@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

ปัญญา 4

รายละเอียด

ปัญญา ที่แท้ที่คนควรได้คือ "ปัญญา" ที่เกิดจาก 4 ข้อนี้

1.สัปปุริสสังเสวะ นั่นคือ คบหาสัตบุรุษ

2.สัทธัมมัสสวนะ นั่นคือ ฟังคำสั่งสอนของสัตบุรุษ

3.โยนิโสมนสิการ นั่นคือ การทำใจในใจได้อย่างถ่องแท้

4.ธัมมสนุธัมมปฏิปัตติ นั่นคือ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม

หนังสืออ้างอิง

ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 234


เวลาบันทึก 06 กันยายน 2562 ( 14:11:27 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 04:13:40 )

เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 16:27:08 )

ปัญญา 6

รายละเอียด

คือ  ปัญญา  ปัญญินทรีย์  ปัญญาพละ  ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์  องค์แห่งมรรค สัมมาทิฏฐิ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 01 ธันวาคม 2562 ( 12:23:49 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 16:56:46 )

เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 14:15:33 )

ปัญญา 6 พระไตรปิฎกเล่ม 24 ข้อ 258 มหาจัตตรีสกสูตร

รายละเอียด

คือ ปัญญาจะมีพลังงานที่สูงขึ้นเป็นปัญญินทรีย์  มีพลังงานก้าวหน้า แข็งแรง  ขึ้นจบที่สุดเรียกว่า  ปัญญาพละ เป็นอินทรีย์พละสูงสุด จะจบได้ต้องเกิดจากกระบวนการ 3 อย่าง  ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์  สัมมาทิฎฐิ  มัคคังคะ  มีวายามะสติ  เป็นตัวช่วย   สัมมาทิฏฐิเป็นประธาน  สัมมาวายามะ  สัมมาสติเหมือนกับ  หวังเฉา  หม่าฮั่น

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37 บ้านราช วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 13:36:58 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 17:00:35 )

เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 14:16:31 )

ปัญญา 6 พระไตรปิฎกเล่ม 24 ข้อ 258 มหาจัตตารีสกสูตร

รายละเอียด

ปัญญาจะมีพลังงานที่สูงขึ้นเป็นปัญญินทรีย์ มีพลังงานก้าวหน้าแข็งแรงขึ้นจนจบที่สุดเรียกว่าปัญญาพละ เป็นอินทรีย์พละสูงสุดจะจบได้ ต้องเกิดจากกระบวนการอีก 3 อย่าง ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ มีวายามะ สติ เป็นตัวช่วย สัมมาทิฏฐิเป็นประธาน สัมมาวายามะสัมมาสติเหมือนกับหวังเฉาหม่าฮั่น 

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้า วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2563 ( 17:51:50 )

ปัญญา 8

รายละเอียด

1.พบสัตบุรุษหรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 1 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา 

2.ตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก และความเคารพไว้อย่างแรงกล้านั้นแล้ว เธอเข้าไปหาแล้วไต่ถาม สอบถามบรรเทาความสงสัยในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยหลายประการแก่เธอ นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 2 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา

3.เธอฟังธรรมนั้นแล้ว ย่อมยังความสงบ 2 อย่าง คือ ความสงบกายและความสงบจิตให้ถึงพร้อม ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 3 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา 

4.มีศีล สำรวมระวังในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจรมีปรกติเห็นภัยในโทษแม้มีประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลายดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 4 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา

5.เธอเป็นพหูสูต ทรงจำสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้ยินได้ฟังมากทรงจำไว้ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ ซึ่งธรรมทั้งหลายอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ ทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 5 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา

6.เธอย่อมปรารภความเพียรเพื่อละอกุศลธรรม เพื่อความพร้อมมูลแห่งกุศลธรรม เป็นผู้มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 6 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา

7.ไม่พูดเรื่องไม่เป็นประโยชน์  ย่อมแสดงธรรมเองบ้าง ย่อมเชื้อเชิญผู้อื่นให้แสดงบ้าง ย่อมไม่ดูหมิ่นการนิ่งอย่างพระอริยเจ้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 7 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา

8.เธอพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมในอุปาทานขันธ์ 5 ว่า รูปเป็นดังนี้ความเกิดขึ้นแห่งรูปเป็นดังนี้ ความดับแห่งรูปเป็นดังนี้ เวทนาเป็นดังนี้ ... สัญญาเป็นดังนี้ ...สังขารทั้งหลายเป็นดังนี้ ... วิญญาณเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณเป็นดังนี้ ความดับแห่งวิญญาณเป็นดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 8 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงาม ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2562

หนังสืออ้างอิง

พระไตรปิฎกเล่มที่ 23 ข้อ 92 ปัญญาสูตร

ลิ้งดาวน์โหลด ปัญญา ๘ : www.youtube.com/watch?v=kD5gaCIcL20


เวลาบันทึก 09 ธันวาคม 2562 ( 12:33:44 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 17:04:29 )

เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 14:17:11 )

ปัญญา 8 ของพระพุทธเจ้ามีนัยยะแตกต่างจากโลกียะ

รายละเอียด

ความรู้อื่นๆเป็นความรู้โลกียะ ไม่เป็นโลกุตระ แต่ ปัญญา 8 นี้เป็นของพระพุทธเจ้ามีนัยยะสำคัญที่แตกต่างจากโลกียะมาก มากมิติ มากประเด็น มากนัยสำคัญ ตอนนี้เขายังไม่ค่อยตื่นตัวเพราะเขายังไม่รู้ เขายังเข้าใจความหมายไม่ได้ อาตมาพูดด้วยภาษาไทยง่ายๆ บางทีต้องอาศัยบาลี บางครั้งต้องอาศัยภาษาอังกฤษบ้างนิดหน่อย แต่อธิบายด้วยภาษาไทยเป็นสามัญ 

เขาจะยังไม่เข้าใจได้ง่ายๆที่อาตมาพูดไปว่ามันคืออะไรแท้ๆ ก็อีกนานพอสมควรที่กว่า เขาจะเข้าใจถึงความหมายได้ และเข้าใจได้เพราะภูมิธรรมเขาถึงด้วย ถ้าภูมิธรรมเขาไม่ถึงเข้าใจไม่ได้หรอก เข้าใจก็ไม่ซาบซึ้ง ซึ่งมันเป็นสัจจะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 เล่ม 1 ตอนที่ 1

วันพุธที่ 23 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มีนาคม 2565 ( 20:48:24 )

ปัญญา 8 ของพระพุทธเจ้าเป็นความรู้ความฉลาดที่ครบถ้วน

รายละเอียด

“ปัญญา 8”นี้เป็นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง

พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงยืนยันว่า “พระธรรมคำสอนที่พระองค์ทรงนำมาประกาศต่อโลกนั้น“พระพุทธเจ้าเองตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง(สัมมาสัมพุทโธ)” ไม่ใช่“คำสอน”ที่ได้รับมาจาก“พระเจ้า”ผู้“ลึกลับ” หรือจากใครอื่น แต่อย่างใดเลย   

“ปัญญา”นี้จึงเป็น“ความรู้-ความฉลาด”ที่ครบถ้วน กระจะกระจ่าง พร้อมมวลและประสิทธิภาพทั้ง“ความเห็น-ความกระทบสัมผัสประจักษ์-ยืนหยัดอยู่หลัดๆโต้งๆโทนโท่”

ว่า เป็น“ความจริง”บริบูรณ์สัมบูรณ์เปิดเผยไม่มีอะไรแฝงบังหรือลึกลับเลย แม้แต่นิดน้อยเศษละอองธุลีใดๆ และผู้เป็น“เจ้าของความรู้-ความฉลาด(ธรรมสามี)”นี้ ก็ทรงยืนยันพระองค์เองอีกว่า พระพุทธเจ้าเองเป็น“ผู้รู้เอง”

(สัมมาสัมพุทโธ) ที่แสดงพระองค์เองต่อโลกมนุษย์ซึ่งสัมผัส“เนื้อตัวร่างกาย(สรีระ)”ของพระองค์ได้จริงๆ ว่า ท่านก็เป็น“คน”ที่มีพร้อมท้ัง“สรีระกับจิตวิญญาณ(ภาวะ 2)”ผู้มีชีวิตอยู่ในโลกนี้แท้ๆ ก็เป็นเช่นเดียวกันกับมนุษย์คนอื่นทั้งหลายทั้งปวง

ซึ่งชี้บ่ง“ความเปิดเผย”กับ“ความลึกลับ”ของ“เทฺว” หรือ“ภาวะ 2”คู่สำคัญในโลกในมหาจักรวาล ว่า  “พระเจ้า” กับ“พระพุทธเจ้า”นั้นภาวะไหนชัดเจนยิ่งจริงแท้กว่ากัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 เล่ม 1 ตอนที่ 1

วันพุธที่ 23 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มีนาคม 2565 ( 20:54:57 )

ปัญญา 8 ข้อที่ 1

รายละเอียด

ผู้ที่มีปัญญา ปัญญาที่อาตมาเอาปัญญา 8 มาขยายความก็ยังไม่ได้ขยายความให้ดีไปเรื่อยๆ มันยังมีเรื่องอื่นอีกเยอะปูพื้นไปก่อน เพราะทั้ง 8 นี้ ถ้ามีพื้นดีแล้วอธิบายแต่ละข้อมาถึง 8 ข้อนี้ ไม่ต้องยาว ก็จะเข้าใจไปเลย มีลำดับอย่างนี้เอง

1. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรักและความเคารพไว้อย่างแรงกล้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 1 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

อ๋อ ปัญญาแรกต้องได้ฟังจากสัตบุรุษผู้อยู่ในฐานะครู พอได้ยินได้ฟังก็จะตกใจ จะตื่นเต้นแล้วจะมีสำนึก จะละอายอย่างแรงกล้า เกรงกลัวอย่างแรงกล้า ว่า เราเคยประมาท เคยดูถูก แต่ก่อนทำเป็นไม่กลัว ทำเป็นไม่ละอายดูถูกสารพัด ตอนนี้รู้แล้วเกิดละอายเกรงกลัว จะรักเคารพบูชา เป็นอย่างนั้นเลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อรหันต์ตีตราด้วยปัญญา 8 ประการ วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2564 ( 12:31:26 )

ปัญญา 8 ข้อที่ 1

รายละเอียด

จะต้องได้ยินจากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง หรือแม้ยุคไหน ไม่มีพระพุทธเจ้าก็ต้องได้ยินจากสัตบุรุษหรือ สยังอภิญญา หรือไม่เช่นนั้น ก็ต้องได้ยินจากผู้อยู่ในฐานะครูที่สัมมาทิฏฐิ ต้องได้ยินว่าอ๋อ!..โลกุตระเป็นอย่างนี้ 

ผู้ได้ยินได้ฟังแล้วมีปฏิภาณจับติดเลยว่า ความรู้นี้สุดยอดนะนี่ โลกุตรธรรมนะ แต่ยังไม่รู้ภาษาว่าโลกุตระคืออะไร ก็แล้วแต่ ก็ไม่เป็นไร แต่รู้ว่าอันนี้มันใหม่อันนี้มันแปลกนะ ใหม่ๆแปลกๆที่น่าทึ่ง ไม่ใช่ว่าแปลกๆใหม่ๆ แปลกๆที่พิเรนทร์ วิตถารไม่เข้าท่า แต่มันมีความแปลกที่มีความลึกซึ้งอะไรที่มีผู้ที่มีปฏิภาณของตัวเองชัดเจน จะรู้ได้เลยว่า อันนี้ไม่ธรรมดา เหนือธรรมดาแน่นอนก็จะปฏิบัติตาม ฟังแล้วฟังอีก ฟังแล้วฟังอีกให้บริบูรณ์ ปัญญา 8 ข้อที่ 1

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 34 ปัญญา สมาธิและสันติภาพแบบพ่อครู วันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 กรกฎาคม 2565 ( 08:47:57 )

ปัญญา 8 ข้อที่ 1 ต้องอาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์ผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู

รายละเอียด

1.ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรักและความเคารพไว้อย่างแรงกล้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 1 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

ต้องให้รู้ว่าเป็นครูที่สัมมาทิฏฐิ ถ้าใครพบสัตบุรุษจริง ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิจริง แล้วเราก็ได้กบฏ เราก็ได้ปฏิเสธว่า ผู้ที่เป็นสัตบุรุษจริงเราปฏิเสธว่าไม่ใช่ คิดว่าฉันรู้ว่า เอ็งไม่ใช่สัตบุรุษ ยืนยัน คนที่เขายืนยันอย่างนี้จริงๆ พอนานเข้า เฮ้ย! เขารู้ว่าตัวเองผิด ที่เคยยืนยันว่าเป็นสัตบุรุษเก๊ ว่าไม่ใช่ แต่ที่จริงเขาถูก

เมื่อนั้นเมื่อใดคนนี้ก็จะละอายทันทีเลย ซึ่งมันเป็นสัจจะนะ เห็นไหม พูดถึงบุคคลเลยก็ได้ ถ้าท่านประยุทธ์ปยุตโต รู้ว่า โพธิรักษ์นี่ สัตบุรุษจริง เรายังไม่ใช่ ก็จะรู้สึกละอายอย่างแน่นอน เพราะได้ทำมาแล้ว ได้ซัดโพธิรักษ์จนน่วม ต้องละอายแน่นอน แต่คุณว่าท่านจะเกิดสภาวะนี้ไหม ชาตินี้ท่านจะเกิดมั้ย I Hope So หวังว่า ท่านคงจะได้สักวาระใดวาระหนึ่งก่อนจะสิ้นชีวิต ขออภัย พูดแล้วเหมือนข่มท่าน 

แต่น่าสงสารจริงๆ ท่านก็ยังยืนหยัดยืนยันกับความรู้ที่ท่านหลงไป มากมายจริงๆเลย ยิ่งกว่า ปทปรมบุคคล ไม่บรรลุธรรมในชาตินี้เลย จะพ้น สักกายทิฏฐิ หรือไม่ก็ไม่รู้เลย บุญท่านทำไม่ถูกแน่เลย เพราะท่านแปล อปุญญะว่าเป็นบาปอยู่เลย วนกลับไป ทั้งที่บุญ เป็น one way Traffic มีหน้าที่ฆ่ากิเลสอย่างเดียว ฆ่าแล้วหายไปเลย ไม่มีการสั่งสมเป็นสมบัติไม่มีการเป็นอยู่เลย ซึ่งมันเป็นเรื่องลึกซึ้งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เดาไม่ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 ประการ 3 ข้อแรก โดยพิสดาร วันพุธที่ 9 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2565 ( 21:25:31 )

ปัญญา 8 ข้อที่ 2

รายละเอียด

2. เธออาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่ง ผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก และความเคารพไว้อย่างแรงกล้านั้นแล้ว เธอเข้าไปหาแล้วไต่ถาม สอบถามเป็นครั้งคราวว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภาษิตนี้เป็นอย่างไร เนื้อความแห่งภาษิตนี้เป็นอย่างไร ท่านเหล่านั้นย่อมเปิดเผยข้อที่ยังไม่ได้เปิดเผย ทำให้แจ้งข้อที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง และบรรเทาความสงสัยในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยหลายประการแก่เธอ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 2 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ

เข้าไปถามไถ่เสมอเมื่อมีเวลา ไม่ใช่ไปเซ้าซี้เฝ้าเลยอย่างนั้น แต่ไปตามกาลเวลา เติมความรู้ เข้าไปสอบถามเพิ่มเติมความรู้ว่าภาษิตนี้เป็นอย่างไร ก็ถามไปเรื่อยๆ ท่านผู้รู้หรือพระพุทธเจ้าก็จะเปิดเผยให้ฟังอธิบายให้ฟังทำให้แจ้งทำให้เข้าใจไปตามลำดับ ก็จะได้ปัญญาขึ้นมาเรื่อยๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อรหันต์ตีตราด้วยปัญญา 8 ประการ วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2564 ( 12:40:52 )

ปัญญา 8 ข้อที่ 2

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าจึงกำชับว่าต้องคบหาสัตบุรุษให้บริบูรณ์ ฟังสัทธรรมจากสัตบุรุษให้บริบูรณ์ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ท่านเป็นมิตรดีสหายดีของทุกคน ต้องฟังต้องติดตามฟัง เข้าไปซักถาม ในปัญญาข้อที่ 2

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 34 ปัญญา สมาธิและสันติภาพแบบพ่อครู วันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 กรกฎาคม 2565 ( 08:50:23 )

ปัญญา 8 ข้อที่ 3 

รายละเอียด

3. เธอฟังธรรมนั้นแล้ว ย่อมยังความสงบ 2 อย่าง คือ ความสงบกายและความสงบจิต ให้ถึงพร้อม ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 3 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ

จะเกิดความรู้แตกขึ้นมาเป็น 2 อย่าง โดยเฉพาะความสงบความหยุดความนิ่ง พวกพาซื่อเดียรถีย์จะหยุดความสงบความนิ่งอันเดียว สงบคือหยุดทื่อๆ หยุดเฉยๆ เป็นความสงบอย่างเดียว พาซื่อ แต่ผู้ที่มีปัญญา จะเห็นความสงบ 2 อย่าง 

กายก็สองอย่าง จิตก็สองอย่าง 

พวกสงบอย่างเดียวก็เอากายสรีระหยุดการเคลื่อนไหวภายนอก หยุดนิ่งเฉย จิตก็เกาะนิ่งอยู่กับตัวกาย ตัวร่าง ตัววัตถุ รวมกันเป็นหนึ่งเดียว ซื่อๆง่ายๆคือ หยุดความเคลื่อนไหว 

ส่วนความสงบของปัญญาของปัญญาพระพุทธเจ้านั้น คือเหตุกิเลสมันตายไปจากจิตมันไม่มีแล้วในจิต แม้จิตจะมาเกี่ยวเนื่องกับกายภายนอกไม่แยกกัน กายข้างนอกมีจิตร่วมด้วยก็เป็นกายเป็นชีวะของจิต

การที่จะเสริมเติมความรู้จากที่ได้รู้จากพระโอษฐ์แล้ว ไถ่ถามจนชัดเจนแล้ว ก็จะรู้ความหมายของความสงบ 2 อย่าง สงบอย่างพาซื่อ บื้อๆ หยุดเป็นวัตถุเฉยๆ กับสงบแบบไม่ใช่วัตถุเฉยๆ แต่กำจัดกิเลส กำจัดตัวเหตุที่มันพาให้ไม่สงบพาให้เดือดร้อนวุ่นวาย ให้ดับไป นี้เป็นความรู้ปัญญาขั้นที่ 3 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อรหันต์ตีตราด้วยปัญญา 8 ประการ วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2564 ( 12:44:38 )

ปัญญา 8 ข้อที่ 3 

รายละเอียด

ฟังจนกว่าจะเข้าใจว่า โอ้โห! ลึกซึ้งอย่างนี้เอง จึงจะรู้ความสงบ 2 ประการ ว่าโอ้โห! ความสงบที่แท้จริง 2 ประการ 1. มันเป็นโลกุตระ 2. มันเป็นโลกียะ มันเป็นเช่นนี้เอง มันไม่ใช่ว่า จะบอกว่าใช่ก็ได้ ความสงบมี 2 ประการคือ สงบอย่างโลกียะเขาสงบ อย่างผู้คนทั้งหลายเขารู้กันเลย สงบ เขาก็ถือว่าเป็นความสงบเหมือนกัน สงบ 2 อย่างเหมือนกัน สงบที่คนทั่วไปรู้ก็คือ 

1.สงบประเภทที่เรียกว่า ไม่ได้มีฌาน แค่กดข่มจิตไว้ ส่วนสงบอีกอย่างหนึ่งคือการสะกดจิตไว้ คือโลกียะ ก็ทำกันทั่วโลก เทวนิยมก็ฝึกฝนกันไปก็สงบ คนไม่ได้ฝึกก็ไม่สงบ นั่นโลกีย์เขาก็บอกว่ามีความสงบ 2 อย่าง ก็เลยสะกดจิตหลับตา ฝึกฝน หรือแม้แต่ลืมตาก็ทำความสงบสมถะอย่างลืมตาก็ได้ อย่างนี้เป็นต้น 

แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่ สงบ 2 อย่างคือ 1. โลกุตระ อีกอย่างหนึ่งคือโลกียะ ซึ่งต่างกันแน่นอน สงบอย่างโลกุตระนั้นซับซ้อน เพราะความสงบของอย่างโลกุตระ ไม่ต้องหลับตาเลย ตื่นเต็มเสียด้วยซ้ำ แล้วไม่ได้หยุดนิ่งเฉยด้วย คล่องแคล่วว่องไว ทั้งสภาพภายนอก นัจจะ คีตะ วาทิตะ ท่าทีลีลา สุ้มเสียงสำเนียง แคล่วคล่องปราดเปรียว ได้ชัดเจน สาธยายเต็มที่ แต่สงบ 

เพราะคำว่าสงบนั้นหมายถึง กิเลสมันสงบ กิเลสมันหยุดทำการ กิเลสมันไม่มี สงบเพราะจิตไม่มีตัวกวน จิตไม่มีกิเลสเข้ามากวนเลย เริ่มต้นตั้งแต่มันลดลงๆ ก็สงบลงไปเรื่อยๆ จนมันหมดมันดับ กิเลสตายหมด สงบ ยิ่งสงบยิ่งตื่น ยิ่งสงบยิ่งรู้ทั่ว เป็นโลกวิทู เป็นโลกุตรจิต จิตยิ่งเยี่ยมยอด เพราะฉะนั้นการสงบ คำเดียวนี่ ความสงบคำเดียวนี่ ถึงไม่ใช่เรื่องธรรมดาสามัญ ทั่วโลก ผู้สามารถแยกความสงบ ที่เป็นโลกุตระได้ นั่นแหละคือผู้มีปัญญา เป็นปัญญาข้อที่ 3 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 34 ปัญญา สมาธิและสันติภาพแบบพ่อครู วันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 กรกฎาคม 2565 ( 08:54:34 )

ปัญญา 8 ข้อที่ 4 และข้อที่ 5

รายละเอียด

ทีนี้ วิธีปฏิบัติจากข้อ 4 ไปถึงข้อ 5 ท่านก็รวมไว้ ศีล พหูสูต

ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดจิตอุเบกขา ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ตกผลึกรวมกันตั้งมั่น เป็นจิตสะอาดๆหมด สั่งสมลง 

คำว่าสมาธิคือจิตตั้งมั่น ไม่ใช่จิตตั้งมั่นลวกๆ เอาเป็นก้อน จิตเลอะหยาบก็เอามารวมไม่ได้ทำความสะอาดก่อน วิธีทำความสะอาดก็ไม่มีไม่รู้เรื่อง แต่ฉันจะเอามารวมสะกดจิตไว้เท่านั้นเอง เป็นความรู้แบบตื้นๆหยาบๆ แต่สมาธิของพระพุทธเจ้าเป็นอจินไตย จิตสะอาดรวมตั้งมั่น ไม่ใช่แบบมักง่ายตื้นๆเอามารวมหมด ไม่ใช่ แค่นี้ก็ไม่ใช่เดาเอาได้ 

อาตมาพูดอย่างอ้างอิงพยัญชนะ หลักฐาน ตำรา กระบวนการของธรรมะพระพุทธเจ้า ไม่ได้พูดเอาเอง 

ศีล สมาธิ ปัญญา อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา กิเลสกำลังลดก็เรียกอธิโมกข์ กิเลสลดก็วิมุติ แล้วไปถึงวิโมกข์ วิมุติ จบ แล้วทบทวนอีก วิมุติญาณทัสนะ ตรวจสอบด้วยเตวิชโช ด้วยการลงบัญชีไปเรื่อยๆ ได้บริสุทธิ์บริบูรณ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจึงเรียก พหูสูต 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อรหันต์ตีตราด้วยปัญญา 8 ประการ วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2564 ( 12:52:10 )

ปัญญา 8 ข้อที่ 4 

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นเมื่อชัดเจน ศรัทธาเลื่อมใส มีความศรัทธาอย่างแรงกล้า เลื่อมใสอย่างแรงกล้า ก็จะเริ่มปฏิบัติตาม เพราะฉะนั้นการปฏิบัติตามของพระพุทธเจ้าก็คือเริ่มจาก ศีล เป็นปัญญาข้อที่ 4 

เริ่มจากศีลเป็นจรณะ 15 วิชชา 8 สรุปก็เรียกว่าไตรสิกขา แต่เดี๋ยวนี้ไปเอาไตรสิกขาไปตีกินหมดแล้ว ขยายความเป็นจรณะ 15 วิชชา 8 ก็ยังค่อยยังชั่ว พอเขามาเจอเข้าก็ละเอียดขึ้นมาหน่อย ถึงจรณะ 15 วิชชา 8 มีศีล แล้วก็มี อปัณณกปฏิปทา 3 เป็นตัวปฏิบัติที่ชัดเจนแล้วเกิดผลเป็นสัทธรรม 7 ไปตามลำดับและมีปัญญาเป็นยาดำ ซ้อนเรียงแทรกให้เป็นตัวรู้เข้าไปตลอดเวลา ไม่ได้แยกจากกันเลย มีปัญญาเข้าไปช่วยรู้ไปเรื่อยๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 34 ปัญญา สมาธิและสันติภาพแบบพ่อครู วันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 กรกฎาคม 2565 ( 08:56:51 )

ปัญญา 8 ข้อที่ 5

รายละเอียด

มีศีล มีการปฏิบัติเป็นมรรคเป็นผลก็เกิด พหูสูต เป็นปัญญาข้อที่ 5 เป็นผู้รู้ยิ่ง เขาไปแปลพหูสูตว่าเป็นผู้รู้มาก ในพยัญชนะ แล้วรู้มากรู้แต่ตรรกะ รู้แต่บัญญัติ รู้แต่ความรู้ไม่เข้าไปถึงสภาวะ อันนั้นก็ผิด แต่พหูสูตของพระพุทธเจ้านั้น รู้สัจธรรม หรืออีกคำว่า เรียก พาหุสัจจะ เป็นความจริงที่มากหลายอธิบายต่างกัน ท่านมหาประยุทธ์หรือท่านพุทธโฆษาจารย์ อาตมาอธิบาย ท่านก็แย้งไปตามความเห็นของท่าน แต่ก่อนก็ไม่ได้อธิบายอย่างวิจิตรพิสดาร ทุกวันนี้อธิบายละเอียดวิจิตรพิสดาร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 34 ปัญญา สมาธิและสันติภาพแบบพ่อครู วันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 กรกฎาคม 2565 ( 08:59:42 )

ปัญญา 8 ข้อที่ 6

รายละเอียด

6. เธอย่อมปรารภความเพียรเพื่อละอกุศลธรรม เพื่อความพร้อมมูลแห่งกุศลธรรม เป็นผู้มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 6 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ

สรุปคือข้อนี้พากเพียรให้บรรลุโลกุตรธรรมและบรรลุโลกียธรรมด้วย พากเพียร ทำกุศลด้วย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อรหันต์ตีตราด้วยปัญญา 8 ประการ วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2564 ( 12:55:49 )

ปัญญา 8 ข้อที่ 6 

รายละเอียด

ยิ่งผู้ใดสามารถทำให้เกิดพหูสูตจริง ก็ยิ่งมีวิริยารัมภะ เป็นปัญญาข้อที่ 6  ยิ่งพากยิ่งเพียร เห็นความเจริญงอกงามไพบูลย์ ยิ่งมีความเจริญ ความงอกงามความไพบูลย์ของปัญญายิ่งขึ้นๆ ยิ่งเป็นความเห็นที่จริง เป็นความรู้ที่จริง เป็นสัจจะที่จริงที่เกิด หากทำให้ถูกเหตุปัจจัยแล้วผลก็เกิดดังที่ว่า

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 34 ปัญญา สมาธิและสันติภาพแบบพ่อครู วันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 กรกฎาคม 2565 ( 09:01:49 )

ปัญญา 8 ข้อที่ 7

รายละเอียด

7. อนึ่ง เธอเข้าประชุมสงฆ์ ไม่พูดเรื่องต่างๆ ไม่พูดเรื่องไม่เป็นประโยชน์ ย่อมแสดงธรรมเองบ้าง ย่อมเชื้อเชิญผู้อื่นให้แสดงบ้าง ย่อมไม่ดูหมิ่นการนิ่งอย่างพระอริยเจ้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 7 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ

เดี๋ยวนี้เขาเข้าใจเดรัจฉานวิชชากันไม่ได้ แล้วแสดงธรรม ให้ตนเองแสดงบ้างให้คนอื่นแสดงบ้าง ไม่ดูหมิ่นการนิ่ง การนิ่งไม่ได้ตีขลุมว่า ผู้นิ่งคือผู้ไม่รู้ อั้นตู้  พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ไม่ใช่ ผู้นิ่งท่านไม่พูดก็ไปดูถูกท่านไม่ได้ แล้วนิ่งอย่างพระอาริยเจ้าอย่าไปแตะเข้าเชียวไปดูถูก บาปกินหัว แล้วผู้นิ่งอย่างอาริยะไม่ได้นิ่งอย่างพาซื่อ ควรพูดก็พูด อันไม่ควรพูดก็ไม่พูด จะรู้ความเหมาะควรอย่างแท้จริง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อรหันต์ตีตราด้วยปัญญา 8 ประการ วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2564 ( 12:57:13 )

ปัญญา 8 ข้อที่ 7

รายละเอียด

 ผลก็เกิดอย่างนี้จนกระทั่งเต็ม อย่างน้อยเป็นอรหันต์ ก็เป็นปัญญาข้อที่ 7 อย่างน้อยเป็นอรหันต์ประมาณหนึ่ง เป็นอรหันต์ระดับ 4 ก็สมบูรณ์แบบ เป็นรอบของความบริบูรณ์ ในความเป็นใบไม้กำมือเดียวที่พระพุทธเจ้าสมณโคดมตรัส ว่าท่านสอนใบไม้กำมือเดียวท่านไม่ได้สอนโพธิสัตว์ ในเถรวาท หรือ พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐไม่ได้สอน โพธิสัตว์ สอนแต่เป็นเบื้องต้นของพรหมจรรย์เท่านั้น อรหันต์นี่คือเบื้องต้นของพรหมจรรย์ ก็ตรัสไว้ชัดเจนเช่นนี้แหละ แต่เขาอ่านไม่แตกฉาน

อาตมาผ่านอรหันต์ อรหันต์โสดาบัน อรหันต์สกิทาคามี อรหันต์อนาคามี อรหันต์อรหันต์ ผ่านอรหันต์ระดับ 5 อนุโพธิสัตว์ อรหันต์ระดับ 6 อนิยตโพธิสัตว์ อรหันต์ระดับ 7 นิยตโพธิสัตว์ ในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐไม่ได้บันทึกเอาไว้ มหายานเขามี มีจนเกิน อาตมาก็ไม่ได้ไปเอาพระไตรปิฎกมหายานมาอ้างอิงยืนยันมากมาย เพื่อที่จะขยายนัก ก็ขยายแค่ธรรมดาไม่ต้องถึงขั้นไปเอาตำราของมหายานอันอื่นๆเข้ามา อาตมาก็ว่าเหลือแหล่แล้ว ทุกวันนี้อธิบายก็ยังไม่จบไม่หมดก็ว่ากันไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 34 ปัญญา สมาธิและสันติภาพแบบพ่อครู วันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 กรกฎาคม 2565 ( 09:05:24 )

ปัญญา 8 ข้อที่ 8

รายละเอียด

8. อนึ่ง เธอพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมในอุปาทานขันธ์ 5 ว่ารูปเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งรูปเป็นดังนี้ ความดับแห่งรูปเป็นดังนี้ เวทนาเป็นดังนี้ ... สัญญาเป็นดังนี้ ... สังขารทั้งหลายเป็นดังนี้ ... วิญญาณเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณเป็นดังนี้ ความดับแห่งวิญญาณเป็นดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 8 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงาม ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ

รูป เป็นอย่างนี้ ความเกิด ความดับ เป็นอย่างนี้ แยกเวทนากับสัญญา สัญญายิ่งรู้ เวทนาดับได้ สัญญาก็ยิ่งเก่ง ให้เวทนาเกิดได้เป็นอมตบุคคล แต่ไม่ให้เกิดเป็นมิจฉาอกุศล เรามีหน้าที่ดับความไม่ดีไม่ให้เกิด แม้แต่เป็นโลกีย์ก็ไม่เกิด โลกุตระสามารถทำให้เกิดโลกียะที่เป็นกุศลได้สำเร็จสูงสุดได้ดียิ่งกว่าชาวโลกียะได้ด้วย เราทำได้เหนือกว่าจริงๆ จึงเรียกว่าผู้เหนือกว่า โลกียะคือยังทำไม่ได้ เริ่มมาทำได้ ก็มาเป็นโลกุตระตามลำดับ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อรหันต์ตีตราด้วยปัญญา 8 ประการ วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2564 ( 12:58:44 )

ปัญญา 8 ข้อที่ 8

รายละเอียด

จนกระทั่งถึงปัญญาข้อที่ 8 รู้ครบถ้วนเลยการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปของทั้ง ขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วปฏิบัติได้ครบถ้วนที่จริงก็ถือว่าเป็น อุภโตภาควิมุติ ผู้ที่เป็นปัญญาวิมุติ ก็ยังเหลือภพเหลือชาติ เป็นสุทธาวาส อีก 5 ภพชาติ เป็นต้น แต่ยังไม่ขยายความใน สุทธาวาส 5 ระดับก็ขอพักไว้ก่อน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 34 ปัญญา สมาธิและสันติภาพแบบพ่อครู วันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 กรกฎาคม 2565 ( 09:07:50 )

ปัญญา 8 นี้คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า 

รายละเอียด

ทั้งหมดนั้นคือ คำตรัสของพระพุทธเจ้า ที่“นิยาม”ความเป็น“ปัญญา”ก็คือ“ธาตุรู้”แต่เป็น“ความรู้-ความฉลาด” อันมีที่ไปที่มาชัดเจนว่า เป็นของมนุษย์ที่มนุษย์ด้วยกันสามารถ“สัมผัส”จับต้องร่างกายตัวตนกันได้ 

และคำสอนก็เกิดจากพระโอษฐ์ของผู้เป็นมนุษย์จริงๆที่ตรัสออกมาให้ผู้คนทั้งหลายในโลกได้ยินได้ฟังพร้อมกันมากมายหลายคน ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่ได้ยินได้ฟังกันเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นคนในผู้มีชีวิตอยู่ร่วมกันอยู่ในโลก เป็นความโจ่งแจ้ง เปิดเผย ไม่ใช่คำตรัส“ลึกลับ” ที่“พระศาสดาเพียงคนเดียวเท่านั้นได้ยินได้ฟังมาจากพระเจ้า” แล้วพระศาสดาองค์นั้นค่อยนำมาประกาศต่อโลก อีกทีหนึ่งเหมือนชาว“เทฺวนิยม”

แต่“ปัญญา 8”นี้เป็นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงยืนยันว่า “พระธรรมคำสอนที่พระองค์ทรงนำมาประกาศต่อโลกนั้น“พระพุทธเจ้าเองตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง(สัมมาสัมพุทโธ)” ไม่ใช่“คำสอน”ที่ได้รับมาจาก“พระเจ้า”ผู้“ลึกลับ” หรือจากใครอื่น แต่อย่างใดเลย   

“ปัญญา”นี้จึงเป็น“ความรู้-ความฉลาด”ที่ครบถ้วน กระจะกระจ่าง พร้อมมวลและประสิทธิภาพทั้ง“ความเห็น-ความกระทบสัมผัสประจักษ์-ยืนหยัดอยู่หลัดๆโต้งๆโทนโท่”

ว่า เป็น“ความจริง”บริบูรณ์สัมบูรณ์เปิดเผยไม่มีอะไรแฝงบังหรือลึกลับเลย แม้แต่นิดน้อยเศษละอองธุลีใดๆ 

และผู้เป็น“เจ้าของความรู้-ความฉลาด(ธรรมสามี)”นี้ ก็ทรงยืนยันพระองค์เองอีกว่า พระพุทธเจ้าเองเป็น“ผู้รู้เอง”(สัมมาสัมพุทโธ) ที่แสดงพระองค์เองต่อโลกมนุษย์ซึ่งสัมผัส“เนื้อตัวร่างกาย(สรีระ)”ของพระองค์ได้จริงๆ ว่า ท่านก็เป็น“คน”ที่มีพร้อมท้ัง“สรีระกับจิตวิญญาณ(ภาวะ 2)”ผู้มีชีวิตอยู่ในโลกนี้แท้ๆ ก็เป็นเช่นเดียวกันกับมนุษย์คนอื่นทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งชี้บ่ง“ความเปิดเผย”กับ“ความลึกลับ”ของ “เทฺว” หรือ“ภาวะ 2”คู่สำคัญในโลกในมหาจักรวาล ว่า “พระเจ้า” กับ“พระพุทธเจ้า”นั้นภาวะไหนชัดเจนยิ่งจริงแท้กว่ากัน 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 เล่ม 1 ตอนที่ 2

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน 2565 แรม 15 ค่ำเดือน 4 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2565 ( 19:20:44 )

ปัญญา 8 ประการข้อที่ 1 ต้องได้รับมาจากสัตบุรุษ

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรื่องปัญญา ในปัญญาสูตร พระไตรปิฎกเล่ม 23 เริ่มข้อ 92 

ปัญญาสูตร  ล 23 ข 92 

 [92] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุ 8 ประการ ปัจจัย 8 ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงามไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งปัญญาที่ได้แล้ว 8 ประการเป็นไฉน

1.ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรักและความเคารพไว้อย่างแรงกล้า(ติปปัง) ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 1 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม คนจนโลกุตระมีประชาธิปไตยที่ดีสุดในโลก วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2564 ( 18:43:13 )

ปัญญา 8 ประการข้อที่ 2 ต้องสอบถามไต่ถามสัตบุรุษ

รายละเอียด

2.เธออาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่ง ผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก และความเคารพไว้อย่างแรงกล้านั้นแล้ว เธอเข้าไปหาแล้วไต่ถาม สอบถามเป็นครั้งคราวว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภาษิตนี้เป็นอย่างไร เนื้อความแห่งภาษิตนี้เป็นอย่างไร ท่านเหล่านั้นย่อมเปิดเผยข้อที่ยังไม่ได้เปิดเผย ทำให้แจ้งข้อที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง และบรรเทาความสงสัยในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยหลายประการแก่เธอ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 2 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม คนจนโลกุตระมีประชาธิปไตยที่ดีสุดในโลก วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2564 ( 18:48:00 )

ปัญญา 8 ประการแบบสั้นเข้าใจง่าย

รายละเอียด

ปัญญาข้อที่ 1 ต้องได้ยินจากพระพุทธเจ้า รู้จากสัตบุรุษจากผู้รู้ที่สัมมาทิฏฐิ ต้องได้ยิน คุณรู้เองไม่ได้ไม่มีสิทธิ์เลย ไม่มีใครสามารถมีสิทธิ์ที่จะรู้เอง นอกจากมาเริ่มต้นที่จะได้ฟังจากพระพุทธเจ้าได้ฟังจากสัตบุรุษ  ได้ฟังจากผู้รู้ที่สัมมาทิฏฐิ

