คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี
เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit
วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5
วีดีโอ Loom 1 : https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044
วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk
รายละเอียด
ในสายของปฏิจจสมุปบาท ธรรมทั้ง 2 เหล่านี้ คือผัสสะ นามรูป วิญญาณ เป็นเหตุปัจจัยต่อเนื่องจากด้านบนลงมาที่เวทนา ฉะนั้นจึงถูกจัดการทั้งหมดรวมเป็นอันเดียวกับเวทนา 2 ให้เป็นหนึ่งเดียว คือวิญญาณไม่อาศัยนามรูป นามรูปไม่มีอาการที่เราไม่ต้องการให้มี มันแตกต่างกันอย่างไร ทำให้เป็นปุริสภาวะ ตามที่คุณกำหนด นิมิต ตามคำอุเทส คำสอนอธิบายคำกล่าว จากพระไตรปิฎก หรือจากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้า รู้จักคำสอนที่อาตมาอธิบายอยู่ก็ตามเป็นอุเทส นามรูปจะไม่มี อาการ เพศ นิมิต อุเทส ผัสสะไม่ปรากฏ เวทนาก็ไม่ปรากฏ ก็กระทบรูปแล้วก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง ตากระทบหูได้ยินเสียง ก็เป็นเสียงเดียว ตาหูจมูกลิ้นกายใจไม่มีเวทนา 2 ไม่มีตัณหา ตัณหาไม่ปรากฎ คุณกระทบมีสองเสมอ แต่มันรวมเป็นอันเดียวกัน ทำให้กิเลสหายไป ทำให้เวทนาเก๊หายไป ทำให้ไม่มีตัณหา แต่คุณก็ยังมีนามรูปก็ต้องสัมผัสอยู่เป็น 2 เสมอ แต่มันเป็นหนึ่งเดียว คือ แต่ 0 กับ 1 คือต้องรู้ตัวจบ คุณไม่มีสุขไม่มีทุกข์ หมดสุขหมดทุกข์ ก็เป็น 00 คือ ฐานนิพพาน ไม่สุขไม่ทุกข์คือฐานนิพพาน คุณไม่เข้าใจอย่างนี้ คุณไม่ทำอย่างนี้ การอธิบายธรรมะของสำนักต่างๆ ยังแยกความสุขความทุกข์ไม่ได้ แต่เขาจะพูดถึงแต่อุเบกขา อทุกขมสุข แต่ไม่รู้จักสภาวะที่แท้
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2563
เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2563 ( 17:26:27 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 04:20:14 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 07:49:30 )
รายละเอียด
ตอนนี้อาตมาอธิบายธรรมะ 2 เทวธัมมา ก็ขยายความว่า มันคือสุดยอดของธรรมะทั้งหมดเลยในโลก แล้วก็แตกแยกความอะไรออกไป ถ้าใครเข้าใจธรรมะ 2 แล้ว สามารถทำให้ธรรมะ 2 เป็นหนึ่งและเป็นศูนย์ได้
เช่น เวทนา 2 เวทนาแท้กับเวทนาเก๊ เราก็ทำกำจัดต้นเหตุของเวทนาเก๊ กำจัดอวิชชา เวทนาเก๊ก็หมดไป ก็เหลือแต่เวทนา1 เวทนาเดียวในจิต แม้เวทนาแท้ ผู้ที่ศึกษาดีแล้วก็ไม่ยึดถือเป็นเราเป็นของเรา ก็ได้อุเบกขาเป็นฐานอาศัยในชีวิต แล้วก็จะได้ผลความวางไม่ยึดเป็นเราเป็นของเราอย่างแท้จริงได้ นี่คือความลึกซึ้งซับซ้อนของธรรมะพระพุทธเจ้าตรัสรู้มาสอนเรา อาตมาก็เอามาอธิบายให้ละเอียดซับซ้อน
วันนี้มีคำถามความสงสัยที่น่าสงสารของพวกเทวนิยมพวกที่ตีธรรมะ 2 ไม่แตก เขาจะถือ 2 นี้เป็นหนึ่งเดียวอยู่อย่างนั้น งมงายกับเทว จนเทวะเป็นอัตภาพเป็นเรื่องเมจิกเข้า เป็นเรื่องซับซ้อนมโนมยอัตตาไม่รู้จบ มันก็น่าสงสาร ก็ค่อยๆอธิบายกันไป
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก ครั้งที่ 31 วันพุธที่ 19 ธันวาคม 2561
เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2564 ( 10:53:35 )
รายละเอียด
เมื่อได้ฐานที่ตั้งแห่งการปฏิบัติคือ เวทนา พระพุทธเจ้าก็แจกเวทนาออกเป็น 108
ฟังดีๆ เวทนา 108 เอาให้ละเอียดโดยสภาวะ
แบ่งเป็น 2 เวทนา ได้แก่..
1. เวทนาที่มีกายเป็นเหตุ (กายิกเวทนา อาศัยมหาภูตรูป+นาม)
2. เวทนาที่มีใจเป็นเหตุ (เจตสิกเวทนา อาศัยนามรูป)
แยกเป็น 3 เวทนา ได้แก่..
1. สุขเวทนา
2. ทุกขเวทนา
3. อทุกขมสุขเวทนา (ไม่สุขไม่ทุกข์ อุเบกขา)
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เจโตปริยญาณ 16 และ
ปฏิจจสมุปบาทโดยพิสดาร วันพุธที่ 21 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 27 เมษายน 2564 ( 21:26:02 )
รายละเอียด
มาเอาที่เวทนา เจตสิกเท่านั้น ถ้าเรียนรู้ตัวนี้จบ แยกธาตุจิต ตัวนี้ได้ครบสมบูรณ์เลย ท่านแยกไว้จาก เวทนา ตั้งแต่เวทนา 1 คือ กาย, เวทนา 2 คือเวทนาจิต เรียก “เจตสิกะ” กับ “กายิกะ”
เวทนา 108 (ปัญจกังคสูตร พตปฎ. ล.18 ข.412-424)
(แบ่งเป็น 2 เวทนา ได้แก่..)
-เวทนาที่มีกายเป็นเหตุ (กายิกเวทนา อาศัยมหาภูตรูป+นาม)
-เวทนาที่มีใจเป็นเหตุ (เจตสิกเวทนา อาศัยนามรูป
เพราะฉะนั้นแยกจากจิตมาเป็นเจตสิก กับ กาย อันหนึ่งคือกายิกะ อีกอันคือเจตสิกะ
เวทนา 2 คือ กายิกะ กับเจตสิกะ คือรูปกับนาม คือ สิ่งที่เป็น static กับ Dynamic
กายิกะเป็น static เจตสิกะ เป็น Dynamic ตัวหนึ่งเป็นตัวตั้ง ตัวหนึ่งเป็นตัวเคลื่อน เรียกว่ารูป กับ กาย แต่ไม่ได้หมายถึงรูปนิ่งๆอย่างเดียว กายจึงมีความพิสดารที่ยาก แล้วคนมาเข้าใจคำว่า กาย นี้ผิด มันเป็นกระดุมเม็ดแรก ถ้ากลัดผิด เม็ดต่อๆ ไปผิดหมด
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชาติ 5 แยกวิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 วันพุธที่ 27 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 11:57:11 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563
เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 10:27:20 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 04:01:10 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 07:50:47 )
รายละเอียด
สุข ทุกข์ อุเบกขา
ที่มา ที่ไป
ธรรมาธิบายพ่อครู จากรายการพุทธศาสนาตามภูมิ
เวลาบันทึก 24 กันยายน 2562 ( 21:57:09 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 04:20:48 )
รายละเอียด
คือ 1. สุขเวทนา 2. ทุกขเวทนา 3. อทุกขมสุขเวทนา (ไม่สุข ไม่ทุกข์ อุเบกขา)
ที่มา ที่ไป
รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37 บ้านราช วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 13:45:16 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 04:00:41 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 07:50:19 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการกายนี้คือวิญญาณ วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563
เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2563 ( 13:44:21 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 04:01:41 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 07:51:21 )
รายละเอียด
ทีนี้ในเวทนา 6 นี่แหละ
ตามันก็มีสุขทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ได้ หูมันก็มีสุขทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ได้ จมูกมันก็มีสุขทุกข์ ไม่สุขได้ 3 x 6 เป็น 18
ได้แก่ มโนปวิจาร 18 (คือ เวทนา 3 ร่วมกับอายตนะ 6 )
สุขเวทนาแบบโสมนัสสูปวิจาร (6ทวาร+โสมนัส)
ทุกขเวทนาแบบโทมนัสสูปวิจาร (6ทวาร+โทมนัส)
เฉยๆ ที่เป็นอุเบกขูปวิจาร (6ทวาร+อุเบกขา)
ความรู้สึกทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ มีความรู้สึก สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ สามอย่างใหญ่ๆ ก็เป็น 18 เรียกว่ามโนปวิจาร 18 พฤติกรรมของเจ้าจิต ป วิจาร รวมเต็มพฤติกรรมทั้งหลายของมโนมาอยู่ที่นี่
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เจโตปริยญาณ 16 และ
ปฏิจจสมุปบาทโดยพิสดาร วันพุธที่ 21 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 28 เมษายน 2564 ( 04:17:27 )
รายละเอียด
เพราะ“โลกุตรธรรม”เป็น“ธรรมอื่น”ที่แตกต่างไปจาก“โลกียธรรม”แท้จริง ซึ่งไม่เหมือน“โลกียธรรม”อันเป็นธรรมชาติธรรมดาที่คนปุถุชน“หมุนวน”อยู่กับการเสพ“สุข”เสพ“ทุกข์” และ“ไม่สุขไม่ทุกข์(ชั่วครั้งชั่วคราว)” อันเป็น“เวทนา 3”ตามแบบชาว“โลกีย์”ทั้งหลาย ที่มี“อุปาทาน”กันอยู่นั้น ก็รู้ยิ่งด้วย“ปัญญา”ไม่ได้แม้จะมีความรู้สึกหรืออารมณ์“ไม่สุขไม่ทุกข์”เป็นครั้งคราวบ้าง หรือปฏิบัติตนให้มี“อารมณ์ไม่สุขไม่ทุกข์”นี้ได้ยาวนานบ้างเหมือนอาฬารดาบสหรืออุทกดาบส ก็เป็นแบบ“เคหสิตอุเบกขาเวทนา”ตามที่เดียรถีย์ทำกันได้ก็ยังเป็น“โลกียธรรม”อยู่ดี
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 40 หน้า 66
เวลาบันทึก 13 มิถุนายน 2564 ( 16:23:31 )
รายละเอียด
เวทนา 36 ก็ปฏิบัติจริง มีคุณธรรม มีมรรคมีผลในเวทนาที่ได้ปฏิบัติ เป็นเวทนาอุเบกขาเป็นเวทนาสะอาด ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
เป็นเวทนาที่ยิ่งทำสะอาดได้ ก็ยิ่งตกผลึก อาเนญชา ตกผลึกอาเนญชาๆ ยิ่งมี ประสิทธิภาพแข็งแรง ซึ่งไม่ใช่แข็งตัวนะ แต่แข็งแรงแววไวทำงานได้เป็น มุทุภูตธาตุ ที่แววไวในตัวเป็นปึกแผ่นสั่งสมเป็น อาเนญชาๆ ขึ้นยิ่งขึ้น
ซึ่งเป็นสิ่งที่ยิ่งเจริญไม่มีอะไรจะมาหักล้างได้ อสังหิรัง ไม่กลับกำเริบอีกเด็ดขาดเพราะเป็นคุณธรรมที่ยิ่งไปสู่ที่สุดที่สูง สัมโพธิปรายนะ ยังไม่มีที่จะห้ามกั้นเลยเพราะว่ามันเป็นสัจจะจริงๆ
เพราะฉะนั้นไปสรุปตรงที่ว่าปัจจุบัน 36 อดีต 36 อนาคต 36 รวมแล้วเป็น 108
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พระอภิธรรมของ ฌาน และเวทนา 108 วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม 2566 ขึ้น 3 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 11 มกราคม 2567 ( 18:19:03 )
รายละเอียด
คือ รู้กำลังของเวทวนาทั้ง 5 ได้แก่ 1. สุขินทรีย์ 2. ทุกขินทรีย์ 3. โสมนัสสินทรีย์ 4.โทมมนัสสินทรีย์ 5.อุเบกขินทรีย์
ที่มา ที่ไป
รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37 บ้านราช วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 13:47:51 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 04:39:30 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 07:51:41 )
รายละเอียด
คือ รู้กำลังของเวทนาทั้ง 5 ได้แก่ 1. สุขินทรีย์ 2. ทุกขินทรีย์ 3. โสมนัสสินทรีย์ 4.โทมมนัสสินทรีย์ 5.อุเบกขินทรีย์
เราทำอาการจิตให้ตรงกับที่นิยามไว้ ให้สำเร็จ ให้มันเฉย หมดทุกข์หมดสุข โสมนัสก็หมด โทมนัสก็หมด กลาง ถือเป็นตัวจบ ก็ทำเทวนา 3 นี้ ทางทวาร 6
ที่มา ที่ไป
รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37 บ้านราช วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 13:52:43 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 04:21:49 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 07:53:15 )
รายละเอียด
เวทนา 5 (รู้กำลังของเวทนาทั้ง 5 ได้แก่)
1. สุขินทรีย์ เป็นสุขที่ต้องนับภายนอก เกี่ยวข้องกับภายนอกเป็นสุข
2. ทุกขินทรีย์ เป็นทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับภายนอก
3. โสมนัสสินทรีย์ ดับพลังงานสุขทุกข์ภายนอกก็เป็นโสมนัสกับโทมนัส
4. โทมนัสสินทรีย์ หมดโสมนัสโทมนัสก็เป็นอุเบกขา
5. อุเบกขินทรีย์ มีเพียงหนึ่งเดียว ไม่เป็น 2
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เจโตปริยญาณ 16 และ
ปฏิจจสมุปบาทโดยพิสดาร วันพุธที่ 21 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 27 เมษายน 2564 ( 21:28:10 )
รายละเอียด
คือ ได้แก่ 1. จักขุสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทตา
2. โสตสัมผัสสชาเทวนา ความรู้สึกจากประสาท หู
3. ฆานะสัมผัสสชา เวทนา ความรู้สึกจากประสาท จมูก
4. ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาท ลิ้น
5. กายสัมผัสสชาเทวนา ความรู้สึกจากประสาท กาย
6. มโนสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากใจประเภทแต่งเอง
ที่มา ที่ไป
รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37 บ้านราช วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2562
เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 13:56:00 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 04:22:55 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 07:53:50 )
รายละเอียด
