@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

โลกียฌาน ต่างจากโลกุตรฌาน

รายละเอียด

ฌาน มีคุณสมบัติอย่างไร พยัญชนะว่า ฌ า น 

เรียกแทนพลังงานในระดับมนุษย์ใช้ แล้วมนุษย์ต้องเป็นขั้นเวไนยสัตว์ แล้ว ฌาน ของอเวไนยสัตว์ก็ทำได้ หรือฌานระดับเวไนยสัตว์ที่เป็นโลกีย์คือเก่งทางด้านจิตวิญญาณพอใช้ได้ เขาก็ทำได้เป็นโลกียฌาน 

ทีนี้ก็มาพูดถึงโลกียฌาน มีอะไรต่างก็คือมี โลกุตรฌานต่าง หรือฌานของสาธารณะสากลมันต่างกันตรงไหน มันต่างกันตรงที่ฌาน ของเทวนิยม ไม่รู้จักกิเลสตัวจริง กิเลสตัวจริงอยู่ไหน กิเลสตัวจริงอยู่ในจิตเจตสิก เทวนิยมหลายลัทธิ หลายศาสนา เรียนจิตเจตสิก เหมือนกัน เขาเรียนจิตเจตสิก ฮินดูเขาก็เรียน พราหมณ์เขาก็เรียน หรืออะไรอีกก็แล้วแต่ ส่วนแน่นอน คริสต์ อิสลาม ไม่ได้เรียนหรอก 

แม้เขาจะเรียนจิตเจตสิก เขาก็เรียนได้อย่างหยาบ เขาจะแยกเป็นทั้งขันธ์ 5 

จากขันธ์ 5 ซอยละเอียดเข้าไป สัญญาก็ไม่รู้มีอีกตั้งเท่าไหร่ แล้วก็รู้ความต่าง ลิงค หรือเพศ ระหว่างสัญญา เอาล่ะอนุโลมให้คุณเรียกสัญญาในเทวนิยม เขาก็มีความรู้เหมือนกัน เอาให้ใกล้เข้าไปอีก คือ พราหมณ์กับพุทธ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูปฐมนิเทศ พาปฏิญาณศีล 8 งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ปี 2564 ครั้งที่ 45 ออนไลน์วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน  อจินไตยของฌานวิสัย


เวลาบันทึก 05 มีนาคม 2564 ( 20:52:15 )

โลกียทรัพย์

รายละเอียด

ทรัพย์แบบที่ปุถุชนหลงใหลนับถือกัน

หนังสืออ้างอิง

ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ หน้า 23


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 08:38:38 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 08:56:16 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 15:48:12 )

โลกียธรรม

รายละเอียด

ธรรมอันเป็นวิสัยของโลก[ไม่ถึงนิพพาน]

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 478


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 08:39:12 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 08:56:41 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 20:10:10 )

โลกียธรรม

รายละเอียด

อาตมาไม่ส่งเสริมโลกียธรรม  อาตมาตีด้วยซ้ำไป เป็นพระเป็นเจ้าควรมาศึกษาโลกุตรธรรมแต่ไปหลงซ้องเสพกับโลกียธรรม  อาตมาก็ต้องว่าให้

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2562 ( 07:29:14 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:46:49 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 20:12:14 )

โลกียธรรมของเทฺวนิยมเป็นเช่นไร

รายละเอียด

“โลกียธรรม”คือ “ธรรมะของเทฺวนิยม” ที่เป็น“ธรรมะ”ไม่มี “นิพพาน” ไม่มี“สูญ” เป็น“ธรรมะ”ของผู้ที่ไม่รู้จัก“ตัวเอง” ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง “อัตตา” อันคือ“ตัวเอง”แท้ๆ หลงว่าอัตตา”อันคือ“เทฺว”นั้นมีอยู่ตลอดกาลนิรันดร 

เพราะไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“เทฺว” ไม่รู้จัก“อัตตา”หรือ“อาตมัน”หรือ“ปรมาตมัน”อย่างถึงที่สุด ตีแตกแยกแยะ“เทฺว”ไม่ได้ หรือไม่ยอมให้แยก“เทฺว”เด็ดขาด “เทฺวนิยม”จึงหลงยึดว่า“เทฺว”เป็น“1”ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตีแตกแยกไม่ได้ ทั้งๆที่“เทฺว”นั้นคือ“2” พยัญชนะก็แปลว่า“2” สภาวะจริงก็“2”  

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2ตอน 4 วันพุธที่ 16 มิถุนายน 2564 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 สิงหาคม 2564 ( 16:27:57 )

โลกียธรรมชอบข่ม โลกุตรธรรมชอบช่วย!

รายละเอียด

ความเป็น“โลกียธรรม”จึงเป็น“ธรรม”ที่มี“อำนาจแบบอวิชชา” จะยังไม่พ้นมี“การข่ม” ไม่พ้น“การทำร้าย”กันอยู่ ส่วนความเป็น“โลกุตรธรรม”นั้นเป็น“ธรรม”ที่มี“อำนาจแบบวิชชา” ที่ไม่มี“การข่ม” ไม่มี“การทำร้าย”เลย

เพราะเป็นผู้มี“ปัญญา”ยิ่งบริบูรณ์จริง  ก็ยิ่งไม่มี“เฉโก”แม้จะเป็นผู้ตำหนิติเตียนผู้อื่นอยู่อย่างหนักหนาปานใดอยู่ก็ไม่ใช่การข่ม หรือการทำร้ายผู้ที่ถูกตำหนินั้นๆแต่อย่างใด ทว่าเป็น“ความเมตตา” เป็น“ความหวังดี”แท้จริงด้วยซ้ำจึงเป็นผู้“อนุเคราะห์โลก”คือ “โลกานุกัมปายะ”ที่แท้ รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง ความเป็น“โลกวิทู” เพราะมี“โลกุตรจิต”ในตนจริง

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 111 หน้า 110


เวลาบันทึก 15 มิถุนายน 2564 ( 20:59:40 )

โลกียภูมิ

รายละเอียด

1. ภูมิที่ปุถุชนของเทวดาทั้งหลายหลงอยู่ในกาม หลงอยู่ในวังวนของภพโลกธรรม 8 จะเวียนว่ายตายเกิดอยู่ 

2. โลกกาย 

3. ภูมิที่มนุษย์ และเทวดาทั้งหลายหลงอยู่ในกาม จะเวียนว่ายตายเกิดอยู่ 

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 118, 143, 336


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 08:40:07 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 08:57:22 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 15:49:22 )

โลกียะ

รายละเอียด

โลกียะ  คือ  ความวน  สูงต่ำ  ดีชั่ว  ความดี  ความชั่ว ไม่ใช่อริยสัจ  เป็นสมมุติสัจจะไม่ใช่ปรมัตถสัจจะ  ความดี  ความชั่ว  เป็นการแข่งขันเสริมอัตตาเท่านั้นหากเพิ่มดีดีดี  อัตตาไม่ลด

โลกียะ คือ สามัญโลก

คำอธิบาย

คือ ลดกิเลสไม่ได้มีแต่กดข่มไว้ ไม่รู้จักตัวกิเลส ไม่รู้จักตัวสักกายะหรืออัตตา ตัวตนของกิเลส

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช ครั้งที่ 68 วันจันทร์ที่ 9 กันยายน 2562

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช ครั้งที่ 68 วันจันทร์ที่ 9 กันยายน 2562

หนังสืออ้างอิง

ถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 19


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 08:41:38 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:47:58 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 20:13:36 )

โลกียะ

รายละเอียด

ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 16 พฤศจิกายน 2562 ( 19:42:34 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:48:31 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 15:49:48 )

โลกียะ

รายละเอียด

ชาวโลกียะเขาไม่ดับ“สุข” เพราะเขาไม่มี“นิพพาน” เขาจะเผินแค่ดับทุกข์แต่ไม่ดับสุข เพราะฉะนั้นคนไม่ดับสุขไม่ใช่ชาวโลกุตระ ผู้ที่ไม่ได้ดับสุข คุณก็จะยังมีทุกข์เหลือ หรือความสุขของคุณนั้นก็คือสวรรค์ 6 ชั้น

ชั้นแรกคุณต้องแย่งเขาให้ได้ เป็นจตุมหาราช แย่งเข่นฆ่าแย่งชิง คุณจะมีศัตรู คุณจะเป็นนักรบ คุณจะเป็นนักแย่งนักฆ่า ทำชิบหายวายป่วงก็แล้วแต่ เพราะไม่เข้าใจว่าเทวดานี่ก็คือความโง่ ทั้ง 6 ชั้น ผู้ที่พ้นแล้วมีวิชชาแล้ว มีปัญญาแล้วไม่มี สวรรค์ไม่มี นรกไม่มี หมดนรก หมดสวรรค์ ไม่ได้งมงายจะต้องเป็นจตุมหาราชนี่แหละสวรรค์ชั้นแรกนะ 

เพราะฉะนั้นพวกโง่ๆ ทั้งหลายสวรรค์ชั้นแรกแย่งสุขทั้งนั้น อย่างพวกไม่รู้ทางต่างประเทศเทวนิยม ฆ่าแกงกันเป็นเบือเลย นึกว่าได้พื้นที่แผ่นดิน นึกว่าได้ทรัพย์สิน นึกว่าได้เกียรติยศ นึกว่าได้อะไรต่ออะไรเป็นความยิ่งใหญ่ทั้งนั้น แล้วเขาเอาจริงเอาจังนะ แย่งสวรรค์ เป็นจตุมหาราช ไม่จบ คือเป็นนักฆ่าทั้ง 4 ทิศ จตุ นักฆ่านักรบ กูจะเอาให้หมดทั้ง 4 ทิศ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ตอน 3 วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2567 แรม 9 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 มกราคม 2567 ( 15:23:12 )

โลกียะ ไม่รู้จักความสงบ 2 อย่าง

รายละเอียด

โลกียะ ไม่รู้จักความสงบ 2 อย่าง แต่เขารู้จักความสงบอย่างเดียว จะเรียกว่ากายสงบจิตสงบก็อย่างเดียวคือ กดข่มไม่มีปัญญาร่วม การรู้ว่า ความสงบที่ไม่มีปัญญาร่วมเรียกว่ารู้อย่างโลกีย์ ต้องมีปัญญาร่วมจึงจะรู้ ปัญญาเป็นโลกุตระ ปัญญาไม่เป็นโลกีย์เลย แต่เอาปัญญาไปใช้เสียหาย แม้แต่คนไทยก็ไปเข้าใจปัญญาว่าเป็นโลกียะ ซึ่งมันผิด เพราะเขาเข้าใจเราพูดไม่ได้ เขาได้แต่พยัญชนะ คำว่าปัญญาไปใช้แปลว่า ความรู้ ความฉลาด ที่มันเป็นโลกีย์หมด ฉะนั้นพวกเราจะต้องให้มันมาตรงความจริง ความรู้ความสามารถเป็นโลกุตระ ภาษาก็เรียกว่าเป็นโลกุตระ เรียกว่าปัญญา ให้มันตรงให้มันสมบูรณ์ แล้วเราก็ประพฤติให้เกิดปัญญาเจริญขึ้นจนกระทั่งครบ 8

ที่มา ที่ไป

พ่อครูให้โอวาทพิธีรับกลด นักเรียนสัมมาสิกขา ปีการศึกษา 2562-2563 วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 เมษายน 2564 ( 20:26:50 )

โลกียะกับโลกุตระ

รายละเอียด

ไม่ต่างกันเลยใช่ไหมมีความต่างกัน พวกที่ยังไม่แน่ใจ ก็นึกว่าภาษาสิริมหามายา แต่ไม่ใช่นี่พูดตรงๆว่าโลกียะกับโลกุตระนั้นต่างกัน ต่างกันสิ มันคนละขั้วกันเลย คุณก็จะรู้ความต่างได้ชัดเจน หรือว่าไม่ชัดเจน จะว่าไม่ต่างกันได้อย่างไร ดำกับขาวเลย มันชัดเจน

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 31 ธันวาคม 2562 ( 15:51:29 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:49:01 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 15:50:21 )

โลกียะกับโลกุตระ ต่างกันไฉน

รายละเอียด

โลกียะคือ โลกสามัญโลก โลกไหนก็แล้วแต่ เขาก็มีความรู้สมบูรณ์แบบเต็มที่อยู่ในโลกลูกนั่นแหละ แต่โลกุตระมันเป็นความรู้ที่ออกไปนอกโลก ไม่ใช่รู้แคบอยู่ในโลกนั้นเท่านั้น โลกุตระเป็นความรู้ที่ไปรู้นอกโลกอื่นอีก เกินกว่าโลกลูกที่คุณอยู่ คุณออกนอกความรู้ ออกนอกกรอบของความรู้อันนั้นไม่ได้ ไม่ใช่บังคับดูถูกดูแคลน แต่เป็นความจริงอย่างนั้นโดยสัจจะเป็นอย่างนั้น 

คนที่สามารถเข้าใจโลกุตรธรรม ความรู้อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งมันไม่ใช่ความรู้ที่คุณอยู่ในความรู้ของคุณที่คุณรู้ ดีที่สุดเป็นอัจฉริยะ เป็นศาสดา คุณก็อยู่ในกรอบของโลกีย์เท่านั้น แต่โลกุตระนั้นรู้จักโลกีย์อย่างเต็มที่ ดีที่สุดของโลกีย์ก็รู้ แล้วก็ทำดีที่สุดของโลกีย์ที่ดีที่สุดได้ เกินกว่านั้นอีก เกินกว่าตรงที่ว่า แม้ดีที่สุดก็ไม่ติดไม่ยึด สามารถมีดีที่สุดแล้ว ไม่เอา เลิกเลย โดยสลายจิตตัวเองที่จะต้องไปอยู่กับดีที่สุด วนเวียนอยู่กับดีกับชั่วกับ ชั่วกับดี มีกับไม่มีนิรันดร ไม่เลิกเลย ไม่มีนิรันดร มีก็ไม่มี ไม่มีก็ไม่มี ไม่มีทั้งมีและไม่มี เกินกว่าที่จะอยู่ไปกับโลกแคบๆ ที่มีแต่ดีกับชั่ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูผู้ปราบมารเพื่อยังพุทธศาสนาให้ถึง 5,000 ปี วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 มีนาคม 2564 ( 05:33:37 )

โลกียะกับโลกุตระต่างกัน

รายละเอียด

โลกียะกับโลกุตระไม่ต่างกันเลยใช่ไหม…ต่าง พวกที่ยังไม่แน่ใจ ก็นึกว่าภาษาสิริมหามายา แต่ไม่ใช่นี่พูดตรงๆว่าโลกียะกับโลกุตระนั้นต่างกัน ต่างกันสิ มันคนละขั้วกันเลย คุณก็จะรู้ความต่างได้ชัดเจน หรือว่าไม่ชัดเจน จะว่าไม่ต่างกันได้อย่างไร ดำกับขาวเลย มันชัดเจน

ที่มา ที่ไป

รายการ ทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 7 พ่อครูบวชมาย่าง 50 ปี มีผลอะไร 1 วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2563 ( 15:34:39 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:49:49 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 15:50:48 )

โลกียะกับโลกุตระต่างกันอย่างไร 

รายละเอียด

ที่นี้ประเด็นสำคัญอันหนึ่งโลกียะกับโลกุตระต่างกันอย่างไร ภาษาวิชาการง่ายที่สุด โลกียะไม่มีนิพพาน โลกุตรธรรมจะมีนิพพาน 

เพราะฉะนั้นโลกุตระเป็นของศาสนาพุทธ จุดหมายสำคัญของชีวิตมนุษย์ต้องไปนิพพานให้ได้ ถ้ายังไปนิพพานไม่ได้ยังไม่มีทางไปนิพพาน คนนั้นยังจมอยู่ในโลกโลกีย์ปุถุชนอีกนานไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ จนกว่าจะมีจิต มีอัญญธาตุ

อัญญธาตุ คือธาตุใหม่ธาตุโลกุตระที่เริ่มจ่อกระแส เรียกว่ากระแสโสดาบัน 

โสดาบันแปลว่าจิตเข้ากระแส โสตาปันนะ แปลว่าจิตจุติเข้าสู่กระแสโลกุตระ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 21 วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563
ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 06 กุมภาพันธ์ 2564 ( 10:49:48 )

โลกียะกับโลกุตระมีหลักเกณฑ์มีสิ่งที่ตัดกรอบตัดเขตตัดเคิฟของเส้นแบ่งกันชัดเจน โดย อัญญธาตุ

รายละเอียด

คุณจะมีอะไรไปให้เขาต้องมีโลกุตรธรรม อาริยธรรมขั้นโลกุตระ คำว่าโลกียะกับโลกุตระพยัญชนะ 2 คำนี้มันมีหลักเกณฑ์มีสิ่งที่ตัดกรอบตัดเขตตัดเคิฟของเส้นแบ่งกันชัดเจน โดย อัญญธาตุ ธาตุจิตที่เป็นอัญญะ ธาตุจิตที่รู้เกินกว่าโลกีย์ หรือมันทวนกลับโลกีย์ โลกีย์เขายังชื่นชอบในลาภสมบัติวัตถุของโลกอยู่ ยังเห็นดีเห็นงามอยู่เลยแล้วคุณจะเพิ่มความร่ำรวยอยู่ในทางวัตถุนี้ ยศคุณก็ยังติดอยู่และยังจะเพิ่มยศศักดิ์ไปอีก สรรเสริญก็แน่นอนคุณก็ยังเพิ่มความสุขความสรรเสริญอยู่ แต่เขตของโลกุตระนั้นมีความเข้าใจแล้วบอกว่าไม่ได้ วัตถุลาภ หยาบที่สุด ยศชั้น อำนาจบาตรใหญ่หยาบรองลงมาเป็นนามธรรม ก็ชัดเจนว่าเราเป็นคนที่ลดละเรื่องลาภยศ แต่สรรเสริญสุขนี่สูงกว่า ยังมีอยู่นะเราก็เข้าใจ แต่คนนี้มีเกณฑ์ที่ตัดก็คือ ไม่แย่งลาภใคร ไม่แย่งยศใคร ไปทะเลาะเบาะแว้งแย่งลาภยศไม่มี คนนี้เริ่มเข้าเกณฑ์ของโลกุตระเริ่มเป็นพระโสดาบันแล้ว โลกียะ แย่งลาภยศ ฆ่าแกงกันเลย เหมือนเขาแย่งกันในสังคม ไม่ว่านอกประเทศหรือในประเทศ เขาก็อยู่ในโลกียของเขาเต็มรูป อย่างนี้เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 11:12:28 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:32:02 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 15:51:40 )

โลกียะคืออะไร

รายละเอียด

ฝากไว้ก่อนโอฬาร โลกียะคือทุกสิ่งทุกอย่างที่ยังไม่พ้นอวิชชาคือโลกียะ

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 22 กันยายน 2563 ( 19:19:15 )

โลกียะคืออะไร โลกุตระคืออะไร

รายละเอียด

โลกียะ คือความรู้ปฏิภาณปัญญาของคนของใครก็แล้วแต่ ถ้าเผื่อว่ายังไม่รู้จักกิเลส ยังไม่รู้จักจิตของเรา ความรู้สึกของเรา ความรู้สึกของเรามันเกิดขึ้นแล้ว คนที่เป็นโลกุตระ จะรู้ทันว่า มีกิเลสร่วมเข้ามาในความรู้สึกตอนนั้น 

โดยทั่วไปปุถุชนจะต้องมีกิเลสเข้ามาร่วม แน่นอนยังไม่หมดกิเลส ยังมีกิเลสประจำอยู่ในชีวิต ผู้ที่เป็นโลกุตระ เมื่อศึกษารู้ว่าเราต้องปฏิบัติอันนี้ พอสัมผัส เกิดความรู้สึก ปั๊บ เกิดอารมณ์เกิดความรู้สึกขึ้นมาในจิต 

หนึ่งแม้ไม่รู้ก็จะต้องเริ่มมีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีสติเต็มเป็นโพชฌงค์ มีธรรมวิจัย แล้วก็พากเพียร จะมีความวิริยะมีพากเพียรด้วยนะ โพชฌงค์ 3 จะทำงาน 

เสร็จแล้วก็อ่านจิตมีความรู้สึกว่า จิตเรามีกิเลส คนนี้แหละคือคนมีโลกุตระ

นี่เอาสภาวะมาอธิบายให้ฟังว่าอย่างนั้นก็ไม่รู้สักทีว่าโลกียะโลกุตระคืออะไร

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 21 วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563
ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 06 กุมภาพันธ์ 2564 ( 10:43:43 )

โลกียะทำดีกับโลกุตระได้ แต่ทำไม่ดีกับชาวโลกุตระ บาปมันสูง

รายละเอียด

ถ้าเป็นผู้ที่มีจิตใจเหนือแล้วแม้จะให้ก็ไม่เสียหายอะไร ไม่ได้มีจิตใจหลงใหลปลาบปลื้มกับคำยกย่องชมเชยเหล่านี้ มันเป็นสัจธรรมของโลกุตรสัจธรรมที่จริง ไม่มีปัญหาอะไร โลกียะทำอะไรกับโลกุตระได้ในเรื่องดี เรื่องเจริญในเรื่องยกย่อง ทำสิ่งดีๆให้ชาวโลกุตระ ไม่เสียหาย แต่ถ้าทำสิ่งไม่ดีกับชาวโลกุตระนี้ บาปมันสูง นี่ไม่ใช่ขู่นะแต่เป็นสัจจะ แม้จะทำดีกับชาวโลกุตระ ให้รางวัลอย่างนู้นอย่างนี้อย่างเช่นโลกีย์ให้มา ชาวโลกุตระก็ถือ1.เป็นโจทย์ คนที่ติดอยู่ในฐานเสขบุคคล ก็อาศัย แต่ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ขึ้นไปเป็นโพธิสัตว์แล้วก็ไม่มีปัญหาอะไรเฉย แล้วก็รับ ผู้ที่ให้เกียรติเรายกย่องชมเชยเราให้รางวัลเราด้วยความจริงใจของเขา มันดีเป็นสิ่งดีเราจะปฏิเสธทำไม เราไม่ปฏิเสธ แต่ว่า ไม่ต้องแอคอาร์ท เราก็ต้องรู้ตัวเรา ถ้าเผื่อว่าเขามาให้เราโดยมีอะไรแฝง หรือแม้ไม่แฝงก็ตาม เราควรจะตอบรับๆเหมาะควรแค่ไหน เรื่องนี้ จะมีบทเรียนนี้มีการศึกษานี้ขึ้นไปเรื่อยๆ ในสังคมชาวอโศกของเราสังคมโลกุตระ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 02 กันยายน 2563 ( 14:36:38 )

