราไปเกี่ยวพันเข้า เป็นจิตนิยามก็จะมีสภาพนั้น

 

ความเป็นโลก หมายถึงสภาวะหนึ่งๆ คำว่าโลกน้อยใหญ่ แค่ไหน คือสภาวะหนึ่งๆที่มีมวลธาตุ รวมกันขึ้นมา แล้วองค์รวมนั้นพากันเคลื่อนไป โลกนี้หมุนรอบตนเองแล้วหมุนรอบอื่นๆซ้อนกันไป แล้วมีวงโคจรของตนเองอยู่ในมหาเอกภพ หรืออาศัยไปกับหมู่อื่นที่โคจรอยู่บ้าง

 

อย่างดาวหาง มันมีวงโคจรของมันเองไปทั่ว ส่วนใหญ่นอกนั้นก็จะอยู่กับหมู่ อยู่กับ galaxy อยู่กับ จักรวาลน้อยใหญ่ โคจรเป็นวงกลมบ้าง  หรือวงรีบ้าง มันเป็นเรื่องซับซ้อนมาก ไปเรียนรู้ก็เท่านั้นมันไกลตัวเรา อย่างเขาเรียนดาราศาสตร์จนออกนอกโลกได้ ทุกวันนี้เขาบอกว่าไปโลกลูกอื่นได้ แล้วจะไปอยู่ได้หรือไม่ก็ไม่รู้ อยู่แล้วเป็นสุขหรือทุกข์อย่างไรก็ไปกันใหญ่

 

โลกก็ประกอบด้วยมหาภูตรูป 4 ยึดกันเป็นองค์รวม จับตัวเป็นรูปร่าง ด้วยพลังงาน อย่างโลกที่เราอยู่ เราก็นับหยาบๆไม่ถือว่าเป็นชีวะ เป็นแค่อุตุนิยาม โลกนี้ถ้าเป็นทรงกลมดิกจะหมุนได้เร็วกว่านี้ แต่มันมีวงรีบ้าง แต่มันหมุนไปเร็วเมื่อดูไกลๆ ถ่ายภาพไปดูเหมือนว่ามันกลม คุณเอาลูกอะไรเบี้ยวๆ ไปหมุนเร็วๆก็เห็นว่ามันกลมได้ คนเห็นโลกจากภายนอกก็จะเห็นเป็นลูกกลมๆ แต่สิ่งใดไม่มีนามธรรมไปประกอบด้วย ไม่เรียกว่ากาย ต่อให้มีพลังงานยิ่งใหญ่ขนาดไหน อย่างพระอาทิตย์ที่มีพลังมหาศาล เป็นอุตุนิยาม มันจะมีพลังงานวิเศษพิลึกอย่างไรก็ยังไม่ใช่ ชีวะ ยังไม่ใช่พีชนิยาม ไม่ใช่จิตนิยามและรูปทรงนี้ไม่เรียกว่า กาย

 

เป็นองค์รวมกลุ่มก้อน แต่ไม่เรียกว่า กาย เพราะเป็นมวลที่มีแค่วัตถุ ประกอบเป็นองคาพยพของมนุษย์ พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีอาการ 32 ทวัตติงสาการ รวมกันตั้งแต่ภายนอกไปถึงภายใน 32 ท่านแยกส่วนต่างๆไว้ ท่านเรียกว่า อาการไม่เรียกส่วน เพราะทุกอาการนั้นเป็นชีวะ ที่ท่านเรียก 32 อาการ อาตมาตั้งข้อสังเกตให้ฟังแล้ว ว่า ผม ขน เล็บ ฟัน ผิวหนัง นั้นตัวผิวหนังเป็นตัวที่ชิดกับประสาทมาก ซึ่ง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี้ เขาสอนกันให้พิจารณา แต่ว่าไม่สอนว่าพิจารณาอย่างไร

 

ก็ต้องพิจารณาว่ามันไม่ใช่กาย ถ้ามันหลุดไปเราก็ไม่รู้สึกอะไร ถ้ามันไม่หลุดไปมันอยู่กับเราก็ไม่ใช่กาย ไม่มีนามธรรมเข้าไปร่วมได้ถึงแล้ว แต่มันเคยมีประสาทรวมมาก่อน เล็บก็เคยมีประสาทรวม แต่พอมันออกมามันหลุดจากชีวะ หลุดจากชีวิตินทรีย์แล้ว ไม่เกี่ยวแล้ว ไม่เจ็บ นอกจากคุณเสียดาย ว่าของฉัน ทั้งที่ความรู้สึกทางประสาทไม่มี นอกจากคุณจะเจ็บใจเอง อย่างเพลงว่า เจ็บใจ คนรักโดนรังแก ข้าจะเผาเมืองแปรให้มันวอดวาย เขายึดเลย รู้สึกเจ็บแทน เจ็บยิ่งกว่าที่เขาโดนเองด้วย มีอุปาทานขนาดนั้นเลย

 

ถ้ายังเรียกว่ากาย อยู่ก็คือมีนามธรรมร่วมด้วย อย่างอานาปานสติ แม้จะหลับตาเข้าดูภายใน แต่ต้องมีสติรู้ลมหายใจ อย่างนี้ยังเรียกว่ามีกาย แต่ถ้าดับอีกไม่รับรู้ลมหายใจก็ไม่เรียกว่า กาย ถ้าสิ่งที่ถูกรู้เรียกว่ารูป ก็ไม่มีรูปกระทบ ไม่มีโผฏฐัพพะ ถ้าดับทวารนอกหมด หมดทวารทั้ง 5 เลย แบบนี้ถ้าขาดลมหายใจก็ผิด ไม่รับรู้แม้ลมหายใจ ที่เหลือรูปภายนอกจาก มหาภูตรูป 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม เมื่อไม่รู้ก็ผิด 

 

ปสาทรูปกับโคจรรูป เมื่อทำงานร่วมกัน สัมผัสกันกระทบกันเป็นองค์รวม จึงจะเรียกว่า กาย เมื่อมีอายตนะเกิดขึ้น แต่ถ้ากระทบกันแล้วไม่มีจิต มโน วิญญาณ กระทบกันก็เฉยไม่เกิดอะไร ไม่รับรู้อะไรเลย อันนั้นก็ไม่เรียกว่าเป็นกาย จะเรียก กาย เป็นสัมผัส 3 ก็ต้องมีวงจรเกิด จะเรียกว่าจิต มโน วิญญาณ เข้าร่วมจึงเรียกว่า สัมผัส 3 เกิดกายแล้ว

 

พลังงานฟิสิกส์ทำหน้าที่ในอาการ 32 นี้เป็นพลังงานอุตุนิยาม มีอยู่ประจำแต่ยังไม่เป็นชีวะ และกระทั่งเป็นชีวะ แต่หากยังไม่ถึงขีดแห่งความเป็นจิตนิยาม ก็นับว่าเป็นชีวะระดับพีชนิยาม  เช่นมนุษย์พืช บางพวกที่ยึดมั่นถือมั่นเป็นอัตตาลึกในใจ นั่งสมาธิเก่ง จนมีพลังงานสูงยึดสูง ตายแล้วยังไม่ยอมตาย จิตที่เป็นพลังงานระดับจิตนิยามไม่มีแล้ว ก็เหลือแต่อาการ 32 เป็นพีชนิยาม พวกสายหลับตานั่งสมาธิเก่งๆตายแล้วไม่เน่า เพราะยังเป็นชีวะ แต่ถ้าหมดพลังงานที่จะดูดเอาธาตุไปเลี้ยงได้มันก็แห้งไป กว่าจะแห้งก็นาน เพราะไม่ใช่พลังงานอะไร คนไม่ขยับแล้ว เหมือนคนนั่งสมาธิเก่งๆ เอาไปฝังดิน 26 วันออกมายังไม่ตาย ยังสดอยู่แล้วก็มาฟื้นมีชีวิตอีก ถ้าไม่เข้าใจพลังงานพวกนี้ ตอบไม่ได้นะว่าทำไมไม่เน่า

 

มันก็เหมือนคนที่ตายไปแล้วเป็นมนุษย์พืช ก็ให้อาหารทางสายยางก็ไปได้อีกระยะหนึ่ง หรืออยู่นานได้ รักษาร่างนี้ไปได้แต่ก็จะลดลงไปตามสัดส่วน แต่ไม่เป็นจิตนิยามแล้ว จริงๆแล้วพระพุทธเจ้าจะอยู่ไปอีก เกินกัปก็ได้ แต่พระอานนท์ไม่อาราธนา พระพุทธเจ้าให้นิมิตตั้ง 16 ครั้ง ก็รับปากมารแล้ว

 

พระพุทธเจ้าจำกัดความเป็นชีวะได้ 2 ประเภท

คือ พีชนิยาม และอีกอย่างคือ จิตนิยาม

 

พลังงานที่ประกอบกันอยู่ยังไม่ครบถ้วนพอเรียกว่า เวไนยสัตว์หรือมนุษย์หรือเทวดา เพราะยังไม่มีภาวะถึงขั้นสูร(สุรภาโวหรือสุรกาย)ประชุมกันเต็มพร้อมถึงขั้น "ตาวติงสาการ" (อาการ 33)ซึ่งท่านนับเอาตั้งแต่ "ผม ขน เล็บ ฟัน ผิวหนัง ไปจนถึงเนื้อ เอ็น กระดูก กระทั่งถึงน้ำมูก ไขข้อ มูตร มันสมอง" พร้อม "สัญญาและใจ" ที่เป็นองคาพยพของความเป็น "ชีวะ" พลังงานนั้นก็ยังไม่ใช่พลังงานระดับ จิตนิยาม

 

เทวดาคือความเป็นสวรรค์ก็คือจิตวิญญาณเราเป็น แต่ก่อนเรารู้แค่ว่าเจริญคือได้โลกธรรมมาก ได้บำเรอกามบำเรออัตตามาก ก็ไม่รู้ ก็มีเงื่อนไขอย่างเดียวว่า อย่าทำชั่วอย่าทำทุจริต ถ้าทำดีมากเขาถือว่าได้สวรรค์ทั้งนั้นเป็นสวรรค์โลกีย์ กัลยาณธรรม

 

ส่วนโลกุตระก็มี โลกธรรม มีอยู่กับกามคุณ แต่จิตท่านเจริญกว่ากัลยาณชน เจริญที่มันไม่มีหรือลดความมีอาการสุข/ทุกข์ไปกับโลกธรรม ถ้าลดได้ยิ่งสมบูรณ์เลย คือโลกุตรจิต ไม่มีรสที่เป็นโลกียรส เราได้ลาภมา ก็มีได้ มียศได้ ถามจริงๆ อาตมามียศไหม?...มียศเป็น พ่อครู หรือผู้นำ อะไรก็แล้วแต่ จะไปจะมาจะกินจะอยู่เขาก็ยกให้สูงอยู่เรื่อย มียศนะ มีสรรเสริญ มีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสไหม? มี เขาเอามาประเคนให้อยากให้ได้ดีๆตามที่เขาว่า เป็นรูปดีๆ รสดีๆ กลิ่นดีๆ เสียงดีๆ เอามาถวายให้ท่านก็มีทั้งนั้น แม้จะให้หลงเหลิงในอัตตา ก็ให้ตลอด แต่เราเองเป็นผู้ที่รู้ทันแล้วไม่ติดยึดแล้ว เราก็จะเป็นผู้รู้

 

มันอาจเป็นส่วนที่เคยติดกับกาย คือมีประสาทรับรู้มาก่อน แต่ว่าพอมันเลื่อนออกมา มีอาการนะ เช่นผมยาวออกมา แม้ไม่มีจิตมาประกอบ มันก็มีพลังงานระดับพีชะเลี้ยง เราเรียกว่า protoplasm หรือ cytoplasm มีพลังงานความสด เป็นภาษาทางชีววิทยาเขา ถ้าเมื่อมีสัญญาและใจ มีธาตุนามธรรมเข้าไปร่วมก็เป็นอาการที่ 33 เป็นตาวติงสา ส่วนที่ 33 จึงมีพลังงานระดับ เวทนา เมื่อมีเวทนาจึงจะเป็นดาวดึงส์ แต่ถ้ายังไม่มีเวทนา ยังไม่เป็นดาวดึงส์ไม่เป็นสัตว์เทวดา ไม่เป็นจิตนิยาม ยังอยู่ในส่วนพีชะ ไม่ยินดียินร้ายไม่สุขไม่ทุกข์ไม่ชอบไม่ชัง ไม่มีพยาบาท ไม่ผูกพัน มีแต่ยึดรูปธรรมของตน ไม่มายึดนาม ยึดความเป็นอัตตา เป็นตน

 

พลังงานพีชนิยาม นั้นมีหน้าที่กำหนดรู้ (สัญญา) ว่า อะไรเป็นอะไร ตามรหัส ความจำ(สัญญา) ของอาการแต่ละอาการ "ชีวะ" ของ "พีชนิยาม" ก็คือ ทำหน้าที่ให้มี "ชีวะ"ตามรหัสแห่งภาวะแต่ละอาการนั้นๆ จัดการ สร้างปรุงแต่ง(สังขาร) ให้ "เกิด" ให้ "เป็น" ภาวะตาที่ตนมีรหัสเท่านั้น แต่ละอย่างมีรหัส จะเรียกเต็มๆก็คือ รหัสพันธุกรรมของแต่ละยีนส์ แต่ละโครโมโซม แต่ละ genome