เวทนา 6 คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ความรู้สึกของทวารทั้ง 6 คือเวทนา 6 ผัสสะ 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ 6 ก็คือเวทนา 6
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 27 วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 22 กุมภาพันธ์ 2564 ( 19:39:57 )
รายละเอียด
เวทนา 6 (แยกเป็น 6 เวทนา ได้แก่)
1. จักขุสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทตา
2. โสตสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทหู
3. ฆานสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทจมูก
4. ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทลิ้น
5. กายสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทกาย
6. มโนสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากใจปรุงแต่งเอง
เวทนาเป็นฐานที่ตั้งแล้ว มีการรู้ 6 เรียกว่า ฉฬายตนะ
พอมาเป็นเวทนาฐานนี้แหละ พอ 6 ตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วก็ต้องมีใจ จึงเรียกว่ารวมสัมผัสแล้วต้องมี 6 ครบ เวทนา 6
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เจโตปริยญาณ 16 และ
ปฏิจจสมุปบาทโดยพิสดาร วันพุธที่ 21 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 27 เมษายน 2564 ( 21:32:03 )
รายละเอียด
วิญญาณแยกเป็น เวทนา สัญญา สังขาร อวิชชาจะไม่รู้จักสังขาร ไม่รู้จักการปรุงแต่ง จริงๆแล้วสังขารที่ปรุงแต่งกันอยู่นั่นแหละคือตัวเวทนา ตัวสังขารที่ปรุงแต่งกันอยู่ รวมแล้วเป็นผี หรือเป็นเทวดาหลอก
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2563
เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2563 ( 17:10:39 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 04:02:20 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 07:54:11 )
รายละเอียด
แล้ว เวทนานี่แหละ จะต้องศึกษาเป็นแกนหลัก เป็นสถานที่หลัก เป็นจุดสำคัญ เวทนาหรือ ความรู้สึกหรืออารมณ์ จะสุข จะทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ อยู่ตรงนี้ ศาสนาพุทธนั้นตรัสรู้เรื่องสุขเรื่องทุกข์ว่ามันเป็นมายา แต่ศาสนาเทวนิยม ศาสนาอื่นๆนั้น ติดความสุข เป็นสุขนิยมทั้งนั้น ไม่รู้จักสุขทุกข์ รู้แต่ดีแต่ชั่วซึ่งเป็นโลกียะ แค่แยกโลกียะดีชั่วกับสุขทุกข์เป็นโลกุตระ เขาฟังไม่เข้าใจ แล้วไม่สนใจที่จะศึกษาว่า อ๋อ… ถ้าอารมณ์สุขทุกข์มันต่างกับดีชั่วอย่างไร โอ้โห.. มันคนละโลกกันเลย เดินกันคนละฝั่ง
ดีกับชั่วนี้ อยู่กับนรกและสวรรค์ ไม่มี 0 ส่วนสุขทุกข์ ถ้าเรียนรู้แล้วนี่จึงจะเป็น 0 ได้ จึงจะอยู่เหนือหรือคุณจะอยู่เป็นอมตบุคคลแล้ว คุณจะอยู่เพื่อทำหน้าที่ต่อไปอีกจนกระทั่งคุณเบื่อ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เอง ถ้ายังไม่เบื่อจะอยู่อย่างพระอวโลกิเตศวรทุกวันนี้ อย่างเจ้าแม่กวนอิม ก็เชิญมีสิทธิ์ จะอยู่นิรันดรอย่างนั้น รื้อขนสัตว์ให้หมดจากโลกนี้ คนในโลกปรินิพพานให้หมดไปแล้วจึงจะปรินิพพานเป็นคนสุดท้าย ก็เชิญ มันเป็นปณิธานที่สูงส่งยิ่งใหญ่นะ พูดไปแล้วอาตมาก็ประชดนิดหน่อยเท่านั้นว่า อาตมาไม่เอาหรอกอย่างนั้น มันสุดโต่งเกินไป อาตมาขอใช้คำว่าสุดโต่งก็จบแค่นี้ก็แล้วกัน แต่ท่านจะมองเห็นว่าไม่สุดโต่ง เป็นปณิธานที่ยิ่งใหญ่ก็ไม่ผิดหรอก ไม่ผิด เพราะท่านก็อยู่ไปเถอะ นิรันดร เป็นนิรันดรชนิดหนึ่งของศาสนาพุทธพระอวโลกิเตศวร แต่เป็นผู้รู้ที่จะปรินิพพานไปได้ แต่ท่านไม่ปรินิพพานก็เป็นสิทธิ์ของท่าน พระอวโลกิเตศวรหรือเจ้าแม่กวนอิมเป็นปางหนึ่งของพระอวโลกิเตศวร ต่อจากเวทนานั่นแหละจะต้องมีตัวกิเลสคือตัณหา หรืออุปาทาน อุปาทานคือตัวนิ่ง ตัวหยุด ตัว static ตัวรูป ส่วนตัณหาคือตัวนาม คือตัวเคลื่อน
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 10 ออกจากกาละได้โดยใช้ มูลสูตร10 และวิญญาณฐิติ 7 วันจันทร์ที่ 23 มกราคม 2566 ขึ้น 2 ค่ำเดือน 3 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 13 กุมภาพันธ์ 2566 ( 13:36:12 )
รายละเอียด
ข้อที่ 6 เวทนาต่างจากวิญญาณ เวทนาต่างจากสัญญา ทุกตัวนี้ มีรูป คือภาวะที่ถูกรู้ สัญญาเราจะกำหนดเข้าไปรู้เวทนา ขณะเวทนา มันเป็นตัวถูกสัญญากำหนดรู้ มันเป็นตัวถูกรู้เวทนาก็เป็นรูป สัญญาก็เป็นนาม
เพราะฉะนั้น อาการของเวทนา มันเคลื่อนไหวแล้ว พอมันเคลื่อนไหว มันเหมือนเป็นนามแล้วมันเป็นตัวรู้สึกด้วย ไม่ใช่เหมือนหรอกมันมาเป็นเลย มันมีอาการรู้สึก ตัวสัญญาก็เข้าไปกำหนดรู้ความรู้สึกนั้นของเวทนา
ฟังให้ดีนะตัวพยัญชนะก็มีความสำคัญ เพราะมันจะต้องเปรียบเทียบให้ลึกละเอียดจาก 2 เป็น 1 ไปเรื่อยๆ จาก 2 เป็น 1 เป็น 0 ทำ 2 ให้เป็น 1 ก็รู้ 1 ได้ ก็ต้องทำ 1 ให้เป็น 0 เมื่อสามารถทำ 1 ให้เป็น 0 ซึ่ง 1 กับ 0 มันก็เป็น 2 ตัว แต่เรารู้ 0 แล้วเราจบในตัว แต่คุณยังไม่ตายคุณก็ยังมี 1 ก็จบแล้วคุณก็มี 0 กับ 1 แล้วคุณก็อยู่กับ 2 , 2 ก็เป็น 3 เป็น 4 เป็น 5 แล้วจะบวกจะคูณจะยกกำลัง อีกเท่าไหร่ก็ไม่มีปัญหา
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ จบรูป 28 สู่เรือนาวาบุญนิยมพาพ้นไฟโลกีย์ วันพุธที่ 3 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 27 สิงหาคม 2565 ( 21:35:13 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563
เวลาบันทึก 01 เมษายน 2563 ( 11:17:24 )
เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 14:21:51 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 07:55:31 )
รายละเอียด
อาตมาว่าจุดสำคัญอยู่ที่ เทวธัมมะ คือธรรมะ 2 และพระพุทธเจ้าท่านก็เอาตัวสำคัญของชีวิตสัตว์โลกเลยโดยเฉพาะมนุษย์ มันหลง สุข หลง ทุกข์
แล้วทุกข์มันเกิดที่อะไร รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันเกิดที่ไหน ?...อยู่ที่ตรงไหนจะรู้ได้ง่ายจริงมากกว่ากัน 5 ขันธ์เนี่ย.. เกิดที่เวทนา เวทนาจึงเป็นกรรมฐานของศาสนาพุทธ อาริยสัจ คือเรียนรู้ ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ เพราะความทุกข์กับความสุขมันเหมือนกระดาษแผ่นเดียวกันมันแยกไม่ได้เลย เมื่อไม่ได้ก็ต้องเผามันทั้งแผ่นทำลายให้มันสูญสลายหายไปเลย ก็จบ
เพราะฉะนั้นคนจะไปมัวเรียนรู้จริงๆ เลย ที่พุทธเจ้าท่านพยายามอธิบายให้ฟังเป็นการสมมติ สมมติสัจจะว่า สุขทุกข์นี้แบ่งแยกให้ออก ดูอาการของเวทนา ที่มันมีอาการ 2
อาการหนึ่งเป็นอาการหลอก อาการหนึ่งเป็นอาการจริง เดี๋ยวจะไปขยายถึงอาการจริงแล้วเราก็จบอยู่ที่นี่ แล้วเราก็อาศัยอันนี้ไปเลย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เรียนอัตถิราคสูตรให้หมดสุขหมดทุกข์แท้จริง วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:35:26 )
รายละเอียด
ไปถามแทนสัตว์ทำไมเสียเวลา เอาของเราเองดีกว่า อันนี้ตอบเองว่าใช่เลย ถ้าคุณแยกเวทนาในขณะคุณกินอาหาร แยกเวทนาแท้เวทนาเทียมไม่ได้ คุณเหมือนสัตว์เดรัจฉานเป๊ะเลย ซาบซึ้งตรึงใจดีไหม มันเป็นอย่างนั้นจริงๆไม่ใช่อาตมาใส่ความ คนก็เพลินไป บางทีสัตว์มันก็ไม่รู้เรื่องหรอกมันอาจจะรู้สึกบ้างแต่มันจำนน บางทีมันมีอะไรใกล้ๆ ให้เลือกมันก็เลือกกินเหมือนกันนะ บางอย่างมันไม่ชอบมันไม่กินเลยนะ มันไปหาสิ่งที่ดีกว่านี้ มันหาได้มันก็เอา อย่างนี้เป็นต้น นอกจากมันจำนนจริงๆมันทนเอาก็ต้องกิน แต่มันก็พอรู้ สรุปถามมาให้ตอบนี้ดีทีเดียว
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาเอกีภาวะประชาธิปไตยโลกุตระ วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 23 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:40:26 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563
เวลาบันทึก 25 มิถุนายน 2563 ( 10:45:42 )
เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 17:15:47 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 07:56:36 )
รายละเอียด
เวทนาคือกรรมฐานของพระพุทธเจ้า ที่ไปเป็นกรรมฐาน 40 เขียวเหลืองแดง อากาศ เป็นเรื่องของเดียรถีย์หมดไม่ใช่ศาสนาพุทธ เป็นสมถะ ศาสนาพุทธต้องวิปัสสนา เป็นโพธิปักขิยธรรม 37 โลกุตรธรรม เรียนรู้แล้วจะได้โลกุตรธรรม 9 โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามีมรรค สกิทาคามีผล อนาคามีมรรค อนาคามีผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล และนิพพานอีกหนึ่ง
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 วิโมกข์ 8 วันพุธที่ 17 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 18 เมษายน 2564 ( 15:51:41 )
รายละเอียด
เวทนา ข้อ 1 อะไรคือเวทนา เวทนามันมีในคนทุกคน ทุกคนมีเวทนา เวทนาคืออะไร เวทนาคืออาการที่มันมีความรู้สึก เป็นความรู้สึก จิตของเรามันมีความรู้สึก มันเป็นอาการของใจ รู้สึก รู้ๆ แล้วก็รู้สึก สึกก็แปลว่ารู้อยู่นี่
ที่จริง คำว่า สึก นี้คือ การทำการรบ ถ้ายังไม่มีวิชชา ถ้ายังไม่มีปัญญาชัดเจนว่า อ้อ.. ถ้าเผื่อว่าเวทนาที่ยังมี 2 อยู่ตลอดเวลา แล้วเราไม่เข้าใจใน 2 มันก็จะทะเลาะกัน มันก็จะรบกัน มันก็จะฆ่ากันอยู่อย่างนี้ มันไม่รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน นี่สรุปผลง่ายๆ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ จบรูป 28 สู่เรือนาวาบุญนิยมพาพ้นไฟโลกีย์ วันพุธที่ 3 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 27 สิงหาคม 2565 ( 20:51:48 )
รายละเอียด
ข้อที่ 2 เวทนานั้น ต่างจากสัญญา ต่างจากสังขาร ต่างจากวิญญาณ
ในขันธ์ 5 มีรูป แน่นอนต่างจากรูปแน่นอน ส่วนนามอีก 4 เวทนา ต่างจากสัญญา ต่างจากสังขาร ต่างจากวิญญาณ
ผู้ที่ศึกษาธรรมะแล้วไม่รู้จักธาตุต่างๆพวกนี้ เวทนาธาตุ สัญญาธาตุ สังขารธาตุ วิญญาณธาตุ ไม่รู้ว่าธาตุเหล่านี้แตกต่างกันอย่างไร จบ คุณไม่รู้ความแตกต่างกันอย่างไรได้ คุณก็ต้องมาเรียนรู้เวทนา 2 มาเรียนรู้กับสัญญา มาเรียนรู้กับสังขาร มาเรียนรู้กับวิญญาณให้ได้
เมื่อเอามาเทียบกันไม่ได้แล้วจะทำให้มันเป็น 1 ก็จะทำไม่ได้ เมื่อทำ 1 ไม่ได้แล้วคุณจะบรรลุธรรมได้อย่างไร พวกเราอาจจะพูดอย่างอาตมาไม่ได้ แต่พวกเราทำเป็นทำได้ จึงทำให้กิเลสลดได้ คุณทำให้กิเลสลดกันได้ทั้งนั้น เพราะคุณทำ 2 ให้เป็น 1 ได้ แต่คุณยังไม่รู้รายละเอียดเพราะคุณยังไม่ถึงอภิภูอย่างอาตมา ยังไม่ถึง สยังอภิญญา อย่างอาตมา คุณก็ยังอธิบายไม่ออก อธิบายไม่ได้ อาตมานี้ไม่ได้เอามาจากครูบาอาจารย์ในชาตินี้ แต่แน่นอน อาตมาเอามาจากพระพุทธเจ้านั้นแน่นอน เอามาขยายความให้ฟัง
เวทนานั้นต่างจากสัญญา สังขาร วิญญาณ ต่างกันจริงๆ ต้องพยายามเข้าใจอาการของเวทนา อาการของสัญญา ต่างกันอย่างไร อาการ มันอยู่ที่จิตนั่นแหละเป็นอาการทางจิตของเรา ซึ่งมันมีหน้าที่ เวทนาก็มีหน้าที่ของมัน สัญญาก็มีหน้าที่ของมัน สังขารก็มีหน้าที่ของมันวิญญาณก็มีหน้าที่ของมัน
วิญญาณนั้นเป็นตัวรวม เวทนา สัญญา สังขาร เป็นเจตสิก เป็นตัวธาตุจิตวิญญาณที่แยกเอามาเรียนรู้อาการที่ละเอียดซ้อนทำงาน 3 หน้าที่ใหญ่
เพราะฉะนั้นข้อที่ 2 นี้ ต้องแยกความต่างของ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แตกต่างกันอย่างไร
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ จบรูป 28 สู่เรือนาวาบุญนิยมพาพ้นไฟโลกีย์ วันพุธที่ 3 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 27 สิงหาคม 2565 ( 21:27:54 )
รายละเอียด