ปัญญาข้อที่ 2 ก็ฟังแล้วฟังอีกฟังแล้วฟังอีก ไม่ใช่ฟังครั้งเดียวรู้เรื่อง หรือผู้ที่ฟังครั้งเดียวแล้วรู้เรื่องเลยก็เป็นผู้ที่มีบารมี อุคติตัญญู นอกนั้นเนยยะบุคคลต้องฟังแล้วฟังอีก จึงต้องมีปัญญาขั้นที่ 2 อย่านึกว่าตัวเอง วิปัญจิตัญญู หรืออุคติตัญญู อย่านึกว่าตัวเองเป็นผู้มีบารมีเก่ามาพอสัมผัสแล้ว พ้นจากน้ำบานแฉ่งเลย ไม่ใช่ง่ายๆอย่างนั้น ต้องฟังแล้วฟังอีกจึงต้องมีปัญญาข้อที่ 2 

ปัญญาข้อที่ 3 จึงจะแยก ความสงบ 2 อย่างได้ ความสงบ 2 อย่างนี้แหละ เขายังไม่เข้าใจกันง่ายๆหรอก สงบโลกียะก็หยุดเฉยๆ มันไม่ใช่ สงบโลกุตระนั้นคือกิเลสในจิตมันลดบทบาท มันสงบ ความสงบ 2 อย่างนี้จึงต่างกันกับความสงบที่โลกียะเขาเข้าใจ โลกียะเข้าใจไม่ใช่ความสงบของพระพุทธเจ้า ความสงบของโลกุตระต้องรู้จิตที่กิเลสลดลงดับสนิทเลยสงบสนิท นั่นคือความสงบอยู่ตรงนี้ นี่คือรู้จักความสงบ 2 อย่างกายและจิตโล
กียะ ยังไม่เข้าใจอย่างนี้ ถ้าโลกุตระจึงจะเข้าใจอย่างที่อาตมาสาธยาย จึงรู้จักความสงบ 2 อย่าง ไม่ง่ายแล้ว 

เริ่มโลกโลกุตระแล้ว พอเริ่มโลกุตระจุดเริ่มต้นปัญญาตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้คือปัญญาข้อที่มีศีล 

ปัญญาข้อที่ 4 ปฏิบัติศีลไปทีละข้อจะได้ปัญญางอกงามไพบูลย์ไปตามลำดับ 

ปัญญาข้อที่ 5 ก็เจริญเป็นพหูสูต เจริญเป็นพหูสูตไปเรื่อยๆ 

ปัญญาข้อที่ 6 ก็เลยต้องวิริยารัมภะ พากเพียรในสิ่งที่ได้แล้วถูกต้องแล้วจะเจริญไปเรื่อยๆเป็นอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ ก็วิริยารัมภะ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 

ปัญญาข้อที่ 7 ก็จบเลย จบอรหันต์จบโพธิสัตว์ สรุปเลยจบอรหันต์ จบโพธิสัตว์ 

ปัญญาข้อที่ 8 ทุกกระบวนการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปความเสื่อมความเจริญ ความมีความไม่มีจบอยู่ที่ข้อที่ 8 หมดเลย นี่คือปัญญา 8 ข้อ

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า พุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์แห่งพุทธ ครั้งที่ 46 จรณะ 15 พัฒนาปัญญา 8 ประการ วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 พฤษภาคม 2565 ( 15:38:06 )

ปัญญา 8 รู้เทวะรู้ความปรุงแต่งของธรรมนิยาม 5 ได้สมบูรณ์

รายละเอียด

มี“ปัญญา 8”จึงรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“เทฺว”ได้สัมบูรณ์

“สังขาร”นี้แหละ คือ “ธาตุที่ปรุงแต่งกันอยู่ของ “วิญญาณ”อันมี“ภาวะ 2”ก็คือ “เทฺว”นั่นแหละซึ่งเป็น “นาม-รูป”ปรุงแต่งกันไป เป็นเหตุเป็นปัจจัยกันและกัน ตามหลัก“ปฏิจจสมุปบาท” ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้

ถ้าไม่มี“ปัญญา”ก็ไม่สามารถจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง

“ปฏิจจสมุปบาท”ดังว่านี้ได้จริง   

เมื่อคนผู้ไม่มี“ปัญญา 8”ก็ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“ภาวะ 2”ที่“ปรุงแต่งกันอยู่”ของ“เทฺว”ทั้งหลาย จึงมีแต่“อวิชชา” หรือแม้จะมี“ความรู้-ความฉลาด” ก็ไม่ใช่ “วิชชา”ที่เป็น“โลกุตระ” จึงยังคงมีแต่“ความรู้-ความฉลาด”ที่จมงมอยู่แค่ในกรอบของ“โลกียธรรม”ตามเดิม ซึ่งมันยังไม่ใช่“โลกุตรธรรม”อันพระพุทธเจ้าทรงค้นพบ      

“ความรู้โลกุตรธรรม”จึงจะมี“ปัญญา”ที่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น“เทฺว”ได้สมบูรณ์ ก็จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความปรุงแต่งทั้งหลาย” ทั้งของ“อุตุนิยาม-พีชนิยาม-จิตนิยาม-กรรมนิยาม-ธรรมนิยาม” ครบ“ธรรมนิยาม 5”อย่าง“สัมมาทิฏฐิ”จริง 

คนผู้นี้ก็สามารถ“จัดการปรับจิตปรุงใจ(อภิสังขาร)ของตน”อันคือ“เทฺว”ของตนให้มีภาวะ“ทรงอยู่(ธรรม)”ด้วยความสามารถของ“กรรมของตน”อาศัยดำเนินไปในขณะที่

ผู้นั้นยังเป็น“จิตนิยาม”อยู่ใน“กาล”แห่งเอกภพมหาจักรวาล จนกว่าตนเองจะทำ“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”ตายเลิกสลาย“จิตนิยาม”ไป

เห็นมั้ยว่า ความเป็น“เทฺว”นั้นเป็นภาวะที่“ยิ่งใหญ่ล้ำลึก” เป็น“1”แท้ๆจริงๆสุด“สูงหล้าฟ้าลึก”ครอบมหาเอกภพจบสิ้นจักรวาลแต่เพียง“1 เดียว”ที่ยากเกินยากกว่ายากใดๆ ที่จะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงกันได้ง่ายๆ

ถ้าไม่มี“ปัญญา 8”หรือ“วิชชา 8”ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงค้นพบ แล้วนำมาตรัสสอนมนุษย์ในโลกให้รู้ตาม ก็จะไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ควมจริง”นี้ได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 เล่ม 1 ตอนที่ 1

วันพุธที่ 23 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มีนาคม 2565 ( 21:20:52 )

ปัญญา 8 สามารถครอบงำเทฺวได้ทั้งหมด

รายละเอียด

ผู้มี“ปัญญา 8”ตามแบบโลกุตระเท่านั้นจริงๆ ที่จะสามารถแยกแยะรายละเอียดของ“เทฺว”น้อยใหญ่ต่างๆ และทำความเป็น“เทฺวน้อยใหญ่”นั้นๆให้“ทรงอยู่(ธรรม)”ไปกับ“สังคม”ได้ด้วยการศึกษาตามความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ซึ่งความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้น“ครอบจักรวาล” ทั้งหมด และครอบทั้งความเป็น“พระเจ้า”ทั้งหลายด้วย โดยเฉพาะ ครอบทั้งความเป็น“เทฺว”ได้ทั้งหมด ผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“เทฺว”ทั้งหมด ก็คือ ผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ปัญญา 8”ได้ทั้งหมดครบถ้วน ไพบูลย์ นั่นเอง  

อาตมากำลังสาธยาย“วิชาการ”เกี่ยวกับ“ความจริง” หรือ“สัจธรรม”ทั้งหลายในเอกภพมหาจักรวาลเท่าที่มีอยู่ใน“กาล” ให้ครบให้ถ้วนทั่ว ไม่ได้โอ่อวดข่มเบ่งแต่อย่างใดไม่มี“จิต”ที่เป็นอุปกิเลสใดๆเลย ไม่ว่ากำลังยกตนข่มท่านก็ดี อยากโอ้อวดก็ดี แม้แต่ตีตนเสมอท่านก็ดี ฯลฯ แต่กำลังแสดง“ความรู้-ความจริง”เท่าที่ตนเองมี เปิดเผยออกให้มากๆ เพื่อให้ผู้อื่นได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง”ด้วยใจบริสุทธิ์ เท่าที่ตนมีปัญญา“ตามภูมิ”จริงของตน ที่ตนเองมี“ปัญญา”บ้างแล้วด้วยความบริสุทธิ์ใจ

มิใช่มาอวดดี แต่นำ“ความดีจริงๆของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว”มาสืบทอดต่อไป ศาสนาพุทธจะได้ยืนยาวไปถึง 5,000 ปี ให้ตรง ให้ถูกต้องตามที่เป็นของพระพุทธเจ้า เท่าที่อาตมามี“ความจริง” มี“ความรู้”นั้นๆ ที่อาตมาแน่ใจ มั่นใจใน“ความรู้-ความจริง”นั้นๆ อย่างซื่อสัตย์ที่สุด ที่คนผู้มี“อัญญธาตุ” มี“ปัญญา”จะรู้ได้ รับได้ ส่วนผู้ยังไม่มี“อัญญธาตุ”หรือยังไม่มี“ปัญญา”เลย ก็แน่นอนว่า ย่อมรับ“ความรู้-ความจริง”ที่อาตมาสาธยายไม่ได้ หรือ“ไม่รู้ตามได้” ก็ย่อมย้อนแย้งกับอาตมาเป็นธรรมดา ส่วนใครจะผิดจะถูกนั้น ที่สุดแห่งที่สุดก็ตนเองแต่ละคนนั่นแหละ ที่จะสามารถพิพากษาให้แก่ตนเอง ตนเป็นที่พึ่งของตนเองแท้ๆ นอกจากตนไม่มีใครจะเป็นที่พึ่งแท้ให้แก่ตนได้หรอก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 เล่ม 1 ตอนที่ 2

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน 2565 แรม 15 ค่ำเดือน 4 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2565 ( 13:30:32 )

ปัญญา 8 สามารถครอบงำ“เทฺว”ครอบความเป็นพระเจ้าได้ทั้งหมด

รายละเอียด

“ปัญญา 8”จึงสามารถครอบงำ“เทฺว”ได้ทั้งหมด ผู้มี“ปัญญา 8”ตามแบบโลกุตระเท่านั้นจริงๆ ที่จะสามารถแยกแยะรายละเอียดของ“เทฺว”น้อยใหญ่ต่างๆ และทำความเป็น“เทฺวน้อยใหญ่”นั้นๆให้“ทรงอยู่(ธรรม)”ไปกับ“สังคม”ได้ด้วยการศึกษาตามความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า 

ซึ่งความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้น“ครอบจักรวาล” ทั้งหมด และครอบทั้งความเป็น“พระเจ้า”ทั้งหลายด้วย โดยเฉพาะ ครอบทั้งความเป็น“เทฺว”ได้ทั้งหมด ผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“เทฺว”ทั้งหมด ก็คือ ผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ปัญญา 8”ได้ทั้งหมดครบถ้วนไพบูลย์ นั่นเอง  

อาตมากำลังสาธยาย“วิชาการ”เกี่ยวกับ“ความจริง” หรือ“สัจธรรม”ทั้งหลายในเอกภพมหาจักรวาลเท่าที่มีอยู่ใน“กาล” ให้ครบให้ถ้วนทั่ว ไม่ได้โอ่อวดข่มเบ่งแต่อย่างใด ไม่มี“จิต”ที่เป็นอุปกิเลสใดๆเลย ไม่ว่ากำลังยกตนข่มท่านก็ดี อยากโอ้อวดก็ดี แม้แต่ตีตนเสมอท่านก็ดี ฯลฯ 

แต่กำลังแสดง“ความรู้-ความจริง”เท่าที่ตนเองมี เปิดเผยออกให้มากๆ เพื่อให้ผู้อื่นได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง”ด้วยใจบริสุทธิ์ เท่าที่ตนมีปัญญา“ตามภูมิ”จริงของตน ที่ตนเองมี“ปัญญา”บ้างแล้วด้วยความบริสุทธิ์ใจ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 เล่ม 1 ตอนที่ 1

วันพุธที่ 23 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มีนาคม 2565 ( 21:24:31 )

ปัญญา 8 เป็นความรู้ทางโลกุตรธรรม

รายละเอียด

อาตมาพยายามอธิบายเอาปัญญา 8 ของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกเล่ม 23 มาขยายความ ตอนนี้เขียนเข้าไป 500 กว่าหน้าแล้ว ก็ยังไม่จบ ทวนไปทวนมา ขยายแล้วขยายอีก เอาพระสูตรอื่นๆมาประกอบ ตอนนี้ไปเจอสูตร อภิภู อภิภายตนะ 8 เอามาขยายอีกยิ่งซับซ้อนลึกซึ้งละเอียด แต่เชื่อว่าเขียนไปพูดไปทำเอาไว้ คนไม่ค่อยเข้าใจได้ง่ายๆหรอก คนไม่สนใจจะอ่านจะรู้เท่าไหร่ แต่ก็ต้องทำไว้ อาตมาต้องทำเอาไว้ ไม่ใช่ดูถูกคนนะ แต่มันเป็นสถานะที่แท้จริง สถานะของคนยุคนี้ เป็นสถานะที่คนไม่มีภูมิธรรมทางโลกุตรธรรม ปัญญาเป็นความรู้ทางโลกุตรธรรม ไม่ใช่แค่ความรู้โลกียะเท่านั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ประเด็นโลกุตระจากงานศพอาจารย์สมเกียรติ วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2564 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2564 ( 10:53:33 )

ปัญญา 8 เป็นโลกุตรธรรม

รายละเอียด

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 27 มกราคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 6 ค่ำเดือน 3 ปีเถาะ เราก็มาฟังกันต่อไป นี่หนังสือออกใหม่ โชว์หน่อยปัญญา 8 เล่ม 2 ไม่หนาเท่าไหร่  489 หน้า อาตมาก็เอาปัญญา 8 ซึ่งเป็นความรู้ความฉลาดชนิดที่เป็นโลกุตรธรรม ซึ่งยังเขียนอยู่ทุกวันนี้ก็ยังเขียนต่ออีก ไม่ใช่ว่าเล่ม 2 จะจบยังมีเล่ม 3 ปาเข้าไป 600 กว่าหน้าแล้ว 700 กว่าหน้าเข้าไปแล้ว ว่าจะหยุดขยาย อ่านทวนไป เพื่อดูว่าเรียบร้อยหรือยัง มันก็ยังขยายอยู่นั่นแหละ มันยังไงไม่รู้ห้ามตัวเองไม่ได้ที่จะขยายให้ละเอียด มันควรขยายก็ขยายไปเรื่อย 

ซึ่งความรู้ของพระพุทธเจ้าที่สอนเป็นความรู้โลกุตรธรรมนี้ มันรู้รอบจริงๆ เรียกว่ารอบวนกว้างขึ้น หรือวนเป็นก้อนหอย วน สูงขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้น สูงสุด ความรู้ของพระพุทธเจ้าก็ถือว่าสูงสุด ความรู้ที่เราพูดกันอยู่นี้ยังไม่สูงสุดไม่ถึงสุดยอดของพระพุทธเจ้า เราก็ว่ากันไปต่อได้เรื่อยๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ในยุคนี้ต้องมาเรียนกับพ่อครูจึงจะบรรลุอรหันต์ได้ วันศุกร์ที่ 27 มกราคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 6 ค่ำเดือน 3 ปีเถาะ


เวลาบันทึก 19 กุมภาพันธ์ 2566 ( 12:53:35 )

ปัญญา 8 ในพระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 92 

รายละเอียด

(1) ปัญญา 8 ในพระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 92 

1. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรักและเคารพไว้ อย่างแรงกล้า   

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุปัจจัยข้อที่ 1 ย่อมเป็นไปเพื่อได้‘ปัญญา(ปัญญายะ)’ ฯลฯ* เพื่อความบริบูรณ์แห่ง‘ปัญญา’ที่ได้แล้ว ฯ [ฯลฯ* ข้างบนนั้น คือ คำความที่กล่าวถึงมาก่อนแล้วได้แก่.. อันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงามไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งปัญญาที่ได้แล้ว 8 ประการนี้เอง]

2. เธออาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่ง ผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก และความเคารพไว้อย่างแรงกล้านั้นแล้ว เธอเข้าไปหาแล้วไต่ถาม สอบถามเป็นครั้งคราวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภาษิตนี้เป็นอย่างไร เนื้อความแห่งภาษิตนี้เป็นอย่างไร ท่านเหล่านั้นย่อมเปิดเผยข้อที่ยังไม่ได้เปิดเผย ทำให้แจ้งข้อที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง และบรรเทาความสงสัยในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยหลายประการแก่เธอ 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 2 ย่อมเป็นไปเพื่อได้‘ปัญญา’ ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่ง‘ปัญญา’ที่ได้แล้ว ฯ

3. เธอฟังธรรมนั้นแล้ว ย่อมยังความสงบ 2 อย่าง คือ ความสงบกาย และความสงบจิต ให้ถึงพร้อม

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัย ข้อที่ 3 ย่อมเป็นไปเพื่อได้‘ปัญญา’ ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่ง ‘ปัญญา’ที่ได้แล้ว ฯ

4. เธอเป็นผู้มี‘ศีล’ สำรวมระวังในพระปาฏิโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษแม้ มีประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 4 ย่อมเป็นไปเพื่อได้‘ปัญญา’ ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่ง ‘ปัญญา’ที่ได้แล้ว ฯ

5. เธอเป็น‘พหูสูต’ ทรงจำสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้ยินได้ฟังมาก ทรงจำไว้ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิ ซึ่งธรรมทั้งหลายอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ ทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง 

ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 5 ย่อมเป็นไปเพื่อได้‘ปัญญา’ ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่ง ‘ปัญญา’ที่ได้แล้ว ฯ

6. เธอย่อม‘ปรารภความเพียร(วิริยารัมภะ)’เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อความพร้อม ถึงพร้อมแห่งกุศลธรรม เป็นผู้มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระไม่ดูดายในกุศลธรรม 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 6 ย่อมเป็นไปเพื่อได้‘ปัญญา’ ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่ง ‘ปัญญา’ที่ได้แล้ว ฯ

7. อนึ่ง เธอเข้าประชุมสงฆ์ไม่พูดเรื่องต่างๆ ไม่พูดเรื่องไม่เป็นประโยชน์ ย่อมแสดงธรรมเองบ้าง ย่อมเชื้อเชิญผู้อื่นให้แสดงบ้าง ย่อมไม่ดูหมิ่นการนิ่งอย่างพระอริยเจ้า

ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 7 ย่อมเป็นไปเพื่อได้‘ปัญญา’ ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่ง‘ปัญญา’ที่ได้แล้ว ฯ

8. อนึ่ง เธอพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมในอุปาทานขันธ์ 5 ว่า รูปเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่ง รูปเป็นดังนี้ เวทนาเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งเวทนาเป็นดังนี้ สัญญาเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งสัญญาเป็นดังนี้ สังขารทั้งหลายเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งสังขารเป็นดังนี้ วิญญาณเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณเป็นดังนี้ 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุ เป็นปัจจัยข้อที่ 8 ย่อมเป็นไปเพื่อได้‘ปัญญา’ ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่ง ‘ปัญญา’ที่ได้แล้ว ฯ 

เพื่อนพรหมจรรย์ย่อมสรรเสริญภิกษุรูปนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุนี้ อาศัยพระศาสดาหรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่ง ผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย   ความเกรงกลัว ความรัก และความเคารพไว้อย่างแรงกล้า ท่านผู้มีอายุนี้ ย่อมรู้สิ่งที่ควรรู้ ย่อมเห็นสิ่งที่ควรเห็น เป็นแน่แท้ แม้ธรรมข้อนี้ก็เป็นไปเพื่อความรัก ความเคารพ ความสรรเสริญ เพื่อการบำเพ็ญสมณธรรม เพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ฯ 