 

ทำการปรุงแต่งทำหน้าที่ของมัน ไตก็ทำหน้าที่ไต ปอดก็ทำหน้าที่ของปอดไป มันมีรหัสพันธุกรรมของมันทุกอัน พลังงานพีชนิยามนี้ยังไม่มีอารมณ์ชอบหรือชัง ยังไม่ได้ยึดอะไร ได้ก็เอาไม่ได้ไม่หงุดหงิดรำคาญอะไร ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ได้ก็เอามาทำหน้าที่สร้างตนเท่านั้นเอง ได้มาก็ไม่ได้ยึดเป็นตน มันทำหน้าที่เสร็จแล้วก็จบ

 

ขณะนี้เรากำลังถอดรหัสพันธุกรรมของจิตวิญญาณ หรือกำลังถอดรหัส DNA ของจิตวิญญาณ ให้ละเอียดยิ่งเข้าไปถึง "จีโนม" Genome ให้เห็นความเป็นพลังงานที่ลึกซึ้งซับซ้อนยิ่งของจิตวิญญาณว่า มันมีอีกมากกว่ามาก ในDNA ของจิตวิญญาณทั้งหลาย ตามความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

 

พีชนิยาม มีพลังงานระดับแม่เหล็กคือ มีพลังดูดดึง หรือพลังงานลักษณะไฟฟ้า คือ ย่อยสลายและสร้างสรรภาวะแห่งเผ่าพันธ์ุ ที่สืบต่อมาตามรหัสที่ตนมีเท่านั้น ไม่ไประรานสิ่งอื่นนอกตน นอกจากย่อยสลายเอาสิ่งที่ได้มาแล้วใช้สร้างก่อนตัวเองให้เกิดให้เป็นอยู่เท่านั้น

 

พีชนิยามชื่อว่าสังขารที่ยังไม่เข้าขั้น จิต ยังไม่เข้าขั้นวิญญาณ จึงเป็นสังขารที่ไม่มีวิญญาณครอง อนุปาทินกสังขาร

 

องคาพยพมนุษย์ที่มีอาการ 32 ในตน อาการ 32 เคยเป็นชีวะขั้นพีชนิยาม มาแล้ว แต่ถ้ายังไม่มีพลังงานถึงขั้น วิญญาณ ก็จะไม่ชื่อว่า จิตนิยาม

 

เพราะยังไม่มีพลังงานที่มีอาการของเวทนา ยังไม่มีอารมณ์สุข/ทุกข์ เป็นต้น ก็ยังไม่เข้าขั้นเป็น วิญญาณ

 

พีชนิยาม จึงยังไม่มีรักไม่มีชัง ยังไม่พยาบาท หรือยังไม่ผูกพันเกินรหัสที่ตนมีจึงยังไม่เข้าขั้น จิตนิยาม

 

อาการ 32 ในคนที่ยังไม่มีพลังงานชั้น วิญญาณ เข้าไปทำงานร่วม ก็มีแค่สัญญากับสังขาร เช่นมนุษย์พืช เป็นต้น

 

สังขาร ของอาการ 32 นี้จึงเป็นสิ่งปรุงแต่งกันอยู่แต่ยังไม่มีวิญญาณครอง(อนุปาทินกสังขาร"

 

เราจะไปด่ามนุษย์พืชก็ไม่มีกรรมอะไรร่วมกับมนุษย์พืช มีแต่เราไปร่วมคือไปสร้างวิบากแก่ตนเอง แต่มนุษย์พืชไม่รู้เรื่อง หรือจะฆ่ามนุษย์พืชก็ไม่มีวิบากกรรมอะไร (พูดไปไม่ได้ยุแหย่นะแต่ให้เป็นความรู้วิชาการ) 

 

พลังงานยึดนั้น ใครวางได้ปล่อยได้ปล่อยเลย ทั้งรักและชัง ความรักวางยากกว่าชัง จะวางจริงๆก็ต้องที่ใจเรา

 

พลังงานชีวะระดับนี้จึงยังไม่มีวิบากกรรม ยังไม่นับว่า ทำกรรม แล้วมีผลวิบากเป็นของตน พลังงานชีวะระดับนี้ทำกรรมแค่ตามรหัสที่ตนมีเท่านั้น ไม่นอกเหนือไปกว่ารหัสที่มี ไม่ต้องเป็น ทายาทของกรรม จึงยังไม่มี ผลของกรรม (วิบาก) ที่จะสืบต่อผูกพันไปถึงชีวิตของมันในชาติต่อๆไป

 

แม้ต้นกาฝากมันจะกินต้นไม้อื่นหรือว่าต้นโพธิ์ต้นไทรมันโอบบ้านเรือนจนพัง มันไม่มีวิบากนะ แต่ถ้าคุณจะจองเวรต้นโพธิ์ต้นไทรก็แล้วแต่คุณ คุณก็มีวิบากของคุณเอง

 

พลังงานพีชะ จะไม่เอาธาตุอื่น (ปร) ที่นอกรหัส มาเป็นอาหารใส่ตนเอง เนื่องจากพลังงานพีชนิยาม ยังไม่มีคุณสมบัติไม่มีสมรรถภาพที่พิเศษเก่งกว่า พลังงานที่สูงกว่าตน มันไม่เอาอื่นเกินรหัสของตน ตับไม่เอาของไต ไตไม่เอาของปอด เป็นต้น พลังงานพีชะไม่สามารถบังอาจไปเบียดเบียนรุกรานพลังงานจิตนิยามไม่ได้ หรือจะมองไปในแง่ว่า พีชนิยามนี้สุภาพดีไม่ละลาบละล้วงจิตนิยามดีก็ได้

 

ซึ่งแตกต่างจาก ชีวะที่เป็นจิตนิยาม สำคัญมากประเด็นนี้คือพลังงานจิตนิยามถ้ามีความผยองถือดีคะนองถึงขีด มันเบียดเบียนหรือรุกรานชีวะอื่น แม้จะเป็น ชีวะที่มีฐานะสูงส่งกว่าตัวมัน มันก็ไม่ไว้หน้า ถ้ามันเป็น จิตนิยาม ที่ชั่วที่เลว เว้นแต่ จิตนิยามที่ดี จึงจะไม่ทำ-ไม่เบียดเบียนรุกรานผู้อื่น ยิ่งเป็นอรหันต์จึงไม่เบียดเบียนรุกรานใครเลย และพลังงานพีชะก็ไม่ทำการเบียดเบียนเด็ดขาด เหมือนอรหันต์นะ

 

นี่เจาะถึง DNA จนถึง Gene จนถึง โครโมโซม คำว่า Gene เป็น kinetic energy ส่วน DNA เป็น Potential energy ใน DNA ก็มีอะไรอันนั้น และ ในGene ก็มี Genome อีกเยอะแยะ ที่ไล่รายละเอียดก็คือ ไล่ Genome ทั้งนั้น ที่มีการรุกรานไม่รุกรานเป็นต้น

 

จิตนิยามที่ประเสริฐสูงสุด(อรหันต์) นั้นไม่เบียดเบียนรุกรานผู้ใดเลย

 

และพลังงานพีชะนิยาม มันก็ไม่ทำเด็ดขาด มันยังไม่มีรหัส นี้ในตัวมัน เพราะมันยังไม่มีตัวตน หรือมันยังไม่ถือตัวถือตนว่าตนใหญ่ตนผยองพองขนจนรุนแรงถึงขีด

 

“สังขาร" ที่เป็นชีวะขั้นพีชนิยามนั้นไม่มีพลังงานอะไรที่แปลกแยกออกไปเป็นอื่นอีก(อปร) จึงยังไม่มี อปรโคยาน ยังไม่เป็นพลังงานที่ทำหน้าที่ไม่เกินหน้าที่ หรือเกินรหัสกรอบแห่งพลังงานตามรหัสที่จำกัด ความเป็นชีวะขั้นนี้ก็มีกรอบขอบเขตอยู่แค่นี้

 

จึงเป็นพลังงานที่ใช้พลังงานอยู่ในกรอบของสัญญา และสังขารเท่านั้น

เหมือนหุ่นยนต์มันก็ทำได้แค่ระดับสัญญาที่เขาให้รหัสมา เขาไม่สามารถทำให้มีเวทนาได้

 

แม้แต่ในคอมพิวเตอร์ก็มีรหัสทั้งนั้น แต่มันไม่มีเวทนา มันไม่ใช่ชีวะด้วย จะเรียกว่าพีชะยังไม่ได้เลย มันจะข้ามชั้นไปเป็น พีชะ เป็นจิตนิยามไม่ได้หรอก

 

สัญญา ของ พีชนิยาม นี้คือ ขอบเขตความสามารถที่ กำหนดรู้ ด้วยสมรรถนะเท่านี้ ยังไม่มีความสามารถยิ่งกว่าที่จะกำหนดรู้ภาวะที่สูงส่งกว่านี้ ยากกว่านี้ได้

 

และยังไม่มีพลังงานร้ายกาจ รุนแรงที่จะไปทำการรุกรานหรือทำร้ายกาจเบียดเบียนกับพลังงานที่สูงหรือต่ำกว่าตัวเอง

 

ซึ่งต่างจากจิตนิยาม ที่มีสัญญาแตกต่างจากสัญญาของพีชนิยาม อย่างมีนัยสำคัญ คือจิตนิยามมีพลังงานละเอียดลึกซึ้งรอบรู้ ชาญฉลาด ที่จะรู้และทำการเบียดเบียน ทำการรุกราน หรือทำร้ายทำแรง หรือจะทำการสงเคราะห์ช่วยเหลือแก่พลังงานที่สูงหรือต่ำกว่าตนเองได้ ถ้าเป็นจิตนิยามที่ดี

 

พลังงานพีชนิยามจึงมีความเป็นพลังงานตามรหัสเดิม ยังไม่มีรหัสอื่นนอกจากที่ตนมีและทำกรรมกิริยาได้เท่าหุ่นยนต์ 1 ตัว ทำได้เท่าที่ตนมีรหัส ยังไม่มีอปรโคยาน ไม่มีพาหนะพาให้พีชนิยาม ใช้พลังงานทำอะไรนอกกรอบรหัสที่ตนมี

 

จึงเป็นไดเแค่ สังขารที่ไม่มีกรรมครอง ไม่มีวิบากครอง (อนุปปาทินกสังขาร)

 

จนกว่าพลังงานแห่งพีชนิยาม นั้นจะพัฒนาก้าวหน้าถึงขีดจิตนิยาม พีชะนิยามไม่มีพลังงานเกินรหัสที่ตนมี อะไรที่เกินจากสัญญามันไม่ทำ เรานึกถึงหุ่นยนต์ที่เป็นแค่อุตุนิยาม ที่คนพยายามทำให้เป็นจิตนิยาม ข้ามขั้นพีชนิยามด้วย

 

พีชนิยาม เป็นพลังงานอัตโนมัติแค่นี้ตามรหัส ไม่มีพลังงานดูด อิฏฐารมณ์ ไม่มีพลังงานผลัก อนิฏฐารมย์ มีแต่พัฒนาตาไปตามรหัส ถ้าได้เต็มแล้วไม่เอาด้วย ถ้าเป็นไปไม่ได้ก็เลิก แม้จะพบหรือสัมผัสอื่นอีก(ปร) เกินกว่ารหัสที่ตนมี ต้องอยากได้(ตัณหา) เพิ่มมาปรุงแต่งสังขารใส่ตนให้ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก พีชนิยามนี้จะไม่ทำเกินนั้น หรือพีชนิยามจะยึดว่าเป็นเราตามรหัส ถ้าสิ่งใดไม่ใช่เรามาแตะก็จะไม่ชอบใจหรือว่ามีเจตนาทำร้ายรหัสที่เกินกว่าตนมีก็ไม่ทำ พีชนิยามจะไม่ทำ เหมือนไม่ถือตัว ข้ามหัวเหยียบหัวได้ ใครเคยทำลายต้นไม้ไหม มันไม่มีที่จะตอบโต้เราเลย 

 

พีชนิยาม จึงป้องกันตัวเองได้น้อยมาก

 

แม้แต่การได้เหตุปัจจัยมาใส่ตนให้เป็น ชีวะ อยู่ของ พีชนิยาม นั้น มันก็รู้แค่ตามรหัสที่กำหนดแล้วก็ทำในตนเท่านั้น

 

จะมีความรู้สึกว่า หากได้เหตุปัจจัยมาก่อเกิดความเป็นชีวะตามรหัสที่มี แล้ว มันก็มี ความรู้สึก ชอบใจดีใจ เป็นสุข ก็ยังไม่มี

 

แม้แต่ ไม่ได้ตามรหัสที่มีอยู่ แล้วเสียใจ ก็เป็นทุกข์อย่างนี้ก็ไม่มี

 

พีชนิยามนี้จึงไมมีทั้งอารมณ์สุข/ไม่มีทั้งอารมณ์ทุกข์ ยังไม่มีเวทนา ฉะนี้แล

 