คุณมีตากระทบรูป ไม่ว่าคนชาติไหน กระทบแล้วต้องเห็นว่ารูปนี้คือรูปนี้ รูปนี้คือดอกไม้ เป็น common noun ส่วน proper noun เรียกว่า ดอนญ่า ไม่ใช่ดอนปู่ มันเป็นดอกไม้จากต่างประเทศชื่อต่างประเทศ ก็มีรูปร่างสีสันมีกลิ่นอย่างนี้ คุณก็เห็นเหมือนกัน ไทยจีนแขกฝรั่ง ชาติไหนก็เห็นเหมือนกัน นั่นคือเวทนาตัวจริง ความรู้ตัวจริง ความรู้สึกตัวจริง ความเข้าใจตัวจริง แต่คนที่เห็นอันนี้แล้ว มีความรู้สึก ตัวเก๊ตัวปลอมว่า สวย หอมดี น่าได้น่ามีน่าเป็น อีกคนหนึ่งบอกว่าไม่น่าได้ ไม่น่ามี ไม่น่าเป็น มันเหม็น มันไม่สวย อันนั้นล่ะเก๊ อันนั้นคือความคิดวิปริต เป็นเวทนา 2 คุณเรียนรู้ความจริงตามความเป็นจริง เห็นความจริงตามความเป็นจริงได้จบ ตัวเดียวอันเดียว ไม่เกิดภาวะ 2 คนนั้นก็จบเป็นพระอรหันต์ ง่ายนิดเดียวศาสนาพุทธ เห็นรูปก็ตาม ได้ยินเสียงก็ตามได้กลิ่นก็ตาม ได้สัมผัสโผฏฐัพพะ แล้วคุณก็มีเก๊ผสมมา ก็เป็นความสุขแบบเทวนิยมไม่รู้จบแต่คนที่รู้ความจริงแล้วจบไม่มีอารมณ์ไม่มีความรู้สึกสองนี้เลย พระอรหันต์ ง่ายนิดเดียว ศาสนาพุทธ คุณเข้าใจให้ถูกต้องแล้วทำให้ได้ตลอดเวลาคุณก็เป็นพระอรหันต์ เริ่มต้นทำได้ครั้งหนึ่งนิดนึง คุณก็เริ่มต้นเข้ากระแสเรียกว่า โสตาปันนะ โสตา แปลว่าเข้ากระแส โสตาปันนะ คือเข้ากระแสศาสนาพุทธศาสนาพุทธเรียนรู้ในการสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายไม่ใช่ไปนั่งหลับตา
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช ฌานวิสัยของอรหันต์และโพธิสัตว์ ศุกร์ที่ 13 ธันวาคม 2562
เวลาบันทึก 18 ธันวาคม 2562 ( 15:54:40 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 04:24:07 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 07:57:23 )
รายละเอียด
เวทนาจะเกิดได้ต้องมีผัสสะ แล้วต้องมีอายตนะจึงเกิดผัสสะ ต้องมีรูปนาม วิญญาณจะเรียนรู้ได้ต้องมีนามรูป ต้องสัมผัส ตากระทบรูป หูกระทบเสียง...พอกระทบกันก็เกิดอายตนะ ผัสสะเกิด ผัสสะกับอายตนะจะไม่ตั้งอยู่ ณ ที่ไหนเลย มันจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกรรมกิริยาของคุณเกิดขึ้น ตากระทบรูปก็เกิดผัสสะตอนนั้น ถ้าไม่มีผัสสะ ตาก็ไม่กระทบรูป อายตนะก็ไม่มี เพราะผัสสะไม่มี
ผัสสะมี มันจึงมีอายตนะเกิด หมดผัสสะอายตนะก็ไม่มี ไม่เกิด
เพราะฉะนั้นผัสสะกับอายตนะจึงเกิดในปัจจุบันมีในปัจจุบันเท่านั้น
ถ้าปัจจุบันคุณไม่มีผัสสะ ไม่มีการกระทบกันอายตนะมันก็ไม่เกิดมันก็ไม่มี ผัสสะไม่มีเพราะไม่มีอายตนะ อายตนะไม่มีเพราะไม่มีผัสสะ
เมื่อมีผัสสะอายตนะ จึงเกิดเวทนา แล้วจึงพิจารณาเวทนา 108 นี่แหละเป็นกรรมฐานของศาสนาพุทธ กรรมฐานเดียวไม่ใช่มี 40 กรรมฐาน (40 กรรมฐาน เป็นความเข้าใจผิดของอรรถกถาจารย์ )
เพราะฉะนั้นผู้ที่เข้าใจแม้สัทธรรม 7 ชัดเจน คุณมีได้ก็สั่งสมเป็นฌาน 1 2 3 4
ฌาน 4 นั่นแหละ คุณจะรู้ฐานที่แท้จริงของนิพพาน ฌาน 4 จิตจะว่าง ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ อุเบกขา ตัวอุเบกขาเพียวๆ เกิดเป็นอารมณ์เดียวไม่มีปิติสุข คุณจะรู้รายละเอียดอย่างที่เรียกว่าสุข มันว่าง มันไม่แรง ไม่หนักอะไรเลยมีจิตที่จะต้องไปชักจูงให้ต้องตามใจอย่างที่อยากได้ มันไม่อยากอะไรมากมาย มันมีความจำได้จริงๆ ตัวจำนี่มันไม่ใช่ตัวจริง พระพุทธเจ้าทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า เรื่องความจำนี้มันยากนะกว่าจะล้างความจำได้เกลี้ยงสนิทมันยากนะ
เพราะฉะนั้นในตัวอุเบกขาจึงเป็นฐานนิพพาน คนที่มีอุเบกขาแล้วจะชัดเจนในอุเบกขา 5 ที่จริงมีมากกว่านั้นเอาเนื้อแท้ของอุเบกขาสำคัญ ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
จิตสะอาดบริสุทธิ์จากกิเลส คุณจะอ่านออก จิตไม่มีกิเลส จิตไม่มีอุปกิเลส แม้เศษเล็กเศษน้อยก็ไม่มี กิเลสก็ไม่มี อุปกิเลสก็ไม่มี บริสุทธิ์
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช 2/ 08/ 2562
เวลาบันทึก 19 ตุลาคม 2562 ( 13:19:19 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 04:29:42 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 07:58:39 )
รายละเอียด
คุณต้องอ่านจิตที่เป็นเนกขัมมสิตะ 18 ในภาคปฏิบัติธรรมชาติก็เป็นเคหสิตะ 18 มโนปวิจาร 18 มีอะไร ก็มีสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ 3 อย่างนี้ เป็นสภาพของจิตแล้วไม่สุขไม่ทุกข์ก็เป็นเคหสิตะได้ ปุถุชนก็ทำได้ ยิ่งไปนั่งหลับตาสะกดจิตก็ยิ่งทำได้ ถ้ามันไม่ใช่แล้วมันก็ฟื้นใหม่กลับ หมุนเวียนกลับ กดข่มได้มากก็ได้นานหน่อยหลายชาติก็เป็นได้ แต่แล้วไม่ได้ฆ่าตัวเหตุ ต้องฆ่าตัวเหตุ จะฆ่าตัวเหตุได้ต้องอาศัย สัมผัส 6 ตาหูจมูกลิ้นกายกับใจ ที่จะเกิดอาการ เวทนาเป็นตัวความรู้สึกที่จะต้องปฏิบัติตรงนี้แหละ ถ้าไม่มีเวทนาก็ไม่มีฐานปฏิบัติ เวทนาจะเกิดได้ต้องมีผัสสะ แล้วต้องมีอายตนะจึงเกิดผัสสะ ต้องมีรูปนาม วิญญาณจะเรียนรู้ได้ต้องมีนามรูป ต้องสัมผัส ตากระทบรูป หูกระทบเสียง...พอกระทบกันก็เกิดอายตนะ ผัสสะเกิด ผัสสะกับอายตนะจะไม่ตั้งอยู่ ณ ที่ไหนเลย มันจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกรรมกิริยาของคุณเกิดขึ้น ตากระทบรูปก็เกิดผัสสะตอนนั้น ถ้าไม่มีผัสสะ ตาก็ไม่กระทบรูป อายตนะก็ไม่มี เพราะผัสสะไม่มี ผัสสะมี มันจึงมีอายตนะเกิด หมดผัสสะอายตนะก็ไม่มี ไม่เกิด เพราะฉะนั้นผัสสะกับอายตนะจึงเกิดในปัจจุบันมีในปัจจุบันเท่านั้น ถ้าปัจจุบันคุณไม่มีผัสสะ ไม่มีการกระทบกันอายตนะมันก็ไม่เกิดมันก็ไม่มี ผัสสะไม่มีเพราะไม่มีอายตนะ อายตนะไม่มีเพราะไม่มีผัสสะเมื่อมีผัสสะอายตนะ จึงเกิดเวทนา แล้วจึงพิจารณาเวทนา 108 นี่แหละเป็นกรรมฐานของศาสนาพุทธ กรรมฐานเดียวไม่ใช่มี 40 กรรมฐาน (40กรรมฐาน เป็นความเข้าใจผิดของอรรถกถาจารย์ ) เพราะฉะนั้นผู้ที่เข้าใจแม้สัทธรรม 7 ชัดเจน คุณมีได้ก็สั่งสมเป็นฌาน 1 2 3 4 ฌาน 4 นั่นแหละ คุณจะรู้ฐานที่แท้จริงของนิพพาน ฌาน 4 จิตจะว่าง ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ อุเบกขา ตัวอุเบกขาเพียวๆ เกิดเป็นอารมณ์เดียวไม่มีปิติสุข คุณจะรู้รายละเอียดอย่างที่เรียกว่าสุข มันว่าง มันไม่แรง ไม่หนักอะไรเลยมีจิตที่จะต้องไปชักจูงให้ต้องตามใจอย่างที่อยากได้ มันไม่อยากอะไรมากมาย มันมีความจำได้จริงๆ ตัวจำนี่มันไม่ใช่ตัวจริง พระพุทธเจ้าทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า เรื่องความจำนี้มันยากนะกว่าจะล้างความจำได้เกลี้ยงสนิทมันยากนะ
ที่มา ที่ไป
พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช สภาวะของวิชชาจรณสัมปันโน วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม 2562
เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2562 ( 12:49:23 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 04:29:00 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 07:59:48 )
รายละเอียด
ข้อที่ 4 เวทนาต่างกับวิญญาณอย่างไร เวทนาต่างกับสัญญาอย่างไร
ถ้าเข้าใจความแตกต่างกันระหว่างเวทนากับวิญญาณแตกต่างกันไม่ได้ก็ยากแล้ว คุณก็ยากแล้วที่จะปฏิบัติธรรม เพราะคุณมีวิญญาณและคุณก็ต้องศึกษาให้รู้จักรู้ตัวสัญญานี่แหละที่เป็นตัวทำงานหน้าที่สำคัญมาก กับเวทนา มันทำงานคู่กันไปตลอด
เวทนาเป็นฐานให้เรียน สัญญาเป็นตัวกำหนดและรู้ กำหนดรูปวิญญาณได้ดี แยกวิญญาณเป็นเจตสิกต่างๆ แยกเป็นเวทนาสัญญาสังขารเป็นเจตสิก 3 สังขารรู้ง่ายกว่าเวทนา เพราะว่าสังขารก็คืออาการ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ จบรูป 28 สู่เรือนาวาบุญนิยมพาพ้นไฟโลกีย์ วันพุธที่ 3 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 27 สิงหาคม 2565 ( 21:30:59 )
รายละเอียด
เวทนาคือรู้สึก สงสารคือความหมุนเวียนไม่รู้จบ คนถ้าช่วยคนแล้วคนจะไปช่วยคนและสัตว์ คนที่อยากช่วยสัตว์ก็ดีเราก็อยากช่วย แต่เราไม่มีเวลาพอหรอกเกิดมา 100 ปีก็ตายไม่พอที่จะไปช่วยสัตว์หรอก ช่วยคนที่น่าสงสารก็มีเยอะแล้ว จะอ้าขาผวาปีกอะไรมากมายไร้ขอบเขตเสียเวลาเปล่า
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 36
วันจันทร์ที่ 28 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานือโศก
เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2564 ( 11:20:26 )
รายละเอียด
ข้อที่ 5 เวทนาต่างจากสังขารอย่างไร เวทนาคือตัวแกนเป็น Static เป็นตัวตั้งมั่น ส่วนสังขารเป็นตัว Dynamic เป็นตัวเคลื่อนไหวเป็นตัวปรุงแต่ง เป็นแรงเคลื่อน ส่วนเวทนาเป็นตัวกระแสตัวหยุดในตัวของมัน เวทนาต่างจากสังขาร
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ จบรูป 28 สู่เรือนาวาบุญนิยมพาพ้นไฟโลกีย์ วันพุธที่ 3 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 27 สิงหาคม 2565 ( 21:32:44 )
รายละเอียด
อารมณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับทางกาย
หนังสืออ้างอิง
ถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 117
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 07:55:09 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 14:40:28 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:00:04 )
รายละเอียด
อารมณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับทางใจ
หนังสืออ้างอิง
ถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า117
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 07:55:48 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 14:43:06 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:00:19 )
รายละเอียด
ทีนี้สุข ก็ไม่รู้ว่าตัวเองติดสุขอยู่กับสิ่งเหล่านี้ซ้อนเข้าไปอีก อันนี้แหละน่าเห็นใจ น่าสงสาร มันไม่ง่ายที่จะรู้ตัว คนติดเหมือนไม่ได้ติดลาภ แต่ติดสักการะ สรรเสริญ มีลาภอยู่ในตัวอย่างที่อาตมาอธิบายแล้ว แล้วตัวเองก็เสพสุข
เพราะฉะนั้นผู้ที่จะรู้สุขรู้ทุกข์อย่างละเอียดลออหมด ถึงขั้นอรูปอย่างสูงสุด จึงจะหมดสุขหมดทุกข์
นี่ขยายความให้ฟังได้อย่างง่ายและอย่างหยาบเลย มันเป็นอารมณ์ที่เป็นเวทนา ศัพท์วิชาการก็คือ เวทนา ที่ลึกซึ้งสูงสุด
คุณจะไม่สุขไม่ทุกข์ คำว่า ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นภาษาหยาบๆ มันบ่งบอกถึงอารมณ์ของจิตว่าไม่สุขไม่ทุกข์ และไม่สุขไม่ทุกข์นี้ โลกียะทั้งหลับตาและลืมตา ทำได้ หลับตาก็สะกดจิตไม่ให้สุขไม่ให้ทุกข์ จนกระทั่งจิตมันถูกสะกด
ลืมตาก็สะกดแบบลืมตา ว่างนิ่งเฉย ๆ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ก็ท่องด้วยบัญญัติ พยัญชนะ แล้วก็พยายามทำให้ว่างนิ่งเฉยแบบลืมตา ก็คือสะกดจิตตัวเองให้สัมผัสอะไรแล้วก็ทำจิตให้ว่างนิ่งเฉย แต่ไม่รู้ว่าตัวเองได้ ลาภ สักการะ สรรเสริญหรือไม่ เพราะตัวเองปฏิบัติแบบลืมตาหรือหลับ เสร็จแล้วก็อาศัยเสพซ้อนอย่างที่อาตมาว่าโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นแปลงรูปไปเป็นสักการะสรรเสริญ แล้วก็เสพสุขอยู่ในสักการะสรรเสริญ
ตามสภาวะที่ว่านี้มีได้ไหม ... เห็นเงียบๆ กัน มีคนได้บ้างแล้วลึกซึ้งเข้าไป ลึกซึ้งเข้าไปอีก
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ ตอน 1 วันพุธที่ 29 มีนาคม 2566 วันขึ้น 8 ค่ำ เดือนห้า ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 06 พฤษภาคม 2566 ( 20:30:10 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 09:07:57 )
เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 17:16:53 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:00:57 )
รายละเอียด
เพราะฉะนั้นเรายังเรียนรู้เกี่ยวกับศีลข้อที่ 2 ข้อที่ 3 รูปอย่างนี้ก็ยังดูดี เสียงอย่างนี้ก็ยังดูดี กลิ่นอย่างนี้ก็ดูดี รสอย่างนี้ก็ดูดี สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งอย่างนี้ก็ดูดี เราก็มาเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ให้ละเอียดละออขึ้น ต้องเรียนจริงๆ อปัณณกปฏิปทา 3 ต้องพิจารณาจริงๆ สิ่งที่เราเลิกไปแล้วอย่าไปวนเวียนซ้ำซากอีก มันก็มีอยู่ในโลกให้เราเห็น เราก็อยู่เหนือมันแล้ว อุตระ เป็นโลกุตรธรรมเราก็อยู่เหนือมัน มันก็วนเวียนอยู่ในโลก มันก็ปรุงแต่งมากกว่าเก่ามันเลอะเทอะมากกว่าเก่า
ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เรายังเหลือหรือไม่ หรือยังเหลือ ลาภ พวกเราไม่เท่าไหร่ ยศ เรื่องนี้ พวกเราก็ไม่เท่าไหร่ แต่เรื่องการยกย่องสรรเสริญ กดข่มกัน มีอยู่ไม่น้อย หรือสุขนี่แหละ เนียนมาก เพราะคนจะรู้สุขรู้ทุกข์ว่า เรายังเหลือสุขอยู่นะ เวทนาของสุขของทุกข์จึงเป็นเป้าสุดท้าย ของศาสนาพระพุทธเจ้า หยาบ กลาง ละเอียด คุณต้องอ่านอาการสุขกับทุกข์