อนึ่ง เพื่อนพรหมจรรย์ย่อมสรรเสริญภิกษุรูปนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุนี้ อาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่ง ผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก และความเคารพไว้อย่างแรงกล้า ท่านได้เข้าไปหาแล้วไต่ถาม สอบถามเป็นครั้งคราวว่า ท่านผู้เจริญ ภาษิตนี้เป็นอย่างไร เนื้อความแห่งภาษิตนี้เป็นอย่างไร ท่านเหล่านั้นย่อมเปิดเผยข้อที่ยังไม่ได้เปิดเผย ย่อมทำให้แจ้งข้อที่ยังไม่ทำให้แจ้ง และย่อมบรรเทาความสงสัยในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยหลายประการ แก่ภิกษุนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 เล่ม 1 ตอนที่ 1

วันพุธที่ 23 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มีนาคม 2565 ( 19:59:29 )

ปัญญา กับ เฉกา ต่างกันอย่างไร

รายละเอียด

แม้คำว่าปัญญานี่ก็เป็นโลกุตระ คำว่า ฉลาด นั้นมีภาษาบาลี เฉโก หรือเฉกะ หรือเฉกา เป็นความรู้ความฉลาดอยู่แค่นั้นแหละ เป็นเฉพาะหนึ่งเดียว เฉกะ ในความรู้ของโลกุตระมีความรู้ครบ 6 ฉลาดแปลว่า 6 แต่เฉกะ คือ ฉะเอก เขามีความเข้าใจแค่หนึ่งเดียวอีก 5 เขาไม่เข้าใจ เขาไม่มีภูมิรู้อีก 5 ทวารที่รู้โลกกว้าง ที่รู้ทั้งสังขารของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปเป็นจิตวิญญาณแบบไหนๆ จะเป็นเทวะหรือเป็นสัตว์นรก อยู่ในนี้อีก ซับซ้อนลึกซึ้งเขาไม่มีความรู้ เทวนิยมมีความรู้อยู่ในวงแคบ อยู่ในวงวนของเฉกะเท่านั้น เพราะฉะนั้นเขาเอาคำว่า ปัญญา ไปใช้ในความรู้ศาสนาเทวนิยมของทางตะวันตก ของศาสนาพระเจ้า ไม่ได้ เขาไม่มีความรู้ทางปัญญา เขามีความรู้แค่ทาง เฉกะ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #25 พ่อครูคือธัมมิกราษฎร์ ผู้กอบกู้โลกุตรธรรม  วันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2566 ( 18:29:22 )

ปัญญา กับ เฉโก

รายละเอียด

ปัญญาอาตมาเคยเน้นแล้วพยัญชนะคำว่า ปัญญามันเป็นภาษาของศาสนาพุทธ แต่ศาสนาเทวนิยมเขาเอาไปใช้ หรือแม้แต่มิจฉาทิฏฐิ พุทธที่เป็นมิจฉาทิฏฐิก็เอาปัญญาไปใช้แทน เฉโก หมด พวกเราพอเข้าใจกันได้แล้วนะพยัญชนะคำ เฉโก กับปัญญามันเป็นความรู้ที่ต่างกัน เฉโก มันเป็นโลกียะมันอยู่ในกรอบ มันยังไม่ออกมามีหน่วยความรู้อื่นมี อัญญธาตุ ยังไม่ออกมาเลยอย่างเทวนิยม 100% หรือชาวพุทธก็ตามที่ยังมิจฉาทิฎิ 100% ก็จะไม่เข้าใจแยกไม่ออก 

เพราะฉะนั้นผู้ที่มีความรู้ของศาสนาพุทธที่ชื่อว่าปัญญานี่ สูงถึงขั้นรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริงใน “อวิชชาสวะ 8”

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ตอน 3 วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2567 แรม 9 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 มกราคม 2567 ( 15:06:18 )

ปัญญา ข้อที่ 2

รายละเอียด

เธออาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่ง ผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก และความเคารพไว้อย่างแรงกล้านั้นแล้ว เธอเข้าไปหาแล้วไต่ถาม สอบถามเป็นครั้งคราวว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภาษิตนี้เป็นอย่างไร เนื้อความแห่งภาษิตนี้เป็นอย่างไร ท่านเหล่านั้นย่อมเปิดเผยข้อที่ยังไม่ได้เปิดเผย ทำให้แจ้งข้อที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง และบรรเทาความสงสัยในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยหลายประการแก่เธอ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 2 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ ต้องไต่ถามสอบถามเป็นครั้งคราวอย่ามากไป ถามจัง ถามเช้ากลางวันเย็นกลางคืนอีก แม้แต่ผู้ที่ได้ฟังคำอธิบายขยายความแล้วยังบรรลุหมดหรือไม่ก็ยังไม่ได้ เพราะฉะนั้นปัญญาที่ได้ฟังจากศาสดาฟังจากครู มันก็ยังต้องเอาไปปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป็นปัจจัตตัง ปัจเจก สยังอภิญญา สยัมภู ปัญญาไม่ใช่ฉลาดเฉโก แบบพระศาสดาใดๆ หากไม่ใช่เนื้อหาของโลกุตระ

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช ศิลปะในการใช้ชีวิตให้เกิดปัญญามัชฌิมา วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 12 ธันวาคม 2562 ( 17:35:31 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 16:52:37 )

เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 14:17:51 )

ปัญญา ข้อที่ 3

รายละเอียด

เธอฟังธรรมนั้นแล้ว ย่อมยังความสงบ 2 อย่าง คือ ความสงบกายและความสงบจิต ให้ถึงพร้อม ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 3 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ ถ้าไม่รู้ว่ากายคืออะไรจิตคืออะไรและสงบคืออะไร สงบเขาหมายถึงว่าเอาตัวเองออกป่า แล้วไปเดินผู้เดียว อยู่ผู้เดียว บิณฑบาตผู้เดียว นอนผู้เดียว อย่างที่ท่านตรัสไว้ในวิเวก 3 ในคุหัฏฐกสุตตนิทเทส ผู้ข้องในถ้ำแล้วคุณก็ออกป่า แล้วถือว่าคือกายวิเวก ออกไปนั่งสมาธิก็เป็นมิจฉา ไม่สัมมา เดี๋ยวนี้พระป่าทั้งหลายทำกัน ไม่มีภายนอกแล้วจะไปรู้กิเลสจะไปรู้ขันธ์ 5 จะไปทำการอภิสังขารได้อย่างไร อุปธิวิเวก คุณจะไปได้หรือคุณจะไปรู้ขันธ์ 5 หรือ คุณจะไปทำกันอภิสังขารได้หรือ ไม่มีการได้อุปธิวิเวก อุปธิคือขันธ์ 5 อภิสังขาร รูปข้างนอกก็ไม่เรียน เวทนาก็ไม่แยก จิตก็ไม่ได้แยก สัญญา สังขารไม่ได้แยก นั่งหลับตาไม่มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ นั่งหลับตาซึ่งเป็นโมฆะจริงๆ ต้องมาค่อยๆศึกษา ปฏิบัติแล้วได้สัมมาผลของตัวเอง ถึงจะรู้จักว่าสงบกายสงบจิตคืออะไร หลับตาแล้วกระทั่ง ให้ลมหายใจหมดลงไป นี่งลงไปจนลืมไปหมดแล้วจะเกิดปัญญาขึ้นมา อย่างนี้มันจะเกิดได้อย่างไร

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช ศิลปะในการใช้ชีวิตให้เกิดปัญญามัชฌิมา  วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 12 ธันวาคม 2562 ( 17:38:27 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 16:56:09 )

เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 14:18:37 )

ปัญญา คืออะไร

รายละเอียด

อาตมาเอาจากพระไตรปิฎก ปัญญาคือการรู้ความเกิดความดับของขันธ์ 5 ศึกษาให้ดี ธรรมะของพระพุทธเจ้าลึกซึ้ง เรียนให้จบแล้วจะมาพูดได้อย่างอาตมา อาตมาเรียนจบแล้ว อาตมามีสภาวะจริงที่จบแล้ว ก็เอามาพูดด้วยภาษาที่คนฟังจะเข้าใจได้ พระพุทธเจ้าเรียกว่าภาษาถิ่น อาตมาไม่ใช้บาลีเป็นหลัก แต่ใช้ภาษาไทยเป็นหลัก

นัตถิ ฌานัง อปัญญัสสะ ปัญญา นัตถิ อฌายโต 

ยัมหิ ฌานัญจะ ปัญญา จ ส เว นิพพานสันติเก 

ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน

ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นแล อยู่ในที่ใกล้นิพพาน

(พตปฎ. เล่ม 25   ข้อ 35)

ปัญญาไม่ใช่ความรู้โลกีย์ ความรู้โลกีย์พาไปนิพพานไม่ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตำหนิให้เขาดื่มได้คือหน้าที่ของผู้ทำงานศาสนา วันพุธที่ 28 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 พฤษภาคม 2564 ( 19:41:15 )

ปัญญา ช่วย สมาธิ

รายละเอียด

ต้องมี "ปัญญา" จึงจะช่วยให้เกิด "สมาธิ"

ที่มา ที่ไป

รวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร ? หน้า 179


เวลาบันทึก 11 ธันวาคม 2562 ( 13:38:46 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 04:15:23 )

เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 14:19:00 )

ปัญญา ญาณ วิชชา ต่างกันอย่างไร 

รายละเอียด

เข้าใจยังไม่ต่างกันก่อนว่าเป็นความรู้ทางโลกุตระอย่างเดียวก็พอแล้ว เมื่อรู้รายละเอียดสูงขึ้นไปจะแยกได้เองว่า ถ้าเราจะใช้ภาษา 

ปัญญาก็ขนาดหนึ่ง ถ้าญาณ ก็ถือว่าสูงกว่า มีสามเส้า ถ้าปัญญาก็ขั้นต้น ญาณก็ขั้นกลาง วิชชาก็ขั้นปลาย เป็นทั้งมรรคทั้งผล คนศึกษาศาสนาพุทธจะเข้าใจว่า วิชชาเป็นความรู้ทางธรรมะ แต่วิชาส่วนใหญ่เป็นความรู้ทางโลกีย์ทั่วๆไป เช่น ปลูกผักเก่ง ทำลูกระเบิดเก่ง หกคะเมนตีลังกาเก่ง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหา พุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริแห่งพุทธ ครั้งที่ 46 วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565 แรม 2 ค่ำ เดือน 3 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กุมภาพันธ์ 2565 ( 20:47:51 )

ปัญญา ญาณ วิชชา เป็นความรู้ที่จะขาด จักษุ ขาดอาโลก ไม่ได้

รายละเอียด

พระพุทธเจ้ากำกับไว้ว่า ปัญญา ญาณ วิชชา เป็นความรู้ที่จะขาด จักษุ ขาดอาโลก อีก 2 ตัวนี้ไม่ได้ หมายความว่า ขาดธาตุประสาท หรือตัว วิสยรูป ตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่รับภายนอก กับอาโลก ที่มีแสงสว่างของพระอาทิตย์ สาดมากระทบแล้วเข้าตาหรือมาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสได้ รับรู้ได้ ครบถ้วนไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง มันถึงจะครบความเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ไม่ลึกลับไม่บกพร่อง แล้วมันก็อยู่ร่วมกัน สังเคราะห์กัน มีทั้งผลักทั้งดูด หรือมีทั้งปฏิปักษ์ต่อกัน หรือว่าดึงดูดต่อกัน เกาะติดกัน ซึ่งเป็นสภาวะ 2 แต่ละคู่ๆ เยอะแยะคู่ เรียนรู้สภาพสอง ไม่รู้กี่คู่ต่อกี่คู่ แล้วก็พิสูจน์ยืนยันได้ 

อาตมาทำงานศาสนามา 50 ปีพาพิสูจน์ความรู้อันนี้ ซึ่งมีสภาวะธรรมเกิดจริงเป็นจริงได้อย่างไม่น้อยหรอก แต่คนยังไม่สามารถที่จะมีดวงตาหรือมีธาตุปัญญารับรู้ได้ เพราะมันสูงเกินภูมิที่เขาจะรู้ พูดไปแล้วก็น่าหมั่นไส้เหมือนคนหลงตัวเอง เหมือนสูงเกินกว่าที่เขาจะรู้ ที่อาตมาพาทำ มันสูงกว่าที่เขาจะรู้ มันมีจำนวนเหมือนยอดพีระมิด มีจำนวนน้อย นอกนั้นเป็นฐานพีระมิด มองเห็นก็ไม่เข้าใจก็มันเล็กมันละเอียดมันลึกซึ้ง จนเขาวิจัยไม่ออก วิจัยไม่ได้ว่ามันจะมีคุณวิเศษ มีค่าอะไรได้อย่างไร มันเป็นสภาพทวนกระแส ถ้ามันใหญ่มันหยาบคนก็เห็นได้ แต่ที่มันเล็กละเอียดน้อยนั้น คนเห็นไม่ได้ เข้าใจไม่ได้ จนกว่าเขาจะมีธาตุปัญญาที่ลึกซึ้งมากพอ ที่เขาจะสามารถรับรู้ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 35 จิตวิญญาณแห่งสาธารณโภคีที่มีในชาวอโศก วันจันทร์ที่ 25 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2565 ( 14:33:37 )

ปัญญา นิรันดร์กุล แสวงหาโลกุตระหรือยัง

รายละเอียด

ใครจะเป็นอรหันต์ก่อนกัน คนที่ปัญญาช่วย หรือ ถ้าปัญญามีปัญญา ปัญญา นิรันดร์กุล

ก็เป็นนิรันดร สงสัยจะโลกุตระยากเหมือนกันเพราะมีนิรันดร์ เป็นอจินไตยอย่างหนึ่ง ก็สกุลนิรันดร ตระกูลนิรันดร เอาละ นิรันดร ก็แบ่งได้เป็นโลกุตระหรือนิพพานนิรันดร ก็ได้อีกแต่ปัญญานี้แสวงหาโลกุตระหรือยัง เราไม่รู้เบื้องลึกเขาในชีวิตเขาแสวงหาหรือเปล่า แต่เขาอาศัยอันนี้เป็นการทำงานกรรมกริยาของเขาก็ทำงานกุศลไป ถ้าเขาแสวงหาโลกุตระก็จะได้ อย่างนี้เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ผู้ไม่รู้ตัวเองไม่รู้ทั้งหมด ผู้รู้ทั้งหมด รู้ตัวเอง วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 เมษายน 2564 ( 17:33:42 )

ปัญญา บงการลดกิเลส

รายละเอียด

ส่วนปัญญานั้นคือ ความฉลาดที่บงการ ถ้ายังไม่สำเร็จก็บงการลดกิเลส แต่โลกียะนั้นความฉลาด เฉโก เป็นการบงการเพิ่มกิเลส แต่ของโลกุตระนั้น ความเฉลียวฉลาดเป็นการบงการลดกิเลส จนลดกิเลสหมดก็เป็นอรหันต์ มันลดไปตามลำดับๆจนกระทั่งไม่มีกิเลสเลย เมื่อหมดกิเลสแล้วก็จบกิจ กิจของมนุษย์สูงสุดถ้าหมดกิเลสท่านถือว่าจบกิจ เพราะฉะนั้นเมื่อจบกิจแล้ว จะเป็นกิจทางเศรษฐศาสตร์ จะเป็นกิจทางรัฐศาสตร์ จะเป็นกิจทางสังคมศาสตร์จบแล้ว 

นอกจากกิจทางเทคนิคเท่านั้นที่มันไม่จบกันง่ายๆ แต่กิจของมนุษยชาติของสังคมจะเป็นเศรษฐศาสตร์ก็ตามรัฐศาสตร์ก็ตาม การเมืองก็ตาม จะเป็นเรื่องของสังคมศาสตร์จบ จบ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ปรับทุกข์ปลุกธรรม #16  ตรวจสอบความจบกิจเป็นอรหันต์ในเรื่องเศรษฐกิจ วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2566 ขึ้น 6 ค่ำเดือน 5 หน้าร้อน ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 พฤษภาคม 2566 ( 11:19:39 )

ปัญญา เฉกา ฉฬายตนะ

รายละเอียด

ปัญญาจะเป็นความเฉลียวฉลาดที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ ไม่ใช่เฉกา ไม่ใช่ความรู้ที่ใช้คำว่าฉลาดตามภาษาไทย มาจากภาษาบาลีคำ ฉฬายตนะ คือ ความฉลาดจากปฏิกิริยาของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วรู้ รู้สิ่งที่สามารถที่จะปรุงแต่งเป็นสังขาร ให้มันเจริญขึ้นมาได้อย่างแท้จริง แล้วความรู้ของการเจริญแบบโลกีย์ เขาก็ปรุงแต่งให้เจริญ แต่เขาออกนอกกรอบของโลกธรรมไม่ได้ เขาก็ให้เจริญด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นมหาศาล 

โลกียะ เขาก็มหาศาล ด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ด้วยวิธีคิดที่เรียกว่า ฉลาดหรือมีอายตนะนี่แหละ ฉลาดได้เปรียบ ใครเก่งจริงก็ได้เปรียบ ทับทวีด้วยลาภมาก หาที่จบไม่ได้ หาที่สุดไม่ได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ผู้อยู่ป่าเป็นผู้เสื่อมผู้อยู่เมืองเป็นผู้เจริญ วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 เมษายน 2564 ( 21:53:48 )

ปัญญา เฉโก ฉลาด คืออะไร

รายละเอียด

อาตมาพูดเรื่องนี้มานานแล้ว เขาก็ยังงงว่าโพธิรักษ์พูดอะไร ปัญญา เฉโก ฉลาด คืออะไร เฉโกคือฉลาดอะไร เฉโก เขาก็รู้ว่ามันแปลว่าโกง แล้วมันจะฉลาดจังเลย เขาจะงงๆ ก็ขอขยายความเพิ่มสักนิด…คือพญัชนะ เฉโก คือ พหูพจน์ เฉกะ คือเอกพจน์ หมายถึงความเฉลียวฉลาดของคนปุถุชน ก็มีความรู้ความเฉลียวฉลาดที่ใช้ภาษาเรียกว่า เฉกะหรือเฉโก แต่เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาจึงมีคำว่าปัญญาขึ้นมา คือ หมายถึงความรู้ความฉลาดที่เป็นโลกุตระ เป็นความรู้ความฉลาดอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่ของโลกีย์ เป็นความรู้ที่คนละเรื่องตรงข้ามกัน 180 องศาเลยกับความรู้ทางโลก ทวนกระแสกันด้วย มันก็เลยเป็นเรื่องเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ แต่ผู้ที่เริ่มเข้าใจเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เป็นลำดับๆก็จะเห็นได้ว่า มันยิ่งใหญ่ อาตมาเขียนหนังสืออีกเล่มหนึ่ง เป็นเรื่องของปัญญาโดยตรงเอามาจากของพระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นปัญญา 8 มีความหนาหลายร้อยหน้า 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 20 พฤศจิกายน 2563 ( 12:25:20 )

ปัญญา เริ่มต้นจากอัญญธาตุที่ต้องผัสสะทางทวารทั้ง 6

รายละเอียด

ปัญญานี้ที่จริงนั้น แค่รู้ว่าถ้ารู้ที่เรารู้ครบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีการสั่งการปรุงแต่งก็เรียกว่าปัญญาได้ เริ่มเรียกว่าปัญญาได้ มันเริ่มรู้แล้วเรียกว่าปัญญา แต่ยังไม่ใช่ปัญญาที่จะเป็นความฉลาดรู้โลกุตระ เพิ่งเริ่มเป็นปัญญาที่เริ่มจาก อัญญธาตุ เป็นธาตุที่กำหนดได้ว่ามันมีความเต็มความครบ มีทั้งข้างนอกข้างใน ปรุงแต่งไปในอนาคต 44 มันไม่มีของจริงเลย มันมีบันทึกความจำบ้างเหมือนกัน แต่มันจะไม่แน่น เราไม่ได้สัมผัสตา หู จมูก ลิ้น กายเป็นเหตุปัจจัยประกอบ มันได้แต่คิดแล้วก็ลืมง่าย ใครที่ไปหมกมุ่นอยู่ในอนาคต พวกนั่งหลับตานึกไปนึกฟุ้งซ่านอยู่ในอนาคตนั้นเป็นความจริงยิ่งกว่า ทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย ก็เลยไปติดในสิ่งฟุ้งซ่านมากกว่า พวกนี้ พวกนั่งหลับตาเลยมีแต่ความโง่ โง่แล้วโง่ เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่จริง มันจะดีหรือไม่ดีคุณก็ปรุงแต่งเอาเอง ตามที่คุณชอบ  ถ้าคุณชอบคุณก็ว่าดี คุณไม่ชอบคุณก็ว่าไม่ดี 

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้า วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 23 พฤศจิกายน 2563 ( 09:04:14 )

ปัญญา-ญาณ-วิชชา

รายละเอียด

“ปัญญา-ญาณ-วิชชา”นี้เป็น“3 เส้า” ที่มีลำดับ“ความรู้-ความฉลาด”ของโลกุตระ

ผู้มี“ปัญญา-ญาณ-วิชชา”ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“สิ่งนั้น-ภาวะนั้น”ต้องมี“องค์ธรรม 5”ด้วย คือ มี“จักษุ-ปัญญา-ญาณ-วิชชา-อาโลก” ตามหลักฐานยืนยันที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัด

ใน“ธัมมจักกปวัตตนสูตร”(พระไตรปิฎก เล่ม 4 ข้อ 13 เป็นต้น) และสูตรอื่นๆอีกมากมาย

ความมี“จักษุ”และ“อาโลก”นี้เองที่เป็นเครื่องยืนยันชี้บ่งว่า “ความรู้-ความฉลาด” นั้นจะเป็นแบบพุทธสัมมาทิฏฐิ หรือไม่?