ธาตุสังขารขั้น พีชนิยาม นี้จึงยังไม่ถึงชั้น วิญญาณ เพราะพลังงานระดับนี้ยังไม่มีความเป็นเวทนา ไม่รู้สึกหรือไม่มีอารมณ์

 

พีชนิยามนี้จึงไม่มีทั้ง ความอยากได้ มาเกินรหัส ก็ไม่มีกิเลส ไม่มีปาป พีชนิยามจึงไม่จำเป็นต้องใช้บุญมากำจัดบาปใดๆ

 

พีชนิยามเป็นภาวะไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข ไม่มีบาป ไม่มีบุญ ไม่มีองค์ประกอบรูป/นามถึงกาย ไม่มีวิญญาณเกิด จึงไม่เรียกรูป/นามของอันนี้ว่า กาย

 

จิตนิยามต้องมีรูป มีนามครบ รูป/นาม ขันธ์ 5 คือมีรูป 1 และนาม 4 แต่พีชนิยามมีแค่รูป 1 กับ นาม 2 ไม่มีเวทนา มีแค่สังขารกับสัญญา พีชนิยามจึงไม่มีความเป็นกาย

 

จนกว่าพลังงานนั้นจะมีอาการเวทนา จึงจะเรียกว่า จิต เป็นคุณสมบัติถึงขั้นกาย วิญญาณหรือจิตต้องมีเจตสิก 3 คือเวทนา สัญญา สังขาร ต้องมีเจตสิก 3 ต้องมีสัมผัสอยู่กับรูปภายนอกเสมอด้วย  จึงมีวิญญาณ แต่ถ้าไม่รับกระทบสัมผัส ก็ไม่มีเวทนา ก็ไม่ใช่วิญญาณ

 

แต่ถ้าสังขารแล้วเกิดวิญญาณ ครบกาย กายที่ว่านี้ครบองค์ประกอบจึงเรียกว่ากาย หากไม่มีประสาทเชื่อมและไม่มีวิญญาณรับรู้ก็ไม่เรียกจิตนิยาม เช่นฟัน หากเราไม่ขูดมันจนถึงประสาทมันก็ไม่รู้สึกอะไร

 

ในคนนอกจากมีอาการ 32 ยังมีอาการ 33 หรือตาวติงสาการ หรือโลกดาวดึงส์ ที่คนอวิชชาหลงยึดกัน คนมีอาการ 33​ อย่างมั่นใจสนิทใจว่าอาการ 33 นี้เป็นของจริง เป็นความจริง คือที่สุข ที่ทุกข์กันจริงๆไม่เชื่อว่าไม่จริง เข้าใจไม่ได้  คนที่ฟังอาจเข้าใจเหตุผล แต่ไม่เข้าไปถึงใจ

 

อย่างอาตมาบอกว่ามันไม่ใช่ความจริง อธิบายอย่างไร คนมีปฏิภาณอาจเข้าใจได้แต่ไม่เข้าไปถึงจิตใจเลย น่าจะเรียกว่า ข้างใจ ไม่ใช่ เข้าใจ

 

เขาเข้าใจไม่ได้ว่ามันไม่จริงอย่างไร ก็เมื่อเรามีสุขทุกข์นี้อยู่ คราใดสัมผัสเจอสิ่งใดก็ยังมีสุขทุกข์อยู่ มันยังมีอยู่ เพราะไม่ได้ฝึกฝนหยังให้ถึงอาการสุขทุกข์นี้มันไม่เที่ยง มันมีเพราะมีเหตุในตัวเราอยู่ มันแค่หลงว่ามันยังมีอยู่ทั้งที่มันแค่มีอยู่ชั่วคราวเอง มันเปลี่ยนไปเป็นอื่นเสมอ แต่เราอวิชชาอยู่ คราวใดที่มันมีครบอุปาทานเท่านั้นที่มันมีอยู่ ถ้าภาวะใดที่ยังไม่เคยยินดีจนอุปาทานยึดไว้ มันก็ไม่มีภาวะสุขกับหรอก

 

อันไหนเราไม่เคยอุปาทานไว้ สัมผัสเมื่อใดก็ไม่สุข หรือแม้คุณเคยสุขมาแล้ว ถ้าคุณฆ่าอุปาทานได้ คุณมีปัญญาเข้าใจ ไม่ใช่แค่ข้างในนะ คุณก็ปล่อยวางแล้ว สัมผัสอีกมันก็ไม่สุข คนปฏิบัติเข้าถึงความจริงจะรู้

 

ทุกวันนี้มีอะไรปรุงแต่งมา มีอะไรใหม่มันก็ปรุงไปตามเขา สุขกับสิ่งใหม่ไป ปรุงจัดจ้านอย่างไร หากเราเข้าใจแล้ว ไม่ใช่แค่ข้างใจอย่างเก่านะ ก็ไม่สุขไม่ทุกข์กับมัน

 

แม้สุขนั้นขณะใด มันก็ไม่มีสุขนั้นตลอดไป เดี๋ยวมันก็ลดก็เพิ่มสุดท้ายก็หายไป ผู้ศึกษาปฏิบัติเห็นจริงชัดเจน เมื่อเราปฏิบัติสัมมาทิฏฐิจะจางลงคลายลง มันลดลงได้ สัมผัสอยู่โต้งๆเลย แต่อาการสุข มันลดจางลง อย่างมีปัญญารู้แท้ๆ เห็นด้วยปัญญา ซึ่งต่างกันสัญญา

 

สัญญาเป็นตัวปัจจุบันที่กำหนดรู้ แต่สัญญานี่มีพลัง มีกำลังที่จะลดอาการมันเลย แม้จะสัมผัสเหตุภายนอกก็ไม่มีอาการสุข ทุกข์ มีแต่อทุกขมสุขที่เป็นเนกขัมสิตะ กระทั่งพิสูจน์ได้ว่าไม่มีเกิดอาการอารมณ์ ทั้งที่มันยั่วยวนกระแทกอย่างไรก็ตาม ในองค์ประชุมของรูป/นามขณะนั้น ทั้งนอกและใน สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ข้อ 2 อัชฌัตตังอรูปสัญญี

 

องค์ประชุมกายขณะนั้นจึงไม่มีสุข/ทุกข์ กายของสัตว์โอปปาติกะที่เคยสุข/ทุกข์ มันตายไปจากความรู้สึกแล้ว ตอนนี้เราทำเวทนาอุเบกขาได้ เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา สัตว์โอปปาติกะมันตายไปแล้ว จากจิตเรา ถ้าผู้ใดทำเนกขัมสิตอุเบกขาในจิตได้สำเร็จ นี่แหละคืออาการนิพพานปรากฏในใจโดยสามารถ

 

ความรู้ขณะที่สัมผัสนั้นๆ ก็คือปัญญา เป็นความรู้ที่รู้ครบทั้งนอกและใน มีกายสักขี คือองค์ประชุมของรูป/นามสำเร็จอิริยาบถอยู่ มีสัมผัส มีลีลาอะไรมาก็รู้เต็ม มีสุรภาโวสติมันโต อยู่ จึงชื่อว่ารู้ด้วยปัญญาที่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย นี่ชื่อว่ารู้ด้วยปัญญา

 

ถ้าเรียกว่ากาย แต่ความเป็นกายต้องมีพลังงานนามธรรมร่วมด้วยเสมอ พร้อมสัมผัสนามธรรมนั้นด้วย จึงจะเรียกว่า กาย ซึ่งกายทิ้งภายนอกไม่ได้แต่ก็ต้องมีนามธรรมด้วย นอกจริงๆนั้นได้แล้วก็เข้าไปใน แล้วในชั้นนี้ก็เป็นนอกของชั้นในเข้าไปอีก จนเข้าหาศูนย์ ศูนย์ก็คือในของนอก  

จบ...


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:01:32 )

580516

รายละเอียด

580516_ ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ  ไขรหัสพันธุกรรมของนามธรรม 2

วันนี้วันเสาร์ที่ 16 เดือน 6 ปีมะแม  แรม 14 ค่ำ เดือนพฤษภาคม 2558 ตอนนี้เรากำลังถอดรหัสพันธุกรรม จิตวิญญาณ หรือกำลังถอดรหัสDNA ของจิตวิญญาณให้ละเอียดขึ้น ให้เข้าถึง Genome ให้เห็นถึงพลังงานที่ลึกซึ้งซับซ้อนมาก ตามความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

 

พลังงานพีชนิยามนั้นมีหน้าที่กำหนดรู้(สัญญา)ว่าอะไรเป็นอะไรตามรหัสความจำ (สัญญา)ของอาการแต่ละอาการ ชีวะของพีชนิยามก็คือ ทำหน้าที่ให้มีชีวะตามรหัสแห่งภาวะแต่ละอาการนั้นๆ จัดการสร้างปรุงแต่ง(สังขาร)ให้เกิด ให้เป็นภาวะตามที่ตนมีรหัสเท่านั้นได้ก็เอา ไม่ได้ก็ไม่หงุดหงิดรำคาญหรืออึดอัดกังวลใดๆเลย 

 

พลังงานพีชนิยามนี้ยังไม่มีอารมณ์ชอบหรืออารมณ์ชัง ยังไม่ถึงขั้นยึดเป็นตนหรือทำร้ายสิ่งที่ไม่ใช่ตน

 

ขณะนี้เรากำลังถอดรหัสพันธุกรรมของจิตวิญญาณ หรือกำลังถอดรหัส DNA ของจิตวิญญาณให้ละเอียดยิ่งขึ้นเข้าไปถึงจีโนม (genome) ให้เห็นความเป็นพลังงานที่ลึกยิ่งซับซ้อนยิ่งของจิตวิญญาณว่า มันมีอีกมากกว่ามาก ใน DNA ของจิตวิญญาณทั้งหลาย ตามความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

 

พีชนิยามมีพลังงานลักษณะแม่เหล็กคือ มีพลังดูดดึง หรือพลังงานลักษณะไฟฟ้าคือ ย่อยสลายและสร้างสรรภาวะแห่งเผ่าพันธุ์ที่สืบต่อมาตามรหัสที่ตนมีเท่านั้น ไม่ไประรานสิ่งอื่นส่วนอื่นนอกตน นอกจากย่อยสลายเอาสิ่งที่ได้มาแล้วใช้สร้างตนเองก่อตัวเองให้เกิดให้เป็นอยู่เท่านั้น

พีชนิยามมี DNA ที่ชื่อว่า สังขารแต่ยังไม่เข้าขั้นจิต ยังไม่เข้าขั้นวิญญาณ จึงเป็นสังขารที่ไม่มีวิญญาณครอง

 

มนุษย์มีอาการ 32(ทวัตติงสาการ)เป็นองคาพยพ บางอาการเคยเป็นชีวะขั้นพีชนิยามมาแล้ว แต่ใน DNA ยังไม่มียีนที่เข้าขั้นเวทนาธาตุ จึงยังไม่ชื่อว่า จิตนิยาม เพราะยังไม่มีพลังงานที่มีอาการของเวทนา ยังไม่มีอารมณ์สุขหรืออารมณ์ทุกข์ เป็นต้น ก็ยังไม่เข้าขั้นเป็นวิญญาณหรือจิต

 

พีชนิยามจึงยังไม่มีรักมีชัง ยังไม่พยาบาท หรือยังไม่ผูกพันเกินรหัสที่ตนมี จึงยังไม่เข้าขั้นจิตนิยาม

 

อาการ 32ในคนส่วนใดที่พลังงานขั้นวิญญาณเข้าไปทำงานร่วมด้วยไม่ได้ ก็ไม่ชื่อว่ากาย ส่วนนั้นมี DNA แค่ขั้นพืช สังขารที่ยังไม่มีเวทนาจึงเป็นแค่สิ่งที่ปรุงแต่งกันอยู่เป็นชีวะระดับหนึ่งแต่ยังไม่มีวิญญาณครอง(อนุปาทินนกสังขาร)

 

พลังงานชีวะระดับนี้ จึงยังไม่มีวิบากกรรม ยังไม่นับว่าทำกรรมแล้วมีผลเป็นวิบากของตน พลังงานชีวะระดับนี้ทำกรรม แค่ตามรหัสที่ตนมีเท่านั้น ไม่นอกเหนือไปกว่ารหัสที่มี ไม่ต้องเป็นทายาทของกรรม จึงยังไม่มีผลของกรรม(วิบาก)ที่จะสืบต่อผูกพันไปถึงชีวิตของมันในชาติต่อๆไปเพราะพลังงานระดับพีชนิยามนี้จะไม่เอาธาตุอี่น(ปร)ที่นอกรหัส มาเป็นอาหารใส่ตน เนื่องจากพลังงานพีชนิยามยังไม่มีคุณสมบัติหรือยังไม่มีสมรรถภาพที่พิเศษกว่า เก่งกล้ากว่าพลังงานที่สูงกว่าตน

 

พลังงานพีชนิยามจึงไม่สามารถจะบังอาจเบียดเบียนรุกรานพลังงานขั้นจิตนิยามได้ หรือจะมองไปในแง่ว่าพีชนิยามสุภาพดี ไม่ไปละลาบละล้วงจิตนิยาม ก็ได้