โลกียะมีแต่เกิดแล้วค้างอยู่ที่นิรันดร หรือไปจบอยู่ที่พระเจ้า แต่พุทธเป็นอย่างไร

รายละเอียด

โลกียะมีแต่เกิด ๆๆๆ แล้วค้างกันอยู่ที่นิรันดร ไม่มี 0 ไปจบอยู่ที่พระเจ้า แล้วก็ไม่รู้อะไรต่อ แต่ของพระพุทธเจ้า จะไปสูงสุดเป็นคนดีที่สุดเรียกว่าพระเจ้า เป็นความรู้สูงสุดประเสริฐสุดคือพระเจ้าก็โอเค ไม่ว่ากัน แต่จริงๆ จิตวิญญาณมันไม่ได้อยู่นิรันดร พระเจ้าไม่รู้จักตัวเอง พระเจ้าไม่รู้จักว่าจิตวิญญาณเป็นอนัตตา จริงๆ มันเป็นแค่องค์ประกอบปรุงแต่งกันอยู่ สังขารกันอยู่เท่านั้นเอง ถ้ารู้จักพลังงานที่มันหยุดสังขาร ไม่ต้องไปปรุงแต่งกันเลย สลายยางเหนียวที่มันจับกันเป็นสังขารให้มันออกได้ พระพุทธเจ้าทำได้ ก็เลยแยกธาตุจิตวิญญาณที่เป็นยางเหนียวให้สลายไปหมด ไม่มีอะไรจะเป็นยางเหนียวให้สิ่งเหล่านี้จับตัวกันเลย มันก็เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม 

ใช้ภาษาคำพูดให้ฟังได้เท่านี้แล้วเป็นความจริงด้วย พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงอันนี้ได้จริง อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 รู้จักจุดนี้แล้ว และทำได้มาเรื่อยๆ ตั้งแต่โลกที่ปรุงแต่งอย่างหยาบ มาเป็นตัวอย่าง จนกระทั่งถึงขั้นโลกในระดับจิต เข้าถึงจิตในจิต ขั้น รูปจิต อรูปจิต มาถึงขนาดนี้แล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ กษัตริย์คือจิตประชาชนคือกายของประเทศ วันศุกร์ที่ 2 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 กันยายน 2565 ( 14:54:12 )

โลกียะรู้แค่ความดี ความชั่ว

รายละเอียด

อาตมาพูดชัดเจนแบ่งให้เห็นว่า โลกียะนั้น ก็มีความรู้แค่ความดี ความชั่ว อย่าไปทำชั่ว มาทำความดีกัน ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ขัดแย้ง เราก็ต้องมาทำแต่ดี ไม่ทำชั่วเหมือนกัน และก็เป็นความรู้ของชาวโลกุตระของเราด้วยว่า ดีจริงๆ มันดีอย่างไร เขาดีอย่างสุจริตเท่านั้น สุจริต ความหมายของเขาเป็นโลกีย์คือสุจริต จะมีความหมายว่าอย่าไปแย่งไปชิงเขา แต่เขาก็ยังหอบหามลาภ ยศ สรรเสริญอยู่ แล้วมันจะไม่เอาได้อย่างไร ไม่ไปแย่งมาได้อย่างไร มันก็ยังอยากรวย อยากจะมีมากกว่าเขา แล้วก็มีอำนาจทางทรัพย์ มีอำนาจทางอำนาจ มีอำนาจทางยศศักดิ์ อะไรพวกนี้ มันก็เป็นความรู้วนๆอยู่ในโลกียะทั้งนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่แต่ละกลุ่ม แต่ละหมู่ แต่ละสังคม แต่ละประเทศ ที่ไม่มีความรู้โลกุตตรธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งก็ไม่มี เพราะว่าเขาเป็นศาสนาที่ไม่ใช่พุทธ 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 12 สัจจะยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติที่เรียกว่าการเมือง วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2566 ( 16:41:46 )

โลกียะวนอยู่ที่เดิมกับถอยหลัง

รายละเอียด

สรุปแล้ว ผู้เริ่มมีความรู้ของความเป็นโลกุตระหรือโลกอื่น โลกใหม่ โลกหน้า ที่คุณจะต้องเดินทางออกมา ไม่ใช่วนอยู่ที่เก่าหรือถอยหลัง วนอยู่ที่เดิมกับถอยหลัง มันก็มีอยู่แค่ปัจจุบันกับอดีต วนอยู่กับที่เดิมกับถอยหลัง มันมีแต่อดีตกับปัจจุบัน วนอยู่ที่เดิมก็คือปัจจุบันถอยหลังก็คืออดีต แต่นี่มีครบ สามกาละ เราใช้ปัจจุบันอยู่กับปัจจุบัน มีทิฐธรรมเรียกว่าปัจจุบันชาติ ชาติคือการเกิด ปัจจุบันชาติ คือทิฏฐธรรม ทรงไว้ซึ่งทิฏฐะ ปัจจุบันชาติ เราอยู่กับอันนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564 วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2564 ( 15:07:48 )

โลกียะวนอยู่ในฐานแห่งความดีความชั่วในโลกธรรม

รายละเอียด

โลกนี้คือโลกโลกียะ ซึ่งมันวนอยู่ในฐานแห่งความดีความชั่วในลาภ ยศ สรรเสริญ โดยเฉพาะสุข สุขเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เป็นนามธรรม เราใช้คำศัพท์เรียกว่าสุข เป็นคำบาลี ไทยก็เนียนกับบาลีมาเยอะ อีกหน่อยในอนาคตโลกุตระเจริญไปเรื่อยๆ บาลีที่เป็นศัพท์ทางธรรม โลกุตระจะเจริญในเมืองไทย คนไทยจะรู้ความหมายคำเหล่านี้ เช่นความหมายคำว่าบุญ (บาลีคือ ปุญญะ) บวชเป็นคำไทยแล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564 วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2564 ( 15:06:36 )

โลกียะหรือเทวนิยมจะไม่เรียนรู้ทุกข์อาริยสัจ

รายละเอียด

ซึ่งโลกียะหรือเทวนิยมเขาไม่นำพาในเรื่องสุข-ทุกข์ เลย เขาหลงแต่สุขนิยม ความทุกข์เขาไม่ได้เรียนก็ไม่ได้เป็นอาริยะ ไม่เรียนรู้ทุกข์อาริยสัจ ไม่ได้เรียนอย่างผู้ฉลาด ผู้ประเสริฐถึงจะรู้จักสัจจะของมันสมบูรณ์แบบ ไม่รู้สัจจะอะไรก็จมอยู่ในสมมุติสัจจะ ปรมัตถสัจจะไม่เข้าใกล้กันเลย ก็อยู่อย่างนั้นแหละเห็นอยู่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 42 อรหันต์คือมนุษย์พืชที่มีกายแต่ไม่มีกาย วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 กรกฎาคม 2565 ( 12:15:23 )

โลกียะหรือเทวนิยมหมุนวนเวียนเป็นสภาพสมบัติผลัดกันชม

รายละเอียด

ผู้ที่ได้เซลล์ จับตัวกันเป็นเซลล์ของสัตว์ขึ้นมา ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวจนกระทั่งเป็นสัตว์หลายล้านๆๆ เซลล์จนมาเป็นมนุษย์ แล้วก็ไม่มีทางที่จะเลิกเป็นร่างมนุษย์ได้เลย โลกียะเขาก็เรียนรู้กัน เกิดเป็นมนุษย์นั้นดีที่สุด จนกระทั่งคิดว่าทำดีไป แต่ไม่รู้เรื่องกรรมวิบาก แต่เขาพยายามทำทั้งที่ไม่รู้ ทำแล้วก็พอมีปฏิภาณรู้ว่าทำกรรมดี ดี ก็รักษากรรมดีไป โดยไม่รู้กรรมวิบากที่เวียนวนจนกระทั่งทำกรรมดีได้มั่นคงแข็งแรงสูงสุด ก็ได้เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งประกาศศาสนา ประกาศศาสนาแล้วก็ไม่เที่ยงก็มีคนอื่นมาแย่งชิงตำแหน่ง ตัวเองก็หมุนวนเวียนไม่สามารถปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ จึงเป็นสภาพสมบัติผลัดกันชม เพราะเวลามันยาวนานมาก เป็นอจินไตยที่อธิบายไม่ไหว มันจึงสับสนเรียงลำดับไม่ถูก กรรมวิบากก็ยิ่งซับซ้อนยากที่จะเรียบเรียงได้ ทางด้านศาสนาเทวนิยม

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 2 วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 12 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 กรกฎาคม 2564 ( 18:40:01 )

โลกียะหรือเทวะ

รายละเอียด

โลกียะหรือเทวะ คือ  การอยู่กับปัจจุบันไม่ได้ พระเจ้าไม่มีปัจจุบัน พระเจ้าไม่ปรากฏตัวในปัจจุบัน ต้องมีพระบุตรมาบอกอีกทีแล้วไม่สามารถแยกนามธรรมเป็นสุญญตาได้ด้วย

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 18 กันยายน 2562 ( 17:34:39 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:50:19 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 16:16:40 )

โลกียะเขาก็นิรันดรในความมี ส่วนพุทธที่เป็นโลกุตระก็นิรันดรในความไม่มี

รายละเอียด

มันเป็นเรื่อง"อจินไตย" เป็นเรื่องนิรันดร ทั้งความมี-ทั้งความไม่มี โลกียะเขาก็“นิรันดร”ใน"ความมี" ส่วนพุทธที่เป็น“โลกุตระ ก็“นิรันดร”ใน“ความไม่มี” ผู้“มี”ก็คือ“ผู้ยังต้องมี” ส่วนผู้“ไม่มี”ได้แล้วจริง ก็เป็น “ผู้ไม่มี” จึงทำที่สุดแห่งที่สุดที่“ความไม่มีนิรันดร”ได้จริง

ศาสนาพุทธเป็น“อเทฺวนิยม” รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง”ของไตรลักษณ์ มี“อนัตตา” มี“สุญญตา” มี“นิพพาน” และที่สำคัญมี“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน” “ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”คือ คนผู้เป็นเจ้าของ“จิตวิญญาณ”เองสามารถจัดการกับ“จิตนิยาม”ของตนให้เป็น “อุตุนิยาม” นั่นคือ “จิตวิญญาณ”ของคนผู้นั้นสูญสลายกลายเป็น“ดิน น้ำ ไฟ ลม”ไป หมดสิ้น“อัตตา”ของตนไปนิรันดรเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 30 ตำนานพญานาค ตอนที่ 1 วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก  

 


เวลาบันทึก 31 พฤษภาคม 2565 ( 14:47:42 )

โลกียะเป็นปากกรวย โลกุตระเป็นก้นกรวย

รายละเอียด

แต่ทางโลกุตระมาทางก้นกรวย จบสุด สูญ! ไม่มีไปอีกแล้วจบเลย เลิก! ต่างคน คนที่เดินทางไปหาก้นกรวยกับคนเดินทางไปหาปากกรวย โลกียะเป็นปากกรวย โลกุตระเป็นก้นกรวยอันนั้นมันไม่มีที่จบมันหาที่สุดไม่ได้ บานปลายออกไปยิ่งหนักลำบาก แล้วก็ยิ่งขี้โลภจัด ยิ่งไปก็ยิ่งมีคู่ต่อสู้มาก ก็ยิ่งสร้างหนี้บาปมาก วนเวียนทับทวีเรื่องวิบาก เพราะมันต้องเอาชนะคะคาน ต้องเอาเปรียบ ต้องเอาแรงมาสู้ เอาแต่แค่แรงกับวัตถุลาภ 2 อย่างนี้ มีวัตถุกับมีแรงเก่ง เก่งกว่าก็ ข่ม ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา ชนะก็ได้มา แพ้ก็เสียไป ยิ่งกว่าการพนัน เป็นอยู่อย่างนี้ เหน็ดเหนื่อย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนจนสาธารณโภคีที่เหาะได้ทั้งชุมชน วันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 มกราคม 2564 ( 16:48:38 )

โลกียะเป็นสมบัติผลัดกันชม

รายละเอียด

ธรรมะของโลกุตระเข้าใจผู้ที่เป็นปุถุชนเป็นโลกียะ ตายอย่างไรก็ต้องเกิดตามกุศล อกุศลของตน ได้ดีหรือไม่ได้ดีก็ต้องเป็นจริงตามนั้น และถ้าไม่ได้เรียนกรรมที่เป็นโลกุตระ มันก็จะมีดีสูงสุดไป คุณจะไปยืนอยู่ที่สูงสุดอย่างไรมันก็ต้องเปลี่ยน จิตของคนไม่เที่ยงหรอกจะรักษาความดีไว้อีกหน่อยก็จะชะล่าใจผิดพลาด หรือว่ามีคนแย่งตำแหน่งดีนี้มีความดีกว่าอย่างนี้เป็นต้น มันจะเป็นอย่างนั้นผลัดกัน ทำไมถึงสรุปด้วยพยัญชนะว่าเป็นสมบัติผลัดกันชม โลกียะเป็นสมบัติผลัดกันชม มันไม่มีความยืนหยัดยืนยันเที่ยงแท้เลย เป็นแค่สมบัติผลัดกันชมเข้าใจให้ดีๆให้ลึกซึ้ง กับสำนวนว่าสมบัติผลัดกันชมคือโลกีย์แท้ๆ ไม่มีใครที่จะครองความร่ำรวยความสูงส่งเป็นศาสดา ล้านชาติ ไม่มี อย่าว่าแต่ล้านสมัยเลย แค่สองสามสมัยก็เป็นไปไม่ได้ เพราะโลกีย์ ไม่มีสูตร ชาติต่อไปก็ต้องไปจะเกิดเป็นศาสดาทุกๆสมัยมันจะเป็นไปได้ไหม ศาสนาเทวนิยมก็มีการแย่งชิงความดีสูงสุดเป็นศาสดากันทั้งนั้น และนัยยะของโลกีย์ศาสดาสูงสุดก็จนทั้งนั้นเหมือนกัน ไม่ได้รวย แต่จะจนต่างกันบ้าง ยกตัวอย่างจริงก็ได้ พระเยซูกับพระโมฮัมหมัดใครรวยกว่ากัน ก็เป็นอย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช ทานและบุญที่ฆ่าตัวตนและของๆตน วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 14 ธันวาคม 2562 ( 19:59:02 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:51:11 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 20:15:17 )

โลกียะเป็นอสุภะ

รายละเอียด

แล้วใช้ปัญญารู้ว่าไอ้สิ่งนี้คือสิ่งที่ควรได้ควรมีควรเป็น ไม่วิปลาสเป็นสิ่งที่ไม่น่ามีไม่น่าได้ไม่น่าเป็น อันนั้นเป็น “อสุภะ” โลกียะเป็นอสุภะ ส่วนโลกุตระนี่ต่างหากเป็นสิ่งน่าได้น่ามีน่าเป็น ควร อย่าไปเห็นผิด อย่าวิปลาส ไปเห็นผิด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การศึกษาที่ไม่ลดกิเลสกู้ประเทศไม่ได้ วันพุธที่ 6 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 มกราคม 2564 ( 11:45:52 )

โลกียะไม่จบที่อนัตตา เพราะตีตัวอัตตาไม่แตก

รายละเอียด

ไม่จบที่อนัตตาเพราะตีตัวอัตตาไม่แตกก็ไม่มีอนัตตา เพราะฉะนั้นก็เลยไม่มีความรู้ ถ้าความรู้โลกียะมีแค่ 3 คือ 1 2 3 ก็วนเวียนอยู่แค่นี้ความรู้ตัวที่ 4 ไม่มี มิติที่สำคัญที่สุดคือมิติตัวที่ 4 ไม่มี ไม่ออกจากกรอบโลกียะอยู่ใน 3 

เพราะฉะนั้นผู้ที่เหนือกว่าโลกียะ 3 ออกไปที่ 4 จึงชื่อว่าโลกุตระนี่ยิ่งใหญ่ที่สุด แล้วโลกุตระ เป็น 4 ไปแล้วก็จะไปเป็น 5 เป็น 6 ก็ขยายไปอีก รู้แล้วก็จะไปตีกรอบอยู่ทำไมขยายไม่ได้ ขยายเป็น 6 เป็น 9 เต็มครบก็รู้ว่า มีขยายอีกให้ละเอียดก็ขยายไปอย่างได้สัดส่วนอันน่าอัศจรรย์ นี่คือรายละเอียดสูงสุดที่อาตมาขยายคร่าวๆ ให้ฟัง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เจโตปริยญาณ 16 และ
ปฏิจจสมุปบาทโดยพิสดาร วันพุธที่ 21 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 เมษายน 2564 ( 20:53:30 )

โลกียะไม่มีทฤษฎีจัดการกับกิเลส

รายละเอียด

โลกียะไม่เที่ยง โดยเฉพาะเขาทำได้ชาตินี้ ชาติหน้าตกต่ำ ชาติหน้าไม่เที่ยงแล้ว แม้จะเป็นศาสดาเอง เกิดมาชาติต่อๆ ไป เขาจะไม่มีการรู้ถึงจิตเวียนตายเวียนเกิด แล้วก็เหตุที่เป็นตัวต้นเหตุในจิตนิยาม ต้นเหตุคือกิเลสนี่แหละเขาไม่ได้เรียนรู้กัน เพราะฉะนั้นเขาทำลายกิเลสไม่ได้ ได้แต่กดข่ม สังวรระวัง เฉยๆ แล้วก็ไม่มีทฤษฎีที่จะจัดการกับกิเลส ไม่มีธาตุรู้ที่เป็นญาณปัญญา ญาณปัญญาที่หยั่งรู้เข้าไปในจิต เจตสิก รูป นิพพาน อันนี้แหละ ยิ่งใหญ่ จิตเจตสิกต่างๆ 

ในเจตสิกแยกแยะออกไปอีกมากมาย หลากหลายมาก ยกตัวอย่างเช่นที่อาตมานำมาสอนพวกเรา แล้วก็เรียนรู้ได้จริง เหตุปัจจัยเกิดอย่างไรอย่างไร เวทนาเจตสิกอย่างนี้เป็นต้น เวทนาเจตสิก108 เวทนา 108 มันมีลักษณะอย่างไร 

เวทนา 2 พิจารณาเวทนาในเวทนา ก็คือสามารถรู้จักเวทนา 2 

เวทนา 3 เวทนา 5 เวทนา 6 เวทนา 18 เวทนา 36 เวทนา 108 อย่างนี้เป็นต้น 

มีพวกเรานี่ล่ะ ชาวอโศกนี่แหละเรียน แล้วก็รู้ รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง ในภาษาพวกนี้ด้วย รู้แล้วก็เข้าไปจัดการ ปรับปรุงหรือปรุงแต่ง ปรับแก้ ทำให้จิตเจตสิกเหล่านี้ ดีขึ้น ลดกิเลสได้จริง มีโพชฌงค์ 7 สามารถมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีสติสัมผัสแล้วมีสติตื่น มาสัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เห็นทางกายกรรม ทางวจีกรรม ทางมโนกรรม ตื่นเต็ม ไม่ใช่ไปตื่นอยู่ในจิตหลับตาปฏิบัติ อยู่ในจิตแล้วก็ตื่นให้มีสติเต็มให้ได้ ในจิตเท่านั้น ไม่ใช่ ไม่พอ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาภาคค่ำ งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 47 

วันพุธที่ 8 มีนาคม 2566 แรม 2 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรปฐมอโศก


เวลาบันทึก 26 มีนาคม 2566 ( 12:19:08 )

โลกียะไม่รู้จักสุขทุกข์

รายละเอียด

แม้แต่เทวนิยม องค์กรต่างชาติ สหประชาชาติ UNESCO อะไรก็แล้วแต่ ที่ให้ถวายรางวัลท่าน เขาเป็นชาวเทวนิยมนะ ศาสนาหรือว่าความรู้ทางธรรมแบบโลกียะ แบบที่เขาไม่รู้ โลกียะต่างกับโลกุตระอย่างไร ประเด็นสำคัญ โลกียะไม่รู้จักสุขทุกข์ โลกียะไม่ประสีประสากับสุขกับทุกข์ ไม่ได้เรียนรู้เรื่องสุขทุกข์ ไม่ได้จัดการให้พ้นทุกข์พ้นสุขจนเป็นนิพพาน อธิบายอย่างเดียวนี้ครบโลกุตระแล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่มีลัทธิเทวนิยม ลัทธิของศาสนาพระเจ้าทั้งหลายทั้งหมด จึงไม่มีการบำบัดทุกข์และก็บำบัดสุข ไม่ใช่บำบัดทุกข์บำรุงสุข 

การบำบัดทุกข์บำรุงสุขเป็นภาษาของโลกีย์ ทั้งโลกเขาจะต้องบำบัดทุกข์บำรุงสุขแล้วก็ไปหลงสุขหลงสวรรค์จนกลายเป็นครุฑ กลายเป็นพญาครุฑ เป็นเจ้าโลก แต่มีเล็นมีหมัด แอบเสพกามอยู่ในกากีของพระเจ้าพรหมทัต พระเจ้าพรหมทัตก็คือเจ้าโลก อย่างนี้เป็นต้น อาตมายังไม่ขยายความอันนี้ ขยายความได้ แต่มันลึกซึ้งละเอียดไปถึงปรมัตถ์ ก็ผ่านไปก่อน มีประเด็นอะไรบ้าง ที่อาจารย์ยักษ์อยากจะยกตัวอย่างให้ทันสมัย เหมาะสมกับยุคนี้ จนกระทั่ง เพราะท่านได้ทรงพระจริยวัตรนั้นมา พระกิริยานั้นมา จึงตกทอดอิทธิพลมาถึงคนยุคนี้ จนกระทั่งถึงนายกประยุทธ์ อย่างนี้เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 5 พ่อครูพบ อ.ยักษ์​ วิวัฒน์ ศัลยกำธร วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม 2565 ขึ้น 12 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2565 ( 11:27:10 )

โลกียะไม่รู้อุปธิ 3

รายละเอียด

แต่โลกียะไม่รู้อุปธิ 3 คือ กิเลส ขันธ์ 5 ที่แม้ชาวพุทธ ก็เรียนรู้แค่เป็นพยัญชนะ ไม่เรียนรู้ถึงสภาวะได้ ไม่สามารถจับกิเลสได้ ฆ่ากิเลสเป็น ต้องรู้ตัวกิเลส แยกกิเลสออกจากขันธ์ ต้องแยกขันธ์จริงกับขันธ์ปลอมขันธ์เก๊ ที่มันมารวมอยู่ในตัวเราเหมือนกัน แยกมันได้เป็น 2 แล้วมีวิธีที่จะทำให้ที่มันไม่ใช่ของจริง 2 นี้ ต้องเลือกอันหนึ่งจริงอันหนึ่งไม่จริง มีวิธีที่เรียกว่าอภิสังขารปรุงแต่งพลังงาน ฌาน แล้วสลายกิเลสได้ มีฤทธิ์เหนือกิเลสจริงๆ พิสูจน์ได้ ผู้ปฏิบัติได้เกิดเป็นปัจจัตตัง จะรู้ว่ากิเลสลด กิเลสจะลดได้ต้องรู้กิเลสที่อยู่ในขันธ์ที่อยู่ในเวทนาสัญญาสังขารหรืออยู่ในโลก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่มีจิตเข้าไปร่วมอยู่เป็นกาย กายทุกกายกับจิตรวมกัน ทำงานแยกกันไม่ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูให้โอวาทพิธีรับกลด นักเรียนสัมมาสิกขา ปีการศึกษา 2562-2563 วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 เมษายน 2564 ( 20:47:44 )