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ  ตอบปัญหาอย่างนานาสังวาส
วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บวรราชธานีอโศก
สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน ไฟฌานทำลายกิเลสได้อย่างไร


เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2564 ( 11:15:57 )

ปัญญา 

รายละเอียด

ปัญญา  คือ  ธาตุรู้จะไม่เป็นไปตามโลกเขาเป็น เป็นธาตุโลกุตระ  ปัญญาเป็นโลกุตระ  สติเป็นอธิปไตย  ปัญญาจะเป็นโลกุตระจัดการธาตุจิตให้อยู่ได้มีวสวัตตีโก  ยังจิตให้เป็นไปตามอำนาจได้  ทำได้อย่างคล่องไว มุทุภูตธาตุ  ทำได้อย่างกายมุทุตา  กายปาคุญญตา  กายกัมมัญญา

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม  บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน 2562


เวลาบันทึก 26 ตุลาคม 2562 ( 12:58:38 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 17:05:32 )

เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 14:19:41 )

ปัญญา 

รายละเอียด

ปัญญา  คือ  ธาตุรู้โลกุตระซึ่งเป็นธาตุรู้ชนิดอื่น (อัญญธาตุ)  ที่มันเกิน มันพ้นไปจากความรู้แค่โลกียสัจจะ คนละทิศทางเป็นธาตุใหม่ที่แตกออกจากกระเปาะเก่า  ออกมาสู่โลกใหม่ เช่น  คนทางโลกมุ่งไปรวย  ทางนี้บอกมุ่งมาจน มันสวนทางกัน  คนหนึ่งมาเอามี  คนหนึ่งมาเอาไม่มีเป็นสองทิศทาง

 

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ วันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2562


เวลาบันทึก 30 กันยายน 2562 ( 09:18:41 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 17:06:36 )

เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 14:22:40 )

ปัญญา 

รายละเอียด

ปัญญา  คือ  ปัญญาตั้งแต่ศีลข้อ 1  จะต้องมีปัญญาเรื่องอะไรก็คือเรื่องของสัตว์  เรื่องศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับข้าวของเกี่ยวกับวัตถุ  พีชะและอุตุข้าวของที่ไม่ใช่สัตว์  เรายืนยันแต่ละหลัก  ไม่ได้พูดเลอะๆหลวมๆ แต่เป็นเรื่องที่อธิบายได้ถูกบรรลุถึงชั้นไหน จนถึงที่สุดได้เลย  ความรู้เหล่านี้เกิดจากการปฏิบัติธรรมทั้ง 11 ข้อนี้ มันเป็นความจริงที่เราได้รู้ความจริงนี้  จากแต่ก่อนมันคลุมเครืออำพรางมืดมัว  หรือมันเข้าใจไปคนละเรื่อง  แต่มันเปลี่ยนมาเป็นอย่างนี้แล้วไม่ใช่อย่างมืดมัวและคลุมเครือแต่มันชัดจริงๆ  เพราะว่ามันเป็นฤทธิ์เดชของฌาน  ทำให้เกิดความชัดเจน  แจ่มแจ้ง  เป็นเนื้อตัวของความจริง  ไม่มีอะไรบัง  ไม่มีอะไรปิดอำพราง  มีแต่เนื้อสดๆ แท้ๆ  ของความจริง  ที่จริงขึ้นด้วยอำนาจของฌานทั้ง 4  

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ วันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2562


เวลาบันทึก 30 กันยายน 2562 ( 08:36:06 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 17:08:21 )

เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 14:20:17 )

ปัญญากับความไม่มีตัวตน

รายละเอียด

เป็นอำนาจมวลประชาชนที่เต็มใจทำไม่มีอัตตา มีแต่ปัญญากับความไม่มีตัวตน เป็นเทวะคู่สำคัญคือ ปัญญากับไม่มีตัวตน เป็นคู่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเลย เรียบร้อย ยิ่งใหญ่ สูงส่งที่สุดเลย 2 สภาวะ ปัญญากับความไม่มีตัวตน 

ฉะนั้นผู้ที่เข้ามา ประชาชนก็เข้ามาด้วยความรอบรู้ว่าอันนี้ใช่อย่างไรต้องมาร่วม ตายเป็นตายบางคนก็อาจจะมีกลัวอยู่บ้าง บางคนว่าไม่มีปัญหา ตายเป็นตาย เต็มที่เลยมันถึงได้พลังรวมที่บริบูรณ์ที่สุด เกิดอธิปไตย 3 ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 

ทีนี้ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก), พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก), โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) นี่เป็น อายะ 3

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เป็นคนจนแบบเป็นไท จึงมีประชาธิปไตยดีสุด วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 มีนาคม 2564 ( 15:04:01 )

ปัญญากับบุญตัวเดียวกัน 

รายละเอียด

ที่จริงผู้ที่ล้างตัวที่มันเป็นปรสิต พยาธิ หรือเป็นเชื้อโรค มันไม่ควรจะมีอยู่ที่เรา ก็เรียนรู้พวกนี้แล้วก็ มันเป็นตัวที่เจอปัญญาที่เป็นพลังงานที่เป็นไฟ เป็นยอดไฟเลยปัญญา ปัญญากับบุญนี่ตัวเดียวกัน 

บุญ เป็นตัวสุดท้ายเป็นตัวสำเร็จแล้ว แต่ตัวปัญญาเป็นตัวที่เหลืออยู่เป็นตัวทำงานอยู่แต่ถึงขั้นบุญเป็นนิพพานแล้ว ถ้าถึงขั้นบุญต้องสูญ นิพพาน แต่ปัญญานี้มี 2 มีทั้งรูปนาม ปัญญาเป็นเทวะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาวันมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 15:23:53 )

ปัญญากับเฉโก

รายละเอียด

เป็นผู้มีปัญญา ปัญญาก็กำลังเขียนเป็นเล่มหนึ่งเลย เป็นปัญญา 8 ซึ่งลึกซึ้งมากสำหรับคำว่าปัญญา เดี๋ยวนี้เอาคำว่าปัญญาไปใช้เล่นแทน เฉโก จนปัญญาหมดท่าเน่าเละเป็นเฉโก เฉโก ยังมีดีชั่ว รวยดี จนชั่ว แต่โลกุตระนี้รวยชั่วจนดี ศึกษาให้ดีๆ จะเป็นสภาพสิริมหามายาเหมือนกับการพูดกลับไปกลับมาอะไรจริงกันแน่อะไรไม่จริงกันแน่ 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2563 ( 11:41:45 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 17:09:41 )

เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 14:20:48 )

ปัญญากับเฉโก

รายละเอียด

ปัญญากับเฉโก โลกียะมีแต่ความรู้เฉโก อยู่กับลาภยศสรรเสริญโลกียสุขไม่ออกมาได้ ออกมาได้ต้องมีปัญญา 

ที่มา ที่ไป

รายการบ้านราช เรื่องบุคคล 7 วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 14 มีนาคม 2563 ( 12:11:53 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 13:47:42 )

เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 14:21:23 )

ปัญญากับไอคิว อีคิวเหมือนหรือต่างกันอย่างไร

รายละเอียด

อาตมาเขียนหนังสือ EQ โลกุตระ เล่มเบ้อเร่อ เขียนเสร็จเป็นลมพับหน้าห้องน้ำเลย จนเขาหามส่งโรงพยาบาล ก็ค่อยๆพูดกันเรื่อง EQ 

อาตมาก็จะพูดอธิบายอยู่ ก็ค่อยๆติดตามก็แล้วกันนะตอนนี้ขอฝากไว้ก่อน

ก็ขอบอกนิดนึงว่า มันยากมากเลยคำว่า EQ หรือ IQ 

Q Quotient เป็นภาษาทางคณิตศาสตร์เอามาใช้ทางสภาวะธรรมมันถึงยากมาก คือผลหารอันควรจะได้ หรือว่าผลที่ได้เปรียบเทียบแบ่งส่วนกันอย่างดีที่สุดที่ควรได้ คือใช้วิธีแบ่งส่วนหาร ที่จริง Quotient แปลว่าผลหารที่ควรจะได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาที่เลยปัญหาของคนหลงความรู้มาก วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 เมษายน 2564 ( 20:19:13 )

ปัญญาก็จะเกิดได้ด้วยเหตุใด

รายละเอียด

ผู้ที่สามารถลดกิเลสได้ปัญญาก็จะเกิดโดยธรรมชาติ ได้เพราะอะไร

ปัญญาจะเกิดด้วยธรรมชาติได้เพราะว่าธรรมชาติของธาตุรู้ ถ้ามันเหมือนกับเพชรเหมือนกับกระจกไม่มีอะไรมาบังมันก็จะเห็นไม่ชัดเมื่อเอาที่เป็นความเปื้อนออกมันก็ใสกระจ่างชัดเป็นสิ่งที่ง่ายธรรมดาแต่มันจะเป็นอย่างนั้นมันเป็นปัญญาโดยธรรมชาติเลย เมื่อทำให้กิเลสออกจากจิตจิตใจจึงเป็นธาตุรู้ที่ใสขึ้นกว่าเก่า ไม่ใช่ไปนั่งสะกดจิตหลับตาแล้วปัญญาจะเกิดไม่ใช่มันต้องรู้กิเลส ทำลายกิเลสได้

พูดอย่างไรก็จะไปข่ม มันเลี่ยงไม่ได้ เพราะว่าเราพูดสิ่งที่สูงกว่าก็เลยเหมือนไปข่มคนที่ไม่สูง คนก็รู้สึกเหมือนถูกข่ม ขออภัย ก็ทำตนให้สูงขึ้นจะได้มาข่มอาตมาไง อาตมาก็จะไม่ถือสาหรอก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ สำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 36

วันจันทร์ที่ 28 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานือโศก


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2564 ( 04:38:26 )

ปัญญาของธาตุจิตนิยามสูงกว่าพีชนิยาม

รายละเอียด

ปัญญาที่สามารถแยกจิตนิยามรู้ทันจิตนิยามได้ว่า มันหลงยึดมั่นถือมั่นมันสูงส่งกว่า พีชะที่ไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวของมัน ปัญญาของธาตุจิตนิยามสูงกว่าพีชนิยาม ความรู้ปัญญาของจิตนิยามจึงสามารถรู้ทันความปรุงแต่ง รู้ทันเหตุปัจจัยที่มันมายึดกัน จึงรู้ว่า พีชะ หรือธาตุที่ปรุงแต่งแค่พีชะ จึงสามารถแยกการปรุงแต่งของ พีชะ ไปเป็นดินน้ำไฟลมได้ 

อธิบายไปนี้พวกคุณเข้าใจชัดไหม โดยความหมาย โดยพยัญชนะ โดยสภาวะของมัน รู้แล้ว เหลือแต่ไปทำที่สักกายของคุณ ไปทำที่อัตตาของคุณเองให้ได้ คุณเข้าใจตามพยัญชนะที่อาตมาพูดไป จริงๆแล้วขออภัย เขาพูดไม่ได้ละเอียดลออเท่ากับอาตมา อาตมาพูดเยอะนะ แต่ของเขาพูดไม่เหมือนอาตมาหรอก เขาอาจจะรู้มากกว่าอาตมาเยอะนะ พยัญชนะรู้รอบโลก แต่ท่านรู้อย่างอาตมาไม่ได้ซึ่งมันไม่ง่าย อาตมาอธิบายเข้าเป้าได้ชัดตรงสภาพ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 4 งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 44  วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 19:54:35 )

ปัญญาของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

คือความรู้ที่เกิดเองไม่ได้ คนปุถุชน หรือสายโลกีย์ทั้งหมดจะมีปัญญาเองไม่ได้  ต้องอาศัยพระศาสดา หรือครูที่เป็นสัตบุรุษที่สัมมาทิฎฐิ เราจึงเรียกพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ  พระองค์ถือว่าเป็นต้นทางของธรรมะ เป็นธรรมะสามี คนอื่นไม่มีสิทธิ์มีความรู้เช่นนี้   มีแต่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ หรือ สัตบุรุษที่ปฎิบัติดี  ปฏิบัติชอบตามได้ ความรู้นี้ เป็นผู้สืบทอดจากสัตบุรุษก็ตรงกัน

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 11:54:05 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 17:10:49 )

เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 14:22:22 )

ปัญญาของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

คือ ความรู้ที่เกิดเองไม่ได้ คนปุถุชน หรือสายโลกีย์ทั้งหมดจะมีปัญญาเองไม่ได้ ต้องอาศัยพระศาสดาหรือครู ที่เป็นสัตบุรุษที่สัมมาทิฏฐิ เราจึงเรียกพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้ที่ตรัสรู้เองโดยชอบ พระองค์ถือว่าเป็นต้นทางของธรรมะ เป็นธรรมะสามี คนอื่นไม่มีสิทธิ์มีความรู้เช่นนี้ มีแต่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ หรือสัตบุรุษที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามได้ความรู้นี้เป็นผู้สืบทอดจากสัตบุรุษ ก็ตรงกัน 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 26 พฤศจิกายน 2563 ( 11:41:42 )

ปัญญาของพระโสดาบันข้อที่ 1 คือรู้จักปริยุฏฐานกิเลส

รายละเอียด

กิเลสต้นทำล่วงไปแล้วเรียกวีติกมกิเลส วีติกมะ แปลว่าล่วงพ้นไปแล้ว ผู้ที่สามารถเป็นผู้ที่มีกิเลสเหลือ เรียกว่า ปริยุฏฐาน คือกิเลสที่เหลือ ก็จะเป็นพระโสดาบันเป็นอย่างน้อย ก็ล้างกิเลสที่เหลือต่อ ปัญญาของพระโสดาบันข้อที่ 1 ที่บอกว่า 

พระโสดาบันมีปัญญาคือ รู้จักปริยุฏฐานกิเลส เพราะได้รู้จักกิเลสเบื้องต้นแล้วทำล่วงผ่านไปแล้ว คือวีติกมกิเลส จึงมีปัญญารู้จักสภาพนี้ ถ้าไม่ใช่โสดาบันไม่มีสิทธิ์ที่จะไปรู้จักปริยุฏฐานกิเลส เพราะกิเลสหยาบมันคลุมไปหมด คนไปนั่งหลับตาดับกิเลสตัวปลาย ซึ่งมันเป็นโมฆะไม่ได้เรื่องอะไร นั่งหลับตาแล้วเข้าไปทำอะไรกับกิเลสภายใน ศาสนาพุทธไม่ได้อาศัยการหลับตาปฏิบัติ ต้องลืมตารู้ในสิ่งที่หยาบแล้วเอาออก เอาข้างนอกออกก่อน สัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งภายนอกแล้วกิเลสก็ไม่มีแล้ว เหลือกิเลสขั้นกลางคือปริยุฏฐานกิเลส ก็ค่อยไล่ต่อไป

แม้เป็นพระโสดาบันขั้นกลางก็ยังมี หยาบ อบาย ที่แย่กว่าเพื่อนหมดไปแล้วก็ขั้นกลาง ภายนอก สกิทาคามีเหลือภายนอกอีกเหมือนกัน หมดภายนอกเป็นอนาคามี

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิบัติจรณะ 15 พาให้พ้นสวรรค์คนโง่ วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 ที่ บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 13:29:15 )

ปัญญาของพุทธ

รายละเอียด

คือ  เป็นความรู้อันยิ่งที่ไม่ใช่ความรู้แบบโลกีย์ ผู้อยู่ในโลกีย์ไม่มีปัญญามีแต่เฉโก  ความรู้แบบโลกีย์ ที่เขารู้กันทั่วไปมันเป็นความรู้อีกชนิดเลย แค่นี้ก็ต้องแยกให้ชัดเจนรู้ไม่ได้ก็ไม่มีทางที่จะเดินต่อ ไม่มีทางที่จะปฏิบัติธรรมให้บรรลุไปหาโลกุตระได้

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 07 พฤศจิกายน 2562 ( 14:18:18 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 17:11:36 )

เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 16:28:30 )

ปัญญาของพุทธจะมีได้ต้องมี จักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลก

รายละเอียด

ปัญญาของพุทธเป็น จักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลก ลืมตามีแสงสว่าง หลับตาไม่มีปัญญาไม่มีฌานหรอก เอาพระบาลีเอาหลักฐานในพระไตรปิฎกมายืนยันแต่เขาก็ไม่เข้าใจ แต่พวกคุณเข้าใจ ปัญญาเกิดไม่ได้ในที่ไม่มีแสงสว่างไม่มีดวงตาที่จะสัมผัสรูปนามกระทบกัน 

จะมีได้ต้องมี จักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลก ที่อยู่ในแสงสว่างกว้างๆ หลับตาปี๋ มีแต่ความมืดกับความบอดไม่มีปัญญา พวกหลับตาปฏิบัติน่าจะฉุกคิด สะดุ้งเฮือกๆ ว่า หลงผิดมาตั้งนาน แล้วพวกสำนักนั่งหลับตาก็มีตั้งเยอะ สำนักลืมตาพูดมีกี่สำนักกัน มาเป็นอย่างที่อาตมาพูดนี้มีกี่สำนัก...น่าจะมีสำนักอื่นบ้างนะ คุณพบแต่อาตมาไม่ได้พบคนอื่นก็เลยว่าไม่มี

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อภิภู คือผู้นำพาคน ไปสู่ความจนอันประเสริฐ วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 ธันวาคม 2564 ( 15:41:39 )

ปัญญาของโพธิสัตว

รายละเอียด

ปัญญาหรือเป็นความรู้ที่เป็นโพธิสัตวภูมิ จึงรู้จักรู้แจ้งรู้จริง ไปตามลำดับ ถึงที่สุดก็รู้จบสุดถึงที่สุดได้ สุดแห่งที่สุดขนาดไหนล่ะ ก็เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าล่ะ 

เพราะฉะนั้นในลำดับต่างๆที่เป็นอาสวะ อวิชชาสวะ

ก็มีสรุปอาริยสัจ 4 และ 4 ข้อนี้เป็นกิจต้องทำให้สำเร็จ ส่วนอดีต ส่วนอนาคต ทั้งส่วนอดีตส่วนอนาคตอีก 3 ก็ เป็น กาล เป็นกาละ 

4 ข้อต้นเป็นกิจที่ต้องทำให้สำเร็จ อีก 3 ข้อเป็น กาละ ข้อปฏิจจสมุปบาทก็คือรู้กรรมทั้งหลาย 