 

ซึ่งแตกต่างจากชีวะที่เป็นจิตนิยามสำคัญมากในประเด็นนี้ คือ พลังงานที่เป็นชีวะขั้นจิตนิยามนั้น ถ้ามันมีความผยองหรือมันถือดีคะนองถึงขีด มันเบียดเบียนหรือรุกรานชีวะอื่น แม้จะเป็นชีวะที่มีฐานะสูงส่งกว่าตัวมัน มันก็ไม่ไว้หน้า ถ้ามันเป็นจิตนิยามที่ชั่วที่เลว เว้นแต่จิตนิยามที่ดีจึงจะไม่ทำ-ไม่เบียดเบียนรุกรานผู้อื่น

 

จิตนิยามที่ประเสริฐสูงสุด(อรหันต์)นั้นไม่เบียดเบียนรุกรานผู้ใดเลย

 

และพลังงานพีชนิยามมันก็ไม่ทำ เด็ดขาด มันยังไม่มีรหัสนี้ในตัวมัน เพราะมันยังไม่มีตัวตนหรือมันยังไม่ถือตัวถือตนว่าตนใหญ่ตนผยองพองขนจนรุนแรงถึงขีด      

 

สังขารที่เป็นชีวะขั้นพีชนิยามนี้จึงไม่มีพลังงานที่ทำอะไรแปลกแยกออกไปเป็นอื่นอีก(อปร) จึงยังไม่มีอปรโคยาน ยังไม่เป็นพลังงานที่ทำเกินหน้าที่ หรือเกินรหัสจากกรอบแห่งพลังงานตามรหัสที่จำกัดความเป็นชีวะขั้นนี้มีกรอบขอบเขตอยู่แค่นี้ จึงเป็นพลังงานที่ใช้พลังงานอยู่ในกรอบของสัญญาและสังขารเท่านั้น

 

สัญญาของพีชนิยามนี้คือ ขอบเขต ความสามารถที่กำหนดรู้ด้วยสมรรถนะเท่านี้ ยังไม่มีความสามารถยิ่งกว่านี้ที่จะกำหนดรู้ภาวะที่สูงส่งกว่านี้-ยากกว่านี้ได้ยังไม่มีพลังงานกำหนดรู้รหัสอื่น(ปร)-พลังงานที่จะทำงานอื่น(ปร)เกินกว่านี้และไม่มีพลังงานรุนแรง-ร้ายกาจที่จะทำการรุกรานหรือทำร้ายทำแรง แม้แต่เบียดเบียนแก่พลังงานทั้งที่สูงกว่า-ทั้งที่ต่ำกว่าตัวเอง มันจะยังไม่มีพลังงานอย่างนี้

 

 

ซึ่งแตกต่างจากจิตนิยามที่มีสัญญา แตกต่างจากสัญญาของพีชนิยามอย่างมีนัยสำคัญ คือจิตนิยามจะมีพลังงานละเอียดลึกซึ้งรอบรู้ชาญฉลาดที่จะรู้และจะทำการเบียดเบียน ทำการรุกรานหรือทำร้ายทำแรงแก่พลังงานที่สูงกว่าตัวเองก็ตาม ที่ต่ำกว่าตัวเองก็ตาม ได้ ถ้าพลังงานนั้นชั่วหรือเลว

 

และจิตนิยามนั้นมีสัญญาที่แตกต่างจากสัญญาของพีชนิยามอย่างมีนัยสำคัญประเสริฐยิ่งก็คือ จิตนิยามจะมีพลังงานละเอียดลึกซึ้งรอบรู้ชาญฉลาดที่จะทำการช่วยเหลือ สงคราะห์ เกื้อกูล เสียสละ แก่พลังงานที่สูงกว่าตัวเองก็ตาม ที่ต่ำกว่าตัวเองก็ตาม ได้ ถ้าพลังงานนั้นดี เป็นกุศลจิต

 

ดังนั้น พีชนิยามจึงเป็นเผ่าพันธุ์ความเป็นพลังงานอยู่ตามรหัสเดิม ยังไม่มีรหัสอื่น(ปร) นอกจากรหัสที่ตนมีอยู่และทำกรรมกิริยาได้เท่าที่ตนมีรหัส เหมือนหุ่นยนต์แต่ละตัวที่มีประสิทธิภาพเท่าที่ตนมีรหัส ยังไม่มีอปรโคยาน คือไม่มีรหัสใดเลยที่จะเป็นพาหะพาให้พีชนิยามหรือชีวะขั้นนี้ ใช้พลังงานทำอะไรออกไปเกินกรอบแห่งชีวะที่ตนมีรหัสเท่าที่ตนมีจึงเป็นได้แค่สังขารที่ไม่มีกรรมครอง-ไม่มีวิบากครอง(อนุปาทินนกสังขาร) จนกว่าพลังงานแห่งพีชนิยามนั้นจะพัฒนาก้าวหน้าถึงขีดเข้าข่ายจิตนิยาม

 

หุ่นยนต์เป็นอุตุนิยาม มันมีแต่สัญญา ส่วนสังขารนั้นแทบจะไม่ปรุงเอง เขาสั่งเขาโปรแกรมไว้หมดก่อนแล้ว ปรุงไว้ก่อนแล้ว หุ่นยนต์นี้ต่ำว่าพีชะแต่คนพยายามผลักดันให้หุ่นยนต์เหนือพีชะ เขาทำไปโดยไม่รู้ซึ้ง เขาจะดันทุรังทำไปอย่างไรก็ไม่ได้ เพราะข้ามขั้นไปไกลเลย หุ่นยนต์เป็นได้แค่อุตุ จะให้มาเป็นพีชนิยาม เป็นจิตนิยามยากหรือไม่ได้เลย ส่วนคนนั้นแม้มีจิตนิยามก็ยังมีที่ไม่รู้กรรม ต่ำกว่าสามัญ รู้ว่าชั่วก็ยังทำ ทำร้ายเบียดเบียนคนอื่นได้ เลยยิ่งกลายเป็นตีกลับ  ต่ำกว่าพีชะ ต่ำกว่าเดรัจฉานอีก

 

 

พีชนิยามจึงไม่สามารถจะมีพลังงานเกินรหัสที่ตนมี อะไรที่เกินกว่าสัญญาคือความจำในรหัสที่ชีวะนี้มี มันทำไม่เป็น มันไม่ทำ จึงเป็นพลังงานที่มีอัตโนมัติเฉพาะความเป็นชีวระดับพีชนิยามนี้แค่นั้น ยัง ไม่มีพลังงานดูด(อารมณ์ชอบ,อิฏฐารมณ์)-พลังงานผลัก(อารมณ์ชัง,อนิฏฐารมณ์)ที่เกินกว่ารหัสตนมี มีแต่พัฒนาตนอยู่ในตนเท่านั้น

 

แม้จะพบหรือสัมผัสอะไรอื่น(ปร)เกินกว่ารหัสที่ตนมีแล้วต้องอยากได้(ตัณหา)เพิ่มขึ้นมาปรุงแต่ง(สังขาร)ใส่ความเป็นตนให้ยิ่งใหญ่จากรหัสที่ตนมีเข้าไปอีก พีชนิยามนี้ยังไม่มีการยึดเกินกว่าที่กำหนดไว้(สัญญา)นั้น

 

หรือพีชนิยามมีการยึดว่า นี่คือเรา ตามรหัส ถ้าสิ่งใดที่ไม่ใช่เราเข้ามาแตะ-เข้ามาสัมผัสก็จะไม่ชอบใจ แล้วก็มีเจตนาถึงขั้นต้องทำลายหรือทำร้ายสิ่งนั้น อันเกินกว่ารหัสที่ตนมี  พีชนิยามนี้ก็ไม่ทำ พีชนิยามจึงป้องกันตัวเองได้น้อยมาก

 

แม้แต่การได้เหตุปัจจัยมาใส่ตนให้เป็นชีวะอยู่ของพีชนิยามนั้น มันก็รู้แค่ตามรหัสที่กำหนดแล้วก็ทำในตนเท่านั้น จะมีความรู้สึกว่า หากได้เหตุปัจจัยมาก่อเกิดความเป็นชีวะตามรหัสที่มีแล้ว มันก็มีความรู้สึกชอบใจดีใจ เป็นสุข ก็ยังไม่มี แม้แต่ไม่ได้มาตามรหัสที่มีอยู่แล้วเสียใจ ก็เป็นทุกข์ อย่างนี้ก็ไม่มีพีชนิยามนี้จึงไม่มีทั้งอารมณ์สุข-ไม่มีทั้งอารมณ์ทุกข์ ยังไม่มีเวทนาฉะนี้แล

 

ธาตุสังขารขั้นพีชนิยามนี้จึงยังไม่ถึงขั้นวิญญาณ เพราะพลังงานระดับนี้ยังไม่มีความเป็นเวทนา ไม่รู้สึกหรือไม่มีอารมณ์ พีชนิยามนี้จึงไม่มีทั้งความอยากได้มา เกินกว่ารหัส ก็ไม่มีกิเลส ไม่มีบาป

 

พีชนิยามจึงไม่จำเป็นต้องใช้บุญมากำจัดบาปใดๆ พีชนิยามจึงเป็นภาวะที่ไม่มีทุกข์(เวทนา)ไม่มีสุข(เวทนา) ไม่มีบาปไม่มีบุญ

 

พลังงานขั้นนี้มันมีแค่พีชนิยามเพราะประสิทธิภาพยังไม่มีองค์ประกอบของรูปและนาม(กาย)ถึงขั้นพลังงานจิตนิยาม

 

จิตนิยามต้องมีรูป-มีนาม ครบรูปนามขันธ์ 5คือ มีทั้งรูป 1 และมีทั้งนาม 4 คือ เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ แต่พีชนิยามนั้นมีแค่รูป 1 กับนาม 2(แค่รูป-สัญญา-สังขาร ไม่มีเวทนา-วิญญาณ)

 

พีชนิยามจึงยังไม่มีความเป็นกายจนกว่าพลังงานนั้นจะมีอาการที่เรียกว่าเวทนา องค์ประชุมของพลังงานกลุ่มนี้จึงจะเรียกอาการแห่งชีวะนั้นว่า วิญญาณหรือจิต จึงจะมีคุณสมบัติถึงขั้นกาย

 

วิญญาณหรือจิตนั้นต้องมีเจตสิก 3 คือ เวทนา-สัญญา-สังขารและต้องมีสัมผัสอยู่กับรูปภายนอกอยู่เสมอด้วย จึงจะชื่อว่า กาย หากไม่มีสัมผัสก็ไม่ชื่อว่ากาย

 

ดังนั้น กายจึงต้องมีองค์ประกอบครบคุณภาพดังกล่าวแล้วจึงจะชื่อว่า กายหากไม่มีประสาทเข้าไปเชื่อมและมีจิตหรือวิญญาณเข้าไปร่วมทำหน้าที่เป็นองค์รวม ก็ยังไม่เป็นจิตนิยาม และในคนมีอาการที่ 33 [ตาวติงสาการหรือโลกดาวดึงส์ ที่คนผู้อวิชชาหลงยึดนามธรรม(อาการที่ 33 คืออาการสุขในจิต)นี้กัน] อย่างมั่นใจอย่างสนิทใจจริงๆ ว่า อาการ 33นี้เป็นความจริง-เป็นของจริงที่สุขที่ทุกข์กันจริงๆ ไม่เชื่อว่า ไม่จริง เข้าใจไม่ได้ ว่า มันไม่มีจริงได้อย่างไร ก็ในเมื่อเรายังมีสุข-มีทุกข์นี้อยู่ เพราะคราใดมีเหตุปัจจัยประชุมสัมผัสกันขึ้นเมื่อใด สุขก็มีขึ้นมาให้ตนมีอยู่ ทุกข์ก็มีขึ้นมาให้ตนมีอยู่ ไม่ได้หายไปจากความมีในจิตใจเราอย่างถาวรยั่งยืนเลย

 

เพราะยังไม่สามารถเรียนรู้และฝึกฝนจนกระทั่งหยั่งเข้าไปถึงความจริงว่า อาการสุข-อาการทุกข์ในใจตนที่เคยมีอยู่นั้น มันไม่เที่ยง มันเป็นตัวเหตุที่เราหลงว่ามันมีอยู่เกิดอยู่ในตัวเราอยู่ ต่างหาก

 

ทั้งๆที่มันไม่ได้สุขอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาเลย มันมีเป็นคราวๆ มันเปลี่ยนไปเป็นอื่นอยู่เสมอ แต่เราอวิชชาอยู่ คราใดที่มีเหตุปัจจัยมาประชุมกันครบตามอุปาทานเท่านั้นต่างหากที่มันหลงว่าเป็นสุข แล้วหลงว่าต้องทำให้ได้เป็นสุขทิพย์ วรรณะทิพย์ อายุทิพย์อีกให้นานเท่านาน

 