โลกียะไม่สามารถสร้างเศรษฐศาสตร์สาธารณโภคีได้

รายละเอียด

แต่ทางพุทธนั้น ข้ามขั้นมาเกินกว่าพวกที่กำลังหาทางออกเหมือนกัน เขาก็พอเห็นแล้วว่าไปแย่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เขายังไม่เข้าใจแท้หรอก ลาภ ยศ สรรเสริญ มันมาแย่งกันอยู่นี่มันไม่ถูก เขาก็พยายามออกเหมือนกัน ก็เป็นเทวนิยมอีกชนิดหนึ่ง มีวิธีสะกดจิต มีวิธีแบบหลายวิธี แต่มันไม่ใช่วิธีของพระพุทธเจ้าที่เข้าไปรู้ จิต เจตสิก เข้าไปรู้ปรมัตถ์อย่างละเอียด 

มีรูปนามขันธ์ 5 เป็นต้น โดยเฉพาะแยกเวทนาในเวทนาไปถึง 108 ลักษณะ 108 มิติ แยกได้ชัด โดยเฉพาะ มโนปวิจาร 18 อย่างโลกีย์เรียก เคหสิตะ 18 เหมือนกัน เนกขัมมะอีก 18 ก็มีองค์ประกอบ เหมือนกัน 

มีองค์ประกอบเกิดจากตาหูจมูกลิ้นกายใจ 6 ทวาร สัมผัสเกี่ยวข้องกับ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส สัมผัสกาย สัมผัสใจทางทวาร แล้ว 6 ทวารนี่แหละ สัมผัสกันแล้วปรุงแต่งกันแล้ว เป็นสุขก็ได้ เกิดเป็นทุกข์ก็ได้ ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ได้ 

เพราะฉะนั้นทางตา สุขทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ได้ เสียงก็สุขก็ได้ทุกข์ก็ได้ ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ได้ จมูกได้กลิ่นก็เหมือนกัน ลิ้นก็เหมือนกัน โผฏฐัพพะ ก็เช่นกัน ทางใจก็เช่นกัน ทุกทวารเป็นได้ทั้ง 3 อย่าง 6 ทวาร ก็รวมเป็น 18 

โลกียะ จะมีทิฏฐิแบบโลกียะได้สมบูรณ์ได้เต็มที่ รูปก็ได้สมมุติตัวเองเต็มที่ ซึ่งต่างกันไม่เหมือนกันตามสมมุตินะ แต่ละกลุ่มแต่ละหมู่สมมุติรูป เสียงกลิ่น รสสัมผัสอย่างนั้น แล้วแต่จะยึดถือ ได้สมใจตามที่มีอุปาทานยึดถือไว้อย่างนั้นๆ ก็ถือว่าเป็นสุข ซึ่งเป็นมายาเป็นสมมุติเป็นสิ่งที่ไม่จริงทั้งนั้น 

วิธีเดียรถีย์ เขาก็ไม่สัมผัส เขาก็ไม่ทำสมมุติตาม แต่ปรมัตถ์ของเขาได้แต่กดข่มเท่านั้น หรือหนีทิ้งห่างป่าเขาถ้ำ เตลิดเปิดเปิงไม่พบใคร อย่างพวกศาสนาเชน เป็นต้น เป็นพวกทรมานทรกรรมตัวเองต่างๆ นานา สารพัดแบบ เขาก็ทำกันไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมพิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ งานอโศกรำลึก ปี 2565 วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2565 ( 19:53:06 )

โลกียะไม่เที่ยง แต่โลกุตระเที่ยง

รายละเอียด

 เขาว่าแต่ละสำนักพอหัวหน้าสำนักตายไป ทุกอย่างก็สลายหายไป อันนี้ก็เป็นจริงสำหรับ

โลกียะ เพราะว่าแต่โลกุตโลกียะมันไม่เที่ยงแต่โลกุตระมันเที่ยง มัน นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) สัจจะของพระพุทธเจ้าได้แล้วได้เลย มันเป็นเรื่องจริง มันเป็นเช่นนั้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 33 ไม่มีความไม่จริงในสิ่งที่พ่อครูพูดเรื่องโลกุตระ วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 28 มิถุนายน 2565 ( 14:30:51 )

โลกีย์

รายละเอียด

ธรรมชาติ คือสิ่งที่ยังเกิดอยู่ ยังไม่ดับสนิท

หนังสืออ้างอิง

เปิดโลกเทวดา หน้า 117


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 08:37:55 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 08:58:38 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 15:52:01 )

โลกีย์ คนเป็นโลกียะ เกือบทั้งโลก

รายละเอียด

อันนี้เป็นความซับซ้อนที่อาตมายังไม่เก่งจะขยายความออกไป แต่ค่อยๆขยายความไปเรื่อยๆ มันน่ากลัวจริงๆ เพราะความเก่งในเครื่องประหารคน แล้วประหารได้จริงๆ ด้วย จนกระทั่งมีประเทศอื่นหลงละเมอเพ้อพกสร้างแข่งกันตาม พวกที่ไม่รู้ตัว สร้างอำนาจ หลงอำนาจ หลงความเป็นใหญ่ หลงไปในทางโลกีย์ คนเป็นโลกียะซะทั้งโลก เกือบทั้งโลก มีโลกุตระอยู่ในประเทศไทย แล้วเอนเอียงมาทางประเทศไทยน้อย น้อยจริงๆ 

มาเข้าสู่สถาบันกษัตริย์ ความจริงที่ถูกบิดเบือน ในเมืองไทยได้ถูกบิดเบือนไปไกลมาก จากความจริง โดยเฉพาะความจริงเฉพาะของรัชกาลที่ 9 ท่านทรงงานมา ซึ่งเป็นคุณของมนุษยชาติอย่างมากเลยที่ท่านทรงงานมา 3,000 - 4,000โครงการและทรงงานจริง เป็นรูปธรรม เป็นตัวอย่าง เกิดผลขึ้นมาให้แก่มนุษยชาติในประเทศไทยอาศัยและใช้ จนกระทั่งคนไทยที่มีราก มี root ของโลกุตรธรรม ของศาสนาหรือทศพิธราชธรรมในแต่ละคนด้วย ในมนุษยชาติแต่ละคนก็มี มีความจริงหรือมีพฤติการณ์ พฤติกรรมของความจริงความดีงาม มีศีล ตามทศพิธราชธรรม มันเป็นเรื่องที่พอสมควรแล้ว เป็นตัวที่จะขยายความครบ ครอบจักรวาลได้เลย 10 ตัวของ ทศะ คือ มันแตกต่างกันใน 10 พยัญชนะมันครบบริบูรณ์ดีแล้ว 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 6 พ่อครูพบ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม 2565 แรม 4 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 ธันวาคม 2565 ( 12:17:41 )

โลกีย์คือตีเทวะไม่แตก คือ

รายละเอียด

เทวะที่แยกได้สองคือ สิ่งที่จริงแบบโลกีย์ที่หมุนเวียนไม่รู้จบกับสิ่งที่จริงยิ่งกว่านั้นคือโลกุตระ เริ่มต้น โสดาบันสกิทาคามีก็ยังไม่จบรอบ เมื่อลดลงไปอีกจนเป็นพระอรหันต์ ก็คือผู้จบรอบหยุดวนเวียน หยุดโลกียะเด็ดขาด แต่ละเรื่องแต่ละโลก ที่คุณไปหมุนเวียนอยู่ เช่นติดบุหรี่ หยุดสูบแล้วก็ไปสูบอีก มันติดหนักหนาสาหัส ต้องสืบให้ได้ คิดถึงน้องเขย บุหรี่ที่บ้านหมดก็เลยต้องเดินไปที่ปากซอยไปซื้อบุหรี่ แต่ก็ทรมาน ไม่อยากบอกเมีย มีหิริ แต่หากไม่ติดก็ไม่เดือดร้อนอะไร แต่ถ้ามันหลุดพ้นแล้วก็ไม่ได้อยากอะไร หากว่ามันยังติดนิดหน่อยก็ช่างมันเถอะเล็กๆน้อยๆ ก็เป็นความลักษณะที่ติดอยู่เหลืออยู่หรือไม่ติดเลย ไม่ติดแล้วจริงๆ จะสูบก็ได้ อาตมาจะสูบบุหรี่ตอนนี้ก็ได้แต่ไม่รู้จะเวียนหัวหรือไม่ แต่ก่อนเป็นฆราวาสก็ยังอุตริไปสูบกับเขา ไปสูบบุหรี่ฉุนๆ ก็จะตายเอา ต้องเล่นจืดๆก่อน หัดสูบ สูบไปสูบมา พยายาม จะสูบได้ตอนกินเหล้า หากไม่กินเหล้าสูบไม่ได้มาก โมเมไปกับเพื่อน กับตอนเล่นพนัน มันมั่วไปด้วยกัน เล่นไพ่ เล่นบิลเลียด ก็โง่มาก่อน ชาตินี้อาตมาไม่ได้ติดบุหรี่  ถือว่าเป็นลิงลมข้าวพองทั้งนั้น แม้แต่การจีบผู้หญิงเพื่อนมันมาโม้ข่ม เราก็ลองจีบก็ไม่ได้เรื่องอะไร คบกับคู่วิบากไป สุดท้ายขอออกบวชเขาก็ยอมให้มาโดยดีไม่มีเรื่องถึงกับแย่งชิงฆ่าแกงกัน

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช ศิลปะในการใช้ชีวิตให้เกิดปัญญามัชฌิมา วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 12 ธันวาคม 2562 ( 17:10:30 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:51:56 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 15:53:03 )

โลกีย์คืออะไร อธิบายให้ ดช.ธัมโมฟัง

รายละเอียด

อายุย่าง 7 ขวบแล้ว โลกีย์คือคนที่ยังหลง ยึดตัวเอง คนไม่ว่าเด็ก ไม่ว่าผู้ใหญ่ยังเห็นว่า ได้ขนมนี่ก็อยากแย่ง ได้ตุ๊กตาก็อยากแย่ง ได้อะไรที่เราชอบก็อยากแย่ง นี่คือโลกีย์ 

ทีนี้คนที่มีจิตลดจากโลกีย์ไม่ไปเป็นโลกีย์จะไปเป็นโลกุตระ จะเห็นว่า นี่เราก็รู้ว่าขนมของเขา เราก็ไม่แย่ง นี่ตุ๊กตาของเขา ของเล่นของเขา เราก็ไม่แย่ง เราเห็นอะไรก็แล้วแต่ที่เราอยากได้ ซึ่งไม่ใช่ของเราไม่ใช่ของที่เรามีสิทธิ์จะได้มา ถ้าเราอยากได้เราก็ต้องซื้อต้องขาย ก็ต้องเอาเงินไปซื้อ เขาให้ ถ้าเขาให้ก็เอา เอาที่ของเขาให้ ของที่เขาไม่ให้ ไม่ไปแย่ง ไม่ไปเอา อยากได้ก็ลดกิเลสเรา คนที่รู้ว่าอยากได้อันนี้ แต่เรายังไม่มีสิทธิ์ ไม่มีเงินซื้อหรือเขาไม่ให้เรา เราก็มาลดกิเลสซะ เลิกอยากได้ อันนี้คือโลกุตระ เอาละยาวไปเดี๋ยวจะเรื่องมาก เอาไปทวนฟัง ไปให้ย่าเปิดให้ฟังทวนก็ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การเมืองบุญนิยมโลกุตระที่เป็นปรากฏการณ์จริง วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2566 ( 15:17:34 )

โลกีย์วนเวียน มันเป็นสวรรค์ซ้อนกับนรก

รายละเอียด

โลกีย์วนเวียน มันเป็นสวรรค์ซ้อนกับนรกอยู่อย่างนั้น โลกียรสเป็นรสโลกีย์ ความดีสูงสุดก็คือการสมมุติกัน แต่เขาไม่รู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพาน เขารู้อาการตัวจิตไม่ได้ เขาไม่เคยศึกษาในการอ่าน อาการ ลิงค นิมิต อุเทส เขาจับจิต ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะไม่ได้ เขาไม่ได้แยกเหตุที่มาปรุงร่วมด้วย คนโลกมีอวิชชาเป็นเทวะ เขาแยกสังขารไม่ได้ เขาจะไม่รู้อาการของจิตในจิต เขาจะไม่รู้อาการของเวทนาในเวทนา เขาจะไม่รู้อาการของกายในกาย กายเขาจะหมายถึงเพียง ดินน้ำไฟลมภายนอก จิตก็จะหมายถึงความรู้สึกในจิตภายในแล้วเขาจะไม่มีว่าความรู้สึกภายในกับร่างภายนอกหากแยกกันก็จะไม่ใช่กาย คนหลับตาปฏิบัติไม่ใช่ของจริง ของจริงตากระทบสัมผัสอยู่ หูก็ได้ยินเสียง สัมผัสอยู่เป็นปัจจุบันเรียกทิฏฐกาละ กาละที่เป็นปัจจุบัน เดี๋ยวนี้ ปัจจุบันขณะนี้เลย ตาหลับไม่เห็น หูไม่ได้ยิน กลิ่นไม่รับรู้ ก็จะไปรู้แต่ภายใน ก็ต้องชัดเจนว่าเราตอนนี้เอาแต่ภายในนะไม่ครบกาย ตอนนี้มีแต่ภายนอก ถ้าตัวคุณไม่มีธาตุรู้ ภายนอกนี้คุณจะรู้อะไรไหม ขณะที่คุณลืมตา เขาก็ว่าคุณลืมตา แต่คุณไม่ได้เอาความรู้สึกเวทนา มาข้างนอกเลย คนอยู่ในภวังค์คุณก็ไม่รู้เรื่อง หูก็ไม่ได้ยิน เหมือนพระพุทธเจ้าเดินในโรงกระเดื่อง มีฟ้าผ่าคนตายสอง วัวตายสี่ ก็ไม่รับรู้ เป็นสภาพที่ตื่นแต่ไม่รับรู้เจตนาสร้างเอาเองท่านทำได้เป็น วสวัตตีพระพุทธเจ้าอาตมายังทำไม่ได้ขนาดนั้น เป็นสิ่งที่พิสดารลึกซึ้งมาแยกโลกียะ มันก็จะวนเวียนมีความดีความชั่ว มีความสุขความทุกข์ มีความต่ำความสูง มีความรวยความจน อยู่อย่างนี้ ดีก็คือ รวยมาก มีอำนาจมาก สบายมากหรือมีรสอะไรที่ต้องการสมใจมาก ถ้าไม่ได้ก็คือ เป็นเศษขยะอะไรเน่าๆไป

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 09:37:59 )

โลกีย์สมบัติผลัดกันชม

รายละเอียด

ก็อ่านแล้วก็เข้าใจ ก็เอามาขยายความสู่กันฟัง ก็เป็นการสรุปความเข้าใจของผู้เขียน ก็มนุษย์วนเวียนเช่นนี้ โลกีย์สมบัติผลัดกันชม แต่เขาใช้คำว่าสมมุติที่แปรเปลี่ยนผลัดกันชม

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 02 เมษายน 2563 ( 13:15:45 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:33:08 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 16:16:50 )

โลกีโย ผัสโส

รายละเอียด

สัมผัสอันเกี่ยวเนื่องกับโลกียะ

หนังสืออ้างอิง

ถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 50


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 08:42:11 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 08:59:13 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 15:53:22 )

โลกุตตร , โลกุตระ

รายละเอียด

1. เหนือโลก คือเหนือความหมุนตามยถากรรม หรือเหนือความหมุนวนอยู่แบบโลก ๆ หรือพ้นโลกีย์ หรือพ้นวิสัยของโลก

2. ผู้อยู่เหนือโลก 

3. พุ่งไปทิศเดียวแล้วไม่มีเวียนกลับ 

4. ผู้ไม่เห็นแก่ตัว ผู้ละตัวละตน ผู้เสียสละ ผู้ไม่งมงายอยู่กับโลกที่ไร้คุณค่า ไร้สาระที่แท้ 

5. โลก คือกายและจิตวิญญาณนี้ เราเป็นเจ้าของเรา เรามีอำนาจที่จะกำหนดสุข กำหนดสวรรค์ กำหนดทุกข์ กำหนดนรกให้เกิด ให้ดับได้จริง ทำเกิด ทำดับกิเลสได้จริง ที่สุดทำเกิด ทำดับจิตวิญญาณได้ด้วยตนเองจริง 

6. อยู่เหนือทุกข์ของโลกีย์ , เหนือโลก

7. เหนือกว่าภวตัณหา 

8. เหนือโลก มิใช่หนีโลก

9. เหนือธรรมชาติ 

10. ภาวะพ้นวิสัยโลก 

คำอธิบาย

จะถึงจุดสูงสุดจากวันนี้ไปอีก 500 ปี

(พ่อครู 9.8.2562)

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 412, 428– 429,ทางเอก ภาค 2 หน้า 310, ทางเอก ภาค 3หน้า 156, 175,สมาธิพุทธ หน้า 341


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 08:45:16 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 09:01:46 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 20:18:21 )

โลกุตตรจิต

รายละเอียด

ทุกวันนี้ เอาคุณงามความดี โลกทุกวันนี้ชักจะพอมีปฏิภาณรู้แล้ว ว่าประเทศไหนคนจริงมวลชนในประเทศไหน มีความจริงก็ขอสรุปเรียกว่าโลกุตระ อาริยะ ถ้าโลกุตระเขาจะค่อยมีปฏิภาณรู้มันเป็นความบริสุทธิ์ โลกุตตรจิต เป็นความบริสุทธิ์ เป็นความไม่มีอัตตา ไม่เห็นแก่ตัวมีความเสียสละมีความรู้ความสามารถ ช่วยมนุษยชาติเพราะโลกุตระจะมีความรู้เรื่องวิบากเรื่องเวียนตายเวียนเกิด เพราะคุณจะเวียนตายเวียนเกิดอีกไม่รู้กี่ชาติก็จะมีภูมิที่สูงขึ้นมารับใช้ เพื่อมนุษยชาติ กี่ชาติๆ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 18 พฤศจิกายน 2563 ( 11:55:53 )

โลกุตตรธรรม 46

รายละเอียด

ธรรมเหล่าไหนเป็นโลกุตระ ?  . . .

สติปัฏฐาน 4  สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4   อินทรีย์ 5   พละ 5 โพชฌงค์ 7  มรรคมีองค์ 8  อริยมรรค 4  สามัญผล 4 และนิพพาน 1

ธรรมเหล่านี้เป็นโลกุตระ ฯ (หรือ โลกุตระ 46) [ล.31 ข.620]

 

[ล.34  ข.911] โลกิยธรรม เป็นไฉน?

กุศลในภูมิ 3  อกุศลวิบากในภูมิ 3  กิริยาอัพยากฤตในภูมิ 3  และรูปทั้งหมด .   สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า โลกิยธรรม.

 

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2562 ( 17:06:11 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:54:43 )

โลกุตตรธรรมคือ เนื้อหาของธรรมะ

รายละเอียด

โลกุตตรธรรม จริงๆแล้วคำว่าโลกุตตรธรรมนี้ก็คือ เนื้อหาของธรรมะ ในประเทศไทยก็ตามที่เป็นเมืองพุทธได้นำพากันมาถึง 2,500 ปีใช้ธรรมะของพระพุทธเจ้า ประเทศไทยเกิดมาไม่ถึง 2,500 ปี เท่าที่เป็นพุทธและนำใช้มา พอมาถึง 2,500 ปีนี้มันเสื่อม คนเสื่อมนะไม่ใช่ธรรมะเสื่อม ชาวพุทธนี่แหละเสื่อมไปจากธรรมะของพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะชาวพุทธที่เป็นคณะยึดเป็นกระแสหลักหรือพุทธคณะใหญ่ ชาวพุทธคณะใหญ่ที่บริหารดูแลก็เสื่อมไป บุคคลเสื่อมไปจากโลกุตตรธรรมของพระพุทธเจ้า 

ก็มีอาตมาเกิดมาในยุคนี้พอดี อาตมาก็มากอบกู้โลกุตรธรรมขึ้นมาเพื่อให้โลกุตรธรรมยืนยาวอยู่ในโลกไปได้อีกจนกว่าจะถึงพ.ศ. 2,500 กว่าปีเรื่องนี้ก็เป็น อจินไตย ไม่ใช่เรื่องที่จะพูดง่ายๆ เล่นๆ ถ้าไม่จริงก็บาปกินหัวหนักคุยโม้โอ้อวดไม่เข้าท่า เป็นการอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน ปาราชิกด้วย อาตมาก็เป็นสมี ถ้าเผื่อว่า อาตมาพูดผิด 

แต่อาตมาขอยืนยันว่าอาตมาพูดจริงพูดถูกอย่างมั่นใจ อาตมาใช้ภาษาความหมายความรู้ความเข้าใจแม้แต่คำว่าปัญญา ปัญญา 8 อาตมาขยายความตามธรรมะพระพุทธเจ้า ตอนนี้เขียนหนังสือเป็น 3 เล่มแล้วจะมีถึงเล่ม 4 อีก ตอนนี้เพิ่งทวนไปได้ร้อยกว่าหน้าเอง อาตมาก็ พยายาม บอกตัวเองว่าอย่าขยาย แต่มันขยายหน่อย นี่ก็หลายร้อยหน้าแล้ว คิดว่าพยายามอย่าให้มาก คิดว่าพยายามจะสรุป

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ตอนที่ 4 วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นวันแรม 10 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 เมษายน 2566 ( 20:00:55 )

โลกุตตรภูมิ , โลกุตรภูมิ

รายละเอียด

1. ภูมิที่ผู้พ้นกามแล้ว จะถึงเวียนว่ายอยู่ นั่นคือมีพระพรหม มีพระอรหันต์ 

2. ภูมิที่พ้นโลกอบาย โลกกาม โลกภพนั้น ๆ แล้ว จะยังเวียนว่ายอยู่เช่น พระพรหม พระอรหันต์ที่ยังเหลือเหตุ ยังไม่นิพพาน เป็นต้น

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 143118


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 08:46:13 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 09:02:46 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 20:19:03 )