คุณต้องกระทำกรรมที่ดับชาติด้วยตัวเอง 

      คนผู้ไม่สามารถ“หลุดพ้นหมดสิ้นอาสวะ”ได้ครบ “อวิชชาสวะ 8”ได้นั้นก็เพราะไม่รู้“กรรม” ไม่รู้“กิจ” ไม่รู้ “กาล”นี่เอง

      จึงต้องเรียนรู้“กรรม”กันอย่างสำคัญ”เป็นอันดับแรก เพราะ“กรรม”นี้เองคือ GOD หรือ“จิตวิญญาณ“ที่เป็น“พระเจ้า”ที่เป็น“ตัวตนของตน”แท้จริง

เพราะฉะนั้นผู้ใดทำกรรมรู้กรรมทำกรรมได้มากเท่าไหร่ก็เป็น GODใหญ่มากเท่านั้น เป็นพระเจ้าที่เป็นตัวตนของ GOD นี่คืออัตตาคือตัวตนของตน กรรมก็เป็นของตน กรรมก็คืออัตตา แต่คุณมีปัญญาคุณรู้กรรม คุณจึงจัดการกับอัตตาของคุณได้ ใช่ไหม 

      และเรียนรู้“กิจ”ที่จะต้องศึกษาปฏิบัติไปให้“จบกิจ”ไปตามขั้นตามตอน ตั้งแต่“กิจ”ขั้น“ละชั่ว-ทำดี”ให้“เที่ยงแท้”ถึงขั้น“นิยตะ” ที่เป็นแบบ“โลกุตรธรรม”ของ“อาริยชน“ ที่ต้องมี “ญาณ 3” ได้แก่ “สัจจญาณ-กิจจญาณ-กตญาณ” 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ตอน 3 วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2567 แรม 9 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 มกราคม 2567 ( 15:12:48 )

ปัญญาข้อที่ 2 เกิดขึ้นได้จากการไต่ถาม

รายละเอียด

ฟังแล้วก็เรียนรู้ซ้ำตามปัญญาข้อที่ 2 ต้องไปไต่ถาม เอาไปปฏิบัติเกิดข้อสงสัยก็ไปไต่ถาม ให้พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จึงจะมีปัญญารู้ว่ากิเลสมันลดลง กิเลสมันดับลงไป จิตมันสะอาดมันสงบ สงบเพราะกิเลสลดลง กิเลสมันตาย ไม่ใช่ลดธรรมดา แต่กิเลสมันตายจริงๆ มันถูกทำลายตัวตนของกิเลสลงไป จิตใจก็เลยสงบแบบลดตัวตนและตัวตน ถูกพลังปัญญากำจัดออกไป เป็นความสงบอีกแบบนึง ต่างกับความสงบที่เป็นแบบโลกีย์

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานมหาปวารณา ครั้งที่ 39 สร้างอาหารให้กับโลก วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2564 ขึ้น 4 ค่ำเดือน 12 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 พฤศจิกายน 2564 ( 12:09:21 )

ปัญญาข้อที่ 2 ในปัญญา 8 ประการ

รายละเอียด

สรุปลงตรงนี้ก่อน ว่า ย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก อย่าเบื่อ 

ว่า ธรรมะ โลกุตรธรรมนั้น มันเกิดเองไม่ได้ในคนที่ไม่มีธาตุรู้ตัว อัญญธาตุ เกิดไม่ได้ต้องมาเริ่มรู้อัญญธาตุ จะรู้ได้ก็ต้องมาพบสัตบุรุษ มาพบแล้วก็ต้องมานั่งเข้าใกล้ซักถามตามข้อที่ 2 ไต่ถามเข้าไปหาท่าน แล้วไต่ถามเป็นครั้งคราว 

2.เธออาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่ง ผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก และความเคารพไว้อย่างแรงกล้านั้นแล้ว เธอเข้าไปหาแล้วไต่ถาม สอบถามเป็นครั้งคราวว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภาษิตนี้เป็นอย่างไร เนื้อความแห่งภาษิตนี้เป็นอย่างไร ท่านเหล่านั้นย่อมเปิดเผยข้อที่ยังไม่ได้เปิดเผย ทำให้แจ้งข้อที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง และบรรเทาความสงสัยในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยหลายประการแก่เธอ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 2 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 1 งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 44 วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564 ที่ บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 10:37:27 )

ปัญญาข้อที่ 3 รู้จักความสงบ 2 อย่าง

รายละเอียด

ปัญญาข้อที่ 3 จึงได้รู้จักความสงบ 2 อย่าง คนเรียนรู้แบบโลกียะธรรมดาก็บอกว่ามีความสงบ 2 อย่างเขาไม่รู้หรอกว่ามีความสงบ 2 อย่าง อย่างที่เป็นโลกุตระเป็นอย่างไร สายอาจารย์มั่น สายมหาบัว สายนั่งหลับตา แม้แต่เถรสมาคมก็เถอะ ไม่ใช่จะมีปัญญาข้อที่ 3 นี้ได้ง่ายๆ จะรู้ว่ากิเลสลดเป็นความสงบ ลดจากราคะก็สงบ ลดจากโทสะก็สงบ สงบเพราะว่าลดละกิเลสจริงๆ กับสงบเพราะกดข่มกิเลส 

สงบแบบโลกุตระนั้นลดไฟกิเลสให้ตายไปได้จริง กับสงบแบบสะกดมันไว้มันก็ยิ่งดิ้นมากสักวันมันก็ระเบิด ไม่ได้เข้าใจอย่างนี้หรอก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานมหาปวารณา ครั้งที่ 39 สร้างอาหารให้กับโลก วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2564 ขึ้น 4 ค่ำเดือน 12 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 พฤศจิกายน 2564 ( 12:10:39 )

ปัญญาข้อที่ 3 ในปัญญา 8 ประการ

รายละเอียด

3.เธอฟังธรรมนั้นแล้ว ย่อมยังความสงบ 2 อย่าง คือ ความสงบกายและความสงบจิต ให้ถึงพร้อม ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 3 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ

เพราะฉะนั้นความสงบกายสงบจิตในข้อ 3 ท่านตรัสไว้แค่นั้นจะเกิดความสงบกายสงบจิต นี่เป็นข้อที่ 3 ถึงพร้อมด้วยความสงบกาย สงบจิต ถ้าไม่มีใครชัดเจน ไม่มีใครแยกแยะให้ฟัง ผู้ที่ยังมิจฉาทิฏฐิว่ากายก็คือ เป็นวัตถุ แม้แต่การเคลื่อนไหว วิญญัติ ก็คือการเคลื่อนไหวช้าคือความสงบ หรือเฉื่อยๆนิ่งๆ นี่คือความสงบ มันจะพาซื่ออย่างนั้น 

สงบจะต้องเจาะไปถึงที่ตัวกิเลสมันหมดฤทธิ์ มันตายสูญ มันไม่มีอำนาจอะไรมาเกิดแก่เราอีกเลย นี่ต่างหากคือสงบ ทำให้อาการอุปะ วูปะ ตรงนี้ ให้มันเกิดสิ่งที่ถูกต้องนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 1 งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 44 วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 10:57:57 )

ปัญญาข้อที่ 5 ของพระโสดาบัน

รายละเอียด

เมื่อมีสุริยเปยยาลได้ก็เข้าสู่มรรคมีองค์ 8 ท่านก็บอกว่าทำอย่างลืมตา ปฏิบัติอาชีพอยู่กับกลุ่ม เล็มหญ้าไป เลี้ยงลูกไปด้วย ทำหน้าที่ของตนไปเลี้ยงลูกไปด้วย เป็นปัญญาข้อที่ 5 ของพระโสดาบัน ไม่ต้องไปปลีกปฏิบัติธรรมแต่อย่างใด

ขวนขวายในกิจใหญ่น้อยของเพื่อนสพรหมจารี เสร็จแล้วก็ยังมีความเพ่งเล็งกล้า ในไตรสิกขา อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา การศึกษาศาสนาพุทธมีไตรสิกขา แล้วก็แจกไป ศาสนาพุทธทั้งหมดมีการศึกษาอยู่ 3 นี้เท่านั้น เกิดสามเส้านี่แหละสมบูรณ์แบบ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ มาทำแก่นชีพ-เชื้อชาติพุทธให้รุดหน้าเกินพัน วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2564 ( 19:47:20 )

ปัญญาข้อแรกทำไมต้องเอามาจากพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

ความรู้เบื้องต้นที่ยืนยันกันเลยนะว่า โลกุตระธรรมของพระพุทธเจ้านั้น คนจะรู้เอง ใครก็แล้วแต่ โดยเฉพาะเป็นชาวเทวนิยม ทิฏฐิเป็นเทวนิยม ลัทธิเป็นเทวนิยม ศาสนาเป็นเทวนิยม คุณยังไม่รู้จักโลกุตรธรรมเลย ไม่มีสิทธิ์จะมาละลาบละล้วงสร้างโลกุตรธรรมให้แก่ตัวเองขึ้นมาได้ มันไม่มี เชื้อของโลกุตรธรรมจะต้องต่อเชื้อมาจากคนจริงๆผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ถือว่าเป็นเจ้าของโลกุตรธรรม เป็นธรรมะสามี เป็นเจ้าของจริงๆ ที่จะมาประกาศลงไปให้โลก ผู้สนใจแสวงหามันก็มีอยู่ทุกยุคสมัย นอกจากในยุคพุทธันดร ซึ่งมีแต่คนที่ไม่มีภูมิธรรมจะศึกษาธรรมะได้แล้ว พระพุทธเจ้าก็ไม่ประกาศ ท่านก็รู้แล้วว่ากาละอย่างนั้นคนรับไม่ได้ ประกาศไปก็สูญเปล่า เขาไม่เอา มันต้องมีเหตุปัจจัยที่เหมาะสมกัน ถึงจะเป็นไปได้ 

ปัญญาข้อแรก ทำไมต้องเอามาจากพระพุทธเจ้า คนอื่นไม่มีสิทธิ์จะรู้ได้หรืออย่างไร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โพชฌงค์ 7 สัปปุริสธรรม 7 โดยพิสดาร วันพุธที่ 14 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 เมษายน 2564 ( 19:04:25 )

ปัญญาข้ามชาติ

รายละเอียด

การจะเกิดปัญญาเองเป็นไปไม่ได้ อาตมาเองปัญญาที่มีในชาตินี้ ได้มาจากชาติก่อนๆ ไม่ได้มีครูบาอาจารย์สำนักต่างๆที่ได้เรียนรู้มาในชาตินี้ เป็นความรู้ของอาตมาที่ดูจะขัดแย้งกับเขากับมหาเถรสมาคม เขาเป็นโลกียะเทวนิยม พออาตมาพูดโลกุตระเป็นอเทวนิยม ก็เลยขัดแย้งกับเขา เขาก็เลยจะจัดการเอา แต่อาตมาเป็นผู้มีสัจธรรมแล้ว คงทน หนังเหนียวฆ่าไม่ตาย เหมือนพระโมคคัลลานะ ใครจะฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย นี่เป็นธรรมาธิษฐานไม่ใช่ปุคคลาธิษฐานที่พูดในพระไตรปิฎกว่า พระโมคคัลลานะใครฆ่าก็ไม่ตายฟื้นมาได้ทุกที เป็นคนอมตะฆ่าไม่ตาย ถ้าจะตายก็ตายของท่านเอง นี่เป็นธรรมาธิษฐาน 

ถ้าใครสังเกต ตั้งแต่อาตมาบรรยายธรรมะตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ก็ถึง 50 ปีแล้ว เพราะว่าพูดธรรมะมาตั้งแต่เป็นฆราวาส นุ่งกางเกงขาสั้นใส่เสื้อคอกลมขึ้นเวทีอภิปรายพูดกับรัฐธรรมนูญอื่นๆเลย ตั้งแต่ยังไม่บวช โกนหัว ใส่เสื้อคอกลม อาตมาไขความให้ฟัง สมัยโน้น อาตมาเป็นดาราโทรทัศน์ที่เขารู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองนะ ตอนนั้นมีแค่ 2 ช่อง กำลังจะมีช่องสีของช่อง 3 ที่จะเกิด ตอนนั้นเดินสุขุมไม่มองใคร เดินช้าๆ ใครเห็นก็ต้องสะดุด เขาก็จะหาว่าบ้าไปแล้ว ซึ่งตรงกันข้ามกับความเห็นของคน อาตมาเคร่งคุมสังวรระวัง ไม่มีอะไรในหัวนอกจากธรรมะ สบาย ไม่ได้ไปวุ่นวายอะไรกับโลก ผู้ที่เข้าใจธรรมะหรือเข้าถึงธรรม มันจะแยกออกว่าโลกียะเป็นเรื่องไร้ค่าที่ต้องไปแย่ง เพราะฉะนั้นผู้ที่เห็นจึงจะออกเนกขัมมะ หรือออกปฏิบัติธรรมแม้จะไม่ได้เข้าพิธีบวช ก็เรียกว่าออกเนกขัมมะ 

ออกเนกขัมมะ คือ ไม่เอาแล้วที่จะไปแย่งลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เข้าใจเห็นว่าแบบนั้นมันเสียเวลาไร้สาระ ไม่ต้องไปแย่งอะไรกันหรอก ถ้าจะทำมาหากินก็ทำเอาได้ไม่ยากอะไร 

คนที่จะเลิกจากการไม่ไปอยู่กับโลก ที่เป็นตา หู จมูก ลิ้น กายภายนอก เป็นกามคุณ 5 พอถึงอนาคามี จนเป็นอรหันต์ไม่ยินดีในกามคุณ ก็จะอยากออกจากโลกเขามา แต่ถ้ามีสัมมาทิฏฐิแล้วก็ไม่ต้องออกจากโลกออกจากสังคม จะแยกได้ชัดเจนว่าอย่างไรคือโลกียะอย่างไรคือโลกุตระ แต่คนชัดเจนไม่ยินดียินร้ายก็ไม่จำเป็นต้องไปรับผิดชอบกับลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็เห็นแล้วว่ามันไร้สาระ นอกจากคนติดกองลาภ กองยศฐาบรรดาศักดิ์ แม้จะไม่ได้มียศทางราชการทางสังคม มันก็เป็นฐานะอย่างหนึ่งเหมือนกัน เป็นยศที่คนเขายกให้ตามสมมุติ ที่สำคัญคือยังไม่เข้าใจการเสพสุข

แม้ทุกวันนี้ศาสนาพุทธก็ยังไม่รู้จักว่าจริงๆแล้ว จะต้องไม่มีสุข ดับสุข 

ถ้าใครดับสุขได้หมด คุณก็หมดทุกข์ คุณก็เป็นพระอรหันต์ 

แต่เขายังไม่รู้จักสุข สุขกับทุกข์เป็นอันเดียวกัน เป็นสิริมหามายาเป็นเหรียญสองหน้า แล้วแยกกันไม่ออกหรอกสุขกับทุกข์ ศาสนาพุทธจึงไม่เอาเลยความสุขความทุกข์ อุทุกขมสุข เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา

แต่เขาไม่เข้าใจความไม่สุขไม่ทุกข์ได้ ก็ทำด้วยวิธี เคหสิตอุเบกขา ข่มจิตให้มันปรุงแต่ง เขาก็พอจะเข้าใจตรงนี้ พยายามทำวิธีการสะกดจิตเพื่อไม่ให้จิตใจไปนึกคิด ซึ่งมันจะไม่ได้เรียนรู้ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วล้างออกจากกิเลสเป็นลำดับ พอได้ที่มันก็ล้างออกหมด ก็รู้โลกุตระ แยกแยะโลกียะกับโลกุตระได้ก็สมบูรณ์ จบเป็นพระอรหันต์ได้

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 14 พฤศจิกายน 2562 ( 11:39:18 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 17:15:41 )

เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 14:23:26 )

ปัญญาความรู้ที่เป็นโลกุตระ

รายละเอียด

คนที่จะแยกกายแยกจิตออก มันไม่ใช่ธรรมดาของสามัญความรู้ ความรู้โลกีย์ไม่มีสิทธิ์ ความละเอียดลออของอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม ความรู้โลกที่ต่างจากความรู้โลกุตระอย่างมีนัยยะสำคัญจริงๆ ซึ่งอาตมาก็กำลังเขียนความรู้ที่เป็นโลกุตระ ที่บัญญัติเรียกว่าปัญญา ปัญญาไม่ใช่เฉโกหรือเฉกะ นี่เป็นพยัญชนะที่บ่งบอกระบุสัจธรรม ที่จะเป็นลักษณะของความรู้ความฉลาด เฉลียวฉลาดขนาดไหนก็อยู่ในกรอบขนาดนั้นเรียกว่าโลกียะ ออกจากโลกียะไม่ได้ หรือ synonym ของมันคือเทวนิยม ออกจากกรอบเทวนิยมไม่ได้ เริ่มมีธาตุตัวใหม่ คืออัญญธาตุ ธาตุพลังงานจิตที่อาตมาได้ขยายสู่ฟัง จากตำนานของพระพุทธเจ้าสมณโคดม 

ที่มา ที่ไป

รายการกายนี้คือวิญญาณ วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2563 ( 10:16:16 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 17:16:35 )

เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 16:33:25 )

ปัญญาคือความฉลาดที่เป็นโลกุตระ

รายละเอียด

ปัญญาเป็นภาษาของพระพุทธเจ้าฟังดีๆนะ แปลตื้นๆว่า เป็นความรู้  แต่ปัญญา ความรู้ความฉลาดนี้เป็นภาษาโลกุตระ เป็นภาษาของพระพุทธเจ้า มันเป็นโลกุตระมันไม่ใช่ความรู้ความฉลาดแบบคนโลกๆทั่วไป ภาษาบาลีเป็นความรู้ความฉลาดทั่วไปเป็น เฉโก หรือเฉกะ หากเป็นพหูพจน์ก็เป็นเฉกา เป็นความฉลาดอย่างมีกิเลส แล้วใช้กิเลสไปโกงเขา เอาชนะเขา ไปร่ำรวยมีอำนาจบาตรใหญ่ ก็คือความฉลาด เฉโก แม้จะสุจริตได้ อย่างที่โลกมีกฎหมายกฎเกณฑ์อะไรยังไม่ผิดเพี้ยน แต่เขาไม่ผิดเขาก็ทำตามกฎหมายไม่ผิดเลย เขาไม่ได้ทำอย่างศีลธรรมของพุทธเจ้าที่ได้ ละลดกิเลส เขาก็ได้เปรียบไม่หยุดหย่อนมันก็ดูดเข้าไปคนรวยก็จะรวยไปเรื่อยๆไม่คิดจะลดหรอก คนมีอำนาจก็จะเอาอำนาจ ใช้อำนาจไปจนตายชาติหนึ่ง ก็ไม่ได้ลดละอะไร ชาติต่อไปก็ไม่ได้เป็นคนได้อย่างเก่า พวกที่อยู่ต่อก็จะสืบทอดต่อดีไม่ดีก็จะแย่กว่า หัวหน้าเก่า ใช้ทุจริตซ่อนแฝงโกงซับซ้อนยิ่งขึ้น นี่ก็สรุปก็คือเขาไม่ลด ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข คำว่าสุขนี้ลึกซึ้งเอาแค่ลาภยศเท่านั้น ตกลงปัญญาคือ ความฉลาดที่เป็นโลกุตระ เป็นของพระพุทธเจ้าเท่านั้น แต่คนเอาไปใช้ฟั่นเฝือ ไม่ใช้เฉโก ที่เป็นความฉลาดของเขาเองที่เป็นคนโลกโลกีย์ เขาไม่เอาคำว่า เฉโก ไปใช้แล้ว เขาอาจใช้ภาษาคำว่าปัญญาไปใช้แทนปัญญา เลยเสียเลย ก็เลยเข้าใจว่าความรู้ความฉลาดก็คือปัญญาทั้งนั้น เฉโก เขาไม่ใช้กันเลย 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 29 สิงหาคม 2563 ( 16:42:18 )

ปัญญาคือตัวรู้ ฌานคือตัวทำ ช่วยกันเป็นเทวะคู่เอก

รายละเอียด

ฌานกับปัญญาจึงเป็นตัวเดียวกัน เป็นตัวสิริมหามายา หรือเป็นเทวะคู่สำคัญฌานกับปัญญา

ถ้าปัญญาก็คือตัวรู้ ถ้าเป็นฌาน คือตัวทำ เป็นตัวปฏิบัติการ ส่วนปัญญาก็เป็นตัวรู้ เป็นตัวรู้กับตัวทำช่วยกันเป็นคู่เอก ก็เจริญขึ้นไปเป็นวิสัย จนกว่าจะสูงสุดเป็นพุทธพิสัย เป็นอจินไตย

1. พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย 

2. ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน . 