ความสุขความทุกข์มันมีความต่างของ เพศ ลิงค มันมีดูดกับผลัก จนกว่าคุณจะเป็น กลางไม่ดูดไม่ผลัก แล้วก็มันมีสภาพ 2 ของทุกอย่าง ในโลกมหาจักรวาลทุกอย่าง เป็นสภาพ 2 เป็นสภาพ 2 ของรูปละเอียด ก็คือ รูปอย่างนี้ มีดีกับไม่ดี ชอบกับไม่ชอบ ผลักกับไม่ผลัก
คุณยังผลักอยู่น้อย หรือคุณไม่ผลักแล้ว มันก็อยู่เป็นธรรมดาของมัน แต่จิตของเราไม่ผลักไม่ดูด จิตจะไปชอบก็ไม่มี จิตจะไปผลักก็ไม่มี คุณต้องทิ้งชอบก่อน แล้วค่อยทิ้งผลักทีหลัง แต่บางคนทิ้งผลักก่อน แล้วค่อยมาทิ้งชอบทีหลังก็มี มันยังมีลึกซึ้ง จะบอกว่าชอบก็ไม่ชอบทีเดียว แต่มันก็ยังดีนะ ยังดีนะ คือ ไม่ใช่เชิงชอบทีเดียว ไม่ผลักแล้วละ แต่ยังดีนะ ละเอียดนะ ฟังดีๆ ละเอียด
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ศีลกับอปัณณกปฏิปทา 3 ในวิชชาจรณะ วันศุกร์ที่ 13 มกราคม 2566 ที่บวรสันติอโศก
เวลาบันทึก 18 มกราคม 2566 ( 12:42:51 )
รายละเอียด
เมื่อมาเรียนรู้แยก กลุ่มแค่นามรูป อายตนะผัสสะไม่มี นามรูปสภาวะ 2 แล้วก็อายตนะ ผัสสะไม่มี เมื่อไม่มีผัสสะ เวทนาก็ไม่มีให้เรียน ถ้ามี
ผัสสะ มีนามรูป มีอายตนะเกิด มันก็จะมีสภาพ1 ขึ้นมาคือเวทนา 3 ตัวนี้ ผัสสะอายตนะนามรูป สัมผัสกันอายตนะเกิด เกิดผัสสะอายตนะเกิดมันก็เกิดตัวที่ 4 คือเวทนา
หัวใจของศาสนาในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาทสลายอวิชชาให้สิ้นอาสวะอนุสัย วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2564 ( 19:58:25 )
รายละเอียด
หากเรารู้ว่า 2 คือ เวทนาแท้กับเวทนาเก๊ เราดับเวทนาเก๊ได้จะรู้ว่า 1 ในส่วน 2 แล้วเราศึกษาต่อว่าเวทนา 1 ก็ตาม มันก็ไม่ใช่สวรรค์มันเป็นอุเบกขาเวทนาบริสุทธิ์ ไม่ใช่ตัวตนของเรายึดมั่นถือมั่นในความบริสุทธิ์นี้ก็ไม่ได้ จึงต้องวางเป็น 0 หากไม่รู้ชัดเจนจริงก็จะไม่วาง เป็น 0 ก็จะไปติดที่เวทนาอุเบกขานั้น ซึ่งจะไม่รู้ได้ง่ายๆ เราอาศัยเวทนานั้น ตราบที่เรายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เพราะเราวางได้ วิญญาณต้องอาศัยนามรูป นามรูปก็ไม่มีอาการ ความแตกต่างอันเป็น 2 เป็นเพศ นิมิตต่างๆก็เป็นเครื่องหมายรู้ได้อาการเฉพาะ เป็นสุญญตนิมิต อปนิหิตตนิมิต อนิมิตตะ วิญญาณไม่ได้อาศัยนามรูป นามรูปเป็น 2 ให้เรารู้ความแตกต่างกัน ผัสสะไม่ปรากฏคือ ไม่ผัสสะกับอะไรคือ 1 หรือ เป็น 0 ก็ไม่มีผัสสะเวทนาเก๊ไม่มีแล้ว แต่เวทนาก็ยังต้องมี ธาตุรู้ที่เป็นเวทนาก็ต้องอาศัย เพราะอาศัยตัวเอง คือตัวธาตุรู้ความรู้สึกของเรา เป็นธาตุที่ไม่มีอะไรที่เป็นกิเลสปราศจากกิเลสแล้ว เรียกว่าไม่มีคือ 0
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2563
เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2563 ( 09:06:07 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 04:31:45 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:01:42 )
รายละเอียด
ที่จริงโสดาบันนี่ ตั้งใจศึกษาให้ดี รู้จักรูปนาม ศึกษาสักกายทิฏฐิ เข้าใจมรรควิธีดี เข้าใจดีนี้ คุณก็จะสามารถที่จะเข้าไปสู่โสดาปัตติมรรคได้แล้ว ถ้าเข้าใจทางปฏิบัติได้ดี เข้าใจคำว่ากายได้ดี แยกจับสักกายะของตนได้ สักกายะคือรูปนาม คือวิญญาณ แยกรูปนามได้เท่านี้ คุณสามารถแยกสภาวะสอง รูปนาม แยกกาย แยกเวทนา เข้าใจเวทนาเก๊ ตามหาเหตุเวทนาเก๊คือตัณหาให้เจอ แล้วก็ข่มมันก็ลดลงได้แล้ว แต่ถ้าข่มนี้ไม่ถาวร พระพุทธเจ้าก็พยายามให้พิจารณาเห็นไตรลักษณ์ของมัน ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เป็นอัตตา ไม่ใช่ตัวตนแท้เป็นมายา โดยเฉพาะเป็นความสุขความอร่อย ความชื่นชมรื่นรมย์ของโลก อ่านอาการให้ชัด รู้อาการลิงคนิมิต ตามที่อาตมาอุเทส แต่เห็นของจริงชัดเจนได้ ทำได้พิจารณาได้คุณจะเห็นเอง อ๋อ กิเลสตัณหามัน บางลง จางลง หรือแรงมันบางเบาลงจนดับ คุณจะเห็นเองเป็นปัจจัตตังของตัวเองรู้เองเห็นเองเลย
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563
เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2563 ( 10:45:22 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 04:32:19 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:02:25 )
รายละเอียด
เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีผัสสะ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งการปฏิบัติเลย ไปอ่านในพรหมชาลสูตรดีๆ ไม่มีผัสสะไม่มีฐานะแห่งการปฏิบัติ คือไม่มีฐานแห่งการกระทำแห่งการปฏิบัติแห่งการประพฤติ ไม่มีกรรมฐานนั่นเอง ถ้าไม่ผัสสะแล้วไม่มีเวทนา เวทนาเป็นกรรมฐานของการปฏิบัติทั้งหมด (พรหมชาลสูตร เล่ม 9 เช่นในข้อ 77 เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้(เวทนา) นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้) จะอธิบายต่อไปในมูลสูตรนี้ก็จะถึง จาก มีผัสสะจึงมีเวทนา
ที่มา ที่ไป
พ่อครูบวชมาครบ 53 ปี มีอะไรจริง พ่อครูเทศนาภาคค่ำ งานมหาปวารณา ครั้งที่ 41 วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2566 แรม 9 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2567 ( 15:06:41 )
รายละเอียด
เราสัมผัสกับคนกับสัตว์ต่างๆ เราก็พิจารณา เราก็มีธัมมวิจัยสังวรในศีลข้อที่ 1 เราสังวรแล้วมีธัมมวิจัยแล้วปฏิบัติแล้วทำให้เกิด 1. จิตเกิดอย่างไร เวทนาเกิดอย่างไร มีอกุศลจิตเกิดไหม มีความรู้สึกแล้วเราก็เรียนรู้รู้ตามจิตเรา เมื่อกระทบสัมผัสปุ๊บ จิตมันเร็วเร็วยิ่งกว่าแสง ถ้าฝึกแล้วจิตมันเร็วแม้ธรรมดามันก็เร็วกว่าแสงอยู่แล้ว จิตของคนมันไม่ช้าหรอก มันทัน เพราะฉะนั้นเราฝึกแล้วก็จะทันด้วยการควบคุม ด้วยการฝึกแล้วเราก็จะมีสัญญา มีการกำหนดรู้ตามที่เราได้ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ ไปเรื่อยๆ มันตักกะ มันเริ่มสัมผัส มันเริ่มเกิดแล้วเราก็อ่านให้ทัน แล้วมันมีกิเลสเข้าไปร่วมไหม กามไปร่วมหรือพยาบาท ไปร่วมกับจิตในสิ่งที่เราสัมผัส สัมผัสกับสัตว์ เสร็จแล้วจิตของเราดำริขึ้นมา ตักกะ เราก็วิจัย ธัมมวิจัย วิตก วิจัยวิจาร วิจัยจิตของเรา ถ้ามีกามผสมมาร่วมเรียกว่า สสังขาริกัง มีกาม เข้ามาร่วม สสังขาริกัง จับได้ แล้วก็รู้ว่าจิตเรามีกาม เราก็ทำการกำจัด ละจางคลายกาม มีพยาบาทร่วม เราก็ลดละจางคลายทำ นี่คือวิธีการที่รู้ความจริงตามความเป็นจริงของจิตเรา ของเจตสิกเรา อยู่ในอารมณ์อยู่ในเวทนานั้น สัมผัสแล้วก็จะเกิดเวทนา เราก็วิจัยเวทนา เวทนาจึงเป็นกรรมฐานของการปฏิบัติธรรม เมื่อลืมตา ไม่ได้หลับตาเลย ของพุทธไม่ได้นั่งหลับตา นั่งหลับตานั้นออกนอกรีตเลย ไม่มีทางที่จะมีมรรคผลอะไรของศาสนาพุทธ ก็ไปมีมรรคผลของศาสนาเดียรถีย์ ไม่ใช่สมาธิอย่างพุทธ
ที่มา ที่ไป
เทศน์ทวช. วันเสาร์ที่ 7 เมษายน 2561
เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 10:30:25 )
รายละเอียด
ผัสสะกับเวทนาต้องเรียนรู้คู่กัน เวทนาเป็นกรรมฐานของพระพุทธเจ้า ในเวทนา 108 เวทนา 2 มี กายกับจิต กายกับจิตต้องเรียนรู้คู่กันแล้วเรียนรู้ลึกไปภายใน เรื่อยๆ จิตในจิต ธรรมในธรรมแต่ทิ้งภายนอกไม่ได้ เวทนา 3 คือ สุข ทุกข์ อุเบกขา เวทนา 5 คือสุข ทุกข์ โทมนัส โสมนัส อุเบกขา อุเบกขาต้องแยกเป็น 2 คือ เนกขัมสิตอุเบกขากับเคหสิตอุเบกขา ในรูป 28 มี ปสาทรูป กับโคจรรูป รวมกันเป็น 9 ตากับรูป หูกับเสียง…แต่กายกับโผฏฐัพพะ นั้นนับรวมกันเป็น 1 เพราะว่า กายคือจิตมโนวิญญาณ กายคือทั้งหมด รูป รส กลิ่นเสียงสัมผัส ก็คือกายทั้งนั้น ในร่างกายเรา เช่น เล็บ ส่วนที่ไม่มีประสาทรับรู้หรือผมส่วนที่ไม่มีประสาทรับรู้ก็เป็นพีชะ ส่วนที่มีประสาทสัมผัสรับรู้ได้เป็นส่วนของจิตนิยาม แต่ถ้าตัดออกไปจากร่างกายเลยไม่สามารถเติบโตได้ก็เป็นอุตุไป ปฏิบัติในการจัดการกิเลสด้วย ปหาน 5 ถึงนิสรณปหาน การที่จะแยกกายแยกจิต รู้เวทนาในเวทนา เวทนา 6 คือ เวทนาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เวทนา 18 ที่สัมผัสทวาร 6 แล้วเกิด สุข ทุกข์ อุเบกขา รวมเป็น 18 อย่าง (6×3) เวทนา 36 คือ เวทนา 18 ที่แยกได้สองอย่างคือ เคหสิตเวทนา 18 ก็ต้องล้างกิเลสออกได้เป็นเนกขัมสิตเวทนา 18 คนปฏิบัติธรรมไม่มีผัสสะไม่เกิดเวทนา ไม่มีผัสสะก็ไม่มีฐานในการปฏิบัติ แค่นี้เค้าก็ตีไม่แตกการไปหลับหูหลับตาปฏิบัติไม่มีฐานแห่งการปฏิบัติ แต่เขาเอากรรมฐาน 40 เป็นสิ่งที่ไปจดจ่อจดจ้องจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก เมื่อติดยึด ถ้าไม่ติดไม่ยึด รินชาออกจากถ้วยอย่าชาล้นถ้วยเลย ฟังอาตมาบ้าง มีปรโตโฆษะบ้าง สัมมาทิฏฐิคู่แรกเลย ปรโตโฆษะกับโยนิโสมนสิการ คุณจะเกิดสัมมาทิฐิฟังสัตบุรุษให้บริบูรณ์จึงได้ตามอวิชชาสูตร
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 18 ธันวาคม 2562
เวลาบันทึก 25 ธันวาคม 2562 ( 14:58:34 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 04:34:39 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:03:43 )
รายละเอียด
ความจริงมันก็คืออันเดียวกันนั่นแหละ ต้องจิตมีความจริงที่ถูกต้องอย่างสัมมาทิฏฐิ เป็นสัมมาทิฏฐิคือ รู้จิตเจตสิกจริงๆ แล้วจุดสำคัญที่พระพุทธเจ้าท่านให้เรียนรู้ชัดๆก็คือ ต้องรู้เจตสิกที่เป็นเวทนา อ่านตัวนี้ นี่เป็นกรรมฐาน ของวิปัสสนา ไม่ใช่กรรมฐานของสมถะ กรรมฐาน 40 เป็นของพวกออกนอกรีต สายที่เป็นนักสะกดจิตเป็นกรรมฐาน 40 ออกนอกรีต สะกดจิตยังงั้นทำให้จิตหยุด แทนที่จะหยุดกิเลส ตายิ่งกระทบกิเลสยิ่งเกิด ยิ่งจับกิเลสง่าย ตายิ่งไม่กระทบ มันยิ่งไม่มีกิเลสจริงเกิด เมื่อไม่มีกิเลสจริงเกิดก็ไม่มีกิเลสให้ลดละ เพราะไม่มีตากระทบ ไม่มีหูกระทบ ไม่มีจมูกลิ้นกายข้างนอกกระทบเลย ก็ไม่ใช่ของจริงในปัจจุบันชาติ ไม่ใช่ความจริงในปัจจุบันชาติ
คุณไปหลับตา ตาของคุณจะมีสัมภเวสี มีแต่ตาหูจมูกลิ้นกายที่ไม่มีที่ตั้ง จักขุวิญญาณไม่มีที่ตั้ง โสตะวิญญาณไม่มีที่ตั้ง วิญญาณทางหู วิญญาณทางตา วิญญาณทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ไม่มีที่ตั้ง
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564 ประกาศโลกนี้โลกหน้า
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 แรม 13 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 31 กรกฎาคม 2564 ( 11:16:31 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม 2563
เวลาบันทึก 20 มิถุนายน 2563 ( 13:56:50 )
เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 17:17:54 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:04:03 )
รายละเอียด
ในเวทนา ให้มาเรียนเป็นกรรมฐาน ที่ไปเรียนในวิสุทธิมรรคกรรมฐาน 40 มันเป็นสมถะทั้งนั้น เป็นของเดียรถีย์หมด ไม่ใช่เรื่องของศาสนาพุทธเลย จริงๆนะ อาตมาถึงว่า ทำอย่างไรให้คนมาศรัทธาเรา เราไปบังคับเขาไม่ได้ แต่เราก็ได้แต่แสดงความจริง น่าจะฟังความจริงที่อาตมาพูดอธิบายตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า เอาพระไตรปิฎกมายืนยัน อ้างอิง ไม่ใช่ไปอ้างอิงอรรถกถาจารย์มาประกอบ ซึ่งอาตมาไม่เอามาประกอบ อาตมาเอาแต่พระไตรปิฎกก็ชัดเจน ได้ครบแล้ว ไม่ต้องไปอาศัยอรรถกถาจารย์ เพราะอาตมาก็เป็นอรรถกถาจารย์อยู่ในตัวอยู่แล้ว
ก็เอามายืนยันอธิบาย ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติวิญญาณฐีติ 7 วิโมกข์ 8 รู้จักความเป็นสัตว์ทั้ง 9 จนกระทั่งทำความเป็นสัตว์หมดไป ไม่เป็นสัตว์แล้ว กลายเป็นผู้เจริญ กลายเป็นผู้บรรลุ สุดท้ายก็ยิ่งกว่าพระเจ้า เจริญยิ่งกว่าพระเจ้า สามารถรู้แจ้งรู้จริงในเรื่องของจิตวิญญาณ เรื่องของอัตภาพหมด จบ ทำความเกิดความดับได้จริงๆ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โฮมแฮงกันซัดหอกเพื่อฆ่าโจรทำลายศาสนา วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 20 พฤศจิกายน 2564 ( 05:32:27 )
รายละเอียด