โลกุตตระ

รายละเอียด

คือรู้จักกิเลสรู้จักวิธีลดกิเลสปฏิบัติเพื่อลดละกิเลสได้ขึ้นมาได้ 1 หน่วยก็เริ่มต้นเป็นพระโสดาบันได้ 2 หน่วยก็เป็นพระโสดาบัน 2 หน่วย ได้ร้อยเป็นพัน ก็เข้าหาพระสกิทาคามี เป็นเช่นนี้ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช ศิลปะในการใช้ชีวิตให้เกิดปัญญามัชฌิมา วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 12 ธันวาคม 2562 ( 17:36:45 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:55:29 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 16:18:19 )

โลกุตตระนี้ เพราะอรรถว่ากระไร

รายละเอียด

(พระสารีบุตรให้อรรถว่า..)   ที่ชื่อว่าโลกุตระ   เพราะอรรถว่า  ข้ามพ้นโลก   ข้ามพ้นแต่โลก  ข้ามไปจากโลก   ล่วงพ้นโลก   ล่วงพ้นโลกอยู่   เป็นอดิเรกแล้วในโลก   สลัดออกแต่โลก  สลัดออกจากโลก  สลัดไปจากโลก   สลัดออกไปจากโลก  

  สละออกแต่โลก  สละออกจากโลก   สละออกไปจากโลก  ไม่ตั้งอยู่ในโลก  ไม่ดำรงอยู่ในโลกไม่ติดอยู่ในโลก   ไม่เปื้อนในโลก ไม่ไล้ในโลก  ไม่ไล้ด้วยโลก  ไม่ฉาบในโลก  ไม่ฉาบด้วยโลก  ฯลฯ  (ล.31  ข.620)

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2562 ( 17:02:35 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:56:07 )

โลกุตตระเรียนแล้วจบด้วยอายะ 3

รายละเอียด

พยายามอธิบายอันนี้ ให้ผู้ที่ศึกษาแสวงหาชาวเทวนิยม ชาวพระเจ้าจะได้สะดุดบ้าง พยายามอธิบายให้เห็นสัจธรรมอันนี้ ว่ามันมีทิศทางที่สูงกว่าโลกียะอยู่นะ สูงกว่าเทวะที่เป็น หรือชัดๆ คือ สูงกว่าพระเจ้าอยู่นะ พูดไปแล้วดูเหมือนยกตนข่มท่าน มันน่าเกลียด มันดูไม่ดี แต่นี่เรากำลังอธิบายวิชาการ พูดอธิบายความจริงกัน มันก็หลีกเลี่ยงความจริงเป็นภาษาวิชาการไปไม่ได้ มันต้องพูดความจริงเท่านั้นเอง แต่ใจเราก็เข้าใจไม่ได้ไปข่มเขา จะไปข่มเขาทำไม ไปอวดดีเขาทำไม ไปเหนือกว่าเขาทำไม คุณก็ทำไปสิ แล้วก็อยากให้คุณรู้คุณเข้าใจมาทำแบบนี้ด้วย ให้รู้เข้าใจว่าอันนั้นมันยังไม่จบแต่อันนี้จบนะ อันนั้นเรียนอย่างไรก็เรียนไม่จบ แต่โลกุตตระนี้เรียนแล้วจบเลย เมื่อจบแล้ว คุณอยากจะอยู่ไปนิรันดรก็อยู่ได้แล้วเป็นเครื่องรับรองเลยว่า ถ้าเรียนแล้วปฏิบัติตามทฤษฎีหรือหลักสูตรพระพุทธเจ้าทั้งหมด ถ้าคุณจะยังอยู่เป็นคน คุณก็อยู่ไปสิ เพราะคุณเป็นอรหันต์แล้วจะอยู่ก็มีแต่เป็นโพธิสัตว์ต่อไปอีกนิรันดรเท่าไหร่ก็เชิญ มีแต่ประโยชน์ ไม่ได้ทำโทษภัยให้แก่โลกแก่ใครเลย มีแต่รับใช้โลก โลกานุกัมปายะ จบด้วย อายะ 3 พหุชนหิตายะ (เพื่อประโยชน์ของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

อายะ แปลว่ากำไร แปลว่า gain แปลว่าประโยชน์สิ่งที่ควรได้อย่างยิ่ง ที่ควรรับอย่างยิ่ง กำไร อายะ ภาษาบาลีเรียกว่า อายะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 44 พาปฏิญาณศีล 8 วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2564 ( 21:43:54 )

โลกุตตราริยมรรคผล

รายละเอียด

อาริยมรรคและอาริยผลที่พ้นวิสัยของโลกีย์

หนังสืออ้างอิง

เปิดโลกเทวดา หน้า 91


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 08:47:17 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 09:03:07 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 15:54:41 )

โลกุตรจิต

รายละเอียด

จิตอยู่เหนือโลก เหนือโลกียะ

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 222


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 08:47:58 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 09:03:26 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 15:55:02 )

โลกุตรจิต

รายละเอียด

 คือ จิตที่เป็นสมาธิแบบที่พระพุทธเจ้าสอน

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 31 มีนาคม 2563 ( 09:26:30 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 15:58:00 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 15:55:18 )

โลกุตรจิต โลกวิทู โลกานุกัมปายะเป็นตัวพระเจ้าแท้

รายละเอียด

ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าก็เอาประเด็นความสุขความทุกข์นี้มาปฏิบัติแล้วจึงเกิด วิชชา 8 จะเกิดจิตโลกุตรจิต มีโลกวิทูรู้โลกแล้วมีโลกานุกัมปายะ เป็นตัวพระเจ้าแท้เป็นผู้ที่ช่วยโลกเป็นผู้ที่อนุเคราะห์โลก พูดภาษาที่ซาบซึ้งที่สุดคือรับใช้โลก หากพูดภาษาผยองๆ คือเป็นผู้ที่สร้างโลก คือเป็นพระเจ้าตัวแท้เลย   เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงรู้จักความเป็นจริงของวิญญาณของธาตุรู้ ของความเป็นเทวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือพระเจ้า เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงศึกษา ในเทวนิยมเขาก็ศึกษาว่า วิญญาณของมนุษย์ทุกคนก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้าเมื่อตายไปก็จะไปอยู่กับพระเจ้าหมด    ส่วนใครตกนรกพระเจ้าจะเป็นผู้บัญชาการเองเป็นผู้สั่งการ ผู้ที่ไม่ตกนรกก็อยู่กับพระเจ้าไปสูงสุดก็ปฏิบัติตามคำสอนพระเจ้าไม่ให้ลงนรก จึงเป็นศาสนาที่มีสวรรค์มีความสุขนิยมนิรันดร พ้นความสุขทุกข์ไม่ได้ มีแต่ศาสนาพุทธศาสนาเดียวเท่านั้นที่หมดความสุขบนความทุกข์ 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 29 เมษายน 2563 ( 14:32:34 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:34:02 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 15:55:54 )

โลกุตรจิตจึงรู้ว่าเมื่อใดเป็นกายเมื่อใดไม่เป็นกาย

รายละเอียด

เมื่อใดเป็นกายเมื่อใดไม่เป็นกาย คำนี้ เมื่อจิตของผู้นั้นมีปัญญา ทำจิตของตนเองให้ไม่มีกายได้สำเร็จ คุณเท่ากับทำให้จิต ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ มีแต่สังขารกับสัญญา 

เวทนามีสุขมีทุกข์ แต่คุณไม่มีเวทนาที่เป็นตัวสุขตัวทุกข์แล้ว คุณก็พ้นสุขพ้นทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายของโลกุตระ แต่คุณเป็นผู้ที่มีจิตนิยามอยู่เหนือจิตโลกียะที่ยังมีสุขมีทุกข์ เหนือโลกียะเรียกว่าโลกุตรจิต จิตโลกุตระจึงทำให้จิตไม่มีสุขไม่มีทุกข์ได้ เป็นพีชะ เพราะอย่างไรคุณก็เป็นจิตนิยาม คุณเกิดมาเป็นสัตว์เป็นจิตนิยาม พระพุทธเจ้าสอนให้เรียนรู้ให้มีอำนาจเหนือจิต รู้เท่าทันโลก โลกมี กามโลก กามภพ คุณก็ต้องเรียนรู้สิ่งที่มันมาเป็นอิทธิพลของ กามโลก กามภพ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นกิเลส 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 4 วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 แรม 2 ค่ำเดือน 7 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2564 ( 12:13:20 )

โลกุตรธรรม

รายละเอียด

1. ธรรมอันมิใช่วิสัยของโลก ได้แก่ มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1

2. ธรรมอันมิใช่วิสัยของโลก , สภาวะพ้นโลก

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 478, รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์ หน้า 57


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2562 ( 08:49:22 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 09:04:04 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 20:20:38 )

โลกุตรธรรม

รายละเอียด

คือต้องไม่เห็นแก่ตัวสุดยอด ก็คือต้องมีอิสระเสรีภาพ เต็มที่ ต้องรับใช้คนอื่นๆอย่างไม่มีอคติ แล้วก็ต้องรู้ลึกว่าต้องให้ ต้องเสียสละให้คนอื่นอย่างไม่มีสาเปกโข ให้เป็นแบบนี้ๆ nuclear  fission เลย ให้ไปแล้วหายไปเลยไม่ต้องมีโค้งกลับมาแม้แต่ 0.00000000001 ที่โค้งมาเลย แต่ภาวะจริงของจักรวาลโค้งทั้งนั้น นามธรรมมันต้องมีการโค้งอยู่แล้ว ถ้าเป็นวัตถุมันออกนอกเอกภพได้แล้วหายไปเลย เป็นเบอร์มิวด้า หายไปแล้วเมื่อไปสามเหลี่ยมนี้ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2563 ( 21:44:12 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:57:59 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 15:56:25 )

โลกุตรธรรม

รายละเอียด

โลกุตรธรรม คือ มีธาตุปัญญาอ่านจิตเจตสิกตัวเองออก อ่านแล้วก็รู้อาการของกิเลส จิตของตัวเองเป็นกิเลส แล้วก็สามารถทำให้กิเลสมันลดได้มันจางคลายลงได้ชัดเจน กิเลสมันเกิด โดยเฉพาะในปัจจุบันสัมผัสกระทบในปัจจุบัน แล้วกิเลสมันเกิด ก็รู้ทัน แล้วจับ อย่างน้อยก็สะกดมันไว้อย่าให้มันมากขึ้น เอ็งอย่าทำเก่ง ให้มันลดลงจะด้วยวิธีสมถะก็ตาม ยิ่งถ้ามีวิธีของปัญญาซึ่งจะมีฤทธิ์มากเลย พลังงานปัญญามันจะทำให้กิเลสอ่อนตัวลง ดีไม่ดีถ้าพลังปัญญามันดีเก่ง กิเลสหยุดทันทีเลย ถ้ารู้ทันปั๊บกิเลสก็หายไป นี่คือการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่สามารถที่จะเรียนรู้จิตเจตสิกต่างๆ เป็นเรื่องง่ายๆ คนจะรู้จิตเจตสิกอย่างนี้เป็นเรื่องยาก แต่ผู้ที่เอาสัจธรรมพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้วมาเรียนรู้จะทำได้ อย่างพวกคุณนี้สามารถที่จะรู้ แต่ไม่สามารถที่จะรู้บัญญัติภาษาอย่างที่อาตมาอธิบาย แต่พวกคุณมีติดตัวจึงมาเป็นจริง แล้วก็รู้สึกว่าเรามาแล้วเราสบายเราเจริญ เจริญทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ อยู่ทางโน้นก็เจริญแบบทางโน้นมีเงินมีทองกับอะไรทางโลกเขาลาภยศสรรเสริญยิ่งขึ้นไป แต่มาทางนี้มันไม่แล้วมันลดลงมาก็เข้าใจแล้ว ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรไม่ได้เดือดร้อนอะไรไม่ได้เห็นว่าเราชีวิตเราแย่แล้วเราเสื่อมลง ไม่ใช่ เจริญขึ้นด้วยซ้ำจะเข้าใจด้วยปัญญาอันยิ่ง 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 24 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 19:25:26 )

เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2563 ( 08:13:16 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 15:57:07 )

โลกุตรธรรม

รายละเอียด

คือ ธรรมที่สามารถทำให้ ตัวตน (อัตตา) ของกิเลสในโลกียจิต ถูกกำจัดออกไป (เนกขัมมะ) จากจิตได้อย่างเป็นจริง เริ่มตั้งแต่โอฬาริกอัตตา ไม่ใช่ตรรกะ (logic) หรือปรัชญา (philosophy) แค่นั้นโลกุตรธรรมนั้นต้องปฏิบัติกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม การอย่างมีกระบวนการของ “เนกธัมมสิตเวทนา” 18 คู่ กับ เคหสิตเวทนา 18 จริงๆเป็นธรรมะ 2 แล้ว จัดการทำให้กิเลสในจิตของเราเองถูกกำจัดออกไป ได้จริงๆ (อภิสังขารหรือเนกขัมมะ) เรียกว่ามี “ผล” เป็นบุญ (ปุญญ) ถ้ากำจัดออกไปได้บางส่วนก็เป็น “ส่วนบุญ” บาลีก็ว่า ปุญญภาค หรือ ปุญญาภิคิยา นั่นคือกิเลสสลายไปบางส่วนยังมีส่วนที่เหลืออยู่อีก ภาษาก็ว่า สาสวะ คือยังไม่หมดสิ้นอาสวะหรือยังไม่หมดสิ้นอาสวะทั้งหมดจึงเรียกด้วยภาษาว่าสาสวะ ยังไม่เรียกด้วยภาษาว่าอนาสวะ

หนังสืออ้างอิง

คนจนที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1  หน้า 297


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2562 ( 13:33:10 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 13:59:05 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 20:21:42 )

โลกุตรธรรม 37 คือ 

รายละเอียด

โลกุตรธรรม 37 คือ สติปัฏฐาน 4 อิทธิบาท 4 สัมมัปปธาน 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8  

คุณฟังแล้วพิจารณาองค์ประกอบกายนามรูปที่สาธยายมานี้ นี่แหละคือการปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา สะกดจิตไป ไม่ใช่ อันนั้นเป็นโลกียะเป็นเดียรถีย์ด้วย ไม่ใช่เป็นของพระพุทธเจ้า ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นโพธิปักขิยธรรม 37 อย่างที่อธิบาย เดี๋ยวนี้ไปเข้าใจผิด ศาสนาพุทธมันเสื่อมจนไปยึดถือว่านั่งหลับตาปฏิบัติ ซึ่งมันเป็นทางสมถะเท่านั้นและมันก็ออกนอกรีตไปเลย แล้วไปหลงก็ได้มิจฉาผล เลยเป็นอรหันต์เก๊แล้ว ก็นับถืออรหันต์เก๊กันก็น่าสงสาร

น่าสงสาร อาตมาจึงมายืนยันสิ่งที่ถูกสิ่งที่ผิดอาตมาก็ว่าผิดด้วยความจริงใจไม่ได้ไปดูถูกดูแคลนอะไร แต่พูดถูกว่าเขาผิด เขาผิดมันก็ต้องดูให้ถูก แล้วมันก็ต้องพูดข่ม พูดกดความผิด อาตมาก็ใช้พยัญชนะสาธยายความเป็นจริงของพฤติกรรมของอาตมาแต่คนเข้าใจไม่ได้หาว่ายกตนข่มท่านไปดูถูกคนอื่นต่างๆนานา ซึ่งไม่มีลักษณะอย่างที่คุณพูด มันไม่เกิดในเจตนาของอาตมา มันเกรงใจด้วยซ้ำ อาตมาเกรงใจด้วยซ้ำแต่จำเป็นต้องพูด เพราะมันจะต้องพูดความจริงให้รู้เรื่อง ซึ่งอาตมาทำอยู่ แต่มันก็ไปทีละน้อย คนฟังทางโน้นเยอะ พูดอย่างอภิธรรมหรือพยัญชนะอะไรกัน อย่างสายอื่นเขาหรือว่าไปนั่งพาทำหลับตา เดินย่างหนอ ก้าวหนอมีเยอะ แฟนนานุแฟนมีเยอะ อาตมามีแฟนนานุแฟนน้อยเพราะฟังแล้วมันทวนกระแสใจ มันขัดกิเลส มันไม่ยอมตามใจที่คุณอยาก เป็นธรรมดาธรรมชาติก็ได้แค่นี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ฟังสาธยายธรรมจากคำถามของคนจริง วันพุธที่ 25 มกราคม 2566 ขึ้น 4 ค่ำเดือน 3 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 กุมภาพันธ์ 2566 ( 11:39:56 )

โลกุตรธรรม 46

รายละเอียด

โลกุตรธรรม 46

     คือ ธรรมะที่เหนือโลกโลกีย์ 46 ประการ หากผู้ใดปฏิบัติโลกุตรธรรมเหล่านี้แล้ว ย่อมหลุดพ้นจากชีวิตความเป็นอยู่อย่างชาวโลกีย์ ได้แก่

     - สติปัฏฐาน 4 (การตั้งสติพิจารณาเห็นกายในกาย   เวทนา-ในเวทนา   จิตในจิต   ธรรมในธรรม)

     - สัมมัปปธาน 4 (ความเพียรตั้งมั่นในสังวรปธาน ปหานปธาน   ภาวนาปธาน   อนุรักขนาปธาน)

     - อิทธิบาท 4 (ธรรมสู่ความสำเร็จ ได้แก่ฉันทะ   วิริยะ  จิตตะ   วิมังสา)

     - อินทรีย์ 5 (อำนาจเพื่อทำความหลุดพ้นได้แก่ สัทธา วิริยะ   สติ   สมาธิ   ปัญญา)

     - พละ 5 (กำลังเพื่อทำความหลุดพ้น ได้แก่ สัทธา   วิริยะ   สติ   สมาธิ   ปัญญา)

     - โพชฌงค์ 7 (องค์แห่งการตรัสรู้ เป็นเครื่องย่ำยีกิเลสมาร ได้แก่ สติสัมโพชฌงค์   ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์   วิริยสัมโพชฌงค์  ปีติสัมโพชฌงค์  ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์   สมาธิสัมโพชฌงค์   อุเบกขาสัมโพชฌงค์)

     - มรรคมีองค์ 8 (ทางสู่ความเป็นกลางอันประเสริฐ ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ)

     - อาริยมรรค 4 (ข้อปฏิบัติให้สำเร็จสู่ความเป็นพระอาริยะ ได้แก่ โสดาปัตติมรรค  สกทาคามิมรรค  อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค)

     - สามัญผล 4 (ปกติของการปฏิบัติธรรม จนได้ผลสำเร็จเป็นพระอาริยะ  ได้แก่ โสดาปัตติผล  สกทาคามิผล  อนาคามิผล   อรหัตตผล)

     - นิพพาน 1 (ภาวะของการดับกิเลสได้สนิทสิ้นเกลี้ยงแล้ว)

ที่มา ที่ไป

   พระไตรปิฎกเล่ม 31 “ยุคนัทธวรรค โลกุตรกถา” ข้อ 620

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก 


เวลาบันทึก 07 กรกฎาคม 2562 ( 22:13:40 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 16:37:35 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 15:57:41 )

โลกุตรธรรม 46

รายละเอียด

อาตมาอธิบายจากสภาวะที่ตัวเองมี ไม่ใช่เอาจากตำรา เข้าใจดีไหม ไม่ใช่มีแต่ภาษา แต่มีสภาวะ ปฏิบัติอย่างนี้ได้ตามหลักโพธิปักขิยธรรม 37 พิจารณา กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิตธรรมในธรรม คุณพิจารณาสติปัฏฐาน 4 เป็น แล้วคุณก็ปฏิบัติมี สัมมัปปธาน 4 มี สำรวมสังวร แล้วก็ ปหาน 

สังวรปธาน ปหานปธาน แล้วก็เกิดผลเป็น ภาวนาประธาน แล้วก็รักษาผล อนุรักขนาปธาน 

แล้วคุณปฏิบัติ กายในกาย เรียนรู้เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม 

4 ตัวนี้เป็นโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 31 ข้อ 620

เป็นโพธิปักขิยธรรม 37 และโลกุตรธรรมอีก 9 รวมเป็น โลกุตรธรรม 46

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ศีลที่เป็นกุศลย่อมยังความเป็นอรหันต์โดยลำดับ วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2563 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 04 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:11:40 )

โลกุตรธรรม กอบกู้ทุนนิยมได้

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นเราพูดไปก็ยังอีกยาว ที่จะมีพฤติกรรมต่างๆของสัจธรรมพวกนี้ สรุปก็คือ โลกุตรธรรมจะกอบกู้ทุนนิยมได้ อันอื่นไม่มีทางกอบกู้ได้ สรุปเข้ามาหาเนื้อแท้ก็คือ ประเทศไทยจะกอบกู้ทุนนิยมได้ ชาวอโศกกอบกู้ทุนนิยมมาแล้ว เป็นบุญนิยมสำเร็จแล้ว นี่คือสัจจะที่มันจะก้าวหน้าต่อไป มันลงรากฝังรากของโลกุตรธรรมลงไปในมนุษยชาติแล้ว ในสังคมมนุษยชาติแล้ว ในพฤติกรรมพฤติการณ์ของมนุษยชาติด้วย ก็ขอสรุปลงตรงนี้ ก็ถ่อมตนไม่มีปัญหาอะไรก็เรียนรู้ไปเถอะ 

วันนี้เราก็ได้พูดถึงเรื่องลึกถึงราก ถึง root ของโลกุตระทีเดียว ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้วก็ขอยืนยันว่า ที่พูดนี้มีภาวะจริง ไม่ใช่ว่าพูดตรรกะ พูดฟุ้งซ่าน พูดภาษาเล่นๆ แต่มีเนื้อแท้มีมนุษย์จริง มีจิตวิญญาณจริง และมีพฤติการณ์หรือพฤติกรรม มีความประพฤติจริง มนุษยชาติบรรลุสัจธรรมนี้ได้ เป็นอาริยะ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ได้จริง คือชาวอโศกที่เป็นอยู่

อาตมาพูดนี้ไม่ได้พูดอย่างอวดโอ่ ไม่ได้พูดอย่างหลงตัวหลงตน แต่เป็นความจริงที่อาตมามความจริงหนึ่งเดียวที่พูด พูดไปอย่างอื่นไม่ได้เพราะว่าความจริงมันมีหนึ่งเดียวก็พูดได้ความจริงอย่างนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้นก็ ต้องจบด้วยความจริง ไม่มีอื่นที่จะนอกไปจากความจริง สำหรับวันนี้ก็คง ไม่ใช่เบานะ ธรรมะวันนี้ก็คงหนัก ยากพอสมควร แต่ก็ต้องพูดเอาไว้ เฉพาะได้โอกาสมาพูดกับ ดร.มโน 