3. วิบากแห่งกรรม 

4. ความคิดเรื่องโลก (จักรวาล เอกภพ) 

(พตปฎ. เล่ม 21  ข้อ 77) โลกจินตา ก็ปรุงแต่งไปในโลกของคนใช้จินตนาการคิดไป จนหัวระเบิดแตกเป็น 7 เสี่ยงไปไม่รู้กี่ชาติ เสร็จแล้วก็ยังไม่รู้อยู่นั่นแหละ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ผู้ไม่รู้ตัวเองไม่รู้ทั้งหมด ผู้รู้ทั้งหมด รู้ตัวเอง วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 เมษายน 2564 ( 11:52:35 )

ปัญญาคืออำนาจพิเศษในอธิปไตย 3 ของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

 เป็นศาสตร์รู้จบแจ้ง ทุกนัย

ทั้ง“อัตตาธิปไตย” ชัดแท้

“โลกาธิปไตย”ไข  ได้หมด สิ้นเฮย

“อธิปไตย”จึ่งใช้แก้ “เทฺว”ได้โดย“ธรรม” 

อัตตาธิปไตย ก็ชัด โลกาธิปไตยก็ไขได้ชัด เพราะฉะนั้นจึงมีความเป็นประชาธิปไตยแปลว่าพลัง แรง Great authority สามารถที่จะเอาไปใช้เพราะในโลกนี้สามารถแบ่งแยกเป็น 2 คือโลก กับอัตตา โลกคือรวมทั้งหมดมหาจักรวาลเอกภพ กับอัตตาคือตัวเรา รู้ทั้ง 2 ทิศ แล้วก็ศึกษาได้ความรู้เป็นธรรมาธิปไตย 

ความรู้คืออำนาจพิเศษ ปัญญาคืออำนาจพิเศษ สามารถรู้โลก อัตตา ธรรมะ ทั้ง โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย ธรรมาธิปไตย เป็นอธิปไตย 3 ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นสามเส้า cyclic อันนี้ยิ่งใหญ่

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม หนึ่งเดียวในโลกคือประชาธิปไตยไทย วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม 2564 ที่บวรปฐมอโศก


เวลาบันทึก 21 มีนาคม 2564 ( 14:12:23 )

ปัญญาคือไม่เข้าไปยึดทั้งความมีและไม่มี กุศลคือสมบัติ บุญคือวิบัติ

รายละเอียด

จะตอบก็ได้ จะจับคู่แค่ว่า ความมีกับความไม่มี ถ้าปัญญาคือเข้าใจในความไม่มี ไม่เข้าใจความมีมันก็ไม่ใช่ปัญญา ปัญญาต้องเข้าใจทั้งสองอย่าง กุศลและสมบัติ อรหันต์ตั้งจิตไม่เกิดอีก คนอื่นจะไปรับก็ไม่ได้ มันก็สลายหายไปตามผู้ที่สูญไปแล้ว เจ้าของกุศลอกุศลที่เป็นสมบัติ ก็ไม่อยู่แล้ว จะบอกว่าไปไหน มันก็คือความรู้ กุศลคือสัจธรรม คือความดี อกุศลคือความชั่ว ส่วนบุญคือเครื่องมือชำระกิเลส บาปคือกิเลส ก็เอาไว้ใช้พยัญชนะเหล่านี้สื่อสภาวธรรม เป็นสภาวะ 2 ให้ปฏิบัติเท่านั้นเอง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 28 จะเป็นสาธารณโภคีต้องไม่มีพญานาค วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2565 ( 20:14:19 )

ปัญญาจริงๆคืออะไรและเกิดได้อย่างไร

รายละเอียด

ธรรมดาในโลกจะไม่มีทางเกิดปัญญาในคนโลกียะได้เป็นอันขาด 

ถ้าไม่ได้ยินโลกุตรธรรมจากผู้รู้ผู้ที่มีสัมมาทิฐิในโลกุตรธรรมแล้ว หรือจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า เกิดเองไม่ได้ ความรู้ปัญญา แต่เดี๋ยวนี้คำว่าปัญญาไปใช้เละเลย ไปเรียกเฉโกเป็นปัญญาไปหมดเลย ความรู้ขี้หมูขี้หมาก็เรียกตัวปัญญาไปหมดเลย ความฉลาดหมายถึงปัญญาด้วย ไม่นึกถึงคำว่าเฉโกนะ เขาว่าเป็นปัญญาหมดที่จริงแล้วมันเป็นเฉโกเท่านั้น เพราะปัญญาจริงๆคือจิตต้องรู้จักกิเลส รู้กิเลสจริงๆแล้วลดกิเลสได้ ถ้าคุณไม่มีความสามารถรู้จักกิเลส แยกแยะกิเลสได้แล้ว ทำให้ลดกิเลสได้ คุณก็ยังไม่มีธาตุรู้ตัวที่ทำได้อย่างนั้นจริงๆที่เรียกว่าเป็นธาตุรู้ปัญญา คุณจะไม่มีธาตุรู้ตัวนั้นเลย

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 ตอน 2 

วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564 ขึ้น 4 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2564 ( 11:12:11 )

ปัญญาจะต้องประกอบด้วยสิ่งเกิดจริงเป็นจริง

รายละเอียด

ไม่ใช่เป็นสัญญา มีรูปนาม มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รู้ประกอบควรหรือไม่ควร วางได้หรือวางไม่ได้ นี่เป็นความรู้ ปัญญาไม่ใช่สัญญา แค่ปัญญากับสัญญาคนก็เข้าใจกันได้ยาก ฟังอาตมาให้ดีๆ เพราะธรรมะนั้นคัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม 2563

หนังสืออ้างอิง

พระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 34


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2563 ( 10:14:29 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 13:48:52 )

เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 14:25:59 )

ปัญญาจะมีธรรมฤทธิ์สูงสุด

รายละเอียด

พลังงานปัญญาจะมีธรรมฤทธิ์สูงสุด มันรู้ชัดรู้แจ้งแล้ว โถ..กิเลส เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า มาร เรารู้จักเธอแล้ว เราหักเรือนยอดของเธอหมดแล้ว ไป มารรู้ตัวหรือกิเลสรู้ตัว โอ้..สมณโคดมท่านรู้จักเราแล้ว วิ่งหนี ตูดแป้นเลย วิ่งหนี รีบเลยไม่กล้าเข้าใกล้พระพุทธเจ้าเลยมาร ธรรมฤทธิ์มันถึงขนาดนั้น เพราะฉะนั้นปัญญานั่นแหละจะกำจัดกิเลส ปัญญานั่นแหละจะกำจัดมาร ปัญญาคืออะไร ปัญญา 8 ก็เอามาขยายสู่ฟัง เทวนิยมไม่มีทางที่จะรู้จักปัญญา เพราะเขาจะไม่ได้ฟังธรรมะจากพระพุทธเจ้า เขาจะไม่ได้ฟังธรรมะจากสัตบุรุษ เขาจะไม่ได้ฟังธรรมะจากผู้ที่สัมมาทิฏฐิ ไม่ได้ฟังธรรมะจากครูบาอาจารย์ที่สัมมาทิฏฐิ เมื่อไม่ได้ฟังก็ไม่มีสัทธรรม 7 ก็ไม่ได้ปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 ฌาน คุณไม่มีวันเกิด 

ฌาน คือพลังงานที่ฆ่ากิเลส ฆ่ากิเลสเสร็จถึงฌาน 4 ก็คือดาบสุดท้ายฟันกิเลส อาสวะสิ้นไม่เกิดอีก ซึ่งอาตมาก็ขยายความไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่สามารถได้ฟังธรรมะพุทธเจ้า แล้วก็ไม่มาฟังจนเข้าใจแล้วเอาไปปฏิบัติ ฟังเข้าใจแล้วเอาไปปฏิบัติ โดยการฟังธรรมะพระพุทธเจ้า และปัญญาข้อที่ 3 ก็จะเข้าใจความสงบ 2 อย่าง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ประกาศสิทธิสำเร็จสูงสุดคือสิทธัตถะ วันพุธที่ 24 พฤษภาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 26 สิงหาคม 2566 ( 17:31:49 )

ปัญญาจะสำเร็จได้ก็ต้องสร้างฌาน

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นที่อาตมาอธิบายไปนี้ เราก็ต้องมาจับธาตุวิญญาณ แยกวิญญาณเป็นนามรูป หรือย่อยลงไปจากวิญญาณเป็นเวทนา สัญญา สังขาร โดยมีตัวธาตุรู้รองรับเรียกว่ารูป เวทนาที่เป็นรูปก็คือตัวพลังงานของเวทนาที่ถูกตัวสัญญากำหนดรู้ แล้วเรียนรู้จนกระทั่งเป็นปัญญา รู้จักสังขาร แล้วก็มีความรู้อภิสังขารว่ามีอะไรปรุงแต่งร่วมอยู่ มีกิเลสปรุงแต่งร่วมอยู่ รู้จักหน้าตาของกิเลส จับตัวกิเลสได้ด้วยปัญญา 

พอปัญญามันจับตัวกิเลสได้เท่านั้น หนีไปไกลเลย ปัญญานี้กิเลสมันกลัวมาก พอปัญญาโผล่มากิเลสมันวิ่งไม่คิดชีวิตเลย หนีไปไกลเลย ไม่ต้องไปจัดการอะไรกับมัน พลังปัญญามีฤทธิ์เดชอย่างนี้ 

เพราะฉะนั้นจึงต้องสร้างปัญญาให้ได้ ปัญญาจะสำเร็จได้ก็ต้องสร้างฌาน สร้างฌาน สำเร็จเป็นอุเบกขาเป็นฌานที่ 4 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ชาติ 5 โดยพิสดาร วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 เมษายน 2564 ( 14:05:31 )

ปัญญาจะหลุดพ้นต้องควบคู่กับฌาน4

รายละเอียด

ปัญญาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ปัญญาต้องควบคู่กับฌาน 1 2 3 4 คุณจะหลุดพ้นต้องเป็น ฌาน 4 ปัญญาจึงต้องถึงขั้นฌาน 4 ไม่ใช่แค่ฌาน 1 2 3 อย่างนี้เป็นต้น แข็งแรง เห็นไหม ฌานอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น ฌานไม่มีปัญญาไม่มี ปัญญาไม่มีฌานไม่มี คำตรัสของพระพุทธเจ้าชัดเจน  นัตถิ ฌานัง อะปัญญัสสะ นัตถิ ปัญญา อะฌายิโน

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 6 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 22 เมษายน 2563 ( 14:05:41 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 07:04:11 )

เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 14:24:39 )

ปัญญาจะเกิดจริงก็ต่อเมื่อรู้ได้ด้วยตัวเอง

รายละเอียด

เพราะเราสามารถรู้สภาวะจริงเลยว่าอาการของตัณหาเป็น Dynamic เป็นอย่างนี้ อย่างนี้อุปาทานเป็น Static เป็นอย่างนี้ คุณรู้แล้วคุณก็จัดการสร้างปัญญา สร้างฌาน อาการของฌานของปัญญาจะเกิดจากหิริโอตตัปปะ เกิดจากปัญญา เกิดจากการรู้และก็เกิดศรัทธา คือสัจธรรม 7 ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหุสัจจะ หรือพหูสูต

พหูสูต หมายความว่า คุณเป็นผู้ปฏิบัติถูกต้องเลย ถูกต้องอะไร? เมื่อคุณสัมผัส เริ่มมีเวทนา เมื่อรู้ ตัวฉลาด ฉฬายตนะ 

ฉฬายตนะ อายตนะนี้คือฉลาด ฉฬายตนะ ฉลาดรู้ “โอ้! กิเลส อันนี้กิเลส” จับกิเลสได้ แต่ก่อนนี้เราไม่รู้จักตัวกิเลส กิเลสเป็นของน่าละอาย เราก็แสดงอาการของกิเลสหน้าตาเฉยหน้าแป้นแล้น “นี่ สวยไหมจ๊ะ กิเลส โก้ไหมจ๊ะ กิเลส ประเสริฐไหมจ๊ะ กิเลส”  พอมารู้ตัวก็บอกว่า “เอ็งโชว์อะไรของเองวะ” ฟังให้ดีนะ อันนี้อาตมาอธิบายธรรมะนะ พอรู้ตัวก็ “ตายๆๆ เราไปโชว์กิเลส” นึกว่ากิเลสเป็นของน่าโชว์มานานเลย “ไอ้โง่ เอ๊ย!” ผู้หญิงพูดเอาเองจะเรียกอะไร อาตมาเป็นผู้ชายก็บอกว่า “ไอ้โง่เพิ่งมารู้ตัว” ทำไมเราไม่รู้ว่าตัวเองนี้แสดงของน่าอายออกมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกาม เรื่องปฏิฆะ อะไรก็แล้วแต่ เรื่องขี้โลภ เรื่องขี้หลง เรื่องขี้โกรธ อะไรก็แล้วแต่ นี่บอกตัวใหญ่ๆเลย หรือตัวเล็กตัวน้อยก็ตาม 

คนที่รู้ว่าตัวเองได้แสดงกิเลสออก แล้วก็สำนึกละอาย นี่คือคนเกิดปัญญา ฟังให้ดีนะปัญญาคืออะไร 

ปัญญาคือ มันรู้หน้ากิเลส รู้กิเลสชัดๆ อธิบายมามากมายแล้วปัญญาหรือความรู้ที่รู้จักกิเลส กิเลสมันคือมารคือผี พอรู้ พอมันหน้าปัญญา มันวิ่งหนีหูตูบ มันเป็นสัจจะอย่างนั้น ต้องสร้างพลังงานปัญญาขึ้นมาให้เกิดจริง 

เพราะฉะนั้น ปัญญาจะเกิดจริงก็ต่อเมื่อคุณรู้ได้ด้วยตัวเองว่าแต่ก่อนนี้เราโง่ แต่ตอนนี้เราเลิก พอรู้หน้ากิเลส กิเลสมันลดลงจริง เราเลิกมัน นี่คือการแพ้ชนะของการปฏิบัติธรรม การแพ้ชนะของการปฏิบัติธรรม ปัญญามันชนะกิเลส กิเลสมันแพ้ปัญญา ใช้พยัญชนะสื่อสภาวะให้ฟัง 

คุณมีไหมล่ะ เกิดชัดเจนไหมล่ะ มันละอายต่อความโง่ตัวเอง เห็นไหมล่ะคำสอนพระพุทธเจ้านั้นลึกซึ้ง โอ้โห กิเลสมันวิ่งหนี นั่นก็คือ คุณบรรลุธรรม คุณพัฒนาการปฏิบัติธรรม ก้าวหน้า มีมรรคผล ใช่ไหม คุณก็เจริญเป็นพหูสูตเป็นผู้รู้ พหูสูตไม่ใช่ไปท่องตำราเก่ง เป็นเลินเน็ตแมน(Learned Man) หัวโต หัวเดินนำหน้าไปเลย ใส่แว่นตาหนาเตอะไม่ใช่ นี่ก็พูดประชดประชันเขาไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ นิยามของเศรษฐศาสตร์ฉบับโพธิรักษ์ วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2566  ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2567 ( 16:34:48 )

ปัญญาจะเกิดจากการปฏิบัติมรรค 7 องค์

รายละเอียด

เพราะฉะนั้น ปัญญาจะเกิดจากการปฏิบัติมรรค 7 องค์ และการปฏิบัติมรรค 7 องค์นั้นไม่มีให้ไปหลับตา ปฏิบัติในขณะคิด สังกัปปะเป็นสัมมา ปฏิบัติในขณะพูดมีวาจาให้เป็นสัมมา ปฏิบัติในขณะมีการกระทำการงานต่างๆ กัมมันตะ ให้เป็นสัมมากัมมันตะ 

อยู่ในขณะทำงานอาชีพ ให้เป็นสัมมาอาชีพ มีสติตื่น พยายามตื่น ปฏิบัติ เรื่องนี้อาตมาพูดมาตั้งแต่ต้นจนทุกวันนี้ 50 กว่าปีแล้ว เขาไม่สะดุ้งสะเทือนกันเลย ผู้ที่ไปหลงผิดไปนั่งหลับตาปฏิบัติ ขอยืนยันว่า นั่งหลับตาปฏิบัติไม่อยู่ในลัทธิศาสนาพุทธ เป็นเดียรถีย์ 100%

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ฟังธรรมให้เกิดปัญญาเพื่อสละตัวตน วันพุธที่ 19 ตุลาคม 2565 แรม 9 ค่ำ เดือน 11 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 ธันวาคม 2565 ( 12:01:50 )

ปัญญาจะเกิดเองไม่ได้

รายละเอียด

พระสูตรไม่รู้คิดสูตรจะเกิดปัญญาจะต้องคบสัตบุรุษฟังสัทธรรม บางพระสูตรบอกว่าต้องฟังจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าด้วยซ้ำไป เราไม่มีพระโอษฐ์จากพระพุทธเจ้าเราก็เหลือสัตบุรุษ ก็ต้องคบสัตบุรุษให้ได้ 2 ผู้อยู่ในฐานะครู อันนี้ผู้อยู่ในฐานะครูนั้น ก็ต้องเป็น สมณะพราหมณาสัมมาปฏิปัณณา  เพราะปัญญาจะเกิดเองไม่ได้ อย่างไรก็เกิดเองไม่ได้ปัญญานี่ อันเป็นโลกุตระธรรม จะต้องสืบทอดมาจากพระพุทธเจ้า หรือผู้ที่สืบทอดมาแล้วเป็นสัตบุรุษ เวลาจะปฏิบัติเข้าปฏิบัติตามหลักศีลสมาธิปัญญา 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 12:43:05 )

ปัญญาจะเกิดได้คุณต้องประกอบไปด้วยอะไร

รายละเอียด

ผู้ใดสามารถปฏิบัติศีลอย่างเข้าใจ สมาธิอย่างเข้าใจ ปัญญาอย่างเข้าใจ ขออธิบายปัญญา ปัญญานี้จะเกิดโดยไม่ได้ มีความฉลาด ตั้งแต่ต้นทางว่า ปัญญาจะเกิดได้คุณต้องประกอบไปด้วย ต้องรู้ว่า 1. คุณจะต้องทำงานอาชีพอยู่ 2. คุณจะต้องทำกรรมกริยาใดๆทุกอิริยาบถ 3. พูด 4. คิดอยู่ ซึ่งเป็นมรรคทั้ง 4 องค์ในมรรค 8 แล้วรู้กรรมกริยาต่างๆในมรรคทั้ง 4 แล้วมีสัมผัส สัมผัสกับ 1. สัตว์ 2. ของ 3. สัมผัสรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่างๆ จะรู้ว่ากิเลสมันเกิดจากสัมผัสสัตว์ สัมผัสของ สัมผัสตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รู้กิเลส สัมผัสพวกนี้แล้วมันเกิดกิเลสตรงไหน ตรงหทยรูปตรงไหน มันไม่มีที่อยู่หรอก หทยรูป คุณจะต้องกำหนดรู้ของคุณเอง อภิธรรมก็ว่าอยู่ที่หัวใจห้องที่ 4 อย่างนั้นมันเป็นเครื่องสูบฉีดโลหิต ไม่ใช่ที่ที่หทยรูป เขาก็ว่า หัวใจมันต้องอยู่ที่สมอง มันไม่ใช่ สมองเป็นอวัยวะเป็นอุปกรณ์ให้จิตวิญญาณอาศัยผ่านเท่านั้น หทยรูป มันก็ไม่ใช่รูปของนามธรรม มันเป็นสถานที่ที่จะใช้ ความจริงมันไม่ใช่ที่สมอง สมองมันสัมผัสกับทุกสัดส่วนอวัยวะองคาพยพ มันมีประสาทรับรู้ทุกอย่าง นอกจากส่วนใดที่ไม่ใช่กายแล้ว ส่วนใดที่ไม่ใช่กายแล้ว