ถ้าภาวะใดที่ยังไม่เคยยินดีจนอุปาทานไว้ มันก็ไม่มีภาวะสุขนั้นเกิดที่เราหรอกแม้มีสุขนั้นขณะใด มันก็ไม่ได้มีสุขนั้น อยู่อย่างนั้นตลอดไปที่ไหน เดี๋ยวมันก็มี แล้วเดี๋ยวมันก็ลดลง หรือมากขึ้น และสุดท้ายก็หายไป

 

ถ้าเอาผีตองเหลือง มาในเมือง ให้ดูผู้หญิงที่ใส่เสื้อผ้าสวยเต้นรำ อย่างนี้ผีตองเหลืองก็ไม่ได้เห็นว่างามว่าสวย ไม่เป็นสุข เรพาะจิตใจไม่ได้ยึดติดมาก่อน อย่างฝรั่งมาเมืองไทย ไม่เคยสุขกับรสเผ็ดมากินอาหารไทยๆมีพริกก็ทรมาน แต่พออยู่นานไปถูกครอบงำให้ชอบพริก พอเวลากลับไปต่างประเทศต้องศึกษาวิธีปลูกต้นพริก เพราะติดเข้าเสียแล้ว

 

 

ผู้ที่ได้ศึกษา และสามารถอ่านความจริงที่ว่านี้ได้จากการปฏิบัติ จนเห็นจริงชัดเจน ว่าเมื่อเราปฏิบัติสัมมาทิฏฐิจริงๆก็เห็นว่า มันจางลงคลายลง มันลดลงอย่างเห็นได้ สัมผัสอยู่โต้งๆหลัดๆขณะนั้นจึงเชื่อว่า รู้ด้วยปัญญา-ความรู้ของตนแท้ๆ

 

และที่สุดในจิตใจของเราก็จะรู้ได้ด้วยตนเลยว่า แม้จะสัมผัสกับเหตุภายนอกที่เคยสุขเคยทุกข์นั้น ก็ไม่มีอาการสุข-ไม่มีอาการทุกข์(อุทกขมสุขที่เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา)นั้นในจิตใจเราอีกแล้ว กระทั่งพิสูจน์ได้ว่า ไม่มีเกิดอาการ(หรืออารมณ์)สุขอย่างที่เคยสุขหรือทุกข์อย่างที่เคยทุกข์นั้นในองค์ประชุมของรูปนาม(กาย)ขณะนั้นความไม่มีสุขไม่มีทุกข์(อุเบกขา)ขณะนั้น อันคือองค์ประชุมของรูปนามจึงชื่อว่ากาย มันมีกายของสัตว์โอปปาติกะในจิตของเราตายไปจากความรู้สึก(เวทนา)ส่วนหนึ่ง

 

ถ้าผู้ใดทำเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนาให้เกิดในจิตได้สำเร็จจริง นี้แลคือ อาการความเป็นนิพพานปรากฏในใจด้วยสามารถ อาการที่เป็นสุขนั้นจะเกิดเป็นจริง เป็นแท้ ก็ต่อเมื่อมีอาการ 32ทำงานสัมพันธ์กันและเกิดความรู้สึกในใจว่า เป็นสุข ความรู้ที่รู้ขณะนั้นคือปัญญา(ไม่ใช่แค่สัญญาที่มีเฉพาะการเกิดขณะที่มีแต่องค์ประชุมของภายใน) เป็นความรู้ที่รู้ครบครันทั้งภายนอกภายใน เรียกว่ามีกายสักขี คือ มีองค์ประชุมของรูปและนามสำเร็จอิริยาบถอยู่โทนโท่ หลัดๆ เป็นสักขีพยาน จึงชื่อว่า รู้ด้วยปัญญาที่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

 

เพราะถ้าเรียกว่า กาย ในความเป็นกายนั้นจะต้องมีพลังงานของนามธรรมเกี่ยวข้องร่วมด้วยอยู่เสมอ พร้อมทั้งสัมผัสอยู่กับรูปธรรมนั้นด้วย จึงจะเป็นกาย หากขาดจากรูปธรรมสัมผัสอยู่ด้วย ไม่ชื่อว่า กาย ไม่เป็นกาย

 

ความรู้ของปุถุชนคนสามัญทั่วไปที่ยังอวิชชาอยู่เท่านั้น ที่เข้าใจว่ากายคือ อาการที่มีแค่รูปธรรมภายนอกส่วนเดียวเท่านั้น

 

แต่...ฟังดีๆ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดๆอีกว่า ถ้าคนใดยังมีอวิชชาอยู่ ไม่ว่าจะเป็นบัณฑิตหรือเป็นคนโง่(พาล)ก็ตาม แม้เขาจะตายคือร่างกายแตก(กายัสสะ เภทา)ไปแล้ว เขาก็ยังมีความเป็นกายหรือเข้าถึงกาย(กายูปโค โหติ)อยู่ ยังไม่หมดสิ้นความเป็นกายไปได้(พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 59)

 

เมื่อยังมีกายหรือยังเข้าถึงกายอยู่ ก็ยังไม่พ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสก ปริเทวะ  อุปายาส เพราะผู้นั้นยังมีอุปาทาน ยังไม่พ้นอวิชชา

 

เมื่อมี ชาติ ชรา มรณะ โสก ปริเทวะ อุปายาส ก็คือ ยังมีทุกข์ ไม่ว่าเป็นหรือตาย

 

ชัดเจนมั้ย..ผู้ยังมีทุกข์คือผู้ยังมีกาย

 

นัยสำคัญคือกายนี้แลถ้าไม่มีพลังงานของนามธรรมเกี่ยวข้องร่วมด้วย ภาวะนั้นก็ไม่ใช่ กาย  เมื่อไม่มีกายก็ไม่มีทุกข์

 

ประเด็นนี้ เป็นประเด็นหลักที่สำคัญมาก ถ้าหากผู้ปฏิบัติธรรมของพุทธเข้าใจความเป็นกายนี้ ไม่สัมมาทิฏฐิ โดยไปหลงผิดเข้าใจว่า กายคือ รูปร่างภายนอก หรือส่วนของวัตถุธรรมเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับนามธรรมเลย ไม่เกี่ยวกับจิตกับวิญญาณเลย

 

ผู้นั้นย่อมมิจฉาทิฏฐิแน่นอน เมื่อมิจฉาทิฏฐิก็ไม่สามารถจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง ความเป็นสักกายอันเป็นสังโยชน์ข้อที่ 1 เมื่อผู้ใดมิจฉาทิฏฐิแล้วอย่างนี้ ผู้นั้นจึงไม่สามารถปฏิบัติเรียนรู้กายในกายได้อย่างเป็นสัมมาทิฏฐิ และไม่สามารถปฏิบัติเรียนรู้กายคตาสติให้เป็นสัมมาทิฏฐิได้แน่ คนผู้นี้ย่อมไม่มีมรรคผลเด็ดขาด

 

ดังนั้น ผู้มิจฉาทิฏฐิดังกล่าวนี้ เมื่อมาพบพระวจนะของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ว่าปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตายก็ดี ของร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต 4 นี้ย่อมปรากฏ ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในร่างกายนั้น แต่ตถาคตเรียกร่างกาย(กายัสส)อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง

 

ปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็นต้นนั้นได้เลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าจิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชนมิได้สดับ รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฏฐิ ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ดังนี้ ตลอดกาลช้านานฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับ จึงไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิต เป็นต้นนั้น

ได้เลย (พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 230)

 

จากพระวจนะที่ว่า ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง นั้น ย่อมเห็นชัดแล้วว่า กาย(กายัสสะ)นั้นจะเรียกว่าจิต ว่ามโนว่าวิญญาณ หรือแม้จิตก็ดี มโนก็ดี วิญญาณก็ดีนั้น จะเรียกว่ากาย ก็ต้องมีทั้งรูปและนาม มิได้แยกจากกัน

 

เพราะกายที่เป็นทุกขอาริยสัจนั้น ไม่ใช่หมายเอาร่างกายภายนอกที่บาลีว่าสรีระเท่านั้น แต่หมายเอาส่วนที่เป็นกายภายในส่วนที่เป็นนามต่างหากที่มันเป็นแดนเกิดอาการทุกขอาริยสัจ ดังนั้น การพิจารณากายคตาสติจึงต้องพิจารณาองค์ประกอบของนามธรรม แท้ๆ จึงจะสามารถรู้ทุกข์-สมุทัย ขาดไม่ได้

 

เพราะเหตุนี้เอง พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า กายนั้น ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง เพราะทุกขอริยสัจอยู่ที่นี่

 

ในพระไตรปิฎก เล่ม 10 ข้อ 60 ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธัมมา  ทฺวเยน เวทานย เอกสโมสรณา ภวันติ) 

องค์ประกอบของภาวะ 2 หรือของธรรมะทั้ง 2 นั้น มีนามธรรมประกอบอยู่ด้วย คือมีเวทนา ซึ่งเป็นภาวะของชีวะขั้นจิตนิยามแท้ๆ มิใช่พีชนิยามแน่นอน   

 

พีชนิยามคือพลังงานและสสารที่มีการปรุงแต่งกัน(สังขาร)ถึงขั้นพืชคือ บรรดาพืชทั้งหลาย ที่มีรูป-สัญญา-สังขารแค่นั้น

 

ไม่มีเวทนาคือ อารมณ์หรือความรู้สึก ไม่ทุกข์ ไม่สุข ไม่รัก ไม่โกรธ ไม่จองเวรใคร หรือจองเวรอะไร แม้ในปัจจุบันนี้ก็ไม่มี ดังนั้นยิ่งข้ามชาติไปก็ยิ่งไม่มีอะไรจะจองเวร พืชจึงไม่มีบาป-ไม่มีบุญ ไม่มีกุศล-ไม่มีอกุศล

 

ผู้มีธาตุรู้ขั้นสามารถรู้ในปรมัตถธรรมจริงๆ จึงจะรู้ว่า พืชมีรูป(สิ่งที่ถูกรู้ได้ด้วยสัมผัส) รู้ว่าที่เป็นพืชนั้น เพราะอะไร?

 

ในตัวพืชเอง มันก็จะมีพลังงานชีวะที่รู้ว่า นี่คือ สิ่งที่พืชต้องเอามาทำชีวิตของตนให้ยังอยู่ได้ต่อไปเจริญดี คงรูปของมันตามรหัสแห่งพันธุกรรมเดิม(DNA)ของพลังงานชีวะที่เป็นพืช หรือของพีชนิยาม

 

เรากำลังเรียนรู้ลึกเจาะลงไปในหน่วยแห่งพันธุกรรม(gene)ของพีชนิยาม ว่า มันมีรายละเอียดในพันธุกรรม อย่างไร? แค่ไหน?

 

เราก็ได้รู้จักข้อมูลแห่งพันธุกรรมทั้งหมดที่จำเป็นใช้และจำเป็นต่อการดำรงชีวิตอย่างปกติของชีวะระดับพืช

 

ซึ่งเราจะรู้ความจริงในข้อมูล ว่า รหัสแห่งพันธุกรรมของพืช(DNA)นี้มันมีแค่รูป-สัญญา-สังขาร ที่เป็นยีน(gene)ทำงานอยู่ในชีวะของพืช แม้จะมีจีโนม(genome)คือพลังงานย่อยอื่น(ปร) เกิดในตนก็ยังไม่ถึงขั้นมีคุณภาพพอที่จะก้าวพ้นออกไปเป็น DNA ใหม่ได้ มีแค่กำหนดรู้เรียกว่าสัญญา แล้วพืชเองมันก็ทำสังขาร ชีวิตของมันก็อยู่ในรูปของมันไปเท่านั้น และมีเกิดมีตาย และตายไป ก็ไม่มีจองเวร-จองกรรมอะไรใคร

 

DNA(deoxyribonucleic acid) คือ สารที่มีการดำรงอยู่ ตามกรอบของรหัสพันธุกรรมในสิ่งมีชีวิต(gene) อยู่ในฐานะของ potential energy ที่ศัพท์ภาษาไทยว่า พลังงานศักยะ

 

Gene คือ รหัสพันธุกรรมในสิ่งมีชีวิต ซึ่งอยู่ในฐานะของ kinetic energy ที่ศัพท์ภาษาไทยว่า พลังงานจลนะ 

 

Genome(จีโนม) คือ ข้อมูลทางพันธุกรรมทั้งหมดที่จำเป็นใช้ในการสร้างและจำเป็นต่อการดำรงชีวิตอย่างปกติของสิ่งมีชีวิตชนิดใดชนิดหนึ่ง

 

จีโนม(genome) อยู่บนดีเอ็นเอ(DNA) ซึ่งในสิ่งมีชีวิตชั้นสูง จีโนมก็คือ ชุดของดีเอ็นเอทั้งหมดที่บรรจุอยู่ในนิวเคลียสของทุกๆเซลล์นั่นเอง [nucleus = ส่วนที่เป็นใจกลางของเซลล์,มวลที่มีประจุบวกภายในอะตอม ประกอบด้วยนิวตรอนและโปรตรอน]

 

จีโนม(genome)ของสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน จะแตกต่างกัน และสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีขนาดของจีโนมแตกต่างกัน

 