มโน แปลว่า จิตวิญญาณ ก็คือรากเหง้าของประธานสิ่งทั้งปวงด้วย ขอบคุณ ดร.มโนเป็นอย่างยิ่งสำหรับวันนี้ ก็ขอจบรายการไว้เพียงเท่านี้ก็แล้วกัน สาธุ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 7 พ่อครูพบ ดร.นพ.มโน เลาหวณิช เรื่อง บาปของทุนนิยม วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม 2565 แรม 11 ค่ำเดือน อ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2565 ( 19:42:19 )

โลกุตรธรรม กับโลกียธรรมต่างกันอย่างไร

รายละเอียด

โลกุตรธรรมคือธรรมะที่ผู้ปฏิบัติแล้ว อ่านจิต เจตสิก รูป นิพพาน ของตนเองได้ แยกจิตแยกกิเลสได้ แล้วสามารถทำให้กิเลสลดละ จางคลาย ถึงดับได้ นั่นคือ โลกุตรธรรม 

ส่วนโลกียธรรมนั้น ไม่รู้ความจริงในเรื่องนี้ โลกียธรรมแม้แต่เป็นชาวพุทธ แม้แต่เป็นพระเกจิอาจารย์ เป็นพระป่า พระกรรมฐานอะไรต่ออะไรที่ไม่ได้รู้รายละเอียดพวกนั้น สาธยายอย่างที่อาตมาพูดไม่ได้หรอก ได้แต่นั่งสงบ สะกดจิต ดับไป หยุดคิด หยุดพูด หยุดทำ นั่นแหละเป็นผู้ที่เหมือนหลวงพ่อเกษมอย่างที่ว่า หรือใครที่พูดน้อยเท่าไหร่ไม่พูดเลยยิ่งดี แล้วไม่ต้องไปกระดุกกระดิกอะไร นั่ง ถึงเวลานอนก็นอน ไม่นอนเลยก็ยิ่งดี นั่งเนสัชชิเป็นพระป่าร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ซึ่งมันไปใหญ่เลย ออกสุดโต่ง ไม่เป็นประโยชน์ต่อตน ต่อสังคม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ทศพิธราษฎรธรรมมีจริงในชาวอโศก วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565 แรม 8 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 ธันวาคม 2565 ( 19:10:18 )

โลกุตรธรรม ต่างกับโลกียธรรมอย่างไร

รายละเอียด

รายละเอียดต่างๆ พวกนี้ อาตมาอธิบายยืนยันว่า อาตมาเป็นโพธิสัตว์เป็นผู้รู้ธรรมะพระพุทธเจ้า แล้วเป็นผู้ที่มาสืบทอดโลกุตระธรรมของพระพุทธเจ้าด้วย ขยายความมากมายในเรื่องโลกุตรธรรม มันต่างจากโลกียธรรมอย่างไร 

โลกียะเก่งอย่างไรก็เป็นแค่เทวนิยม วนเวียนอยู่ในลาภยศสรรเสริญสุข และสอนแค่ความดีความชั่วเท่านั้น ส่วนโลกุตรธรรมนั้นดีชั่วก็สอน แล้วสอนให้ไม่ปฏิบัติชั่ว ทำแต่ดี แต่สอนให้ ละสุขละทุกข์ ล้างสุขทุกข์ให้ไปนิพพานเขาไม่สอนกันหรอก มีแต่สอนกันให้ไปแต่มีความสุข ถ้าเขาชัดเจนเขาจะรู้ว่าหมดทุกข์หมดสุขมีภาษาคือ อทุกขมสุข เขาก็ยังเผิน ยิ่งปรมังสุขังก็แปลว่าความสุขอย่างยิ่ง แต่ แท้จริงมันเหนือกว่าความสุข 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม ร้อยมาลัยพระอภิธรรมตามแบบพ่อครู วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 มกราคม 2564 ( 22:08:09 )

โลกุตรธรรม ต้องมีสัมมาทิฏฐิมาก่อน

รายละเอียด

และ“ผู้อื่น”ที่ว่านี้ ก็จะต้องเป็นคนผู้มี“โลกุตรธรรม” ในตน ที่“สัมมาทิฏฐิ”จริงๆมาก่อนแล้ว ซึ่งนับตั้งแต่“พระพุทธเจ้า”ทุกพระองค์ทรงเป็น“เจ้าของโลกุตรธรรม(ธรรมสามี)”คนแรกในโลก แล้วทรงนำมาเปิดเผยแก่มนุษย์ในโลก 

คนในโลกจึงจะ“รู้” และ“มี”โลกุตรธรรมขึ้นมาในโลกได้ ไม่เช่นนั้น“โลกุตรธรรม”ก็จะมีขึ้น เกิดขึ้นในโลก ไม่ได้เด็ดขาด ก็จะมีแต่“โลกียธรรม”อยู่ในโลก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ตอน 4 วันพุธที่ 16 มิถุนายน 2564 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 สิงหาคม 2564 ( 16:17:44 )

โลกุตรธรรม เกิดได้ในภูมิ อสัญญีสัตตาพรหม หรือไม่

รายละเอียด

อสัญญีสัตตาพรหม หมายความว่าเป็นสัตว์ที่ไม่มีสัญญา ดับธาตุกำหนดรู้ดับสัญญา จะสมมุติเรียกว่าพรหมจะเรียกว่าเป็นแดนสูง ซึ่งมันไม่สูงหรอกมันเป็นอเวจี อสัญญีสัตว์เป็นแดนสัตว์ ก็หลงเอาภาษาสวยๆไปยกตนว่าเป็นพรหม ที่จริงมิจฉาทิฏฐิ

อสัญญีสัตว์ คือสัตว์ที่ไม่มีสัญญาไปดับสัญญา อยู่ในสัตตาวาส 9 ข้อที่​ 5 หมายถึง มิจฉาทิฏฐิของคนที่ไปดับสัญญา ฉะนั้นถ้าผู้ที่เข้าใจไม่ได้เข้าใจนี้หลงผิดก็จะหลงในฌานที่ 1 2 3 4 ก็จมนรกไปเลย พวกดับสัญญาเป็นมิจฉาทิฏฐิ พวกที่เข้าใจนิโรธว่าเป็นอสัญญีสัตว์จึงงมงาย ยังดีที่เขาสามารถเรียนรู้ฌานที่ 1 2 3 4 แต่เขาเข้าใจ เป็นฌานที่หรี่ลงมาหาอสัญญี นี่คือมิจฉาทิฏฐิของพวกหลับตาส่วนใหญ่เขาจะหยุดคิดจนอสัญญีสัตว์ เขานึกว่านี่เป็นนิโรธ พวกที่ไม่เข้าใจเป็นสัมมาทิฐิจะคิดเห็นเป็นอย่างนี้ทั้งนั้นส่วนผู้สัมมาทิฏฐินั้น ฌาน 4 จะไม่เข้าหาอสัญญีสัตว์แต่จะมีการกำหนดรู้ที่สว่างแคล่วคล่องว่องไว มีปัญญาที่รู้ยิ่งรู้จริงเร็วไวตื่นๆๆๆ ไม่มีหลับ ไม่มีหรี่ ตกภพตกชาติอย่างนั้นเลย

โลกุตรธรรม ไม่มี ไม่เกิดในอสัญญีสัตตาพรหม 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาให้เกิดปัญญาถึงอรหันต์ วันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มิถุนายน 2564 ( 21:17:28 )

โลกุตรธรรม เป็นธรรมที่ดับสุขดับทุกข์จนมี อภิปโมทยังจิตตัง

รายละเอียด

เพราะยุค 2,500 ปีนี้ ครึ่งหนึ่งของพุทธกัป ศาสนาพุทธได้เสื่อมไปอย่างหนักหนาสาหัส โดยเฉพาะโลกุตรธรรม ศาสนาอื่นใด ก็ไม่ได้มีโลกุตรธรรมอย่างศาสนาพุทธโลกุตรธรรมนั้นเป็นธรรมะที่ดับสุขดับทุกข์ได้อย่างสนิท ของพระพุทธเจ้านั้นดับสุขดับทุกข์ คนในโลกนั้นก็ไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องการดับสุขดับทุกข์ที่จะเป็นอุเบกขา จิตเป็นกลางตลอดเวลา ไม่สุขไม่ทุกข์อยู่ตลอดเวลา แล้วก็จะมี อภิปโมทยังจิตตัง จะเป็นผู้ตื่น ผู้เบิกบานร่าเริงอยู่ตลอด ไม่มีเศร้าสร้อยหงอยเหงา ซึ่งเป็นคุณวิเศษอันยิ่งของมนุษย์ ไม่ต้องไปทำ แต่เป็นอัตโนมัติเลย ได้แล้วเป็นอัตโนมัติในตัวเอง ไม่ต้องพยายาม ไม่ต้องสังวรระวัง ได้แล้วจบถึงขั้นเป็นอัตโนมัติในตัวแล้วนั่นเอง 

ที่อาตมาพูดไปนั้นเป็นคุณวิเศษที่เป็นสมบัติของพระพุทธเจ้า เป็นคุณสมบัติที่พระพุทธเจ้าค้นพบ เอามาประกาศให้แก่มนุษย์โลกได้รู้จักรู้แจ้ง แล้วก็พิสูจน์กันจนกระทั่งถึงขั้น รู้จริง จบกิจเลย  

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 42 อรหันต์คือมนุษย์พืชที่มีกายแต่ไม่มีกาย วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 กรกฎาคม 2565 ( 09:02:51 )

โลกุตรธรรม เป็นธรรมะที่สุดยอดของความเป็นคน

รายละเอียด

ธรรมะพระพุทธเจ้าที่ตรัสสอนไว้ทั้งหมดทั้งหลายนี้ เป็นธรรมะที่สุดยอดของความเป็นคน อาตมาก็พูดไม่รู้กี่ทีว่าความเป็นคน พระพุทธเจ้าศึกษาความเป็นคนกับความเป็นสังคม 

ในความเป็นสัตว์โลก ในความเป็นมนุษย์ แล้วมนุษย์ที่สอนได้เป็นเวไนยสัตว์ มนุษย์ที่สามารถสอนโลกุตรธรรมได้ โลกุตรคือ ให้รู้ตัวตนแล้วละตัวตนให้หมดตัวตน 

แล้วยังเป็นผู้ที่ช่วยเหลือผู้อื่น เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ทำงานรับใช้ผู้อื่น เป็นคนที่สุดเลิศสุดประเสริฐยอดเยี่ยมแล้ว ไม่มีตัวตน มีแต่เสียสละ แล้วมีความรู้ความสามารถ อุตสาหะ วิริยะพากเพียร และรู้จักพัก รู้จักเพียร รู้จักกาละพัก รู้จักกาละเพียร อัปติฏฐัง อนายูหัง

คำสอนพระพุทธเจ้าครบหมด ที่อาตมาพูดไปก็ไม่น้อยนะ แต่ยังไม่หมดนะ เอาไปสะสมความเป็นอรหันต์ให้แก่ตัวเองเรื่อยๆๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โพชฌงค์ 7 สัปปุริสธรรม 7 โดยพิสดาร วันพุธที่ 14 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 เมษายน 2564 ( 20:35:41 )

โลกุตรธรรม 

รายละเอียด

คือ จิตใครก็ตามเริ่มรู้จักแยกจิตตนเองออกเป็นธรรมะ 2 ว่าเป็นตัวตนกิเลส ( สักกาย = รูปกับนาม (ธรรมะ 2) ของตน) เรียกว่าอกุศลจิต หรือบาปนี่ส่วน 1 เป็น ธรรมะ 1 ที่มันไม่ใช่เราต้องกำจัด และอีกส่วน 2 นั้น จิตที่เป็นประธานหรือเป็นจิตส่วนใหญ่ของเรา จิตส่วนนี้จะทำหน้าที่กำจัดส่วน 1 หรือธรรมะ 1 ที่มันไม่ใช่เราจนอีกส่วน 1 ดับไปสิ้นสำเร็จจริง ก็จะเหลือแต่จิตส่วนใหญ่ (หรือเรียกว่าส่วน 2 หรือธรรมะ 2 (เทว ธัมมา) เสมอคือส่วนใหญ่ ของของเรา แต่ส่วน 1 ที่เรากำจัดออกไปที ละ“ส่วน”นั้น เป็น“ส่วนน้อย”เสมอ) “ส่วนใหญ่”นี้เป็นประธานอยู่ แท้ ตราบที่เรายังอาศัยความเป็น“ตัวตน”ที่ยังมีชีวิตอยู่ใน โลกทำงานเพื่อผู้อื่นอยู่ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็ชื่อ ว่า“ธรรมะ2(เทฺว ธัมมา)”เสมอเรา แต่ส่วน 1 ที่เรากำจัดออกไปที ละ“ส่วน”นั้น เป็น“ส่วนน้อย”เสมอ) 

หนังสืออ้างอิง

 คนจนที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า 297


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2562 ( 13:33:43 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:00:57 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 20:24:33 )

โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ใครที่เป็นปุถุชนเป็นเทวนิยมเป็นคนโลกีย์จะรู้เองไม่ได้เลยจะต้องได้ยินจากพระศาสดาหรือได้ยินได้ฟังจากผู้ที่อยู่ในฐานะของครู ได้ยินจากสัตบุรุษ เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังไม่ได้พบสัตบุรุษ ไม่ได้ยินจากสัตบุรุษก็เป็นห่วงตลอดเวลาไม่ได้รับอาหารที่จะทำให้เกิดโพชฌงค์ต่อไปเลย พระพุทธเจ้าตรัสไว้อาหารเป็นอาริยสัจ อาหารเป็นโพชฌงค์ 7 เพราะอันนี้เป็นอาหาร สติปัฏฐาน 4 โพชฌงค์ 7 เป็นอาหาร แต่พวกคุณไปกินอาหารที่เป็นนิวรณ์ 5 อยู่ตลอดเวลา แล้วยังเล่นทุจริต 3 เป็นอาหารอีก ไม่พอยังไม่สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 อีก ดีไม่ดีไปนั่งหลับตาอีกทั้ง 5 ทวารเลย ปิดทวารอีก แล้วจะบอกว่าบรรลุอรหันต์ตรงทวารใจอย่างเดียวนี่แหละ นั่งจนตูดแข็งตูดด้าน พูดอย่างไรก็ไม่เคลื่อนไม่คลายพูดอย่างไรก็ไม่รู้สึกว่าศาสนาพุทธไม่ได้ไปนั่งหลับตาอยู่อย่างนั้น พูดไปเถอะ มีหูหรือเปล่าคน มีหูก็เหมือนกับเป็นหูกระทะหูหม้อไห หูที่ไม่ได้มีแก้วหูมีประสาทหู ไม่ได้มีรูหูด้วยซ้ำไป ก็เลยไม่เข้า หรือมีรูหูก็เข้าหูขวาทะลุหูซ้าย 

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2563 ( 17:50:16 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:02:18 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 15:58:41 )

โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

นี่เป็นเรื่องจริง เป็นของจริง เป็นขั้นตอนจริงเลย อาตมานำเรื่องโพธิสัตว์นี้มาอธิบาย มาขยายความ ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นโลกุตรธรรมที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ซึ่งโลกุตรธรรมมันสูญหายไป มันเสื่อม มันสูญหายไปจากคนชาวพุทธนี่แหละ มันเสื่อมจริงๆ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงพยากรณ์เอาไว้แล้ว อาตมาก็ได้เอา อาณีสูตรของพระพุทธเจ้ามายืนยัน อ้างอิงว่ามันจะเสื่อม แล้วมันก็เสื่อมจริงๆ เห็นๆ ตามปรากฏการณ์จริงอยู่ 

แม้มีคำว่า พุทธ เป็นชาวพุทธ แต่มันก็เสื่อมจริงๆ อาตมาจึงอุบัติขึ้นมากอบกู้ นี่ทำงานกอบกู้มา 50 กว่าปีแล้ว ก็ได้ผลจริง มีผลจริงได้ถึงขนาดนี้ก็น่าพอใจ แต่อาตมายังไม่จบหรอก จนกว่าจะมั่นใจเลยว่า โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้านี้ จะสืบต่อยืนยาว มีเนื้อแท้ของโลกุตรธรรมให้คนได้อาศัย ไปจนสิ้นความละเอียด ปลายยุค ที่จะหมดสิ้นพุทธธรรมที่เป็นโลกุตระของพระพุทธเจ้านั้น สู่โลกกลียุค มันจะฆ่าแกงกัน มันจะโหดร้ายอะไรต่ออะไร ก็ช่วยคนไม่ค่อยได้แล้ว แต่ได้บ้างจนกระทั่งสุดท้ายก็ถึงขั้นที่ เอาแค่นี้ก็สิ้นสุดแล้ว ช่วยกันได้แค่นี้ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 13 มหาวิทยาลัยที่ประสาทปริญญาโลกุตระ วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 ขึ้น 8 ค่ำ วันพระน้อย เดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 มิถุนายน 2566 ( 12:16:48 )

โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้ากลายเป็น กลองอานกะ

รายละเอียด

สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เข้าใจง่ายๆ ภาษาบาลีมันได้เข้าใจผิดเพี้ยนไปเรื่อยๆคำว่า สมาธิ คำว่ากาย คำว่าบุญ คำว่าปัญญา มันเพี้ยนไปหมด อาตมาต้องมารื้อฟื้นใหม่อธิบายใหม่ ก็มันเสื่อมไปหมดแล้วโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้ามันกลายเป็น กลองอานกะ ไม่มีเนื้อเก่าของพระพุทธเจ้าแล้วมันหมดไปแล้ว อาตมาพูดอย่างง่ายๆพูดอย่าง โอหัง ยะโสโอหังเลย ที่จริงพูดอย่างภาคภูมิใจ พูดเสียงพูดที่มั่นใจและมีเมตตามีความจริงใจ ที่จะเอาความจริงนี่มาประกาศข่ม มันจึงดูแรงดูดุเดือด ข่มสิ่งที่ไม่ดี ข่มเท่าไหร่มันก็ยังไม่ยอมลงง่ายๆเลย 

เพราะฉะนั้นผู้ที่จะสามารถรู้ แล้วก็ปฏิบัติจนกระทั่งรู้จักกาม รู้จักอัตตา พระพุทธเจ้าสอนให้ ลดกามมาก่อน มันเป็นข้างนอก ที่จริง มันก็เป็นตัวเดียวกันนั่นแหละ มันเป็นตัวตน ซึ่งไปติดภาวะปรุงแต่งที่เรียกว่า กามรส เป็นข้างนอก ทวาร5กามคุณ 5 ไม่ได้เรียกกามคุณ 6 จาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือโผฏฐัพพะ สัมผัสข้างนอกแล้วเกิด กิเลสกาม เรียนรู้ตั้งแต่หยาบ อบายมุขก็กามหยาบ หมดอบายเหลือกามต่อมา จัดจ้านอยู่เหมือนกัน ก็ลดลงมา โสดาบัน เข้ากระแสของโลกุตระ เรียนรู้แล้วก็ลดมาเรื่อยๆ คือเดินทางเป็น สกิทาคามี มาเรื่อยๆ เรียกว่า โกลังโกละ สูงเป็น สกิทาคามี มาเรื่อยๆ จากข้างนอกเยอะ 

หมดข้างนอกเลย จนสัมผัสอยู่ การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้านั้นไม่ได้หนีสัมผัส ไม่ได้หนีการกระทบหรือว่าการเผชิญ อยู่กับเหตุปัจจัยที่ชวนให้เกิดกิเลส ไม่ได้หนี เราก็สัมผัสอยู่ แต่เราอยู่เหนือมันเรียกว่า อุตตระ โลกุตระลอยอยู่เหนือโลกีย์นั้น มีอำนาจเหนือ เรียกว่า อนุปคัมมะ หรือ อภิภุยยะ มีอำนาจ มีอิทธิพลครอบงำพวกนี้ได้ เหนือมัน มันมาทำอะไรเราไม่ได้ เหมือนเราแข็งแรง จับหัวเด็ก แขนสั้น มันก็ดิ้นอย่างไรก็ทำอะไรเราไม่ได้ เรามีอำนาจเหนือ หรือจับหัวสัตว์บางตัว มันดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุดมือเรา ดูเหมือนรูปธรรมที่แรง แต่ที่จริง พลังงานไม่ได้จับอะไร เพียงแตะ ก็มีอำนาจเหนือแล้ว ไม่ต้องแตะ เพียงเห็น เพียงใกล้เท่านั้น  มีอำนาจเหนือมันก็จะรีบหนีเลยกิเลสมันหนี สัจจะที่เป็นอำนาจใหญ่มันจะเป็นอย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 54 ผู้เป็นกลางคือผู้วางกามกับอัตตา วันจันทร์ที่ 12 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 ธันวาคม 2565 ( 11:22:03 )

โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าจะก้าวหน้า

รายละเอียด

อาตมาว่าเมืองไทยขณะนี้ ที่อาตมาทำงานศาสนาโลกุตรธรรมเป็นแก่นแกนไปนี้ ตอนนี้รู้สึกว่าจะดีขึ้น แต่ก่อนนี้ถูกฝ่ายที่เข้าใจไม่ได้ถล่มทลาย แล้วมีประกาศเลยนะ ปกาสนียกรรมว่าเป็นพวก พวกอโศก โพธิรักษ์จะมาล้มศาสนาพุทธ เขาเข้าใจอย่างนั้นก็ได้เห็นใจเพราะเขาเข้าใจไม่ได้ แต่อาตมาเป็นผู้ที่มั่นคง เป็นพวกที่ยืนหยัดยืนยันอย่างแท้จริงว่า คุณเข้าใจผิด อาตมาไม่ได้มาทำลายศาสนาอาตมากำลังจะมาสถาปนาศาสนาที่มันเสื่อมต่างหาก ก็อ้างอิงตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า เอาพระไตรปิฎกมายืนยัน แม้ที่สุดอ้างอิงเรื่องนี้ ในบันทึกของพระไตรปิฎกไม่มีคำว่า ธัมมิกราษฎร์​มาเลย แต่ตำนานมีมาอย่างจริง อาตมาก็เอามาใช้ มายืนยันโดยไม่ได้มังกุ ไม่ได้ลำบากอะไร ไม่ได้ยากอะไร มันเป็นเรื่องสัจจะ อาตมาก็มาทำอยู่ 

เพราะฉะนั้นขณะนี้อาตมาเห็นว่าคนรับฟังที่อาตมาพูด ค่อยยังชั่วขึ้น เพราะกระแสต้านหรือกระแสที่เข้าใจไม่ได้ ซาลง คนที่ยึดมั่นถือมั่นอาตมาอย่างหนัก แล้วเขาก็ตายๆไปเยอะ เหลือผู้ที่รุ่นใหม่ คนที่ยึดอยู่ก็มีอยู่ เหลือที่ยังไม่ตายอายุรุ่นไล่เลี่ยกัน ส่วนคนใหม่นั้นยังไม่ได้ถูกครอบงำเท่าไหร่ ค่อยๆรับฟัง ปฏิภาณปัญญาของเขาพอไม่มีอคติมาก แล้วก็เป็นคนที่เปิดใจรับฟังอยู่ เขาก็เห็นว่า คนที่มีปฏิภาณปัญญาพอบอกว่า อันนี้ใช่ เขาก็รับไป เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ก็ไปได้เรื่อยๆ เป็นการก้าวหน้ารายทางไปเรื่อยๆ โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าจะก้าวหน้ารายทางไปเรื่อยๆ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม ครั้งที่ 25 พ่อครูคือธัมมิกราษฎร์ ผู้กอบกู้โลกุตรธรรม วันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2566 ( 19:41:10 )

โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าจะอยู่นานได้อย่างไร

รายละเอียด

สรุปตรงนี้ อาตมาเอาโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้ามาเปิดเผย มาเผยแพร่กระจายความรู้และเอาไปปฏิบัติประพฤติได้มรรคผล อันนี้แหละ จะอยู่นาน เชื้อโลกุตระที่อาตมาเอามาสถาปนา ในมนุษยชาตินี้ทำงานมา 50 ปีแล้ว ถือว่าได้ผล ผลที่อาตมาคิดว่า อาตมาพอใจสำหรับตัวเอง ได้ยิ่งกว่านี้ก็ดี ยังไม่อยากตายหรอก ยังพยายามจะทำเพิ่มอยู่ ถึงแม้ตายตอนนี้ก็คิดว่า เกิดมาชาตินี้ ไม่ได้น้อยไปจากที่ควรเป็น อาตมาทำได้เต็มที่ ที่อาตมาน่าจะเป็นมันก็ได้แล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมหยุด เพราะอาตมาก็เหมือนกับพระพุทธเจ้า ไม่สันโดษในกุศลจะทำเพิ่มขึ้นไปอีก 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 7 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 27 กันยายน 2563 ( 08:28:22 )

โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าตามรู้ได้ยากเพราะเหตุใด

รายละเอียด

อันนี้เรื่องจริงนะ ฟังหลวงปู่เทศน์โลกุตระ ซึ่งเป็นธรรมดาเลยที่คนจะตามรู้ได้ยาก เพราะโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้านั้น คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34) 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานมหาปวารณาครั้งที่ 39 คุณธรรมยิ่งใหญ่กว่าอาวุธ วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 พฤศจิกายน 2564 ( 04:19:04 )

โลกุตรธรรมของพุทธเจ้าไม่ใช่จะรู้ได้ง่ายๆ

รายละเอียด

ที่อาตมาพูดนี้อาตมานำสัจธรรมของพระพุทธเจ้ามาจริง ถ้าคุณฟังจริงแล้วจะไม่สงสัยว่า อาตมาจะเป็นพระสารีบุตรมาเกิดหรือไม่เป็นพระสารีบุตรมาเกิด คุณจะไม่สงสัยและจะไม่ติดใจด้วย เป็นหรือไม่เป็นก็ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาเป็นสารีบุตรหรือไม่เป็นสารีบุตร สำคัญที่อาตมาอธิบายธรรมะอะไร ธรรมะเหล่านี้ มันลึกซึ้ง ซับซ้อน วิเศษ เป็นอุตริมนุสธรรม อย่างนี้ๆ คุณจะฟังออก คุณจะเข้าใจ เพราะคุณมีภูมิธรรม คุณมีฐานแห่งความรู้ สามารถจับความรู้นี้ติด 

คนที่ไม่สามารถจับความรู้นี้ติด เขาก็ไม่รู้มันก็เป็นธรรมดา แล้วมีจำนวนมากด้วย เพราะโลกุตรธรรมของพุทธเจ้าไม่ใช่จะรู้ได้ง่ายๆ คนทั้งโลกศาสนาพุทธ ศาสนาอื่นมีศาสดาอีกไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ศาสนาเทวนิยมมีตั้งเท่าไหร่ไม่รู้ เป็นสิบๆ ก็เป็นเทวนิยมอยู่ทั้งนั้น มีโลกุตรธรรมอยู่อันเดียว ใช้ในยุคไหนก็แล้วแต่ มีหนึ่งเดียว แล้วในประเทศไทยด้วย ย้ายมาจากอินเดียแล้ว แต่ก่อนอยู่ในอินเดีย แต่เดี๋ยวนี้เมืองไทยรับมา จนกระทั่งย้ายมาจากอินเดียมาอยู่เมืองไทยอินเดียก็หมด เมืองไทยก็เป็นชมพูทวีปเพราะว่ามี สุรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส ที่เป็นสัจจะ อาตมาไม่ได้ขี้ตู่ โทษทางโน้นไม่สุรภาโวแล้ว ถูกเทวนิยมครอบงำจนเป็นจิตอ่อนอยู่แล้วทั้งหมดแล้ว ไม่เป็นสติมันโต ไม่เป็นอิธพรหมจริยวาโสแล้ว เป็นแบบเชน ไปแล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาสื่อสภาวธรรมโลกุตระ วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2565 แรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 ธันวาคม 2565 ( 14:50:41 )

โลกุตรธรรมของศาสนาพุทธ เสื่อมต่ำมานานแล้วเป็นพันปี

รายละเอียด

โลกุตรธรรมของศาสนาพุทธ เสื่อมต่ำมานานแล้วเป็นพันปี เสื่อมมาเรื่อยๆจนถึง พ.ศ. 2,500 เสื่อมสูญไม่มีโลกุตระเหลือ อาตมาเกิดมาเอาโลกุตระติดตัวอาตมาเอง จึงเรียกว่าอาตมาเป็น สยังอภิญญา จึงไม่มีครูบาอาจารย์ ตำราก็มีอยู่ในพระไตรปิฎก แต่เขาไม่รู้เรื่อง อาตมาก็นำเอาโลกุตรธรรมมาสถาปนาอยู่ในประเทศ อยู่ในสังคมมนุษย์ ในประเทศไทยเกิดมาอย่างที่เป็นมาเราทำตลาดอาริยะมาถึง 41 ครั้ง ก็อาจไม่ถึง 41 ปีที่แล้ว เพราะว่าบางครั้งทำ 2-3 ครั้งต่อปีก็มี ทำเริ่มต้นตั้งแต่ 2523 

เริ่มต้นทำที่สันติอโศก ที่มันแคบประชาชนมามากเกินก็ไปไม่รอด เลยย้ายไปอยู่ที่ปฐมอโศก ที่สันติอโศกทำอยู่ 2 ปี ย้ายไปทำที่ปฐมอโศกเป็นสิบๆปี แล้วค่อยย้ายมาทำที่ราชธานีอโศกเป็นหลักมาจนถึงบัดนี้ หรือแม้แต่ทำในที่สาธารณะ ทำที่ลานพระบรมรูปเราก็เคยทำ ทำที่สนามหลวงเราก็เคยทำ ตลาดอาริยะ คือ เอาของไปขายราคาต่ำกว่าทุน เพราะฉะนั้นการทำอย่างนี้ ทำได้อย่างนี้ ทำตลาดอาริยะ มันไม่ใช่ความฝืน ความแอ็ค ความเด่นความโก้ แต่เป็นเรื่องเกิดจริงเป็นจริงตามปฏิจจสมุปบาท

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ แบบมีกษัตริย์กับไม่มีกษัตริย์ ประชาธิปไตยแบบไหนดีกว่า วันศุกร์ที่ 6 มกราคม 2566 ขึ้น 15 ค่ำ เดือนยี่ ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 มกราคม 2566 ( 13:05:19 )

โลกุตรธรรมของศาสนาพุทธช่วยทุกประเทศในโลกได้

รายละเอียด

อย่างดีที่สุด เพราะเป็นธรรมะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดได้มาจากพระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะช่วยทุกประเทศในโลกได้ด้วย 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 17 ธันวาคม 2562 ( 20:59:26 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:02:49 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 16:20:10 )

โลกุตรธรรมคนเห็นตามไม่ได้ง่ายๆ

รายละเอียด

คัมภีรา ลึกซึ้ง คนจะเห็นตามไม่ได้ง่ายๆ อย่างเช่นอาตมา เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ยังไม่ถึงพระพุทธเจ้าแต่ก็ยังมีโลกุตรธรรม แล้วก็เผยแพร่โลกุตรธรรม คนยุคนี้จึงเห็นตามไม่ได้ง่ายๆ ชาวอโศก 50 ปีก็ได้ประมาณนี้ ก็ไม่น้อย อาตมาว่าไม่ล้มเหลวแต่มันควรจะได้มากกว่านี้ เมืองไทยเป็นเมืองพุทธหากไปเผยแพร่ที่ชาวเทวนิยมคงจะยาก เพราะว่าจิตของเขาไม่มีพื้นฐานอะไรเลย มันจะได้รับ อัญญธาตุ เป็นธาตุที่เริ่มต้นโลกุตระ ไม่ง่าย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์รายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 22 วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 มกราคม 2564 ( 20:15:13 )

โลกุตรธรรมคือธรรมที่สำคัญที่สุด

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นธรรมะนี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุดโดยเฉพาะโลกุตรธรรม ที่คนคนหนึ่งที่ชื่อว่าพระพุทธเจ้าใช้เวลาตลอดพระชนม์ชีพมาจนกระทั่งถึงชาติสุดท้ายสำเร็จสูงสุดเป็นพระพุทธเจ้า ก็อยู่กับสิ่งที่สำคัญที่สุดไปจนกว่าปรินิพพานเป็นปริโยสานไป ปรินิพพานไปแล้ว หายไปแล้วพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 ข้อสุดท้าย 

ท่านก็บอกว่าเธอจะเห็นกายเราในขณะที่เรายังมีชีวิต เมื่อเราปรินิพพานไปแล้ว กายเราก็จะไม่มีแล้วเหมือนพวงมะม่วงตัดขั้ว ตกลงมาสู่พื้นแตกกระจาย พวงมะม่วงมันก็หายไปไม่มีอีกแล้ว ไม่รวมตัวติดกันอีกแล้ว ก็หมายความว่าธาตุรู้ที่เป็นธาตุจิตวิญญาณของพระองค์ แยกเป็นดินน้ำไฟลมไปหมดแล้ว ปรินิพพานเป็นปริโยสาน แยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลม กระจาย ไม่รวมตัวกันติดอีกเลย หมดพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นก็หายไปแล้วจบหมดธาตุหรืออัตตาของท่าน ที่จะจับตัวกันอีกแล้ว หมุนเวียนตายเกิดเกิดตายชาติแล้วชาติเล่า 

ที่มา ที่ไป

พ่อ‌ครู‌เทศน์‌ ‌ทำวัตร‌เช้า‌ ‌ส่ง‌ท้าย‌ปี‌เก่า‌ ‌งาน‌ ‌ว‌.‌บบบ‌ ‌เพื่อ‌ฟ้า‌ดิน‌ ‌สวด‌อภิธรรม‌ส่งท้าย‌ปี‌เก่า‌ให้‌เข้า‌ถึง‌นิพพาน‌ วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2565 ( 11:38:46 )

โลกุตรธรรมคือเหนือสุขเหนือทุกข์

รายละเอียด

เพราะความเห็นที่เราแสดงนี้มันเป็นเรื่องของโลกุตรธรรม อันนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่เป็นเรื่องโลกุตรธรรม ซึ่งโลกุตรธรรมทุกวันนี้มันหายไปแล้ว มันไม่มีอยู่ในสังคมศาสนาพุทธแล้ว อาตมาพูดความจริงนะขอยืนยัน ทีนี้ถ้าเผื่อว่า โลกุตรธรรมได้หายไปจากศาสนาพุทธก็เท่ากับศาสนาพุทธเสื่อมแล้วหมดแล้ว เพราะศาสนาพุทธคือศาสนาที่มีโลกุตรธรรม ไม่ใช่โลกียธรรม ที่มีอยู่ทั่วโลกเป็นศาสนาที่มีอยู่ทั่วโลกที่ไม่รู้เรื่องทุกข์ เรื่องสุข กันอย่างสมบูรณ์แบบ และสามารถดับความสุข ความทุกข์ หมดไปได้ ไม่มี ศาสนาไหนก็ไม่มีนอกจากศาสนาพุทธ นี่คือหัวใจของศาสนา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ แก้กรรมฐานให้ถูกพุทธ วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 07 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:37:06 )

โลกุตรธรรมต้องแสดงออกอย่างไร

รายละเอียด

โลกุตรธรรมก็ต้องแสดงออกอย่างเข้าสายทาง สงบ สันติ อหิงสา จริงใจ จริงจัง แล้วก็ใช้ความจริง ใช้ความดีใช้ความถูกต้อง ใช้คุณธรรม เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แม้กระทั่งเขาจะมาทรมาน จะทำร้ายทำลายรุนแรงอย่างไรก็ยอม แม้เขาฆ่าตายก็ยอม ถ้าไม่ตายเหลือชีวิตก็ดีที่ไม่ถึงตาย เมื่อไม่ถึงตายก็ดีที่เขาไม่ตัดอวัยวะยังเหลือแขนขาอยู่ก็ดี แม้ว่าเขาตัดแขนขาก็ยังไม่ตายก็ดี อะไรอย่างนี้เป็นต้น เขาไม่ตัดแขนขามีอวัยวะถ้วนรอบก็ดี เขาก็ยังด่ายังว่า ข่มขี่ ก็ดีกว่าเขาตัดแขนขา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เทวนิยมใหญ่สุดโต่งอย่างไรในศาสนาพุทธ วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มิถุนายน 2564 ( 19:40:57 )

โลกุตรธรรมต้องได้ยินจากผู้อยู่ในฐานะครูที่เป็นสัตบุรุษ

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าจึงย้ำจะเกิดปัญญาได้ข้อที่ 1 ต้องเกิดจากสัตบุรุษต้องได้ยินจากสัตบุรุษ อาศัยพระศาสดา ซึ่ง ตอนนี้พระศาสดาไม่มี ก็รู้กันอยู่แล้ว ท่านปรินิพพานไปหมดแล้ว ก็เหลือแต่ผู้ที่จะเป็นบุคคลธรรมดา ไม่ใช่ศาสดา เป็นเพื่อนพรหมจรรย์ที่เป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในฐานะครู เพราะฉะนั้นเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งที่เป็นผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู 

พวกเราเรียกอาตมาเรียกว่าพ่อท่าน เอาไปเอามาเรียกว่าพ่อครู อาตมาเลยอยู่ในฐานะครู 

ทีนี้ผู้ที่จะรู้จักอาตมาว่าอยู่ในฐานะครูจะต้องมีปัญญา เพราะฉะนั้นเขาไม่มีปัญญาเขาจะไม่รู้จักเลยว่าอาตมาคือครู ที่จะมาสอนให้เกิดปัญญา จะมีความรู้ที่เป็น อัญญธาตุ ซึ่งไม่เหมือนโลกเขาเป็น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 2 งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 44 วันอังคารที่ 6 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 13:44:28 )

โลกุตรธรรมที่เข้าร่องรอยจริงๆ ไม่มีวันตกต่ำ

รายละเอียด

คนที่ไม่เข้าใจอาตมานั้น จนถึงวันนี้ก็ยังเข้าใจไม่ได้นั้น เขาไม่มีต้นทางที่จะเข้าใจ ชัดเจนไหม ตั้งนานก็ยังไม่เข้าใจ ตัวอย่างของอาตมาบรรยายที่เขาก็ศึกษาภาษาบัญญัติเดียวกัน ตำราพระไตรปิฎกเดียวกัน จนป่านนี้ก็ยังเข้าใจไม่ได้ แล้วจะทำยังไง ก็เป็นของเขาเข้าใจไม่ได้ คนอื่นๆที่เขาเข้าใจได้แล้วเขาก็มาจนกระทั่งเขาหลายผู้คนไม่คิดว่าจะเข้าใจได้ขนาดนี้ด้วยซ้ำ ใช่ไหม พอมาแล้ว โอ้โห มาได้เข้าใจอย่างนี้ เราก็จะยิ่งชัดเจน แต่ก่อนเราหลงไปกับทางโน้น แต่เดี๋ยวนี้เราชัดเจนมากยิ่งขึ้นมาทางนี้ ความจริงสัจจะนี้ไม่มีวันตกต่ำ ถ้าเป็นโลกุตรธรรมที่เข้าร่องรอยจริงๆ ไม่มีวันจะตกต่ำ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 31 วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564 ที่บวรสันติอโศก


เวลาบันทึก 21 มีนาคม 2564 ( 21:35:55 )

โลกุตรธรรมพวกเราเข้าใจ แต่คนข้างนอกเทวนิยมจะยังไม่เข้าใจ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมะนี้ ขั้นที่พระพุทธเจ้านำมาประกาศแก่โลกนี้เรียกว่าโลกุตรธรรม เป็นธรรมะที่ พวกเราเข้าใจ ถ้าอาตมาจะอธิบายไปต่อไปนี้ แต่คนข้างนอกเทวนิยมต่างๆจะยังไม่เข้าใจ ที่อาตมาจะอธิบายต่อก็คือ 

จะสามารถรู้โลกียะ โลกุตระอันนั้นมันต่างกันจริงๆ ต่างกันคนละโลก ต่างกันคนละดวงดาว ต่างกันชนิดทวนกระแสเลย คนนึงเห็นดำ คนนึงเห็นขาว ต่างกันเป็นดำกับขาวเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของผู้มีอภิภายตนะ 8 วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2565 ( 10:23:12 )

โลกุตรธรรมพาเจริญถึงขั้น รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง รู้จบ

รายละเอียด

ผู้ที่เห็นว่าชีวิตนี้มันต้องเอาเรื่องของธรรมะ ถ้าไม่เอาเรื่องธรรมะ โดยเฉพาะธรรมะที่เป็นโลกุตระ แม้แต่ธรรมะที่เป็นโลกียะก็ตาม มันก็พาเจริญได้ อยู่ในชีวิตในโลกียะมันก็พาเจริญในชีวิตสามัญก็เป็นไปได้ แต่ยิ่งเป็นโลกุตระแล้ว มันเจริญถึงขั้นรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง รู้จบ อันนี้มันเป็นสุดยอดของพระพุทธเจ้าที่ค้นพบความจริง รู้จบคืออะไร จบคือจบเรื่องจิตวิญญาณ จบว่าจะทำจิตวิญญาณนี้ให้เป็นจิตวิญญาณที่ไม่ทำชั่วอีกเลย ทำแต่ดี รู้จักอาการของจิตที่เป็นบาป เป็นอกุศล เป็นกิเลส แล้วไม่ทำอีกเลย ล้างกิเลสได้ ไม่ทำชั่วอีกเลย ไม่ทำบาปอีกเลย ทำแต่ดี 

เพราะฉะนั้นกรรมที่ทำ ทำแต่ดี อย่างเที่ยงแท้ถาวร ทำได้อย่างนิยตะ เที่ยงแท้เลย นี่เป็นประเด็นที่หนึ่ง เพราะฉะนั้นคนที่จบอรหันต์แล้ว 

1.จะทำแต่ดี จะเกิดอีกกี่ชาติๆๆๆ กรรมมีแต่กรรมกุศล ไม่มีกรรมบาป ไม่มีกรรมอกุศลเลย นี่เป็นหลักประกันของชีวิตหรือจิตวิญญาณ 

2.สามารถที่จะรู้แจ้ง รู้จริง รู้จบจิตวิญญาณ แยกธาตุจิตวิญญาณ เมื่อตายกายแตก กายัสเภทา ปรัมมรณา หลังกายแตกแล้วไม่มีจิตวิญญาณของเราเหลืออีก สลายจิตวิญญาณไปเป็นธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม หมดอัตภาพของเราเลย นี่เป็นความตรัสรู้สุดยอดแล้วในเรื่องของจิตวิญญาณ ในเรื่องของชีวะ 

สัตว์เดรัจฉานมันก็ค่อยๆ ขึ้นมา จนกระทั่งมันก็พัฒนา มันก็จะมาเป็นคน สัตว์เดรัจฉานมันก็จะมาเป็นคน ชีวะเริ่มต้นตั้งแต่พอมาเป็น ปาณะ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าอย่าไปทำให้เขาตกร่วง พยัญชนะคำว่า ปาณะ มันมีสภาวะของธาตุจิตวิญญาณสะสมมา ที่อาตมาไล่อธิบายมาตามที่พระพุทธเจ้าก็อธิบายไว้ในพระไตรปิฎกตั้งแต่ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม มหาภูต รวมตัวกันมาเป็นภูตคาม มาเป็นพีชคาม แล้วมาเป็นเจตภูต จนกระทั่งมาเป็นปาณะ แล้วค่อยเจริญมาเป็นสัตตะ มาเป็นจิตนิยาม เป็นวิวัฒนาการของพลังงาน ตั้งแต่ยังไม่เป็นชีวะ จนมาเป็นชีวะ ตั้งแต่ระดับพีชนิยาม แล้วมาถึงขั้นจิตนิยาม  นี่เป็นความรู้สุดยอดในประดาคน ที่สามารถจะหยั่งรู้สภาวะที่เยี่ยมยอดได้ นี่เป็นความเยี่ยมยอดของพลังงานจิตนิยาม พลังงานจิตเจตสิกต่างๆ 

มีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ศาสดาเทวนิยมไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นก็จัดการให้แม้แต่ให้จิตทำดี ไม่ตกต่ำอีกเลย ก็ไม่ได้ จะเวียนวน สูงแล้วต่ำ ต่ำแล้วสูง หรือเรียกว่า นรก-สวรรค์ สวรรค์-นรกอยู่ โดยที่เขาไม่รู้ตัว เขาไม่รู้ว่าเขาทำไม่ได้ แต่ของพระพุทธเจ้ารับรองทำได้จริง จนสูงไปถึงขั้น รู้เหตุ รู้ปัจจัยที่จะทำให้จิตอยากดีอย่างถาวรแล้ว ทำแต่ดี กรรมดีถาวรแล้วเพราะฉะนั้นจะเกิดอีกกี่ชาติๆ ก็ไม่เป็นภัยเป็นพิษ นี่เป็นหลักประกันนอกจากนั้นจะทำให้จิตตนเอง

1.ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ นี่เป็นโลกุตระ ดีชั่วนั้นเป็นโลกียะ ไม่สุขไม่ทุกข์นี่เป็นเรื่องของโลกุตระ พระพุทธเจ้าทำได้ นอกจากไม่ทำชั่วเลยทำแต่ดีก็ไม่ทุกข์ไม่สุข แล้วก็ไม่เป็นโทษเป็นภัยอะไรเลย จะเกิดมาอีกมีแต่พัฒนาตนเองให้มีแต่สูงขึ้นๆ ให้รู้จักสภาวะของเรื่องมนุษย์นี่มีอีกหลายขั้น อย่างที่โพธิสัตว์หลายขั้น ที่อาตมาไล่ให้ฟัง จนสูงสุดแล้วขั้นพระพุทธเจ้า นี้สุดแล้ว เท่าที่คนจะรู้ ไม่มีอะไรใครเทียบทันได้อีกเลย ไม่มีใครจะเทียบเท่าเทียบทันแล้ว ก็จบ เป็นอรหันต์แล้ว ถือว่าทำตนเองได้สูงแล้ว มันมีขั้นสูงที่จะสูงขึ้นไปอีก เพื่อที่จะไปรู้จากผู้อื่น จากแบบอื่นๆ ไอ้ที่เป็นแบบปรุงแต่งแบบอื่นอีก นอกจากเราเอง ทำตัวเราเองได้แล้ว คนอื่นๆ ก็ช่วยให้คนอื่นๆ เลิกได้อีกไปตามลำดับๆ อย่างนี้เป็นต้น 