พระพุทธเจ้าปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 ปฏิบัติฌาณ ปฏิบัติสมาธิ ปฏิบัติจิตจากกิเลส กิเลสต้องมีเหตุพร้อมองค์ประกอบพร้อมมีตาหูจมูกลิ้นกายใจ มีเงินมีทองมีข้าวของ มีลาภยศสรรเสริญ มีสิ่งที่กระทบตาหูจมูกลิ้นกาย เป็นเหตุเป็นปัจจัยชัดๆแท้ๆ อยู่ในปัจจุบันธรรม ทิฏฐกาละ เป็นกาลปัจจุบันกระทบกันอยู่ก็จะเจอของจริงที่เป็นกรรมฐานคือเวทนา มีฐานแท้แห่งการปฏิบัติ เป็นกรรมฐานคือเวทนา
เมื่อตากระทบรูปก็เกิดผัสสะเกิดเวทนาให้ปฏิบัติ ถ้าไม่มีกาย ไม่มีตากับรูปกระทบกันก็ไม่มีเวทนา ก็ไม่มีอะไรเลยที่จะพูดกันในโลกนี้ ไม่มีรูปไม่มีนามก็ไม่มีอะไรจะพูดในศาสนาพุทธ ศาสนานอกรีตก็เอาอะไรมาพูดเลอะเทอะ ไม่มีหัวใจของศาสนา ไม่มีเป้าที่จะปฏิบัติเลยมันเป็นอย่างนั้น
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรียนรู้ อาหาร ให้บรรลุถึง อรหันต์ วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2564 ( 11:41:59 )
รายละเอียด
ในภัทรกัป พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ พระพุทธเจ้าองค์นี้เป็นองค์สุดท้าย จากนั้นก็จะมีพระศรีอาริยเมตไตรยมาเกิดอุบัติ ก็อีกนาน
เวทนาก็เป็นตัวปฏิบัติ มีผัสสะแล้วให้รู่ว่ามีเวทนาแท้กับเวทนาเทียม เช่น ทานพริก มีรสเผ็ดเป็นเวทนาแท้ กับรู้สึกว่าอร่อยเป็นเวทนาเทียม ถูกต้องแล้ว
จิต เป็นเป้าหมายในการปฏิบัติ พิจารณาตามเจโตปริยญาน 16 เป็นหลัก ว่ามีราคะ หรือไม่มีราคะ มีโทสะหรือไม่มีโทสะ มีโมหะหรือไม่มีโมหะ จิตที่ไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า จิตหลุดพ้น หรือจิตไม่หลุดพ้น เป็นฐานที่ตั้งมั่น
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาไม่ดับสัญญาแต่ดับกิเลส วันศุกร์ที่ 30 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 16 ตุลาคม 2565 ( 18:49:17 )
รายละเอียด
อะไรอะไรก็แล้วแต่ที่กระทบสัมผัสแล้วเกิดกิเลสในเวทนา
จึงต้องมาเรียนรู้ถึงเวทนา ตรงนี้แหละเป็นกรรมฐาน พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าถ้าไม่มีเวทนา ไม่มีที่ตั้งแห่งการปฏิบัติ ไม่มีที่ตั้งแห่งการเรียนรู้ เวทนาต้องมีผัสสะ เวทนาต้องเกิดในปัจจุบันนี้เป็นปัจจุบันชาติ ไปหลับตามันเป็นโมฆะ ไม่ได้ ต้องมีตากระทบรูป หูกระทบเสียงต้องมีจักขุ ปัญญาญาณ วิชชา อาโลก ต้องมีพวกนี้จึงจะสมบูรณ์แบบ
พวกนั่งหลับตามาฟังอาตมาบ้างเถิดจะได้มี ปรโตโฆษะ อย่างนั้นจะเสียเวลาไปไม่รู้อีกกี่ชาติ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูตอบปัญหาระดมปัญญา-อนัตตา งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 44 วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 16 เมษายน 2564 ( 17:02:58 )
รายละเอียด
ฉะนั้นจึงสามารถที่จะมีสติ มีปัญญา มีวิมุติ ในมูลสูตรอีก 3 ข้อ มีสติเป็นอธิปไตย มีปัญญาเป็นอุตตระ มีวิมุติเป็นแก่นสารเป็นสาระ เพราะปฏิบัติศึกษาถูกต้อง มาถึงเวทนาเป็นที่ประชุมลง ศึกษาอยู่ที่ฐานเวทนาเป็นกรรมฐาน เป็นที่ประชุมลง จึงรู้หมด สติถึงบริบูรณ์เป็นอธิปไตย ปัญญาก็บริบูรณ์เป็นอุตตระ วิมุติก็บริบูรณ์ จบ เป็นแก่น ด้วยหลักการ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ ศีลเป็นสะเก็ด สมาธิเป็นเปลือก ปัญญาเป็นกระพี้ วิมุติเป็นแก่น พระพุทธเจ้าอธิบายไว้หมดแล้ว ในมหาสาโรปมสูตร
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โฮมแฮงกันซัดหอกเพื่อฆ่าโจรทำลายศาสนา วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 20 พฤศจิกายน 2564 ( 10:33:16 )
รายละเอียด
ผัสสะแล้วเกิดธาตุรู้ขึ้นมาแทนวิญญาณ เป็นธาตุรู้ที่เสพรส เรียกว่าเวทนา ธาตุรู้วิญญาณยังไม่เสพรส แต่เวทนานี้เสพรสสุข ทุกข์ ซาดิสม์ กับมาโซคิส คือพวกยังมี ชอบรุนแรง แม้กระทั่งตัวเราเองรุนแรงในตัวเราเอง ส่วนซาดิสม์ ชอบเห็นคนอื่นรุนแรง ดูมวยชอบเอาชนะคะคานชอบดูสงคราม แม้แต่รุนแรงทางใดๆ ชอบมากไม่มีจบกระทบกันมากๆแล้วชอบ พวกนี้ไม่มีหยุดหรอก เกิดเวทนา เสพรส ตัวนี้เป็นตัวกลางที่เดือดร้อนมาก ถ้าไม่สามารถเรียนรู้เวทนาเป็นกรรมฐาน แล้วจัดการเวทนาตัวแท้กับตัวเก๊ หรือตัวมีเหตุ มายาขี้หลอก ตัวมาร ตัวขี้หลอกมากระตุ้นชักรอกตัวนี้ให้เต้นดีด
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564 วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2564 ( 15:50:30 )
รายละเอียด
3 ตัว อุตุ พีชะ จิต
เพราะฉะนั้นอาการของจิตที่เกี่ยวข้องกับทุกสิ่งภายนอก มาถึงขั้นต้องมี
ผัสสะ ยังไม่มีผัสสะเราเอื้อมเอาจิตมาเป็นของเรา คุณก็โง่หนักแล้ว มันอยู่กับเราต่อเนื่องกับตัวเรา แล้วมันเป็นลักษณะแค่ ชีพ แค่ชีวะ แต่มันเป็นพีชะแล้ว ในธรรมชาติของพีชะ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มีส่วน
ถ้าเรียนรู้ผมขนเล็บฟันหนัง คุณเรียนรู้ได้เลยตั้งแต่หยาบ ตั้งแต่ผมยาวไป ส่วนไหนมันไม่ใช่กายของเราแล้ว มันไม่ทุกข์ไม่สุขแล้ว ไม่เป็นกายไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่บาปไม่บุญแล้ว คุณจะอาศัยมันบ้างก็อาศัยไป เช่น เราอาศัยดินน้ำไฟลม ดินน้ำไฟลมมันไม่มีบาปไม่มีบุญอะไรกับเรา แม้แต่ที่สุดคุณอาศัย พีชะ พืช มันก็ไม่มีบาปไม่มีบุญอะไรแล้วกับเราก็อาศัยกันไป
ผม ขน เล็บ ฟัน หนังของเราก็มีลักษณะ เมื่อใดมันเป็นกาย เมื่อใดมันไม่เป็นกาย เมื่อใด ส่วนไหนที่เราจะต้องอาศัย ส่วนไหนที่ไม่ต้องอาศัยแล้วหรืออาศัยบ้าง หรือต้องอาศัย ใช้คำว่า ต้อง หรือต้องอาศัยมัน ไม่อาศัยมัน มันไม่สมบูรณ์แล้ว มันบกพร่องแล้วเราต้องอาศัยอย่างนี้เป็นต้น คุณก็ต้องกำหนดรู้เข้าใจได้ เพราะฉะนั้นคุณจะมีกาย มีจิตที่บริบูรณ์ ร่วมกัน อาศัยกันและกันเป็นธาตุ 2
ถ้าพลิกไปเรียกภาษาว่า กายคือรูป จิตคือนาม คุณก็ต้องมีรูปนามปรุงแต่งกันอยู่เรียกเต็มๆว่า วิญญาณ ก็อาศัยไป วิญญาณก็เป็นธาตุรู้ที่ต่างกับรูป
รูป เวทนา สัญญา สังขาร แล้วก็วิญญาณ คุณก็มีรูป มีวิญญาณอาศัยเป็น 2 สภาพ รูปกับวิญญาณก็เป็นนามรูป 2 อย่าง ที่มีตัวจักรกล 3 อย่างคือ เวทนา สัญญา สังขาร
พระพุทธเจ้าแจกให้เรียนรูป 28 กับนาม 5
นาม 5 คือ
1. เวทนา
2. สัญญา
3. เจตนา
4. ผัสสะ
5. มนสิการ
เวทนาเป็นอารมณ์ที่คุณจะต้องรู้อย่างสำคัญเลย เวทนาท่านแจกไปถึง 108 เป็นฐานปฏิบัติ เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดไม่รู้จักหรือว่าทำเวทนา 108 นี้ไม่สำเร็จ เช่น ทำเป็นเนกขัมมะ ไม่ได้
เนกขัมมะแปลว่า ออกจาก ออกจากกิเลสทั้งหมด คนเรามีกิเลสเต็มในสภาพของ เคหสิตะเวทนา หรือเรียกศัพท์ว่า มโนปวิจารพฤติกรรมของจิต
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ นำปฏิญาณศีล 8 งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 45 วันพุธที่ 5 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 06:24:13 )
รายละเอียด
เวทนาไม่เป็นอัตตาของเราเลย จะว่าอัตตาของเราไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ นี่แหละเขาจะเข้าใจหรือ? คือเวทนาไม่เป็นอัตตาของเรา คือไม่มีอัตตาตัวที่เป็นกิเลสแล้ว แต่อัตตาเราไม่เสวยกิเลสแล้ว แต่อัตตาเราก็ยังมี เวทนาก็ยังมีแต่มีเวทนาแท้ คุณจะเสวยเวทนาอะไร เวทนาแท้ เวทนาที่ต้องอาศัยอยู่ เพราะฉะนั้น อัตตาเราจึงมีเวทนาเป็นธรรมดาพระอรหันต์ก็ต้องมีเวทนา ไม่ใช่ไปดับเวทนาไม่ใช่ไม่มีเวทนา นี่คือ 1 ใน 2 คือไม่มีกิเลส พอฆ่ากิเลสแล้วก็มี 2 ใน 1 เมื่อเวทนาที่เป็นตัณหาดับไปแล้ว เวทนาที่เป็นปกติ
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภุูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2563
เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2563 ( 17:28:57 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 04:35:52 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:04:27 )
รายละเอียด
ถ้าต้องอ่านเวทนา อาการในขณะที่ทำงานโดยเฉพาะเรื่องกิน เรื่องอื่นๆ ก็เช่นกันเห็นรูปด้วยตา รับเสียงด้วยหู แยกให้ออกว่าอันไหนเทียม กับ จริง
ต้องรู้จักเวทนาจริง ความจริงตามความเป็นจริงของความรู้สึกในความเป็นจริงนั้น รูปอย่างนี้ก็คือรูป อย่างนี้เรียกมุม อย่างนี้ก็เป็นเหลี่ยมมุมอย่างนี้ กลมหรือไม่ เงาก็เป็นอย่างนั้น สีอย่างนี้ อะไรต่างๆ ในรูป หลากสี ผสมกัน ก็ต้องดูของจริงตามที่เขาทำออกมาอย่างนี้ ส่วนคุณจะชอบไม่ชอบ อันนั้นแหละจะเป็นตัวเก๊ ผลักหรือดูด ตัวเก๊ ไม่ว่ารูปเสียงกลิ่นรสเหมือนกัน ต้องค่อยๆศึกษา ฟังดูก็อาจจะเข้าใจได้แต่เวลาปฏิบัติไม่ง่าย เราจะรู้ว่าเรายังติดยังชอบอันนี้ยังเก๊นะ รู้แยกออก เรายังมีชอบมีชังรู้นะ รู้ผีหลอก รู้มายา หลอกตัวเอง โง่ๆๆ จะเข้าใจเลย ว่าอ้อ..เรานี่ยังโง่ ถ้าเข้าใจตามที่อาตมาอธิบายแยกแยะทุกมุมเหลี่ยม คุณก็จะมีมุมที่จะรู้จักตัดสินได้เร็วขึ้น จะไวขึ้น จะบรรลุอรหันต์ได้ ตั้งใจ พระพุทธเจ้าสอนจะได้ปัญญาจะต้องหมั่นเข้าไปถามให้ท่านอธิบาย แล้วก็ฟัง
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาเอกีภาวะประชาธิปไตยโลกุตระ วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 23 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:42:43 )
รายละเอียด
เห็นสีแดง ก็เป็นสีแดง เจ๊ก แขก ไทย ฝรั่ง ก็เห็นสีแดงเหมือนกัน นี่คือเวทนาแท้ แต่อีกคนหนึ่งแดงสวย อีกคนนึงยังไม่สวยนั่นแหละคือเวทนาเก๊
นั่นแหละ เรียนรู้ความจริงที่มันมีการแปลกแยกไปจากสิ่งที่เป็นจริงตามความเป็นจริง หนึ่งเดียว คุณแยกได้ แล้วก็ไม่ให้จิตของเราไปโง่งมงายตามที่เขาเป็น ที่เขาว่าสวยไม่สวย แต่รู้ลิงคะ รู้ความต่างได้ ว่าแดงนี้ แตกต่างจากแดงอันนี้ ไม่ใช่ว่าแดงขนาดนี้สวย แดงขนาดนี้ไม่สวย ถ้ายิ่งแดงขนาดนั้นไม่สวยใหญ่เลย ต้องแดงแบบเฉดนี้จึงจะสวย นั่นคือถ้าคุณสมมุติ คุณไปยึดติดทั้งนั้นเลย
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 23 ความมหัศจรรย์ของการแยกกายแยกจิตได้ วันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 25 มกราคม 2565 ( 21:25:31 )
รายละเอียด
เพราะฉะนั้น กาย ที่ว่านี้ ถ้าเข้าใจความหมาย ทำจิตให้เป็นพีชะ อุตุ ทำให้ไม่มีกาย ผู้นั้นก็พ้นความทุกข์ความสุข กาย ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขไม่มีเวทนา เพราะฉะนั้นการเรียนรู้สติปัฏฐานก็พิจารณากายแยกกายแยกจิตได้ พิจารณาเวทนาในเวทนาหากพิจารณากายกับเวทนานี้ให้ชัดว่า กาย คือ 2 อย่างคือภายนอกกับภายใน ภายในเป็นเวทนาคู่กับภายนอกเกี่ยวข้องกัน เรารู้ความจริงตามความเป็นจริง ตากระทบรูปก็เห็นเป็นเวทนาแท้ แต่ตากระทบรูปแล้วเกิด เวทนา เสร็จแล้วโง่เกิดเวทนา 2 เกิดเวทนาเทียมขึ้นมา เวทนาเก๊ ก็เลยมีความสุขความทุกข์ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าไม่ต้องมีเวทนา ไม่ใช่ไปดับเวทนา ในพระไตรปิฎกหลายพระสูตรบอกว่า ไม่มีเวทนา แต่ก็ยังมีเวทนาอยู่ วิหรติ แต่เขาเข้าใจไม่ได้ว่าดับเวทนาแล้วทำไมมีเวทนา ก็เพราะว่ายังมีอยู่ไม่ตายเพราะว่าเวทนาที่มีอยู่นั้นบริสุทธิ์แล้วเป็นเวทนาที่มีกิเลสประกอบ เป็นเวทนาอย่างเดียวบริสุทธิ์สะอาดจากกิเลส ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นเวทนาที่เป็นอุเบกขาเวทนา อาตมาว่า อธิบายภาษาธรรมมันจะ Advance ไปมากแล้วมันไปไกล เข้าใจกันไหม ชื่อว่าผู้ติดตามฟังให้ดีจะได้ฟังอะไรดีๆ
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2563
เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2563 ( 14:14:10 )
รายละเอียด
เวทนาเทียม หมายความว่า คุณตำแจ่วใส่กระเทียม มาเวทนาแท้ ตำแจ่ว มีแต่พริกไม่ต้องใส่กระเทียม ก็เรียก น้ำพริก ไม่ได้เรียกน้ำกระเทียมเมื่อไหร่ หรือคุณเรียกน้ำกระเทียมไม่ใช่ คุณเรียกน้ำพริกเท่านั้นแหละไม่ใช่น้ำกระเทียม อธิบายอย่างนี้เป็นภาษาง่ายๆ เข้าใจดีไหม ภาษาเชยๆ โลกๆ เหมือนเล่นๆ แต่ที่จริงมันจริงเข้าไปลึกเลย
แยกเครื่องอาศัยนี้ให้ออก จากอาหารที่คุณกินนี่แหละว่า รส คุณกินมะนาว รสเปรี้ยวคือรสแท้ แต่คนที่ชอบก็บอกว่า อร่อย นั่นปลอม แท้ก็คือรสนั้นๆ ไทย เจ็ก แขก ฝรั่ง มาแตะรสนี้ก็เหมือนกันหมด แตะที่เขาชอบ