จีโนม(genome) เทียบได้กับแบบพิมพ์เขียว(blueprint)ของสิ่งมีชีวิต

 

ในจีโนม(genome)ของ มนุษย์ พืช และสัตว์นั้น นอกจากดีเอ็นเอในส่วนซึ่งเรียกกันว่ายีน(gene)แล้ว ยังมีส่วนของดีเอ็นเอที่ไม่ใช่ยีนอยู่อีก และยังไม่ทราบหน้าที่ที่แน่ชัดทั้งหมด แต่ในการศึกษาจีโนมนั้นต้องศึกษาทั้งหมดทั้งส่วนที่เป็นยีน และไม่ใช่ยีน

 

ในคนปกติจะมีจีโนม 2 ชุด โดยมา จากทางพ่อ 1 ชุด จากทางแม่ 1 ชุด

ในชีวะปกติทั้งของพีชนิยามและทั้งของจิตนิยามจะมีจีโนม(genome) 2 ชุด โดยมาจากทางปุริสินทรีย์(จากพ่อ) 1 ชุด จากทางอิตถินทรีย์(จากแม่) 1 ชุด

 

เพราะนี่คือภาวะที่มันจะมากขึ้นหรือจะน้อยลงจนถึงขั้นมีฤทธิ์เป็นตัวแปรสำคัญของสภาวธรรมทั้งหลายจนกลายเป็น DNA ใหม่ หรือมีรหัสพันธุกรรม(gene)ใหม่เกิดขึ้นเปลี่ยนยีนหรือเปลี่ยน DNA นั่นเอง

 

ซึ่งวิทยาศาสตร์ของโลกสามารถแยกยีนที่เป็นรหัสเพศแม่แตกต่างจากยีนที่เป็นรหัสเพศพ่อในความเป็นสัตว์ก็แยกได้  แม้ในความเป็นพืชก็แยกได้สำเร็จ

 

แต่ไม่สามารถทราบหน้าที่ที่แน่ชัดทั้งหมดของจีโนมได้ ดังที่วิทยาศาสตร์ทางโลกยอมรับอยู่แล้วนั้น วิทยาศาสตร์ของโลกจึงไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงจีโนมที่มีองค์ประกอบของรูปและนาม(กาย) ซึ่งต้องมีความรู้(วิชชา) ขั้นอภิสัญญาขั้นวิชชา กำหนดรู้อาการ-เพศ(ลิงค์)-นิมิต-อุเทศ จึงจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า จีโนมที่มีคุณสมบัติอย่างนี้แบบนี้ถึงจะอยู่ในภาวะ

ยีนของพืช(พีชนิยาม) คุณสมบัติอย่างนี้ๆ

 

ต้องขั้นนี้ถึงจะเข้าขั้นยีนของสัตว์(จิตนิยาม)ซึ่งต้องพ้นอวิชชา จึงจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นจีโนม ด้วยอาการ-เพศ(ลิงค์)-นิมิต-อุเทศ และรู้หน้าที่อย่างแน่ชัด

 

เช่น หน้าที่ของรูป อย่างไร? แค่ไหน? หน้าที่ของนาม อย่างไร? แค่ไหน? และองค์รวมหรือองค์ประกอบ(กาย) ของความเป็นรูปนั้นอย่างไร? แค่ไหน? ของความเป็นนามนั้นอย่างไร? แค่ไหน? จึงจะสามารถรู้แจ้งรู้จริงความเป็นจีโนมที่ยังเป็นแค่พีชนิยาม หรือจีโนมที่เป็นจิตนิยามได้แล้ว

 

ผู้มีวิชชา(พ้นอวิชชา)อย่างนี้จึงจะรู้แจ้งรู้จริงเส้นแบ่งความเป็นพีชนิยามกับจิตนิยาม ออกจากกันได้ จากจีโนมนี่เอง

 

เพราะยังไม่รู้(อวิชชา) หรือยังมิจฉาทิฏฐิในอาการ-เพศ(ลิงค์)-นิมิต-อุเทศของรูปธรรมกับนามธรรม โดยเฉพาะยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในอาการของความเป็นกาย ที่มีทั้งความเป็นรูปและเป็นนาม โดยเฉพาะรูปและเป็นนามของเวทนา และเวทนาในเวทนาทั้งหลาย จึงไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นจีโนม(genome)หรือนามธรรมขั้นชีวะนี้ที่ทำหน้าที่แน่ชัด คือหน้าที่เป็นเพศแม่(มาตา) และหน้าที่เป็นเพศพ่อ(ปิตา)ในการแยกความเป็นสัตว์โอปปาติกะ(จิตนิยาม) กับความเป็นพืช(พีชนิยาม) ซึ่งรู้ได้จากความเป็นจีโนมอันมีหน้าที่ชัดเจนนี้แล

 

 

DNA ก็ดี ยีนก็ดี จีโนมก็ดี ที่เป็นจีโนมระดับพีชนิยาม หรือระดับจิตนิยามที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ยิ่งเห็นจริงจึงเป็นความตรัสรู้ของพระองค์ที่ทราบหน้าที่แน่ชัดทั้งหมด ถึงขั้นทรงยืนยันทฤษฎียิ่งใหญ่ได้ว่า มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา

 

การปฏิบัติธรรมของพุทธจะสามารถเรียนรู้ไปถึงความเป็นอิตถีเพศและต้องสามารถถึงขั้นมีการทำใจในใจ(มนสิการ)ของตน จนกระทั่งจัดการ(อภิสังขาร)ให้ความเป็นอิตถีเพศกลายเป็น(ภวันติ)ปุริสเพศหรือเป็นเอกบุรุษ อย่างถูกต้องถ่องแท้(โยนิโส)

 

นั่นคือ ต้องมีสัมมาทิฏฐิในข้อที่ 7 ได้แก่ ความเป็นเพศแม่(มาตา) และข้อที่ 8 ได้แก่ ความเป็นเพศพ่อ(ปิตา) ในความเป็นรูปและนามกันจริงๆ จึงจะปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะปฏิบัติมรรค อันมีองค์ 8ได้ผลจริง(พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 252 เป็นต้นไป)

 

ความเป็นเพศแม่(มาตา) เพศพ่อ(ปิตา)ในขั้นนี้เป็นเรื่องอภิธรรมหรือปรมัตถธรรมกันแล้ว ผู้ที่ยังเข้าใจไม่สัมมาทิฏฐิ ก็ยากที่จะปฏิบัติธรรมของพุทธบรรลุผลจริงได้กระทั่งจัดการทำความเป็นอิตถีลิงค์ (เพศแม่)ให้กลายเป็น(ภวันติ)ปุงลิงค์(เพศพ่อ) ได้สำเร็จ ไปตามลำดับ กระทั่งที่สุดจัดการทำความเป็นปุงลิงค์ ให้กลายเป็น(ภวันติ)นปุงสกลิงค์(ไม่มีเพศ คือไม่เหลือเพศพ่อ) ก็ถือว่า เป็นอุตตมโปริส(อุตตมบุรุษ) ซึ่งสูงถึงยอดสุด,ความเป็นของสูงสุด(อุตตมตา)

 

ยังมีความสามารถที่มีนัยสำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือ ผู้เป็นโพธิสัตว์จะสามารถอนุโลมปฏิโลมเข้าอาศัยเพศแม่-เพศพ่อ-ไม่มีเพศ ซึ่งคือ สภาวะ 3 เพศ(ไตรลิงค์)ได้เท่าที่โพธิสัตว์แต่ละท่านจะสามารถทำได้ตามบารมี ก็มีอีกเป็นความพิเศษยิ่งๆขึ้นไปที่เป็นประโยชน์แก่โลก-แก่คนอื่นยิ่งๆขึ้น ซึ่งพ้นความเป็นประโยชน์ตนไปแล้ว(ไม่มีอัตตา)ซึ่งผู้ปฏิบัติธรรมจะต้องศึกษาเรียนรู้ภาวะรูป 2(ปุริสินทรีย์และอิตถินทรีย์) อันมีความแตกต่างกันหรือมีเพศ(ลิงคะ) หรือยังมีความเป็น 2 ด้วยนัยสำคัญ คือ ธรรมะ 2 (เทฺว ธัมมา)นี้กันจนสามารถสัมผัสรู้จักรู้แจ้งรู้จริงภาวรูป 2 ด้วยปัญญาอย่างมีของจริงหรือความจริง จึงจะชื่อว่า ผู้มีมรรคผล

 

เช่น เราสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็นสัญญาก็ดี สังขารก็ดีโดยเฉพาะเวทนา ซึ่งเป็นภาวะที่จะต้องมีให้ผู้ปฏิบัติธรรมเรียนรู้อย่างยิ่ง จึงจะบรรลุธรรมได้ หากไม่มีเวทนาหรือไม่มีความรู้สึก-อารมณ์ให้ศึกษาเรียนรู้ ก็หมดสิทธิ์จะรู้แจ้งความเป็นนิโรธหรือไม่ใช่นิโรธอย่าไปหลงเอาแต่นั่งหลับตาเข้าไปในภวังค์ แล้วก็ไปดับเวทนา กระทั่งเป็นคนไม่มีความรู้สึก เป็นคนไม่สามารถรับรู้อะไรเลย แล้วหลงว่านี่คือ ภาวะความเป็นนิโรธ ของศาสนาพุทธ  อย่างนั้นมันมิจฉาทิฏฐิ ขอยืนยัน

 

นิโรธที่สัมมาทิฏฐิของพุทธนั้น มันมีเวทนาที่เป็นธรรมะ 2(เทฺว ธัมมา) และสามารถทำให้เป็นหนึ่ง(เอกัคคตา)อย่างเห็นๆ

ไม่ใช่ความดับอย่างไม่รู้ไม่เห็น แต่เป็นความดับที่รู้ๆเห็นๆอย่างแจ้งๆ(สัจฉิ)

 

 

พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุรุษมีตัณหา

เป็นเพื่อนสอง(ตัณหาทุติโย ปุริโส) ท่องเที่ยวไปตลอดกาลยืดยาวนาน(พตปฎ. เล่ม 21 ข้อ 9) มีปรกติอยู่ด้วยเพื่อนสอง(สทุติยวิหารี)เพราะผู้นั้นยังมีตัณหาเป็นเพื่อนสอง(ตัณหา หิสส ทุติยา)

 

 

ผู้สามารถดับตัณหาให้เป็นผู้มีปรกติอยู่ผู้เดียว(เอกวิหารี) ไม่มีเพื่อนสอง  เพราะจิตสิ้นตัณหาในธรรมะ 2นั้นแหละ(ทฺวเยน

เวทนาย เอกสโมสรณา ภวันติ)ได้

ในเวทนานี้นี่เอง(พตปฎ. เล่ม 10 ข้อ 60) อันเป็นแดนที่สามารถทำให้หลีกออกจากเพื่อนสองหรือหลีกออกจากหมู่ อยู่ผู้เดียว (เอโก วูปกัฏโฐ)

 

ซึ่งก็คือ สามารถอยู่ด้วย

ความเป็นหนึ่ง(เอโก)หรืออยู่แต่ผู้เดียว(พตปฎ.

เล่ม 18 ข้อ 66-70) ก็ปฏิบัติกันในความเป็นเวทนา รวมลงอยู่ในเวทนา นี่เอง

 

 

ซึ่งเวทนานี้แหละที่มีความเป็นเวทนา ต่างๆอันต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า อย่างนี้คือ

เวทนา 2 อย่างนี้ๆคือเวทนา 3 อย่างนี้ๆ

เวทนา 5 อย่างนี้ๆเวทนา 6 อย่างนี้ๆเวทนา 18 อย่างนี้ๆเวทนาๆ 36 ถึงที่สุดอย่างนี้ๆเวทนา 108 ว่า มันคืออะไร? อย่างไร? ในจิตเรา

 

และสามารถทำกับมัน-จัดการกับมันได้ (อภิสังขารหรือมนสิกโรติ) คือ ให้มันลลดละ จางคลายลง(วิราคะ)กระทั่งที่สุดมันดับ(นิโรธ)

นั่นคือ จิตนิยาม อันเป็นพลังงาน

ทางจิตวิญญาณของคน ผู้ที่สามารถรู้จัก

รู้แจ้งรู้จริงถึงขั้นที่เรียกว่ากรรมนิยามและธรรมนิยาม เท่าที่มีปัญญาบารมีจริงพอ จึงจะสามารถจัดการกับเวทนาในเวทนาได้

ชัดมั้ยว่า เวทนานี้แลที่เป็นตัวการสำคัญ ซึ่งเป็นแดนที่จะเข้าไปจัดการ ต้อง มีการทำใจในใจให้ถ่องแท้(โยนิโสมนสิการ) พระพุทธเจ้าตรัสว่า เพราะอาศัยเวทนาจึงเกิดตัณหา(เวทนัง ปฏิจจ ตัณหา ; พตปฎ. เล่ม 16 ข้อ 59)

 

 

พีชนิยามมีแต่สัญญาและสังขาร

จึงไม่มีพลังงานที่เป็นตัวการ(ไม่มีเวทนา)สำคัญที่ตนมีตนเป็น จนมีผลกระทบออกไปทำร้ายทำลายชีวิตอื่น พลังงานของมันต่ำลง สูงขึ้นในระดับที่ยังไม่มากพอจนเป็นผลเสีย