จนกระทั่งขนาดที่พระพุทธเจ้าว่า เอาละ ขนาดนี้ช่วยคนได้ไม่ใช่น้อยแล้วล่ะ แต่ก็ช่วยเทวนิยมเขาที่มีมากกว่า ไม่ได้หมดทุกวันนี้ เพราะมันยาก มันเป็นนามธรรม มันยากมาก ก็สุดวิสัยแล้ว ทำได้อย่างสุดวิสัย มันก็เกิดมาตามยุค ตามกาล ตามกาละ ยุคที่คนดี คนที่พอสอนได้มากก็จะมีคนที่บรรลุมาก แต่ยุคที่มันเข้าไปสู่ความ โอ้โห กิเลสมันจัดจ้าน เหมือนอย่างยุคใกล้กลียุคเข้ามาหา อย่างพวกเรายุคนี้ ใกล้กลียุคเข้าไปยิ่งแย่เข้าไปทุกทีแหละ เพราะฉะนั้นโลกุตระจะเหลือน้อยลงๆ จนกระทั่งโลกุตระหยั่งลงไม่ได้ มนุษย์เสื่อมมาก หนักจนกระทั่งรับไม่ไหว  รับโลกุตระไม่ได้แล้ว มันก็จบ โลกุตระก็ต้องหยุดพัก แต่โลกียะนั้นมันไม่หยุดพักหรอก มันก็มีของมันไป มันก็จัดจ้าน มันก็เลวร้ายไปเรื่อยๆ 

เพราะฉะนั้นเกิดมาเป็นชีวิตแล้ว คนไม่รู้ก็ไปหลงโลกียะคือหลงใน ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หลงสุขหลงทุกข์ หลงสุขจะไม่เอาทุกข์แต่มันก็ต้องได้เพราะมันไม่รู้ ก็ไปวนเวียนอยู่อย่างนั้น แล้วก็สมมุติกัน แต่ละแห่งไม่เหมือนกันทีเดียว คล้ายกันบ้าง เหมือนกันบ้าง เหมือนมันก็ไม่เป๊ะเหมือนกันหมดหรอก แต่มันก็มีส่วนคล้ายกันมากได้ ก็แก้ไขกัน มันแก้ไม่จบ 

มันแก้ไม่จบ แต่ของพระพุทธเจ้าแก้จบ จึงมีคำว่า กตํ กรณียํ (กะตัง กะระณียัง) จบกิจ มีคำว่า จบกิจ โดยเหตุปัจจัยแต่ละกรอบ แต่ละรอบ กรอบที่สมบูรณ์แบบจบกิจก็ถือว่าอรหันต์ ไม่ลึกลับ รหะ คือลึกลับ อรหะคือไม่ลึกลับ อรหันต์ อันตะแปลว่าที่สุด คือหมดความลึกลับเป็นที่สุด นี่เป็นจุดไขความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเอามาเปิดเผย ทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางจิต ทรงค้นพบสิ่งประเสริฐสุดอันนี้ เอามาเปิดเผย
เพราะฉะนั้นคนถ้าเผื่อว่าได้มาเรียนรู้ธรรมะโลกุตรธรรมแล้ว ทำตนให้เป็นอาริยะจนเป็นอรหันต์ได้ ปล่อยได้เลยทีนี้ ปล่อยอัตตาของผู้นี้ ปล่อยตัวชีวะของผู้นี้ ปล่อยจิตนิยามของผู้นี้ จะสมัครใจเป็นอิสรเสรี จะอยู่ก็สุดยอด เป็นประโยชน์ต่อโลกต่อมนุษย์ จะไม่อยู่ก็เลิกเลยสลายตัวเองได้เลย มันจบแท้ๆตรงนี้ จบแท้ๆตรงที่สลายจิตวิญญาณได้ แต่ศาสดาเทวนิยมไม่มีทางที่จะรู้สิ่งนี้ จึงจะต้องไปอยู่กับพระเจ้า แล้วก็ไม่เข้าใจว่าพระเจ้าคืออะไร พระเจ้าก็อยู่นิรันดรอีก สลายไม่ได้ อยู่นิรันดร แล้วก็ไม่รู้จักพระเจ้าด้วย ไปจบอยู่ที่ที่ลึกลับ มันไม่เป็น”อรหะ” มันไม่เป็นว่า”ไม่ลึกลับแล้ว” มันก็ลึกลับอยู่อย่างนั้น เป็นพระเจ้า เป็นพลังงานที่ครอบ ก็เข้าใจว่าเป็นพลังงานนี่แหละเป็นเจ้าของทุกชีวิต ทุกสรรพสิ่งในมหาจักรวาล เป็นผู้สร้างทุกอย่างเลย อย่างนี้เป็นต้น ก็เข้าใจกันอย่างนั้น 

พระพุทธเจ้าจึงมาพิสูจน์ โดยความตรัสรู้ของพระองค์ มาพิสูจน์ว่ามันไม่ใช่ อย่างนั้นไม่ใช่ เรานี่แหละเป็นเจ้าของจิตวิญญาณเอง เราสามารถทำลาย มันมีเหตุความโง่ มีเหตุทำให้มันไม่เข้าใจ มันอวิชชา มันไม่รู้ความจริง จนกระทั่งเข้ามารู้ความจริงเข้าไปๆ ว่ามันเป็นเรื่องของธาตุ 2 รูปกับนาม เข้ามาจับคู่ปรุงแต่งกันอยู่ จนกระทั่งสามารถแยกแยะได้ว่า อ้อ ลักษณะปรุงแต่งกันอยู่ มันมีตั้งแต่พลังงานกับพลังงาน สสารกับพลังงาน จนมาปรุงแต่งกันเป็นชีวะในระดับพืช จนมาปรุงแต่งกันเป็นชีวะในระดับจิตนิยาม นักวิทยาศาสตร์เอกทางจิตวิญญาณของมนุษย์คือพระพุทธเจ้า จึงสามารถที่จะเข้าใจเหตุปัจจัยว่ามันไปปรุงแต่งกันโดยอะไร 

คนหลงสุขหลงทุกข์ อารมณ์ อาการ อาการอารมณ์หรือความรู้สึกสุข ซึ่งมันหลอกอยู่ในโลกให้คนติด ผู้ไม่รู้อย่างพระเจ้าหรืออย่างสายเทวนิยมเขาก็ติดสุข เขาไม่รู้ เขาไม่ได้เรียนเรื่องสุขเรื่องทุกข์ มันเป็นความปรุงแต่ง แล้วไปหลงยึดติดเรียกว่า อุปาทาน ไปหลงยึดติดว่าไอ้อย่างนี่เป็นของน่าได้ น่ามี น่าเป็น แล้วปรุงได้ก็หลงยึดติดอยู่อย่างนี้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว จึงเลิกยึดถืออันนี้ได้ ก็แยกธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ไปเลย แยกจิตเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ไปได้ ก็จบ 

เพราะฉะนั้น สัตว์หรือเริ่มต้นตั้งแต่เป็นชีวะ-สิ่งมีชีวิตที่เริ่มต้นตั้งแต่ระดับพืช มันไม่จบ มันจะต้องพัฒนาตนเองขึ้นมา กว่ามันจะมาเป็นสัตว์ พืชกว่าจะมาเป็นสัตว์ได้ ที่จริงมันมีรายละเอียดเยอะแยะ พระพุทธเจ้าก็ไล่ไว้ แต่อาตมาไม่ได้ไปเอารายละเอียดที่จริงๆ มาไล่เรียง ไล่ไม่ไหว ไล่ไปเราก็พอเข้าใจแล้วว่ามันเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เรามาทำของเราให้มันจบซะก็แล้วกัน จบแล้วทีนี้คุณจะอยู่คุณจะเลิกก็ได้ ที่มันเป็นความละเอียดลออเป็นระดับมีไม่รู้กี่ระดับนั้น เราไปรับผิดชอบไม่ไหว แล้วไปบอกมันก็ไม่รู้เรื่องด้วย กว่ามันจะมามีจิตวิญญาณหรือมีจิตนิยามที่มาศึกษารู้อย่างพวกเรา 

พวกเรารู้แล้วก็สามารถจัดการทำลายความโง่ของตัวเอง จนกระทั่งสลายไปได้ สลายความยึดติด จนกระทั่งเป็นอรหันต์ จนกระทั่งเลิกไปได้เลย มันเป็นสุดยอดแห่งความรู้แล้ว 

เพราะฉะนั้น จะไปศึกษาวิชาอะไรอยู่ในโลก ยุคพระพุทธเจ้ามี 18 วิชา มีมหาวิทยาลัยเรียกว่าตักกสิลา มีวิชาอยู่ในตักศิลาที่เป็นมหาวิทยาลัยใหญ่อยู่ในยุคโน้น มี 18 คณะ 18 แผนก ท่านเรียนจบหมดเลย เกียรตินิยมมาหมด เหมือนทุกวันนี้ก็มีมหาวิทยาลัย แต่ละมหาวิทยาลัย มีไม่รู้กี่แผนก เดี๋ยวนี้มากกว่า 18 แล้วมั้ง วิชาของเขาแตกแขนงออกไป เช่น วิชาชงเหล้าก็มี จบปริญญานะ วิชาชงเหล้า ว่ากันไป วิชาทำไอ้โน่น ทำไอ้นี่ สารพัดเป็นวิชาทั้งนั้น แล้วก็เรียนเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีพก็คือวนเวียนอยู่ใน ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อยู่อย่างนั้น ละเอียดแยกเข้าไปติดอยู่ในมุมนั้นมุมนี้ ปรุงกันไป บานทะโร่โท่ไปเรื่อยๆ ไม่มีจบ 

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้ามาสอนในเรื่องที่รู้ หลงมาแล้ว เลิกละ แล้วก็รู้จบ ก็จบเลย มันเป็นวิชาการที่ล้างความหลงลาภ ยศ สรรเสริญ หลงความสุขนั่นแหละเป็นเหตุ จนกระทั่งท่านตรัสรู้ว่าสุขกับทุกข์เป็นเรื่องอันเดียวกัน เป็นความยึดติดสิ่งที่เป็นหนึ่งเดียว เทวะที่มันหลอกเป็นหนึ่ง ที่แท้มันอันเดียวกัน เป็นมายาหลอกที่สุด เป็นมายา ที่แท้พวกคุณมารู้แล้วก็เป็นสิริมหามายา จะให้เกิดยังไงก็ได้ ไม่ให้เกิดก็ได้ และรับรองว่าถ้าจะเกิดอยู่ ก็ไม่เป็นพิษเป็นภัยเป็นโทษ มีแต่ประโยชน์ อย่างอาตมารู้สิ่งเหล่านี้เพราะอาตมาผ่านอรหันต์มาหลายขั้นที่แยกแยะให้ฟังแล้ว มีกี่ขั้น 6 ขั้น อรหันต์ 6 ขั้น แยกให้ฟัง 

อรหันต์ขั้น 1 ก็รู้จักจบแล้ว เลิกได้ ขั้นที่ 2 ก็มีความรู้รอบ มีกรอบเพิ่มขึ้นไปอีก ขั้นที่ 3, ขั้นที่ 4, ขั้นที่ 5, ขั้นที่ 6  ถึงขั้นที่ 6 ก็เป็นพระพุทธเจ้า สุดแล้ว  ก็ไล่ให้ฟังมาหมดแล้ว ตั้งแต่อรหันต์ที่ทำตัวเองได้ แล้วก็เริ่มรู้ผู้อื่น รู้ไปตามลำดับ กรอบแรกอนุโพธิสัตว์หรืออรหันต์ขั้น 2 ก็รู้ไปกรอบหนึ่ง เสร็จแล้วก็พยายามรู้ไปอีก อนิยตะ ต่อไปอีกเป็นกรอบที่ 2, 3, 4, 5 ไปเรื่อยๆ  จนกว่าจะรู้เข้าไปถึงขีดว่า อ๋อ.. คนที่สามารถพัฒนาตนเองเป็นผู้ที่จะรู้ในเรื่องของโลก เรื่องของสัตว์โลก โดยเฉพาะมนุษย์ รู้จักไอ้ที่มันเป็นสารพัดวิชา มันก็ทำเพื่อ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เท่านั้น ในเทวนิยมทั้งหลายไม่มีออกจากนี้ เพราะฉะนั้นท่านก็ประมวลมาประมาณนี้แหละ ประมาณให้รู้ว่า 

ไอ้ที่มันยังทำให้หลงจนกระทั่งแม้ที่สุดมาหลงตัวเอง หลงตัวเองว่าจะรู้ มันรู้ไม่มีขีดจบหรอก ท่านก็กำหนดเอาไว้ถึงขีด เอาสังขยาเลขมาแยก 1 2 3 4 ถือว่าเป็นขั้นละเอียดแล้ว โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ จากอรหันต์มาก็ต่อไปอีกเป็นขั้น 5 ขั้น 6 ขั้น 7 เออ.. อีก สามเส้า คือ (5)-(6)-(7) ก็รู้แล้วว่าในโลกมันมีความเฉลียวฉลาด มันมีความรู้โลก เป็นโลกวิทู 

พอมาถึงขั้น 7 ก็จะรู้ว่า อ๋อ ไม่มีปัญหาแล้วใน (5)-(6)-(7) ก็เข้าเขตที่จะไปเป็นพระพุทธเจ้า ที่จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วเท่าที่โลกมันจะมี เพราะฉะนั้นพอถึงขั้น 7  เป็นโพธิสัตว์ขั้น 7 อรหันต์ขั้นที่ 4 มันก็มีต่อไปได้อีกอย่างเก่งอีก 3 รอบหรือ 2 รอบ (7)-(8)-(9) สุดแล้วตามหลัก 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ก็ถือว่าเต็มขีดแล้ว ในสามเส้า (1)-(2)-(3)  เส้า (4)-(5)-(6) และเส้า (7)-(8)-(9) แล้วมันก็เป็นสามเส้าอีก เป็น (10) มันก็ซ้อน-ซับซ้อนอยู่ในนี้  เพราะฉะนั้นในระดับ (7)-(8)-(9) เป็นภาวะที่รู้ความซับซ้อนของพวกนี้ ซับซ้อนมากขึ้น มากขึ้น เป็นนัยยะที่ซ้อน “หมุนรอบเชิงซ้อน” ซ้อนๆๆๆ จนเป็นผู้รู้ระดับ ความเป็นลำดับ พระพุทธเจ้าท่านถึงตรัสว่ามันเป็นเรื่องที่สุดน่าอัศจรรย์ในความเป็นลำดับ ลำดับที่มันซับซ้อนแล้วมันจะสับสนเลย คนที่ไม่มีภูมิพอจะแยกไม่ออก 

เพราะฉะนั้นขั้นที่ 7 8 9 เป็นการรู้ความซับซ้อน เป็นขั้นที่ว่ามันสุดแล้วเป็นเส้าที่ 3 แล้ว  (1)-(2)-(3), (4)-(5)-(6) และเส้าที่ 3 (7)-(8)-(9)  สูงสุดแล้ว แบ่งเป็น 3 กรอบ อาตมาก็เริ่มเส้าที่สุดท้ายไปถึงพระพุทธเจ้า นิยตโพธิสัตว์ มหาโพธิสัตว์ แล้วก็พระพุทธเจ้า นี่เป็นความรู้วิทยาศาสตร์ทางจิตที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่ไปเรียนวิทยาศาสตร์ทางโลกียะ เรื่องของวัตถุ มันก็ได้อย่างไม่มีจบแล้วก็หลงยิ่งใหญ่ด้วยนะ อย่างทุกวันนี้ไปเอาพลังงานทางวัตถุ เอาไปทำลายกัน หลงความพิสดารของมัน เอามาทำอะไรต่ออะไร เหาะเหินเดินน้ำดำดินไปได้ แต่ก็เอามาใช้ประโยชน์ได้จริงๆ แต่ก็หลงไปอีก 

นี่จะไปสร้างโลกใหม่อยู่ในอวกาศ แล้วก็ไปเป็นมนุษย์เจ้าของแผ่นดิน เจ้าของพื้นที่ ซึ่งมันก็คิดไปบ้าๆบอๆ มันทำไม่ได้หรอก แต่เขาก็คิดฝันเพ้อไป มันไม่มีที่จบ คิดแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งมาคิด เขาคิดกันมาบ้าๆ บอๆ แต่ไหนแต่ไร มันไม่รู้จักกรอบแห่งความเป็นไปได้หรือความเป็นไปไม่ได้   ไม่รู้ มันก็คิดในกรอบที่มันเป็นไปไม่ได้ นึกว่ามันเป็นไปได้ก็ทำ เพราะมาทำสิ่งที่ไม่นึกว่าจะเป็นไปได้มาได้เยอะเหมือนกัน แล้วมันก็คิดต่อไปอีกว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นไปได้มาไม่รู้ตั้งเท่าไรแล้ว มันก็ไม่หยุดคิดกัน เพราะฉะนั้นพวกคิดฟุ้งเฟ้อฟุ้งซ่านที่มันเป็นไปไม่ได้ มันก็ไม่รู้ตัวมันคิดไป แต่เสร็จแล้วจนกระทั่งชีวิตตาย คนอื่นบางทีบางอย่างก็ไม่ได้บันทึกไว้ก็หายไป ที่บันทึกไว้ก็เอามาบ้ากันต่อ 

มันไม่รู้ที่เจริญสุดและไม่รู้จักที่จบสุด ของพระพุทธเจ้านี้รู้ที่เจริญสุด เจริญอย่างไร เจริญก็คือรู้จักชีวะ แล้วก็ทำให้ชีวะนี่ทำแต่ดีไม่ทำชั่ว แล้วก็สอนอีก รู้ว่าชีวะนี่โง่อะไรอีก โง่ไปหลงสุข สุขทุกข์ก็เป็นความหลอกทั้งนั้น แล้วหลง ก็รู้ว่าหมดแล้วสุขทุกข์ แล้วรู้ความจริงว่ามันจบหมดเลยทีนี้ เลิกได้ ไอ้ธาตุรู้ตัวนี้ ตัวจิตวิญญาณนี้ ธาตุรู้ตัวนี้ เลิกเป็นจิตวิญญาณมันได้ ไอ้ที่มันจะมาเป็นจิตวิญญาณ มันไม่รู้นะ มันพัฒนามาเป็นเรื่องธรรมชาติมาแต่ไหนแต่ไร นี่พืชพันธุ์ธัญญาหารมันก็พัฒนาไปเพื่อจะมาเป็นจิตวิญญาณ กว่าจะมาเป็นสัตว์เซลล์เดียว กว่าจะมาเป็นสัตว์ล้านเซลล์ มันก็พัฒนามาเต็ม มันต้องมีน้ำประกอบ เพราะฉะนั้นมันจะอยู่ในน้ำ แล้วขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมันเจริญขึ้นมามันก็ขึ้นบก ขึ้นบกไม่พอมันก็ขึ้นฟ้าบินเอาเลย มีอยู่แค่นั้น 

เพราะฉะนั้นเราจะศึกษาอย่างไรๆ ก็ตาม พระพุทธเจ้ารู้หมด แล้วก็ไม่ไปเสียเวลาอย่างที่เขายังไม่รู้ ก็มาเรียนรู้สิ่งที่มันควรจะรู้ มีเวลา พวกเราอายุแค่ร้อย ในยุคที่คนอายุมากๆๆๆ มันก็โง่มามากแล้วแต่มันจะฉลาดขึ้นมาเรื่อยๆ ฉลาดความจริงขึ้นมาเรื่อยๆ ในยุคที่โง่มากๆมากๆ กว่าจะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้สักองค์ 80,000 ปี 70,000 ปีกว่าจะได้ทางออก คุณอยากจะไปเกิด 80,000 ปีไหม จะได้ค้นพบพระพุทธเจ้าและรู้ทางออกจะได้ลดอายุลงมา โชคดีแล้วที่มาเกิดนี่ ไม่ต้อง 80,000 ปีหรอก 100 ปีก็ยากแล้ว แล้วเราก็สามารถที่จะมีจุดสำคัญที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ทฤษฎีเอกไว้แล้ว นี่มันสุดยอดแล้ว ที่พระสมณะโคดมตรัสรู้ในยุคนี้ แม้มันจะผ่านไป 2,500 กว่าปีแล้วก็ตาม ก็สามารถพิสูจน์ได้ ความจริงนี้พิสูจน์ได้ แต่มันก็เรื้อ มันก็เพี้ยนไป อย่างน่าสงสาร หมู่ที่ไม่รู้มีอีกเยอะ 

เพราะฉะนั้นคนที่รู้อย่างพวกเรานี้ ไม่ใช่เพิ่งรู้ พวกเราได้สั่งสมความรู้ กว่าจะมารู้อย่างนี้ได้มันไม่ใช่อยู่ดีๆ ฟลุ้คๆ  มันมีบารมีสั่งสมมาอยู่แล้ว เหมือน อัญญธาตุ เป็นธาตุที่เป็นโลกุตระ ธาตุจิตที่เป็นโลกุตระ อาตมาอธิบายให้ฟังแล้วว่า ธาตุจิตที่เป็นโลกุตระนี้ ไม่ได้หมายความว่า มันจะเริ่มรู้ รู้ทันทีเลยโลกุตระ ไม่ใช่ มันสะสมมา 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 จนกว่าจะมาถึง 50 หน่วย มันถึงจะเป็นขีดที่พอพูดกันรู้เรื่องกับผู้รู้ กับคนที่เป็นโลกุตระ คือพระพุทธเจ้า 

เพราะฉะนั้นคนที่กว่าจะพูดกันรู้เรื่องถึงเรื่องโลกุตรธรรม หรือพูดกับพระพุทธเจ้า หรือพูดกับคนอย่างพวกเราเข้าใจ มันต้องสะสมหน่วย อัญญธาตุมา กว่าจะรู้ได้เกิน 50 มา 55  60 มา ก็ค่อยๆ พูดกันรู้เรื่องบ้าง จนกว่าจะ 75 ถึงจะ โอ้โห.. ถึงจะพูดโลกุตระรู้เรื่องกันดีจริงๆ แล้วจากนั้นก็สามารถที่จะถึง พูดให้เจริญเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ กันได้จริง