เอาภาคอีสานกับภาคกลาง เดี๋ยวนี้ภาคกลางก็เผ็ดไม่ใช่เล่น แต่อีสานนั้นเผ็ดมาก่อนเผ็ดนี้ชอบ ภาคกลางไม่ค่อยไหว
น้ำพริกของภาคอีสานไม่ค่อยมีหรอกน้ำตาล ตำน้ำพริกของภาคกลางใส่น้ำตาล อาตมาไปกรุงเทพฯใหม่ๆ น้ำพริกเขาใส่น้ำตาลก็เลยงง มันใส่น้ำตาลมีรสหวานด้วย ตลกตายเลย อีสานไม่มีหรอก น้ำพริกก็มีเค็ม อย่างเก่งก็ใส่เปรี้ยว เท่านั้นแหละ น้ำพริกก็คือ เผ็ด เค็มเปรี้ยว แล้วเอาหวานไปใส่น้ำพริก ไปภาคกลางนี้มันหวานด้วยแฮะ ก็แล้วแต่จะปรุงแต่ง
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิบัติ รูป 28 ในสติปัฏฐาน 4 วันพุธที่ 21 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 10 ตุลาคม 2565 ( 18:53:26 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563
เวลาบันทึก 07 มีนาคม 2563 ( 10:05:17 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 04:36:25 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:05:15 )
รายละเอียด
รับรู้รสสัมผัสของจิตขั้นแยกรสแท้กับรสที่ตนหลงเสพออกได้
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 1 หน้า32
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 07:56:26 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 14:44:36 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:05:33 )
รายละเอียด
ศีลข้อที่ 3 มีสำคัญมากเป็นเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นแกนหลักของศาสนา ศีลข้อที่ 4 เป็นวาจา ศีลข้อที่ 5 เป็นใจ เราเรียนหนักข้อที่ 3 นี่แหละ ศีลข้อที่ 1 ข้อที่ 2 เป็นเศรษฐศาสตร์รัฐศาสตร์ ศีลข้อที่ 3 เป็นเวทนาในเวทนา ข้อที่ 3 จึงสำคัญมากในการปฏิบัติธรรม มันจะเป็นผลต่อตน ตนเองจะมีวิมุตหลุดพ้นจะเป็นอรหันต์กันตรงนี้ แต่แค่พวกนั้นข้อ 1 ข้อ 2 เป็นประโยชน์ท่านเสียส่วนใหญ่ เรื่องของสัตว์เรื่องของข้าวของ ส่วนข้อที่ 3 นี้เป็นประโยชน์ส่วนตน เราจะต้องเรียนเวทนาในเวทนาเป็นกรรมฐานหลักของศาสนาพุทธ อย่าไปเลอะเทอะ ไปทำกสิณ 40 เป็นกรรมฐานอะไรไม่ใช่ แม้แต่จะไปย่างหนอก้าวหนอมันก็ไม่ใช่ หากจะทำแบบย่างหนอก้าวหนอก็ให้อ่านจิต ไม่ใช่อ่านไปที่ปลายเท้าแตะส้นเท้าแตะ ซึ่งเป็นกสิณสมถะ ก็ย่ำตรงนั้น ไม่เข้ามาหาเวทนาก็ไม่ถึงกรรมฐานของพระพุทธเจ้า
จะมีเวทนาได้จะต้องมีผัสสะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วมีใจเป็นตัวที่ 6 ร่วมด้วยเสมอคุณจึงจะต้องเรียนรู้สิ่งที่คุณมีสัญญา มีความรู้ มีธาตุรู้ ที่ไปกำหนดรู้สิ่งเหล่านั้น สิ่งที่คุณกำหนดรู้เหล่านั้นทั้งภายนอกกับภายในร่วมกัน เราเรียกว่า รูป เราเรียกเต็มๆ ว่า “กาย” รูปที่มีนามร่วมอยู่ด้วย เมื่อผัสสะรับรู้คุณก็ต้องเรียนรูป 24 ร่วมกับมหาภูตรูปอีก 4 รวมเป็นรูป 28
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ทำวัตรเชัา พุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 42 ปฐมอโศก ความจนที่มีสัมประสิทธิ์ ตอน 3 วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 ที่บวรปฐมอโศก
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ไตรสิกขาของนาม5 รูป28
เวลาบันทึก 27 กุมภาพันธ์ 2564 ( 21:57:28 )
รายละเอียด
ศีลข้อที่ 3 มีสำคัญมากเป็นเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นแกนหลักของศาสนา ศีลข้อที่ 4 เป็นวาจา ศีลข้อที่ 5 เป็นใจ เราเรียนหนักข้อที่ 3 นี่แหละ ศีลข้อที่ 1 ข้อที่ 2 เป็นเศรษฐศาสตร์รัฐศาสตร์ ศีลข้อที่ 3 เป็นเวทนาในเวทนา ข้อที่ 3 จึงสำคัญมากในการปฏิบัติธรรม มันจะเป็นผลต่อตน ตนเองจะมีวิมุตหลุดพ้นจะเป็นอรหันต์กันตรงนี้ แต่แค่พวกนั้นข้อ 1 ข้อ 2 เป็นประโยชน์ท่านเสียส่วนใหญ่ เรื่องของสัตว์เรื่องของข้าวของ ส่วนข้อที่ 3 นี้เป็นประโยชน์ส่วนตน เราจะต้องเรียนเวทนาในเวทนาเป็นกรรมฐานหลักของศาสนาพุทธ อย่าไปเลอะเทอะ ไปทำกสิณ 40 เป็นกรรมฐานอะไรไม่ใช่ แม้แต่จะไปย่างหนอก้าวหนอมันก็ไม่ใช่ หากจะทำแบบย่างหนอก้าวหนอก็ให้อ่านจิต ไม่ใช่อ่านไปที่ปลายเท้าแตะส้นเท้าแตะซึ่งเป็นกสิณสมถะ ก็ย่ำตรงนั้น ไม่เข้ามาหาเวทนาก็ไม่ถึงกรรมฐานของพระพุทธเจ้า
จะมีเวทนาได้จะต้องมีผัสสะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วมีใจเป็นตัวที่ 6 ร่วมด้วยเสมอคุณจึงจะต้องเรียนรู้สิ่งที่คุณมีสัญญา มีความรู้ มีธาตุรู้ ที่ไปกำหนดรู้สิ่งเหล่านั้น สิ่งที่คุณกำหนดรู้เหล่านั้นทั้งภายนอกกับภายในร่วมกัน เราเรียกว่า รูป เราเรียกเต็มๆว่า “กาย” รูปที่มีนามร่วมอยู่ด้วย เมื่อผัสสะรับรู้คุณก็ต้องเรียนรูป 24 ร่วมกับมหาภูตรูปอีก 4 รวมเป็นรูป 28
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้างานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 42 ปฐมอโศก ความจนที่มีสัมประสิทธิ์ ตอน 2 วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ไตรสิกขาของนาม 5 รูป 28
เวลาบันทึก 25 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:38:44 )
รายละเอียด
ก็เรียนรู้ที่เวทนาว่า แล้วเหตุอะไร เวทนามันถึงไม่ดับ เวทนาไม่ดับคืออะไร เพราะมันมีเหตุที่ไม่พาดับ เหตุนั้นคืออะไร ก็คือตัณหา อุปาทาน ตัณหาคือไดนามิก อุปาทานคือสแตติก สิ่งที่ยึดอยู่คืออุปาทาน ไม่ยอมปล่อย ไม่ฉลาด ไม่รู้ อวิชชา ไม่สามารถรู้ว่าสิ่งที่เรายึดนี้คืออะไร เช่น เทวนิยมยึดสุขเป็นสุขนิยม ชีวิตต้องได้รับสุข ความสุขที่สูงสุดคือพระเจ้า เขาก็เรียนรู้แค่ดีกับชั่ว ไม่ได้เรียนรู้สุขทุกข์เลย
ฟังตรงนี้ให้ชัดนะเทวนิยมไม่รู้สึกทุกข์ ไม่ได้เรียนรู้สุขทุกข์เพราะเป็นโลกุตระ ส่วนโลกียะนั้น เขาดีชั่วดีชั่ว เขาทำดีไม่ทำชั่ว แต่เขางมงายเขาไม่รู้เรื่อง เขาจึงจบกิจของจิตวิญญาณไม่ได้เขาจึงหลงว่าจิตวิญญาณนิรันดร พระเจ้านิรันดร ก็ไม่ผิดของเขา เขาก็ไม่ไปไหน เขาก็อยู่นิรันดรนี่แหละ แล้วสุขทุกข์มันก็ไม่เที่ยง มันก็วนไปวนมา แต่เขาไม่รู้ว่าเขาจะต้องวน เขานึกว่า ชาตินี้เป็นศาสดามีสาวก เขาก็เลยหลงความสุข ก็ได้รับลาภยศ สรรเสริญ โลกียสุขไปเต็มเหนี่ยวในชาตินี้ แล้วก็เสพสุข ได้ลาภ ยศสรรเสริญ โลกียสุข เหมือนกับเถรสมาคมที่เสวยสุขเสพ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ไม่ยอมหยุด ออกมาไม่ได้
พระพุทธเจ้าท่านจะมีหมดได้เลยในลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เจ้าชายสิทธัตถะ พอรู้แล้วท่านก็ทิ้งออกมาหมดเลยพวกนั้น พวกเถรสมาคมนี้มีลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ขนาดเป็นสมเด็จพระสังฆราชแบกอยู่นั่นแหละ พระพุทธเจ้าท่านยิ่งกว่าสังฆราช ท่านยังไม่แบกเลย ทิ้งเลย นี่ยังหลงอยู่นั่นแหละ เข้าใจชัดไหม
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิสัยทัศน์ของพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ วันศุกร์ที่ 23 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 12 ตุลาคม 2565 ( 12:53:09 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563
เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 10:13:42 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 04:36:48 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:05:53 )
รายละเอียด
อารมณ์ที่มีอุปาทาน
หนังสืออ้างอิง
ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ หน้า 314
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 07:57:06 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 14:45:43 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:06:15 )
รายละเอียด
การรู้ ความรู้
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 3หน้า 98
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 07:57:44 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 14:46:55 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:06:28 )
รายละเอียด
1. รับรู้อารมณ์แล้ว หรือความเสวยอารมณ์แล้ว [ไม่ใช่แปลว่าดับ-อารมณ์]
2. เป็นผู้มีความรู้แล้วจริงๆ รู้ในสัญญา
3. ผู้นั้นเองรู้จิตในจิตของตนเองอยู่อย่างแท้จริง เป็นปัจจุบันอยู่แท้ๆ ด้วย
4. มีประสบการณ์
5. ความรู้สึก , มีประสบการณ์ , เสวยอารมณ์แล้ว , ความเสพ , ความเสวย
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค2 หน้า 289, ทางเอก ภาค3 หน้า 500, หน้า 188, คนคืออะไร? หน้า518, ชีวิตนี้มีปัญหา / เราคิดอะไร ฉบับ 275
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 08:00:04 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 14:50:27 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:07:01 )
รายละเอียด
มีความรู้ชั้นสูงยอด เป็นความรู้แท้ๆ จริงๆ ถึงที่ ความบรรลุผลสุด
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 2 หน้า158
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 08:00:59 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 14:51:47 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:07:29 )
รายละเอียด
มีผลอันแสดงออกให้เห็นว่าเป็นผู้มีการขวนขวาย ช่วยเหลือ เกื้อกูล อันเป็นสัญลักษณ์ของคุณงามความดี ผู้มีความพยายามขวนขวาย จึงยังนับเนื่องอยู่ว่ามีความประพฤติอันประเสริฐ
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 2 หน้า 124
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 08:10:11 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 14:53:23 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:07:49 )
รายละเอียด
สัมพันธ์ขยายความ
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค3 หน้า 124
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 08:11:00 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 14:56:01 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:08:06 )
รายละเอียด
1. การขวนขวาย , ความขวนขวาย
2. มีความขวนขวายกระตือรือร้นช่วยเหลือ , มีการยุ่งกับงาน
หนังสืออ้างอิง
สมาธิพุทธ หน้า53 , คนคืออะไร? หน้า536, หน้า 281
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 08:11:58 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 14:57:59 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:08:26 )
รายละเอียด
บุญสำเร็จด้วยการขวนขวายในสิ่งที่ดีที่ยิ่ง
หนังสืออ้างอิง
สมาธิพุทธ หน้า 309
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 08:13:24 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 14:59:01 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:08:41 )
รายละเอียด
1. บาป ความเกลียดชัง การไปผิด
2. ความผูกพัน ความสืบต่อของอดีต และแม้ของอนาคต
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 2 หน้า 236, ทางเอก ภาค 3 หน้า371
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 08:14:54 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 15:00:41 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:09:06 )
รายละเอียด
1. อันควรงดเว้น
2. เจตนางดเว้น
3. ให้งดเว้น
4. เว้นขาด
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 1 หน้า 319,ทางเอก ภาค 3 หน้า10, สมาธิพุทธ หน้า 116, ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 21 ,ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ หน้า 389
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 08:16:39 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 15:02:53 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:11:09 )
รายละเอียด
เรามีทุนไม่มาก แรงงานของใครของมัน เวลา แรงงาน ทุนรอน สามอย่างนี้อย่าไปสูญเสียตามโลกมอมเมา เอาของข้าคืนมา เรารู้แล้วไม่ไปหลงบ้าบอกับเอ็งหรอก เราก็มาใช้เวลาแรงงานทุนรอนสร้างสรรสิ่งที่เป็นประโยชน์คุณค่า อาศัย แล้วเกื้อกูล ชีวิตสมบูรณ์แบบ