ที่มา ที่ไป

เทศน์ ทวช. วันเสาร์ที่ 7 เมษายน 2561


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 11:55:35 )

ปัญญาจะเกิดได้ต้องบำเพ็ญตามหลักปัญญา 8

รายละเอียด

เขาสร้างปัญญา 8 ไม่ได้ เขาสร้างธาตุรู้ ความรู้ความฉลาดโลกุตระอย่างปัญญาไม่ได้ ปัญญาจะเกิดได้ต้องตามปัญญา 8 ต้องพบพระพุทธเจ้าได้ความรู้จากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นธรรมสามีมาตั้งเท่าไหร่ไม่รู้กี่ล้านชาติทุกองค์ อาตมาก็บำเพ็ญมาเรื่อยๆจนเป็นขั้นที่ 7 ก็ได้ประมาณนี้ ไม่ใช่อยู่ดีๆอาตมาจะมีอย่างนี้ได้ ไม่ใช่ อาตมาก็บำเพ็ญมาตลอด ชัดเจนว่าพระพุทธเจ้าจะได้ปัญญามาอย่างไรก็ตามหลักปัญญา 8  

ท่านตรัสรู้ด้วยตัวเองแล้วเอามาบอก ไม่มีผู้รับได้ก็จะไม่รู้เรื่อง ส่วนคนที่พอจะฟังได้แสวงหาตั้งใจฟังด้วยดี ฟังด้วยดีก็จะได้รู้ได้ความเข้าใจบ้าง เอาไปปฏิบัติก็จะได้ปัญญาในอนาคต 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 34 วันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 เมษายน 2564 ( 21:04:24 )

ปัญญาจะเกิดได้ต้องมี องค์ 6

รายละเอียด

เพราะฉะนั้น ฌาน ที่ไปนั่งหลับตาไม่มีปัญญา แล้วปัญญาเข้าใจไม่ได้ ปัญญาต้องมีครบทั้งตาหูจมูกลิ้นกายใจ อาตมาพยายามอธิบายว่าปัญญาจะเกิดได้ต้องมี องค์ 6 ต้องมี ปัญญา ปัญญนิทรีย์ ปัญญาพละ ต้องมี ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ รวมเป็น 6 ในมหาจัตตารีสกสูตร ข้อ 258

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาพาตนให้รู้ความเป็นอรหันต์ วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 02 กุมภาพันธ์ 2564 ( 20:20:50 )

ปัญญาจักษุ กับ พุทธจักษุ

รายละเอียด

ตาปัญญา ปัญญาจักษุรู้ครบรอบ เป็นปัญญาโลกุตระจริงๆเลย ผู้มีปัญญาเข้าสู่พุทธจักษุ เป็นตาของพระพุทธเจ้าที่จะรู้ได้สูงส่งไปได้เรื่อยๆ เป็นพุทธจักษุ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ หมู่บ้านสาธารณโภคีมีจริงได้แม้ใกล้กลียุค วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2564 ( 19:25:24 )

ปัญญาชัดเจน หมดกามแล้วกระทบกระแทกอย่างไรก็ไม่เกิดกิเลส

รายละเอียด

มันชัดเจนทุกอย่างตั้งแต่ภายนอก ภายนอกคือภายนอกภายในก็คือภายในปรุงแต่งกันอยู่ภายนอกปรุงแต่งกันอยู่ภายใน ปรุงแต่งกันอยู่ในกามภพมันมีกิเลสกามไหม หมดกามแล้วกระทบกระแทกกระเทือนกระทุ้งอย่างไรกระทบยิ่งกว่า 600 เล่มอย่างไรก็ไม่เกิดกิเลส ไม่ต้องถึงร้อยเล่มหรอก 1 เล่มก็เจ็บแล้วทุกข์แล้วเห็นทุกข์แล้ว พระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่าข้อ 1 เล่ม ก็ทุกข์มากแล้วจะกล่าวไปถึง 100 เล่ม ดีไม่ดี สามร้อยเล่ม เช้ากลางวันเย็นมันก็ยังบื้ออยู่อีก เหมิดคำสิเว่า

ที่มา ที่ไป

รายการบ้านราช เรื่องบุคคล 7 วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 14 มีนาคม 2563 ( 11:41:51 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 17:18:25 )

เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 14:25:42 )

ปัญญาญาณวิชชา

รายละเอียด

ต้องเกิดปัญญาในการปฏิบัติศีล อปัณกรรม 3 ในฌาน 4 ต้องมีปัญญาเป็นธาตุรู้โลกุตระประกอบไปด้วยเสมอ

ที่มา ที่ไป

ายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 16 พฤศจิกายน 2562 ( 20:04:11 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 17:19:17 )

เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 16:34:08 )

ปัญญาตามที่โลกเขาใช้กัน

รายละเอียด

ฉลาดโลกีย์ก็ใช้คำว่าปัญญาไปเรียก คำว่าปัญญาจึงถูกดึงไปใช้เลอะเทอะ แล้วไปยินดีในคำว่าปัญญา แต่คำว่าเฉโกหายไปหมด คนฉลาดเดี๋ยวนี้ไม่เรียกว่าคนมีเฉโก แต่ไปเรียกปัญญาหมด  เพราะรู้คำว่า เฉโก เป็นคำไม่ดี มันไม่มีศักดิ์ศรี ส่วนปัญญานั้นมีศักดิ์ศรีก็เลยเอาปัญญานั้นไปใช้แทนหมด คนหลงพยัญชนะก็เอามาใช้เลอะเทอะหมด

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 13 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:44:14 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 17:20:00 )

เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 14:26:24 )

ปัญญาต่างจากเฉกะ เฉกา หรือเฉโกอย่างไร

รายละเอียด

ปัญญาคือโลกุตระ ถ้าเฉกาหรือเฉกะคือความฉลาดโลกีย์ บาลีมีกำกับชัด แต่เวลาใช้ไม่เอามาใช้ ก็เลยเอาปัญญาไปเรียกโลกีย์ จนปัญญาเป็นคำปนเปกับเฉโก แยกไม่ออกว่าแล้วความฉลาดนี้เป็นโลกียะหรือโลกุตระ ทั้งที่บาลีแยกไว้ชัดว่าปัญญานั้นหมายถึงปัญญาโลกุตระอย่างเดียว แต่คนใช้ปนเปกันมาตั้งแต่สมัยก่อนจนมาถึงสมัยนี้ ตอนนี้พจนานุกรมก็มีแต่รากศัพท์ เฉโกหรือเฉกะ เป็นความฉลาดโลกีย์แต่ไม่มีใครมาใช้เรียกความฉลาดของคน ทั้งๆที่ปุถุชนมีแต่ความฉลาดเฉโกทั้งนั้น แต่ความฉลาดทางปัญญาจะสามารถกำจัดกิเลสได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2561


เวลาบันทึก 21 กุมภาพันธ์ 2564 ( 14:34:28 )

ปัญญาต่างจากเฉกา

รายละเอียด

สัมผัสแล้วจิตเราก็เฉย คนที่ยังรู้สึกว่าน่าได้น่ามีน่าเป็น เพราะเขามีผลัก ดูดอยู่ แต่คนที่ไม่มีเวทนา 2 รู้ความจริงตามความเป็นจริง มีแต่ปัญญาอย่างเดียว ไม่มีตัวอื่นมาผสม ปัญญาคือรู้ความจริงตามความเป็นจริงด้วยเวทนาเดียวก็เป็นปัญญา ปัญญามีหนึ่งเดียวไม่มีสอง ถ้าเป็นเฉกา คือมีกิเลสมาผสมยังมีเพื่อน 2 ไม่เป็นหนึ่งเดียว ไม่เป็นเอกะ ถ้าหมดกิเลสเป็นหนึ่ง ทำแล้วรู้ความจริงตามความเป็นจริง มีเวทนาเดียว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้างานเพื่อฟ้าดิน เพื่อฟ้าดิน สร้างคนจนสุขสำราญฯ ตอน4 วันที่ 1 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 26 มีนาคม 2564 ( 16:57:56 )

ปัญญาต่างจากเฉโก

รายละเอียด

คำว่าปัญญา คือ ธาตุรู้ที่เป็นของศาสนาพุทธ และศาสนาอื่นก็เอาไปเรียกใช้ความฉลาดแบบอื่นด้วยคำว่าปัญญา ไปตู่เอา คำว่าปัญญาต่างจากเฉโกที่เป็นความฉลาดโลกีย์  สรุปแล้ว ความฉลาดโลกีย์คือที่เรียกด้วยพยัญชนะว่าเฉกาหรือเฉโก ความฉลาดอีกตระกูลหนึ่งเรียกว่า ปัญญา เป็นของมนุษย์ดาวคนละดวงต่างกันมีความหมายต่างกัน แต่คนเอาภาษาดาวโลกุตระไปใช้สุ่มสี่สุ่มห้าโดยใช้กับดาวโลกียะ คำว่าปัญญาถึงเสียหมดเลย เอาไปทำลายหมดเลย ก็เลยไม่มีความเข้าใจ ไม่มีความรู้ได้ว่าโลกุตระหรือปัญญามันคืออะไร เอาไปใช้ผิดเองตัวเองก็ไม่เข้าถึงสภาวะเพราะไปทำลายภาษาด้วยตัวเอง เอาคำว่าปัญญาไปเรียกอย่างนั้นหรือเอาคำว่าบุญไปเรียกของตัวเองว่าเป็นกุศลของตัวเอง ซึ่งบุญไม่ใช่กุศลมันคนละเรื่องกันเลย กุศลเป็นสิ่งมี แต่บุญเป็นสิ่งที่ทำลายเป็นสิ่งที่ไม่มี อย่างนี้เป็นต้น   

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2563 ( 10:09:36 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 17:21:11 )

เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 16:35:07 )

ปัญญาต้องมีกายภายนอกร่วมด้วยเสมอ

รายละเอียด

สัญญาที่มาคิดอยู่เพียงภายนอกนั้นไม่ใช่กาย มีแต่สัญญาไม่เป็นปัญญา ปัญญาจะต้องมีกายภายนอก สรุปอีกทีนึง แล้วจะหาว่าอาตมาว่า เพราะมันต้องว่า เพราะยังไม่เชื่อที่อาตมาพูด ที่พูดย้ำซ้ำซากเพื่อจะให้เข้าใจได้ชัดเจนลึกซึ้งทุบเข้าไป พวกหลับตาปฏิบัติธรรมไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายใจคุณจะมีแต่สัญญา คุณจะไม่มีปัญญาเลย ในมหาจัตตารีสกสูตร ข้อที่ 258 ผู้ที่จะเกิดปัญญานั้นจะต้องมีธรรมะวิจัยสัมโพชฌงค์ มีสัมมาทิฏฐิ มีมรรคองค์8ปฏิบัติทั้งทำอาชีพทั้งขณะทำการงานทุกอย่าง เป็นคนทำงานอยู่อย่างสามัญมีทั้งขณะพูด ทั้งขณะคิด มีทั้งอาชีวะ กัมมันตะ วาจา สังกัปปะ และมีกระทบสัมผัสเกี่ยวข้องทั้งภายนอก มีธรรมะวิจัยโพชฌงค์แยกแยะวิจัยวิจารณ์ออก ครบครันทั้งภายนอกและภายใน มีทั้งธรรมวิจัย และครบทั้งสังกัปปะ 7 แล้วทำให้ผลจับกิเลสได้ลดกิเลสได้ การเห็นกิเลสการรู้จักกิเลสดับกิเลสได้ลดกิเลสได้จึงเรียกว่า ปัญญา 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 20 พฤศจิกายน 2563 ( 14:50:19 )

ปัญญาต้องมีอัญญธาตุ

รายละเอียด

คำว่า กาย เป็นตัวสำคัญมาก ก่อนถึงกายพูดถึงสมาธิก่อนคำว่า สมาธิ เขาไปออกป่านั่งหลับตาสมาธิมันมีเป็นแกนของโลกเลย ฝ่ายเทวนิยมจะอยู่อย่างนั้น ไม่มีความเฉลียวฉลาดมีปัญญา จะไม่มีปัญญาได้ง่ายๆ ปัญญาต้องเริ่มมีอัญญธาตุ เป็นธาตุที่แยกออกจากตระกูลของโลกียะเลย

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 11:07:21 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 02:31:18 )

เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 14:27:02 )

ปัญญาทรามคือคนฉลาดแกมโกง

รายละเอียด

บางทีคิดไม่ถึงว่ามันจะทำลายชาติได้อย่างลึกซึ้งละเอียดอย่างนี้ บางทีสมบัติพัสถานล้มละลายเลย กลายเป็นลูกหนี้ของชาติอื่นเลย เท่ากับทั้งประเทศทั้งคนในชาตินี้ต้องตกเป็นลูกหนี้ของประเทศอื่น ทรัพย์สมบัติไม่พอใช้หนี้เขาจะถึงขนาดนั้นเลย 

คนที่หัวดีหัวเก่งฉลาดแกมโกงฉลาดเลวทราม พระพุทธเจ้าท่านใช้ศัพท์คำว่า ปัญญาทรามเป็นปัญญาที่แย่มาก ก็มีคนจริงให้ศึกษา แต่ว่าไปเดี๋ยวเขาจะโกรธ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ดับชาติ 5 ด้วยวิชชา 8
วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:37:45 )

ปัญญาทำให้ไม่ให้เกิดกายได้

รายละเอียด

เมื่อผู้ใดสามารถที่จะมีปัญญารู้อย่างนี้ ทำความสงบกายสงบจิตได้ โดยทำให้ไม่ให้เกิดมี กาย นี่แหละตัวหลัก เมื่อไม่มีกาย ก็ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ ไม่มีที่ไหนเขาสอนหรอกอย่างนี้ แล้วคุณก็เข้าใจสภาวะของมันกับพยัญชนะที่อาตมาพูดให้ฟัง ก็ไปเรียนรู้ของตนเองว่า พระพุทธเจ้าสอนให้พิจารณา ผมขนเล็บฟันหนัง เมื่อไหร่มันเป็นกาย เมื่อไหร่ไม่ใช่กาย ซึ่งเป็นเรื่องยากมากเลยเป็น อจินไตย พระพุทธเจ้าบอกว่าเมื่อบวชมาแล้วก็ให้ไปถึงนิพพาน พระพุทธเจ้าให้พระอุปัชฌาย์สอนสัทธิวิหาริก ต้องสอนให้แยกกายแยกจิตให้ได้ เขาไม่มีความรู้อันนี้ ไปสอนเป็นไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 4 งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 44  วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 19:56:27 )

ปัญญาที่คนโลกีย์นำมาใช้เรียกกันที่จริงมันแค่เฉโก

รายละเอียด

ปัญญาจึงไม่ใช่ความรู้อะไรที่เอามาใช้เป็นปัญญาไปหมด ความรู้โลกๆโลกีย์ก็เรียกว่าปัญญาไปหมด ที่จริงมันแค่เฉโก บาลีกำกับตัวเดิมเป็นความรู้ความฉลาดพวกนี้ เฉโกมาจากทวารทั้ง 6 นี่แหละ ฉ แปลว่า 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัส เหมือนกัน แต่เขาก็ได้แค่นั้นอย่างเดียว เฉกะหรือเฉโก ได้อย่างนั้นแหละไม่มีอย่างอื่น 

พอมาเป็นปัญญามันไม่ใช่ที่คุณรู้จักเท่านั้นทั้งหมดที่คุณสัมผัสเหมือนอย่างมนุษย์ที่มีทวารทั้ง 6 แล้ว แต่ไม่เหมือน มีพิเศษจริงๆ ความรู้นี้เป็นความรู้ที่เป็นความรู้เดิมเป็นความรู้ที่จำนนต่ออัตตา จำนนต่อจิตวิญญาณ จำนนต่อธาตุรู้หรือว่าความเป็นจิตนิยาม คุณก็จะต้องจำนนต่อความเป็นจิตนิยาม จำนนต่อความเป็นวิญญาณ จำนนต่อความเป็นอัตตา อยู่กับอัตตานั่นแหละนิรันดร ออกจากอัตตาไม่ได้ เน้นคำว่าไม่ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 ประการ 3 ข้อแรก โดยพิสดาร วันพุธที่ 9 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2565 ( 20:50:26 )

ปัญญาที่รู้จักความเป็น 0

รายละเอียด

ปัญญาคือความเฉลียวฉลาด ความฉลาดอย่างโลกุตระ ไม่ใช่ฉลาดอย่างโลกีย์ ไม่รู้ว่าฉลาดหรือโง่ก็ไม่รู้ ว่าจะทิ้งกลับไปดูด เป็นมายาไม่แน่นอนกลับไปกลับมา เอ็งว่า เอ็ง จะทิ้งทำไมเองไปดูด ว่ามันอดไม่ได้ทนไม่ได้ กลับไปกลับมา อันนี้เราทำแล้วเราก็รู้ความจริงว่าเราโง่อยู่ ไปร่วมไปสังวาสไปเมถุน ก็แยกๆๆ มาเป็นตัวของเราเอง อิสระ ในอิสระเป็นคู่ใหม่ คือ 1 กับ 0 

เพราะฉะนั้นมาหา 1 ไม่ต้องมี 2 ไม่ต้องมีคู่ และดีกว่านั้น ถ้าจะมีคู่มาหาสูงเป็นคู่ยาว 2 เป็นคู่ เอา 0 เป็นคู่ คุณยืนอยู่ที่ 1 พวกเดียรถีย์สะกดจิตให้เป็น 1 ได้แต่ไม่เที่ยงเดี๋ยวคุณก็ไปเป็น 2 3 4 5 

แต่ถ้ารู้เหตุว่ามันไม่เที่ยง มันทำให้เป็นทุกข์ จริงๆแล้ว มันไม่เป็นตัวตน ไม่มีตัวตน มันเป็น 0 มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนมันเป็น 0 ปัญญาที่รู้จักความเป็น 0 นี่แหละ จะเรียกอนัตตาก็เรียก จะเรียกนิพพานก็เรียก จะเรียกนิโรธก็ตาม มันเป็นไวพจน์ เป็นคำซินโนนีม ที่ขยายความให้รู้ด้วยภาษา ซึ่งมันไม่มี ไม่มีก็ใช่ นโหติ เป็นของที่ไม่มี มันไม่เป็นจริง เมื่อความรู้ที่เรียกว่าปัญญามันรู้แจ้งเห็นจริงอย่างนี้ มันก็มายืนอยู่ที่ 0  เพราะ 0 เป็นเป้าหมายเลย เรามุ่งเป้าเจอเป้าแล้วทะลุเป้าเลย ทะลุเป้าไปได้เลย เราก็บรรลุผลสำเร็จ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ แผนผังการกอบกู้โลกุตระของพ่อครู วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2565 ( 19:15:51 )

ปัญญาที่สมบูรณ์

รายละเอียด

จะถือว่าเป็นปัญญาสมบูรณ์คือหลังจากต้องปฏิบัติมรรคองค์ 8 ครบ แล้วเกิดผล เกิดผลรู้รอบ รู้จนเป็นวิมุติญาณทัสนะเป็นต้น ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ แล้วถึงขั้นวิมุตติญาณทัสสนะ นี่คือคุณสมบัติของปัญญา

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม


เวลาบันทึก 13 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:36:22 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 02:32:14 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 02:41:30 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์