เพราะฉะนั้นมันถึงห่างไกลมากเลยกับคนทางโลก ที่จะมารู้อันนี้ได้ง่ายๆ คน 7 พันล้านในโลกทุกวันนี้ ฉลาดกันแล้วยุคนี้ แต่ขั้นฉลาดเถอะ ก็ยังสามารถที่จะรู้โลกุตระได้น้อย แม้แต่ในศาสนาพุทธเอง ก็รู้โลกุตระได้กระหย่อมเดียวนี้อย่างพวกชาวอโศก นอกนั้นเขาก็หลงว่าเป็นอรหันต์เก๊ อรหันต์อะไรกันไป ซึ่งแหม ..อาตมาก็พยายาม น่าสงสาร ก็พยายามช่วยเตือนบอกเขา บอกว่าหยุดเถิดไอ้ที่มันหลงใหลอยู่ทางโน้น ไม่ว่าจะนั่งหลับตาหรือลืมตา ไปศึกษาสารพัดความรู้ไม่รู้จักพอ เรียนรู้มันจะไปจบที่ไหนล่ะ ความรู้ในโลก อย่างท่านสมเด็จพุทธโฆษาจารย์หรือท่านมหาประยุทธ์ ท่านเรียนท่านก็บอก โอ้โห สิ่งที่น่าจะเรียนรู้มันมีอีกเยอะ ก็ถูกสิ คุณก็ต้องรู้จักกรอบแห่งความหยุดบ้างสิ 

อันนี้แหละน่าสงสารท่าน ท่านก็จะต้องเป็นไป แล้วท่านก็ไม่เชื่อด้วยว่าอาตมาพูดจริง เพราะท่านยังไม่มีภูมิ ถ้าท่านมีภูมิเมื่อไร ความรู้ของท่านมาตีกรอบเข้าไป จะมาสรุปได้ง่าย ที่อาตมาพูดนี้หมายความว่ายอมรับโพธิรักษ์ซะ แล้วมาหาโพธิรักษ์ ตีกรอบให้ ให้ลดไปตามลำดับ ท่านจะบรรลุเร็วเลย เพราะว่าท่านรู้ครบทุกอย่าง มีมากเกิน ไอ้เกินก็อย่าเพิ่งไปเอาสิ เอาตีกรอบไปตามลำดับ แต่ก็อย่างว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ มันก็เป็นตัวอย่างของโลก เหมือนยุคพระพุทธเจ้าก็มีตัวอย่าง พระเทวทัต หรือพวกฉัพพัคคีย์ ก็เป็นอย่างนั้น เป็นตัวแซมๆ อยู่อย่างนั้น 

 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม ครั้งที่ 41 คนเจริญคือคนทำฌานจนเป็นบุญสำเร็จ วันจันทร์ที่ 18 กันยายน 2566 ขึ้น 4 ค่ำเดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 26 พฤศจิกายน 2566 ( 15:50:20 )

โลกุตรธรรมมีสัมมาทิฏฐิมาก่อน

รายละเอียด

และ“ผู้อื่น”ที่ว่านี้ ก็จะต้องเป็นคนผู้มี“โลกุตรธรรม” ในตน ที่“สัมมาทิฏฐิ”จริงๆมาก่อนแล้ว ซึ่งนับตั้งแต่“พระพุทธเจ้า”ทุกพระองค์ทรงเป็น“เจ้าของโลกุตรธรรม(ธรรมสามี)”คนแรกในโลก แล้วทรงนำมาเปิดเผยแก่มนุษย์ในโลก คนในโลกจึงจะ“รู้” และ“มี”โลกุตรธรรมขึ้นมาในโลกได้ ไม่เช่นนั้น“โลกุตรธรรม”ก็จะมีขึ้น เกิดขึ้นในโลก ไม่ได้เด็ดขาด ก็จะมีแต่“โลกียธรรม”อยู่ในโลก

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 16 หน้า 53


เวลาบันทึก 13 มิถุนายน 2564 ( 13:30:33 )

โลกุตรธรรมมีในอนาคตไหม

รายละเอียด

โลกุตรธรรมมันมีแต่เดิมอยู่แล้ว แต่คนที่จะค้นเอาโลกุตรธรรมนี้ออกมาใช้ได้ คนแรกคือพระพุทธเจ้า นอกนั้นคุณจะยังวนอยู่ในกะลาครอบหรือในกระเปาะไข่นั้น ออกมาไม่ได้ จนกว่าจะคุณจะเจาะออกมาได้ พระพุทธเจ้าบอกว่าเราเป็นคนเจาะกระเปาะไข่ออกมาได้เป็นคนแรกเราจึงเป็นไก่ตัวพี่

ฉันเดียวกัน ชาตินี้ อาตมาสามารถเจาะกระเปาะไข่ออกมาได้เป็นคนแรกในยุคนี้ อาตมาไปเป็นลิงลมอมข้าวพอง ไปกับโลกีย์เขา 36 ปี จึงออกมาได้ ออกมาได้เลย 36 ปีแล้ว

ครบ 72 ปีก็เป็นครบ สามนักษัตร หากต่อไปอีก 12 ปีก็เป็น 84 ปีต่อไปอีกก็เป็น 96 ปี

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โลกุตระปัญญาต้องได้มาจากสัตบุรุษ วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 มิถุนายน 2564 ( 19:38:03 )

โลกุตรธรรมสูญหายเพราะไม่มีสัมมัปทาน 4

รายละเอียด

เพราะไม่สังวรหรือสำรวมอินทรีย์ 6 นี่แหละ จึงปหานไม่ได้ ปหานปธาน ปหานกิเลส เมื่อไม่มีปหานปธาน ความสำเร็จหรือการเกิดผลคือภาวนา ภาวนาแปลว่าการเกิดผล แปลว่าความสำเร็จ แต่ มิจฉาทิฏฐิหลงผิดทุกวันนี้ ก็เรียกภาวนาว่าเป็นภาคปฏิบัติ 

อ้าวไปภาวนา ไปภาวนา อย่างมหาบัว ปุ๊บ!! ปฏิบัตินั่งสะกดจิต นั่นแหละคือภาวนา บรรลุอรหันต์ฆ่ากิเลสตายหมด ตีขลุมเลย โดยไม่มีเหตุปัจจัยที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ไม่รู้กี่สูตรต่อกี่สูตร มีเหตุปัจจัยเอามาอธิบายได้ ก็ไม่ได้อธิบาย อธิบายแต่สิ่งวิเศษ สิ่งอดทน สิ่งที่พากเพียรพยายาม จะตายก็ตาย ตายเป็นตาย ก้นแตกตายก็ตายไป อะไรอย่างนี้ นั่งสะกดจิตไปเดี่ยวๆ ดุ่ยๆ แล้วอธิบายถึงความอุตสาหะวิริยะของตัวเอง หนักหนาสาหัส สารพัดสารเพ คนที่ฟังก็ฟังง่ายๆ แต่ไม่วิจิตรพิสดารอะไร 

เพราะฉะนั้นก็จะไปอนุรักขนาปธาน เข้าไปรักษาผลที่มิจฉาผลเอามาสาธยาย เอามาสอนเอามาสืบทอดกันไป จน พ.ศ. 2500 ขึ้นมานี้ หมด ตามที่พระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์ไว้ ใน อาณิสูตรว่า โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าจะสูญหายไปหมดเกลี้ยง เปรียบเหมือนกลองอานกะ ไม่เหลือชิ้นส่วนอะไรของความเป็นของเดิม 

ไม่เหลืออะไรที่เป็นของเดิม เปลี่ยนเป็นของแปลกปลอมหมดในกลองอานกะ แต่เรียกชื่อเดิม ชื่อ กลองอานกะ หรือตะโพนอานกะ เปรียบกับเรียกชื่อเป็นพุทธเหมือนเดิม แต่ความเป็นพุทธ ไม่เหลือ ถูกเปลี่ยนแปลงไปหมด อาตมาอธิบายตามเนื้อผ้า อธิบายตามความเป็นจริงที่มันเป็นจริง 

พวกเราฟังแล้วสงสัยไหม อาตมาไปใส่ความหาเรื่องใช่ไหม ไม่ใช่นะ ไม่ได้ไปใส่ความหาเรื่อง พวกคุณก็เชื่อสนิทเห็นจริงเห็นจังตาม 

เห็นจริงเห็นจังตรงไหน แล้วตอบมาได้อย่างไร? อยู่ที่ปฏิบัติตามกิเลสลดละได้?

ไม่ใช่ ก็มันเสื่อมไปหมดเลยเหมือนกลองอานกะ มันไม่มีเหลือชิ้นส่วนเดิมของกลองแท้ เนื้อแท้ของกลองหมดเลย เหลือแต่ชื่อเฉยๆ อยู่ไหน อยู่นี่หรือ ชี้ไปตรงไหน?  

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรียนรู้โลก 9 แบบ จนเป็นมนุษย์พืชมหัศจรรย์ วันพุธที่ 19 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2565 ( 04:40:00 )

โลกุตรธรรมอนุโลมใช้คำว่า Supramundane

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นคำว่าโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า ภาษาอังกฤษก็ไม่มีคำที่เรียกตรงๆอนุโลมได้คำว่า Supramundane ธรรมดาธรรมชาติก็ mundane โลกียะทั่วไป สามัญมนุษยชาติ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ประชาธิปไตยไทยดีที่สุดเพราะมีโลกุตระ วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

เป็นโลกุตระได้เพราะเหนือมนุษย์โลก


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 19:44:05 )

โลกุตรธรรมเป็นของพระพุทธเจ้า 

รายละเอียด

แล้วจะได้เข้าใจไปเรื่อยๆ อาตมามั่นใจว่าชาวอโศกนี้จะเป็นตัวอย่างของโลก ที่ปฏิบัติธรรมได้อาริยสัจจะ เป็นโลกุตรธรรมที่เป็นของพระพุทธเจ้า 

ของพระพุทธเจ้าสมณะโคดมหรือพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เหมือนกันหมด ซึ่งสอนเอาไว้แล้ว มันเสื่อมไปหมดแล้ว อาตมาพากอบกู้ขึ้นมาสำเร็จแล้ว อาตมามั่นใจว่าพวกเราได้ผลสำเร็จมีอาริยะ มีอรหันต์ บรรลุอรหันต์กันไป อนาคามี สกิทาคามี โสดาบัน 

นี่พวกคุณ อาตมาเชื่อว่าพวกคุณเชื่อว่าตัวเองเป็นโสดาบันขึ้นไปหรือยัง ...เชื่อ เชื่อว่าตัวเองเป็นสกิทาคามีหรือยัง ...น้อยลง เชื่อว่าตัวเองเป็นอนาคามีหรือยัง ...น้อยลง เชื่อว่าตัวเองเป็นอรหันต์หรือยัง ....เป็นอรหันต์ได้บางเรื่อง เห็นไหม ชัดเจน เข้าใจตอบ คนที่ยังไม่มั่นใจก็ไม่กล้า คือเราไม่อยากอวดดี กลัวผิดตอบผิดเป็นการอวดอุตริมนุสธรรม มันไม่ค่อยดีมันเสีย เราก็เข้าใจว่ากิเลสอยากอวดมันไม่จริง กรรมเป็นอันทำเรารู้กรรมเป็นอันทำ ทำแล้วเป็นของเราทำแล้วเป็นจริง เรื่องอะไรถ้าไม่แน่ใจอย่าไปพูดซับซ้อน ถ้ามันเป็นจริงแล้วแม้เราไม่ไปรับว่าเป็นจริง มันก็ไม่เป็นไรนี่ กรรมมันเป็นได้จริงแล้วมันก็ได้ ไม่ใช่เรายังไม่แน่ชัด เราแน่ชัดใช่เลยเราก็บอกไปไม่เสียหายอะไร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชนะมารอย่างไร้สารพิษ สุจริตแท้ ด้วยพหุงฯ8 วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2566 ( 18:51:11 )

โลกุตรธรรมเป็นของส่วนกลางสาธารณะทั่วโลก

รายละเอียด

สังคมที่เป็นตัวอย่าง สังคมที่เป็นรูปแบบเป็นเรื่องของมวลมนุษยชาติ เป็นแล้วนี่ อาตมามั่นใจว่าคนในโลกแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุด ทั้งโลก เป็นแต่เพียงผู้ใดจะมีภูมิธรรมรู้ทันรู้จริงได้ เสร็จแล้วก็จะมา อาตมามั่นใจที่สุดว่าจะไม่มีทางเสื่อมถอย โลกุตรธรรมที่มีรูปธรรมทุกอย่างพร้อมหมดแล้วทั้งรูปและนาม พวกเราเป็นอยู่อย่างนี้ก็ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราเป็นของเรา เป็นของส่วนกลางสาธารณะทั่วโลก ใครจะมาเอา ใครจะมาเป็น ใครจะมามี เป็นลูกเป็นหลาน เป็นเชื้อ เป็นเผ่า เป็นพันธ์อยู่ในนี้ด้วยก็ได้ คุณก็ทำตัวเองมาให้ได้ ถ้าหากว่าเป็นเชื้อพันธุ์นี้ได้จะเป็นเชื้อชาติ เครื่องพัฒนาชาติพันธุ์

คำว่าชาติเชื้อ มีความเป็น Continuous แต่ว่าคำว่าเชื้อชาติเป็น static หยุดแล้ว ถือว่าเต็ม ใน static จะมี status quo ส่วนพลังงานที่จะเสริม Coefficient เป็นstatus quo ก็จะเสริมต่อไปอีก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ก่อนฉัน ที่โรงเรียนผู้นำ จ.กาญจนบุรี สัปปายะ 4 ที่มีสัมประสิทธิ์ วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2561


เวลาบันทึก 10 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:11:29 )

โลกุตรธรรมเป็นลำดับจนน่าอัศจรรย์

รายละเอียด

เป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์จะไม่ลัดขั้นตอนไม่เป็นฟันหลอจะเรียงลำดับ เหมือนฝั่งทะเลเหมือนหาดทรายที่น้ำทะเลซัดไปมันก็จะราบเรียบไม่มีความขรุขระอะไรเลย สรุปว่า โลกุตรธรรมนั้นจะต้องทำ อาตมารับหน้าที่มาจากพระพุทธเจ้าให้มาเปิดเผยอันนี้ แล้วก็รู้สึกว่ายังมีอัตราการก้าวหน้าอยู่ ขออภัยสำหรับคนที่อาตมายังเอื้อมเอื้อไปไม่ถึง อาตมาก็มีพลังงานเท่านี้มีสายป่านยาวเท่านี้ก็เลยได้เท่านี้ก่อน ช่วยอาตมาหน่อย คุณก็ขยับเข้ามาให้ได้อาตมาก็ขยายไปให้ได้มันก็จะไปหากันได้เร็วขึ้น 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2563 ( 10:42:40 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 15:59:26 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 20:25:10 )

โลกุตรธรรมเป็นหลักประกัน

รายละเอียด

ขยายความ ควรจะได้อะไร ก็คือโลกุตระ ชีวิตนี้ถ้าคุณไม่ได้โลกุตระธรรม คุณก็จะจมอยู่ในโลกียะ 

แล้วในโลกียะ ถ้าคุณไม่พากเพียรมากๆจนกระทั่งสะสมสิ่งที่เรียกว่า กุศลหรือคุณงามความดี ให้ได้มากๆจนแข็งแรง ไม่ตกต่ำ อวินิปาตธรรม เลื่อนไปจนกระทั้งสูงสุด คุณได้เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งของเทวนิยม 

ศาสดานี้ยิ่งใหญ่นะ ยิ่งใหญ่กว่าประธานาธิบดี จะว่าไปแล้วยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์อีก กษัตริย์ต้องไหว้เคารพศาสดา เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องมนุษย์ควรได้ เป็นศาสดาได้ก็ทางเทวนิยมเขาก็ต้องทำ แต่ของพระพุทธเจ้านั้น รู้เรื่องของเทวนิยมด้วย แล้วก็สะสมดี ตามที่เทวนิยมเขานิยม เราก็นิยมด้วย แล้วเราก็ทำด้วย ทำได้เท่าเทียมกันหรือจะว่าไปแล้วยิ่งกว่าก็ยังได้ เพราะมันซ้อนลึก ซ้อนลึก ไปเรื่อยๆ แต่สิ่งที่ได้พิเศษ คือ โลกุตรธรรม มันเป็นหลักประกัน 

โลกุตรธรรมนี้เป็นหลักประกัน หลักประกันอะไร หลักประกันการเกิด-การตาย หลักประกันการเวียนวน หลักประกันการไม่งมงายกับสุข-ทุกข์ 3 ประเด็น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนเกิดมาหากไม่ได้โลกุตระ เท่ากับชิงหมาเกิด วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2565 แรม 3 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 พฤศจิกายน 2565 ( 16:17:58 )

โลกุตรธรรมเป็นเรื่องโลกใหม่ที่คนทั้งโลกเทวนิยมไม่มีสิทธิ์รู้

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นในสัจธรรม ธรรมะพระพุทธเจ้านี้จึงเป็นเรื่องลึกซึ้ง เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ที่ยังมีเชื้อ เชื้อลึกมากอยู่ในอนุสัยตกค้างอยู่ จนกระทั่งไม่มีใครดึงออกมาได้ ดึงไม่ขึ้นแล้ว อาตมาก็มาขุดมาพยายามกระตุกให้ขึ้นมา กระเตื้องขึ้นมาบ้าง คนที่ตื้นก็สามารถรับได้เร็วอย่างพวกคุณ ตื้น พวกที่ลึกอยู่ทุกวันนี้ยังไม่โงหัว อย่างพวกเถรสมาคม แต่เขาก็ค่อยๆรู้กันได้เรื่อยๆ คนที่ไม่เปิดจิตเลยไม่มี ปรโตโฆษะเลย เขาก็ยังมืดแสนมืดอยู่อย่างนั้น จะยังไม่เห็นแสงสว่าง อะไรก็ไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ ที่อาตมาทำ อาตมาแสดงธรรมะ เขาจะไม่รู้จักค่าสาระที่อาตมาแสดงโลกุตรธรรมว่าเป็นธรรมะพระพุทธเจ้า 

เป็นเรื่องโลกใหม่ที่คนทั้งโลกเทวนิยมไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้ เทวนิยมอีกมาก 7 พันล้านทั่วโลก ที่จะมีมาเข้าใจโลกุตระ ใน 70 ล้านคนไทยที่เป็นพุทธ แม้จะมีชาติอื่นๆ ไม่มีใครสาธยายโลกุตรธรรมหรอก ขณะนี้มีในเมืองไทย มีพวกเราที่สาธยายโลกุตรธรรม ปฏิบัติโลกุตรธรรมและก็อาศัยโลกุตรธรรม ในชีวิตอยู่ทุกวันนี้ มีพวกเราเท่านั้น ได้รับของจริง ได้รับของดี ได้รับเสวย อาศัย โลกุตระ นอกนั้นยัง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564 ประกาศโลกนี้โลกหน้า
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 แรม 13 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 31 กรกฎาคม 2564 ( 12:14:34 )

โลกุตรธรรมเสื่อม เพราะคนเชื่อภาษาแบบโลกีย์มากกว่าภาษาโลกุตระ

รายละเอียด

นี่คือความเสื่อมของโลกุตรธรรม เหมือนกลองอานกะ คนเขาจะเชื่อภาษาแบบโลกีย์ พอใครมาบอกภาษาโลกุตระเขาจะไม่เชื่อ ตรงกับที่พระพุทธเจ้าพูดไว้เป๊ะเลย ที่อาตมาพูดมันตรงกับที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ หรือจะมีใครมายืนยันอย่างอาตมา อาตมายืนยันแล้ว ทำงานนี้มาถึง 50 ปีแล้วนะ แล้วยังจะทำอีก ยังจะฝืนสังขารต่อไปให้ยืนยาวเท่าที่จะทำได้เพื่อยืนยันความจริงอันนี้ คนที่ไม่เชื่อจะได้เชื่อสักวันหนึ่ง จะเป็นสุภัททะคนสุดท้ายหรือไม่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 23 ความมหัศจรรย์ของการแยกกายแยกจิตได้ วันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 มกราคม 2565 ( 19:58:33 )

โลกุตรธรรมเสื่อมสลายเหมือนกลองอานกะ

รายละเอียด

คนที่หลับตาปฏิบัติออกนอก 3 ข้อนี้ก็น่าจะสะดุ้งเฮือกว่าหลงผิดมานานแล้ว หรือไปเป็น กลุ่มหมู่เป็นเดียรถีย์เต็มบ้านเต็มเมือง พวกชาวอโศกมีนิดเดียวแต่พวกโน้นมีไม่รู้กี่สำนัก สำนักอาจารย์มั่นเป็นต้นนั่งหลับตากันอีกไม่รู้กี่สำนักทั้งนั้นเลย ซึ่งมันได้ผิดถนัดเลย มีพวกเราเป็นเจ้าเดียวที่พูดเรื่องเหล่านี้นอกนั้นไปหมดเลย เพราะฉะนั้นมันก็เลยยากจริงๆ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แล้วในอาณีสูตร ท่านก็บอกว่าในอนาคตโลกุตรธรรมจะเสื่อมสลายไปเหมือนกลองอานกะ ถูกเปลี่ยน ถูกครอบ เปลี่ยนแปลงสาระแก่นแท้ไปหมด ไปได้ของปลอมได้แต่เปลือก แล้วยึดติดเปลือกว่าเป็นแก่น เอาของปลอมมาเป็นแก่น ซึ่งมันน่าสงสารพูดไปแล้วไม่รู้จะทำยังไง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ หมู่บ้านสาธารณโภคีมีจริงได้แม้ใกล้กลียุค วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2564 ( 19:05:07 )

โลกุตรธรรมแมัยากทวนกระแสแต่เป็นจริงได้

รายละเอียด

ที่ท่านคิดถูก อธิบายมาพอสังเขปเป็นเรื่องรวมในโลกุตรธรรมที่ย้อนแย้งกับสิ่งที่คนเขายึดติด และเป็นความเข้าใจเป็นความรู้ความฝังหัว ฝังใต้จิตวิญญาณด้วย อย่างนั้น พูดอย่างไรเขาก็จะดูงง ฟังดูโดยปฏิภาณด้วยไหวพริบ มันดูเท่ดีเหมือนกันว่ามาจน มาไม่เอาอะไร มาเป็นคนไม่มีตัวตน ภาษามันเท่ แล้วมันเป็นไปได้จริงหรือเปล่าคนก็จะงง จะยังสงสัยและไม่เชื่อ แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่เอาสิ่งที่เป็นจริงไม่ได้มาสอนมนุษย์หรอก สิ่งที่เป็นจริงไม่ได้จะเอามาสอนมนุษย์ทำไม แต่มันเป็นจริงได้ มันยากอยู่ เพราะมันทวนกระแสโลกีย์คนละทิศ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 33 วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2564 ( 20:21:21 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์