ผลดีต่อชีวะอื่นเกินที่มันมี

แต่กระนั้นก็ดี พลังงานของพีชนิยาม ทำงานไปก็ไม่ใช่ว่าจะคงที่อยู่เท่านั้นตลอดกาลทีเดียว ในจำนวนจีโนม(genome)ของมันก็ยังมีมากมีน้อยไปตามจริง แต่ยังไม่มี

พลังงานสะสมที่มีความเข้มข้นของดีเอ็นเอ

(DNA)ในนิวเคลียสของมันจนเป็นพิษภัย

ออกไปรบกวนนอกดีเอ็นเอของมัน

 

 

พีชนิยามจึงยังไม่เป็นภัยแก่ชีวะอื่น

เพราะมีแค่รูป-สัญญา-สังขาร

จึงเป็นชีวะในโลกที่ถือว่า ยังไม่มีโทษ  แต่มีคุณต่อโลก ต่อสัตว์ ต่อชีวะอื่น

ส่วนโลกชีวะที่ถึงขั้นวิญญาณ ที่มีรูป,

เวทนา,สัญญา,สังขารและวิญญาณ ที่บาลี

ว่า จิตนิยามนั้น ก็มีครบทั้งรูปและนาม

ครบขันธ์ 5 ซึ่งมีเวทนาและมีวิญญาณ นี่เองที่เป็นตัวเลวที่ร้ายได้สุดๆ และเป็นตัวดี

ที่มีคุณค่าประโยชน์ได้สูงสุดวิเศษยิ่งจริงๆนะ

 

 

เพราะมีเวทนาและวิญญาณนี้แหละ

ตัวการใหญ่ ที่ทำให้จิตนิยามถึงขั้นได้

ชื่อว่า ผู้สร้างโลก-สร้างจักรวาล หรือผู้ทำลายโลก-ทำลายจักรวาล

เวทนาและวิญญาณจึงเป็นรหัสจีโนมที่ แตกต่างไปจากรูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ ที่เป็นขันธ์ 5ของสัตว์ผู้ชื่อว่า  จึงเป็นปรมัตถธรรมต้องเรียนรู้กันอย่างสำคัญมาก เพราะละเอียดลึกซึ้งซับซ้อนยิ่ง

หากใครยังไม่สัมมาทิฏฐิ หรือแม้จะ

สัมมาทิฏฐิแต่ปฏิบัติยังไม่สามารถบรรลุผล

บ้างแล้วอย่างเพียงพอ จึงยากมากที่จะพูดกันรู้เรื่อง

 

ผู้ที่มีความรู้และมีความสามารถพอ ก็จะทำพลังงานจิตเราให้อยู่ในระดับพีชะ คือ จิตเราไม่เป็นภัย ไม่ทำโทษให้แก่สัตว์โลกใดๆที่จะให้มีเวรภัยกับใครเลย มันสลับซับซ้อนหมุนรอบเชิงซ้อนได้มากเลย....จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:03:26 )

580517

รายละเอียด

580517_วิถีอาริยธรรม "อาชีพ" ชีวิตจะเอาอะไร โง่หรือเปล่า บ้าหรือเปล่า ที่เอาชีวิตมาทิ้งให้ธรรมะ

ท่านเดินดิน โง่หรือเปล่า บ้านหรือเปล่า

 

สด....ที่พูดอยู่นี่ก็คงไม่บ้านะครับ

มิจฉาอาชีวะ 5

 

 

อาชีพขั้นที่ 5 แม้ตนจะทำงานกิจการส่วนตัว แต่ก็ยังทำงาน ลาภแลกลาภ ไม่ทำงานฟรี นี่คืออาชีพขั้นสูงสุด ถือว่ายังเป็นมิจฉาชีพ .... เป็นไปได้ไหมในยุคนี้ ก็นี่ไง เรียงลำดับให้ดู จบหมอก็มาทำฟรี จบครูก็มาทำงานฟรี อีกคนแม้เรียนไม่จบก็มา ถ้าไม่ได้มาทางนี้ จบดร.ก็ยังได้เลย แม่ก็หมายมั่นปั้นมือให้เป็นดร.เลย แม่ถึงกับตัดแม่ตัดลูกเลยตอนแรก แต่ท่านก็มีวิธีทำให้แม่สามารถมาเข้าใจศรัทธาศาสนาได

 

ไม่ใช่แค่ 4 คน ในชาวอโศกมีคนที่ทำงานแบบไม่เอาลาภแลกลาภ เป็นค้นพ้นอาชีพ 5 ได้ ทำงานให้ส่วนกลางฟรี กินใช้อยู่ในสาธารณโภคี พพจ.ว่า คือชีวิตที่ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา ทำงานอยู่กับหมู่ กินใช้ร่วมกันเป็นสาธารณโภคี สมัยพพจ.ทำได้แค่ในวงสงฆ์ แล้วชีวิตมอบตนอยู่กับคนอื่นๆเขาอยู่กับฆราวาสที่เขาทำงานมีลาภยศ เงินทอง แต่อะไรที่ทำงานช่วยชาวบ้านได้ สมณะ นักบวชก็ทำ ทำให้เขา ทำแล้วไม่ได้เอาอามิสหรือ ต้องการอะไรตอบแทน แต่งานที่ทำแล้วผิดวินัย เช่นพรากพืช ขุดดิน ก็ไม่ทำผิดวินัย แต่ทำเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน ยิ่งทำแล้วไม่ใช่มีคนทำคนเดียว แต่ทำเพื่อคนส่วนรวม โดยเอางานเป็นหลัก ว่างานนี้จำเป็น สำคัญ สมควรยิ่งในกาละนี้ และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม

 

อาตมาจึงพาพวกเราทำงาน แม้แต่ไปรับใช้ส่วนกลาง พระเราไปล้างส้วมในการชุมนุม พวกเราเป็นพระเป็นเจ้าก็ไปทำส้วมให้ แต่เราไม่ได้ทำเพื่อเอาอะไรแลกเปลี่ยน แต่เราทำเพื่อส่วนรวม เราไม่ได้หลงรับใช้เฉพาะคนหรือกลุ่มใด เราทำเพื่อสาธารณะ เราไม่ได้ผิดวินัย คำสอนของพพจ.

 

ทุกวันนี้เขาอธิบายธรรมะเข้าข้างตนเอง จนนักบวชกลายเป็นศักดินา เป็นศักดิ์ศรี ซึ่งนักบวชเขาให้เกียรติ อาตมาทำงานให้นักบวชหญิงที่เป็นชี ไม่ได้เป็นภิกษุณีด้วย ให้ถือศีล 10 ไม่ใช้เงินทอง ไม่สะสมเงินทอง มีชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น ปรปฏิภัทธา เม ชีวิกา สิกขมาตุจึงทำงานได้กว้างกว่า เพราะไม่มีวินัยที่ไม่ให้พรากพืช สม.เลยทำหน้าที่ได้เยอะกว่าทำงานได้เยอะกว่า โดยไม่ได้รับใช้ฆราวาส และไม่ได้ผิดวินัย แต่ถือเคร่งที่พ้นมิจฉาอาชีวะ ข้อ 5 จึงได้รับการเคารพกราบไหว้จากคน แม้แต่คนบางคนเขาว่า สม.ที่นี่กราบได้สนิทใจมากกว่ากราบพระสงฆ์บางที่ด้วย คนที่พูดนี้เป็นคนมีฐานะทางสังคมมีปัญญาด้วย

 

อาตมาก็ภาคภูมิใจในธรรมะของพพจ. ว่าในยุคนี้ยังอกาลิโก ยังมีคนมีภูมิปัญญาเห็นคุณค่าธรรมะที่ควรเคารพกราบได้ จะอยู่ในร่างหญิงหรือชายก็ตาม เป็นเรื่องพิสูจนยืนยันได้ เป็นอกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปนยิโก

 

คำว่า อาชีพ ทุกวันนี้คนทั่วไปเป็นอาชีพที่ขึ้นด้วยอามิส จิตยังต้องการอามิส แม้กิเลสของพวกเรา กิเลสของนักบวชหญิง ชาย หรือฆราวาสหญิง ชาย จะมีกิเลสเหลืออยากได้อามิส ลาภยศ สรรเสริญเหมือนกัน แต่มาทำตามระบบสาธารณโภคี ทำงานที่นี่วางหลักเกณฑ์ไว้ถึงทำอาชีพพ้นลาภแลกภาพด้วย ทางกายไม่มีแล้ว แต่ทางใจเราห้ามไม่ได้ คุณก็เรียนรู้ไปตามลำดับ ทฤษฎีของพพจ.ให้ลดลงๆ ไม่ได้กดข่มด้วย เราเป็นสังคมเปิด มีสื่อสารรู้ทุกอย่างว่าโลกเขาไปถึงไหน แต่เราก็สามารถมีภูมิคุ้มกันไม่ตกร่วง ไม่ตกต่ำ นี่คือสัจธรรมที่พิสูจน์สัจจะที่เป็นเศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์เป็นการกระทำ

 

ถ้าฤาษีดาบสที่มีทฤษฎีแบบที่ไม่มี กัมมันตะ ไม่มีอาชีวะ ไม่มีมรรค 7 องค์ ไม่พูดจาไม่เกี่ยวข้อง หนีไปห่าง ไม่เกี่ยวข้อง ไม่มีมรรค 7 องค์ที่จะสั่งสมสัมมาสมาธิ แต่ไปหนีไปมีสมาธิหลับตา ที่หนีโลก ไม่มีผัสสะ ศาสนาพุทธจึงอ่อนด้อย ไม่เป็นศาสนาสังคม กลายเป็นศาสนาคนป่าทิ้งสิ่งจริงของสังคม เพราะไม่เข้าใจเบื้องต้น ท่ามกลางบั้นปลายไปตามลำดับ

 

พอมาบวชแล้ว ก็บอกว่าให้ถือศีล 227 ข้อ นี่ก็ผิดแล้ว มันไม่ใช่ ศีลนั้นคือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แม้นี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้ไม่เอาศีลแล้วเหลือแต่วินัย

 

ที่ท่านต้องมีเดรัจฉานวิชชาหรือต้องละเว้นเพราะไม่รู้ จึงเต็มบ้านเต็มเมืองเลย แต่ของเราแม้ในฆราวาสเราก็ไม่ได้มีส่ิงเหล่านี้ นำโดยคณะนักบวช จนเป็นแผ่นดินพุทธเต็ม เพราะไม่มีกรรมที่ผิดจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ไม่มีเดรัจฉานวิชชา ไม่มีเดรัจฉานกถา ไม่มีจุดธูปเทียน ไม่มีรดน้ำมนต์ ไม่มีเรือนไฟไว้บูชา ไม่มีการละเล่นที่เป็นอบายมุข อาตมาก็ใช้การประมาณมา จนเกิดหมู่กลุ่ม จนมีพฤติกรรมสังคมถึงสาธาณโภคีได้ ซึ่งยุคพพจ.เป็นยุคสมบูรณายาสิทธิราช ทุกอย่างเป็นของพระเจ้าแผ่นดิน ทำไม่ได้ แต่ยุคนี้ทำได้ เป็นยุคปชต. ที่เลือกได้มีอิสระ เมื่อเลือกได้ก็เลือกที่จะมาทำงานรับใช้สังคม ไม่ต้องไปเอาจากสังคม เราออกจากตำแหน่งทางโลกเราก็ละวางความแก่งแย่งจากเขาแล้ว เรามาทำงานให้ส่วนกลาง ก็มีส่วนเหลือไปรับใช้สังคมอีก รวมแล้วชาวอโศก แม้ฆราวาสก็พ้นลาเภนลาภัง นิชิคิงสนตา ทำงานไม่เอาลาภแลกลาภทำงานเสียภาษี 100 % อาตมาว่าเป็นเรื่องสุดยอดของโลกแล้ว เป็นแต่เพียงเราทำให้มีคุณภาพและปริมาณเพ่ิมขึ้น แต่มันสุดยอดตามทฤษฎีได้แล้ว พาคนมาทำงานฟรีอย่างอิสระได้ แล้วอาตมาระวังที่จะไม่เอาอามิสล่อ บอกเลยใครมาก็มาจนมาหมดเนื้อหมดตัวตน ใครอยู่ในเกณฑ์มาได้ก็มา ใครไม่ถึงเกณฑ์ก็อย่าเพิ่งมา อิสรเสรีภาพ นี่คือสุดยอดของอาชีพในศาสนาพุทธ

 

คนเหล่านี้ไม่ได้โง่ไม่ได้บ้า ที่เอาชีวิตมาทิ้งในทางธรรมเช่นนี้ มีทิฏฐิสัมมาเช่นนี้  ทำมรรคมีองค์ 8 อย่างนี้ กำหนดหมายไม่เหมือนเขาอย่างนี้

 

ประโยชน์ที่เอาชีวิตมาทิ้งในทางธรรม มองเห็นสิ่งที่ประเสริฐ น่ายืนยันกับสังคม เปรียบเทียบให้เห็นว่าทางโลกที่เขาเป็นมีมุมไหนทางไหนที่แต่ละคนจะมอง อย่าเกิน 5 นาทีก่อนนะ