ที่มา ที่ไป
วิถีอาริยธรรม บ้านราช เศรษฐกิจที่ดีที่สุดในโลกอยุ่ที่นี่ วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม 2563
เวลาบันทึก 19 มกราคม 2563 ( 14:14:39 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 04:40:34 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:11:34 )
รายละเอียด
ก็ตรวจสอบวิบากกรรมจริงๆหรือว่ามันเป็นเหตุปัจจัยของอะไรอย่างอื่น ถูกไล่ออกจากงานก็มีเหตุปัจจัยตั้งเยอะ ส่วนที่จะมาเรื่องของจิตก็ละเอียดขึ้นไปอีก
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2562
เวลาบันทึก 12 มกราคม 2563 ( 17:19:34 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 04:41:09 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:11:54 )
รายละเอียด
เพราะฉะนั้นเวลามีเหมือนกันเท่ากันทุกคนทุกชาติทุกศาสนา เหมือนกันหมด ใครกอบกู้เวลาแล้วเอากรรมมาทำ กรรมกับกาละ kama and กาละ เอามาทำสิ่งเหล่านี้ได้ ชีวิตของคุณก็มีค่าบริบูรณ์เท่าที่คุณไม่ Error ไม่ตกหล่น ไม่ไปตกอยู่ในโลกถูกหลอกไปอย่างนั้นอย่างนี้ อาตมาว่า อาตมานำคำสอน ของพระพุทธเจ้ามาให้พวกเราได้ศึกษาพวกเราทำได้สำเร็จจบกิจ
ขนาดนี้ อาตมาว่า ไม่ยิ่งเล็กแล้ว เราไม่กล้าพูดว่ายิ่งใหญ่ ไม่ยิ่งเล็กแล้ว นะ ยิ่งกว่ายิ่งลักษณ์ด้วย ลักษณะที่ดีมากแท้ๆ เลย เป็นลักษณะที่ดียิ่งๆ จริงๆ ด้วย ไม่ใช่ลักษณะเก๊ๆ มอมเมาอยู่เท่านั้น
ที่มา ที่ไป
รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 18 ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณมนุษย์ และอภิวัฒน์สังคม วันจันทร์ที่ 17 เมษายน 2566 แรม 12 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 16:03:54 )
รายละเอียด
ก็เห็นๆ“กาละ-เทศะ-ฐานะ”มันเปลี่ยนแปรไปอยู่ตลอด ไม่เที่ยง ซึ่งในเอกภพมหาจักรวาลนี้แค่“กาละ”ก็ไม่เคยเที่ยง มันไม่อยู่ที่เดิมเลย มันเคลื่อนไปข้างหน้าอยู่เสมอ มันเปลี่ยนไปจากจุดเดิม
อยู่ทุก“ความเคลื่อน” มันไม่“คงที่”เลย
แม้“เทศะ”อันเป็น“ถิ่นที่-ความเป็นสถานต่างๆ”มันก็เปลี่ยนไปแปรไปอยู่เสมอ ไม่เสื่อมก็เจริญ และ“เทศะ”นี้ไม่เที่ยงจนหายสูญได้ “ฐานะ”ก็ตาม “ฐานะ”มันก็บอกแจ้ง“ตัวตน”ของมันเท่านั้น
ศาสนาพุทธยืนยันพิสูจน์ความเป็น“ตัวตน”ว่า“ไม่เที่ยง-เป็นทุกข์-ไม่มีตัวตน”ได้แท้จริง จนกระทั่งหมดสิ้น“ฐานะ” ไม่มีอยู่ในโลก
หนังสืออ้างอิง
หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 321 หน้า 242
เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 15:02:50 )
รายละเอียด
สัญญาคือเจตสิกของเราอันหนึ่งมันมีความจำ แล้วมันก็ฟุ้งซ่านไปได้ตามประสา ตามประสาที่สติสัมปชัญญะ เราไม่ได้ไปควบคุมสัญญา สัญญามันก็ไปฟุ้งซ่านตามเรื่องราวเละเทะเก่าๆ ใหม่ๆ คิดใหม่ผสมก็มีเก่าๆ ออกมาหลอกหลอนเยอะ มันมากมายจนกระทั่งเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องเลอะเทอะ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิญญาณฐิติ 7 ปฏิจจสมุปบาท และวิชชา 8 วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2566 วันแรม 14 ค่ำเดือนยี่ ปีขาล ที่บวรสันติอโศก
เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2566 ( 12:47:00 )
รายละเอียด
อย่าไปเสียเวลารู้เลย คุณถูกศรยิงอาบยาพิษ คุณเจออาตมาว่าจะให้รีบพาลูกศรออก คุณก็บอกว่าต้องตอบก่อนว่าใครยิง เอาลูกศรจากที่ไหนมายิง เอาสารพิษที่ไหนมาอาบ ต้องให้รู้ก่อนเมื่อไหร่รู้แล้วถึงจะให้ผ่า อย่าไปเสียเวลาเลยสู่แดนธรรม มันเป็นพลความ ไมใช่เนื่อหาสาระ ตอบไม่ไหว อจินไตย นานมากนับไม่ได้ ตอบยาก เป็นอจินไตย เป็นทั้งฌานวิสัย และกรรมวิบาก การเลื่อนขั้นเร็วภายใน 2-3 ปีก็เป็นไปได้ถ้ามีภูมิธรรมเก่ามาแล้วเหมือนพระพาหิยทารุจริยะ ใช้เวลาเพียง 4 ประโยคธรรมะก็บรรลุพระอรหันต์น้ำมันจะเต็มขันแล้ว หยดน้ำเดียวก็เต็ม อยู่ที่บารมีอยู่ที่ความจริงจะเร็วช้าอย่างไรก็อยู่ตรงนี้ แต่กว่าจะมาถึงพระพาหิยทารุจริยะ ใช้เวลามาไม่รู้กี่ล้านปีแล้วเป็นปุถุชนมาก่อน
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช ปฏิบัติธรรมกับอาหารในพระสูตรต่างๆ วันพุธที่ 4 ธันวาคม 2562
เวลาบันทึก 13 ธันวาคม 2562 ( 19:45:59 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 04:41:54 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:12:52 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน 2563
เวลาบันทึก 05 พฤษภาคม 2563 ( 11:15:57 )
เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 17:30:20 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:14:04 )
รายละเอียด
พ่อค้า
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค2 หน้า 233
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 08:17:27 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 15:04:27 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:14:18 )
รายละเอียด
มีลาภวัตถุ คือทรัพย์สินเงินทองเป็นต้น เป็นอำนาจ
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 2 หน้า233
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 08:18:19 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 15:05:50 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:14:34 )
รายละเอียด
ผลเทียมฟ้า หรือใหญ่ยิ่งฟ้า หรือฟ้าไม่มีผล เรียกว่าจิตมันใหญ่จนยิ่ง-ฟ้ายิ่งดิน หรือใหญ่จนไม่มีฟ้า ไม่มีดินแล้ว
หนังสืออ้างอิง
ทางเอก ภาค 2 หน้า 411
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 08:19:15 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 15:07:23 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:14:55 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม 2563
เวลาบันทึก 21 มิถุนายน 2563 ( 09:04:55 )
เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 12:43:06 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:15:23 )
รายละเอียด
สัตว์ที่มีการศึกษา ที่ทำให้สูงส่งที่ดียิ่งกว่าสัตว์อื่นด้วยกัน
หนังสืออ้างอิง
ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า38
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 08:09:20 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 15:08:44 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:15:39 )
รายละเอียด
ผู้ที่สามารถรู้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิในความเป็นกาย กายก่อน กายคำต้น ผู้มีจิตนั้นศึกษากาย สัตว์เดรัจฉานไปจนถึงมนุษย์ถึงอาริยบุคคลถึงพระอรหันต์ถึงพระพุทธเจ้าคือพวกจิตนิยาม พวกมีจิตทั้งนั้น เดรัจฉานตั้งแต่เซลล์เดียวที่เป็นสัตว์ เริ่มนับเป็นสัตว์แล้วก็เป็นสิ่งที่มีจิตนิยามทั้งนั้นแต่ต้องพัฒนาจากเดรัจฉานขึ้นไปจนพ้นไปเป็น เวไนยสัตว์ คือสัตว์ที่สอนได้
สัตว์ที่สอนได้ก็มีตั้งแต่ปลาโลมา ช้าง ม้า ก็สอนได้ ที่สอนไม่ได้เขาพยายามสอนเสือ สอนสิงห์ สอนอะไรขึ้นมาอยู่เหมือนกันที่เป็นสัตว์ร้ายก็พอได้ แต่ไม่ง่าย มันก็ค่อยๆ ไป ซึ่งเดี๋ยวจะละเอียดไป สัตว์ที่สอนได้เป็นเวไนย จนกระทั่งสัตว์ที่สอนได้ขั้นโลกุตระ คือสอนให้พัฒนาจากโลกียชนคนโลกๆคนโลกีย์ คนที่มีความรู้แค่เฉโก เฉกา มาเป็นคนที่มีปัญญาโลกุตระได้ เป็นเวไนยสัตว์ที่สอนได้จึงเป็นอีกชั้นหนึ่งที่ยากที่จะรู้
ที่มา ที่ไป
พ่อครูเทศน์งานอัฏฐาริยสัจจายุ ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ตอนที่ 1
วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566 แรม 6 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2566 ( 13:09:40 )
รายละเอียด
ที่มา ที่ไป
รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563
เวลาบันทึก 14 มีนาคม 2563 ( 16:48:03 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 04:42:59 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:16:04 )
รายละเอียด
เพราะอเทวนิยม มันเหมือนกับยอดพีระมิดมีอยู่จำนวนบน จำนวนล่างเป็นมนุษยชาติ อเวไนยสัตว์อีกมาก เวไนยสัตว์คือสัตว์ที่สอนโลกุตระธรรมได้ อเวไนยสัตว์นั้นสอนโลกุตระไม่ได้เป็นเรื่องสุดวิสัยเขารับไม่ได้ มันไม่ศรัทธาไม่ชื่นชมไม่ซาบซึ้งอะไรหรอก ไม่ใช่ไปว่าเขานะแต่มันเป็นสัจธรรมอย่างนั้น
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การศึกษาที่ไม่ลดกิเลสกู้ประเทศไม่ได้ วันพุธที่ 6 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 29 มกราคม 2564 ( 11:36:01 )
รายละเอียด
ที่รับรู้กับคนภายนอกเป็นเรื่องราว เพราะฉะนั้นเรื่องของอุตุเราพูดกับมันไม่รู้เรื่องหรอก มันก็เป็นของมันตาม พลังงาน เราไม่เกี่ยว เราไปทำอะไรกับมันไม่ได้ หรือแม้แต่พีชะ มันก็ไม่รู้เรื่องกับเรา ขนาดจิตนิยามเราก็สอนได้แต่คนที่เป็น เวไนยสัตว์
เพราะฉะนั้น ที่อาตมาสอนอธิบายอยู่นี้ คนที่มาฟังจึงเป็นเวไนยสัตว์ สัตว์ที่สอนได้สัตว์ที่ฟังธรรมะรู้เรื่อง ที่ฟังธรรมะอาตมาไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจไม่มีประโยชน์ ยังเป็นอเวไนยสัตว์อยู่ เวไนย ระดับต้นๆ อบายมุขก็รับไม่ได้ คือขั้นต่ำ แต่ถ้าไม่สามารถเข้าใจโลกุตรธรรมได้ เขาเป็นเวไนยสัตว์ระดับโลกียะ แต่ว่าสำหรับโลกุตรธรรมเขาไม่ได้เป็นเวไนยสัตว์
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 23 ความมหัศจรรย์ของการแยกกายแยกจิตได้ วันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 25 มกราคม 2565 ( 21:04:27 )
รายละเอียด
คือ การรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง”สัจธรรม” ได้จริง ที่ลดการเวียนเกิด-เวียนตาย ต้องมี“การศึกษา”แท้จริงเจริญถึงขั้น“อาริยภูมิ”เป็น“โลกุตระ” ซึ่งมีถึง 4 ขั้นคือ โสดาบัน-สกิทาคามี-อนาคามี-อรหันต์ จึงจะสามารถชัดเจนแจ่มแจ้งความเป็น“โลก” และ ความเป็น“อัตตา”ที่มี“ความเจริญ”เข้ากระแส“โลกุตรภูมิ” ซึ่งมีภาษาที่ใช้กันอยู่ 3 ชนิด” เรียกว่า “อารยะ”บ้าง “อริยะ”บ้าง “อาริยะ”บ้าง ภาษาคำว่า“อารยะ-อริยะ”ทุกวัน นี้คนได้พากันเข้าใจผิดเพี้ยนไปจาก“สภาวธรรม”แท้ๆแล้ว
หนังสืออ้างอิง
คนจนที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า 395
เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2562 ( 15:30:42 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 04:44:01 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:16:36 )
รายละเอียด
_ล. 9 ข. [87] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 5 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
_ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
เว้นจากผัสสะจะไม่มีเวทนาให้ปฏิบัติ เพราะฉะนั้นไม่เป็นฐานที่จะมีได้ เป็นกรรมฐาน แล้ว ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
อาตมาก็ขยายความด้วยภาษาไทยง่ายๆ คุณต้องมีสภาวะรองรับ มีเหตุปัจจัยที่มีความรู้ประกอบไปเรื่อยๆ ไม่เช่นนั้นคุณปฏิบัติธรรมไม่รู้เรื่องหรอก มันต้องฟังแล้วก็เข้าใจ อ้อ..อันนี้มีความรู้อันนี้ มีองค์ประกอบอย่างไรอย่างไร มีกาย มีเวทนา มีจิตก็ต้องมีธรรมะ จะต้องรู้ประกอบเป็นจริง ถ้าไม่อย่างนั้นคุณไม่รู้องค์ประกอบของมัน เป็นกระบวนการที่มันจะต้องใช้ร่วมกัน มันขาดไป หล่นไปมันก็บกพร่อง มันก็ไม่ครบ มันก็ทำไม่ได้ ทำไม่สำเร็จ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บุญกิริยาวัตถุ 7 ข้อที่เป็นเนื้องอกของศาสนาพุทธ วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม 2565 ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 14 ธันวาคม 2565 ( 12:15:04 )
รายละเอียด
[ล.9 ข.64] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ ข้อนั้นเพราะผัสสะเป็นปัจจัย.