 

.เดินดิน..... ผมมาอยู่กับพ่อครู อยู่แบบฤาษีเก่า มาด้วยความอยู่แบบมีเจตคติแบบเถรวาทว่า เราจะช่วยคนอื่นได้ต้องทำตนให้บริสุทธิ์ก่อน เราคิดว่าทำงานก่อนแล้วกิเลสจะเกิด ต้องเข้าป่าอยู่แต่ผู้เดียว แต่ว่าไปอยู่ศีรษะอโศก จัดงานปลุกเสกฯ แล้วคนมามากก็ได้รับประโยชน์มาก ก็คิดว่าถ้าไปจัดที่นครสวรรค์ที่บ้าน ก็น่าจะดี ก็เลยมีงานปลุกเสกฯครั้งที่ 1 และ2 และ 3 ต่อมาทำให้ผมต้องรับภาระในการจัดงานมาเกือบ 40 ปีแล้ว ก็เป็นเหมือนอาชีพที่เราต้องจัดงาน ปลุกเสกฯ พุทธาฯ เราก็เลยเหมือนเป็นเพื่อนที่รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเพื่อนมาตลอดก็เลย อาชีพผมก็เลยต้องจัดงานประจำปี ต้องรับผิดชอบ ก็เป็นอาชีพใหม่ที่ไม่มีอามิส และก็ต้องระวังเป็นทาสอัตตา

 

พค.ขยายความว่า ไม่เป็นทาสอามิสคือไม่เป็นทาสโลกธรรม ไม่บำเรออัตตาคือไม่บำเรอใจตนเอง ผยองพองขนว่าตนใหญ่ มันเป็นนามธรรมที่ไม่เกี่ยวกับลาภ ยศ สรรเสริญ​ มันเด่น ยกตนข่มท่าน เป็นอัตตาจริงๆ ก็ต้องระวัง

 

.. .... มาอยู่กับชาวอโศก ผมมีอาชีพก็คือ จบเรียนครูมา ตอนแรกเขาให้เป็นครูพุทธธรรมวันอาทิตย์ ผมเกิดมา แม่ฝันเห็นมีครูแต่งชุดนักเรียนมา พอมาบวชนานเข้าก็สอนเด็กพุทธธรรม สอนเด็กสัมมาสิกขา สุดท้ายมาเป็นอาชีพกรรมกร ก็รู้สึกว่า สบายดี แต่ก่อนผมก็อยากรวยนะ มาบวชแล้วยังอยากรวยอยู่เลย เรารู้ว่าเป้าหมายเรามาลดกิเลส แต่จิตเราก็ยังอยากรวย ก็เลยคิดว่าเราจะทำอะไร ก็เลยมาทำอาชีพโรงปุ๋ยเป็นหลัก มีภ.ถิรฯ บอกว่าชาติหน้าคงรวยนะ แต่ผมก็ว่ามาจนนี่ก็ดีแล้ว เบาสบายกว่า อย่างเพื่อนผม เขารวยแล้วมีหลายล้านก็บอกว่ารวยแล้วจะทำอะไรต่อนะ?... ผมก็ไม่ว่าอะไร สมบัติผมก็ไม่มีอะไรเลย ลาภ ยศ สรรเสริญ ผมก็ไม่มีอะไร

......

 

สส. ..

 

พค.ว่า...ที่พูดกันมันก็เป็นการบอกกล่าว กันมาเป็นความเฉลียวฉลาด ผู้ที่พูดกัน ก็พอรู้ได้ ว่าเราก็ ธรรมะพพจ.จริงตรงที่ถ้าสัมมาทิฏฐิ ว่าตราบใดยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบโลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ ยืนยันว่า ทฤษฎีของพพจ.นี้เป็นไปได้ ไม่ได้มาอวดอ้างอะไร เราไม่ได้เจตนาเช่นนั้น ถ้าเจตนาเช่นนั้นเราก็ทำมากกว่านี้อีก

 

สม.กล้าข้ามฝัน ... ตอนใหม่ๆมาดิฉันเป็นคนไม่ค่อยพูด ทึ่มๆ แต่พอเห็นพ่อครูทำงาน แม้ดึกดึ่นก็เปิดไฟ ทำงานอีก ทุกอย่างพุ่งเป้าถึงพ่อท่าน เราอยู่มานาก็คิดว่า น่าจะกตัญญูต่อพ่อท่าน ก็เลยลองไปพูดกับคน แล้วรับรู้ปัญหา ช่วยแก้ปัญหาบ้าง ที่คิดว่าน่าจะทำได้ ก็เลยคุยไปก็เลยเป็นคนพูดได้มากขึ้น จนพูดมาก ก็เลยต้องลดลงมาอีก จนพอดี แล้วมันจะเกิดความมุทุภูเต ที่เกิดจากการอยากจะตอบแทนบุญคุณ เกิดจากการเอาภาระหมู่กลุ่ม ตอนบวชได้ 2 ถึง 3 ปีก็เริ่มตื่นมาเอาภาระหมู่ ตอนเขาทำนากันสมณะไปไม่ได้ ดิฉันก็ไปทำกับเขา พอสันติอโศกตั้งโรงเรียนปัญหาเยอะ ไม่มีความรู้มากแต่ว่า ไปฟังปัญหา ก็ค่อยช่วยกันไป เราก็ค่อยพูดกันไปเรื่อย ก็ร่วมกับหมู่กลุ่มไป อย่างมาราชธานี น้ำท่วมได้ขนของ การทำงานได้พัฒนาทั้งความเฉลียวฉลาดแววไว ไม่เหนื่อยมากนะ เพราะว่าใจเรามุ่งช่วยคนอื่น รู้สึกว่า ภาระค่อยๆเติมมา รู้สึกว่าเราแบ่งเบาหมู่กลุ่มหน่อยไหม อย่างท่านเดินดิน ท่านบินบน ท่านรับภาระมากมาย เราจะช่วยแบ่งเบาได้ไหม ก็เติมไปทีละหน่อย พอมาอยู่ราชธานี ดินฟ้าอากาศไม่เที่ยงเลย เราก็ค่อยๆดู มันเติมความสามารถความฉลาดให้ดิฉัน

 

ยิ่งมาศึกษาปรมัตถ์ คำว่าบุญ นี่ยังไม่ซึ้งเท่ากับกาย ทำไมกายเรามันวุ่น ตอนนี้ทำไมไปทำงานโรงปุ๋ยบ่อยๆก็กลับไปเป็นกรรมกร เรารู้สึกว่า ขยะในโลกนี้ ถ้าชาวอโศกบุกเบิกขยะไปทำเป็นปุ๋ย ไปทำประโยชน์ได้ จะทำให้หมู่กลุ่มชาวอโศกดีขึ้นเจริญขึ้น โลกเจริญขึ้นด้วย มีคนบอกว่า ร่างกายดิฉันก็แข็งแรงดี เขาบอกว่าท่านดูไม่แก่ลงเลย เราคิดว่าทำงานออกแรงด้วย ใช้สมองด้วย ทำงานกับเพื่อนพี่น้องด้วย อ่านกาย ออก ถ้าเราฟังธรรมไปด้วยแล้วทำงานไปด้วย ก็ได้นะ แต่ว่าไม่เหมือนฟังอย่างตั้งใจ แล้วก็เอาไปใช้กับการทำงาน ผัสสะแล้วเกิดอะไรขึ้น ทำใจในใจอย่างไร เรารู้สึกว่า ทุกปัจจุบัน เป็นการได้ฝึกฝนตลอด ได้พัฒนาตนเองตลอด

 

พ่อครู สมณะ สิกขมาตุให้โอกาสทำงาน ทำผิดทำถูกก็ให้โอกาส จนตอนนี้ก็ทำถูกมากกว่าผิด เราก็เห็นว่าน้องคนไหนทำได้ก็ให้ทำต่อไป เราก็จะได้ไปทำงานอื่นที่เพิ่มความสามารถเราอีก ปัญญาทำให้เกิดปัญญา ทั้งฉลาดแข็งแรง เจริญก้าวหน้า จิตวิญญาณและทางโลก ต้องมีสัมมาอาชีวะ

 

พค.ว่า...อาตมาจะทำอย่างไร ให้คนที่ เกิดความเข้าใจว่า ปัญญาคืออะไร ปัญญาคือความเห็นจริงๆ เช่นมาเห็นว่า เรามาทางนี้เป็นคนจนไม่เบียดเบียนคนอื่น ช่วยเหลือคนอื่น ทำอย่างไรจะให้คนเข้าใจได้จริงๆ จึงเห็นความหมายคำว่า ปัญญา คือความรู้ยิ่ง มันมุ่งมันทำอย่างนี้ เกิดอย่างนี้เราเป็นสุขด้วย พอใจด้วย ซึ่งลองเทียบกับคนที่มีมากได้เปรียบเพิ่มทับทวี กับแบบที่มามักน้อย มาจนมาเสียสละ สร้างให้ได้มากๆ เสียสละก็ได้มากขึ้น ใจก็สบาย มีปัญญาเห็นจริงมากขึ้น ตัวใครตัวมันก็มีปัญญาของตนเอง แล้วคนละเรื่องกับทุนนิยมเลย ตัวเจ้าของปัญญามันเห็นด้วยตน

 

ลักษณะสัจธรรมของพพจ.ที่เป็นตัวปัญญา รู้เห็นเอง อาตมาชื่นใจที่ในหลวงตรัส สอดคล้องกับเมืองพุทธ ท่านเป็นพุทธมามกะองค์ยิ่งใหญ่ของประเทศที่มีพระปัญญาธิคุณของท่านเอง ถ้าท่านไม่แน่ใจก็ไม่ตรัสออกมาแน่ เป็นสุดยอดเลย อาตมาก็ยังเห็นว่าประเทศไทยจะทำอย่างไร ให้คนเห็นอย่างในหลวงว่า เอาแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา มันขยายความเศรษฐกิจพอเพียง แต่ทำไมคนไม่มีปัญญากันนะ

 

ถ้าคนมีปัญญาเห็นเช่นนี้มา พวกเราจะมีคนเข้ามาเป็นมวลอีกมาก เป็นผู้มีเกียติทางสังคม มีฐานะทางสังคมแล้วเห็นดีว่ามาเป็นคนจนนี่ดี แม้มาเป็นไม่ได้แต่ก็ส่งเสริมให้ทฤษฎีนี้เจริญขึ้นไป อย่างนั้นอาตมาก็ว่าน่าปลื้มใจพอใจแล้ว อาตมาทำงานมา 45 ปีก็ยังอืดเหมือนเรือเกลือ ยังไปไม่ถึงไหนเลย แต่ไม่ท้อ ยังมั่นใจว่าได้แค่นี้ก็ยังดี เพราะมั่นใจว่าผู้ที่มานี้มาจริง จิตมันเป็นจริงบรรลุธรรม มั่นใจว่าเป็นลักษณะจริง ยุคนี้ก็เป็นได้ คนมาจนได้รับใช้สังคมอย่างอิสรเสรีได้

 

 

คนเช่นนี้หากไปเป็นนักการเมือง เป็นข้าราชการ มันก็จะมีในอนาคต ที่มีผู้มีปัญญาทิศทางนี้ เมื่อมีมากพอจะสอดรับประสานกันไป จะเป็นจริง แม้ที่สุดจะไปทำหน้าที่บริหารชั่วคราว ไปปรับระบบ นักการเมืองที่ถูกเลือกตั้งไปก็จะมีหน้าที่ ปรับระบบ คือผู้ตรวจสอบนักการเมืองประจำ ไม่ใช่ไปฮั้วหรือข่มเบ่งนักการเมืองประจำเสียอีก นี่คือรัฐศาสตร์ของอาตมา อาตมาถึงพยายามให้พวกเราทำตามทฤษฎีนี้

 

พวกเราก็มาเลือกอาชีพ

 

สรุปตรงที่ว่าธรรมะมันมีหลายนัย นัยอย่าที่อโศกเราเป็นอาตมามั่นใจว่าสัมมาทิฏฐิแบบพพจ.พาทำ มีคนทำได้เป็นร้อยเป็นพันหรือเป็นหมื่น จนสามารถสู่ความเข้มข้นความเจริญ​เป็นหมู่กลุ่ม จะมารวมด้วยปัญญา ด้วยความรู้ เห็นควรว่าจะเป็นอย่างไร เป็นหมู่มิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี นี่คือสิ่งที่เกิดในประเทศไทยก็ยืนยันกับสังคมว่ามีสิ่งนี้เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่สังคมเป็นได้ พิสูจน์ทฤษฎีของพพจ.ที่เป็นได้ เชิญผู้ที่ได้ยินก็เชิญมาตรวจสอบ สอดแนม ล้วงลึกว่ามีอะไรแฝงปิดบัง มีอะไรควรตรวจสอบก็เชื้อเชิญให้มาดูได้ เอหิปัสสิโก พพจ.ยืนยันว่าธรรมะของพพจ.เป็นเช่นนั้น .....


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:04:53 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์