[ล.9 ข.77-89] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นจากผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
ที่มา ที่ไป
ธรรมาธิบายจากพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ
เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2562 ( 16:59:33 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 04:45:29 )
รายละเอียด
โลกของอบายนี้ไม่ได้รู้กันง่ายๆ อบาย แปลว่า นรก คุณว่า ยูเครนกับรัสเซียอยู่ในเมืองนรกหรืออยู่ในเมืองสวรรค์ตอนนี้ ...นรก ไม่ว่าจะเป็นคนของรัสเซียเองที่ดูเหมือนว่าจะยิ่งใหญ่ มีอำนาจมีท่าทีว่าเหนือกว่ายูเครนก็ตาม ประชาชนเขาทุกข์ร้อนเพราะสงครามนี่ไหม ยูเครนนั้นทุกข์ร้อนแน่ หรือแม้แต่ ประเทศที่บอกว่าตัวเองยิ่งใหญ่ แล้วก็เที่ยวได้แผ่อำนาจในเชิงชั้นหลายๆอย่าง ช่วยอย่างมีเชิงว่าฉันมีอำนาจต้องยกย่องนับถือฉันหรือต้องอยู่ใต้การครอบงำของฉัน อะไรก็แล้วแต่ เขาก็แสดงออกมาอย่างไม่รู้ว่านั่นแหละคือนรก
นรกที่เขาหลงว่า เป็นสวรรค์ รู้จักสวรรค์ 6 ชั้นไหม ชั้นที่ 1 คือจตุมหาราชิกานั่นแหละคือยักษ์มาร จตุมหาราชนั่นแหละเขาคือยักษ์ คือมาร คือเขาหลงว่าเป็นสวรรค์ สวรรค์ชั้นที่ 1 ก็คือนรกชั้นที่ 1 เลย เพราะฉะนั้นมาฉีกหน้ากากของสวรรค์ที่มันแท้ๆมันคือนรกกันดู เกิดเพราะอวิชชา เกิดเพราะความไม่รู้ความโง่จึงทำกรรมที่เป็นนรกและหลงว่าเป็นสวรรค์ เขาเป็นจตุมหาราชคือยักษ์ คือมารทั้งนั้นแยกเขี้ยวยิงฟันแล้วถืออาวุธ อาวุธสมัยโบราณเขาก็มีง้าวมีดาบเท่านั้น สมัยนี้มันเป็นปรมาณู มันเป็นอะไรไม่รู้ อาตมาเรียกมันไม่ถูกหรอกชื่อมันต่างๆนานาที่เป็นอาวุธร้ายเลวประหัตประหารกันฆ่าคน การคิดสร้างอาวุธขึ้นมาฆ่าคนนี่ก็บาปมหาศาลแล้ว เป็นนรกยิ่งใหญ่ที่เขาต้องตก โดยสัจจะแล้วเขาจะต้องตกด้วยกรรมที่เขาทำนรกแบบนี้ แต่เขาไม่รู้
เพราะฉะนั้นประเทศใดก็ตามชุมชนใดก็ตามไม่สร้างอาวุธ สร้างสิ่งที่มันเป็นประโยชน์ อย่างที่เราสรุปกันแล้วว่าสร้างอาหารเป็นต้น หรือจะสร้างเสื้อผ้าหน้าแพร สิ่งที่เป็นปัจจัย 4 ก็ดี หรือจะเป็นบริขารที่จะเป็นองค์ประกอบอย่างเช่นคอมพิวเตอร์ เป็นต้น แต่คอมพิวเตอร์ก็มีผีร้ายอยู่ในนั้นไม่น้อย ซึ่งจะไม่แวะเดี๋ยวจะลเอียดละออเกินไป เพราะฉะนั้นในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่สร้างอาวุธที่เป็นยักษ์มาร หรือเรียกจตุมหาราช ไว้เพื่อฆ่าแกง หรือเพื่อสร้างอำนาจบาตรใหญ่ให้ตัวเองหรือขายเอาเงินทองต่างๆ ซับซ้อนอยู่ในนี้ มันเป็นอบายมุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว ยิ่งก้าวหน้า สร้างอาวุธได้ร้ายแรงเท่าไหร่ ก้าวหน้าถือว่าเป็นการก้าวหน้า ยิ่งนรกหนักหนาสาหัส บาปยิ่งหนักมากมาย เขามีความเข้าใจอย่างนี้ไหม
นี่เป็นความเข้าใจของอาตมา เป็นความเข้าใจของผู้ที่มีแนวคิดทางนี้ โดยเฉพาะอาตมาว่าเป็นแนวคิดแนวทางเดียวกับของพระพุทธเจ้า วางอาวุธวางศาสตรา มีความกรุณาเอ็นดู กับปวงชนหรือปวงสัตว์ ปรารถนาดีหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ ศีลข้อแรกเลย นั่นต่างหากเป็นผู้เจริญ เป็นผู้ไปสร้างอาวุธมากๆใหญ่ๆเอามาห้ำหั่นฆ่าแกงกันจริงๆ สร้างแล้วเสร็จส่งให้ไปฆ่าแกงกันจริงๆ สร้างแล้วส่งให้ไปฆ่าแกงกัน ให้ด้วยแสดงอำนาจบาตรใหญ่ว่าฉันรวย ฉันเป็นพี่ ฉันเป็นหัวหน้านักเลง เป็นเจ้าพ่อ เบ่งเป็นเจ้าพ่อ ใช่ไหมเป็นความหมายอย่างนั้นอยู่ในที เบ่งเป็นเจ้าพ่อ บอกว่าเสียสละ นี่ส่งอาวุธไปให้ราคาตั้งไม่ใช่น้อยๆนะ เพื่อที่จะทำให้แก่ประเทศตนเอง
มันดีนะที่ว่าประเทศไทยเราไม่กะไร ไม่เหมือนอย่างที่เขาเป็นกัน ไม่ได้เป็นทาสอย่างนั้นกับเขา อย่าเป็นเลยเจ้าประคุณเมืองไทยอย่าเป็นทาสพวกนี้ มีภาพ เขาว่า บุคมุท ใกล้ปิดจ๊อบ มันเป็น นี่เป็นนรกแท้ๆซี อย่างไรก็เข้าใจศาสนาไหนพูดกัน พฤติการณ์อย่างนี้มันก็คือนรกมีแต่ฉิบหาย มีแต่เดือดร้อนมีแต่ตาย วุ่นวาย ไม่สงบสุข
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การเมืองและเศรษฐกิจแบบโลกุตระ พรรคสัมมาธิปไตย วันพุธที่ 15 มีนาคม 2566 แรม 9 ค่ำเดือน 4 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 29 เมษายน 2566 ( 19:27:45 )
รายละเอียด
การกระทำที่วิเศษ , การกระทำทางบุญ
หนังสืออ้างอิง
วิถีพุทธ หน้า65
เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2562 ( 08:49:17 )
เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 15:10:19 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:17:15 )
รายละเอียด
4) “เศรษฐกิจ” ต้องแก้ปัญหากันทาง“จิตวิญญาณ”
“เศรษฐศาสตร์”คือ“ภาวะแห่งความเป็นจริง” ที่เป็น“สัจธรรม”ทาง“จิตวิญญาณ” ซึ่งมันไม่ใช่แค่เรื่องของ “เงินๆทองๆ”ที่หลงยึดถือกันสูง หลงหนักจัดว่า “ตัวเลข”
นั่นแหละ คือ“พระเจ้า” หรือเคารพบูชากันอยู่แต่จำนวน
ของ“ตัวเลข”ที่แข่งขันกันสูง-แก่งแย่งกันมากยิ่งๆเท่านั้น
เศรษฐกิจเจริญของชาวอโศกยิ่งมีตัวเลขรายได้ 0 ตัวเลขน้อยนั่นแหละคือยิ่งเจริญ
ที่จริงแล้วมันต้องสำคัญกันที่“จิตวิญญาณ”จึงจะดีแท้ ถูกต้องจริง แต่ถ้าแม้น“จิตวิญญาณ”หลงเงินๆทองๆกันหนักหนา หนักหน้ากันอย่างที่เป็นๆกันอยู่ รับรองเด็ดขาดว่า เขาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ“ไม่เสร็จ” ไม่“จบกิจ” ได้นิรันดรเด็ดขาด ถ้าไปหลงมุ่นแก้กันอยู่แค่“ตัวเลข”
เพราะมันวิปลาสหลงผิดไปแล้ว เขาไม่รู้ตัวกันเลยหรือว่า เขาหลงบูชานับถือ“วัตถุเงินทอง-ตัวเลข”กันหนักหนาสาหัสนั้น นั่นคือ หลงจำนวน“ตัวเลข”โดยหลงยึดถือ
เอา“รายได้องค์รวม”ที่เป็นเงินทอง แล้วก็นับจำนวน“ตัวเลข”มาเป็นเครื่องชี้บ่งยืนยันความเจริญ“เศรษฐกิจ”
มันก็เป็นการหลงผิดว่า ความสำคัญของมนุษย์ทั้งหลาย
อยู่ที่“เงินทอง” หลงผิดกันว่า ชีวิตคนจะยิ่งใหญ่ทำให้อยู่ดีมีสุขได้ด้วย“เงินทอง”เท่านั้น “เงินทอง”สำคัญยิ่งใหญ่ที่สุด เป็น
“ที่พึ่ง”คือ“พระเจ้า”คือ God ของชีวิตคนทั้งหลายทั้งหมด
ก็ขอยืนยันว่า “การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ”กันแต่ “ตัวเลข-วัตถุ”นั้น ไม่มีทางสำเร็จเสร็จสิ้น ถึงขั้นไม่ต้อง “แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”กันอีก “จบกิจ”เด็ดขาด ได้แน่นอน
และยิ่งไปหลงยึดเอา“ความสูงของตัวเลข”ที่เป็น“จำนวนรายได้ทางวัตถุ”มาเป็นเครื่องวัดสำคัญยิ่งซึ่งชาว“โลกียะ”สามัญปุถุชนทั่วไปในโลกเขาใช้กันอยู่นั้นก็ขอรับรองว่า “ไม่มีที่สิ้นที่สุด”ได้สำเร็จเด็ดขาด
ถ้าแม้นไม่หันมา“แก้ปัญหาเศรษฐกิจกันทางจิตวิญญาณ” ซึ่งต้องเกิด“ปัญญา” โดยเฉพาะใช้“ทฤษฎี”ของพระพุทธเจ้าที่เป็น“โลกุตระ”กันให้“สัมมาทิฏฐิ” จึงจะได้เพราะมันไม่มีขีดจำกัดเลย ว่า “ความสิ้นสุดของความโลภ”หรือ“ความสิ้นสุดของความต้องการอยากได้ของคนที่เป็นเรื่องของ“จิต” มันจะรู้จัก“พอ”กันตรงไหน?
“การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ”ด้วย“ทฤษฎี”ชาวโลกที่มี“ความรู้-ความฉลาด”แค่ชาว“เทฺวนิยม”มีกัน จะสูงส่ง เก่งกาจเต็มที่ปานใดๆก็ตาม มันก็มีแต่แบบ“โลกียะ”อยู่ เป็นแค่“ความรู้-ความฉลาด”ที่ยังเป็น“เฉโก”กันเท่านั้น
มันยังไม่ใช่“ทฤษฎี”ของชาว“โลกุตระ”ที่มีความรู้-ความฉลาดของ“พุทธ”ที่เป็น“อเทฺวนิยม”คือ ผู้รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง รู้จบ“เทฺว”อย่างสัมมาทิฏฐิ และจัดการกับ“เทฺว”ได้ สูงสุดถึงขั้น“อนัตตา-นิพพาน”และทำสำเร็จ“สูญ”นิรันดร
จึงจะสามารถ“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”สำเร็จเสร็จกิจ “จบกิจ”กันถึงขั้น“ไม่ต้องแก้ปัญหา”กันแล้วๆเล่าๆ เพราะมี“ความสำเร็จเสร็จจบ”ที่บริบูรณ์สัมบูรณ์นิรันดร
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ แสดงธรรมโดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ จอมยุทธ์โลกุตระจบกิจเศรษฐกิจ ด้วย 9 เคล็ดวิชา วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม 2566 ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 11:41:37 )
รายละเอียด
ความจริงแล้วปัญหาเศรษฐกิจสังคมมันเรื่องปฏิสัมพันธ์กัน ไม่ได้แยกกัน เศรษฐกิจดีแล้วสังคมจะไม่ดีไม่ได้ เศรษฐกิจดีสังคมก็จะดี การเมืองก็จะดี มันไม่ขัดแย้งกันหรอก มันจะช่วยกันให้เจริญมันเนื่องกัน การจะแยกให้เด็ดขาดเป็นอันใดอันหนึ่งไม่ได้ เป็นแต่เพียงว่าดูในแง่มุมย่อย จริงๆแล้วเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ให้คนเป็นอยู่สุข มีความสงบ มีอยู่ไม่มีตัวตนไม่เห็นแก่ตัว นี่คือการสรุปง่ายๆ มีอิสระเสรีภาพมีความสงบสันติภาพดี เป็นคนไม่เห็นแก่ตัวช่วยเหลือกันอย่างมีอิสระ ช่วยกันทำให้ภาษาอย่างนี้อย่างเป็นจริง อาตมาว่าพวกเราเป็นได้
เป็นได้โดยอัตโนมัติแล้ว แต่ละคนรู้แล้วทำตนให้เหมาะสม
ที่มา ที่ไป
รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 16 มกราคม 2562
เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2563 ( 16:24:42 )
เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 05:11:02 )
เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 08:17:45 )
รายละเอียด
แต่มาถึงวันนี้อาตมาไม่ได้มาทำหน้าที่ทางบริหาร อาตมาวางมือทางด้านบริหารแล้ว มาเอา รับผิดชอบทางด้านธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นหลัก แต่มันไม่ได้ขาดจากการบริหาร ไม่ได้ขาดจากทางด้านความเป็นเศรษฐกิจ ความเป็นการเมือง ความเป็นสังคมศาสตร์มันไม่ได้ขาด สามเส้า 3 อย่างนี้ เศรษฐกิจการเมืองสังคม มันเป็นสามเส้าของมนุษยชาติ ขาดไม่ได้แยกกันไม่ได้ ไม่ได้แยกกัน
เพราะฉะนั้นจึงไม่มีปัญหาเลยสำหรับอาตมา แล้วอาตมาก็ยังเห็นอยู่ว่า ประเทศไทยยังดำเนินไปดี สวยงาม จะบอกว่าสบายก็สบาย เป็นแค่นี้ไม่อะไรเท่าไหร่หรอก ที่มีหมาเห่า บ๊องๆ บ้างไม่กระไร แต่ไปห้ามเขาไม่ได้หรอก ธรรมดาต้องมีเช่นนี้ มันต้องมี 2 ต้องมีอันนึงแย้งอันหนึ่งของจริง ก็เป็นไป
เพราะฉะนั้น ตัวอย่างที่ทำนี้เราไม่ได้ไปจ้างเขา ไม่ได้ไปวาน ไม่ได้ไปบังคับให้เขาทำเขาทำของเขาเอง ด้วยความอวิชชาของเขาเอง เนื้อแท้ของเขาเอง อวิชชาของเขาเอง เพื่อที่จะแสดงปรากฎการณ์ให้เห็น 2 ด้าน ของมนุษยชาติ เราก็นั่งบนภูดูเสือกัดกัน เสือตัวไหนเป็นเสือดี เสือตัวไหนเป็นเสือร้าย เราก็ดู เห็นกันอยู่โต้งๆ เอาแค่นี้ก่อน
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 54 ผู้เป็นกลางคือผู้วางกามกับอัตตา วันจันทร์ที่ 12 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2565 ( 14:39:50 )
รายละเอียด
ตอบว่าคุณก้าวพ้นไม่ได้หรอก อาตมาก็ไม่มีวิธีให้คุณก้าวพ้น เพียงอย่างเก่งคุณก็ตายไปก่อน ที่กลียุคมันจะเกิด แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณข้ามกลียุค มันจะค่อยๆ รุนแรงไปเรื่อยๆ จนถึงยุคที่เลวร้าย ทุกวันนี้ก็เป็นจริง เพราะฉะนั้นในเมืองไทยเป็นการเมืองเศรษฐกิจก็ตาม การเมืองก็ตาม เรื่องของสังคมมนุษยชาติ เมืองไทยนี่อาตมาไม่มีความเก่งพอจะสาธยายรายละเอียดในภาษาที่จะสื่อให้คนทั้งหลายได้รู้ได้
แล้วก็ลึกคืออาตมารู้อยู่ว่า เศรษฐกิจของเมืองไทยนี้ สุดยอดแล้ว ก็พูดไปแล้วล่ะแต่คนเขาก็ฟังไม่ค่อยขึ้น เพราะมันเป็นเรื่องของโลกุตระ เศรษฐกิจที่ดีคือเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทาส ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข การเมืองที่ดีก็เช่นเดียวกัน ไม่เป็นเรื่องของทาส ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มันมีแต่ใจสดๆ ที่ทำงานช่วยเหลือมวลมนุษยชาติอย่างไม่มีตัวตน ไม่มีอะไรมาทำให้มีวิธีโค้งเข้ามาหาตัวเอง ทำงานเสียสละ ทำงานช่วยกันไปด้วยความเข้าใจ ได้เท่าไหร่ก็เป็นผลเท่านั้นๆ
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความเป็นอรหันต์นั้นมีลำดับอันน่าอัศจรรย์ วันพุธที่ 28 มิถุนายน 2566 ขึ้น 11 ค่ำเดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 16 กรกฎาคม 2566 ( 10:57:39 )
รายละเอียด
สรุปแล้วก็อยากจะให้เข้าใจรื่องรายได้มวลรวมของประเทศ
ถ้าประเทศไทยเข้าใจคำตรัสของในหลวงแล้ว มาดำเนินการศึกษาและปฏิบัติให้ได้ ประเทศไทยเราจะเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ทางเศรษฐกิจ แล้วเป็นเศรษฐกิจของคนไม่รวย แต่เป็นเศรษฐกิจของคนจน ที่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมโลก ทำให้ประเทศเราเป็นประเทศที่เราถนัดทำอะไรมีความรู้ความสามารถอะไร เรามีทรัพยากรในประเทศอะไรทำขึ้นมา ผลิตขึ้นมา แล้วให้มีผลผลิตเหล่านั้น เป็นสินค้าออก ที่จะกระจายหล่อเลี้ยงชาวโลก
1. ต้องอย่าเป็นหนี้ไม่ต้องไปเสียดอกเบี้ยให้ได้ แล้วพึ่งพาตนเองให้รอด
2. พึ่งตนเองให้รอด ให้คนไทยรู้จักว่า พยายามทำมาหากินพึ่งตนเองให้รอด เมื่อพึ่งพาตนเองรอดแล้วไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ทำมาหากินพึ่งตนเองให้รอด ไม่เป็นหนี้สิน อยู่อย่างสงบสบายมากเลย การเป็นหนี้ เสียดอกเบี้ยจึงเป็นระบบที่เลวร้ายที่สุดของสังคม
3. ทำให้มากเกินกินเกินใช้
4. สะพัดส่วนเกินนั้นเพื่อเกื้อกูลแจกจ่าย สังคหะแก่คนอื่นเขา
ที่มา ที่ไป
พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ GDP แบบโลกียะกับแบบโลกุตระ วันพุธที่ 10 มกราคม 2561 ที่บ้านราชธานีอโศก
เวลาบันทึก 04 เมษายน 2564 ( 06:06:36 )
Facebook : test
Youtube : Name
Twitter : Name
Line : Name
Telegram : Name
Wechat : Name
Skype : Name